201 รูล้ มหายใจ พุทธพจน์ ๑๒ มสี ตหิ ายใจออก มสี ติหายใจเข้า เมอื่ หายใจออกยาวกร็ ชู้ ัดว่าเราหายใจออกยาว เมือ่ ๓หายใจเขา้ ยาวก็รู้ชดั ว่าเราหายใจเข้ายาว เม่ือหายใจออกสั้นก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น เม่ือ ๔หายใจเข้าส้นั กร็ ชู้ ัดว่าเราหายใจเข้าสัน้ ส�ำเหนียกว่าเราจักเป็นผู้ก�ำหนดรู้ตลอดกองลมท้ัง ๕ปวงหายใจออก สำ� เหนยี กวา่ เราจกั เปน็ ผกู้ ำ� หนดรตู้ ลอดกองลมทงั้ ปวง ๖๗หายใจเข้า สำ� เหนียกว่าเราจักระงบั กายสังขารหายใจออก ส�ำเหนยี กวา่ เราจกั ระงบั กายสงั ขารหายใจเขา้ มหาสตปิ ฏั ฐานสตู ร > กายานปุ สั สนา > อานาปานบรรพ howfarbooks.com
202 ลงมือปฏิบัติ สำ� หรบั มอื ใหม่ ทางทดี่ อี ยา่ ลงนง่ั ขดั สมาธิ เพราะความเมอ่ื ยขบจะ รบกวนสมาธิ เราจะเอาสมาธทิ ่ีจิต ไม่ใชท่ า่ ทางทีก่ าย เมอ่ื ฝึกน่งั ห้อยเทา้ ตามสบายบนเกา้ อพี้ กั หนง่ึ จนไดผ้ ล จติ มคี วามนง่ิ มคี วามสวา่ งชมุ่ ชนื่ แลว้ ค่อยกลบั มาน่ังขดั สมาธิในภายหลงั จะนัง่ ไดน้ านโดยไม่เมอื่ ยขบ เพราะ สารแหง่ ความสุขหลง่ั ทั่วรา่ ง และกลา้ มเนื้อผ่อนคลายเท่าทจ่ี ะผอ่ นคลาย ได้แล้ว การมีสตหิ ายใจออก มีสตหิ ายใจเขา้ นน้ั ฟังเผนิ ๆเหมือนง่าย ทวา่ เอาเข้าจริงเป็นจุดเร่ิมต้นท่ียากมาก เพราะคนจะไม่รู้ตามจริง แต่จะไป บงั คบั ลมเอาตามใจอยาก ยงั ไมถ่ งึ เวลาเขา้ กไ็ ปเรง่ ใหเ้ ขา้ ยงั ไมถ่ งึ เวลายาว ก็ไปเร่งใหย้ าว หรือไมก่ ใ็ จรอ้ น อยากระงับความฟ้งุ ซา่ น อยากสะกดจิต ใหน้ ง่ิ โดยพลนั ทงั้ ทยี่ งั ขาดปจั จยั ทพี่ รอ้ มพอ ฉะนน้ั แรกสดุ ใหฝ้ กึ รลู้ มตาม ความเป็นจรงิ ใหไ้ ด้ก่อน เริ่มด้วยการส�ำรวจสังเกตว่าฝ่าเท้างองุ้มไหม ถ้างุ้มหรือเกร็งอยู่ก็ คลายออกเสีย วางเทา้ แบราบกับพ้ืนอย่างสบาย พอฝ่าเท้าสบาย พื้นจติ พน้ื ใจกพ็ ลอยสบายตาม กอ่ นหนา้ ถา้ ฟงุ้ มากกจ็ ะฟงุ้ นอ้ ยลง หรอื ถา้ เครยี ด มากกเ็ ห็นว่าเครียดน้อยลงด้วย จากนั้นจึงส�ำรวจว่าฝ่ามือผ่อนคลายหรือก�ำอยู่ ถ้าก�ำก็คลายเสีย จะวางไวบ้ นหน้าตกั หรือทไี่ หนกต็ าม และถงึ ทส่ี ดุ ใหส้ �ำรวจขน้ั สดุ ทา้ ยว่า ทัว่ ใบหน้าผอ่ นคลาย หว่างคว้ิ หายขมวด ขมบั หายตึงหรือยงั แค่สำ� รวจ เฉยๆกเ็ ปน็ เหตุใหก้ ล้ามเน้ือท้งั ใบหนา้ คลายออกหมดได้ พอฝ่าเท้า ฝ่ามือ และใบหน้าคลายจากความฝืดฝืนทั้งหมด เสยี ดาย... คนตายไมไ่ ดอ้ า่ น
203 อุปสรรคของสมาธกิ ็หายไป รสู้ กึ ถงึ ทา่ นง่ั อย่างชัดเจนขนึ้ มา จิตเปดิ กวา้ ง สบาย พรอ้ มจะรู้ พร้อมจะดูวา่ เกดิ อะไรข้นึ กับกายใจบา้ งแลว้ เมอ่ื ไดค้ วามสบายตวั สบายใจเปน็ ฐาน กอ็ ยา่ เพง่ิ เพง่ จบั เขา้ ไปทล่ี ม แต่ให้ถามตวั เองว่าตอนน้รี า่ งกายต้องการเรยี กลมเขา้ หรอื ยงั ถา้ ต้องการ คุณจะรู้สึกถึงความขาดขึ้นมาก่อน ก็ค่อยลากลมหายใจเข้าสบายๆ พอ ลากเข้ามาสุด จะรู้สึกอึดอัด ต้องการระบาย ก็ให้ระบายออกอย่างเป็น ธรรมชาติ วัดความเป็นธรรมชาติได้จากการท่ีจิตไม่มีอาการเพ่งเล็ง รา่ งกายไม่มีความเกร็งทีต่ รงไหน จากน้ันส�ำคัญ ที่จะท�ำให้จิตเริ่มเป็นสมาธิอ่อนๆ คือ สังเกตว่า ร่างกายยังไม่ได้ต้องการลมเข้าทันที เม่ือยังไม่รู้สึกขาดก็ไม่ต้องรีบลาก ลมเขา้ กายจะมีความนิง่ สบายอย่ไู ดร้ ะยะหนง่ึ ระยะนน้ั เองจะเป็นช่วงที่ จิตซึมซับความปลอดโปร่งสบายทางกายและทางใจ ต่อเม่ือร่างกายส่ง สัญญาณว่าขาดลมอีก จงึ คอ่ ยลากลมเขา้ อีก วนเวียนอยอู่ ยา่ งนี้ น่เี รยี กวา่ สำ� เร็จในขัน้ แรก คือมีสติรตู้ ามจรงิ ว่าก�ำลงั หายใจออกหรือหายใจเขา้ ผลท่ีถูกต้องจะเป็นความรู้สึกว่าลมหายใจเข้าออกของมันเองเป็น อตั โนมัติ เราจะสงั เกตรายละเอยี ดอน่ื ๆไดเ้ องเช่นกัน เช่น เม่ือไม่หายใจ ตามอยาก และไมบ่ งั คบั ลมใหย้ าวผดิ จากความตอ้ งการจรงิ ๆของรา่ งกาย ร่างกายจะตอ้ งการลมเข้าออกยาวบ้าง สนั้ บา้ ง ไมแ่ น่นอน ไม่เทีย่ ง จากนนั้ คุณจะเรมิ่ รู้สกึ ว่าลมหายใจเปน็ ของภายนอก เขา้ มาขา้ งใน เดย๋ี วเดยี วกต็ อ้ งคนื กลบั ไป ณ จดุ ทรี่ สู้ กึ ไดว้ า่ ลมเปน็ ของอน่ื เปน็ ตา่ งหาก จากกาย คุณจะเห็นวา่ จติ ผู้ทำ� หนา้ ทรี่ กู้ ็สว่ นหนึง่ ลมหายใจซึ่งก�ำลงั แสดง ความไม่เทีย่ งให้รกู้ ็อีกส่วนหนึ่ง เป็นคนละภาคกนั จากนนั้ จติ จะตง้ั มน่ั มากขนึ้ รสู้ กึ นงิ่ ออกมาจากภายใน กายของคณุ จะทรงอยู่ในอาการตรง ระงับความกวัดแกว่งไหวติงไปเอง ไม่ใช่ด้วย howfarbooks.com
204 อาการเพ่งฝืนเกร็ง ลมหายใจจะดูชดั ข้ึน เป็นลำ� ยาวราวกบั นำ้� ตกท่ีข้นึ ลง อยทู่ า่ มกลางอากาศวา่ ง สวา่ ง กวา้ งขวาง เดี๋ยวมสี ายลมเขา้ ใหด้ ู เดย๋ี วมี สายลมออกให้เหน็ เด๋ียวมภี าวะสงดั จากลมให้รู้ ระหวา่ งฝกึ รลู้ มหายใจอยนู่ ี้ หากเกดิ ความฟงุ้ ซา่ นในหวั หรอื บงั เกดิ ความกระสบั กระสา่ ยทางกายใดๆ ใหก้ ลบั ไปนบั หนง่ึ ใหมท่ กุ ครงั้ คอื สำ� รวจ ความเกรง็ ของกลา้ มเนอื้ ฝา่ เทา้ ฝา่ มอื และใบหนา้ เมอ่ื คลายออกไดก้ จ็ ะ กลบั ไปตงั้ ตน้ ทค่ี วามสบายกายสบายใจ รสู้ กึ ตวั ทว่ั และพรอ้ มรตู้ ามจรงิ ได้ ใหมเ่ สมอ ผลอนั เกดิ จากการฝกึ รลู้ มหายใจไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง คอื ไดข้ อ้ สรปุ กบั จติ ว่าลมหายใจไมใ่ ชส่ ตั ว์ ไม่ใชบ่ ุคคล เปน็ แคธ่ าตลุ ม เขา้ มาแล้วออกไป เป็นคนละชดุ อยตู่ ลอดเวลาทกุ ขณะ นอกจากนนั้ ยงั ไดค้ วามรู้สึกตวั เตม็ ตนื่ กายปรากฏชัดขึน้ มาเองโดยไม่ต้องเพง่ หาวา่ กายอยู่ตรงไหน เพราะ ลมหายใจเปน็ ส่วนหนึ่งของกายอยแู่ ลว้ น�ำสติมาให้รสู้ กึ ตลอดทว่ั ทงั้ กาย ได้เองอย่แู ล้ว จงึ พรอ้ มฝกึ รู้ในขน้ั ตอ่ ๆไปโดยง่าย ที่บรรทัดนี้ กายก�ำลังหายใจเข้า หรือว่าก�ำลังหายใจออก? เสียดาย... คนตายไมไ่ ดอ้ า่ น
205 รอู้ ิริยาบถ พุทธพจน์ เม่อื เดินก็รูช้ ดั ว่าเราเดนิ เมอ่ื ยืนกร็ ู้ชัดว่าเรายืน เม่อื น่ังก็รู้ชัดวา่ เราน่งั เมื่อนอนก็รชู้ ดั วา่ เรานอน หรือเธอตั้งกายไว้ด้วยกิริยาท่าทางอย่างใดๆ ก็รู้ชัดใน กริ ยิ าท่าทางอย่างนนั้ ๆ มหาสติปัฏฐานสตู ร > กายานุปสั สนา > อิรยิ าปถบรรพ howfarbooks.com
206 ลงมือปฏิบัติ ปกติคนเราจะรู้สึกว่ามีร่างกายก็ต่อเมื่อค้างคาอยู่ในท่าใดท่าหน่ึง นานเกินไป ต้องระบายความอึดอัดเม่ือยขบอันเกิดจากการตึงตัวของ กล้ามเนื้อ ด้วยการปรับเปล่ยี นทา่ ทางเสียใหม่ใหส้ บายข้นึ กวา่ เดมิ นอก นน้ั แม้รา่ งกายมีกเ็ หมอื นไม่มีในการรับรู้ของเรา ท่ีอยู่ๆจะให้สามารถระลึกถึงร่างกายได้เร่ือยๆนั้น มิใช่วิสัย ธรรมชาติ ตอ่ เมื่อฝึกร้ลู มหายใจได้ผลมาแลว้ เราจะมีความร้สู กึ เข้ามาใน กายอย่างเป็นไปเองโดยไม่ต้องบังคับ กล่าวคือทันทีท่ีรู้สึกถึงลมหายใจ เขา้ ออกอยา่ งสบายเดยี๋ วนี้ รา่ งกายในทา่ ทางปจั จบุ นั กจ็ ะพลอยปรากฏให้ รไู้ ปดว้ ยเดยี๋ วนเี้ ชน่ กนั ความรสู้ กึ วา่ มหี วั มตี วั มแี ขนขา ปรากฏเปน็ ทา่ ทาง หนงึ่ ๆโดยปราศจากความเพง่ เลง็ หรอื เครยี ดเกรง็ นนั่ แหละ เรยี กวา่ การรู้ อิริยาบถ ขอให้เข้าใจดีๆด้วยว่าการก้มลงมองเห็นด้วยตาเปล่าว่าร่างกาย ปรากฏในท่าใด หาใช่การรู้อิรยิ าบถไม่ การร้อู ริ ิยาบถตอ้ งใชใ้ จรู้เทา่ น้นั ไมใ่ ช่ใช้สายตามองเห็น เบือ้ งตน้ ให้สงั เกตวา่ ลมหายใจท่ยี าวและน่มิ นวลน้ัน ทำ� ให้รูส้ กึ ว่า กายเป็นของโปร่งเบา เกิดสติอยู่กับกายอย่างง่ายดายเหมือนเป็นไปเอง ส่วนลมหายใจที่สั้นและหยาบจะท�ำให้เรารู้สึกว่ากายเป็นของทึบหนัก แม้พยายามต้ังสติอยู่กับกายก็ล�ำบาก เห็นไม่ชัด เหมือนอยู่กลางหมอก ควันด�ำ จะใหม้ องฝา่ ออกไปเหน็ อะไรน้นั ยาก การสังเกตรู้ตามจริง คือปล่อยให้มันเกิดตามท่ีมันอยากจะเกิด ไมใ่ ช่คุณเปน็ คนอยากใหม้ ันเกดิ อยา่ งไร หน้าท่ีของคุณคือรู้ความต่าง ซง่ึ เสียดาย... คนตายไม่ไดอ้ ่าน
207 ไมน่ านจะเกดิ ความเพลิดเพลินกบั การเหน็ ความต่างในทสี่ ดุ หลังจากดูลมจนรู้อิริยาบถได้ เราก็จะสามารถเข้าถึงการฝึกท่ี พระพุทธเจา้ ตรสั แนะไว้อยา่ งง่ายดาย นนั่ คอื เมือ่ เดินก็รู้ว่าเดิน เมือ่ ยืนก็ รู้วา่ ยนื เม่ือนัง่ กร็ วู้ า่ นัง่ เมอื่ นอนก็ร้วู ่านอน เม่ืออยใู่ นทา่ ทางอยา่ งไรกร็ ู้ ว่าอยูใ่ นท่าทางอย่างนนั้ แจกแจงโดยละเอียดได้ดังนี้ ๑ เมอื่ เดนิ กร็ วู้ า่ เดนิ ท่าทางในการเดินท่ีสนับสนุนให้เกิดสติคือหัวต้ังตรง ตัวต้ังตรง สองขาเตะไปข้างหน้าสลับกัน โดยมีสัมผัสท่ีฝ่าเท้ากระทบพื้นเกิดขึ้นอยู่ ตลอดเวลาทดี่ ำ� เนนิ ไป ฉะน้นั หากมีสติเดินอยา่ งรวู้ า่ เดิน ก็ยอ่ มตอ้ งรู้สกึ ถงึ ฝ่าเทา้ กระทบพื้นไมข่ าด เพราะเทา้ กระทบพนื้ เป็นสัมผัสที่เกดิ ขึ้นจรงิ โดยไมต่ อ้ งใช้จนิ ตนาการ ๒ เมอ่ื ยนื กร็ วู้ า่ ยนื ท่าทางในการยืนท่ีสนับสนุนให้เกิดสติคือหัวต้ังตรง ตัวตั้งตรง สองขาต้ังตรง ฝ่าเทา้ วางราบสัมผสั พนื้ ให้รู้สึกชัดตลอดเวลาทย่ี งั ทรงกาย ยืนอยู่ หากเป็นการยืน ณ จุดหยุดของทางเดินจงกรม ฝ่าเท้าท่ีสัมผัส แนบพนื้ นนั่ เองจะเปน็ ศนู ยก์ ลางการรวู้ า่ กำ� ลงั ยนื การรทู้ า่ ยนื โดยไมต่ อ้ ง จินตนาการนนั้ เกิดขน้ึ เรมิ่ จากการรู้น�ำ้ หนกั ตัวท้ังหมดท่กี ดลงบนฝ่าเท้า สว่ นอน่ื ๆของกาย เชน่ ขา ตวั แขน และหัว จะปรากฏในความรู้สกึ ตาม มาเอง howfarbooks.com
208 ๓ เมอื่ นง่ั กร็ วู้ า่ นง่ั ท่าทางในการนั่งที่สนับสนุนให้เกิดสติคือหัวต้ังตรง ตัวต้ังตรง สองขาหอ้ ยลงจากเกา้ อี้ ฝา่ เทา้ วางราบสมั ผสั พนื้ หากเปน็ การนง่ั เจรญิ สติ รลู้ มหายใจ สว่ นหลงั จะเปน็ ศนู ยก์ ลางการรบั รวู้ า่ กำ� ลงั นง่ั เพยี งสงั เกตอยู่ เรื่อยๆว่าหลังตรงหรือหลังงอ และส่วนหัวก�ำลังต้ังอยู่หรือเอียงเอนไป ทางใด ก็นับวา่ เรมิ่ เกดิ สตริ อู้ ิริยาบถน่ังตามท่ีกำ� ลังปรากฏอยูจ่ รงิ ๆแลว้ ๔ เมอื่ นอนกร็ วู้ า่ นอน ท่าทางในการนอนท่ีสนบั สนุนให้เกดิ สติ คือ หงายหนา้ เหยยี ดตวั ตรง แผ่นหลงั วางราบกับทน่ี อน เม่ือมีสตินอนอยา่ งรู้ว่านอนในท่าน้ี ก็ ยอ่ มตอ้ งร้สู กึ ถงึ ท้ายทอย แผ่นหลงั และแขนขาอันก�ำลังสมั ผสั ทนี่ อนอยู่ ยามนอนเปน็ ชว่ งทเี่ กดิ สมั ผสั มากทสี่ ดุ โดยไมต่ อ้ งใชจ้ นิ ตนาการใดๆ และ ลมหายใจทีเ่ ขา้ ออกในอริ ยิ าบถน้ี จะดูเด่นชดั กวา่ เมอื่ นอนตะแคงดว้ ย ทา่ นอนทถ่ี กู สขุ ลกั ษณะควรมที ง้ั ตะแคงและหงายสลบั กนั การนอน ท่าใดทา่ หนึ่งนานๆอาจมผี ลใหล้ มหายใจตดิ ขดั ฉะนัน้ ตราบเท่าท่ียงั คง สติไม่หลับไปเสียก่อน เราก็ต้องตามรู้ไปว่าก�ำลังนอนหงายหรือนอน ตะแคง มิฉะน้นั กจ็ ะกลายเปน็ การนอนตามความเคยชิน คือ นอนอยา่ ง หลงฟ้งุ ซ่านแบบเอาแน่ไม่ไดว้ ่าจะคิดถึงเร่อื งใด เสียดาย... คนตายไมไ่ ดอ้ า่ น
209 ๕ เมอื่ อยใู่ นทา่ ทางอยา่ งไร กร็ วู้ า่ อยใู่ นทา่ ทางอยา่ งนน้ั คนเรามีอวัยวะหลายสิบชิ้น องค์ประกอบต่างๆทางกายผสมกัน ให้ทา่ ทางไดซ้ ับซอ้ น เชน่ นงั่ ไขวห่ า้ ง คร่งึ นงั่ คร่งึ นอน ยืนเอนหลังพิงฝา ท�ำกายบริหารออกท่าออกทางต่างๆ ฯลฯ จะมีท่าทางอย่างไรไม่ส�ำคัญ สำ� คญั ทใ่ี หร้ ทู้ า่ ทางในสภาพนน้ั ๆเสมอ จงึ เรยี กวา่ เปน็ ผรู้ อู้ ริ ยิ าบถเตม็ ขน้ั อบุ ายงา่ ยๆคอื ใหส้ งั เกตจดุ รวมความรสู้ กึ ทางกาย อนั ไดแ้ กจ่ ดุ กระทบขณะ หนึง่ ๆ หรอื ความตง้ั ตรงและโคง้ งอของหลงั คณุ ก็จะร้สู ึกถงึ อริ ิยาบถทาง กายตามจรงิ ได้ตลอด การฝึกรู้ตามท่ีพระพุทธองค์ทรงแนะไว้ในข้อนี้ บอกกับเราอย่าง หนึง่ คอื ทา่ ทางตายตวั สำ� หรับการฝกึ สตนิ ั้นไมม่ ี มแี ต่ตอ้ งเอาสติไปตาม ท่าทางท้งั หลายใหท้ นั การฝึกรู้อิริยาบถให้ถูกต้องนั้น ถือเป็นพ้ืนฐานส�ำคัญอย่างมาก ส�ำหรับการเจริญสติขั้นต่อๆไป เพราะย่ิงกายปรากฏชัดขึ้นกับสติเท่าไร รายละเอียดของกายยิ่งปรากฏตามจริงว่าไม่เท่ียง ไม่น่ายึดม่ัน มากขึ้น เท่าน้ัน ที่บรรทัดนี้ ก�ำลังหลังตรงหรืองออยู่? howfarbooks.com
210 รู้ความเคล่ือนไหวตา่ งๆ พุทธพจน์ ท�ำความรู้สึกตัว… ในการกา้ ว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคเู้ ขา้ ในการเหยยี ดออก ในการใสเ่ ครอื่ งนงุ่ ห่ม ในการฉัน การดืม่ ในการเคย้ี ว การลิ้ม ในการถ่ายอจุ จาระและปสั สาวะ ในการเดนิ การยนื การนง่ั การหลับ การตนื่ ในการพูด การนง่ิ มหาสตปิ ฏั ฐานสูตร > กายานปุ สั สนา > สัมปชัญญบรรพ เสยี ดาย... คนตายไม่ได้อ่าน
211 ลงมือปฏิบัติ แตอ่ อ้ นแตอ่ อกเราจะยดึ กายอยดู่ ว้ ยความเชอ่ื วา่ กายนเ้ี ปน็ เราแนๆ่ ของเราแน่ๆ ต่อเมื่อมาฝึกเห็นความไม่เที่ยงของลมหายใจและอิริยาบถ จึงคอ่ ยคลายความเชอ่ื นน้ั ลง เพราะมันเปล่ียนไปเร่ือยๆ ทนอยใู่ นสภาพ เดิมไม่ได้สักอยา่ ง พอฝึกมีสติอยู่กับกายผ่านอิริยาบถต่างๆได้อย่างถูกต้อง กระท่ัง ร่างกายปรากฏดุจหุ่นกลที่ถูกเราเฝ้าดูจากเบ้ืองหลัง ก็ขอให้สังเกตว่า จงั หวะทขี่ ยบั เปลย่ี นจากอริ ยิ าบถเดมิ หันซ้ายแลขวา กลอกตาหรอื ยดื ตัว ไปตา่ งๆ กจ็ ะเกดิ ความรสู้ กึ วา่ กริ ยิ านน้ั ๆเปน็ ตวั เราในทนั ที อริ ยิ าบถเดมิ ที่ถกู ดูอยหู่ ายไปแล้ว ดังน้ัน แค่รู้อิริยาบถยังไม่พอ เราต้องรู้ครอบคลุมไปถึงความ เคลอ่ื นไหวปลกี ยอ่ ยตา่ งๆดว้ ย เพอื่ ปดิ โอกาสการเกดิ อปุ าทานแบบเคยๆ วา่ ‘ตวั เราขยบั ’ เปลี่ยนเปน็ ใหท้ ุกการเคลื่อนไหวเป็นทีต่ งั้ ของการระลกึ รู้ ว่า ‘ร่างกายขยับ’ ซึ่งหากทำ� ได้ ก็จะนบั ว่าเป็นผูม้ คี วามรูส้ กึ ตวั หรอื ผมู้ ี สัมปชญั ญะตามนยิ ามของพระพุทธเจา้ เมื่อเริ่มต้นฝึกรู้ความเคล่ือนไหวปลีกย่อยท้ังหลายของกายน้ัน นกั เจรญิ สตสิ ว่ นใหญจ่ ะกำ� หนดเพง่ เลง็ ไปยงั อวยั วะทก่ี ำ� ลงั เคลอื่ นไหว เชน่ เมอ่ื ยน่ื มอื ไปหยบิ แกว้ นำ�้ ขนึ้ มาดมื่ กจ็ ะตงั้ สตอิ ยา่ งเจาะจงลงไปทม่ี อื หรอื แขน จติ จงึ รบั รไู้ ดเ้ พยี งในขอบเขตแคบๆแคม่ อื หรอื แขน อนั นนั้ ไมน่ บั เปน็ ความรู้สกึ ตัวท่จี ะพัฒนาก้าวหน้าข้นึ ได้ เพราะตามธรรมชาติของจิตแล้ว เมื่อเพ่งเล็งส่ิงใด ย่อมยึดสิ่งน้ัน เพง่ มือก็ร้สู ึกว่าน่นั มือของเรา เพง่ แขนก็รู้สกึ ว่าน่นั แขนของเรา เรากำ� ลงั howfarbooks.com
212 ยน่ื มอื ไปหยบิ แกว้ นำ้� ขน้ึ ดม่ื ตอ่ ใหผ้ สมความคดิ ลงไปวา่ มอื ไมใ่ ชเ่ รา แขน ไมใ่ ช่เรา ใจที่มอี าการ ‘เพง่ ยดึ ’ อยกู่ ็บอกตวั เองว่า ‘ใช’่ อยู่ดี แต่หากฝึกมาตามข้ันตอนก็จะไม่พลาด กล่าวคือมีอิริยาบถเป็น หลักต้ังเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยรู้ต่อไปว่าภายในอิริยาบถน้ันๆมีอวัยวะ ใดเคลื่อนไหว เช่นเมื่อนงั่ กร็ วู้ ่านงั่ แล้วค่อยรสู้ ึกตวั วา่ ในทา่ นง่ั นน้ั มีการ ยืดแขนออกไปข้างหน้าเพ่อื จบั แก้วน้�ำ เป็นตน้ แมข้ ณะพดู คยุ กบั คนอน่ื กใ็ ชฝ้ กึ เจรญิ สตไิ ด้ การพดู คยุ มกั เกดิ ขน้ึ ใน อิริยาบถน่ังและยืน ปกติคนเรามีสติอยู่กับเร่ืองท่ีอยากพูดอยากฟัง ซ่ึง แตกต่างกันกับความรู้สึกตัวในข้อน้ี เพราะเราจะพูดหรือฟังท้ังรู้ว่าก�ำลัง น่งั หรือยนื และนัน่ จะน�ำไปสู่การรสู้ กึ ถงึ ความตา่ งระหว่างพดู กับหยุดพูด ระหว่างน่ิงรับฟงั อยา่ งเดยี วกบั น่งิ แบบอยากพดู ต่อ เป็นต้น การฝกึ ทำ� ความรสู้ กึ ตวั ทไ่ี ดผ้ ล จะเหมอื นกายใจเรมิ่ แบง่ แยกจากกนั ตัวหน่ึงแสดงท่าทางกระดุกกระดิก อีกตัวหน่ึงเฝ้าดูเฉยๆโดยไม่รู้สึกว่า อาการกระดุกกระดิกเป็นตัวตน ถึงจุดน้ันเราจะพบว่าความถือมั่นท้ัง ภายนอกและภายในยิง่ นอ้ ยลงเร่อื ยๆ จติ เริ่มต้งั มั่นแขง็ แรงจนอาจเข้าไป รู้เห็นธรรมชาติละเอียดออ่ นทีแ่ ต่ก่อนไมเ่ คยสามารถสัมผัส นับวา่ พรอ้ ม กับการเจริญสติข้นั สงู ย่ิงๆขน้ึ ไปไม่จำ� กดั แลว้ คุณอยากเคล่ือนไหว หรือว่ากายอยากเคล่ือนไหวกันแน่? เสยี ดาย... คนตายไมไ่ ด้อา่ น
213 รู้สขุ ทกุ ข์ พุทธพจน์ ๑ เสวยสขุ อยกู่ ็ร้ชู ัดว่าเราเสวยสขุ ๒ เสวยทุกขก์ ็รชู้ ัดวา่ เราเสวยทกุ ข์ ๓เสวยความรู้สกึ เฉยกร็ ูช้ ัดว่าเราเสวยความรู้สกึ เฉย ๔ เสวยสุขมีเหย่ือล่อก็ร้ชู ัดว่าเราเสวยสุขมีเหยือ่ ลอ่ ๕ เสวยสขุ ไมม่ เี หยอื่ ลอ่ กร็ ชู้ ดั วา่ เราเสวยสขุ ไมม่ เี หยอื่ ลอ่ ๖ เสวยทกุ ข์มีเหยอ่ื ลอ่ กร็ ู้ชดั วา่ เราเสวยทกุ ขม์ เี หยื่อลอ่ ๗ เสวยทุกข์ไม่มีเหยื่อล่อก็รู้ชัดว่าเราเสวยทุกข์ไม่มี ๘เหยอ่ื ล่อ เสวยความรสู้ กึ เฉยมเี หยอื่ ลอ่ กร็ ชู้ ดั วา่ เราเสวยความ ๙ร้สู ึกเฉยมเี หยือ่ ล่อ เสวยความรู้สึกเฉยไม่มีเหยื่อล่อก็รู้ชัดว่าเราเสวย ความรสู้ ึกเฉยไมม่ เี หย่อื ลอ่ มหาสติปัฏฐานสูตร > เhวทowนfาaนrbปุ oสั oสksน.cาom
214 ลงมือปฏิบัติ นับแต่เร่ิมฝึกรู้ลมหายใจ มาจนกระทั่งเห็นกายโดยความเป็นแค่ ส่งิ เคลือ่ นไหวเหมอื นหุ่น เราจะพบความจรงิ ประการหนึ่ง คอื จิตเราผละ จากกายมาหาความรสู้ กึ ภายในอยเู่ รอ่ื ยๆ ซงึ่ ทนั ทที จ่ี ติ กลบั มาเกาะความ รสู้ กึ ภายใน ความรสู้ กึ วา่ เปน็ เรากจ็ ะปรากฏเตม็ ตวั ขน้ึ มาทนั ที นนั่ เพราะ ขาดทต่ี งั้ ของสติ ไม่รู้จะตั้งสตไิ ว้ตรงไหน ให้ฝกึ ไปตามลำ� ดบั ดังนี้ ๑ เมอื่ เสพสขุ กร็ วู้ า่ เสพสขุ ความสขุ คอื ความเบาสบาย หรอื ชน่ื กายชน่ื ใจอยกู่ บั สภาพนา่ ยนิ ดี เปน็ พเิ ศษ ความสขุ มปี ระโยชนต์ รงทเี่ ออ้ื ใหเ้ กดิ สตงิ า่ ย แตก่ ม็ โี ทษคอื ชวน ใหห้ ลงตดิ เหมือนจมปลัก สขุ ทเ่ี กิดข้นึ โดยอาศยั เหยื่อลอ่ แบบโลกๆเรยี กว่า ‘สขุ แบบมอี ามิส’ เช่น เหน็ รูปสวย ฟังเสียงเพราะ หรอื ที่ซับซอ้ นกว่าน้นั เช่น ไดข้ องขวญั สมปรารถนา เลน่ เกมชนะ อา่ นหนงั สอื ถกู ใจ หมกมนุ่ กบั ความคดิ เกยี่ วกบั ตัวตนอันน่าสนกุ เป็นต้น เราจะพบวา่ เม่ือจติ เสพสุขประเภทน้อี ยู่ ย่อม เกดิ ความหลงโลก มคี วามตดิ ใจวตั ถหุ รอื ความคดิ อนั เปน็ เครอ่ื งลอ่ จติ ไม่ เป็นอสิ ระในตนเอง ส่วนสุขท่ีเกิดจากการเจริญสติ เรียกว่า ‘สุขแบบไม่มีอามิส’ เช่น เม่ือรู้ลมยาวจะเป็นสุขแบบสดชื่น เมื่อรู้อิริยาบถใหญ่น้อยจะเป็นสุข เพราะกายใจโปร่งเบา เม่ือเห็นว่ากายสกปรกจะเป็นสุขจากการระงับ ความกระสับกระส่ายทางกามารมณ์ เมื่อเห็นว่ากายไม่มีภาวะบุคคลจะ เสยี ดาย... คนตายไมไ่ ดอ้ า่ น
215 เปน็ สขุ จากการเลกิ สำ� คญั ผดิ วา่ นเี่ รานนั่ เขา เมอ่ื เหน็ วา่ กายเปน็ ของสญู จะ เปน็ สขุ จากอสิ ระไรพ้ นั ธะกบั กาย เราจะพบวา่ เมอื่ จติ เสพสขุ เหลา่ นอ้ี ยู่ ยอ่ ม เกดิ ความปลอ่ ยวางโลก เลกิ ตดิ ใจวตั ถภุ ายนอก แตย่ งั อาจตดิ ใจกบั รสแหง่ ความวา่ งและความสวา่ งอันเยอื กเย็นภายในได้อยู่ ตอ่ เมอ่ื รตู้ วั วา่ จติ กำ� ลงั เสพสขุ เหน็ ชดั วา่ รสสขุ ไมเ่ ทยี่ ง เสพไดร้ ะยะ หนงึ่ กม็ ีอันต้องเสอ่ื มลง ไรค้ วามเป็นบคุ คล จิตจงึ เลกิ ติดใจเสยี ได้ ๒ เมอ่ื เสพทกุ ขก์ ร็ วู้ า่ เสพทกุ ข์ ความทุกข์คือความอึดอัดกดดัน หรือระคายกายระคายใจอยู่กับ สภาพแยๆ่ ความทกุ ขม์ โี ทษตรงทก่ี ดสตใิ หพ้ รา่ เลอื น แตก่ ม็ ปี ระโยชนค์ อื ผลักให้อยากพน้ ไปเสยี ทุกข์ที่เกิดข้ึนโดยอาศัยเหย่ือล่อแบบโลกๆเรียกว่า ‘ทุกข์แบบมี อามิส’ เช่น เจอหนา้ คนทเี่ กลยี ดกนั ไดย้ นิ เสยี งหนวกหู หรือทซี่ บั ซ้อน กวา่ น้นั เช่น ไม่ไดข้ องตามปรารถนา เล่นเกมแพ้ ตอ้ งทนอา่ นหนังสอื ยากๆ ต้องคร่นุ คิดถึงเรอ่ื งหนกั อก เป็นต้น เราจะพบว่าเมือ่ จติ เสพทุกข์ ประเภทนี้อยู่ ย่อมเกิดความด้นิ รน อยากหนีไปหาส่ิงอื่นทีใ่ หค้ วามสบาย กวา่ กัน จติ ใจเร่ารอ้ นเรียกหาอิสรภาพไม่เลกิ สว่ นทกุ ขท์ เ่ี ปน็ ผลขา้ งเคยี งจากการเจรญิ สติ เรยี กวา่ ‘ทกุ ขแ์ บบไมม่ ี อามิส’ เช่น ไมส่ ามารถตัง้ จติ เปน็ สมาธิตามปรารถนา หรอื กระทัง่ เพียร เพ่ือมรรคผลแล้วยังไม่เห็นว่ีแววส�ำเร็จเสียที ไม่ทราบต้องทนรออีกนาน เพยี งใด เราจะพบวา่ เมอื่ จติ เสพทกุ ขป์ ระเภทนอ้ี ยู่ ยอ่ มเกดิ ความอยากหนี สภาวะของตัวเองในขณะน้นั ๆ แต่เปน็ ความอยากพ้นอันเกิดจากแรงดัน ของกิเลส ยังไม่ใช่ความใคร่พ้นด้วยปัญญา สังเกตจากที่อาจเกิดความ howfarbooks.com
216 ทอ้ ถอยใคร่เลิกเจรญิ สติ ไมใ่ ชม่ ีก�ำลังใจฮึกหาญที่จะเจริญสติยง่ิ ๆขน้ึ ตอ่ เมอ่ื รู้ตวั ว่าจิตกำ� ลงั เสพทุกข์ เหน็ ชัดว่ารสทกุ ข์ไมเ่ ท่ยี ง เสพได้ ระยะหนง่ึ กม็ อี นั ตอ้ งเสอื่ มลง ไรค้ วามเปน็ บคุ คล จติ จงึ เลกิ กระวนกระวาย เสียได้ ๓ เมอื่ เสพความไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ กร็ วู้ า่ เสพความไมส่ ขุ ไมท่ กุ ข์ ความไม่สุขไม่ทุกข์คือเฉยๆชินๆ ไม่สบายแต่ก็ไม่อึดอัด ไม่ชวน ให้ยินดียินร้ายกับภาวะเฉพาะหน้า น่ีเป็นสภาพความรู้สึกที่เกิดขึ้นบ่อย ท่ีสุด แม้ไม่ท�ำอะไรเลยก็เกิดขึ้นได้ หากเท่าทันว่าเม่ือใดจิตเริ่มหลงเข้า มาเสพความรู้สึกชนิดน้ี ไม่ยอมแช่จมกับความรู้สึกชนิดนี้ ก็แปลว่ามี โอกาสเจริญสตไิ ด้แทบทง้ั วนั ความเฉยๆชินๆแบบมีอามิสคือใช้ชีวิตอยู่กับโลกตามปกติ เสพ สมบัติท่ีคุ้นเคยจนไม่รู้สึกพิเศษอีกแล้ว หรือแม้น่ังๆนอนๆอยู่เฉยๆ ใน หวั วา่ งเปลา่ จากความคดิ นกึ ดรี า้ ยกน็ บั วา่ ใช่ เราจะพบวา่ เมอ่ื จติ เสพความ รสู้ กึ ประเภทนอ้ี ยู่ ยอ่ มเกดิ ความเฉอื่ ย เนอื ย ไรค้ วามยนิ ดยี นิ รา้ ย อาจนำ� ไปสคู่ วามเบื่อและคิดหาสงิ่ แปลกใหม่มาแทนท่ี ส่วนความเฉยๆชินๆแบบไม่มีอามิสเกิดจากการเจริญสติได้ระดับ หนึง่ เป็นปกติ ไม่รูส้ กึ ว่าก้าวหน้าหรอื ถอยหลงั ไมอ่ ิม่ ใจหรือใจแห้ง เรา จะพบว่าเมื่อจิตเสพความรู้สึกประเภทน้ีอยู่ ย่อมเอียงไปทางเกียจคร้าน ขาดก�ำลังใจม่งุ มน่ั เจริญสตใิ หด้ ียิ่งๆขนึ้ ต่อเมื่อรู้ตัวว่าจิตก�ำลังเสพความรู้สึกเฉยๆชินๆ เห็นชัดว่าความ เสยี ดาย... คนตายไม่ไดอ้ า่ น
217 เฉยๆชนิ ๆไมเ่ ทย่ี ง เสพไดร้ ะยะหนง่ึ กม็ อี นั ตอ้ งเสอ่ื มไป ไรค้ วามเปน็ บคุ คล อยู่ในความเฉยๆชินๆและในอาการเสพ จิตจึงหลุดจากความเนือยนาย มาสคู่ วามกระตือรือร้นเสียได้ หลงั จากฝกึ รสู้ ขุ ทกุ ขเ์ ฉยไปเรอ่ื ยๆ ในทส่ี ดุ เราจะใหค้ า่ ความรสู้ กึ ทง้ั หลายเสมอกนั ตรงทเ่ี ปน็ เพยี งความรสู้ กึ เหมอื นๆกนั เกดิ ขนึ้ วบู หนง่ึ แลว้ ต้องดบั ลงแน่ๆ ไมม่ ีใครเกดิ ไมม่ ีใครดับไปดว้ ยเลย นอกจากนน้ั คณุ จะ ได้ข้อสรุปท่สี ำ� คญั สำ� หรบั ชวี ติ คอื คนเราไมไ่ ดแ้ สวงหาความสุข เพราะ ลึกๆรู้อยู่ว่ามันผ่านมาแล้วจะผ่านไป แต่คนเราแสวงหาวิธีดับความ กระวนกระวายใจต่างหาก เพราะน่ันแหละคือสุขแท้ที่จะอยู่ติดตัวตลอด ไป! บอกตัวเองถูกไหมว่า ก�ำลังสุข ก�ำลังทุกข์ หรือก�ำลังเฉย? howfarbooks.com
218 ร้สู ภาพจติ พุทธพจน์ ๑ เมอ่ื จติ มรี าคะกร็ วู้ า่ จติ มรี าคะ เมอ่ื จติ ปราศจากราคะ ๒กร็ ูว้ า่ จิตปราศจากราคะ เมอื่ จติ มโี ทสะกร็ วู้ า่ จติ มโี ทสะ เมอื่ จติ ปราศจากโทสะ ๓ก็รู้วา่ จิตปราศจากโทสะ เมอ่ื จติ มโี มหะกร็ วู้ า่ จติ มโี มหะ เมอ่ื จติ ปราศจากโมหะ ๔ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ จติ หดหกู่ ร็ วู้ า่ จติ หดหู่ เมอ่ื จติ ฟงุ้ ซา่ นกร็ วู้ า่ จติ ฟงุ้ ซา่ น เสยี ดาย... คนตายไม่ไดอ้ า่ น
219 ๕ เมอ่ื จติ เป็นสมาธกิ ร็ ้วู ่าจติ เปน็ สมาธิ เมื่อจติ ไม่เปน็ ๖สมาธกิ ็ร้วู า่ จติ ไม่เปน็ สมาธิ เม่ือจติ เปน็ มหรคตกร็ วู้ ่าจิตเป็นมหรคต เม่อื จติ ไม่ ๗เป็นมหรคตกร็ ู้วา่ จติ ไม่เปน็ มหรคต เมื่อจิตมีจิตอ่ืนย่ิงกว่าก็รู้ว่าจิตมีจิตอ่ืนย่ิงกว่า เมื่อ ๘จิตไม่มีจติ อนื่ ย่ิงกว่าก็รู้ว่าจิตไม่มีจติ อื่นย่งิ กวา่ เมอื่ จิตหลดุ พน้ ก็รู้ว่าจติ หลดุ พน้ เม่อื จติ ไมห่ ลุดพน้ กร็ ูว้ ่าจิตไมห่ ลดุ พน้ มหาสติปัฏฐานสูตร > จิตตานุปัสสนา howfarbooks.com
220 ลงมือปฏิบัติ กายเป็นสิ่งที่รู้ตัวเองไม่ได้ ต้องมีจิตท�ำหน้าที่รู้ กายจึงปรากฏว่า มีอยู่ เมอื่ จิตเป็นผูร้ ู้อะไรๆท้ังปวง จิตจงึ เปน็ ท่ตี ั้งส�ำคญั ของความรสู้ กึ ใน ตวั ตน จิตน้นั นอกจากจะท�ำหนา้ ทรี่ ูส้ รรพสิ่งแลว้ ยังรสู้ ภาวะของตวั เอง ได้ดว้ ย ว่าก�ำลงั สวา่ ง กำ� ลงั มดื หรอื ก�ำลงั ขมกุ ขมวั อยา่ งไร เม่ือรู้ว่าก�ำลังสว่างหรือมืด ย่อมรู้ต่อไปได้อีกว่าเม่ือใดปราศจาก กิเลสก็จะสว่าง เมื่อใดเจืออยู่ด้วยกิเลสก็จะมืด เราอาศัยสภาพของจิตที่ แปรไปต่างๆนี้เอง เปน็ เครื่องฝกึ สติ รูเ้ ห็นความไมเ่ ทยี่ งของจิต เพ่อื ถา่ ย ถอนอุปาทานส�ำคัญว่าจิตเป็นเรา มีเราเป็นอมตะอยู่กับจิต โดยเริ่มฝึก ดังน้ี ๑ รวู้ า่ จติ มหี รอื ไมม่ รี าคะ ราคะคอื ความกำ� หนดั ความยินดใี นกาม ความติดใจ หรือความ ย้อมใจติดอยใู่ นวตั ถุกาม ธรรมดาของมนุษย์และสตั วท์ ้ังหลายจะไม่รูส้ ึก ตัวเลยว่าจิตมีราคะ เมื่อเกิดราคะย่อมถูกดึงดูดให้ติดไว้กับวัตถุกามโดย ไม่สนใจอะไรทั้งส้ิน ทจ่ี ะฝกึ ร้สู ึกตวั ว่าจิตมีราคะได้ กต็ อ้ งท�ำไว้ในใจก่อน ว่าจิตมีราคะเป็นอย่างไร และตกลงกับตัวเองไว้ล่วงหน้าว่าจะดูขณะเกิด ราคะเปอ้ื นจิต ทางมาของราคะมกั เกดิ จากการไดเ้ หน็ รปู ลกั ษณท์ างเพศอนั ตอ้ งตา หรอื ยวนใจ การเห็นรปู แล้วรสู้ ึกถูกดึงดูดให้จดจอ่ นน่ั เองคือจิตมรี าคะ เสียดาย... คนตายไมไ่ ด้อา่ น
221 อีกหนึ่งทางมาของราคะ คอื ผดุ ความคดิ ทางเพศขึ้น แล้วเรายนิ ดี ตรกึ นกึ ตอ่ กระทงั่ เกดิ อาการกระโจนเขา้ ไปวา่ ยวนในหว้ งจนิ ตนาการทาง กามารมณ์ อาการนัน้ เชน่ กนั ทจ่ี ิตมรี าคะ หากรู้สึกตัวในทันทีท่ีจิตมีราคะ ราคะจะถูกแทนท่ีด้วยสติ เราจะ เห็นทันทีว่าราคะหายไป เช่น ตาจะถอนจากอาการจดจ้องรูปภายนอก หรือใจจะถอยออกมาจากห้วงจนิ ตนาการทางกามารมณ์ กลับเขา้ มารู้สกึ ถึงความว่างจากราคะ ขณะแห่งการรูค้ วามว่างจากราคะนนั้ เอง คือการรู้ ว่าจติ ปราศจากราคะ แต่หากสตเิ กิดไม่ทนั เพราะไมต่ ้ังใจดกั สงั เกตไวล้ ่วงหน้า ราคะทม่ี ี ในจติ จะเหมอื นหว้ งนำ้� ทล่ี ามเปยี กไปถงึ กาย และกอ่ ใหเ้ กดิ อารมณท์ างเพศ ทเ่ี หนยี วแนน่ ตรงนนั้ เกนิ กวา่ สตธิ รรมดาจะยบั ยง้ั แตห่ ากเปน็ ผเู้ คยเจรญิ สติ เห็นกายโดยความเป็นของสกปรกมาก่อน หรือเป็นผู้มีสมาธิตั้งมั่น ก็ เท่ากบั มีเคร่ืองมอื ถอนจิตออกจากกามไดไ้ ม่ยากนัก ๒ รวู้ า่ จติ มหี รอื ไมม่ โี ทสะ โทสะคอื ความขัดเคือง ไม่ยนิ ดใี นส่งิ ทเ่ี ข้ามากระทบกายใจ อยาก ผลกั ไสให้พ้นตวั หรืออยากกระแทกให้แตก หรอื อยากท�ำลายให้สญู สิน้ ไป ปกตเิ มอื่ เกดิ โทสะนน้ั คนทวั่ ไปมกั มคี วามยบั ยง้ั ชง่ั ใจอยรู่ ะดบั หนง่ึ คอื ไมพ่ ดู จาหรอื ลงไมล้ งมอื ประทษุ รา้ ยใครทนั ที ความยบั ยงั้ ชงั่ ใจนนั้ เอง ส่งผลให้เกิดสติรู้ตัวอย่างอ่อนๆ คือรู้ว่าขณะนี้จิตมีโทสะอยู่ แต่การรู้สึก ตวั ของคนธรรมดาวา่ มโี ทสะอยใู่ นจติ นนั้ เปน็ ไปดว้ ยอาการควบคมุ ตนเอง มใิ ห้หลดุ คำ� พูดหรือการกระทำ� ทเี่ กนิ เลยออกไป หาใช่ความร้สู กึ ตัวแบบ howfarbooks.com
222 นกั เจริญสติไม่ การรูส้ กึ ตวั ของนักเจรญิ สตินนั้ ประกอบพรอ้ มด้วยความเขา้ ใจข้นั พน้ื ฐาน วา่ กายนใี้ จนไ้ี มเ่ ทยี่ ง ไมใ่ ชต่ วั ตน นอกจากนน้ั ยงั มกี ารฝกึ สติ เคย รกู้ ายและรทู้ กุ ขม์ ากอ่ น กระทงั่ เกดิ สตติ ดิ ตวั ระดบั หนงึ่ แลว้ ฉะนน้ั ในวบู แรก ของการเกดิ โทสะ จติ ยอ่ มไมถ่ ลำ� ไปอยกู่ บั ความรอ้ นของโทสะเตม็ ที่ ความ รอ้ นของโทสะจะเกดิ ขนึ้ เพยี งแผว่ พอใหร้ ะลกึ ไดว้ า่ ขณะนจี้ ติ มโี ทสะออ่ นๆ เมอื่ เกดิ สตเิ ทา่ ทนั วา่ ขณะนจ้ี ติ มโี ทสะ โทสะยอ่ มปรากฏเปน็ สว่ นเกนิ เป็นของแปลกปลอม เปน็ ของอน่ื เปน็ ของนอกจิต ความรู้เท่าทนั เชน่ น้นั ยอ่ มทำ� ใหส้ ตเิ กดิ ขน้ึ และกลบั มารอู้ ยกู่ บั ความเยน็ อนั มาจากจติ ทผี่ อ่ งแผว้ จากโทสะ เหน็ โทสะเปน็ เพียงภาวะรอ้ นไมต่ า่ งจากไฟ ไม่ใชต่ ัวใคร ไมใ่ ช่ ตวั ตน แตห่ ากไมเ่ กิดสตเิ ทา่ ทันว่าจติ มโี ทสะ แมน้ ักเจริญสติก็พลาดพลง้ั ได้ ปลอ่ ยใหโ้ ทสะกำ� เรบิ ลกุ ลามไปเปน็ ความรอ้ นทางกายและวาจาได้ ซง่ึ ถงึ จะเกดิ สตขิ น้ึ ในชว่ งนนั้ กค็ งไมเ่ หน็ โทสะหายไปในทนั ที แตเ่ ปน็ ไปไดท้ ่ี จะร้สู ึกว่าแรงอดั หรอื ความเผาผลาญของโทสะมีหนกั บา้ งเบาบา้ งสลบั กัน หากเฝ้าร้เู ฝา้ ดสู กั ระยะหนง่ึ จงึ คอ่ ยเห็นว่าโทสะระงับลง ๓ รวู้ า่ จติ มหี รอื ไมม่ โี มหะ โมหะคอื ภาวะทที่ ำ� ใหจ้ ติ ไมร่ คู้ วามจรงิ ไมท่ ราบวา่ อะไรถกู อะไรผดิ กลา่ วโดยสรปุ คอื โมหะเปรยี บเหมอื นมา่ นหมอกหอ่ หมุ้ คลมุ จติ ใหข้ าดสติ ขาดความสามารถในการรูต้ ามจริง มีแต่พระอรหันต์ท่ีจิตไม่ถูกเคลือบคลุมด้วยโมหะได้อีก ที่เหลือ เสยี ดาย... คนตายไม่ได้อา่ น
223 นอกจากนัน้ ล้วนยงั มโี มหะดว้ ยกันทงั้ ส้ิน ซ่งึ กม็ ที ง้ั โมหะระดับหยาบ เชน่ เห็นกงจักรเป็นดอกบัวนึกว่าท�ำช่ัวเป็นเรื่องน่ายกย่อง แล้วก็มีทั้งโมหะ ระดับละเอยี ด คอื ไม่รวู้ า่ กายนี้เปน็ ทกุ ข์ ใจนเี้ ป็นทกุ ข์ หาใช่ตวั ตนอันนา่ ยึดม่ันไม่ การจะรู้ว่าจติ มีโมหะไมใ่ ชเ่ รอ่ื งยากส�ำหรับนักเจรญิ สติ เพราะเมือ่ สติแข็งแรงพอย่อมไม่ถูกโมหะหยาบๆครอบง�ำโดยง่าย เม่ือจิตโปร่งแล้ว มารกู้ าย กย็ อ่ มเหน็ เหมอื นกายโปรง่ ใส ดงั นนั้ ขณะใดกายปรากฏเปน็ ของ ทบึ ก็จะทราบว่าตน้ เหตุไมไ่ ด้มาจากกาย แต่เป็นเพราะจิตทึบด้วยโมหะ ตา่ งหาก น่เี รียกว่าเห็นโมหะผา่ นความรสู้ กึ ทางกาย ถา้ ไม่มองผา่ นกาย จะมองจากสภาพของจติ โดยตรงก็ได้ คอื เมือ่ ใดมา่ นหมอกโมหะเรมิ่ เคลอ่ื นมาปกคลมุ จติ เรายอ่ มทราบชดั ในทนั ทกี อ่ น ท่ีจติ จะมดื มิดหมดทัง้ ดวง เหมอื นกระจกใสอยู่ พอมฝี ้ามาเกาะกเ็ หน็ ง่าย และเชด็ ลา้ งออกเสยี ทนั ซง่ึ การเชด็ ลา้ งทางจติ นน้ั กเ็ พยี งดว้ ยการรเู้ ทา่ ทนั ตวั รู้เท่าทันจะเหมอื นสายลมเป่าเมฆหมอกให้สลายหายไปเอง โดยทวั่ ไปเราจะเรม่ิ รสู้ กึ ถงึ จติ จรงิ ๆเมอ่ื โมหะสลายตวั ไป คลา้ ยคน ตนื่ นอนซงึ่ นกึ ไดว้ า่ ทเี่ พงิ่ ผา่ นหายไปเปน็ เพยี งฝนั การตนื่ ขนึ้ ในความจรงิ คอื ร้วู า่ กายใจนีไ้ ม่มีบุคคล ไมม่ ีหญงิ ชาย ไมม่ เี ราเขา มีแตจ่ ิตทถี่ ูกกระตนุ้ ใหเ้ กิดราคะ โทสะ โมหะไมข่ าดสายเท่าน้นั พอราคะ โทสะ โมหะสลาย ไปแมช้ ว่ั ครู่ กจ็ ะเปน็ ชวั่ ขณะทจี่ ติ เหน็ วา่ ตนเปน็ เพยี งผรู้ ู้ ผไู้ รร้ ปู ผเู้ ปน็ อสิ ระ ผไู้ ม่หลงยดึ นิมิตแห่งรปู นามใดๆ ๔ รวู้ า่ จติ หดหหู่ รอื ฟงุ้ ซา่ น ความหดหคู่ อื อาการซมึ ทอ่ื หรอื หอ่ เหย่ี วไมช่ นื่ บาน มคี วามหยดุ อยู่ howfarbooks.com
224 กบั ท่ี ชาเฉ่อื ยกบั ที่ อาการเหมอ่ ลอยหรอื ขีเ้ กยี จเคลอ่ื นไหวจดั เป็นความ หดหู่อย่างอ่อน ส่วนความซึมเศร้าหมดอาลัยตายอยาก สิ้นหวังในชีวิต นบั เป็นความหดหู่ขนาดหนัก ความฟุ้งซ่านคืออาการที่จิตไม่สงบ มีความพล่านไป ซัดส่ายไป อาการคดิ วกวนไมเ่ ปน็ เรอ่ื งนบั เปน็ ความฟงุ้ ซา่ นอยา่ งออ่ น สว่ นความตนื่ เตน้ หรือเครยี ดจัดนับเป็นความฟุง้ ซ่านขนาดหนัก ทั้งความหดหู่และความฟุ้งซ่าน ต่างเป็นสภาพจิตท่ีเอามาใช้การ ได้ยาก เพราะจับอะไรไม่ค่อยติด และภาวะหดหู่กับภาวะฟุ้งซ่านก็เป็น ภาวะที่ลากจูงกันมา เช่นถ้าปล่อยใจเหม่อลอยหรือแช่จมกับอารมณ์เบ่ือ สกั พัก จะเกดิ ความฟงุ้ ซา่ นร�ำคาญใจ และพอฟุง้ ซา่ นรำ� คาญใจจนเหน่ือย กก็ ลบั ออ่ นเพลยี เนอื ยนาย ไมอ่ ยากคดิ ไมอ่ ยากทำ� อะไรนอกจากจมอยกู่ บั ความหดหไู่ ปเรอ่ื ยๆ วนไปเวียนมาอยู่อย่างน้ี ส�ำหรบั ผทู้ ีผ่ ่านการเจรญิ สตมิ าจนมีกำ� ลงั พอใช้ พอนึกขึ้นได้ว่าจติ เรมิ่ ซมึ ลงหรอื กระเจงิ ไป กจ็ ะเกดิ สตริ สู้ กึ ตวั สภาพแยๆ่ จะถกู ตดั ตอนทนั ที กล่าวคือสติจะเปลี่ยนจิตจากหดหู่เป็นสดช่ืนขึ้น หรือเปลี่ยนจากฟุ้งซ่าน เปน็ สงบระงบั ลง สามารถกลบั มาเจรญิ สติตอ่ ได้ แตส่ ำ� หรบั ผทู้ กี่ ำ� ลงั สตยิ งั ออ่ น การจะมสี ตริ ทู้ นั ความหดหหู่ รอื ความ ฟุ้งซ่านเพื่อให้หลุดออกมานั้นคงยาก ถ้าหดหู่หนักต้องแก้ด้วยการ เคลือ่ นไหวในแบบที่จะเกดิ ความกระตอื รือร้นต่างๆ เช่น เรง่ ความเพยี ร ในการจงกรมหรอื ออกก�ำลงั หนักๆให้ได้เหงอื่ รา่ งกายจะกระชุม่ กระชวย ขน้ึ จนหลุดจากความหดหู่ได้ ถา้ ฟงุ้ ซา่ นจดั กต็ อ้ งแกด้ ว้ ยการสรา้ งปจั จยั ของความสงบตา่ งๆ เชน่ เขา้ หาบรรยากาศวเิ วก ลากลมหายใจยาวๆ ผอ่ นลมหายใจชา้ ๆ และหยดุ หายใจนานเท่าท่รี า่ งกายต้องการระงบั ลม เปน็ ต้น เสียดาย... คนตายไมไ่ ด้อ่าน
225 ๕ รวู้ า่ จติ เปน็ หรอื ไมเ่ ปน็ สมาธิ สมาธคิ อื ความสงบนง่ิ ไมฟ่ งุ้ ซา่ น และทส่ี ำ� คญั คอื นง่ิ อยา่ งตน่ื รู้ ไมใ่ ช่ นง่ิ แบบหดหซู่ มึ เซา กลา่ วแบบรวบรดั คอื ถา้ จติ มอี าการรสู้ ง่ิ ใดสงิ่ หนงึ่ โดย ไมก่ วัดแกว่ง ไมแ่ สส่ า่ ยไปทางอน่ื แมเ้ พียงช่ัวขณะ กจ็ ัดเป็นสมาธไิ ด้แล้ว ขอใหเ้ ขา้ ใจดๆี วา่ สมาธไิ มใ่ ชก่ ารจงใจหยดุ คดิ ไมใ่ ชก่ ารพยายามบงั คบั ให้ น่ิงทอ่ื และโดยเฉพาะอยา่ งยิ่งไม่ใช่การฝนื ใจเพ่งเลง็ สง่ิ ใดสง่ิ หนึง่ ตัวอย่างทเ่ี หน็ ได้ชัดคอื เมื่อท�ำการงานใดๆดว้ ยความจดจอ่ ใจเรา จะน่ิงและรับรู้สิ่งท่ีก�ำลังท�ำอย่างชัดเจน เหมือนหูตากว้างขวางกว่าปกติ น่ันแหละคือความตั้งม่ันเป็นสมาธิขณะยังคิดอ่านท�ำงานได้ ทว่าสมาธิ แบบโลกๆเชน่ นนั้ แค่ชว่ ยใหเ้ รารเู้ ร่ืองนอกตัว แตไ่ ม่รเู้ รอื่ งกายใจตัวเอง เลย แมก้ ระทง่ั จติ เปน็ สมาธอิ ยู่ กไ็ มร่ วู้ า่ ลกั ษณะของจติ เปน็ อยา่ งไร ทราบ แคเ่ ราอยูใ่ นภาวะพรอ้ มจะท�ำงานเท่านัน้ ขอให้สังเกตวา่ ขณะทำ� งานอยา่ งเปน็ สมาธิ ใจเราจดจอ่ อยกู่ ับงาน ก็จริง แตจ่ ะไมเ่ พ่งเลง็ จุดใดจุดหนง่ึ คับแคบ น่นั เปน็ ท�ำนองเดยี วกบั เม่ือ เจรญิ สตจิ นเกดิ สมาธิ ใจเราจะตง้ั รสู้ บายๆ เปดิ กวา้ ง ไมเ่ จาะจงจดุ ใดจดุ หนง่ึ คบั แคบเช่นกัน การมสี ตใิ นขอ้ นี้ เพยี งแคใ่ หจ้ ติ รวู้ า่ ตวั เองแนน่ ง่ิ ไมแ่ สส่ า่ ยกพ็ อ อยา่ ใหก้ ลายเปน็ เพง่ บังคับจะประคองความนิง่ ไว้นานๆ หลงั จากเฝา้ สงั เกตรวู้ า่ ขณะใดจติ เปน็ สมาธิ ขณะใดจติ ไมเ่ ปน็ สมาธิ ไปพักหนึ่ง นอกจากเห็นความไม่เท่ียงของสมาธิจิตแล้ว เราจะมีความ ฉลาดเกย่ี วกบั จติ เพมิ่ ขนึ้ ดว้ ย อยา่ งเชน่ จะสงั เกตเหน็ วา่ สมาธมิ หี ลายแบบ แบบทจ่ี ติ แขง็ กระดา้ งกม็ ี แบบนมุ่ นวลสวา่ งไสวกม็ ี แบบรคู้ บั แคบกม็ ี แบบ howfarbooks.com
226 รกู้ วา้ งขวางกม็ ี แบบรสู้ กึ วา่ จติ มสี ง่ิ หอ่ หมุ้ กม็ ี แบบรสู้ กึ วา่ จติ ไมม่ สี งิ่ หอ่ หมุ้ กม็ ี นอกจากนน้ั เราจะพบดว้ ยวา่ ความรสู้ กึ ทางกายแตกตา่ งไปเรอื่ ยๆ ตามคณุ ภาพของจติ ถา้ จติ ยงั เลก็ แขง็ กระดา้ ง ไมต่ งั้ มนั่ กายกป็ รากฏเปน็ ของใหญ่ มคี วามหยาบ รไู้ ดย้ าก เหมอื นภาพลม้ ลุก แต่ถา้ จติ ใหญ่ข้นึ ตง้ั มั่นเป็นปึกแผน่ นุ่มนวลอ่อนควรแกก่ ารเจริญสติ กายกป็ รากฏเป็นของ เล็ก ดูงา่ ยเหมอื นภาพใสนงิ่ ทีเ่ ต็มไปด้วยรายละเอียด ๖ รวู้ า่ จติ เปน็ หรอื ไมเ่ ปน็ มหคั คตะ มหัคคตะคือความต้ังมั่นเป็นหน่ึงของจิต อย่างน้อยต้องมีปีติสุข เอิบอาบซาบซ่าน เยอื กเย็นวิเวกตง้ั แตห่ ัวจดเท้า สว่างรุง่ เรืองออกมาจาก ภายใน รศั มีจิตแผจ่ ้าออกไปทกุ ทิศทางเสมอกัน เป็นสภาวจติ อกี แบบท่ี ต่างไปอย่างสิน้ เชงิ จากจติ สามัญที่นกึ ๆคดิ ๆอย่นู ้ี เมอื่ จติ เปน็ มหคั คตะ คณุ จะรสู้ กึ ถงึ ความสามารถในการแผผ่ ายจติ เป็นวงกว้าง ซงึ่ ขอบเขตมีได้เป็นต่างๆ ดงั เชน่ ทพี่ ระอนรุ ุทธเคยให้สงั เกต วา่ รศั มีของจติ จะกวา้ งหรือแคบ กข็ ึน้ อยกู่ ับความสามารถในการก�ำหนด ใจแผ่ออกไปไดเ้ ป็นอาณาบรเิ วณใกล้หรือไกลแคไ่ หน อาจจะแค่ผนงั หอ้ ง อาจจะครอบบ้าน อาจจะครอบเมือง เร่ือยไปจนครอบแผ่นดินแผ่นฟ้า และไม่มกี �ำหนดประมาณ คุณจะรู้ว่าจิตเป็นมหัคคตะเมื่อตั้งมั่นเป็นหน่ึง และสามารถรู้ว่า ความตงั้ มนั่ เป็นหนงึ่ นั้น มีขอบเขตกวา้ งแคไ่ หน กระทัง่ เหน็ ชัดว่าความ เปน็ มหคั คตะกไ็ มเ่ ทย่ี ง ตงั้ มนั่ แลว้ กลบั คลอนแคลนได้ หรอื แมข้ ณะตงั้ มนั่ อยูก่ ม็ ีขอบเขตรัศมีตา่ งๆกนั ไป เสยี ดาย... คนตายไมไ่ ดอ้ ่าน
227 ๗ รวู้ า่ มจี ติ อนื่ ยงิ่ กวา่ หรอื ไมม่ จี ติ อน่ื ยง่ิ กวา่ ความยง่ิ หยอ่ นของจติ กค็ อื ความตา่ งระหวา่ งจติ หยาบกบั จติ ประณตี นัน่ เอง ระหวา่ งเสน้ ทางแห่งการเจริญสตยิ ่อมมจี ิตขนึ้ และจิตตก เมอื่ เคย จิตดแี ล้วเปล่ยี นเปน็ เสีย ก็รู้ไดว้ ่าภาวะจติ ปจั จุบนั เปน็ ของดอ้ ย ยังมีจิตที่ เหนือกวา่ น้ี หรอื ถา้ เจรญิ สติจนช�ำนาญ รู้ลกั ษณะจติ ตนได้ราวกบั ตาเห็น รปู กจ็ ะเรม่ิ มองจติ คนอน่ื ออก เหน็ นมิ ติ ลกั ษณะจติ ของเขาเหมอื นของเรา เอง ตรงนนั้ กอ็ าจเปน็ โอกาสใหเ้ ทยี บเคยี งได้ วา่ จติ ทปี่ ระณตี หรอื หยาบกวา่ เราเป็นอยา่ งไร ในทางปฏิบัติแล้ว นักเจริญสติย่อมรู้ว่าจิตตั้งมั่นเป็นอย่างไร จิต ผอ่ งใสเปน็ อยา่ งไร จติ เปน็ อสิ ระจากอปุ าทานหยาบๆเปน็ อยา่ งไร จติ เปน็ อสิ ระจากอปุ าทานละเอยี ดๆเปน็ อยา่ งไร ทงั้ นม้ี ใิ ชเ่ พอื่ ใหย้ ดึ มนั่ แตจ่ ติ ดๆี วา่ น่ามีน่าเอา แต่เพอื่ ใหเ้ หน็ ความเสอื่ ม ความเจรญิ และตระหนกั ว่าเรา ยังมีกิจต้องท�ำย่ิงๆขึ้นไปหรือไม่ ตลอดจนละความประมาทว่าได้ดีแล้ว ไม่ต้องเจริญสตอิ ีกแล้วดว้ ย ๘ รวู้ า่ จติ หลดุ พน้ หรอื ไมห่ ลดุ พน้ ความหลุดพ้นในท่นี ้หี มายเอาการพน้ จากกเิ ลส พน้ จากอปุ าทาน พน้ จากความไม่รู้ หากตามรู้สภาพจติ มาครบทกุ ข้อข้างต้น ถงึ จุดหน่งึ เรา อาจเห็นกายน้ตี ง้ั อย่ใู นทา่ หน่ึง เหน็ จิตนปี้ รากฏอยู่ในสภาพหน่งึ แลว้ รู้ แจ้งขึ้นมาว่าความรู้สึกในตัวตนน้ีมีเพราะจิตยังไม่หลุดพ้น ต่อเม่ือเจริญ howfarbooks.com
228 สติจนจิตถอยห่าง และกระท่ังถอนรากออกมาจากอาการยึดมั่นกายใจ อย่างส้นิ เชงิ น่นั เองจึงถึงความหลดุ พน้ อย่างเด็ดขาด ปัจจุบนั ยังไปไม่ถึง กเ็ พราะกำ� ลังยงั ไม่พอเทา่ นั้น ผู้มีจิตเห็นจิตเป็นผู้ใกล้ต่อการหลุดพ้น เพราะจิตเป็นที่ตั้งส�ำคัญ ทสี่ ดุ ของความรสู้ กึ ในตวั ตน เมอ่ื รสู้ ภาพจติ ตา่ งๆจนเหน็ ความไมเ่ ทยี่ งของ จติ กเ็ หมือนไมเ่ หลอื ท่ีตง้ั ให้อปุ าทานลงหลักปกั รากอกี ต่อไป จิตก�ำลังอยู่ในภาวะน้ี รู้ไหมว่าต่างหรือเหมือน กับภาวะของจิต ก่อนอ่านมาถึงบรรทัดน้ี? เสียดาย... คนตายไม่ได้อา่ น
229 รู้ทันความเกดิ ดับของขนั ธ์ ๕ พุทธพจน์ ๑ เห็นว่าอย่างน้ีรูป อย่างน้ีความเกิดขึ้นแห่งรูป ๒อยา่ งนีค้ วามดบั แหง่ รปู เหน็ วา่ อยา่ งนเ้ี วทนา อยา่ งนค้ี วามเกดิ ขนึ้ แหง่ เวทนา ๓อย่างนี้ความดบั แหง่ เวทนา เหน็ วา่ อยา่ งนสี้ ญั ญา อยา่ งนค้ี วามเกดิ ขนึ้ แหง่ สญั ญา ๔อย่างนค้ี วามดบั แหง่ สัญญา เหน็ วา่ อยา่ งนส้ี งั ขาร อยา่ งนค้ี วามเกดิ ขน้ึ แหง่ สงั ขาร ๕อยา่ งนีค้ วามดับแหง่ สังขาร เห็นว่าอย่างนี้วิญญาณ อย่างนี้ความเกิดข้ึนแห่ง วญิ ญาณ อยา่ งนี้ความดบั แห่งวญิ ญาณ มหาสติปัฏฐานสูตร > ธมั มานุปัสสนา > นีวรณบรรพ howfarbooks.com
230 ลงมือปฏิบัติ หลงั จากเหน็ กาย เหน็ สขุ ทกุ ข์ และเหน็ จติ แจม่ แจง้ แลว้ สตผิ รู้ เู้ หน็ จะ หมดความสำ� คัญม่นั หมายว่ากายใจเป็นบุคคล เปลีย่ นเปน็ ร้สู ึกเสมือนดู หนุ่ กระบอก หรอื ดแู สงทเี่ ดย๋ี วสวา่ งจา้ เดย๋ี วหรม่ี ดื ไมม่ สี ตั ว์ ไมม่ บี คุ คลอยู่ ในทน่ี ้ี และเมอื่ ฝึกมาถึงขั้นนี้ สตจิ ะมีความไวสูง เห็นภาวะกายใจครบ จงึ สมควรทเี่ ราจะมองกายใจแบบแยกแยะวา่ มอี งคป์ ระกอบเปน็ ๕ หมวดหมู่ แตล่ ะหมวดหมไู่ ดช้ อื่ วา่ เปน็ หนง่ึ ขนั ธ์ รวมเรยี กวา่ ‘ขนั ธ์ ๕’ ซงึ่ เมอื่ ทำ� ความ รจู้ กั อยา่ งดใี หค้ รบทงั้ หมดแลว้ กจ็ ะไดไ้ มต่ อ้ งสงสยั วา่ เรากำ� ลงั รเู้ หน็ สง่ิ ใด กันแน่ ในขณะแหง่ ความเป็นปกติอย่างเด๋ียวน้เี ลย เราสามารถรไู้ ด้วา่ ๑ รปู เปน็ สภาวะเกดิ ดบั รูปคอื ธาตุ ๔ ดิน น้ำ� ไฟ ลม อันประชุมขนึ้ เปน็ กาย ลมหายใจจัด เปน็ รปู เพราะเปน็ ธาตลุ ม และแมอ้ ริ ยิ าบถตา่ งๆกจ็ ดั เปน็ รปู เพราะอาศยั ธาตุ ๔ ในการเกดิ อิริยาบถ แต่คนทว่ั ไปที่ไม่มโี อกาสพิจารณาความจรงิ น้ี เมื่อหายใจก็เกิดมโนภาพบุคคลก�ำลังหายใจ เม่ือเคล่ือนไหวก็เกิด มโนภาพบุคคลก�ำลังเคลื่อนไหว ไม่เฉลียวคิดเลยตั้งแต่เกิดจนตายว่า ทั้งหมดเป็นแคร่ ูปประกอบ ต่อเมื่อร้ชู ดั ว่าหายใจ ดว้ ยความเขา้ ใจวา่ มีแตธ่ าตุลมเขา้ สู่กายและ ออกจากกาย ไมม่ บี ุคคลเขา้ มา ไมม่ ีบคุ คลออกไป มโนภาพบคุ คลผู้กำ� ลัง เสียดาย... คนตายไมไ่ ด้อา่ น
231 หายใจก็จะหายไป เหน็ แต่ว่ารูปมันหายใจเข้าออก ไม่ใชต่ ัวเราหายใจเข้า ออก น่ีเรียกว่าเป็นการรู้ความเกิดดับแห่งรูปเป็นขณะๆ จะขณะส้ันหรือ ขณะยาวก็ตามที และเม่อื ใดทร่ี ู้ชัดวา่ กายนีเ้ คล่ือนไหวหรือหยุดนิง่ ดว้ ยความเขา้ ใจ วา่ เพราะธาตุ ๔ ประชมุ กันเคลอ่ื นไหว มโนภาพบุคคลก�ำลงั เคลอ่ื นไหว จะหายไป เหน็ แตว่ า่ รปู มนั เคลอ่ื นไหว ไมม่ ตี วั เราเคลอ่ื นไหว ทา่ ทางหนงึ่ เกดิ ขึน้ แล้วต้องเปลี่ยนเป็นท่าทางอ่นื เปน็ ธรรมดา น่กี ็เรียกว่าเปน็ การรู้ ความเกิดดบั แห่งรปู เช่นกนั ๒ เวทนาเปน็ สภาวะเกดิ ดบั เวทนาคือความรู้สึกสุข ทุกข์ หรือเฉย ส�ำหรับคนท่ัวไปน้ัน เม่ือ เปน็ สขุ จะเกดิ มโนภาพบคุ คลผยู้ ม้ิ แยม้ จติ ใจปลอดโปรง่ โลง่ สบาย แตเ่ มอ่ื เป็นทกุ ข์จะเกิดมโนภาพบคุ คลผ้รู อ้ นร่มุ กลมุ้ ใจ อึดอดั ไม่สบาย ตอ่ เมอื่ ฝกึ รจู้ นเหน็ วา่ เวทนาคอื เวทนา ไมใ่ ชบ่ คุ คล มโนภาพบคุ คล ผู้เป็นทุกข์เป็นสุขก็หายไป เห็นแต่เพียงว่าถ้ากายระงับไม่กวัดแกว่งและ ไม่ก�ำเกรง็ กจ็ ะเกิดความสขุ ทางกาย ถา้ ใจสงบสบายและเปิดกวา้ ง กจ็ ะ เกิดความสขุ ทางใจ แตถ่ า้ กายกระสบั กระส่ายหรือกำ� เกรง็ กจ็ ะเกิดความ ทกุ ขท์ างกาย ถา้ ใจซดั สา่ ยหรอื ปดิ แคบ กจ็ ะเกดิ ความทกุ ขท์ างใจ เปน็ เหตุ เป็นผลทางธรรมชาติแค่นี้ และไม่ว่าสุขทุกข์จะกินเวลายาวนานเพียงใด ก็ตอ้ งถงึ กาลส้ินสดุ ลงเปน็ ธรรมดา ไมไ่ ดม้ บี คุ คล ตัวตน เราเขา ตง้ั อยูใ่ น หว้ งสขุ หว้ งทุกข์ไหนเลย เห็นแตว่ า่ เวทนามันสุข เวทนามนั ทกุ ข์ เวทนา มันเฉย เช่นนี้นับเป็นการเห็นเวทนาเกิดดับเป็นขณะๆแล้ว จะขณะสั้น หรือขณะยาวกต็ ามที howfarbooks.com
232 ๓ สญั ญาเปน็ สภาวะเกดิ ดบั สญั ญาคือความจำ� ได้ หรอื ความสำ� คญั ม่ันหมายวา่ อะไรเป็นอะไร เช่น ตาเห็นรูปแล้วจ�ำได้ว่าสีเขียวหรือสีแดง มนุษย์ทั้งหลายอาจเห็น สัญญาเกิดขึ้นชัดก็ต่อเมื่อพยายามเค้นนึกช่ือคนหรือช่ือสถานท่ี เม่ือ นึกออกก็จะเกดิ มโนภาพบุคคล เหมอื นมีตัวเราเป็นผูน้ กึ ออก อันที่จริงสัญญาเกิดข้ึนตลอดเวลา อย่างเช่นนั่งอยู่แล้วความคิด ต่างๆผุดขนึ้ มาเอง ชว่ั ขณะท่จี ำ� ไดห้ มายร้วู ่าเป็นเรอ่ื งใด เกี่ยวขอ้ งกับใคร กเ็ ข้าขา่ ยเป็นสญั ญาเชน่ กัน หรอื แมไ้ ม่คิดถงึ เรื่องใด แต่ส�ำคัญวา่ มตี ัวเรา นงั่ อยู่ เท่าน้ีกน็ บั เป็น ‘อตั ตสญั ญา’ แลว้ ตอ่ เมอ่ื เจรญิ สตจิ นจติ เงยี บวา่ งไดบ้ า้ ง แลว้ เหน็ วา่ อยๆู่ ความคดิ ผดุ ขึน้ ทา่ มกลางความวา่ ง โดยคล่ืนความคดิ ผุดกอ่ น แลว้ ตามมาดว้ ยความ จำ� ไดว้ า่ นน่ั เกย่ี วกบั เรอ่ื งอะไร กจ็ ะเหน็ ถนดั วา่ นนั่ สกั แตเ่ ปน็ สญั ญาระลอก หนึ่ง ดุจเดียวกับพยับแดดที่หลอกให้นึกว่ามีค่ามีความหมาย ทั้งที่ตรง นน้ั ไมม่ อี ะไรใหจ้ บั ตอ้ งไดเ้ ลย เชน่ นี้ มโนภาพบคุ คลผนู้ กึ ออกจำ� ไดจ้ ะหาย ไป เห็นแต่วา่ สญั ญามันจำ� ได้ ไม่ใช่ตัวเราจำ� ได้ ผุดขึ้นต้ังอยู่ แลว้ ในที่สุด ก็หายวับไปไม่ต่างจากการเลือนของพยับแดด นี่เรียกว่าเป็นการเห็น สญั ญาเกดิ ดับเปน็ ขณะๆแล้ว จะขณะสน้ั หรือขณะยาวกต็ ามที ๔ สงั ขารเปน็ สภาวะเกดิ ดบั สงั ขารคือตัวการปรงุ แต่งใจใหเ้ ปน็ กศุ ลหรืออกุศล คิดดีหรอื คดิ ชวั่ เข้าข้างสว่างหรือข้างมืด คนท่ัวไปจะเห็นสังขารเกิดขึ้นชัดต่อเมื่อต้องใช้ เสียดาย... คนตายไมไ่ ดอ้ า่ น
233 ก�ำลังใจในการท�ำบุญหรือก่อบาปเป็นพิเศษ ก�ำลังใจในการท�ำบุญหรือ ก่อบาปหนักๆนั้น จะก่อให้เกิดมโนภาพนักบุญผู้มีจิตใจสว่างกว้างขวาง หรือมโนภาพคนบาปผมู้ จี ิตใจมืดมนรา้ ยกาจ แมค้ วามชอบหรอื ความชงั กจ็ ดั เปน็ สงั ขารเชน่ กนั ทนั ทที ถี่ กู ใจหรอื ไมถ่ กู ใจ จะเกดิ ความรสู้ กึ วา่ มเี ราเปน็ ผไู้ ดร้ บั ความพอใจ จติ มสี ภาพฟฟู อ่ ง ลำ� พองยนิ ดี หรอื ไมก่ ็มเี ราเปน็ ผู้กำ� ลังจะโดนทำ� รา้ ยหรือเอาเปรียบ จิตมี สภาพฟุบแฟบ ต่ืนกลวั ลนลาน พอฝกึ เหน็ วา่ สงั ขารไมใ่ ชบ่ คุ คล เปน็ เพยี งปฏกิ ริ ยิ าทางใจทโี่ ตต้ อบ กบั สงิ่ กระทบ มโนภาพของนกั บญุ หรอื คนบาป ผชู้ อบหรอื ผชู้ งั กจ็ ะหายไป เหน็ แตว่ า่ คดิ ดเี พราะปญั ญาเปน็ ผคู้ ดิ ไมใ่ ชเ่ ราคดิ และเมอื่ คดิ รา้ ยกเ็ พราะ กเิ ลสมนั คดิ ไม่ใชเ่ ราคดิ ชอบกเ็ พราะสังขารมันชอบ ไมใ่ ช่เราชอบ ชงั ก็ เพราะสังขารมนั ชัง ไมใ่ ช่เราชงั ถา้ เห็นเช่นนี้กน็ บั เป็นการเหน็ สังขารเกดิ ดับเปน็ ขณะๆแล้ว จะขณะสัน้ หรือขณะยาวกต็ ามที ๕ วญิ ญาณเปน็ สภาวะเกดิ ดบั วิญญาณคือความรับรู้ที่เกิดข้ึนตามประสาทสัมผัส รวมทั้งมโน สมั ผสั คอื รวู้ า่ กำ� ลงั เหน็ รปู ดว้ ยตาหนง่ึ ไดย้ นิ เสยี งดว้ ยหหู นงึ่ ไดก้ ลนิ่ ดว้ ย จมูกหน่ึง ได้ลิ้มรสด้วยลิ้นหนึ่ง ได้แตะต้องวัตถุด้วยกายหน่ึง ได้ทราบ ดว้ ยใจหนงึ่ คนทวั่ ไปจะรสู้ กึ วา่ มเี ราเหน็ มเี ราไดย้ นิ มเี ราไดก้ ลนิ่ มเี ราลมิ้ มเี ราแตะต้อง และมีเราเปน็ ผรู้ บั ทราบเสมอ ตอ่ เมอื่ เจริญสติจนจิตต้งั ม่ัน รบั สมั ผัสกระทบตา่ งๆไดช้ ดั ในขณะ แหง่ การรบั สมั ผสั หนงึ่ ๆนนั่ เอง มโนภาพผเู้ สพสมั ผสั จะหายไป รวู้ า่ ตามนั เห็น ไม่ใช่เราเห็น รู้ว่าหูมันได้ยิน ไม่ใช่เราได้ยิน รู้ว่าจมูกมันได้กลิ่น howfarbooks.com
234 ไมใ่ ชเ่ ราได้กล่ิน รู้วา่ ลน้ิ มันล้มิ ไม่ใชเ่ ราลิ้ม รู้วา่ กายมันแตะตอ้ ง ไม่ใช่เรา แตะต้อง กับทั้งรู้ว่าใจมันทราบ ไม่ใช่ตัวเราทราบ ถ้ารู้อย่างนี้ก็นับว่า เปน็ การเหน็ วญิ ญาณเกดิ ดบั เปน็ ขณะๆแลว้ จะขณะสนั้ หรอื ขณะยาวกต็ าม ที เมื่อถอดแยกท่ีต้ังของอุปาทานในตัวตนออกหมด ตัวตนย่อม ปรากฏเปน็ ของกลวง ของวา่ งเปล่า ของทไี่ มม่ ี ของท่ไี ม่จริง ประดจุ พน้ื ท่ี สำ� หรบั ยนื ทะลหุ ายกลายเปน็ โลง่ และไมเ่ หลอื สง่ิ ใดเปน็ ฐานทต่ี งั้ ของตวั ตนไดอ้ กี นน่ั แหละคอื สาระสงู สดุ ของการฝกึ เทา่ ทนั การเกดิ ดบั ของขนั ธ์ ๕ ตาก�ำลังเห็นรูปอยู่ รู้ไหมว่า ไม่มีตัวเรา เป็นผู้เห็นรูป? เสียดาย... คนตายไม่ได้อ่าน
235 ส�ำรวจความพร้อมบรรลธุ รรม พุทธพจน์ ๑) รู้ชัดวา่ สตสิ มั โพชฌงค์มีอยู่ หรอื ไม่มอี ย่ใู นจติ ๒) รชู้ ัดว่าธัมมวิจยสมั โพชฌงค์มีอยู่ หรอื ไมม่ อี ยใู่ นจิต ๓) รชู้ ัดวา่ วริ ิยสมั โพชฌงค์มอี ยู่ หรือไม่มอี ยู่ในจิต ๔) รชู้ ัดว่าปตี ิสัมโพชฌงค์มอี ยู่ หรอื ไมม่ อี ยูใ่ นจิต ๕) รู้ชดั วา่ ปสั สัทธสิ มั โพชฌงค์มอี ยู่ หรือไม่มีอยู่ในจติ ๖) รชู้ ดั ว่าสมาธสิ มั โพชฌงคม์ ีอยู่ หรือไม่มีอยูใ่ นจติ ๗) รชู้ ดั ว่าอุเบกขาสมั โพชฌงคม์ ีอยู่ หรอื ไม่มีอยใู่ นจิต อนึ่ง โพชฌงค์ทั้ง ๗ ประการท่ียังไม่เกิดจะเกิดข้ึนด้วย ประการใด ย่อมรู้ชัดประการน้ันด้วย โพชฌงค์ท้ัง ๗ ประการทเี่ กดิ ขน้ึ แลว้ จะเจรญิ บรบิ รู ณด์ ว้ ยประการใด ยอ่ ม รูช้ ัดประการนนั้ ด้วย มหาสตปิ ฏั ฐานสูตร > ธัมมานุปัสสนา > โพชฌงคบรรพ howfarbooks.com
236 ลงมือปฏิบัติ เมอ่ื เจรญิ สตติ ามแบบฉบบั ของพระพทุ ธเจา้ ตามลำ� ดบั โดยไมเ่ ลกิ ลม้ กลางคนั นกั เจริญสติรู้สึกถึงความเปน็ ไปได้ทีจ่ ะบรรลมุ รรคผล ดว้ ยการ มปี กตเิ หน็ วา่ กายใจไมใ่ ชบ่ คุ คล ไมแ่ มก้ ระทงั่ อยากไดม้ รรคผลเพอ่ื ตนเอง เพราะอปุ าทานว่ามตี นลดน้อยถอยลงทุกที อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกเข้าใกล้มรรคผลมีหลายแบบ แบบไม่รู้ อะไรเลยแต่นึกว่ารู้ก็มี แบบย้�ำหลอกตัวเองให้เชื่อว่าเข้าใกล้ภาวะบรรลุ มรรคผลเข้าไปทุกทีก็มี แบบส�ำคัญผิดคิดว่าภาวะของจิตบางอย่างเฉียด มรรคเฉยี ดผลกม็ ี ตวั ความรสู้ กึ จงึ ไมใ่ ชเ่ ครอื่ งประกนั ทด่ี ี ตรงขา้ ม อาจลวง เราใหไ้ ขวเ้ ขว มัวหลงเมากเิ ลสรูปแบบใหมก่ ไ็ ด้ เราจึงควรมีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนไว้ตรวจสอบคุณภาพของจิตว่า พร้อมบรรลุมรรคผลจริง และเป็นหลักเกณฑ์ชนิดที่เราสามารถเทียบวัด ได้ด้วยตนเอง อาศัยประสบการณ์ภายในมาตัดสินว่าใช่หรือไม่ใช่ โดย ภาวะดีๆทางใจที่เป็นสัญญาณบอกเหตุว่า ‘จวนแล้ว’ นั้น รวมเรียกว่า ‘โพชฌงค’์ มอี ยู่ ๗ ประการ ดงั น้ี ๑ มสี ตเิ ปน็ อตั โนมตั ิ สตคิ อื ความสามารถในการระลกึ รไู้ ด้ และไมใ่ ชอ่ ะไรทส่ี งู สง่ พสิ ดาร เกนิ จนิ ตนาการ เอาแคง่ า่ ยๆอยา่ งเชน่ ตอนนก้ี ายนง่ั อยรู่ ไู้ หมวา่ กายนง่ั อยู่ ถ้าร้กู น็ ัน่ แหละ ปากทางไปนิพพาน อย่างไรก็ตาม สติชนิดท่ีพร้อมจะพาไปถึงมรรคถึงผลได้จริงน้ัน เสยี ดาย... คนตายไมไ่ ด้อา่ น
237 หมายถงึ รไู้ ดเ้ อง และรอู้ ยเู่ รอื่ ยๆ ไมต่ อ้ งคอยคมุ สติ ไมต่ อ้ งคอยระวงั ตง้ั ใจ เปลย่ี นทา่ นั่งกร็ ู้ เปลย่ี นจากสบายเปน็ อึดอดั กร็ ู้ เปลยี่ นจากสงบเป็นฟงุ้ ก็ รู้ เปลย่ี นจากจติ ดๆี เปน็ จติ ตกกร็ ู้ เปลยี่ นจากปลอดโปรง่ เปน็ กระโจนออก ไปหาเหยือ่ ล่อทางหูตาก็รู้ กลา่ วโดยย่นย่อ ไม่วา่ อะไรเกิดขน้ึ กับกายใจก็ รอู้ ยอู่ ยา่ งเปน็ อตั โนมตั ิ ไมใ่ ชเ่ วลาสว่ นใหญเ่ ผลอ เหมอ่ หรอื หลงลมื ไปวา่ กายใจเปน็ อยา่ งไร แลว้ นานๆทคี อ่ ยมานั่งนึกเอาวา่ ตอนนี้เราท�ำอะไรอยู่ การตั้งสติน้ัน ยิ่งจงใจออกแรงเพ่งมากขึ้นเท่าไร ตัวตนและ มโนภาพแบบนักเพ่งก็ยิ่งเข้มข้นข้ึนเท่าน้ัน ต่อเม่ือออกแรงเพ่งน้อยลง อาการยดึ สิง่ ที่เพง่ จึงค่อยเบาบางลง และท่ีสดุ เมอื่ สติเปน็ อตั โนมัติ รเู้ อง อย่างไรค้ วามจงใจ ก็เท่ากบั ขาดชนวนของตัวตนตั้งแตเ่ รม่ิ การฝึกรู้ลมหายใจอย่างเป็นธรรมชาติ เป็นอัตโนมัติได้ตั้งแต่เร่ิม จะมีส่วนเก้ือกูลให้เกิดสติอัตโนมัติข้อนี้เป็นอันมาก เพราะคุณจะได้ฝึก ออกแรงรใู้ หน้ อ้ ยทส่ี ดุ กระทงั่ จติ เกดิ อาการไมเ่ กย่ี งงอนวา่ จะใหร้ สู้ งิ่ ทชี่ อบ หรอื ไมช่ อบ และพฒั นาเปน็ ความเคยชนิ ทจ่ี ะรไู้ ปทกุ สง่ิ ทก่ี ำ� ลงั ปรากฏเดน่ ไมว่ า่ ลมหายใจ อริ ิยาบถ สุขทุกข์ สภาพจติ ตลอดจนสภาวธรรมหยาบ และละเอยี ดทง้ั ปวง เมอ่ื ไร้ความจงใจ จะเกิดสติแบบ ‘ร้ตู ามทป่ี รากฏ’ ไม่ใช่ ‘เลือกรู้ แค่สง่ิ ดีๆท่อี ยากให้ปรากฏ’ คณุ จะตระหนักว่าแมภ้ าวะแย่ๆของกายใจก็ ถกู ร้ไู ด้ เช่น ผดุ ความคดิ ไมด่ ขี นึ้ มา หรอื เกิดอาการห่อเหี่ยวทางใจข้นึ มา ไหนๆมันก็มาให้ดูแล้ว สติอันเป็นอัตโนมัติจะไม่ปล่อยให้หลุดมือ เสีย ของไปเปล่าๆเลย howfarbooks.com
238 ๒ มกี ารพจิ ารณาสง่ิ ถกู รดู้ ว้ ยปญั ญา เมื่อสติเป็นอัตโนมัติดีแล้ว ก็ได้ชื่อว่าเท่าทันสิ่งที่ก�ำลังเกิดข้ึน ตามจรงิ และการมคี วามสามารถลว่ งรสู้ ง่ิ ทเี่ กดิ ขน้ึ ตรงหนา้ ไดต้ ามจรงิ นน้ั ก็จะพลอยได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความเห็นชอบ เป็นผู้ทรงปัญญาเยี่ยงพุทธแท้ คือ มีสติรู้ภาวะที่เกิดขึ้นตรงหน้าสดๆร้อนๆ และรู้เห็นโดยความเป็น สภาพเกิดข้ึนแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา แต่หากปราศจากการเห็นโดย ความเป็นของเกิดดับ ก็ไม่ได้ชื่อว่าจิตมีปัญญาเห็นตามจริง แค่เห็นไป อยา่ งนน้ั เอง ยกตวั อยา่ งเชน่ บางคนบอกวา่ ตนสามารถรสู้ กึ ตวั ไดเ้ รอื่ ยๆ จะขยบั เคล่ือนไหวท่าไหนรู้หมด เท่าทนั ไปหมด อนั นนั้ ก็อาจจะจริงอยู่ ทว่าเขา ร้ดู ้วยอาการ ‘ยึดมั่น’ วา่ กายของเขาขยบั กายของเขาจงึ ดูเป็นสิง่ คงทอี่ ยู่ ตอ่ เม่ือเขารู้สกึ ตวั ดว้ ยอาการ ‘เห็นจริง’ วา่ ธาตขุ ันธม์ ันขยับ กายของเขา จงึ ปรากฏตามจรงิ วา่ เปลยี่ นทา่ ทางไปเรอื่ ยๆ เปลยี่ นลมเขา้ ออกไปเรอ่ื ยๆ เปลยี่ นไออนุ่ ไปเรอ่ื ยๆ กล่าวแบบเฉพาะเจาะจงให้เห็นภาพชัดขึ้น การมีสติรู้ว่ากายขยับ นั้น นักยิมนาสติกจัดว่าเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปหลายเท่า แต่ก็ไม่มี ใครบรรลุมรรคผลเพียงเพราะเล่นยิมนาสติกเก่ง ทั้งน้ีเพราะจิตยังถูก หลอกวา่ ‘มตี วั เราขยบั ไดอ้ ยา่ งเกง่ กาจ’ หรอื ‘กายเรายดื หยนุ่ วอ่ งไวเหนอื คนอ่นื ’ อยเู่ สมอ การมีทัง้ สติและปัญญา ย่อมท�ำให้นกั เจริญสติไมห่ ลงยึดเอาภาวะ ใดภาวะหนึ่งท่ีตนชอบใจมาเปน็ เกณฑ์วัดวา่ ตนใกล้จะถงึ มรรคผล ดงั เช่น ทห่ี ลงยึดกันมากกว่าอย่างอน่ื เห็นจะเป็นความรสู้ กึ วา่ งๆ พอว่างๆกม็ กั เสียดาย... คนตายไม่ไดอ้ า่ น
239 เหมาวา่ นนั่ คอื วา่ งจากความรสู้ กึ ในตวั ตน จงึ พยายามกลบั ไปสคู่ วามรสู้ กึ ว่างชนิดน้ันท่าเดียว ไม่สนใจภาวะทางกายใจที่เกิดขึ้นในขณะปัจจุบัน ทส่ี ดุ กย็ อ่ มตดิ อยกู่ บั ความรสู้ กึ วา่ ตนเฉยี ดมรรคเฉยี ดผลอยอู่ ยา่ งนน้ั ไปจน ช่วั ชีวติ ทง้ั ที่ยงั อยอู่ กี ห่าง ตอ้ งเจรญิ สติเพ่ือร้ตู ามจริงอีกมาก อนึ่ง การพิจารณาธรรมอาจหมายถึงความสามารถในการรับมือ กบั กิเลสเฉพาะหนา้ ได้อยา่ งทว่ งทนั ดว้ ย เช่น เมื่อเกิดราคะกล้า รแู้ ลว้ ว่า ราคะเปน็ สภาวะเดน่ ใหเ้ หน็ ชดั ในปจั จบุ นั แตร่ าคะยงั ไมห่ ายไปเพยี งดว้ ย การต้ังสตริ ู้น้ัน กเ็ ปลยี่ นแผนรับมือกเิ ลสเสียใหม่ อาจระลกึ ถงึ กอ้ นเสลด ในล�ำคอ ซ่ึงท้ังลนื่ ท้งั เหนียว ท้ังเหม็น หากเช่ยี วชาญในการนกึ รสู้ กึ ถงึ ความสกปรกไดช้ ดั กย็ อ่ มถอนราคะไดท้ นั สถานการณ์ นนี่ บั เปน็ ตวั อยา่ ง ของปญั ญาพจิ ารณา เลอื กเฟน้ ขอ้ ธรรมมารบั มอื กบั กเิ ลสเฉพาะหนา้ อยา่ ง ถกู ฝาถกู ตัว ๓ มคี วามเพยี รพจิ ารณาธรรม เมอื่ ปญั ญาในการเหน็ สภาวธรรมตา่ งๆเกดิ ขน้ึ เตม็ ที่ สง่ิ ทจ่ี ะตามมา เปน็ ธรรมดาคอื ความเพยี รไมย่ อ่ หย่อน เพราะพบแลว้ ว่าหลกั สำ� คัญของ การเจริญสติมีอย่นู ดิ เดียว น่นั คือ ‘มอี ะไรใหด้ กู ด็ ใู หห้ มด’ ซึ่งหมายความ วา่ ดไู ดต้ ลอดวนั ตลอดคนื ไมใ่ ชเ่ ขา้ สสู่ ถานทป่ี ฏบิ ตั ธิ รรมแลว้ คอ่ ยเรม่ิ ความ เพยี รกันแบบหนา้ ด�ำคร่�ำเครียด แม้แต่ขณะที่รู้ได้น้อยท่ีสุดอย่างเช่นยามข้ีเกียจ ยามเหม่อ ยาม ฟุง้ ซ่าน คุณกถ็ กู ฝกึ ให้รสู้ กึ ตัวมาแลว้ วา่ กำ� ลงั ข้เี กียจ กำ� ลงั เหม่อ กำ� ลัง ฟงุ้ ซา่ น โดยเหน็ วา่ ภาวะเหลา่ นนั้ เปน็ สงิ่ ถกู รู้ ไมใ่ ชบ่ คุ คล ไมใ่ ชต่ วั เรา เกดิ ได้กด็ ับได้ถา้ มภี าวะขยนั อันเปน็ ปฏิปกั ษ์มาแทนที่ howfarbooks.com
240 นักเจริญสติมกั ปักใจเช่ือผดิ ๆ นึกว่าความเพยี รหมายถงึ การย่ำ� ท�ำ อะไรซำ้� ๆอยกู่ บั ทใี่ หต้ อ่ เนอื่ งนานๆ เชน่ การนงั่ สมาธหิ ลายๆชวั่ โมงไมพ่ กั โดยไม่คำ� นึงถึงคุณภาพเอาเลย การน่งั หลายช่วั โมงดว้ ยความฟงุ้ ซ่านจบั อะไรไม่ตดิ นบั เป็นความเพียรทส่ี ูญเปลา่ ไม่เกือ้ กูลใหส้ ตเิ จริญขนึ้ เลย ผลของการเพยี รนานแบบผดิ ๆนน้ั คอื การเหนอื่ ยหนา่ ย เขด็ ขยาด ทอ้ แท้ เพราะไม่เหน็ ความก้าวหน้า แตห่ ากความเพียรยืนพน้ื อยู่บนการ พิจารณาธรรมโดยไมเ่ กี่ยงงอนว่าเป็นภาวะใด เช่น ขณะน้รี สู้ ึกพรา่ เลือน ไม่พร้อมจะตั้งสติ ก็ท�ำความรู้จักอาการพร่าเลือนสักนิดหนึ่ง ดูว่ามันมี สภาพอยา่ งไร แลว้ จะแปรไปเปน็ แบบไหนอกี เทา่ นกี้ ถ็ อื เปน็ สว่ นหนงึ่ ของ ความเพียรแลว้ ผมู้ คี วามเพยี รพจิ ารณาทกุ สภาวธรรม ยอ่ มรา่ เรงิ ในการเหน็ สภาวะ ตา่ งๆในขอบเขตกายใจ วา่ เกิดขน้ึ แล้วตอ้ งดบั ไปจรงิ ๆทั้งหมด แตผ่ ู้เพยี ร สร้างแต่สภาวธรรมท่ีน่าพอใจ ย่อมหดหู่แบบไม่รู้ตัวเพราะพบกับความ ล้มเหลวไม่ไดอ้ ยา่ งใจรำ่� ไป ๔ มคี วามอม่ิ ใจ ในการรทู้ นั สภาวธรรม เมอื่ ความเพยี รพจิ ารณาธรรมแกก่ ลา้ เตม็ กำ� ลงั สงิ่ ทเ่ี กดิ ตามมาเปน็ ธรรมดาคอื ความอม่ิ ใจ และความอม่ิ ใจในทน่ี ก้ี ม็ ใิ ชล่ กั ษณะเดยี วกบั ความ สมหวงั นา่ ชนื่ มนื่ แบบกเิ ลสๆ เพราะเปน็ ความอมิ่ ใจอนั ปราศจากเหยอื่ ลอ่ แบบโลกๆ กบั ทง้ั มใิ ชค่ วามปลาบปลมื้ กบั การนกึ วา่ จะไดม้ รรคผลรำ� ไรใน อนาคตอันใกล้ เพราะใจเราจะพออยู่กับสติท่ีมาถึงแล้วเด๋ียวนี้ ไม่ใช่ มรรคผลท่ยี ังมาไม่ถงึ เบ้อื งหน้า เสยี ดาย... คนตายไม่ได้อา่ น
241 ความเทา่ ทนั ธรรมจะทำ� ให้เราตระหนกั ว่าความอ่มิ ท่ีแทน้ นั้ ไม่ใช่ กายได้กินมากเท่าใด กับทั้งไม่ใช่ใจสมหวังเพียงไหน แต่เป็นความพอ เป็นความหยุดอยาก เป็นการยุติอาการไขว่คว้าเหยื่อล่อภายนอกทั้งส้ิน ทัง้ ปวง ถึงข้นั นี้ เราจะมีชีวติ อยู่ด้วยความรู้สกึ อกี แบบหนึง่ คอื เป็นผู้เห็น ทรัพย์ภายในน่าปลื้มใจกว่าทรัพย์ภายนอก ย่ิงจิตเป็นอิสระจากการ เกาะเกี่ยวเท่าไร ก็เหมือนทรัพย์ภายในยิ่งเพ่ิม ยิ่งเอ่อท้นล้นอกมากข้ึน เทา่ นนั้ หากปราศจากความอม่ิ ใจในขน้ั นแ้ี ลว้ ใจเราย่อมทะยานออกไป ไขวค่ วา้ เหยอ่ื ลอ่ ภายนอกไมร่ จู้ บรสู้ น้ิ ไมส่ ง่ิ ใดกส็ ง่ิ หนง่ึ ไมค่ นใดกค็ นหนง่ึ จะสามารถกระชากความรสู้ กึ ของเราใหย้ นื่ ไปยดึ ไดเ้ สมอ ไมว่ นั นก้ี ว็ นั หนา้ ๕ มคี วามสงบระงบั เยอื กเยน็ เมอื่ อม่ิ เอมเปรมใจเตม็ ท่ี ถงึ ขน้ั ไมอ่ ยากไดอ้ ะไรนอกจากมสี ตริ นู้ น้ั ยอ่ มตามมาซง่ึ ความสงบระงบั เยอื กเยน็ เปน็ ธรรมดา กายขยบั เทา่ ทจี่ ำ� เปน็ ต้องขยับ ใจเกิดปฏิกิริยาเท่าที่จ�ำเป็นต้องเกิดปฏิกิริยา ซ่ึงแตกต่างจาก คนธรรมดาที่มกั อยูไ่ ม่สุข นัง่ นิ่งไมเ่ ป็น ใจเยน็ ไม่ได้ ความสงบระงบั มหี ลายระดบั ระดบั ทกี่ ายหมดความกระสบั กระสา่ ย เพราะนอนหลับสบายก็มี ระดับท่ีกายใจผ่อนพักหลังสะสางการงาน ยุ่งเหยิงเสรจ็ สนิ้ ก็มี ระดบั ทีจ่ ิตใจสงบสุขเพราะเรื่องร้ายผ่านไปก็มี ระดบั ท่กี ายใจหยดุ กระโจนไปหากามก็มี ระดบั ท่จี ิตดับความเร่าร้อนของเพลงิ พยาบาทลงดว้ ยนำ�้ ใจอภัยได้ก็มี แตค่ วามสงบระงบั ทกี่ ลา่ วมาทงั้ หมด ยงั ดอ้ ยคณุ ภาพนกั เมอื่ เทยี บ กับความสงบระงับในข้ันน้ี เพราะในข้ันนี้จิตอ่ิมใจในธรรมจนไม่อยาก howfarbooks.com
242 กลบั ไปหากเิ ลส อยากตตี วั ออกหา่ งจากกเิ ลส และเมอ่ื จติ ไมเ่ อากเิ ลส กเิ ลส ย่อมปรากฏเป็นของอ่ืน เป็นของแปลกปลอมจากสติผู้รู้ผู้เห็น ยากท่ีจะ กดดันกายใจใหก้ ระสบั กระสา่ ยไดอ้ ีก เครื่องช้ีว่าเรามาถึงความสงบระงับจริง คือ ยังมีสติเป็นอัตโนมัติ โดยการปราศจากแรงดน้ิ ใดๆ ลองสงั เกตดงู า่ ยๆ ตอนทเ่ี ปลย่ี นจากความ สงบระงับเป็นฟุ้งซ่าน หากร�ำคาญตัวเอง อยากสงบให้ได้อย่างใจทันที ตลอดจนออกแรงกดจิตให้น่ิงตามเดิม อันน้ันเป็นตัวบอกว่ายังมีแรงดิ้น อยากสงบอยู่ ยงั ไมใ่ ชข่ องจรงิ แตห่ ากฟงุ้ แลว้ รทู้ นั วา่ ฟงุ้ โดยไมอ่ นิ งั ขงั ขอบ ไม่ด้ินรนใดๆ กระทั่งความฟุ้งแสดงความไม่เท่ียงด้วยการระงับไปเอง อย่างนี้จึงเรยี กวา่ ของจรงิ เพราะแม้แต่แรงดนิ้ ที่จะสรา้ งความสงบก็ไม่มี ๖ มคี วามตงั้ มน่ั เม่ือจิตระงับความกระเพ่ือมไหว เหมือนแผ่นน้�ำกว้างใหญ่สงบ ราบคาบจากใจกลางถงึ ขอบฝง่ั สงิ่ ทเี่ กดิ ตามมาเปน็ ธรรมดาคอื ความตงั้ มน่ั แห่งจิต และไม่ใช่ตั้งม่ันท่ือๆแบบไม่รู้อะไรเลย แต่เป็นความต้ังม่ันอยู่ อย่างรูเ้ ห็น ทราบวา่ กายใจสกั แต่เป็นสภาวะไร้บุคคล เกิดภาวะหนึง่ แลว้ ต้องเส่อื มจากภาวะนน้ั เปน็ ธรรมดา เพอื่ เขา้ ใจ ‘ความตงั้ มน่ั แหง่ จติ ’ ในทนี่ อ้ี ยา่ งแทจ้ รงิ กส็ มควรอาศยั การเปรยี บเทยี บกบั ชว่ งกอ่ นเจรญิ สติ คอื ตง้ั แตเ่ ราเกดิ มา จะมคี วามตง้ั มน่ั ชนดิ หนง่ึ อยเู่ องโดยธรรมชาติ นน่ั คอื ตง้ั มน่ั ในความรสู้ กึ อยวู่ า่ กายใจนคี้ อื เรา ตอ่ เมื่อเจรญิ สตกิ ระท่ังกายใจไม่กระสบั กระส่าย สงบระงบั เยือกเย็น บรบิ รู ณ์ จงึ ถึงความต้ังมั่นอยู่กบั ความรสู้ กึ วา่ กายใจนไี้ ม่ใชเ่ รา ไม่ว่าขยับ ทา่ ไหน เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าทางใจหนกั เบาเพยี งใด กล็ ว้ นเปน็ ภาวะแหง่ รปู เปน็ เสยี ดาย... คนตายไม่ได้อ่าน
243 ภาวะแหง่ นามไปท้ังสน้ิ ความต้ังมั่นในอาการไร้อุปาทาน จะท�ำให้จิตปรากฏเด่นดวง มี ความเปน็ ใหญ่ จติ รู้จติ เองมากกว่ากาย และเคร่ืองกระทบภายนอกน้อย ใหญ่ก็ไม่มีอิทธิพลพอจะท�ำให้หวั่นไหวเสียการทรงตัว ลดระดับความ สามารถรับรู้ตามจรงิ เลย ในชว่ั ขณะที่มคี วามต้ังมัน่ ระดบั น้ี ๗ มคี วามเปน็ กลางวางเฉย เมอ่ื จติ ตงั้ มนั่ จนความยนิ ดยี นิ รา้ ยทงั้ หลายหายเงยี บ สง่ิ ทเ่ี กดิ ตาม มาเป็นธรรมดาคือความรับรู้อย่างเป็นกลางวางเฉย เป็นความวางเฉยที่ เงยี บเชยี บยงิ่ คอื รบั รอู้ ยเู่ งยี บๆถงึ การผา่ นมาแลว้ จากไปของสรรพสง่ิ ไม่ เก็บมาเป็นอารมณ์ เห็นใครตายก็รู้เท่าทันว่าแค่ภาวะแห่งรูปหนึ่งดับไป หรือแม้เห็นความคิดแย่ๆผุดขึ้นในหัวก็รู้ว่าแค่ภาวะแห่งสังขารขันธ์เกิด ขึ้น ไมม่ บี ุคคลอย่ใู นทไี่ หนๆทัง้ ภายในและภายนอก ความมีใจรู้อย่างเป็นกลางเต็มที่ ก็คือปล่อยวางถึงขีดสุดน่ันเอง และการปล่อยวางถึงขีดสุดนนั่ เอง เป็นคณุ ภาพของจิตทพี่ รอ้ มจะถึงฌาน ในแบบมรรคผล เมื่อถึงความพร้อมบรรลมุ รรคผล จิตจะคลา้ ยฟองสบทู่ พ่ี รอ้ มแตก ตวั หายวับโดยไมไ่ ยดกี ับการมีการเป็นของตน มโนภาพบุคคลเหลอื น้อย หรือไม่มีเลย สุดท้ายเหลือแต่ความรู้สึกใสซื่อบริสุทธ์ิ ไม่มีการได้อะไร เข้าตัวให้ใคร เราเจริญสติมาทั้งหมดก็เพ่ือสร้างเหตุให้เกิดไฟล้างผลาญ กเิ ลสว่ามตี ัวตน มีคนไดอ้ ะไรตา่ งหาก! จิตที่ถึงมรรคผลจะอยู่ถัดไปอีกไม่นาน คุณจะรู้ว่าจิตสามารถลุก howfarbooks.com
244 โพลงเป็นไฟล้างกิเลส เป็นลูกไฟมหัศจรรย์ที่ฉายให้เห็นมหาสมุทรแห่ง ความว่างคือนพิ พาน เกดิ ลูกไฟนีเ้ พียงครงั้ เดยี ว ชีวิตของคณุ จะแตกตา่ ง จากเดมิ ไปจนสน้ิ กาลนาน! รู้หรือยัง ว่าไม่มีตัวคุณ? เสียดาย... คนตายไมไ่ ดอ้ า่ น
245 ร้จู ักความจริงในมุมมองอริยะ พุทธพจน์ ทกุ ขค์ อื อะไร? ความเกดิ เปน็ ทกุ ข์ ความแกเ่ ปน็ ทกุ ข์ ความ เจบ็ เป็นทกุ ข์ ความตายเปน็ ทกุ ข์ การประสบกับสิง่ ไม่เป็น ทร่ี กั เปน็ ทกุ ข์ การพลดั พรากจากสง่ิ ทรี่ กั เปน็ ทกุ ข์ ความไม่ ไดส้ ง่ิ ทต่ี นปรารถนาเปน็ ทกุ ข์ วา่ โดยยอ่ ขนั ธท์ งั้ ๕ อนั เปน็ ทต่ี ง้ั แห่งความหลงยึด เหลา่ น้ันแหละคือ ‘ทกุ ข์’ มหาสติปฏั ฐานสูตร > ธัมมานุปสั สนา > สจั จบรรพ > ทุกขอริยสัจ ต้นเหตุทุกข์คืออะไร? คือตัณหาอันน�ำไปเกิดได้อีก คือ ความเพลิดเพลินและความก�ำหนัด ซึ่งท�ำให้เพลิดเพลิน ไปในอารมณ์หน่ึงๆ ได้แก่ ความทะยานอยากในกาม ความดน้ิ รนอยากมอี ยากเปน็ อะไรอยา่ งหนง่ึ ความดน้ิ รน ไม่อยากมไี มอ่ ยากเปน็ อะไรอยา่ งหนง่ึ เหล่านั้นแหละคือ ‘ต้นเหตุให้เกิดทุกข์’ มหาสตปิ ฏั ฐานสูตร > ธมั มานปุ สั สนา > สัจจบรรพ > ทุกขสมุทยั อรยิ สจั howfarbooks.com
246 ความดับสนิทแห่งทุกข์เป็นอย่างไร? คือการท่ีตัณหาดับ ไปอย่างไม่มีเหลือ ด้วยความส้ินก�ำหนัด ด้วยความสละ ด้วยการสลัดท้ิง ด้วยความพ้นไป ด้วยความไม่อาลัยใน ตณั หา มหาสตปิ ฏั ฐานสูตร > ธมั มานุปัสสนา > สัจจบรรพ > ทุกขนิโรธอรยิ สัจ ๑หนทางดับทกุ ขใ์ หส้ นิทเปน็ อย่างไร? คือ การมคี วามเหน็ ทถี่ ูกทชี่ อบ อนั ไดแ้ ก่ รจู้ กั วา่ ทุกขค์ อื อะไร รู้วิธีละต้นเหตุแห่งทกุ ข์ รู้จกั ความดบั สนทิ แห่งทกุ ข์ ๒และร้วู ธิ ีเพ่ือไปใหถ้ งึ ซึ่งความดับทุกขอ์ ย่างสนิท การต้งั ความคดิ สละเครื่องรอ้ ยรัด อนั ไดแ้ ก่ คิดสละ ความผกู พนั ในกาม การคดิ สละความผกู พยาบาท และการ ๓คดิ สละเส้นทางเบยี ดเบียนท้งั ปวง การกั้นปากจากค�ำพูดชั่ว อันได้แก่ ต้ังใจงดเวน้ การ พูดเท็จ ตั้งใจงดเว้นการพูดให้ร้าย ตั้งใจงดเว้นการพูด หยาบคาย และต้งั ใจงดเวน้ การพดู เพอ้ เจอ้ เสียดาย... คนตายไม่ได้อา่ น
247 ๔ การตงั้ ตนไวไ้ มใ่ หเ้ ปน็ ภยั อนั ไดแ้ ก่ ตง้ั ใจงดเวน้ การ ฆา่ สัตว์ตัดชวี ติ ต้ังใจงดเวน้ การลกั ทรัพย์ท่เี ขาไมใ่ ห้ และ ๕การตง้ั ใจประพฤตผิ ิดในลกู เขาเมยี ใคร การละอาชีพที่ผดิ อันได้แก่ การละจากอาชีพทต่ี อ้ ง ทำ� ดว้ ยการพดู ไมถ่ กู ไมค่ วร การละจากอาชพี ทต่ี อ้ งเปน็ ภยั ๖แก่ผูอ้ ืน่ และการเลือกแตอ่ าชพี ทเี่ กือ้ กลู กนั โดยดี การมคี วามเตม็ ใจพากเพยี รอยา่ งตอ่ เนอื่ ง อนั ไดแ้ ก่ การพยายามไปใหถ้ ึงความบริสุทธ์โิ ดยไมเ่ ลิกล้มกลางคนั บาปกรรมใดยังไม่เกิดก็อย่าให้เกิดขึ้น บาปกรรมใดเกิด แล้วก็สละออกให้หมด ส่วนบุญกรรมใดยังไม่เกิดก็ท�ำให้ ๗เกดิ ขนึ้ บญุ กรรมใดท่ีเกิดแลว้ ก็สะสมเพิม่ ขึ้นอกี การมสี ตริ เู้ ห็นความจรงิ ที่ควรเห็น อนั ไดแ้ ก่ การรู้ อยเู่ หน็ อยวู่ า่ ความเปน็ ไปทงั้ หลายในรา่ งกายนี้ ความรสู้ กึ เปน็ สขุ เปน็ ทกุ ขท์ งั้ หลายน้ี สภาพจติ ทงั้ หลายนี้ ตลอดจน สภาพธรรมท้ังหลายนี้ ก�ำลังเป็นอย่างไร เปล่ียนไปเป็น อย่างไร แสดงความไม่เที่ยงอย่างไร เพ่ือถ่ายถอนความ อยากไดอ้ ยากมี และความทกุ ขโ์ ศกแบบโลกๆเสยี ได้ howfarbooks.com
248 ๘ การรเู้ หน็ ความจรงิ อยา่ งมสี มาธิ อนั ไดแ้ ก่ การมจี ติ ตงั้ มนั่ สงดั จากความรสู้ กึ ทางกาม สงดั จากบาปอกศุ ลปนเปอ้ื น สามารถเข้าถึงปฐมฌาน อนั ประกอบดว้ ยการนกึ ถงึ สงิ่ ใด สงิ่ หนง่ึ ภายในขอบเขตกายใจ (วติ ก) กระทง่ั สงิ่ นนั้ โดดเดน่ และแจ่มชัดอยู่กับจิต (วิจาร) แล้วมีความอ่ิมใจเยือกเย็น อันเกดิ จากความวเิ วกแหง่ จิต (ปตี ิสุข) สามารถเข้าถึงทุติยฌาน อันเป็นความผ่องใสแห่งจิต ภายใน ผดุ ขึ้นเปน็ ธรรมเอก วติ กและวิจารสงบไป เหลอื แตป่ ตี สิ ขุ ทเ่ี กดิ จากสมาธิ เปน็ ผมู้ อี เุ บกขา มสี ตสิ มั ปชญั ญะ เสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติส้ินไป สามารถเข้าถึงตติยฌาน อันเป็นฌานที่พระอริยเจ้าท้ัง หลายสรรเสริญว่า ผไู้ ดฌ้ านน้ี นับวา่ เป็นผมู้ อี เุ บกขา มสี ติ น�ำหนา้ อยู่ สามารถเขา้ ถงึ จตตุ ถฌาน อนั ไมม่ ที กุ ขไ์ มม่ สี ขุ เพราะละสขุ ละทกุ ข์ และดบั โสมนสั โทมนสั กอ่ นๆได้ มอี เุ บกขาเปน็ เหตุ ให้สติบรสิ ทุ ธ์อิ ยู่ มหาสตปิ ัฏฐานสตู ร > ธัมมานุปัสสนา > สจั จบรรพ > ทุกขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทาสัจ เสยี ดาย... คนตายไม่ได้อา่ น
249 ลงมือปฏิบัติ การเจรญิ สติท่ผี ่านมาเปน็ ไปเพ่ือประโยชน์อะไร? ค�ำตอบคือเปน็ ไปเพือ่ เหน็ ความจริงท่เี หลา่ อรยิ ะเหน็ แลว้ ความจรงิ ทเี่ หลา่ อรยิ ะเหน็ คอื อะไร? คำ� ตอบคอื ความจรงิ เกยี่ ว กบั ทกุ ข์และการดบั ทุกข์ เม่อื เจริญสตมิ าถงึ ข้นั ทีพ่ รอ้ มบรรลุมรรคผล เราย่อมทราบวา่ กาย ๑ใจอันถูกส่องส�ำรวจมาอย่างดิบดีแล้วนี่แหละ คือที่ต้ังของความจริงเก่ียว กับทกุ ขแ์ ละการดบั ทกุ ข์ จ�ำแนกไดด้ ังน้ี ทกุ ข์ ทุกข์คือขันธ์ ๕ เพราะขนั ธ์ ๕ คอื ทตี่ ั้งของอปุ าทานว่ามเี ราเกิดมา มเี ราแกล่ ง มเี ราตายไป มเี ราพลดั พรากจากบคุ คลอนั เปน็ ทรี่ กั มเี ราเผชญิ เรื่องน่าขัดเคือง มีเราอยากได้แล้วไม่ได้อย่างใจ ตลอดจนมีเราร้องไห้ คร�่ำครวญดว้ ยความเศรา้ โศกอยู่ ต่อเมือ่ รเู้ ห็นขันธ์ ๕ ตามความเป็นจรงิ คอื เกดิ แล้วต้องดับลงเปน็ ธรรมดา ไม่น่าพอใจ ไมค่ วรยึดถือ ขันธ์ ๕ จงึ ปรากฏต่อใจโดยความเปน็ กอ้ นทุกข์ ไมใ่ ช่บคุ คล ไมใ่ ชต่ วั ตนเราเขา ผู้มีคุณสมบัติพร้อมจะบรรลุมรรคผล ย่อมรู้สึกอยู่ว่า ไม่เคยมีเรา เกิดมา ไมม่ ีเราแกล่ ง และจะไม่มเี ราตายไป ไม่มีเราพลัดพราก ไม่มเี รา เผชญิ เรอื่ งนา่ ขดั เคอื ง ไมม่ เี ราเปน็ ผไู้ มไ่ ดอ้ ยา่ งใจ ไมม่ เี รารอ้ งไหค้ รำ่� ครวญ ด้วยความเศรา้ โศก มแี ต่ขนั ธ์ ๕ แสดงความจริงอย่วู า่ รูปไมเ่ ท่ียง เวทนา ไม่เท่ียง สัญญาไม่เท่ียง สังขารไม่เท่ียง วิญญาณไม่เที่ยง ไม่ควรถือว่า howfarbooks.com
250 ขันธเ์ หล่านน้ั เปน็ เราเลย ผใู้ กลบ้ รรลมุ รรคผลยอ่ มเหน็ ตามจรงิ วา่ ‘ทกุ ขเ์ ปน็ สง่ิ ทค่ี วรก�ำหนด รูใ้ หม้ าก’ ๒ เหตใุ หเ้ กดิ ทกุ ข์ เหตุให้เกิดทุกข์คือความอยากเสพผัสสะที่น่าเพลิดเพลินยินดี เพราะความอยากเสพผัสสะน่ันเอง เปรียบเสมือนยางเหนียว หรือ แรงดึงดูดจากแม่เหล็กท่ีล่อใจให้อยากมีตัวตน ไม่อยากท้ิงขันธ์ ๕ ไป อยากเอาแต่ขันธ์ ๕ ที่ชอบใจ แล้วเม่ือไม่ได้อย่างใจเสมอไปก็เป็นทุกข์ ทรุ นทุรายกัน ตวั ผสั สะไมไ่ ดเ้ ปน็ ปญั หา ความอยากเสพผสั สะตา่ งหากทใ่ี ช่ อยา่ ง เชน่ เคยเหน็ รปู รา่ งหนา้ ตายวนใจ ถา้ ถอนตาแลว้ ไมต่ ดิ ใจกแ็ ลว้ ไป แตถ่ า้ ติดใจก็กระวนกระวายอยากเห็นอีก หรืออย่างความคิด อันจัดเป็นคล่ืน กระทบใจ ทีผ่ ุดขึน้ แล้วสลายตัวไปตามทางของมันอยูท่ ุกขณะ แต่อาการ เสพติดความคิดท�ำให้เราไม่อยากให้มันหายไป กลัวว่าถ้าไม่มีความคิด จะไมฉ่ ลาด หรอื กระทง่ั กลวั วา่ ถา้ ความคดิ สาบสญู แลว้ จะไมม่ เี ราหลงเหลอื อยู่ รวมแลว้ คนเราจงึ กลวั ตาย กลัวไม่ได้เหน็ กลัวไมไ่ ด้ยนิ กลัวไมไ่ ด้คิด แบบทช่ี อบใจอีกแล้ว ตอ่ เมอ่ื เจรญิ สตริ เู้ หน็ ผสั สะกระทบเปน็ ขณะๆ จงึ ทราบวา่ ภาพเสยี ง และความรสู้ ึกนกึ คิดทง้ั หลายหายไปทุกขณะอยแู่ ล้ว นาทีกอ่ นกับนาทนี ้ี เปน็ คนละตวั กนั แลว้ จะหวงหรอื ไมห่ วง ทกุ ผสั สะกต็ อ้ งหายไปอยดู่ ี หนว่ ง เหน่ยี วไว้ให้เปน็ ของเราจริงไมไ่ ดเ้ ลย เสียดาย... คนตายไมไ่ ด้อ่าน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257