Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรกลุ่มสาระวิทย์2564

หลักสูตรกลุ่มสาระวิทย์2564

Published by วรัญญา แก้วล่องลอย, 2022-01-26 03:28:28

Description: หลักสูตรกลุ่มสาระวิทย์2564

Search

Read the Text Version

หนา้ 101 19. อธบิ ายโครงสร้างและหนา้ ท่ขี องไตและโครง  ไตเปน็ อวยั วะทที่ าํ หนา้ ท่ีเก่ียวกบั การขับถ่ายและ สรา้ งทใ่ี ชล้ าํ เลียงปสั สาวะออกจากรา่ งกาย รกั ษาดุลยภาพของนา้ํ และแร่ธาตุในรา่ งกาย 20. อธบิ ายกลไกการทาํ งานของหน่วยไตในการ  ไตประกอบดว้ ยบริเวณส่วนนอกทเ่ี รยี กว่า คอร์เทก็ ซ์ กําจดั ของเสยี ออกจากร่างกาย และเขียนแผนผงั และบรเิ วณส่วนในทเ่ี รยี กวา่ เมดลั ลา และบรเิ วณส่วน สรุปข้นั ตอนการกาํ จัดของเสยี ออกจากรา่ งกายโดย ปลายของเมดลั ลาจะย่นื เข้าไปจรดกบั สว่ นทีเ่ ปน็ โพรง หนว่ ยไต เรียกวา่ กรวยไต โดย กรวยไตจะต่อกบั ทอ่ ไตซึ่งทาํ 21. สืบคน้ ขอ้ มูล อธิบาย และยกตัวอย่างเกยี่ วกบั หน้าทลี่ ําเลียงปัสสาวะไปเก็บไวท้ ีก่ ระเพาะปัสสาวะ ความผิดปกตขิ องไตอันเนื่องมาจากโรคตา่ งๆ เพือ่ ขบั ถา่ ยออกนอกร่างกาย  ไตแตล่ ะขา้ งของมนุษย์ประกอบดว้ ย หน่วยไต ลักษณะเปน็ ท่อ ปลายข้างหนึง่ เปน็ รปู ถว้ ย เรียกว่า โบว์แมนส์แคปซูล ล้อมรอบกลมุ่ หลอดเลือดฝอยท่ี เรียกว่า โกลเมอรูลสั  กลไกในการกาํ จดั ของเสียออกจากรา่ งกายประกอบ ดว้ ยการกรอง การดดู กลับและการหลง่ั สารทเ่ี กนิ ความ ต้องการออกจากรา่ งกาย  โรคน่ิวและโรคไตวายเป็นตัวอยา่ งของโรคท่ีเกิดจาก ความผิดปกตขิ องไต ซ่ึงส่งผลกระทบตอ่ การรักษาดุลย ภาพของสารในรา่ งกาย  นอกจากไตทท่ี าํ หน้ารักษาดุลยภาพของน้ําแรธ่ าตุ และกรด-เบส ผิวหนังและระบบหายใจ ยงั มสี ว่ นช่วย ในการรกั ษาดุลยภาพเหลา่ นี้ด้วย ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่ิมเตมิ หลักสตู รกลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หน้า 102 ม.5 1. สบื คน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ ง  สัตวส์ ว่ นใหญม่ รี ะบบประสาททาํ ใหส้ ามารถ รับรู้ และหนา้ ที่ของระบบประสาทของไฮดรา พลานาเรยี และตอบสนองตอ่ สง่ิ เรา้ ได้ เช่น ไฮดรามีรา่ งแห ไส้เดอื นดิน กุง้ หอย แมลงและสัตวม์ กี ระดูกสนั หลงั ประสาท พลานาเรีย ไส้เดือนดิน กงุ้ หอย และแมลง 2. อธบิ ายเกยี่ วกบั โครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี องเซลล์ มีปมประสาท และเสน้ ประสาทส่วนสัตว์มกี ระดูกสัน ประสาท หลงั มสี มอง ไขสันหลังปมประสาทและเสน้ ประสาท 3. อธิบายเก่ียวกับการเปลยี่ นแปลงของศักย์ ไฟฟา้ ที่  หนว่ ยทาํ งานของระบบประสาท คอื เซลล์ประสาท เยอื่ หุ้มเซลล์ของเซลลป์ ระสาทและกลไกการ ซึง่ ประกอบด้วยตัวเซลล์ และเสน้ ใยประสาททท่ี าํ ถ่ายทอดกระแสประสาท หนา้ ท่รี ับและสง่ กระแสประสาท เรยี กว่า เดนไดรต์ และแอกซอน ตามลาํ ดับ  เซลล์ประสาทจาํ แนกตามหนา้ ที่ได้เปน็ เซลล์ประสาท รับความรูส้ กึ เซลลป์ ระสาทสงั่ การ และเซลล์ประสาท ประสานงาน  เซลล์ประสาทจาํ แนกตามรปู ร่างไดเ้ ป็นเซลล์ ประสาทข้วั เดยี ว เซลลป์ ระสาทขว้ั เดียวเทยี ม เซลล์ประสาทสองขว้ั และเซลลป์ ระสาทหลายขว้ั  กระแสประสาทเกิดจากการเปล่ียนแปลงศกั ยไ์ ฟฟ้า ที่เย่ือหุม้ เซลลข์ องเดนไดรตแ์ ละแอกซอนทําให้มีการ ถา่ ยทอดกระแสประสาทจากเซลล์ประสาทไปยงั เซลล์ ประสาทหรือเซลล์อน่ื ๆ ผา่ นทางไซแนปส์  ระบบประสาทของมนษุ ยแ์ บ่งไดเ้ ป็น 2ระบบตาม ตําแหน่งและโครงสร้าง คอื ระบบประสาทสว่ นกลาง ได้แก่ สมองและไขสันหลังและระบบประสาทรอบ นอก ได้แกเ่ ส้นประสาทสมองและเส้นประสาทไขสัน หลงั 4. อธิบายและสรุปเกี่ยวกบั โครงสร้างของระบบ  สมองแบ่งออกเปน็ 3 สว่ น คือ สมองส่วนหน้า ประสาทส่วนกลางและระบบประสาทรอบนอก สมองส่วนกลางและสมองสว่ นหลังสมองแตล่ ะสว่ น 5. สืบคน้ ขอ้ มูล อธบิ ายโครงสร้างและหน้า ทีข่ อง จะควบคมุ การทาํ งานของร่างกายแตกต่างกัน โดยมี สว่ นต่างๆ ในสมองสว่ นหนา้ สมองส่วนกลางสมอง เสน้ ประสาททแ่ี ยกออกจากสมอง 12 คู่ ไปยงั อวัยวะ สว่ นหลงั และไขสนั หลงั ต่างๆซึ่งบางคู่ทาํ หนา้ ทร่ี ับความรู้สึกเขา้ สสู่ มองหรอื นาํ 6. สบื คน้ ขอ้ มลู อธิบาย เปรียบเทียบและยกตัวอย่าง คาํ สั่งจากสมองไปยงั หน่วยปฏบิ ตั ิงานหรอื ทาํ หน้าที่ทง้ั การทํางานของระบบประสาทโซมาติกและระบบ สองอยา่ ง ประสาทอตั โนวตั ิ  ไขสันหลังเป็นสว่ นทีต่ ่อจากสมองอยภู่ ายในกระดกู สันหลงั และมีเสน้ ประสาทแยกออกจากไขสันหลงั เป็น คู่ ซ่ึงทาํ หน้าที่ประมวลผลการตอบสนองโดยไขสนั หลัง เชน่ การเกดิ รเี ฟล็กซช์ นดิ ตา่ งๆ และการถ่ายทอด กระแสประสาทระหว่างไขสันหลังกับสมอง  เส้นประสาทไขสนั หลงั ทุกคจู่ ะทาํ หนา้ ท่รี ับความรูส้ กึ เข้าสู่ไขสันหลงั และนําคาํ สั่งออกจากไขสนั หลัง  ระบบประสาทรอบนอกสว่ นทีส่ ่ังการแบง่ เป็นระบบ ประสาทโซมาตกิ ซ่ึงควบคุมการทํางานของกล้ามเนือ้ โครงร่างและระบบประสาทอตั โนวตั ิ ซึ่งควบคมุ การ ทํางานของกลา้ มเน้อื หวั ใจกล้ามเนื้อเรยี บและตอ่ ม ตา่ งๆ ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เติม หลกั สูตรกลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หนา้ 103 ม.5  ระบบประสาทอัตโนวัติแบง่ การทํางานเปน็ 2 ระบบ คือ ระบบประสาทซิมพาเทติกและระบบประสาท พาราซมิ พาเทตกิ ซึ่งสว่ นใหญท่ ํางานตรงกันข้ามเพือ่ รักษาดลุ ยภาพของกระบวนการต่างๆในรา่ งกาย 7. สืบคน้ ข้อมูล อธิบายโครงสรา้ งและหนา้ ทีข่ อง  ตา หู จมูก ล้ิน และผวิ หนังเป็นอวยั วะรับความรู้สกึ ตา หู จมูก ลิ้นและผิวหนังของมนุษย์ยกตวั อยา่ ง ท่ีรบั สง่ิ เร้าทแี่ ตกต่างกัน จึงมีความ สาํ คัญทค่ี วรดแู ล โรคตา่ งๆ ทีเ่ กี่ยวข้องและบอกแนวทางในการดแู ล ปอ้ งกัน และรักษาใหส้ ามารถทาํ งานไดเ้ ป็นปกติ ป้องกันและรกั ษา  ตาประกอบดว้ ยชน้ั สเคลอรา โครอยดแ์ ละเรตินา 8.สังเกต และอธบิ ายการหาตําแหน่งของจุดบอด เลนส์ตาเป็นเลนสน์ นู อยู่ถดั จากกระจกตาทําหนา้ ท่รี วม โฟเวีย และความไวในการรับสมั ผัสของผิวหนัง แสงจากวตั ถุไปท่เี รตนิ า ซง่ึ ประกอบดว้ ยเซลล์รับแสง และเซลลป์ ระสาทท่นี ํากระแสประสาทสูส่ มอง  หปู ระกอบดว้ ย 3 สว่ น คอื หูส่วนนอก หสู ว่ นกลาง และหูสว่ นใน ภายในหูสว่ นในมีคอเคลยี ซ่งึ ทําหนา้ ที่ รบั และเปลี่ยนคลน่ื เสียงเป็นกระแสประสาท นอกจาก นยี้ งั มีเซมเิ ซอร์คิวลารแ์ คเเนล ทําหน้าทร่ี ับรูเ้ กย่ี วกับ การทรงตวั ของรา่ งกาย  จมกู มเี ซลล์ประสาทรับกลิน่ อย่ภู ายในเย่อื บุจมกู ท่ี เปน็ ตวั รบั สารเคมบี างชนดิ แลว้ เกิดกระแสประสาท ส่งไปยังสมอง  ลนิ้ ทําหน้าทร่ี บั รส โดยมตี ุม่ รบั รสกระจายอยู่ทั่วผวิ ลนิ้ ด้านบนตมุ่ รบั รสมเี ซลล์รบั รสอยู่ภายในเมื่อเซลลร์ บั รสถกู กระตนุ้ ดว้ ยสาร เคมีจะกระตุ้นเดนไดรต์ของ เซลล์ประสาทเกดิ กระแสประสาทสง่ ไปยงั สมอง  ผวิ หนัง มหี นว่ ยรับส่งิ เร้าหลายชนิด เชน่ หนว่ ยรบั สัมผัส หน่วยรบั แรงกด หน่วยรับความเจบ็ ปวด หนว่ ย รับอณุ หภมู ิ 9. สืบคน้ ขอ้ มลู อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสร้าง  สง่ิ มชี วี ิตเซลล์เดยี วบางชนดิ เคลอ่ื นทีโ่ ดยการไหล และหน้าทีข่ องอวยั วะท่ีเกย่ี วข้องกับการเคลือ่ นที่ ของไซโทพลาซึม บางชนิดใชแ้ ฟลเจลลมั หรอื ซิเลยี ใน ของแมงกะพรุน หมกึ ดาวทะเล ไส้เดอื นดิน แมลง การเคล่อื นที่ ปลา และนก  สัตวไ์ ม่มีกระดูกสนั หลงั เชน่ แมงกะพรนุ เคลื่อนท่ีโดยอาศยั การหดตวั ของเนือ้ เยอ่ื บรเิ วณขอบ กระด่งิ และแรงดันน้ํา  หมึกเคลื่อนทโ่ี ดยอาศัยการหดตัวของกล้าม เน้อื บริเวณลําตัว ทาํ ให้น้ําภายในลาํ ตัวพน่ ออกมาทางไซ ฟอน ส่วนดาวทะเลใชร้ ะบบทอ่ นํ้าในการเคลื่อนท่ี  ไสเ้ ดือนดนิ มีการเคลอ่ื นท่ี โดยอาศัยการหดตวั และ คลายตวั ของกลา้ มเน้อื วงและกลา้ มเน้อื ตามยาวซึ่ง ทํางานในสภาวะตรงกนั ขา้ ม  แมลงเคลื่อนที่โดยใชป้ กี หรอื ขา ซง่ึ มกี ลา้ มเน้ือ ภายในเปลอื กห้มุ ทาํ งานในสภาวะตรงกันข้าม  สัตวม์ กี ระดูกสนั หลงั เชน่ ปลาเคลือ่ นที่โดยอาศยั ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เติม หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หน้า 104 ม.5 การหดตวั และคลายตัวของกล้ามเน้ือที่ยดึ ติดอยกู่ บั กระดูกสนั หลงั ทง้ั 2 ขา้ งทาํ งานในสภาวะตรงกนั ข้าม และมีครีบท่อี ยู่ในตาํ แหนง่ ตา่ งๆ ช่วยโบกพัดใน การเคล่ือนทีส่ ่วนนกเคลื่อนท่ี โดยอาศัยการหดตัวและ คลายตัวของกล้ามเน้ือกดปกี กบั กลา้ มเนือ้ ยกปกี ซึ่ง ทาํ งานในสภาวะตรงกนั ข้าม 10. สบื คน้ ขอ้ มูล และอธบิ ายโครงสรา้ งและหนา้ ท่ี  มนุษย์เคลอื่ นที่โดยอาศยั การทํางานของกระดูกและ ของกระดกู และกล้ามเนือ้ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกับการเคลือ่ น กล้ามเนื้อซ่ึงยึดกันดว้ ยเอน็ ยึดกระดกู ไหวและการเคลอื่ นท่ีของมนุษย์  บริเวณทกี่ ระดูกตงั้ แต่ 2 ช้นิ มาต่อกันเรียกว่าขอ้ ตอ่ 11. สังเกตและอธิบายการทํางานของข้อต่อชนิด และยึดกนั ด้วยเอ็นยึดขอ้ ตา่ งๆ และการทํางานของกล้ามเน้อื โครงร่างท่ี  กระดูกเป็นเน้ือเยือ่ ทีใ่ ช้ค้าํ จนุ และทาํ หน้าทใ่ี น เก่ียวขอ้ งกบั การเคลื่อนไหวและการเคลือ่ นทข่ี อง การเคลอื่ นไหวของร่างกาย แบง่ ตามตําแหน่งได้เปน็ มนษุ ย์ กระดกู แกนและกระดูกรยางค์  กล้ามเนอ้ื ในรา่ งกายมนษุ ย์แบ่งออกเปน็ กลา้ มเน้อื โครงร่าง กล้ามเนื้อหวั ใจและกลา้ มเนอ้ื เรียบ กลา้ มเนือ้ ทง้ั 3 ชนดิ พบในตาํ แหน่งท่ีตา่ งกนั และมีหนา้ ที่ แตกตา่ งกนั  กลา้ มเนื้อโครงร่างส่วนใหญ่ทาํ งานร่วมกันเปน็ ค่ๆู ในสภาวะตรงกนั ข้าม 12. สืบคน้ ข้อมลู อธิบายและยกตัวอยา่ งการสบื พันธุ์  การสืบพนั ธุ์แบบไม่อาศัยเพศของสตั ว์เปน็ การสืบพันธุ์ แบบไม่อาศยั เพศและการสบื พนั ธ์ุแบบอาศยั เพศใน ท่ีไม่มกี ารรวมของเซลล์สบื พันธุเ์ ช่น การแตกหนอ่ และ สตั ว์ การงอกใหม่  การสบื พนั ธุ์แบบอาศยั เพศของสตั ว์เป็นการสืบพนั ธ์ุ ท่ีเกิดจากการรวมนิวเคลียสของเซลลส์ บื พนั ธุ์ ซึง่ มีท้งั การปฏิสนธภิ ายนอกและการปฏิสนธภิ ายใน สตั ว์บาง ชนดิ มี 2 เพศในตวั เดยี วกัน แตก่ ารผสมพันธ์ุสว่ น ใหญจ่ ะผสมข้ามตัว 13. สบื คน้ ข้อมลู อธบิ ายโครงสร้างและหนา้ ทีข่ อง  การสืบพันธ์ขุ องมนุษย์มีกระบวนการสร้างสเปริ ์ม อวยั วะในระบบสบื พนั ธเ์ุ พศชายและระบบสืบพันธุ์ จากเซลลส์ เปอร์มาโทโกเนียมภายในอัณฑะ และ เพศหญิง กระบวนการสรา้ งเซลล์ไข่จากเซลล์โอโอโกเนียม 14. อธิบายกระบวนการสร้างสเปิรม์ กระบวนการ ภายในรงั ไข่ สรา้ งเซลลไ์ ข่และการปฏิสนธใิ นมนุษย์  อวยั วะสืบพนั ธุข์ องเพศชายประกอบดว้ ยอัณฑะทาํ หนา้ ทส่ี รา้ งสเปริ ์มและฮอรโ์ มนเพศชาย และมโี ครง สร้างอ่นื ๆ ที่ทาํ หนา้ ทล่ี ําเลยี งสเปิร์มสร้างนํ้าเลย้ี ง สเปริ ์ม และสารหลอ่ ลื่นทอ่ ปสั สาวะ  อณั ฑะประกอบดว้ ยหลอดสรา้ งสเปริ ์ม ซ่งึ ภายใน มเี ซลล์สเปอรม์ าโทโกเนยี มทเี่ ปน็ เซลลต์ ั้งตน้ ของ กระบวนการสร้างสเปริ ์ม  อวยั วะสบื พนั ธข์ุ องเพศหญงิ ประกอบดว้ ยรงั ไข่  กระบวนการสรา้ งสเปริ ม์ เร่ิมต้นจากสเปอร์มาโทโก เนยี มแบ่งเซลล์แบบไมโทซิสได้สเปอรม์ าโทโกเนยี ม จาํ นวนมาก ซ่ึงตอ่ มาบางเซลลพ์ ัฒนาเปน็ สเปอรม์ าโท ไซต์ระยะแรก โดย สเปอรม์ าโทไซตร์ ะยะแรกจะแบ่ง ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่ิมเติม หลักสตู รกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หน้า 105 ม.5 เซลล์แบบไมโอซิส I ไดส้ เปอรม์ าโทไซตระยะที่สองซ่งึ จะแบ่งเซลล์แบบไมโอซสิ II ได้สเปอรม์ าทิดตามลําดบั จากน้นั พัฒนาเป็นสเปิร์ม  กระบวนการสรา้ งเซลล์ไข่เริม่ จากโอโอโกเนียม แบง่ เซลล์แบบไมโทซสิ ไดโ้ อโอโกเนยี มซ่ึงจะพัฒนาเป็นโอ โอไซต์ระยะแรก แล้วแบ่งเซลลแ์ บบไมโอซสิ I ได้โอโอ ไซต์ระยะท่สี องซง่ึ จะเกดิ การตกไขต่ ่อไป เมอื่ ได้รบั การ กระตนุ้ จากสเปริ ม์ โอโอไซต์ระยะทีส่ องจะแบ่งแบบ ไมโอซิส II แล้วพัฒนาเปน็ เซลลไ์ ข่  การปฏสิ นธิเกิดขนึ้ ภายในทอ่ นําไขไ่ ด้ไซโกต ซึ่งจะ เจรญิ เปน็ เอ็มบริโอและไปฝงั ตวั ทผี่ นังมดลูกจนกระทง่ั ครบกําหนดคลอด 15. อธบิ ายการเจริญเตบิ โตระยะเอ็มบริโอและระยะ  การเจรญิ เติบโตของสตั ว์ เช่น กบ ไกแ่ ละสตั ว์เลี้ยง หลงั เอ็มบรโิ อของกบ ไก่ และมนษุ ย์ ลูกดว้ ยนํา้ นม จะเริ่มตน้ ดว้ ยการแบ่งเซลล์ของไซโกต การเกดิ เนือ้ เยอ่ื เอ็มบริโอ 3 ชั้น คือ เอกโทเดริ ์ม เมโซเดริ ์มและเอนโดเดิรม์ การเกดิ อวัยวะ โดยมี การเพ่มิ จํานวนขยายขนาดและการเปลีย่ นแปลง รูปรา่ งของเซลล์เพ่อื ทําหนา้ ที่เฉพาะอย่าง ซงึ่ พัฒนา การของอวัยวะตา่ งๆ จะทําให้มกี ารเกิดรปู ร่างท่ี แน่นอนในสตั ว์แตล่ ะชนิด  การเจริญเตบิ โตของมนุษย์จะมีข้ันตอนคลา้ ยกบั การเจรญิ เตบิ โตของสตั วเ์ ลีย้ งลกู ดว้ ยนํา้ นมอ่นื ๆโดย เอม็ บริโอจะฝงั ตัวทีผ่ นงั มดลูกและมกี ารแลกเปลี่ยน สารระหว่างแม่กับลูกผ่านทางรก 16. สบื ค้นข้อมลู อธบิ าย และเขยี นแผนผังสรปุ  ฮอรโ์ มนเปน็ สารทค่ี วบคมุ สมดลุ ต่างๆ ของร่างกาย หน้าทข่ี องฮอร์โมนจากต่อมไรท้ ่อ และเน้ือเยือ่ ที่ โดยผลติ จากตอ่ มไรท้ ่อหรอื เนื้อเย่ือโดยตอ่ มไร้ท่อน้ีจะ สร้างฮอร์โมน กระจายอยูต่ ามตาํ แหน่งตา่ งๆ ทวั่ ร่างกาย  ตอ่ มไร้ท่อท่ีสรา้ งหรือหล่ังฮอร์โมน ไม่มีท่อในการ ลําเลยี งฮอร์โมนออกจากต่อมจงึ ถูกลาํ เลยี งโดยระบบ หมนุ เวยี นเลือดไปยังอวยั วะเปา้ หมายที่จําเพาะเจาะจง  ตอ่ มไพเนียลสร้างเมลาโทนนิ ซ่ึงยับยั้งการเจริญ เติบโตของอวัยวะสืบพันธุช์ ่วงก่อนวัยเจริญพันธุแ์ ละ ตอบสนองต่อการเปล่ยี นแปลงของแสงในรอบวัน  ต่อมใตส้ มองสว่ นหนา้ สรา้ งและหลัง่ โกรทฮอรโ์ มน โพรแลกทิน ACTH TSH FSH LH เอนดอร์ฟิน ซึ่งทํา หนา้ ท่ีแตกต่างกนั  ตอ่ มใตส้ มองสว่ นหลังหลง่ั ฮอรโ์ มนซึ่งสรา้ งจากไฮโพ ทาลามสั คอื ADH และออกซิโทซิน ซ่ึงทําหนา้ ท่ี แตกต่างกัน  ตอ่ มไทรอยด์สรา้ งไทรอกซนิ ซง่ึ ควบคุมอัตราเม แทบอลิซมึ ของร่างกาย และสร้างแคลซโิ ทนนิ ซ่ึง ควบคมุ ระดับแคลเซยี มในเลอื ดใหป้ กติ ชัน้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พมิ่ เติม หลักสูตรกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์

หนา้ 106 ม.5  ตอ่ มพาราไทรอยดส์ ร้างพาราทอร์โมนซึ่งควบคมุ ระดบั แคลเซียมในเลอื ดให้ปกติ  ตบั ออ่ นมีกลุ่มเซลล์ที่สรา้ งอินซูลนิ และกลูคากอน ซงึ่ ควบคมุ ระดบั น้ําตาลในเลอื ดให้ปกติ  ตอ่ มหมวกไตสว่ นนอกสรา้ งกลโู คคอรต์ ิคอยด์ มเิ นราโลคอรต์ ิคอยดแ์ ละฮอร์โมนเพศซึ่งมีหนา้ ที่ แตกตา่ งกัน ส่วนต่อมหมวกไตส่วนในสร้างเอพิเนฟริน และนอร์เอพิเนฟรนิ ซ่ึงมหี นา้ ท่เี หมอื นกนั  อัณฑะมกี ลุ่มเซลลส์ รา้ งเทสโทสเทอโรนสว่ นรงั ไขม่ ี กลุม่ เซลลท์ ่ีสร้างอีสโทรเจนและโพรเจสเทอโรนซ่ึงมี หนา้ ที่แตกต่างกัน  เน้ือเยอ่ื บางบรเิ วณของอวยั วะ เช่น รกไทมสั กระ เพาะอาหาร และลาํ ไส้เล็ก สามารถสร้างฮอรโ์ มน ได้ หลายชนิด ซึ่งมหี นา้ ทีแ่ ตกตา่ งกนั  การควบคมุ การหล่ังฮอร์โมนจากตอ่ มไรท้ อ่ มที ้ังการ ควบคมุ แบบป้อนกลับยบั ย้ังและการควบคุมแบบ ปอ้ นกลบั กระตนุ้ เพือ่ รกั ษาดุลยภาพของร่างกาย  ฟโี รโมนเปน็ สารเคมที ผ่ี ลิตจากตอ่ มมที ่อของสตั ว์ ซ่ึง สง่ ผลตอ่ สตั วต์ ัวอืน่ ทเี่ ปน็ ชนดิ เดยี วกนั 17. สบื ค้นขอ้ มลู อธบิ าย เปรยี บเทียบและยก  พนั ธกุ รรมและสงิ่ แวดล้อมมีผลต่อการแสดง ตัวอยา่ งพฤติกรรมท่ีเป็นมาแตก่ าํ เนิด และพฤตกิ รรม พฤตกิ รรม ที่เกิดจากการเรียนร้ขู องสตั ว์  พฤตกิ รรมท่ีเปน็ มาแตก่ ําเนดิ แบง่ ออกไดเ้ ป็นหลาย 18. สืบค้นขอ้ มูล อธิบาย และยกตวั อย่างความ ชนิด เช่น โอเรยี นเตชัน (แทกซสิ และไคนซี ิส) รีเฟล็กซ์ สัมพันธร์ ะหว่างพฤติกรรมกบั วิวฒั นาการของระบบ และฟกิ แอกชนั แพท เทิรน์ ประสาท  พฤติกรรมทเ่ี กิดจากการเรียนรู้ แบ่งไดเ้ ป็น 19. สืบคน้ ข้อมูล อธบิ าย และยกตัวอยา่ งการสือ่ สาร แฮบบชิ เู อชนั การฝังใจ การเชื่อมโยง (การลองผดิ ลอง ระหวา่ งสตั วท์ ี่ทําใหส้ ัตว์แสดงพฤติกรรม ถกู และการมีเงอ่ื นไข) และการใช้เหตุผล  ระดบั การแสดงพฤติกรรมทส่ี ตั วแ์ ต่ละชนิดแสดง ออกจะแตกตา่ งกันซ่ึงเปน็ ผลมาจากวิวฒั นาการของ ระบบประสาทท่ีแตกต่างกนั  การสื่อสารเป็นพฤตกิ รรมทางสังคมแบบหนง่ึ ซึ่งมี หลายวิธี เช่น การสือ่ สารด้วยทา่ ทางการสอ่ื สารด้วย เสยี ง การส่อื สารด้วยสารเคมี และการสอื่ สารดว้ ย การสัมผสั สาระชีววิทยา หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หน้า 107 5. เข้าใจแนวคดิ เก่ียวกบั ระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสารใน ระบบนิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนทีข่ องสิ่งมชี วี ิตในระบบนิเวศประชากร และรูปแบบการเพ่ิมของประชากรทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม ปญั หาและผลกระทบที่เกดิ จาก การใชป้ ระโยชน์และแนวทางการแก้ไขปัญหา ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพิม่ เติม ม.4 - - ม.5 - - ม.6 1. วเิ คราะห์ อธิบายและยกตัวอย่างกระบวน  ระบบนเิ วศจะดํารงอย่ไู ด้ตอ้ งมกี ระบวนการตา่ งๆ การถา่ ยทอดพลังงานในระบบนิเวศ เกิดขนึ้ กระบวนการที่สาํ คญั ไดแ้ ก่ การถ่ายทอด 2. อธิบาย ยกตัวอย่างการเกิดไบโอแมกนฟิ ิเคชันและ พลงั งาน และการหมุนเวียนสารการถา่ ยทอดพลังงาน บอกแนวทางในการลดการเกิดไบโอแมกนฟิ ิเคชัน ในระบบนิเวศสามารถแสดงไดด้ ว้ ยแผนภาพท่ีเรยี กวา่ 3. สบื ค้นขอ้ มูล และเขยี นแผนภาพเพอ่ื อธบิ าย โซอ่ าหาร สายใยอาหารและพรี ะมิดทางนิเวศวิทยา วฏั จกั รไนโตรเจนวฏั จักรกาํ มะถันและวฏั จักร  พลังงานที่ถ่ายทอดไปในแต่ละลาํ ดบั ข้นั การกิน ฟอสฟอรัส อาหารมีปริมาณที่ไม่เท่ากัน พลงั งานสว่ นใหญ่จะ สูญเสยี ไปในรูปความรอ้ นระหวา่ งการถ่ายทอดจาก สง่ิ มีชวี ิตหน่ึงไปยงั สิง่ มีชีวติ อกี ชนิดหนงึ่  การถา่ ยทอดพลังงานในระบบนิเวศบางครั้ง อาจทําให้มีสารพิษสะสมอยใู่ นสงิ่ มชี วี ติ ดว้ ย เรยี กว่า การเกิดไบโอแมกนิฟเิ คชัน ซ่ึงอาจมรี ะดับ ความเข้มขน้ ของสารพษิ มากขนึ้ ตาม ลําดบั ขน้ั ของการ กนิ จนอาจกอ่ ใหเ้ กดิ อนั ตรายต่อส่ิงมชี ีวิต  สารต่างๆ ในระบบนเิ วศมกี ารหมุนเวียนเกดิ ขนึ้ ผ่าน ทงั้ ในสง่ิ มีชวี ิตและส่งิ ไมม่ ีชวี ิตกลับคนื สู่ระบบอยา่ งเป็น วฏั จกั ร เช่น วฏั จักรไนโตรเจน วฏั จกั รกาํ มะถนั และ วฏั จักรฟอสฟอรสั 4. สบื คน้ ขอ้ มลู ยกตัวอย่างและอธิบายลกั ษณะของ  ไบโอมคอื ระบบนเิ วศขนาดใหญ่ทีก่ ระจายอยตู่ าม ไบโอมทีก่ ระจายอยูต่ ามเขตภูมศิ าสตร์ต่างๆบนโลก เขตภูมิศาสตร์ตา่ งๆ บนโลก เช่น ไบโอมทุนดรา ไบ โอมสะวันนาไบโอมทะเลทราย โดยแต่ละไบโอมจะ มลี กั ษณะ เฉพาะของปจั จยั ทางกายภาพชนดิ ของพืช และชนดิ ของสตั ว์ 5. สบื ค้นข้อมลู ยกตวั อยา่ ง อธิบายและเปรยี บเทียบ  ระบบนิเวศมีการเปล่ยี นแปลงได้การเปลย่ี น แปลงที่ การเปล่ยี นแปลงแทนทแี่ บบปฐมภูมิ และการ เกิดขนึ้ อยา่ งชา้ ๆทาํ ให้ระบบนเิ วศสามารถปรับสมดลุ เปล่ียนแปลงแทนท่ีแบบทตุ ิยภมู ิ ได้ แต่การเปล่ยี นแปลงท่ีเกดิ ข้ึนอย่างรวดเร็วอาจส่ง ผลกระทบต่อองคป์ ระกอบทางชีวภาพในระบบนเิ วศทาํ ใหเ้ กิดการเปล่ยี นแปลงแทนท่ีของสิง่ มีชีวติ ข้ึน  การเปลยี่ นแปลงแทนที่ทางนเิ วศวทิ ยามที ้งั การเปลย่ี นแปลงแทนทแี่ บบปฐมภูมิและการ เปลีย่ นแปลงแทนทแี่ บบทุติยภูมิ 6. สบื ค้นข้อมูล อธบิ าย ยกตวั อยา่ งและสรุปเกย่ี วกบั  ประชากรของสิ่งมชี ีวติ ทกุ ชนดิ มีลกั ษณะหลาย ลกั ษณะเฉพาะของประชากรของส่งิ มชี วี ติ บางชนดิ ประการทเี่ ปน็ ลักษณะเฉพาะ เช่น ขนาดของประชากร ความหนาแนน่ ของประชากร การกระจายตัวของ ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพมิ่ เตมิ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หนา้ 108 ม.6 7. สบื ค้นข้อมลู อธิบาย เปรียบเทียบและยกตวั อย่าง สมาชกิ ในประชากร โครง สรา้ งอายขุ องประชากร การเพมิ่ ของประชากรแบบเอ็กโพเนนเชยี ลและ อตั ราสว่ นระหวา่ ง เพศ อัตราการเกดิ และอัตรา การเพ่มิ ของประชากรแบบลอจสิ ตกิ การตายการอพยพเขา้ การอพยพออกของประชากร 8. อธิบายและยกตวั อยา่ งปัจจยั ที่ควบคุมการเติบโต และการรอดชวี ติ ของสมาชิกทม่ี ีอายุตา่ งกัน ของประชากร  ลักษณะเฉพาะของประชากรมอี ิทธิพลต่อการเปลี่ยน แปลงขนาดของประชากรซ่งึ เป็นกระบวนการที่เกดิ ขนึ้ อย่เู สมอ  การเพม่ิ ประชากรแบบเอ็กโพเนนเชยี ลเป็นการเพ่มิ จาํ นวนประชากรอย่างรวดเรว็ แบบทวคี ณู  การเพิ่มประชากรแบบลอจิสตกิ เปน็ การเพ่ิมจํานวน ประชากรทีข่ ึ้นอย่กู ับสภาพแวดล้อมหรอื มตี ัวตา้ นทาน ในสง่ิ แวดล้อมมาเก่ยี วข้อง  การเติบโตของประชากรขึน้ กับปจั จยั ตา่ งๆซ่ึงแบง่ ได้ เป็น ปัจจยั ทขี่ ้ึนกับความหนาแน่นของประชากรและ ปัจจยั ท่ไี มข่ ้ึนกับความหนาแน่นของประชากร  ประชากรมนษุ ย์มีอตั ราการเตบิ โตอยา่ งรวดเรว็ แบบ เอ็กโพเนนเชยี ลหลงั จากการปฏิวัตทิ างอุตสาหกรรม เป็นตน้ มา 9. วเิ คราะห์ อภิปรายและสรุปปัญหา การขาดแคลน  ปัญหาท่ีเกิดกับทรพั ยากรนา้ํ ส่วนใหญ่เกดิ จากการ นํ้า การเกดิ มลพิษทางน้าํ และผลกระทบท่มี ตี ่อมนษุ ย์ ปลอ่ ยน้ําทผี่ ่านการใชป้ ระโยชน์จากกิจกรรมต่างๆ และสิง่ แวดลอ้ มรวมทง้ั เสนอแนวทางการวางแผน ของมนษุ ยแ์ ละยังไมไ่ ดร้ ับการบาํ บดั ลงสแู่ หล่งนาํ้ การจัดการนํา้ และการแก้ไขปัญหา ทําใหเ้ กดิ มลพษิ ทางนา้ํ  การตรวจสอบคุณภาพนาํ้ นยิ มใช้การหาค่าปริมาณ ออกซเิ จนทลี่ ะลายนา้ํ และคา่ ปริมาณออกซเิ จนทจี่ ลุ ินท รีย์ในนํ้าใช้ในการยอ่ ยสลายสารอนิ ทรีย์ในน้ํา  การจดั การทรัพยากรนา้ํ เพอื่ ให้เกิดประโยชนส์ งู สุด ควรมกี ารวางแผนการใช้น้าํ การแกไ้ ขปัญหาคณุ ภาพ น้ํา รวมท้งั การปลูกจติ สาํ นกึ ในการใชน้ ้ําอย่างถกู ตอ้ ง 10. วิเคราะห์ อภิปรายและสรปุ ปญั หามลพิษทาง  การเกดิ มลพิษทางอากาศที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อากาศและผลกระทบท่ีมตี ่อมนุษยแ์ ละสิง่ แวดลอ้ ม เช่น การเกดิ พายุ การเกดิ ไฟป่าและการเกดิ แก๊สพิษ รวมทั้งเสนอแนวทางการแก้ไขปญั หา จากการยอ่ ยสลายของจลุ ินทรีย์  การเกดิ มลพษิ ทางอากาศท่เี กิดจากการกระทาํ ของมนุษย์ เชน่ การใชเ้ ช้ือเพลงิ ฟอสซลิ ในรูปแบบ ตา่ งๆ  การจัดการทรพั ยากรอากาศควรประกอบ ดว้ ยการ กําหนดนโยบายและวางแผนงานเพ่ือปอ้ งกันและแก้ไข รวมทง้ั การปลูกจิตสํานึกในการดแู ลรกั ษาคณุ ภาพ อากาศ ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเติม หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หน้า 109 ม.6 11. วเิ คราะห์ อภิปรายและสรุปปญั หาท่เี กดิ กบั  มลพิษทางดนิ และปญั หาความเสอ่ื มโทรมของดิน ทรพั ยากรดิน และผลกระทบทม่ี ตี อ่ มนษุ ยแ์ ละ ส่วนใหญม่ ีสาเหตุจากการกระทําของมนุษย์ สง่ิ แวดลอ้ ม รวมท้ังเสนอแนวทางการแกไ้ ขปัญหา  การจดั การทรพั ยากรดนิ เพื่อให้เกิดประโยชน์ สงู สุดควรมีการปอ้ งกนั และการแก้ปัญหาการเกิด มลพษิ และความเสื่อมโทรมของดนิ รวมทั้งการปลูก จติ สาํ นกึ ในการใชด้ ินอยา่ งถกู ตอ้ ง 12. วิเคราะห์ อภปิ รายและสรปุ ปญั หาผลกระทบที่  พื้นท่ปี ่าไมท้ ล่ี ดลงอาจมสี าเหตุมาจากธรรมชาติ เช่น เกิดจากการทําลายปา่ ไม้รวมทั้งเสนอแนวทางในการ ไฟป่า แผน่ ดินไหว ภูเขาไฟระเบดิ หรอื อาจมสี าเหตมุ า ป้องกนั การทาํ ลายป่าไมแ้ ละการอนรุ ักษป์ ่าไม้ จากการกระทําของมนษุ ย์ เช่น การตดั ไม้ทําลายปา่ การบกุ รกุ พ้ืนท่ปี ่าเพือ่ ครอบครองท่ีดิน การเผาป่า การทําเหมืองแร่  พืน้ ท่ปี า่ ไม้ทล่ี ดลงทําใหภ้ ูมปิ ระเทศมีสภาพแห้งแลง้ เกดิ อุทกภยั เกดิ การพงั ทลายของดนิ ตลอดจนการเพม่ิ ขน้ึ ของแก๊สคาร์บอนได ออกไซด์ ซ่งึ เป็นแกส๊ เรอื น กระจกชนดิ หน่ึงนอกจากนีท้ าํ ใหส้ ัตวป์ ่าและพืชพรรณ ธรรมชาติลดจาํ นวนลงหรือสญู พนั ธุไ์ ด้  การจัดการทรพั ยากรป่าไมค้ วรจัดการใหม้ ีทรพั ยากร ป่าไมค้ งอย่อู ย่างยง่ั ยืนหรอื เพ่ิมขน้ึ เช่น การกําหนด พืน้ ทีป่ า่ อนรุ กั ษ์ สง่ เสรมิ การปลกู ป่า ป้องกันการบุกรุก ป่า การใชไ้ มอ้ ย่างมีคณุ ค่าและมีประสิทธภิ าพ รวมถึง การปลูกจติ สํานึกเรื่องการอนุรกั ษป์ ่าไม 13. วิเคราะห์ อภิปรายและสรปุ ปญั หาผลกระทบท่ี  การลดจาํ นวนลงของสัตวป์ ่าเปน็ ผลเน่ือง มาจาก ทาํ ให้สัตวป์ ่ามจี ํานวนลดลงและแนวทางในการ การกระทาํ ของมนษุ ยเ์ ป็นสว่ นใหญ่ คอื การทาํ ให้ อนุรกั ษ์สตั ว์ป่า แหล่งท่ีอยู่อาศัยลดลงและการลา่ สัตวป์ ่า  การจัดการทรัพยากรสตั ว์ปา่ ควรมีการดาํ เนนิ การให้ มีพ้นื ทปี่ ่าไมเ้ พ่อื การอยู่อาศัยอย่างเพียงพอ รวมท้ัง การไม่ทาํ รา้ ยสตั วป์ ่าหรือทําให้สัตวป์ ่าลดจาํ นวนลง รวมทัง้ การปลูกจติ สาํ นึกให้ช่วยกนั อนุรกั ษ์ สาระเคมี หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หนา้ 110 1. เขา้ ใจโครงสร้างอะตอม การจดั เรยี งธาตใุ นตารางธาตุ สมบตั ิของธาตุ พนั ธะเคมแี ละสมบัติของ สาร แกส๊ และสมบตั ขิ องแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอนิ ทรยี ์และพอลิเมอร์ รวมทงั้ การนํา ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชัน้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พมิ่ เตมิ ม.4 1. สบื ค้นข้อมูลสมมติฐาน การทดลองหรือผล  นกั วิทยาศาสตรศ์ กึ ษาโครงสร้างของอะตอมและ การทดลองทีเ่ ปน็ ประจกั ษพ์ ยานในการเสนอ เสนอแบบจาํ ลองอะตอมแบบตา่ งๆจากการศึกษา แบบจําลองอะตอมของนกั วิทยาศาสตร์และ ข้อมลู การสังเกต การต้ังสมมติฐานและผลการทดลอง อธบิ ายววิ ฒั นาการของแบบจาํ ลองอะตอม แบบจําลองอะตอมมีววิ ัฒนาการ โดยเริ่มจากดอลตนั เสนอว่าธาตปุ ระกอบดว้ ยอะตอมซง่ึ เป็นอนภุ าคขนาด เล็กไมส่ ามารถแบง่ แยกได้ ตอ่ มาทอมสนั เสนอว่า อะตอมประกอบ ดว้ ยอนภุ าคทม่ี ปี ระจลุ บ เรียกว่า อิเลก็ ตรอนและอนภุ าคประจบุ วก รัทเทอรฟ์ อร์ดเสนอ ว่าประจบุ วกท่เี รียกวา่ โปรตอน รวมตวั กนั อยู่ตรง ก่ึงกลางอะตอม เรียกว่า นวิ เคลียส ซ่งึ มีขนาดเล็กมาก และมอี ิเล็กตรอนอยรู่ อบนวิ เคลียส โบร์เสนอวา่ อเิ ล็กตรอนเคลื่อนทีเ่ ป็นวงรอบนวิ เคลียสโดยแตล่ ะวง มีระดบั พลงั งานเฉพาะตวั ในปัจจบุ นั นักวทิ ยาศาสตร์ ยอมรับวา่ อิเลก็ ตรอนมกี ารเคลื่อนท่รี วดเรว็ รอบ นวิ เคลียสและไมส่ ามารถระบตุ ําแหน่งทแี่ น่นอนได้ จงึ เสนอแบบจําลองอะตอมแบบกลุ่มหมอก ซึง่ แสดง โอกาสการพบอิเลก็ ตรอน รอบนิวเคลยี ส 2. เขียนสัญลกั ษณน์ ิวเคลยี ร์ของธาตุและระบจุ าํ นวน  สัญลกั ษณน์ วิ เคลียร์ของธาตปุ ระกอบด้วย โปรตอน นิวตรอนและอเิ ลก็ ตรอนของอะตอมจาก สัญลกั ษณธ์ าตุ เลขอะตอมซึง่ แสดงจาํ นวนโปรตอน สญั ลกั ษณน์ วิ เคลยี ร์ รวมท้งั บอกความหมายของ และเลขมวลซ่ึงแสดงผลรวมของจาํ นวนโปรตอนกบั ไอโซโทป นวิ ตรอน อะตอมของธาตชุ นดิ เดียวกนั ทม่ี จี าํ นวน โปรตอนเทา่ กนั แตม่ ีจํานวนนิวตรอนต่างกนั เรียกว่า ไอโซโทป 3. อธบิ ายและเขยี นการจัดเรียงอิเลก็ ตรอนในระดบั  การศกึ ษาสเปกตรัมการเปลง่ แสงของอะตอม แกส๊ พลงั งานหลกั และระดบั พลงั งานย่อยเมอ่ื ทราบเลข ทาํ ใหท้ ราบว่า อิเล็กตรอนจัดเรียงอยู่รอบ ๆ นวิ เคลียสใน อะตอมของธาตุ ระดบั พลังงานหลักต่างๆและแต่ละระดบั พลังงานหลกั ยงั แบง่ เปน็ ระดบั พลงั งานยอ่ ยซ่งึ มีบริเวณที่จะพบ อิเล็กตรอนเรยี กวา่ ออรบ์ ทิ ลั ไดแ้ ตกตา่ งกันและ อิเล็กตรอนจะจดั เรียงในออร์บทิ ลั ให้มีระดับพลังงาน ต่ําทส่ี ุดสําหรบั อะตอมในสถานะพื้น 4. ระบุหมู่ คาบ ความเปน็ โลหะ อโลหะและก่งึ โลหะ  ตารางธาตใุ นปจั จบุ ันจดั เรยี งธาตุตามเลขอะตอม ของธาตเุ รพรเี ซนเททฟี และธาตแุ ทรนซชิ นั ในตาราง และสมบตั ิทค่ี ล้ายคลงึ กนั เป็นหมแู่ ละคาบ โดยอาจ ธาตุ แบง่ ธาตุในตารางธาตุเปน็ กลมุ่ ธาตโุ ลหะ กง่ึ โลหะและ อโลหะนอกจากน้ีอาจแบง่ เป็นกลุม่ ธาตุเรพรเี ซนเททีฟ และกลมุ่ ธาตแุ ทรนซิชัน ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเตมิ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์

หนา้ 111 ม.4 5. วิเคราะห์ ละบอกแนวโนม้ สมบัตขิ องธาตุ  ธาตเุ รพรเี ซนเททีฟในหมู่เดียวกันมีจํานวนเวเลนซ์ เรพรีเซนเททีฟตามหมู่และตามคาบ อเิ ลก็ ตรอนเท่ากัน และธาตทุ ่ีอยใู่ นคาบเดยี วกันมี เวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอนในระดบั พลังงานหลักเดียวกันธาตเุ รพรีเซนเททฟี มีสมบตั ิทางเคมคี ล้ายคลึงกนั ตามหมู่ และมีแนวโน้มสมบัตบิ างประการเป็นไปตามหมู่และ ตามคาบเช่น ขนาดอะตอม รศั มไี อออน พลังงานไอ ออไนเซชัน อิเลก็ โทรเนกาตวิ ิตีสมั พรรคภาพ อิเล็กตรอน 6. บอกสมบัตขิ องธาตุโลหะแทรนซิชันและ  ธาตแุ ทรนซชิ นั เปน็ โลหะทีส่ ่วนใหญ่มเี วเลนซ์ เปรยี บเทียบสมบตั กิ ับธาตโุ ลหะในกลุ่มธาตุ อิเล็กตรอนเทา่ กับ 2 มีขนาดอะตอมใกลเ้ คียงกนั มีจดุ เรพรีเซนเททฟี เดอื ดจดุ หลอมเหลวและ 8. สืบคน้ ขอ้ มลู และยกตัวอย่างการนําธาตุมาใช้  สมบัตบิ างประการของธาตุแต่ละชนดิ ทําใหส้ ามารถ ประโยชน์ รวมทั้งผลกระทบต่อส่งิ มชี วี ติ และ นาํ ธาตไุ ปใชป้ ระโยชน์ในด้านต่างๆได้อยา่ งหลากหลาย ส่งิ แวดลอ้ ม ท้งั นีก้ ารนาํ ธาตไุ ปใชต้ อ้ งตระหนกั ถึงผลกระทบทม่ี ตี ่อ สงิ่ มชี วี ิตและส่ิงแวดลอ้ มโดยเฉพาะสารกัมมันตรังสีซึ่ง ตอ้ งมีการจดั การอยา่ งเหมาะสม 9. อธิบายการเกิดไอออนและการเกดิ พนั ธะไอออนกิ  สารเคมีเกิดจากการยดึ เหน่ยี วกนั ด้วยพันธะเคมี ซ่ึง โดยใช้แผนภาพหรือสญั ลกั ษณ์แบบจดุ ของลวิ อิส เก่ยี วข้องกบั เวเลนซอ์ ิเล็กตรอนท่ีแสดงได้ดว้ ยสญั ลกั ษณ์ แบบจดุ ของลวิ อสิ โดยการเกดิ พนั ธะเคมี ส่วนใหญ่ เปน็ ไปตามกฎออกเตต พันธะไอออนกิ เกดิ จากการยึด เหนีย่ วระหวา่ งประจุไฟฟา้ ของไอออนบวกกบั ไอออน ลบส่วนใหญไ่ อออนบวกเกิดจากโลหะเสียอิเลก็ ตรอน และไอออนลบเกิดจากอโลหะรับอเิ ล็กตรอน สารประกอบท่ีเกดิ จากพนั ธะ ไอออนิก เรยี กว่า สารประกอบไอออนิกสาร ประกอบไอออนิกไม่อยูใ่ น รูปโมเลกุล แตเ่ ปน็ โครงผลกึ ท่ปี ระกอบด้วยไอออน บวกและไอออนลบจัดเรียงตัวต่อเนอื่ งกนั ไปทั้งสามมิติ 10. เขียนสตู รและเรียกชอ่ื สารประกอบไอออนกิ  สารประกอบไอออนิกเขยี นแสดงสูตรเคมโี ดยให้ สัญลกั ษณธ์ าตุทเี่ ป็นไอออนบวกไว้ขา้ งหนา้ ตามดว้ ย สญั ลกั ษณธ์ าตทุ ีเ่ ป็นไอออนลบ โดยมีตวั เลขแสดง อตั ราส่วนอยา่ งตํา่ ของจาํ นวนไอออนทเ่ี ป็นองค์ประกอบ  การเรียกชอ่ื สารประกอบไอออนิกทําได้โดยเรยี ก ช่อื ไอออนบวกแลว้ ตามด้วยชื่อไอออนลบ สําหรับ สารประกอบไอออนิกที่เกิดจากโลหะทมี่ ีเลข ออกซิเดชันไดห้ ลายคา่ ต้องระบเุ ลขออกซเิ ดชนั ของ โลหะด้วย 11. คาํ นวณพลังงานทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ปฏิกริ ยิ า  ปฏิกิริยาการเกดิ สารประกอบไอออนิกจากธาตุ การเกดิ สารประกอบไอออนกิ จากวฏั จักร เกยี่ วข้องกับปฏกิ ริ ยิ าเคมีหลายข้ันตอน มีทัง้ ท่ีเปน็ บอรน์ -ฮาเบอร์ ปฏกิ ริ ิยาดูดพลังงานและคายพลงั งาน ซง่ึ แสดงไดด้ ว้ ยวฏั จักรบอร์น-ฮาเบอรแ์ ละ พลงั งานของปฏิกริ ิยาการเกดิ สารประกอบ ไอออนกิ เปน็ ผลรวมของพลังงานทกุ ข้นั ตอน ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พมิ่ เติม หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์

หนา้ 112 ม.4 12. อธบิ ายสมบตั ขิ องสารประกอบไอออนิก  สารประกอบไอออนิกส่วนใหญ่มีลกั ษณะเปน็ ผลกึ ของแขง็ เปราะ มีจุดหลอมเหลวและจดุ เดอื ดสงู ละลาย นํา้ แลว้ แตกตัวเปน็ ไอออนเรยี กวา่ สารละลาย อิเล็กโทรไลต์ เม่ือเปน็ ของแขง็ ไม่นาํ ไฟฟา้ แตถ่ า้ ทาํ ให้ หลอมเหลวหรือละลายในนาํ้ จะนําไฟฟ้า สารละลายของ สารประกอบไอออนิกแสดงสมบัติความเปน็ กรด–เบสต่างกันสารละลายของสารประกอบคลอไรด์มี สมบัติเปน็ กลางและสารละลายของสารประกอบออกไซด์ มสี มบัตเิ ปน็ เบส 13. เขียนสมการไอออนิกและสมการไอออนกิ  ปฏิกริ ิยาของสารประกอบไอออนกิ สามารถเขยี นแสดง สุทธิของปฏิกริ ิยาของสารประกอบ ไอออนกิ ดว้ ยสมการไอออนกิ หรอื สมการไอออนกิ สุทธิ โดยที่ สมการไอออนกิ แสดงสารตง้ั ต้นและผลิตภัณฑ์ทุกชนดิ ที่ แตกตัวไดใ้ นรปู ของไอออนส่วนสมการไอออนกิ สุทธแิ สดง เฉพาะไอออนที่ทําปฏกิ ิริยากนั และผลิตภัณฑท์ เ่ี กดิ ขึ้น 14. อธบิ ายการเกิดพันธะโคเวเลนตแ์ บบพนั ธะ  พนั ธะโคเวเลนตเ์ ปน็ การยดึ เหนย่ี วท่เี กิดขนึ้ ภายใน เด่ยี ว พนั ธะคแู่ ละพนั ธะสามด้วยโครงสร้างลวิ อสิ โมเลกลุ จากการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันของธาตุ ซึ่งส่วนใหญเ่ ปน็ ธาตุอโลหะโดยทั่วไปจะเป็นไปตามกฎ ออกเตต สารทีย่ ึดเหนยี่ วกันด้วยพนั ธะโคเวเลนต์เรยี กว่า สารโคเวเลนต์ พนั ธะโคเวเลนตเ์ กดิ ไดท้ ัง้ พันธะเดีย่ วพันธะ คแู่ ละพันธะสาม ซงึ่ สามารถเขยี นแสดงได้ดว้ ยโครงสรา้ ง ลิวอสิ โดยแสดงอเิ ลก็ ตรอนครู่ ว่ มพันธะด้วยจุดหรือเสน้ และแสดงอเิ ลก็ ตรอนคโู่ ดดเดีย่ วของแตล่ ะอะตอมดว้ ยจุด 15.เขียนสตู รและเรียกชอื่ สารโคเวเลนต์  สูตรโมเลกุลของสารโคเวเลนต์ โดยท่ัวไปเขียนแสดง ด้วยสัญลักษณ์ของธาตุเรยี งลําดับตามค่าอเิ ลก็ โทรเนกาติ วิตจี ากน้อยไปมาก โดยมตี วั เลขแสดงจํานวนอะตอมของ ธาตุ ท่ีมีมากกว่า 1 อะตอมในโมเลกลุ  การเรยี กชือ่ สารโคเวเลนต์ทําไดโ้ ดยเรยี กชือ่ ธาตทุ อี่ ยู่ หนา้ ก่อนแล้วตามด้วยชอ่ื ธาตทุ ี่อยูถ่ ัดมา โดยมีคํานําหนา้ ระบจุ ํานวนอะตอมของธาตทุ ่ีเปน็ องค์ประกอบ 16.วิเคราะห์และเปรยี บเทยี บความยาวพนั ธะ  ความยาวพนั ธะและพลงั งานพนั ธะในสารโคเวเลนต์ และพลังงานพันธะในสารโคเวเลนต์ รวมทัง้ ข้ึนกบั ชนดิ ของอะตอมคู่รว่ มพนั ธะ และชนดิ ของพนั ธะ คํานวณพลังงานท่เี กย่ี วขอ้ งกับปฏิกิรยิ าของ โดยพันธะเดย่ี ว พนั ธะคู่ และพันธะสาม มคี วามยาวพนั ธะ สารโคเวเลนตจ์ ากพลังงานพนั ธะ และพลงั งาน พันธะแตกตา่ งกนั นอกจากนี้ โมเลกุล ช้นั ผลการเรยี นรู้ โคเวเลนต์บางชนดิ มีค่าความยาวพนั ธะและพลังงาน พันธะแตกตา่ งจากของพนั ธะเด่ยี วพนั ธะคู่ และพันธะสาม ซึง่ สารเหลา่ น้ีสามารถเขียนโครงสร้างลิวอิสทีเ่ หมาะสม ได้มากกวา่ 1 โครงสรา้ งท่ีเรยี กวา่ โครงสรา้ งเรโซแนนซ์  พลังงานพันธะนํามาใชใ้ นการคาํ นวณพลงั งานของ ปฏิกิรยิ า ซงึ่ ได้จากผลต่างของพลงั งาน พันธะรวมของ สารตง้ั ต้นกับผลติ ภัณฑ์ สาระการเรยี นรูเ้ พิม่ เติม หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์

หน้า 113 17. คาดคะเนรูปรา่ งโมเลกุลโคเวเลนต์ โดยใชท้ ฤษฎี  รปู ร่างของโมเลกลุ โคเวเลนต์ อาจพจิ ารณาโดยใช้ การผลกั ระหว่างคอู่ เิ ล็กตรอนในวงเวเลนซแ์ ละระบุ ทฤษฎกี ารผลักระหว่างคอู่ ิเลก็ ตรอนในวงเวเลนซ์ สภาพขวั้ ของโมเลกลุ โคเวเลนต์ (VSEPR) ซง่ึ ข้ึนอยู่กับจํานวนพันธะและจาํ นวน อเิ ลก็ ตรอน คโู่ ดดเด่ียวรอบอะตอมกลาง โมเลกุล โคเวเลนต์มีท้งั โมเลกลุ มขี ้ัวและไม่มขี ้วั สภาพข้วั ของ โมเลกุลโคเวเลนต์เป็นผลรวมปรมิ าณเวกเตอรส์ ภาพ ขัว้ ของแตล่ ะพนั ธะตามรูปร่างโมเลกุล 18. ระบชุ นิดของแรงยึดเหนยี่ วระหว่างโมเลกลุ  แรงยดึ เหนี่ยวระหว่างโมเลกลุ ซง่ึ อาจเปน็ แรงแผ่ โคเวเลนต์และเปรยี บเทยี บจุดหลอม เหลวจุดเดอื ด กระจายลอนดอน แรงระหว่างขวั้ และพนั ธะไฮโดรเจน และการละลายนํา้ ของสารโคเวเลนต มีผลตอ่ จดุ หลอมเหลว จุดเดือดและการละลายนาํ้ ของสาร นอกจากนี้สารโคเวเลนตส์ ว่ นใหญ่ยังมีจุด หลอมเหลวและจุดเดอื ดต่ํากวา่ สารประกอบไอออนิก 19. สืบค้นข้อมูลและอธบิ ายสมบัตขิ องสารโคเวเลนต์  สารโคเวเลนตบ์ างชนิดทมี่ โี ครงสร้างโมเลกลุ ขนาด โครงรา่ งตาขา่ ยชนดิ ต่างๆ ใหญ่และมีพันธะโคเวเลนตต์ อ่ เนื่องเปน็ โครงรา่ งตา ข่ายจะมีจดุ หลอม เหลวและจุดเดอื ดสูงสารโคเวเลนต์ โครงร่างตาขา่ ยที่มีธาตอุ งคป์ ระกอบเหมอื นกันแตม่ ี อญั รูปต่างกันจะมีสมบตั ิต่างกัน เช่น เพชรแกรไฟต์ 20. อธบิ ายการเกดิ พันธะโลหะและสมบัติของโลหะ  พนั ธะโลหะเกิดจากเวเลนซ์อิเลก็ ตรอนของทุก อะตอมของโลหะเคล่ือนทีอ่ ย่างอสิ ระไปท่ัวทั้งโลหะ และเกดิ แรงยดึ เหนยี่ วกบั โปรตอนในนวิ เคลียสทกุ ทศิ ทาง  โลหะสว่ นใหญเ่ ปน็ ของแขง็ มีผวิ มนั วาวสามารถตี เป็นแผ่นหรือดงึ เปน็ เส้นได้ นําความร้อนและนาํ ไฟฟ้า ไดด้ ี มีจุดหลอมเหลวและจดุ เดอื ดสงู 21. เปรียบเทยี บสมบัติบางประการของ  สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์และโลหะ สารประกอบไอออนิก สารโคเวเลนต์ และโลหะ มสี มบัตเิ ฉพาะตัวบางประการทแี่ ตกตา่ งกัน เชน่ สบื ค้นขอ้ มูลและนําเสนอตวั อยา่ งการใชป้ ระโยชน์ จุดเดอื ด จุดหลอมเหลว การละลายนา้ํ การนําไฟฟา้ จงึ ของสารประกอบไอออนกิ สารโคเวเลนต์และโลหะ สามารถนาํ มาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ได้ตามความ ได้อย่างเหมาะสม เหมาะสม ม.5 1. อธบิ ายความสมั พันธแ์ ละคาํ นวณปรมิ าตร  พฤติกรรมของแก๊สและความสัมพันธ์ระหวา่ ง ความดันหรอื อุณหภูมิของแก๊สท่ภี าวะตา่ งๆตามกฎ ปริมาตร ความดนั และอุณหภมู ิของแกส๊ อธบิ ายได้ ของบอยล์ กฎของชาร์ล กฎของเกย์–ลสู แซก ด้วยกฎของบอยล์ กฎของชารล์ กฎของเกย–์ ลูสแซก 2. คาํ นวณปรมิ าตร ความดันหรืออุณหภูมิของแก๊ส และกฎรวมแกส๊ ซึง่ สามารถนาํ มาใชใ้ นการคาํ นวณ ทีภ่ าวะต่างๆ ตามกฎรวมแกส๊ ปรมิ าตรความดันหรืออณุ หภูมิของแก๊สทภ่ี าวะต่างๆได้ 3. คํานวณปรมิ าตร ความดนั อุณหภมู ิจํานวนโมล  ความสัมพนั ธ์ระหว่างปริมาตรและจาํ นวนโมลหรือ หรอื มวลของแก๊ส จากความ สมั พันธต์ ามกฎของอา มวลของแกส๊ อธิบายความสมั พนั ธ์ได้ด้วยกฎของอาโว โวกาโดรและกฎแกส๊ อุดมคต กาโดร สาํ หรับความ สมั พันธร์ ะหวา่ งปริมาตร ความ ดนั อุณหภูมิและจาํ นวนโมลของแกส๊ อธบิ ายไดด้ ้วย กฎแก๊สอดุ มคติ ซง่ึ สามารถนํามาใช้ในการคํานวณและ การอธบิ ายการเปลย่ี นแปลงทีเ่ กย่ี วข้องกบั จาํ นวนโมล ของแก๊สทภี่ าวะตา่ งๆได้ ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่ิมเติม หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หนา้ 114 ม.5 4. คํานวณความดันยอ่ ยหรอื จํานวนโมลของแก๊สใน  ในธรรมชาติ แกส๊ ส่วนใหญอ่ ยู่รวมกนั เปน็ แก๊สผสม แก๊สผสม โดยใช้กฎความดันย่อยของดอลตัน ในกรณีที่แก๊สในแกส๊ ผสมไมท่ ําปฏกิ ิริยากนั ความดนั ของแก๊สแตล่ ะชนดิ แปรผันตามเศษสว่ นโมลของแกส๊ ท่ี มีอย่ใู นแก๊สผสมตามกฎความดนั ย่อยของดอลตัน 5. อธบิ ายการแพรข่ องแกส๊ โดยใชท้ ฤษฎีจลน์ของ  แก๊สสามารถแพรไ่ ด้ การแพรข่ องแก๊สอธบิ ายได้ดว้ ย แกส๊ คํานวณและเปรียบเทยี บอัตราการแพร่ของ ทฤษฎจี ลนข์ องแกส๊ ท่ีอณุ หภมู ิเดยี วกนั แกส๊ จะแพร่ได้ แกส๊ โดยใชก้ ฎการแพร่ผ่านของเกรแฮม ช้าหรือเรว็ ขึ้นอยกู่ ับมวลโมเลกุล ม.6 1. สืบค้นขอ้ มูลและนําเสนอตัวอยา่ งสาร ประกอบ  สารประกอบอินทรยี ์เป็นสารประกอบของคารบ์ อน อินทรียท์ ี่มีพันธะเด่ียว พันธะคหู่ รือพันธะสามทีพ่ บ ส่วนใหญ่พบในสง่ิ มีชวี ติ มีโครงสรา้ งหลากหลายและ ในชีวติ ประจาํ วนั แบ่งได้หลายประเภทเนอ่ื งจากธาตุคาร์บอนสามารถ เกดิ พันธะโคเวเลนต์กบั ธาตคุ าร์บอนด้วยพนั ธะเดย่ี ว พันธะคพู่ ันธะสาม นอกจากน้ียงั สามารถเกิดพนั ธะโค เวเลนตก์ ับธาตุอื่นๆ ได้อกี ดว้ ยและมีการนํา สารประกอบอนิ ทรีย์ไปใช้ประโยชน์อยา่ งหลากหลาย 2. เขียนสูตรโครงสร้างลิวอสิ สูตรโครงสร้าง แบบยอ่  โครงสร้างของสารประกอบอนิ ทรยี ์แสดงไดด้ ้วยสตู ร และสูตรโครงสร้างแบบเสน้ ของสาร ประกอบอนิ ทรยี ์ โครงสร้างลิวอสิ สตู รโครงสรา้ งแบบยอ่ หรอื สูตร โครงสร้างแบบเสน้ 3. วเิ คราะหโ์ ครงสร้างและระบุประเภท ของ  สารประกอบอินทรยี ม์ หี ลายประเภท การพจิ ารณา สารประกอบอินทรยี จ์ ากหมฟู่ ังก์ชนั ประเภทของสารประกอบอนิ ทรยี อ์ าจใช้หมฟู่ งั ก์ชนั เปน็ เกณฑ์ได้เป็นแอลเคน แอลคีน แอลไคน์ อะโร มาติกไฮโดรคาร์บอนแอลกอฮอล์ อีเทอร์ เอมนี แอลดไี ฮด์ คโี ตนกรดคารบ์ อกซลิ ิก เอสเทอร์ เอไมด์ 4. เขียนสูตรโครงสรา้ งและเรียกช่อื สาร ประกอบ  การเรียกชือ่ สารประกอบอนิ ทรียป์ ระเภทแอลเคน อินทรยี ์ประเภทตา่ งๆ ทีม่ หี มฟู่ ังก์ชัน ไม่เกนิ 1 หมู่ แอลคีน แอลไคน์ แอลกอฮอลอ์ เี ทอร์ เอมีน แอลดี ตามระบบ IUPAC ไฮดค์ โี ตน กรดคารบ์ อกซลิ ิก เอสเทอร์และเอไมดจ์ ะ เรยี กตามระบบ IUPAC หรอื อาจเรยี กโดยใช้ชอื่ สามญั 5. เขยี นไอโซเมอรโ์ ครงสรา้ งของสาร ประกอบ  ปรากฏการณ์ท่ีสารมีสูตรโมเลกุลเหมอื นกนั แต่มสี มบัติ อินทรยี ป์ ระเภทต่างๆ แตกต่างกนั เรยี กวา่ ไอโซเมอรซิ ึมและเรยี กสารแต่ละ ชนดิ ว่า ไอโซเมอร์ ไอโซเมอรท์ ่มี ีสูตรโมเลกุลเหมือนกนั แต่มีสูตรโครงสรา้ งต่างกนั เรยี กว่า ไอโซเมอรโ์ ครงสรา้ ง 6. วิเคราะหแ์ ละเปรียบเทียบจุดเดือด และการ  สารประกอบอินทรียท์ ีม่ ีหมฟู่ งั ก์ชันขนาดโมเลกุลหรือ ละลายในน้ําของสารประกอบอนิ ทรยี ์ท่ีมหี มฟู่ ังก์ชัน โครงสร้างของสารตา่ งกนั จะมีจดุ เดอื ดและการละลายใน ขนาดโมเลกลุ หรือโครงสรา้ งตา่ งกัน นํา้ ต่างกนั สําหรบั การละลายของสารพิจารณาได้จาก ความมีขั้วของตวั ละลายและตวั ทําละลาย โดยสารสามารถ ละลายไดใ้ นตัวทาํ ละลายท่มี ีข้ัวใกล้เคียงกัน 7. ระบปุ ระเภทของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนและ  สารประกอบอนิ ทรีย์ประเภทแอลเคน แอลคนี เขียนผลติ ภณั ฑ์จากปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ ปฏกิ ริ ยิ า แอลไคน์ อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนเป็นสารประกอบ กบั โบรมีนหรอื ปฏกิ ริ ยิ ากับโพแทสเซยี มเปอร์แมง ไฮโดรคาร์บอน ซง่ึ เมื่อเกิด ปฏกิ ิริยาการเผาไหม้ กาเนต ปฏิกิริยากับโบรมนี และปฏิกิรยิ ากบั โพแทสเซียมเปอร์ แมงกาเนต จะใหผ้ ลของปฏกิ ริ ยิ าตา่ งกัน จงึ สามารถใช้ เป็นเกณฑ์ในการจําแนกประเภทของสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนได หลักสูตรกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์

หน้า 115 ชัน้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เติม ม.6 8. เขียนสมการเคมแี ละอธิบายการเกดิ ปฏิกริ ยิ า  กรดคารบ์ อกซิลกิ ทําปฏกิ ิริยากับแอลกอฮอลไ์ ดเ้ ป็น เอสเทอริฟเิ คชนั ปฏิกริ ิยาการสงั เคราะห์เอไมด์ เอสเทอร์ เรยี กว่า ปฏกิ ิริยาเอสเทอรฟิ เิ คชนั กรดคาร์ ปฏกิ ริ ยิ าไฮโดรลิซิสและปฏกิ ิรยิ าสะปอนนิฟิเคชนั บอกซลิ ิกทาํ ปฏิกริ ิยากับเอมีนเกิดเป็นเอไมด์ เอสเทอร์ 9. ทดสอบปฏกิ ริ ยิ าเอสเทอรฟิ ิเคชัน ปฏกิ ริ ิยาไฮโดร และเอไมด์สามารถเกดิ ปฏิกิรยิ าไฮโดรลิซิสปฏิกริ ิยา ลซิ ิสและปฏกิ ิรยิ าสะปอนนฟิ เิ คชัน ไฮโดรลิซสิ ของเอสเทอร์ในเบสแอลคาไลเรียกว่า ปฏิกิริยาสะปอน นิฟเิ คชัน 10. สบื คน้ ขอ้ มลู และนาํ เสนอตวั อยา่ งการนํา  สารประกอบอนิ ทรียส์ ามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ สารประกอบอนิ ทรีย์ไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจําวนั มากมายในชวี ติ ประจําวันรวมทงั้ นําไปใช้เป็นสารตัง้ ต้น และอุตสาหกรรม และตวั ทําละลายใน 11. ระบุประเภทของปฏิกิรยิ าการเกดิ พอลเิ มอรจ์ าก  พอลิเมอรเ์ ปน็ สารทมี่ ีโมเลกุลขนาดใหญ่ ซ่ึงประกอบ โครงสร้างของมอนอเมอรห์ รอื พอลเิ มอร์ ดว้ ยหน่วยย่อยที่เรียกวา่ มอนอเมอรเ์ ชือ่ มต่อกันด้วย พันธะโคเวเลนต์ โดยมีทงั้ พอลิเมอรธ์ รรมชาตแิ ละพอลิ เมอร์ สงั เคราะห์ปฏิกิริยาการเกิดพอลเิ มอร์ อาจเปน็ ปฏกิ ริ ิยาแบบควบแน่นหรือปฏกิ ิริยาแบบเติมขึ้นอยกู่ ับ หมู่ฟังก์ชันและโครงสร้างของมอนอเมอร์ 12. วเิ คราะห์และอธิบายความสัมพนั ธร์ ะหว่าง  พอลเิ มอรม์ โี ครงสร้างตา่ งกัน อาจเป็นโครงสรา้ ง โครงสร้างและสมบัติของพอลเิ มอร์รวมทั้งการนาํ ไป แบบเสน้ แบบก่ิงหรอื แบบรา่ งแหข้นึ อย่กู ับชนดิ ของมอ ใช้ประโยชน์ นอเมอรแ์ ละภาวะของปฏกิ ริ ิยาการเกดิ พอลิเมอร์ ซ่ึง โครงสรา้ งของพอลเิ มอรส์ ง่ ผลตอ่ จุดหลอมเหลวความ หนาแนน่ ความเปราะความเหนียว ความยืดหยุ่นจึง สามารถนาํ ไปประยกุ ตใ์ ช้ไดอ้ ยา่ งหลากหลาย 13. ทดสอบและระบุประเภทของพลาสติกและ  พอลเิ มอร์ที่ให้ความรอ้ น แล้วสามารถนํากลับมาขึน้ ผลติ ภัณฑย์ าง รวมท้งั การนาํ ไปใช้ประโยชน์ต่างกัน รปู ใหมไ่ ด้ เรียกวา่ พอลเิ มอร์เทอร์มอพลาสติกส่วน ใหญม่ ีโครงสร้างแบบเสน้ และแบบกิ่ง ส่วนพอลิเมอร์ ที่ให้ความรอ้ นแลว้ ไมอ่ อ่ นตัวจงึ ไมส่ ามารถนํากลบั มาขนึ้ รูปใหม่ได้ เรียกวา่ พอลเิ มอรเ์ ทอร์มอเซต มี โครง สร้างแบบรา่ งแห พลาสตกิ มที ง้ั ท่เี ป็นพอลิเมอร์ เทอรม์ อพลาสติก และพอลิเมอรเ์ ทอร์มอเซต ผลติ ภณั ฑ์ยางเปน็ พอลเิ มอรเ์ ทอร์มอเซต ซ่ึงทําให้มี สมบัติและการนาํ ไปใช้ ประโยชน์ต่างกนั 14. อธิบายผลของการปรับเปลี่ยนโครง สร้างและ  การปรับเปล่ยี นโครงสรา้ งหรือการสงั เคราะห์พอลเิ ม การสังเคราะห์พอลเิ มอรท์ ่มี ีต่อสมบตั ขิ องพอลเิ มอร์ อร์ เช่น วลั คาไนเซชนั การสังเคราะห์ โคพอลิเมอร์ การสังเคราะห์ พอลเิ มอรน์ าํ ไฟฟา้ เป็นการปรบั ปรุง คุณภาพของพอลเิ มอร์ เพอ่ื ให้ได้ผลติ ภัณฑ์ที่สามารถ นําไปใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่างเหมาะสมและหลากหลาย มากขนึ้ 15. สืบค้นขอ้ มูลและนาํ เสนอตวั อยา่ งผล กระทบ  การใชแ้ ละการกาํ จัดผลิตภัณฑ์พอลเิ มอรอ์ าจสง่ ผล จากการใช้และการกาํ จดั ผลิตภณั ฑ์พอลิเมอรแ์ ละ กระทบตอ่ สง่ิ มีชวี ติ และสิ่งแวดล้อมจงึ ควรตระหนกั ถงึ แนวทางแก้ไข ผลกระทบทเ่ี กดิ ขนึ้ และแนวทางแกไ้ ข หลักสูตรกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หน้า 116 สาระเคมี 2. เขา้ ใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปรมิ าณสัมพันธใ์ นปฏิกริ ยิ าเคมี อัตราการเกดิ ปฏกิ ิริยา เคมี สมดลุ ในปฏกิ ิรยิ าเคมี สมบตั แิ ละปฏิกริ ยิ าของกรด–เบส ปฏกิ ริ ิยารดี อกซแ์ ละเซลล์เคมไี ฟฟา้ รวมทงั้ การนาํ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพม่ิ เติม ม.4 1. แปลความหมายสัญลกั ษณ์ในสมการเคมเี ขียน  ปฏกิ ิริยาเคมเี ป็นการเปลี่ยนแปลงท่มี ีสารใหมเ่ กดิ ขึน้ และดุลสมการเคมีของปฏกิ ิรยิ าเคมบี างชนดิ จากการจดั เรียงตัวใหม่ของอะตอมธาตุ โดยจาํ นวน และชนดิ ของอะตอมธาตุไมเ่ ปลี่ยนแปลงปฏกิ ริ ิยาเคมี เขยี นแสดงได้ดว้ ยสมการเคมี ซึง่ ประกอบดว้ ยสตู รเคมี ของสารตงั้ ตน้ และผลติ ภณั ฑ์ ลูกศรแสดงทิศทางของ การเกิดปฏกิ ิรยิ า และเลขสัมประสิทธิข์ องสารต้ังต้น และผลติ ภณั ฑ์ท่ดี ลุ แล้ว นอกจากนีอ้ าจมสี ญั ลกั ษณ์ แสดงสถานะของสารหรือปจั จัยอ่นื ท่ีเกย่ี วขอ้ งในการ เกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี  การดุลสมการเคมที ําไดโ้ ดยการเติมเลขสมั ประสทิ ธ์ิ หนา้ สารตง้ั ต้นและผลิตภัณฑ์เพ่อื ให้อะตอมของธาตุใน สารตงั้ ตน้ และผลติ ภณั ฑเ์ ท่ากัน 2. คํานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมี  การเปลย่ี นแปลงปรมิ าณสารในปฏิกิรยิ าเคมีมี ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั มวลสาร ความสมั พันธ์กันตามเลขสมั ประสทิ ธิ์ในสมการเคมี 3. คาํ นวณปริมาณของสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมที ี่ ซงึ่ บอกถึงอัตราสว่ น โดยโมลของสารในปฏกิ ิริยา เกย่ี วข้องกับความเข้มขน้ ของสารละลาย สามารถนาํ มาใช้ในการคาํ นวณปรมิ าณของสารท่ี 4. คํานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ิรยิ าเคมีที่ เกย่ี วขอ้ งกับมวลความเขม้ ข้นของสารละลายและ เกี่ยวข้องกบั ปรมิ าตรแก๊ส ปรมิ าตรของแกส๊ ได้ 5. คํานวณปรมิ าณของสารในปฏกิ ริ ยิ าเคมีหลาย  ความสมั พนั ธ์ของโมลสารตงั้ ตน้ และผลติ ภณั ฑ์ ขั้นตอน ในปฏกิ ริ ิยาเคมหี ลายข้ันตอนพจิ ารณาได้จากเลข สัมประสทิ ธิ์ของสมการเคมีรวม 6. ระบุสารกําหนดปริมาณและคํานวณปรมิ าณสาร  ปฏิกริ ยิ าเคมีทส่ี ารต้งั ต้นทาํ ปฏิกิรยิ าไมพ่ อดีกัน ต่างๆในปฏิกริ ิยาเคมี สารตัง้ ต้นทีท่ าํ ปฏิกิรยิ าหมดก่อน เรียกว่า สารกําหนด ปริมาณ ซ่งึ เป็นสารทีก่ าํ หนดปรมิ าณผลติ ภณั ฑ์ทเี่ กดิ ขึน้ และปริมาณสารตั้งต้นอืน่ ทท่ี ําปฏกิ ิริยาไปเม่อื สิ้นสุด ปฏกิ ิริยา 7. คาํ นวณผลได้รอ้ ยละของผลติ ภณั ฑใ์ นปฏิกริ ยิ า  ผลติ ภัณฑท์ ี่เกดิ ข้ึนจริงในปฏกิ ิรยิ าเคมีส่วนใหญ่มี เคมี ปริมาณน้อยกวา่ ที่คํานวณได้ตามทฤษฎี ซง่ึ คา่ เปรยี บเทยี บผลไดจ้ ริงกับผลได้ตามทฤษฎีเปน็ รอ้ ยละ เรียกว่า ผลไดร้ อ้ ยละ ม.5 1. ทดลองและเขียนกราฟการเพ่ิมขึน้ หรอื ลดลงของ  ปฏิกริ ิยาเคมีแตล่ ะปฏกิ ริ ิยามีอตั ราการเกิดปฏิกิรยิ า สารทที่ ําการวัดในปฏกิ ิรยิ า เคมีตา่ งกนั โดยอาจวัดจากการลดลงของสารตั้งต้น 2. คาํ นวณอตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมแี ละเขียนกราฟ หรอื การเพิม่ ขึ้นของผลิตภณั ฑ์ตอ่ หนึ่งหนว่ ยเวลาและ การลดลงหรอื เพม่ิ ข้นึ ของสารท่ีไม่ได้วัดในปฏิกริ ิยา หารด้วยเลขสมั ประสิทธขิ์ องสารน้นั ๆ ในสมการเคมี เพื่อให้ได้อตั ราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมที ่เี ท่ากนั ไมว่ า่ จะ เปน็ การวดั จากสารตัง้ ตน้ หรอื ผลิตภัณฑ์ ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พ่มิ เตมิ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หน้า 117 ม.5 3. เขียนแผนภาพและอธิบายทิศทางการชนกัน  ปฏิกริ ยิ าเคมจี ะเกิดขน้ึ ได้ก็ต่อเมอ่ื อนุภาคของสาร ของอนุภาคและพลงั งานท่ีส่งผลตอ่ อัตราการเกิด ตงั้ ต้นชนกันในทิศทางทีเ่ หมาะสมและมพี ลังงานอยา่ ง ปฏิกิริยาเคมี น้อยเทา่ กับพลังงานก่อกมั มนั ต์ ดงั น้ันอตั ราการเกดิ ปฏิกิรยิ าจงึ ขึ้นกับทศิ ทางการชนและพลงั งานท่เี กดิ จาก การชน 4. ทดลองและอธบิ ายผลของความเขม้ ข้นพ้ืนทผ่ี วิ  อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมขี องสารหนง่ึ ๆข้ึนอยู่กบั ของสารตัง้ ตน้ อณุ หภูมิ และตัวเร่งปฏกิ ริ ยิ าทีม่ ีตอ่ ความเข้มขน้ พืน้ ที่ผิว อณุ หภูมติ ัวเรง่ และตวั หน่วง อัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี ปฏิกริ ิยา นอกจากนอี้ ตั ราการเกิด ปฏิกิรยิ าเคมียงั ข้ึนอยู่ 5. เปรียบเทียบอัตราการเกิดปฏิกิริยาเมื่อมีการ กับชนดิ ของสารท่ที ําปฏกิ ิรยิ าดว้ ย เปล่ยี นแปลงความเขม้ ข้น พ้นื ท่ีผวิ ของสารต้ังต้น อุณหภูมแิ ละตัวเร่งปฏกิ ริ ิยา 7. ทดสอบและอธิบายความหมายของ  ปฏิกิรยิ าเคมีทส่ี ามารถดําเนนิ ไปขา้ งหน้าและ ปฏิกริ ยิ าผันกลบั ได้และภาวะสมดุล ย้อนกลบั ได้ เรยี กวา่ ปฏิกริ ิยาผนั กลบั ได้เมือ่ ปฏกิ ิรยิ า 8. อธิบายการเปลยี่ นแปลงความเขม้ ข้นของสาร ดําเนนิ ไปความเขม้ ขน้ ของสารต้ังต้นและอตั ราการเกดิ อตั ราการเกิดปฏกิ ิริยาไปขา้ งหน้าและอัตราการ ปฏกิ ิริยาไปข้างหนา้ จะลดลงส่วนความเข้มข้นของ เกดิ ปฏกิ ริ ิยาย้อนกลบั เม่ือเรมิ่ ปฏกิ ิรยิ าจนกระท่ัง ผลติ ภัณฑแ์ ละอัตรา การเกดิ ปฏกิ ิริยาย้อนกลบั จะ ระบบอยใู่ นภาวะสมดุล เพ่ิมข้ึน เม่ืออัตราการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาไปข้างหนา้ เท่ากับ อตั ราการเกิดปฏิกริ ิยาย้อนกลับ ระบบจะอยู่ในภาวะ สมดุลทม่ี คี วามเข้มขน้ ของสารตง้ั ต้นและผลติ ภณั ฑค์ งท่ี เรียกว่า สมดุลพลวัต 9. คํานวณคา่ คงทีส่ มดลุ ของปฏิกริ ิยา  ณ ภาวะสมดลุ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งความเข้มขน้ ของ 10. คํานวณความเข้มข้นของสารท่ภี าวะสมดุล ผลิตภัณฑ์กบั สารตง้ั ต้นแสดงได้ด้วยค่าคงที่สมดุล ซ่งึ เปน็ ค่าคงท่ี ณ อุณหภมู ิหน่งึ 11. คํานวณค่าคงท่ีสมดุลหรือความเข้มข้นของ  ค่าคงทส่ี มดุลของปฏิกริ ยิ าหลายข้นั ตอน หาได้จากผล ปฏิกริ ิยาหลายขน้ั ตอน คณู ของค่าคงทีส่ มดลุ ของปฏิกริ ิยายอ่ ยทนี่ ําสมการเคมี มารวมกัน โดยถ้ามกี ารคณู สมการยอ่ ยใหย้ กกาํ ลัง ค่าคงท่ีสมดลุ ดว้ ยตัวเลขทคี่ ณู และหากมี การกลบั ข้างสมการใหก้ ลับคา่ คงท่สี มดุลเป็นตัวหาร 12. ระบุปจั จัยท่มี ีผลตอ่ ภาวะสมดลุ และค่าคงที่  เมือ่ ระบบท่ีอยู่ในภาวะสมดลุ ถกู รบกวนโดยการเปลยี่ น สมดลุ ของระบบ รวมทั้งคาดคะเนการเปลีย่ น แปลงความเขม้ ขน้ ของสารความดันหรอื อุณหภมู ิ ระบบ แปลงทีเ่ กิดข้นึ เมอ่ื ภาวะสมดุลของระบบถกู จะเกิดการเปล่ียนแปลงเพอื่ เข้าสภู่ าวะสมดลุ อกี ครง้ั ตาม รบกวน โดยใชห้ ลกั ของเลอชาเตอลเิ อ หลักของเลอชาเตอลิเอ ทง้ั น้กี ารเปลี่ยนแปลงอุณหภมู มิ ี ผลทําใหค้ ่าคงที่สมดุลเปล่ียนแปลง 13. ยกตวั อย่างและอธบิ ายสมดุลเคมีของ  ความรู้เกยี่ วกบั สมดลุ เคมสี ามารถนํามาใช้อธบิ าย กระบวนการทเี่ กดิ ข้ึนในสิ่งมีชีวติ ปรากฏ การณ์ใน กระบวนการท่เี กิดข้นึ ในสิ่งมีชีวติ ปรากฏการณใ์ น ธรรมชาตแิ ละกระบวนการในอุตสาหกรรม ธรรมชาติและกระบวนการในอตุ สาหกรรม 14. ระบแุ ละอธิบายว่าสารเปน็ กรดหรอื เบสโดยใช้  สารในชีวติ ประจาํ วันหลายชนดิ มสี มบัตเิ ป็นกรดหรือ ทฤษฎกี รด–เบสของอาร์เรเนยี สเบรินสเตด–ลาวรี เบส ซงึ่ พิจารณาไดโ้ ดยใช้ทฤษฎกี รด-เบสของอารเ์ รเนียสเบ และลวิ อิส รนิ สเตด–ลาวรีหรือลิวอสิ 15. ระบุคู่กรด-เบสของสารตามทฤษฎีกรด-เบส  ตามทฤษฎกี รด-เบสของเบรินสเตด–ลาวรีเม่อื กรด ของเบรนิ สเตด-ลาวรี หรอื เบสละลายนํา้ หรอื ทาํ ปฏกิ ิรยิ ากับสารอ่นื จะมี การถ่ายโอนโปรตอนระหว่างสารตั้งตน้ ที่เปน็ กรดและเบส ชัน้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พมิ่ เตมิ หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์

หนา้ 118 ม.5 เกิดเป็นผลติ ภัณฑซ์ งึ่ เปน็ โมเลกลุ หรือไอออนที่เป็นคู่ กรด-เบสของสารตงั้ ต้นน้นั โดยสารที่เปน็ คู่กรด-เบส กนั จะมีโปรตอนตา่ งกนั 1 โปรตอน 16. คาํ นวณและเปรียบเทยี บความสามารถใน  กรดและเบสแตล่ ะชนิดสามารถแตกตัวในนา้ํ ได้ การแตกตัวหรอื ความแรงของกรดและเบส แตกต่างกนั กรดแก่หรือเบสแก่สามารถแตกตวั เปน็ ไอออนในน้ําได้เกอื บสมบรู ณส์ ่วนกรดออ่ นหรือเบส อ่อนแตกตัวเปน็ ไอออนไดน้ ้อย โดยความสามารถ ในการแตกตัวหรือความแรงของกรดหรอื เบสอาจ พจิ ารณาได้จากค่าคงท่กี ารแตกตวั ของกรดหรือเบส หรอื ปริมาณการแตกตัวเป็นรอ้ ยละของกรดหรือเบส 17. คํานวณค่า pH ความเขม้ ข้นของไฮโดรเนยี ม  นํ้าบรสิ ุทธท์ิ ่อี ณุ หภมู ิ 25 องศาเซลเซียสแตกตวั ให้ ไอออนหรือไฮดรอกไซดไ์ อออนของสารละลายกรด ไฮโดรเนยี มไอออนและไฮดรอกไซดไ์ อออนท่มี ีความ และเบส เข้มข้นเท่ากนั คอื 1.0 x 10-7โมลตอ่ ลิตรโดยมคี า่ คงท่ี การแตกตัวของน้าํ เท่ากับ 1.0 x 10-14 18. เขียนสมการเคมีแสดงปฏกิ ิริยาสะเทนิ และระบุ  ปฏกิ ิริยาสะเทนิ ระหวา่ งกรดแก่ และเบสแกใ่ ห้ ความเป็นกรด-เบสของสารละลายหลังการสะเทนิ สารละลายทเ่ี ปน็ กลาง ปฏกิ ิริยาสะเทินระหว่างกรดแก่ 19. เขียนปฏิกิริยาไฮโดรลซิ ิสของเกลอื และระบุ และเบสอ่อน ให้สารละลายท่เี ปน็ กรด ส่วนปฏกิ ิรยิ า ความเป็นกรด-เบสของสารละลายเกลอื สะเทินระหว่างกรดออ่ นและเบสแก่ให้สารละลายที่ เปน็ เบส  เกลอื ทไี่ ด้จากการสะเทินของกรดแก่ด้วยเบสอ่อน เม่ือละลายในน้าํ จะเกิดปฏิกิริยาไฮโดรลซิ สิ ไดส้ าร ละลายท่ีมสี มบัติเปน็ กรดสว่ นเกลือทไ่ี ด้จากการสะเทนิ ของกรดออ่ นด้วยเบสแก่ เมือ่ ละลายในนํา้ จะเกดิ ปฏกิ ิริยาไฮโดรลซิ ิสไดส้ ารละลายทม่ี ีสมบัตเิ ป็นเบส 20. ทดลองและอธิบายหลักการการไทเทรตและ  การไทเทรตเปน็ เทคนคิ ในการวเิ คราะห์หาปรมิ าณ เลือกใชอ้ นิ ดเิ คเตอรท์ เี่ หมาะสมสําหรบั การไทเทรต หรือความเขม้ ข้นของสารทีท่ าํ ปฏิกริ ิยาพอดกี นั จุดที่ กรด-เบส สารทําปฏกิ ิรยิ าพอดกี นั เรยี กวา่ จดุ สมมลู ในทางปฏบิ ตั ิ จดุ สมมูลของปฏิกริ ิยา  อาจไม่สามารถสังเกตเหน็ ได้ จึงสังเกตจากการเปลีย่ น สขี องอินดิเคเตอร์ เพือ่ บอกจดุ ยตุ ขิ องการไทเทรต ดังนน้ั อินดเิ คเตอร์ทเี่ หมาะ สมในการไทเทรตกรด-เบส ควรเป็นอินดิเคเตอร์ทเ่ี ปลีย่ นสใี นช่วง pH ตรงกับหรือ ใกล้ เคยี งกับ pH ของสารละลาย ณ จุดสมมูล 21. คาํ นวณปริมาณสารหรือความเขม้ ขน้ ของ  ปรมิ าณกรด และเบสทท่ี าํ ปฏกิ ริ ิยาพอดีกนั จาก สารละลายกรดหรอื เบสจากการไทเทรต การไทเทรตกรด-เบส สามารถนําไปคาํ นวณความ เขม้ ขน้ ของกรดหรือเบสทตี่ ้องการทราบความเข้มข้นได้ 22. อธบิ ายสมบัตอิ งค์ประกอบและประโยชน์ของ  สารละลายบฟั เฟอร์เป็นสารละลายของกรดอ่อนกบั สารละลายบัฟเฟอร์ เกลอื ของกรดอ่อนนัน้ หรอื เบสออ่ นกบั เกลอื ของเบส อ่อนนัน้ เมอื่ เติมกรด เบสหรือนาํ้ จะมีผลต่อ การเปลีย่ นแปลงค่า pHนอ้ ยกวา่ สารละลายทว่ั ไป สมบตั ิเฉพาะของสารละลายบัฟเฟอร์เปน็ ประโยชนต์ ่อ การควบคุม pH ของระบบในสงิ่ มชี ีวิตและสิง่ แวดลอ้ ม ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พมิ่ เติม หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หน้า 119 ม.5 23. สบื คน้ ข้อมลู และนาํ เสนอตัวอยา่ งการใช้  ความรเู้ กย่ี วกบั กรด-เบส สามารถนํามาใช้ประโยชน์ ประโยชน์และการแก้ปัญหาโดยใชค้ วามรูเ้ กยี่ วกบั และแก้ปัญหาในชีวิตประจาํ วันเกษตรกรรม กรด–เบส อตุ สาหกรรมและการแพทย์ 24. คํานวณเลขออกซเิ ดชัน และระบปุ ฏิกิรยิ าท่เี ปน็  เคมไี ฟฟ้าเป็นการศกึ ษาเกีย่ วกับการเปล่ียน แปลง ปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ์ ระหว่างพลงั งานไฟฟ้าและการเกิด ปฏกิ ิริยาเคมีทม่ี ี การถา่ ยโอนอิเลก็ ตรอนแล้วทาํ ให้เกดิ การเปลย่ี นแปลง เลขออกซิเดชนั ซ่ึงเปน็ เลขท่ีแสดงประจุไฟฟ้าหรือ ประจไุ ฟฟ้าสมมตขิ องอะตอมธาตุ เรียกปฏิกริ ยิ าชนิดนี้ ว่า ปฏกิ ริ ยิ ารดี อกซ์ 26. ทดลองและเปรียบเทียบความสามารถในการ  การเปรียบเทียบความสามารถในการเปน็ ตัวรดี ิวซ์ เปน็ ตัวรดี วิ ซห์ รือตวั ออกซิไดสแ์ ละเขยี นแสดง หรอื ตวั ออกซิไดสส์ ามารถพจิ ารณาได้จากผลการทดล ปฏกิ ิริยารดี อกซ์ องของปฏกิ ิรยิ ารีดอกซ์ 27. ดลุ สมการรดี อกซด์ ้วยการใชเ้ ลขออกซิเดชันและ  ปฏิกริ ิยารีดอกซ์เขียนแทนได้ดว้ ยสมการรีดอกซ์ วธิ คี รึ่งปฏกิ ริ ยิ า ซึ่งการดลุ สมการรดี อกซท์ ําได้โดยการใช้เลขออกซเิ ดชัน และวิธีครึ่งปฏกิ ิริยา 28. ระบอุ งค์ประกอบของเซลลเ์ คมไี ฟฟา้ และเขยี น  เซลล์เคมีไฟฟ้าประกอบด้วยแอโนด แคโทดและ สมการเคมีของปฏกิ ริ ิยาทีแ่ อโนดและแคโทด สารละลายอิเล็กโทรไลต์ ซงึ่ อาจเชือ่ มตอ่ กันด้วย ปฏกิ ริ ิยารวมและแผนภาพเซลล์ สะพานเกลอื โดยทแ่ี อโนดเกิดปฏิกริ ิยาออกซเิ ดชนั และแคโทดเกดิ ปฏกิ ริ ิยารดี กั ชัน ทาํ ให้อเิ ล็กตรอน เคลอ่ื นทีจ่ ากแอโนดไปแคโทด เซลล์เคมีไฟฟ้า สามารถเขยี นแสดงได้ด้วยแผนภาพเซลล์ 29. คํานวณค่าศกั ยไ์ ฟฟา้ มาตรฐานของเซลลแ์ ละ  ค่าศักยไ์ ฟฟ้ามาตรฐานของเซลลค์ าํ นวณได้จากค่า ระบุประเภทของเซลล์เคมไี ฟฟา้ ขว้ั ไฟฟ้าและ ศกั ยไ์ ฟฟ้ามาตรฐานของคร่งึ เซลล์ ถ้าคา่ ศกั ยไ์ ฟฟ้าของ ปฏิกริ ิยาเคมีท่เี กิดข้นึ เซลล์เปน็ บวก แสดงว่าปฏิกิรยิ ารีดอกซ์เกดิ ข้นึ ได้เอง ซ่งึ ทําใหเ้ กิดกระแส ไฟฟา้ เรยี กเซลล์ชนิดนี้วา่ เซลล์ กลั วานกิ แตถ่ า้ คา่ ศักย์ไฟฟา้ ของเซลล์เป็นลบ แสดงวา่ ปฏกิ ิริยา รีดอกซ์ไมส่ ามารถเกิดไดเ้ องต้องมกี ารให้ กระแสไฟฟา้ จงึ จะเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าได้เซลล์ชนดิ นี้เรยี กว่า เซลล์อเิ ลก็ โทรลิตกิ 30. อธิบายหลกั การทาํ งานและเขยี นสมการแสดง  เซลลเ์ คมไี ฟฟา้ สามารถนําไปใช้ประโยชน์ไดใ้ น ปฏิกิริยาของเซลล์ปฐมภูมิและเซลล์ทุตยิ ภูมิ ชวี ิตประจาํ วัน เชน่ แบตเตอรี่ ซ่ึงมีทงั้ เซลล์ปฐมภมู ิ และเซลลท์ ตุ ิยภูมิ โดยปฏิกริ ยิ าเคมที เี่ กิดข้นึ ภายใน เซลลป์ ฐมภมู ิไมส่ ามารถทาํ ให้เกดิ ปฏกิ ริ ิยาย้อนกลับได้ โดยการประจุไฟ จงึ ไมส่ ามารถนํากลบั มาใช้ได้อกี ปฏกิ ิริยาเคมีท่เี กดิ ขน้ึ ภายในเซลลท์ ุติยภมู สิ ามารถทํา ใหเ้ กดิ ปฏิกริ ิยาย้อนกลบั ได้โดยการประจไุ ฟ จงึ นาํ กลับมาใช้ไดอ้ กี 31. ทดลองชบุ โลหะและแยกสารเคมีดว้ ยกระแส  เซลล์อเิ ล็กโทรลติ ิกสามารถนําไปใช้ประโยชนไ์ ด้ท้งั ไฟฟา้ และอธบิ ายหลักการทางเคมี ไฟฟ้าท่ีใช้ใน ในชวี ิตประจาํ วันและในอุตสาหกรรมหลายประเภท การชบุ โลหะ การแยกสารเคมีดว้ ยกระแสไฟฟา้ เช่น การชบุ โลหะการแยกสารเคมีด้วยกระแสไฟฟา้ การทําโลหะให้บริสุทธิแ์ ละการปอ้ งกันการกดั กรอ่ น การทาํ โลหะให้บริสทุ ธิ์ การปอ้ งกันการกดั กร่อนของ ของโลหะ โลหะ ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เติม หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์

หน้า 120 32. สบื ค้นขอ้ มูลและนําเสนอตวั อย่างความกา้ วหนา้  ปฏิกริ ยิ าเคมีหลายปฏกิ ิรยิ าทพี่ บในชวี ติ ประจาํ วนั ทางเทคโนโลยที เ่ี กยี่ วขอ้ งกับเซลลเ์ คมไี ฟฟ้าใน เปน็ ปฏิกิรยิ ารีดอกซ์ เช่น ปฏกิ ิรยิ าการเผาไหม้ ชีวิตประจาํ วัน ปฏกิ ิรยิ าในเซลลเ์ คมีไฟฟา้ ซึ่งความร้เู ร่ืองเซลล์เคมี ไฟฟา้ และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทีเ่ ก่ยี วข้องกับ เซลลเ์ คมีไฟฟา้ นําไปส่นู วัตกรรมด้านพลงั งานที่เปน็ มติ รต่อสิง่ แวดล้อม ม.6 - - สาระเคมี หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หนา้ 121 3. เข้าใจหลักการทําปฏบิ ัติการเคมี การวดั ปรมิ าณสาร หน่วยวดั และการเปลยี่ นหน่วยการคํานวณ ปรมิ าณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทง้ั การบรู ณาการความรแู้ ละทักษะในการอธบิ ายปรากฏ การณ์ในชีวิตประจําวนั และการแก้ปัญหาทางเคมี ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเติม ม.4 1. บอกและอธบิ ายขอ้ ปฏบิ ัติเบอ้ื งต้นและปฏบิ ัติ  การทาํ ปฏบิ ัตกิ ารเคมตี อ้ งคํานงึ ถึงความปลอดภยั และ ตนทแ่ี สดงถงึ ความตระหนกั ในการทําปฏิบตั กิ าร ความเปน็ มติ รต่อสงิ่ แวดลอ้ มดงั น้นั จึงควรศึกษาขอ้ เคมีเพ่ือใหม้ ีความปลอดภัยท้งั ต่อตนเอง ผู้อน่ื และ ปฏบิ ตั ิของการทําปฏิบัติ การเคมี เช่น ความปลอดภัยใน สง่ิ แวดลอ้ มและเสนอแนวทางแกไ้ ขเมือ่ เกิด การใช้อุปกรณ์และสารเคมกี ารป้องกันอุบตั ิเหตรุ ะหว่าง อุบัติเหตุ การทดลองการกําจดั สารเคมี 2. เลอื กและใชอ้ ุปกรณ์หรือเครอื่ งมอื ในการทํา  อปุ กรณแ์ ละเครอื่ งมอื ช่ัง ตวง วัดแตล่ ะชนิดมี ปฏิบตั ิการและวัดปริมาณตา่ งๆได้อยา่ งเหมาะสม วิธีการใชง้ าน และการดูแลแตกตา่ งกันซง่ึ การวดั ปรมิ าณต่างๆให้ได้ขอ้ มูลทีม่ ีความเท่ยี งและความแม่นใน ระดับนัยสําคัญที่ตอ้ งการตอ้ งมีการเลอื กและใชอ้ ปุ กรณ์ ในการทําปฏบิ ตั กิ ารอยา่ งเหมาะสม 3. นาํ เสนอแผนการทดลอง ทดลองและเขยี น  การทาํ ปฏบิ ตั ิการเคมตี อ้ งมกี ารวางแผนการทดลอง รายงานการทดลอง การทาํ การทดลอง การบนั ทึกขอ้ มูลสรุปและวเิ คราะห์ นาํ เสนอขอ้ มูลและการเขียนรายงานการทดลองท่ถี กู ตอ้ ง โดยการทําปฏิบตั กิ ารเคมตี ้องคาํ นึงถึงวธิ กี ารทาง วทิ ยาศาสตร์ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจิต วิทยาศาสตร์ 4. ระบหุ น่วยวดั ปรมิ าณต่างๆของสารและเปล่ยี น  การทําปฏบิ ตั กิ ารเคมีตอ้ งมีการวัดปริมาณตา่ งๆ ของ หนว่ ยวดั ให้เปน็ หนว่ ยในระบบเอสไอด้วยการใช้ สาร การบอกปริมาณของสารอาจระบอุ ยใู่ นหน่วยต่างๆ แฟกเตอร์เปล่ยี นหน่วย ดงั นัน้ เพ่ือให้มีมาตรฐานเดียวกนั จึงมกี ารกาํ หนดหน่วย ในระบบเอสไอใหเ้ ปน็ หน่วยสากล ซ่ึงการเปลีย่ นหน่วย เพ่อื ใหเ้ ป็นหน่วยสากล สามารถทาํ ไดด้ ว้ ยการใชแ้ ฟกเต อร์เปล่ียนหน่วย 5. บอกความหมายของมวลอะตอมของธาตุและ  มวลอะตอมของธาตุ เป็นมวลของธาตุ 1 อะตอม คํานวณมวลอะตอมเฉลี่ยของธาตุมวลโมเลกุลและ ซ่ึงเป็นผลรวมของมวลโปรตอนนิวตรอนและอเิ ลก็ ตรอน มวลสูตร แต่เน่ืองจากอิเล็กรอนมีมวลน้อยมากเมือ่ เทยี บกับ โปรตอนและนวิ ตรอน ดังนนั้ มวลอะตอมจึงมีค่า ใกล้เคียงกับผลรวมของมวลโปรตอนและนิวตรอน  มวลอะตอมเฉลย่ี ของธาตเุ ป็นคา่ เฉลย่ี จากค่ามวล อะตอมของแต่ละไอโซโทปของธาตุชนิดน้นั ตามปริมาณ ที่มใี นธรรมชาติ  มวลโมเลกุลและมวลสตู รเป็นผลรวมของมวลอะตอม เฉล่ยี ของธาตทุ ี่เป็นองค์ประกอบของสารน้ัน 6. อธิบายและคาํ นวณปรมิ าณใดปรมิ าณหนง่ึ จาก  โมลเปน็ ปรมิ าณสารท่ีมีจาํ นวนอนภุ าคเทา่ กบั เลข ความสัมพนั ธ์ของโมล จาํ นวนอนภุ าค มวลและ อาโวกาโดร คอื 6.02 1023 อนภุ าคมวลของสาร ปรมิ าตรของแก๊สท่ี STP 1 โมเลกลุ ท่มี ีหน่วยเป็นกรมั เรียกวา่ มวลต่อโมล ซ่งึ มีคา่ ตวั เลขเท่ากบั มวลอะตอมมวลโมเลกลุ หรอื มวล สูตรของสารนน้ั สําหรับสารทมี่ สี ถานะแก๊ส 1 โมลจะมี ปริมาตรเทา่ กับ 22.4 ลูกบาศกเ์ ดซเิ มตรที่ STP ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นร้เู พม่ิ เติม หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หน้า 122 ม.4 7. คาํ นวณอัตราส่วนโดยมวลของธาตุองค์  สารประกอบเกิดจากการรวมตวั ของธาตตุ ัง้ แต่ 2 ชนิด ประกอบของสารประกอบตามกฎสดั ส่วนคงที่ ข้นึ ไป โดยมีอตั ราสว่ นโดยมวลของธาตอุ งค์ประกอบคงท่ี เสมอ ตามกฎสดั สว่ นคงท่ี 8. คาํ นวณสตู รอย่างงา่ ยและสตู รโมเลกุลของสาร  สูตรเคมสี ามารถแสดงได้ดว้ ยสตู รเอมพิริคลั หรือสูตร อย่างง่ายและสตู รโมเลกุล ซ่งึ สตู รอยา่ งง่ายคํานวณได้ จากร้อยละโดยมวล และมวลอะตอมของธาตุองค์ประกอบ และถ้าทราบมวลโมเลกลุ ของสารจะสามารถคาํ นวณ สูตรโมเลกุลได้ 10. อธิบายวิธีการและเตรยี มสารละลายให้มี  ปริมาตรของสารละลายตามท่กี ําหนด ทําไดโ้ ดยการ ความเข้มข้นในหน่วยโมลารติ ีและปรมิ าตรสาร ละลายตวั ละลายทเี่ ป็นสารบรสิ ทุ ธ์ใิ นตัวทําละลายหรอื ละลายตามทีก่ าํ หนด นําสารละลายทมี่ คี วามเข้มขน้ มาเจอื จางดว้ ยตัวทาํ ละลาย โดยปรมิ าณของสารทีใ่ ชข้ ้นึ อยู่กบั ความเขม้ ขน้ และปริมาตรของสารละลายท่ตี อ้ งการ 11.เปรยี บเทยี บจุดเดือดและจดุ เยอื กแข็งของ  สารละลายมจี ดุ เดอื ดและจดุ เยอื กแขง็ แตก ต่างไป สารละลายกับสารบริสุทธร์ิ วมทั้งคาํ นวณ จากสารบรสิ ทุ ธทิ์ ่เี ปน็ ตัวทาํ ละลายในสารละลาย โดย จุดเดือดและจุดเยือกแขง็ ของสารละลาย สมบตั ิท่ีเปลย่ี นแปลงไปขึ้นอยกู่ บั ปริมาณของตัวละลาย ในตวั ทาํ ละลายและชนิดของตัวทําละลาย ม.5 - - ม.6 1. กําหนดปญั หา และนาํ เสนอแนวทางการแก้  สถานการณบ์ างสถานการณ์ในวิตประจําวัน ปัญหาโดยใช้ความร้ทู างเคมีจากสถาน การณท์ ี่ การประกอบอาชีพหรอื อตุ สาหกรรมสามารถนาํ ความรู้ เกดิ ข้ึนในชีวิตประจําวนั การประกอบ อาชพี หรือ ทางเคมไี ปใชป้ ระโยชนห์ รือแก้ ปญั หาได้ อุตสาหกรรม 2. แสดงหลักฐานถึงการบรู ณาการความรู้ทางเคมี  การศกึ ษา และการแก้ปญั หาในสถานการณห์ รอื ร่วมกับสาขาวชิ าอ่ืนรวมท้ังทักษะกระบวนการทาง ประเดน็ ทีส่ นใจทําไดโ้ ดยการบูรณาการความรู้ทางเคมี วิทยาศาสตร์หรอื กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม รว่ มกับวิทยาศาสตรแ์ ขนงอืน่ รวมทง้ั คณติ ศาสตร์ โดยเนน้ การคิดวิเคราะห์ การแก้ปญั หาและความ เทคโนโลยี และทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ คิดสร้างสรรคเ์ พื่อแก้ปัญหาในสถานการณห์ รอื หรือกระบวน การออกแบบเชิงวศิ วกรรมโดยเน้นการคดิ ประเด็นทีส่ นใจ วิเคราะห์ แกป้ ญั หาและความคดิ สร้างสรรค์ 3. นําเสนอผลงานหรอื ชนิ้ งานทไี่ ด้จากการแก้  การนาํ เสนองานหรือแสดงผลงานเป็นการเปิดโอกาส ปัญหาในสถานการณห์ รอื ประเดน็ ทสี่ นใจโดยใช้ ใหผ้ มู้ สี ่วนรว่ มไดแ้ ลกเปลยี่ นแนวคิดผลงาน รวมทัง้ เพมิ่ เทคโนโลยสี ารสนเทศ โอกาสในการพัฒนางาน โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นเครอ่ื งมือประกอบการนาํ เสนอ ซ่ึงจะทาํ ให้การ สอ่ื สารมีประสิทธิภาพมากขึน้ 4. แสดงหลักฐานการเขา้ รว่ มการสัมมนาการเขา้  การสัมมนา การประชมุ วิชาการ หรอื การรว่ มแสดง ร่วมประชมุ วชิ าการหรอื การแสดงผลงาน ผลงานสิ่งประดิษฐใ์ นงานนิทรรศการเป็นการเปดิ โอกาส สิ่งประดษิ ฐใ์ นงานนทิ รรศการ ให้ผู้มสี ่วนร่วมได้แลกเปลี่ยนความคดิ แสดงทศั นคตติ อ่ กรณีศึกษาสถาน การณห์ รอื ประเดน็ สาํ คัญทางเคมซี ง่ึ ช่วยสง่ เสรมิ ใหพ้ ัฒนากระบวนการคดิ ทกั ษะการสื่อสาร ทกั ษะการใชเ้ ทคโนโลยี เพือ่ การค้นคว้าและการส่อื สาร ซึ่งสามารถทําได้หลายระดับ โดยอาจเป็นระดับช้ันเรียน โรงเรียนกล่มุ โรงเรยี นชมุ ชน ระดับชาตหิ รือนานาชาติ สาระฟสิ ิกส์ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หน้า 123 1. เข้าใจธรรมชาตทิ างฟสิ กิ ส์ ปรมิ าณและกระบวนการวัด การเคลื่อนทแ่ี นวตรง แรงและกฎ การเคล่ือนท่ีของนวิ ตัน กฎความโนม้ ถว่ งสากล แรงเสยี ดทานสมดลุ กลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์ พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์ โมเมนตมั การเคลือ่ นทแ่ี นวโค้ง รวมทงั้ นาํ ความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพมิ่ เติม ม.4 1. สบื ค้นและอธิบายการค้นหาความรู้ทางฟิสกิ ส์  ฟิสกิ ส์เปน็ วิทยาศาสตร์แขนงหนง่ึ ที่ศึกษาเกย่ี วกบั ประวตั ิความเปน็ มา รวมท้ังพัฒนาการ ของหลักการ สสาร พลงั งาน อันตรกิริยาระหว่างสสารกับพลังงาน และแนวคดิ ทางฟิสิกสท์ ี่มีผลต่อการแสวงหาความรู้ และแรงพน้ื ฐานในธรรมชาติ ใหมแ่ ละการพัฒนาเทคโนโลยี  การคน้ ควา้ หาความรทู้ างฟิสกิ ส์ได้มาจากการสงั เกต การทดลองและเกบ็ รวบรวมข้อมลู มาวิเคราะหห์ รอื จากการสร้างแบบจําลองทางความคิด เพื่อสรุปเป็น ทฤษฎี หลักการหรือกฎความรู้เหล่านี้สามารถนาํ ไปใช้ อธิบายปรากฏ การณธ์ รรมชาติหรอื ทาํ นายสงิ่ ทีอ่ าจจะ เกดิ ขนึ้ ในอนาคต  ประวตั ิความเป็นมาและพัฒนาการของหลกั การและ แนวคดิ ทางฟิสกิ ส์เปน็ พ้ืนฐานในการแสวงหาความรู้ ใหมเ่ พิม่ เตมิ รวมถึงการพัฒนาและความก้าวหน้าทาง เทคโนโลยกี ็มีส่วนในการค้นหาความรใู้ หม่ทาง วทิ ยาศาสตรด์ ว้ ย 2. วัดและรายงานผลการวดั ปรมิ าณทางฟิสิกส์ได้  ความรูท้ างฟิสกิ สส์ ่วนหนงึ่ ได้จากการทดลอง ถูกต้องเหมาะสม โดยนาํ ความคลาดเคลอ่ื นในการวัด ซง่ึ เกี่ยวข้องกบั กระบวนการวัดปริมาณทางฟสิ กิ ส์ มาพิจารณาในการนําเสนอผล รวมทง้ั แสดงผลการ ซง่ึ ประกอบด้วยตวั เลขและหน่วยวัด ทดลองในรปู ของกราฟ วเิ คราะหแ์ ละแปล  ปริมาณทางฟสิ ิกส์สามารถวัดได้ด้วยเคร่อื งมือตา่ งๆ ความหมายจากกราฟเส้นตรง โดยตรงหรือทางอ้อมหนว่ ยทใี่ ชใ้ นการวดั ปริมาณทาง วทิ ยาศาสตร์ คอื ระบบ หนว่ ยระหวา่ งชาตเิ รียกย่อว่า ระบบเอสไอ  ปรมิ าณทางฟสิ ิกส์ทม่ี ีค่านอ้ ยกว่าหรอื มากกว่า 1 มากๆ นยิ มเขียนในรูปของสญั กรณ์วทิ ยาศาสตร์หรือ เขยี นโดยใช้คํานาํ หนา้ หน่วยของระบบเอสไอ การเขยี น โดยใช้สญั กรณ์วิทยาศาสตร์เปน็ การเขียนเพอ่ื แสดง จาํ นวนเลขนัยสาํ คัญทถ่ี ูกต้อง การทดลองทางฟิสิกส์ เกย่ี วกบั การวดั ปรมิ าณต่างๆการบันทึกปรมิ าณที่ได้ จากการวดั ดว้ ยจํานวนเลขนัยสําคัญท่ีเหมาะสมและ ค่าความคลาดเคลือ่ น การวเิ คราะหแ์ ละการแปล ความหมายจากกราฟ เช่น การหาความชันจากกราฟ เส้นตรงจดุ ตดั แกนพน้ื ทีใ่ ต้กราฟ เปน็ ตน้  การวัดปริมาณต่างๆ จะมีความคลาดเคลื่อนเสมอ ขนึ้ อยกู่ บั เครอ่ื งมือ วิธกี ารวัดและประสบการณ์ของ ผวู้ ัด ซ่ึงคา่ ความคลาด เคลอ่ื นสามารถแสดงใน การรายงานผลท้งั ในรูปแบบตัวเลขและกราฟ  การวดั ควรเลอื กใช้เคร่อื งมือวดั ใหเ้ หมาะสมกบั สิ่ง ทต่ี ้องการวดั เชน่ การวัดความยาวของวตั ถุทต่ี ้องการ ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเติม หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์

หน้า 124 ม.4 ความละเอียดสงู อาจใชเ้ วอร์เนียร์แคลลิเปริ ์สหรือ ไมโครมิเตอร์  ฟสิ กิ ส์อาศยั คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือในการศึกษา ค้นคว้าและการส่อื สาร 3. ทดลองและอธิบายความสัมพนั ธ์ระหว่างตาํ แหน่ง  ปริมาณท่ีเกย่ี วกับการเคลอ่ื นท่ี ไดแ้ กต่ าํ แหนง่ การกระจดั ความเรว็ และความเรง่ ของการเคล่อื นท่ี การกระจัด ความเร็วและความเร่งโดยความเรว็ และ ของวตั ถุในแนวตรงท่มี ีความเร่งคงตัวจากกราฟและ ความเรง่ มที ง้ั คา่ เฉลี่ยและคา่ ขณะหนึ่งซึง่ คิดในชว่ ง สมการ รวมท้ังทดลองหาค่าความเร่งโนม้ ถ่วงของ เวลาส้นั ๆ สาํ หรับปรมิ าณตา่ งๆ ที่เกีย่ วข้องกับการ โลกและคํานวณปรมิ าณต่างๆ ทเี่ กย่ี วข้อง เคลอ่ื นทีแ่ นวตรงดว้ ยความเรง่ คงตัวมคี วามสมั พนั ธ์ ตามสมการ 4. ทดลองและอธิบายการหาแรงลพั ธ์ของแรงสอง  การอธบิ ายการเคลอื่ นทข่ี องวตั ถสุ ามารถเขียนอยูใ่ น แรงทท่ี าํ มมุ ตอ่ กนั รูปกราฟตําแหน่งกับเวลา กราฟความเร็วกับเวลาหรือ 5. เขียนแผนภาพของแรงที่กระทาํ ตอ่ วตั ถุอิสระ กราฟความเรง่ กับเวลาความชนั ของเส้นกราฟตําแหนง่ ทดลองและอธบิ ายกฎการเคลื่อนที่ของนวิ ตนั และ กับเวลาเปน็ ความเรว็ ความชนั ของเส้นกราฟ การใช้กฎการเคลอื่ นทีข่ องนวิ ตนั กบั สภาพการ ความเร็วกบั เวลาเปน็ ความเร่งและพื้นท่ใี ตเ้ สน้ กราฟ เคลื่อนทข่ี องวตั ถุรวมทง้ั คาํ นวณ ปรมิ าณต่างๆที่ ความเรว็ กบั เวลาเปน็ การกระจดั ในกรณีท่ผี ู้สงั เกตมี เกี่ยวข้อง ความเรว็ ความเรว็ ของวัตถุที่สังเกตได้เป็นความเร็วท่ี เทียบกับผู้สังเกต  การตกแบบเสรเี ป็นตัวอยา่ งหนึ่งของการเคล่อื นทใ่ี น หนงึ่ มติ ทิ ี่มีความเร่งเทา่ กับความ เร่งโน้มถ่วงของโลก  แรงเป็นปรมิ าณเวกเตอรจ์ ึงมีท้ังขนาดและทศิ ทาง กรณที มี่ แี รงหลายๆแรงกระทาํ ต่อวตั ถุสามารถหาแรง ลพั ธท์ กี่ ระทําตอ่ วตั ถุ โดยใช้วิธเี ขียนเวกเตอรข์ องแรง แบบหางต่อหวั วิธสี รา้ งรปู ส่เี หลี่ยมดา้ นขนานของแรง และวธิ คี ํานวณ  สมบัตขิ องวัตถทุ ีต่ ้านการเปล่ียนสภาพการเคล่ือนที่ เรียกวา่ ความเฉอ่ื ย มวลเปน็ ปรมิ าณทีบ่ อกให้ทราบว่า วัตถุใดมีความเฉอื่ ยมากหรือน้อย ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเตมิ หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์

หนา้ 125 ม.4  การหาแรงลัพธ์ท่กี ระทําต่อวตั ถุสามารถเขยี นเปน็ แผนภาพของแรงท่กี ระทาํ ต่อวตั ถอุ ิสระได้  กรณีทีไ่ มม่ ีแรงภายนอกมากระทาํ วตั ถจุ ะไมเ่ ปล่ยี น สภาพการเคล่ือนทีซ่ งึ่ เป็นไปตามกฎการเคลื่อนที่ขอ้ ที่ หนง่ึ ของนวิ ตัน  กรณที ่มี แี รงภายนอกมากระทาํ โดยแรงลพั ธ์ท่กี ระทาํ ต่อวัตถุไมเ่ ป็นศนู ย์ วตั ถุจะมคี วามเร่งโดยความเรง่ มี ทศิ ทางเดียวกบั แรงลัพธ์ความ สัมพันธร์ ะหวา่ งแรงลพั ธ์ มวลและความเร่งเขียนแทนได้ด้วยสมการ 6. อธบิ ายกฎความโน้มถว่ งสากลและผลของสนาม ตามกฎการเคล่อื นที่ข้อทส่ี องของ โน้มถว่ งทท่ี าํ ใหว้ ตั ถมุ นี ้าํ หนักรวมท้งั คํานวณปริมาณ นวิ ตนั ตา่ งๆ ที่เกยี่ วข้อง  เมอ่ื วัตถุสองก้อนออกแรงกระทําตอ่ กนั แรงระหว่าง วัตถุทง้ั สองจะมขี นาดเท่ากนั แตม่ ีทศิ ทางตรงข้ามและ กระทาํ ต่อวตั ถคุ นละกอ้ นเรยี กวา่ แรงคู่ กิริยาปฏิกิรยิ า ซง่ึ เป็นไปตามกฎการเคลื่อนที่ ขอ้ ทสี่ ามของนิวตัน และเกิด ขน้ึ ไดท้ ง้ั กรณีทว่ี ัตถทุ ั้งสองสมั ผัสกนั หรอื ไม่ สมั ผสั กันก็ได้  แรงดงึ ดูดระหว่างมวลเปน็ แรงทม่ี วลสองก้อนดึงดดู ซึง่ กันและกนั ดว้ ยแรงขนาดเท่า กนั แต่ทศิ ทางตรงข้าม และเปน็ ไปตามกฎความโนม้ ถว่ งสากล เขียนแทนได้ ดว้ ยสมการ 7. วเิ คราะห์ อธิบาย และคาํ นวณแรงเสียดทาน  รอบโลกมสี นามโนม้ ถว่ งทาํ ให้เกดิ แรงโนม้ ถ่วง ซ่งึ ระหว่างผวิ สัมผสั ของวัตถคุ ูห่ นึง่ ๆ ในกรณที ่ีวตั ถุหยุด เปน็ แรงดึงดูดของโลกท่ีกระทาํ ตอ่ วตั ถุทําให้วตั ถมุ ี น่งิ และวตั ถเุ คล่อื นที่ รวมท้งั ทดลองหาสัมประสิทธ์ิ น้าํ หนกั ความเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวตั ถุคู่หนึ่งๆและ  แรงท่ีเกิดขน้ึ ทีผ่ ิวสัมผัสระหวา่ งวัตถสุ องกอ้ นใน นําความรู้เร่อื งแรงเสียดทานไปใช้ในชีวติ ประจาํ วัน ทิศทางตรงขา้ มกบั ทิศทางการเคล่อื นทห่ี รือแนวโน้มท่ี จะเคลอ่ื นที่ของวัตถุ เรยี กวา่ แรงเสียดทาน แรงเสียด ทานระหว่างผวิ สมั ผสั คหู่ นงึ่ ๆ ข้นึ กบั สมั ประสทิ ธ์ิความ เสียดทานและแรงปฏิกิริยาตั้งฉากระหวา่ งผวิ สมั ผสั คู่ นัน้ ๆ ขณะออกแรงพยายามแต่วตั ถุยังคงอยนู่ ิ่งแรงเสยี ดทาน มขี นาดเทา่ กบั แรงพยายามท่กี ระทาํ ตอ่ วตั ถุนนั้ และ แรงเสยี ดทานมีค่ามากท่ีสดุ เมอ่ื วตั ถเุ ร่ิมเคลอ่ื นทเ่ี รียก แรงเสียดทานน้วี ่า แรงเสยี ดทานสถิต แรงเสียดทาน ทก่ี ระทาํ ตอ่ วัตถขุ ณะกําลงั เคล่ือนท่ี เรยี กวา่ แรงเสยี ด ทานจลน์ โดยแรงเสยี ดทานทีเ่ กดิ ระหว่างผวิ สัมผัส ของวตั ถคุ หู่ นึ่งๆ คาํ นวณไดจ้ ากสมการ ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พิ่มเติม หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หน้า 126 ม.4  การเพ่มิ หรอื ลดแรงเสยี ดทานมีผลตอ่ การเคลอ่ื นที่ ของวตั ถุ ซึง่ สามารถนําไปใช้ในชวี ิตประจําวนั 8. อธิบายสมดุลกลของวัตถุ โมเมนต์และผลรวมของ  สมดลุ กลเป็นสภาพทีว่ ัตถรุ กั ษาสภาพการเคลื่อนที่ โมเมนตท์ ่ีมีตอ่ การหมุน แรงคูค่ วบและผลของแรงคู่ ใหค้ งเดมิ คอื หยุดนง่ิ หรอื เคลอื่ นทีด่ ว้ ยความเรว็ คงตัว ควบทม่ี ตี ่อสมดลุ ของวัตถุ เขยี นแผนภาพของแรงที่ หรอื หมุนดว้ ยความเรว็ เชิงมมุ คงตวั กระทาํ ต่อวัตถอุ ิสระเม่ือวตั ถุอย่ใู นสมดุลกลและ  วัตถจุ ะสมดลุ ตอ่ การเลอ่ื นทีค่ ือหยุดน่งิ หรือ คํานวณปรมิ าณต่างๆทีเ่ กย่ี วขอ้ ง รวมท้ังทดลอง เคลื่อนท่ดี ว้ ยความเรว็ คงตวั เมือ่ แรงลัพธท์ ่กี ระทําต่อ และอธิบายสมดลุ ของแรงสามแรง วัตถเุ ปน็ ศูนย์ เขยี นแทนไดด้ ว้ ยสมการ  วัตถุจะสมดลุ ต่อการหมนุ คอื ไมห่ มนุ หรือหมนุ ด้วย ความเรว็ เชิงมมุ คงตัวเม่อื ผลรวมของโมเมนตท์ ่ีกระทํา ต่อวัตถุเปน็ ศนู ย์เขยี นแทนได้ด้วยสมการ 9. สังเกต และอธิบายสภาพการเคลือ่ นทีข่ องวตั ถุ โดยโมเมนต์คํานวณไดจ้ ากสมการ M = Fl เมือ่ แรงท่กี ระทาํ ต่อวตั ถุผา่ นศนู ยก์ ลางมวลของวตั ถุ  เม่ือมแี รงคู่ควบกระทาํ ตอ่ วัตถุแรงลัพธ์จะเทา่ กับ และผลของศนู ย์ถ่วงทมี่ ตี อ่ เสถียรภาพของวตั ถุ ศนู ยท์ ําให้วัตถสุ มดลุ ตอ่ การเล่อื นที่แตไ่ ม่สมดุลตอ่ 10. วิเคราะห์และคํานวณงานของแรงคงตวั จาก การหมนุ สมการและพ้นื ที่ใต้กราฟความสมั พันธร์ ะหว่างแรง  การเขียนแผนภาพของแรงทีก่ ระทําตอ่ วัตถุอิสระ กบั ตําแหนง่ รวมท้งั อธิบาย และคํานวณกําลังเฉล่ยี สามารถนํามาใชใ้ นการพจิ ารณาแรงลพั ธ์และผลรวม ของโมเมนต์ท่กี ระทาํ ตอ่ วตั ถุเมอ่ื วตั ถอุ ยู่ในสมดลุ กล  เมือ่ ออกแรงกระทําต่อวตั ถุทว่ี างบนพืน้ ท่ีไม่มแี รง เสียดทานในแนวระดบั ถา้ แนวแรงนนั้ กระทาํ ผา่ น ศนู ยก์ ลางมวลของวัตถุวัตถจุ ะเคลื่อนท่แี บบเล่ือนที่ โดยไมห่ มุน  วัตถุท่ีอยูใ่ นสนามโนม้ ถว่ งสํมา่ เสมอนยก์ ลางมวล และศูนยถ์ ว่ งอยู่ทีต่ ําแหนง่ เดียวกนั ศนู ยถ์ ่วงของวตั ถุ มีผลตอ่ เสถยี รภาพของวัตถุ  งานของแรงท่กี ระทําต่อวตั ถหุ าได้จากผลคูณของ ขนาดของแรงและขนาดของการกระจดั กับโคไซนข์ อง มุมระหวา่ งแรงกบั การกระจัด ตามสมการ W = F∆xcosӨ หรือหางานไดจ้ ากพ้นื ท่ีใต้กราฟ ระหว่างแรงในแนวการเคลอื่ นทีก่ ับตําแหนง่ โดยแรงท่ี กระทาํ อาจเป็นแรงคงตัวหรือไม่คงตัวกไ็ ด้  งานท่ที ําไดใ้ นหน่ึงหนว่ ยเวลา เรยี กว่า กาํ ลังเฉลี่ยดัง สมการ ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พมิ่ เติม หลักสูตรกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์

หน้า 127 ม.4 11. อธิบาย และคาํ นวณพลงั งานจลนพ์ ลงั งานศกั ย์  งานและพลังงานมีความสมั พนั ธก์ ัน โดยงานของแรง พลังงานกล ทดลองหาความสัมพันธร์ ะหวา่ งงานกบั ลัพธเ์ ทา่ กับพลงั งานจลนข์ องวัตถุท่ีเปลี่ยนไปตาม พลังงานจลนค์ วามสัมพนั ธร์ ะหวา่ งงานกับพลังงาน ทฤษฎบี ทงาน-พลงั งานจลนเ์ ขียนแทนไดด้ ว้ ยสมการ ศกั ยโ์ น้มถว่ งความสมั พนั ธร์ ะหว่างขนาดของแรงทใ่ี ช้ W = ∆Ek ดึงสปริงกับระยะท่ีสปริงยดื ออกและความสมั พันธ์  พลงั งานเป็นความสามารถในการทาํ งาน ระหวา่ งงานกับพลงั งานศกั ยย์ ืดหยนุ่ รวมทัง้ อธิบาย  พลงั งานจลน์เป็นพลังงานของวตั ถทุ ่ีกาํ ลงั เคล่ือนที่ ความสัมพนั ธ์ระหว่างงานของแรงลัพธ์และพลังงาน คํานวณได้จากสมการ จลนแ์ ละคํานวณงานท่ีเกิดข้นึ จากแรงลัพธ์  พลังงานศักยเ์ ป็นพลังงานที่เก่ยี วข้องกบั ตาํ แหนง่ หรอื รปู ร่างของวัตถแุ บ่งออกเปน็ พลังงานศกั ยโ์ น้มถ่วง คํานวณไดจ้ ากสมการ Ep = mgh และ พลงั งานศักย์ ยืดหยุ่น คํานวณได้จากสมการ 12. อธบิ ายกฎการอนุรักษ์พลังงานกลรวมทง้ั  พลังงานกลเป็นผลรวมของพลังงานจลน์ วิเคราะห์และคํานวณปริมาณต่างๆ ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับ และพลงั งานศักยต์ ามสมการ E= Ek + EP การเคลอื่ นทขี่ องวตั ถุในสถานการณ์ต่างๆ โดยใช้  แรงท่ีทําให้เกิดงานโดยงานของแรงน้นั ไมข่ ้ึนกับ กฎการอนุรักษพ์ ลงั งานกล เส้นทางการเคลอื่ นท่ี เช่น แรงโนม้ ถว่ งและแรงสปรงิ 13. อธบิ ายการทํางาน ประสทิ ธภิ าพและการได้ เรยี กว่า แรงอนรุ กั ษ์ เปรยี บเชิงกลของเครื่องกลอย่างง่ายบางชนิด  ถา้ งานทเ่ี กิดข้นึ กบั วัตถเุ ป็นงานเนอ่ื งจากแรงอนรุ กั ษ์ โดยใช้ความร้เู รื่องงานและสมดลุ กล รวมท้งั เทา่ น้ัน พลังงานกลของวตั ถุจะคงตัว ซ่งึ เปน็ ไปตาม คํานวณประสทิ ธิภาพและการได้เปรยี บเชิงกล กฎการอนรุ กั ษพ์ ลังงานกล เขียนแทนไดด้ ้วยสมการ Ek + Ep = ค่าคงตัว โดยทพี่ ลงั งานศักยอ์ าจเปล่ียนเป็น พลงั งานจลน์  กฎการอนุรักษพ์ ลังงานกลใชว้ ิเคราะห์การเคลื่อนที่ ต่างๆ เชน่ การเคลื่อนท่ีของวัตถทุ ่ตี ดิ สปรงิ การ เคล่อื นท่ภี ายใต้สนามโน้มถว่ งของโลก  การทาํ งานของเครอื่ งกลอยา่ งงา่ ย ได้แก่คาน รอก พนื้ เอียงลิ่ม สกรูและลอ้ กับเพลา ใชห้ ลักของงานและ สมดลุ กลประกอบการพิจารณาประสิทธิภาพและการ ได้เปรียบเชงิ กลของเครอื่ งกลอยา่ งงา่ ยประสทิ ธิภาพ คํานวณได้จากสมการ การได้เปรยี บเชิงกลคํานวณไดจ้ ากสมการ 14. อธิบาย และคาํ นวณโมเมนตมั ของวัตถแุ ละ  วตั ถุที่เคลอ่ื นทจ่ี ะมีโมเมนตมั ซ่งึ เป็นปริมาณ การดลจากสมการและพืน้ ท่ใี ตก้ ราฟความสัมพันธ์ เวกเตอรม์ ีค่าเท่ากับผลคณู ระหวา่ งมวล ระหว่างแรงลัพธ์กับเวลา รวมทงั้ อธิบายความสมั พนั ธ์ และความเร็วของวัตถุดังสมการ ระหวา่ งแรงดลกบั โมเมนตมั ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเติม หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์

หนา้ 128 ม.4 • เมอ่ื มีแรงลัพธ์กระทาํ ต่อวตั ถุจะทาํ ใหโ้ มเมนตัมของ วตั ถเุ ปล่ียนไป โดยแรงลพั ธเ์ ทา่ กบั อตั ราการเปลยี่ นโม เมนตัมของวตั ถุ  แรงลัพธท์ ีก่ ระทําต่อวตั ถใุ นเวลาสน้ั ๆเรียกวา่ แรงดล โดยผลคณู ของแรงดลกบั เวลา เรียกว่า การดล ตาม สมการ ซงึ่ การดลอาจหาได้จากพ้ืนทใ่ี ตก้ ราฟระหวา่ งแรงดล กบั เวลา 15. ทดลอง อธบิ ายและคาํ นวณปรมิ าณตา่ งๆที่ • ในการชนกนั ของวัตถุและการดดี ตวั ออกจากกนั ของ เกี่ยวกับการชนของวตั ถุในหนงึ่ มติ ทิ ้งั แบบยดื หยนุ่ วตั ถุในหนง่ึ มิตเิ มอื่ ไมม่ แี รงภายนอกมากระทาํ โมเมน ไม่ยืดหยุ่น และการดดี ตวั แยกจากกนั ในหนึง่ มิติ ตัมของระบบมคี า่ คงตวั ซ่งึ เปน็ ไปตามกฎการอนรุ ักษ์โม ซึง่ เปน็ ไปตามกฎการอนรุ ักษ์โมเมนตัม เมนตมั เขียนแทนไดด้ ว้ ยสมการ 16. อธิบาย วิเคราะหแ์ ละคาํ นวณปรมิ าณตา่ งๆ โดย เป็นโมเมนตมั ของระบบก่อนชน ทเี่ กี่ยวข้องกบั การเคล่อื นทแี่ บบโพรเจกไทลแ์ ละ โดย เป็นโมเมนตัมของระบบหลงั ชน ทดลองการเคลอื่ นทีแ่ บบโพรเจกไทล์ • ในการชนกันของวตั ถุพลังงานจลน์ของระบบอาจคง ตวั หรือไมค่ งตัวก็ไดก้ ารชนท่พี ลังงานจลน์ของระบบคง ตัวเป็นการชนแบบยืดหยนุ่ ส่วนการชนท่ีพลงั งานจลน์ ของระบบไมค่ งตัวเป็นการชนแบบไมย่ ดื หยุ่น • การเคลื่อนทแี่ นวโคง้ พาราโบลาภายใตส้ นามโนม้ ถว่ ง โดยไม่คิดแรงตา้ นของอากาศเปน็ การเคล่ือนทแ่ี บบ โพรเจกไทล์วตั ถุมกี ารเปล่ยี นตาํ แหน่งในแนวด่ิงและ แนวระดับพรอ้ มกันและเป็นอิสระต่อกัน สําหรับ การเคล่ือนทีใ่ นแนวด่งิ เปน็ การเคลื่อนที่ท่ีมแี รงโน้มถ่วง กระทาํ จงึ มคี วามเรว็ ไมค่ งตัว ปรมิ าณต่างๆ มคี วาม สัมพนั ธต์ ามสมการ ชั้น ผลการเรยี นรู้ สว่ นการเคลอื่ นท่ใี นแนวระดบั ไม่มีแรงกระทําจงึ มี ความเร็วคงตวั ตําแหนง่ ความเร็วและเวลามี ความสมั พนั ธ์ตามสมการ ∆x = uxt สาระการเรยี นรูเ้ พิม่ เติม หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์

หนา้ 129 ม.4 17. ทดลอง และอธบิ ายความสัมพนั ธ์ระหว่างแรง • วัตถทุ ่เี คลือ่ นทเ่ี ป็นวงกลมหรอื ส่วนของวงกลม สูศ่ ูนยก์ ลาง รศั มขี องการเคลื่อนทอ่ี ัตราเรว็ เชิงเส้น เรียกว่า วตั ถนุ ั้นมกี ารเคลอ่ื นทแี่ บบวงกลม ซึง่ มแี รง อตั ราเรว็ เชิงมุม และมวลของวตั ถใุ นการเคล่ือนท่ี ลัพธท์ กี่ ระทํากับวัตถใุ นทศิ เข้าสศู่ นู ยก์ ลางเรยี กว่า แรง แบบวงกลมในระนาบระดับ รวมทงั้ คํานวณปริมาณ สู่ศนู ยก์ ลาง ทําใหเ้ กิดความเร่งสู่ศูนย์กลางทีม่ ีขนาด ตา่ งๆ ทีเ่ กย่ี วข้องและประยกุ ตใ์ ช้ความรกู้ ารเคลื่อนท่ี สัมพนั ธ์กบั รศั มีของการเคลอ่ื นที่และอัตราเร็วเชิงเส้น แบบวงกลมในการอธิบายการโคจรของดาวเทยี ม ของวตั ถซุ ึง่ แรงส่ศู นู ยก์ ลางคาํ นวณได้จากสมการ ม.5 - • นอกจากนีก้ ารเคลื่อนท่ีแบบวงกลมยงั สามารถ ม.6 - อธบิ ายไดด้ ้วยอัตราเรว็ เชิงมุม ซง่ึ มคี วามสมั พันธ์กับ อัตราเรว็ เชิงเส้นตาม สมการ v = ωr และแรงสศู่ ูนย์กลางมคี วาม สัมพันธ์ กับอัตราเร็วเชิงมุมตามสมการ Fc = mω2r • ดาวเทียมท่โี คจรในแนววงกลมรอบโลกมแี รงดึงดดู ท่ี โลกกระทําต่อดาวเทยี มเป็นแรงสศู่ ูนยก์ ลางดาวเทียม ทม่ี ีวงโคจรค้างฟ้าในระนาบของเสน้ ศนู ยส์ ตู รมคี าบ การโคจรเทา่ กบั คาบการหมนุ รอบตัวเองของโลกหรือ มอี ตั ราเร็วเชงิ มุมเท่ากับอัตราเรว็ เชิงมมุ ของตําแหน่ง บนพืน้ โลก ดาวเทียมจงึ อยู่ตรงกบั ตําแหน่งทก่ี ําหนดไว้ บนพนื้ โลกตลอดเวลา - - สาระฟิสกิ ส์ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์

หน้า 130 2. เข้าใจการเคล่ือนทแ่ี บบฮาร์มอนิกอย่างงา่ ย ธรรมชาตขิ องคล่ืน เสยี งและการได้ยินปรากฏการณ์ ที่เก่ียวข้องกบั เสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณท์ ่ีเก่ียวข้องกบั แสง รวมท้ังนาํ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ช้นั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่ิมเติม ม.4 - - ม.5 1. ทดลอง และอธิบายการเคลอ่ื นทแ่ี บบฮาร์มอนิก • การเคล่ือนทีแ่ บบฮาร์มอนิกอยา่ งง่ายเป็นการเคลื่อนที่ อยา่ งงา่ ยของวัตถุติดปลายสปรงิ และลกู ตมุ้ อย่างงา่ ย ของวตั ถทุ ี่กลบั ไปกลบั มาซํา้ รอยเดิมผ่านตาํ แหนง่ รวมทั้งคํานวณปริมาณตา่ ง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ ง สมดุล โดยมีคาบและแอมพลิจดู คงตัวและมกี ารกระจดั จากตําแหน่งสมดุลท่ีเวลาใดๆเปน็ ฟังก์ชนั แบบไซน์ โดยปริมาณตา่ งๆ ทีเ่ กยี่ วข้อง มคี วามสัมพันธต์ าม สมการ • การส่นั ของวัตถุตดิ ปลายสปรงิ และการแกวง่ ของ ลูกตุม้ อย่างงา่ ยเป็นการเคลอ่ื นทแ่ี บบฮารม์ อนกิ อยา่ ง ง่ายทมี่ ีขนาดของความเร่งแปรผนั ตรงกับขนาดของ การกระจดั จากตาํ แหนง่ สมดลุ แตม่ ที ศิ ทางตรงขา้ ม โดยมคี าบการสนั่ ของวัตถุท่ีตดิ อย่ทู ีป่ ลายสปริง และ คาบการแกวง่ ของลกู ตมุ้ ตามสมการ 2. อธบิ ายความถธี่ รรมชาติของวัตถุและการเกดิ • เมอื่ ดงึ วตั ถุทตี่ ิดปลายสปริงออกจากตําแหนง่ สมดลุ การสัน่ พอ้ ง แลว้ ปลอ่ ยให้สนั่ วัตถุจะสน่ั ด้วยความถีเ่ ฉพาะตวั 3. อธิบายปรากฏการณค์ ลื่น ชนิดของคลน่ื การดึงลูกตมุ้ ออกจากแนวดง่ิ แล้วปล่อยใหแ้ กว่งลกู ต้มุ ส่วนประกอบของคลน่ื การแผข่ องหน้าคลืน่ ด้วย จะแกวง่ ด้วยความถ่เี ฉพาะตวั เช่นกนั ความถี่ทีม่ ีคา่ หลักการของฮอยเกนสแ์ ละการรวมกนั ของคลื่นตาม เฉพาะตวั น้ี หลกั การซอ้ นทับ พรอ้ มทัง้ คาํ นวณอัตราเรว็ ความถี่ เรยี กว่า ความถ่ีธรรมชาติ เมอ่ื กระตนุ้ ให้วัตถสุ น่ั ด้วย และความยาวคล่ืน ความถที่ ่มี คี ่าเทา่ กับความถธ่ี รรมชาตขิ องวัตถุ จะทาํ ให้วัตถุสัน่ ด้วยแอมพลิจดู เพิม่ ข้นึ เรยี กวา่ การส่นั พอ้ ง • คลนื่ ที่เกดิ จากแหล่งกําเนิดคลนื่ ทีส่ ง่ คล่นื อยา่ ง ตอ่ เนื่อง และมีรปู แบบท่ีซ้ํากันบรรยายได้ดว้ ยการกระจัด สันคลนื่ ทอ้ งคล่ืน เฟส ความยาวคลน่ื ความถ่ี คาบ แอมพลจิ ดู และอตั ราเรว็ โดยอัตราเรว็ ความถ่แี ละ ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่ิมเติม หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หนา้ 131 ม.5 ความยาวคลนื่ มีความสัมพนั ธ์ตามสมการ 4. สังเกตและอธิบายการสะท้อน การหักเห • การแผข่ องหนา้ คลน่ื เปน็ ไปตามหลกั ของฮอยเกนส์ การแทรกสอด และการเลี้ยวเบนของคล่ืนผิวน้ํา และถา้ มคี ลืน่ ต้ังแตส่ องขบวนมาพบกันจะรวมกนั ตาม รวมทั้งคาํ นวณปรมิ าณตา่ งๆ ทเ่ี ก่ียวข้อง หลักการซ้อนทับ • คล่นื มกี ารสะทอ้ น การหักเหการแทรกสอดและ การเล้ยี วเบน • คลน่ื เกิดการสะทอ้ นเมื่อคลื่นเคลอ่ื นท่ีไปถงึ สิ่งกดี ขวางหรอื รอยตอ่ ระหว่างตัวกลางที่ต่าง กนั แลว้ เปลี่ยน ทศิ ทางเคลอื่ นท่ีกลับมาในตัว กลางเดมิ โดยเปน็ ไปตาม กฎการสะท้อนเขียนแทนไดด้ ว้ ยสมการ มุมสะท้อน=มุมตกกระทบ • คลื่นเกิดการหกั เหเมอื่ คลน่ื เคลอ่ื นทีผ่ า่ นรอยตอ่ ระหว่างตวั กลางทีต่ ่างกนั แลว้ อัตราเร็วคลื่นเปล่ยี นไป ซง่ึ เป็นไปตามกฎการหักเหเขียนแทนได้ดว้ ยสมการ • คล่ืนเกดิ การแทรกสอดเม่อื คลื่นสองคล่ืนเคลอื่ นทม่ี า พบกนั แลว้ รวมกันตามหลักการซ้อนทบั โดยกรณที ่ี S1 และ S2 เปน็ แหลง่ กาํ เนิดคล่นื ที่มคี วามถี่เทา่ กนั และ เฟสตรงกนั ปริมาณตา่ งๆที่เกีย่ วขอ้ งมีความสัมพันธ์ ตามสมการ 5. อธิบายการเกดิ เสยี ง การเคลื่อนทข่ี องเสยี ง • คลืน่ นิง่ เกดิ จากคลน่ื อาพันธ์สองขบวนแทรกสอดกนั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งคลื่น การกระจดั ของ แลว้ เกิดตาํ แหนง่ ทีม่ ีการแทรกสอดแบบเสรมิ ตลอด อนภุ าคกบั คลน่ื ความดันความ สมั พันธ์ระหว่าง เวลา เรียกว่า ปฏิบัพและตําแหน่งที่มกี ารแทรกสอด อตั ราเร็วของเสียงในอากาศทข่ี ้นึ กบั อุณหภูมิ แบบหกั ลา้ งตลอดเวลา เรยี กวา่ บัพ • คล่ืนเกิดการเลยี้ วเบนเม่อื คลน่ื เคลือ่ นที่พบส่งิ กีด ในหนว่ ยองศาเซลเซียสสมบัตขิ องคล่ืน ขวางแล้วมคี ล่ืนแผจ่ ากขอบส่ิงกดี ขวางไปด้านหลงั ได้ เสยี ง ไดแ้ ก่ การสะท้อนการหกั เห การแทรกสอด • เสยี งเป็นคลนื่ กลและคลนื่ ตามยาวเกิดจากการถา่ ย การเลยี้ วเบน รวมทั้งคาํ นวณปรมิ าณต่างๆ ที่ โอนพลงั งานจากการส่ันของแหลง่ กําเนดิ เสียงผ่าน เกี่ยวขอ้ ง อนภุ าคตวั กลางทาํ ให้อนุภาคของตัวกลางสั่นอตั ราเรว็ เสียงในอากาศข้ึน กบั อณุ หภูมขิ องอากาศ คาํ นวณได้ จากสมการ • เสียงมสี มบตั ิการสะทอ้ น การหักเห การแทรกสอด และการเลย้ี วเบน ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพิ่มเตมิ หลักสตู รกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์

หนา้ 132 ม.5 6. อธบิ ายความเข้มเสียง ระดบั เสยี งองค์ประกอบ • กําลงั เสียงเปน็ อัตราการถ่ายโอนพลังงานเสียงจาก ของการได้ยิน คณุ ภาพเสียงและมลพิษทางเสียง แหล่งกาํ เนิดเสยี ง กาํ ลังเสียงตอ่ หน่ึงหนว่ ยพ้ืนท่ีของ รวมท้งั คํานวณปรมิ าณต่างๆ ที่เก่ยี วข้อง หนา้ คล่นื ทรงกลมเรียกวา่ ความเขม้ เสียง คํานวณได้ จากสมการ • ระดบั เสยี งเป็นปริมาณทบ่ี อกความดังของเสียงโดย หาไดจ้ ากลอการิทมึ ของอตั ราสว่ นระหว่างความเขม้ เสยี งกับความเขม้ เสยี งอ้างอิงทม่ี นุษย์ เร่มิ ได้ยิน ตามสมการ • ระดับสงู ต่ําของเสียงข้ึนกับความถีข่ องเสียง เสียงทีไ่ ดย้ ินมลี ักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกนั เน่ืองจากมคี ุณภาพเสยี งแตกต่างกนั • เสียงท่ีมีระดับเสยี งสงู มากหรือเสยี งบางประเภทท่มี ี ผลต่อสภาพจิตใจของผ้ฟู ังจัดเปน็ มลพิษทางเสยี ง 7. ทดลองและอธิบายการเกิดการส่ันพ้องของอากาศ • ถา้ อากาศในท่อถูกกระตุ้นดว้ ยคล่นื เสียงทม่ี ีความถ่ี ในท่อปลายเปดิ หนึง่ ด้านรวมทัง้ สงั เกตและอธบิ าย เทา่ กับความถี่ธรรมชาติของอากาศในท่อนั้นจะเกิด การเกดิ บตี คล่ืนนิ่งปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ คลน่ื การสน่ั พ้องของเสียง โดยความถใ่ี นการเกิดการส่ัน กระแทกของเสยี ง คํานวณปริมาณต่างๆ ทีเ่ กย่ี วข้อง พ้องของท่อปลายเปิดหนงึ่ ด้านคาํ นวณไดจ้ ากสมการ และนาํ ความรูเ้ ร่ืองเสียงไปใช้ในชีวิตประจาํ วนั • ถ้าเสยี งจากแหลง่ กําเนดิ เสยี งสองแหล่งที่มคี วามถี่ ตา่ งกันไมม่ ากมาพบกันจะเกดิ บีตทําให้ไดย้ ินเสยี งดงั คอ่ ย เปน็ จงั หวะ • คล่นื เสยี งสองขบวนทมี่ คี วามถี่เท่ากัน มาแทรกสอด กนั จะทาํ ใหเ้ กดิ คลน่ื นิ่ง • เมื่อแหลง่ กาํ เนดิ เสยี งเคลอื่ นที่โดยผูฟ้ ังอยนู่ ่งิ ผฟู้ งั เคล่ือนทโ่ี ดยแหล่งกาํ เนดิ เสยี งอยูน่ ง่ิ หรือท้งั แหล่งกาํ เนดิ และผู้ฟังเคลือ่ นทเ่ี ขา้ หรือออกจากกัน ผูฟ้ งั จะไดย้ นิ เสยี งท่มี คี วามถเ่ี ปลีย่ นไป เรยี กวา่ ปรากฏการณด์ อปเพลอร์ • ถา้ แหล่งกาํ เนดิ เสยี งเคลอื่ นที่ด้วยอตั ราเรว็ มากกว่า อัตราเรว็ เสยี งในตวั กลางเดยี วกนั จะเกดิ คลื่นกระแทก ทําให้เสยี งตามแนวหน้าคลื่น กระแทกมพี ลังงานสงู มากมผี ลทาํ ให้ผสู้ ังเกตในบริเวณใกล้เคยี งได้ยินเสยี งดงั มาก • ความรู้เร่ืองเสยี งนาํ ไปประยกุ ตใ์ ช้ในด้านตา่ งๆ เช่น การปรบั เทยี บเสยี งเคร่ืองดนตรีอธิบายหลกั การทาํ งาน ของเครอ่ื งดนตรีการเปลง่ เสยี งของมนุษย์ การประมง การแพทย์ธรณีวิทยา อตุ สาหกรรม เป็นต้น ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพมิ่ เติม หลักสตู รกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์

หน้า 133 ม.5 8. ทดลองและอธิบายการแทรกสอดของแสงผา่ นส • เมื่อแสงผ่านชอ่ งเล็กยาวเด่ยี ว (สลติ เดี่ยว) และชอ่ ง ลติ คแู่ ละเกรตติง การเล้ยี วเบนและการแทรกสอด เล็กยาวคู่ (สลิตคู่) จะเกิดการเล้ียวเบน และการแทรก ของแสงผ่านสลติ เด่ยี ว รวมทั้งคํานวณปริมาณตา่ งๆ สอด ทาํ ให้เกดิ แถบมดื และแถบสว่างบนฉาก โดย ท่เี กยี่ วข้อง ปริมาณต่างๆทีเ่ กย่ี วขอ้ งมีความสัมพันธต์ ามสมการ แถบมดื สําหรบั สลติ เด่ียว • เกรตตงิ เป็นอปุ กรณ์ทปี่ ระกอบด้วยช่องเล็กยาวทีม่ ี จาํ นวนชอ่ งตอ่ หน่ึงหนว่ ยความยาวเป็นจาํ นวนมาก และระยะห่างระหวา่ งช่องมีค่าน้อย โดยแต่ละชอ่ ง หา่ งเท่าๆ กนั ใช้สําหรบั หาความยาวคลน่ื ของแสงและ ศกึ ษาสมบตั ิการเลย้ี วเบนและการแทรกสอดของแสง เม่ือแสงตกกระทบผวิ วตั ถจุ ะเกดิ การสะทอ้ น ซ่ึงเปน็ ไป ตามกฎการสะทอ้ น 9. ทดลองและอธบิ ายการสะท้อนของแสงทีผ่ วิ วตั ถุ • วัตถทุ ี่อยหู่ นา้ กระจกเงาราบและกระจกเงา ทรงกลม ตามกฎการสะท้อน เขยี นรงั สีของแสงและคํานวณ จะเกิดภาพทส่ี ามารถหาตาํ แหน่งขนาดและชนิดของ ตาํ แหนง่ และขนาดภาพของวตั ถุ เมอ่ื แสงตกกระทบ ภาพท่ีเกดิ ขึน้ ได้จากการเขียนภาพของรงั สแี สงหรือ กระจกเงาราบและกระจกเงาทรงกลมรวมทง้ั อธบิ าย การคาํ นวณจากสมการ การนําความรเู้ รอ่ื งการสะท้อนของแสงจากกระจก กรณีกระจกเงาราบ เงาราบและกระจกเงาทรงกลมไปใชป้ ระโยชนใ์ น กรณีกระจกเงาทรงกลม ชวี ิตประจาํ วนั 10. ทดลองและอธิบายความสัมพนั ธร์ ะหว่าง • เม่อื แสงเคลื่อนที่ผ่านผวิ รอยต่อของตัวกลางสอง ดรรชนหี ักเห มุมตกกระทบและมุมหกั เห รวมทงั้ ตวั กลางจะเกิดการหักเห โดยอตั ราสว่ นระหวา่ งไซน์ อธิบายความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งความลึกจริงและความ ของมุมตกกระทบกบั ไซน์ของมุมหกั เหของตัวกลางคู่ ลกึ ปรากฏ มมุ วิกฤตและการสะทอ้ นกลับหมดของ หนึง่ มคี า่ คงตัว เรยี กความสมั พนั ธ์น้ีว่า กฎของสเนลล์ แสงและคํานวณปริมาณตา่ งๆท่เี กี่ยวขอ้ ง เขยี นแทนไดด้ ว้ ยสมการ • การหกั เหของแสงทําใหม้ องเห็นภาพของวัตถุทอี่ ยู่ ในตัวกลางต่างชนดิ กนั มตี าํ แหนง่ เปล่ยี นไปจากเดิม ซง่ึ คํานวณปรมิ าณต่างๆทีเ่ กี่ยวข้องไดจ้ ากสมการ • การสะท้อนกลบั หมดเกิดขน้ึ เมอ่ื มุมตกกระทบ มากกวา่ มุมวิกฤต ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พม่ิ เตมิ หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์

หนา้ 134 ม.5 11. ทดลองและเขียนรังสขี องแสงเพื่อแสดงภาพทเ่ี กิด • เม่อื วางวัตถหุ น้าเลนส์บางจะเกิดภาพของวตั ถโุ ดย จากเลนสบ์ าง หาตาํ แหนง่ ขนาดชนดิ ของภาพและ ตําแหนง่ ขนาดและชนดิ ของภาพที่เกิดข้นึ หาไดจ้ าก ความสัมพันธ์ระหว่างระยะวัตถรุ ะยะภาพและความ การเขยี นภาพของรงั สีแสงหรอื คํานวณไดจ้ ากสมการ ยาวโฟกสั รวมทั้งคาํ นวณปรมิ าณตา่ งๆที่เกยี่ วข้องและ อธบิ ายการนาํ ความรูเ้ รอ่ื งการหักเหของแสงผา่ นเลนส์ บางไปใช้ประโยชนใ์ นวิตประจาํ วนั • ความรเู้ ร่ืองเลนสน์ ําไปประยุกตใ์ ชใ้ นด้านต่างๆ เชน่ แว่นขยาย กล้องจุลทรรศน์ เป็นตน้ 12. อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติท่เี ก่ียวกับแสง เช่น • กฎการสะท้อนและการหักเหของแสงใชอ้ ธบิ าย ร้งุ การทรงกลด มริ าจและการเหน็ ท้องฟ้าเป็นสีต่างๆ ปรากฏการณท์ ี่เก่ียวกบั แสง เชน่ รุ้งการทรงกลดและ ในช่วงเวลาตา่ งกัน มริ าจ • เม่ือแสงตกกระทบอนภุ าคหรอื โมเลกุลของอากาศ แสงจะเกิดการกระเจงิ ใชอ้ ธิบายการเห็นทอ้ งฟ้าเป็น สตี า่ งๆ ในชว่ งเวลาต่างกนั 13. สังเกตและอธบิ ายการมองเหน็ แสงสี สีของวัตถุ • การมองเหน็ สจี ะข้ึนกับแสงสที ่ตี กกระทบกับวตั ถุและ การผสมสารสีและการผสมแสงสรี วมท้งั อธิบายสาเหตุ สารสีบนวตั ถุ โดยสารสีจะดดู กลืนบางแสงสีและ ของการบอดสี สะทอ้ นบางแสงสี • การผสมสารสีทําใหไ้ ด้สารสีที่มสี ีเปลยี่ นไปจากเดมิ ถ้านําแสงสปี ฐมภมู ใิ นสดั ส่วนที่เหมาะสมมาผสมกันจะ ไดแ้ สงขาว • แผน่ กรองแสงสยี อมให้บางแสงสผี ่านไปไดแ้ ละดดู กลืนบางแสงสี • การผสมแสงสีและการผสมสารสสี ามารถนําไปใช้ ประโยชน์ในดา้ นต่างๆ เชน่ ดา้ นศลิ ปะ ดา้ นการแสดง • ความผดิ ปกตใิ นการมองเห็นสีหรือการบอดสเี กดิ จาก ความบกพร่องของเซลล์รปู กรวย ซงึ่ เปน็ เซลลร์ ับแสง ชนดิ หนง่ึ บนจอตา ม.6 - - สาระฟิสิกส์ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หนา้ 135 3. เข้าใจแรงไฟฟา้ และกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้าศกั ย์ ไฟฟ้ ความจุ ไฟฟา้ กระแสไฟฟ้าและกฎ ของโอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลงั งานไฟฟา้ และกาํ ลังไฟฟ้า การเปล่ียนพลังงานทดแทนเปน็ พลังงาน ไฟฟ้า สนามแมเ่ หล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทาํ กับประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนาํ แม่ เหล็กไฟฟ้า และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟา้ กระแสสลับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการส่ือสาร รวมทั้งนาํ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พิ่มเตมิ ม.4 - - ม.5 1. ทดลองและอธบิ ายการทาํ วัตถุท่ีเป็นกลางทางไฟฟ้า • การนาํ วัตถทุ เี่ ป็นกลางทางไฟฟา้ มาขัดสีกันจะทาํ ให้ ให้มปี ระจไุ ฟฟ้าโดยการขดั สีกันและการเหนี่ยวนาํ วตั ถุไม่เป็นกลางทางไฟฟา้ เน่อื งจากอิเล็กตรอนถูก ไฟฟ้าสถติ ถ่ายโอนจากวตั ถุหน่ึงไปอกี วตั ถุหน่ึง โดยการถา่ ยโอน ประจุเปน็ ไปตาม กฎการอนรุ กั ษ์ประจไุ ฟฟ้า • เมือ่ นําวัตถทุ ี่มีประจไุ ฟฟ้าไปใกลต้ ัวนําไฟฟ้าจะทํา ใหเ้ กดิ ประจชุ นิดตรงขา้ มบนตวั นําทางดา้ นที่ใกล้วตั ถุ และประจุชนดิ เดยี วกันด้านทไี่ กลวัตถุเรียกวิธีการนวี้ า่ การเหน่ยี วนาํ ไฟฟา้ สถิต ซง่ึ สามารถใช้วธิ ีการนี้ใน การทาํ ใหว้ ัตถมุ ปี ระจไุ ด้ 2.อธบิ ายและคํานวณแรงไฟฟา้ ตามกฎของคลู อมบ์ • จดุ ประจุไฟฟ้ามแี รงกระทาํ ซึ่งกันและกันโดยมที ิศ อย่ใู นแนวเส้นตรงระหว่างจุดประจทุ ง้ั สองและมีขนาด ของแรงระหวา่ งจุดประจแุ ปรผันตรงกับผลคณู ของ ขนาดของประจทุ ง้ั สองและแปรผกผนั กับกําลังสอง ของระยะห่างระหว่างจดุ ประจุ ซึ่งเป็นไปตามกฎของ คูลอมบ์ เขียนแทนไดด้ ้วยสมการ 3. อธิบายและคาํ นวณสนามไฟฟา้ และแรงไฟฟ้าท่ี • รอบอนภุ าคท่ีมปี ระจุไฟฟา้ มีสนามไฟฟา้ ขนาด กระทาํ กบั อนภุ าคที่มปี ระจุไฟฟา้ ทีอ่ ยู่ในสนามไฟฟ้า ทาํ ใหเ้ กิดแรงไฟฟา้ กระทาํ ต่ออนภุ าคทม่ี ี รวมท้ังหาสนามไฟฟ้าลัพธเ์ นือ่ งจากระบบจุดประจุ โดยรวมกนั แบบเวกเตอร์ ประจุไฟฟา้ • สนามไฟฟา้ ทต่ี าํ แหนง่ ใดๆ มคี วามสมั พันธ์กับแรง ไฟฟา้ ท่ีกระทําตอ่ ประจไุ ฟฟา้ ตามสมการ • สนามไฟฟ้าลพั ธ์เน่ืองจากจดุ ประจุหลายจดุ ประจุ เทา่ กบั ผลรวมแบบเวกเตอร์ของสนามไฟฟ้าเนื่องจาก จดุ ประจแุ ต่ละจุดประจุ • ตวั นําทรงกลมทม่ี ีประจุไฟฟา้ มสี นามไฟฟ้าภายใน ตวั นาํ เปน็ ศนู ยแ์ ละสนามไฟฟ้าบนตัวนาํ มีทิศทางตง้ั ฉากกับผวิ ตวั นาํ น้ันโดยสนามไฟฟา้ เน่อื งจากประจุบน ตัวนาํ ทรงกลมทีต่ ําแหน่งห่างจากผิวออกไปหาได้เช่น เดียว กับสนามไฟฟา้ เนือ่ งจากจดุ ประจทุ ่มี ีจํานวน ประจเุ ทา่ กันแตอ่ ยู่ทศี่ ูนยก์ ลางของทรงกลม ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เติม ม.5 • สนามไฟฟ้าของแผ่นโลหะค่ขู นานเป็นสนามไฟฟา้ หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์

4. อธบิ ายและคาํ นวณพลงั งานศักยไ์ ฟฟ้าศกั ย์ไฟฟา้ หนา้ 136 และความตา่ งศักย์ระหว่างสองตาํ แหนง่ ใดๆ สมาํ่ เสมอ • ประจทุ ีอ่ ยใู่ นสนามไฟฟา้ มีพลงั งานศกั ย์ ไฟฟ้า คํานวณไดจ้ ากสมการ • พลงั งานศกั ย์ไฟฟ้าทีต่ าํ แหน่งใดๆ ตอ่ หนึ่งหน่วย ประจุ เรยี กวา่ ศักยไ์ ฟฟา้ ทตี่ าํ แหนง่ นน้ั โดยศกั ย์ไฟฟ้า ทีต่ ําแหน่งซึ่งอยูห่ า่ งจากจดุ ประจุแปรผนั ตรงกบั ขนาด ของประจุและแปรผกผนั กับระยะทางจากจดุ ประจถุ ึง แหน่งน้นั เขยี นแทนได้ดว้ ยสมการ • ศกั ยไ์ ฟฟ้ารวมเน่ืองจากจุดประจหุ ลายจุดประจคุ อื ผลรวมของศกั ย์ไฟฟา้ เนือ่ งจากจุดประจุแต่ละจดุ ประจุ เขยี นแทนได้ดว้ ยสมการ • ความต่างศักย์ระหว่างสองตาํ แหนง่ ใด ๆ ในบริเวณ ท่มี สี นามไฟฟา้ คือ งานในการเคลื่อนประจุบวกหนึง่ หน่วยจากตําแหนง่ หนึง่ ไปอีกตําแหน่งหนึ่ง เขียนแทน ไดด้ ้วยสมการ • ความตา่ งศกั ยร์ ะหว่างสองตาํ แหนง่ ใดๆในนามไฟฟา้ สมํา่ เสมอข้ึนกบั ขนาดของสนาม ไฟฟ้าและระยะทาง ระหว่างสองตําแหน่งน้ันในแนวขนานกับสนามไฟฟา้ ตามสมการ 5. อธิบายส่วนประกอบของตัวเกบ็ ประจุความ • ตวั เก็บประจุประกอบด้วยตวั นาํ ไฟฟา้ สองชิน้ ที่คนั่ สมั พันธ์ระหวา่ งประจุไฟฟา้ ความตา่ งศักย์และ ดว้ ยฉนวน โดยปริมาณประจทุ เี่ กบ็ ได้ ความจุของตัวเกบ็ ประจุและอธบิ ายพลงั งานสะสม ใน ขึ้นอยูก่ บั ความตา่ งศักยค์ รอ่ มตัวเก็บประจแุ ละความจุ ตวั เกบ็ ประจแุ ละความจสุ มมูล รวมท้ังคาํ นวณ ของตวั เกบ็ ประจุ ตามสมการ ปรมิ าณต่างๆทเ่ี กีย่ วขอ้ ง • ตัวเกบ็ ประจจุ ะมีพลงั งานสะสมซ่ึงมีคา่ ข้นึ กบั ความ ตา่ งศักยแ์ ละปริมาณประจุตามสมการ • เมื่อนาํ ตวั เก็บประจุมาต่อแบบอนกุ รมความจสุ มมลู มี ค่าลดลงตามสมการ • เม่ือนาํ ตัวเกบ็ ประจุมาตอ่ แบบขนาน ความจุ สมมูลมีคา่ เพิม่ ขน้ึ ตามสมการ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พิม่ เตมิ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หน้า 137 ม.5 6. นําความรเู้ ร่ืองไฟฟ้าสถิตไปอธิบายหลกั การทํางาน • ความรู้เรอื่ งไฟฟา้ สถิตสามารถนําไปอธบิ ายการทาํ งาน ของเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าบางชนดิ และปรากฏการณ์ใน ของเครื่องใช้ไฟฟา้ บางชนดิ เชน่ เครือ่ งกําจัดฝุ่นใน ชีวิตประจาํ วัน อากาศ เครอ่ื งพน่ สี เคร่ืองถ่ายลายนิ้วมือและเคร่ือง ถ่ายเอกสาร • ความรู้เรอ่ื งไฟฟา้ สถติ ยงั สามารถนาํ ไปอธิบาย ปรากฏการณ์ในชีวิตประจาํ วนั ได้ เชน่ ฟา้ ผ่า ประกาย ไฟจากการเสียดสีกันของวัตถซุ ่ึงช่วยใหส้ ามารถป้องกัน อันตรายทอี่ าจเกดิ ขน้ึ 7. อธบิ ายการเคล่ือนทีข่ องอเิ ล็กตรอนอสิ ระและ • อเิ ล็กตรอนอสิ ระทอี่ ยูใ่ นลวดตวั นําจะเคลอื่ นท่ใี นทศิ กระแสไฟฟา้ ในลวดตวั นํา ความ สัมพันธ์ ระหวา่ ง ตรงขา้ มกบั สนามไฟฟ้าทําใหเ้ กิด กระแสไฟฟา้ ซ่งึ ทศิ กระแสไฟฟ้าในลวดตัวนํากบั ความ เร็วลอยเลือ่ นของ ของกระแสไฟฟ้ามีทิศทางเดียวกบั สนามไฟฟ้าหรอื มี อิเลก็ ตรอนอสิ ระความหนา แนน่ ของอิเลก็ ตรอนใน ทิศทางจากจดุ ทีม่ ีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังจุดท่มี ศี ักย์ไฟฟ้า ลวดตวั นําและพนื้ ที่ หนา้ ตดั ของลวดตวั นาํ และคํานวณ ตาํ่ กวา่ ปริมาณตา่ งๆ ทีเ่ กี่ยวข้อง • กระแสไฟฟา้ ในตวั นาํ ไฟฟา้ มคี วามสมั พันธก์ บั ความเรว็ ลอยเล่ือนของอิเล็กตรอนอิสระความหนาแนน่ ของอเิ ล็กตรอนอสิ ระในตวั นาํ และพ้นื ที่หน้าตัดของ ตวั นาํ ตามสมการ 8. ทดลองและอธิบายกฎของโอหม์ อธิบายความ • เมือ่ อุณหภูมคิ งตวั กระแสไฟฟา้ ในตวั นาํ โลหะความ สมั พันธ์ระหวา่ งความตา้ นทานกบั ความยาวพนื้ ท่ี ตา่ งศักยท์ ่ปี ลายท้งั สองและความต้านทานของตัวนาํ หนา้ ตดั และสภาพตา้ นทานของตวั นําโลหะท่อี ณุ หภูมิ นั้นมคี วามสัมพนั ธก์ นั ตามกฎของโอหม์ เขียนแทนได้ คงตัวและคาํ นวณปริมาณต่างๆที่เก่ยี วข้อง รวมทง้ั ด้วยสมการ อธิบายและคํานวณความต้านทานสมมลู เมอื่ นําตัว • ความต้านทานของวตั ถุเม่ืออุณหภมู คิ งตวั ตา้ นทานมาตอ่ กนั แบบอนกุ รมและแบบขนาน ขึ้นอย่กู ับชนดิ และรูปร่างของวัตถุ ตามสมการ • ค่าความต้านทานของตวั ต้านทานอ่านไดจ้ ากแถบสี บนตัวต้านทาน • เมื่อนําตวั ต้านทานมาต่อแบบอนุกรมความต้านทาน สมมลู มีค่าเพ่ิมข้ึนตามสมการ • เมอ่ื นาํ ตวั ต้านทานมาตอ่ แบบขนานความตา้ นทาน สมมลู มคี า่ ลดลง ตามสมการ 9. ทดลอง อธบิ ายและคํานวณอีเอ็มเอฟของแหล่ง • แหลง่ กาํ เนดิ ไฟฟา้ กระแสตรง เช่น แบตเตอรี่เปน็ กําเนดิ ไฟฟ้ากระแสตรง รวมท้ังอธบิ ายและคํานวณ อปุ กรณท์ ใ่ี หพ้ ลงั งานไฟฟา้ แก่วงจรพลงั งานไฟฟา้ ที่ พลงั งานไฟฟ้าและกาํ ลงั ไฟฟา้ ประจุไฟฟา้ ไดร้ ับต่อหนงึ่ หน่วยประจไุ ฟฟา้ เมือ่ เคลอื่ น ชั้น ผลการเรยี นรู้ ท่ีผา่ นแหล่งกําเนิดไฟฟ้าเรียกวา่ อเี อม็ เอฟ คาํ นวณได้ จากสมการ สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เติม หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์

หน้า 138 ม.5 • หน่งึ หน่วยเวลาเรยี กว่า กาํ ลังไฟฟา้ ซ่งึ มคี า่ ขึ้นกบั ความต่างศักยแ์ ละกระแสไฟฟ้าคาํ นวณได้จากสมการ และ 10. ทดลองและคํานวณอเี อ็มเอฟสมมลู จากการต่อ • เมอื่ นําแบตเตอร่มี าตอ่ แบบอนกุ รมอเี อม็ เอฟสมมูล แบตเตอรีแ่ บบอนุกรมและแบบขนาน รวมทั้งคาํ นวณ และความตา้ นทานภายในสมมูลมีค่า เพ่มิ ข้นึ ตาม ปริมาณตา่ ง ๆ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งในวงจรไฟฟ้ากระแสตรง สมการ และ ซึ่งประกอบดว้ ยแบตเตอรแี่ ละตวั ตา้ นทาน ตามลําดับ • เมอื่ นําแบตเตอรท่ี ีเ่ หมือนกนั มาต่อแบบขนานอเี อม็ เอฟสมมูลมีค่าคงเดมิ และความตา้ นทานภายในสมมูล มคี ่าลดลงตามสมการ และ ตามลาํ ดบั • กระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้ากระแสตรงทีป่ ระกอบดว้ ย แบตเตอรีแ่ ละตัวตา้ นทาน คํานวณได้ตามสมการ 11. อธิบายการเปล่ยี นพลงั งานทดแทนเป็นพลังงาน • การนําพลังงานทดแทนมาใชเ้ ปน็ การแก้ ปญั หาหรอื ไฟฟ้า รวมท้ังสืบค้นและอภิปรายเกย่ี วกบั เทคโนโลยี ตอบสนองความตอ้ งการดา้ นพลังงาน เช่น การเปลี่ยน ที่นํามาแกป้ ัญหาหรือตอบสนองความตอ้ งการทางดา้ น พลังงานนิวเคลียรเ์ ปน็ พลงั งานไฟฟา้ ในโรงไฟฟา้ พลงั งานไฟฟ้า โดยเน้นดา้ นประสิทธภิ าพและความ นิวเคลยี ร์และการเปลีย่ นพลังงานแสงอาทติ ยเ์ ป็น คุ้มค่าดา้ นคา่ ใชจ้ า่ ย พลงั งานไฟฟ้าโดยเซลลส์ รุ ยิ ะ • เทคโนโลยตี ่างๆ ทน่ี าํ มาแกป้ ญั หาหรือตอบ สนอง ความต้องการทางดา้ นพลังงานเปน็ การนาํ ความรู้ ทักษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ มาสร้าง อุปกรณห์ รือผลติ ภัณฑต์ า่ งๆ ทช่ี ว่ ยให้การใช้พลังงานมี ประสิทธภิ าพยง่ิ ขน้ึ ม.6 1.สังเกตและอธิบายเสน้ สนามแมเ่ หลก็ อธบิ ายและ • เสน้ สนามแม่เหล็กเป็นเสน้ สมมตทิ ใี่ ชแ้ สดงบริเวณท่ีมี คํานวณฟลักซแ์ ม่เหลก็ ในบรเิ วณทกี่ ําหนด รวมทั้ง สนามแม่เหล็กโดยบรเิ วณทีม่ เี สน้ สนามแม่เหล็กหนาแน่น สงั เกตและอธบิ ายสนาม แมเ่ หลก็ ท่เี กดิ จากกระแส มากแสดงว่าเปน็ บรเิ วณที่สนามแมเ่ หล็กมคี วามเข้มมาก ไฟฟา้ ในลวดตัวนาํ เส้นตรงและโซเลนอยด์ • ฟลกั ซ์แมเ่ หล็ก คอื จาํ นวนเสน้ สนามแม่ เหล็กท่ี ผ่านพืน้ ทที่ พ่ี ิจารณาและอตั ราสว่ นระหวา่ งฟลกั ซ์ แม่เหลก็ ตอ่ พ้นื ท่ตี ง้ั ฉากกบั สนามแม่เหล็ก คอื ขนาด ของสนามแม่เหล็กเขียนแทนไดด้ ว้ ยสมการ • เม่ือมีกระแสไฟฟา้ ผา่ นลวดตวั นาํ เส้นตรงหรือโซเลน อยด์จะเกดิ สนามแม่เหลก็ ข้นึ 2. อธิบายและคํานวณแรงแม่เหลก็ ท่ีกระทําต่ออนภุ าค • อนภุ าคท่ีมปี ระจไุ ฟฟ้าเคลอื่ นทีเ่ ขา้ ไปในสนาม ทม่ี ีประจุไฟฟ้าเคลือ่ นท่ีในสนาม แมเ่ หล็กแรงแม่เหลก็ แมเ่ หลก็ จะเกิดแรงกระทาํ ต่ออนภุ าคน้นั คาํ นวณได้ ที่กระทําต่อเสน้ ลวดทม่ี กี ระแสไฟฟ้าผา่ นและวางใน จากสมการ สนามแม่เหลก็ รัศมีความโคง้ ของการเคล่ือนท่เี ม่ือประจุ • กรณีท่ีประจุไฟฟา้ เคลอ่ื นทต่ี ัง้ ฉากเขา้ ไปในสนาม เคลอื่ นท่ตี ง้ั ฉากกับสนามแมเ่ หลก็ รวมทง้ั อธบิ ายแรง แม่เหล็กจะทาํ ใหป้ ระจุเคลอื่ นท่เี ปลยี่ น ไปโดยรศั มี ระหว่างเสน้ ลวดตวั นาํ คขู่ นานท่ีมกี ระแสไฟฟ้าผา่ น ความโคง้ ของการเคลอ่ื นทคี่ าํ นวณได้จากสมการ ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พม่ิ เตมิ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์

หน้า 139 ม.6 • ลวดตวั นาํ ทมี่ ีกระแสไฟฟ้าผา่ นและอยใู่ นสนาม แม่เหล็กจะเกดิ แรงกระทาํ ต่อลวดตัวนาํ นั้นโดยทศิ ทาง ของแรงหาไดจ้ ากกฎมอื ขวาและคํานวณขนาดของแรง ไดจ้ ากสมการ • เมือ่ วางเส้นลวดสองเสน้ ขนานกันและมีกระแสไฟฟา้ ผ่านทั้งสองเส้นจะเกดิ แรงกระทาํ ระหว่างลวดตัวนาํ ทั้ง สอง 3. อธิบายหลกั การทํางานของแกลแวนอมิเตอร์และ • เสน้ สนามแม่เหล็กเปน็ เสน้ สมมตทิ ี่ใช้แสดงเมื่อมี มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง รวมทั้งคํานวณปริมาณ กระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดตวั นําท่ีอย่ใู นสนามแม่เหล็ก ตา่ งๆ ทเ่ี กย่ี วข้อง จะมโี มเมนตข์ องแรงคคู่ วบกระทาํ ต่อขดลวดทาํ ให้ ขดลวดหมุน ซึ่งไปใช้อธบิ ายการทาํ งานของแกลแวนอ มเิ ตอร์และมอเตอรไ์ ฟฟา้ กระแสตรง โดยโมเมนต์ของ แรงค่คู วบคาํ นวณไดจ้ ากสมการ 4. สังเกตและอธบิ ายการเกิดอีเอม็ เอฟเหน่ยี วนํากฎ • เมื่อมฟี ลักซ์แม่เหล็กเปลย่ี นแปลงตัดขดลวดตัวนําจะ การเหน่ยี วนาํ ของฟาราเดย์และคาํ นวณปรมิ าณ เกดิ อเี อม็ เอฟเหนี่ยวนาํ ในขดลวดตวั นํานั้นอธิบายได้ ต่างๆ ที่เกยี่ วข้อง รวมท้งั นําความร้เู รือ่ งอเี อม็ เอฟ โดยใช้กฎการเหนยี่ วนําของ ฟาราเดยเ์ ขยี นแทนได้ เหนยี่ วนําไปอธบิ ายการทาํ งานของเครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ดว้ ยสมการ • ทศิ ทางของกระแสไฟฟา้ เหนีย่ วนาํ หาได้โดยใชกฎ ของเลนซ์ • ความรเู้ กีย่ วกับอีเอม็ เอฟเหนี่ยวนาํ ไปใชอ้ ธบิ าย การทํางานของเครือ่ งกําเนิดไฟฟา้ และการทํางาน ของเครือ่ งใช้ไฟฟ้าต่างๆ เชน่ แบลลสั ต์แบบขดลวด ของหลอดฟลอู อเรสเซนต์ การเกดิ อีเอม็ เอฟกลบั ใน มอเตอรไ์ ฟฟา้ มอเตอร์ไฟฟา้ เหนีย่ วนํา และกตี าร์ ไฟฟา้ 5. อธิบายและคาํ นวณความตา่ งศกั ยอ์ ารเ์ อม็ เอสและ • ไฟฟา้ กระแสสลบั ทสี่ ่งไปตามบา้ นเรือน มคี วามต่าง กระแสไฟฟ้าอารเ์ อม็ เอส ศกั ย์และกระแสไฟฟา้ เปล่ียนแปลงไปตามเวลาในรปู ของฟงั กช์ นั แบบไซน์ • การวัดความตา่ งศกั ย์และกระแสไฟฟา้ สลบั ใชค้ า่ ยงั ผลหรอื ค่ามเิ ตอร์ ซ่งึ เป็นค่าเฉลี่ยแบบรากท่สี องของ กาํ ลงั สองเฉลีย่ คาํ นวณได้จากสมการ 6. อธิบายหลกั การทํางานและประโยชน์ของเคร่ือง • เคร่ืองกําเนิดไฟฟ้ากระแสสลบั 3 เฟส มขี ดลวด กําเนิดไฟฟา้ กระแสสลบั 3 เฟส การแปลงอีเอ็มเอฟ ตัวนาํ 3 ชดุ แตล่ ะชุดวางทํามุม 120 องศา ซึ่งกนั ของหม้อแปลงและคํานวณปรมิ าณตา่ งๆ ทเี่ ก่ียวขอ้ ง และกัน ไฟฟา้ กระแสสลับจากขดลวดแตล่ ะชดุ จะมี เฟสตา่ งกัน 120 องศาซง่ึ ช่วยใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพใน การผลติ และการสง่ พลงั งานไฟฟ้า ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้เพ่ิมเตมิ หลักสูตรกลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หนา้ 140 ม.6 • ไฟฟ้ากระแสสลบั ที่ส่งไปตามบ้านเรือนเป็นไฟฟา้ กระแสสลับทีต่ ้องเพ่ิมอเี อ็มเอฟจากโรงไฟฟ้าแล้ว ลดอีเอ็มเอฟใหม้ ีคา่ ที่ต้องการโดยใช้หมอ้ แปลง ซึง่ ประกอบด้วยขดลวดปฐมภมู ิและขดลวดทตุ ิยภมู ิ • ไฟฟา้ กระแสสลบั ท่ผี า่ นขดลวดปฐมภมู ขิ องหม้อ แปลงจะทาํ ใหเ้ กิดอเี อม็ เอฟเหน่ยี วนาํ ในขดลวดทุตยิ ภมู ขิ องหม้อแปลง โดยอีเอ็มเอฟในขดลวดทุติยภูมิ ขึ้นกับอีเอม็ เอฟในขดลวดปฐมภมู แิ ละจาํ นวนรอบของ ขดลวดทั้งสองตามสมการ 7. อธบิ ายการเกิดและลักษณะเฉพาะของคล่นื • การเหน่ียวนําต่อเน่อื งระหว่างสนามแม่ เหล็กและ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ แสงไมโ่ พลาไรส์ แสงโพลาไรสเ์ ชิง สนามไฟฟา้ ทําใหเ้ กดิ คล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าแผอ่ อกจาก เส้นและแผน่ โพลารอยด์ รวมท้ังอธิบายการนาํ แหล่งกาํ เนิด คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ ในช่วงความถต่ี ่างๆ ไปประยกุ ต์ • คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ ประกอบดว้ ยสนามแม่ เหลก็ และ ใช้และหลักการทาํ งานของอปุ กรณ์ทเี่ กย่ี วข้อง สนามไฟฟ้าทเ่ี ปลย่ี นแปลงลอดเวลาโดยสนามท้ังสองมี 8. สบื ค้นและอธิบายการสอ่ื สารโดยอาศยั ทิศตั้งฉากกันและตั้งฉากกบั ทิศทางการเคลื่อนทีข่ อง คล่ืนแม่เหล็กไฟฟา้ ในการส่งผ่านสารสนเทศ คล่นื และเปรียบเทยี บการสื่อสารดว้ ยสญั ญาณ • แสงเปน็ คล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟา้ ชนิดหนง่ึ โดยแสงในชีวติ แอนะล็อกกบั สญั ญาณดจิ ิทัล ประจําวันเป็นแสงไมโ่ พลาไรส์เมื่อแสงน้ันผ่านแผน่ โพ ลารอยด์ สนามไฟฟ้าจะมที ศิ ทางอยู่ในระนาบเดยี ว เรียกว่า แสงโพลาไรส์เชงิ เส้น สมบัติของแสงลักษณะ นเ้ี รียกวา่ โพลาไรเซชัน • คลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ มคี วามถี่ต่างๆ มากมายโดย ความถี่น้มี ีค่าต่อเนื่องกันเปน็ ชว่ งกวา้ งเรียกว่า สเปกตรมั คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ • ตัวอย่างอปุ กรณ์ท่ที ํางานโดยอาศยั คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เชน่ เครือ่ งฉายรังสีเอกซ์ เคร่ืองควบคุมระยะ ไกล เครอื่ งระบตุ ําแหนง่ บนพื้นโลก เคร่อื งถา่ ยภาพ เอกซ์เรย์คอมพิวเตอรแ์ ละเคร่ืองถ่ายภาพการสัน่ พอ้ ง แม่เหลก็ • การสื่อสารเพอื่ สง่ ผ่านสารสนเทศจากท่หี น่ึงไปอีกที่ หนึ่ง ทําไดโ้ ดยอาศยั คลืน่ แมเ่ หล็ก ไฟฟ้าสารสนเทศจะ ถกู แปลงให้อย่ใู นรปู สัญญาณสําหรับสง่ ไปยงั ปลายทาง ซึง่ จะมีการแปลงสญั ญาณกลับมาเป็นสารสนเทศที่ เหมือน เดิม • สัญญาณมีสองชนดิ คือแอนะล็อกและดจิ ิทัลโดย การส่งผา่ นสารสนเทศดว้ ยสญั ญาณดิจิทลั มีความผดิ พลาดนอ้ ยกวา่ สญั ญาณแอนะลอ็ ก สาระฟสิ กิ ส์ หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หนา้ 141 4. เขา้ ใจความสัมพันธข์ องความร้อนกับการเปล่ียนอุณหภมู ิและสถานะของสสาร สภาพยืดหยนุ่ ของวัสดุและมอดลุ ัสของยงั ความดนั ในของไหล แรงพยุงและหลกั ของอาร์คิมดี สิ ความตึงผิวและแรงหนดื ของของเหลว ของไหลอดุ มคติ และสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอดุ มคตแิ ละพลังงานใน ระบบทฤษฎี อะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเลก็ ทริก ทวิภาวะของคลื่น และอนุภาคกัมมันตภาพรังสี แรงนิวเคลยี ร์ ปฏิกิริยานวิ เคลียร์ พลังงานนวิ เคลยี ร์ ฟสิ กิ สอ์ นภุ าค รวมทงั้ นําความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรูเ้ พมิ่ เตมิ ม.4 - - ม.5 - - ม.6 1. อธิบายและคํานวณความรอ้ นทท่ี ําให้สสารเปล่ียน • เมอ่ื สสารไดร้ บั หรือคายความรอ้ น สสารอาจมี อุณหภมู ิ ความรอ้ นทท่ี าํ ให้สสารเปล่ียนสถานะและ อณุ หภูมิเปลย่ี นไป และสสารอาจเปล่ยี น สถานะโดย ความรอ้ นที่เกิดจากการถ่ายโอนตามกฎการอนุรักษ์ ไมเ่ ปลีย่ นอณุ หภมู ิ ซง่ึ ปริมาณความรอ้ นทีท่ ําใหส้ สาร พลงั งาน เปล่ียนอุณหภมู ิคาํ นวณไดจ้ ากสมการ ส่วนปรมิ าณของพลงั งานความรอ้ นท่ีทําให้สสาร เปลี่ยนสถานะคํานวณไดจ้ ากสมการ • วัตถทุ ่ีมีอุณหภมู ิสงู กวา่ จะถ่ายโอนความร้อนไปสูว่ ัตถุ ท่มี ีอณุ หภมู ิต่ํากว่าเปน็ ไปตามกฎการอนุรกั ษ์พลังงาน โดยปริมาณความร้อนที่วัตถหุ นงึ่ ใหจ้ ะเทา่ กับปริมาณ ความร้อนท่วี ตั ถหุ นงึ่ รับเขียนแทนได้ดว้ ยสมการ • เม่อื วตั ถมุ ีอุณหภมู เิ ท่ากันจะไม่มีการถ่ายโอนความ รอ้ น เรยี กว่าวัตถุอยู่ในสมดุลความรอ้ น 2. อธบิ ายสภาพยดื หยุ่นและลักษณะการยืดและหด • สมบัตทิ ว่ี ัสดุเปลยี่ นรูปและกลับสรู่ ปู เดิมเม่อื หยุดออก ตวั ของวัสดุที่เปน็ แทง่ เมอื่ ถูกกระทาํ ด้วยแรงค่าต่างๆ แรงกระทําเรียกวา่ สภาพยืดหยุ่นถา้ ยงั ออกแรงต่อไป รวมทั้งทดลอง อธิบายและคาํ นวณความเคน้ ตามยาว วสั ดุจะขาดหรือเสยี รูปอยา่ งถาวร ความเครยี ดตามยาว และมอดลุ ัสของยังและนาํ • ในกรณีทวี่ ตั ถมุ ีการเปลยี่ นแปลงความยาว ถา้ ออก ความรู้เร่อื งสภาพยดื หย่นุ ไป แรงกระทาํ ต่อเสน้ ลวดไมเ่ กนิ ขีดจํากดั การแปรผนั ตรง ความยาวทเี่ พมิ่ ข้ึนของเสน้ ลวดแปรผันตรงกับขนาด ของแรงดึงทําใหค้ วามเครยี ดตามยาวทเ่ี กิดขน้ึ แปรผนั ตรงกบั ความเคน้ ตามยาว โดยความเคน้ ตามยาว คาํ นวณได้จากสมการ ส่วนความเครียด ตามยาวคาํ นวณได้จากสมการ • อตั ราส่วนความเค้นตามยาวต่อความเครยี ดตามยาว เรียกวา่ มอดุลสั ของยงั ซง่ึ มีคา่ ข้นึ กับชนดิ ของวัสดุ คาํ นวณได้จากสมการ หรอื • ถ้าวัสดุมมี อดุลสั ของยังสงู แสดงวา่ วัสดุน้ันเปล่ยี น แปลงความยาวได้นอ้ ย ถา้ ออกแรงเพ่มิ ขนึ้ เกนิ ขดี จาํ กดั สภาพยืดหยนุ่ วัสดุไมส่ ามารถกลบั คืนสสู่ ภาพ เดิมได้ สมบตั นิ น้ี าํ ไปใช้พจิ ารณาในการเลอื กวัสดุที่ เหมาะสมกับการใช้งาน ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พมิ่ เตมิ หลักสูตรกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หน้า 142 ม.6 3. อธิบายและคาํ นวณความดนั เกจความดันสัมบูรณ์ • ภาชนะท่ีมีของเหลวบรรจุอยู่จะมีแรงเนอ่ื ง จากของ และความดนั บรรยากาศ รวมทง้ั อธบิ ายหลกั การ เหลวกระทาํ ตอ่ พื้นผวิ ภาชนะ โดยขนาดของแรงที่ ทาํ งานของแมนอมเิ ตอรบ์ ารอมเิ ตอร์ และเครอ่ื งอัดไ ของเหลวกระทําต้ังฉากต่อพ้นื ที่หน่ึงหนว่ ยเปน็ ความ ฮดรอลิกใช้ในชีวติ ประจาํ วัน ดนั ในของเหลว • ความดันทเี่ ครือ่ งมือวัดได้ เรียกว่า ความดนั เกจ คํานวณไดจ้ ากสมการ ส่วนผลรวมของ ความดนั บรรยากาศและความดันเกจ เรียกว่า ความดนั สัมบรู ณ์ คาํ นวณได้จากสมการ • ค่าของความดนั อ่านไดจ้ ากเครอื่ งวดั ความดัน เชน่ แมนอมเิ ตอร์ บารอมิเตอร์ • เมื่อเพ่มิ ความดนั ณ ตาํ แหนง่ ใดๆ ในของ เหลวทอ่ี ยู่ น่งิ ในภาชนะปดิ ความดนั ที่เพิม่ ขึ้นจะสง่ ผ่านไปทกุ ๆ จดุ ในของเหลวนน้ั เรยี กว่ากฎพาสคลั กฎนนี้ าํ ไปใช้ อธบิ ายการทาํ งานของเครื่องอัดไฮดรอลิก 4. ทดลอง อธิบายและคาํ นวณขนาดแรงพยุงจาก • วัตถุทอี่ ยใู่ นของไหลท้งั หมดหรือเพียงบาง สว่ นจะถูก ของไหล แรงพยุงจากของไหลกระทํา โดยขนาดแรงพยุงเทา่ กับขนาดนํา้ หนักของของไหลทถ่ี กู วตั ถุแทนที่ตามหลกั ของอารค์ ิมดี ีส ซ่ึงใช้อธิบายการลอยการจมของวตั ถุ ตา่ งๆ ในของไหลขนาดแรงพยงุ จากของไหลคํานวณ ได้จากสมการ 5. ทดลอง อธบิ ายและคาํ นวณความตงึ ผิวของ • ความตึงผิวเปน็ สมบัตขิ องของเหลวทย่ี ดึ ผิวของเหลว ของเหลว รวมทัง้ สังเกตและอธบิ ายแรงหนดื ของ ไว้ดว้ ยแรงดึงผวิ ปรากฏการณท์ ่เี ปน็ ผลจากความตงึ ผวิ ของเหลว เชน่ การเดนิ บนผิวนํ้าของแมลงบางชนิด การซมึ ตาม รูเล็กหรอื การโค้งของผวิ ของเหลว โดยความตึงผิวของ ของ เหลวคาํ นวณไดจ้ ากสมการ • ความหนดื เป็นสมบตั ขิ องของไหลวตั ถุทเี่ คลอ่ื นทีใ่ น ของไหลจะมแี รงเนอ่ื งจากความหนืดตา้ นการเคลอ่ื นท่ี ของวตั ถุ เรียกว่าแรงหนืด 6. อธิบายสมบัตขิ องของไหลอดุ มคติ สมการความ • ของไหลอดุ มคติเปน็ ของไหลทมี่ กี ารไหลอยา่ ง ต่อเนอื่ งและสมการแบรน์ ูลลรี วมทง้ั คาํ นวณปรมิ าณ สมํา่ เสมอ ไม่มคี วามหนืด บีบอดั ไม่ไดแ้ ละไหลโดย ตา่ งๆ ทีเ่ กย่ี วข้องและนําความรู้เกยี่ วกับสมการความ ไม่หมนุ มีอัตราการไหลตามสมการความตอ่ เนือ่ ง ต่อเน่ืองและสมการแบรน์ ูลลีไปอธิบายหลกั การทํางาน ของอุปกรณต์ ่างๆ • ตําแหนง่ สองตําแหนง่ บนสายกระแสเดยี ว กนั ของ ของไหลอดุ มคติท่ีไหลอยา่ งสมาํ่ เสมอจะมผี ลรวมของ ความดันสมั บูรณ์ พลังงานจลนต์ ่อหนงึ่ หน่วยปรมิ าตร และพลงั งานศกั ยต์ ่อหนึ่งหนว่ ยปริมาตรเป็นคา่ คงตวั ตามสมการแบร์นูลลีี 7. อธบิ ายกฎของแก๊สอุดมคติและคาํ นวณปริมาณ • แก๊สอุดมคตเิ ปน็ แก๊สท่ีโมเลกุลมขี นาดเล็กมากไมม่ ี ตา่ งๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง แรงยึดเหนีย่ วระหวา่ งโมเลกุล มีการเคล่อื นท่ีแบบสุม่ และมีการชนแบบยดื หยุ่น ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่ิมเติม หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หนา้ 143 ม.6 • ความสมั พันธ์ระหวา่ งความดนั ปรมิ าตรและอณุ หภมู ิ ของแกส๊ อดุ มคตเิ ป็นไปตามกฎของแก๊สอุดมคติ เขยี น แทนไดด้ ้วยสมการ 8. อธิบายแบบจาํ ลองของแกส๊ อุดมคตทิ ฤษฎจี ลน์ • จากแบบจาํ ลองของแก๊สอุดมคติ กฎการเคลือ่ นทีข่ อง ของแกส๊ และอตั ราเรว็ อาร์เอ็มเอส ของโมเลกุลของ นวิ ตนั และจากกฎของแก๊สอดุ มคตทิ ําใหส้ ามารถศกึ ษา แกส๊ รวมท้งั คาํ นวณปริมาณตา่ งๆ ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง สมบัตทิ างกาย ภาพบางประการของแกส๊ ได้ ไดแ้ ก่ ความดนั พลงั งานจลน์เฉลี่ยและอัตราเรว็ อารเ์ อ็มเอส ของโมเลกุลของแก๊สได้ • จากทฤษฎีจลนข์ องแก๊ส ความดนั และพลังงานจลน์ เฉลย่ี ของโมเลกุลของแก๊สมคี วามสัมพนั ธ์ตามสมการ ส่วนอัตราเรว็ อาร์เอ็มเอสของโมเลกุล ของแกส๊ คํานวณไดจ้ ากสมการ 9. อธิบายและคํานวณงานทีท่ ําโดยแกส๊ ในภาชนะ • ในภาชนะปดิ เม่ือมกี ารเปล่ียนแปลงปรมิ าตร ของ ปดิ โดยความดันคงตวั และอธิบายความสัมพันธ์ แกส๊ โดยความดนั คงตัว งานที่เกิดขึ้นคํานวณได้จาก ระหวา่ งความรอ้ น พลงั งานภายในระบบและงาน สมการ รวมทั้งคํานวณปรมิ าณต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและนาํ • โมเลกลุ ของแก๊สอุดมคตใิ นภาชนะปิดจะมีพลังงาน ความร้เู ร่อื งพลังงานภายในระบบไปอธบิ ายหลักการ จลน์ โดยพลังงานจลนร์ วมของโมเลกลุ เรียกว่าพลงั งาน ทาํ งานของเครื่องใช้ในชีวิตประจาํ วนั ภายในของแกส๊ หรือพลังงานภายในระบบ ซ่งึ แปรผัน 10. อธบิ ายสมมตฐิ านของพลงั ค์ ทฤษฎี ตรงกบั จาํ นวน โมเลกลุ และอุณหภูมสิ ัมบูรณข์ องแกส๊ อะตอมของโบร์ และการเกิดเสน้ สเปกตรัมของ • พลงั งานภายในระบบมีความสมั พนั ธ์กบั ความรอ้ น อะตอมไฮโดรเจน รวมทงั้ คํานวณปรมิ าณต่างๆ ท่ี และงาน เชน่ เมื่อมีการถา่ ยโอนความรอ้ นในระบบปดิ เก่ยี วข้อง ผลของการถา่ ยโอนความร้อนนีจ้ ะเทา่ กบั ผลรวมของ พลังงานภาย ในระบบท่ีเปล่ยี นแปลงกบั งานเป็นไป ตามกฎการอนุรักษพ์ ลังงานเรียกกฎข้อที่หนึง่ ของ อณุ หพลศาสตร์แสดงไดด้ ว้ ยสมการ • ความรเู้ รือ่ งพลงั งานภายในระบบสามารถนาํ ไป ประยกุ ต์ในดา้ นตา่ งๆ เชน่ การทํางานของเคร่ืองยนต์ ความร้อน ตูเ้ ยน็ ครอ่ื งปรบั อากาศ • พลงั ค์เสนอสมมติฐานเพ่ืออธิบายการแผ่รงั สขี องวตั ถุ ดํา ซงึ่ สรปุ ได้วา่ พลงั งานทว่ี ัตถดุ ําดดู กลนื หรือแผอ่ อก มามคี ่าได้เฉพาะบางค่าเท่านั้นและค่าน้ีจะเปน็ จํานวน เทา่ ของ hf เรยี กวา่ ควอนตมั พลงั งานโดยแสงความถี่ f จะมพี ลงั งานตามสมการ E=nhf • ทฤษฎีอะตอมของไฮโดรเจนทเี่ สนอโดยโบร์ อธิบาย ว่า อิเลก็ ตรอนจะเคล่อื นท่รี อบนวิ เคลียสในวงโคจร บางวงได้โดยไม่แผ่คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ถ้าอเิ ลก็ ตรอนมี การเปลี่ยนวงโคจรจะมีการรบั หรอื ปลอ่ ยพลังงานใน รูปของคลืน่ แม่เหล็ก ไฟฟ้าตามสมมตฐิ านของพลงั ค์ ช้ัน ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพิม่ เตมิ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หน้า 144 ม.6 ซงึ่ สามารถนาํ ไปคาํ นวณรัศมีวงโคจรของอเิ ลก็ ตรอน และพลังงานอะตอมของไฮโดรเจนไดต้ ามสมการ ตามลําดับ • ทฤษฎีอะตอมของโบรส์ ามารถนาํ ไปคาํ นวณความ ยาวคลืน่ ของแสงในสเปกตรมั เสน้ สว่างของอะตอม ไฮโดรเจนตามสมการ 11. อธิบายปรากฏการณโ์ ฟโตอเิ ล็กทริกและคํานวณ • ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริกเป็นปรากฏการณ์ที่ พลงั งานโฟตอน พลังงานจลน์ของโฟโตอิเล็กตรอน อเิ ล็กตรอนหลุดจากผวิ โลหะเมอ่ื มีแสงที่มคี วามถี่ และฟงั กช์ ันงานของโลหะ เหมาะสมมาตกกระทบ โดยจํานวนโฟโตอิเล็กตรอน ทห่ี ลดุ จะเพิ่มขึน้ ตามความเขม้ แสงและพลังงานจลน์ สูงสุดของโฟโตอิเล็กตรอนจะขึ้นกบั ความถี่ของแสงน้ัน โดยพลังงานของแสงหรอื โฟตอนตามสมมตฐิ านของพลังค์ • ไอน์สไตน์อาศยั กฎการอนุรกั ษพ์ ลงั งานและ สมมติฐานของพลังค์ อธบิ ายปรากฏการณ์ โฟโตอเิ ล็กทริกตามสมการ • การทดลอง พลังงานจลน์สูงสดุ ของโฟโตอิเล็กตรอน และฟงั ก์ชันงานของโลหะคาํ นวณได้จากสมการ ตามลาํ ดบั 12. อธิบายทวิภาวะของคลื่นและอนภุ าครวมท้ัง • การคน้ พบการแทรกสอดและการเลี้ยวเบนของ อธิบายและคํานวณความยาวคลน่ื เดอบรอยล์ อเิ ลก็ ตรอนสนับสนนุ ความคดิ ของเดอบรอยล์ท่เี สนอ วา่ อนุภาคแสดงสมบตั ขิ องคลน่ื ได้ โดยเม่อื อนภุ าค ประพฤตติ ัวเป็นคลืน่ จะมคี วามยาวคล่ืน เรยี กว่า ความยาวคลืน่ เดอบรอยล์ ซึง่ มคี า่ ข้ึนกับโมเมนตมั ของ อนุภาค ตามสมการ 13.อธิบายกมั มนั ตภาพรังสแี ละความแตกตา่ งของ • จากความคิดของไอน์สไตน์และเดอบรอยล์ทาํ ให้สรปุ รังสีแอลฟา บตี าและแกมมา ไดว้ า่ คล่ืนแสดงสมบัติของอนภุ าคไดแ้ ละอนุภาคแสดง สมบัติของคลืน่ ได้ สมบัตดิ งั กล่าวเรียกว่า ทวิภาวะของ คลน่ื และอนภุ าค • กมั มนั ตภาพรงั สเี ปน็ ปรากฏการณท์ ี่ธาตุกัมมันตรงั สี แผร่ งั สีไดเ้ องอย่างต่อเนื่อง รงั สีท่ีออกมามี 3 ชนิด คือ แอลฟา บีตาและแกมมา • การแผร่ งั สเี กดิ จากการเปลยี่ นแปลงนิวเคลยี สของ ธาตกุ ัมมนั ตรงั สี ซ่ึงเขียนแทนไดด้ ้วยสมการ การสลายใหแ้ อลฟา การสลายใหบ้ ตี าลบ การสลายให้บีตาบวก การสลายใหแ้ กมมา ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพมิ่ เติม หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หนา้ 145 ม.6 14. อธิบายและคาํ นวณกัมมนั ตภาพของนิวเคลียส • ในการสลายของธาตุกมั มันตรงั สี อตั ราการแผ่รงั สี กมั มันตรงั สี รวมทั้งทดลอง อธบิ ายและคํานวณ ออกมาในขณะหนึง่ เรยี กว่ากัมมันตภาพ ปรมิ าณนี้ จาํ นวนนวิ เคลียสกมั มันตภาพรังสที เ่ี หลือจาก บอกถึงอตั ราการลดลงของจาํ นวนนวิ เคลยี สของธาตุ การสลายและครึ่งชีวติ กมั มนั ตรังสีคํานวณได้จากสมการ • ช่วงเวลาทีจ่ าํ นวนนิวเคลียสลดลงเหลือครงึ่ หนึ่งของ จาํ นวนเร่ิมต้นเรียกว่า ครึ่งชีวิตโดยจํานวนนิวเคลยี ส กมั มันตภาพรังสที ่ีเหลือจากการสลายและครงึ่ ชวี ติ คํานวณได้จากสมการ และ ตามลําดบั 15. อธบิ ายแรงนวิ เคลยี รเ์ สถียรภาพของนิวเคลยี ส • ภายในนิวเคลียสมีแรงนิวเคลียรท์ ่ีใช้อธบิ าย และพลงั งานยดึ เหนี่ยว รวมทงั้ คาํ นวณปริมาณต่างๆ เสถียรภาพของนิวเคลยี ส ที่เกี่ยวขอ้ ง • การทาํ ให้นิวคลอี อนในนวิ เคลยี สแยกออกจากกนั ต้องใชพ้ ลังงานเทา่ กบั พลงั งานยดึ เหน่ยี ว ซ่ึงคาํ นวณได้ จากความสมั พันธ์ระหวา่ งมวลและพลงั งาน ตาม สมการ • นิวเคลยี สท่มี พี ลังงานยดึ เหน่ียวตอ่ นวิ คลีออนสูงจะ มเี สถยี รภาพดกี ว่านวิ เคลยี สที่มพี ลงั งานยึดเหนยี่ วต่อ นิวคลีออนต่าํ โดยพลังงานยดึ เหนย่ี วตอ่ นิวคลีออน คาํ นวณได้จากสมการ 16. อธบิ ายปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลียร์ ฟชิ ชนั และฟิวชัน • ปฏิกิรยิ าทท่ี ําใหน้ วิ เคลียสเกดิ การเปลยี่ น แปลง รวมทั้งคํานวณพลังงานนิวเคลยี ร์ องคป์ ระกอบหรือระดับพลังงาน เรียกวา่ ปฏกิ ิริยา นิวเคลยี ร์ 17. อธิบายประโยชนข์ องพลงั งานนิวเคลียร์และรงั สี • ฟิชชนั เปน็ ปฏิกริ ยิ าทนี่ ิวเคลียสทมี่ ีมวลมากแตก รวมท้ังอันตรายและการปอ้ งกนั รังสีในด้านตา่ งๆ ออกเปน็ นวิ เคลยี สทมี่ มี วลน้อยกวา่ สว่ นฟิวชนั เปน็ 18. อธบิ ายการคน้ คว้าวจิ ยั ดา้ นฟสิ ิกส์อนภุ าค ปฏิกริ ยิ าทีน่ ิวเคลยี สที่มมี วลน้อย รวมตวั กันเกดิ เปน็ แบบจาํ ลองมาตรฐานและการใชป้ ระโยชนจ์ าก นวิ เคลยี สท่มี มี วลมากขึน้ พลงั งานที่ปลดปล่อยออก การค้นคว้าวจิ ยั ดา้ นฟิสิกส์อนภุ าคในด้านต่างๆ มาจากฟิชชันหรอื ฟิวชันเรยี กวา่ พลังงานนวิ เคลยี ร์ ซง่ึ มคี ่าเป็นไปตามความสัมพนั ธ์ระหว่างมวลกับ พลงั งานตามสมการ • พลงั งานนิวเคลยี รแ์ ละรงั สจี ากการสลายของธาตุ กมั มันตรงั สีสามารถนาํ ไปใช้ประโยชน์ในดา้ นตา่ งๆ ขณะเดียวกันต้องมกี ารปอ้ งกันอนั ตรายทอี่ าจเกดิ ข้ึน ได้ • การศกึ ษาโปรตอนและนวิ ตรอนในนิวเคลียสด้วย เคร่อื งเร่งอนุภาคพลงั งานสงู พบวา่ โปรตอนและ นวิ ตรอนประกอบด้วยอนภุ าคอ่ืนท่มี ีขนาดเลก็ กวา่ เรียกว่า ควารก์ ซงึ่ ยดึ เหนยี่ วกันไวด้ ว้ ยแรงเข้ม • นักฟสิ กิ ส์ยงั ไดค้ ้นพบอนภุ าคทีเ่ ปน็ สอื่ ของแรงเขม้ ซงึ่ ไดแ้ ก่ กลอู อน และอนุภาคทีเ่ ป็นสือ่ ของแรงออ่ น ซง่ึ ได้แก่ W – โบซอนและ Z – โบซอน หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์

หนา้ 146 ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรูเ้ พมิ่ เติม ม.6 • อนภุ าคทไ่ี มส่ ามารถแยกเป็นองคป์ ระกอบได้ รวมทง้ั อนุภาคทเี่ ป็นส่อื ของแรง จัดเป็นอนุภาคมูลฐานใน แบบจําลองมาตรฐาน • แบบจําลองมาตรฐานเปน็ ทฤษฎที ใี่ ช้อธิบายพฤตกิ รรม และอันตรกริ ิยาระหว่างอนภุ าคมูลฐาน • การค้นคว้าวิจยั ด้านฟสิ กิ สอ์ นุภาคนําไปสกู่ ารพัฒนา เทคโนโลยีทน่ี าํ มาใชป้ ระโยชน์ในดา้ นตา่ งๆ เชน่ ด้าน การแพทย์ มกี ารใชเ้ ครอ่ื งเรง่ อนุภาคในการรกั ษาโรค มะเรง็ การใชเ้ ครื่องถ่ายภาพ รงั สีระนาบด้วยการปลอ่ ย โพซติ รอนในการวนิ จิ ฉยั โรคมะเร็งดา้ นการรกั ษาความ ปลอดภัย มกี ารใช้เคร่อื งเอกซเรยค์ อมพิวเตอร์ใน การตรวจวัตถอุ นั ตรายในสนามบนิ สาระโลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ หลักสูตรกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หน้า 147 1. เข้าใจกระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลก ธรณีพิบตั ิภัยและผลต่อสง่ิ มีชวี ิตและ สิง่ แวดลอ้ ม รวมท้ังการศกึ ษาลาํ ดับชั้นหินทรพั ยากรธรณีแผนที่ การนาํ ไปใช้ประโยชน์ ชัน้ ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ ม.4 1. อธบิ ายการแบ่งช้ันและสมบัตขิ องโครง สรา้ งโลก • การศึกษาโครงสรา้ งโลกใชข้ ้อมูลหลายด้าน เช่น พรอ้ มยกตัวอยา่ งขอ้ มลู ทสี่ นบั สนนุ องค์ประกอบทางเคมขี องหนิ และแร่ องคป์ ระกอบทาง เคมีของอกุ กาบาต ขอ้ มูลคลนื่ ไหวสะเทือนท่ีเคลื่อนท่ี ผ่านโลก จึงสามารถแบง่ ช้ันโครงสรา้ งโลกได้ 2 แบบ คือโครงสรา้ งโลกตามองค์ประกอบทางเคมี แบง่ ได้ เปน็ 3 ช้ัน ได้แก่ เปลือกโลก เนอื้ โลกและแก่นโลก และโครงสร้างโลกตามสมบตั ิเชงิ กลแบง่ ไดเ้ ป็น 5 ชัน้ ไดแ้ กธ่ รณีภาค ฐานธรณภี าค มัชฌมิ ภาค แกน่ โลก ชน้ั นอกและแก่นโลกช้ันใน นอกจากนยี้ งั มกี ารค้นพบ รอยต่อระหว่างช้ันโครงสรา้ งโลก เชน่ แนวแบง่ เขตโมโฮ โรวิซิกแนวแบ่งเขตกเู ทนเบิรก์ แนวแบง่ เขตเลห์แมน 2. อธิบายหลกั ฐานทางธรณีวิทยาทส่ี นับสนนุ • แผ่นธรณีตา่ งๆเป็นส่วนประกอบของธรณภี าค ซึ่งเปน็ การเคลอื่ นที่ของแผน่ ธรณี ช้นั นอกสดุ ของโครงสร้างโลก โดยมกี ารเปลยี่ นแปลง ขนาดและตําแหนง่ ตง้ั แต่อดตี จนถึงปจั จุบนั การเคลอื่ น ทีข่ องแผน่ ธรณดี ังกล่าว อธบิ ายได้ตามทฤษฎธี รณี แปรสณั ฐาน ซง่ึ มรี ากฐานมาจากทฤษฎที วปี เล่ือน และทฤษฎีการแผ่ขยายพ้นื สมุทร โดยมีหลักฐานท่ี สนบั สนุน ได้แก่ รปู ร่างของขอบทวปี ทส่ี ามารถเชื่อม ตอ่ กนั ได้ ความคลา้ ยคลงึ กนั ของกลมุ่ หินและแนว เทอื กเขา ซากดึกดําบรรพ์ รอ่ งรอยการเคล่อื นทข่ี อง ตะกอนธารนํ้าแขง็ ภาวะแมเ่ หล็กโลกบรรพกาล อายุ หินของพื้นมหาสมทุ ร รวมท้งั การคน้ พบสนั เขากลาง สมทุ รและร่องลกึ กน้ สมุทร 3. ระบสุ าเหตแุ ละอธิบายแนวรอยต่อของแผน่ ธรณี • การพาความร้อนของแมกมาภายในโลกทาํ ใหเ้ กดิ ทส่ี ัมพันธก์ ับการเคล่อื นทีข่ องแผ่นธรณี พรอ้ มยก การเคล่ือนทข่ี องแผ่นธรณีตามทฤษฎีธรณีแปรสัณฐาน ตวั อยา่ งหลักฐานทางรณีวิทยาทพ่ี บ ซง่ึ นักวทิ ยาศาสตร์ได้สาํ รวจพบหลักฐานทางรณวี ทิ ยา ได้แก่ ธรณสี ณั ฐานและธรณีโครงสรา้ งทบ่ี รเิ วณแนว รอยตอ่ ของแผ่นธรณี เชน่ ร่องลึกก้นสมุทร หม่เู กาะ ภูเขาไฟรปู โค้ง แนวภเู ขาไฟ แนวเทอื กเขา หุบเขา ทรุดและสันเขากลางสมุทร รอยเลือ่ นนอกจากน้ยี ัง พบการเกดิ ธรณีพบิ ตั ภิ ยั ท่บี ริเวณแนวรอยตอ่ ของ แผน่ ธรณี เช่น แผน่ ดนิ ไหวภเู ขาไฟระเบิด สนึ ามิ ซง่ึ หลักฐานดงั กล่าวสัมพนั ธ์กบั รปู แบบการเคลือ่ นท่ี ของแผน่ ธรณนี กั วิทยาศาสตรจ์ ึงสรุปไดว้ ่า แนวรอยตอ่ ของแผน่ ธรณีมี 3 รูปแบบไดแ้ ก่ แนวแผน่ ธรณีแยกตวั แนวแผ่นธรณีเคลอ่ื นท่ีเขา้ หากัน แนวแผน่ ธรณี เคลื่อนทีผ่ า่ นกันในแนวราบ ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่มิ เตมิ หลักสตู รกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์

หน้า 148 ม.4 4. วเิ คราะหห์ ลักฐานทางธรณวี ทิ ยาทพ่ี บในปจั จบุ ัน • การลําดับช้ันหนิ เปน็ การศึกษาการวางตัว การแผ่ และอธิบายลําดับเหตกุ ารณ์ ทางธรณีวิทยาในอดตี กระจาย ลําดบั อายุความสัมพันธข์ องช้นั หิน รอยชัน้ ไมต่ ่อเน่ืองและหลกั ฐานทางธรณีวิทยาอ่นื ๆทีป่ รากฏ ทําใหท้ ราบลําดบั เหตกุ ารณท์ างธรณีวทิ ยา การเปลย่ี น แปลงสภาพแวดล้อม ววิ ัฒนาการของสงิ่ มีชีวติ ท่ีเกดิ ขนึ้ บนโลกตั้งแตก่ าํ เนิดโลกจนถงึ ปัจจุบนั • หลกั ฐานทางธรณีวิทยา ได้แก่ ซากดกึ ดาํ บรรพ์ หนิ และลกั ษณะโครงสร้างทางธรณี ซึง่ นาํ มาหาอายุได้ 2 แบบ ไดแ้ ก่ อายเุ ปรยี บเทียบ คอื อายุของซาก ดกึ ดําบรรพ์ หนิ และ/หรอื เหตุการณท์ างธรณีวิทยา เมื่อเทยี บกบั ซากดึกดาํ บรรพ์ หนิ และ/หรอื เหตุการณ์ ทางธรณวี ิทยาอื่นๆ และอายุสัมบูรณ์ คอื อายทุ ี่ระบุ เปน็ ตัวเลขของหนิ และ/หรือเหตกุ ารณ์ทางธรณวี ิทยา ซ่งึ คาํ นวณได้จากไอโซโทปของธาตุ • ขอ้ มูลจากอายุเปรียบเทียบและอายุสมั บูรณส์ ามารถ นํามาจดั ทํามาตราธรณีกาล คอื การลําดบั ชว่ งเวลา ของโลกตั้งแต่เกิดจนถึงปจั จุบนั แบ่งออกเปน็ บรมยคุ มหายุค ยุค และสมัยซ่งึ แตล่ ะชว่ งเวลามีสง่ิ มีชวี ติ สภาพแวดลอ้ มและเหตุการณ์ทเ่ี กดิ ขึ้นแตกตา่ งกัน 5. อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกิดภูเขาไฟระเบดิ • ภเู ขาไฟระเบดิ เกดิ จากการแทรกดนั ของแมกมา และปัจจัยท่ที าํ ให้ความรุนแรงของการปะทุและ ขึน้ มาตามสว่ นเปราะบางหรือรอยแตกบนเปลอื กโลก รูปร่างของภเู ขาไฟแตกตา่ งกนั รวมทง้ั สืบคน้ ข้อมลู มกั พบหนาแน่นบรเิ วณรอยต่อระหวา่ งแผ่นธรณีทําให้ พืน้ ทีเ่ สยี่ งภัย ออกแบบและนําเสนอแนวทางการเฝ้า บรเิ วณดังกล่าวเป็นพ้ืนทเี่ สย่ี งภัย ความรุนแรงของ ระวงั และการปฏบิ ัติตนใหป้ ลอดภัย การปะทุ และรูปร่างของภเู ขาไฟที่แตกต่างกันขึ้นอยู่ กับองคป์ ระกอบของแมกมา ผลจากการระเบิดของ ภูเขาไฟมีท้ังประโยชน์และโทษ จึงตอ้ งศกึ ษาแนวทาง ในการเฝา้ ระวงั และการปฏบิ ตั ติ นให้ปลอดภยั 6. อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกิด ขนาดและ • แผน่ ดินไหวเกดิ จากการปลดปลอ่ ยพลังงานท่สี ะสม ความรุนแรงและผลจากแผ่นดินไหว รวมทัง้ สืบค้น ไว้ของเปลือกโลกในรปู ของคล่นื ไหวสะเทอื น แผ่นดิน ขอ้ มูลพืน้ ท่เี สย่ี งภยั ออกแบบและนําเสนอแนวทาง ไหวมขี นาดและความรนุ แรงแตกต่างกนั และทําลาย การเฝา้ ระวังและการปฏบิ ัติตนให้ปลอดภยั ทรัพยส์ นิ ศูนยเ์ กดิ แผ่นดินไหวมักอยู่บริเวณรอยตอ่ ของแผน่ ธรณแี ละพืน้ ท่ีภายใต้อิทธิพลของการเคล่ือน ของแผน่ ธรณที รี่ ะดบั ความลึกตา่ งกัน ให้บริเวณ ดังกลา่ วเปน็ พื้นท่เี ส่ียงภัยแผน่ ดินไหว ซึ่งสง่ ผลให้ สิง่ ก่อสรา้ งเสยี หายเกดิ อันตรายต่อชวี ิตและทรัพย์สิน จึงต้องศกึ ษาแนวทางในการเฝ้าระวงั และการปฏิบตั ิ ตนใหป้ ลอดภยั ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติม หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์

หน้า 149 ม.4 7. อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกิด และ • สนึ ามิ คือ คลื่นนํ้าที่เกิดจากการแทนท่มี วลนา้ํ ในปรมิ าณ ผลจากสนึ ามริ วมทัง้ สืบคน้ ข้อมูลพน้ื ทเ่ี ส่ียง มหาศาล ส่วนมากจะเกิดในทะเลหรอื มหาสมทุ รโดยคล่นื มี ภัยออกแบบและนาํ เสนอแนวทางการเฝ้า ลักษณะเฉพาะ คอื ความยาวคล่นื มากและเคล่อื นที่ด้วยความเร็ว ระวงั และการปฏิบัตติ นใหป้ ลอดภยั สูงเม่อื อยู่กลางมหาสมุทรจะ มีความสงู คลน่ื นอ้ ยและอาจเพ่ิมความสงู ข้ึนอย่างรวดเร็วเม่ือ คล่นื เคลื่อนท่ีผา่ นบรเิ วณน้ําตนื้ ทําใหพ้ ้ืนทบ่ี ริเวณชายฝัง่ บาง บริเวณเป็นพน้ื ทเี่ สีย่ งภยั สึนามิก่อให้เกดิ อันตรายแกม่ นุษย์และ สง่ิ กอ่ สร้างในบรเิ วณชายหาดน้ันจึงตอ้ งศึกษาแนวทางในการเฝา้ ระวังและการปฏิบตั ิตนให้ปลอดภัย 8.ตรวจสอบและระบุชนิดแร่ รวมท้ัง • แร่ คือ ธาตุหรอื สารประกอบอนนิ ทรยี ท์ ี่มสี ถานะเป็นของแข็ง วเิ คราะห์สมบตั แิ ละนาํ เสนอการใช้ เกิดขึ้นเองตามธรรมชาตมิ ีโครงสร้างภายในที่เป็นระเบียบและมี ประโยชนจ์ ากทรพั ยากรแร่ทีเ่ หมาะสม สตู รเคมแี ละสมบตั ิอืน่ ๆ ที่แนน่ อนหรืออาจเปลีย่ นแปลงไดภ้ ายใต้ วงจาํ กดั ทําใหแ้ ร่มีสมบัตทิ างกายภาพท่ีแน่นอนสามารถนํามาใช้ เพื่อตรวจสอบชนิดของแรท่ างกายภาพและการทาํ ปฏิกริ ิยาเคมี กับกรด • ทรัพยากรแรส่ ามารถนาํ ไปใชเ้ ป็นวตั ถุดิบในอตุ สาหกรรมได้ หลายประเภท เช่น อาหารและยา เครื่องมอื แพทย์ อปุ กรณอ์ ิเลก็ ทรอนิกส์ อญั มณี 9. ตรวจสอบ จาํ แนกประเภทและระบุช่ือ • หิน เป็นมวลของแขง็ ทป่ี ระกอบดว้ ยแรต่ ั้งแต่ 1 ชนิดข้นึ ไปหรือ หนิ รวมทัง้ วิเคราะหส์ มบัติและนําเสนอการ ประกอบด้วยแก้วธรรมชาตหิ รอื สสารจากส่งิ มชี วี ติ ทเี่ กิดขึน้ เอง ใชป้ ระโยชนข์ องทรพั ยากรหนิ ทเี่ หมาะสม • หนิ สามารถจําแนกตามลกั ษณะการเกิดและเนือ้ หนิ ได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ หินอคั นี หนิ ตะกอนและหนิ แปร การระบุชือ่ ของ หิน แตล่ ะประเภทจะใช้ลกั ษณะและองคป์ ระกอบทางแร่ของหนิ เปน็ เกณฑ์ หินสามารถนาํ ไปใช้ประโยชน์ได้หลายดา้ น เช่น วัสดุ ก่อสร้าง เคร่อื งประดับ วัตถุดิบในอุตสาหกรรม 10. อธิบายกระบวนการเกิดและการ • ทรัพยากรปโิ ตรเลยี มและถา่ นหนิ เปน็ ทรพั ยากรส้นิ เปลอื งท่ีมีอยู่ สํารวจแหลง่ ปโิ ตรเลียมและถ่านหนิ โดยใช้ อย่างจาํ กัด ใช้แลว้ หมดไปไม่สามารถเกดิ ข้ึนทดแทนไดใ้ นเวลา ข้อมลู ทางธรณีวทิ ยา อันรวดเรว็ ทรัพยากรปิโตรเลยี มและถ่านหินถูกนาํ มาใช้ใน 11. อธิบายสมบตั ิของผลติ ภัณฑ์ทีไ่ ดจ้ าก อตุ สาหกรรมท่ีสาํ คัญของประเทศ เช่น การคมนาคม การผลติ ปิโตรเลยี มและถ่านหิน พรอ้ มนําเสนอการ ไฟฟ้าเชอ้ื เพลิงในอตุ สาหกรรมต่างๆ ใชป้ ระโยชนอ์ ย่างเหมาะสม • การศกึ ษากระบวนการเกดิ และการสาํ รวจแหล่งปโิ ตรเลียมและ ถ่านหนิ ตอ้ งใชค้ วามรพู้ ื้นฐานธรณวี ิทยาหลายด้าน เชน่ ตะกอน วทิ ยาการลําดบั ชั้นหิน ธรณโี ครงสรา้ งรวมทงั้ วิธีการและเทคนคิ ต่างๆ ทเ่ี หมาะสมเพื่อทจ่ี ะนําทรพั ยากรมาใชไ้ ด้อยา่ งคุม้ ค่าและ ย่งั ยืน ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนร้เู พม่ิ เติม หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์

หนา้ 150 ม.4 12. อา่ นและแปลความหมายจากแผนที่ • แผนท่ภี มู ิประเทศ เป็นแผนท่ีทสี่ ร้างเพอ่ื จําลองลกั ษณะของผิว ภูมิประเทศและแผนทีธ่ รณีวทิ ยาของพืน้ ที่ โลกหรือบางส่วนของพน้ื ทบ่ี นผิวโลก โดยมีทศิ ทางทีช่ ัดเจนและ ที่กําหนดพรอ้ มทงั้ อธิบายและยกตัวอย่าง มาตราสว่ นขนาดต่างๆตามความเหมาะสมกับการใชง้ าน แผนท่ี การนําไปใชป้ ระโยชน์ ภูมิประเทศมกั แสดงเสน้ ชนั้ ความสงู และคาํ อธบิ ายสัญลักษณ์ ตา่ งๆ ทปี่ รากฏในแผนท่ี • แผนทธ่ี รณวี ิทยาเปน็ แผนท่ีแสดงการกระจายตัวของหินกลุม่ ตา่ งๆทีโ่ ผลใ่ ห้เหน็ บนพน้ื ผวิ ทําใหท้ ราบถงึ ขอบเขตของหินใน พ้ืนที่นอกจากนี้ยังแสดงลกั ษณะ การวางตวั ของช้ันหิ ซากดึกดาํ บรรพ์และธรณีโครงสร้าง • ข้อมลู จากแผนทภ่ี มู ิประเทศและแผนที่ธรณี วทิ ยาสามารถ นําไปใช้วางแผนการใช้ประโยชน์ และประเมนิ ศกั ยภาพของพืน้ ที่ ได้อยา่ งเหมาะสม เชน่ ประเมินศกั ยภาพแหล่งทรัพยากรธรณี ต่างๆ การวางผงั เมือง การสร้างเขอื่ น ม.5 - - ม.6 - - สาระโลก ดาราศาสตรแ์ ละอวกาศ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook