พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 1 คาํ ปรารภ พุทธธรรม (ฉบับเดิม)น้ี เปนตาํ ราที่ทรงคุณคา ทีส่ ุดในยคุ ปจ จุบนั ซึง่ ทา นสามารถเลือกทจี่ ะศึกษาสวน ใดสว นหนึ่ง ตามแตอ ุปนิสัยโดยไมจําเปน ตองอา นตัง้ แตต น เหมือนอยางตาํ ราทั่วไป เนอื้ หาของตาํ ราเลม นี้ ถูก จดั ไวอ ยางเปนระบบ และมสี ารบัญหวั เรอื่ งอยางละเอยี ด เพ่อื ใหทา นไดทราบเน้ือความทุกสว นของตําราเลม น้ี อนั เปนประโยชนใ นการศึกษาพระพุทธศาสนา คณะผจู ัดทําโครงการซีดีรอมพระไตรปฎ กและอรรถกถาไทย ฉบับธรรมทาน จึงทาํ การปรึกษากันเห็น ควรท่จี ะนาํ หนังสือพุทธธรรม (ฉบบั เดมิ )นี้ บรรจุลงในแผนซดี รี อมของโครงการนดี้ วย เพ่อื แจกจายและเผยแพร ใหเ ปน วงกวางยิง่ ๆ ขึน้ ไป จงึ ไดทําหนงั สือเพอื่ ขออนญุ าตและขอความเมตตาจากพระเดชพระคณุ พระธรรม ปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) ซ่งึ พระเดชพระคณุ ทานก็ไดใหค วามเมตตาอนญุ าตและมอบขอมลู พทุ ธธรรม เพ่ือให บรรจุลงในซีดรี อมฉบับนดี้ วย คณะผูจัดทําไดพฒั นาโปรแกรมเพื่อใหเ หมาะกับพทุ ธธรรมไดร ะดับหน่งึ และจะพัฒนาเพิ่มเตมิ หลงั จาก ไดข อมูลพุทธธรรม (ฉบับปรับปรุงขยายความ) ซงึ่ เปน ชดุ ใหม และขณะนี้ยงั อยใู นระหวางตรวจและแกไขปรับ ปรงุ ทางคณะผจู ัดทําตอ งขอกราบขอบพระคุณอยา งสูง ในความเมตตาของพระเดชพระคุณพระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ทไ่ี ดอนุญาตและมอบขอมูลพุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) เพ่ือบรรจลุ งในแผนซีดรี อมน้ี มา ณ โอกาส นี้ดวย (ดร. วรภัทร ภเู จริญ) ประธานโครงการพระไตรปฎกฉบับธรรมทาน ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๕ หนงั สือถึงพระเดชพระคณุ พระธรรมปฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต) ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๕ เรื่อง ขออนุญาตและขอมลู พทุ ธธรรมเพื่อบรรจุในแผนซีดรี อมแจกเปน ธรรมทาน กราบนมัสการ พระเดชพระคณุ พระธรรมปฎ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) กระผม ดร. วรภัทร ภูเจริญ เจาของโครงการพระไตรปฎ ก ฉบับธรรมทานและทมี งานมคี วามเหน็ ตรง กนั วา ควรนําคมั ภรี แ ละตาํ ราตางๆ ของพระพทุ ธศาสนา ที่มคี ุณคา บรรจลุ งในแผนซดี รี อม พรอมโปรแกรมใน การคน หาเพอื่ สะดวกในการพกพาและงายตอการศกึ ษา เพื่อแจกจา ยแกส ถานศกึ ษาตา งๆ และพทุ ธศาสนกิ ชน
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 2 ทวั่ ไป จํานวนประมาณ ๔๐,๐๐๐ แผน ขณะนี้ ไดบ รรจคุ ัมภีรตา งๆ เสรจ็ แลว อาทิเชน พระไตรปฎกภาษา ไทย ฉบับหลวง อรรถกถาของมหามกฏุ ราชวิทยาลยั วสิ ทุ ธมิ รรค มลิ นิ ทปญหา บทสวดตา งๆและสารานุกรม เปน ตน . คณะทํางานไดปรึกษาเหน็ ควรวา จะขอความกรณุ าจากพระเดชพระคณุ เพ่ือขออนุญาตและขอขอ มลู พุทธธรรมอันทรงคุณคา อนั เปน สอ่ื ในความเขา ใจความหมายของพระพุทธศาสนาโดยแทจ รงิ เพอื่ บรรจุ ลงในแผน ซดี ีรอมชดุ ธรรมทานในการนี้ดวย. กระผมและคณะทาํ งานจงึ ทําหนังสือ ขออนญุ าตและขอขอ มลู พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) ทยี่ งั ไมไ ดขยาย ความเพิม่ เติม มาบรรจุลงในแผน ซีดฉี บบั นี้ไวกอน เนอื่ งจากจะปด โครงการและนาํ ออกแจกจายประมาณกลาง เดอื นสงิ หาคม ศกนี้. กระผมและคณะทาํ งานหวงั เปนอยางยง่ิ วา ดวยความเมตตาและกรุณาของพระเดชพระคณุ พระธรรม ปฎก (ป.อ. ปยตุ โฺ ต) ซ่ึงมตี อ สานุศิษยแ ละพทุ ธศาสนกิ ชนทั่วไปมาโดยตลอด กระผมคงไดร บั คําตอบอนุญาต และไดข อ มูลพทุ ธธรรมโดยเร็ววัน เพอ่ื เปน ขวัญและกําลังใจในการทํางานใหก บั พระพทุ ธศาสนาสบื ไป. กราบเทานมัสการดว ยความเคารพอยา งสูง ดร. วรภทั ร ภูเจรญิ (ดร. วรภทั ร ภูเจริญ) ประธานโครงการพระไตรปฎ กฉบับธรรมทาน ก. อนโุ มทนา พุทธธรรม ฉบับเดิมนี้มคี า สมนาคุณ ทโี่ ครงการตําราฯ จะตองมอบใหแกผเู ขยี นทกุ ทานตามระเบยี บ ซึ่งผูเขยี นไดปฏิบตั ิตามหลักการที่ยึดถอื ประจาํ ตวั ตลอดมาวา ไมร ับคา ตอบแทนใดๆ โดยไดบ รจิ าคแกมลู นธิ ิ มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั ตง้ั เปน ทนุ ชื่อ “วรรณไวทยากร” กึง่ หน่ึงและบรจิ าคคืนแกโ ครงการตาํ ราฯ อกี กึง่ หนง่ึ เปน อนสุ รณแดเสดจ็ ในกรมฯ พระองคนั้น และแกหนังสือ พุทธธรรม สบื มา พทุ ธธรรม ฉบบั เดมิ น้ี มีอนสุ รณแดเสดจ็ ในกรมฯ พระองคน น้ั และแกหนงั สือ พทุ ธธรรม เอง คอื ทุน “วรรณไวทยากร” ทม่ี ูลนิธมิ หาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย และที่โครงการตาํ ราฯ ซึ่งเกดิ จากคาสมนาคณุ ท่ี โครงการตําราฯ จะตองมอบใหแ กผ ูเ ขยี นทกุ ทานตามระเบยี บ แตผ เู ขยี นไดบ รจิ าคใหแหง ละกงึ่ หนึ่ง เพราะ ปฏิบตั ติ ามหลกั การท่ียดึ ถือตลอดมาวาไมร บั คาตอบแทนใดๆ ในโอกาสทหี่ นังสือ พทุ ธธรรม ฉบับเดิม มีการเปลยี่ นแปลง ที่เปน ผลบานปลายเนอ่ื งจากการปรบั ปรุง เพิม่ เตมิ ในการพิมพค รง้ั ท่ี ๑๐ น้ี ซงึ่ ทาํ ใหปรากฏในรูปโฉมใหม และมเี นอื้ หาสาระที่เสรมิ ความรูค วามเขาใจ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 3 ขยายออกไป พระสงฆแ ละอบุ าสกอุบาสกิ าหลายทานมีศรทั ธาและฉนั ทะทจี่ ะเผยแพรห นังสอื พทุ ธธรรม ฉบบั เดมิ ทป่ี รับปรงุ เพิม่ เติมน้ี ใหเ ปนประโยชนทางธรรมทางปญญาขยายกวา งขวางออกไป จงึ ไดแ จง ฉนั ท เจตนาท่ีจะจัดพิมพเ ปนธรรมทานรว มดวย การพิมพหนงั สือแจกเปน ธรรมทานนั้น เปนการใหอยา งสงู สดุ ที่พระพทุ ธเจาทรงสรรเสรญิ วา เปนทาน อนั เลศิ ชนะทานทงั้ ปวง เปนการแสดงน้ําใจปรารถนาดอี ยางแทจ ริงแกป ระชาชน ดว ยการมอบใหซง่ึ แสงสวา ง แหง ปญญาและทรพั ยอนั ล้าํ คา คือธรรม ทจี่ ะเปนหลกั นําประเทศชาตใิ หพ ฒั นาไปในวิถที างทถี่ ูกตอง และเปน ไปเพ่อื ประโยชนสุขทแ่ี ทและยงั่ ยืนแกช วี ิตและสังคม ขออนโุ มทนา ทา นผศู รทั ธา ท่ีไดบ าํ เพญ็ ธรรมทานแหงการใหธ รรมใหปญ ญาแกป ระชาชนครงั้ น้ี ขอบญุ จริยาท่ไี ดรวมกันบําเพญ็ แลว จงสมั ฤทธผิ ลใหทุกทา นเจริญงอกงามดว ยประโยชนส ุข และใหสงั คมประเทศชาติ วฒั นาสถาพร ดวยพลงั แหง สัมมาทศั นะและสมั มาปฏิบัติสบื ไป พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๔ กนั ยายน ๒๕๔๔ ขออนโุ มทนา คุณหญิงกระจางศรี รกั ตะกนษิ ฐ คณุ ไพบูลย และ รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจกั รวาล พรอ มดว ยบุตรหญิงบตุ รชาย คือ นางสาวอัจฉรียา และนายอสิ ริยะ ศริ ิจกั รวาล คุณกานดา อารยางกูร คณุ บุบผา คณิตกุล และทานอื่นๆ ในการบริจาค สาํ หรับพิมพห นังสือ พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) ฉบับปรับปรงุ เพม่ิ เติมในการพมิ พค รัง้ ที่ ๑๐ เพ่อื เปน ธรรมทาน ข. บันทึกประกอบ ในการพิมพค รง้ั ท่ี ๑๐ ก. ความเปน มาถงึ ปจจบุ นั หนังสือ “พทุ ธธรรม” โดยผเู ขียนเดยี วกันนี้ ปจ จบุ ันมี ๒ ฉบบั คือ ฉบบั เดิม และ ฉบบั ปรบั ปรงุ และขยาย ความ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 4 ๑. พทุ ธธรรม ฉบับเดิม หนา ๒๐๖ หนา เปนหนังสอื ท่เี ขยี นข้นึ ตามคาํ อาราธนาของโครงการตาํ ราสงั คม ศาสตรแ ละมนษุ ยศาสตร สมาคมสังคมศาสตรแ หง ประเทศไทย รวมอยใู นหนงั สือชดุ “วรรรณไวทยากร” ซึง่ โครงการตําราฯ จัดพิมพถวาย พระเจาวรวงศเ ธอ กรมหม่ืนนราธิปพงศประพนั ธ ในโอกาสทีพ่ ระชนมครบ ๘๐ พรรษาบรบิ รู ณ วนั ที่ ๒๕ สงิ หาคม ๒๕๑๔ พทุ ธธรรม ฉบับเดิมนี้ มีอนุสรณแ ดเ สดจ็ ในกรมฯ พระองคนัน้ และ แกห นังสือ พทุ ธธรรม เอง คือทุน “วรรณไวทยากร” ทม่ี ลู นธิ ิมหาจฬุ าลงกรณ-ราชวิทยาลยั และทีโ่ ครงการตาํ ราฯ ซงึ่ เกิดจากคาสมนาคุณ ทโ่ี ครงการตําราฯ จะตอ งมอบใหแ กผเู ขียนทุกทานตามระเบียบ แตผูเขียนไดบ รจิ าคให แหงละก่ึงหนง่ึ เพราะปฏิบตั ิตามหลักการที่ยึดถือตลอดมาวาไมรบั คาตอบแทนใดๆ ๒. พทุ ธธรรม ฉบบั ปรับปรงุ และขยายความ คอื พทุ ธธรรม ฉบบั เดิมนน้ั เอง แตไดเ ขยี นแทรกเพิ่มขยาย ความ มเี นอื้ หาเพม่ิ มากขึ้นเปน ๖ เทา ของฉบับเดมิ (ปจจุบันหนา ๑๐๖๖ หนา) ซึง่ คณะระดมธรรม และธรรม สถาน จุฬาลงกรณม หาวทิ ยาลยั ไดพ มิ พข ึ้นเปน ครัง้ แรก เสร็จเมือ่ วนั วิสาขบูชา พ.ศ. ๒๕๒๕ และมหาจฬุ าลงก รณราชวิทยาลัยไดพ ิมพตอมา ลาสุดคร้งั ท่ี ๙ พ.ศ. ๒๕๔๓ ความเปนมาในระยะแรกของ พุทธธรรม ทง้ั สอง ฉบบั ไดเลาไวแ ลว โดยละเอียดใน “บันทกึ ของผเู ขยี น” ทา ยเลม พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยายความ ในทีน่ ี้ จะไมเลาใหมากกวา นี้ แตจ ะกลา วถงึ เฉพาะเร่ืองราวของ พทุ ธธรรม ฉบบั เดิม ทตี่ อ เนอื่ งมาถงึ ฉบับพิมพ ปจ จบุ นั ครั้งท่ี ๑๐ น้หี ลงั จากพมิ พค รั้งแรกแลว หนงั สอื พุทธธรรม ฉบับเดิม ไดม ผี ขู ออนุญาตพมิ พต อมากอ น คร้ังน้ี ๘ ครง้ั คอื คร้งั ที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๑๙ คณะสงฆวัดพลบั พลาชยั พมิ พเ ปนอนสุ รณง านพระราชทานเพลงิ ศพ พระศลี ขันธโสภติ (วิรัชต สิรทิ ตฺโต) วนั เสารที่ ๓ เมษายน ๒๕๑๙ ครง้ั ที่ ๓ พ.ศ. ๒๕๒๐ กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธกิ าร พิมพเ ปน อนสุ รณง านพระราชทานเพลงิ ศพ สมเด็จพระวันรตั (ทรัพย โฆสกมหาเถร) วัดสงั เวชวิศยาราม วันที่ ๒๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๒๐ คร้ังท่ี ๔ พ.ศ. ๒๕๒๖ กรมการศาสนา กระทรวงศกึ ษาธิการ ขออนญุ าตพมิ พเผยแพรสาํ หรับเปนคูมือ ในการพฒั นาจรยิ ศกึ ษาในโรงเรียน คร้ังท่ี ๕ พ.ศ. ๒๕๒๖ สาํ นกั พมิ พส ขุ ภาพใจ ขออนุญาตพิมพเ พื่อเผยแพรใ หกวา งออกไปตามรา นคา ทัว่ ทุกจังหวัด ในการพมิ พค รงั้ ที่ ๕ นี้ ผเู ขียนไดมีโอกาสแทรกเพิม่ และแกไ ขปรับปรงุ คาํ และความหลายแหง ให สมบูรณขนึ้ ตามบนั ทกึ ที่ไดเตรียมไวหลายปร ะหวา งนัน้ แตก ็มีจาํ นวนหนา เทาเดิม คอื ๒๐๖ หนา คร้ังที่ ๖ - ๗ และ ๘ เปน การพมิ พซ าํ้ โดยสํานกั พิมพสุขภาพใจ ในพ.ศ. ๒๕๒๗ ๒๕๒๘ และ ๒๕๓๑ ตามลําดับ การพิมพค ร้ังที่ ๑ ถงึ ๘ ของ พุทธธรรม ฉบับเดมิ ก็เชน เดยี วกบั พุทธธรรม ฉบับปรับปรุงและขยาย ความ เทา ทพ่ี มิ พม าจนถึงคร้ังลาสดุ คือเปนงานพิมพใ นยคุ กอ นจะมกี ารพิมพดวยระบบคอมพิวเตอร ทําใหก าร
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 5 พิมพคร้ังใหมแตละคร้งั แกไขปรบั ปรงุ ไดย าก หรอื แทบแกไ ขไมไ ดเลย ดว ยเหตนุ ี้ พทุ ธธรรม ฉบับเดิม ท่พี มิ พจน ถงึ ครงั้ ท่ี ๘ จงึ มขี นาดเลม และจาํ นวนหนา เทา เดมิ ตลอดมา คอื ๒๐๖ หนา อน่งึ ระหวางน้ี Dr. Grant Olson ซึง่ เม่อื จบการศกึ ษาปริญญาเอกแลว ทํางานที่มหาวทิ ยาลัยคอรเนลล (Cornell University) ไดรับทนุ จากมลู นิธิจอหน เอฟ. เคนเนดี ในการขออนุญาตแปล พุทธธรรม ฉบับเดิม นี้ เปน ภาษาอังกฤษ แตผเู ขยี นไดแ จง ใหขออนุญาตโครงการตําราฯ แทน เพราะไดมอบใหโครงการตําราฯ ถือ ลิขสทิ ธ์ไิ วโ ดยเกียรติ Dr. Grant Olson แปล พทุ ธธรรม ฉบบั เดมิ อยสู บิ ปเศษ และในทีส่ ดุ State University of New York Press, Albany ไดพ มิ พออกเผยแพรเ มอื่ พ.ศ. ๒๕๓๘ (ค.ศ. ๑๙๙๕) ในชอื่ วา Buddhadhamma: Natural Laws and Values for Life แตห ลงั จากน้ัน ผูเ ขียนไดข อใหหยุดการพิมพครั้งใหมไ วกอ น เพราะไดพบ คําแปลทคี่ วรแกไขบางแหง ครง้ั ท่ี ๙ พ.ศ. ๒๕๔๓ นายแพทยก มล สินธวานนท พมิ พเปน ธรรมทาน ในงานพระราชทานเพลิงศพ พลอากาศเอก เกรยี งไกร สินธวานนท วันเสารท่ี ๒๙ เมษายน ๒๕๔๓ ในการพิมพค รง้ั นี้ ซึ่งอยูในยุคทใ่ี ชร ะบบคอมพิวเตอรแ ลว ไดมีการพิมพข อ มลู เดิมขึน้ ใหม โดยเนื้อหาทั้ง หมดคงเดมิ แตเพราะเรียงอกั ษรใหม และขนาดหนังสือกวางยาวนอยลง แมจ ะใชตวั อักษรขนาดเลก็ กม็ ีจาํ นวน หนา เพ่ิมข้นึ เปน ๒๕๘ หนา ครั้งท่ี ๑๐ พ.ศ. ๒๕๔๔ คือครั้งปจ จุบันน้ี ซ่ึงคุณณฐั พร พรหมสุทธิ ขออนญุ าตพมิ พแ จกเปนธรรมทาน เพื่อฉลองกตญั ูกตเวทิตาธรรม ในมงคลวารคลา ยวันเกิดอายุครบ ๗๖ ป ของมารดา คือ คุณประยรู พรหม สทุ ธิ ณ วันที่ ๑๓ สงิ หาคม ๒๕๔๔ อน่งึ การพมิ พคร้งั ท่ี ๑๐ น้ี ถอื ไดวาเปนวาระครบ ๓๐ ป แหง การเกิดขึน้ ของหนงั สือ พทุ ธธรรม ฉบับ เดมิ น้ดี ว ย ข. รูปโฉมใหมข อง “พทุ ธธรรม” ฉบับเดมิ การทคี่ ุณณัฐพร พรหมสุทธิ ขออนญุ าตพมิ พ พุทธธรรม ฉบบั เดมิ ครั้งใหม เปนธรรมทานในมงคลวาร คลายวนั เกดิ ของมารดาคราวน้ี เปนเหตใุ หเ กิดการเปลีย่ นแปลงชนิดทีบ่ านปลายอยา งมไิ ดค าดหมาย แก หนังสอื พทุ ธธรรม ความจรงิ หลงั จากหนังสอื พทุ ธธรรม ฉบบั ปรับปรงุ และขยายความเสรจ็ ออกมาแลว ผูเ รียบ เรยี งไดต ้ังใจวา จะใหหยดุ เลิกการพิมพหนังสอื พทุ ธธรรม ฉบับเดมิ เสียเลย โดยจะไดแ จง ใหท างโครงการ ตาํ ราฯ ทช่ี ว ยถือลิขสิทธโ์ิ ดยเกียรตอิ ยูทราบดว ย เพราะ พุทธธรรม ฉบบั เดิมท้ังหมด เปน สวนหนง่ึ ทรี่ วมอยูใ น พทุ ธธรรม ฉบับปรบั ปรุงและขยายความน้นั แลว เม่อื คณุ ณฐั พร พรหมสุทธิ ขออนุญาตพิมพ กเ็ ปน ธรรมดาวาจะคดิ เพียงพิมพไ ปตามเดมิ แตเ มอื่ ไปตดิ ตอขอขอมลู คอมพิวเตอรข องฉบบั พมิ พค รง้ั ที่ ๙ ก็ไดรบั คําตอบวา ขอมลู ทง้ั หมดถกู ทาํ ลายหรือทง้ิ ไปแลว จากนน้ั คณุ ณฐั พร พรหมสทุ ธิ ไดรบั ขอ มลู คอมพวิ เตอรจ าก ร.พ. สหธรรมกิ ทพี่ ิมพขึ้นใหม และนํามาตรวจปรูฟดวยตน
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 6 เองที่บาน ตัง้ แตกลางเดอื นมถิ นุ ายน จนถงึ ปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๔ น้ี เมอื่ เสร็จแลว จึงไดน ํามามอบถวาย แกผเู รยี บเรยี ง เพือ่ ตรวจความเรียบรอ ยขน้ั สุดทา ยผเู รียบเรยี งดูฉบบั ปรูฟแลว เห็นวา หนงั สอื พุทธธรรม นี้ มหี ัว ขอ แยกยอยซอยหลายชัน้ ถาส่ังแกก นั ไปกนั มา ก็จะเสยี เวลามาก และยากทีจ่ ะไดผ ลดี ทางทด่ี ที ่ีสุดคอื ผเู รียบ เรียงควรจะไดขอมูลคอมพิวเตอรมา และกาํ หนดแบบตวั อักษรหัวขอ ยอ ยซอยลงไปในแตล ะระดบั เองตาม ประสงค แมวา ผเู รยี บเรียงจะพมิ พด ดี ไมเปน แตอาศยั ใชน ้ิวจ้ิมเอากค็ งสาํ เร็จได อยา งไรกด็ ี ขอมลู คอมพิวเตอรท ีม่ ีนน้ั เปนระบบ Apple Macintosh ซง่ึ ผเู รียบเรยี งเขา ไมถ งึ จึงติดขดั แตท างสาํ นักพมิ พธรรมสภา ไดชวยดําเนนิ การแปลงเปนขอมูลระบบ PC แลว พระครูปลดั ปฎกวัฒน (อนิ ศร จินฺ ตาปโฺ ) จดั ปรับขอ มลู และแตง แบบจนเขารูปทจ่ี ะพมิ พเ ปนเลมหนังสือ และสง มอบแกผ เู รียบเรียงเพื่อจัดปรับ เปลี่ยนแบบตวั อักษรตามความประสงคตอไปพอดเี ปน จังหวะที่พระครรชิต คณุ วโร นําแบบตวั อักษรใหมมา ถวายจํานวนมาก หนังสือ พทุ ธธรรม กําลงั มีปญ หาเรอ่ื งแบบตวั อกั ษรสาํ หรบั ตัวพ้นื กับขอ ความที่อางจากพระ ไตรปฎ กและคัมภีรตางๆ วา จะทําใหเหน็ ตา งกนั ชัดเจน และเหมาะสมไดอ ยา งไร เม่อื ไดแบบอักษรใหมช ดุ น้ีมา กช็ ว ยใหแ กป ญ หานส้ี าํ เร็จเรยี บรอยไปดว ยดี หนังสอื พทุ ธธรรม ฉบับเดมิ ที่พมิ พค รง้ั แรก ๒๐๖ หนา เม่อื พิมพข อ มลู คอมพิวเตอรระบบ Apple Macintosh เปน หนังสือขนาดเล็กลงมาได ๓๐๙ หนา แปลงมาเปน ขอมลู คอมพวิ เตอรร ะบบ PC คราวนี้ ครง้ั แรกประมาณ ๓๐๒ หนา เปล่ยี นแบบอักษรใหมแ ละปรบั ชองบรรทัดแลว เหลือทง้ั หมด ๒๘๔ หนา เบอ้ื งแรกตั้งใจไวเพียงวา จะปรบั แบบตัวอกั ษรของหัวขอ ยอ ยระดบั ตา งๆ ใหเ หมาะ และแบงซอยยอ หนา ใหอ าน งา ยข้นึ แตเ มื่อเร่ิมทาํ จรงิ งานกบ็ านปลาย จนกระทง่ั พทุ ธธรรม ฉบับเดมิ พิมพครงั้ ท่ี ๑๐ นี้ กลายเปน ฉบบั เดมิ ทป่ี รับปรงุ และเพมิ่ เตมิ เปนอนั มาก จนรูปโฉมเปลย่ี นแปลกจากเดิมไปไกลโดยสรปุ ความเปล่ียนแปลงท่เี กดิ ขึ้น แก พทุ ธธรรม ฉบบั เดมิ ในการพิมพครง้ั ท่ี ๑๐ ซง่ึ ทําใหห นงั สอื แปลกจากการพิมพค รงั้ กอน มดี ังนี้ ก) ตัง้ หวั ขอ ยอยแทรกเพ่ิมขึ้นอกี จํานวนมาก ข) แบงซอยยอ หนาใหอานสะดวกข้ึน แปลกไปจากเดมิ มาก ค) ปรบั แกสาํ นวนภาษาหลายแหงใหรื่นข้ึน และอธบิ ายแทรกเสรมิ ท่ัวๆ ไป ง) มสี วนเพมิ่ เติมตา งหากออกมา ทส่ี ําคัญ คอื ๑. เพิ่มบทวา ดวย “อายตนะ ๖” โดยคัดมาจาก พทุ ธธรรม ฉบบั ปรบั ปรงุ และขยายความ แตตัดใหส น้ั เขา นํามาประมาณ ๓ ใน ๕ รวม ๓๒ หนา (น.๒๖–๕๗) ๒๐๘) ๒. “บทเพ่มิ เตมิ : เรอื่ งเหตุปจ จัยในปฏิจจสมุปบาทและกรรม” ตอทายภาค ๑ รวม ๒๑ หนา (น.๑๘๘– ๓. “บทเพม่ิ เติม: ชีวิตทเี่ ปนอยูด ี ดว ยมีการศึกษาทั้ง ๓ ท่ีทาํ ใหพ ัฒนาครบ ๔ (มรรคมอี งค ๘ สกิ ขา ๓ ภาวนา ๔)” ตอทายภาค ๒รวม ๓๓ หนา (น.๓๔๒–๓๗๔)นอกจากสวนทเี่ พ่มิ เปนบทตา งหากแลว ยัง มสี วนท่เี ขียนอธิบายเพิ่มแทรกระหวางเนื้อความเดมิ อกี รวมประมาณ ๕ หนา
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 7 อีกเรื่องหน่งึ ทคี่ ิดวา จะเขียนเปน บทเพิม่ เติมดวย คือเรื่อง “ความสุข” แตไ ดตกลงระงับไวกอน เพราะ หนงั สือจะหนามาก เพราะบดั นไี้ ดขยายจาก ๒๘๔ เปน ๓๗๕ หนาแลว แตท่สี ําคัญกวานัน้ ก็คือ เวลาไดลว งเลยไปมากแลว จนผเู รียบเรียงไดเปนเหตใุ หห นังสือเสรจ็ ไมท นั มงคลวารคลายวันเกิด ของคณุ ประยรู พรหมสทุ ธิ ในวนั ท่ี ๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๔ นับถงึ ขณะเขยี นบนั ทกึ น้ี ผาน เลยมาเปนเวลาอีกคอนเดอื น จงึ ตกลงคงไวเทาน้ีกอน เมื่อเรื่องเปน มาอยา งนี้ ความต้งั ใจเดมิ ทจ่ี ะใหหยดุ เลกิ การพมิ พ พทุ ธธรรม ฉบบั เดิม เพราะไดเ ปน สว น ยอยท่รี วมอยใู น พทุ ธธรรม ฉบบั ปรับปรุงและขยายความแลว กต็ อ งเปลี่ยนไป (เคยคดิ จะทํา พุทธธรรม ฉบบั ยอ เล็กๆ ข้ึนใหมอกี เลม หนงึ่ โดยสรปุ จากฉบบั ปรับปรุงและขยายความ แตยงั ไมม เี วลาทํา) บัดน้ี ไดเห็นวา พุทธธรรม ฉบับเดมิ ทปี่ รับปรุงเพม่ิ เตมิ น้ี อาจเปนบพุ ภาค หรอื เปนตัวเลอื ก ซ่งึ ผูทีย่ ังไม มเี วลาหรือยังไมพรอมทีจ่ ะอาน พทุ ธธรรม ฉบบั ปรับปรุงและขยายความ สามารถใชศ ึกษาหลกั พระพทุ ธศาสนา ไปพลางกอน หรือขั้นหนึง่ กอ น จงึ นา จะใหม กี ารเผยแพรไดส ะดวกขน้ึ หรือใหสะดวกทส่ี ดุ นเ้ี ปนความเปล่ียน แปลง ซึง่ ทาํ ให พุทธธรรม ฉบบั เดมิ เรียกไดว า มีรปู โฉมใหม อนึง่ ใน พุทธธรรม ฉบับเดมิ นี้ มแี ผนผังและภาพประกอบคาํ อธบิ ายอยูบาง โดยเฉพาะในบทวา ดว ยป ฏจิ จสมปุ บาท แมจ ะไมม าก แตก็ตอ งเขยี นขึ้นใหม ซึ่งไดอ าศยั พระครรชิต คุณวโร และพระอภวิ ัฒน นาถวโร ชวยจัดทําใหส าํ เรจ็ ดว ยดี และพระครรชติ คณุ วโร ยงั ไดช วยอา นปรฟู ใหด ว ยตลอดเลม ชว ยใหแ กไขขอ มลู ท่ี พิมพพลาดหรอื พรองหลงตาไปใหเรียบรอย จนเชือ่ ไดว า ขอ ผดิ พลาดหากไมหมด ก็คงเหลือนอ ย ควรจะพอใจได ในการทาํ งานทีจ่ ะเสร็จลงไดน ี้ พระครูปลดั ปฎ กวัฒน (อนิ ศร จนิ ตฺ าปฺโ) ไดท ําหนา ทป่ี ระสานงาน และ ทาํ งานดา นคอมพวิ เตอรสวนเช่ือมตอ ในระหวาง อนั ลงทา ยทีส่ ารบัญ โรงพิมพส หธรรมกิ เปนผรู ิเรมิ่ พิมพขอ มลู คอมพิวเตอรจากหนังสอื เดมิ ไวใ หท้ังเลม และสํานักพิมพธ รรมสภาทรี่ บั งานพมิ พค ราวนี้ ไดชว ยดาํ เนนิ การแปลง ขอ มูลมาสูระบบ PC ชว ยเปน ฐานใหงานกา วมาไดจนเสรจ็ เปน เลมหนงั สือ ขออนโุ มทนาทุกทา น และขอทกุ ทานจงมีปติในธรรมท่วั กัน พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) ๗ กันยายน ๒๕๔๔ ค. อักษรยอ ชือ่ คมั ภรี เรียงตามอกั ขรวธิ แี หง มคธภาษา
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 8 องฺ.อ. องฺคุตฺตรนิกาย อฏก ถา ขุ.อป. ขุทฺทกนิกาย อปทาน (มโนรถปูรณี) ข.ุ อติ .ิ ขทุ ทฺ กนิกาย อิตวิ ุตตฺ ก อง.ฺ อฏก. องคฺ ตุ ฺตรนกิ าย อฏกนปิ าต ข.ุ อ.ุ ขุททฺ กนกิ าย อุทาน อง.ฺ เอก. องคฺ ุตฺตรนิกาย เอกนิปาต ข.ุ ขุ. ขุทฺทกนกิ าย ขทุ ทฺ กปา องฺ.เอกาทสก. องคฺ ตุ ฺตรนกิ าย เอกาทสกนิปาต ขุ.จรยิ า. ขุททฺ กนกิ าย จริยาปฏก อง.ฺ จตุกกฺ . องฺคตุ ตฺ รนกิ าย จตกุ กฺ นปิ าต ขุ.จู. ขทุ ฺทกนกิ าย จฬู นทิ เฺ ทส องฺ.ฉกกฺ . องคฺ ุตตฺ รนิกาย ฉกกฺ นิปาต ข.ุ ชา. ขุททฺ กนิกาย ชาตก อง.ฺ ตกิ . องฺคุตฺตรนิกาย ติกนปิ าต ขุ.เถร. ขทุ ฺทกนกิ าย เถรคาถา อง.ฺ ทสก. องฺคุตฺตรนิกาย ทสกนปิ าต ข.ุ เถร.ี ขทุ ฺทกนิกาย เถรคี าถา องฺ.ทกุ . องฺคตุ ตฺ รนิกาย ทกุ นปิ าต ขุ.ธ. ขทุ ทฺ กนกิ าย ธมมฺ ปท องฺ.นวก.องฺคุตตฺ รนิกาย นวกนิปาต ข.ุ ปฏิ. ขุททฺ กนกิ าย ปฏสิ มฺภทิ ามคคฺ องฺ.ปฺจก. องฺคุตฺตรนกิ าย ปจฺ กนปิ าต ข.ุ เปต. ขทุ ทฺ กนกิ าย เปตวตฺถุ องฺ.สตตฺ ก. องคฺ ุตตฺ รนิกาย สตตฺ กนปิ าต ขุ.พุทธฺ . ขุททฺ กนกิ าย พทุ ฺธวสํ อป.อ. อปทาน อฏก ถา ข.ุ ม.,ข.ุ มหา. ขุทฺทกนิกาย มหานทิ ฺเทส (วิสุทธฺ ชนวิลาสนิ )ี ข.ุ วมิ าน. ขุททฺ กนกิ าย วิมานวตถฺ ุ อภิ.ก. อภธิ มมฺ ปฏก กถาวตถฺ ุ ข.ุ ส.ุ ขทุ ทฺ กนกิ าย สตุ ตฺ นปิ าต อภ.ิ ธา. อภิธมมฺ ปฏ ก ธาตกุ ถา ขทุ ฺทก.อ. ขุททฺ กปา อฏก ถา อภ.ิ ป. อภธิ มมฺ ปฏ ก ปฏา น (ปรมตถฺ โชติกา) อภิ.ปุ. อภธิ มมฺ ปฏ ก ปุคคฺ ลปฺฺตฺติ จริยา.อ.จริยาปฏ ก อฏก ถา อภิ.ยมก. อภิธมฺมปฏ ก ยมก (ปรมตฺถทปี นี) อภ.ิ วิ. อภธิ มฺมปฏก วิภงฺค ชา.อ. ชาตกฏก ถา อภิ.ส.ํ อภธิ มฺมปฏ ก ธมฺมสงฺคณี เถร.อ. เถรคาถา อฏก ถา อิติ.อ. อิตวิ ตุ ตฺ ก อฏกถา (ปรมตฺถทีปนี) (ปรมตถฺ ทีปนี) เถร.ี อ. เถรคี าถา อฏก ถา อ.ุ อ. อทุ าน อฏก ถา (ปรมตฺถทีปนี) (ปรมตฺถทปี นี) ท.ี อ. ทฆี นกิ าย อฏกถา วนิ ย.อ. วนิ ย อฏกถา (สุมงคฺ ลวิลาสิน)ี (สมนตฺ ปาสาทิกา) ที.ปา. ทีฆนิกาย ปาฏกิ วคคฺ วนิ ย.ฏกี า วนิ ยฏก ถา ฏกี า
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 9 ท.ี ม. ทฆี นิกาย มหาวคคฺ (สารตฺถทปี นี) ท.ี ส.ี ทีฆนกิ าย สีลกขฺ นฺธวคคฺ วภิ งคฺ .อ. วิภงฺค อฏก ถา ธ.อ. ธมมฺ ปทฏก ถา (สมโฺ มหวิโนทน)ี นทิ ฺ.อ. นิทฺเทส อฏกถา วมิ าน.อ. วมิ านวตฺถุ อฏกถา (สทธฺ มฺมปชฺโชตกิ า) (ปรมตฺถทีปนี) ปจฺ .อ.ปจฺ ปกรณ อฏกถา วิสุทฺธิ. วสิ ทุ ธฺ ิมคฺค (ปรมตฺถทีปนี) วิสุทธฺ ิ.ฏีกา วสิ ทุ ฺธมิ คคฺ มหาฏกี า ปฏิสํ.อ. ปฏิสมภฺ ิทามคฺค อฏก ถา (ปรมตฺถมชฺ สุ า) (สทธฺ มฺมปกาสินี) สงคฺ ณี อ. ธมฺมสงฺคณี อฏก ถา เปต.อ. เปตวตฺถุ อฏกถา(อฏส าลนิ ี) (ปรมตถฺ ทีปนี) สงคฺ ห. อภธิ มฺมตฺถสงฺคห พุทธฺ .อ. พุทฺธวํส อฏกถา สงฺคห.ฏีกา อภิธมมฺ ตฺถสงฺคห ฏกี า (มธรุ ตฺถวิลาสนิ ี) (อภิธมฺมตถฺ วิภาวินี) ม.อ. มชฌฺ มิ นิกาย อฏก ถา สํ.อ. สยํ ตุ ฺตนิกาย อฏกถา (ปปฺจสทู นี) (สารตถฺ ปกาสิน)ี ม.อุ. มชฺฌมิ นกิ าย อุปริปณฺณาสก ส.ํ ข. สยํ ตุ ตฺ นิกาย ขนธฺ วารวคฺค ม.ม. มชฌฺ ิมนิกาย มชฺฌิมปณณฺ าสก สํ.น.ิ สยํ ุตตฺ นกิ าย นิทานวคฺค ม.มู. มชฺฌิมนิกาย มลู ปณฺณาสก ส.ํ ม. สํยุตตฺ นกิ าย มหาวารวคคฺ มงคฺ ล. มงฺคลตถฺ ทีปนี สํ.ส. สํยุตฺตนิกาย สคาถวคคฺ มลิ นิ ทฺ . มลิ นิ ฺทปหฺ า ส.ํ สฬ. สยํ ตุ ตฺ นิกาย สฬายตนวคคฺ วนิ ย. วินยปฏ ก สตุ ตฺ .อ. สุตตฺ นปิ าต อฏก ถา (ปรมตฺถโชตกิ า) ง. ---------------------- พุทธธรรม หรือ กฎธรรมชาติและคณุ คา สาํ หรับชีวติ _______________________________________________________________
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 10 ความนํา ส่ิงทคี่ วรเขาใจกอน พระพทุ ธศาสนานั้น เม่อื มองในทศั นะของคนสมยั ใหม มักเกิดปญหาขึน้ บอยๆ วา เปน ศาสนา (religion) หรือเปนปรัชญา (philosophy) หรอื วาเปน เพยี งวิธคี รองชีวิตแบบหนึง่ (a way of life) เม่อื ปญ หาเชนนเี้ กดิ ขน้ึ แลว ก็เปน เหตุใหตองถกเถียงหรอื แสดงเหตผุ ล ทาํ ใหเรื่องยืดยาวออกไป อีกทั้งมตใิ นเรื่องน้ีก็แตกตางไมล งเปน แบบเดยี วกัน ทาํ ใหเ ปนเรอื่ งฟนเฝอ ไมม ที สี่ น้ิ สุด ในทีน่ ้ี แมจะเขยี นเรื่องพทุ ธธรรมไวใ นหมวดปรชั ญาก็จะไมพิจารณาปญ หานเ้ี ลย มุงแสดงแตใ น ขอบเขตวา พุทธธรรมสอนวาอยางไร มเี น้อื หาอยา งไรเทาน้นั สว นที่วา พุทธธรรมจะเปน ปรชั ญาหรอื ไม ใหเปน เรือ่ งของปรชั ญาเองท่จี ะมีขอบเขตครอบคลุมหรือสามารถตคี วามใหค รอบคลมุ ถึงพทุ ธธรรมไดห รือไม โดยท่ีวา พทุ ธธรรม กค็ อื พทุ ธธรรม และยงั คงเปน พุทธธรรมอยูนัน่ เอง มขี อ จาํ กัดเพียงอยางเดียววา หลกั การหรือคาํ สอน ใดก็ตาม ที่เปนเพยี งการคิดคนหาเหตผุ ลในเรือ่ งความจรงิ เพ่อื สนองความตอ งการทางปญ ญา โดยมไิ ดมุงและ แสดงแนวทางสําหรับประพฤตปิ ฏบิ ตั ิในชวี ติ จรงิ อันนน้ั ใหถ ือวา ไมใชพระพุทธศาสนา เฉพาะอยา งทถี่ ือวา เปน คําสอนเดมิ แทข องพระพุทธเจา ซ่ึงในทนี่ ี้เรียกวาพุทธธรรม การประมวลคําสอนในพระพุทธศาสนามาวางเปน ขอ สรปุ ลงวา พทุ ธธรรมท่พี ระพทุ ธเจาทรงสอนและ ทรงมุงหมายแทจ รงิ เปน อยา งไรน้ัน เปนเรอ่ื งยาก แมจ ะยกขอ ความในคมั ภรี ซงึ่ ถอื กนั วาเปนพุทธพจนมาอาง เพราะคาํ สอนในคัมภรี ม ปี รมิ าณมากมาย มแี งด านระดับความลึกซ้ึงตา งๆ กนั และขน้ึ ตอการตีความของบคุ คล โดยใชสติปญ ญาและความสจุ รติ ใจหรือไมเพียงไรดวย ในบางกรณี ผูถอื ความเหน็ ตา งกันสองฝาย อาจยกขอ ความในคมั ภีรม าสนบั สนนุ ความคดิ เหน็ ของตนไดด ว ยกนั ทง้ั คู การวินิจฉยั ความจริงจงึ ขน้ึ ตอ ความแมน ยําใน การจับสาระสาํ คญั และความกลมกลนื สอดคลองแหงหลกั การและหลกั ฐานทแี่ สดงทัง้ หมดโดยหนว ยรวมเปน ขอสําคญั แมก ระนัน้ เรอื่ งทแี่ สดงและหลกั ฐานตางๆ กม็ กั ไมก วางขวางครอบคลมุ พอ จงึ หนีไมพ นจากอิทธิพล ความเหน็ และความเขาใจพื้นฐานตอพุทธธรรมของบุคคลผแู สดงนน้ั ในเรอ่ื งน้ี เห็นวายงั มอี งคป ระกอบอกี อยา งหนึง่ ที่ควรนํามาเปนเครื่องวินจิ ฉัยดว ย คือ ความเปน ไปใน พระชนมชีพ และพระปฏิปทาขององคสมเด็จพระบรมศาสดา ผูเ ปนแหลงหรอื ทม่ี าของคําสอนเอง บุคลิกและ สงิ่ ทีผ่ สู อนไดกระทาํ อาจชวยแสดงความประสงคท ่ีแทจริงของผูสอนไดด กี วาคาํ สอนเฉพาะแหงๆ ในคมั ภรี หรอื อยางนอยก็เปน เครื่องประกอบความเขา ใจใหชดั เจนย่ิงข้ึน ถงึ หากจะมผี ูตงิ วา องคประกอบขอ น้ีก็ไดจากคัมภีร ตางๆ เชนเดียวกบั คาํ สอน และขนึ้ ตอการตคี วามไดเหมอื นกนั แมกระนั้น กย็ ังตอ งยอมรับอยูน่นั เองวา เปน เคร่อื งประกอบการพิจารณาที่มปี ระโยชนม าก จากหลักฐานตา งๆ ทางฝา ยคัมภีรแ ละประวัติศาสตร พอจะวาดภาพเหตุการณและสภาพสังคมคร้ัง พุทธกาลไดค รา วๆ ดังนี้ พระพุทธเจา เสด็จอบุ ตั ใิ นชมพทู วปี เมือ่ ประมาณ ๒,๖๐๐ ปลวงมาแลว ทรงประสตู ิใน วรรณะกษตั ริย พระนามเดมิ วา เจา ชายสทิ ธัตถะ เปน โอรสของพระเจาสุทโธทนะผคู รองแควนศากยะ ซึง่ ตัง้ อยู ทางดานตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของชมพทู วีป ติดเชิงเขาหิมาลัย ในฐานะโอรสกษตั ริยและเปนความหวงั ของราช
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 11 ตระกูล พระองคจ ึงไดรับการปรนเปรอดว ยโลกียสุขตา งๆ อยางเพียบพรอม และไดท รงเสวยความสุขอยูเ ชนน้ี เปนเวลานานถึง ๒๙ ป ทรงมที งั้ พระชายาและพระโอรส ครงั้ นัน้ ในทางการเมอื ง รัฐบางรฐั ท่ปี กครองแบบราชาธปิ ไตยกําลงั เรืองอํานาจข้นึ และกาํ ลังพยายาม ทาํ สงครามแผขยายอํานาจและอาณาเขตออกไป รฐั หลายรฐั โดยเฉพาะทป่ี กครองแบบสามัคคธี รรม (หรอื แบบสาธารณรฐั ) กาํ ลังเส่ือมอํานาจลงไปเรื่อยๆ บางรัฐกถ็ กู ปราบรวมเขา ในรฐั อน่ื แลว บางรัฐทย่ี งั เขมแข็งกอ็ ยู ในสภาพตงึ เครียด สงครามอาจเกิดข้ึนเมื่อใดกไ็ ด แมรฐั ใหญท เ่ี รอื งอาํ นาจ ก็มีการขัดแยง รบพุง กันบอยๆ ในทางเศรษฐกจิ การคา ขายกําลังขยายตวั กวางขวางขึ้น เกิดคนประเภทหนึ่งมอี ทิ ธิพลมากขึน้ ในสงั คม คือ พวกเศรษฐี ซึ่งมีสทิ ธิ มีเกียรติยศและอทิ ธิพลมากข้ึนแมในราชสาํ นัก ในทางสังคม คนแบงออกเปน ๔ วรรณะตามหลักคาํ สอนของศาสนาพราหมณ มสี ทิ ธิ เกยี รติ ฐานะทาง สังคม และอาชีพการงาน แตกตางกนั ไปตามวรรณะของตนๆ แมนกั ประวัตศิ าสตรฝ า ยฮินดจู ะวา การถอื วรรณะ ในยคุ นั้นยังไมเ ครง ครัดนกั แตอยางนอยคนวรรณะศูทร ก็ไมม สี ิทธทิ ่ีจะฟง หรือกลา วความในพระเวทอันเปน คมั ภีรศ ักดิส์ ทิ ธิ์ของพราหมณได ท้งั มกี ําหนดโทษไว (เทาทีท่ ราบจากมานวธรรมศาสตรตอมา ถึงกับใหผ า ราง กายเปน ๒ ซีก) และคนจณั ฑาลหรอื พวกนอกวรรณะกไ็ มม สี ทิ ธิไดรับการศกึ ษาเลย การกาํ หนดวรรณะกใ็ ชชาติ กาํ เนิดเปน เครอื่ งแบง แยก โดยเฉพาะพวกพราหมณพยายามยกตนขึน้ ถอื ตวั วาเปนวรรณะสูงสดุ สวนในทางศาสนา พวกพราหมณเ หลาน้นั ซง่ึ เปน ผรู กั ษาศาสนาพราหมณสืบตอ กันมา กไ็ ดพัฒนาคํา สอนในดานลทั ธพิ ิธกี รรมตา งๆ ใหลึกลบั ซบั ซอนใหญโ ตโออา ขึ้น พรอมกบั ท่ไี รเ หตผุ ลลงโดยลาํ ดับ การท่ที ําดังนี้ มใิ ชเ พียงเพอ่ื วัตถปุ ระสงคทางศาสนาเทา นน้ั แตม งุ สนองความตอ งการของผมู อี าํ นาจ ทจ่ี ะแสดงถึงเกยี รติยศ ความยง่ิ ใหญข องตนประการหนง่ึ และดว ยมุงหวงั ผลประโยชนต อบแทนที่จะพงึ ไดจ ากผูมอี ํานาจเหลา นน้ั อยา ง หน่ึง พิธกี รรมเหลา น้ีลว นชักจงู ใหค นเหน็ แกป ระโยชนส ว นตวั มากขึ้น เพราะหวงั ผลตอบแทนเปนทรัพยสมบัติ และกามสขุ ตางๆ พรอ มกนั น้ี ก็กอ ความเดอื ดรอ นแกค นชนั้ ตํ่า พวกทาสกรรมกรทตี่ องทาํ งานหนัก และการ ทารณุ ตอสตั วดวยการฆาบูชายญั คร้ังละเปน จํานวนมากๆ ในเวลาเดยี วกันนี้ พราหมณจํานวนหนงึ่ ไดค ิดวาพธิ ีกรรมตางๆ ไมส ามารถทําใหต นประสบชีวิตนิรนั ดร ได จงึ ไดเ ร่ิมคดิ เอาจรงิ เอาจังกบั ปญหาเรอ่ื งชวี ิตนิรนั ดร และหนทางทจี่ ะนําไปสสู ภาวะเชนนัน้ ถึงกับยอมปลีก ตัวออกจากสังคมไปคดิ คน แสวงคําตอบอาศยั ความวเิ วกอยูในปา และคาํ สอนของศาสนาพราหมณในยุคน้ี ซึ่ง เรียกวา ยุคอปุ นษิ ัท ก็มีความขดั แยงกันเองมาก บางสวนอธิบายเพ่ิมเตมิ เร่อื งพธิ ีกรรมตางๆ บางสว นกลับ ประณามพธิ กี รรมเหลา น้นั และในเรือ่ งชีวิตนิรนั ดรกม็ ีความเหน็ ตา งๆ กนั มีคาํ สอนเรอ่ื งอาตมนั แบบตางๆ ที่ขดั กนั จนถงึ ขั้นสดุ ทายทีว่ า อาตมนั คือพรหมัน เปน ท่มี าและแทรกซึมอยูในทกุ สงิ่ ทกุ อยา ง มภี าวะท่ีอธิบายไมไ ด อยางทเ่ี รยี กวา “เนติ เนต”ิ (ไมใชน ่ัน ไมใชน น่ั ) เปน จุดหมายสูงสุดของการบาํ เพญ็ เพยี รทางศาสนา และ พยายามแสดงความหมายโตต อบปญ หาเกี่ยวกบั เร่ืองสภาพของภาวะเชนนี้ พรอมกบั ทหี่ วงแหนความรูเหลานี้ ไวใ นหมพู วกตน
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 12 พรอ มกันนน้ั นกั บวชอีกพวกหนง่ึ ซึ่งเบอื่ หนา ยตอ ความไรส าระแหงชีวติ ในโลกน้ี กไ็ ดไ ปบาํ เพญ็ เพียร แบบตา งๆ ตามวธิ ีการของพวกตนๆ ดวยหวังวาจะไดพบชีวิตอมตะหรือผลสําเรจ็ อันวเิ ศษอัศจรรยตางๆ ทต่ี น หวัง บา งก็บําเพ็ญตบะ ทรมานตนดวยประการตา งๆ ตง้ั ตน แตอ ดอาหารไปจนถึงการทรมานรางกายแบบ แปลกๆ ท่ีคนธรรมดาคิดไมถึงวาจะเปน ไปได บางกบ็ ําเพญ็ สมาธจิ นถึงกลาววาทําปาฏิหาริยไดตางๆ บางก็ สามารถบําเพ็ญฌานจนไดถึงรปู สมาบตั ิ อรูปสมาบตั ิ อกี ดานหน่ึง นกั บวชประเภทที่เรียกวาสมณะอีกหลายหมูหลายพวก ซึง่ ไดส ละเหยาเรอื นออกบวชแสวง หาจดุ หมายชีวติ เชนเดยี วกัน ก็ไดเ รรอ นทองเท่ยี วไปในบา นเมืองตางๆ ถกเถียงถามปญ หากันบา ง ต้ังตนเปน ศาสดาแสดงทศั นะของตนตางๆ กนั หลายแบบหลายอยา ง จนปรากฏวา เกิดมีลทั ธิตางๆ ข้ึนเปน อันมาก เฉพาะท่เี ดนๆ ซึง่ ปรากฏในคมั ภรี พุทธศาสนา ถงึ ๖ ลัทธิ สภาพเชนนี้ จะสรปุ สนั้ ๆ คงไดความวา ยคุ นนั้ คนพวกหนึ่งกาํ ลังรุง เรืองข้นึ ดวยอาํ นาจ ราํ่ รวยดวย ทรพั ยสมบตั ิ และเพลิดเพลนิ มวั เมาอยกู ับการแสวงหาความสุขทางวตั ถุ พรอ มกับทค่ี นหลายพวกกม็ ฐี านะและ ความเปนอยดู อ ยลงๆ ไป ไมคอ ยไดรบั ความเหลยี วแล สวนคนอกี พวกหนึ่ง ก็ปลีกตวั ออกไปเสยี จากสังคมที เดียว ไปมงุ ม่นั คนหาความจริงในทางปรัชญา โดยมไิ ดใสใจสภาพสังคมเชนเดยี วกัน เจาชายสทิ ธตั ถะ ทรงไดรับการบาํ รุงบาํ เรอดวยโลกียสุขอยเู ปน เวลานานถงึ ๒๙ ป และมิใชเ พียงปรน ปรือเอาใจเทานัน้ ยังไดทรงถูกปดกน้ั ไมใ หพบเห็นสภาพความเปนอยูท่รี ะคนดว ยความทกุ ขของสามญั ชนทง้ั หลายดวย แตสภาพเชน นไี้ มสามารถถูกปดบังจากพระองคไดเ รอ่ื ยไป ปญ หาเร่อื งความทุกขความเดือดรอ น ตา งๆ ของมนุษย อันรวมเดนอยูทีค่ วามแก เจบ็ และตาย เปนสิ่งทที่ ําใหพระองคต อ งครุนคิดแกไข ปญ หาน้ี คดิ สะทอนออกไปในวงกวา งใหเหน็ สภาพสังคม ท่ีคนพวกหนึ่งไดเปรยี บกวา ก็แสวงหาแต โอกาสที่จะหาความสมบรู ณพ ูนสขุ ใสต นแขง ขันแยงชิงเบยี ดเบียนกัน หมกมุน มวั เมาอยใู นความสุขเหลา น้นั ไม ตอ งคดิ ถึงความทุกขย ากเดอื ดรอนของใครๆ ดาํ รงชวี ิตอยอู ยางทาสของวัตถยุ ามสุขก็ละเมอมัวเมาอยใู นความ คับแคบของจติ ใจ ถงึ คราวถกู ความทกุ ขเขาครอบงาํ ก็ลุมหลงไรสตเิ หยี่ วแหง คับแคนเกินสมควร แลวกแ็ กเจบ็ ตายไปอยางไรส าระ ฝายคนท่ีเสยี เปรียบ ไมมโี อกาส ถูกบบี คั้นกดขอี่ ยอู ยา งคับแคน แลวก็แกเจบ็ ตายไปโดยไร ความหมาย เจา ชายสิทธัตถะทรงมองเหน็ สภาพเชน นีแ้ ลว ทรงเบอ่ื หนา ยในสภาพความเปนอยูของพระองค มอง เห็นความสขุ ความปรนเปรอเหลา น้นั เปนของไรส าระ ทรงคิดหาทางแกไขจะใหมคี วามสขุ ท่มี ่นั คง เปนแกนสาร ทรงคิดแกป ญ หาน้ีไมต ก และสภาพความเปน อยูของพระองคทามกลางความเยา ยวนสับสนวุน วายเชน นน้ั ไม อํานวยแกการใชค วามคิดท่ไี ดผ ล ในทสี่ ดุ ทรงมองเหน็ ภาพพวกสมณะ ซง่ึ เปน ผไู ดป ลกี ตัวจากสงั คมไปคนควา หาความจริงตางๆ โดยมี ความเปนอยงู า ยๆ ปราศจากกงั วล และสะดวกในการแสวงหาความรแู ละคิดหาเหตุผล สภาพความเปน อยแู บบ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 13 นนี้ าจะชว ยพระองคใหแกป ญ หาน้ีได และบางทสี มณะพวกนนั้ ท่ีไปคิดคนหาความจรงิ กนั ตา งๆ บางคนอาจมี อะไรบางอยา งที่พระองคจะเรยี นรูไดบ า ง เมอ่ื ถึงข้ันน้ี เจา ชายสทิ ธัตถะจึงเสดจ็ ออกบรรพชาอยา งพวกสมณะทม่ี อี ยูแลว ในสมยั นนั้ พระองคไ ด เสดจ็ จารกิ ไปศกึ ษาหาความรเู ทาทพ่ี วกนกั บวชสมยั นัน้ จะรแู ละปฏิบัตกิ ัน ทรงศึกษาทงั้ วิธกี ารแบบโยคะ ทรง บําเพ็ญสมาธจิ นไดฌ านสมาบัติ ถึงอรูปสมาบตั ิชัน้ สูงสดุ ทรงแสดงอทิ ธปิ าฏิหารยิ ไ ดอยา งเชีย่ วชาญยง่ิ และ ทรงบําเพญ็ ตบะทรมานพระองคจ นแทบสนิ้ พระชนม ในท่ีสดุ กท็ รงตดั สินไดวา วิธีการของพวกนกั บวชเหลา น้ีทัง้ หมด ไมส ามารถแกปญหาดงั ท่ีพระองคทรง ประสงคได เมื่อเทยี บกับชวี ิตของพระองคกอนเสดจ็ ออกบรรพชาแลว ก็นบั วาเปน การดาํ รงชีวิตอยา งเอยี งสดุ ทง้ั สองฝา ย จึงทรงหนั มาดาํ เนินการคดิ คน ของพระองคเ องตอ มา จนในทสี่ ดุ ไดตรสั รู ธรรมท่ีพระองคท รงคนพบนี้ ตอ มาเมอ่ื ทรงนําไปแสดงใหผ อู ืน่ ฟง ทรงเรยี กวา “มชั เฌนธรรมเทศนา” หรือ หลกั ธรรมสายกลาง และทรง เรยี กขอ ปฏบิ ัติอันเปน ระบบทพ่ี ระองคท รงจดั วางขึ้นวา “มัชฌิมาปฏปิ ทา” หรอื ทางสายกลาง จากความทอนนี้ จะมองเห็นทศั นะตามแนวพทุ ธธรรมวา การดาํ รงชวี ิตอยใู นสงั คมอยา งลมุ หลงหมก มนุ ปลอยตัวไปเปนทาสตามกระแสกิเลส ก็ดี การหลกี หนอี อกไปโดยสิ้นเชงิ ไมเก่ยี วของรบั ผดิ ชอบอยา งใดตอ สงั คม อยอู ยางทรมานตนก็ดี นบั วาเปน ขอ ปฏบิ ัติที่ผิดเอียงสดุ ดว ยกนั ท้งั สองอยา งไมสามารถใหมนษุ ยดํารง ชีวติ อยา งมีความหมายแทจ ริงได เม่ือตรัสรูแ ลวเชน นี้ พระองคจงึ เสดจ็ กลบั คนื มาทรงเร่ิมตน งานสง่ั สอนพุทธธรรมเพอื่ ประโยชนแกส ังคม ของชาวโลกอยางหนกั แนนจริงจังและทรงดําเนนิ งานน้ีจนตลอด ๔๕ ป แหง พระชนมชพี ระยะหลงั แมไ มพจิ ารณาเหตผุ ลดานอื่น มองเฉพาะในแงสังคมอยางเดยี ว กจ็ ะเห็นวา พุทธกจิ ท่พี ระพุทธเจา ทรง บาํ เพ็ญเพือ่ ประโยชนส ุขแกสังคมสมัยนนั้ จะสําเร็จผลดที ีส่ ุดกด็ ว ยการทาํ งานในบรรพชติ เพศเทา นน้ั พระองคจ งึ ไดท รงชักจงู คนช้ันสงู จาํ นวนมากใหละความม่ังมศี รสี ขุ ออกบวช ศกึ ษา และเขาถงึ ธรรมทีท่ รงสอนแลว รวม ทาํ งานอยา งเสียสละอุทศิ ตนเพ่อื ประโยชนสุขของประชาชน ดวยการจาริกไปเขาถงึ คนทกุ ชนั้ วรรณะ และทกุ ถนิ่ ทจี่ ะไปถงึ ได ทาํ ใหบ าํ เพ็ญประโยชนไ ดอ ยางกวา งขวาง อีกประการหนง่ึ คณะสงฆเ องก็เปนแหลง แกปญ หาสังคมไดอ ยา งสําคัญ เชนในขอวา ทกุ คน ไมวาจะ เกดิ ในวรรณะใด เมอ่ื บวชแลวกม็ ีสิทธเิ สมอกนั ทง้ั สิ้น สว นเศรษฐี คฤหบดี ผยู งั ไมพรอ มทีจ่ ะเสียสละไดเ ตม็ ที่ ก็ ใหค งครองเรือนอยเู ปน อบุ าสก คอยชว ยใหก ําลงั แกค ณะสงฆใ นการบาํ เพ็ญกรณยี กจิ ของทา น และนําทรพั ย สมบัตขิ องตนออกบําเพญ็ ประโยชนส งเคราะหประชาชนไปดว ยพรอ มกนั การบาํ เพญ็ กรณยี กิจ ทั้งของพระพทุ ธเจา และของพระสาวก มีวัตถุประสงคและขอบเขตกวา งขวาง เพียงใด จะเห็นไดจากพทุ ธพจน แตครง้ั แรกท่ีทรงสงสาวกออกประกาศพระศาสนาวา ภิกษทุ ง้ั หลาย เธอท้งั หลายจงจาริกไป เพือ่ ประโยชนและความสขุ ของชนเปนอนั มาก เพ่ืออนุเคราะห ชาวโลก เพ่ือประโยชนเกือ้ กลู และความสุขแกทวยเทพและมนุษยทั้งหลาย
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 14 พทุ ธธรรมนัน้ มขี อบเขตในทางสงั คมที่จะใหใชไดและเปนประโยชนแกบ คุ คลประเภทใดบาง พงึ เหน็ ได จากพทุ ธพจนใ นปาสาทกิ สตู ร ซ่งึ สรุปความไดว า พรหมจรรย (คือพระศาสนา) จะชื่อวา สําเรจ็ ผลแพรห ลายกวางขวางเปน ประโยชนแ กชนเปน อันมาก เปนปก แผน ถงึ ข้ันทีว่ า เทวดาและมนษุ ยป ระกาศไวดแี ลว ตอ เมือ่ มอี งคประกอบตอ ไปนีค้ รบถวน คอื ๑. องคพ ระศาสดา เปนเถระ รัตตญั ู ลวงกาลผา นวัยมาโดยลําดบั ๒. มภี ิกษุสาวก ทีเ่ ปนเถระ มคี วามรเู ชยี่ วชาญ ไดร บั การฝกฝนอบรม อยา งดี แกลว กลา อาจหาญ บรรลธุ รรมอนั เกษมจากโยคะ สามารถแสดงธรรมใหเหน็ ผลจรงิ จงั กาํ ราบปรัปวาท (ลัทธทิ ่ีขดั แยง วาทะฝา ยอื่น หรอื คําสอนนอกรีตผดิ เพ้ียน) ทเ่ี กดิ ขึ้น ให สําเรจ็ เรยี บรอ ยโดยถกู ตอ งตามหลกั ธรรม และมภี ิกษสุ าวกช้นั ปูนกลาง และชั้นนวกะ ทม่ี คี วามสามารถเชนเดียวกันนั้น ๓. มีภกิ ษุณสี าวิกา ช้ันเถรี ชั้นปนู กลาง และชัน้ นวกะ ท่ีมคี วาม สามารถเชนเดยี วกนั นั้น ๔. มีอุบาสก ท้งั ประเภทพรหมจารี และประเภทครองเรือนเสวย กามสขุ ซ่งึ มีความสามารถเชน เดยี วกนั น้นั ๕. มอี บุ าสิกา ทั้งประเภทพรหมจารนิ ี และประเภทครองเรือนเสวย กามสขุ ซง่ึ มคี วามสามารถเชนเดียวกันนน้ั เพยี งแตขาดอบุ าสิกาประเภทครองเรือนเสียอยางเดียว พรหมจรรย กย็ งั ไมช อ่ื วาเจริญบริบรู ณเ ปนปก แผน ดี ความตอนน้แี สดงวา พุทธธรรมเปน คาํ สอนท่ีมุงสําหรบั คนทุกประเภท ทัง้ บรรพชิต และคฤหสั ถ คอื ครอบคลุมสังคมท้งั หมด และลักษณะท่ัวไปของพทุ ธธรรมนนั้ สรุปได ๒ อยา ง คอื ๑. แสดงหลกั ความจริงสายกลาง ทเี่ รยี กวา “มัชเฌนธรรม” หรือ เรียกเต็มวา “มชั เฌนธรรมเทศนา” วา ดวยความจรงิ ตามแนว ของเหตุผลบรสิ ทุ ธ์ิตามกระบวนการของธรรมชาติ นํามาแสดง เพ่ือประโยชนทางปฏิบัตใิ นชวี ติ จริงเทา นน้ั ไมสงเสรมิ ความ พยายาม ที่จะเขา ถึงสัจธรรมดว ยวธิ ถี กเถยี งสรางทฤษฎตี า งๆ ขนึ้ แลว ยึดมน่ั ปกปอ งทฤษฎนี นั้ ๆ ดวยการเก็งความจริงทาง ปรัชญา ๒. แสดงขอปฏบิ ตั สิ ายกลาง ท่เี รยี กวา “มชั ฌมิ าปฏิปทา” อนั เปน หลักการครองชวี ิตของผฝู กอบรมตน ผรู เู ทาทนั ชวี ติ ไมหลงงม
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 15 งาย มุงผลสําเร็จคือความสุข สะอาด สวา ง สงบ เปนอิสระ ท่ี สามารถมองเหน็ ไดต้ังแตใ นชีวติ น้ี ในทางปฏิบัติ ความเปน สาย กลางน้ี เปนไปโดยสัมพนั ธกบั องคประกอบอืน่ ๆ เชน สภาพชีวิต ของบรรพชิต หรอื คฤหัสถ เปนตน การส่งั สอนธรรมของพระพุทธเจา ทรงมุง ผลในทางปฏิบตั ิ ใหท ุกคนจัดการกับชีวติ ทเี่ ปน อยจู รงิ ๆ ในโลก น้ี และเรม่ิ แตบ ัดน้ี ความรใู นหลกั ท่เี รยี กวา มัชเฌนธรรมเทศนา ก็ดี การประพฤตติ ามมรรคาทีเ่ รยี กวา มชั ฌมิ าปฏิปทา กด็ ี เปนสง่ิ ท่ที ุกคน ไมวาจะอยใู นสภาพและระดบั ชีวิตอยา งใด สามารถเขา ใจและนาํ มาใชใ ห เปน ประโยชนไ ดต ามสมควรแกสภาพและระดับชีวิตนน้ั ๆ ถา ความหว งใยในเรอ่ื งชวี ิตหลังจากโลกนม้ี อี ยู กจ็ งทาํ ชวี ิตแบบท่ตี อ งการน้นั ใหเกดิ มีเปน จรงิ เปน จงั แนนอนขึน้ มาเสียในชวี ติ นี้ทเี ดียว จนม่ันใจในตนเองโดยไมตอ ง กงั วลหว งใยในโลกหนา นน้ั เลย ทกุ คนมสี ิทธเิ ทาเทียมกันโดยธรรมชาติ ท่ีจะเขาถึงผลสําเรจ็ เหลา น้ี แมวา ความสามารถจะตางกัน ทุก คนจึงควรไดรับโอกาสเทาเทียมกนั ทีจ่ ะสรางผลสําเร็จนัน้ ตามความสามารถของตน และความสามารถนนั้ ก็ เปนสิ่งท่ีปรับเปลี่ยนเพม่ิ พูนได จึงควรใหท กุ คนมโี อกาสทจี่ ะพฒั นาความสามารถของตนอยางดีทสี่ ดุ และแมว า ผลสําเรจ็ ท่แี ทจริง ทุกคนจะตอ งทําดวยตัวเอง โดยตระหนักในความรบั ผดิ ชอบของตน ทจ่ี ะตองขวนขวาย พากเพียรอยางเต็มท่ี แตท กุ คนกเ็ ปนอปุ กรณในการชว ยตนเองของคนอน่ื ได ดังน้นั หลักอปั ปมาทธรรม และหลกั ความมีกลั ยาณมติ ร จึงเปนหลกั ธรรมทเ่ี ดน และเปน ขอ ท่เี นนหนักทัง้ สองอยา ง ในฐานะความรับผดิ ชอบตอ ตน เองฝายหน่ึง กับปจจยั ภายนอกทีจ่ ะชวยเสริมอีกฝายหนึ่ง หากยกเอาผลงานและพระจรยิ าของพระพทุ ธเจาข้นึ มาเปน หลักพิจารณา จะมองเห็นแนวทางการ บาํ เพญ็ พทุ ธกิจที่สําคัญหลายอยาง เชน ทรงพยายามลมลางความเชื่อถืองมงายในเรื่องพธิ ีกรรมอนั เหลวไหล ตา งๆ โดยเฉพาะการบูชายญั ดว ยการสอนยา้ํ ถงึ ผลเสียหายและความไรผลของพธิ ีกรรมเหลา นน้ั ท้ังนเ้ี พราะ ยัญพธิ ีเหลา นัน้ ทําใหค นมวั แตคิดหวังพึง่ เหตปุ จจยั ภายนอก อยา งหนงึ่ ทําใหคนกระหายทะยานและคดิ หมกห มนุ ในผลประโยชนท างวัตถเุ พิ่มพูนความเหน็ แกต น ไมคํานึงถึงความทกุ ขย ากเดือดรอนของเพ่ือนมนษุ ยแ ละ สัตว อยา งหนึ่ง ทาํ ใหคนคิดหวงั แตเร่ืองอนาคต จนไมค ิดปรบั ปรุงปจจบุ นั อยา งหนึ่ง แลว ทรงสอนย้ําหลักแหง “ทาน” คือการใหเสยี สละแบง ปนและสงเคราะหกนั ในสงั คม สงิ่ ตอไปท่ที รงพยายามสอนหักลาง คอื ระบบความเช่อื ถอื เร่อื งวรรณะ ที่นําเอาชาตกิ าํ เนิดมาเปน ขดี ขนั้ จํากดั สิทธิและโอกาสทงั้ ในทางสังคมและทางจิตใจของมนุษย ทรงตง้ั “สังฆะ” คอื ชุมชนแหง สงฆ ที่เปดรบั คน จากทกุ วรรณะใหเ ขาสูค วามเสมอภาคกนั เหมอื นทะเลทีร่ ับนาํ้ จากแมน้าํ ทุกสายกลมกลนื เขาเปนอนั เดยี วกัน ทาํ ใหเ กิดสถาบนั วัด ซง่ึ ตอ มาไดกลายเปน ศูนยกลางเผยแพรว ฒั นธรรมและการศึกษาทสี่ าํ คญั ยงิ่ จนศาสนา ฮินดตู อ งนาํ ไปจัดตง้ั ขึน้ บางในศาสนาของตน เมือ่ หลังพทุ ธกาลแลว ราว ๑,๔๐๐ หรอื ๑,๗๐๐ ป
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 16 ทรงใหสิทธแิ กสตรีทจ่ี ะไดรับประโยชนจ ากพุทธธรรม เขาถึงจดุ หมายสงู สุดทพ่ี ทุ ธธรรมจะใหเขาถงึ ได เชน เดียวกับบรุ ุษ แมวา การใหสทิ ธนิ ้ี จะตองทรงกระทําดวยความระมัดระวังอยางยิ่ง ท่จี ะเตรยี มการวางรปู ให สภาพการไดสทิ ธขิ องสตรีน้ดี ํารงอยดู วยดใี นสภาพสงั คมสมยั น้นั เพราะสิทธขิ องสตรใี นการศกึ ษาอบรมทางจติ ใจ ไดถกู ศาสนาพระเวทคอยๆ จํากัดแคบลงมาจนปด ตายแลวในสมัยนน้ั ประการตอไป ทรงส่ังสอนพุทธธรรมดวยภาษาสามญั ที่ประชาชนใชเพ่ือใหคนทกุ ชัน้ ทกุ ระดับการ ศึกษา ไดร ับประโยชนจากธรรมนีท้ ว่ั ถงึ ตรงขา มกับศาสนาพราหมณทยี่ ดึ ความศกั ด์สิ ทิ ธขิ์ องคมั ภรี พ ระเวท และ จาํ กัดความรชู ้นั สงู ไวในวงแคบของพวกตนดวยวิธกี ารตา งๆ โดยเฉพาะดวยการใชภาษาเดิมของสนั สกฤต ซ่ึงรู จาํ กดั ในหมพู วกตน เปนสอื่ ถา ยทอดและรกั ษาคัมภีร แมตอมาจะมผี ูขออนุญาตพระพทุ ธเจาใหยกพทุ ธพจนข้ึน สูภาษาพระเวท พระองคก ็ไมท รงอนญุ าต ทรงยนื ยันใหใชภ าษาของประชาชนตามเดิม ประการตอ ไป ทรงปฏเิ สธโดยสิ้นเชงิ ทจี่ ะทาํ เวลาใหสูญเสียไปกับการถกเถียงปญหาทเ่ี กย่ี วกับการเกง็ ความจรงิ ทางปรัชญา ซึ่งไมอาจนาํ มาพสิ จู นใหเ หน็ ไดดว ยวธิ ีแสดงเหตผุ ลทางคําพดู ถาใครถามปญ หาเชนน้ี พระองคจ ะทรงยับยง้ั เสีย แลวดึงผูน ้ันกลับมาสปู ญหาเกย่ี วกบั เรื่องท่เี ขาจะตอ งเกี่ยวขอ งและปฏบิ ัติไดในชีวิต จริงโดยทนั ที สิง่ ทจี่ ะพงึ รไู ดดว ยคาํ พูด ทรงแนะนาํ ดว ยคําพูด สิง่ ท่จี ะพึงรดู วยการเห็น ทรงใหเขาดู มใิ ชใ หดสู ง่ิ ท่ี จะตองเหน็ ดว ยคําพดู ทั้งนี้ ทรงสอนพุทธธรรมโดยปริยายตา งๆ เปน อนั มาก มคี ําสอนหลายระดบั ท้ังสาํ หรบั ผคู รองเรือน ผู ดํารงชีวิตอยูใ นสงั คม และผสู ละเรือนแลว ทั้งคําสอนเพือ่ ประโยชนทางวัตถุ และเพื่อประโยชนล กึ ซ้งึ ทางจิตใจ เพ่ือใหทกุ คนไดร ับประโยชนจ ากพทุ ธธรรมทว่ั ถึงกนั พทุ ธกิจทก่ี ลาวมาน้ี เปน เคร่อื งยืนยันขอสรุปความเขา ใจ เกย่ี วกับพุทธธรรมท่พี ูดมาแลวขางตน การทไ่ี ดประสตู แิ ละทรงเติบโตมาทา มกลางวัฒนธรรมแบบพราหมณ และความเช่ือถือตามลทั ธิตางๆ ของพวกสมณะสมยั นนั้ ทาํ ใหพระองคต องทรงเกย่ี วขอ งและคุน กับถอ ยคาํ ตามที่มีใชก นั ในลัทธคิ วามเช่อื ถอื เหลา นัน้ จึงเปนธรรมดาทจ่ี ะตองทรงใชถ อ ยคําเหลานนั้ ในการสอ่ื สารทว่ั ไป แตเมอ่ื ทรงมีคําสอนใหมใ หแ กส งั คม ปญหากเ็ กดิ ขึ้นวาจะทรงปฏิบตั ติ อ ถอยคําเหลา นั้นอยางไร ปรากฏวา พระองคทรงมีวิธปี ฏิบัติตอถอยคาํ ทางศาสนาเหลา น้ี เปน ทนี่ าสังเกตอยางหนง่ึ คอื ไมท รง นยิ มหักลางความเชื่อถือเดมิ ในรูปถอยคําทีใ่ ช ถาถอ ยคํานน้ั ๆ มคี วามหมายของศพั ทในทางทดี่ ีงาม ทรงหักลา ง เฉพาะตวั ความเชือ่ ถือผดิ ที่แฝงอยกู บั ความหมายของถอยคําเหลา นนั้ กลา วคือ ไมท รงขัดแยงดว ยวิธีรุนแรง แต ทรงนําคนเขาสูปญญาดวยเมตตากรณุ า ใหเขาเกิดความรูเ ขาใจอยา งใหม มองเห็นความจรงิ จากถอ ยคําทีเ่ ขา เคยเขา ใจอยางอ่นื โดยนัยนี้ พระองคจึงทรงนําคาํ บญั ญตั ิทีใ่ ชก นั อยูใ นศาสนาเดมิ มาใชในความหมายใหมต ามแนวของ พทุ ธธรรมโดยเฉพาะบาง ทรงสรางคณุ คา ใหมใ หแกถ อยคําทใี่ ชอยูเ ดิมบาง เชน ใช “พรหม” เปน ช่ือของสัตวโลก
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 17 ท่ีเกิดตายประเภทหน่ึงบา ง หมายถึงบดิ ามารดาบาง ทรงเปลยี่ นความเช่ือถือเร่ืองกราบไหวทศิ ๖ ในธรรมชาติ มาเปนการปฏบิ ัติหนาที่และรักษาความสมั พันธร ปู ตางๆ ในสงั คม เปลีย่ นความหมายของการบชู าไฟศักดิส์ ิทธ์ิ สําหรับยญั พธิ ี ๓ อยา งของพราหมณม าเปน ความรบั ผิดชอบทางสังคมตอบุคคล ๓ ประเภท เปล่ยี นการตดั สนิ ความเปน พราหมณแ ละอารยะโดยชาตกิ ําเนดิ มาเปนตัดสนิ ดวยการประพฤติปฏิบตั ิ บางครง้ั ทรงสอนใหดงึ ความหมายบางสวนในคําสอนของศาสนาเดมิ มาใชแ ตในทางท่ีดงี ามและเปน ประโยชน คาํ สอนใดในศาสนาเดมิ ถูกตอ งดีงาม ก็ทรงรบั รอง โดยถอื ความถูกตองดงี ามเปน ของสากลโดยธรรม ชาติ ในกรณีที่หลกั ความประพฤตปิ ฏิบตั ิในศาสนาเดิมมีความหมายหลายอยา ง ทรงช้แี จงวาแงใ ดถกู แงใ ดผิด ทรงยอมรบั และใหป ระพฤตปิ ฏิบตั ิแตใ นแงท ด่ี ีงามถกู ตอง บางคร้งั ทรงสอนวา ความประพฤตปิ ฏบิ ัตทิ ่ผี ดิ พลาดเสียหายบางอยางของศาสนาเดิมสมัยนั้น เปน ความเสอ่ื มโทรมทเ่ี กิดข้ึนในศาสนาน้ันเอง ซึง่ ในครั้งดั้งเดิมทเี ดียว คาํ สอนของศาสนาน้นั กด็ งี ามถูกตอง และ ทรงสอนใหร วู า คําสอนเดมิ ทด่ี ีของศาสนานัน้ เปน อยางไร ตวั อยา งในขอ น้ี มีเรื่อง ตบะ การบชู ายัญ หลกั การ สงเคราะหป ระชาชนของนกั ปกครอง และเรือ่ ง พราหมณธรรม เปน ตน ขอความที่กลา วมานี้ นอกจากจะแสดงใหเห็นความใจกวา งของพทุ ธธรรม และการที่พระพุทธเจาทรง ตัง้ พระทัยสอนแตความจรงิ และความดีงามถูกตอ งที่เปนกลางๆ แลว ยงั เปนเรื่องสาํ หรบั เตอื นใหรจู กั แยกความ หมายของคาํ บญั ญัตทิ างศาสนาทใี่ ชใ นพุทธธรรม กับทใี่ ชใ นศาสนาอน่ื ๆ ดวย อนง่ึ เมื่อสิน้ ยคุ ขององคพระศาสดาแลว เวลาลว งไป และคําสอนแผไ ปในถิ่นตางๆ ความเขาใจในพุทธ ธรรมกแ็ ปรไปจากเดิมและแตกตา งกันไปหลายอยาง เพราะผูถา ยทอดสบื ตอมพี ้ืนความรูก ารศกึ ษาอบรมสติ ปญญาแตกตางกนั ตีความหมายพทุ ธธรรมแผกกันไปบา ง นาํ เอาความรคู วามเชอ่ื ถอื เดมิ จากลทั ธศิ าสนาอ่ืน เขา มาผสมแทรกแซงบาง อิทธพิ ลศาสนาและวฒั นธรรมในทองถ่นิ เขา ผสมผสานบาง คําสอนบางแงเ ดน ขน้ึ บาง แงเลอื นลางลง เพราะการย้าํ และเลี่ยงความสนใจตามความโนม เอียงและความถนดั ของผรู ักษาคําสอนบา ง ทาํ ใหเ กิดการแตกแยกออกเปนนิกายตา งๆ เชน ทีแ่ ยกเปน เถรวาท กบั มหายาน ตลอดจนนกิ ายยอ ยๆ ในสองนิกาย ใหญน้นั พระพุทธศาสนาเถรวาทนัน้ เปนทยี่ อมรับของนกั ปราชญท างพระพทุ ธศาสนาท่ัวโลก วา เปนนกิ ายที่ รกั ษาแบบแผนและคาํ สอนดัง้ เดมิ ไวไ ดแมน ยําแมแ ตปราชญฝ า ยมหายานยคุ ปจจุบนั ก็เห็นความสําคัญน้ี ดังที่ ในประเทศญปี่ ุนไดถือลงกนั ทั่วไปวา การทจ่ี ะศกึ ษาพระพทุ ธศาสนามหายานใหท่วั ตลอด ตองศกึ ษาพระพุทธ ศาสนาแบบดงั้ เดมิ (คอื เถรวาท) ดวย เพราะมีพระสูตรบาลที ีเ่ ปน รากฐานของพระพทุ ธศาสนา พระสูตรของ มหายานเพียงแตอธิบายสาระทบ่ี รรยายไวโดยยอ ในพระสตู รบาลี ใหละเอยี ดกวางขวางออกไป แมกระนนั้ กต็ าม ในพระพทุ ธศาสนาเถรวาทเอง เนอื้ ความบางแหงในพระคมั ภีร ที่เปนสวนเพ่ิมเขาใน สมัยตอ มา ไดระบุกาลเวลาไวช ัดเจน ก็มไี มไดระบุไว ก็มี ถงึ จะรูกนั วาอยใู นระยะแรกๆ กอนยคุ อรรถกถา ก็ยัง เปนปญหาทีค่ นรุนปจจบุ ันนํามาถกเถยี งคดิ คนหาความชดั เจนแนน อน
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 18 เนื่องจากพระพุทธศาสนาเนน การใชปญญา การปฏิบัติใหถูกตองจึงขึ้นตอ การศึกษา และคัมภรี พระ พุทธศาสนา แมนบั เพียงพระไตรปฎ กบาลี ทเี่ ปนแหลงแหงพทุ ธพจน ก็ใหญโ ตมเี น้ือหามากมาย ยากทจ่ี ะศึกษา ใหท ั่วถึง ยงิ่ ในบางยคุ บางสมัย พทุ ธศาสนกิ ชนยงั เหินหา งจากการศึกษาหลักธรรมอีกดว ย ความรูความเขา ใจที่ ประชาชนสว นมากเชือ่ ถอื และปฏบิ ัติ จึงอาศยั เพยี งการฟงบอกเลาและทาํ ตามๆ กันมา เม่ือกาลเวลาลวงผา น ไปนานๆ ความคลาดเคล่ือนก็มีมากข้ึนและชดั เจนย่ิงขึ้น จนกระท่ังบางกรณถี ึงกบั เสมือนเปน ตรงขามกับคํา สอนเดมิ หรอื เกือบจะกลายไปเปน ลทั ธิอ่นื ท่ีคําสอนเดิมคัดคานไปแลวก็มี ยกตัวอยางในประเทศไทยน้ี เมอื่ พดู ถงึ คาํ วา “กรรม” ความเขาใจของคนท่ัวไปกจ็ ะเพงไปยงั กาละสวน อดีต เจาะจงเอาการกระทําในชาติที่ลว งแลว หรือชาตกิ อ นๆ บาง เพง ไปยังปรากฏการณสว นผล คือนึกถงึ ผลท่ี ปรากฏในปจจุบนั ของการกระทาํ ในอดีตบา ง เพงไปยงั แงท ี่เสียหายเลวรา ยคือการกระทําชว่ั ฝายเดยี วบา ง เพง ไปยงั อํานาจแสดงผลรา ยของการกระทาํ ความชั่วในชาตกิ อ นบา ง และโดยมากเปนความเขา ใจตามแงตา งๆ เหลา น้ีรวมๆ กนั ไปท้ังหมด ซ่ึงเม่ือพิจารณาตดั สนิ ตามหลกั กรรมทีแ่ ทจ รงิ ในพุทธธรรมแลว จะเห็นไดชดั วาเปน ความเขาใจทหี่ างไกลจากความหมายทแ่ี ทจรงิ เปนอันมาก แมข อธรรมอ่นื ๆ ตลอดจนคาํ บญั ญัติทางธรรมแตล ะคาํ ๆ เชน อารมณ วิญญาณ บารมี สนั โดษ อเุ บกขา อธษิ ฐาน บริกรรม ภาวนา วิปส สนา กาม โลกยิ ะ โลกตุ ตระ บญุ อจิ ฉา ฯลฯ กล็ ว นมคี วามหมายพิเศษ ในความเขาใจของประชาชน ซ่ึงผดิ แปลกไปจากความหมายด้งั เดมิ ในพทุ ธธรรม โดยตัวความหมายเองบา ง โดยขอบเขตความหมายบาง มากนอยตางกันไปในแตละคํานั้นๆ ในการศกึ ษาพทุ ธธรรม จําเปน ตอ งแยกความหมายในความเขา ใจของประชาชนสวนท่ีคลาดเคล่ือนน้ี ออกไปตา งหาก จึงจะสามารถเขา ใจความหมายที่แทจ รงิ ได ในการแสดงพุทธธรรมตอไปน้ี ผแู สดงถอื วาได พยายามท่จี ะแสดงตวั พทุ ธธรรมแท อยา งทอี่ งคพระบรมศาสดาทรงสอนและทรงมุงหมาย ในการน้ี ไดตดั ความหมายอยางทป่ี ระชาชนเขาใจออกโดยส้นิ เชงิ ไมนาํ มาพจิ ารณาเลย เพราะถือวา เปน เร่อื งขางปลาย ไมจ ําเปน ตอการเขาใจตวั พทุ ธธรรมที่แทแตประการใด แหลงสําคญั อนั เปน ทม่ี าของเนอื้ หาและความหมายของพทุ ธธรรมทจี่ ะแสดงตอ ไปนี้ ไดแ กคัมภีรพ ุทธ ศาสนา ซึ่งในที่นี้ ถาไมม กี รณเี กย่ี วขอ งเปน พเิ ศษ จะหมายถงึ พระไตรปฎ กบาลอี ยา งเดยี ว เพราะเปนคัมภรี ท่ี ยอมรับกันทวั่ ไปแลววา เปนแหลง รวบรวมรกั ษาพุทธธรรมทีแ่ มนยําและสมบูรณท่สี ุด แมก ระนัน้ ก็ไดเลอื กสรร เอาเฉพาะสวนทีเ่ ห็นวาเปน หลกั การดงั้ เดมิ เปน ความหมายแทจรงิ มาแสดง โดยยดึ เอาหลกั ความกลมกลืนสอด คลอ งกันในหนว ยรวมเปน หลกั และเพื่อใหมนั่ ใจยิง่ ขึน้ จึงไดนําพุทธจริยาและพุทธกิจทไี่ ดทรงบําเพ็ญมา ประกอบการพิจารณาตดั สนิ แนวทางและขอบเขตของพทุ ธธรรมดวย เมื่อไดหลักการพิจารณาเหลา นี้มาเปน เคร่อื งกาํ กับการแสดงแลว ก็มนั่ ใจวา จะสามารถแสดงสาระแหง พทุ ธธรรมไดใกลเคยี งตัวแทเ ปนอยางยง่ิ อยา งไรก็ตาม ในข้นั พ้นื ฐาน การแสดงน้ีก็ยงั ตองขึ้นกับกําลังสตปิ ญ ญ ของผแู สดง และความโนมเอยี งบางอยางทีผ่ แู สดงเองอาจไมรูตัวอยนู น่ั เอง ฉะนนั้ จงึ ขอใหถ อื วา เปน ความ
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 19 พยายามครงั้ หน่งึ ทจ่ี ะแสดงพุทธธรรมใหถ กู ตอ งทสี่ ุดตามทพ่ี ระพทุ ธเจาทรงสอนและมงุ หมาย โดยอาศยั วธิ กี าร และหลักการแสดง พรอมท้งั หลกั ฐานตา งๆ ทเ่ี ช่อื วาใหความมัน่ ใจมากท่สี ุด ถาแยกพุทธธรรมออกเปน ๒ สว น คอื สัจธรรม สว นหนง่ึ กบั จรยิ ธรรม สว นหนึ่ง แลว กําหนดความ หมายขน้ึ ใชในทน่ี ี้โดยเฉพาะ โดยกาํ หนดใหส ัจธรรมเปนสวนแสดงสภาวะหรอื รูปลักษณะตัวความจริงและให จริยธรรมเปนฝา ยขอประพฤตปิ ฏบิ ัตทิ ง้ั หมด กจ็ ะเห็นวา สัจธรรม ในพทุ ธศาสนา หมายถงึ คําสอนเก่ยี วกบั สภาวะของสิ่งท้งั หลาย หรือธรรมชาตแิ ละความเปน ไปโดยธรรมดาของส่งิ ทง้ั หลาย หรอื กฎธรรมชาตนิ นั่ เอง สวน จริยธรรม ก็หมายถึงการถือเอาประโยชนจาก ความรคู วามเขาใจในสภาพและความเปน ไปของส่ิงทงั้ หลาย หรือการรูกฎธรรมชาติแลวนํามาใชในทางทเี่ ปน ประโยชน อกี นยั หนง่ึ สัจธรรม คือธรรมชาตแิ ละกฎธรรมดา จรยิ ธรรม คือความรูในการประยุกตส จั ธรรม หลักการท้ังหมดนี้ ไมเ กีย่ วของกับตวั การนอกเหนอื ธรรมชาติ เชน พระผสู รา ง เปนตน แตประการใดเลย ดวยเหตุนี้ ในการแสดงพุทธธรรมเพือ่ ความรูความเขาใจทม่ี งุ ในแนวทฤษฎี คอื มุงใหรวู า เปน อะไร จึง ควรแสดงควบคูกนั ไปทั้งสจั ธรรมและจรยิ ธรรม คอื แสดงหลกั คาํ สอนในแงส ภาวะ แลวชีถ้ ึงคุณคา ท่ีจะนํามาใช ในทางปฏิบตั ิไวดว ย ใหเ สร็จไปแตละอยางๆ วธิ ีแสดงอยา งนี้เหมือนจะตรงขา มกบั เทศนาแบบอริยสัจ ๔ ซ่ึงมุงผลในทางปฏิบัตคิ ือการดบั ทุกขห รอื แกปญ หา จึงเร่มิ ดว ยปญหาทีป่ รากฏกอน แลว ดาํ เนนิ ไปสูวิธีปฏบิ ัตใิ นการแกไ ขใหถงึ จดุ หมายโดยลําดับ สวน ในท่นี ี้ เร่ิมดว ยความรคู วามเขา ใจเก่ยี วกับโลกและชีวติ ในแงข องสภาวะตามธรรมชาติ ใหเ ห็นหลกั ความจรงิ ที ละแงท ีละอยา งกอ น แลว กลาวถงึ ความหมายหรอื คณุ คา ทางปฏิบัติของหลกั ความจรงิ แตล ะอยา งนนั้ ทจี่ ะนาํ มา ใชประโยชนในการดําเนินชีวติ หรือแกปญ หาตอ ไป แมเม่ือมองหนังสอื พุทธธรรมหมดทีเดียวตลอดท้ังเลม ก็จะเหน็ ภาพรวมอยา งเดียวกันนี้ คอื หนงั สือทั้ง เลมมี ๒ ภาค เร่ิมดว ยภาค ๑ แสดงธรรมฝายสภาวะทเ่ี ปนหลกั ความจริงกลางๆ ตามธรรมชาติ คอื มชั เฌน- ธรรมเทศนา แลวจากน้นั ภาค ๒ แสดงธรรมทีเ่ ปนขอ ประพฤติปฏิบตั ขิ องมนุษย โดยสอดคลอ งกับความจรงิ ของ ธรรมชาติน้นั ตามมรรคาท่เี รยี กวา มัชฌิมาปฏิปทา อยา งไรกต็ าม ในท่สี ุด เม่อื มองกวา งครอบคลุมทง้ั หมดอีกครั้งหน่งึ กจ็ ะเหน็ วา พทุ ธธรรม ที่บรรยาย ณ ที่นี้ มโี ครงสรางใหญซอนอยูในหลักอรยิ สัจ ๔ นั่นเอง ดังจะเห็นไดตอ แตนไี้ ป อน่งึ ในขอ เขียนนี้ ไดต กลงใจแสดงความหมายภาษาอังกฤษของศัพทธ รรมท่สี ําคญั ๆ ไวดวย โดยเหตุ ผลอยางนอ ย ๓ อยา ง คือ ประการแรก ในภาษาไทยปจ จบุ ัน ไดม ีผนู ําศัพทธรรมบางคํามาใชเ ปนศพั ทบัญญตั ิ สาํ หรบั คาํ ในภาษา องั กฤษทม่ี ีความหมายไมต รงกันกบั ศัพทธ รรมนน้ั อนั อาจทาํ ใหค วามเขาใจคลาดเคล่อื นได จงึ นาํ ความหมายใน ภาษาอังกฤษมาแสดงควบไวดวย เพ่ือไมใหผอู า นถือไปตามความหมายทมี่ ีผูบัญญัตใิ ชใหมในภาษาไทย
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 20 ประการทสี่ อง จําตอ งยอมรบั ความจริงวา นักศกึ ษาวิชาการสมัยใหมจ ํานวนไมน อย เขาใจความหมาย ในภาษาไทยไดชัดเจนข้ึนในเมื่อเห็นคําภาษาอังกฤษควบอยดู วย ประการท่ีสาม ตําราภาษาตางประเทศท่ีเกยี่ วกับพระพุทธศาสนาในปจ จุบนั น้ี มจี ํานวนมาก การรู ความหมายศพั ทธ รรมทน่ี ิยมใชในภาษาองั กฤษยอมเปน ประโยชนแกนักศกึ ษาทต่ี อ งการคน ควา อยางกวาง ขวางตอ ไป ภาค ๑ มชั เฌนธรรมเทศนา หลักความจรงิ ท่เี ปน กลางตามธรรมชาติหรอื ธรรมที่เปน กลาง ชีวติ คืออะไร ? ก. ขันธ ๕ สว นประกอบหาอยา งของชีวติ ตวั สภาวะ พทุ ธธรรมมองเห็นส่ิงท้งั หลายในรูปของสว นประกอบตา งๆ ท่มี าประชุมกนั เขา ตัวตนแทๆ ของสง่ิ ทัง้ หลายไมม ี เม่ือแยกสว นตา งๆ ท่มี าประกอบกนั เขานัน้ ออกไปใหห มด ก็จะไมพบตัวตนของสง่ิ นั้นเหลืออยู ตวั อยางงา ยๆ ทยี่ กขน้ึ อางกันบอ ยๆ คือ “รถ” เมอื่ นาํ สว นประกอบตา งๆ มาประกอบเขาดว ยกันตามแบบที่กาํ หนด กบ็ ัญญัติเรียกกันวา “รถ” แตถ าแยกสวนประกอบทง้ั หมดออกจากกนั ก็จะหาตวั ตนของรถไมไ ด มแี ตส ว น ประกอบท้งั หลาย ซงึ่ มีชื่อเรียกตางๆ กนั จาํ เพาะแตละอยางอยูแลว คือ ตัวตนของรถมไิ ดม ีอยูตา งหากจากสว น ประกอบเหลานัน้ มแี ตเพียงคําบญั ญัติวา “รถ” สําหรบั สภาพที่มารวมตัวกนั เขาของสว นประกอบเหลา น้ัน แมส วนประกอบแตล ะอยา งๆ นน้ั เอง กป็ รากฏขึ้นโดยการรวมกันเขา ของสว นประกอบยอยๆ ตอ ๆ ไป อีก และหาตัวตนทแ่ี ทไมพ บเชนเดียวกัน เมอ่ื จะพดู วา สิ่งทัง้ หลายมอี ยู กต็ อ งเขาใจในความหมายวา มีอยใู น ภาวะของสวนประกอบตางๆ ทมี่ าประชมุ เขา ดวยกนั เมอื่ มองเห็นสภาพของสงิ่ ทง้ั หลายในรูปของการประชุมสว นประกอบเชน นี้ พทุ ธธรรมจงึ ตองแสดงตอ ไปวา สว นประกอบตางๆ เหลา นน้ั เปน อยา งไร มอี ะไรบาง อยางนอ ยก็พอเปนตวั อยาง และโดยท่ีพทุ ธธรรมมี ความเกย่ี วของเปน พเิ ศษกบั เรอื่ งชวี ติ โดยเฉพาะในดานจิตใจ การแสดงสว นประกอบตางๆ จึงตองครอบคลมุ ทงั้ วตั ถแุ ละจิตใจ หรอื ท้ังรูปธรรมและนามธรรม และแยกแยะเปนพิเศษในดานจิตใจ การแสดงสวนประกอบตางๆ นน้ั ยอ มทําไดห ลายแบบ สุดแตวตั ถปุ ระสงคจ ําเพาะของการแสดงแบบ นนั้ ๆ แตในทีน่ ี้ จะแสดงแบบขนั ธ ๕ ซงึ่ เปน แบบทนี่ ยิ มในพระสูตร โดยวธิ แี บง แบบ ขันธ ๕ (the Five Aggregates) พทุ ธธรรมแยกแยะชีวิตพรอมทั้งองคาพยพท้งั หมด ท่ี บัญญัติเรยี กวา “สตั ว” “บคุ คล” ฯลฯ ออกเปน สว นประกอบตางๆ ๕ ประเภท หรอื ๕ หมวด เรยี กทางธรรมวา เบญจขนั ธ คือ
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 21 ๑. รูป (Corporeality) ไดแ กส วนประกอบฝา ยรูปธรรมทั้งหมด รางกายและพฤติกรรมท้งั หมดของ รางกาย หรอื สสารและพลังงานฝายวตั ถุ พรอ มท้ังคณุ สมบตั ิ และพฤติการณตางๆ ของสสารพลังงานเหลา นนั้ ๒. เวทนา (Feeling หรอื Sensation) ไดแ กค วามรสู ึกสุข ทกุ ข หรือเฉยๆ ซ่ึงเกดิ จากผัสสะทาง ประสาทท้งั ๕ และทางใจ ๓. สัญญา (Perception) ไดแกความกําหนดได หรือหมายรู คอื กาํ หนดรูอาการเคร่ืองหมาย ลกั ษณะตา งๆ อนั เปน เหตุใหจ าํ อารมณ (object) นน้ั ๆ ได ๔. สังขาร (Mental Formations หรือ Volitional Activities) ไดแ กองคป ระกอบหรือคณุ สมบตั ิ ตา งๆ ของจติ ท่ีปรงุ แตง จิตใหด ีหรอื ช่ัว หรือเปน กลางๆ โดยมเี จตนาเปน ตัวนาํ พูดงายๆ วา ความนึกคิดดีชว่ั ตา งๆ เชน ศรัทธา สติ หิริ โอตตปั ปะ เมตตา กรณุ า มุทิตา อุเบกขา ปญ ญา โมหะ โทสะ โลภะ มานะ ทฏิ ฐิ อิสสา มัจฉริยะ เปนตน ๕. วญิ ญาณ (Consciousness) ไดแ กค วามรูแจงอารมณทางประสาททั้ง ๕ และทางใจ คอื การ เหน็ การไดย ิน การไดกลน่ิ การรูรส การรูส ัมผัสทางกาย และการรอู ารมณท างใจ ขันธ ๕ กับอุปาทานขนั ธ ๕ หรอื ชีวิตกบั ชวี ิตซงึ่ เปน ปญหา ในพุทธพจนแ สดงความหมายของอริยสัจ ๔ ซ่งึ เปน หลกั ธรรมท่ีประมวลใจความทง้ั หมดของพระพทุ ธ ศาสนา มีขอความทน่ี าสังเกตเปน พเิ ศษเกีย่ วกบั ขันธ ๕ ปรากฏอยใู นอริยสจั ขอ ท่ี ๑ คือ ขอ วา ดวยทกุ ข ในอริยสจั ขอที่ ๑ น้ัน ตอนตน พระพุทธเจา ทรงแสดงความหมายหรือคาํ จาํ กัดความของทุกข ดวยวธิ ี ยกตวั อยางเหตกุ ารณต า งๆ ท่มี องเห็นไดงายและมอี ยเู ปนสามญั ในชีวติ ของบคุ คล ขนึ้ แสดงวาเปนความทุกข แตล ะอยางๆ แตใ นตอนทาย พระองคต รสั สรปุ ลงเปน ขอ เดียววา อปุ าทานขันธ ๕ เปน ทุกข ดงั พทุ ธพจนวา ภิกษทุ ั้งหลาย นค้ี อื ทุกขอรยิ สัจ: ความเกดิ เปน ทุกข ความแกเปน ทกุ ข ความตายเปนทุกข ความ ประจวบกับสง่ิ ที่ไมเปน ทีร่ กั เปน ทกุ ข ความพลดั พรากจากสิ่งที่รกั เปน ทุกข ปรารถนาสงิ่ ใดไมไ ดสิง่ นั้นก็เปน ทกุ ข โดยยอ อุปาทานขันธ ๕ เปนทกุ ข พุทธพจนนี้ นอกจากแสดงถึงฐานะของขนั ธ ๕ ในพทุ ธธรรมแลว ยังมขี อ สังเกตสามญั คอื ความหมาย ของ “ทกุ ข” น้ัน จาํ งายๆ ดว ยคาํ สรปุ ทสี่ ั้นท่ีสุดวา คอื อุปาทานขนั ธ ๕ หรือเบญจอุปาทานขันธเทา นัน้ และ คําวาขันธในท่นี ี้มี “อปุ าทาน” นาํ หนาดว ย สิ่งทคี่ วรศกึ ษาในท่ีนี้ ก็คือคําวา “ขันธ” กับ “อปุ าทานขันธ” ซงึ่ ขอใหพจิ ารณาตามพทุ ธพจนต อไปนี้ ภกิ ษทุ ั้งหลาย เราจกั แสดงขนั ธ ๕ และอุปาทานขันธ ๕ เธอท้งั หลายจงฟง ขนั ธ ๕ เปนไฉน? รปู ...เวทนา...สัญญา...สงั ขาร...วญิ ญาณ อนั ใดอันหนึง่ ท้ังทเี่ ปนอดตี อนาคต ปจ จบุ ัน เปน ภายในก็ตาม ภายนอกกต็ าม หยาบก็ตาม ละเอียดทรามกต็ าม ประณีตก็ตาม ไกลหรอื ใกลก็ ตาม...เหลาน้ี เรยี กวา ขันธ ๕
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 22 อปุ าทานขันธ ๕ เปน ไฉน? รูป...เวทนา…สัญญา...สงั ขาร...วิญญาณ อนั ใดอนั หน่งึ ทั้งทเ่ี ปน อดีต อนาคต ปจจบุ ัน เปนภายในกต็ าม ภายนอกกต็ าม หยาบก็ตาม ละเอยี ดก็ตาม ทรามก็ตาม ประณตี ก็ตาม ไกล หรอื ใกลก ็ตาม ท่ปี ระกอบดว ยอาสวะ เปน ท่ตี ้ังแหงอุปาทาน...เหลาน้ี เรียกวา อปุ าทานขันธ ๕ รูป...เวทนา...สญั ญา...สงั ขาร...วญิ ญาณ คือธรรมอนั เปนท่ีต้งั แหงอุปาทาน ฉันทราคะ (ความกระสนั อยาก) ในรูป...เวทนา...สญั ญา...สงั ขาร...วญิ ญาณ นั้นคอื อปุ าทานใน (สง่ิ ) นนั้ ๆ หลักดังกลาวน้ี เปนพ้ืนฐานความเขา ใจที่สําคัญอยา งหนงึ่ ในการศกึ ษาพุทธธรรมตอ ไป คณุ คา ทางจริยธรรม ตามปกติ มนุษยม ีความโนมเอยี งท่ีจะยดึ ถืออยเู สมอวา ตัวตนท่ีแทข องตนมีอยูในรูปใดรูปหนง่ึ บางก็ ยึดเอาจติ เปนตัวตน บา งกย็ ดึ วา มีส่งิ ทีเ่ ปน ตวั ตนอยูตางหากแฝงซอนอยูในจิตน้ัน ซง่ึ เปน เจา ของ และเปนตวั การที่คอยควบคุมบังคบั บญั ชากายและใจนน้ั อกี ชนั้ หนึง่ การแสดงขันธ ๕ น้ี มงุ ใหเห็นวาสิง่ ทีเ่ รยี กวา “สตั ว” “บุคคล” “ตวั ตน” เปน ตน นั้น เม่ือแยกออกไปแลว ก็ จะพบแตส วนประกอบ ๕ สว นเหลานเ้ี ทาน้นั ไมม ีสิ่งอื่นเหลืออยทู ่ีจะมาเปน ตวั ตนตางหากได และแมขันธ ๕ เหลานน้ั แตละอยา ง กม็ ีอยูเ พยี งในรปู ท่ีสมั พนั ธองิ อาศัยกนั ไมเ ปน อสิ ระ ไมม ีโดยตวั ของมนั เอง ดังนนั้ ขนั ธ ๕ แตละอยา งๆ นั้นกไ็ มใ ชตวั ตนอกี เชน กัน รวมความวา หลักขนั ธ ๕ แสดงถึงความเปน อนตั ตา ใหเ หน็ วาชวี ิตเปน การประชมุ เขา ของสวน ประกอบตางๆ หนวยรวมของสวนประกอบเหลาน้ี ก็ไมใ ชตวั ตน สว นประกอบแตละอยา งๆ น้นั เอง ก็ไมใชตัวตน และส่ิงที่เปน ตวั ตนอยตู า งหากจากสวนประกอบเหลา น้กี ไ็ มม ี เมื่อมองเหน็ เชน นน้ั แลว กจ็ ะถอนความยึดมั่นถือ มน่ั ในเรือ่ งตวั ตนได ความเปนอนตั ตานีจ้ ะเห็นไดชัดตอ เมื่อเขา ใจกระบวนการของขนั ธ ๕ ในวงจรแหงปฏิจจส มุปบาททีจ่ ะกลา วตอ ไป อน่งึ เมือ่ มองเหน็ วา ขนั ธ ๕ มีอยูอยา งสมั พนั ธแ ละอาศัยซึง่ กนั และกนั ก็จะไมเกิดความเหน็ ผิดวาขาด สูญ ทีเ่ รียวา อจุ เฉททฏิ ฐิ และความเหน็ ผดิ วา เทยี่ ง ทเี่ รยี กวา สัสสตทฏิ ฐิ นอกจากน้นั เม่ือรวู าสิ่งทง้ั หลายไมม ีตวั ตนและมอี ยอู ยางสัมพนั ธอ าศัยกันและกนั เชนน้ีแลวก็จะเขาใจหลักกรรมโดยถกู ตองวาเปน ไปไดอ ยา งไร กระ บวนการแหง ความสมั พนั ธและอาศัยกันของสง่ิ ทงั้ หลายนม้ี คี ําอธิบายอยใู นหลักปฏจิ จสมุปบาทเชน เดียวกัน อกี ประการหนึง่ การมองส่ิงทง้ั หลายโดยวธิ แี ยกสว นประกอบออกไปอยา งวิธีขันธ ๕ น้ี เปนการฝก ความคิด หรอื สรา งนสิ ัยท่ีจะใชความคดิ แบบวิเคราะหความจรงิ คือ เมื่อประสบหรอื เขาเกีย่ วขอ งกบั สิ่งตางๆ ความคดิ กไ็ มห ยุดตันตื้อ ยดึ ถือเฉพาะรูปลักษณะภายนอกเทาน้นั เปน การสรางนสิ ยั ชอบสอบสวนสืบคนหา ความจริง และทสี่ ําคัญยิ่งคือ ทําใหรจู ักมองสง่ิ ทงั้ หลายตามภาวะลว นๆ ของมนั หรอื ตามแบบสภาววสิ ยั (objective) คือมองเห็นสงิ่ ทง้ั หลาย “ตามท่มี ันเปน ” ไมน าํ เอาตัณหาอุปาทานเขา ไปจบั อันเปน เหตใุ หม องเหน็ ตามทอ่ี ยากหรอื ไมอ ยากใหมันเปน อยา งทีเ่ รยี กวา สกวิสัย (subjective)
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 23 คุณคาอยา งหลังน้ี นบั วาเปนการเขาถงึ จดุ หมายท่ตี องการของพุทธธรรมและของหลักขันธ ๕ นี้ คอื การ ไมยดึ มน่ั ถือมั่น การไมเขาไปเกยี่ วขอ งกบั สิ่งทั้งหลายดว ยการใชต ัณหาอปุ าทาน แตเ ขา ไปเก่ียวของจัดการดวย ปญ ญา อยา งไรกด็ ี ในการแสดงพุทธธรรมนั้น ตามปกติทานไมแสดงเรือ่ งขันธ ๕ โดยลําพังโดดๆ เพราะขันธ ๕ เปนแตสภาวะทยี่ กขนึ้ เปน ตวั ต้ังสําหรับพิจารณา และการพิจารณานัน้ ยอ มเปน ไปตามแนวแหง หลักธรรม อยางอื่น ทเี่ ปน ประเภทกฎสาํ หรบั นาํ มาจับหรือกาํ หนดวาขันธ ๕ มสี ภาวะเปน อยางไร มคี วามเปน ไปอยา งไร เปน ตน คือ ตอ งแสดงโดยสมั พนั ธก ับหลักธรรมชาตอิ ยา งอน่ื เชน หลกั อนตั ตา เปนตน จงึ จะปรากฏคุณคาใน ทางปฏบิ ัติโดยสมบรู ณ ดังนั้น จงึ ขอยุติเร่อื งขนั ธ ๕ ไวเพยี งในฐานะสิ่งทยี่ กข้ึนเปนตวั ตง้ั สําหรับนําไปพิจารณา กันในหลกั ตอๆ ไป ชีวติ คืออะไร ? ข. อายตนะ ๖ แดนรบั รูและเสพเสวยโลก ชอ งทางท่ชี วี ติ ตดิ ตอ กบั โลก แมวา ชีวิตจะประกอบดว ยขันธ ๕ ซ่ึงแบง ซอยออกไปเปนหนวยยอ ยตางๆ มากมาย แตในทางปฏิบัติ คอื ในการดําเนินชีวติ ทว่ั ไป มนุษยไ มไดเกย่ี วขอ งโดยตรงกบั สวนประกอบเหลา นนั้ โดยทว่ั ถึงแตอยางใด สว นประกอบหลายอยางมีอยูแ ละทําหนา ทข่ี องมันไปโดยมนุษยไ มร จู กั หรือแมรจู กั กแ็ ทบไมไดน ึกถงึ เลย เชน ในดานรูปธรรม อวยั วะภายในรางกายหลายอยาง ทําหนาทข่ี องมนั อยู โดยมนษุ ยผ เู ปน เจาของไมร ู และไมไดใ สใจท่ีจะรู จนบางคราวมนั เกิดความวปิ ริตหรือทาํ หนาที่บกพรองขน้ึ มนุษยจ ึงจะหันมาสนใจ แมอ งค ประกอบตางๆ ในกระบวนการฝายจติ กเ็ ปน เชนเดยี วกนั การศึกษาวิเคราะหองคประกอบตา งๆ และกระบวนการทํางานทางรางกาย เราปลอ ยใหเ ปน ภาระของ นกั ศกึ ษาทางแพทยศาสตรแ ละชวี วทิ ยา สวนการศึกษาวเิ คราะหองคประกอบและกระบวนการทํางานดานจิต ใจ เราปลอ ยใหเ ปน ภาระของนักอภิธรรมและนกั จติ วิทยา แตส าํ หรับคนทั่วไป ความหมายของชวี ิตอยทู ี่ชีวติ ในทางปฏบิ ตั ิ หรือชวี ติ ที่ดําเนนิ อยูเปน ประจาํ ในแต ละวนั ซง่ึ ไดแกก ารตดิ ตอเก่ียวของกับโลก สง่ิ ที่ใหความหมายแกช ีวิต ก็คือการติดตอเก่ียวของกบั โลก หรือพูด อกี อยา งหนึง่ วา ชีวิตตามความหมายของมนุษย คือชีวิตโดยความสมั พันธก บั โลก ชีวิตในทางปฏบิ ัตหิ รอื ชีวติ โดยความสมั พันธก ับโลกนี้ แบงออกไดเ ปน ๒ ภาค แตล ะภาคมรี ะบบการ ทํางาน ซง่ึ อาศยั ชองทางทช่ี ีวิตจะติดตอเก่ยี วขอ งกบั โลกได ซงึ่ เรียกวา “ทวาร” (ประตู, ชองทาง) ดังนี้ ๑. ภาครับรแู ละเสพเสวยโลก อาศัย ทวาร ๖ คือ ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ สาํ หรับรบั รแู ละเสพเสวยโลก ซ่งึ ปรากฏแกม นษุ ยโดยลกั ษณะและอาการตางๆ ทีเ่ รยี กวา อารมณ ๖ คอื รูป เสียง กลนิ่ รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 24 ๒. ภาคแสดงออกหรือกระทําตอ โลก อาศยั ทวาร ๓ คอื กาย วาจา ใจ (กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร) สาํ หรับกระทาํ ตอบตอโลก โดยแสดงออกเปนการทาํ การพดู และการคิด (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม) ใน ภาคที่ ๑ มีขอท่พี งึ ยา้ํ เปนพิเศษ เพอ่ื สะดวกแกการศึกษาตอไปวา คาํ วา “ทวาร” (ใน ทวาร ๖) นน้ั เม่ือนําไปกลาวในระบบการทาํ งานของกระบวนธรรมแหง ชวี ติ ทานนิยมเปลยี่ นไปใชค ําวา “อายตนะ” ซงึ่ แปล วา แดนเชือ่ มตอใหเ กดิ ความรู หรือทางรับรู ดงั นั้นในการศึกษาเรือ่ งนต้ี อไป จะใชคาํ วา “อายตนะ” แทนคาํ วา “ทวาร” ใน ภาคที่ ๒ มีขอ พึงยํ้าคือ กระบวนธรรมของชีวิตในภาคนี้ รวมอยใู นขนั ธท ี่ ๔ คอื สงั ขารขนั ธ ทกี่ ลาว มาแลวในบทกอ น สงั ขารตา งๆ ในสังขารขันธ ซง่ึ มีอยเู ปน จํานวนมากมาย แบง เปน ฝา ยดีบาง ฝายชั่วบาง ฝายกลางๆ บาง จะปรากฏตัวออกมาปฏิบตั ิการ โดยถกู เจตนาท่ีเปน หวั หนาหรือเปนตัวแทนเลือกชกั จงู มา หรือจัดแจงมอบ หมายหนาท่ี ใหช ว ยกันทําการปรุงแตง การแสดงออก หรอื การกระทําทาง ทวาร ๓ คอื กาย วาจา ใจ เกิดเปน กรรม คือการทาํ การพูด การคดิ ในกรณีนี้ สงั ขารจะถูกจัดประเภทเสียใหมใ หสอดคลองกับบทบาทของมัน โดย - แบงตามทางหรือทวารท่แี สดงออก เปน กายสงั ขาร วจีสงั ขาร และมโนสังขาร - เรียกตามชือ่ หัวหนาหรือตวั แทนวา กายสัญเจตนา วจสี ัญเจตนา และมโนสัญเจตนา หรือ - เรยี กตามงานท่ที าํ ออกมาวา กายกรรม วจกี รรม และมโนกรรมแสดงใหเห็นงายขึ้น ดงั นี้ ๑. กายสังขาร = กายสญั เจตนา ------------- กายทวาร -- กายกรรม [สภาพปรงุ แตง การกระทําทางกาย] = [ความจงใจ(แสดงออก)ทางกาย] [ทางกาย] [การกระทําทาง กาย] ๒. วจสี งั ขาร = วจีสัญเจตนา --------------- วจที วาร -- วจกี รรม [สภาพปรุงแตงการกระทําทางวาจา] = [ความจงใจ(แสดงออก)ทางวาจา] [ทางวาจา][การกระทําทางวาจา] ๓. มโนสงั ขาร = มโนสัญเจตนา -------- มโนทวาร -- มโนกรรม [สภาพปรงุ แตง การกระทาํ ทางใจ] = [ความจงใจ(แสดง)ทางใจ] [ทางใจ] [การกระทําทางใจ] สังขาร ในฐานะเคร่อื งแตง คณุ ภาพหรอื คุณสมบตั ติ างๆ ของจติ ไดกลาวแลว ในเร่ืองขันธ ๕ สว น สังขาร ในฐานะกระบวนการปรงุ แตงแสดงออกและกระทาํ การตางๆ ตอโลก เปน เรอ่ื งกจิ กรรมของ ชีวิต ซ่งึ จะแสดงเปน พิเศษสว นหนง่ึ ตา งหาก ในตอนวาดวย “ชวี ิตเปนไปอยา งไร” ในท่นี ี้ มุง แสดงแตส ภาวะอนั เน่ืองอยูทตี่ วั ชวี ิตเอง หรือองคประกอบของชีวิต พรอ มทงั้ หนาทข่ี องมนั ตามสมควร จึงจะกลาวเฉพาะภาคที่ ๑ คอื เรื่อง ทวาร ๖ ท่ีเรียกวา อายตนะ ๖ อยา งเดยี ว ตัวสภาวะ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 25 “อายตนะ” แปลวา ทตี่ อ หรือแดน หมายถงึ ทต่ี อกันใหเ กดิ ความรู แดนเชื่อมตอ ใหเ กิดความรู หรอื แหลง ที่มาของความรู แปลอยา งงายๆ วา ทางรบั รู มี ๖ อยาง ดงั ท่ีเรียกในภาษาไทยวา ตา หู จมกู ล้นิ กาย ใจ ทวี่ า ตอ หรือเชื่อมตอ ใหเกิดความรนู น้ั ตอ หรอื เชอื่ มตอกับอะไร ? ตอบวา เชอ่ื มตอกับโลก คือ สง่ิ แวดลอมภาย นอก แตโ ลกนัน้ ปรากฏลกั ษณะอาการแกมนุษยเปนสวนๆ ดา นๆ ไป เทาทม่ี นุษยจ ะมแี ดนหรอื เครอ่ื งมือสาํ หรบั รบั รู คือ เทา จํานวนอายตนะ ๖ ท่ีกลาวมาแลวเทา นน้ั ดงั นน้ั อายตนะ ทัง้ ๖ จึงมีคขู องมนั อยใู นโลก เปนสิ่งท่ีถกู รับรสู าํ หรบั แตละอยางๆ โดยเฉพาะ สิง่ ท่ีถูกรับรู หรือลกั ษณะอาการตา งๆ ของโลก เหลา น้ี เรยี กชอื่ วา “อายตนะ” เหมอื นกนั เพราะเปน สิ่งที่เชอ่ื มตอใหเ กิดความรู หรือเปนแหลง ความรู เชน เดยี วกนั แตเปนฝา ยภายนอก เพ่ือแยกประเภทจากกันไมใ หส ับสน ทา นเรยี กอายตนะพวกแรกวา “อายตนะภายใน” (แดนตอความรู ฝา ยภายใน) และเรยี กอายตนะพวกหลังนีว้ า “อายตนะภายนอก” (แดนตอ ความรูฝายภายนอก) อายตนะภายนอก ๖ อนั ไดแก รูป เสยี ง กลิ่น รส สิง่ ตอ งกาย และส่ิงท่ใี จนกึ โดยทวั่ ไปนยิ มเรียกวา “อารมณ” แปลวา สงิ่ อันเปน ทีส่ าํ หรับจติ มาหนว งอยู หรอื ส่งิ สาํ หรับยึดหนวงของจติ แปลงายๆ วาสิง่ ท่ถี ูกรับรู หรอื สงิ่ ที่ถูกรูน่ันเอง เมอ่ื อายตนะ (ภายใน) ซึ่งเปน แดนรบั รู กระทบกับอารมณ (อายตนะภายนอก) ซึง่ เปน สงิ่ ท่ีถูกรู กจ็ ะ เกิดความรูจาํ เพาะดา นของอายตนะแตล ะอยา งๆ ขนึ้ เชน ตากระทบรูป เกิดความรูเ รียกวา “เห็น” หูกระทบ เสยี ง เกดิ ความรเู รยี กวา “ไดย นิ ” เปนตน ความรจู ําเพาะแตล ะดา นนี้ เรียกวา “วญิ ญาณ” แปลวา ความรแู จง คือรอู ารมณ ดงั นัน้ จงึ มี วญิ ญาณ ๖ อยาง เทากบั อายตนะและอารมณ ๖ คู คือ วญิ ญาณทางตา ไดแก เหน็ วญิ ญาณทางหู ไดแ ก ไดยิน วญิ ญาณทางจมกู ไดแก ไดกลิน่ วิญญาณทางล้ิน ไดแ ก รรู ส วิญญาณทางกาย ไดแ ก รสู งิ่ ตอ งกาย วิญญาณทางใจ ไดแก รอู ารมณทางใจ หรอื รเู ร่ืองในใจ สรุปไดว า อายตนะ ๖ อารมณ ๖ และ วิญญาณ ๖ มีชอ่ื ในภาษาธรรม และมีความสัมพันธก นั ดงั นี้ ๑. จกั ขุ - ตา เปน แดนรับรู รูป - รปู เกิดความรูคือ จกั ขุวิญญาณ - เหน็ ๒. โสตะ - หู ,, สทั ทะ - เสยี ง ,, โสตวญิ ญาณ - ไดยนิ ๓. ฆานะ – จมกู ,, คันธะ - กลิ่น ,, ฆานวญิ ญาณ - ไดกลน่ิ ๔. ชวิ หา – ลิ้น ,, รส - รส ,, ชวิ หาวิญญาณ- รรู ส ๕. กาย – กาย ,, โผฏฐัพพะ - สิ่งตอ งกาย ,, กายวญิ ญาณ - รูสง่ิ ตองกาย ๖. มโน – ใจ ,, ธรรม - เรอ่ื งในใจ ,, มโนวญิ ญาณ - รเู ร่ืองในใจ อยา งไรก็ตาม แมวาวิญญาณจะตองอาศยั อายตนะและอารมณกระทบกันจึงจะเกิดข้นึ ได ก็จรงิ แต การที่อารมณเขามาปรากฏแกอายตนะก็มิใชวาจะทาํ ใหว ิญญาณเกิดขน้ึ ไดเ สมอไป จําตอ งมี ความใสใจ คว กาํ หนดใจ หรือความใฝใจประกอบอยดู ว ย วิญญาณนน้ั ๆ จงึ จะเกดิ ข้นึ ดังตวั อยาง ในบางคราว เชน เวลาหลบั
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 26 สนทิ เวลาฟงุ ซา น หรอื ใจลอยไปเสีย เวลาใจจดจอ แนวแนอ ยูกบั กจิ อยา งใดอยางหนง่ึ ตลอดจนขณะอยใู น สมาธิ รูปและเสยี งเปน ตน หลายๆ อยา งทผี่ า นเขามา อยูในวิสยั ทจี่ ะเหน็ จะไดยิน แตห าไดเหน็ หาไดยนิ ไม อีกตวั อยา งงายๆ ขณะเขียนหนงั สอื ใจจดจอ อยู จะไมรูสึกสวนของรางกายทแี่ ตะอยกู ับโตะ และเกาอ้ี ตลอดจนมอื ที่แตะกระดาษ และนิ้วท่ีแตะปากกาหรือดินสอ ในเมอื่ มีอายตนะและอารมณเขามาถงึ กนั แลว แตวิญญาณไมเกิดขึน้ เชนนี้ ก็ยงั ไมเรยี กวาการรบั รไู ด เกิดขึ้น การรับรู จะเกิดขน้ึ ตอเมือ่ มีองคประกอบเกิดขึ้นครบทั้ง ๓ อยา ง คือ อายตนะ อารมณ และวิญญาณ ภาวะน้ีในภาษาธรรมมีคําเรียกโดยเฉพาะวา “ผัสสะ” หรือ “สัมผัส” แปลตามรปู ศพั ทว า การกระทบ แตมคี วาม หมายทางธรรมวา การประจวบหรือบรรจบพรอ มกันแหง อายตนะ อารมณ และวิญญาณ พูดอยางเขา ใจกนั งา ยๆ ผสั สะ กค็ อื การรบั รู นนั่ เอง ผสั สะ หรอื สัมผัส หรอื การรบั รนู ี้ มชี ่อื เรียกแยกเปนอยางๆ ไป ตามทางรบั รู คืออายตนะนนั้ ๆ ครบ จํานวน ๖ คือ จกั ขสุ มั ผัส โสตสมั ผสั ฆานสัมผัส ชวิ หาสมั ผสั กายสัมผัส มโนสมั ผัส ผสั สะ เปนขนั้ ตอนสาํ คัญในกระบวนการรับรู เมื่อผัสสะเกดิ ขึ้นแลว กระบวนธรรมกด็ ําเนนิ ตอไป เรม่ิ แต ความรสู ึกตออารมณทรี่ บั รูเขามาน้ัน ปฏิกริ ยิ าอยา งอ่ืนของจติ ใจ การจาํ หมาย การนาํ อารมณน้นั ไปคดิ ปรงุ แตง ตลอดจนการแสดงออกตางๆ ท่ีสืบเนื่องไปตามลาํ ดบั ในกระบวนธรรมน้ี ส่ิงทีค่ วรสนใจเปน พิเศษในการศึกษาขั้นน้ี ก็คือความรสู กึ ตอ อารมณทรี่ บั รูเขามา ซงึ่ เกิดขึ้นในลาํ ดบั ถัดจากผัสสะนนั้ เองความรูสึกนใ้ี นภาษาธรรม เรยี กวา “เวทนา” แปลวา การเสวยอารมณ หรอื การเสพรสอารมณ คอื ความรสู ึกตออารมณท รี่ บั รูเขามาน้นั โดยเปน สขุ สบาย ไมส บาย หรอื เฉยๆ อยา งใดอยา ง หน่ึง เวทนาน้ี ถาแบง ตามทางรับรู กม็ ี ๖ เทาจํานวนอายตนะ คือ เวทนาทเ่ี กดิ จากสมั ผัสทางตา เวทนาทเี่ กดิ จากสัมผสั ทางหู เปนตน แตถ าแบง ตามคุณภาพ จะมจี าํ นวน ๓ คือ ๑. สขุ ไดแก สบาย ชนื่ ใจ ถกู ใจ ๒. ทกุ ข ไดแก ไมส บาย เจบ็ ปวด ๓. อทกุ ขมสขุ ไมทกุ ข ไมส ขุ คือเรอื่ ยๆ เฉยๆ ซงึ่ เรยี กอกี อยา งวา อุเบกขา อีกอยางหนึ่ง แบงละเอียดลงไปอีกเปน เวทนา ๕ อยา ง คอื ๑. สุข ไดแ ก สบายกาย ๒. ทุกข ไดแก ไมสบายกาย เจบ็ ปวด ๓. โสมนสั ไดแก สบายใจ ชื่นใจ ๔. โทมนัส ไดแ ก ไมส บายใจ เสียใจ และ
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 27 ๕. อุเบกขา ไดแก เฉยๆ ไมสขุ ไมท กุ ข กระบวนการรบั รูเ ทาทก่ี ลา วมาน้ี เขยี นใหเหน็ งา ยๆ ไดด งั นี้ อายตนะ + อารมณ + วญิ ญาณ = ผัสสะ -- เวทนา ทางรบั รู สง่ิ ทถ่ี ูกรู ความรู การรับรู ความรสู ึกตอ อารมณ ดังไดก ลาวแลววา อารมณ กค็ ือโลกท่ีปรากฏลกั ษณะอาการแกมนษุ ยท างอายตนะตา งๆ การรับรู อารมณเหลา น้ี เปนสิง่ จําเปน ซึ่งชวยใหมนุษยมคี วามสามารถในการเกย่ี วขอ งกบั โลก ทาํ ใหชวี ติ อยูรอดและ ดาํ เนินไปดว ยดี ในกระบวนการรับรนู ี้ เวทนา ก็เปน สว นประกอบสําคญั อยา งหนึ่ง โดยทาํ หนา ทีเ่ ปน เครอื่ งชบ้ี อกให ทราบวา อะไรเปนอันตรายแกช ีวติ ควรหลกี เวน อะไรเกื้อกลู แกชีวติ ควรถอื เอาประโยชนได เวทนาจึงชวยให กระบวนการรับรทู ีด่ ําเนินตอ ไป สามารถสรา งความรคู วามเขาใจที่ครบถวนบรบิ ูรณ เปนประโยชนยิง่ ข้นึ แตสําหรบั มนุษยป ถุ ุชน เวทนามิไดม คี วามหมายเพยี งเทา นน้ั คอื มใิ ชเ พยี งแคว า กระบวนการรับรูไดม ี สว นประกอบเพิม่ เขา มาอีกอยางหนง่ึ ทชี่ ว ยเสรมิ ความรใู หสมบูรณ อันจะทําใหมนุษยมีความสามารถมากขนึ้ ในการดาํ เนนิ ชวี ติ ท่ีดงี าม แตเวทนา ยังหมายถึงการทโ่ี ลกมอี ะไรอยา งหนง่ึ เปนผลตอบแทนหรอื รางวลั แกม นษุ ย ในการเขา ไปเกยี่ วของกับโลกดวย ผลตอบแทนที่วาน้ี คือความเอรด็ อรอ ย ความชนื่ ใจท่เี กดิ จากอารมณซง่ึ เรยี ก วา สุขเวทนา ในกรณที ่กี ระบวนการรับรูดําเนนิ มาตามลาํ ดบั จนถึงเวทนา ถา มนุษยห นั เขา จับเวทนาไวตามความ หมายในแงนี้ มนุษยก็จะหนั เหออกไปจากกระบวนการรับรู ทาํ ใหกระบวนธรรมอีกอยา งหน่งึ ไดโ อกาสเขามารบั ชวงแลน ตอไปแทนท่ี โดยเวทนาจะกลายเปนปจจัยตัวเอกที่จะกอ ใหเกดิ ผลสบื เน่อื งตอไป พรอ มกันน้ัน กระบวน การรบั รู ซึง่ กลายไปเปนสวนประกอบและเดนิ ควบไปดวย ก็จะถกู กําลงั จากกระบวนธรรมใหมน้ีบบี คั้น ใหบ ิด เบือนและเอนเอียงไปจากความเปนจรงิ กระบวนธรรมรับชวงท่ีวา นี้ มกั ดาํ เนนิ ไปในแบบงา ยๆ พน้ื ๆ คือ เม่อื รับรูอารมณอ ยา งใดอยา งหนึง่ แลว เกดิ ความรสู กึ สุขสบายช่ืนใจ (????เวทนา) ก็อยากได (ตณั หา) เม่ืออยากได กต็ ดิ ใจพวั พันจนถงึ ขัน้ ยดึ ติดถอื มนั่ (อปุ าทาน) คา งใจอยูไ มอ าจวางลงได ท้ังทต่ี ามความเปนจรงิ ไมอ าจถือเอาไวไ ด เพราะสิ่งนั้นๆ ลวงเลยผา นพน หมดไปแลว จากนนั้ กเ็ กิดความครุน คดิ สรา งภาพตางๆ ท่ีจะใหต นอยใู นภาวะครอบครองอารมณอ ันใหเ กดิ สุข เวทนานัน้ พรอ มทั้งคดิ ปรงุ แตงสรา งวิธีการทีจ่ ะใหไ ดอารมณแ ละสิง่ อันเปน ท่ตี ้งั แหง อารมณน ้ัน แลวลงมอื กระทําการตางๆ ทางกายบาง วาจาบาง เพื่อใหไ ดม าซึ่งผลท่ีตองการ เพือ่ จะไดเ วทนาทช่ี อบใจนัน้ ยง่ิ ๆ ข้ึนไปอกี ในทางตรงขา ม ถา รบั รูอารมณใ ดแลว เกดิ ความรสู ึกทุกข เจบ็ ปวด ไมส บาย (ทกุ ข-เวทนา) กไ็ มช อบใจ ขดั เคอื ง อยากจะพน ไป หรอื ใหม นั สูญส้ินไป อยากทําลาย (ตัณหา) ผกู ใจ ปกใจ คา งใจกับส่งิ นนั้ (อุปาทาน)
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 28 ใทางรา ยท่จี ะชิงชงั เกลียดกลัว หลีกหนี อยา ใหพ บเหน็ อกี เปน ตน พรอมกบั เกดิ เปนปฏกิ ริ ยิ า ใหยิง่ ยึดม่นั ฝน หา ผกู ใจมน่ั หมาย ทจี่ ะใหพบใหไ ดส ุขเวทนาและสง่ิ ที่หวงั วาจะใหส ขุ เวทนาแกต นยิ่งข้ึนไปอีก ในกระบวนการน้ี กจ็ งึ บังเกดิ เปน สุขทุกขแบบซบั ซอนรุนแรงเขมขน ที่เปนผลเสกสรรคของมนษุ ยเ อง ซ่งึ หมุนเวียนเขา วงจรทเี่ ริม่ จากเวทนาใหมซ ้าํ แลวซํ้าเลา กลายเปนสงั สารวัฏ วนอยูอยางนัน้ ไมสามารถกา วตอ ไป สผู ลเลิศอยา งอน่ื ท่ีชีวติ นยี้ งั สามารถเขาถึงไดย่งิ กวา นัน้ ข้นึ ไป โดยนัยนี้ จะเหน็ วา ชวงตอ ทกี่ ระบวนธรรมจะสืบทอดจากการรบั รู (ผสั สะ) ตอไปนั้น เปนขนั้ ตอนท่ี สาํ คญั อยา งยิง่ เรียกไดว า เปนหัวเลี้ยวหัวตอทเี ดียว และในภาวะเชน น้ี เวทนาเปนองคธรรมทีม่ บี ทบาทสาํ คญั มาก กระบวนธรรมทดี่ าํ เนนิ ตอ ไปจะเปน อยา งไร (สาํ หรบั ปถุ ุชน) ตองขึ้นตอ สภาพของเวทนา วาจะเปน แบบไหน อยางใด ทง้ั น้ี พอจะตงั้ เปน ขอ สังเกตไดว า ก. กระบวนธรรมทีส่ ืบทอดจากผสั สะ เปน หัวเลย้ี วหวั ตอ ระหวา งกระบวนการรบั รทู ่ีบรสิ ทุ ธ์ิ กบั กระบวน การสงั สารวัฏ ในกระบวนการรับรูบ รสิ ทุ ธิ์ เวทนามบี ทบาทเปนเพียงองคป ระกอบยอ ยๆ อยา งหน่ึง ทช่ี วยใหเ กดิ ความรทู ี่ถกู ตอ งสมบรู ณ สว นในกระบวนการสังสารวฏั เวทนาเปน ปจจัยตัวเอก ท่มี ีอทิ ธิพลครอบงําความเปน ไปของกระบวน ธรรมทั้งหมด กลา วไดวา มนุษยจะคดิ ปรุงแตง อยา งไร และทาํ การอะไร กเ็ พราะเวทนา และเพ่ือเวทนา หรือชวี ติ จะเปน อยางไร กเ็ พราะเวทนาและเพอ่ื เวทนา นอกจากน้ัน ในกระบวนการสังสารวัฏน้ี มนษุ ยม ไิ ดห ยดุ อยูเ พยี งแคเปน ผรู ับรูอ ารมณ และเรียนรโู ลก เพือ่ เก่ยี วของจัดการกับสิ่งแวดลอ มอยางไดผลดเี ทานนั้ แตไดก าวตอไปสคู วามเปน ผูเสพเสวยโลกดว ย สําหรับกระบวนการรับรบู ริสทุ ธ์ิน้ัน ถา จะพูดใหละเอียดชดั เจนตามหลกั ก็ตอ งตัดตอนทช่ี ว งตอ จาก ผัสสะนี้ดวยเหมือนกัน โดยถือวา การรบั รเู กิดข้ึนเสรจ็ ส้ินแลวที่ผัสสะ ดงั นน้ั กระบวนธรรมตอจากนไี้ ปจึงแยกได เปนอีกตอนหนง่ึ และขอเรยี กชือ่ วา กระบวนการญาณทัศนะ หรอื กระบวนธรรมแบบวิวฏั ฏ เปน คปู ฏิปก ษกบั กระบวนการสงั สารวัฏ แตก ระบวนธรรมแบบววิ ัฏฏ เปน เร่อื งของการแกป ญหาชวี ติ จึงจะยกไปพูดในตอนทวี่ า ดว ย “ชวี ิตควร ใหเปน อยางไร ?” และ “ชวี ิตควรเปน อยอู ยา งไร ?” ไมก ลา วไวใ นที่นี้ ข. กระบวนธรรมทสี่ บื ทอดจากผัสสะ เปน หวั เลย้ี วหวั ตอ ทางจรยิ ธรรมระหวา งความดกี ับความช่ัว ระหวางกศุ ลกับอกุศล ระหวา งความหลดุ พน เปนอิสระ กับการหมกติดหมนุ เวียนอยใู นสังสารวัฏ เมอื่ กลา วถึงสวนอื่นๆ ของกระบวนธรรมแลว กต็ อ งยอ นกลับไปพดู ถงึ อายตนะอีก เพราะกระบวนธรรม ตางๆ ท่กี ลาวมานนั้ ตอ งอาศยั อายตนะเร่มิ ตนที่อายตนะ เมอื่ วาองคธ รรมอื่นๆ สาํ คญั กต็ องวาอายตนะสาํ คญั เหมอื นกัน เชน เมอ่ื วาเวทนาเปน องคธรรมสําคัญยิ่งในกระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก อายตนะกย็ อ มมีความ สําคญั มากดว ย เพราะอายตนะเปน แหลงหรือเปน ชอ งทางท่ีอํานวยใหเวทนาเกิดขึ้น เวทนา เปน ส่ิงทม่ี นษุ ยมงุ ประสงค อายตนะ เปน แหลงอาํ นวยส่ิงทม่ี งุ ประสงคน ้นั
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 29 เทา ท่กี ลา วมา สรปุ ไดว า อายตนะ ๖ ทาํ หนา ทรี่ ับใชม นษุ ย ๒ อยา ง คือ ๑. เปน ทางรับรโู ลก หรอื เปนแหลง นําโลกมาเสนอตอ มนษุ ย เปน เครอ่ื งมอื สื่อสาร ทาํ ใหม นุษยไ ดร บั ขอ มูลแหงความรู ซงึ่ เปนสงิ่ จําเปนท่จี ะชว ยใหมนษุ ยสามารถเกยี่ วของกบั โลกไดถ ูกตอ ง ทาํ ใหชวี ติ อยรู อด และ ดาํ เนนิ ไปดว ยดี ๒. เปนชองทางเสพโลก หรือเปน ประตทู ่มี นษุ ยจ ะเปดออกไปรับอารมณท ่เี ปน รสอรอยของโลก มาเสพ เสวย ดว ยการดู การฟง การดม การล้ิมชิมรส การแตะตองเสยี ดสี ความสนกุ สนานบันเทงิ ตลอดจนจนิ ตนาการ ส่ิงที่หวานชื่นระรื่นใจ ความจริง หนาที่ท้งั สองอยา งน้ี ก็ติดเน่อื งอยดู ว ยกัน หนาทอ่ี ยา งแรก เรยี กไดว า เปน หนา ท่ี หลัก หรอื หนา ทพี่ ้นื ฐานที่จาํ เปน สวน หนาทท่ี ี่สอง เปน หนาที่รอง จะวา เปน ของแถมหรอื สวนเกนิ ก็คงได ในกรณที ง้ั สองนัน้ การทาํ งานของอายตนะก็อยา งเดยี วกัน ความแตกตางอยูทเ่ี จตจํานงของมนษุ ย ซึ่ง มงุ ไปทีค่ วามรู หรือมุงไปที่เวทนา สําหรบั มนุษยปถุ ชุ น ความสําคัญของอายตนะมกั จะกา วขา มมาอยูกับหนาที่อยางที่สอง คือการเสพ โลก จนถึงข้นั ที่กลายเปน วา หนา ที่อยางทห่ี น่งึ มีไวเพยี งเพื่อเปนสว นประกอบสนองการทาํ หนาที่อยา งที่สอง หรอื พดู อีกอยา งหนึ่งวา กระบวนการรับรมู ไี วเพ่อื รับใชกระบวนการเสพเสวยโลก หรอื รบั ใชก ระบวนการ สังสารวัฏเทา น้นั เอง ทงั้ น้ีเพราะวา ปถุ ุชนมกั ใชอ ายตนะ เพ่อื มงุ รบั รูเ ฉพาะความรูสว นทจี่ ะทําใหต นไดเ สพเสวยอารมณ อรอยของโลกเทานนั้ หาสนใจสงิ่ อนั พงึ รนู อกจากนน้ั ไม ยง่ิ กวานนั้ แมค วามสมั พนั ธก ับโลกในภาคแสดงออก ดว ยการทาํ การพดู การคิด กจ็ ะกลายเปน การ กระทําเพ่ือรับใชกระบวนการสังสารวฏั เชน เดยี วกัน คือ มงุ ทาํ พูด คิด เพ่ือแสวงหา และใหไ ดม าซงึ่ อารมณ สําหรบั เสพเสวย ยงิ่ เปน ปถุ ุชนที่หนามากเทา ใด ความติดของพวั พนั อยกู บั หนา ที่อยางท่ีสองของอายตนะ กย็ ง่ิ มากข้นึ เทา นัน้ จนถึงขั้นทว่ี า ชีวติ และโลกของมนษุ ย วนเวยี นอยูแคอายตนะ ๖ เทาน้นั เอง เทา ท่ีกลาวมานี้ จงึ เหน็ ไดวา แมอายตนะ ๖ จะเปนเพียงสว นหนึ่งของขนั ธ ๕ และไมครอบคลมุ ทุกสว น แหงชีวติ ของมนุษยโดยส้นิ เชิง เหมอื นอยางขนั ธ ๕ ก็จรงิ แตมนั กม็ ีบทบาทสาํ คญั ย่งิ ในการดําเนนิ ชวี ติ ของ มนษุ ย มีอํานาจกํากบั วิถีชีวติ ของมนุษยเปน อยางมาก จนกลา วไดว า ชีวิตเทา ที่มนษุ ยร จู ักและดาํ เนนิ อยู กค็ ือ การติดตอ เกี่ยวขอ งกับโลกทางอายตนะเหลา น้ี และชีวิตมคี วามหมายตอ มนษุ ยกด็ วยอาศัยอายตนะเหลา น้ี ถาอายตนะไมทําหนาทีแ่ ลว โลกกด็ ับ ชีวิตก็ไรความหมายสําหรบั มนุษย มีขอความแหงหนง่ึ ในบาลี แสดงกระบวนธรรมเทาที่กลา วมานีไ้ ดอยา งกระทดั รดั และชวยเชอื่ มความที่ กลาวมาในตอนวาดว ยขันธ ๕ เขากับเรอ่ื งท่ีอธิบายในตอนนี้ ใหต อ เนือ่ งกนั มองเห็นกระบวนธรรมไดครบถวน ตลอดสายยิ่งขน้ึ จงึ ขอยกมาอา งไว ดงั นี้ อาศยั ตาและรปู เกิดจกั ขวุ ิญญาณ, ความประจวบแหงธรรมทง้ั สามนนั้ เปนผสั สะ, เพราะผสั สะเปน ปจ จยั เวทนาจงึ ม,ี บคุ คลเสวยอารมณ ใด ยอมหมายรอู ารมณน น้ั (สญั ญา), หมาย
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 30 รูอารมณใ ด ยอมตริตรึกอารมณน ้ัน (วติ กั กะ), ตริตรึกอารมณใ ด ยอมผนั พิสดารซงึ่ อารมณน ั้น (ปปญ จะ), บคุ คลผนั พิสดารซึ่งอารมณใ ด เพราะการผันพสิ ดารนั้นเปน เหตุ ปปญจสญั ญาแงต างๆ (สญั ญาทซ่ี บั ซอ นหลาก หลาย) ยอ มผุดพลงุ สุมรุมเขา ในเรือ่ งรูปทั้งหลาย ท่พี งึ รไู ดดวยตา ทั้งที่เปนอดตี อนาคต และปจ จุบนั (ตอไปวา ดวยอายตนะและอารมณอ นื่ ๆ จนครบ ๖ คู ใจความอยางเดยี วกัน) กระบวนธรรมนี้ เขยี นใหเห็นงายข้นึ ดงั น้ี กระบวนการรบั รูบรสิ ทุ ธ์ิ กระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก (กระแสปกติตามธรรมชาติ) (เกิดมีผเู สวย-สิง่ ถูกเสวย ผคู ิด-ส่ิงถกู คิด) อายตนะ = ผสั สะ - เวทนา - สัญญา- (วิตกั กะ - ปปญจะ) - ปปญจสญั ญาแงตางๆ + (สงั ขาร) อารมณ + วิญญาณ เมื่อเกิดปปญ จสัญญาแลว กย็ ิ่งมีความตริตรึกนึกคดิ (วิตักกะ) ไดมากมายและกวา งขวางพิสดารยงิ่ ขนึ้ ทาํ ใหเกิดกิเลสตางๆ เชน ชอบใจ ไมชอบใจ หวงแหน ริษยา เปนตน ปนเป คลุกเคลา ไปกับความคดิ น้ัน หมายเหตุ: ๑. คาํ ที่ควรเขาใจ คือ ‘ปปญ จะ’ หมายถึง อาการทคี่ ลอเคลยี พัวพนั อยกู ับอารมณน ั้น และคิดปรุงแตงไปตา งๆ ดวยแรงตณั หา มานะ และทิฏฐิ ผลกั ดนั หรือเพือ่ สนองตัณหา มานะ และทฏิ ฐิ คอื ปรงุ แตง ในแงท จ่ี ะเปน ของ ฉนั ใหตวั ฉันเปนนั่นเปนนี่ หรือเปน ไปตามความเหน็ ของฉนั ออกรูปออกรางตางๆ มากมายพิสดาร จงึ ทาํ ให เกดิ ปปญจสญั ญาแงตางๆ คือสัญญาทงั้ หลายทีเ่ น่อื งดว ยปปญจะน่นั เอง ๒. จะเห็นวา มีสญั ญา ๒ ตอน สญั ญาชว งแรก คอื สญั ญาขัน้ ตน ทกี่ ําหนดหมายอารมณซ ึ่งปรากฏตามปกติ ธรรมดาของมนั สญั ญาชวงหลงั เรียกวา ‘ปปญ จสัญญา’ เปนสญั ญาเน่ืองจากสังขาร ท่ปี รงุ แตง ภาพอารมณ ใหอ อกรูปออกรา งแงม ุมตา งๆ มากมายพสิ ดารดังกลา วแลว ๓. จะเห็นวา กระบวนธรรมทั้งหมดนนั้ แยกไดเปน ๒ ตอน ก) ตอนแรก ต้ังแตอ ายตนะภายในถงึ เวทนา เปน กระบวนการรบั รบู รสิ ุทธ์ิ พึงสงั เกตวา ชว งตอนน้ี กระบวนธรรมเปนกระแสบริสทุ ธิต์ ามธรรมชาติ มีแตอ งคธ รรมทเี่ กิดขนึ้ ตามเหตปุ จ จยั (พงึ อานความทยี่ กมาอา ง ขางบน) ยังไมมีสัตว บุคคล ตัวตน เกย่ี วของ
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 31 ข) ตอนปลาย ตัดตอนแตเวทนาไปแลว เกิดเปน กระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก หรือกระบวนการ สงั สารวัฏ มารบั ชว งไป ความจริง ตง้ั แตเ วทนานี้ไปเปนทางแยก อาจตอดว ยกระบวนธรรมแบบวิวฏั ฏก ็ได แตใ น ทน่ี ีม้ งุ แสดงเฉพาะแบบสังสารวัฏกอน ขอพึงสงั เกตในตอนนี้ ก็คอื ต้ังแตจดุ เร่มิ ตน ของชว งหลังนี้ จะไมม ีเพียง องคธ รรมตางๆ ทเ่ี ปนเหตปุ จ จยั แกก นั ตามธรรมชาตเิ ทา นน้ั แตจะเกดิ มีสตั วบคุ คลขึ้นมา กลายเปน ความ สมั พันธร ะหวางผูเ สพเสวยกับส่ิงทถี่ ูกเสพเสวย ผคู ิดและส่งิ ทถ่ี ูกคิด เปนตน ๔. กระบวนธรรมเสพเสวยโลกในชวงปลาย ทแี่ สดงขา งบนนี้ เปน เพยี งวธิ แี สดงแบบหน่งึ เทา นั้น เลือก เอามาเพราะเห็นวา สนั้ และเขา กบั เรือ่ งทกี่ าํ ลังอธิบาย คอื ขนั ธแ ละอายตนะไดดี อาจแสดงแบบอน่ื อีกกไ็ ด เชนท่ี แสดงอยางพิสดารในหลักปฏิจจสมุปบาทแบบทัว่ ไป ซึง่ เปนกระบวนธรรมแบบสังสารวฏั โดยสมบรู ณ ๕) วา ตามหลกั อยา งเครง ครัด วญิ ญาณ ผสั สะ เวทนา สญั ญา ในกระบวนธรรมน้ี เปนสหชาตธรรม ทานถือวาเกิดรวมกนั พงึ เขา ใจวา ทเี่ ขยี นแสดงลําดบั ไวอ ยางนี้ มงุ เพอ่ื ศึกษาไดง าย เนอื่ งดว ยกระบวนธรรมนี้ แยกไดเ ปน ๒ ชวงตอน และชว งตอนหลังอาจแยกไปเปน กระบวนธรรมแบบ สงั สารวัฏ หรอื แบบวิวฏั ฏกไ็ ด ดงั นัน้ เพื่อมองเห็นภาพไดกวา งขวางขึ้น อาจเขยี นแสดงไดด งั น้ี อายตนะ -กระบวนธรรมแบบสงั สารวัฏฏ + -กระบวนธรรมแบบววิ ฏั ฏ อารมณ = ผสั สะ - เวทนา- + วญิ ญาณ ในเรื่องอายตนะน้ี มขี อควรทราบเพิ่มเตมิ เพอ่ื ประโยชนใ นการศึกษาตอ ไป ดงั นี้ - อายตนะภายใน หรอื ทวาร ๖ นน้ั มีช่ือเรยี กอกี อยางหนึ่งวา “อินทรยี ๖” คําวา อนิ ทรีย แปลวา ภาวะที่ เปน ใหญ หมายถงึ สง่ิ ทท่ี ําหนาที่เปน ใหญเปน เจา หนาท่ี หรอื เปนเจาการในเรื่องน้นั ๆ เชน ตา เปน เจา การในการ รบั รูร ปู หู เปนเจาการในการรบั รูเ สยี ง เปน ตน อนิ ทรีย ๖ คอื จกั ขุนทรีย โสตนิ ทรยี ฆานินทรยี ชิวหินทรยี กายนิ ทรีย และมนินทรยี คาํ วา อินทรีย นยิ มใชก บั อายตนะในขณะทาํ หนา ทขี่ องมนั ในชีวติ จรงิ และเกยี่ วกบั จรยิ ธรรม เชน การสาํ รวมจักขนุ ทรีย เปน ตน สวน อายตนะ นิยมใชในเวลาพดู ถงึ ตวั สภาวะทีอ่ ยใู นกระบวนธรรม เชนวา อาศัยจักขุ อาศยั รูป เกิดจักขวุ ญิ ญาณ เปนตน และเม่ือพดู ถึงสภาวลกั ษณะ เชน วา จกั ขุไมเ ทย่ี ง เปน ตน อีกคาํ หน่ึงทีใ่ ชพ ูดกนั บอย ในเวลากลา วถึงสภาวะในกระบวนธรรม คือคาํ วา “ผัสสายตนะ” แปลวา ทีเ่ กิดหรอื บอ เกิดแหงผสั สะ คอื ท่ีมาของการรบั รูน ่ันเอง -อายตนะภายนอก หรืออารมณ กม็ ชี ื่อเรียกอยางอ่นื อกี คอื “โคจร” (ท่เี ทยี่ ว, ทหี่ ากิน) และ “วสิ ัย” (สง่ิ ผกู พนั , แดนดําเนนิ ) และชอื่ ทีค่ วรกาํ หนดเปนพิเศษ ใชเ ฉพาะกับอารมณ ๕ อยางแรก ซงึ่ มีอทิ ธิพลมาก ใน
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 32 กระบวนธรรมแบบเสพเสวยโลก หรอื แบบสงั สารวัฏ คือคําวา “กามคุณ” (สวนทน่ี า ใครนาปรารถนา, สวนทด่ี ี หรือสวนอรอยของกาม) กามคณุ ๕ หมายถึง รปู เสยี ง กล่นิ รส และโผฏฐพั พะ เฉพาะทีน่ าปรารถนา นาใครน า พอใจ ความถกู ตอ งและผดิ พลาดของความรู เมอื่ พูดถึง อายตนะ ซึง่ เปน แดนรับรู ก็ควรทราบเรื่องราวเกย่ี วกบั ความรูดวย แตเ รื่องที่ควรทราบเกีย่ ว กับความรู มีมากมายหลายอยา ง ไมอาจแสดงไวใ นทน่ี ที้ ั้งหมด จงึ จะกลา วไวเพียงเรื่องเดยี ว คอื ความถกู ตอ ง และผิดพลาดของความรู และแมในหวั ขอ นี้ ก็จะกลาวถงึ หลกั ท่ีควรทราบเพยี ง ๒ อยา งเทา น้นั ก. สัจจะ ๒ ระดับ ผูส ดับคําสอนในพระพทุ ธศาสนาบางคน เกิดความสับสน เมอื่ ไดอ านไดฟง ขอความบางอยา ง เชน บาง แหง วา ไมค วรคบคนพาล ควรคบบัณฑติ คนพาลมีลักษณะอยางนๆี้ บัณฑิตมลี ักษณะอยางนๆ้ี ควรยินดแี ต ของของตน ไมควรอยากไดของของผูอ นื่ ตนเปน ทีพ่ ่ึงของตน คนควรชวยเหลอื กัน ดงั นี้เปนตน แตบางแหงวา พงึ พจิ ารณาเหน็ ตามความเปนจรงิ วา กายก็แคก าย ไมใชส ตั ว บคุ คล ตวั ตน เราเขา พงึ รู เทา ทันตามเปนจรงิ วา ไมใ ชข องเรา ไมใชต ัวตนของเรา ส่งิ ท้ังหลายเปน อนัตตา ดงั น้ีเปนตน เมื่อไดอ านไดฟงอยา งน้แี ลว กม็ องไปวา คําสอนในทางพระศาสนาขดั แยงกันเอง หรอื ไมก ง็ งแลวไมเขา ใจ หรือบางคนเขาใจบางแตไ มช ดั เจนพอทาํ ใหเกดิ การปฏิบัตสิ ับสนผิดพลาด ดาํ เนนิ ชวี ิตไมส อดคลอ งกบั สภาพ ความเปนจรงิ ในเวลาท่คี วรพูดควรปฏบิ ตั ติ ามความรใู นชวี ติ ประจําวนั ของชาวบา น กลับพดู หรอื ปฏบิ ตั ิดวย ความยึดถือในความรตู ามสภาวะ เปน ตน ทําใหเกิดความวนุ วายและเสยี หาย ท้ังแกตนและผูอื่น คัมภรี ฝ า ยอภธิ รรม หวงั จะชวยปอ งกนั ความสบั สนผดิ พลาดเชน น้ี จงึ สอนใหร จู ักแยกสัจจะ หรือความ จริง เปน ๒ ระดบั กลาวคอื ๑. สมมติสจั จะ ความจรงิ โดยสมมติ (เรียกอกี อยา งหนง่ึ วา โวหารสจั จะความจรงิ โดยโวหาร หรือโดย สํานวนพูด) คอื จริงตามมติรวมกนั ตามทไ่ี ดต กลงกนั ไว หรือยอมรับรวมกนั เปนเครื่องมอื สือ่ สาร พอใหส าํ เร็จ ประโยชนในชีวติ ประจาํ วัน (conventional truth) เชน คน สตั ว คนดี คนชั่ว โตะ เกา อี้ หนงั สือ เปน ตน ตวั อยา ง ที่พอเทยี บใหเ หน็ เคา เชน ภาษาสามัญพดู วา นํา้ วา เกลอื เปน ตน ๒. ปรมัตถสัจจะ ความจรงิ โดยปรมัตถ คอื จริงตามความหมายสูงสุด ตามความหมายแท อยางย่ิง หรือ ตามความหมายแทข ้นั สุดทายทีต่ รงตามสภาวะและเทา ทีพ่ อจะกลา วถึงได หรือพอจะยงั พดู ใหเ ขา ใจกันได (ultimate truth) เพ่อื สาํ หรบั ใหเกดิ ความรคู วามเขาใจเทาทันความเปนจรงิ ของส่งิ ท้ังหลาย คอื รูจักส่ิงเหลา นนั้ ตามท่มี นั เปน และเพ่ือใหเกดิ ประโยชนอยางสงู สดุ คอื การหยงั่ รูส จั ธรรม ทีจ่ ะทาํ ใหความยดึ ติดถือม่ันหลงผิด
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 33 ทง้ั หลายสลายหมดไป ทําใหว างใจวางทา ทีตอส่งิ ท้ังหลายอยา งถกู ตอง หลดุ พน จากกเิ ลสและความทกุ ข มีจิต ใจเปน อิสระ ปลอดโปรง ผอ งใส เบกิ บาน มคี วามสขุ ทแ่ี ทจ รงิ ส่งิ ที่เปน จริงโดยปรมัตถ เชน นามธรรม รปู ธรรม เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ หรือจติ เจตสิก รูป นพิ พาน ผสั สะ เจตนา เอกัคคตา ชีวิตนิ ทรยี ฯลฯ ตวั อยางทพี่ อเทยี บใหเ ห็นเคา เชน ในทางวิทยาศาสตรถ อื วา คาํ วา น้ํา วา เกลอื เปนตน ยังไมต รงสภาวะแท อาจมแี งความหมายทีค่ ลุมเครอื หรือเขวได นา้ํ แทๆ คอื hydrogen oxide (H2O) เกลอื สามัญก็เปน sodium chloride (NaCl) จึงถูกแท ดังน้เี ปนตน (ขอเปรียบเทียบน้ี ไมใ ชต รงกันแท แตเ ทียบพอใหเ หน็ วา ในวิชาการอ่นื กม็ กี ารมองเหน็ ความจริงดา นอนื่ ของสง่ิ สามญั และไม ยอมรับวา คาํ พูดสามญั ส่อื ความจริงไดตรงแท) อยางไรก็ดี ความคิดเกยี่ วกบั สมมตสิ ัจจะ และปรมตั ถสัจจะ ทท่ี านระบุออกมาเปนคําบญั ญัติในพระ อภธิ รรมน้ัน กย็ กเอาความในพระสตู รน่นั เองเปน ที่อา ง แสดงวา ความคิดความเขา ใจเร่อื งนี้ เปนของมแี ตเดมิ แตใ นครงั้ เดิมน้นั คงเปนท่เี ขาใจกันดี จนไมต องระบุคําบญั ญัติ ๒ คาํ นี้ ขอ ความในพระสตู รทที่ านยกมาอางน้ัน เปน คําของพระภิกษณุ ชี ่อื วชิรา มเี นอ้ื ความดงั น้ี น่แี นะมาร! ทา นจะมีความเหน็ ยึดถอื วา เปน สัตวไ ดอยา งไร, ใน สภาวะที่เปนเพียงกองแหง สงั ขารลว นๆ น้ี จะหาตัวสตั วไ มไ ดเลย, เปรียบเหมอื นวา เพราะคุมสว นประกอบเขา ดวยกนั ศพั ทวา “รถ” ยอมมฉี ันใดเมื่อขนั ธทัง้ หลายมอี ยู สมมติวา “สัตว” กย็ อ มมี ฉนั นน้ั ความคลา ยกันน้ี ทเี่ นน ในแงป ฏิบัติ คือ ความรูเทาทันสมมติ และเขาใจปรมตั ถ แลว รจู ักใชภาษาเปน เคร่ืองส่ือความหมาย โดยไมย ึดติดในสมมติ ไมเ ปน ทาสของภาษานั้น สามารถยกบาลที เี่ ปน พทุ ธพจนมาอางได อีกหลายแหง เชน ภกิ ษผุ ูเปน อรหนั ตขีณาสพ...จะพึงกลาววา ฉันพดู ดงั น้กี ็ดี เขาพดู กับฉัน ดังน้กี ด็ ี เธอเปนผู ฉลาด รูถอ ยคาํ ที่เขาพดู กันในโลก ก็พึงกลาวไปตามโวหารเทาน้ัน เหลาน้ีเปน โลกสมญั ญา เปน โลกนริ ุติ เปนโลก โวหาร เปน โลกบัญญัติ ซ่งึ ตถาคตใชพ ูดจา แตไ มย ึดติด อนึง่ พระอรรถกถาจารยบรรยายลกั ษณะของพระสตู ร (สุตตนั ตปฎ ก) วา เปน โวหารเทศนา เพราะเนื้อ หาสว นมากแสดงโดยโวหาร คือ ใชภ าษาสมมติ สวนพระอภธิ รรมเปน ปรมัตถเทศนา เพราะเนือ้ หาสว นมาก แสดงโดยปรมตั ถ คอื กลาวตามสภาวะแทๆ น้เี ปนขอ สังเกตเพ่อื ประดับความรูอยา งหนงึ่ ข. วิปลาส หรอื วิปล ลาส ๓ วปิ ลาส คือ ความรคู ลาดเคล่ือน ความรทู ่ีผนั แปรผิดพลาดจากความเปนจริง หมายถึง ความรูคลาด เคล่ือนข้ันพ้นื ฐาน ที่นําไปสคู วามเขา ใจผดิ หลงผดิ การลวงตัวเอง วางใจ วางทา ที ประพฤตปิ ฏบิ ัตไิ มถ กู ตอง ตอโลก ตอ ชีวติ ตอส่งิ ท้ังหลายทัง้ ปวง และเปนเครือ่ งกีดก้ันขดั ขวางบงั ตา ไมใ หม องเหน็ สัจภาวะ วปิ ลาส มี ๓ อยา ง คือ ๑. สัญญาวปิ ลาส สญั ญาคลาดเคล่ือน หมายรผู ดิ พลาดจากความเปนจรงิ ๒. จติ วปิ ลาส จิตคลาดเคลือ่ น ความคดิ ผิดพลาดจากความเปนจรงิ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 34 ๓. ทิฏฐวิ ิปลาส ทฏิ ฐิคลาดเคล่อื น ความเหน็ ผดิ พลาดจากความเปนจรงิ สญั ญาวปิ ลาส หมายรูคลาดเคล่ือน เชน คนตกใจเห็นเชือกเปน งู กาและกวางปา มองหุนฟางสวมเสอื้ กางเกงมหี มอครอบ เห็นเปน คนเฝานา คนหลงทางเห็นทศิ เหนอื เปน ทศิ ใต เห็นทิศใตเปนทศิ เหนอื คนเห็นแสง ไฟโฆษณากระพริบอยูก ับที่ เปน ไฟวิง่ เปน ตน จติ วปิ ลาส ความคิดคลาดเคลือ่ น เชน คนบา คดิ เอาหญา เปน อาหารของตน คนจติ ฟนเฟอ นมองเหน็ คน เขา มาหา คดิ วาเขาจะทาํ ราย คนเห็นเงาเคลอ่ื นไหวในท่ีมดื สลัว คิดวาดภาพเปนผหี ลอก กระตายตนื่ ตมู ไดย นิ เสยี งลูกมะพราวหลน คดิ วาดภาพเปนวา โลกกําลงั แตก เปนตน ทฏิ ฐวิ ปิ ลาส ความเห็นคลาดเคลอ่ื น ตามปกติ สืบเนื่องมาจากสญั ญาวปิ ลาสและจิตวิปลาสนนั่ เอง เมอ่ื หมายรผู ดิ อยา งไร กเ็ หน็ ผิดไปตามนนั้ เมื่อคิดวาดภาพเคล่ือนคลาดไปอยางไร ก็พลอยเห็นผดิ เช่ือถือผิดพลาด ไปตามอยางนัน้ ยกตวั อยาง เชน เม่ือหมายรผู ิดวา เชอื กเปน งู กอ็ าจลงความเหน็ ยึดถือวาสถานท่ีบรเิ วณนน้ั มีงหู รอื มงี ู ชุม เมอ่ื หมายรวู าผนื แผน ดนิ เรยี บราบขยายออกไปเปนเสนตรง กจ็ งึ ลงความเหน็ ยดึ ถอื วาโลกแบน เมอ่ื คดิ ไปวา สิ่งท้ังหลายเกิดขนึ้ เปนไป เคลื่อนไหวตา งๆ ก็ตอ งมผี ูจ ัดแจงผลกั ดัน กจ็ งึ ลงความเห็นยึดถือวา ฟา รอ ง ฟา ผา แผนดินไหว ฝนตก นา้ํ ทว ม มเี ทพเจาประจาํ อยูและคอยบนั ดาล ดังน้ีเปน ตน ตัวอยา งท่ีกลา วมาน้ี เปนชัน้ หยาบทีเ่ หน็ งายๆ อาจเรยี กอยางภาษาพูดวา เปน ความวปิ ลาสขนั้ วปิ รติ สวนในทางธรรม ทานมองความหมายของวิปลาสอยางละเอียดถึงข้ันพื้นฐาน หมายถึงความรคู ลาด เคล่ือนชนิดทมี่ ิใชมีเฉพาะในบางคนบางกลุมเทานั้น แตมีในคนทว่ั ไปแทบท้งั หมดอยา งไมร ตู วั คนทัง้ หลายตก อยูใตอ ทิ ธิพลครอบงาํ ของมนั และวิปลาสทั้ง ๓ ชนิดนนั้ จะสอดคลอ งประสานกันเปนชุดเดียววิปลาสขัน้ ละเอียดหรือขัน้ พื้นฐานนน้ั พงึ เหน็ ตามบาลดี ังนี้ ภิกษทุ ัง้ หลาย สญั ญาวิปลาส จติ วิปลาส ทฏิ ฐิวิปลาส มี ๔ อยา งดงั น;ี้ ๔ อยา งอะไรบา ง ? (กลา วคือ) ๑. สญั ญาวิปลาส จิตวิปลาส ทฏิ ฐวิ ิปลาส ในสิ่งไมเท่ียง วา เทย่ี ง ๒. สญั ญาวปิ ลาส จติ วิปลาส ทฏิ ฐวิ ปิ ลาส ในส่งิ ทเี่ ปน ทกุ ข วา เปนสขุ ๓. สญั ญาวปิ ลาส จติ วิปลาส ทฏิ ฐวิ ปิ ลาส ในสง่ิ มใิ ชตัวตน วา ตวั ตน ๔. สัญญาวิปลาส จติ วปิ ลาส ทิฏฐวิ ปิ ลาส ในสิง่ ท่ีไมง าม วา งาม วิปลาสเหลาน้ี เปน อปุ สรรคตอการฝกอบรมเจริญปญญา และกเ็ ปนเปาหมายของการฝกอบรมปญ ญา ที่จะกําจดั มนั เสยี การพฒั นาความรูและเจรญิ ปญญาตามวิธที ีก่ ลาวไวใ นพทุ ธธรรม ลว นชว ยแกไขบรรเทาและ กาํ จดั วิปลาสไดทง้ั น้ัน เฉพาะอยางยง่ิ การใชโยนโิ สมนสกิ ารแบบสืบสาวหาเหตปุ จ จัยและแยกแยะองค ประกอบตรวจดูสภาวะ โดยมีสตพิ รอมอยพู ทุ ธพจนเกย่ี วกบั อายตนะ ก) สรรพสิ่ง โลก และบัญญัติตา งๆ
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 35 ภกิ ษุทัง้ หลาย เราจกั แสดงแกพ วกเธอซง่ึ “สรรพส่งิ ” (สิ่งทั้งปวง.ครบหมด, ทุกสิ่งทกุ อยาง), จงฟงเถิด; อะไรเลาคอื สรรพสิง่ : ตากับรปู หูกับเสียง จมูกกบั กลน่ิ ลิ้นกบั รส กายกับโผฏฐัพพะ ใจกับ ธรรมารมณ - น้ีเราเรียกวา สรรพสงิ่ พระองคผ ูเจริญ เรยี กกันวา “โลก โลก” ดังนี,้ ดวยเหตเุ พียงไร จงึ มโี ลก หรอื บัญญัติวาเปนโลก ? ดูกรสมทิ ธิ ที่ใดมีตา มรี ปู มีจกั ขวุ ิญญาณ มธี รรมอันพึงรดู ว ยจกั ขวุ ญิ ญาณ, ที่น่ันกม็ โี ลก หรอื บัญญัติ วาเปน โลก, ทใี่ ดมหี .ู ..มจี มกู ...มลี ้ิน...มีกาย...มใี จ มธี รรมารมณ มีมโนวญิ ญาณ มสี ง่ิ อนั พงึ รดู ว ยมโนวญิ ญาณ ทนี่ น้ั กม็ ีโลก หรือบัญญตั ิวา โลก ภกิ ษุท้ังหลาย เราไมกลาววา ท่ีสดุ โลก เปน สงิ่ ทร่ี ูได เห็นได ถงึ ไดด วยการไป, แตเรากไ็ มกลาวเชนกนั วา บคุ คลยังไมถึงทีส่ ุดโลก จะทาํ ความสน้ิ ทกุ ขไ ด (พระอานนทกลา ว :) ขอความที่พระผมู ีพระภาคตรสั ไวโดยยอ ยงั มไิ ดทรงแจกแจงเน้ือความโดยพสิ ดาร น้ี ขาพเจา เขาใจความโดยพิสดารดังนี้ :- บุคคลยอมสาํ คญั หมายในโลกวา เปนโลก ถือโลกวาเปน โลกดว ยสง่ิ ใด สงิ่ นน้ั เรยี กวา “โลก” ในอรยิ วนิ ยั ดว ยอะไรเลา คนจงึ สาํ คัญหมายในโลกวา เปน โลก ถือโลกวาเปนโลก ? ดว ยตา...ดวยห.ู ..ดว ยจมูก...ดวยล้นิ ...ดว ยกาย...ดว ยใจ คนจึงสาํ คัญหมายในโลกวา เปนโลก ถือโลกวา เปน โลก ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เราจักแสดงการอทุ ัยพรอม และการอัสดงแหงโลก, จงฟง เถิด. การอทุ ยั พรอ มแหงโลกเปน ไฉน ? อาศยั ตา และรูป จงึ เกดิ จักขวุ ิญญาณ, ความประจวบแหง ส่งิ ท้งั สาม นน้ั คอื ผสั สะ, เพราะผสั สะเปนปจจยั เวทนาจงึ ม,ี เพราะเวทนาเปนปจ จยั ตณั หาจึงม,ี เพราะตัณหาเปนปจจยั อปุ าทานจึงมี, เพราะอปุ าทานเปนปจ จัย ภพจึงม,ี เพราะภพเปนปจ จยั ชาติจงึ ม,ี เพราะชาติเปน ปจจัย ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนัส และอุปายาสก็มีพรอม; น้ีคือการอทุ ัยพรอ มแหง โลก อาศัยห.ู ..อาศัยจมูก...อาศยั ลนิ้ ...อาศยั กาย...อาศยั ใจและธรรมารมณ จงึ เกิดมโนวิญญาณ ฯลฯ นค้ี ือ การอทุ ัยพรอมแหง โลก การอสั ดงแหง โลกเปน ไฉน ? อาศยั ตา และรปู จึงเกิดจักขุวญิ ญาณ,ความประจวบแหงส่ิงทงั้ สามนัน้ คอื ผสั สะ, เพราะผสั สะเปนปจ จัย เวทนาจงึ ม,ี เพราะเวทนาเปนปจ จยั ตัณหาจึงม,ี เพราะตัณหาน้นั แหละสาํ รอก ดบั ไปไมเ หลอื ความดับอปุ าทานจงึ มี, เพราะดบั อุปาทาน ความดับภพจึงมี, เพราะดับภพ ความดับชาตจิ งึ มี, เพราะดบั ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนัส และอุปายาส จึงดับ, ความดับแหงกองทกุ ขท้ังหมด ยอ ม มีไดอยางน;ี้ นีเ้ รียกวา การอัสดงแหงโลก อาศยั ห.ู ..อาศัยจมูก...อาศยั ลน้ิ ...อาศยั กาย...อาศัยใจและธรรมารมณ จึงเกิดมโนวิญญาณ ฯลฯเพราะตัณหาน้นั แหละสํารอกดบั ไปไมเ หลอื …นี้คือการอสั ดงของโลก พระองคผูเจรญิ เรียกกันวา “มาร มาร” ...เรยี กกันวา “สัตว สตั ว” ...เรยี กกนั วา “ทกุ ข ทกุ ข” ดังน,้ี ดว ย เหตุเพียงไร จงึ มมี ารหรือบญั ญัติวามาร...จงึ มสี ัตวห รือบญั ญัติวาสัตว... จงึ มที ุกขหรือบญั ญตั ิวา ทกุ ข ?
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 36 ดกู รสมิทธิ ท่ใี ดมีตา มีรปู มีจักขวุ ิญญาณ มธี รรมอันพงึ รูดว ยจักขวุ ิญญาณ ฯลฯ มีใจ มธี รรมารมณ มี มโนวิญญาณ มีธรรมอันพึงรดู ว ยมโนวิญญาณ, ทีน่ นั้ ก็มมี ารหรอื บญั ญตั ิวามาร...สตั วห รือบัญญัติวา สัตว. .. ทกุ ขหรือบัญญัติวา ทุกข เมอ่ื ตามอี ยู พระอรหนั ตท ัง้ หลายจงึ บญั ญัติสขุ ทุกข, เม่ือตาไมมีพระอรหนั ตทั้งหลายยอ มไมบัญญัติวา สขุ ทกุ ข, เมือ่ ห.ู ..เมอ่ื จมกู ...เม่อื ลิน้ ...เม่อื กาย...เม่อื ใจมอี ยู พระอรหนั ตท้งั หลาย จึงบญั ญัติสขุ ทกุ ข เมอื่ หู ฯลฯ ใจไมม ี พระอรหันตท ง้ั หลายยอมไมบัญญัตสิ ุขทุกข ข) ความจริงเดียวกัน ทง้ั แกผูห ลง และผูรเู ทาทัน ภิกษทุ ง้ั หลาย ตา...หู...จมกู ...ลิ้น...กาย...ใจ ไมเ ที่ยง...เปนทกุ ข...เปน อนตั ตา, แมส งิ่ ทเ่ี ปน เหตเุ ปน ปจ จัยใหตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดข้ึน กไ็ มเ ท่ยี ง เปน ทกุ ข เปน อนตั ตา, ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ ซง่ึ เกิดจากสงิ่ ที่ ไมเ ทย่ี ง เปนทกุ ข เปนอนัตตา จักเปน ของเทย่ี ง จกั เปน สขุ จักเปน อัตตาไดแ ตท ไี่ หน รปู ...เสียง...กล่ิน...รส...โผฏฐพั พะ...ธรรมารมณ ไมเ ท่ียง...เปนทกุ ข… เปนอนัตตา, แมส่งิ ที่เปน เหตุ เปน ปจ จัยใหร ูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณเ กดิ ข้นึ กไ็ มเทยี่ ง เปนทุกข เปน อนตั ตา, รปู เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ ซง่ึ เกดิ จากส่ิงท่ไี มเ ทีย่ ง เปน ทกุ ข เปน อนัตตา จักเปนของเท่ยี ง เปนสขุ เปน อตั ตาได แตท่ีไหน ภิกษุทั้งหลาย ขา วกลา งอกงามบรบิ รู ณ และคนเฝา ขาวกลากป็ ระมาทเสีย, โคกนิ ขา วกลา ลงสขู า วกลา โนน พึงเมาเพลนิ ประมาทเอาจนเตม็ ท่ี ฉนั ใด, ปถุ ุชนผูมิไดเรยี นรู ไมสงั วรในผัสสายตนะ ๖ ยอ มเมาเพลิน ประมาทในกามคณุ ๕ จนเต็มที่ ฉนั นัน้ ภกิ ษทุ ้งั หลาย ผสั สายตนะ ๖ เหลานีท้ ไี่ มฝ ก ไมค ุมครอง ไมรกั ษาไมสังวร ยอ มเปนเคร่ืองนําทุกขมา ให. ..ผัสสายตนะ ๖ เหลาน้ี ทฝ่ี ก ดแี ลว คมุ ครองดี รักษาดี สงั วรดี ยอ มเปนเครอ่ื งนําสุขมาให... ตาเปน เครื่องผูกลามรูปไว, รูปเปน เครอ่ื งผกู ลามตาไว; หู - เสียง; จมูก - กลน่ิ ; ล้ิน - รส; กาย - โผฏฐัพพะ; ใจเปนเครือ่ งผูกลามธรรมารมณไ ว, ธรรมารมณเปน เครื่องผกู ลามใจไว ดงั นีห้ รอื ? (หามไิ ด) ตากม็ ิใชเครอ่ื งผกู ลามรูปไว, รปู ก็มิใชเ คร่อื งผูกลา มตาไว; ฉนั ทราคะ (ความชอบใจจนติด) ที่ เกิดขนึ้ เพราะอาศัยตาและรปู ทัง้ สองอยางนน้ั ตา งหาก เปนเครื่องผกู ลา มทต่ี าและรปู นั้น ฯลฯ ใจกไ็ มใชเ ครอื่ งผกู ลามธรรมารมณ, ธรรมารมณก ็มิใชเ คร่อื งผูกลามใจ; ฉนั ทราคะที่เกิดขึน้ เพราะอาศัยใจและธรรมารมณทัง้ สอง อยางนนั้ ตางหาก เปนเครอ่ื งผูกลามท่ใี จและธรรมารมณนนั้ หากตาเปน เครื่องผกู ลามรปู ไว หรือรูปเปนเครือ่ งผกู ลามตาไวแลวไซร, การครองชีวิตประเสรฐิ เพอื่ ความสน้ิ ทกุ ขโ ดยชอบ กจ็ ะปรากฏไมไ ด; แตเพราะเหตุที่ตาไมใ ชเครือ่ งผกู ลามรูป, รูปมิใชเ ครือ่ งผูกลา มตา, ฉนั ทราคะทเ่ี กดิ ขึน้ เพราะอาศัยตาและรปู สองอยางน้ันตา งหาก เปน เครือ่ งผูกลา มท่ตี าและรูปน้ัน, เพราะเหตุ ฉะนน้ั การครองชวี ิตประเสริฐเพอื่ ความสิน้ ทกุ ขโ ดยชอบ จึงปรากฏได ฯลฯ
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 37 พระผูมีพระภาคกท็ รงมีพระจกั ษุ, พระผมู พี ระภาคกท็ รงเห็นรปู ดว ยจักษ,ุ (แต) ฉันทราคะไมมแี กพ ระผู มีพระภาคเจา, พระผมู พี ระภาคทรงมพี ระทัยหลุดพน ดีแลว ; พระผูม พี ระภาคก็ทรงมพี ระโสต...พระฆานะ...พระ ชวิ หา...พระกาย...พระทยั ... ค) จิตใจใหญกวาง มีปญญานาํ ทาง อยูอยา งมีสติ พระองคผ ูเจรญิ ! ถงึ แมข าพระองคจ ะชราแลว เปนผูเฒาผูใหญ ลว งกาลผา นวัยมาโดยลาํ ดบั ก็ตาม, ขอพระผูมพี ระภาคสคุ ตเจา โปรดทรงแสดงธรรมแกข า พระองค แตโ ดยยอเถดิ ขา พระองคคงจะเขาใจความ แหงพระดํารัสของพระผูม พี ระภาคไดเ ปนแน ขาพระองคคงจะเปนทายาทแหงพระดาํ รัสของพระผมู ีพระภาคได เปน แน แนะ มาลงุ กยบุตร ! ทา นเห็นเปนประการใด ? รูปท้ังหลายท่พี ึงรูดวยจกั ษอุ ยางใดๆ ซึ่งเธอยงั ไมเห็น ทั้ง มเิ คยไดเห็น ทัง้ ไมเห็นอยู ทง้ั ไมเคยคดิ หมายวา ขอเราพงึ เหน็ , ความพอใจ ความใคร หรือความรกั ในรูปเหลา นนั้ จะมแี กเธอไหม ? ไมม ี พระเจาขา เสยี ง…กลน่ิ ...รส…โผฏฐัพพะ...ธรรมารมณท งั้ หลาย อยางใดๆ ซง่ึ เธอไมไ ดทราบ ไมเ คยทราบ ไมท ราบ อยู ทัง้ ไมเคยคิดหมายวาเราพึงทราบ, ความพอใจ ความใคร หรอื ความรักในธรรมารมณเ หลา นนั้ จะมีแกเธอ ไหม ? ไมมีพระเจา ขา มาลุงกยบุตร! บรรดาส่งิ ทเี่ หน็ ไดยิน รู ทราบ เหลา นี้ ในส่งิ ทเี่ ห็น เธอจกั มแี คเ หน็ ในสิ่งทไ่ี ดยินจักมีแค ไดย นิ ในส่งิ ทล่ี ม้ิ ดม แตะตอง จักมแี ครู (รส กล่นิ แตะตอ ง) ในสิ่งท่ที ราบ จกั มแี คทราบ เมอื่ ใด (เธอมแี คเห็น ไดยนิ ไดร ู ไดทราบ) เมอื่ นนั้ เธอก็ไมม ดี วยนน่ั (อรรถกถาอธบิ ายวาไมถูกราคะ โทสะ โมหะ ครอบงาํ ), เมอ่ื ไมม ีดวยน่ัน ก็ไมม ีท่ีนน่ั (อรรถกถาอธบิ ายวา ไมพ ัวพนั หมกตดิ อยูในส่งิ ทีไ่ ดเ หน็ เปนตน น้นั ), เม่อื ไมม ีท่ีนน่ั เธอกไ็ มมที ่นี ่ี ไมมที โี่ นน ไมม ีระหวางท่ีนท่ี โี่ นน (ไมใ ชภ พนี้ ไมใชภพโนน ไมใชร ะหวา ง ภพท้งั สอง), น่ันแหละคือทจ่ี บสิ้นของทกุ ข (พระมาลุงกยบุตรสดับแลว กลา วความตามทต่ี นเขา ใจออกมาวา :) พอเหน็ รปู สตกิ ็หลงหลดุ ดวยมวั ใสใ จแตนมิ ติ หมายทน่ี ารัก แลว ก็มีจติ กาํ หนดั ตดิ ใจ เสวยอารมณแ ลว ก็ สยบอยกู บั อารมณนนั้ เอง, เวทนาหลากหลายอนั กอกาํ เนิดข้ึนจากรปู ขยายตวั เพิ่มขน้ึ จิตของเขาก็คอยถูก กระทบกระท่ัง ท้งั กบั ความอยากและความยุงยากใจ เมื่อสง่ั สมทุกขอยอู ยา งนี้ ก็เรยี กวาไกลนพิ พาน พอไดยินเสยี ง…พอไดกลิน่ ...พอลิ้มรส...พอถูกตอ งโผฏฐัพพะ...พอรูธรรมารมณ สติก็หลงหลุด ฯลฯ ก็ เรยี กวา ไกลนพิ พาน
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 38 เห็นรูปกไ็ มติดในรปู ดวยมีสตมิ ่ันอย,ู มีจติ ไมตดิ ใจ เสวยเวทนาไป ก็ไมสยบกับอารมณน ้นั ; เขามสี ติ ดาํ เนนิ ชีวติ อยา งท่วี า เม่อื เหน็ รปู และถึงจะเสพเวทนา ทกุ ขก ม็ ีแตส้นิ ไมส งั่ สม; เม่ือไมสงั่ สมทกุ ขอยูอยางน้ี ก็ เรยี กวาใกลนพิ พาน” ไดยนิ เสียง...ไดกลิ่น...ล้ิมรส…ถกู ตอ งโผฏฐพั พะ...รูธรรมารมณ กไ็ มต ิดในธรรมารมณ ดว ยมสี ติม่ันอยู ฯลฯ กเ็ รียกวาใกลนพิ พาน ดวยเหตเุ พยี งไร บุคคลช่อื วาเปนผูไมค ุมครองทวาร ? คนบางคนเหน็ รูปดวยตาแลว ยอ มนอมรกั ฝากใจ ในรูปที่นารัก ยอมขนุ เคอื งขัดใจในรูปที่ไมน ารกั มิไดมีสตกิ าํ กับใจ เปนอยโู ดยมจี ิตคบั แคบ (มีใจเล็กนดิ เดียว), ไมเขาใจตามเปนจริง ซ่ึงความหลดุ รอดปลอดพนของจิต และความหลดุ รอดปลอดพนดว ยปญ ญา ท่ีจะทําให บาปอกุศลธรรมซง่ึ เกดิ ขน้ึ แลวแกตวั เขา ดบั ไปไดโดยไมเหลือ; ฟงเสียงดวยห.ู ..สูดกลนิ่ ดว ยจมกู ...ลมิ้ รสดวย ลน้ิ ...ตอ งโผฏฐัพพะดวยกาย ทราบธรรมารมณด ว ยใจแลว ยอมนอ มรักฝากใจในเสียง...ในธรรมารมณ อนั นา รกั ยอ มขนุ เคอื งขดั ใจในเสยี ง...ในธรรมารมณ อันไมน ารัก ฯลฯ ดว ยเหตุเพียงไร บุคคลช่ือวาเปนผคู ุม ครองทวาร ? ภกิ ษเุ หน็ รูปดว ยตาแลว ยอมไมน อ มรกั ฝากใจในรูป ท่นี ารัก ไมข นุ เคืองขัดใจในรูปท่ไี มนารัก มสี ตกิ ํากบั ใจ เปน อยูอยางผมู จี ติ กวา งขวาง ไมมปี ระมาณ เขาใจตาม เปนจริง ซ่งึ ความหลุดรอดปลอดพนของจติ และความหลดุ รอดปลอดพน ดว ยปญญา ทจ่ี ะทาํ ใหบ าปอกศุ ลธรรม ซึ่งเกิดข้นึ แลวแกต ัวเขา ดับไปไดโดยไมเหลือ; ฟง เสียงดวยหู ฯลฯ ทราบธรรมารมณดวยใจ ยอมไมน อ มรกั ฝาก ใจในเสยี ง…ในธรรมารมณ อนั นารัก ไมข ุน เคอื งขัดใจใน เสยี ง…ในธรรมารมณ อันไมนารัก ฯลฯ” ง) กาวไปในมรรคาแหง อิสรภาพและความสขุ ภิกษทุ ั้งหลาย อยา งไรจงึ จะชื่อวาเปนผูอ ยดู ว ยความไมป ระมาท ? เม่ือภิกษสุ ังวรจกั ขุนทรยี อยู จติ ยอ ม ไมซา นแสไ ปในรูปทงั้ หลายท่พี งึ รดู ว ยจักษุ, เม่ือมจี ติ ไมซา นแส ปราโมทยก็เกิด, เมอื่ มปี ราโมทยแ ลว ปต กิ ็เกดิ , เมอ่ื มีใจปต ิ กายก็สงบระงบั , ผูมีกายสงบยอมเปนสุข, ผมู สี ุขจิตยอ มเปนสมาธิ, เมอ่ื จิตเปน สมาธิ ธรรมทั้งหลาย ก็ปรากฏ, เพราะธรรมท้ังหลายปรากฏ ผนู ้ันจึงนับวาเปนผูอ ยดู วยความไมประมาท” (เก่ยี วกับโสตะ ฆานะ ชวิ หา กาย มโน กเ็ ชน เดยี วกนั ) อานนท การอบรมอินทรีย (อินทรียภาวนา) ทยี่ อดเยี่ยม ในแบบแผนของอารยชน (อริยวินยั ) เปนอยา ง ไร ? เพราะเห็นรูปดวยตา…เพราะไดยนิ เสียงดว ยห.ู ..เพราะไดกลน่ิ ดวยจมกู ...เพราะรรู สดว ยลิน้ …เพราะตอง โผฏฐพั พะดว ยกาย...เพราะ รูธรรมารมณด ว ยใจ ยอ มเกิดความชอบใจบาง เกิดความไมชอบใจบา ง เกดิ ทั้ง ความชอบใจและไมชอบใจบา ง.แกภ กิ ษ;ุ เธอเขาใจชัดดังนี้วา ความชอบใจ ความไมชอบใจ ท้งั ความชอบใจ ไมช อบใจ ท่เี กดิ ขึ้นแลวแกเรานี.้ เปนสงิ่ ปรงุ แตง เปน ธรรมหยาบ เปนของอาศัยเหตปุ จ จัยเกดิ ขึ้น, ภาวะตอไปนี้ จงึ จะสงบประณตี น่นั คืออุเบกขา (ความมใี จเปนกลาง), (คร้นั แลว ) ความชอบใจ ความไมช อบใจ ทง้ั ความ ชอบใจไมช อบใจ.ที่เกดิ ขน้ึ แกเธอนัน้ .ก็ดบั ไป อุเบกขากต็ งั้ ม่ัน”สําหรับบคุ คลผูใดก็ตาม ความชอบใจ ความไม ชอบใจ ทง้ั ความชอบใจไมช อบใจ ทเ่ี กิดขน้ึ แลว ยอ มดับไป อุเบกขายอ มตง้ั มัน่ ไดเ รว็ พลนั ทันที โดยไมย าก
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 39 เสมอื นคนหลับตาแลว ลมื ตา หรือลืมตาแลวหลบั ตา ฯลฯ นีเ้ รยี กวา การอบรมอนิ ทรียท ีย่ อดเยี่ยม ในแบบแผน ของอารยชน... ภิกษุทงั้ หลาย กอ นสัมโพธิ เมือ่ ยังเปนโพธิสัตว ผยู ังไมต รสั รู เราไดเกิดความดํารขิ น้ึ ดงั น้ีวา : อะไรเปน คุณ (ความหวานชน่ื ความอรอ ย) ของจกั ษุ ? อะไรเปน โทษ (ขอเสีย ความบกพรอง) ของจกั ษุ ? อะไรเปน ทาง ออก (เปน อสิ ระ ไมต อ งองิ อาศัย) แหงจกั ษุ ? อะไรเปน คุณ...เปนโทษ...เปน ทางออก แหง โสตะ...ฆานะ...ชิวหา …กาย…มโน ? เราไดเกดิ ความคิดขนึ้ ดงั น้ี: สขุ โสมนัส ที่เกิดข้นึ เพราะอาศยั จักษุ น้คี อื คณุ ของจกั ษุ, ขอทจ่ี ักษุ ไม เท่ยี ง เปน ทุกข มคี วามแปรปรวนไปเปนธรรมดา น้ีคือโทษของจักษุ การกําจดั ฉนั ทราคะ การละฉันทราคะใน เพราะจักษเุ สียได นคี้ อื ทางออกแหงจกั ษุ (ของโสตะ ฆานะ ชวิ หา กาย มโน ก็เชนเดยี วกนั ) ตราบใด เรายงั มไิ ดร ูประจักษตามเปน จริง ซึ่งคุณของอายตนะภายใน ๖ เหลา น้ี โดยเปนคณุ , ซ่งึ โทษ โดยเปนโทษ, ซง่ึ ทางออก โดยเปน ทางออก, ตราบน้ัน เรากย็ ังไมป ฏิญญาวาเราบรรลุแลว ซง่ึ อนุตรสมั มา- สัมโพธญิ าณ... (ตอไปตรสั ถงึ คุณ โทษ ทางออกพน แหงอายตนะภายนอก ๖ ในทาํ นองเดยี วกัน) ภกิ ษทุ งั้ หลาย ผูท ร่ี เู หน็ จกั ษุตามทมี่ นั เปน รเู ห็นรปู ทงั้ หลายตามที่มนั เปน รูเ ห็นจักขุวญิ ญาณตามท่มี ัน เปน รูเ หน็ จักษสุ ัมผสั ตามที่มนั เปน รูเห็นเวทนาอนั เปนสขุ หรอื ทกุ ขห รอื ไมสุขไมท กุ ข ซ่งึ เกิดขน้ึ เพราะจักษสุ มั ผสั เปนปจจยั ตามท่มี นั เปน ยอ มไมต ิดพนั ในจักษุ ไมต ดิ พันในรปู ทงั้ หลาย ไมต ดิ พนั ในจักขุวญิ ญาณ ไมต ิดพันใน จักขุสัมผสั ไมติดพันในเวทนา อนั เปนสุข หรอื ทกุ ข หรอื ไมสุขไมทุกข ท่ีเกดิ เพราะจักขุสมั ผสั เปน ปจ จัย เมือ่ ผูนนั้ ไมต ดิ พนั ไมหมกมุน ไมลมุ หลง รูเทา ทันเห็นโทษ ตระหนักอยู อปุ าทานขนั ธทงั้ ๕ ยอมถึง ความไมกอตวั พอกพนู ตอไป อนง่ึ ตัณหาทเ่ี ปนตัวการกอภพใหม อนั ประกอบดวยนนั ทริ าคะ คอยแสเ พลดิ เพลนิ อยูในอารมณต า งๆ กจ็ ะถูกละไปดวยความกระวนกระวายทางกายก็ดี ความกระวนกระวายทางใจก็ดี ความ เรารอนกายก็ดี ความเรา รอนใจกด็ ี ความกลัดกลุมทางกายกด็ ี ความกลดั กลุมทางใจก็ดี ยอมถูกเขาละได; ผนู นั้ ยอ มเสวย ทั้งความสุขทางกาย ทงั้ ความสุขทางใจ บคุ คลผูเปนเชน นัน้ แลว มคี วามเห็นอันใด ความเห็นน้ันก็เปนสัมมาทิฏฐิ, มีความดาํ รใิ ด ความดาํ รินนั้ ก็ เปน สัมมาสังกัปปะ, มคี วามพยายามใด ความพยายามนน้ั ก็เปนสัมมาวายามะ, มคี วามระลึกใดความระลึกนน้ั กเ็ ปน สัมมาสติ, มสี มาธิใด สมาธนิ ้ันก็เปนสมั มาสมาธิ, สวนกายกรรม วจกี รรม และอาชีวะของเขา ยอมบรสิ ุทธิ์ ดมี าแตตนทีเดยี ว; ดว ยประการดงั น้ี เขาชือ่ วามอี ริยอฏั ฐังคิกมรรคอนั ถงึ ความเจรญิ บริบูรณ (เกี่ยวกบั โสตะ ฆา นะ ชิวหา กาย มโน ก็เชน เดียวกนั ) คุณคาทางจรยิ ธรรม
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 40 ๑. ในแงกศุ ล-อกุศล ความด-ี ความชวั่ อายตนะเปน จดุ เรม่ิ ตน และเปนหัวเล้ียวหวั ตอ ของทางแยก ระหวา งกุศลกับอกุศล ทางสายหนงึ่ นําไปสคู วามประมาทมัวเมา ความชวั่ และการหมกติดอยูในโลก อีกสาย หน่ึงนําไปสูความรเู ทาทัน การประกอบกรรมดี และความหลุดพนเปนอิสระ ความสําคญั ในเร่ืองนอี้ ยูทว่ี า หากไมมีการฝก ฝนอบรมใหเขา ใจและปฏิบัตใิ นเรื่องอายตนะอยา งถูก ตองแลว ตามปกติ มนษุ ยทว่ั ไปจะถูกชกั จูง ลอ ใหดาํ เนนิ ชีวติ ในทางทีม่ งุ เพื่อเสพเสวยโลก เท่ียวทาํ การตางๆ เพียงเพื่อแสวงหารูป เสยี ง กล่ิน รส โผฏฐพั พะ ที่ชอบใจ และความสนกุ สนานบันเทงิ ตา งๆ มาปรนเปรอตา หู จมกู ล้ิน ผวิ กาย และใจอยากของตน พอกพูนความโลภ โกรธ หลง แลวกอใหเ กดิ ความวุนวายเดือดรอ น ทงั้ แก ตนและผูอน่ื พอจะเห็นไดไมย ากวา การเบียดเบยี นกนั การขดั แยง แยงชงิ การกดข่บี ีบคนั้ เอารัดเอาเปรยี บกัน ตลอดจนปญ หาสงั คมตา งๆ ที่เกิดเพิ่มข้นึ และทแี่ กไขกันไมส ําเรจ็ โดยสวนใหญแ ลวกส็ บื เน่ืองมาจากการ ดําเนินชีวติ แบบปลอ ยตัวใหถูกลอถูกชกั จูงไปในทางท่จี ะปรนเปรออายตนะอยูเ สมอ จนเคยชินและรนุ แรงยิง่ ขึ้นๆ น่นั เอง คนจํานวนมาก บางทีไมเ คยไดรับการเตอื นสติ ใหส ํานึกหรอื ยัง้ คดิ ทีจ่ ะพจิ ารณาถึงความหมายแหง การกระทาํ ของตน และอายตนะท่ีตนปรนเปรอบางเลย และไมเคยปฏิบตั ิเกย่ี วกับการฝกอบรมหรอื สงั วรระวัง เกย่ี วกบั อายตนะหรืออนิ ทรียข องตน จึงมีแตความลุมหลงมัวเมายงิ่ ๆ ขนึ้ การแกไ ขทางจรยิ ธรรมในเร่ืองน้ี สวน หนงึ่ อยทู ีก่ ารสรางความเขา ใจใหร ูเทาทนั ความหมายของอายตนะและส่งิ ทีเ่ ก่ียวขอ งวา ควรจะมีบทบาทและ ความสาํ คญั ในชวี ติ ของตนแคไหน เพียงไร และอกี สวนหน่ึง ใหม กี ารฝก ฝนอบรมดว ยวธิ ปี ระพฤตปิ ฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั การควบคุม การสํารวมระวงั ใชงาน และรบั ใชอายตนะเหลานนั้ ในทางท่จี ะเปน ประโยชนอยางแทจ รงิ แกชีวิต ของตนเองและแกสงั คม ๒. ในแงความสุข-ความทกุ ข อายตนะเปน แหลงทีม่ าของความสขุ ความทุกข ซึ่งเปนเปาหมายแหงการ ดําเนนิ ชวี ิตทวั่ ไป และความเพยี รพยายามเฉพาะกิจแทบทุกอยางของปถุ ุชน ดานสุขก็เปน การแสวงหา ดา นทกุ ข กเ็ ปน การหลีกหนี นอกจากสุขทุกขจ ะเกยี่ วเนือ่ งกับปญ หาความประพฤติดปี ระพฤตชิ วั่ ทีก่ ลา วในขอ ๑ แลว ตวั ความสขุ ทุกขน นั้ ก็เปนปญหาอยูในตวั ของมนั เอง ในแงข องคณุ คา ความมแี กน สาร และความหมายทจ่ี ะเขาพงึ่ พาอาศยั มอบกายถวายชวี ิตใหอ ยา งแทจรงิ หรอื ไม คนไมนอย หลงั จากระดมเรย่ี วแรงและเวลาแหง ชวี ิตของตนว่ิงตามหาความสุขจากการเสพเสวยโลก จนเหนือ่ ยออนแลว ก็ผิดหวงั เพราะไมไ ดส มปรารถนาบา ง เมือ่ หารสอรอ ยหวานชืน่ กต็ อ งเจอรสข่นื ขมดว ย บาง ทยี ่ิงไดส ุขมากความเจบ็ ปวดเศราแสบกลับยิ่งทวีล้ําหนา เสียคาตอบแทนในการไดความสุขไปแพงกวาไดม า ไม คมุ กันบาง ไดสมปรารถนาแลว แตไ มชื่นเทาทห่ี วัง หรอื ถงึ จดุ ท่ีต้งั เปา หมาย แลวความสขุ กลบั วง่ิ หนอี อกหนา ไป อกี ตามไมท นั อยูร ํา่ ไปบา ง
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 41 บางพวกก็จบชวี ติ ลงทั้งท่ีกําลังวิ่งหอบ ยังตามความสขุ แทไ มพบหรือยงั ไมพ อ สว นพวกทผ่ี ดิ หวงั แลว ก็ เลยหมดอาลัยปลอ ยชีวติ เรื่อยเปอ ยไปตามเรือ่ ง อยอู ยา งทอดถอนความหลงั บาง หนั ไปดําเนินชีวติ ในทางเอียง สุดอีกดานหนง่ึ โดยหลบหนีตจี ากชีวิตไปอยอู ยางทรมานตนเองบา ง การศกึ ษาเรอื่ งอายตนะนี้ มงุ เพ่ือใหเกิดความรเู ทาทนั สภาพความจรงิ และประพฤติปฏบิ ัติดว ยการวาง ทาทีท่ถี กู ตอ ง ไมใหเกิดเปน พิษเปน ภัยแกตนเองและผอู ่นื มากนกั อยางนอยกใ็ หม ีหลัก พอรทู างออกท่จี ะแกไข ตัว นอกจากจะระมัดระวังในการใชว ธิ กี ารทจี่ ะแสวงหาความสขุ เหลา นีแ้ ลว ยังเขา ใจขอบเขตและขน้ั ระดบั ตา งๆ ของมนั แลว รูจ ักหาความสขุ ในระดบั ที่ประณีตยิง่ ขึ้นไปดว ย เมอ่ื คนประพฤติปฏิบตั เิ กยี่ วกับสขุ ทุกขอยางถกู ตอง และกาวหนาไปในความสุขทีป่ ระณีตย่ิงข้ึน กเ็ ปน การพัฒนาจรยิ ธรรมไปดว ยในตัว ๓. ในแงก ารพัฒนาปญ ญา อายตนะในแงทเี่ ปน เร่อื งของกระบวนการรับรแู ละการแสวงปญ ญา กเ็ ก่ียว ขอ งกับจริยธรรมตัง้ แตจ ดุ เร่ิมตน เพราะถา ปฏบิ ตั ิตอนเริม่ แรกไมถ ูกตอง การรบั รูกจ็ ะไมบรสิ ุทธ์ิ แตจ ะกลายเปน กระบวนการรับรูท่ีรบั ใชก ระบวนการเสพเสวยโลก หรอื เปน สว นประกอบของกระบวนธรรมแบบสงั สารวฏั ไปเสยี ทาํ ใหไดความรทู ่ีบดิ เบอื น เอนเอียงเคลอื บแฝง มีอคติ ไมถกู ตองตามความจรงิ หรอื ตรงกบั สภาวะตามทมี่ ันเปน การปฏบิ ตั ิทางจรยิ ธรรมทจ่ี ะชวยเกอ้ื กูลในเร่อื งน้ี กค็ ือวิธีการที่จะรักษาจติ ใหดํารงอยูในอเุ บกขา คือ ความมีใจเปนกลาง มจี ิตราบเรยี บเทยี่ งตรง ไมเ อนเอียง ไมใ หถกู อํานาจกิเลสมีความชอบใจไมช อบใจเปนตน เขาครอบงาํ ๔. ในแงว ธิ ปี ฏบิ ัตทิ ั่วไป การปฏิบตั ทิ างจริยธรรมท่เี กยี่ วขอ งกับอายตนะโดยตรงบา ง โดยออ มบาง มี หลายอยา ง บางอยางกม็ ีไวเพอื่ ใชใ นข้นั ตอนตางๆ กัน ท้ังนสี้ ดุ แตว า ปญหามกั จะเกิดขึ้นทจ่ี ุดใด ทกุ ขแ ละบาป อกศุ ลมักไดชอ งเขา มาทีช่ ว งตอนใด อยา งไรกต็ าม ทา นมกั สอนย้าํ ใหใชว ิธีระวังหรือปองกัน ตั้งแตชว งแรกท่สี ดุ คือ ตอนท่อี ายตนะรับอารมณทีเดยี ว เพราะจะทําใหป ญ หาไมเกดิ ขน้ึ เลย จงึ เปนการปลอดภัยทสี่ ุด ในทางตรงขา ม ถา ปญ หาเกิดขน้ึ แลว คือบาปอกุศลธรรมไดชองเขา มาแลว มักจะแกไ ขยาก เชน เมื่อ ปลอยตวั ใหอารมณที่ลอเรา เยา ยวนปรุงแตง จิต จนราคะ หรือโลภะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นแลว ทัง้ ทีร่ ผู ิดชอบช่วั ดี มีความสาํ นกึ ในสิ่งชอบธรรมอยู แตกท็ นตอ ความเยา ยวนไมไ ด ลอุ ํานาจกิเลส ทําบาปอกุศลลงไป ดวยเหตุนที้ า นจึงยาํ้ วิธีระมดั ระวงั ปอ งกันใหปลอดภยั ไวก อ นตงั้ แตตน องคธ รรมสาํ คญั ทใี่ ชระวงั ปองกนั ต้ังแตต น กค็ ือ สติ ซ่งึ เปนตัวควบคุมจติ ไวใ หอ ยกู บั หลัก หรือพดู อกี นยั หนง่ึ เหมือนเชือกสาํ หรบั ดึงจิต สติ ทีใ่ ชในขนั้ ระมดั ระวงั ปองกัน เกย่ี วกบั การรับอารมณข องอายตนะแตเบ้ืองตน น้ี ใชใ นหลกั ทเี่ รยี กวา อินทรียสังวร (การสํารวมอนิ ทรยี = ใชอนิ ทรียอ ยา งมสี ตมิ ิใหเกิดโทษ) เรยี กอีกอยางหนง่ึ วา การคมุ ครองทวาร หมายถงึ การมสี ตพิ รอ มอยู เมื่อรบั รูอ ารมณดว ยอนิ ทรยี เชน ใชต าดู หูฟง กไ็ มปลอยใจเคลิบเคลิม้ ไปตามนมิ ิต
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 42 หมายตา งๆ ใหเกดิ ความติดใคร- ขนุ เคือง ชอบใจ-ไมช อบใจ แลวถูกโมหะและอกศุ ลอนื่ ๆ ครอบงําจติ ใจ (ใหไ ด แตป ญ ญาและประโยชน) การปฏิบัติตามหลักน้ี ชว ยไดท ง้ั 1. ปองกันความชั่วเสยี หาย 2. ปอ งกันความทกุ ข และ 3. ปองกนั การสรางความรคู วามคิดท่ีบิดเบือนเอนเอยี ง อยา งไรกต็ าม การทจ่ี ะปฏบิ ัติใหไดผ ล มใิ ชว าจะนําหลกั มาใชเ มื่อไรกไ็ ดต ามปรารถนา เพราะสตจิ ะตัง้ มน่ั เตรยี มพรอมอยเู สมอได จําตองมีการฝก ฝนอบรม อินทรยี สงั วรจงึ ตองมกี ารซอมหรอื ใชอยเู สมอ การฝก อบรมอนิ ทรยี มชี ื่อเรียกวา อนิ ทรียภาวนา (แปลตามแบบวา การเจริญอินทรีย หรอื พัฒนา อินทรยี ) ผูท ่ฝี กอบรมหรือเจรญิ อนิ ทรียแ ลว ยอมปลอดภยั จากบาปอกุศลธรรม จากความทกุ ข และจากความรทู ่ี เอนเอยี งบิดเบอื นทงั้ หลาย เพราะปองกนั ไวไดก อนที่ส่ิงเหลาน้นั จะเกิดข้นึ นอกจากไมถ ูกอินทรียและส่ิงทรี่ บั รู เขามาลอ หลอกและครอบงาํ แลว ยงั เปน นายของอนิ ทรยี สามารถบงั คบั ความรูสึกในการรับรูใหเปนไปในทางท่ี ดีท่เี ปน คุณ อินทรยี สังวร นี้ จัดวาเปนหลักธรรมในข้นั ศลี แตอ งคธ รรมสําคัญที่เปน แกนคือสตนิ ้ัน อยูในจําพวก สมาธิ ทําใหม กี ารใชกําลังจติ และการควบคมุ จิตอยเู สมอ จงึ เปนการฝก อบรมสมาธไิ ปดว ยในตวั โยนิโสมนสิการ ซ่ึงเปน วิธกี ารทางปญญา เปน ธรรมอกี อยา งหนึง่ ท่ีทา นใหใ ชในเรื่องนี้คูก บั สติ คือ ปฏบิ ตั ติ ออารมณท ีร่ บั รู โดยมองหรือพจิ ารณาในทางทจี่ ะใหไดค วามรู เห็นความจริง หรอื เห็นแงท ่ีจะเกดิ คุณ ประโยชน เชน พจิ ารณาใหรูเทาทันคุณโทษ ขอดีขอเสียของอารมณน ั้น พรอมทัง้ การท่จี ะมคี วามเปนอสิ ระ อยูดี มสี ุขได โดยไมตอ งพงึ่ พาอาศยั อารมณน ัน้ ในแงทีจ่ ะตอ งยอมใหค ณุ และโทษของมันเปนตัวกําหนดความสุข ความทุกขแ ละชะตาชวี ติ ขอ ปฏิบัติทกี่ ลา วถงึ เหลาน้ี มีแนวปรากฏอยูในพุทธพจนข างตน บา งแลว และบางหลักกจ็ ะอธบิ ายตอ ไป ขา งหนา อีก จึงพูดไวโ ดยยอเพยี งเทานี้. ชวี ติ เปนอยา งไร ? ไตรลกั ษณ ลักษณะโดยธรรมชาติ ๓ อยา งของสงิ่ ทง้ั ปวง ตวั กฎหรือตวั สภาวะ ตามหลักพุทธธรรมเบอ้ื งตนที่วา สิง่ ทง้ั หลายเกิดจากสวนประกอบตางๆ มาประชุมกนั เขา หรือมีอยูใน รปู ของการรวมตวั เขา ดวยกนั ของสว นประกอบตางๆ น้ัน มิใชห มายความวา เปน การนาํ เอาสวนประกอบที่เปน ชนิ้ ๆ อนั ๆ อยูแ ลว มาประกอบเขาดว ยกัน และเม่อื ประกอบเขา ดวยกนั แลว กเ็ กดิ เปน รปู เปนรางคมุ กนั อยู เหมือนเมอ่ื เอาวตั ถตุ างๆ มารวมกันเปน เครื่องอุปกรณต างๆ ความจริง ท่ีกลา ววา ส่ิงท้งั หลายเกดิ จากการประชุมกันของสวนประกอบตางๆ น้นั เปน เพยี งคํากลาว เพ่ือเขาใจงา ยๆ ในเบื้องตนเทา น้ัน แทจ ริงแลว ส่งิ ท้ังหลายมีอยูในรูปของกระแส สวนประกอบแตล ะอยางๆ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 43 ลว นประกอบขน้ึ จากสวนประกอบอืน่ ๆ ยอ ยลงไป แตล ะอยางไมม ีตัวตนของตัวเองเปนอสิ ระ และเกดิ ดับตอ กนั ไปเสมอ ไมเทยี่ ง ไมค งที่ กระแสนไี้ หลเวยี นหรือดําเนินตอไป อยางทดี่ คู ลา ยกบั รักษารูปแนวและลักษณะทวั่ ไป ไวไดอยา งคอยเปนไป กเ็ พราะสวนประกอบทัง้ หลายมคี วามเกย่ี วเนือ่ งสมั พันธอาศยั ซึ่งกันและกัน เปนเหตุ ปจจยั สืบตอแกก ันอยา งหนึ่ง และเพราะสว นประกอบเหลาน้ันแตละอยา งลวนไมมตี ัวตนของมันเอง และไม เท่ยี งแทคงท่อี ยางหนง่ึ ความเปนไปตา งๆ ท้งั หมดนเ้ี ปน ไปตามธรรมชาติ อาศยั ความสมั พันธและความเปนปจ จัยเนอื่ งอาศัย กนั ของสิ่งทงั้ หลายเอง ไมมีตวั การอยางอืน่ ทน่ี อกเหนือออกไปในฐานะผสู รางหรือผบู นั ดาล จงึ เรียกเพือ่ เขา ใจ งา ยๆ วา เปน กฎธรรมชาติ มหี ลักธรรมใหญอ ยู ๒ หมวด ทีถ่ ือไดวา พระพทุ ธเจาทรงแสดงในรปู ของกฎธรรมชาติ คอื ไตรลกั ษณ และ ปฏจิ จสมปุ บาท ความจรงิ ธรรมท้ัง ๒ หมวดน้ี ถอื ไดว าเปน กฎเดียวกัน แตแสดงในคนละแงหรอื คนละแนว เพือ่ มองเหน็ ความจริงอยางเดียวกนั คอื ไตรลกั ษณ มุงแสดงลักษณะของส่ิงทัง้ หลายซงึ่ ปรากฏใหเห็นวาเปน อยา งนน้ั ในเม่อื ส่งิ เหลาน้นั เปนไป โดยอาการท่ีสมั พันธเน่อื งอาศัยเปนเหตปุ จจยั สบื ตอ แกก นั ตามหลกั ปฏิจจสมปุ บาท สว นหลักปฏิจจสมปุ บาท กม็ ุงแสดงถึงอาการท่สี ่งิ ทง้ั หลายมีความสมั พนั ธเน่อื งอาศัยเปนเหตปุ จจยั สบื ตอ แกกนั เปนกระแส จนปรากฏลักษณะใหเหน็ วาเปน ไตรลักษณ กฎธรรมชาตนิ ้ี เปน ธรรมธาตุ คือภาวะทท่ี รงตวั อยูโดยธรรมดา เปน ธรรมฐิติ คอื ภาวะทต่ี ้งั อยู หรอื ยืน ตวั เปน หลกั แนนอนอยูโดยธรรมดา เปน ธรรมนยิ าม คือกฎธรรมชาติ หรอื กําหนดแหงธรรมดา ไมเกยี่ วกับผู สรางผูบ นั ดาล หรือการเกดิ ข้ึนของศาสดาหรือศาสนาใดๆ กฎธรรมชาตนิ แ้ี สดงฐานะของศาสดาในความหมายของพทุ ธธรรมดวย วาเปน ผูคน พบกฎเหลานี้แลว นาํ มาเปด เผยชแี้ จงแกช าวโลกพทุ ธพจนแสดงหลกั ไตรลักษณ วา ดังน้ี ตถาคต (พระพทุ ธเจา ) ท้ังหลาย จะอบุ ัตหิ รือไมกต็ าม ธาตุ (หลัก) น้นั กย็ ังคงมีอยู เปนธรรมฐิติ เปน ธรรมนิยามวา ๑. สังขารท้งั ปวง ไมเทย่ี ง.............. ๒. สงั ขารทง้ั ปวง เปนทกุ ข............. ๓. ธรรมท้ังปวง เปน อนตั ตา.............. ตถาคตตรัสรู เขา ถงึ หลักนนั้ แลว จงึ บอก แสดง วางเปนแบบ ตง้ั เปน หลกั เปดเผย แจกแจง ทาํ ใหเขา ใจ งา ยวา “สังขารทงั้ ปวง ไมเทย่ี ง...สงั ขารทง้ั ปวง เปน ทุกข...ธรรมท้ังปวง เปนอนตั ตา...” ไตรลักษณนี้ ในอรรถกถาบางทีเรียกวา “สามัญลักษณะ” ในฐานะเปน ลกั ษณะรวม ทม่ี เี สมอกนั แก สังขารท้ังปวง (แตไ มเสมอกนั แกธ รรมทั้งปวง)
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 44 ยอ ดังนี้ เพือ่ ความเขา ใจงายๆ ใหค วามหมายของไตรลักษณ (the Three Characteristics of Existence) โดย ๑. อนจิ จตา (Impermanence) ความไมเ ทีย่ ง ความไมค งที่ ความไมค งตัว ภาวะท่ีเกิดข้ึนแลว เสื่อมและสลายไป ๒. ทกุ ขตา (Conflict) ความเปน ทกุ ข ภาวะที่ถูกบบี คนั้ ดว ยการเกดิ ขึ้นและสลายไป ภาวะท่ีกดดัน ฝน และขัดแยงอยใู นตวั เพราะปจจัยท่ีปรุงแตง ใหมีสภาพเปน อยางนน้ั เปล่ยี นแปลงไป จะทําใหค งอยูใ นสภาพ น้ันไมไ ด ภาวะทไี่ มส มบูรณม ีความบกพรองอยูในตวั ไมใหค วามสมอยากแทจรงิ หรอื ความพงึ พอใจเตม็ ที่ แกผู อยากดวยตณั หา และกอ ใหเ กดิ ทกุ ขแ กผ ูเขา ไปอยากไปยดึ ดวยตณั หา อปุ าทาน ๓. อนัตตตา (Soullessness หรือ Non-Self) ความเปนอนัตตา ความไมใชตวั ตน ความไมม ตี วั ตน แทจรงิ ทีจ่ ะส่ังบังคับใหเปนอยางไรๆ ได ส่ิงทงั้ หลายหากจะกลา ววามี ก็ตองวา มอี ยใู นรูปของกระแสทีป่ ระกอบดวยปจจัยตา งๆ อนั สมั พนั ธเ นอ่ื ง อาศัยกนั เกดิ ดบั สบื ตอกนั ไปอยูต ลอดเวลาไมข าดสาย จึงเปนภาวะทไี่ มเทยี่ ง เมื่อตองเกดิ ดบั ไมค งท่ี และเปน ไปตามเหตปุ จ จยั ทอี่ าศัย กย็ อมมีความบีบค้ัน กดดนั ขดั แยง และแสดงถงึ ความบกพรองไมส มบรู ณอ ยใู นตัว และเมอื่ ทุกสวนเปน ไปในรูปกระแสทีเ่ กดิ ดบั อยตู ลอดเวลาขนึ้ ตอเหตปุ จ จัยเชน นี้ ก็ยอ มไมเ ปนตวั ของตวั มตี วั ตนแทจริงไมไ ด ไมอ ยใู นอํานาจของใครๆ ทจี่ ะสัง่ บงั คับใหเปน ไปอยา งไรๆ ตามใจปรารถนา ในกรณีของสตั วบ ุคคล ใหแ ยกวา สัตวบ ุคคลนนั้ ประกอบดว ยขันธ ๕ เทานนั้ ไมมีสง่ิ ใดอน่ื อีกนอกเหนือ จากขันธ ๕ เปนอนั ตดั ปญ หาเรอ่ื งทีจ่ ะมตี วั ตนเปนอิสระอยตู างหาก จากน้นั หนั มาแยกขนั ธ ๕ ออกพิจารณาแต ละอยางๆ กจ็ ะเหน็ วา ขนั ธท กุ ขนั ธไ มเ ทีย่ ง เม่ือไมเท่ียงก็เปน ทุกข เปนสภาพบีบค้นั กดดันแกผ เู ขา ไปยึด เมือ่ เปน ทกุ ข กไ็ มใชต ัวตน ท่ีวา ไมใ ชต วั ตน กเ็ พราะแตละอยา งๆ ลว นเกิดจากเหตุปจจัย ไมม ตี ัวตนของมัน อยางหนง่ึ เพราะไมอยู ในอํานาจ ไมเ ปน ของของสตั วบ คุ คลนนั้ แทจริง (ถาสตั วบ คุ คลนัน้ เปนเจาของขนั ธ ๕ แทจริง ก็ยอ มตอ งบงั คับ เอาเองใหเปน ไปตามความตอ งการได และไมใ หเ ปลีย่ นแปลงไปจากสภาพที่ตอ งการได เชน ไมใ หแ ก ไมใหเจ็บ ปว ย เปนตน ได) อยา งหนง่ึ พุทธพจนแสดงไตรลกั ษณในกรณขี องขันธ ๕ มีตวั อยางที่เดน ดงั นี้ ภกิ ษทุ ้งั หลาย รูป...เวทนา...สญั ญา...สังขาร...วญิ ญาณ เปน อนัตตา หากรปู ...เวทนา...สัญญา... สังขาร...วิญญาณ จักเปน อตั ตา (ตวั ตน) แลวไซร มันก็จะไมเ ปนไปเพ่อื อาพาธ ทงั้ ยังจะไดตามปรารถนา ในรปู ฯลฯ ในวิญญาณวา “ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสญั ญา...ขอสงั ขาร...ขอวิญญาณของเราจงเปนอยา งน้ีเถิด อยาไดเปนอยางนั้นเลย” แตเพราะเหตุทร่ี ูป ฯลฯ วญิ ญาณ เปนอนัตตา ฉะน้นั รปู ฯลฯ วิญญาณจึงเปน ไปเพื่อ อาพาธ และใครๆ ไมอาจไดต ามความปรารถนา ในรูป ฯลฯ วญิ ญาณวา “ขอรูป...ขอเวทนา...ขอสญั ญา...ขอ สงั ขาร... ขอวิญญาณของเราจงเปนอยางนเี้ ถดิ อยาไดเปนอยางน้นั เลย”
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 45 ภิกษทุ ัง้ หลาย เธอท้ังหลายมีความเห็นเปนไฉน? รูปเทีย่ ง หรือไมเ ทยี่ ง ฯ (ตรัสถามทลี ะอยาง จนถงึ วิญญาณ) “ไมเท่ยี ง พระเจา ขา” ก็สง่ิ ใดไมเ ทย่ี ง สง่ิ นนั้ เปนทกุ ข หรอื เปน สขุ ? “เปนทุกข พระเจา ขา ” กส็ ่งิ ใดไมเ ท่ียง เปน ทุกข มคี วามแปรปรวนเปน ธรรมดา ควรหรอื ท่ีจะเฝา เหน็ สิ่งน้ันวา น่นั ของเรา เรา เปนน่ัน นน่ั เปน ตวั ตนของเรา? “ไมควรเห็นอยางนั้น พระเจา ขา” ภกิ ษุท้งั หลาย เพราะเหตุนั้นแล รปู ...เวทนา...สญั ญา...สังขาร...วญิ ญาณ อยางใดอยางหน่งึ ทัง้ ท่เี ปน อดตี อนาคต และปจจุบัน ทง้ั ภายในและภายนอก หยาบหรอื ละเอียด เลวหรือประณตี ทง้ั ทไ่ี กลและที่ใกล ท้งั หมดนนั้ เธอทัง้ หลายพงึ เห็นดว ยปญญาอนั ถกู ตอ ง ตามที่มันเปน วา “น่นั ไมใ ชข องเรา เราไมใ ชน นั่ น่ันไมใชต ัว ตนของเรา” มปี ราชญฝา ยฮินดแู ละฝา ยตะวันตกหลายทา น พยายามแสดงเหตุผลวา พระพทุ ธเจาไมไ ดทรงปฏเิ สธ อัตตา หรือ อาตมนั ในชน้ั สงู สดุ ทรงปฏเิ สธแตเพยี งธรรมทเ่ี ปน ปรากฏการณต างๆ อยา งเชนในพระสตู รนี้ เปน ตน ทรงปฏิเสธขนั ธ ๕ ทุกอยางวา ไมใชอ ัตตา เปน การแสดงเพียงวา ไมใ หห ลงผิดยึดเอาขันธ ๕ เปนอตั ตา เพราะอตั ตาท่ีแทจรงิ ซึ่งมีอยนู ้ัน ไมใ ชขนั ธ ๕ และยกพทุ ธพจนอ่นื ๆ มาประกอบอีกมากมาย เพ่ือแสดงวา พระ พุทธเจาทรงปฏิเสธเฉพาะธรรมท่เี ปน ปรากฏการณตางๆวา ไมใชอัตตา แตทรงยอมรบั อตั ตาในขัน้ สงู สดุ และ พยายามอธิบายวา นพิ พานมีสภาวะอยางเดยี วกับอาตมนั หรือวา นิพพานนนั่ เอง คอื อตั ตา เร่อื งน้ี ถา มีโอกาสจะไดวจิ ารณในตอนทีเ่ กยี่ วกับนพิ พาน สวนในท่ีนีข้ อกลาวสัน้ ๆ เพยี งในแงจ รยิ ธรรม วา ปุถชุ น โดยเฉพาะผูทไ่ี ดรบั การศกึ ษาอบรมมาในระบบความเชอ่ื ถอื เกีย่ วกับเร่ืองอาตมนั ยอมมีความโนม เอียงในทางที่จะยึดถือหรอื ไขวควาไวใหม ีอตั ตาในรูปหน่ึงรปู ใดใหจงได เปน การสนองความปรารถนาทแี่ ฝงอยู ในจิตสว นลกึ ท่ีไมร ูต ัว เม่ือจะตอ งสญู เสยี ความรูส ึกวา มีตัวตนในรูปหนง่ึ (ในชน้ั ขันธ ๕) ไป กพ็ ยายามยึดหรอื คิดสรางเอาที่เกาะเกย่ี วอันใหมขน้ึ ไว แตต ามหลกั พุทธธรรมน้ัน มไิ ดม ุงใหปลอ ยอยางหนง่ึ เพือ่ ไปยึดอกี อยา ง หน่ึง หรอื พน อิสระจากทีห่ น่ึง เพ่อื ตกไปเปนทาสอกี ทีห่ น่ึง อีกประการหนงึ่ พูดฝากไวสั้นๆ ใหไปคดิ วา ส่งิ ที่มี อตั ตา ยอ มมไี มได และสง่ิ ทม่ี ีได ตองไมมีอตั ตา อาการท่ีสงิ่ ทงั้ หลายมอี ยูในรปู กระแส มคี วามสมั พนั ธเ นอ่ื งอาศยั เปนปจจัยสบื ตอกนั และมีลักษณะไม เท่ยี ง เปนทุกข เปนอนัตตา อยา งไร ยงั จะตอ งอธิบายดว ยหลักปฏิจจสมุปบาทตอ ไปอกี ความจึงจะชัดยิ่งขนึ้ คุณคา ทางจริยธรรม ๑. หลกั อนจิ จตา
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 46 อนิจจตา แสดงความไมเ ที่ยง ความเกดิ ขึน้ ต้ังอยู และดบั ไปของสิง่ ทง้ั หลาย จนถงึ สวนยอยที่ละเอียดท่ี สุด ทงั้ ฝายรูปธรรม และนามธรรม ความไมเ ท่ยี งของสว นยอยตา งๆ เมื่อปรากฏเปนผลรวมออกมาแกสว นใหญ ท่ีมนุษยพอสงั เกตเหน็ ได ก็เรยี กกนั วา ความเปลย่ี นแปลง ซ่ึงทาํ ใหเ กดิ ความเขา ใจหรอื รูสึกเหมอื นกับวาสิ่งตา งๆ เหลาน้นั มีตวั มีตนของมัน ซ่งึ เดมิ มสี ภาพเปน อยางหน่งึ และบัดนีต้ ัวตนอันนัน้ เองไดเ ปลีย่ นแปลงแปรรูปไปเปน อีกอยางหนงึ่ ความเขา ใจหรอื รูสึกเชน นี้ เปน ความหลงผิดอยางหน่ึง เปน เหตใุ หเกดิ ความยดึ มนั่ ถอื ม่ัน นาํ ตัวเขาไป ผูกไวกบั ภาพความนกึ คดิ อยา งหน่ึงซ่งึ ไมต รงกับความเปน จรงิ เม่ือดาํ รงชวี ติ อยอู ยางผูไมรเู ทาทนั สภาวะ ยอม ถกู ฉดุ ลากใหกระเสือกกระสนกระวนกระวายไปตามภาพทส่ี รา งข้นึ ลวงตนเองนนั้ เรียกวา อยอู ยา งเปนทาส แต ผรู เู ทา ทันสภาวะ ยอ มอยอู ยา งเปนอสิ ระ และสามารถถอื เอาประโยชนจ ากกฎธรรมดาเหลาน้ีได ในทางจรยิ ธรรม หลักอนจิ จตาอาจใชใหเ ปน ประโยชนไ ดเ ปน อันมาก โดยเฉพาะที่เปนหลักใหญ ๒ ประการ คือ ๑) มชี ีวิตซ่งึ เปนอยดู วยปญญา ท่ดี านนอกไมประมาท เรงขวนขวายทาํ การปรบั ปรุงแกไขดว ยความรทู ตี่ รง ตอ เหตปุ จ จัย ความเปน อนจิ จงั น้ัน วา ตามสภาวะของมนั ยอมเปน กลางๆ ไมด ไี มช ว่ั แตเมื่อเปนเรอ่ื งเกย่ี วขอ งกบั ความเปน อยขู องมนุษย กม็ ีบญั ญัตคิ วามเปล่ียนแปลงดา นหนึง่ วา เปนความเจริญ และความเปล่ยี นแปลงอีก ดานหนึ่งวาเปนความเสอ่ื ม อยา งไรก็ดี ความเปล่ียนแปลงจะเปนไปในดานใด อยา งไร ยอ มแลวแตเ หตุปจ จยั ที่ จะใหเ ปน ในทางจรยิ ธรรม จึงนําหลกั อนจิ จตามาสอนอนโุ ลมตามความเขา ใจในเรอื่ งความเส่ือมและความเจรญิ ไดว า สิ่งที่เจรญิ แลว ยอมเสือ่ มได สิ่งที่เส่ือมแลวยอ มเจริญได และสง่ิ ทีเ่ จรญิ แลวยอมเจรญิ ยงิ่ ขึน้ ไปได ทั้งน้แี ลว แตเ หตุปจจยั ตางๆ และในบรรดาเหตปุ จจยั ทั้งหลายนั้น มนษุ ยย อมเปนเหตปุ จจัยทส่ี าํ คัญ ซึ่งสามารถสงผลตอ เหตุปจ จยั อน่ื ๆ ไดอยา งมาก โดยนัยนี้ ความเจรญิ และความเสอ่ื มจึงมิใชเ รื่องท่ีจะเปนไปเองตามลมๆ แตเ ปนสิ่งท่ีมนุษยเขา ไปเกีย่ ว ขอ ง จัดการ และสรางสรรคไ ด อยา งทเี่ รยี กวา ตามยถากรรม คอื แลว แตม นษุ ยจ ะทาํ เหตุปจจัย โดยไมตอ งคอย ระแวงการแทรกแซงจากตัวการอยา งอน่ื นอกเหนือธรรมชาติ เพราะตวั การนอกเหนอื ธรรมชาตไิ มมี ดังนน้ั ในทางจรยิ ธรรม ความเปนอนจิ จัง หรอื แมจ ะเรยี กวาความเปลี่ยนแปลง จึงเปนกฎธรรมชาตทิ ที่ าํ ใหมนุษยม ีความหวัง เพราะกฎธรรมชาติยอ มเปน กลางๆ จะใหเ ปนอยางไรแลว แตจ ะทาํ เหตปุ จ จัยท่จี ะใหเปน อยา งนัน้ ขึ้น การเปลี่ยนแปลงเพ่อื ใหดขี ึน้ จงึ เปน สง่ิ ที่ทําได ไมวา จะเปน การสรางความเจรญิ ทางวัตถุ หรือทาง นามธรรม ต้งั แตก ารทาํ คนโงใ หเ ปน คนฉลาด จนถงึ ทาํ ปุถชุ นใหเปนพระอรหนั ต รวมทง้ั การแกไข กลับตัวปรบั ปรงุ ตนเองทกุ อยา ง สุดแตจ ะรูเขา ใจเหตปุ จ จยั ท่จี ะใหเปน อยางนน้ั แลวสรา งเหตปุ จ จยั นัน้ ๆ ขน้ึ
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 47 โดยสรุป ความเปน อนจิ จงั ในความเขาใจระดบั ท่เี รยี กวา เปน ความเปล่ยี นแปลง สอนวา สําหรับผูสราง ความเจริญหรือผเู จริญข้นึ แลว ตอ งตระหนกั วา ความเจรญิ นั้นอาจเปลย่ี นเปนเสอื่ มได เมอ่ื ไมต อ งการความ เสื่อม ก็ตอ งไมป ระมาท ตองหลีกเวน และกาํ จดั เหตุปจจยั ที่จะใหเกดิ ความเปลย่ี นแปลงในทางเส่ือม พยายาม สรางและเปด ชอ งใหแ กเ หตปุ จจยั ท่จี ะใหเ กดิ ความเปลย่ี นแปลงอยางที่จะรกั ษาความเจรญิ น้นั ไว สาํ หรบั ผู พลาดเส่ือมลงไปก็สามารถแกไ ขปรบั ปรงุ ได โดยละท้งิ เหตปุ จจัยทที่ ําใหเ ส่อื มนัน้ เสยี กลบั มาสรางเหตุปจจัยท่ี จะทาํ ใหเ จรญิ ตอ ไป ยง่ิ กวา นั้น ความเปลีย่ นแปลงทีเ่ ปน ไปในทางเจริญอยแู ลว กส็ ามารถสง เสรมิ ใหเ จรญิ ย่งิ ขน้ึ ได โดยเพมิ่ พูนเหตปุ จ จัยท่จี ะทาํ ใหเจรญิ ใหมากยิง่ ขึ้น พรอมกบั ที่ตอ งไมประมาทมัวหลงระเรงิ ในความเจรญิ นน้ั จนมองไมเห็นความเปน ไปไดข องความเส่อื ม และเหตุปจจัยตางๆ ที่จะใหเ กดิ ความเส่อื มนน้ั เสยี เลย กลา วมาถึงขั้นนี้ กม็ าถึงหลักธรรมสําคญั ทีส่ ดุ ที่เปนเครือ่ งประสานระหวางสจั ธรรมกับจริยธรรม คอื การทจี่ ะตอ งมปี ญญา ตง้ั ตนแตร ูวาความเส่ือมและความเจริญแทจรงิ ที่ตอ งการน้นั คอื อะไร เหตุปจจัยท่จี ะให เกิดความเปลย่ี นแปลงอยา งที่ตอ งการนน้ั คอื อะไร ตลอดจนขอ ท่ีวา จะเพ่มิ พนู ความสามารถของมนษุ ยในการ เขาไปผลักดนั เหตุปจ จัยตางๆ ไดอ ยา งไร หลกั อนจิ จตา จงึ มคี วามหมายอยา งยงิ่ ในทางจริยธรรม ตัง้ แตใ หค วามหวงั ในการสรางความเจรญิ กาว หนา รับรองหลักกรรม คือความมีผลแหง การกระทําของมนษุ ย จนถึงเนน ความสําคญั ของการศึกษาใหเกดิ ปญ ญาท่สี าํ หรบั จะเขามาเกยี่ วของกับความเปลย่ี นแปลงตางๆ อยางมผี ลดี ๒) มชี ีวติ ซ่ึงเปน อยูด ว ยปญญา ท่ีดา นในจิตใจอสิ ระ เปน สุขผองใสปลอยวางไดดว ยความรเู ทา ทันเหตุ ปจจยั ในดา นชวี ิตภายใน หรอื คณุ คา ทางจิตใจโดยตรง หลักอนิจจตา ชวยใหด ํารงชีวิตอยูอยางผูร เู ทา ทนั ความ จรงิ ขณะทีท่ างดา นชีวติ ภายนอก เมือ่ รตู ระหนกั ถึงความผนั ผวนปรวนแปรไมแ นนอน จึงไมน ่งิ นอนใจขวนขวาย ไมป ระมาท คอยใชป ญญาศึกษาใหร เู ทา ทันเหตปุ จจยั ทําการปรับปรุงแกไข หลีกเวน ความเสือ่ ม และสรา งสรรค ความเจริญอยตู ลอดเวลา โดยไมปลอยปละละเลย แตภายในจิตใจ ดว ยปญญาท่รี ูเทา ทันเหตปุ จจยั น้นั กป็ ลอ ย วางได ดํารงอยูดว ยจติ ใจท่เี ปนอสิ ระ ไมตกเปนทาสของความเปลีย่ นแปลงทั้งดา นเสื่อมและดา นเจรญิ รจู กั ทจี่ ะ ถอื เอาประโยชนจากกฎธรรมชาตแิ หง ความเปลี่ยนแปลงน้นั และเกี่ยวของกบั มนั โดยไมตองถูกกระแทกกระทั้น ซดั เหวย่ี งฉุดกระชากลากไปอยางไรห ลักเลือ่ นลอยและมดื มัว เพราะเอาตวั เขา ไปยดึ มั่นเกาะติดอยูกับเกลยี ว คลื่นสว นโนน สวนนี้ ในกระแสของมันอยา งไมร หู วั รหู น จนชว ยตนเองไมได ทจ่ี ะชวยคนอ่นื เปน อนั ไมตอ งพูดถึง ผูม ีจติ ใจเปน อสิ ระ รเู ขาใจส่งิ ทัง้ หลายตามความเปนจริง ไมย ดึ มน่ั ถอื มน่ั ดว ยตณั หาอปุ าทานเทา นน้ั จงึ จะรูวาอะไรเปน ความเสือ่ ม อะไรเปน ความเจรญิ ทีแ่ ทจริง มใิ ชเพียงความเจริญที่อางสําหรบั มาผูกรดั ตวั เองและ ผูอ่นื ใหเปน ทาสมากย่ิงขึ้น หรือถว งใหจมต่ําลงไปอีก และจงึ จะสามารถใชป ระโยชนจ ากความเจรญิ ทส่ี รางขึ้น นน้ั ไดมากทส่ี ุด พรอ มกับที่สามารถทําตนเปนท่ีพง่ึ แกค นอืน่ ไดอยา งดี ในทางจรยิ ธรรมข้ันตน หลกั อนจิ จตา สอนใหร ธู รรมดาของสิง่ ทั้งหลาย จึงชว ยไมใ หเกิดความทุกขเกนิ สมควรในเม่อื เกดิ ความเสอ่ื ม หรือความสูญเสีย และชว ยไมใ หเ กิดความประมาทหลงระเรงิ ในเวลาเจรญิ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 48 ในขัน้ สงู ทาํ ใหเขา ถึงความจรงิ โดยลําดับจนมองเห็นความเปนอนตั ตา ทําใหด าํ รงชวี ติ อยูดว ยจติ ทีเ่ ปน อสิ ระ ไมมคี วามยึดติดถือมนั่ ปราศจากทุกข อยางทเี่ รยี กวามสี ุขภาพจิตสมบรู ณแทจรงิ หลักอนจิ จตา มักมีผนู ิยมนาํ มาใชเปนเครือ่ งปลอบใจตนเอง หรอื ปลอบใจผอู น่ื ในเมอ่ื เกิดภยั พิบตั ิ ความทุกข ความสูญเสียตา งๆ ซึง่ ก็ไดผลชวยใหคลายทกุ ขล งไดมากบา งนอ ยบา ง การใชหลกั อนิจจตาในแงน้ี ยอ มเปน ประโยชนบ า ง เม่อื ใชใ นโอกาสที่เหมาะสม และโดยเฉพาะสําหรบั ใหส ติแกผ ไู มค ุน หรอื ไมเ คยสาํ นกึ ใน หลกั ความจรงิ น้มี ากอ น แตถา ถงึ กับนําเอาการปลอบใจตวั แบบนี้มาเปนหลกั ในการดํารงชวี ติ หรอื มชี วี ติ อยดู ว ย การปลอบใจตัวเองอยา งน้ี จะกลับเปนโทษมากกวา เพราะกลายเปนความประมาท เทา กับปลอ ยตวั ลงเปน ทาส ในกระแสโลก คอื ไมไดใชหลกั อนจิ จตาใหเปนประโยชนนนั่ เอง เปน การปฏิบตั ิผิดตอ หลกั กรรมในดานจริยธรรม ขดั ตอ การแกไ ขปรบั ปรงุ ตนเองเพ่ือเขาถึงจดุ หมายทพ่ี ุทธธรรมจะใหแ กช ีวิตได ๒. หลกั ทกุ ขตา ในหลกั ทุกขตา มีเกณฑส ําคัญสาํ หรบั กาํ หนดคุณคา ทางจริยธรรมอยู ๒ อยาง คือ ๑) ทุกขทเ่ี ปนธรรมดาของสังขาร ตองรูทนั ไมย ดึ ฉวยเอามาใสต วั ใหเ ปนทุกขข องเรา แตเปนภาระท่ตี อ ง จัดการดว ยปญญาท่ีรูเหตปุ จ จัย ในเม่ือสิง่ ทัง้ หลายเกิดจากการประชุมกันเขา ขององคประกอบตา งๆ ทเี่ ปน สวนยอยๆ ลงไป และองค ประกอบเหลาน้ัน แตล ะอยางลวนไมเ ทยี่ ง กาํ ลงั ตกอยูใ นอาการเกดิ ข้นึ แปรไป และสลายตวั ตามหลักอนจิ จตา อยูด วยกนั ท้ังส้นิ ส่งิ ที่เปน หนว ยรวมน้นั จงึ เทา กบั เปนท่ีรวมของความแปร ปรวนและความขัดแยงตา งๆ และ แฝงเอาภาวะทพี่ รอมจะแตกแยกและเสอื่ มสลายเขา ไวใ นตัวดวยอยางเต็มท่ี เมอ่ื เปน เชนน้ี การทจี่ ะควบคุมองคป ระกอบตางๆ ทกี่ ําลังเปลย่ี นแปลงอยูน้นั ใหค มุ รูปเปนหนว ยรวม ตามรูปแบบท่ีประสงคกด็ ี การทจี่ ะควบคมุ การเปล่ียนแปลงน้นั ใหดําเนนิ ไปในทศิ ทางทีต่ อ งการก็ดี จะตองใช พลงั งานและวธิ ีการจดั ระเบียบเขามารวมเปน องคประกอบชว ยเปนเหตปุ จจยั เพ่ิมข้นึ อีกดว ย ยง่ิ องคประกอบ สวนยอ ยๆ ตางๆ น้นั มมี ากและสลับซับซอนยงิ่ ข้นึ เทา ใด กต็ อ งใชพลังงานมากข้ึนและมีการจดั ระเบียบท่ี ละเอียดรดั กุมยิ่งขึน้ เทานนั้ การปฏบิ ัตติ อ สงิ่ ท้งั หลาย เพือ่ ใหเปนอยา งนั้นอยา งน้ี จะตองทาํ ท่ตี วั เหตุปจ จัยของมนั และรชู ดั ถงึ ความสาํ เรจ็ ผล หรือความผิดพลาดพรอมท้ังทางแกไ ขตอไปตามความพรอ มของเหตปุ จ จยั เหลานั้น นค้ี ือวธิ ี ปฏบิ ตั ติ อ สิง่ ทั้งหลายอยางอสิ ระไมผูกมดั ตวั และไมเปนเหตุใหเ กดิ ความทุกข สว นวิธที ่ตี รงขา มจากนี้ ก็คือการกระทําตามความยึดอยากดว ยตณั หาอปุ าทาน โดยนาํ เอาตวั เขา ไปผกู มัดใหส ิ่งเหลานัน้ บบี คน้ั ซ่ึงนอกจากจะทําใหเกิดความทุกขแกตนเองแลว กไ็ มช วยใหเกิดผลดอี ยา งใดๆ ขึน้ มา ๒) หลกั อริยสจั บอกหนาทก่ี าํ กับไววา ทุกขส ําหรบั ปญญารทู ันและทาํ ใหไมเ กิดไมม ี แตส ุขทค่ี นมงุ หมาย ตอ งทาํ ใหกลายเปน ชีวติ ของเราตามหลกั “กิจในอริยสจั ” หนา ท่ีทจ่ี ะตอ งปฏบิ ตั ติ อ ทกุ ข ไดแ ก ปริญญา คอื การ
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 49 กําหนดรู หรือทําความเขาใจ หมายความวา เร่ืองทุกขน ี้บุคคลมหี นาท่ีเก่ียวขอ งเพียงแคก ําหนดรูหรือทาํ ความ เขาใจเทา น้ัน การปฏบิ ตั ิตอ ทุกขโดยถูกตองตามหลักกิจในอริยสจั นี้ เปนเรอ่ื งสาํ คญั อยา งยงิ่ แตเ ปน เรื่องทม่ี ักถูกมอง ขามไป พุทธธรรมสอนใหป ฏบิ ัติตอทกุ ขด วยการศกึ ษาใหร วู า อะไรเปน อะไร ใหรจู ักทกุ ข คือใหร จู ักปญ หาของ ตน มใิ ชเพ่อื ใหเ ปนทุกข แตเ พอื่ ปฏบิ ัติตอ มนั ไดถ กู ตอง แลว จะไดไ มม ีทกุ ข หรือพดู อยางงา ยๆ วา เพ่ือจะไดมี ความสุขทีแ่ ทจริงนั่นเอง พูดอกี นัยหนึง่ ก็คอื หลกั กจิ ในอรยิ สจั สอนวา สิง่ ใดกต็ ามทีเ่ ปน ปญหาหรอื อาจจะเปน ปญ หาขึ้นแกต น มนุษยจะตองศกึ ษาสิ่งน้นั ใหรใู หเขาใจอยา งชดั เจนท่สี ดุ เพ่อื จะไดจ ัดการแกไขปองกนั ปญ หานัน้ ใหถกู จดุ การ ศึกษาปญ หามิไดหมายความวา เปน การสรา งปญหาหรอื หาปญ หามาใสต น แตเ ปน วธิ ีทจี่ ะทําใหป ญ หาหมดไป หรือไมม ี เหมอื นแพทยจ ะบาํ บัดโรครักษาคนไข ก็ตอ งรูจกั ชวี ิตรางกายและวินิจฉยั โรคใหถกู ตลอดจนรูเ ขาใจให ถึงขน้ั ท่ีจะปอ งกนั ไมใหเ กดิ เปน โรคขึ้นมา ทกุ ขน น้ั เม่ือเรารูทนั และปฏบิ ัตหิ รอื จดั การกับมันอยางถูกตอง กท็ าํ ใหม นั ไมมแี ละไมเ กิดขึ้นมา แตถารู ไมทันและปฏิบตั ไิ มถ กู กไ็ ดแตห นที กุ ขทเ่ี อามาใสไ วใ นตวั หรือสรา งใหแกต วั อยูเ รื่อยไป และหนไี มพน สักที ในทางตรงขาม ความสุขท่มี นษุ ยม ุง หมาย ถาปฏบิ ัตใิ หถ ูกตอ งตามหลกั กิจในอริยสัจ เราจะไมตอ งมวั แสวงหา แตกลายเปน วาเรามคี วามสุข คือไมเปน คนท่ตี องหาความสุข แตเ ปน คนมคี วามสขุ เพราะความสขุ กลายเปนชวี ติ ของเรา หรือเปนคณุ สมบัติอยางหน่งึ ในตัวของเรา ผทู ีไ่ มร หู ลักกิจในอรยิ สจั อาจปฏบิ ตั ติ อทกุ ขอ ยา งผดิ พลาด ขาดจุดหมาย เขวออกไปนอกทาง และอาจ กลายเปนการเพมิ่ ทุกขแกตนดว ยการมองโลกในแงร ายไปกไ็ ด เมอื่ ทราบหลักเกณฑใหญๆ ๒ ขอ นี้แลว จงึ ควร กําหนดคุณคา ตา งๆ ในทางจรยิ ธรรมของหลกั ทุกขตา ดงั ตอ ไปน้ี ๑) การท่ีสิง่ ท้งั หลายถูกบบี ค้นั ดวยการเกิดข้ึน การเจรญิ และการสลายตวั ทําใหเกดิ ความกดดนั ขัดแยง และการทจ่ี ะทนอยใู นสภาพเดมิ ตลอดไปไมได ภาวะเชนนแี้ สดงวา สงิ่ ทงั้ หลายมีความบกพรอ ง มคี วาม ไมส มบูรณอยใู นตัว ความบกพรอ งหรือความไมส มบูรณนี้ ยิ่งมีมากข้นึ โดยสมั พันธก ับกาลเวลาท่ีผานไป และ ความเปลย่ี นแปลงทีเ่ กดิ ขนึ้ ท้ังภายในและภายนอก เมือ่ เปนเชน น้ี ส่งิ ท้งั หลายท่ีจะรักษาสภาพของตนไวห รือ ขยายตวั เขาสคู วามสมบูรณ จึงตอ งตอสูด น้ิ รนอยูต ลอดเวลา การดาํ รงสภาพชีวิตทีด่ ีไว การนาํ ชีวิตเขา สคู วาม เจรญิ และความสมบรู ณ จงึ ตอ งมกี ารแกไ ขปรับปรุงตวั อยูตลอดเวลา ๒) เมื่อความขดั แยง ด้นิ รนตอ สู เกดิ ขนึ้ จากเหตุปจ จัยทใี่ หเกิดความเปล่ียนแปลง จะเปนเหตุ ปจจยั ภายในหรอื ภายนอกกต็ าม การฝน แบบทื่อๆ ยอมใหผ ลรา ยมากกวา ผลดี ไมว าจะในกรณขี องสิ่งตางๆ บคุ คล หรือสถาบัน เชน ในเร่อื งของวฒั นธรรมเปน ตน ดงั นน้ั การรจู ักปรับตวั และปรับปรงุ จงึ เปนเร่อื งสําคญั และขอ น้ี ยอ มเปนการยาํ้ ความจาํ เปน ของปญญา ในฐานะหลักจริยธรรมสําหรบั รูเ ทาทนั และจดั การทุกสง่ิ ทุก อยา งใหต รงตวั เหตปุ จจยั
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 50 ๓) ความสุข และสงิ่ ทีใ่ หความสขุ อยางทีเ่ ขา ใจกนั ในโลก ก็ตกอยูใ นหลักความจริงขอนี้ดวย ความ สุขเหลานี้ ยอ มมีความไมสมบรู ณอ ยใู นตัว ในแงทว่ี า จะตองแปรปรวนไปจากสภาพที่เปน ความสุข หรือจาก สภาพท่จี ะหาความสขุ นน้ั ได อยา งหน่ึง และดงั น้นั จงึ เปนส่งิ ท่ไี มอ าจใหความพงึ พอใจไดโ ดยสมบูรณอยา งหนง่ึ ผทู ี่ฝากความหวังในความสุขไวกบั ส่งิ เหลานีอ้ ยา งขาดสติ ยอ มเทา กับทาํ ตวั ใหเปน อันหนง่ึ อนั เดียวกบั ความไมส มบูรณของสงิ่ เหลา น้นั หรอื ทิ้งตัวลงไปอยูในกระแสความแปรปรวนของมัน แลว ถกู ฉดุ ลาก กดดนั และ บบี คั้นเอาอยางควบคุมตัวเองไมได สดุ แตส่ิงเหลานัน้ จะแปรปรวนไปอยางไร ความหวงั ในความสขุ มากเทาใด เมื่อความแปรปรวนหรอื ผิดหวงั เกิดข้นึ ความทุกขก็รุนแรงมากขน้ึ ตามอัตรา เปน การหาความสุขชนดิ ขายตัวลง เปน ทาส หรอื เอาคาของชีวติ เปนเดมิ พนั ผหู าความสุขท่ฉี ลาด เมอ่ื ยังยนิ ดที ี่จะหาความสุขจากสงิ่ เหลานอ้ี ยู จงึ ตอ งมีชวี ิตอยูอยางรูเ ทา ทนั ความ จรงิ แสวงหาและเสวยความสขุ อยา งมีสติสมั ปชญั ญะ โดยประการทีว่ า ความแปรปรวนของมันจะกอโทษให เกิดพษิ ภยั หรอื เกิดความกระทบกระเทือนนอยทส่ี ุด พูดอีกอยา งหนง่ึ วา ถึงจะเปน อยา งไรกใ็ หร ักษาอสิ รภาพ ของจติ ใจไวใ หด ีท่สี ดุ ๔) ความสุขแยกโดยคณุ คา มี ๒ ประเภท คอื ความสขุ ในการไดสนองความตอ งการทางประสาท ท้งั หา และสนองความคดิ อยากตางๆ อยางหนึ่ง ความสขุ ในภาวะจติ ทป่ี ลอดโปรง ผองใส เอบิ อม่ิ สดชื่น เบกิ บานเปนอสิ ระ ปราศจากสิ่งของขดั กีดก้นั จํากดั ความนึกคิด เชน ความวติ กกงั วล ความรสู กึ คบั แคบ และกเิ ลส ตา งๆ ทีพ่ วั พันจติ ใจ อยางหนง่ึ ความสุขประเภทแรก เปนความสุขทตี่ อ งหา และเปนแบบทข่ี ้นึ ตอปจจัยภายนอก คือ วตั ถแุ ละอารมณ สําหรบั สนองความตองการตางๆ ลกั ษณะอาการของจติ ในสภาพทีเ่ ก่ยี วขอ งกับความสุขประเภทน้ี คือ การแส หาดน้ิ รนกระวนกระวายเปนอาการนําหนา อยางหน่งึ และความรูสึกท่ยี ึดตดิ คบั แคบ หวงแหน ผูกพันเฉพาะตวั อยางหน่งึ อาการเหลา นีม้ ีความสําคญั มากในทางจริยธรรม เพราะเปนอาการของความยึดอยาก หรอื ความเหน็ แกต ัว และในเมอ่ื ไมจ ัดการควบคุมใหดี ยอ มเปน ท่มี าแหงปญ หาตา งๆ การท่ีตองอาศยั อารมณอยางอ่นื ตองขึ้นตอปจ จัยภายนอกเชน น้ี ยอ มเปนธรรมดาอยูเ องท่ีความสุข ประเภทน้ี จะตอ งทําใหตัวบคุ คลตกเปน ทาสของปจจยั ภายนอก ในรปู ใดรูปหนงึ่ ไมม ากก็นอย และความแปร ปรวนของปจ จัยภายนอกนนั้ ยอ มทําใหเ กิดความกระทบกระเทือนแกบ คุ คลนนั้ ดวย ความสุขประเภทน้ี ทาง ธรรมเรียกวา สามสิ สขุ เปน สขุ เนื่องดวยหาสง่ิ สําหรบั มาเตมิ ความรูสกึ บางอยางท่ีขาดไป หรือพรอ งอยูค ือตอ ง อาศัย หรือตองข้ึนตออามสิ สว นความสุขประเภทหลงั เปน ความสขุ ทมี่ ีขนึ้ ไดเ อง สรา งข้ึนได เปน อสิ ระของตวั ไมขน้ึ ตอ สง่ิ อน่ื ไม ตอ งพึง่ พา ไมต อ งอาศยั ส่งิ หรืออารมณภายนอกมาสนอง เปนภาวะของจิตใจภายในที่เรยี กไดวา เปนตวั ของตวั เอง ไมม ีส่งิ รบกวน หรอื ขุนระคาย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235