หนา้ 51 ชน้ั ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.3 3. ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล วิเคราะห์ การประเมนิ ความน่าเชือ่ ถือของขอ้ มูล เช่น สือ่ และผลกระทบจากการใหข้ ่าวสารท่ีผดิ เพอ่ื ตรวจสอบและยืนยันข้อมูล โดยเทียบเคียงจากขอ้ มลู การใชง้ านอยา่ งรเู้ ทา่ ทนั หลายแหลง่ แยกแยะขอ้ มลู ที่เปน็ ขอ้ เท็จจรงิ และ 4. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภยั และ ขอ้ คิดเห็น หรือใช้ PROMPT มคี วามรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม ปฏิบัตติ ามกฎหมาย การสืบคน้ หาแหล่งต้นตอของข้อมูล เก่ียวกับคอมพิวเตอร์ ใช้ลขิ สทิ ธ์ขิ องผูอ้ ่ืนโดย เหตุผลวบิ ัติ (logical fallacy) ชอบธรรม ผลกระทบจากข่าวสารทผี่ ดิ พลาด การร้เู ท่าทันสอื่ เชน่ การวิเคราะห์ถงึ จุดประสงค์ ของขอ้ มลู และผูใ้ ห้ขอ้ มลู ตีความ แยกแยะเนอ้ื หา สาระของสื่อเลอื กแนวปฏิบัติได้อยา่ งเหมาะสมเมือ่ พบข้อมูลต่างๆ การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เช่น การทาํ ธรุ กรรมออนไลน์การซื้อสนิ ค้า ซอื้ ซอฟต์แวร์ คา่ บรกิ ารสมาชกิ ซื้อไอเทม็ การใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศอย่างมคี วาม รับผิดชอบ เชน่ ไมส่ รา้ งขา่ วลวง ไม่แชร์ข้อมลู โดยไม่ ตรวจสอบขอ้ เท็จจรงิ กฎหมายเกย่ี วกับคอมพิวเตอร์ การใช้ลิขสิทธขิ์ องผอู้ ื่นโดยชอบธรรม (fair use) หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 52 ตัวชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสงิ่ ไม่มีชีวิตกับ สิ่งมชี วี ิต และความสมั พนั ธร์ ะหว่างสง่ิ มีชวี ิตกับสง่ิ มชี วี ิตต่างๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลงั งาน การเปลี่ยนแปลงแทนท่ใี นระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปญั หาและผลกระทบท่ีมตี ่อทรพั ยากร ธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม แนวทางในการอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปญั หาส่ิงแวดล้อม รวมทงั้ นาํ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.4 1.สบื คน้ ขอ้ มลู และอธิบายความสมั พนั ธข์ องสภาพทาง บรเิ วณของโลกแตล่ ะบรเิ วณมีสภาพทางภูมิศาสตร์ ภมู ศิ าสตร์บนโลกกับความหลาก หลายของไบโอมและ ท่ีแตกต่างกัน แบง่ ออกไดเ้ ปน็ หลายเขตตามสภาพ ยกตวั อย่างไบโอมชนิดตา่ งๆ ภมู อิ ากาศและปรมิ าณนา้ํ ฝน ทําให้มีระบบนิเวศท่ี หลากหลาย ซง่ึ สง่ ผลให้เกิดความหลากหลายของไบโอม 2. สบื คน้ ข้อมลู อภปิ รายสาเหตุ และยกตวั อยา่ ง การเปลีย่ นแปลงของระบบนิเวศเกดิ ขนึ้ ไดต้ ลอดเวลา การเปลีย่ นแปลงแทนท่ีของระบบนิเวศ ท้ังการเปลย่ี นแปลงทเ่ี กิดข้นึ เอง ตามธรรมชาติและเกิด จากการกระทําของมนุษย์ การเปล่ยี นแปลงแทนทเี่ ปน็ การปลี่ยนแปลงของกลมุ่ สิ่งมชี วี ิตทีเ่ กดิ ขึ้นอยา่ งช้าๆเปน็ เวลานานซ่ึงเปน็ ผลจาก ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งองค์ประกอบทางกายภาพและทาง ชีวภาพส่งผลใหร้ ะบบนิเวศเปล่ียนแปลงไปส่สู มดลุ จน เกดิ สงั คมสมบูรณ์ได้ 3. สืบคน้ ข้อมูล อธบิ ายและยกตัวอยา่ งเก่ยี วกับการ การเปลย่ี นแปลงขององคป์ ระกอบในระบบนเิ วศทง้ั เปล่ยี นแปลงขององคป์ ระกอบทางกายภาพและทาง ทางกายภาพและทางชวี ภาพมีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ชวี ภาพทม่ี ผี ลต่อการเปลยี่ น แปลงขนาดของประชากร ขนาดของประชากร ส่งิ มีชวี ิตในระบบนิเวศ 4.สืบค้นข้อมลู และอภิปรายเกี่ยวกับปัญหาและผล มนุษย์ใชท้ รพั ยากรธรรมชาติโดยปราศจากความระมัด กระทบท่ีมตี ่อทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อม ระวัง และมกี ารพฒั นาเทคโนโลยใี หมๆ่ เพ่ือช่วยอาํ นวย พร้อมท้งั นาํ เสนอแนวทางในการอนุรกั ษท์ รัพยากร ความสะดวกต่างๆ แกม่ นษุ ยส์ ง่ ผลตอ่ การเปล่ียนแปลง ธรรมชาติและการแกไ้ ขปญั หาส่ิงแวดลอ้ ม ทรัพยากร ธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม ปญั หาทีเ่ กิดกับ ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม บางปญั หาสง่ ผลกระทบในระดับทอ้ งถ่ิน บางปญั หาก็ สง่ ผลกระทบในระดับประเทศและบางปญั หาส่งผลกระทบ ในระดับโลก การลดปริมาณการใชท้ รัพยากรธรรมชาติ การกําจัด ของเสียที่เป็นสาเหตขุ องปญั หาสงิ่ แวดล้อมและการวางแผน จดั การทรัพยากร ธรรมชาตทิ ดี่ เี ปน็ ตัวอย่างของแนวทาง ในการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติและการลดปญั หา ส่ิงแวดลอ้ มทเ่ี กิดข้นึ เพอื่ ใหเ้ กิดการใช้ประโยชนท์ ่ยี ง่ั ยืน ม.5 - - ม.6 - - หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หนา้ 53 สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบตั ิของสิง่ มีชวี ติ หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมชี วี ติ การลําเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพนั ธข์ องโครงสร้างและหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสตั ว์และมนุษย์ท่ีทาํ งานสมั พนั ธ์กัน ความสัมพนั ธ์ ของโครงสร้างและหน้าทีข่ องอวยั วะต่างๆ ของพชื ทท่ี าํ งานสัมพนั ธ์กัน รวมทั้งนาํ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.4 1. อธบิ ายโครงสร้างและสมบัติของเยอื่ หุ้มเซลล์ เย่อื หมุ้ เซลล์มีโครงสร้างเป็นเยอื่ หุ้มสองชน้ั ท่ีมลี ิพิด ทสี่ ัมพนั ธ์กบั การลําเลยี งสาร และเปรียบเทยี บ เป็นองค์ประกอบและมีโปรตนี แทรกอยู่ การลาํ เลยี งสารผา่ นเยื่อหุ้มเซลลแ์ บบตา่ งๆ สารทีล่ ะลายไดใ้ นลิพดิ และสารท่ีมีขนาดเลก็ สามารถแพร่ผ่านเยอ่ื หุ้มเซลล์ได้ โดยตรงส่วนสาร ขนาดเล็กทีม่ ีประจตุ อ้ งลาํ เลียงผา่ นโปรตนี ท่แี ทรกอยู่ ทเี่ ย่ือหุ้มเซลล์ ซ่ึงมี 2 แบบคอื การแพร่แบบฟาซิลเิ ทต และแอกฟทรานสปอร์ต ในกรณีสารขนาดใหญ่ เช่น โปรตนี จะลําเลียงเขา้ โดยกระบวนการเอนโดไซโทซิส หรอื ลาํ เลยี งออกโดยกระบวนการเอกโซไซโทซิส 2. อธิบายการควบคมุ ดุลยภาพของนาํ้ และสารใน การรกั ษาดลุ ยภาพของนา้ํ และสารในเลือดเกดิ จาก เลอื ดโดยการทํางานของไต การทํางานของไต ซึง่ เปน็ อวยั วะในระบบขับถ่ายท่ี มีความสาํ คญั ในการกําจัดของเสยี ท่ีมีไนโตรเจนเป็น องคป์ ระกอบ รวมทัง้ นํ้าและสารทมี่ ปี ริมาณเกนิ ความ ต้องการของร่างกาย 3. อธบิ ายการควบคมุ ดุลยภาพของกรด-เบสของ การรกั ษาดุลยภาพของกรด-เบสในเลือดเกดิ จาก เลือดโดยการทาํ งานของไตและปอด การทาํ งานของไตที่ทําหนา้ ทีข่ ับหรือดูดกลับไฮโดรเจน ไอออน ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออนและแอมโมเนยี ม ไอออนและการทาํ งานของปอดทที่ าํ หน้าที่กาํ จัด คาร์บอนไดออกไซด์ 4. อธิบายการควบคุมดลุ ยภาพของอุณหภมู ิภาย การรกั ษาดลุ ยภาพของอุณหภมู ิภายในร่างกายเกดิ ในรา่ งกายโดยระบบหมนุ เวยี นเลอื ดผิวหนงั และ จากการทาํ งานของระบบหมุนเวียนเลอื ดท่คี วบคุม กล้ามเนอื้ โครงร่าง ปริมาณเลอื ดไปทีผ่ วิ หนงั การทํางานของต่อมเหง่อื และกลา้ มเนือ้ โครงร่าง ซงึ่ ส่งผลถงึ ปริมาณความร้อน ทถี่ กู เก็บหรือระบายออกจากร่างกาย 5. อธิบายและเขยี นแผนผังเกยี่ วกับการตอบสนอง เมื่อเชื้อโรคหรือสง่ิ แปลกปลอมอน่ื เข้าสู่เน้อื เยอ่ื ใน ของรา่ งกายแบบไมจ่ าํ เพาะและแบบจาํ เพาะตอ่ ส่ิง ร่างกาย รา่ งกายจะมีกลไกในการตอ่ ต้านหรอื ทําลาย แปลกปลอมของร่างกาย สงิ่ แปลกปลอมท้ังแบบไม่จาํ เพาะและแบบจาํ เพาะ เซลล์เมด็ เลือดขาวกลมุ่ ฟาโกไซตจ์ ะมกี ลไกใน การตอ่ ตา้ นหรือทําลายส่ิงแปลกปลอมแบบไม่จําเพาะ กลไกในการต่อต้านหรอื ทําลายสิง่ แปลกปลอม แบบจาํ เพาะเปน็ การทาํ งานของเซลลเ์ ม็ดเลือดขาว ลมิ โฟไซตช์ นิดบีและชนิดที ซง่ึ เซลล์เม็ดเลือดขาว ทงั้ สองชนิดจะมีตวั รบั แอนตเิ จน ทําใหเ้ ซลลท์ ง้ั สอง สามารถตอบสนองแบบจําเพาะตอ่ แอนตเิ จนน้ันๆได้ เซลล์บีทาํ หน้าทีส่ ร้างแอนตบิ อดี ซง่ึ ช่วยในการจบั กบั สิ่งแปลกปลอมตา่ งๆ เพื่อทําลายตอ่ ไป โดยระบบ ภมู คิ ้มุ กันเซลล์ที่ทาํ หน้าท่หี ลากหลาย เช่น กระตุ้น หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หนา้ 54 ชน้ั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.4 6. สืบคน้ ขอ้ มลู อธิบาย และยกตวั อยา่ งโรคหรอื การทํางานของเซลล์บีและเซลล์ทีชนดิ อื่นทําลายเซลล์ อาการทเ่ี กิดจากความผิดปกตขิ องระบบภูมิคุ้มกัน ที่ตดิ ไวรสั และเซลลท์ ีผ่ ดิ ปกติอน่ื ๆ บางกรณีรา่ งกายอาจเกิดความผดิ ปกตขิ องระบบ ภมู คิ ้มุ กัน เชน่ ภมู คิ มุ้ กันตอบสนองต่อแอนติเจนบาง ชนิดอยา่ งรนุ แรงมากเกินไป หรือรา่ งกายมปี ฏกิ ริ ยิ า ตอบสนองต่อแอนตเิ จนของตนเองอาจทาํ ใหร้ า่ งกาย เกิดอาการผิดปกตไิ ด้ 7. อธิบายภาวะภมู ิคุ้มกันบกพร่องทีม่ สี าเหตุ บคุ คลทไี่ ดร้ ับเลือดหรอื สารคดั หล่งั ทีม่ เี ชื้อ HIV มาจากการตดิ เชอื้ HIV ซ่ึงสามารถทําลายเซลลท์ ี่ทาํ ให้ภมู คิ ุม้ กันบกพร่องและ ตดิ เชอื้ ตา่ งๆ ได้ง่ายขึน้ 8. ทดสอบและบอกชนดิ ของสารอาหารทพ่ี ชื กระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสงเป็นจุด เร่ิมตน้ ของ สงั เคราะหไ์ ด้ การสร้างน้าํ ตาลในพืช พชื เปลยี่ นนาํ้ ตาลไปเป็นสาร 9. สืบค้นข้อมลู อภปิ ราย และยกตัวอยา่ งเกีย่ วกบั อาหารและสารอืน่ ๆ เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีนไขมัน การใช้ประโยชน์จากสารต่างๆที่พืชบางชนดิ สรา้ งขึ้น ท่จี าํ เปน็ ต่อการดํารงชีวติ ของพชื และสตั ว์ มนุษย์สามารถนาํ สารต่างๆทพ่ี ืชบางชนดิ สรา้ งข้ึน ไปใชป้ ระโยชน์ เชน่ ใช้เป็นยาหรือสมุนไพรในการ รกั ษาโรคบางชนิดใช้ในการไลแ่ มลง กาํ จดั ศัตรูพืช และสตั ว์ใช้ในการยับยั้งการเจรญิ เตบิ โตของแบคทเี รีย และใช้เปน็ วัตถุดบิ ในอุตสาหกรรม 10. ออกแบบการทดลองทดลอง และอธบิ าย ปจั จัยภายนอกท่มี ผี ลตอ่ การเจริญเตบิ โต เชน่ แสง เก่ยี วกบั ปัจจัยภายนอกท่ีมีผลต่อการเจรญิ เตบิ โต นํ้า ธาตุอาหาร คาร์บอนไดออกไซด์และออกซเิ จน ปั ของพชื จจัยภายใน เช่น ฮอรโ์ มนพืช ซึง่ พืชมกี ารสังเคราะห์ข้ึน 11. สบื ค้นข้อมูลเกย่ี วกบั สารควบคมุ การเจริญเติบโต เพอ่ื ควบคมุ การเจรญิ เติบโตในช่วงชีวิตตา่ งๆ ของพืชท่ีมนุษยส์ ังเคราะหข์ ้ึน และยกตวั อยา่ ง มนุษยม์ กี ารสงั เคราะหส์ ารควบคมุ การเจริญเตบิ โต การนํามาประยกุ ต์ใชท้ างดา้ นการเกษตรของพชื ของพชื โดยเลียนแบบฮอรโ์ มนพืช เพื่อนํามาใชค้ วบคมุ การเจริญเตบิ โตและเพิ่มผลผลิตของพืช 12. สังเกตและอธบิ ายการตอบสนองของพชื ตอ่ สง่ิ การตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ ของพืชแบง่ ตามความ เร้าในรูปแบบต่างๆทม่ี ผี ลต่อการดาํ รงชีวิต สมั พันธ์กับทิศทางของส่ิงเร้าได้ ไดแ้ กแ่ บบทม่ี ีทิศทาง สัมพนั ธ์กับทศิ ทางของสิ่งเร้า เช่น ดอกทานตะวัน หัน เขา้ หาแสง ปลายรากเจริญเข้าหาแรงโนม้ ถ่วงของโลก และแบบทไ่ี ม่มที ิศทาง สมั พันธ์กบั ทศิ ทางของส่งิ เรา้ เช่นการหุบและบานของดอกหรือการหบุ และกางของ ใบพืชบางชนดิ การตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ ของพชื บางอยา่ งสง่ ผลตอ่ การเจรญิ เตบิ โต เชน่ การเจรญิ ในทิศทางเข้าหาหรอื ตรงข้ามกับแรงโนม้ ถว่ งของโลก การเจริญในทิศทาง เข้าหาหรอื ตรงขา้ มกบั แสงและการตอบสนองตอ่ การ สมั ผัสส่ิงเรา้ ม.5 - - ม.6 - - หลักสูตรกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หนา้ 55 สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและความสําคัญของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรมการเปลย่ี นแปลงทางพันธุกรรมทมี่ ผี ลต่อสงิ่ มชี วี ติ ความหลากหลายทางชวี ภาพและ วิวัฒนาการของสิง่ มีชวี ติ รวมทัง้ นาํ ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.4 1. อธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งยีนการสงั เคราะห์ ดเี อ็นเอ มโี ครงสรา้ งประกอบด้วยนวิ คลโี อไทดม์ า โปรตีนและลักษณะทางพันธุกรรม เรยี งต่อกนั โดยยนี เป็นช่วงของสายดเี อ็นเอท่ีมีลําดบั นิวคลีโอไทด์ทีก่ าํ หนดลักษณะของโปรตีนทีส่ ังเคราะห์ ข้นึ ซ่งึ สง่ ผลให้เกิดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมตา่ งๆ 2. อธิบายหลักการถ่ายทอดลกั ษณะทถ่ี กู ควบคุม ลักษณะบางลักษณะมโี อกาสพบในเพศชายและเพศ ดว้ ยยีนทีอ่ ยู่บนโครโมโซมเพศและมัลตเิ ปิลแอลลลี หญงิ ไม่เทา่ กัน เช่น ตาบอดสีและฮีโมฟีเลีย ซึ่งควบคมุ โดยยีนบนโครโมโซมเพศบางลักษณะมกี ารควบคมุ โดย ยนี แบบมัลติเปลิ แอลลีล เช่น หมเู่ ลือดระบบ ABO ซง่ึ การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธุกรรมดังกล่าวจัดเป็น ส่วนขยายของพนั ธุศาสตรเ์ มนเดล 3. อธิบายผลทเ่ี กดิ จากการเปล่ียนแปลงลําดับ มวิ เทชนั ทเ่ี ปลยี่ นแปลงลาํ ดับนวิ คลีโอไทดห์ รอื นวิ คลโี อไทด์ในดเี อ็นเอต่อการแสดงลักษณะของ เปลี่ยนแปลงโครงสรา้ งหรือจํานวนโครโมโซมอาจ สง่ิ มชี ีวิต ส่งผลทําให้ลกั ษณะของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปจากเดมิ 4. สืบค้นข้อมลู และยกตัวอย่างการนาํ มวิ เทชันไป ซ่งึ อาจมีผลดีหรือผลเสีย ใชป้ ระโยชน์ มนุษยใ์ ช้หลักการของการเกิดมวิ เทชนั ในการชกั นําใหไ้ ดส้ ่งิ มีชวี ิตท่ีมลี ักษณะที่แตกต่างจากเดิมโดย การใชร้ ังสแี ละสารเคมีต่างๆ 5. สบื ค้นขอ้ มลู และอภปิ รายผลของเทคโนโลยที าง มนษุ ย์นําความรู้เทคโนโลยที างดเี อน็ เอมาประยกุ ต์ ดเี อ็นเอท่มี ตี ่อมนษุ ย์และสิ่งแวดลอ้ ม ใชท้ างด้านการแพทยแ์ ละเภสชั กรรม เชน่ การสร้าง สิ่งมชี ีวิตดดั แปรพันธุ กรรม เพื่อผลติ ยาและวัคซีน ด้านการเกษตร เชน่ พืชดัดแปรพันธกุ รรมที่ตา้ นทาน โรคหรือแมลง สัตว์ดดั แปรพนั ธกุ รรมทม่ี ลี ักษณะตาม ท่ีต้องการและด้านนิตวิ ิทยาศาสตร์ เชน่ การตรวจลาย พิมพด์ ีเอ็นเอ เพื่อหาวามสัมพนั ธท์ างสายเลือด หรือ เพ่ือหาผู้กระทําผดิ การใช้เทคโนโลยีทางดเี อ็นเอในดา้ นต่างๆตอ้ ง คํานึงถึงความปลอดภยั ทางชวี ภาพ ชีวจริยธรรมและ ผลกระทบทางด้านสงั คม 6. สืบคน้ ขอ้ มูล อธบิ ายและยกตัวอย่างความหลาก สิ่งมชี ีวติ ท่ีมอี ยู่ในปจั จุบันมลี ักษณะท่ปี รากฏใหเ้ ห็น หลายของสิ่งมชี ีวิต ซง่ึ เป็นผลมาจากวิวัฒนาการ แตกตา่ งกนั ซง่ึ เป็นผลมาจากความหลากหลายของ ลักษณะทางพนั ธกุ รรม ซึง่ เกดิ จากมวิ เทชันร่วมกบั การคัดเลอื กโดยธรรมชาติ ผลจากกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติทาํ ให้ สง่ิ มชี วี ติ ท่ีมลี ักษณะเหมาะสมในการดํารงชีวิต สามารถปรบั ตัวใหอ้ ยู่รอดได้ในสิง่ แวดลอ้ มนั้นๆ กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาตเิ ป็นหลักการที่ สําคญั อยา่ งหนง่ึ ที่ทาํ ใหเ้ กิดวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิต หลักสูตรกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์
ม.5 - หน้า 56 ม.6 - - - สาระท่ี 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสมบัตขิ อง สสารกบั โครงสรา้ งและแรงยดึ เหนี่ยวระหว่างอนภุ าค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปล่ยี นแปลงสถานะของ สสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.4 - - ม.5 1.ระบุวา่ สารเปน็ ธาตหุ รอื สารประกอบและอยูใ่ นรูป สารเคมที ุกชนดิ สามารถระบุได้ว่าเป็นธาตุหรอื อะตอมโมเลกุลหรือไอออนจากสตู รเคมี สารประกอบและอยใู่ นรปู ของอะตอมโมเลกุลหรอื ไอออนได้ โดยพิจารณาจากสตู รเคมี 2. เปรยี บเทยี บความเหมอื นและความแตกตา่ งของ แบบจาํ ลองอะตอมใช้อธบิ ายตําแหน่งของโปรตอน แบบจําลองอะตอมของโบร์กับแบบจาํ ลองอะตอม นิวตรอนและอเิ ล็กตรอนในอะตอมโดยโปรตอนและ แบบกลมุ่ หมอก นิวตรอนอยรู่ วมกนั ในนิวเคลยี ส สว่ นอิเล็กตรอน เคลือ่ นท่รี อบนวิ เคลียส ซึ่งในแบบจาํ ลองอะตอมของ โบรอ์ ิเล็กตรอนเคล่ือนที่เป็นวง โดยแต่ละวงมีระยะห่าง จากนวิ เคลียสและมีพลังงานต่างกันและอิเล็กตรอนวง นอกสดุ เรียกว่า เวเลนซอ์ เิ ลก็ ตรอน แบบจําลองอะตอมแบบกลุ่มหมอกแสดงโอกาสท่ี จะพบอิเลก็ ตรอนรอบนวิ เคลยี สในลักษณะกลุม่ หมอก เนื่องจากอเิ ลก็ ตรอนมขี นาดเล็ก และเคลื่อนท่ีอยา่ ง รวดเรว็ ตลอดเวลาจึงไม่สามารถระบุตําแหนง่ ทแ่ี น่นอนได้ 3. ระบจุ าํ นวนโปรตอน นิวตรอนและอิเลก็ ตรอน อะตอมของธาตเุ ปน็ กลางทางไฟฟา้ มีจํานวนโปรตอน ของอะตอมและไอออนท่ีเกดิ จากอะตอมเดยี ว เท่ากับจํานวนอิเล็กตรอนการระบุชนิดของธาตพุ ิจารณา จากจาํ นวนโปรตอน เมอื่ อะตอมของธาตุมีการให้หรอื รบั อิเลก็ ตรอน ทาํ ให้จํานวนโปรตอนและทําให้จํานวนโปรตอนและ อิเลก็ ตรอนไมเ่ ท่ากันเกดิ เปน็ ไอออน โดยไอออนทม่ี ี จาํ นวนอิเล็กตรอนนอ้ ยกว่าจํานวนโปรตอน เรยี กว่า ไอออนบวก สว่ นไอออนทม่ี จี ํานวนอิเลก็ ตรอน มากกว่าโปรตอน เรียกวา่ ไอออนลบ 4. เขียนสัญลกั ษณ์นิวเคลียรข์ องธาตแุ ละระบกุ าร สัญลักษณน์ ิวเคลียร์ ประกอบดว้ ยสัญลกั ษณธ์ าตุ เป็นไอโซโทป เลขอะตอมและเลขมวลโดยเลขอะตอมเปน็ ตัวเลขที่ แสดงจาํ นวนโปรตอนในอะตอม เลขมวลเป็นตัวเลขท่ี แสดงผลรวมของจํานวนโปรตอนกับนิวตรอนใน อะตอมธาตชุ นดิ เดียวกันแตม่ เี ลขมวลต่างกนั เรียกวา่ ไอโซโทป 5. ระบุหมู่และคาบของธาตแุ ละระบุว่าธาตุเปน็ โลหะ ธาตจุ ดั เปน็ หมวดหม่ไู ด้อย่างเป็นระบบโดยอาศัย อโลหะ กึง่ โลหะ กลุ่มธาตุ เรพรเี ซนเททีฟ หรือกลุ่ม ตารางธาตุ ซงึ่ ในปัจจบุ ันจดั เรียงตามเลขอะตอมและ ธาตแุ ทรนซิชันจากตารางธาตุ ความคลา้ ยคลงึ ของสมบตั ิแบ่งออกเป็นหมู่ ซงึ่ เป็น แถวในแนวตงั้ และคาบซึง่ เปน็ แถวในแนวนอนทําให้ หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 57 ชน้ั ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.5 ธาตุที่มีสมบัตเิ ปน็ โลหะ อโลหะและกง่ึ โลหะอยูเ่ ป็น กล่มุ บริเวณใกล้ๆ กันและแบ่งธาตอุ อกเปน็ กลุ่มธาตเุ รพรีเซนเททฟี และกลมุ่ ธาตุแทรนซิชนั 6. เปรียบเทียบสมบัติการนาํ ไฟฟ้า การให้และรบั ธาตุในกลุม่ โลหะจะนาํ ไฟฟา้ ได้ดแี ละมีแนว โนม้ ให้ อเิ ลก็ ตรอนระหว่างธาตใุ นกลุ่มโลหะกบั อโลหะ อิเลก็ ตรอน ส่วนธาตใุ นกลุ่มอโลหะจะไมน่ าํ ไฟฟ้าและ มีแนวโน้มรับอิเลก็ ตรอนโดยธาตเุ รพรเี ซนเททฟี ในหมู่ IA-IIA และธาตุ แทรนซชิ นั ทุกธาตุ จัดเปน็ ธาตุในกลุม่ โลหะสว่ นธาตเุ รพรเี ซนเททฟี ในหมู่ IIIA-VIIA มที ัง้ ธาตุ ในกลุม่ โลหะและอโลหะ ส่วนธาตุเรพรเี ซนเททีฟใน หมู่ VIIIA จดั เปน็ ธาตอุ โลหะทัง้ หมด 7. สบื คน้ ขอ้ มูลและนาํ เสนอตวั อยา่ งประโยชน์และ ธาตุเรพรเี ซนเททฟี และธาตุแทรนซิชนั นาํ มาใช้ อนั ตรายทเี่ กิดจากธาตเุ รพรีเซนเททีฟและธาตุ ประโยชน์ในชวี ติ ประจาํ วนั ไดห้ ลากหลาย ซงึ่ ธาตบุ าง แทรนซชิ นั ชนดิ มีสมบตั ทิ ่ีเป็นอันตรายจึงต้องคํานึงถงึ การปอ้ งกนั อนั ตรายเพอ่ื ความปลอดภัยในการใชป้ ระโยชน์ 8. ระบวุ า่ พนั ธะโคเวเลนต์เป็นพันธะเดย่ี วพนั ธะคู่ พันธะโคเวเลนต์เปน็ การยดึ เหนย่ี วระหว่างอะตอม หรอื พันธะสามและระบจุ ํานวนค่อู เิ ลก็ ตรอน ดว้ ยการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนรว่ มกันเกิดเป็นโมเลกุล ระหว่างอะตอมคู่รว่ มพันธะจากสตู รโครงสรา้ ง โดยการใชเ้ วเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คเู่ รยี กว่า พนั ธะเด่ยี วเขียนแทนดว้ ยเส้นพันธะ 1 เสน้ ในโครง สร้างโมเลกลุ สว่ นการใช้เวเลนซ์อิเลก็ ตรอนรว่ มกัน 2 คู่ และ 3 คู่ เรยี กว่าพนั ธะคูแ่ ละพนั ธะสามเขยี น แทนด้วยเสน้ พนั ธะ 2 เส้นและ 3 เส้น ตามลาํ ดับ 9. ระบสุ ภาพข้วั ของสารท่ีโมเลกุลประกอบดว้ ย 2 สารท่มี ีพันธะภายในโมเลกลุ เป็นพนั ธะโคเวเลนต์ อะตอม ทัง้ หมดเรียกวา่ สารโคเวเลนต์โดยสารโคเวเลนตท์ ่ี 10. ระบุสารทเ่ี กดิ พนั ธะไฮโดรเจนได้จากสตู ร ประกอบด้วย 2 อะตอมของธาตุชนดิ เดยี วกันเปน็ สาร โครงสรา้ ง ไม่มีข้วั สว่ นสารโคเวเลนต์ ท่ีประกอบด้วย 2 อะตอม 11. อธิบายความสัมพันธร์ ะหวา่ งจุดเดอื ดของสาร ของธาตตุ า่ งชนิดกนั เป็นสารมีขั้ว สาํ หรับสารโคเวเลนต์ท่ี โคเวเลนตก์ บั แรงดงึ ดดู ระหว่างโมเลกุลตามสภาพ ประกอบดว้ ยอะตอมากกวา่ 2 อะตอม อาจเปน็ สารมี ขว้ั หรอื การเกิดพนั ธะไฮโดรเจน ขัว้ หรือไม่มขี วั้ ข้ึนอยูก่ บั รูปรา่ งของโมเลกลุ ซง่ึ สภาพ ข้วั ของสารโคเวเลนต์ส่งผลต่อแรงดึงดูดระหวา่ ง โมเลกุลทที่ ําใหจ้ ดุ หลอมเหลว และจุดเดอื ดของสาร โคเวเลนต์แตกต่างกนั นอกจากนีส้ ารบางชนดิ มจี ดุ เดือดสงู กวา่ ปกตเิ นอื่ งจากมีแรงดงึ ดดู ระหว่างโมเลกลุ สูงที่เรยี กว่า พนั ธะไฮโดรเจน ซึ่งสารเหล่านีม้ ีพนั ธะ N–H O–H หรอื F–H ภายในโครงสรา้ งโมเลกุล 12. เขียนสูตรเคมีของไอออนและสาร ประกอบไอ สารประกอบไอออนิกส่วนใหญเ่ กิดจากการรวมตัว ออนกิ กันของไอออนบวกของธาตุโลหะและไอออนลบของ ธาตุอโลหะ ในบางกรณไี อออน อาจประกอบดว้ ย กล่มุ ของอะตอมโดยเมอ่ื ไอออนรวมตัวกนั เกิดเป็น สารประกอบไอออนกิ จะมีสดั สว่ นการรวมตัว เพอ่ื ทาํ ให้ประจขุ องสารประกอบเป็นกลางทางไฟฟ้า โดย ไอออนบวกและไอออนลบจะจดั เรยี งตัวสลบั ตอ่ เนือ่ ง กนั ไปใน 3 มิติ เกดิ เปน็ ผลกึ ของสาร หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 58 ช้นั ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.5 ซ่งึ สูตรเคมีของสารประกอบไอออนิกประกอบด้วย สญั ลกั ษณ์ธาตุท่เี ปน็ ไอออนบวกตามด้วย สัญลักษณ์ ธาตุทเ่ี ป็นไอออนลบ โดยมีตัวเลขที่แสดงจํานวนไออ อนแตล่ ะชนิดเป็นอตั ราส่วนอย่างตา่ํ ละลายโมเลกุลของ สารจะไม่แตกตวั เป็นไอออนและสารละลายทีไ่ ดจ้ ะไม่ นาํ ไฟฟ้า ซง่ึ เรียกวา่ สารละลายนอนอเิ ล็กโทรไลต 13. ระบุวา่ สารเกดิ การละลายแบบแตกตวั หรอื ไม่ สารจะละลายน้ําไดเ้ ม่อื องค์ประกอบของสาร แตกตัว พร้อมใหเ้ หตผุ ลและระบวุ า่ สามารถเกดิ แรงดึงดูดกับโมเลกุลของนาํ้ ได้โดยการ สารละลายท่ีได้เปน็ สารละลายอิเลก็ โทรไลต์ ละลายของสารในนาํ้ เกิดได้ 2ลกั ษณะ คือ การละลาย หรือนอนอเิ ลก็ โทรไลต แบบแตกตัวและการละลายแบบไม่แตกตัวการละลาย แบบแตกตวั เกดิ ขึ้นกับสารประกอบไอออนกิ และสาร โคเวเลนตบ์ างชนิดท่ีมสี มบตั ิเปน็ กรดหรอื เบสโดยเมื่อ สารเกิดการละลายแบบแตกตัวจะได้ไอออนท่สี ามารถ เคลอื่ นท่ไี ดท้ าํ ใหไ้ ด้สารละลายทีน่ ําไฟฟ้า ซึง่ เรยี กว่า สารละลาย อิเล็กโทรไลต์ การละลายแบบไม่แตกตวั เกดิ ข้ึนกบั สารโคเวเลนต์ทีม่ ีข้วั สงู สามารถดงึ ดูดกับ โมเลกุลของน้ําไดด้ ีโดยเม่ือเกดิ การ 14. ระบสุ ารประกอบอินทรีย์ประเภทไฮโดร สารประกอบอินทรยี เ์ ปน็ สารประกอบของคาร์บอน คารบ์ อนวา่ อม่ิ ตวั หรือไมอ่ ิม่ ตัวจากสูตรโครงสรา้ ง ส่วนใหญพ่ บในสง่ิ มีชีวติ มีโครงสรา้ งหลากหลายและ แบง่ ไดห้ ลายประเภทเนอ่ื งจากธาตคุ าร์บอนสามารถ เกิดพันธะกบั คารบ์ อนดว้ ยกันเองและธาตุอืน่ ๆ นอก จากน้ีพันธะระหวา่ งคารบ์ อนยงั มหี ลายรปู แบบ ไดแ้ ก่ พนั ธะเดย่ี ว พนั ธะคู่ พนั ธะสาม สารประกอบอนิ ทรยี ์ทีม่ เี ฉพาะธาตุคารบ์ อนและ ไฮโดรเจนเป็นองคป์ ระกอบ เรยี กว่าสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอน โดยสารประกอบ ไฮโดรคาร์บอน อมิ่ ตวั มีพันธะระหวา่ งคาร์บอนเปน็ พนั ธะเด่ียวทกุ พนั ธะในโครงสรา้ ง ส่วนสารประกอบไฮโดรคารบ์ อน ไม่อมิ่ ตวั มพี นั ธะระหวา่ งคารบ์ อนเป็นพันธะคหู่ รอื พนั ธะสามอยา่ งนอ้ ย 1 พนั ธะในโครงสร้าง 15. สืบค้นข้อมลู และเปรยี บเทียบสมบัตทิ างกายภาพ สารท่พี บในชวี ิตประจาํ วนั มีท้งั โมเลกลุ ขนาดเลก็ ระหวา่ งพอลเิ มอรแ์ ละมอนอเมอรข์ องพอลเิ มอร์ และขนาดใหญ่ พอลิเมอรเ์ ปน็ สารทมี่ โี มเลกลุ ขนาด ชนิดนัน้ ใหญท่ ี่เกดิ จากมอนอเมอรห์ ลายโมเลกุลเชื่อมตอ่ กนั ด้วยพันธะเคมี ทาํ ใหส้ มบตั ทิ างกายภาพของพอลเิ มอรแ์ ตกต่างจากมอนอเมอรท์ ่เี ป็นสารต้งั ต้น เชน่ สถานะ จดุ หลอมเหลว การละลาย 16. ระบุสมบตั ิความเป็นกรด-เบส สารประกอบอินทรยี ท์ มี่ ีหมู่ –COOHสามารถแสดง จากโครงสร้างของสารประกอบอินทรีย์ สมบตั คิ วามเป็นกรด สว่ นสารประกอบอินทรยี ์ท่มี หี มู่ -NH2 สามารถแสดงสมบัตคิ วามเป็นเบส หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์
หนา้ 59 ช้ัน ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.5 17. อธบิ ายสมบัตกิ ารละลายในตวั ทาํ ละลายชนิด การละลายของสารพิจารณาได้จากความมขี ัว้ ของ ตา่ งๆ ของสาร ตวั ละลายและตัวทําละลาย โดยสารสามารถละลาย ไดใ้ นตวั ทําละลายทีม่ ีขัว้ ใกล้ เคยี งกนั โดยสารมขี ้ัว ละลายในตวั ทาํ ละลายท่ีมขี ัว้ สว่ นสารไมม่ ีข้ัวละลาย ในตัวทาํ ละลายทไ่ี มม่ ีข้ัวและสารมขี ั้วไมล่ ะลายในตัว ทาํ ละลายทีไ่ ม่มขี ้วั 18.วเิ คราะห์และอธบิ ายความสมั พันธ์ระหวา่ ง โครงสรา้ งของพอลิเมอรอ์ าจเป็นแบบเส้นแบบกง่ิ โครงสรา้ งกับสมบัติเทอรม์ อพลาสติก และเทอร์มอ หรือแบบรา่ งแห โดยพอลเิ มอร์แบบเสน้ และแบบกิง่ เซตของพอลเิ มอรแ์ ละการนาํ พอลิเมอรไ์ ปใช้ มีสมบตั เิ ทอร์มอพลาสติกส่วนพอลิเมอร์แบบร่างแห ประโยชน์ มสี มบัตเิ ทอร์มอเซตจึงมีการใชป้ ระโยชน์ไดแ้ ตกตา่ งกัน 19. สืบคน้ ข้อมูลและนําเสนอผลกระทบของการใช้ การใชผ้ ลติ ภณั ฑพ์ อลิเมอรใ์ นปรมิ าณมากก่อให้เกิด ผลิตภัณฑ์พอลเิ มอรท์ ่ีมตี ่อสิ่งมีชวี ิตและส่งิ แวดลอ้ ม ปัญหาทีส่ ง่ ผลกระทบตอ่ สิ่งมชี วี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม พร้อมแนวทางป้องกนั หรอื แกไ้ ข ดังน้นั จงึ ควรตระหนกั ถงึ การลดปรมิ าณการใชก้ ารใช้ ซํ้าและการนาํ กลับมาใช้ใหม่ 20. ระบุสตู รเคมขี องสารต้งั ต้นผลติ ภัณฑแ์ ละแปล ปฏกิ ริ ิยาเคมีทําใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงของสารโดย ความหมายของสัญลักษณ์ในสมการเคมขี องปฏกิ ิรยิ า ปฏกิ ริ ยิ าเคมีอาจใหพ้ ลังงานความร้อนพลังงานแสงหรอื เคมี พลังงานไฟฟ้าท่ีสามารถนําไปใช้ประโยชนใ์ นดา้ นตา่ งๆ ได้ ปฏิกริ ิยาเคมีแสดงไดด้ ้วยสมการเคมี ซง่ึ มีสตู รเคมี ของสารตงั้ ตน้ อยทู่ างดา้ นซา้ ยของลูกศรและสตู รเคมี ของผลิตภัณฑ์อยทู่ างดา้ นขวา โดยจาํ นวนอะตอม รวมของแตล่ ะธาตทุ างดา้ นซ้ายและขวาเทา่ กัน นอกจากนี้สมการเคมียังอาจแสดงปัจจัยอ่นื เช่น สถานะพลงั งาน ทเี่ กย่ี วขอ้ งตัวเร่งปฏิกิรยิ าเคมีทีใ่ ช้ 21. ทดลองและอธิบายผลของความเข้มขน้ พนื้ ทผ่ี ิว อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมขี ึน้ อยู่กับความเข้มขน้ อณุ หภมู ิ และตัวเร่งปฏกิ ิริยาทีม่ ีผลต่ออัตราการ อุณหภูมิ พ้ืนท่ผี ิวหรอื ตวั เร่งปฏิกิริยา เกิดปฏิกิรยิ าเคมี ความรู้เกีย่ วกบั ปัจจยั ทมี่ ีผลตอ่ อัตราการเกิด 22. สืบคน้ ขอ้ มูลและอธบิ ายปจั จยั ที่มผี ลต่ออัตรา ปฏกิ ิรยิ าเคมีสามารถนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ใ การเกดิ ปฏิกิริยาเคมที ใ่ี ชป้ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจาํ วัน ชีวติ ประจาํ วนั และในอุตสาหกรรม หรือในอุตสาหกรรม 23. อธิบายความหมายของปฏกิ ริ ิยารดี อกซ์ ปฏกิ ิริยาเคมีบางประเภทเกิดจากการถ่ายโอนอิเล็กตรอน ของสารในปฏกิ ิริยาเคมี ซง่ึ เรียกว่าปฏกิ ิริยารีดอกซ์ 24. อธิบายสมบัติของสารกัมมันตรงั สีและคํานวณ สารท่ีสามารถแผร่ งั สีได้เรียกว่า สารกมั มันตรงั สี คร่งึ ชวี ิตและปรมิ าณของสารกมั มันตรงั สี ซึ่งมีนวิ เคลยี สที่สลายตวั อยา่ งตอ่ เนอื่ ง ระยะเวลาท่ี สารกมั มันตรังสีสลายตวั จนเหลือครง่ึ หนึ่งของปรมิ าณ เดมิ เรยี กวา่ คร่งึ ชีวิต โดยสารกัมมนั ตรงั สแี ตล่ ะชนดิ มี ค่าคร่งึ ชีวิตแตกตา่ งกนั 25. สบื ค้นขอ้ มลู และนาํ เสนอตวั อยา่ งประโยชน์ รงั สีทแี่ ผ่จากสารกัมมันตรังสีมีหลายชนิดเช่น ของสารกมั มนั ตรังสแี ละการป้องกันอันตรายทีเ่ กดิ แอลฟา บีตา แกมมา ซึ่งสามารถนํามาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ จากกมั มนั ตภาพรงั สี แตกตา่ งกนั การนําสารกมั มนั ตรงั สแี ต่ละชนิดมาใช้ ต้องคํานึงถงึ ผลกระทบตอ่ สิ่งมชี ีวติ และส่ิงแวดล้อม รวมทงั้ มีการจัดการอยา่ งเหมาะสม ม.6 - - หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หนา้ 60 สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ติ ประจําวนั ผลของแรงทก่ี ระทําต่อวตั ถุ ลักษณะ การเคล่ือนที่แบบต่างๆ ของวัตถุ รวมท้งั นาํ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ช้นั ตัวชวี้ ัด - สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 - ม.5 1. วิเคราะห์และแปลความหมายข้อมลู ความเรว็ กับ การเคลือ่ นที่ของวตั ถุที่มกี ารเปล่ียนความ เร็วเป็น เวลาของการเคลือ่ นทขี่ องวัตถเุ พอ่ื อธิบายความเร่ง การเคลื่อนท่ดี ว้ ยความเรง่ ความเร่งเปน็ อตั ราสว่ น ของวตั ถุ ของความเร็วที่เปลยี่ นไปตอ่ เวลาและเปน็ ปริมาณ เวกเตอร์ ในกรณีทีว่ ัตถุท่อี ยนู่ ง่ิ หรอื เคลือ่ นทใี่ นแนว ตรงด้วยความเร็วคงตัววตั ถุนั้นมีความเร่งเปน็ ศนู ย์ วตั ถมุ ีความเร็วเพม่ิ ขน้ึ ถา้ ความเรว็ และความเรง่ มี ทิศเดียวกนั และมคี วามเรว็ ลดลง ถา้ ความเร็วและ ความเร่งมีทิศตรงกันข้าม 2. สังเกตและอธิบายการหาแรงลพั ธ์ที่เกดิ จากแรง เมื่อมีแรงหลายแรงกระทาํ ตอ่ วัตถหุ นงึ่ โดยแรงทุก หลายแรงที่อยูใ่ นระนาบเดียวกันที่กระทําตอ่ วัตถุ แรงอยู่ในระนาบเดียวกนั สามารถหาแรงลพั ธ์ท่กี ระต่อ โดยการเขียนแผนภาพการรวมแบบเวกเตอร์ วัตถุนน้ั ไดโ้ ดยรวมแบบเวกเตอร์ 3. สงั เกต วิเคราะห์ และอธบิ ายความ สมั พันธ์ เมอื่ แรงลัพธม์ ีคา่ ไมเ่ ท่ากบั ศูนยก์ ระทําตอ่ วตั ถจุ ะทํา ระหว่างความเร่งของวัตถุกบั แรงลัพธท์ กี่ ระทําตอ่ ใหว้ ตั ถุเคลือ่ นท่ดี ว้ ยความเรง่ มที ิศทางเดยี วกับแรง วัตถุและมวลของวัตถุ ลัพธโ์ ดยขนาดของความเร่งขน้ึ กบั ขนาดของแรงลัพธ์ กระทําตอ่ วตั ถแุ ละมวลของวัตถุ 4. สงั เกตและอธิบายแรงกริ ิยาและแรงปฏิกริ ิยา แรงกระทาํ ระหวา่ งวตั ถุคูห่ นึง่ ๆ เป็นแรงกิรยิ าและ ระหวา่ งวัตถคุ ูห่ น่งึ ๆ แรงปฏกิ ริ ิยา แรงท้ังสองมขี นาดเท่ากันเกิดข้ึนพร้อม กัน กระทํากับวตั ถคุ นละกอ้ นแตม่ ีทิศทางตรงขา้ ม 5. สงั เกตและอธบิ ายผลของความเร่งท่ีมตี อ่ การ วตั ถทุ เ่ี คลือ่ นทดี่ ้วยความเรง่ คงตัวหรือความเร่งไม่ เคลอ่ื นทีแ่ บบตา่ งๆ ของวตั ถุ ไดแ้ กก่ ารเคลือ่ นที่ คงตวั อาจเป็นการเคลอ่ื นที่แนวตรง การเคลอ่ื นท่แี นว แนวตรง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์การเคลือ่ นที่ โคง้ หรอื การเคลื่อนที่แบบสั่น การเคล่อื นที่แนวตรง แบบวงกลมและการเคลื่อนทีแ่ บบสั่น ดว้ ยความเร่งคงตวั นาํ ไปใช้อธิบายการตกแบบเสรี การเคลือ่ นทแี่ นวโคง้ ดว้ ยความเรง่ คงตวั นําไปใช้ อธบิ ายการเคลอ่ื นทแ่ี บบโพรเจกไทล์ การเคลอ่ื นที่ แนวโค้งดว้ ยความเรง่ มีทิศทางตงั้ ฉากกับความเรว็ ตลอดเวลา นาํ ไปใช้อธบิ ายการเคล่ือนท่แี บบวงกลม การเคล่อื นทีก่ ลับไปกลบั มาด้วยความเร่งมที ศิ ทางเข้า สูจ่ ดุ ที่แรงลัพธเ์ ป็นศูนย์ เรยี กจุดนวี้ ่าตําแหน่งสมดุล ซ่งึ นําไปใชอ้ ธิบายการเคลือ่ นท่ีแบบสนั่ 6. สบื คน้ ข้อมูลและอธบิ ายแรงโนม้ ถ่วง ท่ีเกี่ยวกับ ในบรเิ วณทีม่ ีสนามโน้มถว่ ง เมอื่ มวี ตั ถุทีม่ ีมวลจะมี การเคลอ่ื นที่ของวัตถุต่างๆ รอบโลก แรงโน้มถ่วงซึง่ เป็นแรงดงึ ดูดของโลกกระทําตอ่ วตั ถุ แรงนนี้ ําไปใช้อธบิ ายการเคลอื่ นทข่ี องวตั ถตุ า่ งๆ เชน่ ดาวเทยี มและดวงจันทร์รอบโลก 7. สงั เกตและอธบิ ายการเกดิ สนามแมเ่ หล็กเน่อื ง กระแสไฟฟา้ ทาํ ใหเ้ กดิ สนามแม่เหล็กในบริเวณรอบ จากกระแสไฟฟ้า แนวการเคลื่อนท่ีของกระแสไฟฟ้าหาทศิ ทางของสนาม แมเ่ หล็กเนื่องจากกระแส ไฟฟา้ ได้จากกฎมอื ขวา หลักสูตรกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หนา้ 61 ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.5 8. สงั เกตและอธิบายแรงแมเ่ หลก็ ทก่ี ระทาํ ตอ่ ในบรเิ วณทีม่ สี นามแม่เหลก็ เมอื่ มีอนภุ าคที่มีประจุ อนุภาคทม่ี ปี ระจุไฟฟา้ ที่เคล่ือนท่ใี นสนามแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าเคลอื่ นทโี่ ดยไม่อยใู่ นแนวเดยี วกับสนามแมเ่ หลก็ และแรงแม่เหลก็ ทก่ี ระทําต่อลวดตัวนาํ ที่มีกระแส หรือมีกระแสไฟฟ้าผา่ นลวดตัวนาํ โดยกระแสไฟฟ้าไม่ ไฟฟา้ ผา่ นในสนามแม่เหล็ก รวมทั้งอธิบายหลกั การ อยู่ในแนวเดยี วกับสนามแมเ่ หล็กจะมแี รงแมเ่ หล็ก ทาํ งานของมอเตอร์ กระทํา ซงึ่ เปน็ พืน้ ฐานในการสร้างมอเตอร์ 9.สงั เกตและอธิบายการเกดิ อีเอม็ เอฟ รวมท้งั เมอื่ มีสนามแม่เหลก็ เปลยี่ นแปลงตดั ขดลวดตวั นํา ยกตวั อย่างการนําความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ทาํ ให้เกิดอีเอม็ เอฟ ซ่ึงเป็นพืน้ ฐานในการสร้างเครอ่ื ง กาํ เนดิ ไฟฟา้ 10. สืบคน้ ข้อมลู และอธิบายแรงเขม้ และแรง ภายในนวิ เคลียสมีแรงเขม้ ที่เป็นแรงยดึ เหนยี่ ว ออ่ น ของอนุภาคในนวิ เคลียสและเป็นแรงหลักทใ่ี ช้ อธิบายเสถียรภาพของนวิ เคลยี สนอกจากนยี้ ัง มีแรงอ่อน ซง่ึ เป็นแรงทใี่ ช้อธบิ ายการสลายให้ อนุภาคบีตาของธาตุกมั มันตรงั สี ม.6 - - หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หนา้ 62 สาระท่ี 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างสสารและพลังงาน พลงั งานในชีวิตประจําวนั ธรรมชาติของคลน่ื ปรากฏการณ์ท่ี เกยี่ วขอ้ งกบั เสยี ง แสง และคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมทง้ั นําความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ชั้น ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.4 - - ม.5 1. สืบค้นขอ้ มูลและอธบิ ายพลังงานนวิ เคลยี ร์ พลงั งานที่ปลดปล่อยออกมาจากฟิชชันหรือ ไม่เนน้ ฟชิ ชันและฟิวชนั และความสมั พนั ธ์ระหว่างมวล ฟิวชนั เรยี กว่า พลงั งานนิวเคลียร์ โดยฟิชชนั เปน็ วิทยาศาสตร์ กับพลงั งานทปี่ ลดปลอ่ ยออกมาจาก ปฏกิ ริ ิยาท่ีนวิ เคลียสท่มี มี วลมากแตกออกเป็น ฟิชชันและฟวิ ชนั นวิ เคลียสทีม่ ีมวลน้อยกวา่ สว่ นฟวิ ชันเป็นปฏกิ ริ ยิ า ทีน่ วิ เคลียสทีม่ มี วลน้อยรวมตัวกันเกิดเป็นนวิ เคลียส ท่มี มี วลมากขนึ้ พลังงานนิวเคลยี ร์ทป่ี ลดปลอ่ ย ออกมาจากฟชิ ชนั และฟิวชนั มีค่าเป็นไปตามวาม สัมพันธ์ระหว่างมวลกับพลังงาน 2. สบื คน้ ข้อมูล และอธบิ ายการเปลี่ยนพลังงาน การนําพลังงานทดแทนมาใช้เป็นการแก้ปัญหา ทดแทนเป็นพลงั งานไฟฟ้า รวมท้งั สบื คน้ และ หรอื ตอบสนองความตอ้ งการดา้ นพลงั งาน เชน่ อภปิ รายเกีย่ วกับเทคโนโลยที ีน่ ํามาแก้ปญั หาหรอื การเปล่ียนพลงั งานนวิ เคลยี ร์เปน็ พลงั งานไฟฟา้ ใน ตอบสนองความต้อง การทางด้านพลังงาน โดย โรงไฟฟ้านวิ เคลยี รแ์ ละการเปลย่ี นพลังงานแสง เน้นด้านประสทิ ธิ ภาพและความคมุ้ คา่ ดา้ นคา่ อาทติ ย์เปน็ พลงั งานไฟฟา้ โดยเซลล์สุรยิ ะ ใช้จา่ ย เทคโนโลยีตา่ งๆ ท่ีนํามาแก้ปญั หาหรอื ตอบสนอง ความตอ้ งการทางด้านพลงั งานเปน็ การนําความรู้ ทักษะและกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์มาสรา้ ง อุปกรณ์หรือผลิตภัณฑต์ ่างๆ ทชี่ ว่ ยใหก้ ารใช้ พลงั งานมปี ระสทิ ธิภาพยง่ิ ข้นึ ม.5 3.สังเกต และอธบิ ายการสะท้อนการหักเห เมอื่ คลื่นเคล่อื นที่ไปพบสิง่ กดี ขวางจะเกดิ การ การเล้ียวเบนและการรวมคลนื่ สะท้อนเมอ่ื คลน่ื เคลอ่ื นท่ีผา่ นรอยต่อระหว่าง ตัวกลางทีต่ า่ งกนั จะเกิดการหักเหเม่อื คลน่ื เคล่ือนท่ี ไปพบขอบสิง่ กดี ขวางจะเกิดการเล้ยี วเบนเม่ือคลื่น สองขบวนมาพบกันจะเกดิ การรวมคลื่นเกดิ รปู รา่ ง ของคลื่นรวมหลงั จากคลื่นทั้งสองเคลอ่ื นท่ผี ่านพ้น กันแล้วจะแยกกัน โดยแต่ละคลื่นยงั คงมรี ูปร่างและ ทิศทางเดิม 4.สังเกตและอธบิ ายความถ่ธี รรมชาติ การสน่ั เม่อื กระตนุ้ ใหว้ ตั ถุส่นั แลว้ หยดุ กระตนุ้ วตั ถจุ ะ พ้องและผลที่เกดิ ขึ้นจากการสน่ั พอ้ ง สัน่ ด้วยความถ่ีท่เี รียกว่า ความถ่ธี รรมชาติถ้ามแี รง กระต้นุ วตั ถุท่กี ําลงั สนั่ ดว้ ยความถ่ขี องการออกแรง ตรงกบั ความถี่ธรรมชาติของวัตถนุ นั้ จะทําให้วัตถุสน่ั ด้วยแอมพลิจดู มากขน้ึ เรยี กว่า การสัน่ พอ้ ง เช่น การสน่ั พอ้ งของอาคารสูง การสนั่ พ้องของสะพาน การส่ันพอ้ งของเสยี งในเครอ่ื งดนตรีประเภทเปา่ 5. สงั เกตและอธิบายการสะทอ้ น การหักเห เสยี งมกี ารสะทอ้ น การหักเห การเล้ียวเบนและ การเลยี้ วเบนและการรวมคลืน่ ของคลน่ื เสียง การรวมคลืน่ เช่นเดียวกบั คลื่นอน่ื ๆ หลกั สตู รกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หน้า 63 ชัน้ ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.5 6. สบื ค้นข้อมลู และอธิบายความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง ความถข่ี องคลืน่ เสียงเป็นปริมาณท่ีใช้บอกเสียงสูง ความเขม้ เสยี งกบั ระดบั เสียงและผลของความถ่ี เสียงตํา่ โดยความถ่ีท่คี นได้ยนิ มคี ่าอยู่ระหวา่ ง 20- กบั ระดับเสียงทมี่ ีต่อการไดย้ นิ เสยี ง 20,000 เฮิรตซ์ ระดับเสยี งเป็นปริมาณทีใ่ ช้บอก ความดงั ของเสียงซึง่ ขนึ้ กับความเข้มเสยี ง โดยความ เข้มเสียงเป็นพลังงานเสยี งทต่ี กตัง้ ฉากบนพ้ืนท่ีหน่ึง หน่วยในหนึ่งหน่วยเวลา เสยี งที่มีความดังมาก เกินไปเป็นอันตรายต่อหู 7. สงั เกตและอธบิ ายการเกดิ เสียงสะท้อนกลับ เมอ่ื เสยี งจากแหลง่ กาํ เนิดเดนิ ทางไปกระทบวตั ถุ บตี ดอปเพลอร์และการสนั่ พอ้ งของสยี ง แล้วสะท้อนกลับมายังผฟู้ งั ถา้ ผู้ฟังไดย้ นิ เสยี งทอี่ อก จากแหล่งกาํ เนดิ และเสยี งทสี่ ะทอ้ นกลับมาแยกจาก กัน เสยี งท่ไี ด้ยินน้เี ป็นเสียงสะท้อนกลับ เมอื่ คล่นื เสยี งสองขบวนทม่ี ีความถ่ใี กลเ้ คยี งกันมา รวมกนั จะเกิดบีต เมอ่ื แหลง่ กําเนิดเสยี งเคลอ่ื นทผ่ี ู้ฟังเคลื่อนท่หี รือ ท้ังแหลง่ กาํ เนดิ และผฟู้ ังเคลอ่ื นท่ผี ู้ฟงั จะไดย้ นิ เสยี ง ท่ีมีความถเี่ ปล่ียนไป เรยี กว่าปรากฏการณด์ อปเพล อร์ ถ้าอากาศในทอ่ ถกู กระตนุ้ ดว้ ยคลืน่ เสยี งทม่ี ีความ ถีเ่ ท่ากบั ความถ่ีธรรมชาติของอากาศในทอ่ น้นั จะ เกดิ การสัน่ พ้องของเสยี ง 8.สบื คน้ ขอ้ มูลและยกตวั อย่างการนําความรู้ ความร้เู กีย่ วกับเสียงนาํ ไปใช้ประโยชนใ์ นดา้ น เกีย่ วกบั เสยี งไปใชป้ ระโยชน์ในชีวิตประจํา วัน ตา่ งๆ เชน่ คลืน่ เหนอื เสียงหรืออัลตราซาวนด์ใช้ ในทางการแพทย์ บตี ของเสยี งในการปรบั เทยี บ เสยี งของเคร่อื งดนตรกี ารสัน่ พอ้ งของเสยี งใชใ้ นการ ออกแบบเคร่ืองดนตรแี ละอธิบายการเปล่งเสยี งของ มนุษย์ 9. สังเกตและอธบิ ายการมองเห็นสีของวตั ถแุ ละ เมื่อแสงตกกระทบวัตถุ วตั ถจุ ะดูดกลืนแสงสบี าง ความผดิ ปกตใิ นการมองเห็น สี โดยขนึ้ กบั สารสบี นผวิ วตั ถแุ ละสะท้อน แสงสีที่ เหลือออกมาทําใหม้ องเห็นวัตถุเป็นสตี ่างๆข้นึ กับ แสงสที ่ีสะทอ้ นออกมา ความผดิ ปกติในการมองเหน็ สหี รอื การบอดสเี กิดจากความบกพรอ่ งของเซลลร์ ปู กรวยบนจอตา 10.สงั เกตและอธบิ ายการทาํ งานของแผน่ กรอง แผน่ กรองแสงสียอมใหแ้ สงสบี างสีผา่ นออกไปได้ แสงสี การผสมแสงสี การผสมสารสีและการ และกั้นบางแสงสี นําไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ิต ประจาํ วัน การผสมแสงสีทําใหไ้ ดแ้ สงสที หี่ ลากหลายเปลีย่ น ไปจากเดิมถ้านําแสงสปี ฐมภูมใิ นสัด สว่ นที่ เหมาะสมมาผสมกนั จะไดแ้ สงขาว การผสมสารสที าํ ใหไ้ ดส้ ารสที ่ีหลากหลายเปลีย่ น ไปจากเดิมถ้านําสารสีปฐมภมู ใิ นปรมิ าณทเี่ ทา่ กันมา ผสมกนั จะได้สารสีผสมเปน็ สีดํา การผสมแสงสแี ละการผสมสารสีสามารถนาํ ไปใช้ ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ดา้ นศิลปะด้านการแสดง หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หนา้ 64 ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.5 11. สืบคน้ ข้อมลู และอธบิ ายคลืน่ แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ประกอบด้วยสนาม แมเ่ หล็ก ส่วนประกอบคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ และหลักการ และสนามไฟฟ้าท่เี ปล่ยี นแปลงตลอดเวลาโดยสนาม ทาํ งานของอุปกรณ์บางชนิดทอ่ี าศยั คลื่นแม่เหล็ก ทั้งสองมีทศิ ทางตง้ั ฉากกันและตั้งฉากกับทศิ ทาง ไฟฟ้า การเคลอ่ื นท่ขี องคลืน่ อปุ กรณบ์ างชนิดทาํ งานโดยอาศยั คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า เชน่ เครือ่ งควบคมุ ระยะไกลเคร่ืองถ่ายภาพ เอกซเรยค์ อมพิวเตอร์ และเครอ่ื งถ่ายภาพ การสนั่ พ้องแมเ่ หล็ก 12. สืบคน้ ขอ้ มลู และอธิบายการสือ่ สารโดยอาศยั ในการส่ือสารโดยอาศยั คล่นื แมเ่ หล็ก ไฟฟา้ เพือ่ คลนื่ แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ในการสง่ ผ่านสารสนเทศและ สง่ ผา่ นสารสนเทศจากทห่ี นึง่ ไปอกี ที่หนงึ่ สารสนเทศ เปรยี บเทยี บการส่ือสารด้วยสัญญาณแอนะล็อก จะถูกแปลงใหอ้ ย่ใู นรูปสญั ญาณสาํ หรบั สง่ ไปยัง กับสัญญาณดิจทิ ัล ปลายทางซ่ึงจะมกี ารแปลงสัญญาณกลบั มาเปน็ สารสนเทศที่เหมือนเดมิ ม.6 - - หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 65 สาระที่ 3 วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองคป์ ระกอบ ลกั ษณะ กระบวนการเกดิ และวิวฒั นาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสรุ ิยะ รวมท้ังปฏสิ ัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ที่ส่งผลต่อสง่ิ มีชวี ิต และ การประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.4 - - ม.5 - - ม.6 1. อธิบายการกําเนดิ และการเปลยี่ นแปลง ทฤษฎีกาํ เนดิ เอกภพทย่ี อมรับในปจั จุบนั คอื พลังงาน สสาร ขนาดอณุ หภูมิของเอกภพหลัง ทฤษฎบี ิกแบงระบวุ ่าเอกภพเรมิ่ ตน้ จาก บกิ แบง เกิดบิกแบงในช่วงเวลาต่างๆตามวิวัฒนาการของ ท่เี อกภพมขี นาดเล็กมาก และมอี ุณหภมู ิสูงมาก เอกภพ ซ่งึ เปน็ จุดเริม่ ต้นของเวลาและววิ ัฒนาการของเอก ภพ โดยหลังเกิดบกิ แบง เอกภพเกิดการขยายตวั อย่างรวดเรว็ มอี ุณหภมู ิลดลง มีสสารคงอย่ใู นรปู อนภุ าคและปฏยิ านุภาคหลายชนดิ และมีวิวฒั นาการ ตอ่ เน่ืองจนถงึ ปจั จบุ นั ซ่ึงมเี นบิวลา กาแลก็ ซี ดาว ฤกษ์และระบบสุริยะเปน็ สมาชิกบางส่วนของเอกภพ 2. อธิบายหลักฐานทสี่ นับสนุนทฤษฎีบกิ แบงจาก หลักฐานสาํ คญั ทีส่ นับสนุนทฤษฎีบกิ แบง คือ การ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างความ เร็วกับระยะทางของ ขยายตวั ของเอกภพ ซงึ่ อธบิ ายด้วยกฎฮับเบลิ โดย กาแลก็ ซี รวมทั้งขอ้ มูลการค้นพบไมโครเวฟพื้น ใช้ความสมั พันธ์ระหวา่ งความเรว็ และระยะทางของ หลงั จากอวกาศ กาแล็กซีที่เคลื่อนทีห่ ่างออกจากโลกและหลักฐาน อีก ประการคือ การค้นพบไมโครเวฟ พ้ืนหลงั ทก่ี ระจาย ตัวอย่างสมํ่าเสมอทกุ ทศิ ทางและสอดคล้องกับ อณุ หภมู เิ ฉลยี่ ของอวกาศมคี า่ ประมาณ 2.73 เคลวิน 3. อธบิ ายโครงสร้างและองคป์ ระกอบของ กาแลก็ ซี ประกอบดว้ ย ดาวฤกษจ์ ํานวนหลาย กาแล็กซีทางชา้ งเผอื ก และระบุตําแหนง่ ของ แสนลา้ นดวง ซ่ึงอยกู่ นั เป็นระบบของดาวฤกษ์ ระบบสุรยิ ะพร้อมอธิบายเชอ่ื มโยงกับการ นอกจากน้ยี ังประกอบดว้ ยเทห์ฟ้าอนื่ เชน่ เนบวิ ลา สังเกตเห็นทางชา้ งเผอื กของคนบนโลก และสสารระหวา่ งดาว โดยองคป์ ระกอบต่างๆ ภาย ในของกาแลก็ ซีอย่รู วมกนั ดว้ ยแรงโนม้ ถว่ ง กาแล็กซมี ีรปู ร่างแตกตา่ งกนั โดยระบบสุรยิ ะอยู่ ในกาแลก็ ซที างชา้ งเผอื กซง่ึ เปน็ กาแลก็ ซกี ังหันแบบ มีคาน มโี ครงสรา้ ง คือนวิ เคลียส จาน และฮาโล ดาวฤกษ์จาํ นวนมากอยู่ในบริเวณนิวเคลียสและจาน โดยมรี ะบบสุริยะอยู่ห่างจากจุดศูนยก์ ลางของ กาแลก็ ซีทางช้างเผอื ก ประมาณ 30,000 ปแี สง ซึ่งทางช้างเผือกท่สี งั เกตเห็นในท้องฟา้ เปน็ บรเิ วณ หน่ึงของกาแลก็ ซีทางช้างเผอื กในมุมมองของคนบน โลก แถบฝ้าสีขาวจางๆ ของทางช้างเผือกคอื ดาว ฤกษ์ที่อยู่อย่างหนาแน่นในกาแล็กซที างชา้ งเผือก 4. อธิบายกระบวนการเกดิ ดาวฤกษ์ โดยแสดง ดาวฤกษส์ ว่ นใหญอ่ ยู่รวมกนั เปน็ ระบบดาวฤกษ์ การเปลี่ยนแปลงความดัน อณุ หภูมขิ นาดจาก คอื ดาวฤกษ์ท่ีอยรู่ วมกนั ต้ังแต่ 2 ดวงข้ึนไป ดาวฤกษ์ ดาวฤกษ์ก่อนเกิดจนเป็นดาวฤกษ์ เป็นกอ้ นแก๊สร้อนขนาดใหญ่ เกิดจากการยุบตัวของ กลุม่ สสารในเนบวิ ลาภายใต้แรงโน้มถ่วงทําให้ หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หนา้ 66 ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.6 บางส่วนของเนบวิ ลามีขนาดเลก็ ลงความดันและ อุณหภมู เิ พ่ิมขึน้ เกดิ เปน็ ดาวฤกษก์ อ่ นเกดิ เมอ่ื อณุ หภูมิทแี่ ก่นสงู ข้นึ จนเกิด ปฏกิ ิริยาเทอรม์ อ นิวเคลียร์ดาวฤกษ์ก่อนเกดิ จะกลายเปน็ ดาวฤกษ์ ดาวฤกษอ์ ยู่ในสภาพสมดลุ ระหว่างแรงดันกับแรง โนม้ ถว่ งซึง่ เรยี กว่า สมดลุ อุทกสถิตจึงทาํ ใหด้ าว ฤกษม์ เี สถยี รภาพและปลดปล่อยพลังงานเป็นเวลา นาน ตลอดช่วงชวี ติ ของดาวฤกษ์ ปฏิกิริยาเทอร์มอนวิ เคลียร์ เป็นปฏกิ ิรยิ าหลักของ กระบวนการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ท่ีแกน่ ของ ดาวฤกษท์ าํ ใหเ้ กิดการหลอมนิวเคลียสของไฮโดรเจน เป็นนิวเคลยี สฮีเลียมแลว้ กอ่ ใหเ้ กิดพลังงานอย่าง ตอ่ เนื่อง 5. ระบุปัจจยั ทส่ี ง่ ผลต่อความสอ่ งสว่างของดาว ความสอ่ งสว่างของดาวฤกษ์เปน็ พลังงานจากดาว ฤกษ์ และอธบิ ายความสมั พันธ์ระหว่างความสอ่ ง ฤกษท์ ่ีปลดปลอ่ ยออกมาในเวลา 1 วนิ าทีตอ่ หน่วย สวา่ งกบั โชตมิ าตรของดาวฤกษ์ พืน้ ท่ี ณ ตาํ แหนง่ ของผ้สู ังเกต แตเ่ นือ่ งจากตาของ มนษุ ยไ์ มต่ อบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงความส่อง สว่างท่มี คี า่ นอ้ ยๆจงึ กําหนดค่าการเปรยี บ เทยี บ ความสอ่ งสว่างของดาวฤกษด์ ว้ ยคา่ โชตมิ าตร ซึ่ง เป็นการแสดงระดบั ความส่องสว่างของดาวฤกษ์ ณ ตําแหนง่ ของผู้สังเกต 6. อธบิ ายความสัมพันธร์ ะหวา่ งสี อณุ หภมู ิผวิ และ สีของดาวฤกษ์สมั พันธก์ ับอณุ หภูมผิ วิ และ สเปกตรัมของดาวฤกษ์ สเปกตรัมของดาวฤกษ์ ซ่ึงนกั ดาราศาสตร์ใช้ สเปกตรัมในการจําแนกชนิดของดาวฤกษ์ 7. อธบิ ายลําดบั ววิ ฒั นาการทส่ี ัมพันธ์กับมวลต้งั มวลของดาวฤกษข์ ึ้นอยู่กบั มวลของดาวฤกษก์ อ่ น ตน้ และวเิ คราะห์การเปลย่ี นแปลงสมบตั ิบาง เกิด ดาวฤกษ์ท่ีมมี วลมากจะผลติ และใช้พลังงาน ประการของดาวฤกษ์ มาก จึงมอี ายุส้ันกวา่ ดาวฤกษ์ท่มี ีมวลนอ้ ย ดาวฤกษ์มกี ารววิ ฒั นาการทีแ่ ตกต่างกนั การวิวัฒนาการและจดุ จบของดาวฤกษข์ ้นึ อยู่กับ มวลต้งั ต้นของดาวฤกษ์ส่วนใหญเ่ ทยี บกับจาํ นวน เทา่ ของมวลดวงอาทติ ย์ 8. อธบิ ายกระบวนการเกดิ ระบบสุริยะและ ระบบสุรยิ ะเกดิ จากการรวมตัวกนั ของกลมุ่ ฝุ่น การแบง่ เขตบริวารของดวงอาทติ ย์และลักษณะ และแกส๊ ทีเ่ รียกว่า เนบิวลาสุริยะโดยฝุน่ และแกส๊ ของดาวเคราะหท์ ่ีเอ้ือตอ่ การดาํ รงชีวติ ประมาณรอ้ ยละ 99.8 ของมวลไดร้ วมตวั เปน็ ดวง อาทิตย์ซง่ึ เปน็ ก้อนแก๊สรอ้ นหรอื พลาสมาสสารสว่ น ที่เหลอื รวมตัวเป็นดาวเคราะห์และบรวิ ารอ่นื ๆของ ดวงอาทติ ย์ ดงั น้ัน จึงแบ่งเขตบริวารของดวงอาทติ ย์ ตามลกั ษณะการเกดิ และองคป์ ระกอบไดแ้ ก่ ดาว เคราะหช์ ้ันใน ดาวเคราะหน์ ้อยดาวเคราะห์ช้นั นอก และดงดาวหาง หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หน้า 67 ชัน้ ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.6 โลกเป็นดาวเคราะหใ์ นระบบสรุ ยิ ะท่มี ีส่ิงมีชวี ิต เพราะโคจรรอบดวงอาทิตย์ในระยะทางทเ่ี หมาะสม อย่ใู นเขตที่เอ้ือต่อการมีสิ่งมีชวี ิต มอี ุณหภมู ิเหมาะสม และสามารถเกดิ นํ้าท่ียงั คงสถานะเปน็ ของเหลวได้ ปัจจุบันมีการค้นพบดาวเคราะหท์ อ่ี ย่นู อกระบบ สรุ ยิ ะจาํ นวนมาก และมดี าวเคราะห์บางดวงท่อี ยู่ ในเขตทีเ่ อือ้ ต่อการมสี งิ่ มีชีวติ คลา้ ยโลก 9. อธิบายโครงสร้างของดวงอาทติ ยก์ ารเกิดลม ดวงอาทติ ยม์ ีโครงสรา้ งภายในแบ่งเปน็ แก่น สุรยิ ะ พายสุ รุ ิยะและสบื คน้ ขอ้ มลู วเิ คราะห์ เขตการแผร่ งั สแี ละเขตการพาความร้อนและมชี ัน้ นําเสนอปรากฏการณ์หรือเหตกุ ารณท์ ี่เกีย่ วขอ้ ง บรรยากาศอยเู่ หนอื เขตพาความร้อนซงึ่ แบง่ เปน็ กบั ผลของลมสรุ ยิ ะและพายุสรุ ิยะทม่ี ตี ่อโลกรวม 3 ชนั้ คอื ชน้ั โฟโตสเฟยี ร์ ช้ันโครโมสเฟยี รแ์ ละ ท้งั ประเทศไทย คอโรนาในช้ันบรรยากาศของดวงอาทติ ย์ มีปรากฏ การณ์สําคัญ เชน่ จดุ มดื ดวงอาทิตย์ การลกุ จ้าทท่ี าํ ใหเ้ กิดลมสุรยิ ะและพายุสุริยะ ซึง่ สง่ ผลต่อโลก ลมสุริยะเกิดจากการแพร่กระจายของอนภุ าค จากชั้นคอโรนาออกส่อู วกาศตลอดเวลา อนุภาคที่ หลดุ ออกสอู่ วกาศเปน็ อนุภาคทีม่ ปี ระจุลมสรุ ยิ ะ ส่งผลทาํ ใหเ้ กดิ หางของดาวหางทเ่ี รอื งแสงและชไ้ี ป ทางทศิ ตรงกันข้ามกับดวงอาทิตยแ์ ละเกดิ ปรากฏ การณแ์ สงเหนือ แสงใต้ พายสุ ุรยิ ะเกิดจากการปลดปลอ่ ยอนุภาคมีประจุ พลงั งานสงู จํานวนมหาศาล มกั เกดิ บอ่ ยครง้ั ในชว่ ง ท่ีมกี ารลกุ จา้ และในช่วงที่มีจุดมืดดวงอาทิตย์ จาํ นวนมากและในบางคร้ังมีการพ่นก้อนมวลคอโรนา พายสุ รุ ิยะอาจส่งผลตอ่ สนามแมเ่ หล็กโลก จึงอาจ รบกวนระบบการสง่ กระแสไฟฟ้าและการส่อื สาร รวมทง้ั อาจสง่ ผลตอ่ วงจรอเิ ลก็ ทรอนิกสข์ อง ดาวเทยี ม นอกจากนัน้ มักทาํ ให้เกิดปรากฏการณ์ แสงเหนือแสงใต้ทีส่ ังเกตไดช้ ดั เจน 10. สบื คน้ ขอ้ มลู อธิบายการสาํ รวจอวกาศโดย มนุษย์ใช้เทคโนโลยีอวกาศในการศกึ ษาเพ่อื ขยาย ใช้กล้องโทรทรรศนใ์ นช่วงความยาวคลน่ื ตา่ งๆ ขอบเขตความรดู้ ้านวิทยาศาสตรแ์ ละในขณะเดียวกัน ดาวเทียม ยานอวกาศ สถานีอวกาศ และนําเสนอ มนุษยไ์ ดน้ ําเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชนใ์ นดา้ น แนวคดิ การนาํ ความรู้ทางดา้ นเทคโนโลยี อวกาศ ตา่ งๆ เชน่ วัสดศุ าสตร์ อาหารการแพทย์ ระยะทาง มาประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจาํ วนั หรือในอนาคต ท่เี หมาะสมอยูใ่ นเขตที่เอือ้ ตอ่ การมสี ง่ิ มชี ีวิต มี อณุ หภูมเิ หมาะสมและสามารถเกิดน้าํ ท่ียงั คงสถานะ เป็นของเหลวได้ปัจจบุ นั มกี ารคน้ พบดาวเคราะหท์ ่ี อยู่นอกระบบสุริยะจาํ นวนมากและมดี าวเคราะห์ บางดวงทอ่ี ยู่ในเขตทเ่ี อ้ือต่อการมสี ิง่ มีชีวติ คลา้ ยโลก นกั วทิ ยาศาสตรไ์ ดส้ รา้ งกลอ้ งโทรทรรศนเ์ พื่อ ศึกษาแหล่งกําเนิดของรงั สหี รอื อนภุ าคในอวกาศใน ช่วงความยาวคลน่ื ต่างๆได้แกค่ ลน่ื วทิ ยุ ไมโครเวฟ อินฟราเรดแสงอัลตราไวโอเลตและรงั สีเอก็ ซ์ หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หนา้ 68 ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.6 ยานอวกาศ คือ ยานพาหนะทีน่ าํ มนุษย์หรอื อุปกรณ์ทางดาราศาสตร์ข้ึนไปสอู่ วกาศเพือ่ สํารวจ หรอื เดนิ ทางไปยังดาวดวงอืน่ สว่ นสถานีอวกาศ คอื ห้องปฏบิ ตั ิการลอยฟ้าทโ่ี คจรรอบโลกใช้ใน การศึกษาวิจยั ทางวทิ ยาศาสตรใ์ นสาขาตา่ งๆใน สภาพไรน้ ้ําหนกั ดาวเทยี ม คือ อปุ กรณท์ ่ใี ชใ้ นการสํารวจวัตถุ ทอ้ งฟ้าและนาํ มาประยกุ ต์ใชใ้ นดา้ นต่างๆ เช่น การสอ่ื สารโทรคมนาคม การระบตุ ําแหนง่ บนโลก การสาํ รวจ ทรพั ยากร ธรรมชาติ อตุ ุนยิ มวทิ ยาโดย ดาวเทียมมีหลายประเภทสามารถแบง่ ไดต้ ามเกณฑ์ วงโคจรและการใช้งาน หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หนา้ 69 สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพบิ ัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟา้ อากาศและภมู อิ ากาศโลก รวมทัง้ ผลต่อสิง่ มชี ีวิตและสงิ่ แวดลอ้ ม ชน้ั ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.4 - - ม.5 - - ม.6 1. อธบิ ายการแบง่ ชัน้ และสมบตั ขิ องโครงสร้าง การศกึ ษาโครงสรา้ งโลกใช้ขอ้ มลู หลายด้าน เช่น โลกพรอ้ มยกตัวอย่างขอ้ มลู ที่สนับสนุน องคป์ ระกอบทางเคมขี องหินและแร่ องคป์ ระกอบ ทางเคมีของอุกกาบาตข้อมูลคล่ืนไหวสะเทอื นท่ี เคลอ่ื นทผ่ี ่านโลกจึงสามารถแบ่งช้ันโครงสรา้ งโลก ได้ 2แบบ คอื โครงสร้างโลกตามองคป์ ระกอบ ทางเคมแี บ่งได้เปน็ 3 ชนั้ ได้แก่ เปลือกโลก เนื้อโลก และแกน่ โลกและโครงสร้างโลกตามสมบตั เิ ชิงกล แบ่งไดเ้ ปน็ 5 ชนั้ ไดแ้ ก่ ธรณภี าค ฐานธรณีภาค มชั ฌิมภาค แกน่ โลกช้นั นอกและแกน่ โลกชน้ั ใน 2. อธิบายหลักฐานทางธรณีวทิ ยาทีส่ นับสนุนการ แผน่ ธรณีตา่ งๆเปน็ ส่วนประกอบของธรณีภาค เคลอ่ื นทขี่ องแผ่นธรณ การเปล่ียนแปลงขนาดและตําแหนง่ ตง้ั แตอ่ ดีตจนถงึ ปัจจบุ ันการเคลอ่ื นที่ของแผน่ ธรณีดังกลา่ วอธบิ าย ได้ตามทฤษฎีธรณแี ปรสณั ฐาน ซึ่งมรี ากฐานมาจาก ทฤษฎที วปี เลือ่ นและทฤษฎีการแผ่ขยายพื้นสมทุ ร โดยมีหลักฐานทส่ี นบั สนุน ไดแ้ ก่รูปร่างของขอบทวปี ทีส่ ามารถเชอื่ มตอ่ กันได้ ความคลา้ ยคลึงกันของ กลมุ่ หินและแนวเทือกเขา ซากดึกดาํ บรรพ์ รอ่ งรอย การเคล่อื นทขี่ องตะกอนธารนาํ้ แข็ง ภาวะแม่เหล็ก โลกบรรพกาล อายหุ ินของพน้ื มหาสมทุ ร รวมทัง้ การคน้ พบสนั เขากลางสมทุ รและรอ่ งลึกกน้ สมุทร 3. ระบุสาเหตุ และอธบิ ายรปู แบบแนวรอยต่อ การพาความรอ้ นของแมกมาภายในโลกทําให้เกิด ของแผน่ ธรณที ส่ี ัมพันธก์ บั การเคลือ่ นท่ีของแผ่น การเคลอ่ื นท่ขี องแผ่นธรณีตามทฤษฎีธรณแี ปร ธรณี พรอ้ มยกตัวอยา่ งหลกั ฐานทางธรณวี ิทยา สัณฐาน ซ่ึงนกั วทิ ยาศาสตรไ์ ดส้ ํารวจพบหลักฐาน ท่พี บ ทางธรณีวิทยา ไดแ้ ก่ธรณีสัณฐานและธรณีโครงสร้าง ทบ่ี ริเวณแนวรอยต่อของแผ่นธรณเี ช่น รอ่ งลึกกน้ สมุทร หมู่เกาะภูเขาไฟ รปู โค้ง แนวภเู ขาไฟ แนวเทอื กเขา หบุ เขาทรดุ และสนั เขากลางสมุทร รอยเล่ือน นอกจากนย้ี ังพบการเกดิ ธรณพี ิบัตภิ ยั ที่ บริเวณแนวรอยต่อของแผ่นธรณี เช่น แผ่นดินไหว ภเู ขาไฟระเบิด สนึ ามิ ซ่งึ หลกั ฐานดงั กล่าวสัมพันธ์ กับรูปแบบ การเคลื่อนท่ขี องแผ่นธรณี นักวิทยาศาสตรจ์ ึงสรปุ ไดว้ า่ แนวรอยตอ่ ของแผน่ ธรณีมี 3รูปแบบ ไดแ้ ก่แนวแผ่นธรณีแยกตัว แนว แผ่นธรณเี คลอ่ื นที่ เขา้ หากัน แนวแผ่นธรณีเคลอื่ นท่ี ผา่ นกันในแนวราบ หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 70 ช้ัน ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.6 4. อธิบายสาเหตุ กระบวนการเกิดภูเขาไฟระเบิด ภูเขาไฟระเบิดเกดิ จากการแทรกดนั ของแมกมา รวมทั้งสบื ค้นข้อมลู พื้นท่ีเสี่ยงภัยออกแบบและ ขึ้นมาตามสว่ นเปราะบางหรือรอยแตกบนเปลอื ก นาํ เสนอแนวทางการเฝา้ ระวังและการปฏิบัตติ น โลกมักพบหนาแน่นบริเวณรอยตอ่ ระหวา่ งแผน่ ธรณี ใหป้ ลอดภยั ทําใหบ้ รเิ วณดงั กล่าวเป็นพืน้ ทเี่ สย่ี งภัยผลจากการ ระเบดิ ของภูเขาไฟมที งั้ ประโยชน์และโทษ จงึ ตอ้ ง ศึกษาแนวทางในการเฝา้ ระวังและการปฏบิ ตั ติ นให้ ปลอดภัย 5. อธบิ ายสาเหตุnกระบวนการเกิดn ขนาดและ แผ่นดินไหวเกิดจากการปลดปล่อยพลังงานท่ีสะสม ความรุนแรง และผลจากแผ่นดินไหวรวมทั้งสืบค้น ไว้ของเปลือกโลกในรปู ของคล่ืนไหวสะเทือนแผน่ ดินไหว ข้อมูลพืน้ ท่เี ส่ยี งภยั ออกแบบและนําเสนอ มขี นาดและความรนุ แรงแตกตา่ งกัน มกั เกิดขึ้นบริ แนวทางการเฝา้ ระวังและการปฏิบตั ติ นให้ เวณรอยตอ่ ของแผ่นธรณีและพื้นที่ภายใต้อิทธิพลของ ปลอดภัย การเคลื่อนของแผ่นธรณที ําใหบ้ ริเวณดงั กลา่ วเปน็ พื้นท่ีเสี่ยงภยั แผ่นดนิ ไหว ซึ่งส่งผลให้สิ่งก่อสร้าง เสียหายเกิดอนั ตรายตอ่ ชีวติ และทรัพยส์ ินจึงต้อง ศึกษาแนวทางในการเฝ้าระวังและการปฏบิ ัตติ นให้ ปลอดภยั 6. อธบิ ายสาเหตุ กระบวนการเกดิ และผลจาก สึนามิ คือ คล่นื นํ้าท่เี กิดจากการแทนทม่ี วลน้าํ สึนามิรวมทัง้ สืบคน้ ข้อมลู พนื้ ทเ่ี สยี่ งภัย ออกแบบ ในปรมิ าณมหาศาล ส่วนมากจะเกิดในทะเลหรอื และนาํ เสนอแนวทางการเฝ้าระวังและการปฏบิ ตั ิ มหาสมุทร โดยคลื่นมลี ักษณะเฉพาะ คอื ความยาว ตนใหป้ ลอดภยั คลนื่ มากและเคลือ่ นท่ดี ้วยความเรว็ สูง เมื่ออย่กู ลาง มหาสมทุ รจะมคี วามสงู คลืน่ น้อยและอาจเพ่มิ ความสูงข้นึ อยา่ งรวดเรว็ เมื่อคล่ืนเคลอ่ื นท่ผี ่าน บรเิ วณน้าํ ตื้น จงึ ทําใหพ้ ้นื ท่ีบริเวณชายฝ่งั บาง บรเิ วณเป็นพน้ื ท่เี สีย่ งภัย สนึ ามิ กอ่ ใหเ้ กิดอันตราย แก่มนุษย์และสง่ิ กอ่ สร้างในบรเิ วณชายหาดนน้ั จึง ตอ้ งศกึ ษาแนวทางในการเฝ้าระวงั และการปฏบิ ตั ิ ตนให้ปลอดภัย 7. อธิบายปจั จยั สําคัญทมี่ ีผลต่อการได้รบั พนื้ ผวิ โลกแต่ละบรเิ วณไดร้ ับพลังงานจากดวง พลงั งานจากดวงอาทติ ยแ์ ตกตา่ งกันในแต่ละ อาทิตยใ์ นปริมาณทแี่ ตกต่างกนั เน่ืองจากปัจจัย บริเวณของโลก สําคญั หลายประการ เช่น สณั ฐานและการเอยี งของ แกนโลก ลกั ษณะของพน้ื ผวิ ละอองลอยและเมฆทาํ ให้แตล่ ะบริเวณบนโลกมอี ณุ หภมู ไิ ม่เทา่ กันสง่ ผลให้ มคี วามกดอากาศแตกตา่ งกนั และเกิดการถา่ ยโอน พลังงานระหวา่ งกัน 8. อธบิ ายการหมนุ เวียนของอากาศที่เป็น การหมุนเวยี นของอากาศเกิดข้ึนจากความกด ผลมาจากความแตกต่างของความกดอากาศ อากาศทีแ่ ตกตา่ งกนั ระหวา่ งสองบรเิ วณ โดยอากาศ เคลือ่ นทจ่ี ากบรเิ วณทีม่ ีความกดอากาศสูงไปยงั บรเิ วณที่มีความกดอากาศต่าํ ซึ่งจะเห็นไดช้ ัดเจน ในการเคล่ือนทีข่ องอากาศในแนวราบและเมือ่ พิจารณาการเคลื่อนทขี่ องอากาศในแนวดง่ิ จะพบวา่ อากาศเหนือบรเิ วณความกดอากาศตา่ํ จะมกี ารยก หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 71 ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.6 ตวั ขน้ึ ขณะทีอ่ ากาศเหนอื บริเวณความกดอากาศ สงู จะจมตัวลง โดยการเคล่อื นท่ขี องอากาศทง้ั ใน แนวราบและแนวดง่ิ นี้ ทําให้เกิดเป็นการหมนุ เวียน ของอากาศ 9. อธบิ ายทิศทางการเคลื่อนท่ีของอากาศท่เี ปน็ การหมุนรอบตัวเองของโลกทําใหเ้ กิดแรงคอรอิ อ ผลมาจากการหมนุ รอบตวั เองของโลก ลิสสง่ ผลให้ทิศทางการเคล่ือนท่ขี องอากาศเบนไป โดยอากาศทเ่ี คลือ่ นทใี่ นบริเวณซีกโลกเหนอื จะเบน ไปทางขวาจากทศิ ทางเดมิ สว่ นบริเวณซีกโลกใต้จะ เบนไปทางซา้ ยจากทิศทางเดิม 10. อธิบายการหมนุ เวียนของอากาศตามเขต โลกมีความกดอากาศแตกต่างกันในแต่ละบริเวณ ละตจิ ูดและผลทมี่ ตี อ่ ภมู อิ ากาศ รวมทั้งอทิ ธิพลจากการหมนุ รอบตวั เองของโลกทําให้ อากาศในแตล่ ะซีกโลกเกิดการหมุนเวียนของอากาศ ตามเขตละตจิ ดู แบ่งออกเปน็ 3 แถบโดยแตล่ ะแถบมี ภูมิอากาศแตกต่างกนั ได้แก่ การหมนุ เวียน 11. อธบิ ายปัจจัยท่ีทาํ ให้เกดิ การหมนุ เวยี น การหมุนเวยี นของกระแสน้าํ ผิวหน้าในมหาสมทุ ร ของนา้ํ ผิวหน้าในมหาสมุทรและรูปแบบ ได้รับอิทธพิ ลจากการหมุนเวียนของอากาศในแต่ละ การหมุนเวียนของนาํ้ ผิวหนา้ ในมหาสมทุ ร แถบละตจิ ูดเปน็ ปจั จยั หลกั ทาํ ให้บรเิ วณซกี โลกเหนือ มกี ารหมนุ เวยี นของกระแสนํา้ ผวิ หนา้ ในทศิ ทางตาม เขม็ นาฬกิ าและทวนเขม็ นาฬิกาในซีกโลกใต้ ซงึ่ กระแส น้ําผวิ หนา้ ในมหาสมุทร มที ั้งกระแสน้ําอุน่ และ กระแสนํา้ เย็น 12. อธิบายผลของการหมุนเวยี นของอากาศ การหมนุ เวียนอากาศและน้าํ ในมหาสมุทรสง่ ผล และนํา้ ผวิ หน้าในมหาสมทุ รทม่ี ตี อ่ ลักษณะ ตอ่ ภูมิอากาศ ลม ฟ้า อากาศ ส่ิงมีชีวติ และส่ิงแวดล้อม ภูมอิ ากาศ ลมฟา้ อากาศ สิง่ มีชวี ิตและ เชน่ กระแสน้าํ อนุ่ กัลฟ์สตรมี ทที่ ําใหบ้ างประเทศใน ส่งิ แวดล้อม ทวีปยุโรปไมห่ นาวเย็นเกินไป และเม่อื การหมนุ เวยี น อากาศและน้ําในมหาสมทุ รแปรปรวนทาํ ใหเ้ กิด ผลกระทบตอ่ สภาพลมฟ้าอากาศ เชน่ ปรากฏการณ์ เอลนโี ญและลานญี าซึ่งเกดิ จากความแปรปรวนของ ลมค้าและส่งผลตอ่ ประเทศท่ีอยู่บริเวณมหาสมทุ ร แปซิฟิก 13. อธบิ ายปจั จัยที่มผี ลตอ่ การเปล่ยี นแปลง โลกได้รบั พลังงานจากดวงอาทิตย์ โดยปริมาณ ภมู อิ ากาศของโลก พร้อมท้งั นําเสนอแนว พลังงานเฉลย่ี ท่โี ลกได้รบั เท่ากับพลังงานเฉลี่ยทโ่ี ลก ปฏบิ ัตเิ พือ่ ลดกจิ กรรมของมนษุ ยท์ สี่ ง่ ผลต่อ ปลดปลอ่ ยกลบั สอู่ วกาศทาํ ให้เกดิ สมดลุ พลงั งาน การเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศโลก ของโลกสง่ ผลใหอ้ ุณหภูมเิ ฉลี่ยของโลกในแตล่ ะปี คอ่ นข้างคงทีแ่ ละมีลักษณะภูมิอากาศท่ไี ม่เปล่ียน แปลงหากสมดลุ พลังงานของโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ไปจะทําใหอ้ ุณหภมู เิ ฉลี่ยของโลกและภมู อิ ากาศเกิด การเปล่ียนแปลงได้เน่ืองจากปจั จัยหลายประการท้งั ปจั จยั ทีเ่ กิดขึน้ ตามธรรมชาติและการกระทาํ ของ มนษุ ย์ เช่น แก๊สเรอื นกระจก ลกั ษณะผิวโลกและ ละอองลอย หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หนา้ 72 ชัน้ ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.6 มนษุ ยม์ ีส่วนช่วยในการชะลอการเปลย่ี น แปลง ภมู อิ ากาศโลกได้โดยการลดกิจกรรมทท่ี าํ ให้เกดิ การ เปลี่ยนแปลงสมดุลพลังงานเชน่ ลดการปลดปลอ่ ย แก๊สเรอื นกระจกและละอองลอย 14. แปลความหมายสัญลกั ษณ์ลมฟา้ อากาศที่ แผนท่อี ากาศผวิ พน้ื แสดงข้อมูลการตรวจอากาศ สําคญั จากแผนท่ีอากาศและนําข้อมลู สารสนเทศ ในรูปแบบสญั ลักษณห์ รอื ตัวเลข เชน่ บริเวณความ ตา่ งๆ มาวางแผนการดาํ เนนิ ชีวิตใหส้ อดคล้องกับ กดอากาศสูง หยอ่ มความกดอากาศตํ่าพายุหมุนเขต สภาพลมฟา้ อากาศ ร้อน รอ่ งความกดอากาศตา่ํ การแปลความหมาย สญั ลักษณล์ มฟ้าอากาศทาํ ใหท้ ราบลกั ษณะลมฟ้า อากาศ ณ บรเิ วณหนงึ่ การแปลความหมายสญั ลักษณท์ ป่ี รากฏบนแผนท่ี อากาศ ร่วมกับข้อมลู สารสนเทศตา่ งๆ เช่น โปรแกรม ประยุกตเ์ กี่ยวกับการพยากรณ์อากาศ เรดารต์ รวจ อากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม สามารถนาํ มาวางแผน การดําเนินชีวติ ให้สอดคลอ้ งกบั สภาพลมฟา้ อากาศ เช่น การเลือกชว่ งเวลาในการเพาะปลูกใหส้ อดคล้อง กับฤดกู าลการเตรียมพรอ้ มรับมอื สภาพอากาศ แปรปรวน หลกั สตู รกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 73 สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เขา้ ใจแนวคิดหลกั ของเทคโนโลยีเพอ่ื การดํารงชีวิตในสังคมทมี่ กี ารเปลยี่ นแปลง อย่างรวดเร็ว ใชค้ วามรู้และทกั ษะทางดา้ นวิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ และศาสตร์อนื่ ๆ เพอ่ื แก้ปญั หาหรอื พัฒนางานอยา่ งมีความคิดสร้างสรรคด์ ้วยกระบวนการออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เลือกใชเ้ ทคโนโลยีอยา่ ง เหมาะสมโดยคาํ นงึ ถงึ ผลกระทบตอ่ ชีวิต สังคมและสิ่งแวดลอ้ ม ชนั้ ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.4 1. วเิ คราะหแ์ นวคดิ หลักของเทคโนโลยี ระบบทางเทคโนโลยี เป็นกลมุ่ ของสว่ นต่างๆ ตง้ั แต่ ม.4 ความสมั พันธ์กบั ศาสตร์อน่ื โดยเฉพาะ สองส่วนขึน้ ไปประกอบเข้าด้วยกันและทํางานรว่ มกนั วทิ ยาศาสตร์หรอื คณิตศาสตร์ รวมท้ังประเมนิ เพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยในการทาํ งานของระบบ ผลกระทบท่จี ะเกดิ ขึ้นต่อมนุษย์ สังคม ทางเทคโนโลยจี ะประกอบไปด้วยตวั ป้อน (input) เศรษฐกจิ และส่งิ แวดล้อม เพือ่ เป็นแนวทาง กระบวนการ (process) และผลผลิต (output) ที่ ในการพฒั นาเทคโนโลยี สมั พนั ธก์ ันนอกจากนี้ระบบทางเทคโนโลยอี าจมีข้อมลู ยอ้ นกลบั (feedback) เพื่อใช้ปรับปรงุ การทํางานได้ ตามวัตถปุ ระสงค์ โดยระบบทางเทคโนโลยอี าจมีระบบ ย่อยหลายระบบ (sub-systems) ท่ที ํางานสมั พนั ธ์กัน อยแู่ ละหากระบบยอ่ ยใดทาํ งานผดิ พลาดจะส่งผลต่อ การทาํ งานของระบบอืน่ ดว้ ย เทคโนโลยมี กี ารเปล่ยี นแปลงตลอดเวลาตงั้ แตอ่ ดตี จนถึงปัจจุบนั ซงึ่ มสี าเหตุหรือปัจจยั มาจากหลายด้าน เชน่ ปัญหาความต้องการ ความก้าวหน้าของศาสตร์ ต่างๆเศรษฐกิจ สังคม วฒั นธรรม ส่ิงแวดลอ้ ม 2. ระบุปัญหาหรอื ความตอ้ งการทีม่ ีผล กระทบ ปญั หาหรอื ความต้องการที่มีผลกระทบตอ่ สงั คม ต่อสงั คม รวบรวม วเิ คราะหข์ อ้ มูลและแนวคิด เช่น ปญั หาดา้ นการเกษตร อาหาร พลังงาน ทเี่ กี่ยวข้องกบั ปญั หาท่ีมคี วามซบั ซ้อน เพอ่ื การขนสง่ สขุ ภาพและการแพทย์ การบริการ ซึง่ แต่ สังเคราะหว์ ธิ ีการ เทคนิคในการแกป้ ัญหา ละดา้ นอาจมีได้หลากหลายปญั หา โดยคํานึงถึงความถกู ต้องดา้ นทรัพยส์ ินทาง การวิเคราะห์สถานการณ์ปญั หาโดยอาจใช้เทคนิค ปญั ญา หรือวิธกี ารวิเคราะหท์ ี่หลากหลายชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจเงอื่ นไข และกรอบของปญั หาไดช้ ัดเจน จากน้ันดําเนนิ การสบื ค้น รวบรวมขอ้ มูลความรจู้ ากศาสตรต์ ่างๆ ทเ่ี ก่ียวข้องเพอ่ื นาํ ไปสูก่ ารออกแบบแนวทางการแก้ ปัญหา 3. ออกแบบวิธกี ารแก้ปญั หาโดยวิเคราะห์ การวเิ คราะห์ เปรยี บเทียบและตดั สินใจเลอื กข้อมลู เปรียบเทียบและตดั สินใจเลือกขอ้ มูลท่จี าํ เปน็ ท่จี ําเป็น โดยคาํ นงึ ถงึ ทรพั ยส์ ินทางปัญญาเง่อื นไขและ ภายใตเ้ งอื่ นไขและทรพั ยากรทม่ี ีอยนู่ ําเสนอ ทรพั ยากร เช่น งบประมาณ เวลา ข้อมูลและสารสนเทศ แนวทางการแกป้ ญั หาใหผ้ อู้ น่ื เขา้ ใจด้วยเทคนคิ วัสดุ เครื่องมอื และอปุ กรณ์ ช่วยให้ได้แนวทางการแก้ หรอื วธิ ีการท่หี ลากหลายโดยใชซ้ อฟตแ์ วร์ชว่ ย ปญั หาทีเ่ หมาะสม ในการออกแบบวางแผนข้ันตอนการทํางาน การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาทําได้หลากหลาย และดาํ เนนิ การแก้ปัญหา วธิ ี เช่น การรา่ งภาพ การเขยี นแผนภาพ การเขียน ผงั งาน ซอฟตแ์ วร์ชว่ ยในการออกแบบและนาํ เสนอ มี หลากหลายชนดิ จึงตอ้ งเลอื กใช้ให้เหมาะกบั งาน หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หน้า 74 ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.4 การกําหนดข้นั ตอนและระยะเวลาในการทาํ งาน ก่อนดําเนนิ การแก้ปัญหาจะช่วยให้การทํางาน สาํ เรจ็ ไดต้ ามเปา้ หมาย และลดข้อผดิ พลาดของ การทํางานทอี่ าจเกดิ ขึ้น 4. ทดสอบ ประเมินผล วเิ คราะห์และใหเ้ หตุผล การทดสอบและประเมนิ ผลเป็นการตรวจสอบ ของปญั หาหรอื ขอ้ บกพร่องที่เกดิ ขึน้ ภายใตก้ รอบ ชิ้นงานหรอื วิธกี ารวา่ สามารถแก้ปัญหาไดต้ าม เง่ือนไข หาแนวทางการปรบั ปรุงแก้ไขและนาํ วัตถปุ ระสงคภ์ ายใต้กรอบของปัญหา เพ่ือหา เสนอผลการแก้ ปญั หา พรอ้ มทงั้ เสนอแนวทาง ขอ้ บกพร่องและดําเนนิ การปรบั ปรงุ โดยอาจ การพฒั นาต่อยอด ทดสอบซ้าํ เพอ่ื ให้สามารถแก้ไขปญั หาได้อยา่ งมี ประสทิ ธภิ าพ การนําเสนอผลงานเป็นการถ่ายทอดแนว คดิ เพ่อื ใหผ้ ู้อ่นื เขา้ ใจเกย่ี วกับกระบวนการทาํ งานและ ชน้ิ งานหรือวธิ กี ารท่ีได้ ซง่ึ สามารถทาํ ได้หลายวิธี เช่น การทาํ แผ่นนําเสนอผลงาน การจดั นทิ รรศการ การนําเสนอผา่ นส่ือออนไลน์หรือการนาํ เสนอตอ่ ภาคธุรกิจ เพอ่ื การพฒั นาต่อยอดสู่งานอาชพี 5. ใชค้ วามรูแ้ ละทกั ษะเกีย่ วกับวัสดุอุปกรณ์ วสั ดแุ ตล่ ะประเภทมีสมบัติแตกตา่ งกนั เช่น ไม้ เคร่อื งมือ กลไกไฟฟ้าและอเิ ล็กทรอนิกส์และ สังเคราะห์ โลหะ จึงตอ้ งมีการวเิ คราะหส์ มบตั ิ เทคโนโลยที ี่ซบั ซ้อนในการแก้ปัญหาหรอื พฒั นา เพอ่ื เลือกใชใ้ ห้เหมาะสมกบั ลกั ษณะของงาน งานได้อย่างถูกตอ้ งเหมาะสมและปลอดภัย การสร้างช้นิ งานอาจใช้ความรู้ เรื่องกลไกไฟฟา้ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ เชน่ LDR sensor เฟือง รอก คาน วงจรสําเรจ็ รูป อุปกรณแ์ ละเคร่อื งมือในการสร้างชนิ้ งานหรอื พฒั นาวิธีการมีหลายประเภท ตอ้ งเลือกใชใ้ ห้ ถกู ต้อง เหมาะสมและปลอดภยั รวมทั้งรจู้ กั เกบ็ รักษา ม.5 1. ประยุกต์ใชค้ วามรู้และทกั ษะจากศาสตรต์ ่างๆ การทาํ โครงงาน เปน็ การประยกุ ตใ์ ช้ความรู้ รวมท้ังทรัพยากรในการทาํ โครงงานเพื่อแกป้ ัญหา และทักษะจากศาสตรต์ า่ งๆรวมทั้งทรพั ยากรใน หรือพฒั นางาน การสร้างหรือพัฒนาชิน้ งาน หรอื วิธกี าร เพอ่ื แก้ปัญหาหรอื อาํ นวยความสะดวกในการทํางาน การทาํ โครงงานการออกแบบและเทคโนโลยี สามารถดําเนินการได้ โดยเร่มิ จากการสํารวจ สถานการณป์ ญั หาท่ีสนใจเพื่อกําหนดหวั ขอ้ โครงงาน แลว้ รวบรวมข้อมูลและแนวคิดท่ีเกีย่ วขอ้ ง กับปัญหาออกแบบแนวทางการแกป้ ญั หาวางแผน และดาํ เนนิ การแก้ปัญหา ทดสอบประเมินผล ปรบั ปรงุ แก้ไขวธิ กี ารแก้ปัญหาหรอื ชน้ิ งานและ นําเสนอวธิ ีการแกป้ ญั หา ม.6 - - หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 75 สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคดิ เชงิ คํานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชวี ิตจริงอย่างเปน็ ข้ันตอน และเปน็ ระบบใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารในการเรยี นรู้ การทาํ งาน และการแก้ปัญหาได้อยา่ ง มปี ระสิทธิภาพ ร้เู ทา่ ทันและมีจรยิ ธรรม ช้ัน ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.4 1. ประยกุ ต์ใชแ้ นวคิดเชงิ คาํ นวณในการพัฒนา การพัฒนาโครงงาน ม.5 โครงงานทม่ี กี ารบูรณาการกับวิชาอน่ื อยา่ ง การนําแนวคดิ เชิงคาํ นวณไปพัฒนาโครงงานที่ สรา้ งสรรค์ และเชือ่ มโยงกบั ชีวิตจริง เกี่ยวกับชีวติ ประจาํ วนั เชน่ การจัดการพลงั งาน 1. รวบรวมวิเคราะหข์ ้อมูล และใช้ความรดู้ า้ น อาหาร การเกษตร การตลาด การค้าขาย การทํา วทิ ยาการคอมพิวเตอร์ ส่อื ดิจิทัล เทคโนโลยี ธุรกรรมสขุ ภาพและสิง่ แวดลอ้ ม สารสนเทศในการแก้ปญั หาหรอื เพม่ิ มูลค่าใหก้ บั ตวั อยา่ งโครงงาน เช่น ระบบดูแลสุขภาพระบบ บริการหรือผลิตภณั ฑ์ทีใ่ ช้ในชีวติ จริงอยา่ ง อัตโนมัติควบคุมการปลกู พชื ระบบจดั เส้นทางการ สรา้ งสรรค์ ขนสง่ ผลผลิต ระบบแนะนาํ การใชง้ านห้องสมดุ ท่ีมี การโตต้ อบกับผใู้ ชแ้ ละเชื่อมตอ่ กบั ฐานข้อมลู การนาํ ความรดู้ า้ นวิทยาการคอมพวิ เตอร์ ส่อื ดิจิทลั และเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้แก้ปัญหา กับชีวิตจรงิ การเพม่ิ มลู คา่ ให้บรกิ ารหรือผลิตภัณฑ์ การเก็บขอ้ มูลและการจดั เตรียมขอ้ มลู ใหพ้ รอ้ ม กบั การประมวลผล การวิเคราะหข์ ้อมูลทางสถิติ การประมวลผลข้อมลู และเครือ่ งมอื การทําข้อมลู ใหเ้ ป็นภาพ(data visualization) เช่น bar, chart, scatter, histogram การเลอื กใช้แหล่งขอ้ มูล เช่น ata.go.th,wolfram alpha, OECD.org,ตลาดหลกั ทรัพย์, world economic forum คณุ คา่ ของขอ้ มูลและกรณศี ึกษา กรณศี ึกษาและวธิ กี ารแกป้ ญั หา ตัวอย่างปัญหา เชน่ - รปู แบบของบรรจุภัณฑท์ ่ดี งึ ดูดความสนใจและ ตรงตามความตอ้ งการผใู้ ชใ้ นแตล่ ะประเภท - การกําหนดตําแหนง่ ปา้ ยรถเมล์เพื่อลดเวลา เดินทางและปญั หาการจราจร - สํารวจความตอ้ งการรับประทานอาหารใน ชุมชนและเลือกขายอาหารทีจ่ ะไดก้ ําไรสงู สดุ - ออกแบบรายการอาหาร 7 วัน สาํ หรับผู้ปว่ ย เบาหวาน หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 76 ชั้น ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.6 1. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในการนาํ เสนอและ การนาํ เสนอและแบง่ ปนั ขอ้ มูล เชน่ การเขยี น แบง่ ปนั ข้อมลู อยา่ งปลอดภัยมีจรยิ ธรรมและ บล็อก อัปโหลดวิดโี อ ภาพอินโฟกราฟิก วเิ คราะห์การเปล่ยี นแปลงเทคโนโลยีสารสนเทศที่ การนําเสนอและแบง่ ปนั ข้อมลู อย่างปลอดภยั มีผลตอ่ การดาํ เนนิ ชีวติ อาชีพสังคมและวัฒนธรรม เช่น ระมัดระวงั ผลกระทบท่ีตามมา เม่ือมีการแบ่งปนั ข้อมลู หรอื เผยแพรข่ อ้ มูล ไม่สร้างความเดอื ดรอ้ น ต่อตนเองและผอู้ ืน่ จรยิ ธรรมในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ เทคโนโลยีเกิดใหม่ แนวโน้มในอนาคต การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี นวตั กรรมหรอื เทคโนโลยดี ้านต่างๆทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับ ชวี ิตประจําวัน อาชีพเก่ยี วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศ ผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศต่อการ ดาํ เนนิ ชีวิต อาชพี สังคมและวัฒนธรรม หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 77 วทิ ยาศาสตร์เพม่ิ เติม เรียนรอู้ ะไรในวิทยาศาสตรเ์ พิม่ เตมิ วทิ ยาศาสตรเ์ พิ่มเตมิ ผเู้ รียนจะไดเ้ รียนรู้สาระสําคัญ ดังนี้ ✧ ชีววิทยา เรียนรู้เกี่ยวกับการศึกษาชีววิทยา สารที่เป็นองค์ประกอบของส่ิงมีชีวิต เซลล์ของ สิ่งมีชีวิต พันธุกรรมและการถ่ายทอด วิวัฒนาการ ความหลากหลายทางชีวภาพ โครงสร้างและการทํา งานของส่วนต่างๆ ในพืชดอก ระบบและการทํางานในอวัยวะต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์และส่ิงมีชีวิตและ ส่งิ แวดล้อม ✧ เคมี เรยี นร้เู กีย่ วกับปริมาณสาร องค์ประกอบและสมบตั ิของสารการเปล่ียนแปลงของสาร ทกั ษะและการแกป้ ญั หาทางเคมี ✧ ฟสิ ิกส์ เรยี นรู้เกี่ยวกบั ธรรมชาตแิ ละการคน้ พบทางฟสิ กิ ส์ แรงและการเคล่ือนทแ่ี ละพลงั งาน ✧ โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ เรยี นรู้เกยี่ วกับโลกและกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณี วิทยา ขอ้ มูลทางธรณวี ิทยาและการนาํ ไปใช้ประโยชน์ การถา่ ยโอนพลงั งานความร้อนของโลก การเปล่ยี นแปลง ลักษณะลมฟา้ อากาศกับการดํารงชีวิตของมนุษย์ โลกในเอกภพ และดาราศาสตร์กบั มนุษย์ หลักสตู รกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
หนา้ 78 สาระวิทยาศาสตรเ์ พิ่มเตมิ สาระชวี วิทยา 1. เข้าใจธรรมชาตขิ องส่ิงมีชีวิต การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ สารท่ีเป็นองค์ประกอบ ของสง่ิ มีชีวิต ปฏิกิริยาเคมีในเซลล์ของส่ิงมีชีวิต กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ การลําเลียง สารเขา้ และออกจากเซลล์ การแบ่งเซลลแ์ ละการหายใจระดับเซลล์ 2. เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติและหน้าท่ีของ สารพันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐานขอ้ มูลและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ ส่ิงมีชีวิต ภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก การเกิดสปีชีส์ใหม่ ความหลากหลายทางชีวภาพ กําเนิดของ สง่ิ มีชีวติ ความหลากหลายของส่ิงมชี วี ิตและอนกุ รมวธิ าน รวมทัง้ นาํ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ 3. เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายนํ้าของพืช การลําเลียงของพืช การสังเคราะห์ ด้วยแสง การสบื พันธข์ุ องพืชดอกและการเจริญเติบโตและการตอบสนองของพชื รวมทั้งนําความรู้ไปใช้ประโยชน์ 4. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์และมนษุ ย์ รวมท้ังการหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊ส การลําเลียง สารและการหมุนเวียนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การรับรู้และการตอบสนอง การเคลื่อนที่ การสืบพันธุ์และการเจริญเติบโต ฮอร์โมนกับการรักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์รวมท้ังนําความรู้ ไปใชป้ ระโยชน์ 5. เข้าใจแนวคิดเกยี่ วกบั ระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลงั งานและการหมุนเวยี นสารในระบบ นิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปล่ียนแปลงแทนท่ีของสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศ ประชากรและรูปแบบ การเพม่ิ ของประชากร ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม ปัญหาและผลกระทบทเ่ี กดิ จากการใช้ประโยชน์ และแนวทางการแกไ้ ขปญั หา สาระเคมี 1. เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ สมบัตขิ องธาตุ พันธะเคมีและสมบตั ิของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบอินทรีย์และพอลิเมอร์ รวมท้ังการนําความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี ปริมาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยาเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมี สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส ปฏิกิริยารีดอกซ์และเซลล์เคมี ไฟฟ้ารวมทั้งการนํา ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 3. เข้าใจหลักการทําปฏิบตั ิการเคมี การวัดปริมาณสาร หนว่ ยวัดและการเปลี่ยนหน่วย การคํานวณ ปริมาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทง้ั การบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบายปรากฏการณ์ ในชีวิตประจําวันและการแกป้ ัญหาทางเคมี สาระฟสิ กิ ส์ 1. เข้าใจธรรมชาติ ทางฟิสิกส์ ปริมาณและกระบวนการวัด การเคลื่อนที่แนวตรง แรงและกฎ การเคล่ือนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทาน สมดุลกลของวัตถุ งานและกฎการอนุรักษ์ พลงั งานกล โมเมนตมั และกฎการอนรุ ักษ์โมเมนตมั การเคลื่อนท่ีแนวโคง้ รวมทั้งนาํ ความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ หลักสตู รกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หน้า 79 2. เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนกิ สอ์ ย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่นเสียงและการได้ยินปรากฏการณ์ ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสงและการเหน็ ปรากฏการณ์ที่เกยี่ วขอ้ งกบั แสง รวมทง้ั นาํ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ 3. เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าและกฎ ของโอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟ้าและกําลังไฟฟ้า การเปลี่ยนพลังงานทดแทนเป็นพลังงาน ไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กท่ีกระทํากับประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า การเหนี่ยวนําแม่เหล็กไฟฟ้า และกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลบั คลนื่ แม่เหล็กไฟฟา้ และการส่ือสาร รวมทั้งนาํ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ 4. เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสารสภาพยืดหยุ่น ของวัสดุและมอดุลัสของยังความดันในของไหล แรงพยุงและหลักของอาร์คิมีดีส ความตึงผิวและแรงหนืด ของของเหลวของไหลอุดมคติและสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติและพลังงาน ในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาคกัมมันตภาพรังสี แรงนวิ เคลียร์ ปฏกิ ริ ยิ านวิ เคลียร์ พลงั งานนิวเคลียร์ ฟสิ กิ สอ์ นภุ าครวมทงั้ นําความร้ไู ปใช้ประโยชน์ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ 1. เข้าใจกระบวนการเปล่ียนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติ ภัยและผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม การศกึ ษาลําดับชั้นหิน ทรพั ยากรธรณี แผนทแี่ ละการนาํ ไปใชป้ ระโยชน์ 2. เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวียนของอากาศบนโลก การหมุนเวียนของนํ้าในมหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลกและผลต่อสง่ิ มีชวี ิตและสิ่งแวดล้อม รวมท้ังการพยากรณ์อากาศ 3. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิดและวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กับมนุษย์จากการศึกษาตําแหน่งดาวบนทรงกลมฟ้าและ ปฏสิ มั พันธ์ภายในระบบสุรยิ ะรวมทง้ั การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยีอวกาศ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 80 คุณภาพผู้เรียน ผู้เรยี นที่เรียนครบทกุ ผลการเรียนรู้ มีคุณภาพดงั น้ี ❖ เข้าใจวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหาคําตอบเก่ียวกับส่ิงมชี ีวิต สารท่ีเป็นองค์ประกอบของ ส่ิงมีชีวิต และปฏิกิริยาเคมีภายในเซลล์ การใช้กล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าท่ีของเซลล์การลําเลียง สารเข้าและออกจากเซลล์ การแบ่งเซลลแ์ ละการหายใจระดบั เซลล์ ❖ เข้าใจหลักการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของส่ิงมีชีวิต การถ่ายทอดยีนบนออโตโซมและ โครโมโซมเพศ โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ การจําลองดีเอ็นเอ กระบวนการสังเคราะห์ โปรตีน การเกิดมิวเทชันในส่ิงมีชวี ิต หลักการและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลักฐานและข้อมูล ที่ใช้ในการศึกษา วิวัฒนาการของส่ิงมีชีวิต แนวคิดเก่ียวกับวิวัฒนาการของส่ิงมีชีวติ เง่ือนไขของภาวะสมดุล ของฮาร์ดีไวน์เบิร์ก กระบวนการเกิดสปีชสี ์ใหมข่ องสงิ่ มชี ีวติ ความหลากหลายทางชีวภาพ กําเนิดของสิ่งมีชวี ติ ลกั ษณะสําคัญของส่ิงมีชีวิตกลมุ่ แบคทีเรีย โพรทิสต์ พืช ฟังไจและสัตว์ การจําแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ และวธิ ีการเขียนชอื่ วทิ ยาศาสตร์ ❖ เข้าใจโครงสร้างและส่วนประกอบของพืชท้ังราก ลําต้นและใบ การแลกเปลี่ยนแก๊ส การคายนํ้า การลําเลียงนํ้าและธาตุอาหาร การลําเลียงอาหาร การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช กระบวนการสร้างเซลล์ สืบพันธ์ุและการปฏิสนธิของพืชดอก การเกิดผลและเมล็ด บทบาทของสาร ควบคุมการเจริญเติบโตของ พชื และการประยกุ ต์ใช้และการตอบสนองของพชื ❖ เข้าใจกลไกการรักษาดุลยภาพของส่ิงมีชีวิต โครงสร้าง หน้าท่ีและกระบวนการต่างๆ ของสัตว์ และมนุษย์ ได้แก่ การย่อยอาหาร การแลกเปลี่ยนแก๊ส การเคล่ือนท่ี การกําจัดของเสียออก จากร่างกาย ของส่ิงมีชีวิต ระบบหมุนเวียนเลือด ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายของมนุษย์ การทํางานของระบบประสาท และอวยั วะรับความรสู้ ึก ระบบสืบพันธ์ุ การปฏสิ นธิ การเจรญิ เติบโต ฮอรโ์ มนและพฤตกิ รรมของสตั ว์ ❖ เข้าใจกระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการหมุนเวียนสารในระบบนิเวศ ความหลากหลายของ ไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีแบบต่างๆ ในระบบนิเวศ การเปล่ียนแปลงจํานวนประชากรมนุษย์ในระดับ ท้องถน่ิ ระดับประเทศและระดับโลก แนวทางการป้องกันและแก้ไขปญั หาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ❖ เข้าใจการศึกษาโครงสร้างอะตอมของนักวิทยาศาสตร์ การจัดเรียงอิเลก็ ตรอนในอะตอมสมบัติ บางประการของธาตุและการจัดเรียงธาตุในตารางธาตุ พันธะเคมี สมบัติของสารที่มีความสัมพันธ์กับพันธะ เคมี กฎต่างๆของแก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบตั ิของสารประกอบอินทรยี ์และประเภทและสมบัติ ของพอลิเมอร์ ❖ เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมี การคํานวณปรมิ าณสารต่างๆ ท่ีเก่ียวข้องกับปฏิกิรยิ าเคมี อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีและปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี สมดุลในปฏิกิริยาเคมีและปัจจัย ที่มีผลต่อสมดุลเคมี ทฤษฎีกรด-เบส สมบัติและปฏิกิริยาของกรด-เบส สารละลายบัฟเฟอร์ปฏิกิริยารีดอกซ์ และเซลลเ์ คมีไฟฟา้ ❖ เข้าใจข้อปฏิบัติเบ้ืองต้นเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทําปฏิบัติการเคมี การเลือกใช้อุปกรณ์ หรอื เครือ่ งมอื ในการทําปฏบิ ัตกิ าร หน่วยวัดและการเปลีย่ นหน่วยวดั ดว้ ยการใชแ้ ฟกเตอร์เปล่ยี นหน่วย การคํานวณเกี่ยวกับมวลอะตอม มวลโมเลกุลและมวลสูตร ความสัมพันธ์ของโมล จํานวนอนุภาค มวลและ ปริมาตรของแก๊สที่ STP การคํานวณสูตรอย่างง่ายและสูตรโมเลกุลของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หน้า 81 การเตรียมสารละลาย และการบูรณาการความรู้และทักษะในการอธิบายปรากฏการณ์ในชีวิตประจําวัน และการแก้ปัญหาทางเคมี ❖ เขา้ ใจธรรมชาติของฟิสิกส์ กระบวนการวัด ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณที่เก่ียวขอ้ งกับการเคลื่อนท่ี การเคลอ่ื นทีใ่ นแนวตรง แรงลัพธ์ กฎการเคลือ่ นท่ี แรงเสียดทาน กฎความโนม้ ถ่วงสากล ส น า ม โ น้ ม ถ่ ว ง งาน กฎการอนุรักษ์พลังงานกล สมดุลกลของวัตถุ เครื่องกลอย่างง่าย โมเมนตัมและการดุล กฎการอนุรักษ์ โมเมนตมั การชนและการเคลอื่ นทีใ่ นแนวโคง้ ❖ เข้าใจการเคลื่อนที่แบบคลื่นปรากฏการณ์คล่ืน การสะท้อน การหักเห การเลี้ยวเบนและ การแทรกสอด หลักการของฮอยเกนส์ การเคล่ือนท่ีของคล่ืนเสียง ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียง ความเข้ม เสียงและระดับเสียง การได้ยิน ภาพท่ีเกิดจากกระจกเงาและเลนส์ ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับแสงและ การมองเหน็ แสงสี ❖ เข้าใจสนามไฟฟ้า แรงไฟฟ้า กฎของคูลอมบ์ ศักย์ไฟฟ้า ตัวเก็บประจุ ตัวต้านทานและกฎของ โอห์ม พลังงานไฟฟ้า การเปล่ียนพลังงานทดแทนเปน็ พลังงานไฟฟ้า เทคโนโลยีด้านพลังงาน สนามแม่เหล็ก ความสัมพันธ์ระหว่างสนามแม่เหล็กกับกระแสไฟฟ้า การเหน่ียวนําแม่เหล็กไฟฟ้า ไฟฟ้ากระแสสลับ คล่ืน แมเ่ หล็กไฟฟา้ และประโยชน์ของคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ ❖ เข้าใจผลของความร้อนต่อสสาร สภาพยืดหยุ่น ความดันในของไหล แรงพยุงของไหลอุดมคติ ทฤษฎีจลน์ของแก๊ส แนวคิดควอนตัมของพลังงาน ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก ทวิภาวะของคล่ืนและอนุภาค การสลายของนวิ เคลยี สกัมมนั ตรังสี กัมมันตภาพ ปฏิกิริยา นิวเคลียร์ พลังงานนิ วเคลยี ร์ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งมวลและพลังงาน แรงภายในนิวเคลียสและการคน้ ควา้ วจิ ัยด้านฟิสกิ สอ์ นุภาค ❖ เข้าใจการแบ่งชั้นและสมบัติของโครงสร้างโลก สาเหตุและรูปแบบการเคล่ือนท่ีของแผ่นธรณี ที่สัมพันธ์กับการเกิดลักษณะธรณีสัณฐานและธรณีโครงสร้างแบบต่างๆ หลักฐานทางธรณีวิทยาที่พบใน ปจั จบุ ันและการลาํ ดบั เหตุการณ์ทางธรณีวิทยาในอดีต สาเหตุ กระบวนการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด สึนามิ ผลกระทบ แนวทางการเฝ้าระวังและการปฏิบัติตนให้ปลอดภัย สมบัติและการจําแนกชนิดของแร่ กระบวนการเกิดและการจําแนกชนิดหิน กระบวนการเกิดและการสํารวจแหล่งปิโตรเลียมและถ่านหิน การแปลความหมายจากแผนท่ี ภมู ิประเทศและแผนท่ีธรณีวทิ ยาและการนาํ ขอ้ มูลทางธรณีวิทยาไปใช้ประโยชน์ ❖ เขา้ ใจปจั จยั สาํ คญั ทีม่ ีผลตอ่ การรบั และปลดปลอ่ ยพลงั งานจากดวงอาทิตย์กระบวนการทที่ ํา ให้เกิดสมดุลพลังงานของโลก ผลของแรงเนื่องจากความแตกต่างของความกดอากาศ แรงคอริออลสิ แรง สู่ศูนย์กลาง และแรงเสียดทานท่ีมีต่อการหมุนเวียนของอากาศการหมุนเวียนของอากาศตามเขตละติจูด และผลท่ีมีต่อภูมิอากาศปัจจัยท่ีทําให้เกิดการแบ่งช้ันน้ํา และการหมุนเวียนของนํ้าในมหาสมุทร รูปแบบ การหมุนเวียนของน้ําในมหาสมุทร และผลของการหมุนเวียนของนํ้าในมหาสมุทรท่ีมีต่อลักษณะลม ฟ้า อากาศ ส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างเสถียรภาพอากาศและการเกิดเมฆ การเกิดแนว ปะทะอากาศแบบต่างๆ และลักษณะลมฟ้าอากาศที่เก่ียวข้องปัจจัยต่างๆ ท่ีมีผลต่อการเปล่ียนแปลง ภูมิอากาศของโลก รวมท้ังการแปลความหมายสัญลักษณ์ลมฟ้าอากาศ และการพยากรณ์ลักษณะลมฟ้า อากาศเบือ้ งตน้ จากแผนที่อากาศและขอ้ มูลสารสนเทศ ❖ เข้าใจการกําเนิดและการเปล่ียนแปลงพลังงาน สสาร ขนาดอุณหภูมิของเอกภพหลักฐานที่ สนับสนุนทฤษฎีบิกแบง ประเภทของกาแล็กซี โครงสร้างและองค์ประกอบของกาแล็กซีทางช้างเผือก กระบวนการเกิดดาวฤกษ์และการสร้างพลังงานของดาวฤกษ์ ปัจจัยท่ีส่งผลต่อความส่องสว่างของดาวฤกษ์ และความสัมพันธ์ระหว่างความส่องสว่างกับโชติมาตรของดาวฤกษ์ ความสัมพันธ์ระหว่างสี อุณหภูมิผิว หลักสูตรกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หน้า 82 และสเปกตรัมของดาวฤกษ์ วิธีการหาระยะทางของดาวฤกษ์ ด้วยหลักการแพรัลแลกซ์ วิวัฒนาการและ การเปล่ยี นแปลง สมบัติบางประการของดาวฤกษ์ กระบวนการเกิดระบบสุริยะ การแบ่งเขตบริวารของ ดวงอาทิตย์ ลักษณะของดาวเคราะห์ท่ีเอ้ือต่อการดํารงชีวิต การโคจรของดาวเคราะห์รอบดวงอาทิตย์ด้วย กฎเคพเลอร์ และกฎความโน้มถ่วงของนิวตัน โครงสร้างของดวงอาทิตย์ การเกิดลมสุริยะ พายุสุริยะและ ผลท่ีมีต่อโลก การระบุพิกัดของดาวในระบบขอบฟ้าและระบบศูนย์สูตร เส้นทางการขึ้นการตกของดวง อาทิตย์และดาวฤกษ์ เวลาสุริยคติ และการเปรียบเทียบเวลาของแต่ละเขตเวลาบนโลก การสํารวจอวกาศ และการประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยีอวกาศ ❖ ระบุปัญหา ต้ังคําถามท่ีจะสํารวจตรวจสอบ โดยมีการกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ สืบค้นข้อมูลจากหลายแหล่ง ต้ังสมมติฐานท่ีเป็นไปได้หลายแนวทาง ตัดสินใจเลือกตรวจสอบสมมติฐานที่ เปน็ ไปได้ ❖ ต้ังคําถามหรือกําหนดปัญหาท่ีอยู่บนพื้นฐานของความรู้ และความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ที่ แสดงให้เห็นถึงการใช้ความคิดระดับสูงท่ีสามารถสํารวจตรวจสอบ หรือศึกษาค้นคว้าได้อย่างครอบคลุม และเช่ือถือได้ สร้างสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับหรือคาดการณ์สิ่งที่จะพบ เพ่ือนําไปสู่การสํารวจตรวจสอบ ออกแบบวิธีการสํารวจตรวจสอบตามสมมติฐานท่ีกําหนดไว้ได้อย่างเหมาะสม มีหลักฐาน เชิงประจักษ์ เลือกวัสดุ อุปกรณ์ รวมท้ังวิธีการในการสํารวจตรวจสอบอย่างถูกต้องท้ังในเชิงปริมาณและคุณภาพและ บนั ทกึ ผลการสํารวจตรวจสอบอย่างเปน็ ระบบ ❖ วิเคราะห์ แปลความหมายข้อมูลและประเมินความสอดคล้องของข้อสรุปเพื่อตรวจสอบกับ สมมติฐานท่ีตั้งไว้ ให้ข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงวิธีการสํารวจตรวจสอบ จัดกระทําข้อมูลและนําเสนอข้อมูล ด้วยเทคนิควิธีท่ีเหมาะสม ส่ือสารแนวคิด ความรู้จากผลการสํารวจตรวจสอบ โดยการพูด เขียน จัดแสดง หรือใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศเพอื่ ให้ผ้อู ่ืนเข้าใจ โดยมีหลกั ฐานอา้ งอิงหรือมีทฤษฎีรองรับ ❖ แสดงถึงความสนใจ มุ่งม่ัน รับผิดชอบ รอบคอบและซ่ือสัตย์ ในการสืบเสาะหาความรู้โดยใช้ เคร่ืองมือและวิธีการที่ให้ได้ผลถูกต้อง เช่ือถือได้ มีเหตุผลและยอมรับได้ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์อาจมี การเปล่ียนแปลงได้ ❖ แสดงถึงความพอใจและเห็นคุณค่าในการค้นพบความรู้ พบคําตอบหรือแก้ปญั หาได้ทํางาน ร่วม กับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ แสดงความคิดเห็นโดยมีขอ้ มลู อ้างอิงและเหตุ ผลประกอบเก่ียวกับผลของการพัฒนา และการใช้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีอย่างมีคุณธรรมต่อสังคมและส่ิงแวดลอ้ ม และยอมรับฟังความคิดเห็น ของผู้อน่ื ❖ เข้าใจความสัมพันธ์ของความรู้วิทยาศาสตร์ที่มีผลต่อการพัฒนาเทคโนโลยีประเภทต่างๆและ การพัฒนาเทคโนโลยีที่ส่งผลให้มีการคิดค้นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ท่ีก้าวหน้า ผลของเทคโนโลยีต่อชีวิต สังคมและส่ิงแวดล้อม ❖ ตระหนักถึงความสําคัญและเห็นคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่ใช้ในชีวิต ประจําวัน ใช้ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในการดํารงชีวิตและการประกอบ อาชีพ แสดงความช่ืนชม ภูมิใจ ยกย่อง อ้างอิงผลงาน ชิ้นงานท่ีเป็นผลมาจากภูมิปัญญาท้อง ถิ่นและ การพัฒนาเทคโนโลยีทท่ี ันสมยั ศกึ ษาหาความรเู้ พม่ิ เตมิ ทาํ โครงงานหรอื สร้างช้ินงานตามความสนใจ ❖ แสดงความซาบซึ้ง ห่วงใย มพี ฤติกรรมเก่ียวกบั การใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล้อม อย่างรู้คุณค่า เสนอตัวเองร่วมมือปฏิบัติกับชุมชนในการป้องกัน ดูแลทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ของท้องถิน่ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หนา้ 83 ผลการเรียนรู้และสาระการเรียนรู้เพมิ่ เตมิ สาระชวี วิทยา 1. เขา้ ใจธรรมชาตขิ องสิง่ มีชวี ิต การศกึ ษาชีววทิ ยาและวิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ สารท่ีเป็นองค์ ประกอบของสิง่ มชี วี ติ ปฏิกริ ยิ าเคมใี นเซลลข์ องสิง่ มีชวี ติ กล้องจลุ ทรรศน์ โครงสร้างและหน้าท่ีของเซลล์ การลาํ เลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์ การแบ่งเซลล์และการหายใจระดบั เซลล์ ชัน้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรูเ้ พ่มิ เตมิ ม.4 1. อธิบายและสรปุ สมบัติท่สี าํ คญั ของมชี ีวิตและ สิ่งมีชวี ติ ทกุ ชนิดตอ้ งการสารอาหารและพลงั งานมี ความสมั พันธ์ของการจัดระบบในสง่ิ มชี ีวิตท่ที ําให้ การเจริญเตบิ โต มกี ารตอบสนองต่อส่ิงเร้า มีการรักษา สงิ่ มีชวี ิตดํารงชวี ติ อยู่ได้ ดลุ ยภาพของรา่ งกาย มีการสบื พันธมุ์ กี ารปรบั ตัวทาง วิวฒั นาการและมกี ารทํางานรว่ มกันขององคป์ ระกอบ ตา่ งๆอย่างเปน็ ระบบส่งิ เหล่าน้จี ัดเปน็ สมบัตทิ สี่ าํ คัญ ของสง่ิ มีชวี ติ การจัดระบบในส่ิงมชี วี ติ เริม่ จากหนว่ ยเลก็ ไปหนว่ ย ใหญ่ ได้แก่ เซลล์ เน้ือเยอ่ื อวัยวะระบบ อวยั วะและ ส่ิงมีชีวติ ตามลาํ ดับ 2. อภปิ รายและบอกความสาํ คญั ของการระบปุ ญั หา วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ในการคน้ หาคําตอบเกี่ยวกบั ความสมั พนั ธร์ ะหว่างปญั หาสมมตฐิ าน และวธิ ีการ สิ่งมีชีวิต เร่ิมจากการต้ังปญั หาหรอื คําถาต้งั สมมตฐิ าน ตรวจสอบสมมตฐิ านรวมทัง้ ออกแบบการทดลองเพ่ือ ตรวจสอบสมมตฐิ าน เก็บรวบรวมขอ้ มูล วเิ คราะห์ ตรวจสอบสมมตฐิ าน ข้อมูลและสรปุ ผล การศกึ ษาสิ่งมีชวี ิตตอ้ งอาศัยความรจู้ ากแขนงวิชา ตา่ งๆ ของชวี วิทยาและสาขาวิชาอืน่ ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งและ ควรคํานงึ ถงึ ชีวจรยิ ธรรม และจรรยาบรรณการใช้ สัตวท์ ดลอง 3. สืบคน้ ข้อมลู อธิบายเกย่ี วกบั สมบตั ิของนาํ้ และ สง่ิ มีชวี ิตประกอบดว้ ยธาตุ และสารประกอบใน บอกความสาํ คญั ของน้ําที่มตี ่อสิ่งมีชีวิตและยก รา่ งกายของส่ิงมชี วี ติ มนี ้าํ เปน็ องคป์ ระกอบมากท่สี ุด ตัวอยา่ งธาตุชนิดตา่ งๆท่ีมีความสําคญั ตอ่ ร่างกาย น้ําประกอบด้วยธาตไุ ฮโดรเจนและออกซิเจน มีสมบตั ิ ส่งิ มชี วี ิต ในการเป็นตวั ทาํ ละลายท่ดี ี เกบ็ ความรอ้ นได้ดีและมี ความจคุ วามรอ้ นสงู ซ่ึงชว่ ยรกั ษาดลุ ยภาพของเซลลไ์ ด้ ธาตทุ ส่ี ิง่ มชี วี ิตตอ้ งการจะอยูใ่ นรปู ของไอออนใน มนุษยแ์ ละสตั ว์ ธาตุจะชว่ ยให้การทาํ งานของระบบ ตา่ งๆในร่างกายดาํ เนนิ ไปตามปกติ นอกจากน้ีใน กระดกู ฟัน และกล้ามเนอื้ จะมธี าตเุ ป็นองค์ประกอบ ดว้ ย 4. สืบค้นขอ้ มลู อธบิ ายโครงสร้างของคารโ์ บไฮเดรต คาร์โบไฮเดรตประกอบด้วย ธาตคุ าร์บอนไฮโดรเจน ระบุกลมุ่ ของคารโ์ บไฮเดรตรวมท้ังความสาํ คัญของ และออกซิเจน แบง่ ตามขนาดโมเลกุลออกได้เปน็ 3 คาร์โบไฮเดรตทมี่ ตี อ่ สิ่งมีชีวิต กลุ่ม คือ มอโนแซ็ก คาไรด์ ไดแซ็กคาไรดแ์ ละพอลิ แซ็กคาไร 5. สบื ค้นข้อมลู อธบิ ายโครงสรา้ งของโปรตีนและ โปรตนี มกี รดอะมิโนเปน็ หน่วยย่อยประกอบด้วยธาตุ ความสําคญั ของโปรตนี ทม่ี ตี ่อสง่ิ มีชวี ิต คารบ์ อน ไฮโดรเจนออกซเิ จนและไนโตรเจน บางชนิดอาจ มีธาตุฟอสฟอรัส เหล็กและกํามะถันเปน็ องคป์ ระกอบ หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หนา้ 84 ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้เพมิ่ เตมิ 6. สืบคน้ ข้อมูล อธบิ ายโครงสร้างของลิพิดและ ลิพิดประกอบดว้ ยธาตุคาร์บอนไฮโดรเจนและออกซเิ จน ความสําคญั ของลพิ ิดท่ีมตี ่อสง่ิ มีชีวิต เปน็ สารประกอบทล่ี ะลายไดด้ ใี นตัวทําละลายท่ีเป็น สารอินทรยี ์ ลพิ ิดกลมุ่ สําคัญทพ่ี บในส่งิ มีชวี ิต เช่น กรด ไขมันไตรกลเี ซอไรด์ฟอสโฟลิพดิ สเตอรอยด 7. อธบิ ายโครงสรา้ งของกรดนิวคลอิ ิกและระบุชนดิ กรดนวิ คลิอกิ ประกอบด้วยหน่วยย่อยเรยี กวา่ นิวคลี ของกรดนวิ คลิอิกและความสาํ คัญของกรดนวิ คลิอกิ โอไทด์ โมเลกลุ ของนวิ คลโี อไทด์ประกอบดว้ ยหมู่ ทีม่ ีต่อสิ่งมชี วี ติ ฟอสเฟต นาํ้ ตาลที่มคี าร์บอน 5 อะตอมและเบสทมี่ ี ไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบ กรดนวิ คลอิ กิ เป็นองค์ประกอบของสารพนั ธุกรรมทาํ หน้าที่เก็บและถ่ายทอดข้อมลู ทางพนั ธุกรรม มี 2 ชนิด คอื DNA และRNA 10. บอกวธิ ีการและเตรียมตวั อย่างสิง่ มีชวี ติ เพ่อื กลอ้ งจุลทรรศนเ์ ป็นเครอ่ื งมอื ท่ีใช้ศกึ ษาสิง่ มชี ีวิต ศึกษาภายใตก้ ล้องจุลทรรศน์ใช้แสง วดั ขนาดโดย ขนาดเลก็ ทไ่ี มส่ ามารถเห็นได้ด้วยตาเปลา่ และราย ประมาณและวาดภาพทปี่ รากฏภายใต้กล้อง บอก ละเอยี ดโครงสรา้ งของเซลล์ วธิ กี ารใช้และการดแู ลรักษากลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สง กล้องจลุ ทรรศนใ์ ช้แสงเชิงประกอบ และกลอ้ ง ทถ่ี ูกต้องประสิทธภิ าพในการศกึ ษา กลอ้ งจลุ ทรรศน์ จุลทรรศน์ใช้แสงแบบสเตอรโิ ออาศยั เลนส์ในการทาํ ใชแ้ สงเป็นเครื่องมือทีม่ ีความละเอยี ด ซบั ซอ้ น และ ให้เกดิ ภาพขยาย ราคาคอ่ นข้างสงู จงึ ควรใชอ้ ย่างถูกวิธี มกี ารเกบ็ และ กลอ้ งจุลทรรศนอ์ ิเล็กตรอนทําให้เกิดภาพขยาย โดย ดแู ลรกั ษาที่ถูกต้อง เพอ่ื ใหส้ ามารถใช้งานได้นาน อาศัยเลนสแ์ ม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมลาํ อเิ ล็กตรอน ซ่ึงมีอยู่ ดว้ ยกนั 2 ชนดิ คือ ชนิดสอ่ งผา่ นและชนิดส่องกราด ตวั อย่างส่งิ มีชวี ิตทนี่ ํามาศกึ ษาภายใตก้ ล้อง จลุ ทรรศนใ์ ชแ้ สง ต้องมวี ิธกี ารเตรยี มทถี่ ูกตอ้ งและ เหมาะสมกบั ชนิดของสงิ่ มชี ีวติ เพือ่ ให้เกดิ ประสิทธภิ าพในการศกึ ษา กล้องจลุ ทรรศนใ์ ช้แสงเป็นเครอ่ื งมือที่มคี วามละเอียด ซับซ้อน และราคาค่อนข้างสูงจึงควรใช้อยา่ งถกู วิธี มกี าร เก็บและดูแลรักษาท่ถี ูกตอ้ ง เพื่อใหส้ ามารถใชง้ านไดน้ าน 11. อธิบายโครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของสว่ นท่หี ่อห้มุ เซลล์เป็นหน่วยพ้ืนฐานท่ีเล็กท่สี ุดของส่ิงมชี ีวติ เซลลข์ องเซลล์พชื และเซลล์สตั ว์ โครงสร้างพ้นื ฐานของเซลล์ประกอบด้วยสว่ นท่ีหอ่ หมุ้ 12. สืบค้นข้อมูล อธบิ าย และระบชุ นิดและหนา้ ท่ี เซลล์ ไซโทพลาซึมและนวิ เคลียส ของออร์แกเนลล์ ส่วนทหี่ ่อหมุ้ เซลลท์ พ่ี บในเซลลท์ กุ ชนดิ คือ เย่อื หุ้ม 13. อธบิ ายโครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของนวิ เคลียส เซลล์ แต่ในแบคทเี รีย สาหรา่ ย ฟงั ไจและพชื จะมีผนงั เซลลเ์ ปน็ ส่วนห่อห้มุ เซลลเ์ พ่มิ เตมิ ข้ึนมาอกี ชน้ั หนึ่ง โครงสร้างของเยอื่ หุม้ เซลล์ประกอบดว้ ยโมเลกุลของ ฟอสโฟลิพิดเรยี งเป็นสองชน้ั และมีโปรตนี แทรกหรือ อยทู่ ่ผี วิ ทั้งสองดา้ นของฟอสโฟลพิ ิด ไซโทพลาซมึ อยภู่ ายในเยือ่ ห้มุ เซลลป์ ระกอบด้วยไซ โทซอลและออรแ์ กเนลล์ นวิ เคลยี สเป็นศูนย์กลางควบคุมการทํางานของเซลล์ ยคู าริโอต ประกอบดว้ ยเยอื่ หุม้ ซึง่ ภายในมี DNA RNA และโปรตีนบางชนดิ หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สีประชาสรรค์
หนา้ 85 ชน้ั ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พิ่มเติม ม.4 14. อธิบายและเปรียบเทียบการแพร่ ออสโมซิส สารต่างๆ มีการเคล่อื นทเ่ี ขา้ และออกจากเซลล์อยู่ การแพรแ่ บบฟาซลิ เิ ทตและแอกทีฟทรานสปอรต์ ตลอดเวลาโดยกระบวนการต่างๆไดแ้ ก่ การแพร่ ออส โมซิส การแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต แอกทีฟทรานสปอรต์ กระบวนการเอกโซไซโทซิส กระบวนการเอนโดไซโท ซสิ 15. สบื คน้ ข้อมูล อธิบาย และเขยี นแผนภาพ แกส๊ ตา่ งๆ เขา้ หรือออกจากเซลล์โดยการแพร่ ส่วนนํา้ การลาํ เลียงสารโมเลกลุ ใหญอ่ อกจากเซลล์ด้วย เข้าหรือออกจากเซลล์ผา่ นเยอื่ หุม้ เซลล์โดยออสโมซิส กระบวนการเอกโซไซโทซสิ และการลาํ เลยี งสารโมเล ไอออนและสารบางอย่างทไ่ี มส่ ามารถลําเลยี งผา่ น กุลใหญ่เข้าสู่เซลล์ดว้ ยกระบวนการเอนโดไซโทซสิ เยือ่ หุม้ เซลล์โดยตรงไดจ้ ําเปน็ ตอ้ งอาศัยโปรตนี ทอี่ ยู่ บนเยอื่ หมุ้ เซลล์เปน็ ตัวพาสารนนั้ เข้าและออกจาก เซลล์ เรยี กวา่ การแพรแ่ บบฟาซิลเิ ทต แอกทฟี ทรานสปอรต์ เปน็ การลาํ เลียงสารจาก บริเวณทม่ี คี วามเข้มขน้ ต่ําไปยงั บรเิ วณท่ีมคี วามเข้มข้น สงู สารบางอย่างทไ่ี ม่สามารถแพร่ผา่ นเยอ่ื หุม้ เซลล์หรือ ลําเลยี งผ่านโปรตนี ทเ่ี ปน็ ตัวพาได้จะถูกลาํ เลยี งออก จากเซลล์ ดว้ ยกระบวนการเอกโซไซโทซสิ สารทีม่ ีขนาดใหญจ่ ะสามารถลาํ เลยี งเข้าสู่เซลลด์ ว้ ย กระบวนการเอนโดไซโทซสิ ซงึ่ แบ่งเปน็ 3 แบบไดแ้ ก่ พโิ นไซโทซสิ ฟาโกไซโทซิสและการนาํ สารเข้าสเู่ ซลล์ โดยอาศัยตวั รับ สารทีม่ ีขนาดใหญจ่ ะสามารถลาํ เลยี งเขา้ สู่เซลลด์ ว้ ย กระบวนการเอนโดไซโทซสิ ซง่ึ บ่งเปน็ 3แบบ ได้แก่ พโิ นไซโทซิส ฟาโกไซโทซสิ และการนาํ สารเขา้ สเู่ ซลล์ โดยอาศยั ตัวรับ 16. สงั เกตการแบง่ นิวเคลยี สแบบไมโทซสิ และแบบ การแบง่ เซลลข์ องสงิ่ มชี วี ิตเป็นการเพิม่ จาํ นวนเซลล์ ไมโอซิสจากตัวอยา่ งภายใต้กลอ้ งจุลทรรศนพ์ รอ้ ม ซง่ึ เปน็ กระบวนการที่เกิดขึน้ ตอ่ เนอื่ งกนั เป็นวัฏจักร ทงั้ อธิบายและเปรยี บเทยี บการแบ่งนวิ เคลยี สแบบ โดยวฏั จกั รของเซลลป์ ระกอบดว้ ย อนิ เตอรเ์ ฟส การ ไมโทซสิ และแบบไมโอซสิ แบ่งนิวเคลยี สแบบไมโทซิสและการแบ่งไซโทพลาซึม การแบง่ นวิ เคลียสมี 2 แบบ คอื การแบ่งนิวเคลยี ส แบบไมโทซสิ และการแบง่ นวิ เคลียสแบบไมโอซสิ การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสประกอบด้วยระยะโ พรเฟส เมทาเฟส แอนาเฟสและเทโลเฟส การแบ่งนวิ เคลยี สแบบไมโอซสิ ประกอบดว้ ยระยะโ พรเฟส I เมทาเฟส I แอนาเฟส I เทโลเฟส I ระยะ โพรเฟส II เมทาเฟส II แอนาเฟส II และเทโลเฟส II การแบ่งนวิ เคลียสแบบไมโทซิสทําใหเ้ ซลล์รา่ งกาย เพิ่มจาํ นวนเพ่ือการเจรญิ เติบโตและซอ่ มแซมส่วนท่ีสกึ หรอหรอื ถกู ทาํ ลายไปไดส้ ว่ นการแบง่ นวิ เคลียสแบบไม โอซิสมีความ สําคญั ตอ่ ส่งิ มชี วี ติ ในกระบวนการสรา้ ง เซลล์สบื พนั ธุ์ หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 86 ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พม่ิ เตมิ ม.4 การแบ่งไซโทพลาซึมในเซลล์พชื จะมกี ารสรา้ งแผ่น ก้นั เซลล์และเซลลส์ ตั ว์จะมกี ารคอดเว้าเขา้ หากันของ เยอื่ หุ้มเซลล์ 17. อธบิ าย เปรยี บเทียบและสรุปขนั้ ตอนการหายใจ การหายใจระดับเซลลเ์ ปน็ การสลายสาร อาหารที่ ระดับเซลลใ์ นภาวะที่มีออกซิเจนเพยี งพอ และภาวะ มพี ลงั งานสงู โดยมีออกซิเจนเปน็ ตวั รับอเิ ล็กตรอน ท่มี ีออกซเิ จนไมเ่ พียงพอ ตัวสุดท้าย ประกอบดว้ ย 3ขัน้ ตอน คือ ไกลโคลิซสิ วัฏจกั รเครบสแ์ ละกระบวนการถ่ายทอดอเิ ลก็ ตรอน การหายใจระดับเซลล์ พลังงานสว่ นใหญไ่ ด้จาก ขั้นตอนการถ่ายทอดอิเล็กตรอนพลงั งานนจี้ ะถูกเกบ็ ไวใ้ นพันธะเคมใี นโมเลกุลของ ATP ในภาวะทม่ี ีออกซเิ จนไมเ่ พยี งพอทําใหก้ ารหายใจ ของเซลลไ์ มส่ มบรู ณ์ จึงเกดิ ได้เฉพาะไกลโคลซิ ิสผลท่ี ได้จากการหายใจในสภาวะน้ใี นสัตวจ์ ะได้กรดแลกติก ในจุลินทรยี แ์ ละพชื อาจไดก้ รดแลกติกหรือ เอทลิ แอลกอฮอล์ ม.5 - - ม.6 - - หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 87 สาระชวี วิทยา 2. เข้าใจการถา่ ยทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม การถา่ ยทอดยีนบนโครโมโซม สมบตั ิและหนา้ ทข่ี อง สารพนั ธกุ รรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยที างดเี อน็ เอ หลกั ฐานข้อมลู และแนวคดิ เก่ียวกบั วิวัฒนาการของ สง่ิ มีชวี ติ ภาวะสมดลุ ของฮาร์ดี-ไวน์เบริ ์ก การเกิดสปีชีสใ์ หม่ ความหลากหลายทางชีวภาพ กาํ เนดิ ของสิ่งมีชวี ติ ความหลากหลายของสิ่งมีชวี ติ และอนุกรมวิธาน รวมทั้งนําความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ ม.4 1. สืบคน้ ขอ้ มูล อธบิ าย และสรปุ ผลการทดลองของ เมนเดลศกึ ษาการถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม เมนเดล โดยการผสมพนั ธถ์ุ ่ัวลันเตาจนสรุปเป็นกฎแหง่ การแยก 2. อธิบายและสรุปกฎแห่งการแยกและกฎแห่ง และกฎแหง่ การรวมกลุม่ อย่างอสิ ระ การรวมกลุ่มอยา่ งอิสระและนาํ กฎของเมนเดลนีไ้ ป กฎแห่งการแยกมีใจความวา่ แอลลลี ท่อี ยเู่ ปน็ คจู่ ะ อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม และใช้ แยกออกจากกนั ในระหว่างการสรา้ งเซลล์ สืบพันธุ์ โดย ในการคาํ นวณโอกาสในการเกดิ ฟโี นไทป์และจีโน เซลล์สืบพันธแ์ุ ตล่ ะเซลล์จะมเี พียงแอลลีลใดแอลลีลหนึ่ง ไทปแ์ บบตา่ งๆของรุ่น F1 และ F2 กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระมีใจความวา่ หลงั จาก คูข่ องแอลลลี แยกออกจากกนั แต่ละแอลลีลจะจัดกลมุ่ อย่างอสิ ระกับแอลลีลอนื่ ๆ ที่แยกออกจากค่เู ช่นกันใน การเขา้ ไปอยใู่ นเซลลส์ บื พนั ธุ์ 3. สบื ค้นข้อมลู วิเคราะห์ อธิบาย และสรปุ เกี่ยวกบั การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธกุ รรมบางลกั ษณะให้ การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมท่ีเป็นส่วนขยาย อัตราสว่ นทีแ่ ตกต่างจากผลการ ศึกษาของเมนเดล ของพนั ธศุ าสตรเ์ มนเดล เรียกลักษณะเหลา่ น้วี ่า ลักษณะทางพันธกุ รรมทีเ่ ป็น 4. สืบค้นข้อมลู วิเคราะห์และเปรยี บเทียบลักษณะ สว่ นขยายของพันธศุ าสตรเ์ มนเดล เชน่ การข่มไม่ ทางพันธุกรรมทมี่ ีการแปรผนั ไมต่ อ่ เนื่องและลักษณะ สมบรู ณก์ ารข่มรว่ มกนั มัลติเปลิ แอลลีล ยีนบน ทางพนั ธุกรรมทม่ี ีการแปรผันต่อเนอื่ ง โครโมโซมเพศและพอลิยนี ลักษณะพันธุกรรมบางลกั ษณะมีความแตก ตา่ งกัน ชัดเจน เช่น การมีต่ิงหูหรือไมม่ ตี ิ่งหู ซึง่ เป็นลักษณะ ทางพันธกุ รรมท่มี ีการแปรผันไม่ตอ่ เน่อื ง ลักษณะทางพันธกุ รรมบางลักษณะมคี วามแตกตา่ ง กนั เลก็ น้อยและลดหลัน่ กนั ไป เชน่ ความสงู และสผี วิ ของมนุษยถ์ กู ควบคมุ โดยยนี หลายคู่ซงึ่ เปน็ ลักษณะ ทางพนั ธกุ รรมทีม่ กี ารแปรผันตอ่ เนอื่ งและส่ิงแวดลอ้ ม อาจมผี ลตอ่ การแสดงลักษณะน้นั 5. อธบิ ายการถา่ ยทอดยีนบนโครโมโซมและยก โครโมโซมภายในเซลล์รา่ งกายแบง่ เปน็ ออโตโซม ตัวอย่างลักษณะทางพันธุกรรมท่ีถกู ควบคมุ ด้วยยนี และโครโมโซมเพศ ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมส่วนใหญ่ถกู บนออโตโซมและยีนบนโครโมโซมเพศ ควบคมุ ด้วยยนี บนออโตโซมบางลักษณะถกู ควบคมุ ด้วยยีนบนโครโมโซมเพศซ่งึ ส่วนมากเป็นยนี บน โครโมโซม X เม่อื มกี ารสรา้ งเซลลส์ ืบพันธุ์ ยีนบนโครโมโซมเดยี ว กันทอ่ี ย่ใู กลก้ ันมักจะถูกถ่าย ทอดไปดว้ ยกนั แต่การ เกดิ ครอสซิงโอเวอรใ์ นการแบง่ เซลล์แบบไมโอซิสอาจ ทาํ ใหย้ ีนบนโครโมโซมเดยี วกันแยกจากกนั ได้ ส่งผลให้ รูปแบบของเซลลส์ บื พันธ์ุท่ีได้แตกตา่ งไปจากกรณที ไี่ ม่ เกดิ ครอสซิงโอเวอร์ หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 88 ชั้น ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพม่ิ เติม ม.4 6. สบื ค้นขอ้ มูล อธบิ ายสมบตั ิ และหน้าทข่ี องสาร DNA เป็นพอลเิ มอรข์ องนิวคลีโอไทด์แต่ละ พนั ธุกรรม โครงสรา้ งและองค์ ประกอบทางเคมขี อง นิวคลีโอไทด์ ประกอบดว้ ยน้ําตาลดอี อกซไี รบส หมู่ DNA และสรุปการจําลอง DNA ฟอสเฟต และไนโตรจนี สั เบส คือ A T C และG 7. อธิบายและระบขุ ั้นตอนในกระบวนการสังเคราะห์ โมเลกลุ ของ DNA เปน็ พอลนิ วิ คลีโอไทด์ 2 สาย โปรตีนและหน้าทข่ี อง DNA และ RNA แตล่ ะชนดิ ใน เรยี งสลับทศิ และบิดเปน็ เกลยี วเวยี นขวา โดยการเขา้ กระบวนการสังเคราะห์โปรตีน คกู่ นั ของสาย DNA เกิดจากการจบั คขู่ องเบสคูส่ ม คอื A คูก่ ับ T และ C คูก่ บั G 8. สรปุ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสารพนั ธุกรรมแอลลลี ยนี คือสาย DNA บางชว่ งที่ควบคุมลักษณะทาง โปรตีน ลกั ษณะทางพันธกุ รรมและเชอ่ื มโยงกบั พนั ธุกรรมได้ โดยยีนกาํ หนดลาํ ดับกรด อะมโิ นของ ความรู้เรอื่ งพันธศุ าสตรเ์ มนเดล โปรตนี ซง่ึ ทําหนา้ ที่เปน็ โครงสรา้ งเอนไซมแ์ ละอน่ื ๆ มี ผลทําให้เซลล์และส่งิ มี ชวี ติ ปรากฏลกั ษณะต่างๆ ได้ DNA จาํ ลองตวั เองได้โดยใช้สายหนงึ่ เป็นแมแ่ บบ และสรา้ งอีกสายขึน้ มาใหม่ ซ่ึงจะมโี ครงสรา้ งและ ลําดบั นิวคลโี อไทดเ์ หมือนเดมิ DNA ควบคุมลักษณะทางพันธกุ รรมของสิ่งมชี ีวติ ได้ โดยการสรา้ ง RNA 3 ประเภท คอื mRNA tRNA และ rRNA ซ่ึงรว่ มกันทาํ หนา้ ที่ในกระบวนการสังเคราะหโ์ ปรตีน RNA เป็นพอลเิ มอร์ของนิวคลีโอไทด์สายเดี่ยวแตล่ ะ นิวคลโี อไทดป์ ระกอบด้วยนํ้าตาลไรโบส หมู่ฟอสเฟต และไนโตรจนี สั เบส คอื A U C และ G 9. สบื ค้นขอ้ มูลและอธิบายการเกดิ มวิ เทชัน มวิ เทชนั เปน็ การเปลีย่ นแปลงของลําดบั หรอื จาํ นวน ระดับยีนและระดบั โครโมโซมสาเหตกุ ารเกิดมิวเท นิวคลโี อไทดใ์ น DNAซึง่ อาจนาํ ไปสูก่ ารเปล่ยี นแปลง ชนั รวมทัง้ ยกตัวอย่างโรคและกลุ่มอาการทเี่ ปน็ ผล โครงสรา้ งและการทาํ งานของโปรตีน ซึง่ ถ้าการเปลี่ยน ของการเกิดมิวเทชัน แปลง ดัง กล่าวเกิดในเซลลส์ ืบพนั ธุ์จะสามารถถา่ ย ทอดไปยงั รนุ่ ต่อๆ ไปไดแ้ ละทําให้เกิดความแปรผัน ทางพนั ธกุ รรมของสง่ิ มชี ีวติ การเกดิ มวิ เทชนั มสี าเหตุ มาจากปจั จยั ตา่ งๆ เช่น รังสแี ละสารเคมี การขาดหายไปหรอื เพิ่มข้นึ ของนวิ คลโี อไทด์ และ การแทนท่ีคูเ่ บสเปน็ การเกิดมิวเทชนั ระดับ ยีน เชน่ โรคโลหติ จางชนดิ ซกิ เคลิ เซลล์ เปน็ ผลมาจากการ แทนทค่ี ู่เบส การเปลยี่ นแปลงโครงสร้างของโครโมโซม เช่น หายไปหรอื เพ่มิ ขนึ้ บางสว่ นและการเปลยี่ นแปลง จํานวนโครโมโซม เช่น การลดลงหรือเพิ่มข้นึ ของ โครโมโซมบางแทง่ หรอื ท้ังชุด เปน็ สาเหตุของการเกิด มิวเทชนั ระดบั โครโมโซม เช่น กลุ่มอาการครดิ ูชาต์ และกล่มุ อาการดาวน์ กลมุ่ อาการเทอร์เนอร์และกลมุ่ อาการไคลนเ์ ฟลเตอร์ 10. อธบิ ายหลักการสร้างส่ิงมีชวี ิตดดั แปรพันธกุ รรม การใช้เทคโนโลยที างดีเอน็ เอในการสรา้ งดีเอน็ เอรี โดยใชด้ เี อน็ เอรคี อมบแิ นนท์ คอมบิแนนท์ สามารถนําไปใช้ในการสร้างสงิ่ มชี วี ิตดดั แปรพนั ธกุ รรม โดยนาํ ยนี ท่ีตอ้ งการมาตดั ต่อใสใ่ น สงิ่ มีชวี ติ ทําใหส้ งิ่ มีชีวติ นน้ั มสี มบัติตามต้องการ หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หนา้ 89 ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรียนรู้เพ่มิ เตมิ ม.4 11. สืบค้นข้อมลู ยกตวั อย่างและอภปิ รายการนาํ เทคโนโลยที างดีเอ็นเอ สามารถนาํ ไปประยกุ ต์ใชใ้ น เทคโนโลยที างดเี อ็นเอไปประยกุ ต์ใชท้ ัง้ ในดา้ น ด้านต่างๆเช่น สิง่ แวดลอ้ ม นติ ิวทิ ยาศาสตร์ การแพทย์ ส่งิ แวดล้อม นติ ิวิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ การเกษตร การเกษตรและอุตสาหกรรม โดยการใชเ้ ทคโนโลยีทาง และอตุ สาหกรรมและข้อควรคํานงึ ถึงดา้ นชีวจริยธรรม ดเี อน็ เอตอ้ งคํานึงถึงความปลอดภัยทางชีวภาพ ชวี จรยิ ธรรมและผลกระทบตอ่ สังคม 12. สบื คน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายเก่ยี วกับหลัก ฐานที่ หลกั ฐานท่ีทําใหเ้ ชื่อว่าสิ่งมีชวี ิตมวี ิวฒั นาการเช่น สนับสนนุ และข้อมลู ทใ่ี ช้อธบิ ายการเกดิ วิวฒั นาการ ซากดกึ ดาํ บรรพ์ กายวิภาคเปรยี บเทียบวิทยาเอ็มบริโอ ของสิง่ มีชีวิต การแพรก่ ระจายของสิ่งมชี ีวติ ทางภมู ิศาสตรก์ ารศกึ ษา ทางชีวภูมิศาสตรแ์ ละด้านชีววิทยาระดบั โมเลกลุ มนษุ ย์มกี ารสบื สายวิวฒั นาการมาเปน็ เวลานานโดย มหี ลักฐานทีส่ นับสนนุ จากซากดกึ ดาํ บรรพ์ของบรรพ บุรุษมนุษย์ท่คี ้นพบและจากการเปรียบเทียบลําดับเบส บน DNA ระหวา่ งมนุษย์กับไพรเมตอน่ื ๆ 13. อธิบายและเปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับ ฌอง ลามาร์ก ไดเ้ สนอแนวคดิ เพ่ืออธิบายเกย่ี วกับ ววิ ัฒนาการของส่ิงมีชีวิตของฌองลามารก์ และ ววิ ฒั นาการของสง่ิ มีชวี ติ ว่าสงิ่ มีชีวติ มีการเปลย่ี นแปลง ทฤษฎเี ก่ียวกบั วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของชาลส์ โครงสรา้ งใหเ้ ข้ากบั สภาพ แวดลอ้ ม โดยอาศยั กฎการ ดารว์ ิน ใช้และไมใ่ ชแ้ ละกฎแห่งการถา่ ยทอดลกั ษณะทีเ่ กดิ ขึน้ มาใหม่ ชาลส์ ดาร์วนิ เสนอทฤษฎีเกย่ี วกบั วิวฒั นาการของ สิง่ มชี ีวิตว่าเกิดจากการคัด เลอื กโดยธรรมชาติ โดย สง่ิ มชี ีวิตมแี นวโน้มทจ่ี ะใหก้ ําเนดิ ลกู ท่มี ีลักษณะ แตกตา่ งกันจํานวนมากแต่มีเพยี งจาํ นวนหน่งึ ที่ เหมาะสมกบั สภาพแวดล้อม สามารถมีชวี ิตรอดและ ถา่ ยทอดลกั ษณะท่เี หมาะสมไปยังรนุ่ ตอ่ ไปได้ 14.ระบสุ าระสาํ คัญและอธบิ ายเง่ือนไขของภาวะ เมื่อประชากรอยูใ่ นภาวะสมดลุ ของฮารด์ ี-ไวน์เบิร์ก สมดุลของฮารด์ ี-ไวนเ์ บริ ก์ ปัจจยั ทีท่ ําใหเ้ กดิ การ โดยประชากรมีขนาดใหญไ่ ม่มีการถ่ายเทยนี ระหว่าง เปล่ยี นแปลงความถ่ีของแอลลีลในประชากร พร้อม ประชากร ไมเ่ กดิ มิวเทชนั สมาชกิ ทกุ ตัวมโี อกาสผสม ทง้ั คาํ นวณหาความถ่ขี องแอลลลี และจีโนไทปข์ อง พนั ธไ์ุ ด้เทา่ กนั และไม่เกดิ การคดั เลอื กโดยธรรมชาติ ประชากร โดยใชห้ ลกั ของฮาร์ดี-ไวนเ์ บริ ก์ จะทาํ ใหค้ วามถขี่ องแอลลีลของลักษณะนัน้ ไม่เปลีย่ น แปลงไมว่ ่าจะผา่ นไปกรี่ ุ่นกต็ ามเป็นผลให้ลกั ษณะน้นั ไมเ่ กิดวิวัฒนาการ การเปล่ียนแปลงความถี่ของยีนหรอื แอลลลี ในประชากร เกิดจากปัจจัยหลายประการนําไป สู่การเกดิ ววิ ัฒนาการ 15. สบื ค้นข้อมลู อภปิ รายและอธบิ ายกระบวนการ สปีชีส์ใหม่จะเกดิ ขึ้นได้เม่ือไมม่ กี ารถ่ายเทเคลื่อนย้าย เกิดสปีชสี ์ใหม่ของสิง่ มชี วี ิตแบง่ แยกทางภมู ศิ าสตร์ ยีนระหวา่ งประชากรหนึ่งกับอีกประชากรหนึ่งในรุ่น และการเกดิ สปชี สี ์ใหมใ่ นเขตภูมศิ าสตรเ์ ดียวกนั บรรพบุรุษทําใหป้ ระชากรทั้งสอง มีโครงสรา้ งทาง พันธุกรรมที่แตกตา่ งกันและวิวฒั นาการเกดิ เปน็ สปชี สี ์ใหม่ ปัจจัยทที่ ําให้เกดิ สปีชสี ใ์ หม่อาจเกดิ ได้ 2แนวทาง คือ การเกดิ สปีชสี ์ใหมจ่ ากการ ม.4 แบ่งแยกทางภมู ศิ าสตร์และการเกดิ สปีชีส์ใหมใ่ นเขต ภมู ศิ าสตรเ์ ดยี วกนั ม.5 - - หลักสูตรกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หน้า 90 ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พมิ่ เติม 1. อภปิ รายความสําคญั ของความหลากหลายทาง ความหลากหลายทางชวี ภาพ ประกอบดว้ ย ชวี ภาพและความเช่อื มโยงระหวา่ งความหลากหลาย ความหลากหลายทางพันธกุ รรม ความหลาก หลาย ทางพนั ธุกรรม ความหลากหลายของสปชี สี ์และ ของสปีชีส์ และความหลากหลายของระบบนิเวศ ความหลากหลายของระบบนเิ วศ การแปรผนั ทางพันธุกรรมทําให้เกิดความหลากหลาย ทางพันธุกรรม ซง่ึ สง่ิ มชี วี ติ ใดทมี่ ีความหลากหลายทาง พนั ธกุ รรมมากย่อมทําใหม้ โี อกาสอยูร่ อดเพิม่ ขนึ้ และ สืบทอดลกู หลานตอ่ ไปได้ ส่งิ มชี ีวติ ท่ดี ํารงชีวิตอย่ใู นสงิ่ แวดลอ้ มต่างๆได้ผา่ น กระบวนการคัดเลอื กโดยธรรมชาติ หรือโดยมนุษย์ มาเป็นระยะเวลายาวนานหลายช่ัวร่นุ ซึง่ อาจเกดิ เปน็ สปชี ีสใ์ หมส่ ่งผลให้เกดิ ความหลากหลายของสปชี สี ์ แหลง่ ที่อยอู่ าศยั แต่ละแหลง่ ทีส่ ิ่งมชี ีวิตอาศัยอยูน่ น้ั จะมอี งค์ประกอบของปัจจัยทางกายภาพ และปจั จยั ทางชีวภาพท่แี ตกตา่ งกนั ทาํ ให้เกิดความหลากหลาย ของระบบนิเวศ 2. อธบิ ายการเกิดเซลล์เริ่มแรกของสิง่ มชี วี ติ และ จดุ เร่ิมตน้ ของวิวัฒนาการของเซลล์เกดิ จากโมเลกลุ ววิ ัฒนาการของสิง่ มชี ีวิตเซลล์เดยี ว ของสารอินทรยี ์ โดยเซลลร์ ปู แบบแรกทีเ่ กดิ ขึน้ คือ เซลล์โพรคารโิ อตและมวี ัฒนาการขึ้นมาเปน็ เซลล์ ยูคารโิ อตและจากสิ่งมีชีวิตเซลลเ์ ดยี วเปน็ สง่ิ มชี วี ิต หลายเซลลท์ ี่มโี ครงสรา้ งแบบงา่ ย ๆ จนกลายมาเป็น ส่งิ มีชวี ิตหลายเซลลท์ ี่มีโครงสรา้ งซับซอ้ นมากข้นึ ตาม ลาํ ดบั 3. อธบิ ายลักษณะสาํ คญั และยกตัวอยา่ งสิ่งมชี ีวติ แบคทีเรียเปน็ ส่งิ มชี ีวติ พวกโพรคารโิ อตผนังเซลล์มี กลมุ่ แบคทเี รยี สงิ่ มีชวี ิตกลมุ่ โพรทิสต์ ส่งิ มชี วี ติ เพปทิโดไกลแคนเป็นองค์ ประกอบ สาํ คัญ แบคทีเรีย กลมุ่ พชื สิง่ มีชวี ิตกลมุ่ ฟังไจและสง่ิ มชี วี ิตกล่มุ สัตว์ ทัว่ ไปสรา้ งอาหารเองไมไ่ ดด้ าํ รงชีวิตแบบผสู้ ลายสาร อนิ ทรยี ห์ รือแบบ ปรสติ แตแ่ บคทีเรียบางกลุม่ เช่นไซ ยาโนแบคทเี รียสรา้ งอาหารเองไดจ้ ากกระบวนการ สงั เคราะหด์ ้วยแสง โพรทสิ ตเ์ ป็นส่ิงมีชีวติ พวกยคู ารโิ อต มลี กั ษณะ หลากหลายท้ังทีเ่ ป็นสงิ่ มชี ีวิตเซลล์เดียวหรือสง่ิ มีชวี ติ หลายเซลลท์ ่ยี งั ไมพ่ ัฒนาไปเป็นเนือ้ เยื่ออาจมีหรือไมม่ ี ผนงั เซลลเ์ ปน็ ส่วน ประกอบของเซลล์ พืชเปน็ สง่ิ มีชวี ติ หลายเซลลพ์ วกยคู าริโอตมผี นงั เซลล์ ซ่งึ มเี ซลลโู ลสเปน็ องคป์ ระกอบมีวฏั จักรชวี ติ แบบสลับและมีระยะเอ็มบริโอในการสบื พันธ์ุแบบ อาศัยเพศ พืชสรา้ งอาหารเองไดจ้ ากกระบวนการ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง ฟังไจเปน็ สิ่งมชี ีวติ พวกยคู ารโิ อต มที ง้ั สิ่งมชี ีวิตเซลล์ เดยี วและหลายเซลลเ์ ซลล์ของฟงั ไจยงั ไม่พฒั นาไปเป็น เน้ือเย่อื ผนงั เซลล์มไี คทินเป็นองคป์ ระกอบสาํ คญั ฟังไจสรา้ งอาหารเองไมไ่ ด้และดํารงชวี ติ แบบผู้สลาย สารอนิ ทรยี ห์ รอื แบบปรสิต หลกั สตู รกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 91 ช้ัน ผลการเรียนรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเตมิ ม.6 สตั วเ์ ป็นสง่ิ มีชวี ิตหลายเซลลพ์ วกยคู าริโอตไม่ สามารถสร้างอาหารเองไดต้ ้องได้รับอาหารจาก สิ่งมชี วี ติ อ่นื สว่ นใหญ่มีระบบยอ่ ยอาหารบางชนดิ อาจเปน็ ปรสติ สัตวม์ รี ะยะเอม็ บรโิ อในการสืบพนั ธุ์ แบบอาศัยเพศ สตั วอ์ าจแบง่ เป็นกลุ่มยอ่ ยโดยพิจารณาลกั ษณะ ตา่ งๆ คือ เน้อื เยื่อสมมาตร การเปล่ยี นแปลงของบ ลาสโทพอร์ การเจรญิ ในระยะตัวออ่ น ทาํ ใหอ้ าจแบ่ง สตั วเ์ ปน็ กลมุ่ ย่อย เช่นกลมุ่ ฟองนาํ้ กลมุ่ ไฮดรา กล่มุ หนอนตวั แบน กลุ่มหอยและหมึก กล่มุ ไสเ้ ดอื นดนิ กล่มุ หนอนตัวกลม กลุ่มสตั วท์ ่ีมขี าเป็นปลอ้ ง กล่มุ ดาว ทะเลและปลิงทะเล และกลุม่ สัตว์ทม่ี โี นโทคอรด์ 4. อธิบายและยกตวั อยา่ งการจําแนกส่ิง มชี ีวติ จาก การจําแนกสิ่งมชี วี ติ ออกเป็นหมวดหมเู่ ปน็ ลาํ ดับ หมวดหมใู่ หญ่จนถงึ หมวดหมู่ยอ่ ยและวธิ ีการเขยี น ข้นั ต่างๆ เรม่ิ จากหมวดหมูใ่ หญ่แลว้ แบง่ เปน็ หมวดหมู่ ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ในลําดับขนั้ สปีชีส์ ย่อย มดี งั นี้ คงิ ดอม ไฟลัมคลาส ออร์เดอร์ แฟมลิ จี ีนัส 5. สร้างไดโคโทมัสคีย์ในการระบสุ ่ิงมีชีวติ หรอื และสปชี สี ์ ตวั อยา่ งทก่ี ําหนดออกเปน็ หมวดหมู่ ช่ือวิทยาศาสตรข์ องสง่ิ มีชีวิตในลําดบั ขั้นสปีชสี ท์ ่ี ตัง้ ข้นึ ตามระบบทวินามเพ่อื ใชใ้ นการระบถุ ึงสิง่ มชี วี ิต แตล่ ะชนิดให้มีความเข้าใจถูกตอ้ งตรงกนั ประกอบดว้ ย 2 สว่ น โดยสว่ นแรกเปน็ ชื่อสกุล สว่ นหลงั เปน็ คําท่ี ระบุลกั ษณะพิเศษของส่งิ มชี ีวิตชนดิ น้ันหรอื เปน็ คําที่ มีความหมายเฉพาะ โดยท้งั 2 สว่ นน้ตี อ้ งเป็นภาษาละ ติน ไดโคโทมัสคยี ์เปน็ เคร่อื งมอื ท่ใี ชเ้ พื่อระบุหมวดหมู่ ของสง่ิ มีชวี ติ ลาํ ดับข้ันตา่ งๆ โดยมหี ลกั เกณฑใ์ นการ นําลกั ษณะท่ตี า่ งกันของสิง่ มชี วี ิตมาพิจารณาเปน็ คู่ วิทเทเกอร์ เสนอแนวความคิดทว่ี ่าสง่ิ มชี ีวิตพวก ยคู ารโิ อตมีวิวฒั นาการมาจากสิ่งมีชีวติ พวกโพรคาริ โอต และจาํ แนกสงิ่ มีชีวิตเป็น 5 คงิ ดอม ประกอบด้วย มอเนอรา โพรทสิ ตาพชื ฟังไจและสัตว์ โวสซ์ และคณะ จําแนกส่ิงมีชีวติ เป็น 3 โดเมน ประกอบดว้ ย แบคทเี รีย อาร์เคีย และยูคารีอา โดย แนวความคดิ การจําแนกสง่ิ มีชีวติ แตล่ ะโดเมน เปน็ กลุม่ ยอ่ ยจะใชห้ ลักทว่ี า่ ส่งิ มชี ีวิตในกลมุ่ เดียวกันมี สายวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรษุ ร่วมกัน หลักสตู รกล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสีประชาสรรค์
หน้า 92 สาระชวี วิทยา 3. เขา้ ใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลย่ี นแก๊สและคายนาํ้ ของพชื การลาํ เลียงของพืช การสังเคราะหด์ ้วยแสง การสืบพนั ธุ์ของพืชดอกและการเจริญเตบิ โตและการตอบสนองของพืช รวมทั้ง นําความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชนั้ ผลการเรียนรู้ - สาระการเรียนรู้เพิ่มเตมิ ม.4 - ม.5 1. อธิบายเกีย่ วกบั ชนิดและลกั ษณะของเน้อื เย่อื พืช เนื้อเย่อื พืชแบง่ เปน็ 2 กล่มุ ใหญ่ คอื เน้ือเย่ือเจริญ และเขียนแผนผังเพือ่ สรุปชนดิ ของเนอ้ื เยอ่ื พชื และเน้อื เยอื่ ถาวร เนื้อเย่อื เจริญแบง่ เป็นเน้ือเยอื่ เจรญิ ส่วนปลาย เน้ือเยื่อเจรญิ เหนือข้อและเน้ือเย่ือเจรญิ ด้านข้าง เน้อื เยื่อถาวรเปลี่ยนแปลงมาจากเนอ้ื เยอ่ื เจรญิ เนื้อเยอ่ื ถาวรอาจแบ่งไดเ้ ปน็ 3 ระบบ คือระบบ เน้ือเย่ือผิว ระบบเนอ้ื เยอ่ื พนื้ และระบบเนือ้ เยอ่ื ท่อ ลาํ เลยี ง ซงึ่ ทําหนา้ ทตี่ ่างกนั 2. สงั เกต อธิบายและเปรยี บเทยี บโครงสร้าง ราก คอื สว่ นแกนของพืชท่โี ดยท่วั ไปเจริญอยู่ใต้ ภายในของรากพืชใบเลี้ยงเดีย่ วและรากพชื ระดบั ผวิ ดิน ทาํ หน้าท่ยี ึดหรือค้าํ จุนให้พืชเจริญเติบโต ใบเลยี้ งคจู่ ากการตัดตามขวาง อย่กู ับทีไ่ ดแ้ ละยงั มหี น้าทส่ี าํ คญั ในการดูดน้าํ และธาตุ อาหารในดนิ เพื่อส่งไปยงั ส่วนต่างๆของพชื โครงสร้างภายในของปลายรากที่ตัดตามยาว ประกอบด้วย เนอ้ื เย่ือเจรญิ แบง่ เป็นบริเวณต่างๆ คือ บริเวณหมวกราก บริเวณเซลลก์ ําลังแบ่งตวั บรเิ วณ เซลล์ขยายตวั ตามยาวและบริเวณท่เี ซลล์มีการเปล่ยี น แปลงไปทาํ หนา้ ทีเ่ ฉพาะและเจรญิ เติบโตเต็มท่ี โครงสร้างภายในของรากระยะการเติบโตปฐมภมู ิ เมอ่ื ตดั ตามขวางจะเหน็ โครงสรา้ งแบ่ง เปน็ 3 ชั้นเรยี ง จากด้านนอกเข้าไป คอื ชั้นเอพเิ ดอรม์ ิส ช้ันคอร์เทกซ์ และชัน้ สตีลในชน้ั สตลี จะพบมดั ท่อลําเลยี งท่ีมีลักษณะ แตกต่างกนั ในพืชใบเลี้ยงเดยี่ วและพชื ใบเลยี้ ง โครงสร้างภายในของรากระยะการเติบโตทุติยภูม ชน้ั เอพิเดอร์มสิ จะถกู แทนทด่ี ้วยชน้ั เพริเดริ ม์ ซง่ึ มีคอ ร์กเป็นเนือ้ เยอ่ื สําคญั ชั้นคอร์เทกซอ์ าจมกี ารเปลี่ยน แปลงเกดิ เซลลท์ ี่ทําใหม้ คี วามแขง็ แรงเพ่มิ ข้นึ หรอื เกดิ เซลล์ท่สี ะสมอาหารเพม่ิ ขน้ึ สว่ นลกั ษณะมดั ท่อลําเลียง จะเปลี่ยนไป เนอ่ื งจากมกี ารสร้างเนอ้ื เยือ่ ลําเลียง เพ่มิ ข้ึน 3. สงั เกต อธิบายและเปรยี บเทยี บโครงสรา้ งภายใน ลําตน้ คอื สว่ นแกนของพืชท่ีโดยทั่วไปเจรญิ อยู่ ของลาํ ตน้ พชื ใบเลี้ยงเดีย่ วและลําตน้ พชื ใบเลี้ยงคู่ เหนือระดบั ผิวดนิ ถดั ข้นึ มาจากราก ทําหน้าทส่ี ร้างใบ จากการตดั ตามขวาง และชูใบ ลาํ เลยี งนํา้ ธาตุอาหารและอาหารที่พืชสรา้ ง ขน้ึ ส่งไปยังส่วนตา่ งๆ หลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หน้า 93 ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติม ม.5 โครงสร้างภายในของลาํ ตน้ ระยะการเติบโตปฐมภมู ิ เมือ่ ตัดตามขวางจะเหน็ โครงสร้างแบ่งเปน็ 3 ช้ันเรียง จากดา้ นนอกเขา้ ไป คอื ชนั้ เอพิเดอรม์ ิส ชั้นคอรเ์ ทกซ์ และชน้ั สตลี ซึง่ ชนั้ สตีลจะพบมัดท่อลาํ เลียงทม่ี ีลักษณะ แตกต่างกันในพืชใบเลีย้ งเดี่ยวและพืชใบเล้ยี งคู่ ลําตน้ ในระยะการเติบโตทตุ ยิ ภูมจิ ะมเี สน้ รอบวง เพิม่ ขนึ้ และมโี ครงสรา้ งแตกต่างจากเดิม เนือ่ งจากมี การสร้างเน้ือเย่ือเพรเิ ดริ ม์ และเน้ือเยอ่ื ท่อลาํ เลยี งทตุ ยิ ภมู ิเพ่ิมข้นึ 4. สังเกต และอธิบายโครงสรา้ งภายในของใบพชื ใบมีหนา้ ท่ีสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง แลกเปลีย่ นแก๊สและ จากการตดั ตามขวาง คายนํา้ ใบของพชื ดอกประกอบดว้ ยกา้ นใบ แผน่ ใบเสน้ กลางใบและเสน้ ใบ พชื บางชนิดอาจไมม่ กี า้ นใบที่โคน กา้ นใบอาจพบหรือไมพ่ บหูใบ โครงสรา้ งภายในของใบตดั ตามขวางประกอบด้วย เน้อื เยือ่ 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่ เอพิเดอร์มสิ มโี ซฟิลลแ์ ละ เนื้อเยือ่ ท่อลาํ เลยี ง 5. สืบคน้ ขอ้ มูล สงั เกต และอธบิ ายการแลกเปล่ยี น พืชมีการแลกเปลย่ี นแก๊สและการคายน้าํ ผา่ นทาง แก๊สและการคายนํา้ ของพชื ปากใบเป็นส่วนใหญ่ ปากใบพบได้ท่ีใบและลําต้นออ่ น เมอื่ ความชน้ื สัมพัทธใ์ นอากาศภายนอกตํ่ากวา่ ความ ชืน้ สมั พทั ธภ์ ายในใบพืชทําให้นา้ํ ภายในใบพืชระเหย เปน็ ไอออกมาทางรปู ากใบ เรยี กว่า การคายน้ํา ความชนื้ ในอากาศ ลม อณุ หภูมิ สภาพนํ้าในดนิ ความเข้มของแสง เปน็ ปจั จัยทม่ี ีผลต่อการคายน้ํา ของพืช 6. สบื ค้นขอ้ มลู และอธบิ ายกลไกการลาํ เลียง พชื ดดู นาํ้ และธาตอุ าหารตา่ งๆ จากดิน โดยเซลลข์ น นาํ้ และธาตอุ าหารของพืช รากแลว้ ลําเลยี งผา่ นช้นั คอร์เทกซ์เข้าสู่เนือ้ เย่ือลําเลียง 7. สบื ค้นข้อมูล อธบิ ายความสําคัญของธาตุ นํา้ ในช้นั สตีลซ่งึ เป็นการดูดนํ้าจากดินสูเ่ นือ้ เยื่อลาํ เลียง อาหารและยกตวั อย่างธาตอุ าหารท่สี าํ คัญท่มี ผี ลต่อ น้าํ ในแนวระนาบและลําเลยี งไปยังสว่ นต่างๆของพืชใน การเจริญเติบโตของพืช แนวดง่ิ ในสภาวะปกตกิ ารลําเลยี งนา้ํ จากรากสยู่ อดของพืช อาศัยแรงดงึ จากการคายน้ํา ร่วมกบั แรงโคฮีชนั แรง แอดฮชี นั ในภาวะท่ีบรรยา กาศมคี วามชนื้ สมั พัทธ์สูง มากจนไมส่ ามารถเกดิ การคายนา้ํ ไดต้ ามปกติ นา้ํ ทเี่ ข้า ไปในเซลลร์ ากจะทําใหเ้ กิดแรงดนั เรียกว่า แรงดนั ราก ทาํ ใหเ้ กดิ ปรากฏการณก์ ตั เตชัน พชื แตล่ ะชนดิ ตอ้ งการปริมาณและชนดิ ของธาตุ อาหารแตกตา่ งกันสามารถนําความรู้เกย่ี วกับสมบัติ ของธาตอุ าหารชนิดตา่ งๆ ทม่ี ีผลต่อการเจริญเติบโต ของพชื ในสารละลายธาตอุ าหารเพ่ือให้พชื เจรญิ เติบโต ได้ตามท่ีต้องการ หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หนา้ 94 ชนั้ ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พม่ิ เติม ม.5 8. อธิบายกลไกการลาํ เลยี งอาหารในพชื อาหารทไ่ี ด้จากกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงจาก แหล่งสร้างจะถกู เปลี่ยนแปลงเป็นซโู ครส และลําเลียง ผ่านทางทอ่ โฟลเอ็มโดยอาศยั กลไกการลําเลยี งอาหาร ในพืชซง่ึ เกย่ี ว ขอ้ งกบั แรงดันน้ําไปยงั แหล่งรับ 9. สืบค้นข้อมูล และสรปุ การศึกษาทไ่ี ด้จากการ การศึกษาค้นควา้ ของนกั วทิ ยาศาสตร์ในอดีตทําให้ ทดลองของนกั วทิ ยาศาสตร์ในอดตี เกย่ี วกบั ได้ความรเู้ กีย่ วกบั กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงมา กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง เปน็ ลําดบั ขัน้ จนไดข้ ้อสรุปวา่ คารบ์ อนไดออกไซด์และ น้ําเป็นวัตถุดบิ ทพ่ี ืชใชใ้ นกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ย แสงและผลผลติ ที่ได้ คอื นํ้าตาล ออกซิเจน 10. อธิบายข้ันตอนท่ีเกดิ ขึ้นในกระบวนการสังเคราะห์ กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงมี 2 ข้ันตอน คอื ดว้ ยแสงของพืช C3 ปฏิกิริยาแสงและการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ ปฏกิ ริ ยิ าแสงเปน็ ปฏิกิรยิ าท่เี ปลีย่ นพลงั งานแสง เปน็ พลงั งานเคมี โดยแสงออกซิไดซโ์ มเลกุลสารสีที่ไท ลาคอยดข์ องคลอโรพลาสต์ทําใหเ้ กดิ การถา่ ยทอด อเิ ล็กตรอนได้ผลติ ภัณฑ์เป็น ATP และ NADPH+H+ ในสโตรมาของคลอโรพลาสต์ การตรึงคารบ์ อนไดออกไซด์เกิดในสโตรมาโดยใช้ RuBP และเอนไซมร์ ูบิสโก ไดส้ ารที่ประกอบด้วย คารบ์ อน 3 อะตอม คอื PGA โดยใช้ ATP และ NADPH ทีไ่ ดจ้ ากปฏกิ ิริยาแสงไปรีดวิ ซ์สารประกอบ คาร์บอน 3 อะตอม ได้เปน็ นํ้าตาล ทมี่ คี ารบ์ อน 3 อะตอม คือ PGAL ซงึ่ สว่ นหน่ึงจะถูกนาํ ไปสรา้ ง RuBP กลับคืนเปน็ วฏั จักร โดยพืช C จะมกี ารตรึงคาร์บอน ไดออกไซด์ดว้ ยวัฏจกั รคลั วินเพียงอยา่ งเดยี ว 11. เปรยี บเทยี บกลไกการตรงึ คาร์บอน ไดออกไซด์ พชื C4 ตรงึ คารบ์ อนอนินทรีย์ 2 คร้งั ครั้งแรก ในพืช C3 พชื C4 และพชื CAM เกดิ ขึ้นที่เซลลม์ โี ซฟลิ ล์ โดย PEP และเอนไซมเ์ พบคาร์ บอกซิเลส ได้สารประกอบที่มคี ารบ์ อน 4 อะตอม คือ OAA ซงึ่ จะมีการเปลยี่ นแปลงทางเคมไี ดส้ ารประกอบ ท่มี ีคาร์บอน 4 อะตอมคือ กรดมาลิก ซึ่งจะถกู ลําเลียง ไปจนถึงเซลลบ์ ันเดลิ ชที และปลอ่ ยคาร์บอนไดออกไซด์ ในคลอโรพลาสต์เพือ่ ใช้ในวฏั จักรคัลวินตอ่ ไป พืช CAM มีกลไกในการตรงึ คาร์บอน ไดออกไซด์ คลา้ ยพชื C แตม่ ีการตรึงคาร์บอนอนินทรียท์ งั้ 2 ครั้ง ในเซลล์เดยี วกนั โดยเซลล์มกี ารตรงึ คาร์บอนอนินทรยี ์ คร้ังแรกในเวลากลางคนื และปล่อยออกมาในเวลา กลางวันเพอื่ ใชใ้ นวฏั จกั รคัลวนิ ตอ่ ไป 12. สบื คน้ ข้อมู อภิปราย และสรุปปจั จยั ความเข้ม ปัจจยั ทมี่ ีผลตอ่ การสังเคราะห์ดว้ ยแสง เช่น ความ ของแสงความเขม้ ข้นของคาร์บอน ไดออกไซด์และ เขม้ ของแสง ความเข้มขน้ ของคาร์บอนไดออกไซด์ อุณหภมู ิ ท่ีมผี ลตอ่ การสงั เคราะห์ด้วยแสงของพชื อณุ หภูมิ ปรมิ าณนํ้าในดิน ธาตุอาหาร อายุใบ 13. อธิบายวัฏจักรชีวิตแบบสลับของพชื ดอก ระยะท่ีสร้างสปอร์ เรียกระยะสปอโรไฟต(์ 2n) และ ระยะท่ีสร้างเซลล์สบื พนั ธุ์ เรยี ก ระยะแกมโี ทไฟต์ (n) หลกั สูตรกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หนา้ 95 ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพ่ิมเตมิ ม.5 สว่ นประกอบของดอกทเี่ กีย่ วข้องกบั การสบื พนั ธุ์ โดยตรงคือชนั้ เกสรเพศผแู้ ละชนั้ เกสรเพศเมีย ซึ่ง จาํ นวนรงั ไข่เกีย่ วข้องกับการเจรญิ เป็นผลชนิดต่างๆ 14. อธบิ ายและเปรียบเทียบกระบวนการสรา้ งเซลล์ พืชดอกสรา้ งไมโครสปอรแ์ ละเมกะสปอร์ ซ่ึงอาจ สบื พนั ธุ์เพศผแู้ ละเพศเมยี ของพืชดอกและอธิบาย สรา้ งในดอกเดยี วกันหรอื ตา่ งดอกหรือต่างต้นกนั การปฏสิ นธขิ องพชื ดอก nการสร้างไมโครสปอร์ของพืชดอกเกดิ ขน้ึ โดยไมโคร สปอรม์ าเทอรเ์ ซลล์ แบง่ เซลลแ์ บบไมโอซสิ ได้ไมโคร สปอร์โดยไมโครสปอรน์ ้ี แบ่งเซลล์แบบไมโทซสิ ได้ 2 เซลล์ คือ ทิวบ์เซลล์และเจเนอเรทฟิ เซลล์ เมอ่ื มีการ ถ่ายเรณูไปตกบนยอดเกสรเพศเมีย ทิวบ์เซลล์จะงอก หลอดเรณูและเจเนอเรทิฟเซลล์แบง่ ไมโทซิสไดเ้ ซลล์ สืบพนั ธ์ุ เพศผู้ 2 เซลล์ การสร้างเมกะสปอรเ์ กิดขึน้ ภายในออวุลในรังไข่ โดยเซลลท์ เี่ รียกวา่ เมกะสปอรม์ าเทอร์เซลล์ แบง่ ไม โอซสิ ไดเ้ มกะสปอร์ ซึ่งในพืชส่วนใหญ่จะเจริญพัฒนา ตอ่ ไปได้เพียง 1 เซลลท์ ่เี หลอื อกี 3 เซลลจ์ ะฝอ่ เมกะ สปอร์จะแบง่ ไมโทซิส 3 ครั้ง ได้ 8 นิวเคลยี สท่ี ประกอบด้วย 7 เซลล์โดยมี 1 เซลล์ ทท่ี ําหนา้ ท่ีเป็น เซลลส์ บื พนั ธ์ุ เรียก เซลล์ไข่ ส่วนอีก 1 เซลล์ มี 2 นวิ เคลยี ส เรยี ก โพลารน์ วิ คลีไอ การปฏสิ นธิของพชื ดอกเป็นการปฏิสนธคิ ู่โดยคูห่ นึ่ง เปน็ การรวมกนั ของสเปิร์มเซลล์หนึ่งกบั เซลล์ไข่ได้เป็น ไซโกต ซึ่งจะเจริญและพัฒนาไปเปน็ เอม็ บรโิ อและอีก ค่หู นึง่ เป็นการรวมกนั ของสเปิรม์ อกี เซลล์หนงึ่ กบั โพ ลาร์นวิ คลีไอไดเ้ ปน็ เอนโดสเปริ ์มนวิ เคลยี ส ซึ่งจะเจริญ และพฒั นาต่อไปเป็นเอนโดสเปิรม์ 15. อธิบายการเกิดเมลด็ และการเกิดผลของพชื ดอก ภายหลังการปฏิสนธิ ออวลุ จะมีการเจริญและพฒั นา โครงสร้างของเมลด็ และผลและยก ตวั อยา่ งการใช้ ไปเป็นเมล็ด และรังไข่จะมีการเจรญิ และพัฒนาไปเป็นผล ประโยชน์จากโครงสร้างตา่ งๆของเมล็ดและผล โครงสรา้ งของเมลด็ ประกอบดว้ ยเปลอื กเมลด็ เอ็มบริโอและเอนโดสเปริ ์ม โครงสร้างของผลประกอบ ดว้ ยผนังผลและเมล็ด ซง่ึ แตล่ ะสว่ นของโครงสรา้ งจะมี ประโยชนต์ ่อพืชเองและตอ่ ส่ิงมชี วี ติ อ่ืน 16. ทดลองและอธิบายเกี่ยวกับปัจจยั ต่างๆท่ีมีผล เมลด็ ท่ีเจรญิ เต็มทจ่ี ะมีการงอก โดยมีปจั จยั ต่างๆ ต่อการงอกของเมลด็ สภาพพกั ตวั ของเมล็ดและบอก ท่มี ผี ลตอ่ การงอกของเมลด็ เชน่ นาํ้ หรือความชื้น แนวทางในการแก้สภาพพักตัวของเมล็ด ออกซิเจน อุณหภมู ิและแสง เมล็ดบางชนดิ สามารถ งอกได้ทนั ที แต่เมล็ดบางชนิดไม่สามารถงอกไดท้ ันที เพราะอย่ใู นสภาพพักตวั เมลด็ บางชนดิ มีสภาพพกั ตัวเนอ่ื งจากมปี ัจจยั บาง ประการท่ีมีผลยับยั้งการงอกของเมล็ดซ่งึ สภาพพกั ตวั หลักสตู รกลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารงั สปี ระชาสรรค์
หน้า 96 ของเมล็ดสามารถแก้ไขได้หลายวิธตี ามปัจจยั ท่ียับย้งั ชน้ั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรเู้ พ่ิมเติม 17. สืบคน้ ขอ้ มูล อธบิ ายบทบาทและหน้าที่ของออก พืชสร้างสารควบคมุ การเจริญเติบโตหลายชนดิ ซิน ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน เอทิลนี และกรดแอบ ท่ีส่วนต่างๆ ซง่ึ สารนี้เป็นส่งิ เรา้ ภายในทม่ี ีผลต่อการ ไซซกิ และอภปิ รายเกี่ยวกบั การนําไปใช้ประโยชน์ เจริญเตบิ โตของพชื เช่น ออกซิน ไซโทไคนิน จบิ เบอ ทางการ เกษตร เรลลนิ เอทลิ ีน และกรดแอบไซซกิ 18. สบื คน้ ข้อมูล ทดลอง และอภิปรายเกี่ยวกับสง่ิ แสงสว่าง แรงโน้มถ่วงของโลกสารเคมีและนํา้ เป็น เร้าภายนอกท่มี ีผลต่อการเจริญ เติบโตของพชื สิ่งเรา้ ภายนอกทม่ี ผี ลตอ่ การเจริญ เตบิ โตของพชื ความรู้เกีย่ วกบั การตอบสนองตอ่ ส่งิ เรา้ ภายในและ สง่ิ เร้าภายนอกทมี่ ีผลตอ่ การเจรญิ เติบโตของพชื สามารถนาํ มาประยกุ ต์ใช้ควบคมุ การเจรญิ เติบโต ของพชื เพมิ่ ผลผลิตและยดื อายผุ ลผลติ ได้ ม.6 - - หลกั สตู รกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารงั สีประชาสรรค์
หนา้ 97 สาระชวี วิทยา 4. เขา้ ใจการย่อยอาหารของสตั วแ์ ละมนษุ ย์ การหายใจและการแลกเปล่ียนแกส๊ การลําเลยี งสาร และการหมุนเวยี นเลอื ด ภูมคิ ุม้ กันของรา่ งกาย การขับถ่าย การรบั รู้ และการตอบสนอง การเคลื่อนที่ การสืบพนั ธ์ุและการเจริญเตบิ โต ฮอรโ์ มนกบั การรกั ษาดลุ ยภาพและพฤติกรรมของสตั ว์รวมทัง้ นาํ ความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ช้ัน ผลการเรียนรู้ - สาระการเรยี นรเู้ พิม่ เติม ม.4 - ม.5 1. สืบค้นขอ้ มลู อธิบาย และเปรียบเทียบโครงสรา้ ง รา มีการปลอ่ ยเอนไซมอ์ อกมาย่อยอาหารนอก และกระบวนการย่อยอาหารของสัตวท์ ไี่ มม่ ที างเดิน เซลล์ ส่วนอะมบี าและพารามเี ซยี มมีการยอ่ ยอาหาร อาหารสัตว์ทีม่ ที างเดินอาหารแบบไม่สมบูรณ์และ ภายในฟดู แวควิ โอลโดยเอนไซมใ์ นไลโซโซม สัตว์ท่ีมีทางเดนิ อาหารแบบสมบรู ณ์ ฟองนา้ํ ไมม่ ที างเดินอาหารแต่จะมีเซลลพ์ ิเศษทาํ 2. สงั เกต อธิบาย การกินอาหารของไฮดราและ หน้าทีจ่ ับอาหารเข้าส่เู ซลล์แล้วย่อยภายในเซลล์โดย พลานาเรยี เอนไซม์ในไลโซโซม ไฮดราและพลานาเรีย มีทางเดนิ อาหารแบบไม่ สมบูรณจ์ ะกินอาหารและขบั กากอาหารออกทาง เดยี วกัน ไส้เดือนดนิ แมลงสัตวไ์ ม่มกี ระดูกสันหลงั สว่ นใหญ่ และสัตวม์ กี ระดูกสันหลังจะมที างเดินอาหารแบบ สมบูรณ์ 3. อธบิ ายเก่ียวกบั โครงสรา้ ง หน้าท่ีและกระบวนการ การย่อยอาหารของมนษุ ยป์ ระกอบด้วยการย่อย ย่อยอาหาร และการดูดซมึ สารอาหารภายในระบบ เชงิ กลโดยการบดอาหารใหม้ ีขนาดเล็กลงและการย่อย ยอ่ ยอาหารของมนุษย์ ทางเคมี โดยอาศัยเอนไซมใ์ นทางเดินอาหารทําให้ โมเลกลุ ของอาหารมขี นาดเลก็ จนเซลล์สามารถดูดซึม และนําไปใชไ้ ด้ การยอ่ ยอาหารของมนษุ ย์เกิดขึ้นท่ชี ่องปากกระเพาะ อาหารและลาํ ไส้เลก็ สารอาหารทีย่ อ่ ยแลว้ วติ ามินบางชนดิ และธาตุ อาหารจะถกู ดดู ซมึ ที่วลิ ลสั เขา้ สูห่ ลอดเลือดฝอยแล้ว ผ่านตบั ก่อนเขา้ สหู่ วั ใจ ส่วนสารอาหารประเภทลิพิด และวิตามินที่ละลายในไขมันจะถูกดดู ซมึ เข้าส่หู ลอด น้ําเหลอื งฝอย อาหารท่ไี มถ่ ูกย่อยหรือย่อยไม่ไดจ้ ะเคลอ่ื นต่อไปยัง ลาํ ไสใ้ หญ่ นาํ้ ธาตุอาหารและวติ ามินบางสว่ นดดู ซมึ เขา้ สู่ผนังลําไส้ใหญท่ ่เี หลือเป็นกากอาหารจะถกู กําจดั ออกทางทวารหนกั 4. สบื คน้ ขอ้ มูล อธิบาย และเปรยี บเทียบโครงสร้าง ไส้เดือนดนิ มกี ารแลกเปลี่ยนแกส๊ ผา่ นเซลล์บรเิ วณ ทที่ ําหนา้ ทแ่ี ลกเปลย่ี นแก๊สของฟองนา้ํ ไฮดรา ผวิ หนังทีเ่ ปียกชืน้ พลานาเรีย ไสเ้ ดือนดินแมลง ปลา กบ และนก แมลงมีการแลกเปลย่ี นแกส๊ โดยผา่ นทางทอ่ ลมซึ่ง 5. สงั เกตและอธบิ ายโครงสร้างของปอดในสัตวเ์ ล้ียง แตกแขนงเปน็ ทอ่ ลมฝอย หลักสูตรกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสีประชาสรรค์
ลกู ด้วยนา้ํ นม หน้า 98 ปลาเป็นสัตวน์ าํ้ มีการแลกเปลยี่ นแกส๊ ทีล่ ะลายอย่ใู น น้ําผ่านเหงือก ช้นั ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้เพมิ่ เตมิ ม.5 สตั ว์สะเทินนํา้ สะเทินบกใชป้ อดและผวิ หนังในการ แลกเปลย่ี นแกส๊ สัตว์เลือ้ ยคลาน สัตว์ปกี และสตั ว์เล้ยี งลูกด้วยน้ํานม อาศัยปอดในการแลกเปลี่ยนแกส๊ 6. สบื คน้ ข้อมลู อธบิ ายโครงสรา้ งทีใ่ ชใ้ นการแลก ทางเดนิ หายใจของมนุษยป์ ระกอบด้วยชอ่ งจมูก เปล่ียนแก๊สและกระบวนการแลก เปลย่ี นแกส๊ ของ โพรงจมกู คอหอย กล่องเสยี ง ทอ่ ลมหลอดลมและถุง มนษุ ย์ ลมในปอด 7. อธบิ ายการทาํ งานของปอดและทดลองวัด ปอดเปน็ บรเิ วณทม่ี ีการแลกเปลีย่ นแก๊สระหวา่ งถงุ ปรมิ าตรของอากาศในการหายใจออกของมนษุ ย์ ลมกบั หลอดเลือดฝอยและบรเิ วณเซลลข์ องเนอื้ เย่อื ตา่ งๆมกี ารแลกเปลี่ยนแก๊สโดยการแพรผ่ ่านหลอด เลือดฝอยเชน่ กัน การหายใจเขา้ และการหายใจออกเกดิ จากการ เปลีย่ นแปลงความดนั ของอากาศภายในปอดโดยการ ทํางานรว่ มกันของกล้ามเนื้อกะบังลมและกลา้ มเน้ือ ระหวา่ งกระดูกซี่โครงและควบ คมุ โดยสมองส่วน พอนส์ และเมดัลลาออบลองกาตา 8. สืบค้นขอ้ มลู อธิบาย และเปรยี บเทียบระบบ สงิ่ มชี ีวิตเซลล์เดยี วและสตั วท์ ่มี ีโครงสรา้ งร่างกายไม่ หมนุ เวียนเลอื ดแบบเปิดและระบบหมุนเวียนเลอื ด ซับซอ้ นมกี ารลาํ เลียงสารต่างๆโดยการแพรร่ ะหวา่ ง แบบปิด เซลล์กบั สิ่งแวดลอ้ ม 9. สงั เกต และอธิบายทิศทางการไหลของเลอื ดและ สัตว์ท่มี ีโครงสร้างรา่ งกายซับซอ้ นจะมีการลาํ เลียง การเคลื่อนท่ีของเซลล์เม็ดเลือดในหางปลา และสรุป สารโดยระบบหมุนเวียนเลือด ซง่ึ ประกอบด้วยหัวใจ ความสมั พันธร์ ะหว่างขนาดของหลอดเลือดกบั หลอดเลอื ดและเลือด ความเร็วในการไหลของเลือด ระบบหมุนเวียนเลือดมี 2 แบบ คือ ระบบ หมุนเวยี นเลือดแบบเปิดและระบบหมุนเวยี นเลือด แบบปิด ระบบหมุนเวยี นเลือดแบบเปิดพบในสตั ว์จําพวก หอย แมลง กุ้ง ส่วนระบบหมนุ เวยี นเลือดแบบปิด พบในไสเ้ ดือนดินและสตั วม์ กี ระดกู สันหลัง 10. อธิบายโครงสรา้ งและการทาํ งานของหวั ใจและ ระบบหมนุ เวยี นเลือดของมนุษย์ประกอบ ด้วยหวั ใจ หลอดเลือดในมนษุ ย์ หลอดเลือดและเลือดซ่งึ เลือดไหล เวียนอย่เู ฉพาะใน 11. สังเกตและอธบิ ายโครงสรา้ งหัวใจของสตั วเ์ ล้ียง หลอดเลือด ลกู ดว้ ยน้ํานม ทศิ ทางการไหลของเลือดผา่ นหวั ใจ หัวใจมีเอเตรียมทําหนา้ ทร่ี ับเลอื ดเข้าส่หู ัวใจและเวน ของมนษุ ย์และเขยี นแผนผงั สรุปการหมนุ เวยี นเลือด ตริเคลิ ทาํ หนา้ ทสี่ บู ฉดี เลือดออกจากหวั ใจโดยมลี ้ินกน้ั ของมนุษย์ ระหวา่ งเอเตรยี มกบั 12. สบื ค้นขอ้ มูล ระบุความแตกตา่ งของเซลล์เมด็ เวนตรเิ คลิ และระหวา่ งเวนตริเคลิ กบั หลอดเลอื ดท่นี ํา เลอื ดแดง เซลล์เมด็ เลือดขาวเพลตเลตและพลาสมา เลือดออกจากหวั ใจ 13. อธบิ ายหมู่เลือดและหลกั การให้และรบั เลือดใน เลือดออกจากหัวใจทางหลอดเลอื ดเอออตาร์ ระบบ ABO และระบบ Rh อารเ์ ตอรี อาร์เตอรโิ อล หลอดเลือดฝอย เวนูลเวน หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 99 และเวนาคาวาแลว้ เขา้ สู่หวั ใจ ชั้น ผลการเรียนรู้ สาระการเรียนรเู้ พ่ิมเติม ม.5 ขณะทหี่ ัวใจบีบตัวสบู ฉดี เลอื ดทาํ ใหเ้ กิดความดัน เลือดและชพี จรสภาพการทาํ งานของรา่ งกาย อายแุ ละ เพศของมนุษยเ์ ป็นปัจจัยทมี่ ผี ลต่อความดันเลอื ดและ ชพี จร เลอื ดมนุษยป์ ระกอบด้วยเซลลเ์ ม็ดเลือดชนดิ ต่างๆ เพลตเลต และพลาสมา ซงึ่ ทําหน้าทแี่ ตกต่างกัน หม่เู ลือดของมนษุ ยจ์ าํ แนกตามระบบ ABOไดเ้ ป็น เลอื ดหมู่ A B AB และ O ซึ่งเรียกชื่อตามชนดิ ของ แอนติเจนที่เยอื่ หุ้มเซลล์เม็ดเลอื ดแดงและจาํ แนกตาม ระบบ Rh ได้เป็นเลือดหมู่Rh+ และRh- การใหแ้ ละ รบั เลือดมีหลกั วา่ แอนติเจนของผู้ใหต้ ้องไมต่ รงกบั แอน ตบิ อดีของผู้รบั และการให้และรบั เลือดทเ่ี หมาะสมที่สุด คือ ผใู้ ห้และผูร้ ับควรมเี ลอื ดหมตู่ รงกนั 14. อธบิ ายและสรปุ เกย่ี วกับส่วนประกอบและ ของเหลวทซี่ มึ ผ่านผนงั หลอดเลือดฝอยออกมาอยู่ หน้าท่ขี องนํา้ เหลืองรวมท้ังโครงสรา้ งและหนา้ ทข่ี อง ระหว่างเซลล์ เรียกว่า นํ้าเหลอื งทําหน้าทห่ี ลอ่ เลยี้ ง หลอดน้ําเหลืองและต่อมน้าํ เหลอื ง เซลลแ์ ละสามารถแพร่เขา้ สู่หลอดน้าํ เหลอื งฝอย ซึ่ง ต่อมาหลอดนํา้ เหลอื งฝอยจะรวมกนั มีขนาดใหญ่ข้นึ และเปดิ เขา้ สรู่ ะบบหมุนเวียนเลอื ดทหี่ ลอดเลือดเวน ใกล้หวั ใจ ระบบนํ้าเหลอื งประกอบด้วย นํ้าเหลืองหลอด นํ้าเหลืองและต่อมนํา้ เหลอื ง โดยทําหนา้ ท่ีนาํ นาํ้ เหลอื งกลบั เข้าสรู่ ะบบหมุนเวยี นเลอื ด ตอ่ ม นํา้ เหลืองเปน็ ทอ่ี ยขู่ องเซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว ทําหน้าท่ี ทาํ ลายสง่ิ แปลก ปลอมทล่ี ําเลยี งมากบั นํ้าเหลือง 15. สืบคน้ ขอ้ มลู อธบิ าย และเปรยี บเทยี บกลไก กลไกทรี่ า่ งกายตอ่ ต้านหรอื ทาํ ลายส่ิงแปลก ปลอมมี การตอ่ ตา้ นหรอื ทาํ ลายสิ่งแปลกปลอมแบบไม่ อยู่ 2 แบบ คอื แบบจําเพาะและแบบไม่จําเพาะ จาํ เพาะและแบบจาํ เพาะ ตอ่ มไขมัน ตอ่ มเหง่อื ท่ีผิวหนังชว่ ยป้องกนั และ 16. สืบค้นขอ้ มลู อธิบายและเปรียบเทียบ การสรา้ ง ยบั ย้งั การเจรญิ ของจุลินทรยี ์บางชนดิ และเมือ่ เชื้อโรค ภูมิคมุ้ กนั กอ่ เองและภูมิคุ้มกันรบั มา หรอื ส่ิงแปลกปลอมเข้าสรู่ ่างกายเซลล์เมด็ เลอื ดขาว 17. สืบคน้ ข้อมูล และอธบิ ายเกย่ี วกับความผิดปกติ ชนดิ นิวโทรฟิลและโมโนไซตจ์ ะมีการตอ่ ต้านและ ของระบบภูมคิ ุ้มกันทท่ี ําใหเ้ กิดเอดส์ภูมแิ พ้ การสรา้ ง ทําลายสง่ิ แปลกปลอม โดยกระบวนการฟาโกไซโทซสิ หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี : โรงเรียนหารเทารังสปี ระชาสรรค์
หน้า 100 ภูมิตา้ นทานตอ่ เนือ้ เยื่อตนเอง สว่ นอโี อซิโนฟลิ เก่ียวข้องกับการทําลายปรสติ เบโซฟลิ ช้นั ผลการเรยี นรู้ เกย่ี วขอ้ งกบั ปฏกิ ริ ิยาการแพ้ ซึ่งเป็นการตอ่ ตา้ นหรอื ม.5 ทําลายสิง่ แปลกปลอมแบบไมจ่ ําเพาะ การต่อต้านหรือทาํ ลายส่ิงแปลกปลอมแบบจาํ เพาะ จะเกย่ี วข้องกบั การทํางานของลมิ โฟไซต์ชนิดเซลล์บี และเซลลท์ ี อวยั วะท่เี กยี่ วขอ้ งกับการสร้างและตอบ สนองของลิ มโฟไซต์ประกอบดว้ ยตอ่ มน้ําเหลอื ง ทอนซลิ ม้าม ไทมัสและเนื้อเย่อื น้ําเหลอื งทีผ่ นังลาํ ไสเ้ ล็ก การสรา้ งภมู ิคุ้มกนั แบบจาํ เพาะของรา่ งกายมี 2แบบ คือ ภมู ิคุ้มกนั ก่อเองและภูมคิ ุม้ กันรบั มา สาระการเรียนรเู้ พ่มิ เตมิ การได้รบั วคั ซนี หรือทอกซอยดเ์ ปน็ ตวั อย่างของ ภมู คิ ุม้ กันก่อเอง โดยการกระตุ้นให้รา่ ง กายสร้าง ภูมคิ มุ้ กันข้นึ ดว้ ยวิธกี ารให้สารท่ีเป็นแอนตเิ จนเข้าสู่ ร่างกาย ส่วนภูมิคุ้มกันรับมาเป็นการรบั แอนติบอดี โดยตรง เช่น การได้รบั ซีรมั การไดร้ บั นา้ํ นมแม่ เอดส์ ภมู แิ พ้ และการสร้างภมู ติ า้ นทานต่อเนอ้ื เยื่อ ตนเอง เปน็ ตวั อย่างของอาการที่เกิดจากระบบภูมิคมุ้ กันของร่างกายทีท่ าํ งานผดิ ปกติ 18. สบื คน้ ข้อมูล อธบิ ายและเปรยี บเทยี บโครงสรา้ ง อะมบี าและพารามเี ซียมเป็นส่ิงมีชีวติ เซลลเ์ ดยี วที่ และหนา้ ที่ในการกําจัดของเสยี ออกจากรา่ งกายของ มีคอนแทรกไทลแ์ วควิ โอลทําหน้าทีใ่ นการกาํ จัดและ ฟองนา้ํ ไฮดรา พลานาเรยี ไสเ้ ดอื นดนิ แมลงและ รักษาดลุ ยภาพของน้าํ และแร่ธาตุในเซลล์ สัตวม์ กี ระดูกสนั หลัง ฟองนาํ้ และไฮดรามเี ซลล์สว่ นใหญส่ มั ผสั กบั นา้ํ โดยตรง ของเสยี จึงถกู กําจัดออกโดยการแพร่สู่ สภาพแวดล้อม พลานาเรยี ใชเ้ ฟลมเซลลซ์ ึ่งกระจายอยู่ 2 ข้างตลอด ความยาวของลําตัวทําหนา้ ทข่ี บั ถา่ ยของเสยี ไสเ้ ดอื นดินใช้เนฟริเดียม แมลงใช้มัลพิเกียนทิวบูล และสัตวม์ ีกระดูกสันหลงั ใช้ไตในการขบั ถา่ ยของเสีย หลักสูตรกลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี : โรงเรยี นหารเทารังสปี ระชาสรรค์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274