Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ติดเกาะกับตึกเก่า: หนังสือคู่มือท่องเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์

ติดเกาะกับตึกเก่า: หนังสือคู่มือท่องเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์

Published by Thalanglibrary, 2021-10-27 03:00:37

Description: หนังสือ "ติดเก่ากับตึกเก่า" เป็นคู่มือท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้ทางด้านสถาปัตยกรรมในเขตเกาะรัตนโกสินทร์ ทั้งสถาปัตยกรรมแนวไทยประเพณี (วัดและวัง) สถาปัตยกรรมแบบฝรั่งมากมายที่เป็นทั้งโรงเรียน กระทรวงต่างๆ ไปรษณีย์ สุสาน ฯลฯ สถาปัตยกรรมแนวโมเดิร์น สถาปัตยกรรมยุคสงครามเย็น และสถาปัตยกรรมยุคร่วมสมัย มากกว่า 150 อาคารที่มีประวัติความเป็นมาและเรื่องราวที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย

Search

Read the Text Version

Message from National Discovery Museum Institute (Museum of Siam) Today, many places with historical significance in Bangkok’s Old Town have grown old with time - some have become deserted, some well-main- tained, some repurposed, and some completely transformed to fit contem- porary functions. These places from the past have a wealth of intriguing stories behind them, so it is crucial to preserve these history-rich places, which are considered cultural assets to our country. Museum of Siam, the National Discovery Museum Institute, is housed inside one of the historical places in the Old Town. At the same time, Museum of Siam plays a role in presenting Thailand’s social history, portraying stories of local communities, local wisdom, ways of life, and art and culture, through the form of a “discovery museum” which promotes fun learning which encourages its visitors to keep discovering more and use the knowledge in creative ways, while at the same time also promoting a life-long learning socitey in Thailand. Museum of Siam has sparked the trend for learning space tourism, with an aim to inspire people to find out more about Thailand’s historical and cultural places, illustrating those stories through various forms of art. Museum of Siam initiated Cultural District 2019: Art Festival to bring the old places in the Old Town area back to life, while also developing them into places where people can come and learn history. The Old Town area will thus become a living museum, and visitors can feel inspired and improve their creativity, using our country’s cultural capital. Meanwhile, the MRT Blue Line is now in use and passes through this area. In particular, Sanam Chai Station serves as a gateway to the cultural hub of Thailand. It is a good opportunity to promote this area and welcome Thais and foreigners to come explore this neighborhood, introducing them to a new learning experience in this historical area. This guidebook is your personal compass that will take you to explore and experience important places in the past, some of which you are familiar with, and some unheard of. Museum of Siam has collected architectural information of more than 150 buildings in the Old Town, as well as their background and the evolution of Bangkok, in this “Storied Structure” guidebook for education, discovery, and tourism. Rames Promyen Director General of the National Discovery Museum Institute

สารจาก สถาบันั พิิพิิธภััณฑ์์การเรีียนรู้้�แห่ง่ ชาติิ (มิวิ เซีียมสยาม) ปจั จุบันพ้ืนท่สี �ำ คัญท่ีทรงคณุ คา่ ทางประวัติศาสตรใ์ นเกาะรัตนโกสนิ ทรห์ ลายแห่งเร่ิมเสือ่ ม สลายไปตามกาลเวลา บางสถานทรี่ กร้าง บางสถานท่ไี ด้รบั การพัฒนา ปรบั รูปแบบการใช้งาน และเปลีย่ นแปลงไปตามยคุ สมยั ซง่ึ ในอดตี พ้ืนทสี่ ำ�คญั เหลา่ น้ีมีทั้งเรือ่ งราวประวตั ิท่นี า่ สนใจ มากมาย อีกทง้ั ยังเช่อื มโยงกับบคุ คลสำ�คัญทางประวัติศาสตร์ ดังนน้ั การธ�ำ รงรกั ษาพ้ืนที่ทาง ประวตั ิศาสตรท์ ่เี ป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศจงึ มีความสำ�คัญอย่างย่ิง มิวเซยี มสยาม สถาบนั พพิ ิธภณั ฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เปน็ หน่งึ ในสถานท่ปี ระวตั ิศาสตร์ที่ ส�ำ คัญแหง่ หนงึ่ ในพ้ืนท่ขี องเกาะรตั นโกสนิ ทร์ และยังเป็นหน่วยงานท่ีทำ�หน้าทใ่ี นการนำ�เสนอ ประวตั ศิ าสตร์สังคมไทย ถา่ ยทอดเรอื่ งราวของชมุ ชน ภมู ิปญั ญา วิถชี วี ติ ศลิ ปวัฒนธรรม ผ่าน รปู แบบของพพิ ิธภณั ฑ์การเรยี นรู้ที่สง่ เสริมให้มีบรรยากาศการเรียนรู้อย่างร่นื รมยท์ จ่ี ะต่อยอด การเรียนรู้และน�ำ ไปพฒั นาอย่างสร้างสรรค์ สง่ เสริมใหส้ งั คมไทยเปน็ สงั คมแหง่ การเรียนรตู้ ลอด ชวี ิต ตลอดจนสนันสนนุ ใหเ้ กดิ กระแสของการท่องเทยี่ วเชงิ แหล่งเรยี นรู้ ดว้ ยความต้งั ใจที่จะปลกุ กระแสของการเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรพ์ นื้ ที่มรดกทางวฒั นธรรมทส่ี �ำ คัญของประเทศ ผ่านรปู แบบ ของการจดั ท�ำ กจิ กรรมสร้างสรรคท์ ีจ่ ะรวบรวมเนอื้ หา ความรู้ และเลา่ เรอื่ งราวผา่ นงานศลิ ปะ ในแขนงต่างๆ มิวเซียมสยาม จึงได้จัดริเร่ิมโครงการงานเทศกาลศิลปะเปดิ เกาะรัตนโกสินทร์ (CULTURAL DISTRICT) ขน้ึ เมื่อปี ๒๕๖๒ โดยมุ่งหวงั ท่จี ะพลกิ ฟนื้ ประวตั ิศาสตร์พน้ื ที่รอบเกาะ รัตนโกสนิ ทร์ และพฒั นาใหเ้ ป็นแหลง่ เรียนรู้ทางประวตั ิศาสตรอ์ กี แหง่ หนงึ่ ของประเทศ เสมือน เป็นพิพธิ ภณั ฑ์ที่มชี วี ติ (Living Museum) รอบเกาะรัตนโกสนิ ทร์ ผ่านรปู แบบการเผยแพรแ่ ละ สร้างสรรคค์ วามรู้ ท่ีจะต่อยอดใหเ้ กิดแรงบันดาลใจและการใชค้ วามคดิ สรา้ งสรรค์โดยมพี ื้นฐาน ของการน�ำ ทนุ ทางวฒั นธรรมของประเทศมาใช้ อีกท้ังในปัจจุบันมีการเปดิ ให้บรกิ ารของรถไฟฟ้า สายสนี �ำ้ เงินซึง่ มเี สน้ ทางผ่านพื้นที่แหง่ นี้ โดยเฉพาะทีส่ ถานีสนามไชยเป็นเสมือนประตเู ช่ือมเข้า สู่พ้นื ที่มรดกทางวฒั นธรรมอนั ส�ำ คญั ของประเทศอีกด้วย จึงนับได้ว่าเป็นโอกาสอันดที จ่ี ะสง่ เสรมิ และเปิดพื้นทท่ี อ่ งเทย่ี วแหลง่ เรยี นรูส้ รา้ งสรรค์รอบเกาะรตั นโกสนิ ทร์ใหแ้ ก่นกั ท่องเทยี่ ว และ ประชาชนชาวไทยได้เขา้ มาสมั ผสั และเปดิ ประสบการณ์ใหมใ่ นการเรียนร้พู ื้นทีป่ ระวัตศิ าสตร์ ส�ำ คญั แห่งน้ี คูม่ ือการท่องเที่ยวเชงิ แหลง่ เรยี นรู้ หรอื Guide Book จะเป็นเสมอื นเขม็ ทศิ ท่ีจะน�ำ พาทุกทา่ น ไปสมั ผสั และเปิดประสบการณใ์ หม่ไปกับสถานทีป่ ระวัติศาสตร์สำ�คญั ซงึ่ บางสถานที่เราทกุ ท่าน รูจ้ กั กนั ดี แต่ยังมีอกี หลายสถานที่สำ�คัญ ท่ีเราอาจไมเ่ คยร้จู ัก หรือคนุ้ เคยมาก่อน มิวเซียมสยาม ได้รวบรวมข้อมลู สถาปตั ยกรรม อาคาร ในเกาะรัตนโกสินทร์มากกวา่ ๑๕๐ อาคาร ท่มี ปี ระวตั ิ ความเป็นมาพรอ้ มท้งั เรอื่ งราวบอกเล่าพัฒนาการทเี่ ปลี่ยนไปของเมืองในพื้นทเี่ กาะรัตนโกสนิ ทร์ ไว้ในหนงั สือ “ตดิ เกาะ กบั ตกึ เก่า” เพอื่ เปน็ ประโยชน์ในการศึกษา เรยี นรู้ และการท่องเท่ียวต่อไป ราเมศ พรหมเย็น ผู้อ�ำ นวยการสถาบันพิพิธภณั ฑ์การเรียนรูแ้ ห่งชาติ

Storied Structure: Architectural awe of Old Town Bangkok The Old Town part of Bangkok is a small area measuring only about 1,000 acres, protected by the City Wall and embraced by a moat. It has been the center of the Kingdom since Bangkok was established as the capital city. It has been two centuries, and the Old Town, like everything else, cannot escape from change. Formerly a port town in the Ayutthaya era, it became the Kingdom’s capital, and later a part of a busy metropolitan. Let’s take a look at what the Old Town has been through by looking at the buildings in it. The architectural style of each era not only demonstrates technology evolution but also speaks volumes about the society and way of life at the time, both of which have continued to evolve over the past two centuries. Architecture in the traditional Thai era: In the beginning, old traditions were maintained, and palaces and temples were the most significant. Architecture in the Colonization era: In the second century, Siam interacted with Western countries, and we adapted and evolved into a more civilized version of Siam. The elite were into all things Western. New businesses emerged, and we saw schools, theaters, hospitals, military barracks, government mints, post offices, prisons, and cemeteries - these were all in Western-style buildings. The people of Siam lived in Western-style bungalows, and Western-style shophouses popped up along our roads. Architecture in the Modern era: Things were simplified as we entered the post-industrial revolution era which brought major political changes. Architecture in the Cold War era: The US came into power and became a role model. The city center began to lose its significance, and later became just the Old Town as gentrification emerged in other neighborhoods. Architecture in the contemporary era now: Bangkok is the dream destination for travelers around the world, and people start to yearn for the past and come back to the Old Town. Old buildings are restored and repurposed. The Old Town area becomes a magnet once again. Architectures in the Old Town Bangkok are where the East and the West mix, and the old and the new mingle. They show us that Bangkok is not deterred by changes, and will continue to evolve over time.

ติดิ เกาะกับั ตึึกเก่่า เกาะรัตนโกสนิ ทร์ หรือยา่ นเมืองเก่า สถาปัตยกรรมยุคไทยประเพณี ในช่วงศตวรรษแรกของกรงุ ของกรุงเทพฯ ของเราน้ัน คอื พืน้ ทีเ่ ล็กๆ รัตนโกสนิ ทร์ เมอ่ื เรายังครองตวั อยู่ในสังคมจารตี มีวัดกบั วัง ราว ๔ ตารางกโิ ลเมตร ภายในก�ำ แพง เป็นสำ�คญั เมือง มคี ูน้ำ�ล้อมรอบอีกชัน้ สถาปัตยกรรมแบบฝรัง่ ในยุคจกั รวรรดินิยม ในช่วงศตวรรษ เป็นศนู ยก์ ลางของพระนครมาตัง้ แต่ ทสี่ องของกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ เมอื่ เราตอ้ งเผชญิ หน้ากับชาวตะวนั ตัง้ กรุงแล้ว ตก เราปรับตัวไปเปน็ ราชอาณาจักรสยามโฉมใหม่ มีความ ศวิ ิไลซ์ ชนชั้นนำ�เร่ิมเห่อฝรั่ง พร้อมกับการเขา้ มาของกิจการ กาลผา่ นเลย เกินกว่า ๒ ศตวรรษ แบบใหม่ ทเี่ ราไม่เคยรูจ้ ักมากอ่ น เราเร่มิ มีโรงเรยี น มีโรงละคร เกาะเมอื งแห่งนยี้ อ่ มหนกี ารเปล่ยี นแปลง โรงพยาบาล โรงทหาร มีโรงงานผลติ เหรยี ญ มไี ปรษณีย์ มีคุก ไปไม่พน้ มีสสุ าน ล้วนเปน็ ตึกแบบฝรง่ั ท้ังสน้ิ เราอยู่เรือนบังกะโลอย่าง ฝร่ัง ริมถนนสร้างตึกแถวกเ็ ป็นแนวฝรงั่ ด้วยเชน่ กนั จากเมืองหน้าด่านของอยธุ ยา สู่ ศูนย์กลางราชอาณาจักรสยาม และ สถาปัตยกรรมยุคโมเดิรน์ รูปแบบลดทอน เรียบง่าย มหานครอันโกลาหลในปจั จุบนั สะทอ้ นสภาพสังคมสมยั ใหม่หลังปฏวิ ตั ิอตุ สาหกรรม อนั นำ�มา ซึ่งการเปลย่ี นแปลงใหญ่ทางการเมอื ง ลองมาดูซวิ ่า เมอื งเก่าท่เี ราค้นุ เคย พบเจออะไรมาบ้าง โดยมองผ่านงาน สถาปัตยกรรมยุคสงครามเยน็ ทม่ี อี เมริกาเป็นผู้น�ำ และ สถาปัตยกรรมทป่ี ลกู สร้างกนั ในเกาะ รตั นโกสินทร์แหง่ นี้ ตย่าน้ นแเบมบอื งเเกกาา่ ะร2ดัตว้ นยหโคกนวสาิน้ามทเ(จรหเ์รริญมิ่นเถคา้ กู ลคลื่อดู่)นบตทมัวบไีปา1ยทังลอทงี่อาก่ืนคลาายรเปน็ เพยี ง ยคุ ของงานสถาปัตยกรรม นอกจาก สถาปตั ยกรรมร่วมสมัยในวันนี้ ยคุ ทก่ี รุงเทพฯ เปน็ หมดุ จะแสดงให้เหน็ ถึงรูปแบบของตึก และ หมายของนกั ทอ่ งเที่ยวจากท่ัวโลก เริ่มมีการโหยหา กลับเข้ามา เทคโนโลยขี องการก่อสร้างอาคารที่ ส่เู มอื งเก่า ให้ความสำ�คัญกบั การอนรุ ักษอ์ าคารเก่าเพอ่ื หนา้ ท่ี เปลย่ี นแปลงไปแล้ว ใช้สอยใหม่ ย่านเมืองเก่ากลับมาหอมหวานอกี ครั้ง ยงั แสดงถงึ สภาพสังคมและการใช้ สถาปตั ยกรรมในเกาะรัตนโกสนิ ทร์น้เี อง ท่ีท่ตี ะวนั ออก ชวี ติ ของคนเมืองกรงุ ท่ีผันแปรไป ตลอด พบตะวนั ตก ความเกา่ พบความใหม่ บอกให้เรารวู้ า่ ๒ ศตวรรษทผี่ ่านมาได้เป็นอย่างดี กรงุ เทพมหานครแห่งนไ้ี ม่เคยทอ้ ต่อการเปล่ียนแปลง และจะ เจริญเตบิ โตตอ่ ไปไมห่ ยุดนิ่ง ชวนคุณมาลอง “ติดเกาะกับตกึ เก่า” กนั

สารบัญั I contents A B วมิ านพระอินทร์ ตึกไทยในวงั หลวง 11 วดั เก่าก่อนตัง้ กรุง 39 13 A01 พระท่ีน่งั อมรินทรวนิ จิ ฉยั มไหสูรยพิมาน 14 B01 ศาลาการเปรยี ญวดั โพธิ์ A02 พระที่น่งั สนามจันทร์ 16 A03 พระทนี่ ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาท 17 วัดใหม่ครงั้ ต้งั กรุง 40 A04 พระทนี่ ง่ั อาภรณพ์ โิ มกข์ปราสาท 44 A05 พระทน่ี ่ังสทุ ไธศวรรยป์ ราสาท B02 วัดพระแก้ววงั หลวง B03 วดั สุทัศนเทพวราราม วิมานกษตั รยิ อ์ งคท์ ี่สอง ตึกไทยในวงั หน้า 20 วดั นอ้ ยใหญใ่ นรชั กาลท่ี ๓ 47 22 58 A06 พระทน่ี งั่ พทุ ไธสวรรย์ 23 B04 วดั พระเชตพุ น 59 A07 พระที่น่งั อิศราวินิจฉัย 24 B05 วดั พระแกว้ วังหนา้ A08 พระทน่ี ง่ั ศวิ โมกขพิมาน 24 B06 วัดราชนดั ดา A09 ศาลาส�ำ ราญมุขมาตย์ A10 ศาลาลงสรง ศลิ ปะลกู ผสม พระราชนยิ มในรชั กาลท่ี ๓ B07 วดั บวรนิเวศวหิ าร 63 บ้้านพี่่�เรืือนน้้อง วัังหลวง VS วังั หน้้า 25 B08 วดั เทพธดิ าราม 67 เหล้าเกา่ ในขวดใหม่ ตกึ ใหมไ่ ทยประเพณี 26 วัดโฉมใหมใ่ นรชั กาลท่ี ๔ 70 27 A11 ศาลหลักเมืองกรุงเทพ 28 B09 วดั ราชประดิษฐ์ A12 พระที่น่งั ลานพลบั พลามหาเจษฎาบดนิ ทร์ A13 พระทน่ี ่ังสนั ตชิ ยั ปราการ วดั ไทยสไตล์ฝร่ัง B10 วดั ราชบพิธ 72 ท้องพระโรงแบบไทย วงั เจา้ นายใช่จะเว่อรว์ งั A14 ต�ำ หนักแดง 30 A15 ทอ้ งพระโรงวังทา่ พระ 31 A16 ท้องพระโรงวงั บา้ นหมอ้ 31 A17 ท้องพระโรงวังทา้ ยวดั พระเชตุพนฯ 32 ร้ัวรอบขอบเมอื ง 34 35 A18 ปอ้ มพระสุเมรุ 35 A19 ป้อมมหากาฬ 36 A20 ก�ำ แพงเมอื ง ประตูพระนคร 36 A21 หอกลอง A22 เกย

C 77 E 119 78 120 สยามใหม่ ศวิ ไิ ลซ์สายฝรงั่ 80 ผดู้ เี ดนิ ตรอก 121 82 122 C01 หอนาฬกิ าพระท่ีนง่ั ภูวดลทศั ไนย 83 E01 บา้ นพระศรสี าคร 123 C02 สวนสราญรมย์ 86 E02 บา้ นลบั หลังร้านนม 123 C03 พระที่น่งั จกั รมี หาปราสาท 88 E03 บา้ นรอ้ ยปี ตรอกตึกดนิ 124 C04 หอคองคาเดยี 90 E04 บา้ นละครไทยศริ ิ 124 C05 สสุ านหลวง วดั ราชบพิธ 92 E05 บ้านจงเกษม 125 C06 โรงทหารหน้า 94 E06 บ้านเขียว ตรอกตกึ ดิน C07 โรงเรียนนายทหารสราญรมย์ 96 E07 บ้านพระยาวิเศษสงคราม 126 C08 โรงสกูลสนุ นั ทาลยั 98 E08 บ้านนพวงศ์ C09 ตึกยาว โรงเรียนสวนกหุ ลาบวิทยาลยั 99 E09 บ้านหลวงสนุ ทรนุรักษ์ 126 C10 คกุ มหนั ตโทษ 100 127 C11 โรงกษาปณ์สทิ ธกิ าร 101 (บา้ นวรรณโกวิท) 128 C12 โรงพมิ พบ์ �ำ รุงนกุ ลู กิจ E10 บา้ นพระวิทยานุวตั กิ าร 129 C13 กรมทหารมหาดเล็กรกั ษาพระองค์ 130 C14 สถานตี �ำ รวจนครบาลพระราชวัง (บ้านมะเฟือง) 132 C15 อาคารกระทรวงพาณชิ ย์ E11 บา้ นหลวงบรรสบวิชาฉาน 133 E12 บา้ นขุนประเสรฐิ ทะเบียน 134 D E13 บา้ นหมอหวาน 134 E14 บา้ นหมอฟน้ื บุณยะรตั เวช 135 ตึกฝรง่ั วังเจา้ นาย 105 E15 บ้านขนุ ทรงสขุ ภาพ 136 107 E16 บ้านเทพทบั 137 D01 พระทีน่ งั่ อิศเรศราชานสุ รณ์ 109 E17 บา้ นพระยาพทิ ักษ์เทพมณเฑยี ร 138 D02 พระราชวงั สราญรมย์ 111 E18 บา้ นหลวงสวัสด์วิ รฤทธิ์ 139 D03 วังวรวรรณ 112 E19 บ้านขนุ วิสทุ ธสิ มบตั ิ 138 D04 วงั กรมพระสมมตอมรพันธ์ุ 113 E20 บา้ นพระยาอรรถวริ ชั วาทเศรณี D05 ตำ�หนกั หม่อมเจา้ จรูญศกั ดิ์ 114 E21 บา้ นผา่ นฟ้า D06 วงั มะลิวลั ย์ 115 E22 บา้ นบรุ ะเกษตร D07 วังจักรพงษ์ E23 บ้านพระยามหาวินิจฉยั มนตรี D08 ต�ำ หนกั เพ็ชร วดั บวรนเิ วศวหิ าร E24 บา้ นพระยาอาทรธุรศลิ ป์ E25 ร้านอาหารนมั เบอร์วนั

F คนนอกเดินถนน 142 ตึึกแถวหลัังคาดาดฟ้า้ ตกึ แถวชัน้ เดียวแบบจนี F26 ตึกกมลสโุ กศล 150 F27 ตกึ วรพรต 150 F01 ตึกแถวถนนดินสอ F28 ตึกคัคณางค์ 150 F02 ตกึ แถวตรอกสะเต๊ะ F29 ตึกฟาซาล (หา้ ง อ.ี แอม. กาต๊ิบ) 151 F03 ซากตึกแถวชัน้ เดียว F30 ตึกแถวโคง้ เสาชงิ ชา้ 151 F04 ตึกแถวซอยสุขา F31 ตึกแถวถนนจกั รเพชร 151 ตกึ แถวแนวปีนัง 143 ปากทางเข้าสะพานหนั F05 ตึกแถวถนนบ�ำ รุงเมือง F06 ตกึ แถวประตผู ี เชงิ สะพานสมมตอมรมารค F07 ตกึ แถวถนนแพรง่ นารา F08 ตกึ แถวตรงขา้ มแพรง่ นารา G ตึกแถวร่นุ พิมพ์นิยม 144 ไทยใหม่ รัฐทันสมยั สดุ โมเดริ น์ F09 ตกึ แถวยา่ นแพร่งภูธร G01 ตำ�หนกั ใหมก่ รมพระสวัสดิวัดนวศิ ษิ ฏ์ 153 F10 ตกึ แถวซอยสระสรง ลงทา่ (ทำ�เนยี บทา่ ชา้ ง) F11 ตึกแถวถนนตะนาว 154 F12 ตึกแถวถนนจกั รพงษ์ G02 สุขมุ าลอนามัย 155 G03 สะพานพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลก 157 ตกึ แถวแนวฝรง่ั 145 G04 โรงมหรสพหลวง ศาลาเฉลมิ กรุง 160 145 G05 โรงเรยี นช่างพิมพว์ ดั สงั เวช 161 F13 ตกึ แถวถนนเจรญิ กรงุ 146 G06 ตึกโดม มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ F14 ตึกแถวเชงิ สะพานมอญ 146 163 F15 ตึกแถวซอยพระยาศรี 147 และการเมือง 165 F16 ตึกแถวสกี่ ก๊ั พระยาศรี 147 G07 อาคารศาลยุติธรรม 167 F17 ตึกแถวบา้ นหม้อ “บุคคลภั ย์” 148 G08 อนสุ าวรีย์ประชาธิปไตย 168 F18 ตึกแถวบา้ นหม้อ 148 G09 อาคารพาณิชย์รมิ ถนนราชดำ�เนินกลาง 168 F19 ตกึ แถวหนา้ พระลาน 148 169 F20 ตกึ แถวทา่ ชา้ ง โลลติ า้ ไนท์คลบั 169 F21 ตึกแถวท่าเตยี น วิทยาศรมและศกึ ษาภัณฑ์ 170 โรงแรมสรุ ิยานนท์ 171 ตกึ แถวกันสาด ค.ส.ล. 149 ตกึ ไทยนิยม 171 อาคารรอบอนุสาวรยี ป์ ระชาธิปไตย 172 F22 ตึกแถวถนนพระสุเมรุ หนา้ วัดบวร อาคารตรงส่ีแยกคอกววั 173 F23 ตกึ แถวถนนพระสเุ มรุ ยา่ นผ่านฟ้า โรงแรมรตั นโกสนิ ทร์ 174 F24 ตึกแถวถนนตะนาว แยกคอกวัว G10 อาคารสโมสรราษฎร์สราญรมย์ 175 F25 ตึกแถวโคง้ ถนนพระอาทติ ย์ G11 ตึกกลาง โรงเรียนเพาะชา่ ง G12 โรงละครแหง่ ชาติ G13 ศาลาว่าการกรงุ เทพมหานคร

H K เมืองเก่ากับตึกใหม่ ในยคุ อเมริกนั จา๋ ก.ท.ม. เมอื งสหประชาชาติ H01 อาคารกรมประชาสมั พนั ธ์หลังทีส่ อง 176 K01 มัสญิดจักรพงษ์ 194 H02 หา้ งไนตงิ เกล K02 มัสญิดบ้านตกึ ดิน 196 178 K03 ครุ ุดวาราศรคี รุ สุ งิ ห์สภา 197 K04 เทวมนั ทิร (วดั เทพมณเฑยี ร) 198 H03 อาคารคณะพาณชิ ย์ศาสตรแ์ ละการบัญชี 179 K05 ศาลเจา้ แม่ตะเคียนทอง 198 มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ทา่ พระจันทร์ K06 สสุ านญป่ี นุ่ 199 H04 ธนาคารกสกิ รไทย สาขาถนนมหาไชย 180 K07 นครวดั จำ�ลอง 199 H05 อาคารสำ�นกั งานและคลังสินคา้ มาสด้า 181 K08 ตกึ ถาวรวัตถุ 200 ถนนมหาไชย K09 อนุสาวรยี ท์ หารอาสา 201 I สงครามโลกครัง้ ท่ี ๑ ตึกรว่ มสมยั ไทยแบบไหน 182 L 183 I01 หอไตร วดั มหาธาตุ 183 ตึกเก่าไป ตึกใหมม่ า 203 I02 ทาวนเ์ ฮ้าสเ์ ชิงสะพานพระป่นิ เกลา้ 184 204 I03 ดโิ อลด์สยามพลาซ่า L01 พลับพลาสงู วังหน้า 205 I04 หอสมุดปรดี ี พนมยงค์ L02 วังบรู พาภิรมย์ 206 L03 ห้างแบดแมน แอนโก 207 J L04 ตึก บ.ี กรมิ ทีส่ ามยอด 209 L05 โรงละครปรีดาลยั 210 ตึกเก่า ในวนั ใหม่ 187 L06 ตลาดมง่ิ เมอื ง 210 187 L07 ห้าง บ.ี กริม หน้าวงั บูรพา 211 J01 เดอะภธู ร 187 L08 อาคารหัวมมุ สแ่ี ยกคอกววั 212 J02 ๑๙๐๕ เฮอรเิ ทจ คอรเ์ นอร์ 188 L09 ศาลาเฉลิมไทย 212 J03 เดอะเนเบอรภ์ ูธร 188 L10 อาคารศาลสถิตย์ยตุ ิธรรม 213 J04 รา้ นฟารม์ ทูเทเบ้ลิ ไฮดเ์ อา๊ ท์ 189 L11 อาคารศาลฎกี าหลังเก่า J05 รา้ นแมคโดนลั ด์ สาขาราชดำ�เนนิ 190 L12 ห้างสรรพสินคา้ นิวเวลิ ด์ J06 หอศลิ ป์ร่วมสมยั ราชด�ำ เนิน 190 J07 หอสมุดเมอื งกรุงเทพมหานคร 192 ประตููเก่่าเล่่าเรื่่�อง 214 J08 โรงแรมเชญิ 193 J09 วลิ ล่าเดอพระนคร ประตเู มืองพระนคร • ประตผู ี • ประตูช่องกุด J10 สวนลอยฟ้าเจ้าพระยา • ซากประตูวังกรมหลวงจกั รเจษฎา • ซุ้มประตวู ัดโพธ์ิ • ซมุ้ ประตูวัดราชบพิธ • ประตูพมิ านไชยศรี • ประตูวัง สรรพศาสตร์ • ประตเู หลก็ หลอ่ สวนสราญรมย์ • ประตู คฤหาสน์ทา่ นเจา้ คณุ อศิ รเสนา • ซุ้มประตูบ้านหลวง ศลิ ปป์ ระสทิ ธิ์ • ซุ้มประตูภายในชุมชนหลังวดั ราช นัดดา • ประตบู า้ นขุนวสิ ทุ ธิสมบตั ิ • ซมุ้ ประตบู า้ น พ.ท. ยวง เจริญจันทร์

วิมานพระอินทร์ ตึกไทยในวังหลวง Architectural Traditions of the Grand Palace เมอื่ ครงั้ แรกสร้างกรงุ เทพมหานครเปน็ ราชธานแี หง่ ใหม่นน้ั หัวใจ ส�ำ คัญของพระนครกค็ อื “พระบรมมหาราชวงั ” ซึ่งถอื เป็นศูนยก์ ลางของ ความศักด์ิสทิ ธิ์ และแสดงถงึ พระราชอำ�นาจของพระมหากษัตรยิ ์ ค�ำ ว่า “กรุงเทพมหานคร” หมายถงึ “พระนครอนั ย่งิ ใหญ่ดจุ เมืองแห่งเทพ” ซง่ี เทพในทีน่ ี้กค็ อื พระมหากษตั รยิ ์ ผทู้ รงเปรียบพระองค์เป็นดัง่ พระอนิ ทร์ วงั หลวงที่สร้างขนึ้ ใหม่น้ี จงึ เป็นเสมือนภาพจ�ำ ลองของวมิ าน พระอินทรบ์ นสวรรคช์ น้ั ดาวดงึ ส์น่นั เอง When Bangkok was first established as the new capital of Thai- land, the heart of the city was the Grand Palace, which was central to the king’s absolute power as the king was likened to Indra, a god. The newly built Grand Palace was thus constructed to emulate Indra’s heavenly home. 10

พระทีน่ ัง่ อมรนิ ทรวินจิ ฉยั มไหสรู ยพิมาน A01 ไม่ว่าใครก็ตามท่ีมโี อกาสได้เข้าไปในพระบรมมหาราชวงั หลังคาของพระทนี่ ั่งอมรินทรวนิ จิ ฉยั มงุ ด้วย หรอื กระท่งั ผู้ท่สี นใจศลิ ปสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะ ไมอ่ าจพลาด กระเบื้องเคลอื บสเี ขยี วเป็นหลกั ทีข่ อบหลงั คา การชมพระทนี่ ั่งอมรินทรวนิ จิ ฉยั ไปได้ ถอื เปน็ อาคารทส่ี ำ�คญั มงุ ดว้ ยสีส้ม แล้วตดั เสน้ ระหวา่ งท้งั สองสดี ้วย หลังหนึ่งภายในพระบรมมหาราชวัง กระเบอ้ื งเคลือบสเี หลือง ที่เรยี กว่า “ลวดสเี หลอื ง” ตวั พระที่นง่ั เป็นอาคารทอ้ งพระโรงแบบจารีตทใี่ ช้สำ�หรับ ส�ำ หรบั ทอ้ งพระโรงส่วนหน้าที่สรา้ งในแนว พระมหากษัตรยิ ์เสดจ็ ฯ ออกขุนนาง ออกมหาสมาคม และ ขวางน้ัน มงุ ด้วยกระเบอื้ งหลงั คาสีขาบหรอื ประกอบพระราชพธิ สี ำ�คญั ตา่ งๆ มาตัง้ แตอ่ ดีต และยงั คงใช้งาน สีน�ำ้ เงินเขม้ เนือ่ งจากเปน็ การตอ่ เติมข้ึนมาภาย มาจวบจนทกุ วนั น้ี หลังในสมัยรชั กาลท่ี ๔ สันนษิ ฐานวา่ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ครั้งเริ่มสรา้ งนน้ั ยังเป็น เร่ืองเล่าชาวเกาะ โถงโล่ง ไม่มีฝาผนงั มุงกระเบ้ืองลักสี ตอ่ มาไดก้ ่ออิฐถือปูนกน้ั ผนังขึน้ เพิ่มเตมิ ในสมยั รัชกาลที่ ๓ การมุงกระเบอื้ งเคลือบสีของพระทน่ี ัง่ ใน วังหลวงนนั้ เรยี กวา่ “มุงลักสี” Amarin Winitchai Throne Hall in the Grand Palace was เปน็ การมุงกระเบ้ืองหลังคาดว้ ยสีหน่งึ เปน็ constructed in the reign of King Rama I-III (late 18th century - หลัก แล้วขดั ดว้ ยกระเบ้อื งอกี สหี น่งึ (ซึง่ มกั early 19th century). The Throne Hall followed traditional Thai เปน็ คู่สตี รงขา้ ม) โดยกระเบอื้ งเคลือบท่ใี ช้มอี ยู่ architecture and has long been used for the king’s royal duties ด้วยกนั ๕ สี คือ สเี หลือง สสี ม้ สเี ขยี ว สีขาบ and prestigious royal ceremonies, up until today. (น�ำ้ เงินเข้ม) และสนี ้�ำ ตาลแดง แต่ส่วนใหญม่ ักใช้สสี ้ม สีเขยี ว และสีขาบ เปน็ หลกั ตามดว้ ยการใช้สีรองตัดเสน้ หรอื ล้อมเปน็ กรอบ โดยมีท้ังแบบมงุ ลกั สี ๒ ชน้ั และลกั สี ๓ ชนั้ เช่นหลงั คาพระทีน่ ั่งอมรินทร วนิ ิจฉัยองคน์ ้ี A 01 Amarin Winitchai Throne Hall D The Grand Palace, Na Phra Lan Rd. A 8.30am-3.30pm T 02 623 5500 / 02 623 5499 A www.royalgrandpalace.th Not Open to the Public 11

ทอ้ งพระโรง เนอื่ งจากพระท่นี ่งั อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั ใช้เพ่อื เปน็ ทอ้ งพระโรง ดังนั้นพืน้ ท่ีภายในจงึ ตอ้ งสามารถรองรับผู้คน ทัง้ พระบรม วงศานุวงศ์และขุนนางตา่ งๆ เปน็ จ�ำ นวนมาก ด้วยเหตุน้จี ึงสรา้ งให้เปน็ หอ้ งโถงขนาดใหญ่ เพือ่ ให้เหมาะ สำ�หรบั เป็นทป่ี ระชมุ ชนนนั่ เอง Diego Delso, delso.photo, License CC-BY-SA พระที่่�นั่่�งบุษุ บกมาลา ทด่ี า้ นทา้ ยสุดของหอ้ งโถง เปน็ ท่ีตงั้ ของพระทน่ี ัง่ บุษบก มาลามหาจกั รพรรดพิ ิมาน ตวั บุษบกเปน็ ทรงปราสาทยอดแหลม ใชเ้ ป็นพระราชบลั ลงั ก์สำ�หรบั พระมหากษตั ริย์เสดจ็ ฯ ข้นึ ประทบั ในงานมหาสมาคมตา่ งๆ พระที่่�นั่่�งพุุ ดตาน พระทีน่ ่งั พดุ ตานกาญจนสิงหาสน์ ตั้งอยดู่ ้านหน้าบุษบก มาลา ภายใต้พระนพปฏลมหาเศวตฉัตร เป็นพระราชอาสนท์ ่ีประทับของพระเจ้าอยหู่ ัวในงาน พระราชพิธีส�ำ คญั ตา่ งๆ เสา เมอื่ แรกเรม่ิ ก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ ๑ ใชเ้ สาไม้กลม ต่อมาในสมยั รัชกาลท่ี ๓ ไดก้ อ่ อิฐหุม้ เสาไม้เดมิ จนกลาย เปน็ เสาทรงเหล่ียมขนาดใหญ่ ตลอดจนมกี ารเขยี นลวดลายเลียนแบบผ้านุ่ง โดยมที ้องผ้า เปน็ ลายดอกไม้ ส่วนหวั เสาและโคนเสา คือ เชิงผา้ เขียนเป็น ลายกรวยเชงิ The Throne Hall is a vast space, big enough to fit คอสอง a large number of people. At the center is a throne, คานท่วี างพาดระหวา่ งหัวเสาเหล่าน้ี เรยี กวา่ “คอสอง” placed under a nine-tiered royal umbrella, symbolic of ท�ำ หนา้ ทีใ่ นการรับน�้ำ หนักโครงสรา้ งหลังคาหน้าจั่วให้ถา่ ย the king. On the far end of the hall is another throne. ลงมาส่ตู วั เสา Both thrones have been meticulously crafted as they คอสองคอื ผนังก่ออฐิ เสริมข้ึนท่ดี า้ นบนของคานไม้ทีพ่ าด were intended for royal ceremonies. ระหว่างหวั เสา เพื่อเพ่มิ ความแข็งแรง (เป็นที่มาของการเรียก คอสองกนั ว่า เครื่องก่อทอ้ งไม)้ Outside, the gables of the building feature carving จากการใชค้ านไมน้ เ้ี อง ท�ำ ใหม้ ีขอ้ จ�ำ กัดเรอ่ื งความยาว และ of Indra residing above his palace. น�้ำ หนกั ที่สามารถแบกรับได้ จะสังเกตเห็นไดว้ า่ ชว่ งเสาของ พระทนี่ ่งั น้ีจงึ คอ่ นขา้ งถี่ นอกจากนแ้ี ล้วยังมกี ารเขยี นภาพเทพชมุ นมุ ตกแตง่ บรเิ วณ ผนังตรงคอสองนี้อีกดว้ ย พ้ืน พ้ืนภายในพระทีน่ ั่งปูดว้ ยหนิ อ่อนในแนวทแยง เพอื่ ช่วย พรางตาให้ทอ้ งพระโรงแลดูกวา้ งขวางใหญโ่ ตขนึ้ 12

ScorpianPK หนา้ บันของพระท่ีนงั่ อมรินทรวนิ จิ ฉัย พระที่น่ังสนามจันทร์ A02 จำ�หลักลายรูปพระอัมรนิ ทราธริ าช ประทบั เหนือวิมานปราสาทสามยอด พระทน่ี ง่ั องค์น้อย ทต่ี ้งั อย่ดู ้านข้างของพระท่นี ั่ง อมรินทรวนิ ิจฉัย เป็นศาลาไม้ขนาดกะทัดรดั ที่ มาถงึ ตรงน้ี หลายคนอาจสงสยั ว่า... รชั กาลที่ ๒ โปรดเกล้าฯ ใหส้ รา้ งขึน้ เพื่อเปน็ ศาลา ทำ�ไมต้องเปน็ รปู พระอมรินทร์หรอื ประทบั ในยามลำ�ลอง พระอินทร์ด้วย? ด้วยลักษณะท่เี ป็นศาลาโล่งทรงไทย หลงั คาจว่ั เหตทุ ่ตี อ้ งเป็นพระอนิ ทรน์ ้นั ก็สบื เนอ่ื ง มชี ายคาปีกนกท้งั ส่ดี า้ น ท�ำ ให้พระที่น่งั สนามจันทร์ มาจากรชั กาลที่ ๑ ทรงเปรียบพระองคเ์ อง ถือเปน็ ภาพจำ�ของศาลาไทยได้เป็นอย่างดี เปน็ ดงั่ มฆมาณพ สัตบรุ ุษที่สรา้ งศาลาจนได้ เปน็ พระอนิ ทร์ เสมือนกับพระองค์ทีเ่ พียร ที่สำ�คัญแมเ้ หน็ ศาลาหลงั กระจิริดเพียงแคน่ ี้ ปฏิบตั ิชอบ ส่ังสมบารมีจนไดข้ ึ้นครองราชย์ (ดา้ นในมแี ท่นท่ปี ระทบั ขนาดเทา่ ฟกู เตียงนอนใน เป็นพระมหากษัตริย์ ปจั จุบันเทา่ นัน้ ) แตข่ อบอกวา่ จิว๋ แต่แจ๋ว เพราะดว้ ย ฐานานศุ กั ดิข์ องอาคารท่สี ร้างขนึ้ ให้พระมหากษัตริย์ และดว้ ยคติความเชื่อดงั กล่าว จึง ได้ประทบั แลว้ ก็ต้องจดั เต็มไปด้วยการประดบั ท�ำ ใหร้ ชั กาลท่ี ๓ ตง้ั ชือ่ พระทน่ี งั่ องคน์ ี้วา่ ประดา ไมว่ า่ จะการปดิ ทองหรือติดกระจกวบิ วบั “อมรินทรวนิ จิ ฉัย” ด้วยวา่ กษตั ริย์เปน็ ดง่ั ลว้ นน�ำ มาประดับประโคมใหอ้ ย่างสมพระเกยี รติ พระอนิ ทร์นเ้ี อง Sanam Chan Pavilion is a small wooden pavilion located next to Amarin Winitchai Throne Hall. It was constructed in the reign of King Rama II and was used for informal occasions. A 02 Sanam Chan Pavilion D The Grand Palace, Na Phra Lan Rd. A 8.30am-3.30pm T 02 623 5500 / 02 623 5499 A www.royalgrandpalace.th Not Open to the Public 13

พระทีน่ ่งั ดุสติ มหาปราสาท A03 อาคารทรงจตรุ มุข (คอื มมี ุขสีท่ ศิ ทำ�ให้มีแผนผัง เป็นรปู กากบาท) ยกพ้ืนสูง มหี ลังคาเป็นทรง ปราสาทยอดแหลมน้ี คอื พระที่นงั่ ดสุ ติ มหาปราสาท อันเปน็ พระทนี่ ั่งสำ�คญั อีกองค์หน่ึงในหมู่มหา ปราสาทภายในพระบรมมหาราชวงั ยอดปราสาทของพระท่ีน่งั องคน์ ้ี เรียกวา่ ทรง “จอมแห” ซ่งึ ถอื ว่ามีสดั สว่ นท่ีสวยงามเปน็ เอกลกั ษณ์ ดว้ ยทรวดทรงทสี่ อดประสานลงตวั รบั กบั โครงหลงั คา หน้าจ่วั ลดชั้นสี่ชั้นท่อี ยู่ตอ่ ลงมาทางด้านลา่ ง มุมหลงั คาทงั้ สี่ดา้ น (เรยี กกนั ว่า รักแร้) ตดิ ตั้ง รปู สลักลอย ตัวรูปครุฑยดุ นาค เพอื่ ใชร้ องรับเคร่อื ง ยอด ปราสาท ตามคติความเชื่อทางจกั รวาลวิทยา Dusit Maha Prasat Throne Hall was built in the reign of King Rama I (late 18th century). The layout features four gable ends, and featured on the gables are carvings of Narai on Garuda, which is a symbol of the monarch. The distinctive features of this Throne Hall are the spire on the roof and Garuda and Naga figures on the four corners of the roof. ซุ้มพระทวารและพระบญั ชร (ประตูและหนา้ ตา่ ง) ท�ำ เป็น ซ้มุ ยอดทรงมณฑป คือ ยอดปลายแหลม โดยซมุ้ ประตูหนา้ ต่าง ยอดปราสาทเช่นนี้ เปน็ รูปแบบทส่ี งวนไว้เฉพาะพระที่นงั่ ภายใน วงั หลวงเทา่ นั้น ดงั นน้ั หากไปทีว่ ังหนา้ (พิพธิ ภณั ฑสถานแหง่ ชาตพิ ระนคร ในปจั จุบัน) จะเห็นได้ว่าซุ้มประตูและหนา้ ต่าง จะเปน็ ซมุ้ อีกรูป แบบหน่งึ ทีเ่ รยี กวา่ ซ้มุ บนั แถลง (ซุ้มทรงจั่ว) เป็นนยั ทีร่ ู้กันโดย ทั่วไปว่าวังหน้านน้ั ไมอ่ าจเทยี บช้ันทำ�ซมุ้ ยอดมณฑปได้ D A 03 Dusit Maha Prasat Throne Hall ครุฑแบกปูนปน้ั ประดับท่สี ว่ นยอด A The Grand Palace, Na Phra Lan Rd. ชั้นเรอื นธาตขุ องปรางค์ วดั ราชบรู ณะ T 8.30am-3.30pm จังหวัดอยุธยา เป็นคติทร่ี ับมาจากการ A 02 623 5500 / 02 623 5499 สรา้ งปราสาทหนิ ของขอมตามความ 14 www.royalgrandpalace.th เชอ่ื ทางจักรวาลวิทยา ทเี่ ปรียบองค์ ปรางค์เป็นเขาพระสเุ มรุ โดยมคี รฑุ เฝ้าอยู่ทีต่ นี เขา

หน้าบนั ท้งั สที่ ศิ ของพระทน่ี ่ังดสุ ิตฯ ติดตั้งประติมากรรมสลักลอยตัวรปู “นารายณ์ทรงสุบรรณ” (นารายณ์ทรงครฑุ สตั ว์พาหนะ) อนั เป็นสญั ลักษณ์ ของพระมหากษัตริย์ ซึง่ เช่ือวา่ เป็นนารายณ์อวตาร ตา่ งจากหน้าบนั ของ พระทนี่ ่ังอมรนิ ทรวินิจฉยั ที่เป็นรูปพระอนิ ทร์ ในอดีตเมอื่ มีพระบรมวงศานวุ งศช์ ัน้ สงู ฝ่ายใน องคป์ ระกอบหลงั คาและหน้าจั่วของพระทน่ี ่งั บางพระองค์สิน้ พระชนม์ ก็โปรดเกล้าฯ ใหต้ งั้ พระ ดุสิตฯ ประดบั ดว้ ยเครอ่ื งล�ำ ยองต่างๆ ซงึ่ ใชแ้ สดงถงึ ศพบนพระท่ีน่งั ดสุ ติ มหาปราสาทน้ี จนกลายเปน็ ฐานานุศกั ด์ขิ องงานสถาปตั ยกรรมดงั นี้ ธรรมเนยี มปฏบิ ตั ทิ ีส่ ืบตอ่ มาจนถึงปจั จุบัน นาคสะดงุ้ คอื เครอื่ งไม้ประดับหลังคาทสี่ ะบดั เมอื่ แรกสร้างโถงภายในมีเสาตง้ั อยู่สีจ่ ุด เปน็ ลอนโค้งข้นึ ลงไปมา คลา้ ยนาคเลอ้ื ยมาแลว้ เพ่ือรองรับนำ้�หนกั ของยอดหลงั คาปราสาท ตอ่ มา สะด้งุ เก่ยี วแปไว้ เป็นเครื่องลำ�ยองทท่ี �ำ ได้เฉพาะใน ได้มีการตรวจสอบแล้ววา่ เสาดงั กล่าวไมม่ ีผลต่อการ วัดและวังหลวงเทา่ น้นั รับน�้ำ หนักโครงสร้างหลงั คาแต่อย่างใด จงึ ใหร้ ้ือถอน หางหงส์ ขนึ้ ชื่อว่า หางของหงส์ แตล่ งท้ายกลบั ออก ท�ำ ให้พื้นทเี่ ปิดโล่งขึน้ ไมม่ เี สามาบังใหร้ กตา แต่ แกะให้กลายเป็นหวั ของนาค หางหงสท์ พี่ ระที่นัง่ เพื่อสรา้ งความมน่ั ใจในความมั่นคงของโครงสรา้ งยิง่ ดสุ ติ ฯ มเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะทเ่ี รยี กกนั วา่ “นาคเบอื น” ข้ึน รัชกาลท่ี ๖ จงึ ให้สร้างเสาคอนกรตี เสรมิ เหลก็ นาคเบอื นในที่นไ้ี มใ่ ช่นาคท่วั ไปท่ีแชเชือนเบือนหนา้ มาทดแทนที่ผนงั ทั้งสี่มมุ ซึง่ ถอื ว่าเป็นการนำ� หนี แตน่ เ่ี ปน็ นาคทเ่ี บอื นหน้าจิกตาตรงเข้าหากลอ้ ง เทคโนโลยีการก่อสรา้ งสมยั ใหม่ในยคุ น้นั มาใช้กบั จ้องถ่ายเสมอื นเซลฟี ถอื เปน็ ลูกเล่นของช่างในสมยั งานสถาปตั ยกรรมแบบจารตี ประเพณีอยา่ งทีไ่ ม่เคย ตน้ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ท่ีพบไดเ้ ฉพาะท่ีหน้าบันของ ปรากฎมาก่อน พระทน่ี ั่งดสุ ติ มหาปราสาทแหง่ น้ี และทพ่ี ระทน่ี ัง่ อาภรณพ์ โิ มกข์ปราสาทท่ีตั้งอยูข่ า้ งกันเท่านั้น Dusit Maha Prasat Throne Hall has long been used for royal funerals for kings and royal family members, and the tradition still continues today. The Kingdom and People of Siam เร่ืองเล่าชาวเกาะ Sir John Bowring 1855 กว่าจะเป็นพระที่นั่งดุสิต รชั กาลท่ี ๑ โปรดเกลา้ ฯ ให้สรา้ งพระทีน่ ่ังจตุรมุขทรงปราสาทข้นึ ตามแบบพระที่นั่ง “สรรเพชญปราสาท” ในพระราชวังหลวงของกรงุ ศรีอยุธยา โดยใหช้ ื่อพระทน่ี ่งั องค์ใหม่นว้ี า่ “อินทราภเิ ษกมหาปราสาท” เม่ือแลว้ เสรจ็ ทรงเสด็จฯ รับพระราชพธิ บี รมราชาภิเษกทีพ่ ระที่นั่งแหง่ น้ี กอ่ นท่ีพระทนี่ งั่ อนิ ทราภิเษก จะไฟไหม้ไปในปี ๒๓๓๒ รัชกาลท่ี ๑ จึงทรงให้สรา้ งพระทน่ี งั่ อีกองคข์ ึ้นมาทดแทนในลักษณะคลา้ ยพระทนี่ ง่ั “สรุ ิยาสน์อมรินทร์” ของอยธุ ยา เพ่อื ใช้เป็นท้องพระโรงออกวา่ ราชการ พระทนี่ ่ังองค์ใหม่ สร้างแล้วเสร็จ ในปี ๒๓๓๘ ใหช้ ื่อวา่ พระที่น่งั “ดสุ ติ มหาปราสาท” 15

พระที่นัง่ อาภรณ์พิโมกข์ปราสาท A04 เป็นพระที่นั่งขนาดยอ่ มทตี่ ้ังอยู่เคยี งกบั พระที่นงั่ Supanut Arunoprayote ดสุ ิตมหาปราสาท สร้างขึน้ ในสมยั รชั กาลที่ ๔ ดว้ ย ไม้ทัง้ องค์ มีลักษณะเปน็ โถงจตุรมขุ ยอดปราสาท John Thomson ไมม่ ผี นัง ยกพืน้ สงู เสมอก�ำ แพงเพือ่ ใช้เป็นพลับพลา Wouter Hagens ส�ำ หรบั ประทับพระราชยาน ไม่วา่ จะเป็นพระคชาธาร (ชา้ ง) หรอื พระเสลย่ี ง ถือวา่ เปน็ พระท่ีนง่ั ที่มีสัดส่วน ทรวดทรงอันงดงามเป็นอยา่ งมาก จนน�ำ ไปเปน็ ตน้ แบบใหก้ บั พระทีน่ ัง่ และศาลาอีกหลายองคต์ อ่ มา ยอดปราสาททรงมณฑป เชน่ เดียวกบั พระทนี่ ่ัง ดุสิตมหาปราสาท หลังคาซ้อนช้นั ๔ ชนั้ ดาดดว้ ยดีบุก โดยการน�ำ ดีบกุ มาหลอ่ เปน็ แผ่นแล้วมงุ แทนกระเบ้อื ง หางหงส์แบบ “นาคเบือน” คอื หวั นาคเบือนหน้า หนั ขา้ งมองตรงออกมา เชน่ เดยี วกับพระท่นี ง่ั ดุสิต มหาปราสาททีอ่ ยเู่ คียงกนั หน้าบนั จำ�หลกั ลายพระอัมรินทราธริ าช (พระ อินทร์) เชน่ เดยี วกบั พระทน่ี ง่ั อมรินทรวนิ จิ ฉัย เป็นสัญลกั ษณแ์ ทนกษตั ริย์แหง่ กรุงรัตนโกสินทร์ ทเ่ี ปรยี บตัวเองเป็นดั่งพระอนิ ทร์ Aphon Phimok Prasat Pavilion was built in the reign of King Rama IV (middle 19th century). It is a wooden structure, perched high above the ground to serve as a platform for mounting on an elephant or a palanquin. The roof tiles are made of tin, while the gables feature Indra’s figures. ภาพพระทน่ี ง่ั ดสุ ติ มหาปราสาท พระราชพธิ โี สกนั ตเ์ จ้าฟา้ พระทีน่ งั่ อาภรณพ์ ิโมกข์ปราสาท (องคใ์ หญ)่ และพระทน่ี ง่ั จุฬาลงกรณ์ (รชั กาลท่ี ๕) องคจ์ ำ�ลอง ในงานเอ๊กซ์โป อาภรณพ์ โิ มกขป์ ราสาท (องค์ ในปี ๒๔๐๙ รัชกาลท่ี ๔ ทรง ปี ๒๕๐๑ ท่ีกรงุ บรัสเซลล์ เลก็ ดา้ นหนา้ ) ทเ่ี พง่ิ สรา้ งใหม่ ยนื อยู่บนเกยหนา้ พระที่นัง่ ประเทศเบลเยียม ในหนงั สอื “บนั ทกึ การเดนิ อาภรณพ์ โิ มกขป์ ราสาท D A 04 Aphon Phimok Prasat Pavilion ทางของออ็ งรี มโู อต์ ในสยาม ขณะทีเ่ จา้ ฟา้ จุฬาลงกรณ์ A The Grand Palace, Na Phra Lan Rd. กมั พชู า ลาว และอนิ โดจนี ตอน ประทับบนพระราชยาน T 8.30am-3.30pm Everyday กลางสว่ นอน่ื ๆ” เสลีย่ งคานหาม A 02 623 5500 / 02 623 5499 โดย ออ็ งรี มโู อต์ นกั ส�ำ รวจ www.royalgrandpalace.th ชาวฝรง่ั เศส ทเ่ี ดนิ ทางเขา้ มาใน 16 สยามในสมยั รชั กาลท่ี ๔

พระทนี่ ่งั สุทไธศวรรยป์ ราสาท A05 เป็นพระทีน่ ั่งองค์ใหญ่ท่ีสร้างยาวครอ่ มไปตามแนวก�ำ แพงพระบรมมหาราชวงั ดา้ นทศิ ตะวันออก ต้งั ตระหงา่ นเหนอื ลานโลง่ ทางดา้ นหนา้ แรกสร้างในสมยั รชั กาลท่ี ๑ เปน็ เพยี งพลบั พลาโถงเครอ่ื งไม้ หลังคาไม่มียอด ปราสาท ใชส้ ำ�หรบั เป็นทีป่ ระทับทอดพระเนตรกระบวนแหท่ ่ที ้องสนามไชยด้านล่าง บริเวณด้านหน้ากำ�แพงพระบรมมหาราชวงั ต่อมาในสมยั รชั กาลที่ ๓ ไดเ้ ปลีย่ นเปน็ ผนงั กอ่ อิฐถือปูน และเพมิ่ ยอดปราสาท บนหลังคาด้วย Supanut Arunoprayote รชั กาลท่ี ๙ ออกมหาสมาคม เนอ่ื งในการพระราชพิธีบรม ยอดปราสาททรงมณฑป ท่มี กี ารสร้างเพ่ิมเตมิ ในสมยั ราชาภิเษก ปี ๒๔๙๓ รชั กาลท่ี ๓ ซง่ึ ถือเปน็ เอกสิทธเ์ิ ฉพาะพระที่นั่งในวงั หลวง Sutthai Sawan Prasat is located on the เท่านั้นจงึ จะท�ำ ยอดปราสาทได้ edge of the Grand Palace on Sanam Chai’s side. It was first built during King Rama หลังคาซอ้ นชนั้ ๔ ชั้น แต่ละชั้นแบง่ ยอ่ ยเป็น ๓ ตบั แตล่ ะ I’s era as an open wooden structure with ตับมุงด้วยกระเบ้อื งเคลือบสแี สด ตัดขอบเขียว no walls, used for observing parades at the field outside the Grand Palace. In King การแบง่ หลังคาออกเป็นตับยอ่ ยๆ น้นั ช่วยลดทอนระนาบ Rama III’s era, brick and mortar walls ขนาดใหญ่ของผืนหลงั คาให้เลก็ ลง ขณะเดยี วกันการตัดขอบ were constructed, and the spire was added หลังคาดว้ ยกระเบ้อื งคู่สีตรงขา้ ม ก็ช่วยย่อยพ้นื ท่หี ลังคาสแี สด to the roof. In 1950, King Rama IX granted ใหด้ ูไม่ต่อเนื่องกนั เปน็ ผืนใหญ่ผืนเดยี ว หลังคาพระท่นี ่ังจึงดูเบา a grand audience on the occasion of His ไม่ใหญโ่ ตเทอะทะ หรอื หนาหนักเท่าท่ีควรจะเป็น Majesty’s Royal Coronation Ceremony. สว่ นระเบียงที่มุขกลาง ตอ่ ยื่นออกมาเพอื่ เปน็ ที่เสดจ็ ออก สหี บัญชรน้ัน ได้ถูกต่อเตมิ ขน้ึ ในปี ๒๔๙๓ เม่อื ครง้ั รชั กาลที่ ๙ ออกมหาสมาคม เน่อื งในการพระราชพธิ ีบรมราชาภเิ ษก A 04 Sutthai Sawan Prasat D The Grand Palace, Sanam Chai Rd. A Not Open to the Public T A 17

วังหน้า Front Palace วงั หลวง Grand Palace 18

วิมานกษัตริย์องค์ท่ีสอง ตึกไทยในวังหน้า Architectural Traditions of the Front Palace รหู้ รือไม?่ ตามคตกิ ารสร้างเมืองแบบจารตี ประเพณีน้นั กรุงเทพฯ มกี ษัตรยิ ์เปน็ ผปู้ กครองถงึ ๒ พระองค์ โดยมี “วังหลวง” เปน็ กษตั รยิ ์องคท์ ี่ ๑ และมี “วงั หนา้ ” เปน็ อุปราช หรอื กษตั ริยอ์ งคท์ ่ี ๒ อกี นัยหนึ่งกค็ อื มพี ระบรมมหาราชวังเป็น In ancient Thai traditions, a city would วังหลวง และพระราชวงั บวรสถานมงคลเป็น consist of the Royal Palace, or the supreme วังหน้า ซ่งึ ในปจั จุบนั วังหนา้ กค็ อื พน้ื ทบ่ี ริเวณ monarch, and the Front Palace (viceroy) พพิ ิธภณั ฑสถานแหง่ ชาติ พระนคร นนั่ เอง as the second monarch. ทนี ้ีลองมาดูกันวา่ พระที่นง่ั องคต์ า่ งๆ ของ Currently, the Front Palace is the วงั หน้า จะเหมอื นหรอื แตกตา่ งจากวังหลวงกัน ground of the National Museum Bangkok. อย่างไรบา้ ง Let’s see if the royal palace of the second monarch is similar to or different from the Grand Palace. เร่ืองเล่าชาวเกาะ คนหรือวัง? ... วังหรือคน? เอ๊ะ...ตกลงคำ�ว่า “วังหนา้ ” หรอื “พระราชวังบวรสถานมงคล” น้ี เป็นชอ่ื คนหรอื ชอื่ สถานที่กันแน?่ ชา่ งเปน็ ศพั ทท์ ่ีชวนงงเสยี น่กี ระไร แท้จรงิ แลว้ วังหนา้ หรือพระราชวงั บวรสถานมงคล มอี ยดู่ ้วยกนั ๒ ความหมาย จะหมายถึง “สถานที่” คอื วงั ทปี่ ระทับของพระมหาอปุ ราช กไ็ ด้ หรือจะหมายถงึ “บุคคล” และ “ต�ำ แหนง่ ” ของผูท้ ่คี รองวังน้ันอยู่กไ็ ด้เช่นกัน 19

พระท่นี ่งั พุทไธสวรรย์ A06 พระท่ีน่ังพุทไธสวรรย์เป็นพระท่นี ่งั องค์ส�ำ คัญองคห์ น่งึ ในวัง หน้า สร้างขึ้นในสมยั รัชกาลท่ี ๑ โดยสมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาสุรสงิ หนาท (พระอนชุ าของรัชกาลที่ ๑ ผูค้ รองต�ำ แหนง่ วงั หน้าในสมยั น้นั ) เพอ่ื ใช้ส�ำ หรับประกอบพระราชพธิ ีต่างๆ เชน่ เดียวกับพระมหาปราสาทในวังหลวง ครน้ั ในปี ๒๓๓๘ ขณะกำ�ลังก่อสร้างอยู่นั้นไดอ้ ญั เชญิ พระ พุทธสิหงิ ค์ จากเมืองเชยี งใหมล่ งมายงั พระนคร จึงได้อทุ ิศพระ ที่นง่ั องคน์ ถ้ี วายเปน็ หอพระส�ำ หรบั ประดษิ ฐานพระพุทธสหิ งิ ค์ แรกสรา้ งจงึ ใช้ช่อื ว่าพระทนี่ ง่ั “พทุ ธาสวรรย์” ตอ่ มาได้ เปลย่ี นเปน็ พระที่นั่ง “พุทไธสวรรย์” ในสมยั รัชกาลท่ี ๔ เพ่ือให้ ล้อกับพระทนี่ ัง่ “สุทไธศวรรย”์ A05 พระทีน่ ั่งริมรวั้ ของวังหลวง น่ันเอง Phutthai Sawan Throne Hall was built during the viceroy of King Rama I’s era (his younger brother). Inside, there is Phra Phuttha Sihing Buddha statue, which is an important Buddha statue of Thailand, relocated from Chiang Mai. The distinctive feature of this Throne Hall is the mural paintings of deva (deities) and Buddha’s history. D A 06 Phutthai Sawan Thron Hall A National Museum Bangkok, Na Phra That Rd. T 9.00am-4.00pm Wed-Sun except public holidays A 02 224 1370 www.virtualmuseum.finearts.go.th/bangkoknationalmuseums 20 nationalmuseumbangkok

ผนังก่ออฐิ ถือปูน ท�ำ หน้าทร่ี ับน�ำ้ หนักโครงสรา้ งจากหลังคา ถ่ายลงสผู่ นงั ท�ำ ใหไ้ มต่ อ้ งมีเสามารับนำ�้ หนกั โครงหลังคาโถง ภายใน พระทีน่ ั่งจงึ โปร่งโล่ง ไม่รกตา มีเพยี งเสาพาไลเฉพาะที่ ด้านนอกเพ่ือรองรับนำ�้ หนักของชายคาเทา่ นน้ั คอสอง (ผนังระหวา่ งหลงั คากับชายคา) ประดับลวดลาย ปนู ปั้นอยา่ งจีน ซง่ึ ได้ท�ำ ข้ึนในคราวปฏสิ งั ขรณใ์ หญส่ มัยสมเด็จ พระบวรราชเจา้ มหาศักดิพลเสพ (วงั หนา้ ในสมัยรัชกาลท่ี ๓) อันเปน็ ยคุ สมยั ท่ีศิลปะจีนเป็นทีน่ ิยมอย่างกว้างขวาง เคร่ืองลำ�ยองหรอื องค์ประกอบหลังคาหนา้ จัว่ ของวงั หนา้ มเี พยี งชอ่ ฟา้ ใบระกา และหางหงส์ ไมอ่ าจทำ�เปน็ นาคสะดงุ้ หรอื ลอนโค้งไปมาได้ เพราะเปน็ ของสงวนตามฐานานศุ ักดิไ์ ว้ ส�ำ หรับวดั และวังหลวงเทา่ นัน้ ช่างวงั หน้าจงึ ท�ำ ได้แต่เพยี งทรง ตรงๆ แอน่ ไปตามระนาบของโครงหลงั คา เรยี กวา่ “รวยระกา” ซง่ึ ถอื ว่าเปน็ สไตลเ์ ฉพาะของสกุลช่างวังหนา้ ในเวลาต่อมา หน้าบันแกะสลักเปน็ รปู พระพรหมสถิตในวมิ าน ๓ หลงั เหตทุ ีต่ อ้ งเปน็ พระพรหม ก็สบื เน่ืองมาจากนามเดิมของ พระท่นี ั่ง คอื สทุ ธาสวรรย์ น้ัน เปน็ ชัน้ สงู สุดของรูปพรหม น่ันเอง ติดยนั ตอ์ รหันตแ์ ปดทศิ หรือโปย้ กว่ ย เคร่ืองรางของจีน ท่ี เหนอื วิมานพระพรหมองคก์ ลาง ภาพจิตรกรรมเทพชุมนมุ ภายในพระทีน่ ่งั พทุ ไธสวรรย์ วาด มาตัง้ แตค่ รง้ั ก่อสรา้ งในสมัยรัชกาลท่ี ๑ จึงถอื ว่าเปน็ จุดเดน่ ที่ ส�ำ คัญของพระทนี่ ่ังองคน์ ี้ ชาลากว้างดา้ นหน้าพระทนี่ ัง่ เดมิ เปน็ ทีป่ ระดิษฐานพระทน่ี ่ัง คชกรรมประเวศ ซงึ่ ไดร้ อ้ื ถอนออกไปในสมยั รัชกาลท่ี ๕ เร่ืองเล่าชาวเกาะ พระที่น่ังคชกรรมประเวช เมื่อคราวรัชกาลที่ ๔ สถาปนาพระอนชุ า คอื เจา้ ฟ้าจุฑามณี ข้นึ เป็นสมเดจ็ พระมหาอุปราชวังหน้า โดยเฉลมิ พระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระปน่ิ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั ” มพี ระราชอสิ รยิ ยศเทยี บเทา่ พระมหา กษตั ริย์นนั้ ในพระราชวังบวรสถานมงคล หรอื วังหน้า จึงเกดิ ธรรมเนยี มใหม่ คือ การสรา้ งปราสาทขึ้นเป็นครัง้ แรก เพราะโดยปกติแล้ว ต้องสงวนไว้ให้มเี ฉพาะในวงั หลวงเทา่ น้นั วังหนา้ ไมอ่ าจสรา้ งพระท่นี ั่งทม่ี ียอด เปน็ ปราสาทอยา่ งพระทน่ี ั่งดสุ ติ ฯ ได้ “พระที่นงั่ คชกรรมประเวศ” จงึ ไดป้ ลูกขึน้ มาท่บี รเิ วณดา้ นหน้าพระทนี่ ่ังพทุ ไธสวรรย์ เปน็ พระท่ีน่งั เครอื่ งไมจ้ ตุรมุขทรงปราสาท ขนาดและสณั ฐานอยา่ งเช่นพระที่นงั่ อาภรณ์พโิ มกข์ปราสาท ในพระบรม มหาราชวังทสี่ รา้ งขนึ้ ในสมัยรชั กาลท่ี ๔ เชน่ กนั ตอ่ มาพระท่นี ั่งคชกรรมประเวศ ได้รือ้ ถอนไปในสมยั รัชกาลท่ี ๕ เมื่อคราวยกเลิกตำ�แหน่งวังหนา้ เนอื่ งจากอาคารมีสภาพชำ�รดุ ผพุ ัง ขณะเดยี วกันก็ถอื เป็นการท�ำ ลายสถานะของวังหนา้ ให้ หมดไปในเชิงสญั ลกั ษณอ์ ีกด้วย 21

พระท่ีน่งั อศิ ราวินิจฉยั A07 พระท่นี งั่ อิศราวินิจฉยั ผนังอาคารยา้ ยไปรบั นำ้�หนกั ชายคาปกี นก สรา้ งขึ้นในสมัยสมเด็จพระบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพ (วังหน้าในสมยั รัชกาลที่ ๓) เพอื่ ใชเ้ ปน็ พระท่ีน่ังท้องพระโรง พระทีน่ ่งั พทุ ไธสวรรย์ แบบเดียวกบั พระทีน่ ่งั อมรนิ ทรวินจิ ฉัยในวงั หลวง A01 ภายใน ผนงั รบั นำ�้ หนักโครงสรา้ งของหลงั คาโดยตรง ประดิษฐานพระทีน่ ่งั บุษบกเกรินทรงปราสาททตี่ อนทา้ ยของ โถงทอ้ งพระโรง เชน่ เดยี วกบั พระที่น่งั บุษบกมาลาในพระทีน่ ัง่ อมรินทรวินจิ ฉัยของวงั หลวง ภายในมีเสาเพือ่ ใช้ส�ำ หรับรับน้ำ�หนกั หลงั คาหนา้ จว่ั สว่ น ผนงั อาคารยา้ ยไปรบั นำ�้ หนกั ชายคาปีกนกแทน ทำ�ให้มพี ้ืนที่ ใช้สอยภายในอาคารมากขน้ึ ตา่ งจากพระท่นี ัง่ พทุ ไธสวรรย์ท่ใี ช้ ผนงั รบั น�ำ้ หนกั โครงสร้างของหลงั คาโดยตรง ทำ�ใหพ้ นื้ ที่ภายใน แคบ แตแ่ ลกมาด้วยการไม่มีเสาภายในให้กวนตา ซ้มุ พระทวาร และซุ้มพระบัญชร ซุม้ ประตหู นา้ ต่างของ พระท่นี ั่งในวังหน้า ท�ำ เป็นซมุ้ บันแถลงหรือซมุ้ ทรงจ่วั ตา่ งจาก ซุม้ ประตูหนา้ ตา่ งของวังหลวงทีท่ �ำ เป็นซมุ้ ยอดทรงมณฑป เชน่ ทีพ่ ระทีน่ ั่งดุสิตมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง เปน็ ตน้ Itsara Winitchai Throne Hall was constructed in the viceroy of King Rama III’s era and was used as the royal Throne Hall similar to the Grand Palace’s Amarin Winitchai Throne Hall. Inside, there is a royal throne at the far end of the hall, used for the viceroy’s royal duties. D A 07 Itsara Winitchai Throne Hall A 08 Siwamok Phiman Audience Hall National Museum Bangkok, Na Phra That Rd. National Museum Bangkok, Na Phra That Rd. A 9.00am-4.00pm Wed-Sun except public holidays 9.00am-4.00pm Wed-Sun except public holidays T 02 224 1370 02 224 1370 A www.virtualmuseum.finearts.go.th/bangkoknationalmuseums www.virtualmuseum.finearts.go.th/bangkoknationalmuseums 22 nationalmuseumbangkok nationalmuseumbangkok

พระที่นัง่ ศิวโมกขพิมาน A08 หลังคาพระทีน่ งั่ ของวงั หน้าจะเปน็ หลังคาชั้นเดยี ว ไมม่ มี ุขลดซ้อนชั้น และมุงด้วยกระเบ้อื งดนิ เผาไมเ่ คลอื บ พระทน่ี ่ังศวิ โมกขพิมาน ปจั จุบนั ใช้เป็นห้องจัด สี เน่ืองจากเปน็ ข้อปฎิบัติทไ่ี ม่อาจมุงกระเบ้อื งหลากสลี อ้ ม แสดงนิทรรศการหมุนเวียนของพพิ ิธภณั ฑสถาน กรอบแบบของวังหลวงได้ ส่งผลให้พ้นื ทหี่ ลังคาของวังหน้า แห่งชาติ พระนคร ยังคงเปน็ ระนาบผนื ใหญ่ ทึบตัน ดูหนาและหนัก ไมอ่ าจ ไล่ระดับใหเ้ บาบางอ่อนชอ้ ยตามแบบหลังคาพระที่น่งั ในวงั สร้างขน้ึ ตง้ั แต่คราวสร้างวงั หน้า ในสมัยสมเดจ็ หลวงได้ จะเห็นได้วา่ ฐานานุศักด์ถิ อื เป็นเรื่องส�ำ คัญในงาน พระบวรราชเจ้ามหาสรุ สิงหนาท (วังหน้าในสมยั สถาปัตยกรรมไทยประเพณีเปน็ อยา่ งย่ิง รัชกาลท่ี ๑) เดิมทีทำ�เปน็ พระทนี่ ง่ั ไมท้ รงโถง ไมม่ ี ผนงั ใชเ้ ป็นทอ้ งพระโรงต้ังพระทีน่ ัง่ บวรฉตั รสำ�หรบั เคร่อื งลำ�ยองของวังหนา้ มชี อ่ ฟ้า ใบระกา หางหงส์ และ พระมหาอุปราชประทับออกขุนนาง “รวยระกา” ตรงท่อื แทนทจ่ี ะเปน็ “นาคสะดุง้ ” โค้งไปมา ต่อมาในสมยั สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศกั ดพิ ล น่ันเพราะนาคสะดงุ้ เปน็ องคป์ ระกอบทีส่ งวนไว้สำ�หรบั วดั เสพ (วังหน้าในสมยั รชั กาลท่ี ๓) โปรดให้ปฏสิ ังขรณ์ และวังหลวงเทา่ นั้น ขยายขนาดสรา้ งใหม่เป็นเคร่ืองกอ่ อฐิ ถอื ปนู ดงั เช่น ในปจั จุบนั สว่ นหนา้ บนั ดา้ นหน้า (ทิศตะวันออก) แกะเป็นรูป นารายณ์ทรงครฑุ ขณะทด่ี ้านหลัง (ทิศตะวันตก) เป็นรูป จนเมื่อพระทีน่ ั่งอิศราวินจิ ฉัยก่อสร้างแลว้ เสร็จ พระพรหมทรงหงส์ พร้อมประดษิ ฐานพระท่ีน่ังบุษบกดว้ ยนนั้ จึงย้าย ทอ้ งพระโรงไปที่น่นั แทน เร่ืองเล่าชาวเกาะ Siwamok Phiman Audience Hall was built in the จาก “วังหนา้ ” มาเป็น “มิวเซยี มหลวง” viceroy of King Rama I’s era. Formerly, it was used เมอ่ื กรมพระราชวังบวรวิชยั ชาญ (วงั หน้าในสมัยรัชกาลที่ ๕) as a throne hall of the Front Palace. The front gable เสดจ็ ทวิ งคตในปี ๒๔๒๘ ต�ำ แหนง่ พระมหาอปุ ราช หรือวังหนา้ features a figure of Narai mounted on Garuda, while ก็ถกู ตดั ตอนยกเลิกไป the back features Brahma on Hamsa. Currently, it is และมกี ารต้ังผสู้ ืบราชบัลลังก์ ในตำ�แหนง่ “มกฏุ ราชกมุ าร used as an exhibition venue for the National Museum ” ข้นึ มาแทน หมพู่ ระท่ีน่งั ในพระราชวังบวรสถานมงคลจงึ รบั Bangkok’s temporary exhibitions. หน้าที่ใหม่ในฐานะ “มวิ เซียมหลวง” โอนถา่ ยศลิ ปวัตถจุ ากหอ คองคาเดยี C04 มารวบรวมไวท้ ่นี ี่ ซงึ่ ตอ่ มาไดพ้ ัฒนามาเป็น พพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร ในท่ีสุด พระท่นี ั่งเหล่านี้ นอกจากจะใช้เปน็ ห้องจดั แสดงวัตถโุ บราณ ของชาติอันประเมนิ คา่ มิไดแ้ ล้ว องค์พระทนี่ ั่งเองยังถือไดว้ า่ เปน็ วตั ถุจดั แสดงชน้ิ ใหญ่ในพิพิธภัณฑ์ ทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ถึงศลิ ป สถาปัตยกรรมแบบไทยประเพณีของสกุลชา่ งวังหนา้ ดว้ ย นอกจากน้ี พพิ ิธภัณฑสถานแห่งชาตพิ ระนครยังมี สถาปัตยกรรมอืน่ ๆ ทไ่ี มใ่ ช่ผลงานของวงั หนา้ ซงึ่ ไดป้ ลกู สร้าง ผนวกเข้ามาในภายหลัง ดังเช่น ศาลาสำ�ราญมขุ มาตย์ ซึ่งสรา้ ง ในสมยั รัชกาลที่ ๕ และพระทนี่ ง่ั ลงสรง ในรชั กาลท่ี ๖ นับได้วา่ เปน็ ผลงานดา้ นสถาปัตยกรรมชน้ิ เอกท่คี วรคา่ แก่ การน�ำ เสนอให้ชนรุ่นหลงั ได้รับชมเปน็ อยา่ งย่ิง 23

รปู แบบไทย รปู แบบพม่า ศาลาสำ� ราญมุขมาตย์ A09 รปู แบบชวา รปู แบบตะวันตก สรา้ งขน้ึ ในสมัยรชั กาลท่ี ๕ ถือเป็นศาลาไทยประเพณี Samran Mukkhamat Thai Pavilion was ทไ่ี ม่ใช่ประเพณนี ิยม ออกแบบโดยกรมพระยานริศรานุวดั ตวิ งศ์ built in the reign of King Rama V (late นายช่างใหญ่แห่งยุค ซงึ่ ทรงใส่องคป์ ระกอบทมี่ คี วามแปลกใหม่ 20th century), designed by Prince Naris. นอกเหนือจากขนบการสรา้ งสถาปัตยกรรมไทยแบบจารตี ทีม่ ี It features Thai architectural style with มาแตด่ ้ังเดิม โดยมกี ารผสมผสานรูปแบบสถาปัตยกรรมของ influences from other cultures. Formerly, ไทย พมา่ ชวา และตะวนั ตก เข้าด้วยกัน it was located elsewhere, but later moved to the premise of the National Museum เมื่อแรกสรา้ งต้ังอย่ทู ส่ี วนแงเ่ ต๋ง ในพระราชวงั ดสุ ิต (ใน Bangkok in the 1920s during King Rama อาณาบรเิ วณของพระทีน่ ่ังวมิ านเมฆ) กระทัง่ มวิ เซยี มหลวงท่ี VII’s era as an architectural example for วงั หนา้ ไดร้ บั การจัดตั้งเป็นพิพิธภณั ฑสถานสำ�หรบั พระนคร Thai people to see. ในสมยั รัชกาลท่ี ๗ จึงไดช้ ะลอศาลาสำ�ราญมุขมาตย์มาปลกู ขา้ งๆ พระที่นั่งอศิ ราวินิจฉัย ในพืน้ ท่ีวังหนา้ แหง่ นี้ ศาลาลงสรง A10 เป็นศาลาทรงจตรุ มขุ ขนาดกะทัดรดั สรา้ งข้นึ ในสมยั รชั กาล ท่ี ๖ เพื่อใช้เปน็ สถานทปี่ ระทับสำ�หรบั ทรงพระเคร่อื งใหญ่ (ตัดผม) เดิมทีสร้างท่พี ระราชวงั สนามจันทร์ จงั หวดั นครปฐม แลว้ โปรดฯ ให้ยา้ ยมาปลกู ในพพิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร โดยตง้ั เดน่ อยบู่ รเิ วณประตทู างเขา้ มาจวบจนทุกวันน้ี Long Song Thai Pavilion was built in the 1910s during the reign of King Rama VI as a haircut venue. The pavilion was later moved to the premise of the National Museum Bangkok. D A 09 Samran Mukkhamat Thai Pavilion A 10 Long Song Thai Pavilion A National Museum Bangkok, Na Phra That Rd. National Museum Bangkok, Na Phra That Rd. T 9.00am-4.00pm Wed-Sun except public holidays 9.00am-4.00pm Wed-Sun except public holidays A 02 224 1370 02 224 1370 www.virtualmuseum.finearts.go.th/bangkoknationalmuseums www.virtualmuseum.finearts.go.th/bangkoknationalmuseums 24 nationalmuseumbangkok nationalmuseumbangkok

บ้้านพี่่�เรือื นน้้อง ใครๆ คงคิดวา่ สถาปัตยกรรมไทยแบบจารีตประเพณนี น้ั ดเู หมือนกันไปหมด โดย วังั หลวง VS วัังหน้้า เฉพาะอยา่ งย่งิ พระทน่ี ั่งทงั้ หลายทป่ี ลูกสรา้ งกันในพระบรมมหาราชวงั และพระราชวงั บวรสถานมงคล แมม้ องโดยรวมแล้วอาจดูคลา้ ยคลงึ กนั เปน็ อยา่ งมาก แต่หากพนิ จิ พิเคราะห์ดว้ ยสายตาอนั ถ่ีถ้วนแล้ว จะเหน็ แจง้ วา่ องคป์ ระกอบทางสถาปัตยกรรมใน “วงั หลวง” กบั “วงั หน้า” นน้ั มีความเหมือนทแ่ี ตกตา่ งกนั อยา่ งไรบ้าง เรามีคำ�ตอบ... พระบรมมหาราชวัง (วังหลวง) พระราชวังบวร (วงั หนา้ ) หลงั คายอดปราสาท สรา้ งยอดปราสาทได้ สร้างยอดปราสาทไมไ่ ด้ • พระท่ีน่งั ดุสติ มหาปราสาท (ยกเวน้ พระทนี่ ั่งคชกรรมประเวศ ซง่ึ สร้างเพ่ือเฉลมิ พระเกยี รตยิ ศ • พระท่นี ัง่ สทุ ไธสวรรย์ พระปน่ิ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว • พระทีน่ ัง่ อาภรณ์พิโมกข์ปราสาท เทียบเทา่ พระเจา้ แผ่นดิน) หลงั คาซ้อนชั้นและกระเบื้องมุงหลังคา หลงั คาซ้อนช้ัน ไมม่ หี ลังคาซ้อนชน้ั โครงหลงั คาถูกลดทอน โครงสร้างหลงั คาหนา้ จว่ั ผนื ใหญ่ เป็นผืนย่อยหลายผืน ลดหลน่ั กันไป ผืนเดยี ว มงุ กระเบ้อื งดินเผาไม่เคลือบ มุงกระเบ้อื งเคลอื บสี ไมม่ กี ารมุงลกั สี ใชก้ ารมงุ ลักสี ๒ สี หรือ ๓ สี เครอ่ื งล�ำยอง นาคสะดุง้ นาคสะดุ้ง เคร่อื งล�ำยอง หางหงส์ รวยระกา (ลอนคดโคง้ ไปมา) ซุ้มพระทวาร พระบัญชร (ตรงๆ แอ่นโคง้ ไปตามโครงหลงั คา) หางหงส์ หางหงส์ ไมม่ นี าคเบอื น มนี าคเบอื น (มที ่พี ระที่น่งั ดสุ ิตมหาปราสาท และพระทนี่ ่งั อาภรณ์พิโมกขป์ ราสาท) ซ้มุ ยอดทรงมณฑป ซุ้มบันแถลง หรอื ซุม้ ทรงจวั่ หรอื ทรงปราสาท หนา้ บัน ลงรักปดิ ทองประดบั กระจก ลงรักปิดทองประดบั กระจก 25

เหล้าเก่าในขวดใหม่ ตึกใหม่ไทยประเพณี Old Booze, New Bottle นอกจากวังหลวง วังหน้า และวัดวาอารามตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ สถาปตั ยกรรมรปู แบบไทย ประเพณีท่หี ลงเหลืออยู่ในเกาะรตั นโกสนิ ทรแ์ ลว้ ก็ยังมีสถาปัตยกรรมไทยท่ีสร้างข้นึ ใหม่ ในสมัยปจั จุบนั ปรากฏให้เราได้เหน็ กันอยบู่ ้าง ดงั ผลงานการออกแบบท้ังสามชิน้ ของ สถาปนิกชั้นครูจากกรมศลิ ปากร พลอากาศตรี อาวธุ เงินชกู ลิ่น ผู้ซ่งึ ไดร้ บั เกียรติเชิดชู เปน็ ศิลปนิ แหง่ ชาติ สาขาศิลปสถาปตั ยกรรม (สถาปตั ยกรรมไทย) ในปี ๒๕๔๑ In addition to palaces and temples, the Old Town area of Bangkok is home to some newly built traditional Thai architecture, designed by an architectural expert from the Fine Arts Department Arvuth Ngoenchuklin, a national artist in Thai architecture. ศาลหลกั เมอื งกรงุ เทพ A11 ศาลหลกั เมืองมีมาตงั้ แต่สถาปนากรงุ รัตนโกสินทรเ์ ป็น ราชธานี เดมิ ทเี ปน็ เพียงศาลาธรรมดาๆ เท่านนั้ ต่อมารชั กาล ท่ี ๔ ทรงให้ปรับปรุงยกเป็นยอดปรางค์ ตามอย่างศาลทีก่ รงุ เก่า โดยอาคารจตรุ มขุ ท่มี เี ครอื่ งยอดเปน็ ปรางค์นั้นถอื เปน็ พระ ราชนิยมในรชั กาลนก้ี ว็ ่าได้ จะเห็นไดว้ า่ ปราสาทพระเทพบิดร ในวดั พระแกว้ ทมี่ ยี อดเปน็ ปรางค์นัน้ กส็ รา้ งขน้ึ ในสมัยรชั กาล ที่ ๔ เชน่ กนั จนกระทง่ั ปี ๒๕๒๓ ศาลหลกั เมอื งไดม้ ีการเปลี่ยนแปลงครั้ง ใหญ่อกี หน เพ่อื เตรยี มฉลองงานสมโภชกรงุ รตั นโกสินทร์ ครบ ๒๐๐ ปี ในปี ๒๕๒๕ โดยก่อสรา้ งขึ้นใหม่เป็นอาคารเครอื่ งปนู ทรงยอดปรางค์เชน่ เดียวกบั ศาลเดิม มหี ลงั คาซ้อนชนั้ และ หนา้ บนั ประดบั กระเบอ้ื งเคลือบ Bangkok City Pillar Shrine was built when Bangkok was established as the capital city. Later, in the reign of King Rama IV, it was renovated and featured a cruciform floor plan with a corn cob-shaped spire. It went through another major renovation on the occasion of the Bangkok Bicentennial 1982 celebration. 26

พลับพลาโถงจตรุ มขุ ใช้เป็นท่สี ำ�หรบั พระบาท สมเดจ็ พระเจา้ อย่หู ัวทรงออกรบั แขกบ้าน แขกเมอื งของประเทศ หลังคามุขลด ๒ ชนั้ มุงกระเบอื้ งเคลอื บสี ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ นาคสะดงุ้ หนา้ บนั ปดิ ทองประดับกระจก ล้วนครบตาม คุณลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบจารตี ประเพณี ที่สรา้ งขึ้นเพื่อพระมหากษตั รยิ ์ พระท่นี ง่ั ลานพลบั พลามหาเจษฎาบดนิ ทร์ A12 พน้ื ทเี่ ดิมตรงนีเ้ คยเปน็ ทต่ี ัง้ ของโรงภาพยนตร์ยอดนยิ มใน อดตี “ศาลาเฉลิมไทย” ก่อนจะมาเป็นลานพลับพลามหาเจษฎา บดนิ ทร์อย่างทเี่ ห็นในปัจจบุ นั ศาลาเฉลมิ ไทยรือ้ ไปในปี ๒๕๓๒ เพ่ือเปดิ มมุ มองใหก้ ับ วิหารวดั ราชนดั ดา และโลหะปราสาทท่ถี กู บดบงั อยู่เบ้ืองหลงั และเนอื่ งจากโบราณสถานทง้ั สองสร้างข้นึ ในสมยั รชั กาลท่ี ๓ ลานบริเวณน้จี ึงต้งั ชือ่ ตามพระอศิ ริยยศของพระองคก์ อ่ นท่ีจะ ขึน้ ครองราชย์ คอื “กรมหม่นื เจษฎาบดนิ ทร์” Maha Chetsadabodin Royal Pavilion was formerly home to a “ศาลาเฉลิมไทย” กอ่ นจะมาเป็นลานพลับพลา cinema which was demolished in 1989 to reveal the view of the มหาเจษฎาบดินทร์ Iron Stupa (Loha Prasat) at the back. A 11 Bangkok City Pillar Shrine A 12 Maha Chetsadabodin Royal Pavilion D Lak Mueang Rd. Maha Chetsadabodin Park, A 6.30am-6.30pm Ratchadamnoen Klang Rd. T 02 222 9876 9.00am-8.00pm A bangkokcitypillarshrine.com 02 224 8807 / 02 224 4599 27

พระที่นง่ั สนั ติชยั ปราการ A13 หน้าบนั ประดบั ตราสญั ลักษณง์ าน ในปี ๒๕๔๒ ได้มกี ารปรบั ปรงุ ภูมิ เฉลมิ พระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ ทัศนโ์ ดยรอบป้อมพระสุเมรุ เพ่ือใหเ้ ปน็ ของรชั กาลท่ี ๙ มีเสาทะลผุ า่ น สวนสาธารณะขนาดย่อมและครั้งนน้ั เอง ชายคาปีกนก ข้ึนไปรับมุขประเจิด ไดม้ กี ารสร้างพระท่นี ัง่ สันตชิ ยั ปราการ มขุ ประเจิด คือหนา้ บันทที่ ำ�ย่นื ลอย ขึ้นมาสำ�หรับใช้ในงานพระราชพธิ ี ออกมาจากหลังคาซ้อนช้นั พยหุ ยาตราทางชลมารค ในวโรกาสเฉลมิ พระชนมพรรษาครบ ๖ รอบของรัชกาล ที่ ๙ ดว้ ย Santi Chai Prakan Royal Pavilion: In 1999, the area around Sumen Fort was renovated to create a public park and to build a royal pavilion for the Royal Barge Procession on the occasion of His Majesty King Bhumibol Adulyadej’s 72nd or 6th cycle birthday anniversary. เรื่องเล่าชาวเกาะ มุขประเจิด ศาลาการเปรียญ วดั ใหญ่สวุ รรณาราม จังหวดั เพชรบุรี (เดมิ คือต�ำ หนักหรือทอ้ งพระโรงฝา่ ยใน ในพระราชวัง หลวงของกรงุ ศรอี ยธุ ยา) และพระวิหารหลวง วัดมหาธาตุ จังหวดั นครศรธี รรมราช ทงั้ สองแห่งตา่ งสรา้ งขนึ้ ในสมยั อยธุ ยาตอนปลาย และมี มขุ ประเจิดด้วยกันทง้ั คู่ D A 13 Santi Chai Prakan Royal Pavilion วดั ใหญ่สวุ รรณาราม วัดมหาธาตุ A Santi Chai Prakan Park, Phra Athit Rd. จงั หวัดเพชรบุรี จงั หวัดนครศรธี รรมราช T 5.00am-9.00pm A 28

งานดี ไม่ทันเวลา คุณค่าไม่มี Fibo4me พลอากาศตรี อาวธุ เงนิ ชกู ล่นิ พระเมรุเจ้าฟ้าเพชรรตั นราชสดุ าฯ ณ ทอ้ งสนามหลวง สถาปนกิ ไทยผู้เช่ยี วชาญดา้ นสถาปตั ยกรรมไทย จาก ผลงานชิ้นสุดทา้ ยของอาวธุ เงนิ ชกู ล่นิ กรมศิลปากร และศลิ ปินแหง่ ชาติ สาขาศิลปสถาปัตยกรรม (สถาปัตยกรรมไทย) ในปี ๒๕๔๑ อาจารย์อาวธุ ยงั เป็นผ้อู อกแบบพระ เมรุอกี ถงึ ๓ องค์ คอื พระเมรสุ มเด็จ จบการศกึ ษาสาขาสถาปตั ยกรรมไทย จากมหาวทิ ยาลยั พระศรีนครนิ ทราบรมราชชนนี สมเดจ็ ศิลปากร จากนนั้ เข้ารบั ราชการเปน็ สถาปนกิ ประจ�ำ กองทพั ย่า (๒๕๓๙), กรมหลวงนราธิวาสราช อากาศ จนไดย้ ศเรอื อากาศเอก แต่อาชีพทหารคงไมใ่ ช่ทาง นครินทร์ (๒๕๕๑) และ เจ้าฟา้ เพชร จงึ โอนมารับตำ�แหนง่ นายช่างศลิ ปกรรม ประจ�ำ กองหัตถศลิ ป์ รตั นราชสดุ าฯ (๒๕๕๕) กรมศลิ ปากร กอ่ นจะไดเ้ ลื่อนเปน็ หวั หน้าฝา่ ยบรู ณปฏิสังขรณ์ กองสถาปตั ยกรรมไทย ในอกี ๓ ปตี อ่ มา ส่วนงานบูรณะปฏิสังขรณก์ ็มี บรู ณะ วัดพระแกว้ พระปฐมเจดีย์ เป็นอาทิ ผลงานดี การงานเจริญก้าวหน้า จนได้เปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญด้าน แถมยงั เปน็ ผู้ออกแบบวัดพระรามเก้า บูรณปฏิสงั ขรณ์และสถาปตั ยกรรมไทย และรั้งต�ำ แหนง่ อธบิ ดี กาญจนาภเิ ษก อีกดว้ ย กรมศลิ ปากรในท่สี ดุ เมอ่ื ปี ๒๕๔๕ ทา่ นอาวุธเสียชีวิตลงเมอ่ื ปี ๒๕๕๖ อาจารย์อาวุธมผี ลงานออกแบบแนวไทยประเพณีท่ีโดดเด่น ทงิ้ ผลงานให้เราเชยชมไวม้ ากมาย มากมาย ท่ีมีกล่าวถึงในเล่มน้กี ็มี ศาลหลักเมอื ง (๒๕๒๓) A11, พระทน่ี ่งั พลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ (๒๕๓๒) A12, พระทนี่ ั่ง สันตชิ ยั ปราการ (๒๕๔๒) A13 และงานบรู ณะมณฑปโลหะ ปราสาท วัดราชนดั ดา ใหเ้ ปน็ ยอดทองแดงรมดำ� (๒๕๓๙) B06 29

ท้้องพระโรงแบบไทย วัังเจ้้านายใช่่จะเว่่อร์์วััง Thai-style Royal Audience Halls หลงั จากไดเ้ ยย่ี มยลความวบิ วับอลงั การ สมกบั ที่ไดช้ อ่ื ว่าเปน็ พระราชวังอยา่ งวงั หลวงของ พระมหากษตั ริย์ และวังหนา้ ของพระมหาอปุ ราช กนั มาแลว้ ในเกาะรัตนโกสนิ ทรท์ ่คี ณุ ยืนอยนู่ ้ีก็ ยังมีวังเจา้ นายระดับรองๆ ลงมาให้ไดเ้ ย่ยี มชมอกี ด้วยกันถงึ ๓ หลงั ว่าแต่ว่า...วงั เจา้ นายจะเวอ่ ร์วงั แคไ่ หน? มรี ปู แบบเหมือนหรือตา่ งกันอยา่ งไรบ้าง? เราลอง ไปดกู นั ทอ้ งพระโรงของเจ้านายระดับพระองคเ์ จา้ (โอรสของพระมหากษัตรยิ ์อนั ประสูตแิ ตเ่ จา้ จอม มารดาสามัญชน) เปน็ เรือนเครื่องไม้รปู แบบเรียบงา่ ยตรงไปตรงมาอยา่ งเรือนไทยที่เราคุ้นตา ตัว เรอื นทาสดี ินแดง หนั ดา้ นแปหรอื ดา้ นยาวออกหนา้ วงั ยกพืน้ สงู ขน้ึ มาเลก็ น้อย ท�ำ ใหม้ ีบันไดใหญ่ ทอดขนึ้ เรือนท่ีดา้ นนี้ หลังคาเปน็ หนา้ จัว่ ช้ันเดยี ว ไมม่ ีลดชัน้ มุงดว้ ยกระเบ้ืองดินเผาไมเ่ คลอื บ (กระเบอื้ งเกลด็ เต่า) และมีชายคาปกี นกโดยรอบ หนา้ บนั ท้ังผืนเปน็ ลายลูกฟกั ไมอ่ าจลงรกั ปิดทองหรือประดบั กระจกวิบวบั อยา่ งในวงั หลวง หรอื วังหนา้ ได้ จึงเป็นท้องพระโรงท่สี ดุ แสนสมถะ ไมไ่ ด้เวอ่ ร์วงั ด่งั วังเจ้านายเลยแม้แตน่ ้อย Thai-style royal audience halls were not all extravagant. For lower-tier royal members, their audience halls were simple-looking wooden structures on stilts, painted with rouge. They looked similar to traditional Thai houses with gable roofs covered with terracotta tiles. The palaces looked very ordinary, far from being extravagant. ต�ำหนกั แดง A14 ถา้ เป็นสมยั นี้ต้องเรยี กต�ำ หนกั ติดลอ้ เพราะย้ายทตี่ ง้ั มาแล้วถึง ๓ ครง้ั ดว้ ยกัน เดมิ ทีต�ำ หนกั แดง ปลูกอยู่ภายในเขตพระราชฐานชนั้ ในของ พระบรมมหาราชวงั เพอื่ เปน็ ตำ�หนกั ของสมเด็จพระศรสี ุรเิ ยนทรา บรมราชินี ในรชั กาลที่ ๒ ต่อมาในสมยั รชั กาลท่ี ๓ ไดย้ า้ ยไปปลูก ท่พี ระราชวังเดิม (ของพระเจา้ ตาก ฝง่ั ธนบรุ ี ภายในกองบัญชาการ ทหารเรอื ข้างวัดอรุณฯ ในปจั จุบนั ) เพ่อื เปน็ ที่ประทับของเจ้าฟ้า The Red Residence was built in King จุฑามณี (พระราชโอรสของพระศรีสรุ ิเยนฯ เจา้ ของตำ�หนักเดิม) Rama II’s era as his Queen’s residence. คร้นั เมอื่ เจ้าฟา้ จฑุ ามณีไดส้ ถาปนาเป็นพระบาทสมเด็จพระปน่ิ เกล้า Formerly, it was located inside the Grand Palace, before being moved to the วังหน้าในสมัยรัชกาลที่ ๔ จึงได้ชะลอตำ�หนกั แดงหลังนี้ มาปลูก National Museum Bangkok in the reign of ไว้ท่พี ระราชวงั บวรสถานมงคลด้วย ซ่งึ ปจั จบุ นั ก็คือพน้ื ทข่ี อง King Pinklao, the second king in the reign พพิ ิธภัณฑสถานแหง่ ชาตพิ ระนคร นัน่ เอง of King Rama IV. ต�ำ หนกั แดงจงึ นบั เปน็ สถาปัตยกรรมแหง่ หนึ่งทแี่ สดงให้เหน็ ถงึ รูป 30 แบบของท้องพระโรงเจ้านายในสมัยต้นรตั นโกสนิ ทรไ์ ด้เปน็ อย่างดี

The Audience Hall at Tha Phra Palace ทอ้ งพระโรงวังท่าพระ A15 was built in the reign of King Rama II. It was used by Prince Chetsadabodin (later ทอ้ งพระโรงวังทา่ พระ สรา้ งข้นึ ในสมยั รัชกาลที่ ๒ เพ่ือเปน็ ท่ี King Rama III) to perform royal duties, and ว่าราชการของกรมหม่ืนเจษฎาบดนิ ทร์ (พระยศของรชั กาลที่ ๓ later became the audience hall of Prince ก่อนขนึ้ ครองราชย)์ ซงึ่ ประทับอยู่ ณ วงั ท่าพระน้ี (กรมหมื่น Naris, who was an expert on Thai art เจษฎาบดินทร์ เป็นพระราชขโอรสของรชั กาลที่ ๒ กบั เจา้ จอม and architecture. Today, it is home to the มารดาเรยี ม มีพระนามเดมิ พระองค์เจา้ ชายทับ) Silpakorn University Art Gallery. หลังจากนน้ั จึงมีเจ้านายระดับพระองคเ์ จา้ เข้าครองอีกหลาย พระองค์ จนถึงรชั กาลที่ ๕ พระองค์เจ้าจิตรเจริญ หรือกรม พระยานริศรานุวัดติวงศ์ เสดจ็ มาครอง ได้มีการต่อเติมตกึ ฝรั่ง เป็นทป่ี ระทับอยทู่ างด้านหลังอีก ๒ หลงั คอื ตำ�หนกั กลาง และ ตำ�หนักพรรณราย สว่ นตัวทอ้ งพระโรงเอง กม็ ีการปรบั ปรงุ ใหร้ ว่ มสมัยขน้ึ ดว้ ย ผนงั ก่ออฐิ ถอื ปนู และติดต้งั ลกู กรงเหล็กหลอ่ จากเมอื งฝรั่งที่ กำ�แพงแกว้ ปัจจบุ นั ท้องพระโรงวงั ทา่ พระ คือ หอศลิ ปข์ องมหาวิทยาลยั ศิลปากร วังท่าพระ นนั่ เอง ผศ.ดร.กรร ิณกา ์ร ุส ีธ ัรตนาภิรมย์ ทอ้ งพระโรงวังบ้านหม้อ A16 The Audience Hall at Ban Mo Palace ทอ้ งพระโรงวังบา้ นหม้อ สรา้ งขนึ้ ในสมยั รชั กาลท่ี ๓ ย่าน was built in King Rama III’s era and was ชุมชนบ้านหม้อ ริมคลองตลาดหรอื คลองคเู มืองเดมิ the residence of Prince Kunjara, King Rama III’s son. It was used for royal เพ่อื เป็นทปี่ ระทับของพระองค์เจา้ กญุ ชร กรมพระพิทักษ์ duties and khon practice. At present, it is เทเวศน์ (โอรสของรชั กาลที่ ๓ กบั เจ้าจอมมารดาศิลา) ในอดีต maintained by the Kunjara family and is not ใช้เป็นทีอ่ อกวา่ ราชการ และเป็นที่ซอ้ มโขนละคร open to the public. ปัจจุบนั วังบา้ นหม้ออยู่ในความดูแลของราชสกลุ กุญชร และ ไมไ่ ด้เปดิ ใหเ้ ขา้ ชม แตเ่ รายังอาจพอจะชะเงอ้ ชะแง้ดูทอ้ งพระ โรงได้จากภายนอก เพียงเข้าซอยเจ้าคุณเทเวศร์ (ท่อี ยู่ข้างวงั ) ไปสกั ๒๐๐ เมตร จะเหน็ ประตวู ังบา้ นหม้ออยูท่ างขวา (แตเ่ ดมิ ทอ้ งพระโรงจะเข้าจากทางด้านน้ีเป็นหลัก) ภาพของหลังคาที่มงุ ด้วยกระเบือ้ งดินเผา และประดบั ดว้ ย ช่อฟา้ ท่ีหวั ทา้ ย ต้ังตระหง่านอยู่เบอื้ งหลังประตู ก็คือ ท้องพระโรง วงั บา้ นหม้อนีเ้ อง A 14 The Red Residence A 15 The Audience Hall at Tha Phra Palace A 16 The Audience Hall at D National Museum Bangkok, Na Phra That Rd. Silpakorn University, Na Phra Lan Rd. Ban Mo Palace A 9.00am-4.00pm Wed-Sun except public holidays 02 623 6115-22 T 02 224 1370 www.su.ac.th/th/wangthapra.php 128 Atsadang Rd. A www.virtualmuseum.finearts.go.th/bangkoknationalmuseums Not Open to the Public nationalmuseumbangkok 31

ท้้องพระโรงวัังท้้ายวัดั พระเชตุพุ น A17 In 2006, the archeological excavation was undertaken in front of the Ministry of ในปี ๒๕๔๙ เมอื่ มีการขดุ คน้ โบราณคดี ท่ีด้านหน้าตึก Commerce building after the Ministry re- กระทรวงพาณิชย์เดิม C15 หลงั จากท่กี ระทรวงได้ยา้ ยทท่ี �ำ การ located to another place. The foundations ไปอยู่ทอี่ ืน่ แลว้ ไดค้ ้นพบฐานรากของท้องพระโรงวงั ท่ีสรา้ งข้นึ of the Audience Hall found led us to envi- มาตั้งสมัยรัชกาลที่ ๓ ท�ำ ใหส้ ามารถสนั นษิ ฐานรปู แบบของวงั sion the design of the palace in the early ได้วา่ 19th century. ทอ้ งพระโรงมลี กั ษณะเช่นท้องพระโรงของวังเจา้ นายชน้ั The Audience Hall, similar to other พระองคเ์ จ้า คอื เป็นเรือนไทยหนั ด้านยาวออกทางหนา้ วัง audience halls belonging to other sons หลงั คาช้ันเดยี วไม่มมี ขุ ลด มงุ หลังคาดว้ ยกระเบอื้ งดินเผาไม่ of the king, was a Thai-style pavilion, เคลอื บ ยกพื้นสงู มบี นั ไดก่ออฐิ ถอื ปนู สำ�หรบั ขึน้ ลงประมาณ with its long side facing the front. The ๓-๕ ขน้ั ใตถ้ นุ โลง่ ภายในทอ้ งพระโรงเป็นโถงยาวส�ำ หรบั ออก roof was made with unglazed, terracotta ว่าราชการ roof tiles and the pavilion was built on stilts. Its stairs were made of bricks and 32 mortar, about 3-5 steps in height. There was space under the building. Inside the Audience Hall, there was a long hall for state activities.

“หลมุ เสา” สนั นษิ ฐานได้วา่ ทอ้ งพระโรงหลงั นมี้ ี เสาไม้ เพอ่ื ใชร้ องรบั หลังคาหนา้ จั่วมุงกระเบอ้ื ง จากการศึกษาอาคารท้อง พระโรงของเจา้ นายชนั้ พระองค์เจ้าทีส่ รา้ งข้นึ ในสมยั รชั กาลที่ ๓ เช่น ท้องพระโรงวังบ้านหมอ้ และวังทา่ พระ ล้วนเปน็ อาคาร เครื่องไม้หลงั คาหน้าจัว่ มงุ กระเบอ้ื งด้วยกันทัง้ สน้ิ การขุดค้นทางโบราณคดียงั เจอแนวซงุ และอิฐที่ใช้เปน็ ฐานรากของบันไดทางเข้าทอ้ งพระโรงดว้ ย เป็นบันไดก่ออฐิ ถอื ปูน สงู ประมาณ ๓-๕ ขัน้ ตง้ั อยู่ทดี่ ้านยาวของทอ้ งพระโรง ซง่ึ เปน็ ดา้ นหน้าของวัง “คลองราก” (Strip footing) คือฐานรากท่ใี ชร้ องรับน้�ำ หนกั ผนัง มีลักษณะเปน็ ไม้ซงุ วางเรยี งต่อกันไป แนวของการวางซงุ ทำ�ใหท้ ราบถึงขอบเขตของตวั อาคาร เป็นหลักฐานสำ�คัญทช่ี ่วย อธิบายลกั ษณะทางกายภาพของท้องพระโรงให้ชัดเจนยง่ิ ขึ้น ชวนกันมาชม “มิวเซยี มใตด้ นิ ” ท่สี ถานี A 17 Underground Site Museum รถไฟฟ้าสนามไชย ทางออกท่ี ๑ ทแี่ สดง MRT Sanam Chai Station, Exit 1 หลกั ฐานทางโบราณคดีของพืน้ ท่ีตรงนี้ ด้วย 6.00am-12.00pm การจำ�ลองหลุมขุดคน้ โบราณคดแี สดง ฐานรากของวงั เก่า At MRT Sanam Chai Station Exit 1, you can explore an underground site museum which brings you archeo- logical evidence from this very area. We have created an archeological excavation to show you the foundations of a former palace. D A T A 33

รั้วรอบขอบเมือง Fortifications of Bangkok ในการสรา้ งราชธานีแหง่ ใหม่ไมอ่ าจขาดส่งิ ก่อสรา้ งอันม่ันคงแข็งแรงสำ�หรับเป็น ปราการปอ้ งกันพระนครได้ ดังนน้ั เม่ือคราวสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ข้ึนในปี ๒๓๒๕ ก�ำ แพงพระนคร ป้อมปราการ และหอรบ จึงถือเปน็ ส่ิงก่อสร้างสำ�คญั พนื้ ฐานทีข่ าดไมไ่ ด้ สำ�หรบั ราชอาณาจกั รในสมัยโบราณ When Bangkok was first established as the capital city, it needed strong struc- tures to protect its safety. Therefore, city walls and forts were constructed. เมอ่ื คราวสถาปนากรงุ เทพฯ เป็นราชธานี ในสมยั รัชกาลที่ ๑ มี Phra Sumen Fort การสรา้ งปอ้ มปราการตามแนวกำ�แพงพระนครจำ�นวนทง้ั สิน้ ๑๔ ป้อม พรปะอ้ สมุเมรุ เพือ่ ใชร้ กั ษาพระนคร ตามยุทธวิธีการรบแบบโบราณ กC�ำitแyพWงเaมมllอื หปงาอ้ กมาฬ แตใ่ นปจั จบุ นั เหลือใหเ้ หน็ อยู่เพยี ง ๒ ป้อม คอื ปอ้ มพระสเุ มรุ และ Mahakan fort ปอ้ มมหากาฬ เทา่ นั้น ปอ้ มแปดเหลยี่ ม ๓ ชน้ั ป้อมพระสุเมรุ A18 รปู ถ่ายป้อมพระสุเมรรุ าวปลายรัชกาลท่ี ๕ สงู ๑๙ เมตร ช้ันนอกสดุ คร้ังหนึง่ หอรบไดเ้ คยพงั ทลายไป จึงได้รูปถา่ ย มใี บเสมาเปน็ เหล่ยี ม ป้อมพระสเุ มรุเปน็ ป้อมใหญ่อยู่หัว เก่าเป็นหลกั ฐานชน้ิ สำ�คัญทช่ี ว่ ยในการบูรณะ ชน้ั ทีส่ อง มีใบเสมายอดแหลม มมุ ก�ำ แพงเมอื งดา้ นทิศเหนอื ริมแมน่ ำ้� ซ่อมแซมป้อมให้กลับคนื สสู่ ภาพเดิม แบบเดยี วกับเสมากำ�แพงเมอื ง เจ้าพระยา ตรงปากคลองบางลำ�พู ซงึ่ ภายในมีห้องเกบ็ อาวุธและดินปืน ถอื เป็นชยั ภูมิอยา่ งดใี นการป้องกนั ขา้ ศกึ ชนั้ ในสดุ เปน็ หอรบมหี ลังคา แบบป้อมเพชรของกรงุ ศรีอยุธยา แตท่ ว่า ปอ้ มนี้ไมเ่ คยได้ใชง้ านตามวตั ถปุ ระสงค์ ของการก่อสรา้ งเลย แมแ้ ต่ป้อมมหากาฬ เองก็เชน่ กนั นอกจากน้แี ล้วชือ่ ปอ้ มพระสุเมรุ ยัง ถกู นำ�ไปต้ังเปน็ ชื่อถนนในยา่ นน้ดี ้วย โดย ถนนดงั กล่าวเลยี บไปตามกำ�แพงเมอื ง ดา้ นทิศเหนือของพระนคร Phra Sumen Fort was constructed in King Rama I’s era at the mouth of Bang Lamphu Canal (the city moat), on a strate- gic location vital to safeguarding the city. It is one of the two remaining forts today. 34

ป้อมมหากาฬ A19 ปอ้ มปราการรปู ทรงแปดเหลี่ยมมีทั้งหมด ๓ ช้นั ช้นั ในสุดเป็นหอรบมหี ลังคา สูง ๑๕ เมตร ใบ สรา้ งข้ึนคราวสถาปนากรุงเทพฯ ในรัชกาลท่ี ๑ เชน่ เดยี ว เสมาเหลี่ยม ตา่ งจากเสมาของก�ำ แพงเมือง กับปอ้ มพระสุเมรุ และไมเ่ คยไดใ้ ชง้ านในการป้องกันขา้ ศกึ เชน่ ท่ีพาดผา่ นป้อมซ่งึ มลี กั ษณะเป็นยอดแหลม เดียวกนั ป้อมมหากาฬเป็นป้อมใหญต่ งั้ อยู่ทางทิศตะวันออกของ พระนคร รมิ คลองคเู มืองเช่ือมต่อไปยงั คลองมหานาค เชิง สะพานผา่ นฟ้าลีลาศ เปน็ ๑ ใน ๒ ป้อม (จากทง้ั หมด ๑๔ ปอ้ มทีส่ ร้าง) ทย่ี ังคงเหลอื ให้เหน็ อยใู่ นปจั จุบนั Mahakan Fort was constructed in King Rama I’s era to protect the city from enemies. It is located by a moat on the eastern side of the city. It is one of the two remaining forts today. ก�ำแพงเมือง A20 ประตูเมอื งพระนคร แรกสร้างเป็นประตไู ม้ ทาดินแดง กำ�แพงพระนครที่หนา้ วดั บวรนเิ วศ เป็นสว่ นหน่งึ ของแนว กำ�แพงเมืองทสี่ ร้างข้ึนล้อมรอบกรุง ตงั้ แตส่ มัยรชั กาลท่ี ๑ เป็น ตอ่ มากอ่ อฐิ ตอ่ เตมิ ดา้ นบนเปน็ หอรบใน ก�ำ แพงหนา ๑.๘๐ เมตร สงู ๖ เมตร มใี บเสมายอดแหลม ตา่ ง สมัยรัชกาลที่ ๓ จากใบเสมาเหลยี่ มของตวั ป้อม ครนั้ มาถึงรัชกาลท่ี ๕ ได้รือ้ แล้วสร้าง ใหม่เปน็ ประตูยอด และก่ออิฐถอื ปนู แทน The City Wall in front of Bowon Niwet Temple is part of the Old ประตูเมืองกรุงเทพ มีทง้ั สน้ิ ๖๓ City Wall built in the reign of King Rama I. ประตู เปน็ ประตูใหญ่อยา่ งประตูทีห่ น้า วัดบวรนี้ ๑๖ ประตู และเป็นประตูเล็ก เรื่องเล่าชาวเกาะ อย่างประตชู อ่ งกดุ ตรงกำ�แพงเมอื งข้าง ลาวสร้างป้อม ป้อมมหากาฬทงั้ ส้ิน ๔๗ ประตดู ้วยกัน ทบี่ อกว่ากรุงเทพฯ เมืองเทพสรา้ งนน้ั ความจริงแล้วหา ใชฝ่ มี ือเทพท่ีไหน แต่เป็นฝีมือขัน้ เทพของชา่ งหลวงช่าง สบิ หมตู่ า่ งหาก ทีฝ่ ากผลงานเอาไว้ ส่วนการสรา้ งป้อม เลยทเี ดยี ว และกำ�แพงพระนครนัน้ ไดม้ ีการเกณฑช์ าวลาวจากเมือง Bangkok City Gate was formerly made of wood. In the reign of King Rama V, it เวยี งจนั ทน์ และหวั เมืองริมแมน่ ำ�้ โขงมาเปน็ แรงงานขุด was torn down and reconstructed using ฐานรากสร้างป้อม กอ่ ก�ำ แพงรอบพระนคร brick and mortar, with a spire at the top. โดยเม่ือก่อสร้างแล้วเสรจ็ ชาวลาวเหลา่ น้ีกห็ าไดก้ ลบั ถิ่นฐานของตนเองไม่ หากแตต่ า่ งคนตา่ งลงหลกั ปกั ฐานอยู่ ในบางกอกสืบลกู หลานเปน็ คนพระนครตอ่ ๆ กนั มา A 18 Phra Sumen Fort A 19 Mahakan Fort A 20 City wall D Santi Chai Prakan Park, Maha Chai Rd. Phra Sumen Rd. A ใครเลยจะรู้วา่ ...คณุ อาจมีบรรพบุรุษเป็นพวก Phra Athit Rd. T ลาวสร้างป้อมเหลา่ นีก้ ็เป็นได้ 5.00am-9.00pm A 35

แผนทป่ี ี ๒๔๓๐ (กลางรัชกาลที่ ๕) หอกลอง A21 แสดงต�ำ แหนง่ หอกลอง ท่หี นา้ วดั โพธิ์ หอกลองดัง้ เดิม สร้างขน้ึ ในสมยั เรื่องเล่าชาวเกาะ รัชกาลที่ ๑ บนพ้ืนทป่ี ่าช้าวดั โพธิ์ แตเ่ ดมิ นั้นสรา้ งเปน็ อาคารไม้ ๓ ชัน้ ทาดนิ แดง ในแตล่ ะช้ันจะมีกลองส�ำ คญั เพ่ือใชต้ ีแจ้งสญั ญาณแตกตา่ งกันไปดงั นี้ ไม่มฝี า พอถงึ สมัยรชั กาลที่ ๕ โปรดฯ ให้ • กลองย่�ำ พระสุรยิ ศ์ รี อย่ชู ้นั ล่าง ใช้ส�ำ หรบั บอกเวลา รื้อลง เน่อื งจากไมม่ คี วามจำ�เป็นอีกตอ่ ไป • กลองอัคคีพินาศ อยู่ชน้ั สอง ใช้ส�ำ หรับแจง้ ไฟไหม้ อกี ทง้ั จะใช้พ้ืนท่ีเพ่อื สร้างพระราชอุทยาน • กลองพิฆาตไพรี อย่ชู ัน้ สาม ใชส้ ำ�หรบั ตีบอกสญั ญาณเวลาข้าศึกยกทพั สวนเจา้ เชตุ (กรมการรกั ษาดินแดนใน ประชดิ พระนคร ซึง่ กลองพฆิ าตไพรีน้ี หนา้ กลองยงั คงใหม่ ไม่มสี ึกลงไป ปจั จุบนั ) นน่ั เอง เลย เหตเุ พราะไม่เคยได้ใช้งานนน่ั เอง (เชน่ เดียวกับป้อมปราการ ที่ไมเ่ คย ใช้ป้องกนั ขา้ ศึกเลยเชน่ กนั ) หอกลองทเี่ ราเหน็ ในปจั จบุ ัน ซึง่ ต้งั อยู่ริมถนน หนา้ กรมการรักษาดินแดน หากใครอยากรู้วา่ หนา้ กลองทง้ั สามใบจะเกา่ ใหม่แค่ไหน ลองไปพิสจู น์ ตรงข้ามวัดโพธนิ์ ้ี จำ�ลองขึน้ มาใหม่ใน ดูได้ด้วยตาตนเอง ท่พี พิ ิธภณั ฑสถานแห่งชาติ พระนคร (วังหนา้ เดิม) มี วาระสมโภชกรงุ รตั นโกสนิ ทรค์ รบ ๒๐๐ ปี กลองทงั้ สามใบจัดแสดงอยู่ ในปี ๒๕๒๕ Drum Tower was originally built as a 3-story wooden tower in the reign of King Rama I, used to tell the time as well as to alert the public in case of fire or war. It was later demolished. The new one was built to emulate the original one on the occasion of the Bangkok Bicentennial Celebration in 1982. ขบวนเสด็จถวายผ้าพระกฐนิ ของรชั กาล เกย A22 ท่ี ๔ หยดุ นง่ิ ชว่ั ขณะ เพือ่ ให้จอหน์ ทอม สัน ชกั ภาพนี้ท่หี น้าวดั โพธ์ิ หากสังเกตดู เกย คอื แทน่ ส�ำ หรับเทียบพระราชยาน ให้ดจี ะพบว่ามีเกยตง้ั อยู่ เพอื่ ใชส้ ำ�หรับ เพอ่ื ใชส้ �ำ หรับข้นึ -ลงพาหนะ ขน้ึ -ลง เสลย่ี งพระที่นัง่ น่นั เอง เกยที่ต้ังอยู่หน้าวัดโพธน์ิ ้ี สรา้ งขึ้น A 22 Mounting platform มาใหม่ในตำ�แหนง่ เดมิ หลงั จากท่มี กี าร In front of Wat Pho, ทุบทง้ิ ไปด้วยเหตุผลง่ายๆ ท่ีว่าเกะกะ Sanam Chai Rd. ทางเท้าสาธารณะ Mounting platform is a platform used for mounting into and out of royal vehicles. D A 21 Drum Tower A In front of Wat Pho, T Sanam Chai Rd. A 36

A01 พระทนี่ ่ังอมรินทรวนิ ิจฉยั มไหสูรยพิมาน A02 พระทีน่ งั่ สนามจนั ทร์ A03 พระทน่ี ั่งดสุ ิตมหาปราสาท A04 พระทน่ี ง่ั อาภรณพ์ โิ มกข์ปราสาท A05 พระทนี่ งั่ สทุ ไธศวรรยป์ ราสาท A06 พระทนี่ ง่ั พุทไธสวรรย์ A07 พระทน่ี ั่งอศิ ราวินิจฉัย A08 พระท่นี ง่ั ศวิ โมกขพิมาน A09 ศาลาส�ำ ราญมขุ มาตย์ A10 ศาลาลงสรง A11 ศาลหลักเมืองกรงุ เทพ A12 พระทน่ี ั่งลานพลบั พลามหาเจษฎาบดินทร์ A13 พระทน่ี งั่ สันตชิ ัยปราการ A14 ตำ�หนักแดง A15 ท้องพระโรงวังทา่ พระ A16 ทอ้ งพระโรงวังบา้ นหมอ้ A17 ทอ้ งพระโรงวังทา้ ยวัดพระเชตพุ นฯ A18 ปอ้ มพระสุเมรุ A19 ป้อมมหากาฬ A20 กำ�แพงเมือง ประตูพระนคร A21 หอกลอง A22 เกย

วัดเก่าก่อนต้ังกรุง Former Temples before Bangkok’s Foundation เมืองบางกอกมมี าต้ังแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยธุ ยาเป็นราชธานแี ล้ว ใช่วา่ เพ่ิงจะต้งั ขน้ึ มา คราวสถาปนากรงุ รัตนโกสนิ ทร์ เม่อื ปี ๒๓๒๕ เทา่ นัน้ แต่ในคร้งั ก่อน บางกอกยงั เปน็ แค่เพยี งเมืองหนา้ ดา่ นคอยตรวจตราส�ำ เภาทง้ั หลายกอ่ นแลน่ ขึน้ ไปคา้ ขายยังกรงุ ศรี ภายในเกาะรัตนโกสินทรจ์ ึงมีวัดวาอารามเกา่ แก่ท่ีสรา้ งขน้ึ มาตัง้ แต่สมัยอยธุ ยา โดยมี อยู่ด้วยกนั ๔ วดั ไลไ่ ปตามแม่น้ำ�จากเหนือลงใตไ้ ด้ ดังน้ี Before King Rama I established Bangkok as the capital city in 1782, Bangkok was only a small port town, a checkpoint for merchant ships before entering Ayutthaya city. Therefore, in old Bangkok, there were four ancient temples which had been built since the Ayutthaya Era. วดั กลางนา ชือ่ เดมิ สมัยอยุธยา ชื่อใหม่คราวสถาปนากรงุ เทพฯ วัดสลกั วัดกลางนา วัดชนะสงคราม (วัดตองปุ) วัดโพธาราม วดั มอญสุดถนนข้าวสารกลางย่านทวั รสิ ต์ วดั เลยี บ วดั สลัก วดั มหาธาตุ วดั เก่าแกก่ ลางย่านแผงพระท่าพระจันทร์ วดั โพธาราม วดั พระเชตพุ น (วดั โพธ)์ิ วดั พระนอนองค์ใหญท่ ้ายพระบรมมหาราชวัง อลงั สุดในย่านทา่ เตียน วดั เลียบ วดั ราชบรู ณะ วัดเกา่ แก่เชงิ สะพานพทุ ธ ทเ่ี ห็นอยใู่ นปัจจบุ นั คอื สร้างขึ้นใหม่เพราะโดนระเบดิ ลงจนหาย เรียบไปท้ังวัด ตอนสงครามโลกครั้งที่สอง 38

ศาลาการเปรยี ญวัดโพธ์ิ B01 วัดพระเชตุพนฯ เปน็ วดั โบราณที่สร้างข้นึ ราว ๓๐๐ กวา่ ปี มาแล้ว ตั้งแต่สมัยอยธุ ยา ในรัชกาลสมเดจ็ พระเพทราชา เดิม ช่อื วดั โพธาราม เรยี กติดปากกนั ว่า “วัดโพธ์ิ” แตก่ อ่ นพระอโุ บสถหลงั ด้ังเดมิ ของวัดโพธ์ิ ตั้งอยทู่ ่หี ัวมุม ก�ำ แพงวดั ดา้ นใตใ้ นปัจจุบัน กระทั่งเมื่อรัชกาลที่ ๑ สร้างพระอโุ บสถขึ้นใหม่ทางทศิ เหนือ โบสถ์หลงั เก่าจึงเปลี่ยนมาเปน็ ศาลาการเปรยี ญแทน ไหนมาลองดกู นั สิวา่ ...พระอโุ บสถหลงั เก่านห้ี ันหน้าไปทาง ทศิ ไหน?!! ศาลาการเปรียญ พระอุโบสถ ใชแ่ ล้ว! ทิศตะวนั ตก... เพราะพระประธานหันหนา้ ส่แู มน่ ำ้� บุษบกธรรมาสนเ์ คร่อื งยอดทรงปราสาท แสดงวา่ สมยั อยุธยาน้นั ผ้คู นจะพายเรอื พากนั มาเข้าวัดจากทาง ภายในศาลาการเปรียญวดั โพธ์ิ น�้ำ เป็นหลัก ที่สร้างขน้ึ ในสมยั รัตนโกสนิ ทร์ตอนต้น ในขณะทพ่ี ระอุโบสถหลงั ใหม่หันไปทางทิศตะวันออก หรือ หนั หลังให้กบั แมน่ ำ�้ เพราะหน้าวดั เปลี่ยนไปอยูท่ างด้านถนน สนามไชยแทนน่นั เอง จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระอุโบสถหลงั เก่าน้ี มกี าร บรู ณะทำ�ให้เปล่ยี นแปลงไปจนไม่เหลือลกั ษณะทางสถาปตั ย- กรรมของอยุธยาให้เห็นอีกเลย Sermon Hall of Wat Pho faces the river on the west. It was formerly an ordination hall in the Ayutthaya Era. Later, King Rama I built a new ordination hall on the northern side, facing the east. Inside, there is an exquisite pulpit. B 01 Sermon Hall of Wat Pho D 2 Sanam Chai Rd. A 8.00am-6.30pm T 02 226 0335 A www.watpho.com watphonews 39

วัดใหม่คร้ังตั้งกรุง New Temples when Bangkok was Founded วัดพระแกว้ วงั หลวง B02 วดั พระศรรี ัตนศาสดารามหรอื วัดพระแก้ว เปน็ พระอโุ บสถ วัดประจ�ำ วังหลวงทีอ่ ยู่คู่กบั พระบรมมหาราชวังของ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ เชน่ เดียวกับวัดพระศรีสรรเพชญ์ พระอโุ บสถถอื เปน็ ไฮไลทส์ �ำ คัญของวัดพระศรี ในพระราชวังหลวงกรงุ ศรีอยธุ ยา รัตนศาสดาราม เพราะเป็นท่ปี ระดษิ ฐานพระแกว้ มรกต พระคู่บา้ นคเู่ มอื งของกรงุ เทพฯ ท่ไี ดอ้ ญั เชญิ วัดพระแก้วน้ันสร้างข้ึนคราวสถาปนากรุงเทพฯ มาจากเมอื งเวยี งจนั ทน์ เม่อื คราวไปตอี าณาจกั รล้าน เป็นราชธานี และมกี ารก่อสรา้ งต่อเติมเรอื่ ยมา นน่ั ช้างไดใ้ นสมยั กรงุ ธนบรุ ี (ส่วนพระราชวังบวรสถาน สะทอ้ นใหเ้ ห็นวา่ วดั แหง่ น้ีไดร้ ับการอุปถัมภอ์ ยา่ ง มงคล หรือวงั หนา้ ก็มีพระทนี่ ่ังพุทไธสวรรย์ สำ�หรับ ต่อเน่ืองโดยพระมหากษัตรยิ ์แห่งราชวงศ์จกั รี ถือว่า ประดิษฐานพระพุทธสหิ งิ ค์ ซงึ่ อญั เชญิ ลงมาคราวไป เปน็ อีกหนง่ึ ของความสุดยอดในงานสถาปตั ยกรรม ตเี มอื งเชยี งใหม่ในสมยั รชั กาลท่ี ๑) แบบไทยจารีตทไ่ี ม่อาจพลาดได้ The ubosot (ordination hall) houses a revered ภายในวดั มสี ่ิงกอ่ สร้างน้อยใหญ่กระจัดกระจาย Buddha image, the Emerald Buddha, brought to the city อย่มู ากมาย เรียกได้ว่าอดั แน่นเต็มพน้ื ที่ภายในพระ from Vientiane, Laos. ระเบยี ง จนคนรุ่นใหมอ่ าจจะรู้สึกระเกะระกะ...เยอะ สิ่ง! ไมต่ รงตามมาตรฐานความงามของศตวรรษนี้ แตใ่ นความเยอะนลี่ ่ะ...คือความงามตามจารตี ของไทย เป็นความอลังการงานสร้างท่ชี ่างหลวง ไดฝ้ ากฝมี ือไว้ทกุ กระเบยี ดของวดั หลวงแห่งกรุง รตั นโกสนิ ทร์ หลายๆ คนคงเคยได้มาเย่ยี มยลวัดพระแกว้ กัน แลว้ ตั้งแต่ครั้งมาทศั นศกึ ษากบั โรงเรยี น แต่มา คราวน้ีคณุ จะชมวดั พระแก้วได้อย่างทรงภูมมิ ากยิง่ ข้นึ ดว้ ยหนังสอื ค่มู อื เลม่ นี้ Wat Phra Kaeo is the epitome of traditional Thai Supanut Arunoprayote architecture, a Thai equivalent of the Baroque. It is situated on the ground of the Grand Palace. It was built when Bangkok was established as the capital city, and has been constantly maintained. D B 02 Wat Phra Kaeo พระพทุ ธสหิ งิ คป์ ระดิษฐาน พระแกว้ มรกตประดษิ ฐาน A The Grand Palace, Na Phra Lan Rd. ภายในพระท่นี ่งั พุทไธสวรรย์ ภายในวดั พระแกว้ วังหลวง T 8.30am-3.30pm วงั หนา้ A 02 623 5500 / 02 623 5499 www.royalgrandpalace.th 40

หลงั คาซอ้ นชัน้ ๓ ช้ัน มุงกระเบือ้ งดนิ เผาเคลอื บสีน�้ำ เงนิ ขอบสีเหลือง เชงิ สแี ดง หรอื ท่เี รยี กวา่ มงุ ลกั สี ๓ ชนั้ มีเครอ่ื งล�ำ ยอง ประกอบดว้ ย ช่อฟา้ ใบระกา นาคสะดุ้ง หางหงส์ ปดิ ทองประดบั กระจก ซึ่งท�ำ ไดเ้ ฉพาะ กับหลงั คาวัดและพระทีน่ ั่งในพระบรมมหาราชวังเท่านัน้ ส่วนครุฑยดุ นาคทปี่ ระดับอยู่ รายรอบฐานพระอโุ บสถ ซง่ึ ต่อมาไดก้ ลายเป็นเอกลกั ษณ์ อยา่ งหนง่ึ ของวดั พระแกว้ น้นั กม็ าจากความเชอ่ื เรอื่ งสัณฐาน หนา้ บันจ�ำ หลกั ไมร้ ูปพระนารายณ์ทรง จักรวาลในไตรภูมิท่เี ปรียบ ครฑุ ยุดนาค สญั ลกั ษณ์ท่ีแสดงว่า พระอโุ บสถดังเขาพระสุเมรุ เปน็ วัดท่ีกษตั ริย์สรา้ ง ศูนย์กลางของจกั รวาลทีม่ ีฝูง The gable features wooden carving ครฑุ เฝ้าอยบู่ ริเวณตีนเขาน่ันเอง of Narai on Garuda to symbolize Garuda images adorn that it was built by a monarch. the base of the ordination hall, symbolizing garudas guarding Mount Meru. ผนังและเสาด้านนอกพระอุโบสถประดบั ดว้ ย กระเบอ้ื งเคลอื บหลากลวดลายหลายสีสนั บ้าง กเ็ ปน็ กระเบอื้ งเคลอื บกังไสแบบจีน ลวดลาย ดอกไม้ และลายนก เชน่ ทีล่ กู ต้งั บันไดทางเขา้ พระอุโบสถ หรือทพี่ นักระเบยี งด้านนอก ซ่ึงส่งั ทำ�จากประเทศจนี โดยตรงในสมยั รัชกาลท่ี ๓ The walls and pillars are decked with porcelain tiles custom made in China. 41

ฐานไพที คือ ชานชาลายกพื้น พระศรรี ตั นเจดยี ์ พระมณฑป ปราสาทพระเทพบิดร สรา้ งข้ึนในสมัยรชั กาลท่ี ๔ ประกอบด้วย “พระพทุ ธ” “พระธรรม” “พระสงฆ์” ส่งิ กอ่ สรา้ งส�ำ คัญ ๓ หลัง คือ ปราสาท พระเทพบดิ ร พระมณฑป และพระศรี พระศรรี ัตนเจดีย์ เจดยี ท์ รงระฆงั อันเปน็ พระราชนยิ มในสมัย รตั นเจดยี ์ ลักษณะของยอดปรางค์ รชั กาลที่ ๔ แต่มาบุกระเบอื้ งโมเสกสที องในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ยอดปราสาท และยอดเจดีย์ ที่เรียงต่อ เม่อื คราวฉลองกรุงเทพฯ ครบ ๑๐๐ ปี ในปี ๒๔๒๕ กนั เปน็ แถวเป็นแนวแบบนี้ ได้กลายเปน็ โดยกระเบื้องโมเสกสที องนน้ั เป็นของนอกที่น�ำ เขา้ มาจากยุโรป ภาพจ�ำ ของวดั พระแกว้ ไปเสียแล้ว เจดยี ท์ รงระฆังแบบน้ี จะพบไดอ้ ีกทวี่ ดั บวรนเิ วศวหิ าร B07 และ วดั ราชประดิษฐ์ B09 เพราะต่างเป็นอารามทสี่ รา้ งขึ้นในสมัย รู้หรือไม่? สง่ิ ก่อสรา้ งทงั้ สามมี รชั กาลท่ี ๔ ทง้ั ส้ิน ความหมายทลี่ กึ ซ้งึ อย่างไรบ้าง? พระศรรี ตั นเจดีย์ คอื เจดีย์ทรงระฆงั ทบ่ี ุดว้ ยกระเบือ้ งโมเสกสที อง ภายใน บรรจพุ ระบรมสารีริกธาตุ ซงึ่ กค็ อื สัญลกั ษณ์แทน “พระพุทธ” พระมณฑป คือส่ิงกอ่ สรา้ งตรงกลาง มียอดปราสาท เปน็ ท่สี �ำ หรับไวต้ ู้ พระไตรปฎิ ก ซึ่งกค็ อื “พระธรรม” ปราสาทพระเทพบิดร คอื อาคาร จตุรมุขยอดปรางค์ ใช้เป็นท่สี ำ�หรบั บ�ำ เพญ็ พระราชกุศล น่ันทำ�ให้มี พระภิกษเุ ข้ามาทำ�พธิ ี จงึ หมายถงึ “พระสงฆ”์ เมื่อรวมกนั แลว้ จึงกลายเป็น “พระรตั นตรัย” นัน่ เอง ที่สำ�คัญคอื ยอดเจดีย์ ยอดปราสาท และยอดปรางค์ ท้งั สาม ยังมีความสูง คือ ๔๐ เมตร เท่ากันอกี ด้วย สื่อให้รู้ ว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ล้วนมี ความส�ำ คญั เทา่ เทยี มกนั In the reign of King Rama IV, a golden stupa, a scriptures hall, and the Royal Pantheon were built forming a single line. The three buildings are of the same height and are now the image of Wat Phra Kaeo. The golden stupa is decorated with gold mosaic tiles imported from Europe. 42

เร่ืองเล่าชาวเกาะ ยักษ์คู่ หรือจะสู้ ยักษ์โหล ยกั ษ์ทวารบาลตวั ใหญ่ที่ยนื เปน็ คู่ เฝา้ ประตูวัดพระแกว้ น้ี กลายเปน็ ภาพ จ�ำ ที่นำ�มาใชแ้ สดงความเป็นไทยอยูเ่ สมอ และมกั ปรากฎตัวเป็นพรเี ซ็นเตอร์ โฆษณาตามสอ่ื ต่างๆ ทเี่ ก่ยี วกับการทอ่ งเทย่ี วอยูเ่ ป็นประจ�ำ หากไดล้ องเดนิ นบั ดจู ะพบว่า ยกั ษ์ทวารบาลมีอยทู่ ง้ั ส้ิน ๖ คู่ รวม ๑๒ ตน แตล่ ะตนมสี หี น้า สีกาย และแต่งองค์ทรงเครอ่ื งดว้ ยสีทีต่ ่างกนั ออกไป ซึง่ ท้งั หมดตา่ งถอดแบบมาจากเครอ่ื งแต่งกายของการแสดงโขน มุมก�ำ แพงแก้วรอบฐานไพที ประดับ ทวารบาลยกั ษ์เหลา่ นี้ L A ด้วยพนมหมาก สร้างในสมยั รชั กาล ลว้ นตกแต่งดว้ ยกระเบือ้ ง K B ที่ ๔ ด้วยเป็นเครือ่ งบชู าพระรัตนตรัยที่ เคลือบ อันเป็นเทคนคิ พระองค์โปรดอยา่ งยิง่ แบบจนี ท�ำ ให้เราเดาไดไ้ ม่ J C ยากเลยวา่ สรา้ งข้นึ ในสมยั I D ส่วนสัตว์หมิ พานตบ์ นฐานไพทีบรเิ วณ รัชกาลที่ ๓ นน่ั เอง ด้านหนา้ และรอบๆ ของปราสาทพระเทพ H บดิ ร หลอ่ ขึน้ ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ จะเห็น ยกั ษ์เซเลบท่เี รารู้จกั กนั G ได้ว่าเหลา่ เทพและยักษ์ บ้างคร่งึ นก บา้ ง ดี นน่ั คือ “ทศกัณฐ”์ ที่ ครึง่ สิงห์ เหลา่ น้ี ล้วนสะท้อนให้เห็นถงึ มี ๑๐ หน้า กายสีเขยี ว FE แนวคดิ ทางจกั รวาลวทิ ยาในพุทธศาสนา ยืนคู่กบั “สหัสเดชะ” ผมู้ ี ทเ่ี ปรียบพระอารามเปน็ เขาพระสเุ มรุ กายสขี าว เฝา้ ประตูดา้ น แกนกลางของจกั รวาล มหี มู่สัตว์ใหญ่ ทิศตะวนั ตก เชงิ ฐานไพที น้อยในป่าหมิ พานตเ์ ฝา้ อยูท่ ีเ่ ชงิ เขา ด้านใต้ ส�ำ หรับยกั ษ์แบกท่ีฐานเจดยี ด์ า้ นหนา้ ...ไหนลองดูสวิ า่ ...หา ปราสาทพระเทพบดิ ร ตามคติทางพทุ ธ กนั เจอมยั้ ? นน้ั ถอื ว่า ยกั ษ์ เปน็ เทพารกั ษท์ ช่ี ่วยค�้ำ ชู พระศาสนาเช่นกัน A สรุ ิยาภพ B อินทรชิต C มงั กรกณั ฐ์ D วิรฬุ หก E ทศครี ธี ร F ทศคีรีวนั G จกั รวรรดิ H อัศกรรณมาลาสูร Himavanta mythological figures are half- god, half-animal creatures guarding Mount Meru. There are six pairs of giants serving as guardians minding the gate, each with its own unique colors and expression. I ทศกัณฐ์ J สหสั เดชะ K ไมยราพ L วริ ณุ จ�ำ บัง 43

WatSuthatBangkok D B 03 Wat Suthat Thepwararam วัดสทุ ัศน์เทพวราราม B03 A Giant Swing, 146 Bamrung Mueang Rd. T 8.00am-9.00pm มหาวหิ ารใจกลางพระนครท่ีสรา้ งขึ้นในปลายรชั กาลที่ ๑ สำ�หรับ A 02 622 2819 ประดษิ ฐานพระศรศี ากยมนุ ี หรอื หลวงพอ่ โต ทีอ่ ัญเชิญมาจากวัดมหาธาตุ watsuthatt.com สุโขทัย วัดสทุ ศั นโ์ ดดเดน่ ดว้ ยมีพระวหิ ารหลวงเป็นประธานของวดั ล้อมรอบ ด้วยระเบยี งคต มพี ระอุโบสถหลังใหญ่ ต้ังขวางพระวิหารอยู่ด้านหลงั แผนผังของวัดสทุ ัศน์จงึ มคี วามงดงาม เป็นระเบียบ ไดส้ ดั สว่ น เฉกเช่น เดยี วกบั แผนผังของวัดโพธ์ิ เพราะตา่ งเป็นวดั ทีส่ รา้ งข้นึ ในสมัยรัชกาลที่ ๑ และท้ังคกู่ เ็ น้นเรอ่ื งผังภมู จิ กั รวาลเปน็ ส�ำ คญั แต่การก่อสร้างวัดสทุ ัศนน์ น้ั ใชเ้ วลาเน่นิ นานกวา่ มาก เพราะมาแล้วเสรจ็ เอากล็ ่วงเข้าในสมัยรชั กาล ท่ี ๓ แล้ว Wat Suthat: A large temple at the center of the city, Wat Suthat was built in the reign of King Rama I to house a big bronze Buddha image which had been brought to the city from Sukhothai. The construction was completed in the reign of King Rama III. The layout of the temple followed the concept of the Buddhist universe, with the main vihara symbolizing Mount Meru, which was considered the center of the universe. A cloister surrounds the temple, and on the roof gable there is a carving of Indra on Airavata, his three-headed elephant, a god who resides on Mount Meru. This is in line with the concept of Bangkok being Indra’s city. The ordination hall is located on the back of the vihara, and the roof gable which faces the east features the sun, and the western gable features the moon orbiting the earth (the ordina- tion hall) following the ancient belief of the universe. 44 WatSuthatBangkok

กอ่ นจะข้นึ ไปไหวห้ ลวงพอ่ โต ลอง หากไปถึงวัดสทุ ศั น์แลว้ อย่าใหเ้ สยี เทีย่ ว ลองเดินชมบรเิ วณ แหงนขนึ้ ไปดทู หี่ นา้ บันพระวหิ าร จะเหน็ ก�ำ แพงวัดดา้ นทิศตะวนั ออกดู จะเห็นสิ่งก่อสรา้ งกระจกุ กระจกิ เป็นรูปสลกั พระอินทรก์ ายสเี ขียวทรง ทเี่ รยี กกนั วา่ “สตั ตมหาสถาน” จำ�ลองสถานท่ที ่ีพระพุทธเจ้า ชา้ งเอราวณั พระวิหารแห่งนีจ้ งึ ถือได้วา่ ประทับภายหลังการตรัสรู้ ๗ แห่ง ถือเป็นงานศลิ ปะจัดวางใน เปน็ สวรรค์ชน้ั ดาวดงึ ส์ ซึง่ ตัง้ อยบู่ นยอด สมยั นนั้ ก็ว่าได้ ทั้งหมดลว้ นสร้างข้ึนในสมยั รัชกาลท่ี ๓ จึงมกี าร เขาพระสุเมรุ สอดคล้องกบั คติการสรา้ ง ใช้งานศิลปกรรมแบบจีน อย่างหนิ แกะสลักเปน็ รปู เก๋งจีน เขา้ กรงุ เทพฯ ที่วา่ เปน็ เมืองแหง่ พระอนิ ทร์ มาประกอบกับตน้ ไม้หลากหลายพันธ์ุ เพือ่ ใช้เป็นสญั ลักษณ์ (โลโกข้ องกรุงเทพฯ จึงทำ�เป็นรูปพระ แทนสถานทีท่ งั้ ๗ น้ัน อินทร์ทรงช้าง) พระท่นี ่ังอมรนิ ทรวินิจฉยั ในพระบรมมหาราชวงั ก็มหี น้าบนั เป็น เรื่องเล่าชาวเกาะ พระอินทรด์ ้วยเชน่ กนั หลวงพ่ อโต สว่ นพระอโุ บสถหลังมหึมา ท่อี ยู่ดา้ น ขนึ้ ช่ือก็บอกอยู่แลว้ ว่าเปน็ พระองค์ใหญ่ อัญเชิญมาจากเมืองสุโขทัยโดย หลงั พระวหิ ารนั้น จัดวา่ มีความยาวถือ ลอ่ งแพมาทางแม่น�ำ้ เจ้าพระยา แตเ่ มื่อมาถงึ จดุ หมายแล้วกลับยกเขา้ เมอื ง เป็นอันดับหนงึ่ ของประเทศเลยกว็ า่ ได้ ไม่ได้ ด้วยมีสณั ฐานใหญ่กว่าช่องประตพู ระนคร! จ�ำ ตอ้ งยอมรอื้ ประตูเมือง ด้วยมีความใหญไ่ ซสส์ ูสีกับพระอุโบสถ ออก แล้วจึงชักลากพระศรีศากยมนุ เี ขา้ มายังพระนครได้ และวหิ ารพระนอนวัดโพธ์ิ ใหญ่ขนาดไหน ท่าน�ำ้ ทช่ี กั ลากหลวงพอ่ ข้ึนมาจึงเรียกกนั ว่า “ท่าพระ” และเป็นที่มาให้ นะ่ หรอื ?!! กข็ นาดทต่ี ้องซ้อนหลังคาถึง วังทตี่ ้งั อยู่ตรงนัน้ เรียกกันว่า “วังทา่ พระ” A15 (มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากรใน ๔ ชัน้ ยังไมพ่ อ! แต่ละชั้นยงั แบ่งยอ่ ยอกี ปจั จุบนั ) นนั่ เอง ๔ ตบั ซึ่งเปน็ เทคนิคทช่ี ว่ ยซอยระนาบ หลายคนคงสงสัยวา่ ถ้าพระองค์ใหญ่ขนาดเข้าประตูเมอื งไมไ่ ด้ แล้วท�ำ ไม หลังคาให้เลก็ ลง จะไดไ้ มด่ ูเทอะทะ ขณะ หลวงพ่อถึงเข้าไปประดษิ ฐานอยใู่ นวิหารได้?!! เดยี วกันด้านสุนทรียะก็ไล่ระดบั กนั อยา่ ง โถ...ง่ายนดิ เดียว กแ็ ค่สรา้ งพ้นื วิหารและกอ่ ฐานพระขึน้ มากอ่ น แลว้ ค่อย สวยสดงดงาม ยกหลวงพอ่ โตข้ึนไปประดิษฐานไว้ จากนัน้ จึงก่อก�ำ แพง และท�ำ หลงั คาคลุม ขน้ึ ภายหลัง ไมต่ อ้ งใชป้ าฏิหาริย์แต่อยา่ งใด แตเ่ ดย๋ี วกอ่ น...ลองสงั เกตดทู ่หี น้า จักรวาลที่วัดสุทัศน์ บนั สิ แบบแผนด้งั เดิมในการสรา้ งปราสาทหินของอาณาจกั รขอมนัน้ จะมปี ราสาท องคก์ ลางเปน็ ประธาน เปรียบดง่ั ยอดเขาพระสุเมรุ อนั เป็นแกนของจักรวาล คราวน้ไี ม่ใช่พระอินทร์แล้วนะ แตด่ า้ น ดงั จะเหน็ ไดช้ ัดเจนจากแผนผงั ของนครวดั ทิศตะวันออกกลับเป็นรปู พระอาทิตย์ ต่อมาในสมัยอยธุ ยาตอนต้น ไดร้ ับคตจิ ากขอมมา แตเ่ ปลีย่ นให้สร้างพระ (คติการสร้างอโุ บสถในสมัยรัตนโกสนิ ทร์ ปรางค์เปน็ ประธานของวดั แทน จะหนั หน้าส่ทู ิศตะวนั ออกเป็นหลกั ) ส่วน พอถึงสมัยต้นรัตนโกสนิ ทร์ พระวหิ ารหลวงกลบั กลายมาเป็นประธานแทน ทิศตะวนั ตกเปน็ รปู พระจนั ทร์ น่ันเพราะ การใช้ปรางค์ ตัวพระอโุ บสถเองหมายถงึ ชมพูทวีป มศี าลาตง้ั ประจ�ำ ที่มมุ ทั้งสีข่ องพระวหิ าร คือ ทวปี ทง้ั ส่ี ตามท่ีระบไุ ว้ใน ตามคติความเชือ่ ของคนสมยั โบราณทว่ี ่า คัมภรี ์ไตรภูมิ โลก คอื ศนู ย์กลางของจกั รวาล มพี ระ ส่วนระเบียงคตที่ล้อมอย่โู ดยรอบ กค็ ือ ก�ำ แพงจกั รวาล นั่นเอง อาทติ ย์และพระจนั ทร์โคจรอยู่โดยรอบ แผนผงั ของวัดสุทศั นจ์ ึงมีความงดงามตามต�ำ ราด้วยประการฉะนี้ กาลเิ ลโอไม่พอใจในสงิ่ นี!้ ! 45

วัดน้อยใหญ่ในรัชกาลท่ี ๓ Temples in the Reign of King Rama III ลุถงึ สมยั รัชกาลที่ ๓ เปน็ ยคุ เศรษฐกจิ อฟู้ ู่ บา้ นเมืองเฟอื่ งฟูดว้ ยธุรกจิ การค้าส�ำ เภาระหว่างประเทศ ราชสำ�นักจึงผุดโปรเจกตท์ ่ีเกี่ยวเนื่องกับ การปรับภูมทิ ัศน์ของเมืองขนานใหญ่ เริ่มจากการบรู ณะวดั เกา่ แก่ทสี่ ร้างมาแต่ครัง้ รัชกาลท่ี ๑ อยา่ งวดั โพธ์ิ ดว้ ยการขยายพระอุโบสถใหใ้ หญข่ ้ึน รวมถึงเมกะโปรเจกต์อยา่ งการสร้าง วหิ ารพระนอนอันสดุ แสนจะโอฬารขึน้ มาในบริเวณเกาะเมอื ง นอกจากน้ีแล้วยังมวี ัดน้อยใหญส่ ถาปนาขึ้นมาใหม่อยา่ งมากมาย อาทิ วดั เทพธิดาราม วัดราชนัดดา วดั มหรรณพาราม รวมไปจนถึงวัด บวรสุทธาวาส และวัดบวรนเิ วศ ของวงั หนา้ ดว้ ย กรุงเทพฯ ในสมยั รัชกาลที่ ๓ จึงได้ชือ่ วา่ เป็นเมอื งทีใ่ หญโ่ ตและมั่งค่ัง มีความเจรญิ รงุ่ เรอื งเฉกเชน่ ทก่ี รงุ ศรีอยธุ ยาเคยมแี ละเคยเป็นอย่าง แทจ้ ริง In King Rama III’s era, the Kingdom was at its peak in inter- national trade, and old temples from King Rama I’s era were restored while the magnificent Chapel of the Reclining Buddha was constructed. Additionally, many new temples, big and small, were built all over the city. 46

วัดพระเชตพุ น B04 Wat Pho is an ancient temple from the Ayutthaya Era. In the reign of King Rama I, วัดพระเชตุพน เดมิ เปน็ วัดราษฎรช์ ือ่ วัด “โพธาราม” เปน็ วดั a new ordination hall was built, and the เก่าแกต่ ง้ั แตส่ มัยอยธุ ยา ต่อมาเม่ือสถาปนากรุงรตั นโกสนิ ทร์ layout replicates the Buddhist universe เปน็ ราชธานี ในรัชกาลท่ี ๑ จึงมีการสถาปนาวัดโพธ์ขิ ้ึนใหม่ให้ with Mount Meru at the center. เป็นพื้นทใ่ี นอดุ มคตทิ างพุทธศาสนา มกี ารสร้างพระอโุ บสถหลงั ใหม่ให้ตัง้ อยกู่ ึง่ กลาง แล้วราย รอบด้วยระเบียงคตเปน็ ชน้ั ๆ เสมือนเปน็ การจำ�ลองสัณฐาน จกั รวาลทีก่ ล่าวไวใ้ นไตรภูมิใหเ้ ป็นรูปธรรม โดยมีพระอโุ บสถ เปรียบเป็นสวรรค์ชัน้ ดาวดึงส์บนเขาพระสเุ มรุ อันถือว่าเป็น แกนกลางของจักรวาล ส่วนพระระเบียงที่ลอ้ มรอบเปน็ เสมอื น กำ�แพงจกั รวาล และมพี ระวหิ ารทศิ เป็นดั่งทวปี ทัง้ ส่ี แผนผังของวดั พระเชตพุ น ทสี่ รา้ งข้นึ ใหมใ่ นสมยั รัชกาลที่ ๑ นี้ จงึ ถือว่ามคี วามซบั ซอ้ นสวยงามยิง่ นัก 47

พระอุโบสถ วัดพระเชตุพน ในสมยั รัชกาลที่ ๔ พระอุโบสถ พระอโุ บสถท่ีสร้างขึ้นใหม่ในสมัยรัชกาลท่ี ๑ เดิมยังมีขนาด เล็กกะทดั รัด ตัง้ อยอู่ ย่างอ้างวา้ งท่ามกลางลานโล่งภายในพระ ระเบียง คร้นั เม่อื เข้าสู่รัชกาลท่ี ๓ จงึ ได้ขยายพ้นื ที่โบสถ์เสยี ใหม่ ให้ยิง่ ใหญก่ วา่ เดิม เพือ่ ใหม้ คี วามสมส่วนสอดรบั กับระเบียงคต โดยรอบ จะเหน็ ได้วา่ มเี สาพาไล เปน็ เสาเหล่ียมเรียบเกล้ยี งขนาด ใหญ่ ข้นึ ไปรับชายคาโดยไมม่ ีบัวหวั เสาและคนั ทวย ซึง่ ถอื เป็น รปู แบบสดุ ฮิตทีถ่ ูกจรติ ในสมยั รัชกาลท่ี ๓ ยง่ิ นกั The new ordination hall built in the era of King Rama I was small, and the version that we see today was expanded in King Rama III’s time. A unique feature of architecture from King Rama III’s era is eaves on all the four sides of the hall, with large rectangular columns supporting them. A A BB At the entrance of the ordination hall, ก่อนจะขนึ้ ไปไหวพ้ ระประธานขา้ งในพระอุโบสถ หากได้ยืน if you look up, you will see mural paintings อยทู่ ่มี ขุ โถงดา้ นหน้านี้ ถอื วา่ คณุ ได้ยืนอยู่ ณ ศนู ยก์ ลางของ on the ceiling, featuring the sun on one จักรวาล และหากไดล้ องแหงนหนา้ ข้ึนไปส�ำ รวจดตู รงคอสอง end and a crescent moon on the other. The จะพบกับภาพจติ รกรรมพระอาทิตยท์ รงราชรถอยูด่ ้านหน่ึง sun and the moon orbit Mount Meru, which สว่ นอกี ดา้ นจะเป็นรูปพระจันทร์ข้างแรม หนั ราชรถไปในทศิ ทาง the hall symbolizes. ทแี่ สดงการโคจรทักษิณาวรรต (วนขวา) รอบพระอุโบสถ D B 04 Wat Pho ในระเบยี บจกั รวาลทชี่ าวสยามในอดีตยดึ ถอื กันมานั้นเชือ่ วา่ A Sanam Chai Rd. เขาพระสเุ มรเุ ป็นศนู ย์กลางของจักรวาล โดยมีพระอาทิตยแ์ ละ T 8.30am-5.30pm พระจันทรโ์ คจรรอบ แสดงใหเ้ ห็นว่าพระอโุ บสถแห่งนีก้ ค็ อื A 02 226 0335 เขาพระสเุ มรุ สว่ นซุ้มประตูทำ�เป็นซุ้มทรงมงกุฎจอมแห www.watpho.com หมายถึง ยอดไพชยนตม์ หาปราสาท วิมานของพระอนิ ทร์ ในสวรรค์ชนั้ ดาวดึงส์น่ันเอง 48 watphonews