Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธธรรม (ฉบับเดิม)

พุทธธรรม (ฉบับเดิม)

Published by Owent, 2020-05-14 01:59:16

Description: พุทธธรรม (ฉบับเดิม) เป็นบทธรรมของท่าน ป.อ.ปยุตโต เป็นหนังสือที่ชาวพุทธควรมีไว้ประจำบ้าน เป็นการบรรยายธรรมเพื่อให่สาธุชนอ่านเข้าใจง่ายขึ้น

Keywords: พุทธธรรม,ป.อ.ปยุตโต,หนังสือธรรม,dhamma,buddhism

Search

Read the Text Version

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 1 คาํ ปรารภ พุทธธรรม (ฉบับเดิม)น้ี เปนตาํ ราที่ทรงคุณคา ทีส่ ุดในยคุ ปจ จุบนั ซึง่ ทา นสามารถเลือกทจี่ ะศึกษาสวน ใดสว นหนึ่ง ตามแตอ ุปนิสัยโดยไมจําเปน ตองอา นตัง้ แตต น เหมือนอยางตาํ ราทั่วไป เนอื้ หาของตาํ ราเลม นี้ ถูก จดั ไวอ ยางเปนระบบ และมสี ารบัญหวั เรอื่ งอยางละเอยี ด เพ่อื ใหทา นไดทราบเน้ือความทุกสว นของตําราเลม น้ี อนั เปนประโยชนใ นการศึกษาพระพุทธศาสนา คณะผจู ัดทําโครงการซีดีรอมพระไตรปฎ กและอรรถกถาไทย ฉบับธรรมทาน จึงทาํ การปรึกษากันเห็น ควรท่จี ะนาํ หนังสือพุทธธรรม (ฉบบั เดมิ )นี้ บรรจุลงในแผนซดี รี อมของโครงการนดี้ วย เพ่อื แจกจายและเผยแพร ใหเ ปน วงกวางยิง่ ๆ ขึน้ ไป จงึ ไดทําหนงั สือเพอื่ ขออนญุ าตและขอความเมตตาจากพระเดชพระคณุ พระธรรม ปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) ซ่งึ พระเดชพระคณุ ทานก็ไดใหค วามเมตตาอนญุ าตและมอบขอมลู พทุ ธธรรม เพ่ือให บรรจุลงในซีดรี อมฉบับนดี้ วย คณะผูจัดทําไดพฒั นาโปรแกรมเพื่อใหเ หมาะกับพทุ ธธรรมไดร ะดับหน่งึ และจะพัฒนาเพิ่มเตมิ หลงั จาก ไดข อมูลพุทธธรรม (ฉบับปรับปรุงขยายความ) ซงึ่ เปน ชดุ ใหม และขณะนี้ยงั อยใู นระหวางตรวจและแกไขปรับ ปรงุ ทางคณะผจู ัดทําตอ งขอกราบขอบพระคุณอยา งสูง ในความเมตตาของพระเดชพระคุณพระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ทไ่ี ดอนุญาตและมอบขอมูลพุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) เพ่ือบรรจลุ งในแผนซีดรี อมน้ี มา ณ โอกาส นี้ดวย (ดร. วรภัทร ภเู จริญ) ประธานโครงการพระไตรปฎกฉบับธรรมทาน ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ หนงั สือถึงพระเดชพระคณุ พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต) ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เรื่อง ขออนุญาตและขอมลู พทุ ธธรรมเพื่อบรรจุในแผนซีดรี อมแจกเปน ธรรมทาน กราบนมัสการ พระเดชพระคณุ พระธรรมปฎ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) กระผม ดร. วรภัทร ภูเจริญ เจาของโครงการพระไตรปฎ ก ฉบับธรรมทานและทมี งานมคี วามเหน็ ตรง กนั วา ควรนําคมั ภรี แ ละตาํ ราตางๆ ของพระพทุ ธศาสนา ที่มคี ุณคา บรรจลุ งในแผนซดี รี อม พรอมโปรแกรมใน การคน หาเพอื่ สะดวกในการพกพาและงายตอการศกึ ษา เพื่อแจกจา ยแกส ถานศกึ ษาตา งๆ และพทุ ธศาสนกิ ชน

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 2 ทวั่ ไป จํานวนประมาณ ๔๐,๐๐๐ แผน ขณะนี้ ไดบ รรจคุ ัมภีรตา งๆ เสรจ็ แลว อาทิเชน พระไตรปฎกภาษา ไทย ฉบับหลวง อรรถกถาของมหามกฏุ ราชวิทยาลยั วสิ ทุ ธมิ รรค มลิ นิ ทปญหา บทสวดตา งๆและสารานุกรม เปน ตน . คณะทํางานไดปรึกษาเหน็ ควรวา จะขอความกรณุ าจากพระเดชพระคณุ เพ่ือขออนุญาตและขอขอ มลู พุทธธรรมอันทรงคุณคา อนั เปน สอ่ื ในความเขา ใจความหมายของพระพุทธศาสนาโดยแทจ รงิ เพอื่ บรรจุ ลงในแผน ซดี ีรอมชดุ ธรรมทานในการนี้ดวย. กระผมและคณะทาํ งานจงึ ทําหนังสือ ขออนญุ าตและขอขอ มลู พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) ทยี่ งั ไมไ ดขยาย ความเพิม่ เติม มาบรรจุลงในแผน ซีดฉี บบั นี้ไวกอน เนอื่ งจากจะปด โครงการและนาํ ออกแจกจายประมาณกลาง เดอื นสงิ หาคม ศกนี้. กระผมและคณะทาํ งานหวงั เปนอยางยง่ิ วา ดวยความเมตตาและกรุณาของพระเดชพระคณุ พระธรรม ปฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) ซ่ึงมตี อ สานุศิษยแ ละพทุ ธศาสนกิ ชนทั่วไปมาโดยตลอด กระผมคงไดร บั คําตอบอนุญาต และไดข อ มูลพทุ ธธรรมโดยเร็ววัน เพอ่ื เปน ขวัญและกําลังใจในการทํางานใหก บั พระพทุ ธศาสนาสบื ไป. กราบเทานมัสการดว ยความเคารพอยา งสูง ดร. วรภทั ร ภูเจรญิ (ดร. วรภทั ร ภูเจริญ) ประธานโครงการพระไตรปฎ กฉบับธรรมทาน ก. อนโุ มทนา พุทธธรรม ฉบับเดิมนี้มคี า สมนาคุณ ทโี่ ครงการตําราฯ จะตองมอบใหแกผเู ขยี นทกุ ทานตามระเบยี บ ซึ่งผูเขยี นไดปฏิบตั ิตามหลักการที่ยึดถอื ประจาํ ตวั ตลอดมาวา ไมร ับคา ตอบแทนใดๆ โดยไดบ รจิ าคแกมลู นธิ ิ มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ตง้ั เปน ทนุ ชื่อ “วรรณไวทยากร” กึง่ หน่ึงและบรจิ าคคืนแกโ ครงการตาํ ราฯ อกี กึง่ หนง่ึ เปน อนสุ รณแดเสดจ็ ในกรมฯ พระองคนั้น และแกหนังสือ พุทธธรรม สบื มา พทุ ธธรรม ฉบบั เดมิ น้ี มีอนสุ รณแดเสดจ็ ในกรมฯ พระองคน น้ั และแกหนงั สือ พทุ ธธรรม เอง คอื ทุน “วรรณไวทยากร” ทม่ี ูลนิธมิ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย และที่โครงการตาํ ราฯ ซึ่งเกดิ จากคาสมนาคณุ ท่ี โครงการตําราฯ จะตองมอบใหแ กผ ูเ ขยี นทกุ ทานตามระเบยี บ แตผ เู ขยี นไดบ รจิ าคใหแหง ละกงึ่ หนึ่ง เพราะ ปฏิบตั ติ ามหลกั การท่ียดึ ถือตลอดมาวาไมร บั คาตอบแทนใดๆ ในโอกาสทหี่ นังสือ พทุ ธธรรม ฉบับเดิม มีการเปลยี่ นแปลง ที่เปน ผลบานปลายเนอ่ื งจากการปรบั ปรุง เพิม่ เตมิ ในการพิมพค รง้ั ท่ี ๑๐ น้ี ซงึ่ ทาํ ใหปรากฏในรูปโฉมใหม และมเี นอื้ หาสาระที่เสรมิ ความรูค วามเขาใจ

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 3 ขยายออกไป พระสงฆแ ละอบุ าสกอุบาสกิ าหลายทานมีศรทั ธาและฉนั ทะทจี่ ะเผยแพรห นังสอื พทุ ธธรรม ฉบบั เดมิ ทป่ี รับปรงุ เพิม่ เติมน้ี ใหเ ปนประโยชนทางธรรมทางปญญาขยายกวา งขวางออกไป จงึ ไดแ จง ฉนั ท เจตนาท่ีจะจัดพิมพเ ปนธรรมทานรว มดวย การพิมพหนงั สือแจกเปน ธรรมทานนั้น เปนการใหอยา งสงู สดุ ที่พระพทุ ธเจาทรงสรรเสรญิ วา เปนทาน อนั เลศิ ชนะทานทงั้ ปวง เปนการแสดงน้ําใจปรารถนาดอี ยางแทจ ริงแกป ระชาชน ดว ยการมอบใหซง่ึ แสงสวา ง แหง ปญญาและทรพั ยอนั ล้าํ คา คือธรรม ทจี่ ะเปนหลกั นําประเทศชาตใิ หพ ฒั นาไปในวิถที างทถี่ ูกตอง และเปน ไปเพ่อื ประโยชนสุขทแ่ี ทและยงั่ ยืนแกช วี ิตและสังคม ขออนโุ มทนา ทา นผศู รทั ธา ท่ีไดบ าํ เพญ็ ธรรมทานแหงการใหธ รรมใหปญ ญาแกป ระชาชนครงั้ น้ี ขอบญุ จริยาท่ไี ดรวมกันบําเพญ็ แลว จงสมั ฤทธผิ ลใหทุกทา นเจริญงอกงามดว ยประโยชนส ุข และใหสงั คมประเทศชาติ วฒั นาสถาพร ดวยพลงั แหง สัมมาทศั นะและสมั มาปฏิบัติสบื ไป พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๔ กนั ยายน ๒๕๔๔ ขออนโุ มทนา คุณหญิงกระจางศรี รกั ตะกนษิ ฐ คณุ ไพบูลย และ รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจกั รวาล พรอ มดว ยบุตรหญิงบตุ รชาย คือ นางสาวอัจฉรียา และนายอสิ ริยะ ศริ ิจกั รวาล คุณกานดา อารยางกูร คณุ บุบผา คณิตกุล และทานอื่นๆ ในการบริจาค สาํ หรับพิมพห นังสือ พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) ฉบับปรับปรงุ เพม่ิ เติมในการพมิ พค รัง้ ที่ ๑๐ เพ่อื เปน ธรรมทาน ข. บันทึกประกอบ ในการพิมพค รง้ั ท่ี ๑๐ ก. ความเปน มาถงึ ปจจบุ นั หนังสือ “พทุ ธธรรม” โดยผเู ขียนเดยี วกันนี้ ปจ จบุ ันมี ๒ ฉบบั คือ ฉบบั เดิม และ ฉบบั ปรบั ปรงุ และขยาย ความ

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 4 ๑. พทุ ธธรรม ฉบับเดิม หนา ๒๐๖ หนา เปนหนังสอื ท่เี ขยี นข้นึ ตามคาํ อาราธนาของโครงการตาํ ราสงั คม ศาสตรแ ละมนษุ ยศาสตร สมาคมสังคมศาสตรแ หง ประเทศไทย รวมอยใู นหนงั สือชดุ “วรรรณไวทยากร” ซึง่ โครงการตําราฯ จัดพิมพถวาย พระเจาวรวงศเ ธอ กรมหม่ืนนราธิปพงศประพนั ธ ในโอกาสทีพ่ ระชนมครบ ๘๐ พรรษาบรบิ รู ณ วนั ที่ ๒๕ สงิ หาคม ๒๕๑๔ พทุ ธธรรม ฉบับเดิมนี้ มีอนุสรณแ ดเ สดจ็ ในกรมฯ พระองคนัน้ และ แกห นังสือ พทุ ธธรรม เอง คือทุน “วรรณไวทยากร” ทม่ี ลู นธิ ิมหาจฬุ าลงกรณ-ราชวิทยาลยั และทีโ่ ครงการตาํ ราฯ ซงึ่ เกิดจากคาสมนาคุณ ทโ่ี ครงการตําราฯ จะตอ งมอบใหแ กผเู ขียนทุกทานตามระเบียบ แตผูเขียนไดบ รจิ าคให แหงละก่ึงหนง่ึ เพราะปฏิบตั ิตามหลักการที่ยึดถือตลอดมาวาไมรบั คาตอบแทนใดๆ ๒. พทุ ธธรรม ฉบบั ปรับปรงุ และขยายความ คอื พทุ ธธรรม ฉบบั เดิมนน้ั เอง แตไดเ ขยี นแทรกเพิ่มขยาย ความ มเี นอื้ หาเพม่ิ มากขึ้นเปน ๖ เทา ของฉบับเดมิ (ปจจุบันหนา ๑๐๖๖ หนา) ซึง่ คณะระดมธรรม และธรรม สถาน จุฬาลงกรณม หาวทิ ยาลยั ไดพ มิ พข ึ้นเปน ครัง้ แรก เสร็จเมือ่ วนั วิสาขบูชา พ.ศ. ๒๕๒๕ และมหาจฬุ าลงก รณราชวิทยาลัยไดพ ิมพตอมา ลาสุดคร้งั ท่ี ๙ พ.ศ. ๒๕๔๓ ความเปนมาในระยะแรกของ พุทธธรรม ทง้ั สอง ฉบบั ไดเลาไวแ ลว โดยละเอียดใน “บันทกึ ของผเู ขยี น” ทา ยเลม พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ ในทีน่ ี้ จะไมเลาใหมากกวา นี้ แตจ ะกลา วถงึ เฉพาะเร่ืองราวของ พทุ ธธรรม ฉบบั เดิม ทตี่ อ เนอื่ งมาถงึ ฉบับพิมพ ปจ จบุ นั ครั้งท่ี ๑๐ น้หี ลงั จากพมิ พค รั้งแรกแลว หนงั สอื พุทธธรรม ฉบับเดิม ไดม ผี ขู ออนุญาตพมิ พต อมากอ น คร้ังน้ี ๘ ครง้ั คอื คร้งั ที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๑๙ คณะสงฆวัดพลบั พลาชยั พมิ พเ ปนอนสุ รณง านพระราชทานเพลงิ ศพ พระศลี ขันธโสภติ (วิรัชต สิรทิ ตฺโต) วนั เสารที่ ๓ เมษายน ๒๕๑๙ ครง้ั ที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๒๐ กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร พิมพเ ปน อนสุ รณง านพระราชทานเพลงิ ศพ สมเด็จพระวันรตั (ทรัพย โฆสกมหาเถร) วัดสงั เวชวิศยาราม วันที่ ๒๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๒๐ คร้ังท่ี ๔ พ.ศ. ๒๕๒๖ กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธิการ ขออนญุ าตพมิ พเผยแพรสาํ หรับเปนคูมือ ในการพฒั นาจรยิ ศกึ ษาในโรงเรียน คร้ังท่ี ๕ พ.ศ. ๒๕๒๖ สาํ นกั พมิ พส ขุ ภาพใจ ขออนุญาตพิมพเ พื่อเผยแพรใ หกวา งออกไปตามรา นคา ทัว่ ทุกจังหวัด ในการพมิ พค รงั้ ที่ ๕ นี้ ผเู ขียนไดมีโอกาสแทรกเพิม่ และแกไ ขปรับปรงุ คาํ และความหลายแหง ให สมบูรณขนึ้ ตามบนั ทกึ ที่ไดเตรียมไวหลายปร ะหวา งนัน้ แตก ็มีจาํ นวนหนา เทาเดิม คอื ๒๐๖ หนา คร้ังที่ ๖ - ๗ และ ๘ เปน การพมิ พซ าํ้ โดยสํานกั พิมพสุขภาพใจ ในพ.ศ. ๒๕๒๗ ๒๕๒๘ และ ๒๕๓๑ ตามลําดับ การพิมพค ร้ังที่ ๑ ถงึ ๘ ของ พุทธธรรม ฉบับเดมิ ก็เชน เดยี วกบั พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยาย ความ เทา ทพ่ี มิ พม าจนถึงคร้ังลาสดุ คือเปนงานพิมพใ นยคุ กอ นจะมกี ารพิมพดวยระบบคอมพิวเตอร ทําใหก าร

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 5 พิมพคร้ังใหมแตละคร้งั แกไขปรบั ปรงุ ไดย าก หรอื แทบแกไ ขไมไ ดเลย ดว ยเหตนุ ี้ พทุ ธธรรม ฉบับเดิม ท่พี มิ พจน ถงึ ครงั้ ท่ี ๘ จงึ มขี นาดเลม และจาํ นวนหนา เทา เดมิ ตลอดมา คอื ๒๐๖ หนา อน่งึ ระหวางน้ี Dr. Grant Olson ซึง่ เม่อื จบการศกึ ษาปริญญาเอกแลว ทํางานที่มหาวทิ ยาลัยคอรเนลล (Cornell University) ไดรับทนุ จากมลู นิธิจอหน เอฟ. เคนเนดี ในการขออนุญาตแปล พุทธธรรม ฉบับเดิม นี้ เปน ภาษาอังกฤษ แตผเู ขยี นไดแ จง ใหขออนุญาตโครงการตําราฯ แทน เพราะไดมอบใหโครงการตําราฯ ถือ ลิขสทิ ธ์ไิ วโ ดยเกียรติ Dr. Grant Olson แปล พทุ ธธรรม ฉบบั เดมิ อยสู บิ ปเศษ และในทีส่ ดุ State University of New York Press, Albany ไดพ มิ พออกเผยแพรเ มอื่ พ.ศ. ๒๕๓๘ (ค.ศ. ๑๙๙๕) ในชอื่ วา Buddhadhamma: Natural Laws and Values for Life แตห ลงั จากน้ัน ผูเ ขียนไดข อใหหยุดการพิมพครั้งใหมไ วกอ น เพราะไดพบ คําแปลทคี่ วรแกไขบางแหง ครง้ั ท่ี ๙ พ.ศ. ๒๕๔๓ นายแพทยก มล สินธวานนท พมิ พเปน ธรรมทาน ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลอากาศเอก เกรยี งไกร สินธวานนท วันเสารท่ี ๒๙ เมษายน ๒๕๔๓ ในการพิมพค รง้ั นี้ ซึ่งอยูในยุคทใ่ี ชร ะบบคอมพิวเตอรแ ลว ไดมีการพิมพข อ มลู เดิมขึน้ ใหม โดยเนื้อหาทั้ง หมดคงเดมิ แตเพราะเรียงอกั ษรใหม และขนาดหนังสือกวางยาวนอยลง แมจ ะใชตวั อักษรขนาดเลก็ กม็ ีจาํ นวน หนา เพ่ิมข้นึ เปน ๒๕๘ หนา ครั้งท่ี ๑๐ พ.ศ. ๒๕๔๔ คือครั้งปจ จุบันน้ี ซ่ึงคุณณฐั พร พรหมสุทธิ ขออนญุ าตพมิ พแ จกเปนธรรมทาน เพื่อฉลองกตญั ูกตเวทิตาธรรม ในมงคลวารคลา ยวันเกิดอายุครบ ๗๖ ป ของมารดา คือ คุณประยรู พรหม สทุ ธิ ณ วันที่ ๑๓ สงิ หาคม ๒๕๔๔ อน่งึ การพมิ พคร้งั ท่ี ๑๐ น้ี ถอื ไดวาเปนวาระครบ ๓๐ ป แหง การเกิดขึน้ ของหนงั สือ พทุ ธธรรม ฉบับ เดมิ น้ดี ว ย ข. รูปโฉมใหมข อง “พทุ ธธรรม” ฉบับเดมิ การทคี่ ุณณัฐพร พรหมสุทธิ ขออนญุ าตพมิ พ พุทธธรรม ฉบบั เดมิ ครั้งใหม เปนธรรมทานในมงคลวาร คลายวนั เกดิ ของมารดาคราวน้ี เปนเหตใุ หเ กิดการเปลีย่ นแปลงชนิดทีบ่ านปลายอยา งมไิ ดค าดหมาย แก หนังสอื พทุ ธธรรม ความจรงิ หลงั จากหนังสอื พทุ ธธรรม ฉบบั ปรับปรงุ และขยายความเสรจ็ ออกมาแลว ผูเ รียบ เรยี งไดต ้ังใจวา จะใหหยดุ เลิกการพิมพหนังสอื พทุ ธธรรม ฉบับเดมิ เสียเลย โดยจะไดแ จง ใหท างโครงการ ตาํ ราฯ ทช่ี ว ยถือลิขสิทธโ์ิ ดยเกียรตอิ ยูทราบดว ย เพราะ พุทธธรรม ฉบบั เดิมท้ังหมด เปน สวนหนง่ึ ทรี่ วมอยูใ น พทุ ธธรรม ฉบับปรบั ปรุงและขยายความน้นั แลว เม่อื คณุ ณฐั พร พรหมสุทธิ ขออนุญาตพิมพ กเ็ ปน ธรรมดาวาจะคดิ เพียงพิมพไ ปตามเดมิ แตเ มอื่ ไปตดิ ตอขอขอมลู คอมพิวเตอรข องฉบบั พมิ พค รง้ั ที่ ๙ ก็ไดรบั คําตอบวา ขอมลู ทง้ั หมดถกู ทาํ ลายหรือทง้ิ ไปแลว จากนน้ั คณุ ณฐั พร พรหมสทุ ธิ ไดรบั ขอ มลู คอมพวิ เตอรจ าก ร.พ. สหธรรมกิ ทพี่ ิมพขึ้นใหม และนํามาตรวจปรูฟดวยตน

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 6 เองที่บาน ตัง้ แตกลางเดอื นมถิ นุ ายน จนถงึ ปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๔ น้ี เมอื่ เสร็จแลว จึงไดน ํามามอบถวาย แกผเู รยี บเรยี ง เพือ่ ตรวจความเรียบรอ ยขน้ั สุดทา ยผเู รียบเรยี งดูฉบบั ปรูฟแลว เห็นวา หนงั สอื พุทธธรรม นี้ มหี ัว ขอ แยกยอยซอยหลายชัน้ ถาส่ังแกก นั ไปกนั มา ก็จะเสยี เวลามาก และยากทีจ่ ะไดผ ลดี ทางทด่ี ที ่ีสุดคอื ผเู รียบ เรียงควรจะไดขอมูลคอมพิวเตอรมา และกาํ หนดแบบตวั อักษรหัวขอ ยอ ยซอยลงไปในแตล ะระดบั เองตาม ประสงค แมวา ผเู รยี บเรียงจะพมิ พด ดี ไมเปน แตอาศยั ใชน ้ิวจ้ิมเอากค็ งสาํ เร็จได อยา งไรกด็ ี ขอมลู คอมพิวเตอรท ีม่ ีนน้ั เปนระบบ Apple Macintosh ซง่ึ ผเู รียบเรยี งเขา ไมถ งึ จึงติดขดั แตท างสาํ นักพมิ พธรรมสภา ไดชวยดําเนนิ การแปลงเปนขอมูลระบบ PC แลว พระครูปลดั ปฎกวัฒน (อนิ ศร จินฺ ตาปโฺ ) จดั ปรับขอ มลู และแตง แบบจนเขารูปทจ่ี ะพมิ พเ ปนเลมหนังสือ และสง มอบแกผ เู รียบเรียงเพื่อจัดปรับ เปลี่ยนแบบตวั อักษรตามความประสงคตอไปพอดเี ปน จังหวะที่พระครรชิต คณุ วโร นําแบบตวั อักษรใหมมา ถวายจํานวนมาก หนังสือ พทุ ธธรรม กําลงั มีปญ หาเรอ่ื งแบบตวั อกั ษรสาํ หรบั ตัวพ้นื กับขอ ความที่อางจากพระ ไตรปฎ กและคัมภีรตางๆ วา จะทําใหเหน็ ตา งกนั ชัดเจน และเหมาะสมไดอ ยา งไร เม่อื ไดแบบอักษรใหมช ดุ น้ีมา กช็ ว ยใหแ กป ญ หานส้ี าํ เร็จเรยี บรอยไปดว ยดี หนังสอื พทุ ธธรรม ฉบับเดมิ ที่พมิ พค รง้ั แรก ๒๐๖ หนา เม่อื พิมพข อ มลู คอมพิวเตอรระบบ Apple Macintosh เปน หนังสือขนาดเล็กลงมาได ๓๐๙ หนา แปลงมาเปน ขอมลู คอมพวิ เตอรร ะบบ PC คราวนี้ ครง้ั แรกประมาณ ๓๐๒ หนา เปล่ยี นแบบอักษรใหมแ ละปรบั ชองบรรทัดแลว เหลือทง้ั หมด ๒๘๔ หนา เบอ้ื งแรกตั้งใจไวเพียงวา จะปรบั แบบตัวอกั ษรของหัวขอ ยอ ยระดบั ตา งๆ ใหเ หมาะ และแบงซอยยอ หนา ใหอ าน งา ยข้นึ แตเ มื่อเร่ิมทาํ จรงิ งานกบ็ านปลาย จนกระทง่ั พทุ ธธรรม ฉบับเดมิ พิมพครงั้ ท่ี ๑๐ นี้ กลายเปน ฉบบั เดมิ ทป่ี รับปรงุ และเพมิ่ เตมิ เปนอนั มาก จนรูปโฉมเปลย่ี นแปลกจากเดิมไปไกลโดยสรปุ ความเปล่ียนแปลงท่เี กดิ ขึ้น แก พทุ ธธรรม ฉบบั เดมิ ในการพิมพครง้ั ท่ี ๑๐ ซง่ึ ทําใหห นงั สอื แปลกจากการพิมพค รงั้ กอน มดี ังนี้ ก) ตัง้ หวั ขอ ยอยแทรกเพ่ิมขึ้นอกี จํานวนมาก ข) แบงซอยยอ หนาใหอานสะดวกข้ึน แปลกไปจากเดมิ มาก ค) ปรบั แกสาํ นวนภาษาหลายแหงใหรื่นข้ึน และอธบิ ายแทรกเสรมิ ท่ัวๆ ไป ง) มสี วนเพมิ่ เติมตา งหากออกมา ทส่ี ําคัญ คอื ๑. เพิ่มบทวา ดวย “อายตนะ ๖” โดยคัดมาจาก พทุ ธธรรม ฉบบั ปรบั ปรงุ และขยายความ แตตัดใหส น้ั เขา นํามาประมาณ ๓ ใน ๕ รวม ๓๒ หนา (น.๒๖–๕๗) ๒๐๘) ๒. “บทเพ่มิ เตมิ : เรอื่ งเหตุปจ จัยในปฏิจจสมุปบาทและกรรม” ตอทายภาค ๑ รวม ๒๑ หนา (น.๑๘๘– ๓. “บทเพม่ิ เติม: ชีวิตทเี่ ปนอยูด ี ดว ยมีการศึกษาทั้ง ๓ ท่ีทาํ ใหพ ัฒนาครบ ๔ (มรรคมอี งค ๘ สกิ ขา ๓ ภาวนา ๔)” ตอทายภาค ๒รวม ๓๓ หนา (น.๓๔๒–๓๗๔)นอกจากสวนทเี่ พ่มิ เปนบทตา งหากแลว ยัง มสี วนท่เี ขียนอธิบายเพิ่มแทรกระหวางเนื้อความเดมิ อกี รวมประมาณ ๕ หนา

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 7 อีกเรื่องหน่งึ ทคี่ ิดวา จะเขียนเปน บทเพิม่ เติมดวย คือเรื่อง “ความสุข” แตไ ดตกลงระงับไวกอน เพราะ หนงั สือจะหนามาก เพราะบดั นไี้ ดขยายจาก ๒๘๔ เปน ๓๗๕ หนาแลว แตท่สี ําคัญกวานัน้ ก็คือ เวลาไดลว งเลยไปมากแลว จนผเู รียบเรียงไดเปนเหตใุ หห นังสือเสรจ็ ไมท นั มงคลวารคลายวันเกิด ของคณุ ประยรู พรหมสทุ ธิ ในวนั ท่ี ๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๔ นับถงึ ขณะเขยี นบนั ทกึ น้ี ผาน เลยมาเปนเวลาอีกคอนเดอื น จงึ ตกลงคงไวเทาน้ีกอน เมื่อเรื่องเปน มาอยา งนี้ ความต้งั ใจเดมิ ทจ่ี ะใหหยดุ เลกิ การพมิ พ พทุ ธธรรม ฉบบั เดิม เพราะไดเ ปน สว น ยอยท่รี วมอยใู น พทุ ธธรรม ฉบบั ปรับปรุงและขยายความแลว กต็ อ งเปลี่ยนไป (เคยคดิ จะทํา พุทธธรรม ฉบบั ยอ เล็กๆ ข้ึนใหมอกี เลม หนงึ่ โดยสรปุ จากฉบบั ปรับปรุงและขยายความ แตยงั ไมม เี วลาทํา) บัดน้ี ไดเห็นวา พุทธธรรม ฉบับเดมิ ทปี่ รับปรุงเพม่ิ เตมิ น้ี อาจเปนบพุ ภาค หรอื เปนตัวเลอื ก ซ่งึ ผูทีย่ ังไม มเี วลาหรือยังไมพรอมทีจ่ ะอาน พทุ ธธรรม ฉบบั ปรับปรุงและขยายความ สามารถใชศ ึกษาหลกั พระพทุ ธศาสนา ไปพลางกอน หรือขั้นหนึง่ กอ น จงึ นา จะใหม กี ารเผยแพรไดส ะดวกขน้ึ หรือใหสะดวกทส่ี ดุ นเ้ี ปนความเปล่ียน แปลง ซึง่ ทาํ ให พุทธธรรม ฉบบั เดมิ เรียกไดว า มีรปู โฉมใหม อนึง่ ใน พุทธธรรม ฉบับเดมิ นี้ มแี ผนผังและภาพประกอบคาํ อธบิ ายอยูบาง โดยเฉพาะในบทวา ดว ยป ฏจิ จสมปุ บาท แมจ ะไมม าก แตก็ตอ งเขยี นขึ้นใหม ซึ่งไดอ าศยั พระครรชิต คุณวโร และพระอภวิ ัฒน นาถวโร ชวยจัดทําใหส าํ เรจ็ ดว ยดี และพระครรชติ คณุ วโร ยงั ไดช วยอา นปรฟู ใหด ว ยตลอดเลม ชว ยใหแ กไขขอ มลู ท่ี พิมพพลาดหรอื พรองหลงตาไปใหเรียบรอย จนเชือ่ ไดว า ขอ ผดิ พลาดหากไมหมด ก็คงเหลือนอ ย ควรจะพอใจได ในการทาํ งานทีจ่ ะเสร็จลงไดน ี้ พระครูปลดั ปฎ กวัฒน (อนิ ศร จนิ ตฺ าปฺโ) ไดท ําหนา ทป่ี ระสานงาน และ ทาํ งานดา นคอมพวิ เตอรสวนเช่ือมตอ ในระหวาง อนั ลงทา ยทีส่ ารบัญ โรงพิมพส หธรรมกิ เปนผรู ิเรมิ่ พิมพขอ มลู คอมพิวเตอรจากหนังสอื เดมิ ไวใ หท้ังเลม และสํานักพิมพธ รรมสภาทรี่ บั งานพมิ พค ราวนี้ ไดชว ยดาํ เนนิ การแปลง ขอ มูลมาสูระบบ PC ชว ยเปน ฐานใหงานกา วมาไดจนเสรจ็ เปน เลมหนงั สือ ขออนโุ มทนาทุกทา น และขอทกุ ทานจงมีปติในธรรมท่วั กัน พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) ๗ กันยายน ๒๕๔๔ ค. อักษรยอ ชือ่ คมั ภรี  เรียงตามอกั ขรวธิ แี หง มคธภาษา

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 8 องฺ.อ. องฺคุตฺตรนิกาย อฏก ถา ขุ.อป. ขุทฺทกนิกาย อปทาน (มโนรถปูรณี) ข.ุ อติ .ิ ขทุ ทฺ กนิกาย อิตวิ ุตตฺ ก อง.ฺ อฏก. องคฺ ตุ ฺตรนกิ าย อฏกนปิ าต ข.ุ อ.ุ ขุททฺ กนกิ าย อุทาน อง.ฺ เอก. องคฺ ุตฺตรนิกาย เอกนิปาต ข.ุ ขุ. ขุทฺทกนกิ าย ขทุ ทฺ กปา องฺ.เอกาทสก. องคฺ ตุ ฺตรนกิ าย เอกาทสกนิปาต ขุ.จรยิ า. ขุททฺ กนกิ าย จริยาปฏก อง.ฺ จตุกกฺ . องฺคตุ ตฺ รนกิ าย จตกุ กฺ นปิ าต ขุ.จู. ขทุ ฺทกนกิ าย จฬู นทิ เฺ ทส องฺ.ฉกกฺ . องคฺ ุตตฺ รนิกาย ฉกกฺ นิปาต ข.ุ ชา. ขุททฺ กนิกาย ชาตก อง.ฺ ตกิ . องฺคุตฺตรนิกาย ติกนปิ าต ขุ.เถร. ขทุ ฺทกนกิ าย เถรคาถา อง.ฺ ทสก. องฺคุตฺตรนิกาย ทสกนปิ าต ข.ุ เถร.ี ขทุ ฺทกนิกาย เถรคี าถา องฺ.ทกุ . องฺคตุ ตฺ รนิกาย ทกุ นปิ าต ขุ.ธ. ขทุ ทฺ กนกิ าย ธมมฺ ปท องฺ.นวก.องฺคุตตฺ รนิกาย นวกนิปาต ข.ุ ปฏิ. ขุททฺ กนกิ าย ปฏสิ มฺภทิ ามคคฺ องฺ.ปฺจก. องฺคุตฺตรนกิ าย ปจฺ กนปิ าต ข.ุ เปต. ขทุ ทฺ กนกิ าย เปตวตฺถุ องฺ.สตตฺ ก. องคฺ ุตตฺ รนิกาย สตตฺ กนปิ าต ขุ.พุทธฺ . ขุททฺ กนกิ าย พทุ ฺธวสํ อป.อ. อปทาน อฏก ถา ข.ุ ม.,ข.ุ มหา. ขุทฺทกนิกาย มหานทิ ฺเทส (วิสุทธฺ ชนวิลาสนิ )ี ข.ุ วมิ าน. ขุททฺ กนกิ าย วิมานวตถฺ ุ อภิ.ก. อภธิ มมฺ ปฏก กถาวตถฺ ุ ข.ุ ส.ุ ขทุ ทฺ กนกิ าย สตุ ตฺ นปิ าต อภ.ิ ธา. อภิธมมฺ ปฏ ก ธาตกุ ถา ขทุ ฺทก.อ. ขุททฺ กปา อฏก ถา อภ.ิ ป. อภธิ มมฺ ปฏ ก ปฏา น (ปรมตถฺ โชติกา) อภิ.ปุ. อภธิ มมฺ ปฏ ก ปุคคฺ ลปฺฺตฺติ จริยา.อ.จริยาปฏ ก อฏก ถา อภิ.ยมก. อภิธมฺมปฏ ก ยมก (ปรมตฺถทปี นี) อภ.ิ วิ. อภธิ มฺมปฏก วิภงฺค ชา.อ. ชาตกฏก ถา อภิ.ส.ํ อภธิ มฺมปฏ ก ธมฺมสงฺคณี เถร.อ. เถรคาถา อฏก ถา อิติ.อ. อิตวิ ตุ ตฺ ก อฏกถา (ปรมตฺถทีปนี) (ปรมตถฺ ทีปนี) เถร.ี อ. เถรคี าถา อฏก ถา อ.ุ อ. อทุ าน อฏก ถา (ปรมตฺถทีปนี) (ปรมตฺถทปี นี) ท.ี อ. ทฆี นกิ าย อฏกถา วนิ ย.อ. วนิ ย อฏกถา (สุมงคฺ ลวิลาสิน)ี (สมนตฺ ปาสาทิกา) ที.ปา. ทีฆนิกาย ปาฏกิ วคคฺ วนิ ย.ฏกี า วนิ ยฏก ถา ฏกี า

พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 9 ท.ี ม. ทฆี นิกาย มหาวคคฺ (สารตฺถทปี นี) ท.ี ส.ี ทีฆนกิ าย สีลกขฺ นฺธวคคฺ วภิ งคฺ .อ. วิภงฺค อฏก ถา ธ.อ. ธมมฺ ปทฏก ถา (สมโฺ มหวิโนทน)ี นทิ ฺ.อ. นิทฺเทส อฏกถา วมิ าน.อ. วมิ านวตฺถุ อฏกถา (สทธฺ มฺมปชฺโชตกิ า) (ปรมตฺถทีปนี) ปจฺ .อ.ปจฺ ปกรณ อฏกถา วิสุทฺธิ. วสิ ทุ ธฺ ิมคฺค (ปรมตฺถทีปนี) วิสุทธฺ ิ.ฏีกา วสิ ทุ ฺธมิ คคฺ มหาฏกี า ปฏิสํ.อ. ปฏิสมภฺ ิทามคฺค อฏก ถา (ปรมตฺถมชฺ สุ า) (สทธฺ มฺมปกาสินี) สงคฺ ณี อ. ธมฺมสงฺคณี อฏก ถา เปต.อ. เปตวตฺถุ อฏกถา(อฏส าลนิ ี) (ปรมตถฺ ทีปนี) สงคฺ ห. อภธิ มฺมตฺถสงฺคห พุทธฺ .อ. พุทฺธวํส อฏกถา สงฺคห.ฏีกา อภิธมมฺ ตฺถสงฺคห ฏกี า (มธรุ ตฺถวิลาสนิ ี) (อภิธมฺมตถฺ วิภาวินี) ม.อ. มชฌฺ มิ นิกาย อฏก ถา สํ.อ. สยํ ตุ ฺตนิกาย อฏกถา (ปปฺจสทู นี) (สารตถฺ ปกาสิน)ี ม.อุ. มชฺฌมิ นกิ าย อุปริปณฺณาสก ส.ํ ข. สยํ ตุ ตฺ นิกาย ขนธฺ วารวคฺค ม.ม. มชฌฺ ิมนิกาย มชฺฌิมปณณฺ าสก สํ.น.ิ สยํ ุตตฺ นกิ าย นิทานวคฺค ม.มู. มชฺฌิมนิกาย มลู ปณฺณาสก ส.ํ ม. สํยุตตฺ นกิ าย มหาวารวคคฺ มงคฺ ล. มงฺคลตถฺ ทีปนี สํ.ส. สํยุตฺตนิกาย สคาถวคคฺ มลิ นิ ทฺ . มลิ นิ ฺทปหฺ า ส.ํ สฬ. สยํ ตุ ตฺ นิกาย สฬายตนวคคฺ วนิ ย. วินยปฏ ก สตุ ตฺ .อ. สุตตฺ นปิ าต อฏก ถา (ปรมตฺถโชตกิ า) ง. ---------------------- พุทธธรรม หรือ กฎธรรมชาติและคณุ คา สาํ หรับชีวติ _______________________________________________________________

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 10 ความนํา ส่ิงทคี่ วรเขาใจกอน พระพทุ ธศาสนานั้น เม่อื มองในทศั นะของคนสมยั ใหม มักเกิดปญหาขึน้ บอยๆ วา เปน ศาสนา (religion) หรือเปนปรัชญา (philosophy) หรอื วาเปน เพยี งวิธคี รองชีวิตแบบหนึง่ (a way of life) เม่อื ปญ หาเชนนเี้ กดิ ขน้ึ แลว ก็เปน เหตุใหตองถกเถียงหรอื แสดงเหตผุ ล ทาํ ใหเรื่องยืดยาวออกไป อีกทั้งมตใิ นเรื่องน้ีก็แตกตางไมล งเปน แบบเดยี วกัน ทาํ ใหเ ปนเรอื่ งฟนเฝอ ไมม ที สี่ น้ิ สุด ในทีน่ ้ี แมจะเขยี นเรื่องพทุ ธธรรมไวใ นหมวดปรชั ญาก็จะไมพิจารณาปญ หานเ้ี ลย มุงแสดงแตใ น ขอบเขตวา พุทธธรรมสอนวาอยางไร มเี น้อื หาอยา งไรเทาน้นั สว นที่วา พุทธธรรมจะเปน ปรชั ญาหรอื ไม ใหเปน เรือ่ งของปรชั ญาเองท่จี ะมีขอบเขตครอบคลุมหรือสามารถตคี วามใหค รอบคลมุ ถึงพทุ ธธรรมไดห รือไม โดยท่ีวา พทุ ธธรรม กค็ อื พทุ ธธรรม และยงั คงเปน พุทธธรรมอยูนัน่ เอง มขี อ จาํ กัดเพียงอยางเดียววา หลกั การหรือคาํ สอน ใดก็ตาม ที่เปนเพยี งการคิดคนหาเหตผุ ลในเรือ่ งความจรงิ เพ่อื สนองความตอ งการทางปญ ญา โดยมไิ ดมุงและ แสดงแนวทางสําหรับประพฤตปิ ฏบิ ตั ิในชวี ติ จรงิ อันนน้ั ใหถ ือวา ไมใชพระพุทธศาสนา เฉพาะอยา งทถี่ ือวา เปน คําสอนเดมิ แทข องพระพุทธเจา ซ่ึงในทนี่ ี้เรียกวาพุทธธรรม การประมวลคําสอนในพระพุทธศาสนามาวางเปน ขอ สรปุ ลงวา พทุ ธธรรมท่พี ระพทุ ธเจาทรงสอนและ ทรงมุงหมายแทจ รงิ เปน อยา งไรน้ัน เปนเรอ่ื งยาก แมจ ะยกขอ ความในคมั ภรี ซงึ่ ถอื กนั วาเปนพุทธพจนมาอาง เพราะคาํ สอนในคัมภรี ม ปี รมิ าณมากมาย มแี งด านระดับความลึกซ้ึงตา งๆ กนั และขน้ึ ตอการตีความของบคุ คล โดยใชสติปญ ญาและความสจุ รติ ใจหรือไมเพียงไรดวย ในบางกรณี ผูถอื ความเหน็ ตา งกันสองฝาย อาจยกขอ ความในคมั ภีรม าสนบั สนนุ ความคดิ เหน็ ของตนไดด ว ยกนั ทง้ั คู การวินิจฉยั ความจริงจงึ ขน้ึ ตอ ความแมน ยําใน การจับสาระสาํ คญั และความกลมกลนื สอดคลองแหงหลกั การและหลกั ฐานทแี่ สดงทัง้ หมดโดยหนว ยรวมเปน ขอสําคญั แมก ระนัน้ เรอื่ งทแี่ สดงและหลกั ฐานตางๆ กม็ กั ไมก วางขวางครอบคลมุ พอ จงึ หนีไมพ นจากอิทธิพล ความเหน็ และความเขาใจพื้นฐานตอพุทธธรรมของบุคคลผแู สดงนน้ั ในเรอ่ื งน้ี เห็นวายงั มอี งคป ระกอบอกี อยา งหนึง่ ที่ควรนํามาเปนเครื่องวินจิ ฉัยดว ย คือ ความเปน ไปใน พระชนมชีพ และพระปฏิปทาขององคสมเด็จพระบรมศาสดา ผูเ ปนแหลงหรอื ทม่ี าของคําสอนเอง บุคลิกและ สงิ่ ทีผ่ สู อนไดกระทาํ อาจชวยแสดงความประสงคท ่ีแทจริงของผูสอนไดด กี วาคาํ สอนเฉพาะแหงๆ ในคมั ภรี  หรอื อยางนอยก็เปน เครื่องประกอบความเขา ใจใหชดั เจนย่ิงข้ึน ถงึ หากจะมผี ูตงิ วา องคประกอบขอ น้ีก็ไดจากคัมภีร ตางๆ เชนเดียวกบั คาํ สอน และขนึ้ ตอการตคี วามไดเหมอื นกนั แมกระนั้น กย็ ังตอ งยอมรับอยูน่นั เองวา เปน เคร่อื งประกอบการพิจารณาที่มปี ระโยชนม าก จากหลักฐานตา งๆ ทางฝา ยคัมภีรแ ละประวัติศาสตร พอจะวาดภาพเหตุการณและสภาพสังคมคร้ัง พุทธกาลไดค รา วๆ ดังนี้ พระพุทธเจา เสด็จอบุ ตั ใิ นชมพทู วปี เมือ่ ประมาณ ๒,๖๐๐ ปลวงมาแลว ทรงประสตู ิใน วรรณะกษตั ริย พระนามเดมิ วา เจา ชายสทิ ธัตถะ เปน โอรสของพระเจาสุทโธทนะผคู รองแควนศากยะ ซึง่ ตัง้ อยู ทางดานตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของชมพทู วีป ติดเชิงเขาหิมาลัย ในฐานะโอรสกษตั ริยและเปนความหวงั ของราช

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 11 ตระกูล พระองคจ ึงไดรับการปรนเปรอดว ยโลกียสุขตา งๆ อยางเพียบพรอม และไดท รงเสวยความสุขอยูเ ชนน้ี เปนเวลานานถึง ๒๙ ป ทรงมที งั้ พระชายาและพระโอรส ครงั้ นัน้ ในทางการเมอื ง รัฐบางรฐั ท่ปี กครองแบบราชาธปิ ไตยกําลงั เรืองอํานาจข้นึ และกาํ ลังพยายาม ทาํ สงครามแผขยายอํานาจและอาณาเขตออกไป รฐั หลายรฐั โดยเฉพาะทป่ี กครองแบบสามัคคธี รรม (หรอื แบบสาธารณรฐั ) กาํ ลังเส่ือมอํานาจลงไปเรื่อยๆ บางรัฐกถ็ กู ปราบรวมเขา ในรฐั อน่ื แลว บางรัฐทย่ี งั เขมแข็งกอ็ ยู ในสภาพตงึ เครียด สงครามอาจเกิดข้ึนเมื่อใดกไ็ ด แมรฐั ใหญท เ่ี รอื งอาํ นาจ ก็มีการขัดแยง รบพุง กันบอยๆ ในทางเศรษฐกจิ การคา ขายกําลังขยายตวั กวางขวางขึ้น เกิดคนประเภทหนึ่งมอี ทิ ธิพลมากขึน้ ในสงั คม คือ พวกเศรษฐี ซึ่งมีสทิ ธิ มีเกียรติยศและอทิ ธิพลมากข้ึนแมในราชสาํ นัก ในทางสังคม คนแบงออกเปน ๔ วรรณะตามหลักคาํ สอนของศาสนาพราหมณ มสี ทิ ธิ เกยี รติ ฐานะทาง สังคม และอาชีพการงาน แตกตางกนั ไปตามวรรณะของตนๆ แมนกั ประวัตศิ าสตรฝ า ยฮินดจู ะวา การถอื วรรณะ ในยคุ นั้นยังไมเ ครง ครัดนกั แตอยางนอยคนวรรณะศูทร ก็ไมม สี ิทธทิ ่ีจะฟง หรือกลา วความในพระเวทอันเปน คมั ภีรศ ักดิส์ ทิ ธิ์ของพราหมณได ท้งั มกี ําหนดโทษไว (เทาทีท่ ราบจากมานวธรรมศาสตรตอมา ถึงกับใหผ า ราง กายเปน ๒ ซีก) และคนจณั ฑาลหรอื พวกนอกวรรณะกไ็ มม สี ทิ ธิไดรับการศกึ ษาเลย การกาํ หนดวรรณะกใ็ ชชาติ กาํ เนิดเปน เครอื่ งแบง แยก โดยเฉพาะพวกพราหมณพยายามยกตนขึน้ ถอื ตวั วาเปนวรรณะสูงสดุ สวนในทางศาสนา พวกพราหมณเ หลาน้นั ซง่ึ เปน ผรู กั ษาศาสนาพราหมณสืบตอ กันมา กไ็ ดพัฒนาคํา สอนในดานลทั ธพิ ิธกี รรมตา งๆ ใหลึกลบั ซบั ซอนใหญโ ตโออา ขึ้น พรอมกบั ท่ไี รเ หตผุ ลลงโดยลาํ ดับ การท่ที ําดังนี้ มใิ ชเ พียงเพอ่ื วัตถปุ ระสงคทางศาสนาเทา นน้ั แตม งุ สนองความตอ งการของผมู อี าํ นาจ ทจ่ี ะแสดงถึงเกยี รติยศ ความยง่ิ ใหญข องตนประการหนง่ึ และดว ยมุงหวงั ผลประโยชนต อบแทนที่จะพงึ ไดจ ากผูมอี ํานาจเหลา นน้ั อยา ง หน่ึง พิธกี รรมเหลา น้ีลว นชักจงู ใหค นเหน็ แกป ระโยชนส ว นตวั มากขึ้น เพราะหวงั ผลตอบแทนเปนทรัพยสมบัติ และกามสขุ ตางๆ พรอ มกนั น้ี ก็กอ ความเดอื ดรอ นแกค นชนั้ ตํ่า พวกทาสกรรมกรทตี่ องทาํ งานหนัก และการ ทารณุ ตอสตั วดวยการฆาบูชายญั คร้ังละเปน จํานวนมากๆ ในเวลาเดยี วกันนี้ พราหมณจํานวนหนงึ่ ไดค ิดวาพธิ ีกรรมตางๆ ไมส ามารถทําใหต นประสบชีวิตนิรนั ดร ได จงึ ไดเ ร่ิมคดิ เอาจรงิ เอาจังกบั ปญหาเรอ่ื งชวี ิตนิรนั ดร และหนทางทจี่ ะนําไปสสู ภาวะเชนนัน้ ถึงกับยอมปลีก ตัวออกจากสังคมไปคดิ คน แสวงคําตอบอาศยั ความวเิ วกอยูในปา และคาํ สอนของศาสนาพราหมณในยุคน้ี ซึ่ง เรียกวา ยุคอปุ นษิ ัท ก็มีความขดั แยงกันเองมาก บางสวนอธิบายเพ่ิมเตมิ เร่อื งพธิ ีกรรมตางๆ บางสว นกลับ ประณามพธิ กี รรมเหลา น้นั และในเรือ่ งชีวิตนิรนั ดรกม็ ีความเหน็ ตา งๆ กนั มีคาํ สอนเรอ่ื งอาตมนั แบบตางๆ ที่ขดั กนั จนถงึ ขั้นสดุ ทายทีว่ า อาตมนั คือพรหมัน เปน ท่มี าและแทรกซึมอยูในทกุ สงิ่ ทกุ อยา ง มภี าวะท่ีอธิบายไมไ ด อยางทเ่ี รยี กวา “เนติ เนต”ิ (ไมใชน ่ัน ไมใชน น่ั ) เปน จุดหมายสูงสุดของการบาํ เพญ็ เพยี รทางศาสนา และ พยายามแสดงความหมายโตต อบปญ หาเกี่ยวกบั เร่ืองสภาพของภาวะเชนนี้ พรอมกบั ทหี่ วงแหนความรูเหลานี้ ไวใ นหมพู วกตน

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 12 พรอ มกันนน้ั นกั บวชอีกพวกหนง่ึ ซึ่งเบอื่ หนา ยตอ ความไรส าระแหงชีวติ ในโลกน้ี กไ็ ดไ ปบาํ เพญ็ เพียร แบบตา งๆ ตามวธิ ีการของพวกตนๆ ดวยหวังวาจะไดพบชีวิตอมตะหรือผลสําเรจ็ อันวเิ ศษอัศจรรยตางๆ ทต่ี น หวัง บา งก็บําเพ็ญตบะ ทรมานตนดวยประการตา งๆ ตง้ั ตน แตอ ดอาหารไปจนถึงการทรมานรางกายแบบ แปลกๆ ท่ีคนธรรมดาคิดไมถึงวาจะเปน ไปได บางกบ็ ําเพญ็ สมาธจิ นถึงกลาววาทําปาฏิหาริยไดตางๆ บางก็ สามารถบําเพ็ญฌานจนไดถึงรปู สมาบตั ิ อรูปสมาบตั ิ อกี ดานหน่ึง นกั บวชประเภทที่เรียกวาสมณะอีกหลายหมูหลายพวก ซึง่ ไดส ละเหยาเรอื นออกบวชแสวง หาจดุ หมายชีวติ เชนเดยี วกัน ก็ไดเ รรอ นทองเท่ยี วไปในบา นเมืองตางๆ ถกเถียงถามปญ หากันบา ง ต้ังตนเปน ศาสดาแสดงทศั นะของตนตางๆ กนั หลายแบบหลายอยา ง จนปรากฏวา เกิดมีลทั ธิตางๆ ข้ึนเปน อันมาก เฉพาะท่เี ดนๆ ซึง่ ปรากฏในคมั ภรี พุทธศาสนา ถงึ ๖ ลัทธิ สภาพเชนนี้ จะสรปุ สนั้ ๆ คงไดความวา ยคุ นนั้ คนพวกหนึ่งกาํ ลังรุง เรืองข้นึ ดวยอาํ นาจ ราํ่ รวยดวย ทรพั ยสมบตั ิ และเพลิดเพลนิ มวั เมาอยกู ับการแสวงหาความสุขทางวตั ถุ พรอ มกับทค่ี นหลายพวกกม็ ฐี านะและ ความเปนอยดู อ ยลงๆ ไป ไมคอ ยไดรบั ความเหลยี วแล สวนคนอกี พวกหนึ่ง ก็ปลีกตวั ออกไปเสยี จากสังคมที เดียว ไปมงุ ม่นั คนหาความจริงในทางปรัชญา โดยมไิ ดใสใจสภาพสังคมเชนเดยี วกัน เจาชายสทิ ธตั ถะ ทรงไดรับการบาํ รุงบาํ เรอดวยโลกียสุขอยเู ปน เวลานานถงึ ๒๙ ป และมิใชเ พียงปรน ปรือเอาใจเทานัน้ ยังไดทรงถูกปดกน้ั ไมใ หพบเห็นสภาพความเปนอยูท่รี ะคนดว ยความทกุ ขของสามญั ชนทง้ั หลายดวย แตสภาพเชน นไี้ มสามารถถูกปดบังจากพระองคไดเ รอ่ื ยไป ปญ หาเร่อื งความทุกขความเดือดรอ น ตา งๆ ของมนุษย อันรวมเดนอยูทีค่ วามแก เจบ็ และตาย เปนสิ่งทที่ ําใหพระองคต อ งครุนคิดแกไข ปญ หาน้ี คดิ สะทอนออกไปในวงกวา งใหเหน็ สภาพสังคม ท่ีคนพวกหนึ่งไดเปรยี บกวา ก็แสวงหาแต โอกาสที่จะหาความสมบรู ณพ ูนสขุ ใสต นแขง ขันแยงชิงเบยี ดเบียนกัน หมกมุน มวั เมาอยใู นความสุขเหลา น้นั ไม ตอ งคดิ ถึงความทุกขย ากเดอื ดรอนของใครๆ ดาํ รงชวี ิตอยอู ยางทาสของวัตถยุ ามสุขก็ละเมอมัวเมาอยใู นความ คับแคบของจติ ใจ ถงึ คราวถกู ความทกุ ขเขาครอบงาํ ก็ลุมหลงไรสตเิ หยี่ วแหง คับแคนเกินสมควร แลวกแ็ กเจบ็ ตายไปอยางไรส าระ ฝายคนท่ีเสยี เปรียบ ไมมโี อกาส ถูกบบี คั้นกดขอี่ ยอู ยา งคับแคน แลวก็แกเจบ็ ตายไปโดยไร ความหมาย เจา ชายสิทธัตถะทรงมองเหน็ สภาพเชน นีแ้ ลว ทรงเบอ่ื หนา ยในสภาพความเปนอยูของพระองค มอง เห็นความสขุ ความปรนเปรอเหลา น้นั เปนของไรส าระ ทรงคิดหาทางแกไขจะใหมคี วามสขุ ท่มี ่นั คง เปนแกนสาร ทรงคิดแกป ญ หาน้ีไมต ก และสภาพความเปน อยูของพระองคทามกลางความเยา ยวนสับสนวุน วายเชน นน้ั ไม อํานวยแกการใชค วามคิดท่ไี ดผ ล ในทสี่ ดุ ทรงมองเหน็ ภาพพวกสมณะ ซง่ึ เปน ผไู ดป ลกี ตัวจากสงั คมไปคนควา หาความจริงตางๆ โดยมี ความเปนอยงู า ยๆ ปราศจากกงั วล และสะดวกในการแสวงหาความรแู ละคิดหาเหตุผล สภาพความเปน อยแู บบ

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 13 นนี้ าจะชว ยพระองคใหแกป ญ หาน้ีได และบางทสี มณะพวกนนั้ ท่ีไปคิดคนหาความจรงิ กนั ตา งๆ บางคนอาจมี อะไรบางอยา งที่พระองคจะเรยี นรูไดบ า ง เมอ่ื ถึงข้ันน้ี เจา ชายสทิ ธัตถะจึงเสดจ็ ออกบรรพชาอยา งพวกสมณะทม่ี อี ยูแลว ในสมยั นนั้ พระองคไ ด เสดจ็ จารกิ ไปศกึ ษาหาความรเู ทาทพ่ี วกนกั บวชสมยั นัน้ จะรแู ละปฏิบัตกิ ัน ทรงศึกษาทงั้ วิธกี ารแบบโยคะ ทรง บําเพ็ญสมาธจิ นไดฌ านสมาบัติ ถึงอรูปสมาบตั ิชัน้ สูงสดุ ทรงแสดงอทิ ธปิ าฏิหารยิ ไ ดอยา งเชีย่ วชาญยง่ิ และ ทรงบําเพญ็ ตบะทรมานพระองคจ นแทบสนิ้ พระชนม ในท่ีสดุ กท็ รงตดั สินไดวา วิธีการของพวกนกั บวชเหลา น้ีทัง้ หมด ไมส ามารถแกปญหาดงั ท่ีพระองคทรง ประสงคได เมื่อเทยี บกับชวี ิตของพระองคกอนเสดจ็ ออกบรรพชาแลว ก็นบั วาเปน การดาํ รงชีวิตอยา งเอยี งสดุ ทง้ั สองฝา ย จึงทรงหนั มาดาํ เนินการคดิ คน ของพระองคเ องตอ มา จนในทสี่ ดุ ไดตรสั รู ธรรมท่ีพระองคท รงคนพบนี้ ตอ มาเมอ่ื ทรงนําไปแสดงใหผ อู ืน่ ฟง ทรงเรยี กวา “มชั เฌนธรรมเทศนา” หรือ หลกั ธรรมสายกลาง และทรง เรยี กขอ ปฏบิ ัติอันเปน ระบบทพ่ี ระองคท รงจดั วางขึ้นวา “มัชฌิมาปฏปิ ทา” หรอื ทางสายกลาง จากความทอนนี้ จะมองเห็นทศั นะตามแนวพทุ ธธรรมวา การดาํ รงชวี ิตอยใู นสงั คมอยา งลมุ หลงหมก มนุ ปลอยตัวไปเปนทาสตามกระแสกิเลส ก็ดี การหลกี หนอี อกไปโดยสิ้นเชงิ ไมเก่ยี วของรบั ผดิ ชอบอยา งใดตอ สงั คม อยอู ยางทรมานตนก็ดี นบั วาเปน ขอ ปฏบิ ัติที่ผิดเอียงสดุ ดว ยกนั ท้งั สองอยา งไมสามารถใหมนษุ ยดํารง ชีวติ อยา งมีความหมายแทจ ริงได เม่ือตรัสรูแ ลวเชน นี้ พระองคจงึ เสดจ็ กลบั คนื มาทรงเร่ิมตน งานสง่ั สอนพุทธธรรมเพอื่ ประโยชนแกส ังคม ของชาวโลกอยางหนกั แนนจริงจังและทรงดําเนนิ งานน้ีจนตลอด ๔๕ ป แหง พระชนมชพี ระยะหลงั แมไ มพจิ ารณาเหตผุ ลดานอื่น มองเฉพาะในแงสังคมอยางเดยี ว กจ็ ะเห็นวา พุทธกจิ ท่พี ระพุทธเจา ทรง บาํ เพ็ญเพือ่ ประโยชนส ุขแกสังคมสมัยนนั้ จะสําเร็จผลดที ีส่ ุดกด็ ว ยการทาํ งานในบรรพชติ เพศเทา นน้ั พระองคจ งึ ไดท รงชักจงู คนช้ันสงู จาํ นวนมากใหละความม่ังมศี รสี ขุ ออกบวช ศกึ ษา และเขาถงึ ธรรมทีท่ รงสอนแลว รวม ทาํ งานอยา งเสียสละอุทศิ ตนเพ่อื ประโยชนสุขของประชาชน ดวยการจาริกไปเขาถงึ คนทกุ ชนั้ วรรณะ และทกุ ถนิ่ ทจี่ ะไปถงึ ได ทาํ ใหบ าํ เพ็ญประโยชนไ ดอ ยางกวา งขวาง อีกประการหนง่ึ คณะสงฆเ องก็เปนแหลง แกปญ หาสังคมไดอ ยา งสําคัญ เชนในขอวา ทกุ คน ไมวาจะ เกดิ ในวรรณะใด เมอ่ื บวชแลวกม็ ีสิทธเิ สมอกนั ทง้ั สิ้น สว นเศรษฐี คฤหบดี ผยู งั ไมพรอ มทีจ่ ะเสียสละไดเ ตม็ ที่ ก็ ใหค งครองเรือนอยเู ปน อบุ าสก คอยชว ยใหก ําลงั แกค ณะสงฆใ นการบาํ เพ็ญกรณยี กจิ ของทา น และนําทรพั ย สมบัตขิ องตนออกบําเพญ็ ประโยชนส งเคราะหประชาชนไปดว ยพรอ มกนั การบาํ เพญ็ กรณยี กิจ ทั้งของพระพทุ ธเจา และของพระสาวก มีวัตถุประสงคและขอบเขตกวา งขวาง เพียงใด จะเห็นไดจากพทุ ธพจน แตครง้ั แรกท่ีทรงสงสาวกออกประกาศพระศาสนาวา ภิกษทุ ง้ั หลาย เธอท้งั หลายจงจาริกไป เพือ่ ประโยชนและความสขุ ของชนเปนอนั มาก เพ่ืออนุเคราะห ชาวโลก เพ่ือประโยชนเกือ้ กลู และความสุขแกทวยเทพและมนุษยทั้งหลาย

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 14 พทุ ธธรรมนัน้ มขี อบเขตในทางสงั คมที่จะใหใชไดและเปนประโยชนแกบ คุ คลประเภทใดบาง พงึ เหน็ ได จากพทุ ธพจนใ นปาสาทกิ สตู ร ซ่งึ สรุปความไดว า พรหมจรรย (คือพระศาสนา) จะชื่อวา สําเรจ็ ผลแพรห ลายกวางขวางเปน ประโยชนแ กชนเปน อันมาก เปนปก แผน ถงึ ข้ันทีว่ า เทวดาและมนษุ ยป ระกาศไวดแี ลว ตอ เมือ่ มอี งคประกอบตอ ไปนีค้ รบถวน คอื ๑. องคพ ระศาสดา เปนเถระ รัตตญั ู ลวงกาลผา นวัยมาโดยลําดบั ๒. มภี ิกษุสาวก ทีเ่ ปนเถระ มคี วามรเู ชยี่ วชาญ ไดร บั การฝกฝนอบรม อยา งดี แกลว กลา อาจหาญ บรรลธุ รรมอนั เกษมจากโยคะ สามารถแสดงธรรมใหเหน็ ผลจรงิ จงั กาํ ราบปรัปวาท (ลัทธทิ ่ีขดั แยง วาทะฝา ยอื่น หรอื คําสอนนอกรีตผดิ เพ้ียน) ทเ่ี กดิ ขึ้น ให สําเรจ็ เรยี บรอ ยโดยถกู ตอ งตามหลกั ธรรม และมภี ิกษสุ าวกช้นั ปูนกลาง และชั้นนวกะ ทม่ี คี วามสามารถเชนเดียวกันนั้น ๓. มีภกิ ษุณสี าวิกา ช้ันเถรี ชั้นปนู กลาง และชัน้ นวกะ ท่ีมคี วาม สามารถเชนเดยี วกนั นั้น ๔. มีอุบาสก ท้งั ประเภทพรหมจารี และประเภทครองเรือนเสวย กามสขุ ซ่งึ มีความสามารถเชน เดยี วกนั น้นั ๕. มอี บุ าสิกา ทั้งประเภทพรหมจารนิ ี และประเภทครองเรือนเสวย กามสขุ ซง่ึ มคี วามสามารถเชนเดียวกันนน้ั เพยี งแตขาดอบุ าสิกาประเภทครองเรือนเสียอยางเดียว พรหมจรรย กย็ งั ไมช อ่ื วาเจริญบริบรู ณเ ปนปก แผน ดี ความตอนน้แี สดงวา พุทธธรรมเปน คาํ สอนท่ีมุงสําหรบั คนทุกประเภท ทัง้ บรรพชิต และคฤหสั ถ คอื ครอบคลุมสังคมท้งั หมด และลักษณะท่ัวไปของพทุ ธธรรมนนั้ สรุปได ๒ อยา ง คอื ๑. แสดงหลกั ความจริงสายกลาง ทเี่ รยี กวา “มัชเฌนธรรม” หรือ เรียกเต็มวา “มชั เฌนธรรมเทศนา” วา ดวยความจรงิ ตามแนว ของเหตุผลบรสิ ทุ ธ์ิตามกระบวนการของธรรมชาติ นํามาแสดง เพ่ือประโยชนทางปฏิบัตใิ นชวี ติ จริงเทา นน้ั ไมสงเสรมิ ความ พยายาม ที่จะเขา ถึงสัจธรรมดว ยวธิ ถี กเถยี งสรางทฤษฎตี า งๆ ขนึ้ แลว ยึดมน่ั ปกปอ งทฤษฎนี นั้ ๆ ดวยการเก็งความจริงทาง ปรัชญา ๒. แสดงขอปฏบิ ตั สิ ายกลาง ท่เี รยี กวา “มชั ฌมิ าปฏิปทา” อนั เปน หลักการครองชวี ิตของผฝู กอบรมตน ผรู เู ทาทนั ชวี ติ ไมหลงงม

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 15 งาย มุงผลสําเร็จคือความสุข สะอาด สวา ง สงบ เปนอิสระ ท่ี สามารถมองเหน็ ไดต้ังแตใ นชีวติ น้ี ในทางปฏิบัติ ความเปน สาย กลางน้ี เปนไปโดยสัมพนั ธกบั องคประกอบอืน่ ๆ เชน สภาพชีวิต ของบรรพชิต หรอื คฤหัสถ เปนตน การส่งั สอนธรรมของพระพุทธเจา ทรงมุง ผลในทางปฏิบตั ิ ใหท ุกคนจัดการกับชีวติ ทเี่ ปน อยจู รงิ ๆ ในโลก น้ี และเรม่ิ แตบ ัดน้ี ความรใู นหลกั ท่เี รยี กวา มัชเฌนธรรมเทศนา ก็ดี การประพฤตติ ามมรรคาทีเ่ รยี กวา มชั ฌมิ าปฏิปทา กด็ ี เปนสง่ิ ท่ที ุกคน ไมวาจะอยใู นสภาพและระดบั ชีวิตอยา งใด สามารถเขา ใจและนาํ มาใชใ ห เปน ประโยชนไ ดต ามสมควรแกสภาพและระดับชีวิตนน้ั ๆ ถา ความหว งใยในเรอ่ื งชวี ิตหลังจากโลกนม้ี อี ยู กจ็ งทาํ ชวี ิตแบบท่ตี อ งการน้นั ใหเกดิ มีเปน จรงิ เปน จงั แนนอนขึน้ มาเสียในชวี ติ นี้ทเี ดียว จนม่ันใจในตนเองโดยไมตอ ง กงั วลหว งใยในโลกหนา นน้ั เลย ทกุ คนมสี ิทธเิ ทาเทียมกันโดยธรรมชาติ ท่ีจะเขาถึงผลสําเรจ็ เหลา น้ี แมวา ความสามารถจะตางกัน ทุก คนจึงควรไดรับโอกาสเทาเทียมกนั ทีจ่ ะสรางผลสําเร็จนัน้ ตามความสามารถของตน และความสามารถนนั้ ก็ เปนสิ่งท่ีปรับเปลี่ยนเพม่ิ พูนได จึงควรใหท กุ คนมโี อกาสทจี่ ะพฒั นาความสามารถของตนอยางดีทสี่ ดุ และแมว า ผลสําเรจ็ ท่แี ทจริง ทุกคนจะตอ งทําดวยตัวเอง โดยตระหนักในความรบั ผดิ ชอบของตน ทจ่ี ะตองขวนขวาย พากเพียรอยางเต็มท่ี แตท กุ คนกเ็ ปนอปุ กรณในการชว ยตนเองของคนอน่ื ได ดังน้นั หลักอปั ปมาทธรรม และหลกั ความมีกลั ยาณมติ ร จึงเปนหลกั ธรรมทเ่ี ดน และเปน ขอ ท่เี นนหนักทัง้ สองอยา ง ในฐานะความรับผดิ ชอบตอ ตน เองฝายหน่ึง กับปจจยั ภายนอกทีจ่ ะชวยเสริมอีกฝายหนึ่ง หากยกเอาผลงานและพระจรยิ าของพระพทุ ธเจาข้นึ มาเปน หลักพิจารณา จะมองเห็นแนวทางการ บาํ เพญ็ พทุ ธกิจที่สําคัญหลายอยาง เชน ทรงพยายามลมลางความเชื่อถืองมงายในเรื่องพธิ ีกรรมอนั เหลวไหล ตา งๆ โดยเฉพาะการบูชายญั ดว ยการสอนยา้ํ ถงึ ผลเสียหายและความไรผลของพธิ ีกรรมเหลา นน้ั ท้ังนเ้ี พราะ ยัญพธิ ีเหลา นัน้ ทําใหค นมวั แตคิดหวังพึง่ เหตปุ จจยั ภายนอก อยา งหนงึ่ ทําใหคนกระหายทะยานและคดิ หมกห มนุ ในผลประโยชนท างวัตถเุ พิ่มพูนความเหน็ แกต น ไมคํานึงถึงความทกุ ขย ากเดือดรอนของเพ่ือนมนษุ ยแ ละ สัตว อยา งหนึ่ง ทาํ ใหคนคิดหวงั แตเร่ืองอนาคต จนไมค ิดปรบั ปรุงปจจบุ นั อยา งหนึ่ง แลว ทรงสอนย้ําหลักแหง “ทาน” คือการใหเสยี สละแบง ปนและสงเคราะหกนั ในสงั คม สงิ่ ตอไปท่ที รงพยายามสอนหักลาง คอื ระบบความเช่อื ถอื เร่อื งวรรณะ ที่นําเอาชาตกิ าํ เนิดมาเปน ขดี ขนั้ จํากดั สิทธิและโอกาสทงั้ ในทางสังคมและทางจิตใจของมนุษย ทรงตง้ั “สังฆะ” คอื ชุมชนแหง สงฆ ที่เปดรบั คน จากทกุ วรรณะใหเ ขาสูค วามเสมอภาคกนั เหมอื นทะเลทีร่ ับนาํ้ จากแมน้าํ ทุกสายกลมกลนื เขาเปนอนั เดยี วกัน ทาํ ใหเ กิดสถาบนั วัด ซง่ึ ตอ มาไดกลายเปน ศูนยกลางเผยแพรว ฒั นธรรมและการศึกษาทสี่ าํ คญั ยงิ่ จนศาสนา ฮินดตู อ งนาํ ไปจัดตง้ั ขึน้ บางในศาสนาของตน เมือ่ หลังพทุ ธกาลแลว ราว ๑,๔๐๐ หรอื ๑,๗๐๐ ป

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 16 ทรงใหสิทธแิ กสตรีทจ่ี ะไดรับประโยชนจ ากพุทธธรรม เขาถึงจดุ หมายสงู สุดทพ่ี ทุ ธธรรมจะใหเขาถงึ ได เชน เดียวกับบรุ ุษ แมวา การใหสทิ ธนิ ้ี จะตองทรงกระทําดวยความระมัดระวังอยางยิ่ง ท่จี ะเตรยี มการวางรปู ให สภาพการไดสทิ ธขิ องสตรีน้ดี ํารงอยดู วยดใี นสภาพสงั คมสมยั น้นั เพราะสิทธขิ องสตรใี นการศกึ ษาอบรมทางจติ ใจ ไดถกู ศาสนาพระเวทคอยๆ จํากัดแคบลงมาจนปด ตายแลวในสมัยนน้ั ประการตอไป ทรงส่ังสอนพุทธธรรมดวยภาษาสามญั ที่ประชาชนใชเพ่ือใหคนทกุ ชัน้ ทกุ ระดับการ ศึกษา ไดร ับประโยชนจากธรรมนีท้ ว่ั ถงึ ตรงขา มกับศาสนาพราหมณทยี่ ดึ ความศกั ด์สิ ทิ ธขิ์ องคมั ภรี พ ระเวท และ จาํ กัดความรชู ้นั สงู ไวในวงแคบของพวกตนดวยวิธกี ารตา งๆ โดยเฉพาะดวยการใชภาษาเดิมของสนั สกฤต ซ่ึงรู จาํ กดั ในหมพู วกตน เปนสอื่ ถา ยทอดและรกั ษาคัมภีร แมตอมาจะมผี ูขออนุญาตพระพทุ ธเจาใหยกพทุ ธพจนข้ึน สูภาษาพระเวท พระองคก ็ไมท รงอนญุ าต ทรงยนื ยันใหใชภ าษาของประชาชนตามเดิม ประการตอ ไป ทรงปฏเิ สธโดยสิ้นเชงิ ทจี่ ะทาํ เวลาใหสูญเสียไปกับการถกเถียงปญหาทเ่ี กย่ี วกับการเกง็ ความจรงิ ทางปรัชญา ซึ่งไมอาจนาํ มาพสิ จู นใหเ หน็ ไดดว ยวธิ ีแสดงเหตผุ ลทางคําพดู ถาใครถามปญ หาเชนน้ี พระองคจ ะทรงยับยง้ั เสีย แลวดึงผูน ้ันกลับมาสปู ญหาเกย่ี วกบั เรื่องท่เี ขาจะตอ งเกี่ยวขอ งและปฏบิ ัติไดในชีวิต จริงโดยทนั ที สิง่ ทจี่ ะพงึ รไู ดดว ยคาํ พูด ทรงแนะนาํ ดว ยคําพูด สิง่ ท่จี ะพึงรดู วยการเห็น ทรงใหเขาดู มใิ ชใ หดสู ง่ิ ท่ี จะตองเหน็ ดว ยคําพดู ทั้งนี้ ทรงสอนพุทธธรรมโดยปริยายตา งๆ เปน อนั มาก มคี ําสอนหลายระดบั ท้ังสาํ หรบั ผคู รองเรือน ผู ดํารงชีวิตอยูใ นสงั คม และผสู ละเรือนแลว ทั้งคําสอนเพือ่ ประโยชนทางวัตถุ และเพื่อประโยชนล กึ ซ้งึ ทางจิตใจ เพ่ือใหทกุ คนไดร ับประโยชนจ ากพทุ ธธรรมทว่ั ถึงกนั พทุ ธกิจทก่ี ลาวมาน้ี เปน เคร่อื งยืนยันขอสรุปความเขา ใจ เกย่ี วกับพุทธธรรมท่พี ูดมาแลวขางตน การทไ่ี ดประสตู แิ ละทรงเติบโตมาทา มกลางวัฒนธรรมแบบพราหมณ และความเช่ือถือตามลทั ธิตางๆ ของพวกสมณะสมยั นนั้ ทาํ ใหพระองคต องทรงเกย่ี วขอ งและคุน กับถอ ยคาํ ตามที่มีใชก นั ในลัทธคิ วามเช่อื ถอื เหลา นัน้ จึงเปนธรรมดาทจ่ี ะตองทรงใชถ อ ยคําเหลานนั้ ในการสอ่ื สารทว่ั ไป แตเมอ่ื ทรงมีคําสอนใหมใ หแ กส งั คม ปญหากเ็ กดิ ขึ้นวาจะทรงปฏิบตั ติ อ ถอยคําเหลา นั้นอยางไร ปรากฏวา พระองคทรงมีวิธปี ฏิบัติตอถอยคาํ ทางศาสนาเหลา น้ี เปน ทนี่ าสังเกตอยางหนง่ึ คอื ไมท รง นยิ มหักลางความเชื่อถือเดมิ ในรูปถอยคําทีใ่ ช ถาถอ ยคํานน้ั ๆ มคี วามหมายของศพั ทในทางทดี่ ีงาม ทรงหักลา ง เฉพาะตวั ความเชือ่ ถือผดิ ที่แฝงอยกู บั ความหมายของถอยคําเหลา นนั้ กลา วคือ ไมท รงขัดแยงดว ยวิธีรุนแรง แต ทรงนําคนเขาสูปญญาดวยเมตตากรณุ า ใหเขาเกิดความรูเ ขาใจอยา งใหม มองเห็นความจรงิ จากถอ ยคําทีเ่ ขา เคยเขา ใจอยางอ่นื โดยนัยนี้ พระองคจึงทรงนําคาํ บญั ญตั ิทีใ่ ชก นั อยูใ นศาสนาเดมิ มาใชในความหมายใหมต ามแนวของ พทุ ธธรรมโดยเฉพาะบาง ทรงสรางคณุ คา ใหมใ หแกถ อยคําทใี่ ชอยูเ ดิมบาง เชน ใช “พรหม” เปน ช่ือของสัตวโลก

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 17 ท่ีเกิดตายประเภทหน่ึงบา ง หมายถึงบดิ ามารดาบาง ทรงเปลยี่ นความเช่ือถือเร่ืองกราบไหวทศิ ๖ ในธรรมชาติ มาเปนการปฏบิ ัติหนาที่และรักษาความสมั พันธร ปู ตางๆ ในสงั คม เปลีย่ นความหมายของการบชู าไฟศักดิส์ ิทธ์ิ สําหรับยญั พธิ ี ๓ อยา งของพราหมณม าเปน ความรบั ผิดชอบทางสังคมตอบุคคล ๓ ประเภท เปล่ยี นการตดั สนิ ความเปน พราหมณแ ละอารยะโดยชาตกิ ําเนดิ มาเปนตัดสนิ ดวยการประพฤติปฏิบตั ิ บางครง้ั ทรงสอนใหดงึ ความหมายบางสวนในคําสอนของศาสนาเดมิ มาใชแ ตในทางท่ีดงี ามและเปน ประโยชน คาํ สอนใดในศาสนาเดมิ ถูกตอ งดีงาม ก็ทรงรบั รอง โดยถอื ความถูกตองดงี ามเปน ของสากลโดยธรรม ชาติ ในกรณีที่หลกั ความประพฤตปิ ฏิบตั ิในศาสนาเดิมมีความหมายหลายอยา ง ทรงช้แี จงวาแงใ ดถกู แงใ ดผิด ทรงยอมรบั และใหป ระพฤตปิ ฏิบตั ิแตใ นแงท ด่ี ีงามถกู ตอง บางคร้งั ทรงสอนวา ความประพฤตปิ ฏบิ ัตทิ ่ผี ดิ พลาดเสียหายบางอยางของศาสนาเดิมสมัยนั้น เปน ความเสอ่ื มโทรมทเ่ี กิดข้ึนในศาสนาน้ันเอง ซึง่ ในครั้งดั้งเดิมทเี ดียว คาํ สอนของศาสนาน้นั กด็ งี ามถูกตอง และ ทรงสอนใหร วู า คําสอนเดมิ ทด่ี ีของศาสนานัน้ เปน อยางไร ตวั อยา งในขอ น้ี มีเรื่อง ตบะ การบชู ายัญ หลกั การ สงเคราะหป ระชาชนของนกั ปกครอง และเรือ่ ง พราหมณธรรม เปน ตน ขอความที่กลา วมานี้ นอกจากจะแสดงใหเห็นความใจกวา งของพทุ ธธรรม และการที่พระพุทธเจาทรง ตัง้ พระทัยสอนแตความจรงิ และความดีงามถูกตอ งที่เปนกลางๆ แลว ยงั เปนเรื่องสาํ หรบั เตอื นใหรจู กั แยกความ หมายของคาํ บญั ญัตทิ างศาสนาทใี่ ชใ นพุทธธรรม กับทใี่ ชใ นศาสนาอน่ื ๆ ดวย อนง่ึ เมื่อสิน้ ยคุ ขององคพระศาสดาแลว เวลาลว งไป และคําสอนแผไ ปในถิ่นตางๆ ความเขาใจในพุทธ ธรรมกแ็ ปรไปจากเดิมและแตกตา งกันไปหลายอยาง เพราะผูถา ยทอดสบื ตอมพี ้ืนความรูก ารศกึ ษาอบรมสติ ปญญาแตกตางกนั ตีความหมายพทุ ธธรรมแผกกันไปบา ง นาํ เอาความรคู วามเชอ่ื ถอื เดมิ จากลทั ธศิ าสนาอ่ืน เขา มาผสมแทรกแซงบาง อิทธพิ ลศาสนาและวฒั นธรรมในทองถ่นิ เขา ผสมผสานบาง คําสอนบางแงเ ดน ขน้ึ บาง แงเลอื นลางลง เพราะการย้าํ และเลี่ยงความสนใจตามความโนม เอียงและความถนดั ของผรู ักษาคําสอนบา ง ทาํ ใหเ กิดการแตกแยกออกเปนนิกายตา งๆ เชน ทีแ่ ยกเปน เถรวาท กบั มหายาน ตลอดจนนกิ ายยอ ยๆ ในสองนิกาย ใหญน้นั พระพุทธศาสนาเถรวาทนัน้ เปนทยี่ อมรับของนกั ปราชญท างพระพทุ ธศาสนาท่ัวโลก วา เปนนกิ ายที่ รกั ษาแบบแผนและคาํ สอนดัง้ เดมิ ไวไ ดแมน ยําแมแ ตปราชญฝ า ยมหายานยคุ ปจจุบนั ก็เห็นความสําคัญน้ี ดังที่ ในประเทศญปี่ ุนไดถือลงกนั ทั่วไปวา การทจ่ี ะศกึ ษาพระพทุ ธศาสนามหายานใหท่วั ตลอด ตองศกึ ษาพระพุทธ ศาสนาแบบดงั้ เดมิ (คอื เถรวาท) ดวย เพราะมีพระสูตรบาลที ีเ่ ปน รากฐานของพระพทุ ธศาสนา พระสูตรของ มหายานเพียงแตอธิบายสาระทบ่ี รรยายไวโดยยอ ในพระสตู รบาลี ใหละเอยี ดกวางขวางออกไป แมกระนนั้ กต็ าม ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาทเอง เนอื้ ความบางแหงในพระคมั ภีร ที่เปนสวนเพ่ิมเขาใน สมัยตอ มา ไดระบุกาลเวลาไวช ัดเจน ก็มไี มไดระบุไว ก็มี ถงึ จะรูกนั วาอยใู นระยะแรกๆ กอนยคุ อรรถกถา ก็ยัง เปนปญหาทีค่ นรุนปจจบุ ันนํามาถกเถยี งคดิ คนหาความชดั เจนแนน อน

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 18 เนื่องจากพระพุทธศาสนาเนน การใชปญญา การปฏิบัติใหถูกตองจึงขึ้นตอ การศึกษา และคัมภรี พระ พุทธศาสนา แมนบั เพียงพระไตรปฎ กบาลี ทเี่ ปนแหลงแหงพทุ ธพจน ก็ใหญโ ตมเี น้ือหามากมาย ยากทจ่ี ะศึกษา ใหท ั่วถึง ยงิ่ ในบางยคุ บางสมัย พทุ ธศาสนกิ ชนยงั เหินหา งจากการศึกษาหลักธรรมอีกดว ย ความรูความเขา ใจที่ ประชาชนสว นมากเชือ่ ถอื และปฏบิ ัติ จึงอาศยั เพยี งการฟงบอกเลาและทาํ ตามๆ กันมา เม่ือกาลเวลาลวงผา น ไปนานๆ ความคลาดเคล่ือนก็มีมากข้ึนและชดั เจนย่ิงขึ้น จนกระท่ังบางกรณถี ึงกบั เสมือนเปน ตรงขามกับคํา สอนเดมิ หรอื เกือบจะกลายไปเปน ลทั ธิอ่นื ท่ีคําสอนเดิมคัดคานไปแลวก็มี ยกตัวอยางในประเทศไทยน้ี เมอื่ พดู ถงึ คาํ วา “กรรม” ความเขาใจของคนท่ัวไปกจ็ ะเพงไปยงั กาละสวน อดีต เจาะจงเอาการกระทําในชาติที่ลว งแลว หรือชาตกิ อ นๆ บาง เพง ไปยังปรากฏการณสว นผล คือนึกถงึ ผลท่ี ปรากฏในปจจุบนั ของการกระทาํ ในอดีตบา ง เพงไปยงั แงท ี่เสียหายเลวรา ยคือการกระทําชว่ั ฝายเดยี วบา ง เพง ไปยงั อํานาจแสดงผลรา ยของการกระทาํ ความชั่วในชาตกิ อ นบา ง และโดยมากเปนความเขา ใจตามแงตา งๆ เหลา น้ีรวมๆ กนั ไปท้ังหมด ซ่ึงเม่ือพิจารณาตดั สนิ ตามหลกั กรรมทีแ่ ทจ รงิ ในพุทธธรรมแลว จะเห็นไดชดั วาเปน ความเขาใจทหี่ างไกลจากความหมายทแ่ี ทจรงิ เปนอันมาก แมข อธรรมอ่นื ๆ ตลอดจนคาํ บญั ญัติทางธรรมแตล ะคาํ ๆ เชน อารมณ วิญญาณ บารมี สนั โดษ อเุ บกขา อธษิ ฐาน บริกรรม ภาวนา วิปส สนา กาม โลกยิ ะ โลกตุ ตระ บญุ อจิ ฉา ฯลฯ กล็ ว นมคี วามหมายพิเศษ ในความเขาใจของประชาชน ซ่ึงผดิ แปลกไปจากความหมายด้งั เดมิ ในพทุ ธธรรม โดยตัวความหมายเองบา ง โดยขอบเขตความหมายบาง มากนอยตางกันไปในแตละคํานั้นๆ ในการศกึ ษาพทุ ธธรรม จําเปน ตอ งแยกความหมายในความเขา ใจของประชาชนสวนท่ีคลาดเคล่ือนน้ี ออกไปตา งหาก จึงจะสามารถเขา ใจความหมายที่แทจ รงิ ได ในการแสดงพุทธธรรมตอไปน้ี ผแู สดงถอื วาได พยายามท่จี ะแสดงตวั พทุ ธธรรมแท อยา งทอี่ งคพระบรมศาสดาทรงสอนและทรงมุงหมาย ในการน้ี ไดตดั ความหมายอยางทป่ี ระชาชนเขาใจออกโดยส้นิ เชงิ ไมนาํ มาพจิ ารณาเลย เพราะถือวา เปน เร่อื งขางปลาย ไมจ ําเปน ตอการเขาใจตวั พทุ ธธรรมที่แทแตประการใด แหลงสําคญั อนั เปน ทม่ี าของเนอื้ หาและความหมายของพทุ ธธรรมทจี่ ะแสดงตอ ไปนี้ ไดแ กคัมภีรพ ุทธ ศาสนา ซึ่งในที่นี้ ถาไมม กี รณเี กย่ี วขอ งเปน พเิ ศษ จะหมายถงึ พระไตรปฎ กบาลอี ยา งเดยี ว เพราะเปนคัมภรี ท่ี ยอมรับกันทวั่ ไปแลววา เปนแหลง รวบรวมรกั ษาพุทธธรรมทีแ่ มนยําและสมบูรณท่สี ุด แมก ระนัน้ ก็ไดเลอื กสรร เอาเฉพาะสวนทีเ่ ห็นวาเปน หลกั การดงั้ เดมิ เปน ความหมายแทจรงิ มาแสดง โดยยดึ เอาหลกั ความกลมกลืนสอด คลอ งกันในหนว ยรวมเปน หลกั และเพื่อใหมนั่ ใจยิง่ ขึน้ จึงไดนําพุทธจริยาและพุทธกิจทไี่ ดทรงบําเพ็ญมา ประกอบการพิจารณาตดั สนิ แนวทางและขอบเขตของพทุ ธธรรมดวย เมื่อไดหลักการพิจารณาเหลา นี้มาเปน เคร่อื งกาํ กับการแสดงแลว ก็มนั่ ใจวา จะสามารถแสดงสาระแหง พทุ ธธรรมไดใกลเคยี งตัวแทเ ปนอยางยง่ิ อยา งไรก็ตาม ในข้นั พ้นื ฐาน การแสดงน้ีก็ยงั ตองขึ้นกับกําลังสตปิ ญ ญ ของผแู สดง และความโนมเอยี งบางอยางทีผ่ แู สดงเองอาจไมรูตัวอยนู น่ั เอง ฉะนนั้ จงึ ขอใหถ อื วา เปน ความ

พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 19 พยายามครงั้ หน่งึ ทจ่ี ะแสดงพุทธธรรมใหถ กู ตอ งทสี่ ุดตามทพ่ี ระพทุ ธเจาทรงสอนและมงุ หมาย โดยอาศยั วธิ กี าร และหลักการแสดง พรอมท้งั หลกั ฐานตา งๆ ทเ่ี ช่อื วาใหความมัน่ ใจมากท่สี ุด ถาแยกพุทธธรรมออกเปน ๒ สว น คอื สัจธรรม สว นหนง่ึ กบั จรยิ ธรรม สว นหนึ่ง แลว กําหนดความ หมายขน้ึ ใชในทน่ี ี้โดยเฉพาะ โดยกาํ หนดใหส ัจธรรมเปนสวนแสดงสภาวะหรอื รูปลักษณะตัวความจริงและให จริยธรรมเปนฝา ยขอประพฤตปิ ฏบิ ัตทิ ง้ั หมด กจ็ ะเห็นวา สัจธรรม ในพทุ ธศาสนา หมายถงึ คําสอนเก่ยี วกบั สภาวะของสิ่งท้งั หลาย หรือธรรมชาตแิ ละความเปน ไปโดยธรรมดาของส่งิ ทง้ั หลาย หรอื กฎธรรมชาตนิ นั่ เอง สวน จริยธรรม ก็หมายถึงการถือเอาประโยชนจาก ความรคู วามเขาใจในสภาพและความเปน ไปของส่ิงทงั้ หลาย หรือการรูกฎธรรมชาติแลวนํามาใชในทางทเี่ ปน ประโยชน อกี นยั หนง่ึ สัจธรรม คือธรรมชาตแิ ละกฎธรรมดา จรยิ ธรรม คือความรูในการประยุกตส จั ธรรม หลักการท้ังหมดนี้ ไมเ กีย่ วของกับตวั การนอกเหนอื ธรรมชาติ เชน พระผสู รา ง เปนตน แตประการใดเลย ดวยเหตุนี้ ในการแสดงพุทธธรรมเพือ่ ความรูความเขาใจทม่ี งุ ในแนวทฤษฎี คอื มุงใหรวู า เปน อะไร จึง ควรแสดงควบคูกนั ไปทั้งสจั ธรรมและจรยิ ธรรม คอื แสดงหลกั คาํ สอนในแงส ภาวะ แลวชีถ้ ึงคุณคา ท่ีจะนํามาใช ในทางปฏิบตั ิไวดว ย ใหเ สร็จไปแตละอยางๆ วธิ ีแสดงอยา งนี้เหมือนจะตรงขา มกบั เทศนาแบบอริยสัจ ๔ ซ่ึงมุงผลในทางปฏิบัตคิ ือการดบั ทุกขห รอื แกปญ หา จึงเร่มิ ดว ยปญหาทีป่ รากฏกอน แลว ดาํ เนนิ ไปสูวิธีปฏบิ ัตใิ นการแกไ ขใหถงึ จดุ หมายโดยลําดับ สวน ในท่นี ี้ เร่ิมดว ยความรคู วามเขา ใจเก่ยี วกับโลกและชีวติ ในแงข องสภาวะตามธรรมชาติ ใหเ ห็นหลกั ความจรงิ ที ละแงท ีละอยา งกอ น แลว กลาวถงึ ความหมายหรอื คณุ คา ทางปฏิบัติของหลกั ความจรงิ แตล ะอยา งนนั้ ทจี่ ะนาํ มา ใชประโยชนในการดําเนินชีวติ หรือแกปญ หาตอ ไป แมเม่ือมองหนังสอื พุทธธรรมหมดทีเดียวตลอดท้ังเลม ก็จะเหน็ ภาพรวมอยา งเดียวกันนี้ คอื หนงั สือทั้ง เลมมี ๒ ภาค เร่ิมดว ยภาค ๑ แสดงธรรมฝายสภาวะทเ่ี ปนหลกั ความจริงกลางๆ ตามธรรมชาติ คอื มชั เฌน- ธรรมเทศนา แลวจากน้นั ภาค ๒ แสดงธรรมทีเ่ ปนขอ ประพฤติปฏิบตั ขิ องมนุษย โดยสอดคลอ งกับความจรงิ ของ ธรรมชาติน้นั ตามมรรคาท่เี รยี กวา มัชฌิมาปฏิปทา อยา งไรกต็ าม ในท่สี ุด เม่อื มองกวา งครอบคลุมทง้ั หมดอีกครั้งหน่งึ กจ็ ะเหน็ วา พทุ ธธรรม ที่บรรยาย ณ ที่นี้ มโี ครงสรางใหญซอนอยูในหลักอรยิ สัจ ๔ นั่นเอง ดังจะเห็นไดตอ แตนไี้ ป อน่งึ ในขอ เขียนนี้ ไดต กลงใจแสดงความหมายภาษาอังกฤษของศัพทธ รรมท่สี ําคญั ๆ ไวดวย โดยเหตุ ผลอยางนอ ย ๓ อยา ง คือ ประการแรก ในภาษาไทยปจ จบุ ัน ไดม ีผนู ําศัพทธรรมบางคํามาใชเ ปนศพั ทบัญญตั ิ สาํ หรบั คาํ ในภาษา องั กฤษทม่ี ีความหมายไมต รงกันกบั ศัพทธ รรมนน้ั อนั อาจทาํ ใหค วามเขาใจคลาดเคล่อื นได จงึ นาํ ความหมายใน ภาษาอังกฤษมาแสดงควบไวดวย เพ่ือไมใหผอู า นถือไปตามความหมายทมี่ ีผูบัญญัตใิ ชใหมในภาษาไทย

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 20 ประการทสี่ อง จําตอ งยอมรบั ความจริงวา นักศกึ ษาวิชาการสมัยใหมจ ํานวนไมน อย เขาใจความหมาย ในภาษาไทยไดชัดเจนข้ึนในเมื่อเห็นคําภาษาอังกฤษควบอยดู วย ประการท่ีสาม ตําราภาษาตางประเทศท่ีเกยี่ วกับพระพุทธศาสนาในปจ จุบนั น้ี มจี ํานวนมาก การรู ความหมายศพั ทธ รรมทน่ี ิยมใชในภาษาองั กฤษยอมเปน ประโยชนแกนักศกึ ษาทต่ี อ งการคน ควา อยางกวาง ขวางตอ ไป ภาค ๑ มชั เฌนธรรมเทศนา หลักความจรงิ ท่เี ปน กลางตามธรรมชาติหรอื ธรรมที่เปน กลาง ชีวติ คืออะไร ? ก. ขันธ ๕ สว นประกอบหาอยา งของชีวติ ตวั สภาวะ พทุ ธธรรมมองเห็นส่ิงท้งั หลายในรูปของสว นประกอบตา งๆ ท่มี าประชุมกนั เขา ตัวตนแทๆ ของสง่ิ ทัง้ หลายไมม ี เม่ือแยกสว นตา งๆ ท่มี าประกอบกนั เขานัน้ ออกไปใหห มด ก็จะไมพบตัวตนของสง่ิ นั้นเหลืออยู ตวั อยางงา ยๆ ทยี่ กขน้ึ อางกันบอ ยๆ คือ “รถ” เมอื่ นาํ สว นประกอบตา งๆ มาประกอบเขาดว ยกันตามแบบที่กาํ หนด กบ็ ัญญัติเรียกกันวา “รถ” แตถ าแยกสวนประกอบทง้ั หมดออกจากกนั ก็จะหาตวั ตนของรถไมไ ด มแี ตส ว น ประกอบท้งั หลาย ซงึ่ มีชื่อเรียกตางๆ กนั จาํ เพาะแตละอยางอยูแลว คือ ตัวตนของรถมไิ ดม ีอยูตา งหากจากสว น ประกอบเหลานัน้ มแี ตเพียงคําบญั ญัติวา “รถ” สําหรบั สภาพที่มารวมตัวกนั เขาของสว นประกอบเหลา น้ัน แมส วนประกอบแตล ะอยา งๆ นน้ั เอง กป็ รากฏขึ้นโดยการรวมกันเขา ของสว นประกอบยอยๆ ตอ ๆ ไป อีก และหาตัวตนทแ่ี ทไมพ บเชนเดียวกัน เมอ่ื จะพดู วา สิ่งทัง้ หลายมอี ยู กต็ อ งเขาใจในความหมายวา มีอยใู น ภาวะของสวนประกอบตางๆ ทมี่ าประชมุ เขา ดวยกนั เมอื่ มองเห็นสภาพของสงิ่ ทง้ั หลายในรูปของการประชุมสว นประกอบเชน นี้ พทุ ธธรรมจงึ ตองแสดงตอ ไปวา สว นประกอบตางๆ เหลา นน้ั เปน อยา งไร มอี ะไรบาง อยางนอ ยก็พอเปนตวั อยาง และโดยท่ีพทุ ธธรรมมี ความเกย่ี วของเปน พเิ ศษกบั เรอื่ งชวี ติ โดยเฉพาะในดานจิตใจ การแสดงสว นประกอบตางๆ จึงตองครอบคลมุ ทงั้ วตั ถแุ ละจิตใจ หรอื ท้ังรูปธรรมและนามธรรม และแยกแยะเปนพิเศษในดานจิตใจ การแสดงสวนประกอบตางๆ นน้ั ยอ มทําไดห ลายแบบ สุดแตวตั ถปุ ระสงคจ ําเพาะของการแสดงแบบ นนั้ ๆ แตในทีน่ ี้ จะแสดงแบบขนั ธ ๕ ซงึ่ เปน แบบทนี่ ยิ มในพระสูตร โดยวธิ แี บง แบบ ขันธ ๕ (the Five Aggregates) พทุ ธธรรมแยกแยะชีวิตพรอมทั้งองคาพยพท้งั หมด ท่ี บัญญัติเรยี กวา “สตั ว” “บคุ คล” ฯลฯ ออกเปน สว นประกอบตางๆ ๕ ประเภท หรอื ๕ หมวด เรยี กทางธรรมวา เบญจขนั ธ คือ

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 21 ๑. รูป (Corporeality) ไดแ กส วนประกอบฝา ยรูปธรรมทั้งหมด รางกายและพฤติกรรมท้งั หมดของ รางกาย หรอื สสารและพลังงานฝายวตั ถุ พรอ มท้ังคณุ สมบตั ิ และพฤติการณตางๆ ของสสารพลังงานเหลา นนั้ ๒. เวทนา (Feeling หรอื Sensation) ไดแ กค วามรสู ึกสุข ทกุ ข หรือเฉยๆ ซ่ึงเกดิ จากผัสสะทาง ประสาทท้งั ๕ และทางใจ ๓. สัญญา (Perception) ไดแกความกําหนดได หรือหมายรู คอื กาํ หนดรูอาการเคร่ืองหมาย ลกั ษณะตา งๆ อนั เปน เหตุใหจ าํ อารมณ (object) นน้ั ๆ ได ๔. สังขาร (Mental Formations หรือ Volitional Activities) ไดแ กองคป ระกอบหรือคณุ สมบตั ิ ตา งๆ ของจติ ท่ีปรงุ แตง จิตใหด ีหรอื ช่ัว หรือเปน กลางๆ โดยมเี จตนาเปน ตัวนาํ พูดงายๆ วา ความนึกคิดดีชว่ั ตา งๆ เชน ศรัทธา สติ หิริ โอตตปั ปะ เมตตา กรณุ า มุทิตา อุเบกขา ปญ ญา โมหะ โทสะ โลภะ มานะ ทฏิ ฐิ อิสสา มัจฉริยะ เปนตน ๕. วญิ ญาณ (Consciousness) ไดแ กค วามรูแจงอารมณทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คอื การ เหน็ การไดย ิน การไดกลน่ิ การรูรส การรูส ัมผัสทางกาย และการรอู ารมณท างใจ ขันธ ๕ กับอุปาทานขนั ธ ๕ หรอื ชีวิตกบั ชวี ิตซงึ่ เปน ปญหา ในพุทธพจนแ สดงความหมายของอริยสัจ ๔ ซ่งึ เปน หลกั ธรรมท่ีประมวลใจความทง้ั หมดของพระพทุ ธ ศาสนา มีขอความทน่ี าสังเกตเปน พเิ ศษเกีย่ วกบั ขันธ ๕ ปรากฏอยใู นอริยสจั ขอ ท่ี ๑ คือ ขอ วา ดวยทกุ ข ในอริยสจั ขอที่ ๑ น้ัน ตอนตน พระพุทธเจา ทรงแสดงความหมายหรือคาํ จาํ กัดความของทุกข ดวยวธิ ี ยกตวั อยางเหตกุ ารณต า งๆ ท่มี องเห็นไดงายและมอี ยเู ปนสามญั ในชีวติ ของบคุ คล ขนึ้ แสดงวาเปนความทุกข แตล ะอยางๆ แตใ นตอนทาย พระองคต รสั สรปุ ลงเปน ขอ เดียววา อปุ าทานขันธ ๕ เปน ทุกข ดงั พทุ ธพจนวา ภิกษทุ ั้งหลาย นค้ี อื ทุกขอรยิ สัจ: ความเกดิ เปน ทุกข ความแกเปน ทกุ ข ความตายเปนทุกข ความ ประจวบกับสง่ิ ที่ไมเปน ทีร่ กั เปน ทกุ ข ความพลดั พรากจากสิ่งที่รกั เปน ทุกข ปรารถนาสงิ่ ใดไมไ ดสิง่ นั้นก็เปน ทกุ ข โดยยอ อุปาทานขันธ ๕ เปนทกุ ข พุทธพจนนี้ นอกจากแสดงถึงฐานะของขนั ธ ๕ ในพทุ ธธรรมแลว ยังมขี อ สังเกตสามญั คอื ความหมาย ของ “ทกุ ข” น้ัน จาํ งายๆ ดว ยคาํ สรปุ ทสี่ ั้นท่ีสุดวา คอื อุปาทานขนั ธ ๕ หรือเบญจอุปาทานขันธเทา นัน้ และ คําวาขันธในท่นี ี้มี “อปุ าทาน” นาํ หนาดว ย สิ่งทคี่ วรศกึ ษาในท่ีนี้ ก็คือคําวา “ขันธ” กับ “อปุ าทานขันธ” ซงึ่ ขอใหพจิ ารณาตามพทุ ธพจนต อไปนี้ ภกิ ษทุ ั้งหลาย เราจกั แสดงขนั ธ ๕ และอุปาทานขันธ ๕ เธอท้งั หลายจงฟง ขนั ธ ๕ เปนไฉน? รปู ...เวทนา...สัญญา...สงั ขาร...วญิ ญาณ อนั ใดอันหนึง่ ท้ังทเี่ ปนอดตี อนาคต ปจ จบุ ัน เปน ภายในก็ตาม ภายนอกกต็ าม หยาบก็ตาม ละเอียดทรามกต็ าม ประณีตก็ตาม ไกลหรอื ใกลก็ ตาม...เหลาน้ี เรยี กวา ขันธ ๕

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 22 อปุ าทานขันธ ๕ เปน ไฉน? รูป...เวทนา…สัญญา...สงั ขาร...วิญญาณ อนั ใดอนั หน่งึ ทั้งทเ่ี ปน อดีต อนาคต ปจจบุ ัน เปนภายในกต็ าม ภายนอกกต็ าม หยาบก็ตาม ละเอยี ดก็ตาม ทรามก็ตาม ประณตี ก็ตาม ไกล หรอื ใกลก ็ตาม ท่ปี ระกอบดว ยอาสวะ เปน ท่ตี ้ังแหงอุปาทาน...เหลาน้ี เรียกวา อปุ าทานขันธ ๕ รูป...เวทนา...สญั ญา...สงั ขาร...วญิ ญาณ คือธรรมอนั เปนท่ีต้งั แหงอุปาทาน ฉันทราคะ (ความกระสนั อยาก) ในรูป...เวทนา...สญั ญา...สงั ขาร...วญิ ญาณ นั้นคอื อปุ าทานใน (สง่ิ ) นนั้ ๆ หลักดังกลาวน้ี เปนพ้ืนฐานความเขา ใจที่สําคัญอยา งหนงึ่ ในการศกึ ษาพุทธธรรมตอ ไป คณุ คา ทางจริยธรรม ตามปกติ มนุษยม ีความโนมเอยี งท่ีจะยดึ ถืออยเู สมอวา ตัวตนท่ีแทข องตนมีอยูในรูปใดรูปหนง่ึ บางก็ ยึดเอาจติ เปนตัวตน บา งกย็ ดึ วา มีส่งิ ทีเ่ ปน ตวั ตนอยูตางหากแฝงซอนอยูในจิตน้ัน ซง่ึ เปน เจา ของ และเปนตวั การที่คอยควบคุมบังคบั บญั ชากายและใจนน้ั อกี ชนั้ หนึง่ การแสดงขันธ ๕ น้ี มงุ ใหเห็นวาสิง่ ทีเ่ รยี กวา “สตั ว” “บุคคล” “ตวั ตน” เปน ตน นั้น เม่ือแยกออกไปแลว ก็ จะพบแตส วนประกอบ ๕ สว นเหลานเ้ี ทาน้นั ไมม ีสิ่งอื่นเหลืออยทู ่ีจะมาเปน ตวั ตนตางหากได และแมขันธ ๕ เหลานน้ั แตละอยา ง กม็ ีอยูเ พยี งในรปู ท่ีสมั พนั ธองิ อาศัยกนั ไมเ ปน อสิ ระ ไมม ีโดยตวั ของมนั เอง ดังนนั้ ขนั ธ ๕ แตละอยา งๆ นั้นกไ็ มใ ชตวั ตนอกี เชน กัน รวมความวา หลักขนั ธ ๕ แสดงถึงความเปน อนตั ตา ใหเ หน็ วาชวี ิตเปน การประชมุ เขา ของสวน ประกอบตางๆ หนวยรวมของสวนประกอบเหลาน้ี ก็ไมใ ชตวั ตน สว นประกอบแตละอยา งๆ น้นั เอง ก็ไมใชตัวตน และส่ิงที่เปน ตวั ตนอยตู า งหากจากสวนประกอบเหลา น้กี ไ็ มม ี เมื่อมองเหน็ เชน นน้ั แลว กจ็ ะถอนความยึดมั่นถือ มน่ั ในเรือ่ งตวั ตนได ความเปนอนตั ตานีจ้ ะเห็นไดชัดตอ เมื่อเขา ใจกระบวนการของขนั ธ ๕ ในวงจรแหงปฏิจจส มุปบาททีจ่ ะกลา วตอ ไป อน่งึ เมือ่ มองเหน็ วา ขนั ธ ๕ มีอยูอยา งสมั พนั ธแ ละอาศัยซึง่ กนั และกนั ก็จะไมเกิดความเหน็ ผิดวาขาด สูญ ทีเ่ รียวา อจุ เฉททฏิ ฐิ และความเหน็ ผดิ วา เทยี่ ง ทเี่ รยี กวา สัสสตทฏิ ฐิ นอกจากน้นั เม่ือรวู าสิ่งทง้ั หลายไมม ีตวั ตนและมอี ยอู ยางสัมพนั ธอ าศัยกันและกนั เชนน้ีแลวก็จะเขาใจหลักกรรมโดยถกู ตองวาเปน ไปไดอ ยา งไร กระ บวนการแหง ความสมั พนั ธและอาศัยกันของสง่ิ ทงั้ หลายนม้ี คี ําอธิบายอยใู นหลักปฏจิ จสมุปบาทเชน เดียวกัน อกี ประการหนึง่ การมองส่ิงทง้ั หลายโดยวธิ แี ยกสว นประกอบออกไปอยา งวิธีขันธ ๕ น้ี เปนการฝก ความคิด หรอื สรา งนสิ ัยท่ีจะใชความคดิ แบบวิเคราะหความจรงิ คือ เมื่อประสบหรอื เขาเกีย่ วขอ งกบั สิ่งตางๆ ความคดิ กไ็ มห ยุดตันตื้อ ยดึ ถือเฉพาะรูปลักษณะภายนอกเทาน้นั เปน การสรางนสิ ยั ชอบสอบสวนสืบคนหา ความจริง และทสี่ ําคัญยิ่งคือ ทําใหรจู ักมองสง่ิ ทงั้ หลายตามภาวะลว นๆ ของมนั หรอื ตามแบบสภาววสิ ยั (objective) คือมองเห็นสงิ่ ทง้ั หลาย “ตามท่มี ันเปน ” ไมน าํ เอาตัณหาอุปาทานเขา ไปจบั อันเปน เหตใุ หม องเหน็ ตามทอ่ี ยากหรอื ไมอ ยากใหมันเปน อยา งทีเ่ รยี กวา สกวิสัย (subjective)

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 23 คุณคาอยา งหลังน้ี นบั วาเปนการเขาถงึ จดุ หมายท่ตี องการของพุทธธรรมและของหลักขันธ ๕ นี้ คอื การ ไมยดึ มน่ั ถือมั่น การไมเขาไปเกยี่ วขอ งกบั สิ่งทั้งหลายดว ยการใชต ัณหาอปุ าทาน แตเ ขา ไปเก่ียวของจัดการดวย ปญ ญา อยา งไรกด็ ี ในการแสดงพุทธธรรมนั้น ตามปกติทานไมแสดงเรือ่ งขันธ ๕ โดยลําพังโดดๆ เพราะขันธ ๕ เปนแตสภาวะทยี่ กขนึ้ เปน ตวั ต้ังสําหรับพิจารณา และการพิจารณานัน้ ยอ มเปน ไปตามแนวแหง หลักธรรม อยางอื่น ทเี่ ปน ประเภทกฎสาํ หรบั นาํ มาจับหรือกาํ หนดวาขันธ ๕ มสี ภาวะเปน อยางไร มคี วามเปน ไปอยา งไร เปน ตน คือ ตอ งแสดงโดยสมั พนั ธก ับหลักธรรมชาตอิ ยา งอน่ื เชน หลกั อนตั ตา เปนตน จงึ จะปรากฏคุณคาใน ทางปฏบิ ัติโดยสมบรู ณ ดังนั้น จงึ ขอยุติเร่อื งขนั ธ ๕ ไวเพยี งในฐานะสิ่งทยี่ กข้ึนเปนตวั ตง้ั สําหรับนําไปพิจารณา กันในหลกั ตอๆ ไป ชีวติ คืออะไร ? ข. อายตนะ ๖ แดนรบั รูและเสพเสวยโลก ชอ งทางท่ชี วี ติ ตดิ ตอ กบั โลก แมวา ชีวิตจะประกอบดว ยขันธ ๕ ซ่ึงแบง ซอยออกไปเปนหนวยยอ ยตางๆ มากมาย แตในทางปฏิบัติ คอื ในการดําเนินชีวติ ทว่ั ไป มนุษยไ มไดเกย่ี วขอ งโดยตรงกบั สวนประกอบเหลา นนั้ โดยทว่ั ถึงแตอยางใด สว นประกอบหลายอยางมีอยูแ ละทําหนา ทข่ี องมันไปโดยมนุษยไ มร จู กั หรือแมรจู กั กแ็ ทบไมไดน ึกถงึ เลย เชน ในดานรูปธรรม อวยั วะภายในรางกายหลายอยาง ทําหนาทข่ี องมนั อยู โดยมนษุ ยผ เู ปน เจาของไมร ู และไมไดใ สใจท่ีจะรู จนบางคราวมนั เกิดความวปิ ริตหรือทาํ หนาที่บกพรองขน้ึ มนุษยจ ึงจะหันมาสนใจ แมอ งค ประกอบตางๆ ในกระบวนการฝายจติ กเ็ ปน เชนเดยี วกนั การศึกษาวิเคราะหองคประกอบตา งๆ และกระบวนการทํางานทางรางกาย เราปลอ ยใหเ ปน ภาระของ นกั ศกึ ษาทางแพทยศาสตรแ ละชวี วทิ ยา สวนการศึกษาวเิ คราะหองคประกอบและกระบวนการทํางานดานจิต ใจ เราปลอ ยใหเ ปน ภาระของนักอภิธรรมและนกั จติ วิทยา แตส าํ หรับคนทั่วไป ความหมายของชวี ิตอยทู ี่ชีวติ ในทางปฏบิ ตั ิ หรือชวี ติ ที่ดําเนนิ อยูเปน ประจาํ ในแต ละวนั ซง่ึ ไดแกก ารตดิ ตอเก่ียวของกับโลก สง่ิ ที่ใหความหมายแกช ีวิต ก็คือการติดตอเก่ียวของกบั โลก หรือพูด อกี อยา งหนึง่ วา ชีวิตตามความหมายของมนุษย คือชีวิตโดยความสมั พันธก บั โลก ชีวิตในทางปฏบิ ัตหิ รอื ชีวติ โดยความสมั พันธก ับโลกนี้ แบงออกไดเ ปน ๒ ภาค แตล ะภาคมรี ะบบการ ทํางาน ซง่ึ อาศยั ชองทางทช่ี ีวิตจะติดตอเก่ยี วขอ งกบั โลกได ซงึ่ เรียกวา “ทวาร” (ประตู, ชองทาง) ดังนี้ ๑. ภาครับรแู ละเสพเสวยโลก อาศัย ทวาร ๖ คือ ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ สาํ หรับรบั รแู ละเสพเสวยโลก ซ่งึ ปรากฏแกม นษุ ยโดยลกั ษณะและอาการตางๆ ทีเ่ รยี กวา อารมณ ๖ คอื รูป เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 24 ๒. ภาคแสดงออกหรือกระทําตอ โลก อาศยั ทวาร ๓ คอื กาย วาจา ใจ (กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร) สาํ หรับกระทาํ ตอบตอโลก โดยแสดงออกเปนการทาํ การพดู และการคิด (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม) ใน ภาคที่ ๑ มีขอท่พี งึ ยา้ํ เปนพิเศษ เพอ่ื สะดวกแกการศึกษาตอไปวา คาํ วา “ทวาร” (ใน ทวาร ๖) นน้ั เม่ือนําไปกลาวในระบบการทาํ งานของกระบวนธรรมแหง ชวี ติ ทานนิยมเปลยี่ นไปใชค ําวา “อายตนะ” ซงึ่ แปล วา แดนเชือ่ มตอใหเ กดิ ความรู หรือทางรับรู ดงั นั้นในการศึกษาเรือ่ งนต้ี อไป จะใชคาํ วา “อายตนะ” แทนคาํ วา “ทวาร” ใน ภาคที่ ๒ มีขอ พึงยํ้าคือ กระบวนธรรมของชีวิตในภาคนี้ รวมอยใู นขนั ธท ี่ ๔ คอื สงั ขารขนั ธ ทกี่ ลาว มาแลวในบทกอ น สงั ขารตา งๆ ในสังขารขันธ ซง่ึ มีอยเู ปน จํานวนมากมาย แบง เปน ฝา ยดีบาง ฝายชั่วบาง ฝายกลางๆ บาง จะปรากฏตัวออกมาปฏิบตั ิการ โดยถกู เจตนาท่ีเปน หวั หนาหรือเปนตัวแทนเลือกชกั จงู มา หรือจัดแจงมอบ หมายหนาท่ี ใหช ว ยกันทําการปรุงแตง การแสดงออก หรอื การกระทําทาง ทวาร ๓ คอื กาย วาจา ใจ เกิดเปน กรรม คือการทาํ การพูด การคดิ ในกรณีนี้ สงั ขารจะถูกจัดประเภทเสียใหมใ หสอดคลองกับบทบาทของมัน โดย - แบงตามทางหรือทวารท่แี สดงออก เปน กายสงั ขาร วจีสงั ขาร และมโนสังขาร - เรียกตามชือ่ หัวหนาหรือตวั แทนวา กายสัญเจตนา วจสี ัญเจตนา และมโนสัญเจตนา หรือ - เรยี กตามงานท่ที าํ ออกมาวา กายกรรม วจกี รรม และมโนกรรมแสดงใหเห็นงายขึ้น ดงั นี้ ๑. กายสังขาร = กายสญั เจตนา ------------- กายทวาร -- กายกรรม [สภาพปรงุ แตง การกระทําทางกาย] = [ความจงใจ(แสดงออก)ทางกาย] [ทางกาย] [การกระทําทาง กาย] ๒. วจสี งั ขาร = วจีสัญเจตนา --------------- วจที วาร -- วจกี รรม [สภาพปรุงแตงการกระทําทางวาจา] = [ความจงใจ(แสดงออก)ทางวาจา] [ทางวาจา][การกระทําทางวาจา] ๓. มโนสงั ขาร = มโนสัญเจตนา -------- มโนทวาร -- มโนกรรม [สภาพปรงุ แตง การกระทาํ ทางใจ] = [ความจงใจ(แสดง)ทางใจ] [ทางใจ] [การกระทําทางใจ] สังขาร ในฐานะเคร่อื งแตง คณุ ภาพหรอื คุณสมบตั ติ างๆ ของจติ ไดกลาวแลว ในเร่ืองขันธ ๕ สว น สังขาร ในฐานะกระบวนการปรงุ แตงแสดงออกและกระทาํ การตางๆ ตอโลก เปน เรอ่ื งกจิ กรรมของ ชีวิต ซ่งึ จะแสดงเปน พิเศษสว นหนง่ึ ตา งหาก ในตอนวาดวย “ชวี ิตเปนไปอยา งไร” ในท่นี ี้ มุง แสดงแตส ภาวะอนั เน่ืองอยูทตี่ วั ชวี ิตเอง หรือองคประกอบของชีวิต พรอ มทงั้ หนาทข่ี องมนั ตามสมควร จึงจะกลาวเฉพาะภาคที่ ๑ คอื เรื่อง ทวาร ๖ ท่ีเรียกวา อายตนะ ๖ อยา งเดยี ว ตัวสภาวะ

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 25 “อายตนะ” แปลวา ทตี่ อ หรือแดน หมายถงึ ทต่ี อกันใหเ กดิ ความรู แดนเชื่อมตอ ใหเ กิดความรู หรอื แหลง ที่มาของความรู แปลอยา งงายๆ วา ทางรบั รู มี ๖ อยาง ดงั ท่ีเรียกในภาษาไทยวา ตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ ทวี่ า ตอ หรือเชื่อมตอ ใหเกิดความรนู น้ั ตอ หรอื เชอื่ มตอกับอะไร ? ตอบวา เชอ่ื มตอกับโลก คือ สง่ิ แวดลอมภาย นอก แตโ ลกนัน้ ปรากฏลกั ษณะอาการแกมนุษยเปนสวนๆ ดา นๆ ไป เทาทม่ี นุษยจ ะมแี ดนหรอื เครอ่ื งมือสาํ หรบั รบั รู คือ เทา จํานวนอายตนะ ๖ ท่ีกลาวมาแลวเทา นน้ั ดงั นน้ั อายตนะ ทัง้ ๖ จึงมีคขู องมนั อยใู นโลก เปนสิ่งท่ีถกู รับรสู าํ หรบั แตละอยางๆ โดยเฉพาะ สิง่ ท่ีถูกรับรู หรือลกั ษณะอาการตา งๆ ของโลก เหลา น้ี เรยี กชอื่ วา “อายตนะ” เหมอื นกนั เพราะเปน สิ่งที่เชอ่ื มตอใหเ กิดความรู หรือเปนแหลง ความรู เชน เดยี วกนั แตเปนฝา ยภายนอก เพ่ือแยกประเภทจากกันไมใ หส ับสน ทา นเรยี กอายตนะพวกแรกวา “อายตนะภายใน” (แดนตอความรู ฝา ยภายใน) และเรยี กอายตนะพวกหลังนีว้ า “อายตนะภายนอก” (แดนตอ ความรูฝายภายนอก) อายตนะภายนอก ๖ อนั ไดแก รูป เสยี ง กลิ่น รส สิง่ ตอ งกาย และส่ิงท่ใี จนกึ โดยทวั่ ไปนยิ มเรียกวา “อารมณ” แปลวา สงิ่ อันเปน ทีส่ าํ หรับจติ มาหนว งอยู หรอื ส่งิ สาํ หรับยึดหนวงของจติ แปลงายๆ วาสิง่ ท่ถี ูกรับรู หรอื สงิ่ ที่ถูกรูน่ันเอง เมอ่ื อายตนะ (ภายใน) ซึ่งเปน แดนรบั รู กระทบกับอารมณ (อายตนะภายนอก) ซึง่ เปน สงิ่ ท่ีถูกรู กจ็ ะ เกิดความรูจาํ เพาะดา นของอายตนะแตล ะอยา งๆ ขนึ้ เชน ตากระทบรูป เกิดความรูเ รียกวา “เห็น” หูกระทบ เสยี ง เกดิ ความรเู รยี กวา “ไดย นิ ” เปนตน ความรจู ําเพาะแตล ะดา นนี้ เรียกวา “วญิ ญาณ” แปลวา ความรแู จง คือรอู ารมณ ดงั นัน้ จงึ มี วญิ ญาณ ๖ อยาง เทากบั อายตนะและอารมณ ๖ คู คือ วญิ ญาณทางตา ไดแก เหน็ วญิ ญาณทางหู ไดแ ก ไดยิน วญิ ญาณทางจมกู ไดแก ไดกลิน่ วิญญาณทางล้ิน ไดแ ก รรู ส วิญญาณทางกาย ไดแ ก รสู งิ่ ตอ งกาย วิญญาณทางใจ ไดแก รอู ารมณทางใจ หรอื รเู ร่ืองในใจ สรุปไดว า อายตนะ ๖ อารมณ ๖ และ วิญญาณ ๖ มีชอ่ื ในภาษาธรรม และมีความสัมพันธก นั ดงั นี้ ๑. จกั ขุ - ตา เปน แดนรับรู รูป - รปู เกิดความรูคือ จกั ขุวิญญาณ - เหน็ ๒. โสตะ - หู ,, สทั ทะ - เสยี ง ,, โสตวญิ ญาณ - ไดยนิ ๓. ฆานะ – จมกู ,, คันธะ - กลิ่น ,, ฆานวญิ ญาณ - ไดกลน่ิ ๔. ชวิ หา – ลิ้น ,, รส - รส ,, ชวิ หาวิญญาณ- รรู ส ๕. กาย – กาย ,, โผฏฐัพพะ - สิ่งตอ งกาย ,, กายวญิ ญาณ - รูสง่ิ ตองกาย ๖. มโน – ใจ ,, ธรรม - เรอ่ื งในใจ ,, มโนวญิ ญาณ - รเู ร่ืองในใจ อยา งไรก็ตาม แมวาวิญญาณจะตองอาศยั อายตนะและอารมณกระทบกันจึงจะเกิดข้นึ ได ก็จรงิ แต การที่อารมณเขามาปรากฏแกอายตนะก็มิใชวาจะทาํ ใหว ิญญาณเกิดขน้ึ ไดเ สมอไป จําตอ งมี ความใสใจ คว กาํ หนดใจ หรือความใฝใจประกอบอยดู ว ย วิญญาณนน้ั ๆ จงึ จะเกดิ ข้นึ ดังตวั อยาง ในบางคราว เชน เวลาหลบั

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 26 สนทิ เวลาฟงุ ซา น หรอื ใจลอยไปเสีย เวลาใจจดจอ แนวแนอ ยูกบั กจิ อยา งใดอยางหนง่ึ ตลอดจนขณะอยใู น สมาธิ รูปและเสยี งเปน ตน หลายๆ อยา งทผี่ า นเขามา อยูในวิสยั ทจี่ ะเหน็ จะไดยิน แตห าไดเหน็ หาไดยนิ ไม อีกตวั อยา งงายๆ ขณะเขียนหนงั สอื ใจจดจอ อยู จะไมรูสึกสวนของรางกายทแี่ ตะอยกู ับโตะ และเกาอ้ี ตลอดจนมอื ที่แตะกระดาษ และนิ้วท่ีแตะปากกาหรือดินสอ ในเมอื่ มีอายตนะและอารมณเขามาถงึ กนั แลว แตวิญญาณไมเกิดขึน้ เชนนี้ ก็ยงั ไมเรยี กวาการรบั รไู ด เกิดขึ้น การรับรู จะเกิดขน้ึ ตอเมือ่ มีองคประกอบเกิดขึ้นครบทั้ง ๓ อยา ง คือ อายตนะ อารมณ และวิญญาณ ภาวะน้ีในภาษาธรรมมีคําเรียกโดยเฉพาะวา “ผัสสะ” หรือ “สัมผัส” แปลตามรปู ศพั ทว า การกระทบ แตมคี วาม หมายทางธรรมวา การประจวบหรือบรรจบพรอ มกันแหง อายตนะ อารมณ และวิญญาณ พูดอยางเขา ใจกนั งา ยๆ ผสั สะ กค็ อื การรบั รู นนั่ เอง ผสั สะ หรอื สัมผัส หรอื การรบั รนู ี้ มชี ่อื เรียกแยกเปนอยางๆ ไป ตามทางรบั รู คืออายตนะนนั้ ๆ ครบ จํานวน ๖ คือ จกั ขสุ มั ผัส โสตสมั ผสั ฆานสัมผัส ชวิ หาสมั ผสั กายสัมผัส มโนสมั ผัส ผสั สะ เปนขนั้ ตอนสาํ คัญในกระบวนการรับรู เมื่อผัสสะเกดิ ขึ้นแลว กระบวนธรรมกด็ ําเนนิ ตอไป เรม่ิ แต ความรสู ึกตออารมณทรี่ บั รูเขามาน้ัน ปฏิกริ ยิ าอยา งอ่ืนของจติ ใจ การจาํ หมาย การนาํ อารมณน้นั ไปคดิ ปรงุ แตง ตลอดจนการแสดงออกตางๆ ท่ีสืบเนื่องไปตามลาํ ดบั ในกระบวนธรรมน้ี ส่ิงทีค่ วรสนใจเปน พิเศษในการศึกษาขั้นน้ี ก็คือความรสู กึ ตอ อารมณทรี่ บั รูเขามา ซงึ่ เกิดขึ้นในลาํ ดบั ถัดจากผัสสะนนั้ เองความรูสึกนใ้ี นภาษาธรรม เรยี กวา “เวทนา” แปลวา การเสวยอารมณ หรอื การเสพรสอารมณ คอื ความรสู ึกตออารมณท รี่ บั รูเขามาน้นั โดยเปน สขุ สบาย ไมส บาย หรอื เฉยๆ อยา งใดอยา ง หน่ึง เวทนาน้ี ถาแบง ตามทางรับรู กม็ ี ๖ เทาจํานวนอายตนะ คือ เวทนาทเ่ี กดิ จากสมั ผัสทางตา เวทนาทเี่ กดิ จากสัมผสั ทางหู เปนตน แตถ าแบง ตามคุณภาพ จะมจี าํ นวน ๓ คือ ๑. สขุ ไดแก สบาย ชนื่ ใจ ถกู ใจ ๒. ทกุ ข ไดแก ไมส บาย เจบ็ ปวด ๓. อทกุ ขมสขุ ไมทกุ ข ไมส ขุ คือเรอื่ ยๆ เฉยๆ ซงึ่ เรยี กอกี อยา งวา อุเบกขา อีกอยางหนึ่ง แบงละเอียดลงไปอีกเปน เวทนา ๕ อยา ง คอื ๑. สุข ไดแ ก สบายกาย ๒. ทุกข ไดแก ไมสบายกาย เจบ็ ปวด ๓. โสมนสั ไดแก สบายใจ ชื่นใจ ๔. โทมนัส ไดแ ก ไมส บายใจ เสียใจ และ

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 27 ๕. อุเบกขา ไดแก เฉยๆ ไมสขุ ไมท กุ ข กระบวนการรบั รูเ ทาทก่ี ลา วมาน้ี เขยี นใหเหน็ งา ยๆ ไดด งั นี้ อายตนะ + อารมณ + วญิ ญาณ = ผัสสะ -- เวทนา ทางรบั รู สง่ิ ทถ่ี ูกรู ความรู การรับรู ความรสู ึกตอ อารมณ ดังไดก ลาวแลววา อารมณ กค็ ือโลกท่ีปรากฏลกั ษณะอาการแกมนษุ ยท างอายตนะตา งๆ การรับรู อารมณเหลา น้ี เปนสิง่ จําเปน ซึ่งชวยใหมนุษยมคี วามสามารถในการเกย่ี วขอ งกบั โลก ทาํ ใหชวี ติ อยูรอดและ ดาํ เนินไปดว ยดี ในกระบวนการรับรนู ี้ เวทนา ก็เปน สว นประกอบสําคญั อยา งหนึ่ง โดยทาํ หนา ทีเ่ ปน เครอื่ งชบ้ี อกให ทราบวา อะไรเปนอันตรายแกช ีวติ ควรหลกี เวน อะไรเกื้อกลู แกชีวติ ควรถอื เอาประโยชนได เวทนาจึงชวยให กระบวนการรับรทู ีด่ ําเนินตอ ไป สามารถสรา งความรคู วามเขาใจที่ครบถวนบรบิ ูรณ เปนประโยชนยิง่ ข้นึ แตสําหรบั มนุษยป ถุ ุชน เวทนามิไดม คี วามหมายเพยี งเทา นน้ั คอื มใิ ชเ พยี งแคว า กระบวนการรับรูไดม ี สว นประกอบเพิม่ เขา มาอีกอยางหนง่ึ ทชี่ ว ยเสรมิ ความรใู หสมบูรณ อันจะทําใหมนุษยมีความสามารถมากขนึ้ ในการดาํ เนนิ ชวี ติ ท่ีดงี าม แตเวทนา ยังหมายถึงการทโ่ี ลกมอี ะไรอยา งหนง่ึ เปนผลตอบแทนหรอื รางวลั แกม นษุ ย ในการเขา ไปเกยี่ วของกับโลกดวย ผลตอบแทนที่วาน้ี คือความเอรด็ อรอ ย ความชนื่ ใจท่เี กดิ จากอารมณซง่ึ เรยี ก วา สุขเวทนา ในกรณที ่กี ระบวนการรับรูดําเนนิ มาตามลาํ ดบั จนถึงเวทนา ถา มนุษยห นั เขา จับเวทนาไวตามความ หมายในแงนี้ มนุษยก็จะหนั เหออกไปจากกระบวนการรับรู ทาํ ใหกระบวนธรรมอีกอยา งหน่งึ ไดโ อกาสเขามารบั ชวงแลน ตอไปแทนท่ี โดยเวทนาจะกลายเปนปจจัยตัวเอกที่จะกอ ใหเกดิ ผลสบื เน่อื งตอไป พรอ มกันน้ัน กระบวน การรบั รู ซึง่ กลายไปเปนสวนประกอบและเดนิ ควบไปดวย ก็จะถกู กําลงั จากกระบวนธรรมใหมน้ีบบี คั้น ใหบ ิด เบือนและเอนเอียงไปจากความเปนจรงิ กระบวนธรรมรับชวงท่ีวา นี้ มกั ดาํ เนนิ ไปในแบบงา ยๆ พน้ื ๆ คือ เม่อื รับรูอารมณอ ยา งใดอยา งหนึง่ แลว เกดิ ความรสู กึ สุขสบายช่ืนใจ (????เวทนา) ก็อยากได (ตณั หา) เม่ืออยากได กต็ ดิ ใจพวั พันจนถงึ ขัน้ ยดึ ติดถอื มนั่ (อปุ าทาน) คา งใจอยูไ มอ าจวางลงได ท้ังทต่ี ามความเปนจรงิ ไมอ าจถือเอาไวไ ด เพราะสิ่งนั้นๆ ลวงเลยผา นพน หมดไปแลว จากนนั้ กเ็ กิดความครุน คดิ สรา งภาพตางๆ ท่ีจะใหต นอยใู นภาวะครอบครองอารมณอ ันใหเ กดิ สุข เวทนานัน้ พรอ มทั้งคดิ ปรงุ แตงสรา งวิธีการทีจ่ ะใหไ ดอารมณแ ละสิง่ อันเปน ท่ตี ้งั แหง อารมณน ้ัน แลวลงมอื กระทําการตางๆ ทางกายบาง วาจาบาง เพื่อใหไ ดม าซึ่งผลท่ีตองการ เพือ่ จะไดเ วทนาทช่ี อบใจนัน้ ยง่ิ ๆ ข้ึนไปอกี ในทางตรงขา ม ถา รบั รูอารมณใ ดแลว เกดิ ความรสู ึกทุกข เจบ็ ปวด ไมส บาย (ทกุ ข-เวทนา) กไ็ มช อบใจ ขดั เคอื ง อยากจะพน ไป หรอื ใหม นั สูญส้ินไป อยากทําลาย (ตัณหา) ผกู ใจ ปกใจ คา งใจกับส่งิ นนั้ (อุปาทาน)

พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 28 ใทางรา ยท่จี ะชิงชงั เกลียดกลัว หลีกหนี อยา ใหพ บเหน็ อกี เปน ตน พรอมกบั เกดิ เปนปฏกิ ริ ยิ า ใหยิง่ ยึดม่นั ฝน หา ผกู ใจมน่ั หมาย ทจี่ ะใหพบใหไ ดส ุขเวทนาและสง่ิ ที่หวงั วาจะใหส ขุ เวทนาแกต นยิ่งข้ึนไปอีก ในกระบวนการน้ี กจ็ งึ บังเกดิ เปน สุขทุกขแบบซบั ซอนรุนแรงเขมขน ที่เปนผลเสกสรรคของมนษุ ยเ อง ซ่งึ หมุนเวียนเขา วงจรทเี่ ริม่ จากเวทนาใหมซ ้าํ แลวซํ้าเลา กลายเปนสงั สารวัฏ วนอยูอยางนัน้ ไมสามารถกา วตอ ไป สผู ลเลิศอยา งอน่ื ท่ีชีวติ นยี้ งั สามารถเขาถึงไดย่งิ กวา นัน้ ข้นึ ไป โดยนัยนี้ จะเหน็ วา ชวงตอ ทกี่ ระบวนธรรมจะสืบทอดจากการรบั รู (ผสั สะ) ตอไปนั้น เปนขนั้ ตอนท่ี สาํ คญั อยา งยิง่ เรียกไดว า เปนหัวเลี้ยวหัวตอทเี ดียว และในภาวะเชน น้ี เวทนาเปนองคธรรมทีม่ บี ทบาทสาํ คญั มาก กระบวนธรรมทดี่ าํ เนนิ ตอ ไปจะเปน อยา งไร (สาํ หรบั ปถุ ุชน) ตองขึ้นตอ สภาพของเวทนา วาจะเปน แบบไหน อยางใด ทง้ั น้ี พอจะตงั้ เปน ขอ สังเกตไดว า ก. กระบวนธรรมทีส่ ืบทอดจากผสั สะ เปน หัวเลย้ี วหวั ตอ ระหวา งกระบวนการรบั รทู ่ีบรสิ ทุ ธ์ิ กบั กระบวน การสงั สารวัฏ ในกระบวนการรับรูบ รสิ ทุ ธิ์ เวทนามบี ทบาทเปนเพียงองคป ระกอบยอ ยๆ อยา งหน่ึง ทช่ี วยใหเ กดิ ความรทู ี่ถกู ตอ งสมบรู ณ สว นในกระบวนการสังสารวฏั เวทนาเปน ปจจัยตัวเอก ท่มี ีอทิ ธิพลครอบงําความเปน ไปของกระบวน ธรรมทั้งหมด กลา วไดวา มนุษยจะคดิ ปรุงแตง อยา งไร และทาํ การอะไร กเ็ พราะเวทนา และเพ่ือเวทนา หรือชวี ติ จะเปน อยางไร กเ็ พราะเวทนาและเพอ่ื เวทนา นอกจากน้ัน ในกระบวนการสังสารวัฏน้ี มนษุ ยม ไิ ดห ยดุ อยูเ พยี งแคเปน ผรู ับรูอ ารมณ และเรียนรโู ลก เพือ่ เก่ยี วของจัดการกับสิ่งแวดลอ มอยางไดผลดเี ทานนั้ แตไดก าวตอไปสคู วามเปน ผูเสพเสวยโลกดว ย สําหรับกระบวนการรับรบู ริสทุ ธ์ิน้ัน ถา จะพูดใหละเอียดชดั เจนตามหลกั ก็ตอ งตัดตอนทช่ี ว งตอ จาก ผัสสะนี้ดวยเหมือนกัน โดยถือวา การรบั รเู กิดข้ึนเสรจ็ ส้ินแลวที่ผัสสะ ดงั นน้ั กระบวนธรรมตอจากนไี้ ปจึงแยกได เปนอีกตอนหนง่ึ และขอเรยี กชือ่ วา กระบวนการญาณทัศนะ หรอื กระบวนธรรมแบบวิวฏั ฏ เปน คปู ฏิปก ษกบั กระบวนการสงั สารวัฏ แตก ระบวนธรรมแบบววิ ัฏฏ เปน เร่อื งของการแกป ญหาชวี ติ จึงจะยกไปพูดในตอนทวี่ า ดว ย “ชวี ิตควร ใหเปน อยางไร ?” และ “ชวี ิตควรเปน อยอู ยา งไร ?” ไมก ลา วไวใ นที่นี้ ข. กระบวนธรรมทสี่ บื ทอดจากผัสสะ เปน หวั เลย้ี วหวั ตอ ทางจรยิ ธรรมระหวา งความดกี ับความช่ัว ระหวางกศุ ลกับอกุศล ระหวา งความหลดุ พน เปนอิสระ กับการหมกติดหมนุ เวียนอยใู นสังสารวัฏ เมอื่ กลา วถึงสวนอื่นๆ ของกระบวนธรรมแลว กต็ อ งยอ นกลับไปพดู ถงึ อายตนะอีก เพราะกระบวนธรรม ตางๆ ท่กี ลาวมานนั้ ตอ งอาศยั อายตนะเร่มิ ตนที่อายตนะ เมอื่ วาองคธ รรมอื่นๆ สาํ คญั กต็ องวาอายตนะสาํ คญั เหมอื นกัน เชน เมอ่ื วาเวทนาเปน องคธรรมสําคัญยิ่งในกระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก อายตนะกย็ อ มมีความ สําคญั มากดว ย เพราะอายตนะเปน แหลงหรือเปน ชอ งทางท่ีอํานวยใหเวทนาเกิดขึ้น เวทนา เปน ส่ิงทม่ี นษุ ยมงุ ประสงค อายตนะ เปน แหลงอาํ นวยส่ิงทม่ี งุ ประสงคน ้นั

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 29 เทา ท่กี ลา วมา สรปุ ไดว า อายตนะ ๖ ทาํ หนา ทรี่ ับใชม นษุ ย ๒ อยา ง คือ ๑. เปน ทางรับรโู ลก หรอื เปนแหลง นําโลกมาเสนอตอ มนษุ ย เปน เครอ่ื งมอื สื่อสาร ทาํ ใหม นุษยไ ดร บั ขอ มูลแหงความรู ซงึ่ เปนสงิ่ จําเปนท่จี ะชว ยใหมนษุ ยสามารถเกยี่ วของกบั โลกไดถ ูกตอ ง ทาํ ใหชวี ติ อยรู อด และ ดาํ เนนิ ไปดว ยดี ๒. เปนชองทางเสพโลก หรือเปน ประตทู ่มี นษุ ยจ ะเปดออกไปรับอารมณท ่เี ปน รสอรอยของโลก มาเสพ เสวย ดว ยการดู การฟง การดม การล้ิมชิมรส การแตะตองเสยี ดสี ความสนกุ สนานบันเทงิ ตลอดจนจนิ ตนาการ ส่ิงที่หวานชื่นระรื่นใจ ความจริง หนาที่ท้งั สองอยา งน้ี ก็ติดเน่อื งอยดู ว ยกัน หนาทอ่ี ยา งแรก เรยี กไดว า เปน หนา ท่ี หลัก หรอื หนา ทพี่ ้นื ฐานที่จาํ เปน สวน หนาทท่ี ี่สอง เปน หนาที่รอง จะวา เปน ของแถมหรอื สวนเกนิ ก็คงได ในกรณที ง้ั สองนัน้ การทาํ งานของอายตนะก็อยา งเดยี วกัน ความแตกตางอยูทเ่ี จตจํานงของมนษุ ย ซึ่ง มงุ ไปทีค่ วามรู หรือมุงไปที่เวทนา สําหรบั มนุษยปถุ ชุ น ความสําคัญของอายตนะมกั จะกา วขา มมาอยูกับหนาที่อยางที่สอง คือการเสพ โลก จนถึงข้นั ที่กลายเปน วา หนา ที่อยางทห่ี น่งึ มีไวเพยี งเพื่อเปนสว นประกอบสนองการทาํ หนาที่อยา งที่สอง หรอื พดู อีกอยา งหนึ่งวา กระบวนการรับรมู ไี วเพ่อื รับใชกระบวนการเสพเสวยโลก หรอื รบั ใชก ระบวนการ สังสารวัฏเทา น้นั เอง ทงั้ น้ีเพราะวา ปถุ ุชนมกั ใชอ ายตนะ เพ่อื มงุ รบั รูเ ฉพาะความรูสว นทจี่ ะทําใหต นไดเ สพเสวยอารมณ อรอยของโลกเทานนั้ หาสนใจสงิ่ อนั พงึ รนู อกจากนน้ั ไม ยง่ิ กวานนั้ แมค วามสมั พนั ธก ับโลกในภาคแสดงออก ดว ยการทาํ การพดู การคิด กจ็ ะกลายเปน การ กระทําเพ่ือรับใชกระบวนการสังสารวฏั เชน เดยี วกัน คือ มงุ ทาํ พูด คิด เพ่ือแสวงหา และใหไ ดม าซงึ่ อารมณ สําหรบั เสพเสวย ยงิ่ เปน ปถุ ุชนที่หนามากเทา ใด ความติดของพวั พนั อยกู บั หนา ที่อยางท่ีสองของอายตนะ กย็ ง่ิ มากข้นึ เทา นัน้ จนถึงขั้นทว่ี า ชีวติ และโลกของมนษุ ย วนเวยี นอยูแคอายตนะ ๖ เทาน้นั เอง เทา ท่ีกลาวมานี้ จงึ เหน็ ไดวา แมอายตนะ ๖ จะเปนเพียงสว นหนึ่งของขนั ธ ๕ และไมครอบคลมุ ทุกสว น แหงชีวติ ของมนุษยโดยส้นิ เชิง เหมอื นอยางขนั ธ ๕ ก็จรงิ แตมนั กม็ ีบทบาทสาํ คญั ย่งิ ในการดําเนนิ ชวี ติ ของ มนษุ ย มีอํานาจกํากบั วิถีชีวติ ของมนุษยเปน อยางมาก จนกลา วไดว า ชีวิตเทา ที่มนษุ ยร จู ักและดาํ เนนิ อยู กค็ ือ การติดตอ เกี่ยวขอ งกับโลกทางอายตนะเหลา น้ี และชีวิตมคี วามหมายตอ มนษุ ยกด็ วยอาศัยอายตนะเหลา น้ี ถาอายตนะไมทําหนาทีแ่ ลว โลกกด็ ับ ชีวิตก็ไรความหมายสําหรบั มนุษย มีขอความแหงหนง่ึ ในบาลี แสดงกระบวนธรรมเทาที่กลา วมานีไ้ ดอยา งกระทดั รดั และชวยเชอื่ มความที่ กลาวมาในตอนวาดว ยขันธ ๕ เขากับเรอ่ื งท่ีอธิบายในตอนนี้ ใหต อ เนือ่ งกนั มองเห็นกระบวนธรรมไดครบถวน ตลอดสายยิ่งขน้ึ จงึ ขอยกมาอา งไว ดงั นี้ อาศยั ตาและรปู เกิดจกั ขวุ ิญญาณ, ความประจวบแหงธรรมทง้ั สามนนั้ เปนผสั สะ, เพราะผสั สะเปน ปจ จยั เวทนาจงึ ม,ี บคุ คลเสวยอารมณ ใด ยอมหมายรอู ารมณน น้ั (สญั ญา), หมาย

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 30 รูอารมณใ ด ยอมตริตรึกอารมณน ้ัน (วติ กั กะ), ตริตรึกอารมณใ ด ยอมผนั พิสดารซงึ่ อารมณน ั้น (ปปญ จะ), บคุ คลผนั พิสดารซึ่งอารมณใ ด เพราะการผันพสิ ดารนั้นเปน เหตุ ปปญจสญั ญาแงต างๆ (สญั ญาทซ่ี บั ซอ นหลาก หลาย) ยอ มผุดพลงุ สุมรุมเขา ในเรือ่ งรูปทั้งหลาย ท่พี งึ รไู ดดวยตา ทั้งที่เปนอดตี อนาคต และปจ จุบนั (ตอไปวา ดวยอายตนะและอารมณอ นื่ ๆ จนครบ ๖ คู ใจความอยางเดยี วกัน) กระบวนธรรมนี้ เขยี นใหเห็นงายข้นึ ดงั น้ี กระบวนการรบั รูบรสิ ทุ ธ์ิ กระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก (กระแสปกติตามธรรมชาติ) (เกิดมีผเู สวย-สิง่ ถูกเสวย ผคู ิด-ส่ิงถกู คิด) อายตนะ = ผสั สะ - เวทนา - สัญญา- (วิตกั กะ - ปปญจะ) - ปปญจสญั ญาแงตางๆ + (สงั ขาร) อารมณ + วิญญาณ เมื่อเกิดปปญ จสัญญาแลว กย็ ิ่งมีความตริตรึกนึกคดิ (วิตักกะ) ไดมากมายและกวา งขวางพิสดารยงิ่ ขนึ้ ทาํ ใหเกิดกิเลสตางๆ เชน ชอบใจ ไมชอบใจ หวงแหน ริษยา เปนตน ปนเป คลุกเคลา ไปกับความคดิ น้ัน หมายเหตุ: ๑. คาํ ที่ควรเขาใจ คือ ‘ปปญ จะ’ หมายถึง อาการทคี่ ลอเคลยี พัวพนั อยกู ับอารมณน ั้น และคิดปรุงแตงไปตา งๆ ดวยแรงตณั หา มานะ และทิฏฐิ ผลกั ดนั หรือเพือ่ สนองตัณหา มานะ และทฏิ ฐิ คอื ปรงุ แตง ในแงท จ่ี ะเปน ของ ฉนั ใหตวั ฉันเปนนั่นเปนนี่ หรือเปน ไปตามความเหน็ ของฉนั ออกรูปออกรางตางๆ มากมายพิสดาร จงึ ทาํ ให เกดิ ปปญจสญั ญาแงตางๆ คือสัญญาทงั้ หลายทีเ่ น่อื งดว ยปปญจะน่นั เอง ๒. จะเห็นวา มีสญั ญา ๒ ตอน สญั ญาชว งแรก คอื สญั ญาขัน้ ตน ทกี่ ําหนดหมายอารมณซ ึ่งปรากฏตามปกติ ธรรมดาของมนั สญั ญาชวงหลงั เรียกวา ‘ปปญ จสัญญา’ เปนสญั ญาเน่ืองจากสังขาร ท่ปี รงุ แตง ภาพอารมณ ใหอ อกรูปออกรา งแงม ุมตา งๆ มากมายพสิ ดารดังกลา วแลว ๓. จะเห็นวา กระบวนธรรมทั้งหมดนนั้ แยกไดเปน ๒ ตอน ก) ตอนแรก ต้ังแตอ ายตนะภายในถงึ เวทนา เปน กระบวนการรบั รบู รสิ ุทธ์ิ พึงสงั เกตวา ชว งตอนน้ี กระบวนธรรมเปนกระแสบริสทุ ธิต์ ามธรรมชาติ มีแตอ งคธ รรมทเี่ กิดขนึ้ ตามเหตปุ จ จยั (พงึ อานความทยี่ กมาอา ง ขางบน) ยังไมมีสัตว บุคคล ตัวตน เกย่ี วของ

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 31 ข) ตอนปลาย ตัดตอนแตเวทนาไปแลว เกิดเปน กระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก หรือกระบวนการ สงั สารวัฏ มารบั ชว งไป ความจริง ตง้ั แตเ วทนานี้ไปเปนทางแยก อาจตอดว ยกระบวนธรรมแบบวิวฏั ฏก ็ได แตใ น ทน่ี ีม้ งุ แสดงเฉพาะแบบสังสารวัฏกอน ขอพึงสงั เกตในตอนนี้ ก็คอื ต้ังแตจดุ เร่มิ ตน ของชว งหลังนี้ จะไมม ีเพียง องคธ รรมตางๆ ทเ่ี ปนเหตปุ จ จยั แกก นั ตามธรรมชาตเิ ทา นน้ั แตจะเกดิ มีสตั วบคุ คลขึ้นมา กลายเปน ความ สมั พันธร ะหวางผูเ สพเสวยกับส่ิงทถี่ ูกเสพเสวย ผคู ิดและส่งิ ทถ่ี ูกคิด เปนตน ๔. กระบวนธรรมเสพเสวยโลกในชวงปลาย ทแี่ สดงขา งบนนี้ เปน เพยี งวธิ แี สดงแบบหน่งึ เทา นั้น เลือก เอามาเพราะเห็นวา สนั้ และเขา กบั เรือ่ งทกี่ าํ ลังอธิบาย คอื ขนั ธแ ละอายตนะไดดี อาจแสดงแบบอน่ื อีกกไ็ ด เชนท่ี แสดงอยางพิสดารในหลักปฏิจจสมุปบาทแบบทัว่ ไป ซึง่ เปนกระบวนธรรมแบบสังสารวฏั โดยสมบรู ณ ๕) วา ตามหลกั อยา งเครง ครัด วญิ ญาณ ผสั สะ เวทนา สญั ญา ในกระบวนธรรมน้ี เปนสหชาตธรรม ทานถือวาเกิดรวมกนั พงึ เขา ใจวา ทเี่ ขยี นแสดงลําดบั ไวอ ยางนี้ มงุ เพอ่ื ศึกษาไดง าย เนอื่ งดว ยกระบวนธรรมนี้ แยกไดเ ปน ๒ ชวงตอน และชว งตอนหลังอาจแยกไปเปน กระบวนธรรมแบบ สงั สารวัฏ หรอื แบบวิวฏั ฏกไ็ ด ดงั นัน้ เพื่อมองเห็นภาพไดกวา งขวางขึ้น อาจเขยี นแสดงไดด งั น้ี อายตนะ -กระบวนธรรมแบบสงั สารวัฏฏ + -กระบวนธรรมแบบววิ ฏั ฏ อารมณ = ผสั สะ - เวทนา- + วญิ ญาณ ในเรื่องอายตนะน้ี มขี อควรทราบเพิ่มเตมิ เพอ่ื ประโยชนใ นการศึกษาตอ ไป ดงั นี้ - อายตนะภายใน หรอื ทวาร ๖ นน้ั มีช่ือเรยี กอกี อยางหนึ่งวา “อินทรยี  ๖” คําวา อนิ ทรีย แปลวา ภาวะที่ เปน ใหญ หมายถงึ สง่ิ ทท่ี ําหนาที่เปน ใหญเปน เจา หนาท่ี หรอื เปนเจาการในเรื่องน้นั ๆ เชน ตา เปน เจา การในการ รบั รูร ปู หู เปนเจาการในการรบั รูเ สยี ง เปน ตน อนิ ทรีย ๖ คอื จกั ขุนทรีย โสตนิ ทรยี  ฆานินทรยี  ชิวหินทรยี  กายนิ ทรีย และมนินทรยี  คาํ วา อินทรีย นยิ มใชก บั อายตนะในขณะทาํ หนา ทขี่ องมนั ในชีวติ จรงิ และเกยี่ วกบั จรยิ ธรรม เชน การสาํ รวมจักขนุ ทรีย เปน ตน สวน อายตนะ นิยมใชในเวลาพดู ถงึ ตวั สภาวะทีอ่ ยใู นกระบวนธรรม เชนวา อาศัยจักขุ อาศยั รูป เกิดจักขวุ ญิ ญาณ เปนตน และเม่ือพดู ถึงสภาวลกั ษณะ เชน วา จกั ขุไมเ ทย่ี ง เปน ตน อีกคาํ หน่ึงทีใ่ ชพ ูดกนั บอย ในเวลากลา วถึงสภาวะในกระบวนธรรม คือคาํ วา “ผัสสายตนะ” แปลวา ทีเ่ กิดหรอื บอ เกิดแหงผสั สะ คอื ท่ีมาของการรบั รูน ่ันเอง -อายตนะภายนอก หรืออารมณ กม็ ชี ื่อเรียกอยางอ่นื อกี คอื “โคจร” (ท่เี ทยี่ ว, ทหี่ ากิน) และ “วสิ ัย” (สง่ิ ผกู พนั , แดนดําเนนิ ) และชอื่ ทีค่ วรกาํ หนดเปนพิเศษ ใชเ ฉพาะกับอารมณ ๕ อยางแรก ซงึ่ มีอทิ ธิพลมาก ใน

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 32 กระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก หรอื แบบสงั สารวัฏ คือคําวา “กามคุณ” (สวนทน่ี า ใครนาปรารถนา, สวนทด่ี ี หรือสวนอรอยของกาม) กามคณุ ๕ หมายถึง รปู เสยี ง กล่นิ รส และโผฏฐพั พะ เฉพาะทีน่ าปรารถนา นาใครน า พอใจ ความถกู ตอ งและผดิ พลาดของความรู เมอื่ พูดถึง อายตนะ ซึง่ เปน แดนรับรู ก็ควรทราบเรื่องราวเกย่ี วกบั ความรูดวย แตเ รื่องที่ควรทราบเกีย่ ว กับความรู มีมากมายหลายอยา ง ไมอาจแสดงไวใ นทน่ี ที้ ั้งหมด จงึ จะกลา วไวเพียงเรื่องเดยี ว คอื ความถกู ตอ ง และผิดพลาดของความรู และแมในหวั ขอ นี้ ก็จะกลาวถงึ หลกั ท่ีควรทราบเพยี ง ๒ อยา งเทา น้นั ก. สัจจะ ๒ ระดับ ผูส ดับคําสอนในพระพทุ ธศาสนาบางคน เกิดความสับสน เมอื่ ไดอ านไดฟง ขอความบางอยา ง เชน บาง แหง วา ไมค วรคบคนพาล ควรคบบัณฑติ คนพาลมีลักษณะอยางนๆี้ บัณฑิตมลี ักษณะอยางนๆ้ี ควรยินดแี ต ของของตน ไมควรอยากไดของของผูอ นื่ ตนเปน ทีพ่ ่ึงของตน คนควรชวยเหลอื กัน ดงั นี้เปนตน แตบางแหงวา พงึ พจิ ารณาเหน็ ตามความเปนจรงิ วา กายก็แคก าย ไมใชส ตั ว บคุ คล ตวั ตน เราเขา พงึ รู เทา ทันตามเปนจรงิ วา ไมใ ชข องเรา ไมใชต ัวตนของเรา ส่งิ ท้ังหลายเปน อนัตตา ดงั น้ีเปนตน เมื่อไดอ านไดฟงอยา งน้แี ลว กม็ องไปวา คําสอนในทางพระศาสนาขดั แยงกันเอง หรอื ไมก ง็ งแลวไมเขา ใจ หรือบางคนเขาใจบางแตไ มช ดั เจนพอทาํ ใหเกดิ การปฏิบัตสิ ับสนผิดพลาด ดาํ เนนิ ชวี ิตไมส อดคลอ งกบั สภาพ ความเปนจรงิ ในเวลาท่คี วรพูดควรปฏบิ ตั ติ ามความรใู นชวี ติ ประจําวนั ของชาวบา น กลับพดู หรอื ปฏบิ ตั ิดวย ความยึดถือในความรตู ามสภาวะ เปน ตน ทําใหเกิดความวนุ วายและเสยี หาย ท้ังแกตนและผูอื่น คัมภรี ฝ า ยอภธิ รรม หวงั จะชวยปอ งกนั ความสบั สนผดิ พลาดเชน น้ี จงึ สอนใหร จู ักแยกสัจจะ หรือความ จริง เปน ๒ ระดบั กลาวคอื ๑. สมมติสจั จะ ความจรงิ โดยสมมติ (เรียกอกี อยา งหนง่ึ วา โวหารสจั จะความจรงิ โดยโวหาร หรือโดย สํานวนพูด) คอื จริงตามมติรวมกนั ตามทไ่ี ดต กลงกนั ไว หรือยอมรับรวมกนั เปนเครื่องมอื สือ่ สาร พอใหส าํ เร็จ ประโยชนในชีวติ ประจาํ วัน (conventional truth) เชน คน สตั ว คนดี คนชั่ว โตะ เกา อี้ หนงั สือ เปน ตน ตวั อยา ง ที่พอเทยี บใหเ หน็ เคา เชน ภาษาสามัญพดู วา นํา้ วา เกลอื เปน ตน ๒. ปรมัตถสัจจะ ความจรงิ โดยปรมัตถ คอื จริงตามความหมายสูงสุด ตามความหมายแท อยางย่ิง หรือ ตามความหมายแทข ้นั สุดทายทีต่ รงตามสภาวะและเทา ทีพ่ อจะกลา วถึงได หรือพอจะยงั พดู ใหเ ขา ใจกันได (ultimate truth) เพ่อื สาํ หรบั ใหเกดิ ความรคู วามเขาใจเทาทันความเปนจรงิ ของส่งิ ท้ังหลาย คอื รูจักส่ิงเหลา นนั้ ตามท่มี นั เปน และเพ่ือใหเกดิ ประโยชนอยางสงู สดุ คอื การหยงั่ รูส จั ธรรม ทีจ่ ะทาํ ใหความยดึ ติดถือม่ันหลงผิด

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 33 ทง้ั หลายสลายหมดไป ทําใหว างใจวางทา ทีตอส่งิ ท้ังหลายอยา งถกู ตอง หลดุ พน จากกเิ ลสและความทกุ ข มีจิต ใจเปน อิสระ ปลอดโปรง ผอ งใส เบกิ บาน มคี วามสขุ ทแ่ี ทจ รงิ ส่งิ ที่เปน จริงโดยปรมัตถ เชน นามธรรม รปู ธรรม เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ หรือจติ เจตสิก รูป นพิ พาน ผสั สะ เจตนา เอกัคคตา ชีวิตนิ ทรยี  ฯลฯ ตวั อยางทพี่ อเทยี บใหเ ห็นเคา เชน ในทางวิทยาศาสตรถ อื วา คาํ วา น้ํา วา เกลอื เปนตน ยังไมต รงสภาวะแท อาจมแี งความหมายทีค่ ลุมเครอื หรือเขวได นา้ํ แทๆ คอื hydrogen oxide (H2O) เกลอื สามัญก็เปน sodium chloride (NaCl) จึงถูกแท ดังน้เี ปนตน (ขอเปรียบเทียบน้ี ไมใ ชต รงกันแท แตเ ทียบพอใหเ หน็ วา ในวิชาการอ่นื กม็ กี ารมองเหน็ ความจริงดา นอนื่ ของสง่ิ สามญั และไม ยอมรับวา คาํ พูดสามญั ส่อื ความจริงไดตรงแท) อยางไรก็ดี ความคิดเกยี่ วกบั สมมตสิ ัจจะ และปรมตั ถสัจจะ ทท่ี านระบุออกมาเปนคําบญั ญัติในพระ อภธิ รรมน้ัน กย็ กเอาความในพระสตู รน่นั เองเปน ที่อา ง แสดงวา ความคิดความเขา ใจเร่อื งนี้ เปนของมแี ตเดมิ แตใ นครงั้ เดิมน้นั คงเปนท่เี ขาใจกันดี จนไมต องระบุคําบญั ญัติ ๒ คาํ นี้ ขอ ความในพระสตู รทที่ านยกมาอางน้ัน เปน คําของพระภิกษณุ ชี ่อื วชิรา มเี นอ้ื ความดงั น้ี น่แี นะมาร! ทา นจะมีความเหน็ ยึดถอื วา เปน สัตวไ ดอยา งไร, ใน สภาวะที่เปนเพียงกองแหง สงั ขารลว นๆ น้ี จะหาตัวสตั วไ มไ ดเลย, เปรียบเหมอื นวา เพราะคุมสว นประกอบเขา ดวยกนั ศพั ทวา “รถ” ยอมมฉี ันใดเมื่อขนั ธทัง้ หลายมอี ยู สมมติวา “สัตว” กย็ อ มมี ฉนั นน้ั ความคลา ยกันน้ี ทเี่ นน ในแงป ฏิบัติ คือ ความรูเทาทันสมมติ และเขาใจปรมตั ถ แลว รจู ักใชภาษาเปน เคร่ืองส่ือความหมาย โดยไมย ึดติดในสมมติ ไมเ ปน ทาสของภาษานั้น สามารถยกบาลที เี่ ปน พทุ ธพจนมาอางได อีกหลายแหง เชน ภกิ ษผุ ูเปน อรหนั ตขีณาสพ...จะพึงกลาววา ฉันพดู ดงั น้กี ็ดี เขาพดู กับฉัน ดังน้กี ด็ ี เธอเปนผู ฉลาด รูถอ ยคาํ ที่เขาพดู กันในโลก ก็พึงกลาวไปตามโวหารเทาน้ัน เหลาน้ีเปน โลกสมญั ญา เปน โลกนริ ุติ เปนโลก โวหาร เปน โลกบัญญัติ ซ่งึ ตถาคตใชพ ูดจา แตไ มย ึดติด อนึง่ พระอรรถกถาจารยบรรยายลกั ษณะของพระสตู ร (สุตตนั ตปฎ ก) วา เปน โวหารเทศนา เพราะเนื้อ หาสว นมากแสดงโดยโวหาร คือ ใชภ าษาสมมติ สวนพระอภธิ รรมเปน ปรมัตถเทศนา เพราะเนือ้ หาสว นมาก แสดงโดยปรมตั ถ คอื กลาวตามสภาวะแทๆ น้เี ปนขอ สังเกตเพ่อื ประดับความรูอยา งหนงึ่ ข. วิปลาส หรอื วิปล ลาส ๓ วปิ ลาส คือ ความรคู ลาดเคล่ือน ความรทู ่ีผนั แปรผิดพลาดจากความเปนจริง หมายถึง ความรูคลาด เคล่ือนข้ันพ้นื ฐาน ที่นําไปสคู วามเขา ใจผดิ หลงผดิ การลวงตัวเอง วางใจ วางทา ที ประพฤตปิ ฏบิ ัตไิ มถ กู ตอง ตอโลก ตอ ชีวติ ตอส่งิ ท้ังหลายทัง้ ปวง และเปนเครือ่ งกีดก้ันขดั ขวางบงั ตา ไมใ หม องเหน็ สัจภาวะ วปิ ลาส มี ๓ อยา ง คือ ๑. สัญญาวปิ ลาส สญั ญาคลาดเคล่ือน หมายรผู ดิ พลาดจากความเปนจรงิ ๒. จติ วปิ ลาส จิตคลาดเคลือ่ น ความคดิ ผิดพลาดจากความเปนจรงิ

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 34 ๓. ทิฏฐวิ ิปลาส ทฏิ ฐิคลาดเคล่อื น ความเหน็ ผดิ พลาดจากความเปนจรงิ สญั ญาวปิ ลาส หมายรูคลาดเคล่ือน เชน คนตกใจเห็นเชือกเปน งู กาและกวางปา มองหุนฟางสวมเสอื้ กางเกงมหี มอครอบ เห็นเปน คนเฝานา คนหลงทางเห็นทศิ เหนอื เปน ทศิ ใต เห็นทิศใตเปนทศิ เหนอื คนเห็นแสง ไฟโฆษณากระพริบอยูก ับที่ เปน ไฟวิง่ เปน ตน จติ วปิ ลาส ความคิดคลาดเคลือ่ น เชน คนบา คดิ เอาหญา เปน อาหารของตน คนจติ ฟนเฟอ นมองเหน็ คน เขา มาหา คดิ วาเขาจะทาํ ราย คนเห็นเงาเคลอ่ื นไหวในท่ีมดื สลัว คิดวาดภาพเปนผหี ลอก กระตายตนื่ ตมู ไดย นิ เสยี งลูกมะพราวหลน คดิ วาดภาพเปนวา โลกกําลงั แตก เปนตน ทฏิ ฐวิ ปิ ลาส ความเห็นคลาดเคลอ่ื น ตามปกติ สืบเนื่องมาจากสญั ญาวปิ ลาสและจิตวิปลาสนนั่ เอง เมอ่ื หมายรผู ดิ อยา งไร กเ็ หน็ ผิดไปตามนนั้ เมื่อคิดวาดภาพเคล่ือนคลาดไปอยางไร ก็พลอยเห็นผดิ เช่ือถือผิดพลาด ไปตามอยางนัน้ ยกตวั อยาง เชน เม่ือหมายรผู ิดวา เชอื กเปน งู กอ็ าจลงความเหน็ ยึดถือวาสถานท่ีบรเิ วณนน้ั มีงหู รอื มงี ู ชุม เมอ่ื หมายรวู าผนื แผน ดนิ เรยี บราบขยายออกไปเปนเสนตรง กจ็ งึ ลงความเหน็ ยดึ ถอื วาโลกแบน เมอ่ื คดิ ไปวา สิ่งท้ังหลายเกิดขนึ้ เปนไป เคลื่อนไหวตา งๆ ก็ตอ งมผี ูจ ัดแจงผลกั ดัน กจ็ งึ ลงความเห็นยึดถือวา ฟา รอ ง ฟา ผา แผนดินไหว ฝนตก นา้ํ ทว ม มเี ทพเจาประจาํ อยูและคอยบนั ดาล ดังน้ีเปน ตน ตัวอยา งท่ีกลา วมาน้ี เปนชัน้ หยาบทีเ่ หน็ งายๆ อาจเรยี กอยางภาษาพูดวา เปน ความวปิ ลาสขนั้ วปิ รติ สวนในทางธรรม ทานมองความหมายของวิปลาสอยางละเอียดถึงข้ันพื้นฐาน หมายถึงความรคู ลาด เคล่ือนชนิดทมี่ ิใชมีเฉพาะในบางคนบางกลุมเทานั้น แตมีในคนทว่ั ไปแทบท้งั หมดอยา งไมร ตู วั คนทัง้ หลายตก อยูใตอ ทิ ธิพลครอบงาํ ของมนั และวิปลาสทั้ง ๓ ชนิดนนั้ จะสอดคลอ งประสานกันเปนชุดเดียววิปลาสขัน้ ละเอียดหรือขัน้ พื้นฐานนน้ั พงึ เหน็ ตามบาลดี ังนี้ ภิกษทุ ัง้ หลาย สญั ญาวิปลาส จติ วิปลาส ทฏิ ฐิวิปลาส มี ๔ อยา งดงั น;ี้ ๔ อยา งอะไรบา ง ? (กลา วคือ) ๑. สญั ญาวิปลาส จิตวิปลาส ทฏิ ฐวิ ิปลาส ในสิ่งไมเท่ียง วา เทย่ี ง ๒. สญั ญาวปิ ลาส จติ วิปลาส ทฏิ ฐวิ ปิ ลาส ในส่งิ ทเี่ ปน ทกุ ข วา เปนสขุ ๓. สญั ญาวปิ ลาส จติ วิปลาส ทฏิ ฐวิ ปิ ลาส ในสง่ิ มใิ ชตัวตน วา ตวั ตน ๔. สัญญาวิปลาส จติ วปิ ลาส ทิฏฐวิ ปิ ลาส ในสิง่ ท่ีไมง าม วา งาม วิปลาสเหลาน้ี เปน อปุ สรรคตอการฝกอบรมเจริญปญญา และกเ็ ปนเปาหมายของการฝกอบรมปญ ญา ที่จะกําจดั มนั เสยี การพฒั นาความรูและเจรญิ ปญญาตามวิธที ีก่ ลาวไวใ นพทุ ธธรรม ลว นชว ยแกไขบรรเทาและ กาํ จดั วิปลาสไดทง้ั น้ัน เฉพาะอยางยง่ิ การใชโยนโิ สมนสกิ ารแบบสืบสาวหาเหตปุ จ จัยและแยกแยะองค ประกอบตรวจดูสภาวะ โดยมีสตพิ รอมอยพู ทุ ธพจนเกย่ี วกบั อายตนะ ก) สรรพสิ่ง โลก และบัญญัติตา งๆ

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 35 ภกิ ษุทัง้ หลาย เราจกั แสดงแกพ วกเธอซง่ึ “สรรพส่งิ ” (สิ่งทั้งปวง.ครบหมด, ทุกสิ่งทกุ อยาง), จงฟงเถิด; อะไรเลาคอื สรรพสิง่ : ตากับรปู หูกับเสียง จมูกกบั กลน่ิ ลิ้นกบั รส กายกับโผฏฐัพพะ ใจกับ ธรรมารมณ - น้ีเราเรียกวา สรรพสงิ่ พระองคผ ูเจริญ เรยี กกันวา “โลก โลก” ดังนี,้ ดวยเหตเุ พียงไร จงึ มโี ลก หรอื บัญญัติวาเปนโลก ? ดูกรสมทิ ธิ ที่ใดมีตา มรี ปู มีจกั ขวุ ิญญาณ มธี รรมอันพึงรดู ว ยจกั ขวุ ญิ ญาณ, ที่น่ันกม็ โี ลก หรอื บัญญัติ วาเปน โลก, ทใี่ ดมหี .ู ..มจี มกู ...มลี ้ิน...มีกาย...มใี จ มธี รรมารมณ มีมโนวญิ ญาณ มสี ง่ิ อนั พงึ รดู ว ยมโนวญิ ญาณ ทนี่ น้ั กม็ ีโลก หรือบัญญตั ิวา โลก ภกิ ษุท้ังหลาย เราไมกลาววา ท่ีสดุ โลก เปน สงิ่ ทร่ี ูได เห็นได ถงึ ไดด วยการไป, แตเรากไ็ มกลาวเชนกนั วา บคุ คลยังไมถึงทีส่ ุดโลก จะทาํ ความสน้ิ ทกุ ขไ ด (พระอานนทกลา ว :) ขอความที่พระผมู ีพระภาคตรสั ไวโดยยอ ยงั มไิ ดทรงแจกแจงเน้ือความโดยพสิ ดาร น้ี ขาพเจา เขาใจความโดยพิสดารดังนี้ :- บุคคลยอมสาํ คญั หมายในโลกวา เปนโลก ถือโลกวาเปน โลกดว ยสง่ิ ใด สงิ่ นน้ั เรยี กวา “โลก” ในอรยิ วนิ ยั ดว ยอะไรเลา คนจงึ สาํ คัญหมายในโลกวา เปน โลก ถือโลกวาเปนโลก ? ดว ยตา...ดวยห.ู ..ดว ยจมูก...ดวยล้นิ ...ดว ยกาย...ดว ยใจ คนจึงสาํ คัญหมายในโลกวา เปนโลก ถือโลกวา เปน โลก ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราจักแสดงการอทุ ัยพรอม และการอัสดงแหงโลก, จงฟง เถิด. การอทุ ยั พรอ มแหงโลกเปน ไฉน ? อาศยั ตา และรูป จงึ เกดิ จักขวุ ิญญาณ, ความประจวบแหง ส่งิ ท้งั สาม นน้ั คอื ผสั สะ, เพราะผสั สะเปนปจจยั เวทนาจงึ ม,ี เพราะเวทนาเปนปจ จยั ตณั หาจึงม,ี เพราะตัณหาเปนปจจยั อปุ าทานจึงมี, เพราะอปุ าทานเปนปจ จัย ภพจึงม,ี เพราะภพเปนปจ จยั ชาติจงึ ม,ี เพราะชาติเปน ปจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนัส และอุปายาสก็มีพรอม; น้ีคือการอทุ ัยพรอ มแหง โลก อาศัยห.ู ..อาศัยจมูก...อาศยั ลนิ้ ...อาศยั กาย...อาศยั ใจและธรรมารมณ จงึ เกิดมโนวิญญาณ ฯลฯ นค้ี ือ การอทุ ัยพรอมแหง โลก การอสั ดงแหง โลกเปน ไฉน ? อาศยั ตา และรปู จึงเกิดจักขุวญิ ญาณ,ความประจวบแหงส่ิงทงั้ สามนัน้ คอื ผสั สะ, เพราะผสั สะเปนปจ จัย เวทนาจงึ ม,ี เพราะเวทนาเปนปจ จยั ตัณหาจึงม,ี เพราะตัณหาน้นั แหละสาํ รอก ดบั ไปไมเ หลอื ความดับอปุ าทานจงึ มี, เพราะดบั อุปาทาน ความดับภพจึงมี, เพราะดับภพ ความดับชาตจิ งึ มี, เพราะดบั ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนัส และอุปายาส จึงดับ, ความดับแหงกองทกุ ขท้ังหมด ยอ ม มีไดอยางน;ี้ นีเ้ รียกวา การอัสดงแหงโลก อาศยั ห.ู ..อาศัยจมูก...อาศยั ลน้ิ ...อาศยั กาย...อาศัยใจและธรรมารมณ จึงเกิดมโนวิญญาณ ฯลฯเพราะตัณหาน้นั แหละสํารอกดบั ไปไมเ หลอื …นี้คือการอสั ดงของโลก พระองคผูเจรญิ เรียกกันวา “มาร มาร” ...เรยี กกันวา “สัตว สตั ว” ...เรยี กกนั วา “ทกุ ข ทกุ ข” ดังน,้ี ดว ย เหตุเพียงไร จงึ มมี ารหรือบญั ญัติวามาร...จงึ มสี ัตวห รือบญั ญัติวาสัตว... จงึ มที ุกขหรือบญั ญตั ิวา ทกุ ข ?

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 36 ดกู รสมิทธิ ท่ใี ดมีตา มีรปู มีจักขวุ ิญญาณ มธี รรมอันพงึ รูดว ยจักขวุ ิญญาณ ฯลฯ มีใจ มธี รรมารมณ มี มโนวิญญาณ มีธรรมอันพึงรดู ว ยมโนวิญญาณ, ทีน่ นั้ ก็มมี ารหรอื บญั ญตั ิวามาร...สตั วห รือบัญญัติวา สัตว. .. ทกุ ขหรือบัญญัติวา ทุกข เมอ่ื ตามอี ยู พระอรหนั ตท ัง้ หลายจงึ บญั ญัติสขุ ทุกข, เม่ือตาไมมีพระอรหนั ตทั้งหลายยอ มไมบัญญัติวา สขุ ทกุ ข, เมือ่ ห.ู ..เมอ่ื จมกู ...เม่อื ลิน้ ...เม่อื กาย...เม่อื ใจมอี ยู พระอรหนั ตท้งั หลาย จึงบญั ญัติสขุ ทกุ ข เมอื่ หู ฯลฯ ใจไมม ี พระอรหันตท ง้ั หลายยอมไมบัญญัตสิ ุขทุกข ข) ความจริงเดียวกัน ทง้ั แกผูห ลง และผูรเู ทาทัน ภิกษทุ ง้ั หลาย ตา...หู...จมกู ...ลิ้น...กาย...ใจ ไมเ ที่ยง...เปนทกุ ข...เปน อนตั ตา, แมส งิ่ ทเ่ี ปน เหตเุ ปน ปจ จัยใหตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดข้ึน กไ็ มเ ท่ยี ง เปน ทกุ ข เปน อนตั ตา, ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ซง่ึ เกิดจากสงิ่ ที่ ไมเ ทย่ี ง เปนทกุ ข เปนอนัตตา จักเปน ของเทย่ี ง จกั เปน สขุ จักเปน อัตตาไดแ ตท ไี่ หน รปู ...เสียง...กล่ิน...รส...โผฏฐพั พะ...ธรรมารมณ ไมเ ท่ียง...เปนทกุ ข… เปนอนัตตา, แมส่งิ ที่เปน เหตุ เปน ปจ จัยใหร ูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณเ กดิ ข้นึ กไ็ มเทยี่ ง เปนทุกข เปน อนตั ตา, รปู เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ ซง่ึ เกดิ จากส่ิงท่ไี มเ ทีย่ ง เปน ทกุ ข เปน อนัตตา จักเปนของเท่ยี ง เปนสขุ เปน อตั ตาได แตท่ีไหน ภิกษุทั้งหลาย ขา วกลา งอกงามบรบิ รู ณ และคนเฝา ขาวกลากป็ ระมาทเสีย, โคกนิ ขา วกลา ลงสขู า วกลา โนน พึงเมาเพลนิ ประมาทเอาจนเตม็ ท่ี ฉนั ใด, ปถุ ุชนผูมิไดเรยี นรู ไมสงั วรในผัสสายตนะ ๖ ยอ มเมาเพลิน ประมาทในกามคณุ ๕ จนเต็มที่ ฉนั นัน้ ภกิ ษทุ ้งั หลาย ผสั สายตนะ ๖ เหลานีท้ ไี่ มฝ ก ไมค ุมครอง ไมรกั ษาไมสังวร ยอ มเปนเคร่ืองนําทุกขมา ให. ..ผัสสายตนะ ๖ เหลาน้ี ทฝ่ี ก ดแี ลว คมุ ครองดี รักษาดี สงั วรดี ยอ มเปนเครอ่ื งนําสุขมาให... ตาเปน เครื่องผูกลามรูปไว, รูปเปน เครอ่ื งผกู ลามตาไว; หู - เสียง; จมูก - กลน่ิ ; ล้ิน - รส; กาย - โผฏฐัพพะ; ใจเปนเครือ่ งผูกลามธรรมารมณไ ว, ธรรมารมณเปน เครื่องผกู ลามใจไว ดงั นีห้ รอื ? (หามไิ ด) ตากม็ ิใชเครอ่ื งผกู ลามรูปไว, รปู ก็มิใชเ คร่อื งผูกลา มตาไว; ฉนั ทราคะ (ความชอบใจจนติด) ที่ เกิดขนึ้ เพราะอาศัยตาและรปู ทัง้ สองอยางนน้ั ตา งหาก เปนเครื่องผกู ลา มทต่ี าและรปู นั้น ฯลฯ ใจกไ็ มใชเ ครอื่ งผกู ลามธรรมารมณ, ธรรมารมณก ็มิใชเ คร่อื งผูกลามใจ; ฉนั ทราคะที่เกิดขึน้ เพราะอาศัยใจและธรรมารมณทัง้ สอง อยางนนั้ ตางหาก เปนเครอ่ื งผูกลามท่ใี จและธรรมารมณนนั้ หากตาเปน เครื่องผกู ลามรปู ไว หรือรูปเปนเครือ่ งผกู ลามตาไวแลวไซร, การครองชีวิตประเสรฐิ เพอื่ ความสน้ิ ทกุ ขโ ดยชอบ กจ็ ะปรากฏไมไ ด; แตเพราะเหตุที่ตาไมใ ชเครือ่ งผกู ลามรูป, รูปมิใชเ ครือ่ งผูกลา มตา, ฉนั ทราคะทเ่ี กดิ ขึน้ เพราะอาศัยตาและรปู สองอยางน้ันตา งหาก เปน เครือ่ งผูกลา มท่ตี าและรูปน้ัน, เพราะเหตุ ฉะนน้ั การครองชวี ิตประเสริฐเพอื่ ความสิน้ ทกุ ขโ ดยชอบ จึงปรากฏได ฯลฯ

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 37 พระผูมีพระภาคกท็ รงมีพระจกั ษุ, พระผมู พี ระภาคกท็ รงเห็นรปู ดว ยจักษ,ุ (แต) ฉันทราคะไมมแี กพ ระผู มีพระภาคเจา, พระผมู พี ระภาคทรงมพี ระทัยหลุดพน ดีแลว ; พระผูม พี ระภาคก็ทรงมพี ระโสต...พระฆานะ...พระ ชวิ หา...พระกาย...พระทยั ... ค) จิตใจใหญกวาง มีปญญานาํ ทาง อยูอยา งมีสติ พระองคผ ูเจรญิ ! ถงึ แมข าพระองคจ ะชราแลว เปนผูเฒาผูใหญ ลว งกาลผา นวัยมาโดยลาํ ดบั ก็ตาม, ขอพระผูมพี ระภาคสคุ ตเจา โปรดทรงแสดงธรรมแกข า พระองค แตโ ดยยอเถดิ ขา พระองคคงจะเขาใจความ แหงพระดํารัสของพระผูม พี ระภาคไดเ ปนแน ขาพระองคคงจะเปนทายาทแหงพระดาํ รัสของพระผมู ีพระภาคได เปน แน แนะ มาลงุ กยบุตร ! ทา นเห็นเปนประการใด ? รูปท้ังหลายท่พี ึงรูดวยจกั ษอุ ยางใดๆ ซึ่งเธอยงั ไมเห็น ทั้ง มเิ คยไดเห็น ทัง้ ไมเห็นอยู ทง้ั ไมเคยคดิ หมายวา ขอเราพงึ เหน็ , ความพอใจ ความใคร หรือความรกั ในรูปเหลา นนั้ จะมแี กเธอไหม ? ไมม ี พระเจาขา เสยี ง…กลน่ิ ...รส…โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณท งั้ หลาย อยางใดๆ ซง่ึ เธอไมไ ดทราบ ไมเ คยทราบ ไมท ราบ อยู ทัง้ ไมเคยคิดหมายวาเราพึงทราบ, ความพอใจ ความใคร หรอื ความรักในธรรมารมณเ หลา นนั้ จะมีแกเธอ ไหม ? ไมมีพระเจา ขา มาลุงกยบุตร! บรรดาส่งิ ทเี่ หน็ ไดยิน รู ทราบ เหลา นี้ ในส่งิ ทเี่ ห็น เธอจกั มแี คเ หน็ ในสิ่งทไ่ี ดยินจักมีแค ไดย นิ ในส่งิ ทล่ี ม้ิ ดม แตะตอง จักมแี ครู (รส กล่นิ แตะตอ ง) ในสิ่งท่ที ราบ จกั มแี คทราบ เมอื่ ใด (เธอมแี คเห็น ไดยนิ ไดร ู ไดทราบ) เมอื่ นนั้ เธอก็ไมม ดี วยนน่ั (อรรถกถาอธบิ ายวาไมถูกราคะ โทสะ โมหะ ครอบงาํ ), เมอ่ื ไมม ีดวยน่ัน ก็ไมม ีท่ีนน่ั (อรรถกถาอธบิ ายวา ไมพ ัวพนั หมกตดิ อยูในส่งิ ทีไ่ ดเ หน็ เปนตน น้นั ), เม่อื ไมม ีท่ีนน่ั เธอกไ็ มมที ่นี ่ี ไมมที โี่ นน ไมม ีระหวางท่ีนท่ี โี่ นน (ไมใ ชภ พนี้ ไมใชภพโนน ไมใชร ะหวา ง ภพท้งั สอง), น่ันแหละคือทจ่ี บสิ้นของทกุ ข (พระมาลุงกยบุตรสดับแลว กลา วความตามทต่ี นเขา ใจออกมาวา :) พอเหน็ รปู สตกิ ็หลงหลดุ ดวยมวั ใสใ จแตนมิ ติ หมายทน่ี ารัก แลว ก็มีจติ กาํ หนดั ตดิ ใจ เสวยอารมณแ ลว ก็ สยบอยกู บั อารมณนนั้ เอง, เวทนาหลากหลายอนั กอกาํ เนิดข้ึนจากรปู ขยายตวั เพิ่มขน้ึ จิตของเขาก็คอยถูก กระทบกระท่ัง ท้งั กบั ความอยากและความยุงยากใจ เมื่อสง่ั สมทุกขอยอู ยา งนี้ ก็เรยี กวาไกลนพิ พาน พอไดยินเสยี ง…พอไดกลิน่ ...พอลิ้มรส...พอถูกตอ งโผฏฐัพพะ...พอรูธรรมารมณ สติก็หลงหลุด ฯลฯ ก็ เรยี กวา ไกลนพิ พาน

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 38 เห็นรูปกไ็ มติดในรปู ดวยมีสตมิ ่ันอย,ู มีจติ ไมตดิ ใจ เสวยเวทนาไป ก็ไมสยบกับอารมณน ้นั ; เขามสี ติ ดาํ เนนิ ชีวติ อยา งท่วี า เม่อื เหน็ รปู และถึงจะเสพเวทนา ทกุ ขก ม็ ีแตส้นิ ไมส งั่ สม; เม่ือไมสงั่ สมทกุ ขอยูอยางน้ี ก็ เรยี กวาใกลนพิ พาน” ไดยนิ เสียง...ไดกลิ่น...ล้ิมรส…ถกู ตอ งโผฏฐพั พะ...รูธรรมารมณ กไ็ มต ิดในธรรมารมณ ดว ยมสี ติม่ันอยู ฯลฯ กเ็ รียกวาใกลนพิ พาน ดวยเหตเุ พยี งไร บุคคลช่อื วาเปนผูไมค ุมครองทวาร ? คนบางคนเหน็ รูปดวยตาแลว ยอ มนอมรกั ฝากใจ ในรูปที่นารัก ยอมขนุ เคอื งขัดใจในรูปที่ไมน ารกั มิไดมีสตกิ าํ กับใจ เปนอยโู ดยมจี ิตคบั แคบ (มีใจเล็กนดิ เดียว), ไมเขาใจตามเปนจริง ซ่ึงความหลดุ รอดปลอดพนของจิต และความหลดุ รอดปลอดพนดว ยปญ ญา ท่ีจะทําให บาปอกุศลธรรมซง่ึ เกดิ ขน้ึ แลวแกตวั เขา ดบั ไปไดโดยไมเหลือ; ฟงเสียงดวยห.ู ..สูดกลนิ่ ดว ยจมกู ...ลมิ้ รสดวย ลน้ิ ...ตอ งโผฏฐัพพะดวยกาย ทราบธรรมารมณด ว ยใจแลว ยอมนอ มรักฝากใจในเสียง...ในธรรมารมณ อนั นา รกั ยอ มขนุ เคอื งขดั ใจในเสยี ง...ในธรรมารมณ อันไมน ารัก ฯลฯ ดว ยเหตุเพียงไร บุคคลช่ือวาเปนผคู ุม ครองทวาร ? ภกิ ษเุ หน็ รูปดว ยตาแลว ยอมไมน อ มรกั ฝากใจในรูป ท่นี ารัก ไมข นุ เคืองขัดใจในรูปท่ไี มนารัก มสี ตกิ ํากบั ใจ เปน อยูอยางผมู จี ติ กวา งขวาง ไมมปี ระมาณ เขาใจตาม เปนจริง ซ่งึ ความหลุดรอดปลอดพนของจติ และความหลดุ รอดปลอดพน ดว ยปญญา ทจ่ี ะทาํ ใหบ าปอกศุ ลธรรม ซึ่งเกิดข้นึ แลวแกต ัวเขา ดับไปไดโดยไมเหลือ; ฟง เสียงดวยหู ฯลฯ ทราบธรรมารมณดวยใจ ยอมไมน อ มรกั ฝาก ใจในเสยี ง…ในธรรมารมณ อนั นารัก ไมข ุน เคอื งขัดใจใน เสยี ง…ในธรรมารมณ อันไมนารัก ฯลฯ” ง) กาวไปในมรรคาแหง อิสรภาพและความสขุ ภิกษทุ ั้งหลาย อยา งไรจงึ จะชื่อวาเปนผูอ ยดู ว ยความไมป ระมาท ? เม่ือภิกษสุ ังวรจกั ขุนทรยี อยู จติ ยอ ม ไมซา นแสไ ปในรูปทงั้ หลายท่พี งึ รดู ว ยจักษุ, เม่ือมจี ติ ไมซา นแส ปราโมทยก็เกิด, เมอื่ มปี ราโมทยแ ลว ปต กิ ็เกดิ , เมอ่ื มีใจปต ิ กายก็สงบระงบั , ผูมีกายสงบยอมเปนสุข, ผมู สี ุขจิตยอ มเปนสมาธิ, เมอ่ื จิตเปน สมาธิ ธรรมทั้งหลาย ก็ปรากฏ, เพราะธรรมท้ังหลายปรากฏ ผนู ้ันจึงนับวาเปนผูอ ยดู วยความไมประมาท” (เก่ยี วกับโสตะ ฆานะ ชวิ หา กาย มโน กเ็ ชน เดยี วกนั ) อานนท การอบรมอินทรีย (อินทรียภาวนา) ทยี่ อดเยี่ยม ในแบบแผนของอารยชน (อริยวินยั ) เปนอยา ง ไร ? เพราะเห็นรูปดวยตา…เพราะไดยนิ เสียงดว ยห.ู ..เพราะไดกลน่ิ ดวยจมกู ...เพราะรรู สดว ยลิน้ …เพราะตอง โผฏฐพั พะดว ยกาย...เพราะ รูธรรมารมณด ว ยใจ ยอ มเกิดความชอบใจบาง เกิดความไมชอบใจบา ง เกดิ ทั้ง ความชอบใจและไมชอบใจบา ง.แกภ กิ ษ;ุ เธอเขาใจชัดดังนี้วา ความชอบใจ ความไมชอบใจ ท้งั ความชอบใจ ไมช อบใจ ท่เี กดิ ขึ้นแลวแกเรานี.้ เปนสงิ่ ปรงุ แตง เปน ธรรมหยาบ เปนของอาศัยเหตปุ จ จัยเกดิ ขึ้น, ภาวะตอไปนี้ จงึ จะสงบประณตี น่นั คืออุเบกขา (ความมใี จเปนกลาง), (คร้นั แลว ) ความชอบใจ ความไมช อบใจ ทง้ั ความ ชอบใจไมช อบใจ.ที่เกดิ ขน้ึ แกเธอนัน้ .ก็ดบั ไป อุเบกขากต็ งั้ ม่ัน”สําหรับบคุ คลผูใดก็ตาม ความชอบใจ ความไม ชอบใจ ทง้ั ความชอบใจไมช อบใจ ทเ่ี กิดขน้ึ แลว ยอ มดับไป อุเบกขายอ มตง้ั มัน่ ไดเ รว็ พลนั ทันที โดยไมย าก

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 39 เสมอื นคนหลับตาแลว ลมื ตา หรือลืมตาแลวหลบั ตา ฯลฯ นีเ้ รยี กวา การอบรมอนิ ทรียท ีย่ อดเยี่ยม ในแบบแผน ของอารยชน... ภิกษุทงั้ หลาย กอ นสัมโพธิ เมือ่ ยังเปนโพธิสัตว ผยู ังไมต รสั รู เราไดเกิดความดํารขิ น้ึ ดงั น้ีวา : อะไรเปน คุณ (ความหวานชน่ื ความอรอ ย) ของจกั ษุ ? อะไรเปน โทษ (ขอเสีย ความบกพรอง) ของจกั ษุ ? อะไรเปน ทาง ออก (เปน อสิ ระ ไมต อ งองิ อาศัย) แหงจกั ษุ ? อะไรเปน คุณ...เปนโทษ...เปน ทางออก แหง โสตะ...ฆานะ...ชิวหา …กาย…มโน ? เราไดเกดิ ความคิดขนึ้ ดงั น้ี: สขุ โสมนัส ที่เกิดข้นึ เพราะอาศยั จักษุ น้คี อื คณุ ของจกั ษุ, ขอทจ่ี ักษุ ไม เท่ยี ง เปน ทุกข มคี วามแปรปรวนไปเปนธรรมดา น้ีคือโทษของจักษุ การกําจดั ฉนั ทราคะ การละฉันทราคะใน เพราะจักษเุ สียได นคี้ อื ทางออกแหงจกั ษุ (ของโสตะ ฆานะ ชวิ หา กาย มโน ก็เชนเดยี วกนั ) ตราบใด เรายงั มไิ ดร ูประจักษตามเปน จริง ซึ่งคุณของอายตนะภายใน ๖ เหลา น้ี โดยเปนคณุ , ซ่งึ โทษ โดยเปนโทษ, ซง่ึ ทางออก โดยเปน ทางออก, ตราบน้ัน เรากย็ ังไมป ฏิญญาวาเราบรรลุแลว ซง่ึ อนุตรสมั มา- สัมโพธญิ าณ... (ตอไปตรสั ถงึ คุณ โทษ ทางออกพน แหงอายตนะภายนอก ๖ ในทาํ นองเดยี วกัน) ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผูท ร่ี เู หน็ จกั ษุตามทมี่ นั เปน รเู ห็นรปู ทงั้ หลายตามที่มนั เปน รูเ ห็นจักขุวญิ ญาณตามท่มี ัน เปน รูเ หน็ จักษสุ ัมผสั ตามที่มนั เปน รูเห็นเวทนาอนั เปนสขุ หรอื ทกุ ขห รอื ไมสุขไมท กุ ข ซ่งึ เกิดขน้ึ เพราะจักษสุ มั ผสั เปนปจจยั ตามท่มี นั เปน ยอ มไมต ิดพนั ในจักษุ ไมต ดิ พันในรปู ทงั้ หลาย ไมต ดิ พนั ในจักขุวญิ ญาณ ไมต ิดพันใน จักขุสัมผสั ไมติดพันในเวทนา อนั เปนสุข หรอื ทกุ ข หรอื ไมสุขไมทุกข ท่ีเกดิ เพราะจักขุสมั ผสั เปน ปจ จัย เมือ่ ผูนนั้ ไมต ดิ พนั ไมหมกมุน ไมลมุ หลง รูเทา ทันเห็นโทษ ตระหนักอยู อปุ าทานขนั ธทงั้ ๕ ยอมถึง ความไมกอตวั พอกพนู ตอไป อนง่ึ ตัณหาทเ่ี ปนตัวการกอภพใหม อนั ประกอบดวยนนั ทริ าคะ คอยแสเ พลดิ เพลนิ อยูในอารมณต า งๆ กจ็ ะถูกละไปดวยความกระวนกระวายทางกายก็ดี ความกระวนกระวายทางใจก็ดี ความ เรารอนกายก็ดี ความเรา รอนใจกด็ ี ความกลัดกลุมทางกายกด็ ี ความกลดั กลุมทางใจก็ดี ยอมถูกเขาละได; ผนู นั้ ยอ มเสวย ทั้งความสุขทางกาย ทงั้ ความสุขทางใจ บคุ คลผูเปนเชน นัน้ แลว มคี วามเห็นอันใด ความเห็นน้ันก็เปนสัมมาทิฏฐิ, มีความดาํ รใิ ด ความดาํ รินนั้ ก็ เปน สัมมาสังกัปปะ, มคี วามพยายามใด ความพยายามนน้ั ก็เปนสัมมาวายามะ, มคี วามระลึกใดความระลึกนน้ั กเ็ ปน สัมมาสติ, มสี มาธิใด สมาธนิ ้ันก็เปนสมั มาสมาธิ, สวนกายกรรม วจกี รรม และอาชีวะของเขา ยอมบรสิ ุทธิ์ ดมี าแตตนทีเดยี ว; ดว ยประการดงั น้ี เขาชือ่ วามอี ริยอฏั ฐังคิกมรรคอนั ถงึ ความเจรญิ บริบูรณ (เกี่ยวกบั โสตะ ฆา นะ ชิวหา กาย มโน ก็เชน เดียวกนั ) คุณคาทางจรยิ ธรรม

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 40 ๑. ในแงกศุ ล-อกุศล ความด-ี ความชวั่ อายตนะเปน จดุ เรม่ิ ตน และเปนหัวเล้ียวหวั ตอ ของทางแยก ระหวา งกุศลกับอกุศล ทางสายหนงึ่ นําไปสคู วามประมาทมัวเมา ความชวั่ และการหมกติดอยูในโลก อีกสาย หน่ึงนําไปสูความรเู ทาทัน การประกอบกรรมดี และความหลุดพนเปนอิสระ ความสําคญั ในเร่ืองนอี้ ยูทว่ี า หากไมมีการฝก ฝนอบรมใหเขา ใจและปฏิบัตใิ นเรื่องอายตนะอยา งถูก ตองแลว ตามปกติ มนษุ ยทว่ั ไปจะถูกชกั จูง ลอ ใหดาํ เนนิ ชีวติ ในทางทีม่ งุ เพื่อเสพเสวยโลก เท่ียวทาํ การตางๆ เพียงเพื่อแสวงหารูป เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ที่ชอบใจ และความสนกุ สนานบันเทงิ ตา งๆ มาปรนเปรอตา หู จมกู ล้ิน ผวิ กาย และใจอยากของตน พอกพูนความโลภ โกรธ หลง แลวกอใหเ กดิ ความวุนวายเดือดรอ น ทงั้ แก ตนและผูอน่ื พอจะเห็นไดไมย ากวา การเบียดเบยี นกนั การขดั แยง แยงชงิ การกดข่บี ีบคนั้ เอารัดเอาเปรยี บกัน ตลอดจนปญ หาสงั คมตา งๆ ที่เกิดเพิ่มข้นึ และทแี่ กไขกันไมส ําเรจ็ โดยสวนใหญแ ลวกส็ บื เน่ืองมาจากการ ดําเนินชีวติ แบบปลอ ยตัวใหถูกลอถูกชกั จูงไปในทางท่จี ะปรนเปรออายตนะอยูเ สมอ จนเคยชินและรนุ แรงยิง่ ขึ้นๆ น่นั เอง คนจํานวนมาก บางทีไมเ คยไดรับการเตอื นสติ ใหส ํานึกหรอื ยัง้ คดิ ทีจ่ ะพจิ ารณาถึงความหมายแหง การกระทาํ ของตน และอายตนะท่ีตนปรนเปรอบางเลย และไมเคยปฏิบตั ิเกย่ี วกับการฝกอบรมหรอื สงั วรระวัง เกย่ี วกบั อายตนะหรืออนิ ทรียข องตน จึงมีแตความลุมหลงมัวเมายงิ่ ๆ ขนึ้ การแกไ ขทางจรยิ ธรรมในเร่ืองน้ี สวน หนงึ่ อยทู ีก่ ารสรางความเขา ใจใหร ูเทาทนั ความหมายของอายตนะและส่งิ ทีเ่ ก่ียวขอ งวา ควรจะมีบทบาทและ ความสาํ คญั ในชวี ติ ของตนแคไหน เพียงไร และอกี สวนหน่ึง ใหม กี ารฝก ฝนอบรมดว ยวธิ ปี ระพฤตปิ ฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั การควบคุม การสํารวมระวงั ใชงาน และรบั ใชอายตนะเหลานนั้ ในทางท่จี ะเปน ประโยชนอยางแทจ รงิ แกชีวิต ของตนเองและแกสงั คม ๒. ในแงความสุข-ความทกุ ข อายตนะเปน แหลงทีม่ าของความสขุ ความทุกข ซึ่งเปนเปาหมายแหงการ ดําเนนิ ชวี ิตทวั่ ไป และความเพยี รพยายามเฉพาะกิจแทบทุกอยางของปถุ ุชน ดานสุขก็เปน การแสวงหา ดา นทกุ ข กเ็ ปน การหลีกหนี นอกจากสุขทุกขจ ะเกยี่ วเนือ่ งกับปญ หาความประพฤติดปี ระพฤตชิ วั่ ทีก่ ลา วในขอ ๑ แลว ตวั ความสขุ ทุกขน นั้ ก็เปนปญหาอยูในตวั ของมนั เอง ในแงข องคณุ คา ความมแี กน สาร และความหมายทจ่ี ะเขาพงึ่ พาอาศยั มอบกายถวายชวี ิตใหอ ยา งแทจรงิ หรอื ไม คนไมนอย หลงั จากระดมเรย่ี วแรงและเวลาแหง ชวี ิตของตนว่ิงตามหาความสุขจากการเสพเสวยโลก จนเหนือ่ ยออนแลว ก็ผิดหวงั เพราะไมไ ดส มปรารถนาบา ง เมือ่ หารสอรอ ยหวานชืน่ กต็ อ งเจอรสข่นื ขมดว ย บาง ทยี ่ิงไดส ุขมากความเจบ็ ปวดเศราแสบกลับยิ่งทวีล้ําหนา เสียคาตอบแทนในการไดความสุขไปแพงกวาไดม า ไม คมุ กันบาง ไดสมปรารถนาแลว แตไ มชื่นเทาทห่ี วัง หรอื ถงึ จดุ ท่ีต้งั เปา หมาย แลวความสขุ กลบั วง่ิ หนอี อกหนา ไป อกี ตามไมท นั อยูร ํา่ ไปบา ง

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 41 บางพวกก็จบชวี ติ ลงทั้งท่ีกําลังวิ่งหอบ ยังตามความสขุ แทไ มพบหรือยงั ไมพ อ สว นพวกทผ่ี ดิ หวงั แลว ก็ เลยหมดอาลัยปลอ ยชีวติ เรื่อยเปอ ยไปตามเรือ่ ง อยอู ยา งทอดถอนความหลงั บาง หนั ไปดําเนินชีวติ ในทางเอียง สุดอีกดานหนง่ึ โดยหลบหนีตจี ากชีวิตไปอยอู ยางทรมานตนเองบา ง การศกึ ษาเรอื่ งอายตนะนี้ มงุ เพ่ือใหเกิดความรเู ทาทนั สภาพความจรงิ และประพฤติปฏบิ ัติดว ยการวาง ทาทีท่ถี กู ตอ ง ไมใหเกิดเปน พิษเปน ภัยแกตนเองและผอู ่นื มากนกั อยางนอยกใ็ หม ีหลัก พอรทู างออกท่จี ะแกไข ตัว นอกจากจะระมัดระวังในการใชว ธิ กี ารทจี่ ะแสวงหาความสขุ เหลา นีแ้ ลว ยังเขา ใจขอบเขตและขน้ั ระดบั ตา งๆ ของมนั แลว รูจ ักหาความสขุ ในระดบั ที่ประณีตยิง่ ขึ้นไปดว ย เมอ่ื คนประพฤติปฏิบตั เิ กยี่ วกับสขุ ทุกขอยางถกู ตอง และกาวหนาไปในความสุขทีป่ ระณีตย่ิงข้ึน กเ็ ปน การพัฒนาจรยิ ธรรมไปดว ยในตัว ๓. ในแงก ารพัฒนาปญ ญา อายตนะในแงทเี่ ปน เร่อื งของกระบวนการรับรแู ละการแสวงปญ ญา กเ็ ก่ียว ขอ งกับจริยธรรมตัง้ แตจ ดุ เร่ิมตน เพราะถา ปฏบิ ตั ิตอนเริม่ แรกไมถ ูกตอง การรบั รูกจ็ ะไมบรสิ ุทธ์ิ แตจ ะกลายเปน กระบวนการรับรูท่ีรบั ใชก ระบวนการเสพเสวยโลก หรอื เปน สว นประกอบของกระบวนธรรมแบบสงั สารวฏั ไปเสยี ทาํ ใหไดความรทู ่ีบดิ เบอื น เอนเอียงเคลอื บแฝง มีอคติ ไมถกู ตองตามความจรงิ หรอื ตรงกบั สภาวะตามทมี่ ันเปน การปฏบิ ตั ิทางจรยิ ธรรมทจ่ี ะชวยเกอ้ื กูลในเร่อื งน้ี กค็ ือวิธีการที่จะรักษาจติ ใหดํารงอยูในอเุ บกขา คือ ความมีใจเปนกลาง มจี ิตราบเรยี บเทยี่ งตรง ไมเ อนเอียง ไมใ หถกู อํานาจกิเลสมีความชอบใจไมช อบใจเปนตน เขาครอบงาํ ๔. ในแงว ธิ ปี ฏบิ ัตทิ ั่วไป การปฏิบตั ทิ างจริยธรรมท่เี กยี่ วขอ งกับอายตนะโดยตรงบา ง โดยออ มบาง มี หลายอยา ง บางอยางกม็ ีไวเพอื่ ใชใ นข้นั ตอนตางๆ กัน ท้ังนสี้ ดุ แตว า ปญหามกั จะเกิดขึ้นทจ่ี ุดใด ทกุ ขแ ละบาป อกศุ ลมักไดชอ งเขา มาทีช่ ว งตอนใด อยา งไรกต็ าม ทา นมกั สอนย้าํ ใหใชว ิธีระวังหรือปองกัน ตั้งแตชว งแรกท่สี ดุ คือ ตอนท่อี ายตนะรับอารมณทีเดยี ว เพราะจะทําใหป ญ หาไมเกดิ ขน้ึ เลย จงึ เปนการปลอดภัยทสี่ ุด ในทางตรงขา ม ถา ปญ หาเกิดขน้ึ แลว คือบาปอกุศลธรรมไดชองเขา มาแลว มักจะแกไ ขยาก เชน เมื่อ ปลอยตวั ใหอารมณที่ลอเรา เยา ยวนปรุงแตง จิต จนราคะ หรือโลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นแลว ทัง้ ทีร่ ผู ิดชอบช่วั ดี มีความสาํ นกึ ในสิ่งชอบธรรมอยู แตกท็ นตอ ความเยา ยวนไมไ ด ลอุ ํานาจกิเลส ทําบาปอกุศลลงไป ดวยเหตุนที้ า นจึงยาํ้ วิธีระมดั ระวงั ปอ งกันใหปลอดภยั ไวก อ นตงั้ แตตน องคธ รรมสาํ คญั ทใี่ ชระวงั ปองกนั ต้ังแตต น กค็ ือ สติ ซ่งึ เปนตัวควบคุมจติ ไวใ หอ ยกู บั หลัก หรือพดู อกี นยั หนง่ึ เหมือนเชือกสาํ หรบั ดึงจิต สติ ทีใ่ ชในขนั้ ระมดั ระวงั ปองกัน เกย่ี วกบั การรับอารมณข องอายตนะแตเบ้ืองตน น้ี ใชใ นหลกั ทเี่ รยี กวา อินทรียสังวร (การสํารวมอนิ ทรยี = ใชอนิ ทรียอ ยา งมสี ตมิ ิใหเกิดโทษ) เรยี กอีกอยางหนง่ึ วา การคมุ ครองทวาร หมายถงึ การมสี ตพิ รอ มอยู เมื่อรบั รูอ ารมณดว ยอนิ ทรยี  เชน ใชต าดู หูฟง กไ็ มปลอยใจเคลิบเคลิม้ ไปตามนมิ ิต

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 42 หมายตา งๆ ใหเกดิ ความติดใคร- ขนุ เคือง ชอบใจ-ไมช อบใจ แลวถูกโมหะและอกศุ ลอนื่ ๆ ครอบงําจติ ใจ (ใหไ ด แตป ญ ญาและประโยชน) การปฏิบัติตามหลักน้ี ชว ยไดท ง้ั 1. ปองกันความชั่วเสยี หาย 2. ปอ งกันความทกุ ข และ 3. ปองกนั การสรางความรคู วามคิดท่ีบิดเบือนเอนเอยี ง อยา งไรกต็ าม การทจ่ี ะปฏบิ ัติใหไดผ ล มใิ ชว าจะนําหลกั มาใชเ มื่อไรกไ็ ดต ามปรารถนา เพราะสตจิ ะตัง้ มน่ั เตรยี มพรอมอยเู สมอได จําตองมีการฝก ฝนอบรม อินทรยี สงั วรจงึ ตองมกี ารซอมหรอื ใชอยเู สมอ การฝก อบรมอนิ ทรยี  มชี ื่อเรียกวา อนิ ทรียภาวนา (แปลตามแบบวา การเจริญอินทรีย หรอื พัฒนา อินทรยี ) ผูท ่ฝี กอบรมหรือเจรญิ อนิ ทรียแ ลว ยอมปลอดภยั จากบาปอกุศลธรรม จากความทกุ ข และจากความรทู ่ี เอนเอยี งบิดเบอื นทงั้ หลาย เพราะปองกนั ไวไดก อนที่ส่ิงเหลาน้นั จะเกิดข้นึ นอกจากไมถ ูกอินทรียและส่ิงทรี่ บั รู เขามาลอ หลอกและครอบงาํ แลว ยงั เปน นายของอนิ ทรยี  สามารถบงั คบั ความรูสึกในการรับรูใหเปนไปในทางท่ี ดีท่เี ปน คุณ อินทรยี สังวร นี้ จัดวาเปนหลักธรรมในข้นั ศลี แตอ งคธ รรมสําคัญที่เปน แกนคือสตนิ ้ัน อยูในจําพวก สมาธิ ทําใหม กี ารใชกําลังจติ และการควบคมุ จิตอยเู สมอ จงึ เปนการฝก อบรมสมาธไิ ปดว ยในตวั โยนิโสมนสิการ ซ่ึงเปน วิธกี ารทางปญญา เปน ธรรมอกี อยา งหนึง่ ท่ีทา นใหใ ชในเรื่องนี้คูก บั สติ คือ ปฏบิ ตั ติ ออารมณท ีร่ บั รู โดยมองหรือพจิ ารณาในทางทจี่ ะใหไดค วามรู เห็นความจริง หรอื เห็นแงท ่ีจะเกดิ คุณ ประโยชน เชน พจิ ารณาใหรูเทาทันคุณโทษ ขอดีขอเสียของอารมณน ั้น พรอมทัง้ การท่จี ะมคี วามเปนอสิ ระ อยูดี มสี ุขได โดยไมตอ งพงึ่ พาอาศยั อารมณน ัน้ ในแงทีจ่ ะตอ งยอมใหค ณุ และโทษของมันเปนตัวกําหนดความสุข ความทุกขแ ละชะตาชวี ติ ขอ ปฏิบัติทกี่ ลา วถงึ เหลาน้ี มีแนวปรากฏอยูในพุทธพจนข างตน บา งแลว และบางหลักกจ็ ะอธบิ ายตอ ไป ขา งหนา อีก จึงพูดไวโ ดยยอเพยี งเทานี้. ชวี ติ เปนอยา งไร ? ไตรลกั ษณ ลักษณะโดยธรรมชาติ ๓ อยา งของสงิ่ ทง้ั ปวง ตวั กฎหรือตวั สภาวะ ตามหลักพุทธธรรมเบอ้ื งตนที่วา สิง่ ทง้ั หลายเกิดจากสวนประกอบตางๆ มาประชุมกนั เขา หรือมีอยูใน รปู ของการรวมตวั เขา ดวยกนั ของสว นประกอบตางๆ น้ัน มิใชห มายความวา เปน การนาํ เอาสวนประกอบที่เปน ชนิ้ ๆ อนั ๆ อยูแ ลว มาประกอบเขาดว ยกัน และเม่อื ประกอบเขา ดวยกนั แลว กเ็ กดิ เปน รปู เปนรางคมุ กนั อยู เหมือนเมอ่ื เอาวตั ถตุ างๆ มารวมกันเปน เครื่องอุปกรณต างๆ ความจริง ท่ีกลา ววา ส่ิงท้งั หลายเกดิ จากการประชุมกันของสวนประกอบตางๆ น้นั เปน เพยี งคํากลาว เพ่ือเขาใจงา ยๆ ในเบื้องตนเทา น้ัน แทจ ริงแลว ส่งิ ท้ังหลายมีอยูในรูปของกระแส สวนประกอบแตล ะอยางๆ

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 43 ลว นประกอบขน้ึ จากสวนประกอบอืน่ ๆ ยอ ยลงไป แตล ะอยางไมม ีตัวตนของตัวเองเปนอสิ ระ และเกดิ ดับตอ กนั ไปเสมอ ไมเทยี่ ง ไมค งที่ กระแสนไี้ หลเวยี นหรือดําเนินตอไป อยางทดี่ คู ลา ยกบั รักษารูปแนวและลักษณะทวั่ ไป ไวไดอยา งคอยเปนไป กเ็ พราะสวนประกอบทัง้ หลายมคี วามเกย่ี วเนือ่ งสมั พันธอาศยั ซึ่งกันและกัน เปนเหตุ ปจจยั สืบตอแกก ันอยา งหนึ่ง และเพราะสว นประกอบเหลาน้ันแตละอยา งลวนไมมตี ัวตนของมันเอง และไม เท่ยี งแทคงท่อี ยางหนง่ึ ความเปนไปตา งๆ ท้งั หมดนเ้ี ปน ไปตามธรรมชาติ อาศยั ความสมั พันธและความเปนปจ จัยเนอื่ งอาศัย กนั ของสิ่งทงั้ หลายเอง ไมมีตวั การอยางอืน่ ทน่ี อกเหนือออกไปในฐานะผสู รางหรือผบู นั ดาล จงึ เรียกเพือ่ เขา ใจ งา ยๆ วา เปน กฎธรรมชาติ มหี ลักธรรมใหญอ ยู ๒ หมวด ทีถ่ ือไดวา พระพทุ ธเจาทรงแสดงในรปู ของกฎธรรมชาติ คอื ไตรลกั ษณ และ ปฏจิ จสมปุ บาท ความจรงิ ธรรมท้ัง ๒ หมวดน้ี ถอื ไดว าเปน กฎเดียวกัน แตแสดงในคนละแงหรอื คนละแนว เพือ่ มองเหน็ ความจริงอยางเดียวกนั คอื ไตรลกั ษณ มุงแสดงลักษณะของส่ิงทัง้ หลายซงึ่ ปรากฏใหเห็นวาเปน อยา งนน้ั ในเม่อื ส่งิ เหลาน้นั เปนไป โดยอาการท่ีสมั พันธเน่อื งอาศัยเปนเหตปุ จจยั สบื ตอ แกก นั ตามหลกั ปฏิจจสมปุ บาท สว นหลักปฏิจจสมปุ บาท กม็ ุงแสดงถึงอาการท่สี ่งิ ทง้ั หลายมีความสมั พนั ธเน่อื งอาศัยเปนเหตปุ จจยั สบื ตอ แกกนั เปนกระแส จนปรากฏลักษณะใหเหน็ วาเปน ไตรลักษณ กฎธรรมชาตนิ ้ี เปน ธรรมธาตุ คือภาวะทท่ี รงตวั อยูโดยธรรมดา เปน ธรรมฐิติ คอื ภาวะทต่ี ้งั อยู หรอื ยืน ตวั เปน หลกั แนนอนอยูโดยธรรมดา เปน ธรรมนยิ าม คือกฎธรรมชาติ หรอื กําหนดแหงธรรมดา ไมเกยี่ วกับผู สรางผูบ นั ดาล หรือการเกดิ ข้ึนของศาสดาหรือศาสนาใดๆ กฎธรรมชาตนิ แ้ี สดงฐานะของศาสดาในความหมายของพทุ ธธรรมดวย วาเปน ผูคน พบกฎเหลานี้แลว นาํ มาเปด เผยชแี้ จงแกช าวโลกพทุ ธพจนแสดงหลกั ไตรลักษณ วา ดังน้ี ตถาคต (พระพทุ ธเจา ) ท้ังหลาย จะอบุ ัตหิ รือไมกต็ าม ธาตุ (หลัก) น้นั กย็ ังคงมีอยู เปนธรรมฐิติ เปน ธรรมนิยามวา ๑. สังขารท้งั ปวง ไมเทย่ี ง.............. ๒. สงั ขารทง้ั ปวง เปนทกุ ข............. ๓. ธรรมท้ังปวง เปน อนตั ตา.............. ตถาคตตรัสรู เขา ถงึ หลักนนั้ แลว จงึ บอก แสดง วางเปนแบบ ตง้ั เปน หลกั เปดเผย แจกแจง ทาํ ใหเขา ใจ งา ยวา “สังขารทงั้ ปวง ไมเทย่ี ง...สงั ขารทง้ั ปวง เปน ทุกข...ธรรมท้ังปวง เปนอนตั ตา...” ไตรลักษณนี้ ในอรรถกถาบางทีเรียกวา “สามัญลักษณะ” ในฐานะเปน ลกั ษณะรวม ทม่ี เี สมอกนั แก สังขารท้ังปวง (แตไ มเสมอกนั แกธ รรมทั้งปวง)

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 44 ยอ ดังนี้ เพือ่ ความเขา ใจงายๆ ใหค วามหมายของไตรลักษณ (the Three Characteristics of Existence) โดย ๑. อนจิ จตา (Impermanence) ความไมเ ทีย่ ง ความไมค งที่ ความไมค งตัว ภาวะท่ีเกิดข้ึนแลว เสื่อมและสลายไป ๒. ทกุ ขตา (Conflict) ความเปน ทกุ ข ภาวะที่ถูกบบี คนั้ ดว ยการเกดิ ขึ้นและสลายไป ภาวะท่ีกดดัน ฝน และขัดแยงอยใู นตวั เพราะปจจัยท่ีปรุงแตง ใหมีสภาพเปน อยางนน้ั เปล่ยี นแปลงไป จะทําใหค งอยูใ นสภาพ น้ันไมไ ด ภาวะทไี่ มส มบูรณม ีความบกพรองอยูในตวั ไมใหค วามสมอยากแทจรงิ หรอื ความพงึ พอใจเตม็ ที่ แกผู อยากดวยตณั หา และกอ ใหเ กดิ ทกุ ขแ กผ ูเขา ไปอยากไปยดึ ดวยตณั หา อปุ าทาน ๓. อนัตตตา (Soullessness หรือ Non-Self) ความเปนอนัตตา ความไมใชตวั ตน ความไมม ตี วั ตน แทจรงิ ทีจ่ ะส่ังบังคับใหเปนอยางไรๆ ได ส่ิงทงั้ หลายหากจะกลา ววามี ก็ตองวา มอี ยใู นรูปของกระแสทีป่ ระกอบดวยปจจัยตา งๆ อนั สมั พนั ธเ นอ่ื ง อาศัยกนั เกดิ ดบั สบื ตอกนั ไปอยูต ลอดเวลาไมข าดสาย จึงเปนภาวะทไี่ มเทยี่ ง เมื่อตองเกดิ ดบั ไมค งท่ี และเปน ไปตามเหตปุ จ จยั ทอี่ าศัย กย็ อมมีความบีบค้ัน กดดนั ขดั แยง และแสดงถงึ ความบกพรองไมส มบรู ณอ ยใู นตัว และเมอื่ ทุกสวนเปน ไปในรูปกระแสทีเ่ กดิ ดบั อยตู ลอดเวลาขนึ้ ตอเหตปุ จ จัยเชน นี้ ก็ยอ มไมเ ปนตวั ของตวั มตี วั ตนแทจริงไมไ ด ไมอ ยใู นอํานาจของใครๆ ทจี่ ะสัง่ บงั คับใหเปน ไปอยา งไรๆ ตามใจปรารถนา ในกรณีของสตั วบ ุคคล ใหแ ยกวา สัตวบ ุคคลนนั้ ประกอบดว ยขันธ ๕ เทานนั้ ไมมีสง่ิ ใดอน่ื อีกนอกเหนือ จากขันธ ๕ เปนอนั ตดั ปญ หาเรอ่ื งทีจ่ ะมตี วั ตนเปนอิสระอยตู างหาก จากน้นั หนั มาแยกขนั ธ ๕ ออกพิจารณาแต ละอยางๆ กจ็ ะเหน็ วา ขนั ธท กุ ขนั ธไ มเ ทีย่ ง เม่ือไมเท่ียงก็เปน ทุกข เปนสภาพบีบค้นั กดดันแกผ เู ขา ไปยึด เมือ่ เปน ทกุ ข กไ็ มใชต ัวตน ท่ีวา ไมใ ชต วั ตน กเ็ พราะแตละอยา งๆ ลว นเกิดจากเหตุปจจัย ไมม ตี ัวตนของมัน อยางหนง่ึ เพราะไมอยู ในอํานาจ ไมเ ปน ของของสตั วบ คุ คลนนั้ แทจริง (ถาสตั วบ คุ คลนัน้ เปนเจาของขนั ธ ๕ แทจริง ก็ยอ มตอ งบงั คับ เอาเองใหเปน ไปตามความตอ งการได และไมใ หเ ปลีย่ นแปลงไปจากสภาพที่ตอ งการได เชน ไมใ หแ ก ไมใหเจ็บ ปว ย เปนตน ได) อยา งหนง่ึ พุทธพจนแสดงไตรลกั ษณในกรณขี องขันธ ๕ มีตวั อยางที่เดน ดงั นี้ ภกิ ษทุ ้งั หลาย รูป...เวทนา...สญั ญา...สังขาร...วญิ ญาณ เปน อนัตตา หากรปู ...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ จักเปน อตั ตา (ตวั ตน) แลวไซร มันก็จะไมเ ปนไปเพ่อื อาพาธ ทงั้ ยังจะไดตามปรารถนา ในรปู ฯลฯ ในวิญญาณวา “ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสญั ญา...ขอสงั ขาร...ขอวิญญาณของเราจงเปนอยา งน้ีเถิด อยาไดเปนอยางนั้นเลย” แตเพราะเหตุทร่ี ูป ฯลฯ วญิ ญาณ เปนอนัตตา ฉะน้นั รปู ฯลฯ วิญญาณจึงเปน ไปเพื่อ อาพาธ และใครๆ ไมอาจไดต ามความปรารถนา ในรูป ฯลฯ วญิ ญาณวา “ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสญั ญา...ขอ สงั ขาร... ขอวิญญาณของเราจงเปนอยางนเี้ ถดิ อยาไดเปนอยางน้นั เลย”

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 45 ภิกษทุ ัง้ หลาย เธอท้ังหลายมีความเห็นเปนไฉน? รูปเทีย่ ง หรือไมเ ทยี่ ง ฯ (ตรัสถามทลี ะอยาง จนถงึ วิญญาณ) “ไมเท่ยี ง พระเจา ขา” ก็สง่ิ ใดไมเ ทย่ี ง สง่ิ นนั้ เปนทกุ ข หรอื เปน สขุ ? “เปนทุกข พระเจา ขา ” กส็ ่งิ ใดไมเ ท่ียง เปน ทุกข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา ควรหรอื ท่ีจะเฝา เหน็ สิ่งน้ันวา น่นั ของเรา เรา เปนน่ัน นน่ั เปน ตวั ตนของเรา? “ไมควรเห็นอยางนั้น พระเจา ขา” ภกิ ษุท้งั หลาย เพราะเหตุนั้นแล รปู ...เวทนา...สญั ญา...สังขาร...วญิ ญาณ อยางใดอยางหน่งึ ทัง้ ท่เี ปน อดตี อนาคต และปจจุบัน ทง้ั ภายในและภายนอก หยาบหรอื ละเอียด เลวหรือประณตี ทง้ั ทไ่ี กลและที่ใกล ท้งั หมดนนั้ เธอทัง้ หลายพงึ เห็นดว ยปญญาอนั ถกู ตอ ง ตามที่มันเปน วา “น่นั ไมใ ชข องเรา เราไมใ ชน นั่ น่ันไมใชต ัว ตนของเรา” มปี ราชญฝา ยฮินดแู ละฝา ยตะวันตกหลายทา น พยายามแสดงเหตุผลวา พระพทุ ธเจาไมไ ดทรงปฏเิ สธ อัตตา หรือ อาตมนั ในชน้ั สงู สดุ ทรงปฏเิ สธแตเพยี งธรรมทเ่ี ปน ปรากฏการณต างๆ อยา งเชนในพระสตู รนี้ เปน ตน ทรงปฏิเสธขนั ธ ๕ ทุกอยางวา ไมใชอ ัตตา เปน การแสดงเพียงวา ไมใ หห ลงผิดยึดเอาขันธ ๕ เปนอตั ตา เพราะอตั ตาท่ีแทจรงิ ซึ่งมีอยนู ้ัน ไมใ ชขนั ธ ๕ และยกพทุ ธพจนอ่นื ๆ มาประกอบอีกมากมาย เพ่ือแสดงวา พระ พุทธเจาทรงปฏิเสธเฉพาะธรรมท่เี ปน ปรากฏการณตางๆวา ไมใชอัตตา แตทรงยอมรบั อตั ตาในขัน้ สงู สดุ และ พยายามอธิบายวา นพิ พานมีสภาวะอยางเดยี วกับอาตมนั หรือวา นิพพานนนั่ เอง คอื อตั ตา เร่อื งน้ี ถา มีโอกาสจะไดวจิ ารณในตอนทีเ่ กยี่ วกับนพิ พาน สวนในท่ีนีข้ อกลาวสัน้ ๆ เพยี งในแงจ รยิ ธรรม วา ปุถชุ น โดยเฉพาะผูทไ่ี ดรบั การศกึ ษาอบรมมาในระบบความเชอ่ื ถอื เกีย่ วกับเร่ืองอาตมนั ยอมมีความโนม เอียงในทางที่จะยึดถือหรอื ไขวควาไวใหม ีอตั ตาในรูปหน่ึงรปู ใดใหจงได เปน การสนองความปรารถนาทแี่ ฝงอยู ในจิตสว นลกึ ท่ีไมร ูต ัว เม่ือจะตอ งสญู เสยี ความรูส ึกวา มีตัวตนในรูปหนง่ึ (ในชน้ั ขันธ ๕) ไป กพ็ ยายามยึดหรอื คิดสรางเอาที่เกาะเกย่ี วอันใหมขน้ึ ไว แตต ามหลกั พุทธธรรมน้ัน มไิ ดม ุงใหปลอ ยอยางหนง่ึ เพือ่ ไปยึดอกี อยา ง หน่ึง หรอื พน อิสระจากทีห่ น่ึง เพ่อื ตกไปเปนทาสอกี ทีห่ น่ึง อีกประการหนงึ่ พูดฝากไวสั้นๆ ใหไปคดิ วา ส่งิ ที่มี อตั ตา ยอ มมไี มได และสง่ิ ทม่ี ีได ตองไมมีอตั ตา อาการท่ีสงิ่ ทงั้ หลายมอี ยูในรปู กระแส มคี วามสมั พนั ธเ นอ่ื งอาศยั เปนปจจัยสบื ตอกนั และมีลักษณะไม เท่ยี ง เปนทุกข เปนอนัตตา อยา งไร ยงั จะตอ งอธิบายดว ยหลักปฏิจจสมุปบาทตอ ไปอกี ความจึงจะชัดยิ่งขนึ้ คุณคา ทางจริยธรรม ๑. หลกั อนจิ จตา

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 46 อนิจจตา แสดงความไมเ ที่ยง ความเกดิ ขึน้ ต้ังอยู และดบั ไปของสิง่ ทง้ั หลาย จนถงึ สวนยอยที่ละเอียดท่ี สุด ทงั้ ฝายรูปธรรม และนามธรรม ความไมเ ท่ยี งของสว นยอยตา งๆ เมื่อปรากฏเปนผลรวมออกมาแกสว นใหญ ท่ีมนุษยพอสงั เกตเหน็ ได ก็เรยี กกนั วา ความเปลย่ี นแปลง ซ่ึงทาํ ใหเ กดิ ความเขา ใจหรอื รูสึกเหมอื นกับวาสิ่งตา งๆ เหลาน้นั มีตวั มีตนของมัน ซ่งึ เดมิ มสี ภาพเปน อยางหน่งึ และบัดนีต้ ัวตนอันนัน้ เองไดเ ปลีย่ นแปลงแปรรูปไปเปน อีกอยางหนงึ่ ความเขา ใจหรอื รูสึกเชน นี้ เปน ความหลงผิดอยางหน่ึง เปน เหตใุ หเกดิ ความยดึ มนั่ ถอื ม่ัน นาํ ตัวเขาไป ผูกไวกบั ภาพความนกึ คดิ อยา งหน่ึงซ่งึ ไมต รงกับความเปน จรงิ เม่ือดาํ รงชวี ติ อยอู ยางผูไมรเู ทาทนั สภาวะ ยอม ถกู ฉดุ ลากใหกระเสือกกระสนกระวนกระวายไปตามภาพทส่ี รา งข้นึ ลวงตนเองนนั้ เรียกวา อยอู ยา งเปนทาส แต ผรู เู ทา ทันสภาวะ ยอ มอยอู ยา งเปนอสิ ระ และสามารถถอื เอาประโยชนจ ากกฎธรรมดาเหลาน้ีได ในทางจรยิ ธรรม หลักอนจิ จตาอาจใชใหเ ปน ประโยชนไ ดเ ปน อันมาก โดยเฉพาะที่เปนหลักใหญ ๒ ประการ คือ ๑) มชี ีวิตซ่งึ เปนอยดู วยปญญา ท่ดี านนอกไมประมาท เรงขวนขวายทาํ การปรบั ปรุงแกไขดว ยความรทู ตี่ รง ตอ เหตปุ จ จัย ความเปน อนจิ จงั น้ัน วา ตามสภาวะของมนั ยอมเปน กลางๆ ไมด ไี มช ว่ั แตเมื่อเปนเรอ่ื งเกย่ี วขอ งกบั ความเปน อยขู องมนุษย กม็ ีบญั ญัตคิ วามเปล่ียนแปลงดา นหนึง่ วา เปนความเจริญ และความเปล่ยี นแปลงอีก ดานหนึ่งวาเปนความเสอ่ื ม อยา งไรก็ดี ความเปล่ียนแปลงจะเปนไปในดานใด อยา งไร ยอ มแลวแตเ หตุปจ จยั ที่ จะใหเ ปน ในทางจรยิ ธรรม จึงนําหลกั อนจิ จตามาสอนอนโุ ลมตามความเขา ใจในเรอื่ งความเส่ือมและความเจรญิ ไดว า สิ่งที่เจรญิ แลว ยอมเสือ่ มได สิ่งที่เส่ือมแลวยอ มเจริญได และสง่ิ ทีเ่ จรญิ แลวยอมเจรญิ ยงิ่ ขึน้ ไปได ทั้งน้แี ลว แตเ หตุปจจยั ตางๆ และในบรรดาเหตปุ จจยั ทั้งหลายนั้น มนษุ ยย อมเปนเหตปุ จจัยทส่ี าํ คัญ ซึ่งสามารถสงผลตอ เหตุปจ จยั อน่ื ๆ ไดอยา งมาก โดยนัยนี้ ความเจรญิ และความเสอ่ื มจึงมิใชเ รื่องท่ีจะเปนไปเองตามลมๆ แตเ ปนสิ่งท่ีมนุษยเขา ไปเกีย่ ว ขอ ง จัดการ และสรางสรรคไ ด อยา งทเี่ รยี กวา ตามยถากรรม คอื แลว แตม นษุ ยจ ะทาํ เหตุปจจัย โดยไมตอ งคอย ระแวงการแทรกแซงจากตัวการอยา งอน่ื นอกเหนือธรรมชาติ เพราะตวั การนอกเหนอื ธรรมชาตไิ มมี ดังนน้ั ในทางจรยิ ธรรม ความเปนอนจิ จัง หรอื แมจ ะเรยี กวาความเปลี่ยนแปลง จึงเปนกฎธรรมชาตทิ ที่ าํ ใหมนุษยม ีความหวัง เพราะกฎธรรมชาติยอ มเปน กลางๆ จะใหเ ปนอยางไรแลว แตจ ะทาํ เหตปุ จ จัยท่จี ะใหเปน อยา งนัน้ ขึ้น การเปลี่ยนแปลงเพ่อื ใหดขี ึน้ จงึ เปน สง่ิ ที่ทําได ไมวา จะเปน การสรางความเจรญิ ทางวัตถุ หรือทาง นามธรรม ต้งั แตก ารทาํ คนโงใ หเ ปน คนฉลาด จนถงึ ทาํ ปุถชุ นใหเปนพระอรหนั ต รวมทง้ั การแกไข กลับตัวปรบั ปรงุ ตนเองทกุ อยา ง สุดแตจ ะรูเขา ใจเหตปุ จ จยั ท่จี ะใหเปน อยางนน้ั แลวสรา งเหตปุ จ จยั นัน้ ๆ ขน้ึ

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 47 โดยสรุป ความเปน อนจิ จงั ในความเขาใจระดบั ท่เี รยี กวา เปน ความเปล่ยี นแปลง สอนวา สําหรับผูสราง ความเจริญหรือผเู จริญข้นึ แลว ตอ งตระหนกั วา ความเจรญิ นั้นอาจเปลย่ี นเปนเสอื่ มได เมอ่ื ไมต อ งการความ เสื่อม ก็ตอ งไมป ระมาท ตองหลีกเวน และกาํ จดั เหตุปจจยั ที่จะใหเกดิ ความเปลย่ี นแปลงในทางเส่ือม พยายาม สรางและเปด ชอ งใหแ กเ หตปุ จจยั ท่จี ะใหเ กดิ ความเปลย่ี นแปลงอยางที่จะรกั ษาความเจรญิ น้นั ไว สาํ หรบั ผู พลาดเส่ือมลงไปก็สามารถแกไ ขปรบั ปรงุ ได โดยละท้งิ เหตปุ จจัยทที่ ําใหเ ส่อื มนัน้ เสยี กลบั มาสรางเหตุปจจัยท่ี จะทาํ ใหเ จรญิ ตอ ไป ยง่ิ กวา นั้น ความเปลีย่ นแปลงทีเ่ ปน ไปในทางเจริญอยแู ลว กส็ ามารถสง เสรมิ ใหเ จรญิ ย่งิ ขน้ึ ได โดยเพมิ่ พูนเหตปุ จ จัยท่จี ะทาํ ใหเจรญิ ใหมากยิง่ ขึ้น พรอมกบั ที่ตอ งไมประมาทมัวหลงระเรงิ ในความเจรญิ นน้ั จนมองไมเห็นความเปน ไปไดข องความเส่อื ม และเหตุปจจัยตางๆ ที่จะใหเ กดิ ความเส่อื มนน้ั เสยี เลย กลา วมาถึงขั้นนี้ กม็ าถึงหลักธรรมสําคญั ทีส่ ดุ ที่เปนเครือ่ งประสานระหวางสจั ธรรมกับจริยธรรม คอื การทจี่ ะตอ งมปี ญญา ตง้ั ตนแตร ูวาความเส่ือมและความเจริญแทจรงิ ที่ตอ งการน้นั คอื อะไร เหตุปจจัยท่จี ะให เกิดความเปลย่ี นแปลงอยา งที่ตอ งการนน้ั คอื อะไร ตลอดจนขอ ท่ีวา จะเพ่มิ พนู ความสามารถของมนษุ ยในการ เขาไปผลักดนั เหตุปจ จัยตางๆ ไดอ ยา งไร หลกั อนจิ จตา จงึ มคี วามหมายอยา งยงิ่ ในทางจริยธรรม ตัง้ แตใ หค วามหวงั ในการสรางความเจรญิ กาว หนา รับรองหลักกรรม คือความมีผลแหง การกระทําของมนษุ ย จนถึงเนน ความสําคญั ของการศึกษาใหเกดิ ปญ ญาท่สี าํ หรบั จะเขามาเกยี่ วของกับความเปลย่ี นแปลงตางๆ อยางมผี ลดี ๒) มชี ีวติ ซ่ึงเปน อยูด ว ยปญญา ท่ีดา นในจิตใจอสิ ระ เปน สุขผองใสปลอยวางไดดว ยความรเู ทา ทันเหตุ ปจจยั ในดา นชวี ิตภายใน หรอื คณุ คา ทางจิตใจโดยตรง หลักอนิจจตา ชวยใหด ํารงชีวิตอยูอยางผูร เู ทา ทนั ความ จรงิ ขณะทีท่ างดา นชีวติ ภายนอก เมือ่ รตู ระหนกั ถึงความผนั ผวนปรวนแปรไมแ นนอน จึงไมน ่งิ นอนใจขวนขวาย ไมป ระมาท คอยใชป ญญาศึกษาใหร เู ทา ทันเหตปุ จจยั ทําการปรับปรุงแกไข หลีกเวน ความเสือ่ ม และสรา งสรรค ความเจริญอยตู ลอดเวลา โดยไมปลอยปละละเลย แตภายในจิตใจ ดว ยปญญาท่รี ูเทา ทันเหตปุ จจยั น้นั กป็ ลอ ย วางได ดํารงอยูดว ยจติ ใจท่เี ปนอสิ ระ ไมตกเปนทาสของความเปลีย่ นแปลงทั้งดา นเสื่อมและดา นเจรญิ รจู กั ทจี่ ะ ถอื เอาประโยชนจากกฎธรรมชาตแิ หง ความเปลี่ยนแปลงน้นั และเกี่ยวของกบั มนั โดยไมตองถูกกระแทกกระทั้น ซดั เหวย่ี งฉุดกระชากลากไปอยางไรห ลักเลือ่ นลอยและมดื มัว เพราะเอาตวั เขา ไปยดึ มั่นเกาะติดอยูกับเกลยี ว คลื่นสว นโนน สวนนี้ ในกระแสของมันอยา งไมร หู วั รหู น จนชว ยตนเองไมได ทจ่ี ะชวยคนอ่นื เปน อนั ไมตอ งพูดถึง ผูม ีจติ ใจเปน อสิ ระ รเู ขาใจส่งิ ทัง้ หลายตามความเปนจริง ไมย ดึ มน่ั ถอื มน่ั ดว ยตณั หาอปุ าทานเทา นน้ั จงึ จะรูวาอะไรเปน ความเสือ่ ม อะไรเปน ความเจรญิ ทีแ่ ทจริง มใิ ชเพียงความเจริญที่อางสําหรบั มาผูกรดั ตวั เองและ ผูอ่นื ใหเปน ทาสมากย่ิงขึ้น หรือถว งใหจมต่ําลงไปอีก และจงึ จะสามารถใชป ระโยชนจ ากความเจรญิ ทส่ี รางขึ้น นน้ั ไดมากทส่ี ุด พรอ มกับที่สามารถทําตนเปนท่ีพง่ึ แกค นอืน่ ไดอยา งดี ในทางจรยิ ธรรมข้ันตน หลกั อนจิ จตา สอนใหร ธู รรมดาของสิง่ ทั้งหลาย จึงชว ยไมใ หเกิดความทุกขเกนิ สมควรในเม่อื เกดิ ความเสอ่ื ม หรือความสูญเสีย และชว ยไมใ หเ กิดความประมาทหลงระเรงิ ในเวลาเจรญิ

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 48 ในขัน้ สงู ทาํ ใหเขา ถึงความจรงิ โดยลําดับจนมองเห็นความเปนอนตั ตา ทําใหด าํ รงชวี ติ อยูดว ยจติ ทีเ่ ปน อสิ ระ ไมมคี วามยึดติดถือมนั่ ปราศจากทุกข อยางทเี่ รยี กวามสี ุขภาพจิตสมบรู ณแทจรงิ หลักอนจิ จตา มักมีผนู ิยมนาํ มาใชเปนเครือ่ งปลอบใจตนเอง หรอื ปลอบใจผอู น่ื ในเมอ่ื เกิดภยั พิบตั ิ ความทุกข ความสูญเสียตา งๆ ซึง่ ก็ไดผลชวยใหคลายทกุ ขล งไดมากบา งนอ ยบา ง การใชหลกั อนิจจตาในแงน้ี ยอ มเปน ประโยชนบ า ง เม่อื ใชใ นโอกาสที่เหมาะสม และโดยเฉพาะสําหรบั ใหส ติแกผ ไู มค ุน หรอื ไมเ คยสาํ นกึ ใน หลกั ความจรงิ น้มี ากอ น แตถา ถงึ กับนําเอาการปลอบใจตวั แบบนี้มาเปนหลกั ในการดํารงชวี ติ หรอื มชี วี ติ อยดู ว ย การปลอบใจตัวเองอยา งน้ี จะกลับเปนโทษมากกวา เพราะกลายเปนความประมาท เทา กับปลอ ยตวั ลงเปน ทาส ในกระแสโลก คอื ไมไดใชหลกั อนจิ จตาใหเปนประโยชนนนั่ เอง เปน การปฏิบตั ิผิดตอ หลกั กรรมในดานจริยธรรม ขดั ตอ การแกไ ขปรบั ปรงุ ตนเองเพ่ือเขาถึงจดุ หมายทพ่ี ุทธธรรมจะใหแ กช ีวิตได ๒. หลกั ทกุ ขตา ในหลกั ทุกขตา มีเกณฑส ําคัญสาํ หรบั กาํ หนดคุณคา ทางจริยธรรมอยู ๒ อยาง คือ ๑) ทุกขทเ่ี ปนธรรมดาของสังขาร ตองรูทนั ไมย ดึ ฉวยเอามาใสต วั ใหเ ปนทุกขข องเรา แตเปนภาระท่ตี อ ง จัดการดว ยปญญาท่ีรูเหตปุ จ จัย ในเม่ือสิง่ ทัง้ หลายเกิดจากการประชุมกันเขา ขององคประกอบตา งๆ ทเี่ ปน สวนยอยๆ ลงไป และองค ประกอบเหลาน้ัน แตล ะอยางลวนไมเ ทยี่ ง กาํ ลงั ตกอยูใ นอาการเกดิ ข้นึ แปรไป และสลายตวั ตามหลักอนจิ จตา อยูด วยกนั ท้ังส้นิ ส่งิ ที่เปน หนว ยรวมน้นั จงึ เทา กบั เปนท่ีรวมของความแปร ปรวนและความขัดแยงตา งๆ และ แฝงเอาภาวะทพี่ รอมจะแตกแยกและเสอื่ มสลายเขา ไวใ นตัวดวยอยางเต็มท่ี เมอ่ื เปน เชนน้ี การทจี่ ะควบคุมองคป ระกอบตางๆ ทกี่ ําลังเปลย่ี นแปลงอยูน้นั ใหค มุ รูปเปนหนว ยรวม ตามรูปแบบท่ีประสงคกด็ ี การทจี่ ะควบคมุ การเปล่ียนแปลงน้นั ใหดําเนนิ ไปในทศิ ทางทีต่ อ งการก็ดี จะตองใช พลงั งานและวธิ ีการจดั ระเบียบเขามารวมเปน องคประกอบชว ยเปนเหตปุ จจยั เพ่ิมข้นึ อีกดว ย ยง่ิ องคประกอบ สวนยอ ยๆ ตางๆ น้นั มมี ากและสลับซับซอนยงิ่ ข้นึ เทา ใด กต็ อ งใชพลังงานมากข้ึนและมีการจดั ระเบียบท่ี ละเอียดรดั กุมยิ่งขึน้ เทานนั้ การปฏบิ ัตติ อ สงิ่ ท้งั หลาย เพือ่ ใหเปนอยา งนั้นอยา งน้ี จะตองทาํ ท่ตี วั เหตุปจ จัยของมนั และรชู ดั ถงึ ความสาํ เรจ็ ผล หรือความผิดพลาดพรอมท้ังทางแกไ ขตอไปตามความพรอ มของเหตปุ จ จยั เหลานั้น นค้ี ือวธิ ี ปฏบิ ตั ติ อ สิง่ ทั้งหลายอยางอสิ ระไมผูกมดั ตวั และไมเปนเหตุใหเ กดิ ความทุกข สว นวิธที ่ตี รงขา มจากนี้ ก็คือการกระทําตามความยึดอยากดว ยตณั หาอปุ าทาน โดยนาํ เอาตวั เขา ไปผกู มัดใหส ิ่งเหลานัน้ บบี คน้ั ซ่ึงนอกจากจะทําใหเกิดความทุกขแกตนเองแลว กไ็ มช วยใหเกิดผลดอี ยา งใดๆ ขึน้ มา ๒) หลกั อริยสจั บอกหนาทก่ี าํ กับไววา ทุกขส ําหรบั ปญญารทู ันและทาํ ใหไมเ กิดไมม ี แตส ุขทค่ี นมงุ หมาย ตอ งทาํ ใหกลายเปน ชีวติ ของเราตามหลกั “กิจในอริยสจั ” หนา ท่ีทจ่ี ะตอ งปฏบิ ตั ติ อ ทกุ ข ไดแ ก ปริญญา คอื การ

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 49 กําหนดรู หรือทําความเขาใจ หมายความวา เร่ืองทุกขน ี้บุคคลมหี นาท่ีเก่ียวขอ งเพียงแคก ําหนดรูหรือทาํ ความ เขาใจเทา น้ัน การปฏบิ ตั ิตอ ทุกขโดยถูกตองตามหลักกิจในอริยสจั นี้ เปนเรอ่ื งสาํ คญั อยา งยงิ่ แตเ ปน เรื่องทม่ี ักถูกมอง ขามไป พุทธธรรมสอนใหป ฏบิ ัติตอทกุ ขด วยการศกึ ษาใหร วู า อะไรเปน อะไร ใหรจู ักทกุ ข คือใหร จู ักปญ หาของ ตน มใิ ชเพ่อื ใหเ ปนทุกข แตเ พอื่ ปฏบิ ัติตอ มนั ไดถ กู ตอง แลว จะไดไ มม ีทกุ ข หรือพดู อยางงา ยๆ วา เพ่ือจะไดมี ความสุขทีแ่ ทจริงนั่นเอง พูดอกี นัยหนึง่ ก็คอื หลกั กจิ ในอรยิ สจั สอนวา สิง่ ใดกต็ ามทีเ่ ปน ปญหาหรอื อาจจะเปน ปญ หาขึ้นแกต น มนุษยจะตองศกึ ษาสิ่งน้นั ใหรใู หเขาใจอยา งชดั เจนท่สี ดุ เพ่อื จะไดจ ัดการแกไขปองกนั ปญ หานัน้ ใหถกู จดุ การ ศึกษาปญ หามิไดหมายความวา เปน การสรา งปญหาหรอื หาปญ หามาใสต น แตเ ปน วธิ ีทจี่ ะทําใหป ญ หาหมดไป หรือไมม ี เหมอื นแพทยจ ะบาํ บัดโรครักษาคนไข ก็ตอ งรูจกั ชวี ิตรางกายและวินิจฉยั โรคใหถกู ตลอดจนรูเ ขาใจให ถึงขน้ั ท่ีจะปอ งกนั ไมใหเ กดิ เปน โรคขึ้นมา ทกุ ขน น้ั เม่ือเรารูทนั และปฏบิ ัตหิ รอื จดั การกับมันอยางถูกตอง กท็ าํ ใหม นั ไมมแี ละไมเ กิดขึ้นมา แตถารู ไมทันและปฏิบตั ไิ มถ กู กไ็ ดแตห นที กุ ขทเ่ี อามาใสไ วใ นตวั หรือสรา งใหแกต วั อยูเ รื่อยไป และหนไี มพน สักที ในทางตรงขาม ความสุขท่มี นษุ ยม ุง หมาย ถาปฏบิ ัตใิ หถ ูกตอ งตามหลกั กิจในอริยสัจ เราจะไมตอ งมวั แสวงหา แตกลายเปน วาเรามคี วามสุข คือไมเปน คนท่ตี องหาความสุข แตเ ปน คนมคี วามสขุ เพราะความสขุ กลายเปนชวี ติ ของเรา หรือเปนคณุ สมบัติอยางหน่งึ ในตัวของเรา ผทู ีไ่ มร หู ลักกิจในอรยิ สจั อาจปฏบิ ตั ติ อทกุ ขอ ยา งผดิ พลาด ขาดจุดหมาย เขวออกไปนอกทาง และอาจ กลายเปนการเพมิ่ ทุกขแกตนดว ยการมองโลกในแงร ายไปกไ็ ด เมอื่ ทราบหลักเกณฑใหญๆ ๒ ขอ นี้แลว จงึ ควร กําหนดคุณคา ตา งๆ ในทางจรยิ ธรรมของหลกั ทุกขตา ดงั ตอ ไปน้ี ๑) การท่ีสิง่ ท้งั หลายถูกบบี ค้นั ดวยการเกิดข้ึน การเจรญิ และการสลายตวั ทําใหเกดิ ความกดดนั ขัดแยง และการทจ่ี ะทนอยใู นสภาพเดมิ ตลอดไปไมได ภาวะเชนนแี้ สดงวา สงิ่ ทงั้ หลายมีความบกพรอ ง มคี วาม ไมส มบูรณอยใู นตัว ความบกพรอ งหรือความไมส มบูรณนี้ ยิ่งมีมากข้นึ โดยสมั พันธก ับกาลเวลาท่ีผานไป และ ความเปลย่ี นแปลงทีเ่ กดิ ขนึ้ ท้ังภายในและภายนอก เมือ่ เปนเชน น้ี ส่งิ ท้งั หลายท่ีจะรักษาสภาพของตนไวห รือ ขยายตวั เขาสคู วามสมบูรณ จึงตอ งตอสูด น้ิ รนอยูต ลอดเวลา การดาํ รงสภาพชีวิตทีด่ ีไว การนาํ ชีวิตเขา สคู วาม เจรญิ และความสมบรู ณ จงึ ตอ งมกี ารแกไ ขปรับปรุงตวั อยูตลอดเวลา ๒) เมื่อความขดั แยง ด้นิ รนตอ สู เกดิ ขนึ้ จากเหตุปจ จัยทใี่ หเกิดความเปล่ียนแปลง จะเปนเหตุ ปจจยั ภายในหรอื ภายนอกกต็ าม การฝน แบบทื่อๆ ยอมใหผ ลรา ยมากกวา ผลดี ไมว าจะในกรณขี องสิ่งตางๆ บคุ คล หรือสถาบัน เชน ในเร่อื งของวฒั นธรรมเปน ตน ดงั นน้ั การรจู ักปรับตวั และปรับปรงุ จงึ เปนเร่อื งสําคญั และขอ น้ี ยอ มเปนการยาํ้ ความจาํ เปน ของปญญา ในฐานะหลักจริยธรรมสําหรบั รูเ ทาทนั และจดั การทุกสง่ิ ทุก อยา งใหต รงตวั เหตปุ จจยั

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 50 ๓) ความสุข และสงิ่ ทีใ่ หความสขุ อยางทีเ่ ขา ใจกนั ในโลก ก็ตกอยูใ นหลักความจริงขอนี้ดวย ความ สุขเหลานี้ ยอ มมีความไมสมบรู ณอ ยใู นตัว ในแงทว่ี า จะตองแปรปรวนไปจากสภาพที่เปน ความสุข หรือจาก สภาพท่จี ะหาความสขุ นน้ั ได อยา งหน่ึง และดงั น้นั จงึ เปนส่งิ ท่ไี มอ าจใหความพงึ พอใจไดโ ดยสมบูรณอยา งหนง่ึ ผทู ี่ฝากความหวังในความสุขไวกบั ส่งิ เหลานีอ้ ยา งขาดสติ ยอ มเทา กับทาํ ตวั ใหเปน อันหนง่ึ อนั เดียวกบั ความไมส มบูรณของสงิ่ เหลา น้นั หรอื ทิ้งตัวลงไปอยูในกระแสความแปรปรวนของมัน แลว ถกู ฉดุ ลาก กดดนั และ บบี คั้นเอาอยางควบคุมตัวเองไมได สดุ แตส่ิงเหลานัน้ จะแปรปรวนไปอยางไร ความหวงั ในความสขุ มากเทาใด เมื่อความแปรปรวนหรอื ผิดหวงั เกิดข้นึ ความทุกขก็รุนแรงมากขน้ึ ตามอัตรา เปน การหาความสุขชนดิ ขายตัวลง เปน ทาส หรอื เอาคาของชีวติ เปนเดมิ พนั ผหู าความสุขท่ฉี ลาด เมอ่ื ยังยนิ ดที ี่จะหาความสุขจากสงิ่ เหลานอ้ี ยู จงึ ตอ งมีชวี ิตอยูอยางรูเ ทา ทนั ความ จรงิ แสวงหาและเสวยความสขุ อยา งมีสติสมั ปชญั ญะ โดยประการทีว่ า ความแปรปรวนของมันจะกอโทษให เกิดพษิ ภยั หรอื เกิดความกระทบกระเทือนนอยทส่ี ุด พูดอีกอยา งหนง่ึ วา ถึงจะเปน อยา งไรกใ็ หร ักษาอสิ รภาพ ของจติ ใจไวใ หด ีท่สี ดุ ๔) ความสุขแยกโดยคณุ คา มี ๒ ประเภท คอื ความสขุ ในการไดสนองความตอ งการทางประสาท ท้งั หา และสนองความคดิ อยากตางๆ อยางหนึ่ง ความสขุ ในภาวะจติ ทป่ี ลอดโปรง ผองใส เอบิ อม่ิ สดชื่น เบกิ บานเปนอสิ ระ ปราศจากสิ่งของขดั กีดก้นั จํากดั ความนึกคิด เชน ความวติ กกงั วล ความรสู กึ คบั แคบ และกเิ ลส ตา งๆ ทีพ่ วั พันจติ ใจ อยางหนง่ึ ความสุขประเภทแรก เปนความสุขทตี่ อ งหา และเปนแบบทข่ี ้นึ ตอปจจัยภายนอก คือ วตั ถแุ ละอารมณ สําหรบั สนองความตองการตางๆ ลกั ษณะอาการของจติ ในสภาพทีเ่ ก่ยี วขอ งกับความสุขประเภทน้ี คือ การแส หาดน้ิ รนกระวนกระวายเปนอาการนําหนา อยางหน่งึ และความรูสึกท่ยี ึดตดิ คบั แคบ หวงแหน ผูกพันเฉพาะตวั อยางหน่งึ อาการเหลา นีม้ ีความสําคญั มากในทางจริยธรรม เพราะเปนอาการของความยึดอยาก หรอื ความเหน็ แกต ัว และในเมอ่ื ไมจ ัดการควบคุมใหดี ยอ มเปน ท่มี าแหงปญ หาตา งๆ การท่ีตองอาศยั อารมณอยางอ่นื ตองขึ้นตอปจ จัยภายนอกเชน น้ี ยอ มเปนธรรมดาอยูเ องท่ีความสุข ประเภทน้ี จะตอ งทําใหตัวบคุ คลตกเปน ทาสของปจจยั ภายนอก ในรปู ใดรูปหนงึ่ ไมม ากก็นอย และความแปร ปรวนของปจ จัยภายนอกนนั้ ยอ มทําใหเ กิดความกระทบกระเทือนแกบ คุ คลนนั้ ดวย ความสุขประเภทน้ี ทาง ธรรมเรียกวา สามสิ สขุ เปน สขุ เนื่องดวยหาสง่ิ สําหรบั มาเตมิ ความรูสกึ บางอยางท่ีขาดไป หรือพรอ งอยูค ือตอ ง อาศัย หรือตองข้ึนตออามสิ สว นความสุขประเภทหลงั เปน ความสขุ ทมี่ ีขนึ้ ไดเ อง สรา งข้ึนได เปน อสิ ระของตวั ไมขน้ึ ตอ สง่ิ อน่ื ไม ตอ งพึง่ พา ไมต อ งอาศยั ส่งิ หรืออารมณภายนอกมาสนอง เปนภาวะของจิตใจภายในที่เรยี กไดวา เปนตวั ของตวั เอง ไมม ีส่งิ รบกวน หรอื ขุนระคาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook