(14) ๑๙๐ ๑๙๖ ๒๑๓. การบัญญตั ิความสุขในพระพุทธศาสนา ๑๙๖ ๒๑๔. กายเดอื ดรอ้ น อย่าให้จิตเดือดร้อน ๑๙๗ ๒๑๕. พระอานนทต์ รสั รูธ้ รรมเพราะฟงั ธรรมของใคร ๑๙๘ ๒๑๖. คว่ำ� หน้ากนิ แหงนหนา้ กิน เป็นตน้ ๒๐๐ วิชาดูที่ ดดู าวฤกษ์ การชักส่อื ดูลกั ษณะรา่ งกาย ๒๐๐ ๒๑๗. พระพุทธเจ้าทรงปวารณาพระองค์ ๒๐๑ ๒๑๘. ยงั ยดึ ถือ จะชื่อว่าไม่มีโทษไม่ม ี ๒๐๒ ๒๑๙. ตรัสแนะน�ำใหส้ งั คายนาพระธรรมวินัย ๒๐๒ ๒๒๐. การทำ� ตนให้ช่มุ ด้วยความสขุ ๒๐๓ ๒๒๑. พราหมณเ์ กดิ จากปากพรหมแนห่ รอื ๒๐๔ ๒๒๒. วรรณะ ๔ มที ้ังทีท่ �ำชว่ั ทำ� ดี ๒๐๕ ๒๒๓. ตรัสเล่าเร่ืองพระเจา้ ปเสนทิโกศลปฏิบตั ิต่อพระองค ์ ๒๐๖ ๒๒๔. เรือ่ งของพราหมณ์ผู้กระดา้ งเพราะถอื ตวั ๒๒๕. อยา่ โกรธเมอื่ ใครติเตียนพระพุทธเจ้า ๒๑๕ ๒๒๖. อยา่ ดใี จตืน่ เต้นเมื่อใครชมเชยพระพุทธเจา้ ๒๑๖ ๒๑๘ ภาค ๔ ความยอ่ แหง่ พระไตรปิฎก ๒๑๙ วินัยปฎิ ก ๒๑๙ ๒๑๙ เลม่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑ ข ยายความ ๑. เวรัญชกณั ฑ์ (พระสารบิ ุตรกราบทลู ใหท้ รงบญั ญัติสิกขาบท) ๒. ปฐมปาราชกิ กณั ฑ์ (ว่าด้วยปาราชกิ สิกขาบทที่ ๑) หา้ มภกิ ษุเสพเมถุน อนุบัญญตั ิ (ข้อบัญญตั ิเพมิ่ เตมิ ) วนิ ตี วตั ถุ (เร่อื งที่ทรงวนิ จิ ฉัยชขี้ าด) ๓. ทุติยปาราชิกกัณฑ์ (วา่ ดว้ ยปาราชิกสกิ ขาบทท่ี ๒) ห้ามถือเอาสิ่งของทเ่ี จา้ ของไม่ให้ตั้งแต่ราคา ๕ มาสกขน้ึ ไป PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 14 5/4/18 2:19 PM
อนุบญั ญตั ิ (ขอ้ บญั ญัติเพม่ิ เตมิ ) (15) สารบาญ วินีตวตั ถุ (เรอ่ื งท่ีทรงวนิ ิจฉัยชขี้ าด) ๔. ตติยปาราชกิ กัณฑ์ (ว่าดว้ ยปาราชกิ สิกขาบทที่ ๓) ๒๒๑ หา้ มมิใหฆ้ า่ มนษุ ย์ ๒๒๒ อนุบัญญัติ (ขอ้ บญั ญตั ิเพมิ่ เติม) วนิ ีตวัตถุ (เรอื่ งที่ทรงวินจิ ฉยั ชี้ขาด) ๒๒๒ ๕. จตุตถปาราชกิ กัณฑ์ (ว่าด้วยปาราชกิ สกิ ขาบทที่ ๔) ๒๒๓ หา้ มภิกษอุ วดคุณวเิ ศษท่ีไมม่ ีในตน ๒๒๓ มหาโจร ๕ ประเภท อนบุ ัญญตั ิ (ข้อบญั ญัติเพิม่ เติม) ๒๒๓ วนิ ีตวัตถุ (เร่ืองทท่ี รงวินิจฉยั ชีข้ าด) ๒๒๔ ๖. เตรสกัณฑ์ (ว่าด้วยอาบตั ิสังฆาทเิ สส ๑๓ สกิ ขาบท) ๒๒๕ สกิ ขาบทท่ี ๑ ห้ามทำ� นำ้� อสจุ ใิ ห้เคลอื่ น ๒๒๕ อนบุ ญั ญัติ (ข้อบัญญัติเพิ่มเตมิ ) ๒๒๖ วนิ ตี วัตถุ (เร่ืองทที่ รงวนิ จิ ฉัยชี้ขาด) ๒๒๖ สิกขาบทที่ ๒ หา้ มจบั ตอ้ งกายหญิง ๒๒๖ สิกขาบทที่ ๓ หา้ มพูดเกีย้ วหญงิ ๒๒๖ สิกขาบทท่ี ๔ หา้ มพูดลอ่ หญงิ ใหบ้ �ำเรอตนด้วยกาม ๒๒๗ สิกขาบทที่ ๕ ห้ามชักส่ือ ๒๒๗ สิกขาบทท่ี ๖ ห้ามสรา้ งกุฎดี ้วยการขอ ๒๒๘ สกิ ขาบทท่ี ๗ หา้ มสร้างวิหารใหญโ่ ดยสงฆ์มไิ ด้ก�ำหนดที่ ๒๒๘ สิกขาบทท่ี ๘ หา้ มโจทอาบัตปิ าราชิกไม่มมี ลู ๒๒๙ สิกขาบทที่ ๙ ห้ามอา้ งเลสโจทอาบตั ิ ๒๓๐ สกิ ขาบทที่ ๑๐ หา้ มทำ� สงฆ์ให้แตกกัน ๒๓๑ สกิ ขาบทที่ ๑๑ ห้ามเปน็ พรรคพวกของผู้ท�ำสงฆ์ใหแ้ ตกกนั ๒๓๑ สกิ ขาบทท่ี ๑๒ ห้ามเป็นคนวา่ ยากสอนยาก ๒๓๒ สกิ ขาบทท่ี ๑๓ ห้ามประทุษร้ายสกุล คือประจบคฤหัสถ ์ ๒๓๓ ๒๓๓ ๒๓๔ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 15 5/4/18 2:19 PM
(16) ๗. อนิยตกณั ฑ์ (วา่ ดว้ ยอาบัติอนั ไม่แนว่ ่า จะควรปรับในขอ้ ไหน ๒ สิกขาบท) ๒๓๔ สกิ ขาบทที่ ๑ วธิ ีปรับอาบตั ิเพราะนัง่ ในท่ลี บั ตากับหญงิ สองต่อสอง ๒๓๔ สิกขาบทที่ ๒ วธิ ปี รับอาบัตเิ พราะนง่ั ในทีล่ ับหกู ับหญิงสองต่อสอง ๒๓๕ เลม่ ๒ มหาวิภังค์ ภาค ๒ ๒๓๖ ข ยายความ ๑. นสิ สัคคิยกัณฑ์ (วา่ ด้วยอาบัติปาจติ ตีย์ ๓๐ สิกขาบทท่ีตอ้ งสละสง่ิ ของ) ๒๓๖ (๑) จวี รวรรค วรรควา่ ด้วยจีวร มี ๑๐ สิกขาบท คอื ๒๓๖ สิกขาบทท่ี ๑ หา้ มเกบ็ จวี รทีเ่ กนิ จ�ำเป็นไว้เกนิ ๑๐ วนั ๒๓๖ สกิ ขาบทที่ ๒ หา้ มอยปู่ ราศจากไตรจีวรแมค้ ืนหนง่ึ ๒๓๗ สิกขาบทท่ี ๓ หา้ มเกบ็ ผา้ ทจี่ ะทำ� จีวรไว้เกนิ ก�ำหนด ๒๓๗ สิกขาบทที่ ๔ หา้ มใช้นางภกิ ษุณีซักผ้า ๒๓๗ สกิ ขาบทที่ ๕ หา้ มรับจวี รจากมือของนางภิกษุณี ๒๓๘ สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามขอจีวรต่อคฤหัสถท์ ่มี ใิ ช่ญาติ ๒๓๘ สิกขาบทท่ี ๗ ห้ามรบั จวี รเกินกำ� หนด เมื่อจีวรถูกชงิ หรือหายไป ๒๓๘ สกิ ขาบทท่ี ๘ หา้ มพูดให้เขาซื้อจีวรทีด่ ี ๆ กวา่ ที่เขากำ� หนดไวเ้ ดิมถวาย ๒๓๘ สกิ ขาบทท่ี ๙ ห้ามไปพูดให้เขารวมกันซอื้ จีวรทีด่ ี ๆ ถวาย ๒๓๙ สิกขาบทท่ี ๑๐ ห้ามทวงจวี รเอาแกค่ นที่รับฝากผอู้ ืน่ เพ่ือซือ้ จีวรถวายเกินกวา่ ๓ ครัง้ ๒๓๙ (๒) โกสยิ วรรค วรรคว่าด้วยไหม มี ๑๐ สกิ ขาบท คอื ๒๓๙ สกิ ขาบทที่ ๑ หา้ มหลอ่ เคร่อื งปูน่งั เจือดว้ ยไหม ๒๓๙ สกิ ขาบทท่ี ๒ หา้ มหล่อเครือ่ งปูน่ังดว้ ยขนเจยี มดำ� ลว้ น ๒๔๐ สกิ ขาบทที่ ๓ หา้ มใชข้ นเจยี มดำ� เกนิ ๒ สว่ นใน ๔ สว่ น เมอ่ื หลอ่ เครอื่ งปนู งั่ ๒๔๐ สกิ ขาบทที่ ๔ หา้ มหล่อเครื่องปูน่ังใหม่ เมอื่ ยังใชข้ องเก่าไม่ถึง ๖ ป ี ๒๔๐ สิกขาบทที่ ๕ ใหต้ ัดของเก่าปนลงในของใหม ่ ๒๔๐ สิกขาบทท่ี ๖ ห้ามน�ำขนเจยี มไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน ์ ๒๔๐ สกิ ขาบทท่ี ๗ ห้ามใช้นางภิกษณุ ีทไ่ี ม่ใชญ่ าตทิ ำ� ความสะอาดขนเจยี ม ๒๔๐ สกิ ขาบทที่ ๘ ห้ามรบั ทองเงนิ ๒๔๑ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 16 5/4/18 2:19 PM
(17) สกิ ขาบทท่ี ๙ หา้ มทำ� การซ้ือขายดว้ ยรปู ิยะ ๒๔๑ สารบาญ สิกขาบทท่ี ๑๐ หา้ มซอื้ ขายโดยใช้ของแลก ๒๔๑ (๓) ปัตตวรรค วรรควา่ ดว้ ยบาตร มี ๑๐ สิกขาบท คือ ๒๔๑ สิกขาบทที่ ๑ ห้ามเกบ็ บาตรเกิน ๑ ลกู ไว้เกนิ ๑๐ วนั ๒๔๑ สิกขาบทที่ ๒ หา้ มขอบาตรเมอ่ื บาตรเป็นแผลไมเ่ กิน ๕ แห่ง ๒๔๒ สกิ ขาบทท่ี ๓ หา้ มเก็บเภสชั ๕ ไวเ้ กนิ ๗ วนั ๒๔๒ สกิ ขาบทที่ ๔ หา้ มแสวงและท�ำผ้าอาบนำ้� ฝนเกนิ ก�ำหนด ๒๔๒ สิกขาบทที่ ๕ ให้จวี รภกิ ษอุ น่ื แลว้ ห้ามชิงคืนในภายหลงั ๒๔๒ สิกขาบทท่ี ๖ ห้ามขอดา้ ยเอามาทอเป็นจีวร ๒๔๒ สกิ ขาบทที่ ๗ หา้ มไปกำ� หนดให้ช่างหกู ทอใหด้ ีขนึ้ ๒๔๓ สกิ ขาบทท่ี ๘ ห้ามเกบ็ ผา้ จำ� นำ� พรรษาไว้เกินก�ำหนด ๒๔๓ สกิ ขาบทท่ี ๙ หา้ มภิกษุอย่ปู ่าเกบ็ จวี รไว้ในบา้ นเกิน ๖ คืน ๒๔๓ สิกขาบทที่ ๑๐ หา้ มนอ้ มลาภสงฆม์ าเพื่อตน ๒๔๓ ๒. ปาจติ ตยิ กัณฑ์ (วา่ ด้วยอาบัติปาจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท ท่ไี ม่ตอ้ งสละส่งิ ของ) ๒๔๔ (๑) มุสาวาทวรรค วรรคว่าดว้ ยการพูดปด มี ๑๐ สกิ ขาบท คอื ๒๔๔ สกิ ขาบทที่ ๑ หา้ มพูดปด ๒๔๔ สิกขาบทท่ี ๒ ห้ามด่า ๒๔๔ สกิ ขาบทท่ี ๓ หา้ มพดู ส่อเสยี ด ๒๔๔ สิกขาบทท่ี ๔ หา้ มกล่าวธรรมพรอ้ มกับผไู้ ม่ไดบ้ วชในขณะสอน ๒๔๔ สกิ ขาบทที่ ๕ หา้ มนอนร่วมกับอนปุ สัมบันเกนิ ๓ คืน ๒๔๕ สกิ ขาบทที่ ๖ หา้ มนอนรว่ มกับผหู้ ญงิ ๒๔๕ สิกขาบทท่ี ๗ หา้ มแสดงธรรมสองต่อสองกับผหู้ ญิง ๒๔๕ สิกขาบทท่ี ๘ หา้ มบอกคณุ วเิ ศษทม่ี จี ริงแก่ผูม้ ิได้บวช ๒๔๕ สิกขาบทท่ี ๙ ห้ามบอกอาบัตชิ ่วั หยาบของภกิ ษุ แก่ผูม้ ิได้บวช ๒๔๕ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ ห้ามขุดดนิ หรือใชใ้ ห้ขดุ ๒๔๖ (๒) ภูตคามวรรค วรรควา่ ด้วยพืชพันธุไ์ ม้ มี ๑๐ สกิ ขาบท คอื ๒๔๖ สิกขาบทท่ี ๑ ห้ามท�ำลายตน้ ไม ้ ๒๔๖ สิกขาบทที่ ๒ ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน ๒๔๖ สิกขาบทท่ี ๓ หา้ มติเตยี นภกิ ษุผทู้ ำ� การสงฆโ์ ดยชอบ ๒๔๖ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 17 5/4/18 2:19 PM
(18) สิกขาบทที่ ๔ ห้ามท้ิงเตยี งต่ังของสงฆไ์ ว้กลางแจ้ง ๒๔๖ สกิ ขาบทที่ ๕ หา้ มปลอ่ ยทน่ี อนไว้ ไมเ่ กบ็ ง�ำ ๒๔๗ สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามนอนแทรกภกิ ษผุ ู้เข้าไปอยู่ก่อน ๒๔๗ สกิ ขาบทท่ี ๗ หา้ มฉดุ คร่าภิกษุออกจากวหิ ารของสงฆ ์ ๒๔๗ สกิ ขาบทท่ี ๘ ห้ามนัง่ นอนทับเตียงหรอื ตั่งทีอ่ ยูช่ ั้นบน ๒๔๗ สิกขาบทที่ ๙ หา้ มพอกหลงั คาวหิ ารเกิน ๓ ช้นั ๒๔๘ สิกขาบทที่ ๑๐ ห้ามเอานำ้� มตี วั สัตว์รดหญ้าหรอื ดิน ๒๔๘ (๓) โอวาทวรรค วรรควา่ ด้วยการใหโ้ อวาท มี ๑๐ สกิ ขาบท คอื ๒๔๘ สกิ ขาบทที่ ๑ หา้ มสอนนางภิกษณุ เี ม่ือมิได้รบั มอบหมาย ๒๔๘ สิกขาบทท่ี ๒ ห้ามสอนนางภิกษุณตี งั้ แตอ่ าทิตย์ตกแลว้ ๒๔๘ สิกขาบทที่ ๓ หา้ มไปสอนนางภิกษุณีถึงท่ีอยู ่ ๒๔๘ สกิ ขาบทท่ี ๔ หา้ มติเตยี นภกิ ษอุ ื่นวา่ สอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแกล่ าภ ๒๔๙ สิกขาบทที่ ๕ หา้ มใหจ้ ีวรแกน่ างภกิ ษณุ ีผมู้ ิใชญ่ าต ิ ๒๔๙ สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามเยบ็ จวี รใหน้ างภกิ ษณุ ผี ้มู ใิ ช่ญาต ิ ๒๔๙ สิกขาบทท่ี ๗ ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี ๒๔๙ สิกขาบทท่ี ๘ ห้ามชวนนางภิกษุณเี ดนิ ทางเรอื ร่วมกัน ๒๔๙ สิกขาบทท่ี ๙ ห้ามฉันอาหารทน่ี างภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย ๒๔๙ สกิ ขาบทที่ ๑๐ ห้ามน่ังในที่ลับสองตอ่ สองกับนางภกิ ษุณี ๒๕๐ (๔) โภชนวรรค วรรควา่ ดว้ ยการฉันอาหาร มี ๑๐ สิกขาบท คือ ๒๕๐ สิกขาบทที่ ๑ หา้ มฉนั อาหารในโรงพกั เดินทางเกิน ๑ มื้อ ๒๕๐ สกิ ขาบทที่ ๒ หา้ มฉนั อาหารรวมกลมุ่ ๒๕๐ สิกขาบทที่ ๓ ห้ามรับนิมนตแ์ ล้วไปฉันอาหารที่อื่น ๒๕๐ สิกขาบทท่ี ๔ ห้ามรบั บณิ ฑบาตเกิน ๓ บาตร ๒๕๑ สกิ ขาบทท่ี ๕ ห้ามฉนั อีกเม่อื ฉันในท่ีนิมนต์เสรจ็ แล้ว ๒๕๑ สิกขาบทท่ี ๖ หา้ มพดู ให้ภกิ ษุท่ีฉันแลว้ ฉนั อีกเพื่อจับผิด ๒๕๑ สิกขาบทที่ ๗ ห้ามฉันอาหารในเวลาวกิ าล ๒๕๑ สิกขาบทท่ี ๘ หา้ มฉนั อาหารท่ีเก็บไวค้ ้างคนื ๒๕๑ สกิ ขาบทท่ี ๙ ห้ามขออาหารประณีตมาเพ่อื ฉนั เอง ๒๕๑ สิกขาบทที่ ๑๐ หา้ มฉนั อาหารทม่ี ไิ ด้รับประเคน ๒๕๒ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 18 5/4/18 2:19 PM
(19) (๕) อเจลกวรรค วรรคว่าด้วยชีเปลือย มี ๑๐ สิกขาบท คอื ๒๕๒ สารบาญ สิกขาบทท่ี ๑ ห้ามยืน่ อาหารดว้ ยมือใหช้ เี ปลือยและนกั บวชอ่ืน ๆ ๒๕๒ สกิ ขาบทท่ี ๒ หา้ มชวนภิกษไุ ปบิณฑบาตดว้ ยแลว้ ไล่กลับ ๒๕๒ สกิ ขาบทที่ ๓ ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลทีม่ ีคน ๒ คน ๒๕๒ สกิ ขาบทที่ ๔ หา้ มนง่ั ในทลี่ บั มที กี่ ำ� บังกับมาตุคาม ๒๕๓ สกิ ขาบทท่ี ๕ ห้ามนัง่ ในที่ลับ (หู) สองตอ่ สองกบั มาตคุ าม ๒๕๓ สิกขาบทที่ ๖ หา้ มรบั นมิ นต์แลว้ ไปทอ่ี ่ืนไม่บอกลา ๒๕๓ สิกขาบทที่ ๗ หา้ มขอของเกนิ กำ� หนดเวลาท่เี ขาอนุญาตไว้ ๒๕๓ สกิ ขาบทที่ ๘ ห้ามไปดกู องทัพที่ยกไป ๒๕๓ สกิ ขาบทท่ี ๙ หา้ มพักอยูใ่ นกองทัพเกิน ๓ คืน ๒๕๔ สิกขาบทที่ ๑๐ ห้ามดูเขารบกัน เป็นต้น เม่อื ไปในกองทพั ๒๕๔ (๖) สรุ าปานวรรค วรรคว่าดว้ ยการดืม่ สุรา มี ๑๐ สิกขาบท คอื ๒๕๔ สิกขาบทที่ ๑ หา้ มดมื่ สรุ าเมรยั ๒๕๔ สกิ ขาบทท่ี ๒ ห้ามจภ้ี ิกษุ ๒๕๔ สิกขาบทท่ี ๓ ห้ามวา่ ยน�้ำเลน่ ๒๕๔ สิกขาบทที่ ๔ ห้ามแสดงความไมเ่ อ้อื เฟอ้ื ในวินยั ๒๕๔ สกิ ขาบทท่ี ๕ ห้ามหลอกภกิ ษใุ ห้กลัว ๒๕๕ สกิ ขาบทท่ี ๖ ห้ามติดไฟเพ่อื ผิง ๒๕๕ สิกขาบทที่ ๗ ห้ามอาบน้ำ� บ่อย ๆ เว้นแต่มเี หตุ ๒๕๕ สกิ ขาบทที่ ๘ ให้ท�ำเคร่อื งหมายเคร่ืองนุง่ ห่ม ๒๕๕ สกิ ขาบทที่ ๙ วิกัปจวี รไวแ้ ล้ว จะใช้ ตอ้ งถอนก่อน ๒๕๕ สิกขาบทท่ี ๑๐ หา้ มเลน่ ซอ่ นบริขารของภิกษุอ่ืน ๒๕๖ (๗) สัปปาณกวรรค วรรคว่าดว้ ยสตั วม์ ชี ีวิต มี ๑๐ สิกขาบท คอื ๒๕๖ สกิ ขาบทท่ี ๑ ห้ามฆา่ สตั ว์ ๒๕๖ สิกขาบทท่ี ๒ ห้ามใช้น้ำ� มีตวั สัตว์ ๒๕๖ สิกขาบทที่ ๓ ห้ามรื้อฟืน้ อธกิ รณท์ ี่ช�ำระเปน็ ธรรมแลว้ ๒๕๖ สกิ ขาบทที่ ๔ หา้ มปกปิดอาบตั ิชว่ั หยาบของภิกษุอ่นื ๒๕๖ สกิ ขาบทที่ ๕ ห้ามบวชบคุ คลอายุไม่ถงึ ๒๐ ๒๕๖ สิกขาบทที่ ๖ ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนภี าษีเดินทางรว่ มกัน ๒๕๗ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 19 5/4/18 2:19 PM
(20) สิกขาบทท่ี ๗ หา้ มชวนผ้หู ญิงเดินทางร่วมกนั ๒๕๗ สิกขาบทท่ี ๘ ห้ามกลา่ วตพู่ ระธรรมวินัย ๒๕๗ สกิ ขาบทที่ ๙ ห้ามคบภกิ ษผุ ู้กลา่ วตพู่ ระธรรมวินัย ๒๕๗ สิกขาบทที่ ๑๐ ห้ามคบสามเณรผกู้ ล่าวตูพ่ ระธรรมวนิ ยั ๒๕๗ (๘) สหธัมมิกวรรค วรรคว่าด้วยการวา่ กลา่ วถกู ตอ้ งตามธรรม - ๒๕๘ มี ๑๒ สกิ ขาบท คอื ๒๕๘ สกิ ขาบทท่ี ๑ ห้ามพูดไถลเมอ่ื ทำ� ผดิ แล้ว ๒๕๘ สิกขาบทที่ ๒ หา้ มกลา่ วตเิ ตยี นสกิ ขาบท ๒๕๘ สิกขาบทที่ ๓ หา้ มพูดแก้ตวั วา่ เพิ่งร้วู ่ามีในปาฏิโมกข ์ ๒๕๘ สกิ ขาบทท่ี ๔ หา้ มทำ� ร้ายรา่ งกายภกิ ษุ ๒๕๘ สิกขาบทท่ี ๕ หา้ มเงือ้ มือจะท�ำร้ายภิกษ ุ ๒๕๘ สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามโจทภกิ ษดุ ว้ ยอาบัตสิ งั ฆาทิเสสไมม่ มี ูล ๒๕๘ สิกขาบทท่ี ๗ ห้ามก่อความรำ� คาญแก่ภกิ ษอุ ่ืน ๒๕๙ สิกขาบทที่ ๘ หา้ มแอบฟังความของภิกษผุ ู้ทะเลาะกนั ๒๕๙ สกิ ขาบทที่ ๙ ใหฉ้ ันทะแล้วห้ามพูดติเตียน ๒๕๙ สกิ ขาบทที่ ๑๐ ขณะกำ� ลังประชุมสงฆ์ ห้ามลกุ ไปโดยไมใ่ ห้ฉนั ทะ ๒๕๙ สกิ ขาบทที่ ๑๑ รว่ มกบั สงฆใ์ ห้จวี รแกภ่ กิ ษุแลว้ ห้ามตเิ ตยี นภายหลัง ๒๕๙ สิกขาบทที่ ๑๒ หา้ มน้อมลาภสงฆ์มาเพ่อื บคุ คล ๒๖๐ (๙) รตนวรรค วรรคว่าดว้ ยนางแกว้ (พระราชเทว)ี มี ๑๐ สิกขาบท คอื ๒๖๐ สกิ ขาบทที่ ๑ หา้ มเข้าไปในต�ำหนกั ของพระราชา ๒๖๐ สิกขาบทที่ ๒ หา้ มเก็บของมีค่าทีต่ กอย ู่ ๒๖๐ สิกขาบทที่ ๓ จะเข้าบา้ นในเวลาวกิ าล ตอ้ งบอกลาภกิ ษกุ ่อน ๒๖๐ สิกขาบทที่ ๔ ห้ามทำ� กล่องเข็มด้วยกระดกู งา เขาสัตว์ ๒๖๑ สกิ ขาบทท่ี ๕ หา้ มทำ� เตยี งตั่งมเี ท้าสูงกว่าประมาณ ๒๖๑ สกิ ขาบทที่ ๖ หา้ มให้ทำ� เตียงตง่ั หมุ้ ด้วยนุ่น ๒๖๑ สกิ ขาบทท่ี ๗ หา้ มทำ� ผ้าปนู งั่ มีขนาดเกนิ ประมาณ ๒๖๑ สกิ ขาบทท่ี ๘ ห้ามทำ� ผา้ ปิดฝมี ีขนาดเกินประมาณ ๒๖๑ สกิ ขาบทที่ ๙ ห้ามท�ำผา้ อาบน�้ำฝนมขี นาดเกนิ ประมาณ ๒๖๒ สิกขาบทที่ ๑๐ ห้ามทำ� จีวรมีขนาดเกินประมาณ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 20 5/4/18 2:19 PM
(21) ๓. ปาฏเิ ทสนยี กณั ฑ์ (วา่ ดว้ ยอาบตั ปิ าฏเิ ทสนยี ะ คอื อาบตั ทิ พี่ งึ แสดงคนื มี ๔ สกิ ขาบท) ๒๖๒ สารบาญ สิกขาบทท่ี ๑ หา้ มรบั ของเคีย้ วของฉันจากมือนางภิกษุณมี าฉนั ๒๖๒ สกิ ขาบทท่ี ๒ ให้ไลน่ างภิกษุณที ีม่ ายุง่ ให้เขาถวายอาหาร ๒๖๒ สกิ ขาบทที่ ๓ หา้ มรับอาหารในสกุลทส่ี งฆส์ มมติว่าเปน็ เสขะ ๒๖๒ สิกขาบทที่ ๔ ห้ามรบั อาหารทเี่ ขาไม่ไดจ้ ัดไว้ก่อนเมื่ออยู่ป่า ๒๖๓ ๔. เสขิยกัณฑ์ (ว่าดว้ ยวตั รและจรรยามารยาททภ่ี ิกษุจะต้องศกึ ษา) ๒๖๓ (๑) สารูป (หมวดวา่ ดว้ ยความเหมาะสมแก่สมณเพศ) มี ๒๖ สกิ ขาบท ๒๖๓ (๒) โภชนปฏสิ ังยตุ (หมวดวา่ ดว้ ยการฉันอาหาร) มี ๓๐ สิกขาบท ๒๖๕ (๓) ธัมมเทสนาปฏสิ งั ยุต (หมวดวา่ ดว้ ยการแสดงธรรม) มี ๑๖ สิกขาบท ๒๖๖ (๔) ปกณิ ณกะ (หมวดเบ็ดเตลด็ ) มี ๓ สิกขาบท ๒๖๗ ๕. ธรรมสำ� หรบั ระงบั อธกิ รณ์ ๗ อย่าง ๒๖๗ เลม่ ๓ ภกิ ขนุ วี ิภังค์ ๒๖๘ ขยายความ ๒๖๙ ๑. ปาราชิกกณั ฑ์ (วา่ ด้วยอาบตั ปิ าราชิก ๘ สกิ ขาบท) ๒๖๙ สกิ ขาบทที่ ๑ ห้ามก�ำหนดั ยินดีการจบั ตอ้ งของบุรุษ ๒๖๙ สกิ ขาบทที่ ๒ ห้ามปกปดิ อาบัตปิ าราชิกของนางภกิ ษณุ ีอื่น ๒๗๐ สิกขาบทที่ ๓ หา้ มเขา้ พวกภกิ ษทุ ่ีสงฆ์ขบั จากหม ู่ ๒๗๐ สิกขาบทท่ี ๔ หา้ มเกีย่ วขอ้ งนดั หมาย เป็นต้น กับบุรุษ ๒๗๐ สิกขาบทท่ี ๕-๘ อนโุ ลมตามสกิ ขาบทของพระภิกษุ ๒๗๐ ๒. สัตตรสกณั ฑ์ (วา่ ด้วยอาบัติสังฆาทเิ สส ๑๗ สิกขาบท) ๒๗๐ สิกขาบทที่ ๑ ห้ามกอ่ คดีในโรงศาลกับคฤหสั ถ์และนกั บวช ๒๗๑ สกิ ขาบทท่ี ๒ หา้ มให้บวชแกห่ ญิงทเ่ี ป็นโจร ๒๗๑ สิกขาบทท่ี ๓ ห้ามเขา้ บา้ น ข้ามน�้ำ คา้ งคนื แต่ผู้เดียว ๒๗๑ สิกขาบทท่ี ๔ หา้ มสวดเปลื้องโทษโดยไมบ่ อกสงฆ์ทส่ี วดลงโทษ ๒๗๒ สกิ ขาบทที่ ๕ ห้ามรับของเค้ียวของฉนั จากมือของบรุ ษุ ๒๗๒ สกิ ขาบทท่ี ๖ ห้ามพดู จูงใจให้นางภกิ ษุณปี ระพฤติย่อหยอ่ น ๒๗๒ สกิ ขาบทที่ ๗ ห้ามพดู ดหู มิ่นภกิ ษุณีสงฆ์เม่ือโกรธเคอื ง ๒๗๒ สิกขาบทท่ี ๘ ห้ามพดู ติเตยี นเมื่อถกู ลงโทษโดยธรรม PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 21 5/4/18 2:19 PM
(22) สิกขาบทท่ี ๙ หา้ มรวมกลมุ่ กนั ประพฤติเสื่อมเสีย ๒๗๒ สิกขาบทที่ ๑๐ ห้ามพูดยยุ งนางภิกษณุ ผี ปู้ ระพฤติผดิ ๒๗๓ (อกี ๗ สิกขาบทให้ใช้สกิ ขาบทของพระภิกษ)ุ ๒๗๓ ๓. นิสสัคคยิ กัณฑ์ (ว่าดว้ ยอาบตั ินสิ สัคคยิ ปาจติ ตีย์ ๓๐ สิกขาบท - ที่ต้องสละสิง่ ของ) ๒๗๓ (๑) ปัตตวรรค วรรคว่าดว้ ยบาตร มี ๑๐ สิกขาบท ๒๗๓ สิกขาบทท่ี ๑ ห้ามสะสมบาตร ๒๗๓ สกิ ขาบทท่ี ๒ หา้ มอธษิ ฐานจีวรนอกกาลและแจกจ่าย ๒๗๓ สิกขาบทที่ ๓ หา้ มชงิ จวี รคนื เม่อื แลกเปลี่ยนกันแลว้ ๒๗๔ สกิ ขาบทท่ี ๔ หา้ มขอของอยา่ งหนึ่งแลว้ ขออย่างอน่ื อีก ๒๗๔ สิกขาบทท่ี ๕ หา้ มสั่งซือ้ ของกลับกลอก ๒๗๔ สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามจ่ายของผิดวัตถุประสงคเ์ ดมิ ๒๗๔ สิกขาบทที่ ๗ ห้ามขอของมาจา่ ยแลกของอืน่ ๒๗๔ สกิ ขาบทที่ ๘ ห้ามจ่ายของของคณะแลกของอ่ืน ๒๗๕ สกิ ขาบทท่ี ๙ หา้ มขอของของคณะมาจา่ ยแลกของอื่น ๒๗๕ สกิ ขาบทที่ ๑๐ หา้ มขอของบุคคลมาจา่ ยแลกของอ่นื ๒๗๕ (๒) จีวรวรรค วรรคว่าดว้ ยจวี ร มี ๒ สกิ ขาบท ๒๗๕ สิกขาบทท่ี ๑ หา้ มขอผ้าหม่ หนาวเกินราคา ๑๖ กหาปณะ ๒๗๕ สิกขาบทท่ี ๒ หา้ มขอผ้าห่มฤดูร้อน ราคาเกิน ๑๐ กหาปณะ ๒๗๕ (อกี ๑๘ สิกขาบทใหใ้ ชส้ กิ ขาบทของพระภกิ ษุ) ๒๗๖ ๔. ปาจิตติยกัณฑ์ ว่าด้วยอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ๑๖๖ สิกขาบท ท่ไี มต่ ้องสละส่ิงของ ๒๗๖ (๑) ลสุณวรรค วรรคว่าด้วยกระเทียม มี ๑๐ สิกขาบท ๒๗๖ สิกขาบทที่ ๑ หา้ มฉันกระเทยี ม ๒๗๖ สิกขาบทที่ ๒ หา้ มนำ� ขนในทีแ่ คบออก ๒๗๖ สกิ ขาบทที่ ๓ หา้ มใช้ฝ่ามือตบกันดว้ ยความก�ำหนดั ๒๗๗ สกิ ขาบทท่ี ๔ หา้ มใชส้ ่ิงท่ที �ำด้วยยางไม้ ๒๗๗ สิกขาบทท่ี ๕ ห้ามชำ� ระลกึ เกนิ ๒ ขอ้ น้ิว ๒๗๗ สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามเข้าไปยนื ถือน�้ำและพัดในขณะท่ภี ิกษกุ ำ� ลังฉัน ๒๗๗ สกิ ขาบทที่ ๗ ห้ามท�ำการหลายอย่างกบั ขา้ วเปลอื กดบิ ๒๗๗ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 22 5/4/18 2:19 PM
(23) สกิ ขาบทท่ี ๘ หา้ มท้งิ ของนอกฝานอกก�ำแพง ๒๗๘ สารบาญ สิกขาบทที่ ๙ ห้ามทงิ้ ของเชน่ น้นั ลงบนของเขียวสด ๒๗๘ สิกขาบทท่ี ๑๐ หา้ มไปดฟู อ้ นร�ำขบั รอ้ ง ๒๗๘ (๒) อนั ธการวรรค วรรคว่าด้วยเวลากลางคนื มี ๑๐ สกิ ขาบท ๒๗๘ สกิ ขาบทที่ ๑ หา้ มยนื หรือสนทนาสองต่อสองกบั บุรุษในที่มดื ๒๗๘ สิกขาบทท่ี ๒ หา้ มยืนหรอื สนทนาสองตอ่ สองกับบรุ ษุ ในทล่ี บั ๒๗๘ สกิ ขาบทท่ี ๓ ห้ามยืนหรือสนทนาสองตอ่ สองกับบุรุษในท่แี จง้ ๒๗๘ สกิ ขาบทที่ ๔ ห้ามทำ� เชน่ นั้นในท่อี ่ืนอีก ๒๗๘ สิกขาบทท่ี ๕ หา้ มเขา้ บา้ นผ้อู ื่นแลว้ เวลากลับไมบ่ อกลา ๒๗๙ สกิ ขาบทท่ี ๖ ห้ามนง่ั นอนบนอาสนะโดยไมบ่ อกเจ้าของบา้ นก่อน ๒๗๙ สกิ ขาบทท่ี ๗ หา้ มปลู าดท่ีนอนในบา้ นโดยไม่บอกเจ้าของบา้ น ๒๗๙ สกิ ขาบทที่ ๘ ห้ามตเิ ตียนผอู้ นื่ ไมต่ รงกับท่ฟี ังมา ๒๗๙ สกิ ขาบทที่ ๙ ห้ามสาปแชง่ ด้วยเรอื่ งนรกหรือพรหมจรรย ์ ๒๘๐ สิกขาบทที่ ๑๐ หา้ มทำ� ร้ายตวั เองแลว้ รอ้ งไห ้ ๒๘๐ (๓) นคั ควรรค วรรควา่ ด้วยเรอื่ งเปลือยกาย มี ๑๐ สิกขาบท ๒๘๐ สิกขาบทท่ี ๑ ห้ามเปลอื ยกายอาบนำ้� ๒๘๐ สิกขาบทท่ี ๒ หา้ มท�ำผา้ อาบน�้ำยาวใหญเ่ กนิ ประมาณ ๒๘๐ สิกขาบทท่ี ๓ ห้ามพดู แล้วไมท่ �ำ ๒๘๐ สิกขาบทท่ี ๔ หา้ มเว้นการใช้ผา้ ซ้อนนอกเกิน ๕ วนั ๒๘๑ สกิ ขาบทที่ ๕ หา้ มใชจ้ วี รสับกับของผอู้ น่ื ๒๘๑ สกิ ขาบทท่ี ๖ ห้ามท�ำอันตรายลาภจีวรของสงฆ์ ๒๘๑ สิกขาบทที่ ๗ ห้ามยบั ยั้งการแบง่ จวี รอนั เป็นธรรม ๒๘๑ สกิ ขาบทที่ ๘ หา้ มใหส้ มณจวี รแก่คฤหสั ถ์หรอื นักบวช ๒๘๒ สกิ ขาบทที่ ๙ ห้ามทำ� ใหก้ จิ การชะงักดว้ ยความหวงั ลอย ๆ ๒๘๒ สกิ ขาบทที่ ๑๐ หา้ มคดั คา้ นการเพิกถอนกฐนิ ทถ่ี กู ธรรม ๒๘๒ (๔) ตุวัฏฏวรรค วรรควา่ ดว้ ยการนอนรว่ มกนั มี ๑๐ สิกขาบท ๒๘๒ สกิ ขาบทท่ี ๑ หา้ มนอนบนเตยี งเดยี วกันสองรูป ๒๘๒ สิกขาบทท่ี ๒ หา้ มใช้เครอ่ื งปลู าดและผ้าหม่ ร่วมกันสองรปู ๒๘๓ สกิ ขาบทที่ ๓ ห้ามแกล้งก่อความร�ำคาญแก่นางภกิ ษุณ ี ๒๘๓ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 23 5/4/18 2:19 PM
(24) ๒๘๓ ๒๘๓ สกิ ขาบทที่ ๔ หา้ มเพิกเฉยเมอื่ ศิษยไ์ มส่ บาย ๒๘๓ สิกขาบทที่ ๕ ห้ามฉดุ คร่านางภิกษุณอี อกจากท่ีอยู ่ ๒๘๓ สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามคลกุ คลีกับคฤหบดหี รอื บุตรคฤหบดี ๒๘๔ สิกขาบทท่ี ๗ ห้ามเดินทางเปลยี่ วตามล�ำพงั ๒๘๔ สกิ ขาบทที่ ๘ หา้ มเดนิ ทางเชน่ น้ันนอกแวน่ แคว้น ๒๘๔ สกิ ขาบทท่ี ๙ ห้ามเดนิ ทางภายในพรรษา ๒๘๔ สิกขาบทท่ี ๑๐ ห้ามอย่ปู ระจ�ำที่เมื่อจ�ำพรรษาแลว้ ๒๘๔ (๕) จติ ตาคารวรรค วรรควา่ ดว้ ยอาคารอนั วจิ ิตร มี ๑๐ สกิ ขาบท ๒๘๔ สกิ ขาบทที่ ๑ ห้ามไปดูพระราชวงั และอาคารอนั วจิ ิตร เป็นต้น ๒๘๔ สิกขาบทท่ี ๒ ห้ามใช้อาสนั ทแิ ละบัลลังก์ ๒๘๕ สิกขาบทท่ี ๓ หา้ มกรอดา้ ย ๒๘๕ สิกขาบทท่ี ๔ หา้ มรับใช้คฤหัสถ์ ๒๘๕ สกิ ขาบทท่ี ๕ หา้ มรบั ปากแล้วไม่ระงบั อธกิ รณ์ ๒๘๕ สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามให้ของกนิ แกค่ ฤหัสถ์ เป็นต้น ดว้ ยมอื ๒๘๕ สกิ ขาบทท่ี ๗ ห้ามใชผ้ า้ นุ่งส�ำหรับผมู้ ีประจำ� เดอื นเกนิ ๓ วนั ๒๘๖ สิกขาบทที่ ๘ ห้ามครอบครองท่ีอยเู่ ปน็ การประจำ� ๒๘๖ สิกขาบทท่ี ๙ หา้ มเรยี นติรัจฉานวิชชา ๒๘๖ สกิ ขาบทที่ ๑๐ หา้ มสอนตริ ัจฉานวิชชา ๒๘๖ (๖) อารามวรรค วรรควา่ ดว้ ยอาราม มี ๑๐ สกิ ขาบท ๒๘๖ สิกขาบทท่ี ๑ หา้ มเขา้ ไปในวัดท่มี ภี กิ ษโุ ดยไม่บอกล่วงหนา้ ๒๘๖ สิกขาบทที่ ๒ หา้ มดา่ หรอื บริภาษภกิ ษ ุ ๒๘๗ สิกขาบทที่ ๓ ห้ามบรภิ าษภกิ ษุณสี งฆ ์ ๒๘๗ สิกขาบทที่ ๔ ห้ามฉันอีกเม่อื รับนิมนตห์ รอื เลกิ ฉันแล้ว ๒๘๗ สกิ ขาบทท่ี ๕ ห้ามพดู กดี กนั ภกิ ษุณีอืน่ ๒๘๗ สิกขาบทท่ี ๖ ห้ามจำ� พรรษาในอาวาสท่ไี ม่มีภกิ ษุ ๒๘๘ สิกขาบทที่ ๗ ห้ามการขาดปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย ๒๘๘ สิกขาบทท่ี ๘ ห้ามการขาดรับโอวาทและการขาดการอยู่ร่วม ๒๘๘ สกิ ขาบทที่ ๙ ห้ามการขาดถามอโุ บสถและการไปรับโอวาท สิกขาบทที่ ๑๐ ห้ามใหบ้ รุ ษุ บีบฝี ผา่ ฝี เปน็ ตน้ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 24 5/4/18 2:19 PM
(25) (๗) คัพภนิ ีวรรค วรรคว่าด้วยหญิงมคี รรภ์ มี ๑๐ สกิ ขาบท ๒๘๘ สารบาญ สกิ ขาบทที่ ๑ ห้ามให้บวชแกห่ ญิงมคี รรภ์ ๒๘๘ สิกขาบทที่ ๒ หา้ มให้บวชแก่หญงิ ทีย่ ังมีเด็กดื่มนม ๒๘๘ สกิ ขาบทท่ี ๓ หา้ มให้บวชแก่นางสกิ ขมานาซึ่งศกึ ษายงั ไม่ครบ ๒ ป ี ๒๘๙ สิกขาบทที่ ๔ หา้ มใหบ้ วชแก่นางสิกขมานาทส่ี งฆย์ ังมิไดส้ วดสมมติ ๒๘๙ สกิ ขาบทที่ ๕ หา้ มให้บวชแกห่ ญงิ ที่มสี ามีแล้ว แตอ่ ายยุ ังไม่ถงึ ๑๒ ป ี ๒๘๙ สิกขาบทที่ ๖ หา้ มใหบ้ วชแก่หญิงเชน่ นนั้ อายคุ รบ ๑๒ แล้ว แต่ยังมิได้ศกึ ษา ๒ ป ี ๒๘๙ สกิ ขาบทท่ี ๗ ห้ามให้บวชแกห่ ญงิ เช่นนน้ั ท่ศี ึกษา ๒ ปีแลว้ แตส่ งฆ์ยังมิได้สวดสมมติ ๒๘๙ สกิ ขาบทท่ี ๘ หา้ มเพิกเฉยไม่อนุเคราะหศ์ ิษยท์ บ่ี วชแลว้ ๒๙๐ สกิ ขาบทท่ี ๙ หา้ มนางภกิ ษณุ แี ยกจากอปุ ชั ฌายะ คอื ไมต่ ดิ ตามครบ ๒ ป ี ๒๙๐ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ หา้ มเพกิ เฉยไมพ่ าศษิ ย์ไปทีอ่ นื่ ๒๙๐ (๘) กมุ ารภี ตู วรรค วรรควา่ ดว้ ยหญิงสาวทย่ี งั ไมม่ สี ามี มี ๑๓ สิกขาบท ๒๙๐ สิกขาบทที่ ๑ ห้ามใหบ้ วชแกห่ ญิงสาวท่ีอายไุ ม่ครบ ๒๐ ปี ๒๙๐ สิกขาบทท่ี ๒ ห้ามบวชหญงิ ทอี่ ายุครบ แตย่ งั มิได้ศึกษาครบ ๒ ป ี ๒๙๑ สกิ ขาบทที่ ๓ หา้ มบวชหญงิ ทศ่ี กึ ษาครบ ๒ ปแี ลว้ แตส่ งฆย์ งั มไิ ดส้ วดสมมต ิ ๒๙๑ สกิ ขาบทท่ี ๔ หา้ มเป็นอุปชั ฌายเ์ ม่อื พรรษาไมค่ รบ ๑๒ ๒๙๑ สกิ ขาบทที่ ๕ ห้ามเปน็ อุปัชฌาย์โดยที่สงฆม์ ไิ ดส้ วดสมมต ิ ๒๙๑ สกิ ขาบทท่ี ๖ ห้ามรับรู้แลว้ ตเิ ตียนในภายหลงั ๒๙๑ สกิ ขาบทท่ี ๗ หา้ มรบั ปากวา่ จะบวชให้ แล้วกลับไมบ่ วชให ้ ๒๙๑ สกิ ขาบทท่ี ๘ ห้ามรบั ปากแล้วไม่บวชใหใ้ นกรณีอน่ื ๒๙๒ สิกขาบทที่ ๙ หา้ มบวชให้นางสกิ ขมานาทีป่ ระพฤติไม่ดี ๒๙๒ สิกขาบทที่ ๑๐ หา้ มบวชใหน้ างสกิ ขมานาทม่ี ารดาบดิ าหรอื สามไี มอ่ นญุ าต ๒๙๒ สิกขาบทท่ี ๑๑ ห้ามท�ำกลบั กลอกในการบวช ๒๙๒ สกิ ขาบทท่ี ๑๒ หา้ มบวชใหค้ นทกุ ปี ๒๙๓ สกิ ขาบทท่ี ๑๓ หา้ มบวชให้ปลี ะ ๒ คน ๒๙๓ (๙) ฉตั ตปุ าหนวรรค วรรคว่าดว้ ยรม่ และรองเทา้ มี ๑๓ สิกขาบท ๒๙๓ สิกขาบทที่ ๑ หา้ มใชร้ ่มใช้รองเท้า เว้นแตจ่ ะไมส่ บาย ๒๙๓ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 25 5/4/18 2:19 PM
(26) สกิ ขาบทท่ี ๒ หา้ มไปด้วยยาน เว้นแต่ไม่สบาย ๒๙๓ สิกขาบทที่ ๓ หา้ มใช้ผ้าหยักร้ัง ๒๙๓ สกิ ขาบทที่ ๔ หา้ มใชเ้ คร่อื งประดบั กายสำ� หรับหญงิ ๒๙๔ สกิ ขาบทท่ี ๕ ห้ามอาบน�้ำหอมและน�้ำมสี ี ๒๙๔ สกิ ขาบทท่ี ๖ หา้ มอาบนำ�้ ด้วยแป้งงาอบ ๒๙๔ สกิ ขาบทที่ ๗ ห้ามให้นางภกิ ษุณีทานำ�้ มนั หรือนวด ๒๙๔ สิกขาบทที่ ๘ - ๙ - ๑๐ หา้ มให้ผู้อืน่ ทาน้�ำมันหรอื นวด ๒๙๔ สกิ ขาบทท่ี ๑๑ หา้ มนัง่ หนา้ ภกิ ษุโดยไม่บอกก่อน ๒๙๔ สกิ ขาบทที่ ๑๒ ห้ามถามปญั หาภกิ ษโุ ดยไม่ขอโอกาส ๒๙๕ สิกขาบทท่ี ๑๓ หา้ มเข้าบ้านโดยไม่ใชผ้ ้ารัดหรอื ผ้าโอบ ๒๙๕ (อกี ๗๐ สิกขาบทให้ใชส้ กิ ขาบทของพระภกิ ษุ) ๕. ปาฏิเทสนยี กณั ฑ์ (ว่าดว้ ยอาบัติท่พี ึงแสดงคนื ๘ สกิ ขาบท) ๒๙๕ สกิ ขาบทท่ี ๑ - ๘ หา้ มขอโภชนะประณตี ๘ อยา่ งตามลำ� ดบั สกิ ขาบท มาฉนั ๒๙๕ ๖. เสขยิ กัณฑ์ (วา่ ดว้ ยวัตรและมารยาททภี่ ิกษณุ ีจะตอ้ งศึกษา ๗๕ ข้อ) ๒๙๖ ๗. อธิกรณสมถะ (วา่ ด้วยธรรมสำ� หรับระงบั อธิกรณ์ ๗ อย่าง) ๒๙๖ สรูปศีลของนางภิกษุณ ี ๒๙๖ เลม่ ๔ มหาวัคค์ ภาค ๑ ๒๙๗ ขยายความ ๒๙๘ ๑. มหาขันธกะ (หมวดใหญ)่ เหตุการณต์ ้งั แตต่ รัสรู้ ๒๙๘ ทรงโตต้ อบกบั พราหมณ์ท่ชี อบตวาดคน ๒๙๘ ทรงเปลง่ อุทานทต่ี ้นจิก ๒๙๙ เหตกุ ารณ์ทต่ี น้ เกตก์ ๒๙๙ เสดจ็ กลบั ไปตน้ ไทรอีก ๒๙๙ พระพรหมมาอาราธนา ๒๙๙ ทรงแสดงธรรมครงั้ แรก (ธมั มจักกัปปวัตตนสูตร มัชฌิมาปฏปิ ทา) ๓๐๐ ทรงแสดงอนตั ตลักขณสูตร (ภิกษปุ ญั จวคั คยี ์ ไดเ้ ป็นพระอรหนั ต์) แสดงธรรมโปรดยสกุลบตุ รกบั ครอบครวั และมติ รสหาย (อนปุ ุพพิกถา อุบาสก อุบาสิกา ชุดแรก) ๓๐๑ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 26 5/4/18 2:19 PM
(27) ทรงสง่ พระสาวกไปประกาศพระศาสนา ๓๐๑ สารบาญ ทรงอนญุ าตการบรรพชาอปุ สมบท ๓๐๑ ตรัสเรอ่ื งความหลุดพ้นอยา่ งยอดเย่ียม ๓๐๒ โปรดสหาย (ภัททวัคคียกมุ าร) ๓๐ คน ๓๐๒ โปรดชฎิล ๓ พีน่ อ้ งและบริวาร (อุรุเวลากัสสป นทีกสั สป และคยากัสสป) ๓๐๒ ทรงแสดงปาฏหิ าริย ์ ทรงแสดงอาทติ ตปรยิ ายสตู ร ๓๐๒ โปรดพระเจ้าพิมพิสาร (ประทานพระพุทธานุญาตใหม้ ีวดั ) ๓๐๓ สาริบุตร โมคคัลลานะ ออกบวช ๓๐๔ ธรรมเหล่าใดเกิดแตเ่ หตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุ - และความดบั แห่งธรรมเหล่านั้น ทรงอนญุ าตใหม้ ีอุปัชฌายะ ๓๐๕ ทรงบัญญตั ิอุปัชฌายวัตร ๓๐๕ ทรงบญั ญตั ิสัทธวิ หิ าริกวัตร ๓๐๕ ทรงปรบั อาบัติ ทรงอนญุ าตให้ประณามและขอขมา ๓๐๕ ทรงวางวธิ ีประณามใหร้ ดั กุม ๓๐๖ ทรงอนุญาตการบวชเป็นการสงฆ ์ ๓๐๖ ผู้บวชเพราะเหน็ แกท่ ้อง ๓๐๗ ขอ้ บัญญตั ิเพ่มิ เติมในการบวช ๓๐๗ ทรงอนุญาตใหม้ อี าจารย์ ๓๐๗ อาจริยวตั รและอนั เตวาสกิ วัตร ๓๐๘ การประณาม การขอขมา การยกโทษ ๓๐๘ นสิ สัยระงบั จากอปุ ชั ฌายะและอาจารย ์ ๓๐๘ คณุ สมบตั ขิ องอุปัชฌายะ ๕ อยา่ ง ๓๐๘ คณุ สมบัติของอปุ ัชฌายะ ๖ อยา่ ง ๓๐๘ ขอ้ ปฏบิ ตั ิต่อผูเ้ คยเป็นเดยี รถีย์ ๓๐๙ หา้ มบวชให้คนเปน็ โรค ๕ ชนดิ ๓๐๙ ห้ามบวชใหข้ า้ ราชการ ๓๑๐ หา้ มบวชใหโ้ จรท่มี ชี ื่อ ๓๑๐ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 27 5/4/18 2:19 PM
(28) ๓๑๐ ๓๑๐ หา้ มบวชโจรท่ที �ำลายเครอ่ื งพนั ธนาการ ๓๑๑ หา้ มบวชบคุ คลทไี่ มส่ มควรอ่ืนอีก ๓๑๑ ใหบ้ อกสงฆ์เมื่อจะโกนศรี ษะคนบวช ๓๑๑ หา้ มบวชผูม้ อี ายยุ งั ไมค่ รบ ๒๐ ๓๑๑ ข้อหา้ มเกีย่ วกับสามเณร ๓๑๒ ผอ่ นผันเร่อื งการถอื นิสสยั ๓๑๒ พระราหลุ บวชเป็นสามเณร ๓๑๒ ให้มีสามเณรรับใชไ้ ดเ้ กนิ ๑ รปู ๓๑๓ ศลี ๑๐ ของสามเณร ๓๑๓ การลงโทษสามเณร ๓๑๓ เร่ืองเก่ยี วกบั การลงโทษ ๓๑๓ หา้ มชวนสามเณรของภิกษุอ่นื ไปอย่ดู ้วย ๓๑๔ การให้สามเณรสกึ ๓๑๔ บคุ คลท่ีหา้ มบวชอ่นื ๆ อกี ๓๑๕ ลักษณะท่ีไมค่ วรให้อปุ สมบท (บวชเปน็ พระ) อีก ๒๐ ประเภท ๓๑๖ ลักษณะท่ีไมค่ วรใหบ้ รรพชา (เปน็ สามเณร) ๓๒ ประเภท ๓๑๗ ข้อกำ� หนดเร่อื งใหน้ สิ สัยเพมิ่ เตมิ ๓๑๗ ขอ้ กำ� หนดเรื่องการอปุ สมบท ๓๑๗ ข้อบญั ญัตใิ นพธิ ีกรรมอุปสมบท ๓๑๘ การปฏิบัติตอ่ ผทู้ ำ� ผิด ๓๑๘ ๒. อโุ บสถขันธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยอุโบสถ) ๓๑๘ การสวดปาฏโิ มกขเ์ ปน็ อุโบสถกรรม ๓๒๓ ขอ้ กำ� หนดเพม่ิ เตมิ เก่ยี วกบั ปาฏิโมกข์ ๓๒๔ ๓. วสั สปู นายกิ าขนั ธกะ (หมวดว่าดว้ ยวนั เข้าพรรษา) ๓๒๔ ทรงอนุมตั กิ ารเล่ือนวันจำ� พรรษา ๓๒๔ ทรงอนญุ าตให้ไปกลบั ภายใน ๗ วนั ๓๒๕ ขาดพรรษาทไี่ มต่ ้องอาบัต ิ ทรงอนญุ าตการจ�ำพรรษาในท่บี างแหง่ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 28 5/4/18 2:19 PM
ทรงห้ามจ�ำพรรษาในท่ไี ม่สมควร (29) สารบาญ ข้อหา้ มอื่น ๆ ๔. ปวารณาขันธกะ (หมวดว่าด้วยปวารณา) ๓๒๕ เล่ม ๕ มหาวคั ค์ ภาค ๒ ๓๒๕ ขยายความ ๓๒๕ ๑. จมั มขนั ธกะ (หมวดว่าดว้ ยหนงั ) ๓๒๗ ทรงอนญุ าตรองเท้าใบไม้ ทรงห้ามรองเท้าที่ไมค่ วร ๓๒๘ ข้ออนญุ าตและข้อห้ามเกีย่ วกบั รองเทา้ ๓๒๘ ข้อหา้ มเกี่ยวกับโคตวั เมีย ๓๒๘ ข้อหา้ มเกี่ยวกบั ยาน ๓๒๘ ขอ้ หา้ มเกย่ี วกบั ทีน่ ่งั ทีน่ อน ๓๒๙ หา้ มสรวมรองเทา้ เขา้ บ้าน ๓๒๙ พระโสณกฏุ กิ ณั ณะ ๓๓๐ ข้ออนญุ าตสำ� หรบั ชนบทชายแดน ๓๓๐ ๒. เภสชั ชขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยยา) ๓๓๐ ทรงอนญุ าตเภสัช ๕ และอน่ื ๆ ๓๓๐ ทรงห้ามเก็บเภสชั ๕ ไว้เกิน ๗ วนั ๓๓๑ ทรงอนญุ าตของฉนั บางอย่าง ๓๓๑ ห้ามเก็บอาหารคา้ งคนื ในที่อยู่ เปน็ ต้น ๓๓๓ ทรงอนญุ าตเร่อื งการฉันหลายขอ้ ๓๓๓ ทรงห้ามท�ำการผา่ ตัดหรือผกู รัดท่ที วารหนัก ๓๓๓ ทรงห้ามฉันเน้ือทไ่ี มค่ วร ๓๓๔ ทรงอนญุ าตและไม่อนญุ าตของฉันบางอย่าง ๓๓๔ เสดจ็ แสดงธรรมท่ีปาฏลคิ ามและโกฏคิ าม ๓๓๔ นางอัมพปาลีถวายป่ามะม่วง ๓๓๔ สหี เสนาบดีเปลี่ยนศาสนา ๓๓๔ ทรงถอนขอ้ อนุญาตส�ำหรบั ยามข้าวยาก ๓๓๕ ๓๓๕ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 29 ๓๓๕ 5/4/18 2:19 PM
(30) ๓๓๖ ๓๓๖ ทรงอนญุ าตที่เก็บอาหาร ๓๓๖ ทรงแสดงธรรมโปรดเมณฑกคฤหบดี ๓๓๗ ทรงอนญุ าตตามที่เมณฑกคฤหบดีขอรอ้ ง ๓๓๗ ทรงอนุญาตน�้ำอฏั ฐบาน (น�้ำด่ืม ๘ อย่าง) ๓๓๗ ทรงอนุญาตผกั และของเคย้ี วทท่ี ำ� ด้วยแป้ง ๓๓๘ ทรงห้ามและทรงอนุญาตอืน่ อกี ๓๓๘ ทรงแนะขอ้ ตดั สนิ ๓๓๘ ๓. กฐินขนั ธกะ (หมวดว่าด้วยกฐนิ ) ๓๓๙ อานิสงส์ ๕ ของภิกษุผู้ไดก้ ราลกฐนิ ๓๓๙ ทรงอนญุ าตให้สวดประกาศกฐิน ๓๓๙ ทรงแสดงเรือ่ งกฐนิ เป็นอันกราลและไมเ่ ปน็ อันกราล ๓๔๐ ขอ้ ก�ำหนดในการเดาะกฐนิ ๓๔๐ ๔. จวี รขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยจวี ร) ๓๔๑ ทรงอนุญาตเจา้ หนา้ ที่เก่ียวกบั จวี ร ๓๔๑ ทรงอนุญาตสยี ้อมและวิธกี ารเก่ียวกับจีวร ๓๔๑ ทรงอนุญาตวิธีตัดจวี ร ๓๔๑ ทรงอนญุ าตค�ำขอ ๘ ประการของนางวิสาขา ๓๔๒ ทรงอนญุ าตผา้ อน่ื ๆ ๓๔๒ ทรงอนญุ าตและหา้ มเกีย่ วกบั จวี รอีก ๓๔๒ พระพุทธเจา้ ทรงพยาบาลภกิ ษุอาพาธ ๓๔๒ การเปลือยกายและการใชผ้ า้ ๓๔๓ ทรงหา้ มใช้จีวรท่มี ีสีไม่ควร และหา้ มใชเ้ สอ้ื หมวก ผา้ โพก ๓๔๓ ทรงวางหลักเกี่ยวกับจวี รอกี ๓๔๓ ๕. จัมเปยยขันธกะ (หมวดว่าด้วยเหตุการณ์ในกรุงจัมปา) ๓๔๔ การทำ� กรรมทีไ่ ม่เปน็ ธรรมและทเี่ ป็นธรรม อุกเขปนยี กรรม (ยกจากหม่)ู PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 30 5/4/18 2:19 PM
(31) ตชั ชนยี กรรม (ข่มขู)่ ๓๔๔ สารบาญ นิยสกรรม (ถอดยศหรือตดั สทิ ธ)ิ ๓๔๔ ปัพพาชนยี กรรม (ขับไล)่ ๓๔๕ ปฏสิ ารณียกรรม (ขอโทษคฤหสั ถ)์ ๓๔๕ ๖. โกสัมพิขันธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยเหตกุ ารณใ์ นกรุงโกสัมพ)ี ๓๔๕ เลม่ ๖ จลุ ลวคั ค์ ภาค ๑ ๓๔๗ ขยายความ ๑. กมั มขันธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยสังฆกรรม) ๓๔๘ ลกั ษณะของผู้ที่ควรลงตชั ชนยี กรรม ๓๔๘ การถูกลงโทษเป็นเหตใุ ห้เสียสทิ ธิต่าง ๆ ๓๔๘ การไมร่ ะงบั และระงับโทษ ๓๔๙ นยิ สกรรม (การถอดยศ) ๓๔๙ ปพั พาชนียกรรม (การลงโทษขับไล)่ ๓๕๐ ปฏสิ ารณียกรรม (การลงโทษใหข้ อขมาคฤหัสถ์) ๓๕๑ อุกเขปนยี กรรม (พระฉนั นะกบั การยกเสยี จากหมู่) ๓๕๒ ๒. ปริวาสกิ ขันธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยผ้อู ยู่ปรวิ าส) ๓๕๒ ตดั สทิ ธิภิกษุผอู้ ยู่ปรวิ าส ๓๕๓ วตั ร ๙๔ ข้อของผอู้ ยปู่ ริวาส ๓๕๔ รัตตเิ ฉท (การเสียราตร)ี ๓๕๕ การเก็บปรวิ าสและเก็บมานัตต ์ ๓๕๖ ๓. สมุจจยขนั ธกะ (หมวดว่าด้วยการรวบรวมเร่อื งการออกจากอาบตั ิสังฆาทิเสส) ๓๕๖ ๔. สมถขันธกะ (หมวดว่าดว้ ยวิธรี ะงับอธิกรณ)์ ๓๕๗ (๑) สัมมขุ าวินยั (การระงับตอ่ หน้า) ๓๕๗ พระทัพพมัลลบุตรทำ� งานให้สงฆ ์ ๓๕๘ (๒) สติวนิ ัย (การระงับด้วยยกให้วา่ เปน็ ผมู้ สี ติ) ๓๕๘ (๓) อมฬู หวินยั (การระงบั ดว้ ยยกใหว้ า่ เป็นบา้ ) ๓๕๘ (๔) ปฏิญญาตกรณะ (การระงับด้วยค�ำสารภาพของผถู้ ูกฟอ้ ง) ๓๕๙ (๕) เยภุยยสิกา (การระงับด้วยถอื เสียงข้างมาก) ๓๕๙ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 31 5/4/18 2:19 PM
(32) (๖) ตสั สปาปิยสิกา (การระงบั ดว้ ยการลงโทษ) ๓๖๐ (๗) ติณวัตถารกะ (การระงับด้วยใหเ้ ลกิ แล้วกันไป) ๓๖๐ อธิกรณ์ ๔ ๓๖๐ ๓๖๒ เลม่ ๗ จุลลวคั ค์ ภาค ๒ ๓๖๓ ข ยายความ ๓๖๓ ๑. ขทุ ทกวัตถขุ นั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยเรอื่ งเลก็ ๆ น้อย ๆ) ๓๖๓ เรอื่ งเกี่ยวกับการอาบนำ้� ๓๖๓ ห้ามใชเ้ ครอื่ งประดับแบบคฤหัสถ์ ๓๖๓ ขอ้ ห้ามเกี่ยวกบั ผม ๓๖๓ ข้อห้ามเกี่ยวกับการสอ่ งกระจกหรอื แว่น ๓๖๔ ข้อห้ามทาหน้าทาตวั ๓๖๔ ห้ามดูฟอ้ นร�ำและห้ามขบั ด้วยเสียงอนั ยาว ๓๖๔ ห้ามใช้ผ้าขนแกะ ๓๖๔ ขอ้ ห้ามและอนญุ าตเก่ยี วกับผลไม ้ ๓๖๔ ตรสั สอนใหแ้ ผเ่ มตตา ๓๖๕ หา้ มตัดองคชาต ๓๖๕ ข้อห้ามและอนญุ าตเกย่ี วกับบาตร ๓๖๖ ทรงอนญุ าตมดี และเข็ม ๓๖๖ ทรงอนุญาตและห้ามเก่ยี วกบั ไมแ้ บบหรือสะดึง ๓๖๖ ทรงอนญุ าตถงุ ใสข่ อง สายคล้องบา่ ผา้ กรองน�ำ้ และมุ้ง ๓๖๗ ทรงอนุญาตการจงกรมและเรือนไฟ เปน็ ตน้ ๓๖๗ เร่ืองทีน่ งั่ ทน่ี อน และทใ่ี ส่อาหาร ๓๖๘ หา้ มฉนั อาหาร ดมื่ นำ้� ในภาชนะเดียวกนั เป็นต้น ๓๖๘ การลงโทษควำ่� บาตรแก่วัฑฒะลิจฉว ี ๓๖๙ เร่อื งผ้าขาวท่ีไมใ่ ห้เหยียบและเหยียบได้ ๓๖๙ นางวิสาขาถวายของใช้ ๓๖๙ ทรงอนญุ าตและหา้ มใชร้ ่ม ทรงห้ามและอนุญาตไมค้ าน สาแหรก 5/4/18 2:19 PM PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 32
เร่อื งอาเจียนและเมลด็ ขา้ ว (33) สารบาญ ทรงอนุญาตมีดตดั เลบ็ เปน็ ต้น เรอื่ งผมและหนวดเครา ๓๖๙ เครือ่ งใชเ้ บด็ เตลด็ ๓๗๐ เคร่ืองใชท้ เี่ ป็นผา้ ๓๗๐ เรื่องหาบหาม ๓๗๐ การเคีย้ วไมส้ ฟี นั ๓๗๑ หา้ มจดุ ปา่ และขึ้นต้นไม้ ๓๗๑ ห้ามยกพุทธวจนะข้ึนโดยฉนั ท์ ๓๗๒ ห้ามเรยี นหา้ มสอนโลกายตะและติรจั ฉานวิชชา ๓๗๒ หา้ มถอื โชคลาง แต่ไม่ขดั ใจคนอ่นื ๓๗๒ ห้ามฉนั กระเทยี ม ๓๗๒ ทรงอนุญาตทถี่ ่ายปัสสาวะอจุ จาระ ๓๗๓ ทรงห้ามประพฤติอนาจาร ๓๗๓ ทรงอนญุ าตเครอ่ื งใช ้ ๓๗๓ ๒. เสนาสนขันธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยทีอ่ ยอู่ าศยั ) ๓๗๔ ทรงอนุญาตทีอ่ ยู่ ๕ ชนดิ ๓๗๔ เครอ่ื งนงั่ เครื่องนอน ๓๗๔ อนาถปณิ ฑิกคฤหบดีนบั ถือพระพทุ ธศาสนา ๓๗๔ ตั้งภกิ ษุผู้ควบคุมการก่อสรา้ ง ๓๗๔ ลำ� ดบั อาวโุ ส ๓๗๕ บคุ คลผู้ไมค่ วรไหว้ ๑๐ ประเภท ๓๗๕ บุคคลผคู้ วรไหว้ ๓ ประเภท ๓๗๕ มณฑปทส่ี ร้างอุทศิ สงฆ์ ๓๗๕ ทนี่ ัง่ ต่างชนิดของคฤหสั ถ ์ ๓๗๖ การถวายเชตวนาราม ๓๗๖ ปญั หาล�ำดับอาวโุ สเพ่ิมเตมิ ๓๗๖ การจดั สรรท่ีอยู่อาศัย ๓๗๖ การนัง่ ต่ำ� นัง่ สูง ๓๗๗ ๓๗๗ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 33 ๓๗๘ 5/4/18 2:19 PM
(34) ๓๗๘ ๓๗๘ ปราสาทและเคร่อื งนั่งนอนตา่ ง ๆ ๓๗๙ ปญั หาเรื่องท่ีอยูอ่ าศัยเกิดขึ้นอกี ๓๗๙ สง่ิ ที่จะสละ (ใหใ้ คร ๆ) ไมไ่ ด้ ๕ หมวด ๓๗๙ การควบคุมการก่อสร้าง ๓๘๐ การขนย้ายของใช้และรักษาทอี่ ย่อู าศยั ๓๘๐ อาหารและการแจกอาหาร ๓๘๐ เจา้ หนา้ ทีท่ ำ� การสงฆอ์ ่นื ๆ ๓๘๐ ๓. สงั ฆเภทขันธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยสงฆ์แตกกนั ) ๓๘๑ พระเทวทัตคิดการใหญ่ ๓๘๑ พระเทวทตั ขอปกครองคณะสงฆ์ ๓๘๑ ตรัสให้ขออนมุ ัตสิ งฆ์ประกาศเรื่องพระเทวทัต ๓๘๑ พระเทวทัตยใุ ห้ขบถ ๓๘๒ การประทษุ ร้ายพระพทุ ธเจา้ ครง้ั แรก ๓๘๒ การประทษุ รา้ ยครงั้ ที่ ๒ ๓๘๒ การประทษุ ร้ายครง้ั ท่ี ๓ ๓๘๓ พระเทวทัตเสนอขอ้ ปฏบิ ตั ิ ๕ ข้อ ๓๘๓ ทำ� สงฆใ์ หแ้ ตกกัน ๓๘๔ พระเทวทัตอาเจียนเป็นโลหิต ๓๘๔ ความรา้ วและความแตกกนั ของสงฆ์ ๓๘๔ ใครทำ� ให้สงฆ์แตกกนั ไดแ้ ละไม่ได ้ ๓๘๕ เหตเุ ปน็ เครอื่ งท�ำใหส้ งฆ์แตกกันและสามคั คีกัน ๓๘๕ การทำ� สงฆ์ใหแ้ ตกกนั ทีท่ �ำให้ไปอบายและไมไ่ ปอบาย ๓๘๕ ๔. วตั ตขันธกะ (หมวดวา่ ด้วยวัตรหรอื ขอ้ ปฏบิ ตั ิ) ๓๘๕ อาคันตุกวตั ร (ข้อปฏบิ ัติของผู้มา) ๓๘๖ อาวาสกิ วัตร (ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องภกิ ษเุ จา้ ถิ่น) ๓๘๖ คมิกวตั ร (ข้อปฏิบัติของภกิ ษุผู้จะเดินทางจากไป) ภัตตัคควัตร (วัตรในโรงฉัน) 5/4/18 2:19 PM PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 34
(35) ปิณฑจาริกวัตร (วตั รของภกิ ษผุ เู้ ทย่ี วบณิ ฑบาต) ๓๘๗ สารบาญ อารัญญกวตั ร (วตั รของภิกษุผู้อยูป่ า่ ) ๓๘๗ เสนาสนวัตร (วตั รเก่ียวกับทอ่ี ยูอ่ าศยั ) ๓๘๘ ชันตาฆรวตั ร (วัตรในเรือนไฟ) ๓๘๘ วจั จกุฎีวตั ร (วัตรเกยี่ วกบั ส้วม) ๓๘๘ อุปชั ฌายวตั ร (วตั รเก่ียวกับอุปัชฌายะ) ๓๘๙ สทั ธวิ หิ าริกวตั ร (ข้อปฏบิ ัติตอ่ สัทธิวหิ ารกิ ) ๓๘๙ อาจริยวตั ร (ขอ้ ปฏบิ ตั ติ ่ออาจารย)์ ๓๙๐ อันเตวาสิกวตั ร (ข้อปฏิบัตติ อ่ อนั เตวาสิก) ๓๙๐ ๕. ปาฏิโมกขฐปนขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยการงดสวดปาฏิโมกข)์ ๓๙๐ พระอานนท์กราบทลู ขอใหท้ รงแสดงปาฏโิ มกข ์ ๓๙๐ ต่อจากนนั้ ไมท่ รงแสดงปาฏิโมกขอ์ กี ๓๙๐ การโจทฟ้อง ๓๙๑ ๖. ภกิ ขนุ ขี นั ธกะ (หมวดวา่ ด้วยนางภกิ ษณุ ี) ๓๙๑ ทรงอนญุ าตการบวชภกิ ษณุ ี ๓๙๑ การศึกษาสกิ ขาบท ๓๙๒ ลกั ษณะตดั สนิ ธรรมวนิ ยั ๘ ประการ ๓๙๒ เรื่องเกย่ี วกับปาฏิโมกข์และสงั ฆกรรม ๓๙๒ การลงโทษภิกษุดว้ ยการไมไ่ หว ้ ๓๙๓ การลงโทษนางภิกษุณ ี ๓๙๓ การให้โอวาทนางภิกษณุ ี ๓๙๓ ข้อห้ามเบ็ดเตล็ด ๓๙๓ ๗. ปญั จสตกิ ขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยพระอรหนั ต์ ๕๐๐ รปู ในการสงั คายนาครง้ั ท่ี ๑) ๓๙๓ การท�ำสงั คายนาคร้งั ท่ี ๑ ๓๙๔ การถอนสกิ ขาบทเลก็ น้อย ๓๙๔ พระอานนท์ถกู ปรับอาบัต ิ ๓๙๔ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 35 5/4/18 2:19 PM
(36) พระปุราณะไม่ค้าน แตถ่ อื ตามท่ีฟงั มาเอง ๓๙๕ ลงพรหมทณั ฑพ์ ระฉันนะ ๓๙๕ ๘. สตั ตสตกิ ขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยพระอรหนั ต์ ๗๐๐ รปู ในการสงั คายนาครงั้ ท่ี ๒) ๓๙๕ วัตถุ ๑๐ ประการ ซ่ึงผิดพระธรรมวินัย ๓๙๕ พระยสะ กากัณฏกบตุ ร คัดคา้ น ๓๙๖ การสังคายนาครั้งท่ี ๒ ๓๙๗ เลม่ ๘ ปริวาร ๓๙๘ ป ระมวลความส�ำคญั ทน่ี ่ารู้ ตั้งแตเ่ ลม่ ๑ ถึงเลม่ ๗ ๓๙๘ ๑. มหาวิภังค์โสฬสมหาวาร (อธิบายประเดน็ ตา่ ง ๆ เกย่ี วกับศลี ของภิกษ)ุ ๓๙๙ ๒. ภิกขุนีวภิ งั ค์โสฬสมหาวาร (อธบิ ายประเด็นตา่ ง ๆ เก่ยี วกบั ศีลของภกิ ษณุ ี) ๓๙๙ ๓. สมฏุ ฐานสีสสังเขป (อธบิ ายสมุฏฐานแห่งอาบตั )ิ ๓๙๙ ๔. กตปิ จุ ฉาวาร (ค�ำถามคำ� ตอบว่าอะไรมีเทา่ ไร) ๓๙๙ ๕. วสี ตวิ าร (ค�ำวนิ ิจฉยั ๒๐ ประเด็น) ๓๙๙ ๖. ขันธกปจุ ฉา (ค�ำถามค�ำตอบใน ๒๒ ขนั ธกะ) ๓๙๙ ๗. เอกตุ ตริกะ (คำ� ถามค�ำตอบเก่ยี วกบั วินยั หมวด ๑ - ๑๑) ๓๙๙ ๘. อโุ ปสถาทิปจุ ฉาวิสัชชนา (ค�ำถามคำ� ตอบเรอ่ื งอโุ บสถ เป็นต้น) ๔๐๐ ๙. อตั ถวเสปกรณ์ (ความมงุ่ หมายแหง่ การบัญญัตสิ กิ ขาบท) ๔๐๐ ๑๐. คาถาสงั คณกิ ะ (ชุมนุมคำ� ฉันท์ชว่ ยความจ�ำ) ๔๐๐ ๑๑. อธกิ รณเภท (ประเภทแหง่ อธิกรณ)์ ๔๐๐ ๑๒. อปรคาถาสังคณิกะ (ชมุ นมุ คำ� ฉนั ทช์ ่วยความจำ� อกี ตอนหน่งึ ) ๔๐๐ ๑๓. โจทนากัณฑ์ (วิธโี จทฟอ้ ง) ๔๐๐ ๑๔. จฬู สงคราม (สงครามเลก็ ) ๔๐๐ ๑๕. มหาสงคราม (สงครามใหญ)่ ๔๐๐ ๑๖. กฐนิ เภท (ประเภทแหง่ กฐนิ ) ๔๐๑ ๑๗. อปุ าลิปญั จกะ (หมวด ๕ ต่าง ๆ ทตี่ รัสตอบพระอุบาล)ี ๔๐๑ ๑๘. สมฏุ ฐาน (สมฏุ ฐานแหง่ อาบัติและการออกจากอาบตั )ิ ๔๐๑ ๑๙. ทุตยิ คาถาสงั คณิกะ (ชุมนมุ ค�ำฉนั ท์ชว่ ยความจำ� ตอนท่ี ๒) ๔๐๒ ๒๐. เสทโมจนคาถา (คาถาเหงื่อแตก) ๔๐๒ ๒๑. ปญั จวัคค์ (หมวด ๕ ของเรือ่ งตา่ ง ๆ) PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 36 5/4/18 2:19 PM
ภาค ๔ ความยอ่ แห่งพระไตรปฎิ ก PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 209 5/4/18 2:24 PM
. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 210 5/4/18 2:24 PM
ความย่อแหง่ พระไตรปฎิ ก การย่อความแห่งพระไตรปิฎกได้แบ่งออกเป็น ๒ ตอนติดต่อในพระไตรปิฎกเล่ม เดียวกนั คือตอนแรกยอ่ ความพอให้เหน็ ว่า ในพระไตรปฎิ กแต่ละเลม่ ตงั้ แต่เลม่ ๑ ถึงเลม่ ๔๕ ว่าด้วยเร่ืองอะไรบ้าง เป็นการส�ำรวจอย่างคร่าว ๆ คร้ังหนึ่งก่อน ในตอนที่ ๒ จึงขยายความ ให้พิสดารพอที่จะรู้เรื่องพระไตรปิฎก เหมือนกับได้อ่านเอง ต้ังแต่เล่มแรกจนถึงเล่มสุดท้าย การย่อความในตอนที่ ๒ นี้ ท่านผู้อ่านจะรู้สึกเหมือนหนึ่งได้ท่องเที่ยวไปในพระไตรปิฎก เก็บใจความส�ำคัญได้ตลอด โดยวิธีนี้จะท�ำให้ท่านผู้อ่านได้เห็นหน้าตาของพระไตรปิฎก ชัดเจนขึ้น โดยปกติพระไตรปิฎก ๔๕ เล่มน้ัน มากไปส�ำหรับคนท่ัวไปจะอ่านให้จบทุกเล่ม แต่ถ้าเก็บใจความส�ำคัญมากล่าวไว้ดั่งที่ท�ำในภาคน้ี ก็จะช่วยให้สะดวกในการอ่าน การถือเอา ความยิ่งข้ึน มีขอ้ ทีข่ อซอ้ มความเขา้ ใจไว้ในที่น้ี คือ วินยั ปิฎก ต้ังแตเ่ ล่ม ๑ ถงึ เลม่ ๘ รวม ๘ เล่ม สตุ ตนั ตปิฎก ตง้ั แต่เล่ม ๙ ถึงเลม่ ๓๓ รวม ๒๕ เลม่ อภธิ ัมมปิฎก ตั้งแต่เลม่ ๓๔ ถงึ เลม่ ๔๕ รวม ๑๒ เลม่ รวมเปน็ เล่มพระไตรปฎิ ก ๔๕ เลม่ ต่อนไ้ี ป ขอเชิญท่านอา่ นความย่อตอนท่ี ๑ ตอ่ ไป PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 211 5/4/18 2:24 PM
. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 212 5/4/18 2:24 PM
วินัยปฎิ ก PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 213 5/4/18 2:24 PM
วินัยปฎิ ก๑ มหาวิภังค์ ภิกขนุ ีวิภงั ค์ มหาวัคค์ จุลลวัคค์ ปริวาร • ปาราชิกกัณฑ์ ๔ • ปาราชกิ กัณฑ์ ๘ • มหาขนั ธกะ • กัมมขนั ธกะ • มหาวิภังค์โสฬส • เตรสกณั ฑ์ ๑๓ • สตั ตรสกัณฑ์ ๑๗ • อโุ บสถขันธกะ • ปริวาสกิ ขนั ธกะ มหาวาร • อนิยตกณั ฑ์ ๒ • นิสสคั คิยกัณฑ์ ๓๐ • วสั สูปนายกิ า - • สมจุ จยขันธกะ • ภิกขุนีวภิ งั ค์โสฬส - • นิสสคั คยิ กณั ฑ์ ๓๐ • ปาจิตติยกัณฑ์ ๑๖๖ ขนั ธกะ • สมถขนั ธกะ มหาวาร • ปาจติ ตยิ กณั ฑ์ ๙๒ • ปาฏเิ ทสนยี กัณฑ์ ๘ • ปวารณาขันธกะ • ขทุ ทกวตั ถุขันธกะ • สมฏุ ฐานสสี สังเขป • ปาฏิเทสนียกัณฑ์ ๔ • เสขยิ กัณฑ์ ๗๕ • จัมมขันธกะ • เสนาสนขันธกะ • กติปุจฉาวาร • เสขิยกณั ฑ์ ๗๕ • อธกิ รณสมถะ ๗ • เภสัชชขันธกะ • สังฆเภทขันธกะ • วสี ตวิ าร • อธกิ รณสมถะ ๗ • กฐนิ ขนั ธกะ • วัตตขันธกะ • ขันธกปุจฉา • จีวรขนั ธกะ • ปาฏิโมกขฐปน - • เอกตุ ตริกะ • จมั เปยยขนั ธกะ ขันธกะ • อุโปสถาทิ - • โกสมั พิขันธกะ • ภิกขุนีขันธกะ ปุจฉาวสิ ัชชนา • ปญั จสติกขนั ธกะ • อตั ถวเสปกรณ์ • สัตตสตกิ ขนั ธกะ • คาถาสังคณกิ ะ • อธกิ รณเภท • อปรคาถาสงั คณกิ ะ • โจทนากณั ฑ์ • จูฬสงคราม • มหาสงคราม • กฐินเภท • อปุ าลปิ ญั จกะ • สมุฏฐาน • ทุติยคาถาสังคณกิ ะ • เสทโมจนคาถา • ปัญจวคั ค์ ๑ วินยั ปฎิ ก มี ๕ คมั ภรี ์ จดั พมิ พเ์ ปน็ คัมภีร์ ๘ เลม่ เรยี กยอ่ ๆ ว่า อา ปา ม จุ ป (ดคู �ำอธบิ ายเพิม่ เติมท่ี หนา้ ๓๐) คอื พระไตรปฎิ กเล่ม ๑ ถึง เลม่ ๘ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 214 5/4/18 2:24 PM
วนิ ยั ปฎิ ก เล่ม ๑ มหาวภิ ังค์ ภาค ๑ ไดก้ ลา่ วไวแ้ ลว้ ในภาค ๑ วา่ ดว้ ยความรเู้ รอ่ื งพระไตรปฎิ ก วา่ วนิ ยั ปฎิ กนนั้ วา่ ดว้ ยวนิ ยั หรอื ศลี ของภิกษแุ ละภกิ ษณุ ี เมื่อจะกลา่ วโดยเรยี งลำ� ดับเล่ม วนิ ยั ปิฎก ๘ เล่มนั้น เลม่ ๑ เลม่ ๒ มชี อ่ื วา่ มหาวภิ งั ค์ หรือภกิ ขวุ ิภังค์ ว่าด้วยศลี ๒๒๗ ของภกิ ษุ เล่ม ๓ มชี ื่อว่า ภกิ ขุนวี ภิ ังค์ วา่ ด้วยศลี ๓๑๑ ของนางภิกษุณี เล่ม ๔ เล่ม ๕ มีช่ือว่า มหาวัคค์ แปลว่า วรรคใหญ่ หรือพวกใหญ่ คือว่าด้วยเร่ือง ท่ีเก่ียวกับสงฆ์ ที่เป็นเร่ืองส�ำคัญ ๆ และต้องท�ำเสมอ เช่น เรื่องจีวร เร่ืองอุโบสถ ปวารณา การจ�ำพรรษา เล่ม ๖ เล่ม ๗ มีช่ือว่า จุลลวัคค์ แปลว่า วรรคเล็ก หรือพวกเล็ก คือว่าด้วยเรื่อง เก่ียวกับสงฆ์ท่ีมีความส�ำคัญรองลงมา จนถึงเร่ืองเบ็ดเตล็ด เช่น เร่ืองข้อวัตรต่าง ๆ เร่ืองที่อยู่ อาศยั เปน็ ตน้ ส่วนเล่มสุดท้าย คือเล่ม ๘ มีช่ือว่า ปริวาร เป็นการรวบรวมความรู้ในวินัยปิฎก ท้ัง ๗ เลม่ ขา้ งตน้ จดั เปน็ หมวดหม่ใู ห้เขา้ ใจง่าย สมาคมบาลีปกรณ์ประเทศอังกฤษ เรียกมหาวิภังค์ และภิกขุนีวิภังค์ รวมกันว่า สตุ ตวภิ งั ค์ เฉพาะเล่ม ๑ มีการแบง่ เป็นหมวดใหญ่ ๆ ให้ชอ่ื วา่ กัณฑ์ รวมท้ังสิ้น ๗ กัณฑ์ คือ ๑. เวรัญชกัณฑ์ เล่าเรื่องพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เมืองเวรัญชา จนถึงเรื่อง พระสาริบุตรขอให้ทรงบัญญัติพระวินัย เพื่อความด�ำรงมั่นแห่งพระพุทธศาสนา จนถึงเสด็จออกจากเมืองเวรัญชา ไปยังกรุงพาราณสี (ราชธานีแห่งแคว้นกาสี) และเสด็จถงึ กรงุ เวสาลี (ราชธานีแห่งแคว้นวชั ชี) ในท่สี ดุ ๒. ปฐมปาราชิกกัณฑ์ ว่าด้วยเหตุการณ์ท่ีทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ คือ สิกขาบทที่ห้ามภิกษุเสพเมถุน พร้อมทั้งเร่ืองราวที่ทรงแก้ไขเพิ่มเติม วินิจฉัย ไตส่ วน และตัดสินเปน็ ราย ๆ ไป ๓. ทุติยปาราชิกกัณฑ์ ว่าด้วยเหตุการณ์ท่ีทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ คือ สกิ ขาบททหี่ า้ มมใิ หภ้ กิ ษถุ อื เอาสง่ิ ของทเ่ี จา้ ของเขาไมใ่ ห้ ตง้ั แตร่ าคา ๕ มาสกขนึ้ ไป พรอ้ มทง้ั เร่ืองราวท่ีทรงแกไ้ ขเพิ่มเตมิ วนิ จิ ฉยั ไตส่ วน และตดั สินเปน็ ราย ๆ ไป PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 215 5/4/18 2:24 PM
216 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๔. ตติยปาราชิกกัณฑ์ ว่าด้วยเหตุการณ์ท่ีทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทท่ี ๓ คือ สิกขาบทที่ห้ามมิให้ภิกษุฆ่ามนุษย์ พร้อมท้ังเรื่องราวท่ีทรงแก้ไขเพ่ิมเติม วินิจฉัย ไต่สวน และตัดสนิ เป็นราย ๆ ไป ๕. จตุตถปาราชิกกัณฑ์ ว่าด้วยเหตุการณ์ท่ีทรงบัญญัติปาราชิกสิกขาบทที่ ๔ ห้ามมิให้ภิกษุอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน พร้อมทั้งเร่ืองราวท่ีทรงวินิจฉัย ไต่สวน และตดั สนิ เปน็ ราย ๆ ไป ๖. เตรสกัณฑ์ แปลว่า กัณฑ์อันว่าด้วยอาบัตสิ ังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ อาบัติสังฆาทิเสส เป็นอาบัติหนักรองลงมาจากอาบัติปาราชิก เมื่อต้องเข้าแล้ว ต้องอยู่ปริวาสเท่า วันท่ีปกปิดไว้ แล้วอยู่มานัตต์อีก ๖ ราตรี เสร็จแล้วจึงประชุมสงฆ์ ไม่น้อยกว่า ๒๐ รูป ท�ำพิธีสวดถอนจากอาบัติสังฆาทิเสส ทั้ง ๑๓ ข้อนี้ ได้มีการบรรยาย ความเป็นมา ที่เป็นเหตุให้ทรงบัญญัติสิกขาบท ทรงแก้ไขเพ่ิมเติม วินิจฉัย ไตส่ วน และตัดสนิ เป็นราย ๆ ไป ๗. อนิยตกัณฑ์ แปลว่า กัณฑ์อันว่าด้วยอาบัติซ่ึงไม่แน่ว่าจะต้องอาบัติอะไรใน ๒ - ๓ ประการ สุดแต่กรณีแวดล้อมจะให้ตัดสินว่าต้องอาบัติอะไร อนิยต หรือสกิ ขาบททวี่ า่ ด้วยอาบตั อิ นั ไมแ่ น่น้ี มี ๒ สกิ ขาบท รวมความวา่ ใน มหาวภิ งั ค์ หรอื วนิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๑ น้ี แสดงความเปน็ มาแหง่ การบญั ญตั ิ สิกขาบท วา่ ดว้ ยอาบตั ปิ าราชิก ๔ สงั ฆาทิเสส ๑๓ อนยิ ต ๒ รวมเปน็ ๑๙ ข้อ ขยายความ ๑. เวรญั ชกัณฑ์ (พระสาริบตุ รกราบทูลให้ทรงบญั ญัตสิ กิ ขาบท) เริ่มต้นด้วยเล่าว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ โคนไม้สะเดา ใกล้เมืองเวรัญชา พรอ้ มดว้ ยภกิ ษสุ งฆห์ มใู่ หญ่ เวรญั ชพราหมณไ์ ดท้ ราบกติ ตศิ พั ทส์ รรเสรญิ จงึ เขา้ ไปเฝา้ แตม่ ไิ ด้ ถวายบังคม หลังจากทักทายปราศรัยแล้ว ก็ได้กล่าวว่า ได้ข่าวเขาพูดกันว่าพระสมณโคดม ไมย่ อมไหวห้ รอื ลกุ ขน้ึ ตอ้ นรบั พราหมณผ์ สู้ งู อายุ การทพี่ ระสมณโคดมทำ� เชน่ นน้ั ยอ่ มไมส่ มควร พระพุทธเจ้าตรัสรับว่า พระองค์มิได้ไหว้พราหมณ์ผู้สูงอายุจริง เวรัญชพราหมณ์จึงกล่าววาจา รุกรานด้วยถ้อยค�ำท่ีถือกันในสมัยนั้นว่า เป็นค�ำดูหมิ่นเหยียดหยาม รวม ๘ ข้อ เช่น ค�ำว่า พระสมณโคดมเป็นคนไม่มีรสชาติ เป็นคนไม่มีสมบัติ เป็นคนน�ำให้ฉิบหาย เป็นคนเผาผลาญ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 216 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ เวรัญชกัณฑ์ 217 เป็นต้น แต่พระผู้มีพระภาคทรงอธิบายค�ำเหยียดหยามนั้นไปในทางดี เช่นว่า ใครจะว่าไม่มี ิว ันย ิปฎก รสชาติก็ถูก เพราะท่านไม่ติดรส คือรูป เสียง เป็นต้น ใครจะว่าไม่มีสมบัติก็ถูก เพราะท่านไม่ ติดสมบัติ คือรูป เสียง เป็นต้น ใครจะว่าน�ำให้ฉิบหายก็ถูก เพราะท่านแสดงธรรมให้ท�ำบาป อกุศลทุกอย่างให้ฉิบหาย ใครจะว่าเป็นคนเผาผลาญก็ถูก เพราะท่านเผาผลาญบาป อกุศล อันเป็นท่ีต้ังแห่งความเดือดร้อนทั้งหมด เมื่อตรัสตอบแก้ค�ำดูหมิ่นเหยียดหยามของพราหมณ์ ตกทุกข้อโดยไม่ต้องใช้วิธีด่าตอบ หากใช้วิธีอธิบายให้เป็นธรรมะสอนใจได้ด่ังน้ันแล้ว จึงตรัส อธิบายเหตุผลในการที่พระองค์ไม่ไหว้พราหมณ์ผู้สูงอายุ โดยเปรียบเทียบว่าลูกไก่ตัวไหน เจาะฟองไข่ออกมาได้ก่อน ลูกไก่ตัวน้ัน ควรนับว่าแก่กว่าลูกไก่ตัวอื่น พระองค์เจาะฟองไข่ คืออวิชชาก่อนผู้อื่น จึงถือได้ว่าเป็นผู้แก่กว่าผู้อ่ืน เวรัญชพราหมณ์ได้ฟังก็เล่ือมใส ประกาศ ตนเป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต แล้วกราบทูลอาราธนาให้ทรงจ�ำพรรษาอยู่ใน เมอื งเวรัญชา พรอ้ มด้วยภกิ ษุสงฆ์ พระองค์ทรงรับโดยดุษณภี าพ ในสมัยนั้น เมืองเวรัญชาเกิดทุพภิกขภัย หาอาหารได้ยาก ถึงขนาดต้องใช้สลาก ปันส่วนอาหาร ภกิ ษทุ งั้ หลายลำ� บากด้วยอาหารบณิ ฑบาต ไดอ้ าศยั ข้าวแดงจากพอ่ คา้ ทพ่ี กั แรม ฤดฝู น ณ เมอื งนนั้ พระผมู้ พี ระภาคทรงสรรเสรญิ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั วา่ เปน็ ผชู้ นะ (ทสี่ ามารถตอ่ สกู้ บั ความยากล�ำบากได้ โดยไม่ต้องใช้วิธแี สวงหาในทางที่ผิด เช่น อวดตนเปน็ ผ้วู ิเศษ เป็นตน้ ) พระโมคคัลลานะเสนอวิธีแก้ไขความอดอยากหลายประการ รวมท้ังการไปเท่ียว บณิ ฑบาตในทอี่ ื่น แตพ่ ระพทุ ธเจ้าไมท่ รงอนุญาต ส่วนพระสาริบุตรค�ำนึงถึงความต้ังม่ันแห่งพรหมจรรย์ จึงกราบทูลถามถึงเหตุที่ท�ำให้ พรหมจรรยต์ ั้งมนั่ และไมต่ ้ังมั่น พระพุทธเจ้าทรงชไี้ ปที่การบญั ญตั สิ ิกขาบท การสวดปาฏิโมกข์ (สวดทบทวนสิกขาบททุกกึ่งเดือน) ว่าเป็นเหตุให้พรหมจรรย์ต้ังมั่น การไม่ท�ำเช่นนั้นเป็นเหตุ ให้พรหมจรรย์อันตรธาน พระสาริบุตรจึงกราบทูลขอให้ทรงบัญญัติสิกขาบท พระพุทธเจ้า ตรัสว่า ยังไม่ถึงเวลา คือพระสงฆ์ยังไม่มาก ลาภสักการะยังไม่มาก ธรรมเป็นที่ต้ังแห่งอาสวะ (กิเลสที่ดองสันดาน) ยังไม่ปรากฏในสงฆ์ ก็ยังไม่ต้องบัญญัติสิกขาบท ถ้าพระสงฆ์มาก ลาภสักการะมาก ธรรมเป็นที่ต้ังแห่งอาสวะปรากฏในสงฆ์ จึงควรบัญญัติสิกขาบท ทั้งขณะน้ัน ภิกษสุ งฆ์ที่ตดิ ตามพระพุทธเจา้ ก็ลว้ นเป็นพระอรยิ บคุ คล คอื อยา่ งต�ำ่ ก็เป็นพระโสดาบนั เม่ือออกพรรษาแล้ว พระพุทธเจ้าจึงชวนพระอานนท์ไปบอกลาเวรัญชพราหมณ์ ในฐานะผูน้ ิมนตใ์ ห้จำ� พรรษา เวรัญชพราหมณ์นมิ นต์พระองค์พร้อมทัง้ ภกิ ษุสงฆ์ฉันในวนั รงุ่ ขึน้ ทรงรับนิมนต์และไปฉันตามก�ำหนดแล้ว แสดงธรรมโปรดเวรัญชพราหมณ์ แล้วเสด็จจาริกไป สู่เมืองโสเรยยะ เมืองสงั กสั ส์ เมืองกณั ณกุชชะ โดยล�ำดับ เสด็จขา้ มล�ำน�้ำคงคา ทีท่ ่าชื่อปยาคะ ไปส่กู รุงพาราณสี จากพาราณสี สเู่ วสาลี ประทับ ณ เรือนยอดในป่ามหาวนั PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 217 5/4/18 2:24 PM
218 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๒. ปฐมปาราชกิ กัณฑ์ (วา่ ดว้ ยปาราชิกสิกขาบทท่ี ๑) หา้ มภิกษเุ สพเมถุน สมัยน้ันมีหมู่บ้านนามว่ากลันทะ ตั้งอยู่ไม่ไกลเมืองเวสาลี มีบุตรเศรษฐีผู้เป็นบุตร ชาวกลันทะ นามวา่ สทุ ินนะ สุทนิ นะ (ผมู้ คี �ำต่อทา้ ยช่ือว่าบตุ รชาวกลันทะ) พร้อมด้วยสหายไปสู่ กรุงเวสาลี เห็นพระพุทธเจ้าก�ำลังแสดงธรรม จึงแวะเข้าไปสดับธรรม มีความเลื่อมใสใคร่จะ ออกบวช จึงกราบทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา แต่พระศาสดายังไม่ประทานอนุญาตให้บวช เพราะมารดาบดิ ายงั ไมอ่ นญุ าต สทุ นิ นะจงึ กลบั ไปขออนญุ าตทา่ นมารดาบดิ า แตไ่ มไ่ ดร้ บั อนญุ าต จงึ อ้อนวอนถึง ๓ คร้ัง กไ็ มไ่ ดร้ บั อนุญาตเช่นเดมิ สทุ ินนะจึงนอนลงกับพน้ื อดอาหารถงึ ๗ วนั มารดาบิดาอ้อนวอนให้ล้มความต้ังใจ ก็ไม่ยอม พวกเพ่ือน ๆ มาอ้อนวอน ก็ไม่ยอม ในที่สุด พวกเพื่อน ๆ อ้อนวอนให้มารดาบิดาของสุทินนะอนุญาต ก็ได้รับอนุญาต เม่ือได้รับอนุญาต แลว้ ก็ออกบวช ประพฤติปฏิบตั ิเคร่งครัดอยู่ทางวัชชีคาม คร้ังนั้น แคว้นวัชชี (ซ่ึงมีกรุงเวสาลีเป็นราชธานี) เกิดทุพภิกขภัย พระสุทินนะมีญาติ เป็นคนม่ังคั่งมาก เมื่อเดินทางไปถึงกรุงเวสาลี ญาติ ๆ ทราบข่าวก็น�ำอาหารมาถวายเหลือเฟือ พระสุทินนะก็ถวายแก่ภิกษุทั้งหลายอีกต่อหนึ่ง แล้วเดินทางไปกลันทคาม (ต�ำบลบ้านเดิม ของตน) ความทราบถงึ มารดาบดิ า บดิ าจงึ นมิ นตไ์ ปฉนั มารดากน็ ำ� ทรพั ยส์ มบตั มิ าลอ่ เพอ่ื ใหส้ กึ พระสุทินนะไม่ยอมจึงไม่ส�ำเร็จ ต่อมามารดาพระสุทินนะรอจนภริยาของพระสุทินนะ (ต้ังแต่ ในสมัยยังไม่ได้บวช) มีระดู ได้ก�ำหนดจะมีบุตรได้ จึงพานางไปหาพระสุทินนะที่ป่ามหาวัน ชวนใหส้ กึ อกี พระสทุ นิ นะไมย่ อม จงึ กลา่ ววา่ ถา้ ไมส่ กึ กข็ อพชื พนั ธไ์ุ วส้ บื สกลุ ครงั้ นน้ั ยงั ไมม่ กี าร บัญญัติวินัยห้ามเสพเมถุน พระสุทินนะเข้าใจว่าเป็นเร่ืองที่พอท�ำได้ เพื่อให้มีบุตรสืบสกุล จึงเสพเมถุนด้วยภริยาของตน ซ่ึงต่อมานางต้ังครรภ์และคลอดบุตร บุตรของพระสุทินนะ จงึ ไดน้ ามวา่ เจา้ พชื ภรยิ าของพระสทุ นิ นะ กไ็ ดน้ ามวา่ มารดาของเจา้ พชื ตอ่ มาทง้ั มารดาและบตุ ร ออกบวชไดส้ �ำเรจ็ อรหัตตผลท้งั สองคน กล่าวถงึ พระสทุ ินนะเกิดความไม่สบายใจข้นึ ภายหลัง ถึงขนาดซูบผอม ภกิ ษุทง้ั หลาย ถามทราบความ จึงพากันติเตียน และน�ำความกราบทูลพระผู้มีพระภาค พระองค์จึงทรงเรียก ประชุมสงฆ์ ทรงไต่สวนเร่อื งนั้น ทรงติเตยี นแล้ว ทรงบญั ญัตสิ กิ ขาบท ห้ามมใิ ห้ภกิ ษุเสพเมถุน ทรงปรับอาบัตปิ าราชิกแกภ่ ิกษผุ ้ลู ว่ งละเมดิ ๑ ๑ พระสทุ นิ นะไม่ตอ้ งอาบัติ เพราะเปน็ ตน้ บญั ญตั ิ ไมม่ กี ารปรบั อาบตั ยิ ้อนหลงั PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 218 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ทุติยปาราชิกกัณฑ์ 219 อนุบัญญัติ (ขอ้ บัญญตั เิ พ่มิ เตมิ ) ิว ันย ิปฎก ตอ่ มามภี กิ ษวุ ชั ชบี ตุ ร ชาวกรงุ เวสาลี เขา้ ใจวา่ หา้ มเฉพาะเสพเมถนุ กบั มนษุ ย์ จงึ เสพเมถนุ ดว้ ยนางลงิ ความทราบถงึ พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงบญั ญตั เิ พอ่ื เตมิ ใหช้ ดั ขน้ึ วา่ หา้ มแมใ้ นสตั วด์ ริ จั ฉาน ภิกษุเสพเมถุนขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว ภายหลังขอเข้าอุปสมบทอีก พระพุทธเจ้า จึงทรงบญั ญตั ิมิใหอ้ ปุ สมบทแกผ่ เู้ ช่นนัน้ ต่อจากน้ัน มีค�ำอธิบายตัวสิกขาบทอย่างละเอียดทุก ๆ ค�ำ พร้อมทั้งแสดงตัวอย่าง ประกอบ ภิกษุ ๕ ประเภท ไม่ต้องอาบัติ คือ (๑) ภิกษุผู้ไม่รู้ตัว (หรือถูกบังคับแต่ไม่ยินดี) (๒) ภิกษุผู้เป็นบ้า (๓) ภิกษุผู้มีจิตฟุ้งสร้าน (หมายถึงเป็นบ้าไปชั่วขณะด้วยเหตุอื่น ไม่ใช่ บ้าโดยปกติ อรรถกถาแก้ว่า ผีเข้า ในสมัยน้ีเทียบด้วยเป็นบ้าเพราะฤทธิ์ยาบางชนิด) (๔) ภกิ ษุผู้มีเวทนากล้า ไมร่ ู้ตัววา่ ทำ� อะไรลงไปบ้าง (๕) ภิกษุผเู้ ปน็ ตน้ บญั ญตั ิ วินีตวตั ถุ (เรอื่ งทท่ี รงวินจิ ฉยั ชี้ขาด) ต่อจากนั้น มกี ารแสดงตวั อย่างที่ภิกษุทำ� ไปเกี่ยวกับสิกขาบทนี้ ในลกั ษณะต่าง ๆ กัน และพระผู้มีพระภาคทรงวินิจฉัย ไต่สวน และชี้ขาดว่า ต้องอาบัติบ้าง ไม่ต้องอาบัติบ้าง ตามเงอ่ื นไขทางพระวินยั ท้งั หมดมีประมาณ ๗๒ เรือ่ ง ๓. ทตุ ยิ ปาราชกิ กัณฑ์ (วา่ ดว้ ยปาราชกิ สกิ ขาบทที่ ๒) หา้ มถือเอาสง่ิ ของทเ่ี จ้าของไม่ใหต้ ง้ั แต่ราคา ๕ มาสกขึน้ ไป เริ่มเรื่องเล่าว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ คร้ังนั้น ภกิ ษหุ ลายรปู ทเ่ี ปน็ มติ รสหายกนั ไดท้ ำ� กฎุ หี ญา้ อยจู่ ำ� พรรษาขา้ งเขาอสิ คิ ลิ ิ ทา่ นพระธนยิ ะ ผเู้ ปน็ บตุ รแห่งช่างหม้อ ก็ทำ� กุฎีหญ้า จ�ำพรรษาอยู่ ณ ที่น้ันดว้ ย ภิกษอุ ่ืน ๆ เม่อื ออกพรรษาก็ร้ือกฎุ ี หญา้ เกบ็ หญา้ เกบ็ ไม้ แลว้ จารกิ ไปสชู่ นบท สว่ นพระธนยิ ะคงอยใู่ นทน่ี นั้ ไมไ่ ปไหนตลอด ๓ ฤดู ขณะทเ่ี ขา้ ไปบณิ ฑบาตยงั หมบู่ า้ น พวกคนเกบ็ หญา้ เกบ็ ไม้ มารอื้ กฎุ ี นำ� หญา้ และไมไ้ ป ทา่ นตอ้ ง ทำ� ใหม่ แตพ่ วกน้นั กม็ าร้อื ขโมยหญา้ และไมไ้ ปอีกถงึ ๓ คร้งั ทา่ นพระธนิยะจึงคดิ สร้างกฎุ ดี นิ เพราะเป็นผู้ช�ำนาญในการผสมดินปั้นหม้อมาก่อน เมื่อตกลงใจด่ังนั้น จึงเอาดินเหลวมาขย�ำ แล้วท�ำเป็นกุฎีดินล้วน เอาหญ้าไม้และมูลโคมาสุมกุฎีท่ีท�ำไว้แล้ว ให้เป็นกุฎีดินเผา สวยงามมี PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 219 5/4/18 2:24 PM
220 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สีแดงดังตัวแมลงเต่าทอง๑ กิตติศัพท์ของกุฎีน้ีท่ีว่าสวยงาม แพร่ไป พระพุทธเจ้าทรงทราบ ตรัสส่ังให้ทุบท�ำลายเสีย เพ่ือมิให้ภิกษุรุ่นหลังเอาอย่าง เพราะ (การขุดดินเอามาท�ำกุฎี) อาจท�ำ สัตว์ใหต้ ายได้ แล้วทรงบญั ญตั ิสิกขาบทห้ามท�ำกฎุ ีดินลว้ น ปรับอาบตั ทิ ุกกฏแก่ผู้ล่วงละเมิด ทา่ นพระธนยิ ะไม่ยตุ ิเพียงเทา่ น้นั เข้าไปหาคนเฝา้ โรงเก็บไมข้ องหลวง เล่าความใหฟ้ งั ถงึ เรอ่ื งทค่ี นรอื้ กฎุ หี ญา้ ขโมยหญา้ และไมไ้ ปถงึ ๓ ครง้ั ทา่ นจงึ คดิ ทำ� กฎุ ดี นิ เผา กถ็ กู สง่ั ใหท้ ำ� ลาย เสยี จงึ มาขอไมจ้ ากคนเฝา้ โรงเกบ็ ไมข้ องหลวง คนเฝา้ ปฏเิ สธวา่ ตนไมม่ ไี มท้ จี่ ะให้ มแี ตไ่ มท้ เ่ี ปน็ ของพระราชาหวงแหน เพอื่ ใชซ้ อ่ มพระนคร เกบ็ ไวใ้ นคราวมอี นั ตราย ถา้ พระราชาพระราชทานก็ น�ำไปได้ พระธนิยะตอบว่า พระราชาพระราชทานแล้ว คนเฝ้าโรงไม้เชื่อว่าเป็นพระคงไม่พูดปด จงึ อนญุ าตให้น�ำไป ทา่ นพระธนิยะก็นำ� ไมม้ าตดั เปน็ ท่อนเล็กทอ่ นน้อยใส่เกวยี นขนไปทำ� กฎุ ีไม้ เม่ือวัสสการพราหมณ์ อ�ำมาตย์ผู้ใหญ่ มาตรวจ พบว่าไม้หายไป จึงไต่สวน แล้วน�ำ ความกราบทูลพระเจ้าพิมพิสาร มีรับสั่งให้น�ำตัวคนเฝ้าโรงไม้เข้าไปเฝ้า เขาจึงถูกมัดน�ำตัวไป ทา่ นพระธนยิ ะเหน็ คนเฝา้ ไมถ้ กู มดั นำ� ตวั ไป จงึ สอบถามไดค้ วามแลว้ กต็ ามไปดว้ ย พระเจา้ พมิ พสิ าร ถวายนมัสการท่านพระธนิยะ แล้วตรัสถามว่า เป็นความจริงหรือท่ีว่า พระองค์ถวายไม้นั้น ท่านพระธนิยะตอบว่า เป็นความจริง พระเจ้าพิมพิสารตรัสว่า พระองค์เป็นพระราชา มีกิจธุระ มาก ถวายไปแล้ว อาจนึกไมอ่ อกกไ็ ด้ ถ้าทา่ นพระธนิยะนึกออก ก็ขอใหช้ ้แี จงมา ทา่ นพระธนยิ ะ ทูลถามว่า ทรงระลึกได้หรือไม่ ที่ทรงเปล่งวาจาในวันอภิเษกเสวยราชย์ว่า หญ้า ไม้ และน้�ำ เป็นอันข้าพเจ้าถวายแก่สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ขอจงใช้สอยเถิด ตรัสตอบว่า ทรงระลึกได้ แต่ที่ตรัสอย่างน้ัน ทรงหมายส�ำหรับสมณพราหมณ์ผู้มีความละอาย ผู้มีความรังเกียจ๒ ใคร่ต่อการศึกษา ผู้เกิดความรังเกียจ แม้ในความชั่วเพียงเล็กน้อย และทรงหมายถึงส่ิงของที่ ไม่มีใครหวงแหนในป่า ท่านถือเอาไม้ที่มิได้ให้ด้วยเลสน้ี คนอย่างพระองค์ จะพึงฆ่า จองจ�ำ หรือเนรเทศสมณะหรือพราหมณ์ได้อย่างไร ท่านจงไปเถิด ท่านพ้นเพราะเพศ (บรรพชิต) ตอ่ ไปอยา่ ทำ� อย่างนีอ้ กี ๑ อินทโคปกะ อาจแปลได้ว่า หิ่งห้อย แมลงทับ แต่ท้ังสองชนิดนี้ไม่มีสีแดง การแปลค�ำนี้ในที่น้ี เป็นปัญหาที่ คน้ คว้ากันมากในผู้ศึกษาภาษาบาลีหลายประเทศ สว่ นใหญเ่ หน็ ว่า ไดแ้ กแ่ มลงเต่าทอง (lady birds) แมลงชนดิ น้ี ๒ โดยปกตติ ัวสีแดง มจี ุดด�ำ แต่ที่ตวั สีเหลือง ก็มบี ้าง แม้มีธุระจะใช้หญ้าใช้ไม้เล็กน้อยในป่า ก็ไม่กล้าใช้ หมายถึงเป็นผู้มีศีลอันดี ย่อมละอายใจ รังเกียจในความช่ัว จึงประทานอนญุ าตไว้ ไม่ไดห้ มายอนญุ าตของในเมอื ง PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 220 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ ทุติยปาราชิกกัณฑ์ 221 มนุษย์ท้ังหลายพากันติเตียนด้วยประการต่าง ๆ ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค ิว ันย ิปฎก จึงทรงเรียกประชมุ สงฆ์ ทรงไตส่ วน เมอ่ื ท่านพระธนยิ ะรบั เป็นสตั ยแ์ ล้ว จึงทรงถามภิกษุผ้เู คย เป็นมหาอ�ำมาตย์ผู้พิพากษา ซึ่งเข้ามาบวชว่า พระเจ้าพิมพิสารทรงจับโจรได้ ทรงประหารชีวิต จองจ�ำหรือเนรเทศ ด้วยก�ำหนดทรัพย์เท่าไร ก็ได้รับค�ำตอบว่า บาทหนึ่ง๑ หรือมีราคาเท่ากับ บาทหนง่ึ หรอื เกนิ กวา่ บาทหนงึ่ ครง้ั นน้ั ในกรงุ ราชคฤห์ บาทหนง่ึ เทา่ กบั ๕ มาสก จงึ ทรงบญั ญตั ิ สิกขาบท มิให้ภิกษุถือเอาส่ิงของที่เจ้าของเขาไม่ให้ ผู้ใดท�ำเช่นน้ัน ได้ราคาท่ีพระราชาจับโจร ได้ประหารชีวิต จองจ�ำ หรือเนรเทศ ต้องอาบตั ปิ าราชกิ อนบุ ัญญตั ิ (ขอ้ บญั ญัติเพิม่ เติม) สมัยน้ัน ภิกษุฉัพพัคคีย์ (พวก ๖ คือเป็นพวกร่วมใจกัน ๖ รูป) ไปท่ีลาน (ตากผ้า) ของช่างย้อม ขโมยห่อผ้าของช่างย้อมน�ำมาแบ่งกัน ความทราบถึงภิกษุท้ังหลาย เธอแก้ตัวว่า นี่เธอไปลักในป่า ไม่ได้ลักในบ้าน สิกขาบทที่บัญญัติมุ่งหมายถึงลักในบ้าน (ความจริงในตัว สิกขาบท มิได้ระบุสถานที่) แต่เพ่ือที่จะปิดมิให้ข้อโต้เถียงต่อไป พระผู้มีพระภาคจึงทรง บัญญัติเพิ่มเติมว่า ลักของจากบ้านก็ตาม จากป่าก็ตาม (ในเร่ืองท่ีเกิดขึ้นนี้ ทรงตัดสินว่า ต้องอาบตั ิปาราชิก) ต่อจากน้ัน เป็นค�ำอธิบายสิกขาบททุกค�ำโดยละเอียด พร้อมท้ังเติมถ้อยค�ำท่ีกัน ข้อแก้ตัว เช่น ค�ำวา่ ของตง้ั อยบู่ นพ้ืน บนบก บนอากาศ (เช่น นก) บนเวหาส (เชน่ ของแขวนไว)้ ในน้�ำ บนเรือ บนยาน บนเครื่องแบก (เช่น ศีรษะ สะเอว) ในอาราม ในวิหาร ในนา ในสวน ในบา้ น ในปา่ เปน็ ตน้ ลักษณะท่ีไม่ต้องอาบัติ มี ๘ ประการ คือ (๑) ภิกษุถือเอาด้วยเข้าใจว่าเป็นของตน (หยิบผิด) (๒) ถอื เอาด้วยเขา้ ใจวา่ คนุ้ เคยกัน แมเ้ จ้าของรกู้ ค็ งไมว่ ่า (๓) ถือเอาโดยเปน็ ของยมื (๔) ถือเอาของท่ีผู้ล่วงลับไปแล้วหวงแหน (ไม่รับรองสิทธิของคนที่ตายไปแล้ว เว้นแต่จะมี ผู้รับมรดกต่อ) (๕) ถือเอาของที่สัตว์หวงแหน (เช่น เสือกัดเน้ือตาย ภิกษุถือเอามาบางส่วน เพือ่ เป็นอาหาร) (๖) ถือเอาดว้ ยบงั สุกลุ สัญญา คือเขา้ ใจว่าเปน็ ของเขาทง้ิ แลว้ (๗) ภิกษุเปน็ บา้ (๘) ภิกษผุ ู้เปน็ ตน้ บัญญัติ ๑ ราคาบาทหนง่ึ หรอื ๕ มาสกของนครนนั้ มรี าคาสงู พอใช้ เพราะในเรอื่ งตวั อยา่ งบางเรอื่ ง ผา้ โพกทขี่ โมยมาจากตลาด ราคายังไม่ถึงบาทหน่ึงด้วยซ้�ำ ดูวินัยปิฎก วิ.มหา. ๑/๑๗๕/๑๐๒ แต่ผ้าโพกท่ีราคาถึง ปรับอาบัติปาราชิกก็มี ในหนา้ ๘๘ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 221 5/4/18 2:24 PM
222 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ วนิ ีตวตั ถุ (เรอื่ งทีท่ รงวนิ จิ ฉัยชข้ี าด) ตอ่ จากนน้ั มีการแสดงตวั อย่างที่ภกิ ษุทำ� ไปเกยี่ วกบั สกิ ขาบทนี้ ในลกั ษณะต่าง ๆ กนั ประมาณ ๑๔๙ เร่ือง พระผู้มีพระภาคทรงวินิจฉัยไต่สวนแล้ว ทรงชี้ขาดว่าต้องอาบัติปาราชิก หรือไม่ ตามควรแก่กรณี ๔. ตติยปาราชกิ กัณฑ์ (วา่ ดว้ ยปาราชกิ สิกขาบทท่ี ๓) ห้ามมิให้ฆ่ามนษุ ย์ เริ่มเรื่องเล่าว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เรือนยอด ป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี พระองค์ได้ทรงแสดงอสุภกถา คือถ้อยค�ำปรารภส่ิงที่ไม่สวยงาม สรรเสริญคุณแห่งอสุภะ และคุณแห่งการเจริญอสุภะ คือ การพิจารณาเห็นร่างกายโดยความเป็นของไม่งาม กับท้ัง คณุ แหง่ อสุภสมาบตั ิ (การเข้าฌานมีอสุภะเป็นอารมณ์) โดยปรยิ ายเปน็ อนั มาก คร้ันแล้วตรัสวา่ ทรงพระประสงค์จะหลีกเร้นอยู่ตามล�ำพังพระองค์ตลอดกึ่งเดือน ใคร ๆ ไม่พึงเข้าไปเฝ้า เว้นแตภ่ ิกษผุ ู้นำ� อาหารเข้าไปเพียงรูปเดียว ภิกษุทั้งหลายปฏิบัติอสุภภาวนา (การเจริญอสุภกัมมัฏฐาน คือพิจารณาร่างกายโดย ความเป็นของไม่งาม) ก็เกิดเบื่อหน่าย รังเกียจด้วยกายของตน เหมือนชายหนุ่มหญิงสาวที่ ชอบการประดับตกแต่ง อาบน้�ำ ด�ำเกล้าแล้ว รังเกียจซากศพงู ซากศพสุนัข ซากศพมนุษย์ อนั คลอ้ งอยทู่ ค่ี อฉะนนั้ เมอื่ เบอื่ หนา่ ยรงั เกยี จดว้ ยกายของตนอยา่ งน้ี กฆ็ า่ ตวั ตายบา้ ง ฆา่ กนั แล กันบ้าง เข้าไปหานายมิคลณั ฑกิ ะ ผแู้ ตง่ ตวั เหมอื นสมณะ จ้างด้วยบาตรจวี รใหฆ้ ่าบา้ ง โดยนยั นี้ นายมคิ ลณั ฑกิ ะก็รับจ้างฆา่ ภิกษุทง้ั หลาย วันละหนึง่ รปู บา้ ง สองรปู สามรปู สรี่ ปู ห้ารูป จนถงึ หกสบิ รูปบา้ ง๑ เมอ่ื ครบกึ่งเดือนแล้ว เสด็จกลับจากทเี่ ร้น ทรงทราบเรอ่ื งนน้ั จงึ ทรงเรียกประชุมสงฆ์ ทรงส่ังสอนอานาปานสติสมาธิ (คือการท�ำใจให้ต้ังม่ันโดยก�ำหนดลมหายใจเข้าออก) โดย ปริยายต่าง ๆ แล้วทรงปรารภเร่ืองภิกษุฆ่าตัวตาย ฆ่ากันและกัน รวมท้ังจ้างผู้อ่ืนให้ฆ่าตน ทรงติเตียน แล้วบัญญัติสิกขาบท ห้ามมิให้ภิกษุฆ่ามนุษย์หรือใช้ให้คนอื่นฆ่า ทรงปรับ อาบตั ปิ าราชิกแกผ่ ้ลู ่วงละเมิด ๑ อรรถกถาตั้งค�ำถามว่า พระพุทธเจ้าไม่ทรงทราบหรือว่า พระเหล่านั้นจะฆ่าตัวตาย หรือจ้างเขาฆ่า แล้วเฉลยว่า ทรงทราบ เพราะภกิ ษนุ น้ั ในชาตกิ อ่ นเคยเปน็ พรานลา่ เนอ้ื ฆา่ เนอื้ มาตลอดชวี ติ เปน็ เรอ่ื งของการใชก้ รรมทไ่ี มม่ ใี คร จะแก้ไขได้ พระองค์จงึ ทรงหลกี เรน้ เสียตลอดก่ึงเดอื น เร่อื งของการใช้กรรม ถ้าไมต่ ายอยา่ งน้ี กต็ ้องตายอย่างอื่น PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 222 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ จตุตถปาราชิกกัณฑ์ 223 อนุบญั ญตั ิ (ขอ้ บญั ญตั เิ พม่ิ เติม) ิว ันย ิปฎก สมัยนั้น อุบาสกคนหน่ึงไม่สบาย ภิกษุฉัพพัคคีย์ (มีพวก ๖) เกิดพอใจในภริยาของ อุบาสกนนั้ จึงพดู พรรณนาคุณแห่งความตาย อบุ าสกนน้ั เชอื่ ก็ตั้งหน้ารับประทานแตข่ องแสลง เปน็ เหตุให้โรคก�ำเริบและตายดว้ ยโรคนัน้ ภริยาของอุบาสกจึงตเิ ตียน ยกโทษ๑ ภกิ ษฉุ พั พัคคยี ์ เหล่าน้ัน ความทราบถึงพระพุทธเจ้า ทรงเรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวน ได้ความเป็นสัตย์แล้ว จึงทรงติเตียน และทรงบัญญัติเพิ่มเติม ห้ามการพรรณนาคุณของความตาย หรือชักชวนเพ่ือ ใหต้ าย ว่าผ้ใู ดละเมดิ ต้องอาบตั ิปาราชกิ ดว้ ย ต่อจากน้ัน เป็นค�ำอธิบายในค�ำบัญญัติสิกขาบทโดยละเอียด และมีข้อความแสดง เร่อื งอนาบตั ิ (การไม่ต้องอาบตั ิ) ว่ามี ๖ ประเภท คือ (๑) ภิกษไุ มร่ ู้ (เชน่ ทำ� ของตกทับคนตาย โดยไมม่ ีเจตนาฆ่า) (๒) ไมป่ ระสงค์จะให้ตาย (๓) ภิกษุเปน็ บา้ (๔) ภกิ ษุมจี ิตฟ้งุ สรา้ น (เปน็ บา้ ไปช่ัวขณะ) (๕) ภกิ ษผุ ้กู ระสบั กระสา่ ยเพราะเวทนากล้า (ไมร่ ู้สกึ ตัว) (๖) ภกิ ษุผเู้ ป็นต้นบัญญัติ วินตี วัตถุ (เรื่องท่ที รงวินิจฉยั ช้ขี าด) มเี รือ่ งตา่ ง ๆ เกิดขึน้ ประมาณ ๑๐๐ เรอ่ื ง เก่ยี วกับการกระทำ� ของภกิ ษุทีม่ ปี ัญหาว่า จะต้องอาบัติปาราชิกเพราะสิกขาบทนี้หรือไม่ พระผู้มีพระภาคได้ทรงไต่สวน และทรงช้ีขาดว่า ต้องอาบัติบ้าง ไม่ต้องอาบัติบ้าง ตามควรแก่กรณี เฉพาะเรื่องสุดท้ายเกี่ยวกับการกระท�ำ ของนางภกิ ษณุ ี ๕. จตุตถปาราชกิ กณั ฑ์ (วา่ ด้วยปาราชิกสกิ ขาบทท่ี ๔) หา้ มภกิ ษุอวดคณุ วเิ ศษทไ่ี ม่มใี นตน เริ่มเร่ืองว่า พระพุทธเจ้าประทับ ณ เรือนยอดในป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี สมัยน้ัน มีภิกษุหลายรูปท่ีชอบพอเป็นมิตรสหายกัน จ�ำพรรษาอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้�ำวัคคุมุทา สมัยนั้น เกิดทุพภิกขภัย๒ ในแคว้นวัชชี (ราชธานี ช่ือกรุงเวสาลี) ภิกษุท้ังหลายล�ำบากด้วยเร่ืองอาหาร บิณฑบาต จงึ ปรึกษากนั วา่ จะทำ� อยา่ งไรดี๓ ๒๑ ยกโทษ ในท่ีนหี้ มายถงึ ติเตยี น กล่าวโทษ - ม.พ.ป. อนั วา่ ดว้ ยปาราชกิ สกิ ขาบทที่ ๑ ตอนทเี่ ลา่ เรอื่ งพระสทุ นิ นะ ๓ เปน็ สมยั เดยี วกบั ทก่ี ลา่ วถงึ ในขอ้ ๒ ปฐมปาราชกิ กณั ฑ์ เป็นสมัยที่ภกิ ษไุ ม่ดีมขี ึน้ หลายรูปแลว้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 223 5/4/18 2:24 PM
224 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ บางรูปเห็นวา่ ควรชว่ ยแนะน�ำกิจการงานของคฤหัสถ์ บางรปู เหน็ วา่ ควรท�ำหนา้ ที่ทูต คือน�ำความข้างน้ีไปบอกข้างนั้น น�ำความข้างน้ันมาบอกข้างน้ี (คล้ายบุรุษไปรษณีย์) บางรูป เห็นว่า ควรใช้วิธีสรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟังว่า ภิกษุรูปน้ันรูปน้ี มีคุณวิเศษอย่างนั้น อย่างนี้ เช่น ได้ฌานที่ ๑ ฌานที่ ๒ เป็นต้น จนถึงว่าได้เป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ มีวิชชา ๓ มีอภิญญา ๖ เม่ือเห็นว่าวิธีหลังนี้ดี จึงเท่ียว สรรเสริญกันและกันให้คฤหัสถ์ฟัง จึงได้รับเลี้ยงดูจากคฤหัสถ์ชาวริมน้�ำวัคคุมุทาเป็นอย่างดี มผี วิ พรรณผอ่ งใส เอบิ อม่ิ เมอื่ ออกพรรษาแลว้ จงึ เกบ็ เสนาสนะ เดนิ ทางไปเฝา้ พระผมู้ พี ระภาค ณ กรงุ เวสาลี ปรากฏวา่ ภกิ ษุทีม่ าแตท่ ิศทางอนื่ ล้วนซบู ผอม ผิวพรรณทราม มีเสน้ เอน็ ขึน้ เหน็ ไดช้ ัด ส่วนภิกษุท่ีมาจากฝั่งน้�ำวัคคุมุทา กลับอ่ิมเอิบ อ้วนพี พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถามทุกข์สุข และทรงทราบเรื่องน้ัน จึงตรัสติเตียนและตรัสเรียกประชุมภิกษุทั้งหลาย ตรัสเรื่องมหาโจร ๕ ประเภท เปรยี บเทยี บกับภกิ ษุ คอื มหาโจร ๕ ประเภท ๑. มหาโจรพวกหนง่ึ คิดรวบรวมพวกต้งั รอ้ ยตงั้ พัน เพอ่ื จะเข้าไปฆ่า ปลน้ เอาไฟเผา ในคามนิคม ราชธานี ต่อมาก็รวบรวมพวกตั้งร้อยตั้งพันเข้าไปฆ่า ปล้น เอาไฟเผาในคามนิคม ราชธานี เทยี บดว้ ยภกิ ษบุ างรปู คดิ รวบรวมพวกตงั้ รอ้ ยตงั้ พนั เพอ่ื จะจารกิ ไปในคามนคิ ม ราชธานี ใหค้ ฤหสั ถแ์ ละบรรพชติ สกั การะ เคารพ นบั ถอื บชู า ออ่ นนอ้ ม และไดจ้ วี ร บณิ ฑบาต ทอี่ ยอู่ าศยั ตลอดจนยารกั ษาโรค ตอ่ มากร็ วบรวมพวกตง้ั รอ้ ยตง้ั พนั จารกิ ไปในคามนคิ ม ราชธานี มคี ฤหสั ถ์ บรรพชิตสักการะ เคารพ นับถือ บูชา อ่อนน้อม และได้จีวร บิณฑบาต ท่ีอยู่อาศัย ตลอดจน ยารกั ษาโรค นเี้ ป็นมหาโจรประเภทท่ี ๑ (ซง่ึ มคี วามปรารถนาลาภสักการะ แล้วก็ทำ� อุบายต่าง ๆ จนได้สมประสงค์) ๒. ภิกษุชั่วบางรูปเรียนพระธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว ก็โกงเป็นของตนเอง (แสดงว่าตนคดิ ได้เอง ไมไ่ ดเ้ รียนหรอื ศึกษาจากใคร) นีเ้ ป็นมหาโจรประเภทที่ ๒ ๓. ภิกษุชั่วบางรูปใส่ความเพ่ือนพรหมจารีผู้บริสุทธ์ิ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธ์ิ ดว้ ยข้อหาวา่ ประพฤติผดิ พรหมจรรย์ อนั ไม่มมี ูล น้เี ป็นมหาโจรประเภทที่ ๓ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 224 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ จตุตถปาราชิกกัณฑ์ 225 ๔. ภิกษุชั่วบางรูปเอาของสงฆ์ท่ีเป็นครุภัณฑ์ ครุบริขาร (ท่ีห้ามแจกห้ามแบ่ง) ิว ันย ิปฎก เชน่ อาราม ทีต่ ้ังอาราม วหิ าร ท่ีต้ังวหิ าร เตยี ง ตัง่ เป็นต้น ไปสงเคราะห์คฤหัสถ์ ประจบคฤหัสถ์ (เพราะเห็นแก่ลาภ) น้เี ป็นมหาโจรประเภทที่ ๔ ๕. ภิกษุผู้อวดคุณพิเศษที่ไม่มีจริง ไม่เป็นจริง ช่ือว่าเป็นยอดมหาโจรในโลก เพราะบริโภคกอ้ นขา้ วของราษฎรด้วยอาการแห่งขโมย ครั้นแล้วทรงติเตียนภิกษุชาวริมฝั่งน้�ำวัคคุมุทาด้วยประการต่าง ๆ พร้อมทั้งทรง บัญญัติสิกขาบท ห้ามอวดคุณพิเศษท่ีไม่มีในตน เม่ืออวดไปแล้ว แม้จะออกตัวสารภาพผิด ทหี ลงั ก็ต้องอาบตั ปิ าราชิก อนุบญั ญตั ิ (ขอ้ บัญญัตเิ พิม่ เติม) สมัยน้ัน ภิกษุหลายรูปส�ำคัญผิดว่าตนได้บรรลุคุณพิเศษ จึงประกาศตนว่าเป็น พระอรหันต์ (พยากรณอ์ รหตั ตผล๑) สมัยต่อมา จติ ของเธอนอ้ มไปเพ่ือราคะ โทสะ โมหะ ก็เกดิ ความรังเกียจ สงสัยว่า การประกาศตนว่าได้บรรลุคุณวิเศษด้วยความส�ำคัญผิด จะท�ำให้ต้อง อาบัติปาราชิกหรือไม่ ความทราบถึงพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติเพ่ิมเติม ยกเว้นให้ส�ำหรับภิกษุ ผสู้ ำ� คัญผดิ วา่ ไดบ้ รรลุ ตอ่ จากนนั้ เปน็ คำ� อธบิ ายตวั สกิ ขาบทโดยละเอยี ดแลว้ แสดงอนาบตั ิ (การไมต่ อ้ งอาบตั )ิ ๖ ประการ คือ (๑) เพราะส�ำคัญผิดว่าได้บรรลุ (๒) ภิกษุมิได้มีความประสงค์โอ้อวด (เช่น บอกเลา่ แกเ่ พือ่ นพรหมจารี โดยมไิ ด้มคี วามปรารถนาจะไดล้ าภ) (๓) ภกิ ษเุ ป็นบา้ (๔) ภกิ ษุมจี ติ ฟุ้งสร้าน (เป็นบ้าไปช่ัวคราวเพราะเหตุใด ๆ) (๕) ภิกษุมีเวทนากล้า (ไม่รู้สึกตัว) และ (๖) ภิกษุ ผูเ้ ป็นตน้ บญั ญตั ิ วนิ ตี วตั ถุ (เรื่องท่ีทรงวนิ ิจฉยั ช้ีขาด) ต่อจากน้ัน แสดงตัวอย่างต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นเกี่ยวด้วยการกระท�ำของภิกษุที่เนื่องด้วย สิกขาบทนี้ ประมาณ ๗๕ ราย ซ่ึงพระผู้มีพระภาคทรงไต่สวนเอง ทรงวินิจฉัยชี้ขาดว่า ต้อง อาบัตปิ าราชิกบา้ ง ไม่ตอ้ งอาบตั ิปาราชิกบ้าง ต้องอาบตั ถิ ลุ ลัจจัยบ้าง อาบัติทุกกฏบา้ ง ตามควร แกก่ รณี ๑ พยากรณ์ หมายถงึ ประกาศ - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 225 5/4/18 2:24 PM
226 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (สรูปความว่า อาบัติปาราชิกมี ๔ สิกขาบท ต้องเข้าแล้ว ต้องขาดจากความเป็นภิกษุ แม้สึกไปแลว้ จะมาบวชใหมอ่ ีก กไ็ มไ่ ด)้ ๖. เตรสกณั ฑ์ (ว่าด้วยอาบัติสงั ฆาทิเสส ๑๓ สกิ ขาบท) สิกขาบทที่ ๑ ห้ามทำ� นำ�้ อสจุ ิใหเ้ คลื่อน เริ่มเร่ืองว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนารามของอนาถปิณฑิกคฤหบดี ใกล้กรุงสาวัตถี ภิกษุเสยยสกะถูกพระอุทายี๑ แนะน�ำในทางที่ผิด ให้ใช้มือเปลื้องความใคร่ ท�ำน้�ำอสุจิให้เคล่ือน ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค ทรงเรียกประชุมสงฆ์ ทรงไต่สวน พระเสยยสกะรับเป็นสัตย์ ทรงติเตียนพระเสยยสกะเป็นอันมาก แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามท�ำน้�ำอสุจิให้เคลื่อนโดยเจตนา ถ้าล่วงละเมิดต้องอาบัติสังฆาทิเสส (อาบัติท่ีต้องให้สงฆ์ เก่ียวข้องในกรรมเบื้องต้นและกรรมอันเหลือ คือสงฆ์เป็นผู้ปรับโทษให้อยู่กรรม และสงฆ์เอง เป็นผู้ระงับอาบัติ) อนุบญั ญตั ิ (ข้อบัญญตั เิ พม่ิ เติม) สมัยน้ัน ภิกษุทั้งหลายนอนหลับ น�้ำอสุจิเคล่ือนด้วยความฝัน เกิดความสงสัยว่า จะต้องสังฆาทิเสส จึงกราบทูลถามพระผู้มีพระภาค พระองค์ตรัสว่า เจตนามีอยู่ แต่เป็น อัพโพหาริก (ไม่ควรกล่าวว่า มี เหมือนอย่างเทน้�ำหมดแก้วแล้ว น�้ำก็ยังคงมีติดอยู่เล็กน้อย แตไ่ มค่ วรกลา่ ววา่ ม)ี แลว้ ทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบทเพิม่ เติม เพ่ิมข้อยกเวน้ ส�ำหรบั ความฝัน ตอ่ จากนนั้ เปน็ คำ� อธบิ ายตวั สกิ ขาบทโดยพสิ ดารแลว้ กลา่ วถงึ เรอ่ื งอนาบตั ิ (การไมต่ อ้ ง อาบัติ) ๖ ประการ คือ (๑) เพราะฝัน (๒) ภิกษุไม่มีเจตนาจะท�ำให้เคลื่อน (๓) ภิกษุเป็นบ้า (๔) ภิกษมุ จี ติ ฟุง้ สรา้ น (เป็นบ้าไปช่ัวคราวด้วยเหตใุ ด ๆ) (๕) ภิกษมุ เี วทนากลา้ และ (๖) ภกิ ษุ ผูเ้ ปน็ ตน้ บัญญตั ิ วนิ ตี วตั ถุ (เรือ่ งทท่ี รงวนิ จิ ฉัยช้ขี าด) ต่อจากน้ัน แสดงตัวอย่างต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน เก่ียวด้วยการกระท�ำของภิกษุที่ เนอื่ งดว้ ยสิกขาบทนี้ ประมาณ ๗๑ ราย ซ่ึงพระผู้มพี ระภาคทรงไต่สวนเอง ทรงวนิ จิ ฉัยช้ีขาดวา่ ต้องอาบัติสังฆาทเิ สสบ้าง ไมต่ ้องบ้าง ตามควรแก่กรณี ๑ ภกิ ษทุ ช่ี ื่ออุทายี มี ๒ รปู รปู หน่งึ ผวิ ดำ� จงึ มผี เู้ รียกวา่ กาฬทุ ายี (อุทายีด�ำ) เคยเป็นอำ� มาตยก์ รงุ กบลิ พสั ดุ์ ออกบวช เมอื่ คราวพระพทุ ธบดิ าใชใ้ หไ้ ปทลู เชญิ เสดจ็ พระพทุ ธเจา้ สว่ นพระอทุ ายที กี่ ลา่ วถงึ ในทนี่ ช้ี อบกอ่ เรอื่ งเลอะเทอะเสมอ จงึ มฉี ายาวา่ โลลุทายี (อทุ ายีเลอะเทอะ) PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 226 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ เตรสกัณฑ์ 227 สิกขาบทที่ ๒ หา้ มจับต้องกายหญงิ ิว ันย ิปฎก เร่ิมเรอ่ื งว่า พระผมู้ ีพระภาคประทับ ณ เชตวนารามเชน่ เคย แล้วกล่าวถงึ วิหาร (ที่อย)ู่ ของพระอทุ ายวี า่ งดงาม มเี ตยี งตง่ั ฟกู หมอน นำ้� ดมื่ นำ�้ ใชต้ ง้ั ไวด้ ี มบี รเิ วณอนั กวาดสะอาด มนษุ ย์ ทั้งหลายพากันไปชมวิหารมากด้วยกัน พราหมณ์ผู้หนึ่งพาภริยาไปขอชมวิหาร พระอุทายีก็ พาชม ให้พราหมณ์เดินหน้า ภริยาตามหลัง พระอุทายีเดินตามหลังภริยาของพราหมณ์น้ันอีก ต่อหน่ึง เลยถือโอกาสจับต้องอวัยวะน้อยใหญ่ของนาง นางบอกแก่สามี สามีโกรธ ติเตียนเป็น อันมาก ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค ทรงเรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวนได้ความเป็นสัตย์ ทรง ติเตียนเป็นอันมากแล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุมีจิตก�ำหนัดจับต้องกายหญิง ไม่ว่า จะเปน็ การจบั มอื จบั ชอ้ งผม หรอื ลบู คลำ� อวยั วะใด ๆ ทรงปรบั อาบตั สิ งั ฆาทเิ สสแกผ่ ลู้ ว่ งละเมดิ คร้ันแล้ว ได้มีค�ำอธิบายตัวสิกขาบทอย่างละเอียด และมีข้อแสดงลักษณะที่ไม่ต้อง อาบัติ คล้ายคลึงกับสิกขาบทท่ีแล้ว ๆ มา ลงท้ายด้วยแสดงวินีตวัตถุ คือเร่ืองท่ีเกิดข้ึน ซ่ึง พระศาสดาทรงวนิ จิ ฉยั ไตส่ วนชข้ี าดดว้ ยพระองคเ์ อง อนั เกย่ี วกบั สกิ ขาบทน้ี ประมาณ ๒๐ เรอ่ื ง สิกขาบทที่ ๓ หา้ มพูดเก้ียวหญงิ เรมิ่ เรอื่ งวา่ พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ เชตวนารามเชน่ เคย แลว้ เลา่ เรอ่ื งสตรหี ลายคน พากนั ไปชมวหิ าร (ทอี่ ย่)ู ของพระอทุ ายี ซ่งึ เลือ่ งลือกันวา่ งดงาม พระอทุ ายีกถ็ ือโอกาสน้นั พดู จา พาดพิงถึงทวารหนัก ทวารเบาของหญิงเหล่านั้น หญิงบางคนที่เป็นคนคะนองไม่มีความอาย ก็ยิ้มแย้ม ซี้ซิก คิกคัก พูดล้อกับพระอุทายี ส่วนหญิงที่มีความละอาย ก็ว่ากล่าวติเตียน ความทราบถงึ พระผู้มพี ระภาค จึงทรงเรยี กประชมุ สงฆ์ ไต่สวนไดค้ วามเปน็ สัตย์ ก็ทรงตเิ ตยี น แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุมีจิตก�ำหนัดพูดเก้ียวหญิงด้วยวาจาช่ัวหยาบ พาดพิงเมถุน ทำ� นองชายหนมุ่ พูดเก้ียวหญงิ สาว๑ ทรงปรับอาบัติสังฆาทิเสสแกผ่ ู้ล่วงละเมิด ต่อจากน้ัน เป็นค�ำอธิบายตัวสิกขาบทโดยละเอียด แล้วแสดงถึงอนาบัติ (การไม่ต้อง อาบัติ) ส�ำหรับภิกษุผู้พูด มุ่งอรรถ มุ่งธรรม มุ่งส่ังสอน ผู้เป็นบ้า และผู้เป็นต้นบัญญัติ แล้ว แสดงถึงวินีตวตั ถุ คือเร่อื งท่เี กิดขึ้นแล้ว พระพทุ ธเจ้าทรงไตส่ วนวนิ จิ ฉยั ช้ขี าด รวม ๑๒ เรอื่ ง ๑ การพูดเก้ียวของอินเดียในสมัยนั้น อาจจะเป็นอย่างนี้ ลักษณะการใช้ถ้อยค�ำ คงเปล่ียนแปลงไปตามกาลเทศะ พงึ เขา้ ใจวา่ การใช้ถอ้ ยค�ำทีม่ ีลกั ษณะเป็นการเกีย้ วหญงิ ย่อมนับเข้าในข้อนี้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 227 5/4/18 2:24 PM
228 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สกิ ขาบทที่ ๔ หา้ มพูดล่อหญงิ ให้บำ� เรอตนดว้ ยกาม เร่ิมเรื่องว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนารามเช่นเคย แล้วเล่าถึงหญิงหม้าย คนหนงึ่ ผมู้ รี ปู รา่ งงดงาม พระอทุ ายเี ขา้ ไปสสู่ กลุ นน้ั สงั่ สอนจนเกดิ ความเลอื่ มใสแลว้ เธอปวารณา ทจี่ ะถวายผา้ นงุ่ หม่ อาหารทน่ี อนทน่ี ง่ั และยารกั ษาโรค แตพ่ ระอทุ ายกี ลบั พดู ลอ่ หรอื ชกั ชวนหญงิ นั้น ใหบ้ ำ� เรอตนดว้ ยกาม ถอื วา่ เป็นส่ิงทหี่ าไดย้ าก นางหลงเชอ่ื แสดงอาการยินยอม พระอทุ ายี ถ่มน�้ำลาย แสดงอาการรังเกียจ นางจึงติเตียนพระอุทายี ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวน ติเตียนแล้ว ทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุมีจิตก�ำหนัด พดู ลอ่ หญงิ ใหบ้ �ำเรอตนดว้ ยกาม ทรงปรับอาบตั ิสงั ฆาทเิ สสแก่ผูล้ ว่ งละเมิด ต่อจากนั้น เป็นค�ำอธิบายข้อความในสิกขาบทอย่างละเอียด พร้อมท้ังแสดงถึงการ ไมต่ อ้ งอาบตั ิ โดยลกั ษณะ ๓ คอื (๑) พดู ใหบ้ ำ� รงุ ดว้ ยปจั จยั ๔ (๒) ภกิ ษเุ ปน็ บา้ (๓) ภกิ ษผุ เู้ ปน็ ตน้ บัญญัติ แล้วแสดงถึงเร่ืองท่ีเกิดขึ้น รวม ๗ เรื่อง ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงไต่สวนชี้ขาดว่า ตอ้ งอาบตั สิ ังฆาทเิ สสหรอื ไม่ สิกขาบทท่ี ๕ หา้ มชกั ส่อื เริ่มเร่ืองว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนารามเช่นเคย สมัยน้ัน พระอุทายีเม่ือ เห็นเดก็ ชายท่ยี ังไมม่ ีภรยิ า เด็กหญิงที่ยังไม่มีสามี กเ็ ที่ยวพดู สรรเสริญเดก็ หญิงในส�ำนักมารดา บดิ าของเดก็ ชาย เขากว็ านใหพ้ ระอทุ ายไี ปสขู่ อเดก็ หญงิ พระอทุ ายไี ปเทย่ี วพดู สรรเสรญิ เดก็ ชาย ในส�ำนักมารดาบิดาของเด็กหญิง เขาก็วานให้พระอุทายีไปพูดให้ฝ่ายชายมาขอบุตรีของตน โดยนัยนี้ พระอุทายีก็ท�ำให้เกดิ การอาวาหะ ววิ าหะ และการสขู่ อหลายราย สมยั นนั้ ธดิ าของหญงิ ผเู้ คยเปน็ โสเภณคี นหนึง่ มรี ปู งาม นา่ ดู นา่ ชม สาวกของอาชวี ก ซ่ึงอยู่ต่างต�ำบล จึงมาขอธิดาน้ัน แต่มารดาของนางอ้างว่า นางไม่รู้จัก ทั้งก็มีลูกคนเดียว ลกู จะตอ้ งไปสตู่ ำ� บลบา้ นอนื่ จงึ ไมย่ อมยกให้ สาวกของอาชวี กจงึ ไปหาพระอทุ ายี ขอใหช้ ว่ ยสขู่ อ และรับรองให้ พระอุทายีก็ไปพูดกับหญิงน้ัน นางเช่ือว่าพระอุทายีรู้จักจึงยอมยกให้ สาวกของ อาชีวกรบั เดก็ หญงิ น้ันไปเลีย้ งดอู ยา่ งลูกสะใภไ้ ดเ้ ดอื นเดียว ต่อมากเ็ ล้ยี งดแู บบทาสี เด็กหญิงจึงส่งข่าวไปแจ้งให้มารดาทราบว่าตนได้รับความล�ำบาก อยู่อย่างทาสี ขอให้ มารดามารับกลับไป มารดาจึงไปต่อว่าสาวกของอาชีวก แต่ก็กลับถูกรุกราน อ้างว่าการน�ำมา นำ� ไปไมเ่ ก่ยี วกบั นาง แต่เกี่ยวกับพระอุทายี จึงไมร่ ับรู้เรือ่ งนี้ นางจึงต้องกลบั ส่กู รุงสาวตั ถี เดก็ หญงิ นั้น สง่ ทตู ไปแจง้ ขา่ วแกม่ ารดาเปน็ ครงั้ ท่ี ๒ เลา่ ถึงความลำ� บากยากแค้นทไี่ ด้ รับในการที่มีความเป็นอยู่แบบทาสี ขอให้มารดาน�ำตัวกลับ มารดาจึงไปหาพระอุทายีให้ช่วย PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 228 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ เตรสกัณฑ์ 229 ไปเจรจากับสาวกของอาชีวกให้ พระอุทายีก็ไปเจรจา แต่ก็ถูกรุกรานกลับมา โดยอ้างว่า ิว ันย ิปฎก พระอุทายีไม่เก่ียว การน�ำมาน�ำไป เป็นเรื่องระหว่างตนกับมารดาของเด็กหญิง เป็นสมณะ ควรขวนขวายนอ้ ย ควรเปน็ สมณะท่ดี ี พระอทุ ายจี ึงตอ้ งกลับ เดก็ หญงิ นน้ั สง่ ทตู ไปแจง้ ขา่ วเชน่ เดมิ แกม่ ารดาอกี เปน็ ครงั้ ท่ี ๓ ขอใหน้ ำ� ตวั กลบั มารดา จงึ ไปหาพระอทุ ายี พระอทุ ายกี บ็ อกวา่ ไปแลว้ และถกู รกุ ราน ไมย่ อมไปอกี มารดาของเดก็ หญงิ นนั้ และหญงิ อนื่ ๆ ที่ไมพ่ อใจแมผ่ ัว พ่อผัว หรอื สามี ก็พากนั ติเตียน สาปแชง่ พระอุทายี ส่วนหญิง ทีพ่ อใจแมผ่ ัว พอ่ ผัว หรือสามี กส็ รรเสรญิ ให้พรพระอุทายี ความทราบถึงพระพุทธเจ้า จึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ ทรงไต่สวนได้ความเป็นสัตย์ จึงทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุชักสื่อให้ชายหญิงเป็นผัวเมียกัน ทรงปรับอาบัติ สงั ฆาทเิ สสแก่ผู้ล่วงละเมดิ ต่อมาพระอุทายีก่อเร่ืองขึ้นอีก โดยพวกนักเลงขอร้องให้ไปตามหญิงแพศยามา เพ่ือ ส�ำเร็จความใคร่ มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทเพ่ิมเติมว่า การชักสื่อ เช่นนัน้ แม้โดยทีส่ ุด เพื่อสำ� เรจ็ ความประสงคช์ ั่วขณะหน่งึ ก็ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ต่อจากน้ัน เป็นค�ำอธิบายตัวสิกขาบทโดยละเอียด และแสดงลักษณะการไม่ต้อง อาบัติว่า (๑) ไปด้วยกิจของสงฆ์ ของเจดีย์ หรือของภิกษุไข้ (๒) ภิกษุเป็นบ้า (๓) ภิกษุผู้ เป็นต้นบัญญัติ ไม่ต้องอาบัติ แล้วได้แสดงตัวอย่างที่เกิดเร่ืองข้ึน ๗ เร่ืองเกี่ยวกับสิกขาบทน้ี ซง่ึ พระผู้มีพระภาคทรงวินิจฉยั ชีข้ าด สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามสรา้ งกุฎดี ว้ ยการขอ เริ่มเร่ืองเล่าว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เวฬุวนาราม ใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งน้ัน ภิกษุชาวแคว้นอาฬวีให้ก่อกุฎี ท่ีไม่มีเจ้าของ (ในท่ีซึ่งไม่มีใครจับจอง) เป็นของจ�ำเพาะตน (เพ่ือประโยชน์ของตนเอง) เป็นกุฎีไม่มีประมาณ (ไม่ก�ำหนดเขตแน่นอน) ด้วยการขอเอาเอง (คอื ขอของใชร้ วมทั้งขอแรง) กฎุ ียังไม่เสร็จ พวกเธอก็มากไปดว้ ยการขอ เช่น ขอคน ขอแรงงาน ขอโค ขอเกวยี น ขอพร้า ขอขวาน เป็นต้น ก่อความเดอื ดร้อนแก่มนุษย์เป็นอนั มาก ถงึ กับเหน็ ภกิ ษทุ ง้ั หลายเข้า ก็พากันหวาดบ้าง สะดุ้งกลัวบ้าง หนีบา้ ง ไปทางอ่นื บา้ ง หนั หน้าหนีไปทางอื่น บา้ ง ปิดประตบู า้ ง เห็นโค ส�ำคัญว่าเปน็ ภกิ ษุ ก็พากันหนีบา้ ง๑ ๑ เรื่องน้ีควรเป็นเครื่องเตือนใจให้สังวรในการเร่ียไร รบกวนชาวบ้านจนไม่เป็นอันท�ำอะไร และแสดงไปในตัวว่า พระพทุ ธเจ้าทรงปราบปรามเรอื่ งเชน่ น้อี ยา่ งหนกั เพยี งไร PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 229 5/4/18 2:24 PM
230 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ทา่ นพระมหากสั สปจารกิ ไปสแู่ ควน้ อาฬวี พกั ทอี่ คั คาฬวเจดยี ์ ไปบณิ ฑบาตกพ็ บมนษุ ย์ ทง้ั หลายพากนั หวาดสะดงุ้ หลบหนี เมอ่ื กลบั มาถามภกิ ษทุ ง้ั หลาย ทราบความแลว้ พอพระพทุ ธเจา้ เสด็จจาริกไปสู่เมืองอาฬวี ก็กราบทูลให้ทรงทราบ จึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ ตรัสเทศนาสั่งสอน ไม่ให้เป็นผู้มักขอ ทรงเล่านิทานประกอบถึง ๓ เร่ือง แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุจะให้ ก่อกุฎี ท่ีไม่มีเจ้าของ เป็นท่ีอยู่จ�ำเพาะตนด้วยการขอ (สิ่งต่าง ๆ) เอาเอง พึงท�ำให้ได้ประมาณ คอื ยาวไมเ่ กนิ ๑๒ คบื กวา้ งไมเ่ กนิ ๗ คบื ทง้ั ตอ้ งใหภ้ กิ ษทุ งั้ หลายแสดงทใ่ี หก้ อ่ น ภกิ ษทุ งั้ หลาย พึงแสดงท่ี ซ่ึงไม่มีใครจองไว้ ที่มีชานรอบ ถ้าภิกษุให้ก่อกุฎีด้วยการขอ (สิ่งต่าง ๆ) เอาเอง ในที่ซ่ึงมีผู้จองไว้ ไม่มีชานรอบ ไม่ให้ภิกษุท้ังหลายแสดงท่ีให้ก่อนก็ดี ท�ำให้เกินประมาณก็ดี ต้องอาบตั สิ ังฆาทิเสส ต่อจากน้ัน เป็นค�ำอธิบายตัวสิกขาบทโดยละเอียด และอธิบายถึงลักษณะการไม่ต้อง อาบัตไิ ว้ ทม่ี ลี กั ษณะอันไมท่ �ำใหช้ าวบา้ นเดอื ดรอ้ น และภิกษุผู้ท�ำเป็นบา้ หรือเปน็ ตน้ บัญญตั ิ สิกขาบทท่ี ๗ ห้ามสรา้ งวหิ ารใหญ่โดยสงฆม์ ไิ ดก้ ำ� หนดท่ี เรม่ิ เรื่องเล่าวา่ พระผมู้ ีพระภาคประทบั ณ โฆสติ าราม กรงุ โกสมั พี ครั้งนัน้ คฤหบดี ผูเ้ ป็นอปุ ัฏฐาก (บำ� รุง) พระฉันนะ ขอใหพ้ ระฉันนะแสดงทใี่ ห้ ตนจะสรา้ งวหิ ารถวาย พระฉันนะ ให้ปราบพ้ืนท่ี ให้ตัดต้นไม้ท่ีชาวบ้านนับถือว่าศักด์ิสิทธิ์ เป็นการก่อความสะเทือนใจ มนุษย์ ท้ังหลายจึงพากันติเตียน ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงติ และทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุจะให้ท�ำวิหารใหญ่อันมีเจ้าของ เฉพาะตนเอง พึงน�ำภิกษุท้ังหลายไปเพื่อแสดงท่ี ภิกษุ เหล่านั้น พึงแสดงท่ีอันไม่มีผู้จองไว้ อันมีชานรอบ หากภิกษุให้ท�ำวิหารใหญ่ในท่ีมีผู้จองไว้ หาชานรอบมไิ ด้ หรอื ไมน่ ำ� ภกิ ษุทั้งหลายไปแสดงท่ี ต้องอาบัตสิ งั ฆาทเิ สส ต่อจากน้ัน เป็นค�ำอธิบายตัวสิกขาบท๑ โดยละเอียด ส่วนลักษณะการไม่ต้องอาบัติ คงเปน็ เชน่ เดียวกับสกิ ขาบทที่ ๖ ๑ สิกขาบทนี้ ต่างจากสิกขาบทท่ี ๖ โดยสาระส�ำคัญ คือสิกขาบทท่ี ๖ ภิกษุท�ำเอง ด้วยการขอส่ิงของและขอแรง ส่วนสกิ ขาบทนี้คนอืน่ ท�ำให้ จงึ ไมม่ กี ารจ�ำกัดขนาด แต่คงตอ้ งใหส้ งฆแ์ สดงทใ่ี หเ้ หมอื นสิกขาบทก่อน เพอื่ กันมใิ ห้ ปลูกตามใจชอบ โดยสงฆ์ไม่รับรู้ อันอาจเกะกะไม่เป็นระเบียบ และอาจเป็นเหตุกระทบต่อความรู้สึกของคนอ่ืน พึงสังเกตอยา่ งหนึง่ วา่ ทั้งสองสิกขาบทนี้ ใหป้ ลกู สร้างทอ่ี ยโู่ ดยมบี รเิ วณโดยรอบขนาดเกวยี นเดินรอบได้ ไม่นิยม ให้ปลูกติด ๆ กนั PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 230 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ เตรสกัณฑ์ 231 สิกขาบทที่ ๘ ห้ามโจทอาบัติปาราชิกไม่มีมลู ิว ันย ิปฎก เริ่มเร่ืองเล่าว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เวฬุวนาราม ใกล้กรุงราชคฤห์ สมัยน้ัน พระทัพพมัลลบุตร (ผู้เป็นบุตรแห่งมัลลกษัตริย์) ได้บรรลุพระอรหัตตผลตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ ไม่มีกิจอื่นที่จะต้องท�ำอีก ต่อมาท่านปรารถนาจะท�ำประโยชน์แก่คณะสงฆ์ โดยเป็นผู้จัด เสนาสนะ (เสนาสนคาหาปกะ มีหน้าท่ีจัดที่พักให้พระที่เดินทางมา) และเป็นผู้แจกภัตต์ (ภัตตุทเทสกะ มีหน้าท่ีจัดภิกษุไปฉันในที่นิมนต์ ในเม่ือทายกมาขอพระต่อสงฆ์) จึงกราบทูล ความด�ำริของท่านแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคประทานสาธุการ และทรงแสดงความ เห็นชอบด้วยทีจ่ ะให้ทา่ นทัพพมัลลบุตรท�ำหนา้ ทที่ ง้ั สองนน้ั จงึ ตรสั เรยี กประชมุ สงฆ์ ใหส้ งฆเ์ ชญิ พระทพั พะกอ่ นแลว้ ใหภ้ กิ ษรุ ปู หนง่ึ สวดประกาศ ขอความเห็นชอบในการสมมติ พระทัพพมัลลบุตรเป็นผู้แจกเสนาสนะ และแจกภัตต์ เม่ือไม่มี ผ้ใู ดคัดค้าน จึงเปน็ อันสงฆ์ได้สมมติ (หรอื แต่งต้งั ) แล้ว พระทพั พมลั ลบตุ รทำ� หนา้ ทมี่ าดว้ ยดี ครง้ั หนงึ่ ถกู ภกิ ษพุ วกพระเมตตยิ ะ และภมุ มชกะ (สองรูปนี้เป็นหัวหน้าของกลุ่มภิกษุผู้มักก่อเรื่องเสียหาย) เข้าใจผิดหาว่าท่านไปแนะน�ำคฤหบดี ผู้หน่ึง มิให้ถวายอาหารดี ๆ แก่พวกตน ซ่ึงความจริงคฤหบดีผู้น้ัน ไม่เล่ือมใส และรังเกียจ ด้วยตนเอง จึงใช้นางเมตติยาภิกษุณีให้เป็นโจทก์ฟ้องพระทัพพมัลลบุตร ในข้อหาต้องอาบัติ ปาราชกิ เพราะข่มขืนนาง พระพุทธเจ้าทรงประชุมสงฆ์ ไต่สวน ได้ความว่าเป็นการแกล้งใส่ความ จึงให้สึก นางเมตติยาภิกษุณี พวกภิกษุผู้ใช้ออกรับสารภาพแทน ก็ไม่ทรงผ่อนผัน กลับทรงเรียก ประชุมสงฆ์ ติเตียนหมู่ภิกษุผู้คิดร้าย ใส่ความฟ้องพระทัพพมัลลบุตรด้วยอาบัติปาราชิก ไมม่ มี ลู แลว้ ทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบท ปรับอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส แก่ภิกษผุ ปู้ ระพฤตเิ ช่นนัน้ ตอ่ จากนนั้ เปน็ คำ� อธบิ ายตวั สกิ ขาบทโดยละเอยี ด และแสดงลกั ษณะการไมต่ อ้ งอาบตั วิ า่ (๑) โจทด้วยเข้าใจผิดในภิกษุผู้บริสุทธิ์ ว่าไม่บริสุทธิ์ (๒) โจทภิกษุผู้ไม่บริสุทธิ์จริง (๓) ภิกษุ เป็นบา้ (๔) ภิกษุผเู้ ปน็ ตน้ บญั ญตั ิ สิกขาบทที่ ๙ หา้ มอ้างเลสโจทอาบตั ิ เล่าเร่ืองภิกษุ พวกพระเมตติยะ และภุมมชกะชุดเดิม แกล้งหาเลส โจทพระทัพพมัลลบุตร ด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล คือเห็นแพะตัวผู้เป็นสัดด้วยแพะตัวเมีย ก็นัดกันต้ังชื่อแพะตัวผู้ ว่า พระทัพพมัลลบุตร ต้ังชื่อแพะตัวเมียว่า เมตติยาภิกษุณี แล้วเที่ยวพูดว่า ตนได้เห็น พระทัพพมัลลบตุ รได้เสยี กับนางเมตตยิ าภิกษณุ ดี ้วยตาตนเอง PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 231 5/4/18 2:24 PM
232 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงเรยี กประชมุ สงฆ์ ทรงไตส่ วนพระทพั พมลั ลบตุ ร ได้ความว่า เป็นการอ้างเลส ใส่ความ จึงมอบให้สงฆ์จัดการไต่สวนภิกษุพวกท่ีอ้างเลสใส่ความ เม่ือพวกเธอรับเป็นสัตย์ จึงทรงติเตียน แล้วบัญญัติสิกขาบท ห้ามอ้างเลสใส่ความภิกษุด้วย อาบตั ปิ าราชกิ ไม่มมี ลู ทรงปรบั อาบัติสงั ฆาทิเสสแก่ผลู้ ว่ งละเมิด ต่อไปเป็นค�ำอธิบายตัวสิกขาบทโดยละเอียด และค�ำอธิบายลักษณะไม่ต้องอาบัติ เปน็ อยา่ งเดยี วกบั สกิ ขาบทที่ ๘ (ตง้ั แตส่ กิ ขาบทที่ ๑ ถงึ ที่ ๙ เรยี กวา่ ปฐมาปตั ตกิ ะ คอื ตอ้ งอาบตั ิ ตั้งแต่ลงมือท�ำคร้ังแรก ส่วนสิกขาบทที่ ๑๐ ถึง ๑๓ เรียกยาวตติยกะ สงฆ์ต้องสวดประกาศ ครบ ๓ ครงั้ ขืนดือ้ ดงึ จึงต้องอาบัต)ิ สิกขาบทที่ ๑๐ ห้ามท�ำสงฆใ์ ห้แตกกนั เรม่ิ เรอ่ื ง เลา่ วา่ พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ เวฬวุ นารามเชน่ เคย แลว้ เลา่ เรอ่ื งพระเทวทตั เขา้ ไปหาพระโกกาลกิ ะ พระกฏโมรกตสิ สกะ พระทเ่ี ปน็ บตุ รของนางปณั ฑเทวี และพระสมทุ รทตั ชักชวนให้ท�ำสงฆ์ให้แตกกัน พร้อมท้ังบอกแผนการท่ีจะเสนอไปในทางให้เคร่งครัดย่ิงขึ้น ๕ ข้อ ซึ่งเข้าใจว่าพระผู้มีพระภาคคงไม่ทรงอนุญาต และตนจะได้น�ำข้อเสนอน้ันประกาศแก่ มหาชน ข้อเสนอ ๕ ข้อ คอื ๑. ภกิ ษุพึงอยปู่ ่าตลอดชีวิต เขา้ ละแวกบา้ น ตอ้ งมโี ทษ ๒. ภิกษุพึงถือบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต ผู้ใดรับนิมนต์ (ไปฉันตามบ้าน) ตอ้ งมีโทษ ๓. ภิกษุพึงใช้ผ้าบังสุกุล (ผ้าเปื้อนฝุ่น คือผ้าหรือเศษผ้าที่เขาท้ิงตามกองขยะบ้าง ตามที่ต่าง ๆ บ้าง น�ำมาซักและปะติดปะต่อเป็นจีวร) จนตลอดชีวิต ผู้ใดรับ คฤหบดีจวี ร (ผ้าทเี่ ขาถวาย) ต้องมีโทษ ๔. ภิกษพุ งึ อยูโ่ คนไมจ้ นตลอดชีวติ ผูใ้ ดเข้าสู่ทม่ี ุง (ทมี่ ีหลงั คา) ต้องมีโทษ ๕. ภกิ ษุไมพ่ งึ ฉันเน้อื สัตว์ ผู้ใดฉนั ตอ้ งมีโทษ ภิกษุเหล่านั้นเห็นมีทางชนะก็ร่วมด้วย พระเทวทัตจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลข้อเสนอท้งั หา้ ข้อน้ัน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ”ดูก่อนเทวทัต๑ ผู้ใดปรารถนาจะอยู่ป่าก็จงอยู่ป่า ผู้ใด ปรารถนาจะอยใู่ นละแวกบา้ น กจ็ งอยใู่ นละแวกบา้ น ผใู้ ดปรารถนาจะเทยี่ วบณิ ฑบาตกจ็ งเทยี่ ว บิณฑบาต ผู้ใดปรารถนาจะรับนิมนต์ ก็จงรับนิมนต์ ผู้ใดปรารถนาจะใช้ผ้าบังสุกุล ก็จงใช้ ๑ พระดำ� รสั ตอบของพระพทุ ธเจา้ เปน็ ไปในทางสายกลาง ไมต่ งึ เกนิ ไป ไมห่ ยอ่ นเกนิ ไป อนโุ ลมใหเ้ หมาะสมกบั กาลเทศะ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 232 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ เตรสกัณฑ์ 233 ผ้าบังสุกุล ผู้ใดปรารถนาจะรับคฤหบดีจีวร (ผ้าที่เขาถวาย) ก็จงรับคฤหบดีจีวร เราอนุญาต ิว ันย ิปฎก ที่นอนท่ีน่ัง ณ โคนไม้ ตลอด ๘ เดือน (ท่ีมิใช่ฤดูฝน) เราอนุญาตเนื้อสัตว์ที่บริสุทธิ์โดยส่วน ๓ คอื ไมไ่ ด้เหน็ ไมไ่ ด้ยนิ ไม่ได้รังเกียจ (ว่าเขาฆ่าเพอ่ื เจาะจงจะให้ภกิ ษบุ ริโภค)„ พระเทวทัตดีใจ จึงเที่ยวประกาศให้เห็นว่า พระผู้มีพระภาคไม่ทรงอนุญาตข้อเสนอ ท่ีดีของตน ท�ำให้คนท่ีมีปัญญาทรามบางคนเห็นว่า พระสมณโคดมเป็นผู้มักมาก แต่คนที่ เข้าใจเรื่องดี กลับติเตียนพระเทวทัต ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ ทรงไตส่ วนพระเทวทตั รบั เปน็ สตั ยแ์ ลว้ จงึ ทรงตเิ ตยี น และบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มภกิ ษพุ ากเพยี ร ทำ� สงฆใ์ หแ้ ตกกนั เมอ่ื ภกิ ษอุ น่ื หา้ มปราม ไมเ่ ชอ่ื ฟงั ภกิ ษทุ งั้ หลายพงึ สวดประกาศ (เปน็ การสงฆ)์ เพอ่ื ใหเ้ ธอเลกิ เรอื่ งนัน้ เสีย ถ้าสวดประกาศครบ ๓ ครงั้ ยังไมล่ ะเลิก ต้องอาบัติสงั ฆาทเิ สส ต่อจากนั้น เป็นค�ำอธิบายตัวสิกขาบทโดยละเอียด และแสดงลักษณะไม่ต้องอาบัติ คือ (๑) สงฆไ์ มส่ วดประกาศ (๒) เธอละเลกิ เสียได้ (๓) ภิกษุเปน็ บ้า (๔) ภิกษุผเู้ ปน็ ต้นบญั ญตั ิ สิกขาบทที่ ๑๑ ห้ามเป็นพรรคพวกของผทู้ ำ� สงฆใ์ ห้แตกกนั เนอื่ งมาจากสกิ ขาบทที่ ๑๐ คือภกิ ษโุ กกาลกิ ะ เปน็ ตน้ สนบั สนนุ พระเทวทตั วา่ ไมค่ วร ติเตียนพระเทวทัต พูดเป็นธรรม เป็นวินัย ต้องด้วยความพอใจของตน ภิกษุทั้งหลายพากัน ตเิ ตยี นภกิ ษพุ วกทส่ี นบั สนนุ ภกิ ษผุ พู้ ากเพยี รทำ� สงฆใ์ หแ้ ตกกนั นนั้ ความทราบถงึ พระพทุ ธเจา้ จงึ ทรงเรยี กประชมุ สงฆ์ ไดค้ วามจรงิ แลว้ จงึ ทรงตเิ ตยี น และทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มสนบั สนนุ ภิกษุผู้พากเพียรท�ำสงฆ์ให้แตกกัน ถ้าห้ามไม่ฟัง ให้ภิกษุท้ังหลายสวดประกาศตักเตือน (เป็นการสงฆ์) ถ้าครบ ๓ ครงั้ ยงั ไม่ละเลกิ ต้องอาบัติสังฆาทเิ สส ต่อจากนั้น เป็นค�ำอธิบายตัวสิกขาบท ส่วนลักษณะที่ไม่ต้องอาบัติ ก็คล้ายกับ สิกขาบทที่ ๑๐ มเี พมิ่ ภกิ ษมุ จี ติ ฟุง้ สร้าน มีเวทนากล้า อีก ๒ ขอ้ สิกขาบทที่ ๑๒ ห้ามเปน็ คนวา่ ยากสอนยาก เร่ิมเร่ืองเล่าว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ โฆสิตาราม ใกล้กรุงโกสัมพี สมัยน้ัน พระฉันนะ๑ ประพฤติอนาจาร (ความประพฤติอันไม่สมควร) ภิกษุทั้งหลายว่ากล่าว กลับว่า ติเตียน ภิกษุท้ังหลายจึงพากันติเตียน ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค ทรงเรียกประชุมสงฆ์ ไต่สวนได้ความเป็นสัตย์แล้ว จึงทรงติเตียนและทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามท�ำตนเป็นผู้ว่ายาก ๑ พระฉันนะรูปน้ี เคยตามเสด็จเมื่อคราวทรงผนวช จึงถือตัวว่าเป็นคนส�ำคัญ ไม่ยอมให้ใครว่ากล่าว กลายเป็น คนดื้อว่ายาก ใครปราบไม่ลง พระพุทธเจ้าทรงส่ังให้สงฆ์ลงพรหมทัณฑ์ คือ อย่าให้ใครว่ากล่าว ตักเตือน หรือพดู จาด้วย จึงกลับตวั ได้ในทสี่ ุด PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 233 5/4/18 2:24 PM
234 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ถ้าไม่เช่ือฟัง ภิกษุทั้งหลายสวดประกาศตักเตือน (เป็นการสงฆ์) ถ้าครบ ๓ ครั้ง ยังไม่ละเลิก ต้องอาบัตสิ งั ฆาทเิ สส ต่อจากน้ัน เป็นค�ำอธิบายตัวสิกขาบทโดยละเอียด ส่วนลักษณะท่ีไม่ต้องอาบัติ อย่างเดียวกับสิกขาบทท่ี ๑๐ สกิ ขาบทที่ ๑๓ ห้ามประทุษรา้ ยสกลุ คอื ประจบคฤหัสถ์ เริ่มเรื่องเล่าว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี ครั้งน้ัน ภิกษุเลว ๆ ที่ชื่อว่าเป็นพวกพระอัสสชิ๑ และพระปุนัพพสุกะ เป็นภิกษุเจ้าถ่ินอยู่ในชนบท ชื่อว่ากิฏาคิริ เป็นพระอลัชชี ภิกษุเหล่านั้นประพฤติอนาจาร มีประการต่าง ๆ เช่น การประจบ คฤหสั ถ์ ท�ำส่ิงต่าง ๆ ใหเ้ ขา เลน่ ซนตา่ ง ๆ มีภิกษุรูปหนึ่ง จ�ำพรรษาในแคว้นกาสี ผ่านมาพัก ณ ชนบทน้ัน เพ่ือจะเดินทางไป กรุงสาวัตถี เพ่ือเฝ้าพระผู้มีพระภาค ภิกษุนั้นเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้านด้วยอาการส�ำรวม แต่มนุษย์ท้ังหลายไม่ชอบ เพราะไม่แสดงอาการประจบประแจง เหมือนภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ จึงไม่ถวายอาหาร แต่อุบาสกผู้หน่ึง (เป็นผู้เข้าใจพระธรรมวินัยถูกต้อง) เห็นเข้า จึงนิมนต์ภิกษุรูปนั้นไปฉันที่บ้านของตน ส่ังความให้ไปกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า ภกิ ษุพวกพระอสั สชแิ ละพระปุนัพพสุกะ ประพฤติตนไม่สมควรตา่ ง ๆ ความทราบถึงพระพุทธเจ้า ทรงติเตียน แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท มีใจความว่า ภิกษุประทุษร้ายสกุล (ประจบคฤหัสถ์ ทอดตนลงให้เขาใช้) มีความประพฤติเลวทราม เป็นท่ีรู้ เห็นทั่วไป ภิกษุท้ังหลายพึงว่ากล่าวและขับเสียจากท่ีน้ัน ถ้าเธอกลับว่าติเตียน ภิกษุทั้งหลาย พงึ สวดประกาศ (เปน็ การสงฆ)์ ใหเ้ ธอละเลกิ ถา้ สวดครบ ๓ ครงั้ ยงั ดอ้ื ดงึ ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ต่อจากนั้น เป็นค�ำอธิบายตัวสิกขาบทโดยละเอียด และแสดงลักษณะท่ีไม่ต้องอาบัติ เหมือนสิกขาบทท่ี ๑๑ (พึงสังเกตว่า ตั้งแต่สิกขาบทที่ ๑๐ มาถึงสิกขาบทท่ี ๑๓ ท่ีเรียกว่า ยาวตตยิ กะนั้น ตอ้ งสวดประกาศครบ ๓ คร้งั จึงต้องอาบตั )ิ ๗. อนยิ ตกัณฑ์ (ว่าด้วยอาบัติอันไม่แนว่ า่ จะควรปรับในขอ้ ไหน ๒ สกิ ขาบท) สิกขาบทที่ ๑ วธิ ปี รบั อาบัติเพราะนั่งในท่ลี บั ตากับหญงิ สองตอ่ สอง เร่ิมเรื่องเล่าว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม ใกล้กรุงสาวัตถี สมัยนั้น พระอทุ ายี เป็นผ้เู ขา้ สู่สกลุ มากดว้ ยกัน ในกรงุ สาวตั ถี วันหนึ่งเข้าไปน่ังในห้องลบั ตาสองตอ่ สอง กับหญิงสาว สนทนาบ้าง กล่าวธรรมบ้าง นางวิสาขาได้รับเชิญไปสู่สกุลน้ัน เห็นเข้า จึงทักท้วง ๑ พระอัสสชิ รปู นี้ มใิ ช่รูปทเ่ี ปน็ อาจารยพ์ ระสารบิ ุตร - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 234 5/4/18 2:24 PM
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221