๙๘ ขัน้ ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้ 4.1 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน เพ่ือท้ากิจกรรม การเจริญของรากพืช ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เลม่ 1 โดยมจี ุดประสงค์เพ่ืออธิบายเปรียบเทียบการงอกและการเจริญเติบโตของรากพืชใบเลียงเดยี่ วและราก พืชใบเลียงคไู่ ด้ 4.2 ครใู ช้รปู แบบการเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื : เทคนคิ คูคดิ ส่ีสหาย มาจดั กระบวนการเรยี นรู้ โดยกา้ หนดให้สมาชกิ แต่ละคนภายในกลุม่ มีบทบาทหน้าทขี่ องตนเอง ดงั นี 1) สมาชิกคนที่ 1 : ทา้ หนา้ ทเี่ ตรียมวสั ดอุ ุปกรณท์ ใ่ี ชใ้ นการท้ากจิ กรรม การเจรญิ ของรากพืช 2) สมาชกิ คนท่ี 2 : ทา้ หน้าท่อี ่านวิธีการทา้ กจิ กรรม และนา้ มาอธิบายให้สมาชิกภายในกลุม่ ฟงั 3) สมาชิกคนท่ี 3 : ทา้ หนา้ ทีบ่ ันทกึ ผลการทดลอง 4) สมาชิกคนที่ 4 : ท้าหนา้ ท่นี า้ เสนอผลการทดลอง 4.3 หลงั จากการท้ากิจกรรม ให้นกั เรียนแต่ละกลุม่ สืบคน้ ข้อมูลจากแหลง่ เรียนร้ตู ่าง ๆ เชน่ อินเทอร์เนต็ เพอื่ จัดท้ารายงาน เร่ือง การเจริญของรากพืช โดยต้องมีองค์ประกอบของรายงานครบถ้วน ได้แก่ 1) ปกนอก 2) ปกใน 3) ค้าน้า 4) สารบัญ 5) สารบัญตาราง 6) สารบัญรูปภาพ 7) บทน้า 8) เนือหา 9) สรุป 10) บรรณานุกรม และ 11) ภาคผนวก และน้าเสนอ เนือหาท่ีเกี่ยวข้องกับการท้ากิจกรรมซึ่งตรงกบั จุดประสงค์ ของกิจกรรม ผลกิจกรรมในรปู แบบตาราง โดยมีรปู แบบการนา้ เสนอท่นี า่ สนใจ 4.4 นกั เรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลจากกจิ กรรม เรื่อง การเจริญของรากพืช โดยใช้คา้ ถาม ดังนี 1) ส่วนใดของเมลด็ ทง่ี อกออกมากอ่ น และงอกมาจากต้าแหน่งใดของเมลด็ แนวตอบ รากเป็นสว่ นทีง่ อกออกมาจากเมลด็ (Seed) เปน็ ลา้ ดบั แรก 2) ตา้ แหน่งทม่ี กี ารงอกออกมาของเมล็ดถั่วเขยี วและเมล็ดข้าวโพดเหมอื นหรอื แตกต่างกนั อย่างไร แนวตอบ ไม่แตกต่างกัน คือ งอกออกมาทางรูขนาดเล็กท่ีอยู่ใต้รอยแผล เรียกว่ารูไมโครไพล์ (Micropyle) 3) การงอกของรากถั่วเขยี วและขา้ วโพดเหมือนหรือแตกต่างกนั อย่างไร แนวตอบ แตกต่างกัน เม่ือต้นถั่วเขียวและข้าวโพดเจริญ รากของต้นถ่ัวเขียวจะเจริญเป็นราก แก้ว (Tap root) ส่วนรากข้าวโพดจะเจริญมาจากโคนต้นเป็นรากพิเศษ (Adventitious root) หรอื รากฝอย (Fibrous root) ไม่แตกต่างกัน 4.5 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน เพื่อท้ากิจกรรม โครงสร้างภายในของปลายรากพืช ตอนที่ 1 ใน หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 1 โดยมีจุดประสงค์ดังนี 1) อธิบายเปรียบเทียบการงอกและการเจริญเติบโต ของรากพชื ใบเลยี งเดี่ยวและรากพืชใบเลยี งค่ไู ด้ โดยสมาชกิ ในกลุ่มมีบทบาทและหนา้ ทีข่ องตนเอง ดงั นี 1) สมาชกิ คนที่ 1 เตรียมวสั ดอุ ุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นการทา้ กิจกรรม โครงสรา้ งภายในของปลายรากพืช 2) สมาชกิ คนที่ 2 และ 3 ทา้ การทดลอง 3) สมาชกิ คนที่ 4 บนั ทึกผลการท้ากิจกรรม 4) สมาชกิ คนที่ 5 หรือ 6 นา้ เสนอผลท่ีไดจ้ ากกิจกรรม 4.6 นา้ ผลจากการทา้ กิจกรรมมาสืบค้นข้อมูล หรอื ศกึ ษาจากหนังสือเรียนเกยี่ วกับโครงสร้างภายใน รากท่ีตัด ตามยาว โดยแต่ละบริเวณเรยี กว่าอะไร แลว้ บนั ทึกข้อมลู ลงในสมดุ บนั ทึก 4.7 หลงั จากการท้ากิจกรรม นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลจากกิจกรรม ตอนที่ 1 โดยใชค้ ้าถาม ในการ อภปิ รายดงั นี
๙๙ จากภาพพจิ ารณาภาพท่ีก้าหนดให้ จงระบชุ อ่ื บริเวณ A B C และ D A B C D แนวตอบ A คือ บริเวณเปล่ียนสภาพและเจริญเต็มที่ของเซ ลล์ ( Region of cell - Differentiation and maturation) B คือ บริเวณยืดตามยาวของเซลล์ (Region of cell Elonglstin) C คือ บริเวณแบ่งเซลล์ (Region of cell division) และ D คือ บริเวณหมวกราก (Root cap) 4.8 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเดิม เพ่ือท้ากิจกรรม โครงสร้างภายในของปลายรากพืช ตอนท่ี 2 ในหนังสือเรียน ชีววิทยา ม.5 เลม่ 1 โดยมีจดุ ประสงคเ์ พอ่ื 1) ศกึ ษาโครงสร้างภายในของปลายรากพืชด้วยกล้องจลุ ทรรศน์ได้ 2) เปรียบเทียบความแตกต่างของโครงสร้างภายในของปลายรากพืชใบเลียงเดี่ยวพืชใบเลียงคู่ โดยสมาชิกใน กลมุ่ มบี ทบาทและหนา้ ทขี่ องตนเอง ดงั นี 1) สมาชิกคนที่ 1 เตรียมวสั ดอุ ุปกรณ์ที่ใช้ในการท้ากิจกรรม โครงสร้างภายในของปลายรากพชื ตอนท่ี 2 สมาชิกคนที่ 2 และ 3 ทา้ การทดลอง 2) สมาชิกคนท่ี 4 บนั ทกึ ผลการทา้ กิจกรรม 3) สมาชกิ คนที่ 5 และ 6 นา้ เสนอผลท่ไี ด้จากกิจกรรม 4.9 หลงั จากการทา้ กจิ กรรม นักเรียนและครูร่วมกันอภปิ รายผลจากกจิ กรรม ตอนที่ 2 4.10 ครูถามค้าถามท้ายกจิ กรรม โดยใชแ้ นวค้าถามตอ่ ไปนี 1) โครงสร้างภายในของรากจากการตัดตามยาวในพืชใบเลียงคู่และใบเลียงเดี่ยวเหมือนกันหรือ แตกต่างอยา่ งไร แนวตอบ พิจารณาค้าตอบของนักเรียน โดยมีแนวตอบค้าถามท้ายกิจกรรม ดังนี เหมือนกันซ่ึง ประกอบด้วย 4 บริเวณ ได้แก่ บริเวณเปล่ียนสภาพและเจริญเต็มที่ของเซลล์ (Region of Cell differentiation and maturation) บริเวณยืดตามยาวของเซลล์ (Region of cell Elonglstin) บริเวณแบ่งเซลล์ (Region of cell division และบริเวณหมวกราก (Root cap)
๑๐๐ 2) การเจริญเติบโตปฐมภูมิ (Primary growth of root) และการเจริญเติบโตทุติยภูมิ (Secondary Growth of root) ของรากแตกตา่ งกันอยา่ งไร และสามารถพบไดท้ ังในรากพืชเลียงคู่และรากพืชใบ เลยี งเด่ียวหรอื ไม่ แนวตอบ รากต้นทานตะวันและรากต้นข้าวต่างประกอบด้วย 3 ชัน คือ ชันเอพิเดอร์มิส (Epidermis) คอร์เทกซ์ (Coetex) และ สตีล (Stele) แต่ต้นทานตะวันจะมีจ้านวนแฉกของท่อ ลา้ เลยี งไซเล็ม (Xylem) ท่ีอยู่ในชันสตลี นอ้ ยกวา่ ต้นข้าว และมกี ารจดั เรียงท่อล้าเลียงท่ีเป็นระเบียบ มากกวา่ 4.11 ครมู อบหมายการบา้ นให้นักเรยี นท้าแบบฝึกหัด ในแบบฝึกหดั ชวี วทิ ยา ม.5 เลม่ 1 4.12 ครมู อบหมายให้นักเรยี นสร้างแบบจ้าลองโครงสรา้ งภายในรากพืชใบเลียงเด่ียวและพชื ใบเลยี งคู่ โดยให้ นักเรยี นจับกล่มุ อสิ ระ 4-5 คน ร่วมกนั ออกแบบใชว้ ัสดทุ มี่ คี วามเหมาะสมในการทา้ แบบจา้ ลอง เชน่ ตะเกยี บ หลอด หนังยาง และน้าเสนอในรปู แบบท่สี วยงาม ข้นั ท่ี 5 ประเมินผล 5.1 วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล 1. ประเมนิ จากสมดุ บันทึก 2. ประเมนิ จากใบกิจกรรม 3. ประเมนิ พฤติกรรมนกั เรียน 5.2 เคร่ืองมอื วัดและประเมนิ ผล 1. แบบเฉลยรายงานสมดุ บนั ทึก 2. แบบประเมนิ ใบกิจกรรม 3. แบบประเมินพฤติกรรมนกั เรยี น 5.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมินผล 1. การประเมินจากสมดุ บันทึก ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 70 2. การประเมินใบกจิ กรรม ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 80 3. การประเมนิ พฤติกรรมนักเรียน ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 80 11. สอื่ /แหลง่ การเรียนรู้ 11.1 หนงั สือเรยี นสาระการเรยี นรู้ชีววิทยา 3 11.2 เพาเวอร์พอยท์ เรือ่ ง โครงสรา้ งและการเจริญเตบิ โตของราก 11.3 ใบกิจกรรมที่ 2.2 เร่ือง โครงสรา้ งและการเจริญเติบโตของราก 11.4 สมดุ บนั ทกึ
๑๐๑ 12. หลักฐานการเรยี นรแู้ ละวิธกี ารประเมิน วธิ ีการวัด เคร่อื งมอื วดั เกณฑ์การ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (K P A) ประเมนิ - ใบกิจกรรม ดา้ นความรู้ (K) - ตรวจใบกิจกรรม - สมุดบนั ทึก ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 1. ผเู้ รียนสามารถอธิบายโครงสร้างภายในของราก - ตรวจสมุดบันทกึ ของคะแนน พชื ใบเลียงเด่ียวและรากพชื ใบเลียงคู่จากการตดั ตามขวาง 2. ผ้เู รยี นสามารถเปรยี บเทยี บโครงสรา้ งภายใน ของรากพืชใบเลยี งเด่ยี วและรากพืชใบเลยี งคู่ได้ ด้านทกั ษะ (P) - ตรวจผลงาน - แบบประเมนิ ผ่านเกณฑ์ 1. ผเู้ รียนสามารถจา้ แนกประเภทและเขียน - สังเกตความตงั ใจ ชนิ งาน คณุ ภาพระดบั แผนผังสรุปชนิดของเนอื เยือ่ พืชได้ และความ 2 รับผดิ ชอบในการ - แบบประเมนิ ดา้ นเจตคติ (A) ปฏบิ ัตกิ ิจกรรม พฤตกิ รรม ผา่ นเกณฑ์ 1. ความสนใจ คุณภาพระดับ 2. การตรงตอ่ เวลา - สงั เกตพฤติกรรม 2 3. การตอบคา้ ถาม การเรียนรู้ 4. การยอมรบั ฟงั ผ้อู ่นื 5. ความรบั ผดิ ชอบ
๑๐๒ ใบงานท่ี 2.2 เร่อื ง โครงสรา้ งและหน้าที่ของราก คาช้แี จง : ใหน้ ักเรยี นเตมิ คาตอบลงในชอ่ งวา่ งใหถ้ ูกตอ้ งและสมบรู ณท์ ่สี ดุ ............................................................................................................................. ...................................... 1.เนือเยอ่ื เจริญแบ่งออกได้เปน็ กก่ี ลมุ่ คอื อะไรบ้าง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................ 2.เนือเย่ือเอพิเดอร์มิสท้าหนา้ ท่อี ย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3.ไซเลม (Xylem)ท้าหนา้ ท่ี อยา่ งไร และประกอบดว้ ยสว่ นใดบ้าง ……………………………………………………………………………………………………………………..…………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………… 4.โฟลเอ็ม (Phloem)ท้าหน้าท่ี อยา่ งไร และประกอบด้วยส่วนใดบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………..………………………………………………………………… 5. แรดเิ คิล (radical) คือสว่ นใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………….…………………………………………………………………... 6. จงยกตัวอยา่ งพืชท่ีมรี ากสะสมอาหาร มา 3 ชนดิ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. ชือ่ -สกุล....................................................................ชั้น.................เลขท.ี่ ..................
๑๐๓ เฉลยใบงานท่ี 2.2 เรื่อง โครงสรา้ งและหนา้ ที่ของราก ค้าชีแจง : ให้นักเรยี นเตมิ ค้าตอบลงในชอ่ งว่างใหถ้ กู ตอ้ งและสมบูรณท์ ่สี ดุ ................................................................................................................................................................... 1.เนอ้ื เยอื่ เจรญิ แบ่งออกไดเ้ ปน็ ก่ีกลุม่ คอื อะไรบ้าง ตอบ 3 กลุม่ 1. เนอื เย่ือเจริญส่วนปลาย (Apical meristem) 2. เนือเยอื่ เจริญด้านข้าง (Lateral meristem) 3. เนอื เยื่อเจรญิ เหนือข้อ (Intercalary meristem) 2. เน้อื เยือ่ เอพเิ ดอร์มสิ ทาหน้าอยา่ งไร ตอบ ปกคลุมและปอ้ งกนั อนั ตรายให้แกพ่ ืช 3.ไซเลม (Xylem)ทาหนา้ ท่ี อยา่ งไร และประกอบด้วยส่วนใดบา้ ง ตอบ ล้าเลียงน้าและแร่ธาตุจากรากไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช ซึ่งเรียกว่า คอนดักชัน (Conduction) ไซเลม ประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนดิ คือ 1. เซลลพ์ าเรงคิมา (Parenchyma) 2. ไฟเบอร์ (Fiber) 3. เทรคิด (Tracheid) 4. เวสเซลอีลีเมนต์ (Vessel element ) 4.โฟลเอ็ม (Phloem)ทาหน้าท่ี อย่างไร และประกอบดว้ ยส่วนใดบา้ ง ตอบ โฟลเอม็ ท้าหนา้ ทีล่ า้ เลียงอาหารหรอื อนิ ทรยี สารจากใบไปยังสว่ นต่าง ๆ ของพืช การลา้ เลียงน้าทางโฟล เอ็มเรยี กวา่ ทรานสโลเคชนั (Translocation) โฟลเอ็มประกอบดว้ ยเซลล์ 4 ชนดิ คือ 1. เซลลพ์ าเรงคมิ า 2. ไฟเบอร์ 3. ซีฟทิวบเ์ มมเบอร์ (Sieve tube member) 4. คอมพาเนยี นเซลล์ (Companion cell) 5.แรดเิ คลิ (radical) คอื สว่ นใด ตอบ คือส่วนประกอบของเอ็มบริโอท่ีเจริญออกมาจากเมล็ดเป็นอันดับแรก ซึ่งจะเจริญเติบโตต่อไปเป็นราก แก้ว 6. จงยกตัวอย่างพืชทมี่ รี ากสะสมอาหาร มา 3 ชนดิ 1. แครอท 2. หวั ไชเถ้า 3. มนั สา้ ประหลงั
๑๐๔ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 8 รายวชิ า ชีววทิ ยา 3 รหัสวชิ า ว32243 กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 โครงสรา้ งและการเจริญเติบโตของพืชดอก เวลา 14 ชวั่ โมง เรอื่ ง โครงสร้างและการเจรญิ เติบโตของลาต้น เวลา 3 ช่วั โมง ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 ครผู ้สู อน นายบญุ รัง จาปา 1. สาระชีววทิ ยา สาระที่ 3 เข้าใจส่วนประกอบของพชื การแลกเปลีย่ นแก๊สและคายน้าของพืช การลา้ เลยี งของพชื การสงั เคราะหด์ ้วยแสง การสืบพันธ์ุของพชื ดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมทงั น้า ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ สังเกต อธบิ าย และเปรยี บเทียบโครงสร้างภายในของล้าตน้ พชื ใบเดย่ี วและล้าตน้ พืชใบเลยี งคู่จากการ ตัดตามขวาง 3. สาระสาคัญ ล้าต้นพืชประกอบด้วย เนือเย่ือด้านข้าง ท้าให้ล้าต้นขยายขนาดใหญ่ขึน และภายในล้าต้นมีเนือเยื่อ ล้าเลยี งทา้ หนา้ ท่ลี ้าเลยี งน้าและอาหาร นอกจากนี พชื บางชนดิ มีล้าต้นใต้ดนิ ทา้ หนา้ ทส่ี ะสมอาหาร 4. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) 1. ผู้เรยี นสามารถอธบิ ายโครงสรา้ งภายในของล้าต้นพืชใบเลยี งเด่ยี วและล้าต้นพชื ใบเลียงคู่จากการตดั ตามขวาง 4.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) 1. ผู้เรยี นสามารถเปรียบเทยี บโครงสร้างภายในของลา้ ต้นพชื ใบเลียงเด่ียวและล้า ตน้ พืชใบเลียงคู่ได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงตอ่ เวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรบั ฟังผู้อน่ื 5. ความรบั ผดิ ชอบ 5. สาระการเรยี นรู้ - ลา้ ตน้ คอื ส่วนแกนของพืชทโี่ ดยท่วั ไปเจรญิ อยเู่ หนือระดับผิวดนิ ถดั ขึนมาจากราก ทา้ หนา้ ที่สรา้ งใบ และชใู บ ล้าเลียงน้า ธาตุอาหาร และอาหารท่พี ืชสรา้ งขึนสง่ ไปยงั ส่วนตา่ ง ๆ - โครงสร้างภายในของล้าต้นระยะการเติบโตปฐมภูมิ เม่ือตัดตามขวางจะเห็นโครงสร้างแบ่งเป็น 3 ชนั เรยี งจากดา้ นนอกเข้าไป คอื ชันเอพิเดอรม์ ิส ชันคอรเ์ ทกซ์ และชนั สตลี ซง่ึ ชันสตลี จะพบมดั ทอ่ ล้าเลียงท่ีมี ลักษณะแตกตา่ งกนั ในพืชใบเลียงเดย่ี วและพชื ใบเลียงคู่
๑๐๕ - ล้าต้นในระยะการเติบโตทุติยภูมิ จะมีเส้นรอบวงเพิ่มขึน และมีโครงสร้างแตกต่างจากเดิม เน่ืองจากมกี ารสร้างเนอื เยอื่ เพริเดริ ม์ และเนือเยื่อท่อล้าเลียงทุตยิ ภูมเิ พ่ิมขนึ 6. ด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (Attitude) คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงคต์ ามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขันพนื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง ซ่ือสตั ย์สุจริต มุง่ ม่นั ในการทา้ งาน มีวนิ ัย รักความเป็นไทย ใฝเ่ รียนรู้ มจี ิตสาธารณะ 7. คณุ ลกั ษณะของผเู้ รียน ตามหลกั สตู รโรงเรียนมาตรฐานสากล เปน็ เลิศวิชาการ สอื่ สารสองภาษา ล้าหนา้ ทางความคิด ผลิตงานอย่างสรา้ งสรรค์ ร่วมกนั รับผิดชอบต่อสังคมโลก 8. ดา้ นการ อ่าน คิดวเิ คราะห์และเขยี น การอา่ น : อ่านเอกสารใบความรู้ เรอื่ ง โครงสรา้ งและการเจรญิ เติบโตของราก การคดิ วิเคราะห์ : คิดวิเคราะห์ข้อมูลทีไ่ ดจ้ ากการอ่านใบความรู้ การเขียน : เขียนสรุป เรื่อง โครงสรา้ งและการเจริญเติบโตของราก 9. ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ความสามารถในการสือ่ สาร : แสดงความคิดเหน็ และสามารถอธิบาย ความสามารถในการคิด : มีความสามารถในการวเิ คราะห์ แกป้ ัญหาเฉพาะหน้า ความสามารถในการแกป้ ัญหา : นักเรียนสามารถแกไ้ ขปญั หาเฉพาะหนา้ ไดเ้ ม่ือพบปัญหา ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ : ท้างานรว่ มกบั ผอู้ ื่นได้ดี ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี : สามารถใชเ้ ทคโนโลยีสืบคน้ ข้อมลู 10. กจิ กรรมการเรียนรู้ (5E) ชัว่ โมงที่ 1 ขน้ั ที่ 1 ขัน้ สร้างความสนใจ 1.1 ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียนโดยน้าต้นพืชขนาดเล็ก เช่น ต้อยติ่ง ต้นถั่วที่เพาะไว้ มาให้ นักเรียน สงั เกต เพ่อื ศึกษาลักษณะของล้าตน้ แตล่ ะชนดิ 1.2 ครูตงั ค้าถามกระตนุ้ ความคดิ นักเรียน โดยมีแนวคา้ ถามดงั นี 1) นกั เรยี นรูไ้ ด้อยา่ งไรว่าบรเิ วณใดเป็นล้าต้น แนวตอบ ล้าต้นมักมีสีเขียว หรือสีอื่นร่วม มีเจริญออกด้านข้างของล้าต้นตรงต้าแหน่งข้อที่เห็นได้ ชัดเจน โดยเฉพาะพืชใบเลียงเด่ยี ว เช่น ต้นขา้ ว ไผ่ จะเหน็ ขอ้ และปล้องชัดเจนกวา่ พชื ใบเลียงคู่ 2) นกั เรยี นคิดว่าหากเราตัดล้าต้นพืชตามขวาง เราจะสังเกตเห็นอะไรบา้ ง (แนวตอบ: โครงสร้างภายในของลา้ ต้นที่แตกตา่ งกันไปตามชนดิ ของพชื เชน่ พชื ใบเลียงเดี่ยว และ พืชใบเลียงคู่ จะพบว่าล้าต้นของพืชใบเลียงเด่ียว กลุ่มท่อล้าเลียงกระจายท่ัวไปในเนือเยื่อพืน (Ground tissue) แต่ในพชื ใบเลยี งคู่ กลุ่มท่อลา้ เลยี งเรยี งเปน็ ระเบียบในแนวรัศมี ข้ันที่ 2 ข้นั สารวจและคน้ หา ชัว่ โมงท่ี 2 2.1 ใหน้ กั เรียนสบื ค้นข้อมลู และศึกษาโครงสรา้ งและหน้าที่ภายในของล้าตน้ พืชใบเลยี งเดี่ยวและพชื ใบเลียงคู่ จากแหลง่ การเรยี นรูต้ ่าง ๆ เช่น อนิ เทอร์เนต็ หรือหนงั สอื เรียนชวี วิทยา ม.5 เลม่ 1
๑๐๖ 2.2 ให้นักเรยี นแบง่ กลุ่ม กลุม่ ละ 6 กลุ่ม ตามความสมัครใจ ร่วมกนั สบื คน้ ขอ้ มูลเกี่ยวกบั บริเวณปลายสุดของ ลา้ ตน้ จาก PowerPoint Presentation เรื่อง บรเิ วณปลายสดุ ของล้าตน้ 2.3 ให้นักเรยี นแบ่งกลุม่ ออกเป็น 6 กลุ่ม ท้าปฏิบัติการโดยแต่ละกลุ่มตัดตามขวางล้าต้นของพืชใบเลยี งคู่และ ใบเลียงเดีย่ ว แลว้ ศีกษาไต้กลอ้ งจุลทรรศน์ ใชก้ ลอ้ งโทรศัพท์บันทึกภาพไต้กล่องแล้วชีต้าแหนง่ ชันของเนือเย่ือ ตอ่ ไปนี 1) ชันเอพิเดอร์มิส (Epidermis) 2) ชันคอร์เทกซ์ (Cortex) 3) ชันวาสคิวลาร์ แคมเบยี ม (Vascular cambium) 4) ชอ่ งพิธ (Pith cavity) 2.4 เมือ่ แต่ละกล่มุ ศกึ ษาข้อมลู แล้ว ใหน้ กั เรียนใหอ้ อกมาน้าเสนอหน้าชนั เรียน ขนั ที่ 3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรุป ชวั่ โมงท่ี 3 3.1ครูอธบิ ายความรดู้ ว้ ยวธิ ีการตงั คา้ ถามให้นักเรยี นวเิ คราะหแ์ ละอธิบายคา้ ตอบ โดยมแี นวค้าถาม ดงั นี 1) การจัดเรียงตวั ของกลุ่มมัดท่อล้าเลียง (Vascular bundle) ภายในล้าต้นพืชใบเลียงเดี่ยวและใบ เลยี งค่แู ตกต่างกันหรอื ไม่อย่างไร แนวตอบ แตกตา่ งกัน กลุ่มมัดทอ่ ลา้ เลียงในลา้ ต้นพืชใบเลียงเด่ยี วจะกระจายทัว่ เนอื เยือ่ แตจ่ ะเรยี ง ตวั เปน็ ระเบียบในล้าต้นพืชใบเลยี งคู่ 2) วาสคิวลาร์ แคมเบยี ม (Vascular cambium) ทา้ หนา้ ท่อี ะไร และเนอื เยือ่ ชนิดนีพบได้ในพืชชนดิ ใด แนวตอบ ทา้ หนา้ ที่แบ่งเซลล์ ท้าให้เกิดเนือเยอื่ ท่อล้าเลยี ง สว่ นมากพบในพชื ใบเลียงคู่ 3) ช่องพธิ (Pith cavity) พบได้ในพชื ชนดิ ใด แนวตอบ พบในพชื ใบเลียงเดีย่ ว สว่ นพิธ (Pith) ในลา้ ต้นพืชใบเลียงคู่จะถกู แทนท่ีด้วยไซเลม็ 3.2 ครูน้าภาพโครงสรา้ งภายในของล้าต้นเม่อื ตดั ตามขวางมาให้นกั เรียนรว่ มกนั ตอบค้าถามจากภาพโดยมีแนว คา้ ถามดังนี ภาพท่ี 1 ภาพที่ 2 1) ภาพท่ี 1 เป็นภาพของเนอื เยื่อทีอ่ ยูภ่ ายในล้าตน้ ชนดิ ใด แนวตอบ ล้าตน้ พืชใบเลียงเดยี่ ว 2) ภาพที่ 2 เปน็ ภาพของเนือเย่ือทีอ่ ยภู่ ายในล้าตน้ ชนิดใด แนวตอบ ลา้ ตน้ พชื ใบเลยี งคู่ 3.3 ให้นักเรียนสืบค้นข้อมลู และศึกษาเนือหาจากแหล่งการเรียนรู้ เช่น ห้องสมุด อินเทอร์เนต็ หนังสือเรียน ชวี วทิ ยา ม.5 เลม่ 1 โดยครกู า้ หนดหวั ขอ้ เรอื่ งดังนี
๑๐๗ 1) ล้าต้นขยายขนาดเป็นวงกวา้ งไดอ้ ย่างไร 3.4 ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลุ่ม กล่มุ ละ 5-6 คน สืบคน้ ขอ้ มลู ว่า “ทา้ ไมเนอื ไมจ้ ึงมีสเี ขม้ และอ่อนแตกต่างกัน” 3.5 ครูน้าเกม หรือใช้ความบันเทิงช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วม เพื่อเลือกตัวแทนนักเรียน 3-4 คน ออกมาน้าเสนอชินงาน เร่ือง ล้าต้นขยายขนาดได้อย่างไร แล้วให้นักเรียนทุกคนร่วมกันอภิปรายข้อมูลท่ี ตวั แทนนกั เรียนนา้ เสนอ 3.6 ใหต้ วั แทนกลมุ่ ออกมานา้ เสนอข้อมลู ว่า “ทา้ ไมเนอื ไม้จงึ มีสีเขม้ และออ่ นแตกต่างกนั ” จากนันครูพจิ ารณา ข้อมลู ทต่ี ัวแทนนกั เรียนน้าเสนอ แนวคาตอบ เนือไม้ ประกอบด้วย แก่นไม้ และกระพีไม้ ซ่ึงแก่นไม้ เป็นบริเวณท่ีมไี ซเล็มท่ีมอี ายุ มาก ไม่สามารถล้าเลียงน้าได้เน่ืองจากมีการสะสมของสารอินทรีย์จึงท้าให้บริเวณนีมีสีเข้มส่วนกระพีไม้เป็น บริเวณท่ีมีไซเล็ม (Xylem) ที่มีอายุน้อย สามารถล้าเลียงน้าและธาตุอาหารได้เนื่องจากยังไม่มสี ารอินทรียม์ า สะสมจงึ ท้าใหบ้ ริเวณนมี ีสอี อ่ น 3.7 ให้นักเรยี นศกึ ษากิจกรรม โครงสรา้ งภายในของลา้ ตน้ โดยจุดประสงค์เพ่ือ 1) ศกึ ษาโครงสร้าง ของล้าต้น พืชใบเลียงเดี่ยวและพืชใบเลียงคู่ด้วยกล้องจุลทรรศนไ์ ด้ 2) อธิบายและเปรียบเทียบโครงสรา้ งภายในของลา้ ต้นแตล่ ะชนดิ ในหนังสือเรยี นชีววิทยา ม.5 เลม่ 1 3.8 ให้นักเรยี นแบ่งกลุม่ กลุ่มละ 4-5 คน โดยสมาชกิ ในกลุ่มมบี ทบาทและหน้าท่ีของตนเอง ดงั นี 1) สมาชกิ คนท่ี 1 เตรียมวสั ดอุ ุปกรณ์ทใี่ ชใ้ นการทา้ กิจกรรมโครงสร้างภายในของล้าต้น 2) สมาชกิ คนท่ี 2 และ 3 ทา้ การทดลอง 3) สมาชกิ คนท่ี 4 บนั ทกึ ผลการท้ากิจกรรม 4) สมาชกิ คนที่ 5 น้าเสนอผลทไ่ี ด้จากกิจกรรม 3.9 ครูสุ่มตวั แทนกลุ่มออกมาน้าเสนอผลจากการท้ากจิ กรรมโครงสร้างภายในของล้าตน้ 3.10 นกั เรียนและครรู ่วมกันอภิปรายผลจากการท้ากิจกรรมโครงสร้างภายในของลา้ ต้น และถามค้าถามท้าย กิจกรรม โดยมแี นวค้าถามดังนี 1) เนอื เย่ือของล้าต้นพชื ใบเลยี งเดยี่ วและพืชใบเลียงคมู่ โี ครงสร้างเหมือนหรอื แตกต่างกันอยา่ งไร แนวตอบ เนือเย่ือชันต่าง ๆ ของล้าต้นพืชใบเลียงคู่และล้าต้นพืชใบเลียงเดี่ยวประกอบไปด้วยชันเนือเย่ือที่ คลา้ ยกนั คือ เอพเิ ดอรม์ ิส (Epidermis) มัดท่อล้าเลียง (Vascular bundle) และพิธ (Pith) แต่แตกต่างกันทพ่ี ืชใบเลียง คู่ระหวา่ ง ไซเล็ม (Xylem) และโฟลเอ็ม (Phloem) จะมเี นอื เยือ่ แคมเบยี ม (Vascular Cambium) คั่น ในขณะท่ีพืชใบ เลียงเดี่ยวไม่มีเนือเย่ือแคมเบียมค่ัน และในพืชใบเลียงคู่จะเห็นบริเวณพิธชัดเจน นอกจากนีการจัดเรียงตัวของมัดท่อ ล้าเลียงในพชื ใบเลียงคู่จะเป็นระเบียบมากกว่าพชื ใบเลียงเดีย่ ว ขัน้ ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ 4.1 ให้นักเรยี นออกมาจบั ฉลากหมายเลขระหว่างหมายเลข 1 และ 2 เพอื่ แบง่ นักเรียนออกเป็น 2 กลุ่ม โดย แตล่ ะกลมุ่ มหี น้าท่ีสืบคน้ หวั ข้อตอ่ ไปนี 1) กลุม่ นักเรยี นทจี่ ับได้หมายเลข 1: ศึกษาล้าต้นเหนอื ดนิ (Aerial stem) 2) กลมุ่ นักเรยี นทีจ่ ับไดห้ มายเลข 2: ศกึ ษาล้าตน้ ใต้ดนิ (Underground stem) จากนันให้นักเรียนร่วมกันสืบค้นข้อมูลผ่านแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ จากนันจัดท้าชินงานในรูปแบบ PowerPoint Presentation 4.2 ให้นักเรียนภายในกล่มุ รว่ มกันแบ่งหนา้ ท่สี มาชิกภายในกล่มุ ดังนี 1) นักเรยี นกลุม่ ที่ 1 : ศกึ ษาและรวบรวมข้อมูล
๑๐๘ 2) นักเรียนกล่มุ ที่ 2 : ท้าข้อมลู นา้ เสนอในรปู แบบ PowerPoint Presentation 3) นักเรียนกลมุ่ ที่ 3 : น้าเสนอข้อมูล 4.3 ครูให้ตัวแทนกลุ่มออกมาน้าเสนอข้อมูลในรูปแบบ PowerPoint Presentation ภายใต้หัวข้อเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ภายในของล้าต้นพืชใบเลียงเด่ียวและพืชใบเลียงคู่ แล้วให้นักเรียนบันทึกข้อมูลท่ีตัวแทน นา้ เสนอลงในสมดุ บนั ทกึ ของตนเอง 4.4 ใหน้ กั เรียนนา้ ข้อมลู ทร่ี วบรวมไดจ้ ากการนา้ เสนอขอ้ มูลของตัวแทนกลมุ่ ทา้ ใบงานท่ี 1.7 เรอื่ ง โครงสร้าง และการเจรญิ เติบโตของล้าต้น 4.5 นกั เรยี นและครูร่วมกันอภปิ รายผลทไ่ี ดจ้ ากการทา้ ใบงาน 4.6 ครมู อบหมายใหน้ ักเรียนสร้างแบบจ้าลองโครงสร้างภายในลา้ ต้นพืชใบเลียงเดี่ยวและพืชใบเลียงคู่ โดยให้ นกั เรยี นจับกลุ่มอิสระ 4-5 คน ร่วมกันออกแบบใชว้ ัสดุทีม่ ีความเหมาะสมในการท้าแบบจ้าลอง เช่น ตะเกียบ หลอด หนังยาง และนา้ เสนอในรูปแบบท่นี า่ สนใจ 4.7 ครใู หน้ ักเรยี นท้าแบบฝกึ หดั ลงในแบบฝกึ หัดชีววทิ ยา ม.5 เลม่ 1 ขน้ั ท่ี 5 ประเมินผล 5.1 วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล 1. ประเมนิ จากสมุดบันทึก 2. ประเมนิ จากใบกิจกรรม 3. ประเมนิ พฤติกรรมนักเรียน 5.2 เคร่ืองมอื วัดและประเมนิ ผล 1. แบบเฉลยรายงานสมดุ บันทึก 2. แบบประเมนิ ใบกจิ กรรม 3. แบบประเมนิ พฤติกรรมนกั เรียน 5.3 เกณฑ์การวัดและการประเมินผล 1. การประเมนิ จากสมุดบนั ทึก ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 70 2. การประเมินใบกิจกรรม ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 3. การประเมนิ พฤตกิ รรมนักเรยี น ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 11. สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้ 11.1 หนังสือเรียนสาระการเรยี นร้ชู ีววิทยา 3 11.2 เพาเวอร์พอยท์ เรื่อง โครงสรา้ งและการเจริญเติบโตของล้าตน้ 11.3 ใบกิจกรรมที่ 2.3 เรือ่ ง โครงสร้างและการเจรญิ เติบโตของลา้ ต้น 11.4 สมุดบนั ทึก
๑๐๙ 12. หลักฐานการเรยี นรแู้ ละวิธกี ารประเมิน วธิ ีการวดั เครอื่ งมือวัด เกณฑก์ าร จุดประสงค์การเรียนรู้ (K P A) ประเมิน - ใบกิจกรรม ดา้ นความรู้ (K) - ตรวจใบกิจกรรม - สมดุ บันทึก ผ่านเกณฑ์ 1. ผู้เรยี นสามารถอธิบายโครงสรา้ งภายในของลา้ - ตรวจสมุดบนั ทึก รอ้ ยละ 70 ต้นพืชใบเลยี งเดี่ยวและลา้ ตน้ พืชใบเลียงคู่จากการ ของคะแนน ตดั ตามขวาง ดา้ นทกั ษะ (P) - ตรวจผลงาน - แบบประเมนิ ผ่านเกณฑ์ 1. ผู้เรยี นสามารถเปรยี บเทยี บโครงสร้างภายใน - สงั เกตความตังใจ ชนิ งาน คณุ ภาพระดบั ของล้าต้นพชื ใบเลยี งเดยี่ วและล้าตน้ พืชใบเลียงคู่ และความ 2 ได้ รบั ผดิ ชอบในการ - แบบประเมิน ปฏิบัติกจิ กรรม พฤติกรรม ผ่านเกณฑ์ ด้านเจตคติ (A) คุณภาพระดับ 1. ความสนใจ - สังเกตพฤตกิ รรม 2 2. การตรงตอ่ เวลา การเรยี นรู้ 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรบั ฟงั ผอู้ น่ื 5. ความรบั ผดิ ชอบ
๑๑๐ ใบงานท่ี 2.3 เร่อื ง โครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของลาตน้ คาช้ีแจง : ให้นักเรียนเตมิ คาตอบลงในช่องว่างใหถ้ ูกต้องและสมบูรณท์ ่สี ุด ............................................................................................................................. ................................ 1.ลกั ษณะของลาต้นทแี่ ตกต่างจากรากอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.จงเปรียบเทียบลกั ษณะภายในที่แตกตา่ งระหว่างลาตน้ พืชใบเล้ียงคู่และพชื ใบเล้ยี งเดี่ยว ลาต้นพืชใบเลี้ยงคู่ ลาตน้ พชื ใบเลีย้ งเดี่ยว 3. จงบอกหน้าทีข่ องลาตน้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ชื่อ-สกุล...............................................................ชน้ั .................เลขที่..................
๑๑๑ เฉลยใบงานท่ี 2.3 เรื่อง โครงสร้างและหนา้ ท่ีของลาตน้ คาช้แี จง : ใหน้ กั เรียนเตมิ คาตอบลงในช่องว่างให้ถูกตอ้ งและสมบรู ณท์ ่ีสุด ............................................................................................................................................................. 1.ลักษณะของลาตน้ ทแ่ี ตกตา่ งจากรากอย่างไร ตอบ ลกั ษณะของลำตน้ ที่แตกต่ำงจำกรำกคือ มี ข้อ (Node) และปล้อง (Internode) บรเิ วณที่เปน็ ข้อมกั พบ ตำ (Bud) ท่ีจะเจรญิ ต่อไปเป็นกิง่ หรอื ดอก ในลำต้นพืชใบเล้ียงเดี่ยว เห็นข้อปล้องไดอ้ ยำ่ งชัดเจน สว่ นในพืช ใบเลย้ี งคู่จะเหน็ ปล้องในชว่ งท่ีลำต้นยังอ่อนอยู่ เม่ือลำตน้ มอี ำยมุ ำกขึน้ มกี ำรสรำ้ งคอร์กหมุ้ ทำให้มองไมเ่ ห็นข้อ ปล้อง 2. จงเปรยี บเทยี บลักษณะทแี่ ตกตา่ งระหว่างลาต้นพชื ใบเลีย้ งคแู่ ละพชื ใบเลยี้ งเดีย่ ว ลาต้นพชื ใบเลี้ยงคู่ ลาต้นพืชใบเลีย้ งเดี่ยว 1. วำสคิวลำรบ์ นั เดลิ เรยี งเป็นระเบียบในแนวรัศมี 1. วำสควิ ลำบนั เดลิ กระจดั กระจำยทัว่ ลำต้น 2. มีแคมเบียมระหว่ำงโฟลเอ็มและไซเลม จึงมีกำร 2. ส่วนใหญ่ไม่มแี คมเบยี มระหวำ่ งโฟลเอ็มและไซเลม เจรญิ เติบโตข้นั ทส่ี อง ทำใหล้ ำต้นอ้วนขึน้ จึงไม่เพม่ิ ขนำดทำงด้ำนข้ำง มีแตก่ ำรเพิม่ ควำมสูง 3. ช้ันคอร์เทกซ์รวมกับโฟลเอ็มที่มีอำยุกลำยเป็น 3. ช้นั คอรเ์ ทกซ์บำง ๆ ไม่มีกำรรวมตัวเปน็ เปลือกไม้ เปลอื กไม้ 4. เม่ือพืชอำยุมำกข้ึน ไซเลมที่มีอำยุมำกจะถูกดัน 4. ไมม่ ีกำรสร้ำงไมเ้ นอ้ื แขง็ และกลำงลำตน้ อำจกลวง เข้ำไปขำ้ งในกลำยเปน็ ไม้เนือ้ แขง็ 3. จงบอกหนา้ ทขี่ องลาต้น ลำเลยี งน้ำ ลำเลียงอำหำร ค้ำจนุ และชกู ง่ิ กำ้ นสำขำ สะสมอำหำร
๑๑๒ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 9 รายวชิ า ชวี วิทยา 3 รหัสวิชา ว32243 กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 โครงสร้างและการเจรญิ เติบโตของพืชดอก เวลา 14 ช่ัวโมง เรอื่ ง โครงสร้างและการเจริญเติบโตของใบ เวลา 3 ชั่วโมง ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศึกษา 2564 ครผู สู้ อน นายบุญรัง จาปา 1. สาระชีววทิ ยา สาระท่ี 3 เขา้ ใจส่วนประกอบของพชื การแลกเปล่ยี นแกส๊ และคายนา้ ของพชื การลา้ เลียงของพืช การสังเคราะห์ดว้ ยแสง การสืบพันธ์ุของพชื ดอกและการเจริญเตบิ โต และการตอบสนองของพชื รวมทงั น้า ความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ 2. ผลการเรยี นรู้ สงั เกตและอธิบายโครงสร้างภายในของใบพืชจากการตัดตามขวาง 3. สาระสาคญั ใบเปน็ อวยั วะท่ีเจริญออกไปบริเวณดา้ นข้าง อยู่บริเวณดา้ นขา้ ง อยูบ่ รเิ วณข้อปล้องของล้าต้นและกิ่ง ทา้ หน้าท่หี ลักในการสรา้ งอาหารโดยการสังเคราะห์ดว้ ยแสง 4. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) 1. ผู้เรยี นสามารถอธบิ ายโครงสร้างภายในใบพืชจากการตัดตามขวางได้ 2. ผ้เู รียนสามารถอธบิ ายโครงสร้างภายนอกของใบพชื ได้ 4.2 ด้านทกั ษะกระบวนการ (P) 1. ผเู้ รียนสามารถเปรยี บเทียบการจดั เรียงของเส้นใบของพืชแต่ละชนิดได้ 4.3 ด้านคุณลักษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงต่อเวลา 3. การตอบค้าถาม 4. การยอมรับฟังผู้อน่ื 5. ความรับผิดชอบ 5. สาระการเรยี นรู้ - ใบมีหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง แลกเปล่ียนแก๊สและคายน้า ใบของพืชดอกประกอบด้วย ก้านใบ แผน่ ใบ เสน้ กลางใบ และเสน้ ใบ พืชบางชนดิ อาจไมม่ ีกา้ นใบ ทโ่ี คนกา้ นใบอาจพบหรือไม่พบหูใบ - โครงสร้างภายในของใบตัดตามขวางประกอบด้วยเนือเยื่อ 3 กลุ่ม ได้แก่ เอพิเดอร์มิส มีโซฟิลล์ และเนอื เยอื่ ทอ่ ล้าเลยี ง 6. ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (Attitude) คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั พืนฐาน พุทธศักราช 2551 รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง ซ่อื สตั ยส์ ุจรติ มุ่งมัน่ ในการท้างาน มวี ินยั รักความเปน็ ไทย ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ
๑๑๓ 7. คณุ ลักษณะของผูเ้ รยี น ตามหลักสูตรโรงเรยี นมาตรฐานสากล เปน็ เลิศวิชาการ ส่อื สารสองภาษา ล้าหน้าทางความคดิ ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ รว่ มกนั รบั ผิดชอบต่อสงั คมโลก 8. ดา้ นการ อา่ น คดิ วิเคราะห์และเขยี น การอา่ น : อ่านเอกสารใบความรู้ เรื่อง โครงสร้างและการเจริญเตบิ โตของใบ การคดิ วเิ คราะห์ : คิดวิเคราะหข์ ้อมูลทไี่ ด้จากการอา่ นใบความรู้ การเขยี น : เขียนสรปุ เรือ่ ง โครงสรา้ งและการเจรญิ เติบโตของใบ 9. ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น ความสามารถในการสื่อสาร : แสดงความคิดเหน็ และสามารถอธิบาย ความสามารถในการคิด : มีความสามารถในการวเิ คราะห์ แกป้ ญั หาเฉพาะหนา้ ความสามารถในการแกป้ ญั หา : นกั เรยี นสามารถแก้ไขปญั หาเฉพาะหนา้ ไดเ้ ม่ือพบปัญหา ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ : ท้างานร่วมกับผู้อน่ื ไดด้ ี ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี : สามารถใชเ้ ทคโนโลยสี ืบคน้ ข้อมูล 10. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (5E) ข้นั ท่ี 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ ชั่วโมงที่ 1 1.1 ครูน้าใบพชื มาให้นักเรยี นสงั เกตและศกึ ษาโครงสร้างภายนอกของใบ แล้วถามคา้ ถามกระตุ้นความคิดของ นกั เรียน โดยมีค้าถามดังนี 1) ลกั ษณะของใบพืชทั่วไปเป็นอยา่ งไร แนวตอบ มีลกั ษณะแบน ผิวใบด้านบนคอ่ นข้างมนั ส่วนใหญ่มสี ีเขียว 2) หนา้ ทีห่ ลักสา้ คัญของใบพืชคอื อะไร แนวตอบ สงั เคราะห์ด้วยแสง เพอ่ื ผลิตอาหารใหก้ บั พชื 3) ลักษณะของใบพชื ทวั่ ไปเหมาะสมต่อการสร้างอาหารของพืชอยา่ งไร แนวตอบ ช่วยเพ่ิมพืนทผ่ี วิ ในการรบั แสง ซึ่งมีผลต่อการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง ข้นั ที่ 2 สารวจคน้ หา (Explore) ช่วั โมงที่ 2 2.1 ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูล และศึกษาโครงสร้างและหน้าที่ภายในของใบพืชใบเลียงเด่ียวและพืชใบเลียงคู่ จากแหล่งการเรยี นร้ตู ่าง ๆ เชน่ อินเทอร์เน็ต หรือหนงั สอื เรียนชวี วิทยา ม.5 เลม่ 1 2.2 ให้นกั เรยี นแบง่ กลุม่ ออกเป็น 6 กล่มุ ท้าปฏบิ ตั ิการโดยแต่ละกลมุ่ ตัดตามขวางใบของพืชใบเลยี งคู่และใบ เลียงเดี่ยว แล้วศีกษาไต้กล้องจุลทรรศน์ ใช้กล้องโทรศัพท์บันทึกภาพไต้กล่องแล้วชีต้าแหน่งชันของเนือเยื่อ ตอ่ ไปนี 1) Upper epidermis 2) Lower epidermis 3) Vascular bundle 4) Bundle sheath 5) Palisade mesophyll
๑๑๔ 6) Spongy mesophyll 2.3 เมื่อแตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาขอ้ มลู แล้ว ให้นกั เรยี นใหอ้ อกมาน้าเสนอหนา้ ชันเรียน ข้ันที่ 3 ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรุป ช่ัวโมงท่ี 3 3.1 ให้ตัวแทนกลมุ่ ออกมาน้าเสนอผลการทา้ กิจกรรมหนา้ ชันเรียน 3.2 นักเรียนและครรู ่วมกนั อภปิ รายผลการท้ากิจกรรม 3.3 ครถู ามค้าถามท้ายกจิ กรรม โดยมแี นวคา้ ถามดังนี 1) ลกั ษณะภายนอกของใบที่เห็นสามารถจ้าแนกได้หรอื ไมว่ า่ พืชชนดิ ใดเป็นพชื ใบเลยี งคูแ่ ละพชื ชนดิ ใดเปน็ พืชใบเลียงเดยี่ ว แนวตอบ ได้ เน่อื งจากพืชใบเลียงคู่จะมเี ส้นใบแยกออกจากเสน้ กลางใบและแตกแขนงเปน็ ร่างแหส่วนพืชใบ เลยี งเดยี่ วจะมีเสน้ ใบเรยี งขนานกันไปทงั ตลอดใบ ไม่มีการแตกแขนง 2) โครงสรา้ งภายในใบของพืชใบเลยี งคูแ่ ละพืชใบเลียงเดี่ยวเหมอื นหรือแตกต่างกนั อย่างไร แนวตอบ การจดั เรยี งตัวของเนือเย่อื ในบริเวณชันมีโซฟิลล์ (Mesophyll) แตกต่างกนั โดยพชื ใบเลยี งคู่จะพบ ทังแพลิเซดมโี ซฟิลล์ (Palisade mesophyll) และสปันจีมีโซฟลิ ล์ (Spongy mesophyll) แตพ่ ืชใบเลียงเด่ียว สว่ นใหญม่ ักพบเพยี งสปนั จีมีโซฟลิ ล์ล้อมรอบมดั ท่อลา้ เลียง 3) โครงสร้างและการเรยี งตวั ของเซลล์ในเนือเยอื่ ชันตา่ ง สัมพันธก์ บั หน้าทีข่ องใบหรือไม่ แนวตอบ ชันนอกสุดเป็นเนือเยื่อเอพิเดอร์มิส (Epidermis) ท่ีบางเซลล์เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเป็นเซลล์คุม (Guard cell)ท้าหน้าท่ีควบคุมการเปิด-ปิดของปากใบ ซึ่งเก่ียวข้องกับการคายน้าของพืช นอกจากนีภายใน เซลล์คุมมีคลอโรพลาสต์ (Chloroplast)) ช่วยในการสังเคราะห์ด้วยแสง เซลล์เอพิเดอร์บางเซลล์ สามารถ เปล่ียนแปลงไปเป็นขนเพื่อปกป้องผิวใบ ชันถัดจากเอพิเดอร์มิสด้านบนลงมาเป็นเซลล์รูปร่างยาวเรียงชิดกัน เรยี กวา่ แพลิเซดมโี ซฟลิ ล์ (Palisade mesophyll) ไมม่ ชี ่องวา่ งระหว่างเซลล์ แตล่ ะเซลลจ์ ะมคี ลอโรพลาสต์อ ยู่หนาแน่น จึงท้าให้มองเห็นผิวใบด้านบนมีสีเขียวเข้มกว่าผิวใบด้านล่าง ท้าให้ใบพืชดึงพลังงานแสงมาใช้ใน กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงได้ ชันถัดจากแพลิเซดมีโซฟิลล์ลงมามีเซลล์ขนาดเล็ก กระจายอยู่ทั่วไปเรียง ตัวอย่างหลวม ๆ มีช่องว่างระหว่างเซลล์ ซ่ึงเป็นบริเวณที่มีการแลกเปลี่ยนแก๊สและไอน้าระหว่างใบกับ บรรยากาศเรยี กเซลล์กลมุ่ นีว่า สปนั จีมโี ซฟลิ ล์ (Spongy Mesophyll) ในเนอื เยือ่ ชันนจี ะมีมัดท่อล้าเลยี งแทรก อยู่ มัดท่ีใหญ่ที่สุด คือ เส้นกลางใบ ถ้าเป็นเส้นท่ีกระจายตามแผ่นใบจะเล็กกว่า ภายในมัดท่อล้าเลียง ประกอบด้วย ท่อล้าเลียงไซเลม (Xylem) ท้าหน้าที่ล้าเลียงน้าและธาตุอาหารต่าง ๆ จากรากมาสู่ใบ ท่อ ล้าเลียงโฟลเอ็ม (Phloem) ท้าหน้าที่ล้าเลียงอาหารที่ได้จากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงไปยังส่วนล้าตน้ และราก หล่อเลยี งใหพ้ ืชดา้ รงชีวิตอยู่ได้ 3.4 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน สืบค้นและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับชนิดและหน้าท่ีของใบพืช นอกเหนอื จากการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง เพ่อื ท้าใบงานที่ 1.8 เรือ่ ง โครงสร้างและการเจรญิ เตบิ โตของใบ 3.5 ครูเขียนคา้ ศัพทต์ ่อไปนีบนกระดาน แล้วใหน้ กั เรียนร่วมกันสืบค้นความหมายและหน้าทข่ี องค้าศพั ท์ ดงั นี 1) Cotyledon แนวคาตอบ หมายถงึ ใบเลียงซง่ึ ท้าหน้าท่ีสะสมอาหารเพือ่ เลยี งต้นอ่อนขณะงอก โดยพืชใบเลยี งคู่ มีใบเลียง 2 ใบ แตถ่ ้าเป็นพืชใบเลียงเดย่ี วมีใบเลียงเพยี งใบเดยี ว 2) Foliage leaf แนวคาตอบ หมายถงึ ใบแท้เปน็ สว่ นของพชื ที่เกิดจากตาใบท้าหน้าทสี่ รา้ งอาหารดว้ ยกระบวนการ สงั เคราะห์ดว้ ยแสง แลกเปลี่ยนแก๊สและคายนา้
๑๑๕ 3) Simple leaf แนวคาตอบ หมายถงึ ใบเดี่ยวที่มีแผ่นใบเพยี งแผ่นเดียวหรอื ใบเดียวติดอยู่กบั กา้ นใบท่ีแตกออกมา จากล้าต้นหรือก่ิง เชน่ มะม่วง กล้วย หรือ ชมพู่ 4) Compound leaf แนวคาตอบ หมายถึง ใบประกอบคือใบที่แยกออกมาเปน็ แผ่นเลก็ ๆ ตงั แต่ 2 ใบขนึ ไป 5) Leaflet แนวคาตอบ หมายถงึ ใบยอ่ ยท่ตี ิดอยกู่ ับกา้ นใบก้านเดียว 6) Petiolule แนวคาตอบ หมายถงึ ก้านใบของใบยอ่ ย 7) Modified leaf แนวคาตอบ หมายถึง ใบท่ีเปล่ียนแปลงไป เกิดในพืชบางชนิดที่อาจมีหน้าที่พิเศษ ท้าให้ใบมีการ เปล่ียนแปลงไปจากใบแท้ท่มี ีลกั ษณะแผ่นแบนไปเป็นลักษณะอื่นที่เหมาะสมกบั หนา้ ที่ 8) Storage leaf แนวคาตอบ หมายถึง ใบท่ีสะสมอาหาร คือใบที่เปล่ียนแปลงเป็นแหล่งเก็บสะสมอาหารจึงมี ลกั ษณะอวบหนา เช่น ใบวา่ นหางจระเข้ 9) Bract แนวคาตอบ หมายถึง ใบประดับ คือใบท่ีเปล่ียนแปลงไปเพ่ือรองรับดอก ส่วนมากอยู่บริเวณก้าน ดอก มีสเี ขยี ว สว่ นมากอยู่บรเิ วณกา้ นดอก มสี ีเขียวมีใบประดับที่สวยงามคลา้ ยกลบี ดอก ทา้ หน้าที่ ลอ่ แมลงเช่น หน้าวัว ครสิ ตม์ าส เฟื่องฟ้า เป็นตน้ 10) Scale leaf แนวคาตอบ หมายถึง ใบเกร็ด คือใบทีเ่ ปล่ยี นมากจากใบแท้เพ่ือท้าหน้าที่ป้องกันอนั ตรายให้กับตา และยอดอ่อน พบในเผอื ก ตน้ พแี คน ขงิ ข่า แห้วจนี เป็นตน้ 11) Floating leaf แนวคาตอบ หมายถึง ทุ่นลอยหรือพืชน้าบางชนิดที่สามารถลอบนา้ อยไู่ ด้ โดยอาศัยก้านใบพองโต ออก ภายในมีเออยู่กันอย่างหลวมๆ และมีช่องว่างอากาศท้าให้มีอากาศอยู่มาก จึงช่วยพยุงล้าต้น ลอยน้าได้ เช่น ผักตบชวา 12) Leaf tendril แนวคาตอบ หมายถึง มือเกาะ คือ ใบที่เปล่ียนแปลงไปเปน็ มอื เกาะเพือ่ ยึดและพยงุ ล้าต้นให้สูงขึน อาจเปล่ยี นแปลงมาจากใบทังใบ หรือส่วนใดส่วนหน่งึ ของใบ เช่น บานบุรสี ีมว่ ง มะระ ดองดึง หวาย ลงิ เป็นตน้ 13) Leaf spine แนวคาตอบ หมายถึง หนาม คือใบทเ่ี ปล่ียนแปลงเปน็ หนาม เพ่ือป้องกนั อนั ตรายจากสัตว์ และลด การคายน้า ซึ่งหนามที่เกิดอาจมีการเปล่ียนแปลงทังใบกลายเป็นหนาม หรือบางส่วนของใบ กลายเป็นหนาม เช่น หนามของเหงอื กปลาหมอเปลี่ยนแปลงมาจากขอบใบและหใู บ หนามของตน้ กระบองเพชรเปลยี่ นแปลงมาจากใบ หนามมะขามเทศเปลี่ยนแปลงมาจากหใู บเปน็ ตน้ 14) Carnivorous leaf
๑๑๖ แนวคาตอบ หมายถึง ใบกบั ดกั แมลง คือ ใบที่เปล่ยี นแปลงไปเป็นกับดักแมลงหรือสัตว์เลก็ ภายใน กับดักจะมีต่อมสร้างน้าย่อยอาหารจ้าพวกโปรตีน พบในต้นกาบหอยแครง หม้อข้าวหม้อแกงลิง หยาดนา้ ค้าง เปน็ ต้น 15) Vegetative reproductive organ แนวคาตอบ หมายถงึ ใบขยายพนั ธุ์ คือ ใบทเี่ ปล่ียนแปลงไปเพื่อช่วยขยายพนั ธุ์ โดยบริเวณของใบมี ลกั ษณะเว้าเข้าเลก็ นอ้ ย และมีตาทีง่ อกตน้ เลก็ ๆ ออกมา เชน่ ต้นโคมญปี่ ุ่น เศรษฐพี นั ล้านเป็นต้น 3.6 ครูถามค้าถาม แลว้ ให้นกั เรียนยกมอื อธิบายค้าตอบของตนเอง โดยมีแนวค้าถาม ดงั นี 1) เพราะเหตุใดใบของพชื จึงมีลักษณะแบน แนวตอบ ใบพชื ทีม่ ีลักษณะแบน เพือ่ เพ่มิ พืนที่ผวิ ในการรับแสงสง่ ผลดตี ่อกระบวนการสังเคราะห์ ดว้ ยแสงของพืช 2) ยกตัวอย่างพชื ทีม่ ีกาบใบทน่ี ักเรียนร้จู กั มาอยา่ งน้อย 3 ตัวอยา่ ง แนวตอบ ขึนอยู่กับดุลยพินิจของครูและค้าตอบของนักเรียน ตัวอย่างพืชท่ีมีกาบใบ ได้แก่ ข้าว กวนอมิ พุทธรกั ษา กลว้ ย 3) ยกตวั อยา่ งพืชท่มี ีใบเด่ยี วทนี่ ักเรยี นร้จู กั มาอยา่ งนอ้ ย 3 ตวั อย่าง แนวตอบ ขึนอยู่กับดุลยพินิจของครูและค้าตอบของนักเรียน ตัวอย่างพืชท่ีมีใบเดี่ยว ได้แก่ มะละกอ มันส้าปะหลงั ฟกั ทอง ต้าลึง ตาล กล้วย ชมพู่ มะม่วง 4) ยกตวั อย่างพืชทีม่ ีใบประกอบทีน่ ักเรยี นรูจ้ กั มาอยา่ งนอ้ ย 3 ตัวอยา่ ง แนวตอบ ขึนอยู่กับดุลยพินิจของครูและค้าตอบของนักเรียน ตัวอย่างพืชท่ีมีใบประกอบ ได้แก่ มะขาม กระถนิ มะพรา้ ว ข้ันที่ 4 ข้นั ขยายความรู้ 4.1 ใหน้ ักเรียนน้าความรูท้ ีไ่ ด้ เลือกพืชตวั อย่างมา 1 ชนดิ แลว้ ท้ารายงาน เรื่อง ความส้าคญั ของใบพชื ภายใน รายงานต้องมเี นือหาที่ครอบคลุมทังโครงสร้างภายในและภายนอกของพืช ชนิดและหน้าท่ีของใบพชื ตัวอยา่ ง โดยต้องมีองค์ประกอบของรายงานครบถ้วน ได้แก่ 1) ปกนอก 2) ปกใน 3) ค้าน้า 4) สารบัญ 5) สารบัญ ตาราง 6) สารบัญรปู ภาพ 7) บทนา้ 8) เนือหา 9) สรปุ 10) บรรณานกุ รม และ 11) ภาคผนวก 4.2 ครูถามค้าถามและเฉลยค้าตอบของ Topic Question เพื่อทบทวนและขยายความเข้าใจของนกั เรยี นโดย มคี า้ ถาม ดงั นี 1) วาสคิวลารแ์ คมเบยี ม (Vascular cambium) พบในอวัยวะใดของพชื แนวตอบ ราก (Root) ล้าตน้ (Stem) และใบ (Leaf) 2) จากภาพ พชื ชนิดนมี กี ารจดั เรยี งเสน้ ใบเป็นอยา่ งไร และเนือเยือ่ ชนิดนพี บในอวยั วะใดของพืช
๑๑๗ แนวตอบ พืชชนิดนีเป็นพืชใบเลียงคู่ ซ่ึงมีเส้นใบมีเส้นใบแยกออกจากเส้นกลางใบและแตกแขนง เป็นรา่ งแห และเนือเยื่อในภาพพบท่บี รเิ วณราก 3) โครงสร้างภายในล้าต้นเม่ือตัดตามขวางของพืชใบเลียงเด่ียวและพืชใบเลียงคู่แตกต่างกันหรือไม่ อยา่ งไร แนวตอบ ล้าตน้ พชื ใบเลยี งคู่มคี อร์เทกซ์ (Cortex) แคบ ในชันสตีล (Stele) มกี ลมุ่ ทอ่ ล้าเลยี งหลาย กลุ่มเรียงเป็นระเบียบ เห็นขอบเขตพิธ (Pith) ชัดเจน ส่วนล้าต้นพืชใบเลียงเดี่ยวมีคอร์เทกซ์แคบ เชน่ กนั ชันสตีลมีกล่มุ ท่อลา้ เลียงกระจายทว่ั ไป มองไมเ่ ห็นขอบเขตพิธ 4) แก่นไมแ้ ละกระพีไมแ้ ตกต่างกันอย่างไร แนวตอบ แกน่ ไม้ คือ เซลล์ของต้นไม้ท่ีไมท่ ้างานแล้ว และแปรสภาพมาจากกระพี เปน็ สว่ นทีเ่ นอื ไม้ มีความแขง็ แกรง่ และหนาแน่น สว่ นกระพีไม้ คือ เนอื ไมท้ ี่มีการเจริญเติบโตอยูร่ ะหว่างเปลอื กชันใน และแกน่ ไม้ มีหนา้ ทลี่ ้าเลยี งนา้ และอาหาร 5) ใบและลา้ ต้นของกระบองเพชรแตกต่างไปจากพืชทัว่ ไปอยา่ งไร เพราะเหตใุ ด แนวตอบ ใบของตน้ กระบองเพชรมีการลดรูปเปล่ียนแปลงรปู ร่างไปเป็นหนาม เพือ่ ลด กระบวนการ คายน้าของพชื เน่อื งจากกระบองเพชรเป็นพืชในเขตรอ้ น จ้าเปน็ ต้องรักษานา้ เอาไว้ และล้าตน้ ของ กระบองเพชร มีลักษณะอวบอ้วน บางชนิดเปลี่ยนแปลงไปท้าหน้าท่ีคล้ายใบ (Cladophyll) มีสี เขียว สามารถสงั เคราะห์ด้วยแสงได้ ขน้ั ที่ 5 ประเมนิ ผล 5.1 วิธีการวัดและประเมนิ ผล 1. ประเมนิ จากสมุดบันทึก 2. ประเมนิ จากใบกจิ กรรม 3. ประเมนิ พฤตกิ รรมนักเรยี น 5.2 เคร่อื งมอื วดั และประเมินผล 1. แบบเฉลยรายงานสมดุ บนั ทึก 2. แบบประเมินใบกิจกรรม 3. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมนักเรยี น 5.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล 1. การประเมนิ จากสมดุ บนั ทกึ ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 70
๑๑๘ 2. การประเมนิ ใบกิจกรรม ผา่ นเกณฑร์ อ้ ยละ 80 3. การประเมินพฤตกิ รรมนกั เรยี น ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 11. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้ 11.1 หนงั สอื เรียนสาระการเรยี นรูช้ วี วิทยา 3 11.2 เพาเวอรพ์ อยท์ เรอ่ื ง โครงสรา้ งและการเจริญเติบโตของใบ 11.3 ใบกิจกรรมท่ี 2.4 เรอ่ื ง โครงสร้างและการเจริญเตบิ โตของใบ 11.4 สมดุ บันทกึ 12. หลักฐานการเรยี นร้แู ละวธิ กี ารประเมนิ วิธกี ารวัด เคร่อื งมอื วัด เกณฑก์ าร จุดประสงค์การเรียนรู้ (K P A) - ใบกจิ กรรม ประเมิน - สมดุ บนั ทกึ ผ่านเกณฑ์ ด้านความรู้ (K) - ตรวจใบกิจกรรม รอ้ ยละ 70 - แบบประเมิน ของคะแนน 1. ผู้เรยี นสามารถอธบิ ายโครงสร้างภายในใบพืช - ตรวจสมุดบันทกึ ชนิ งาน ผ่านเกณฑ์ จากการตดั ตามขวางได้ - แบบประเมนิ คณุ ภาพระดบั พฤติกรรม 2 2. ผเู้ รยี นสามารถอธิบายโครงสร้างภายนอกของ ผ่านเกณฑ์ ใบพชื ได้ คุณภาพระดับ 2 ด้านทักษะ (P) - ตรวจผลงาน 1. ผ้เู รียนสามารถเปรียบเทียบการจัดเรยี งของเส้น - สงั เกตความตังใจ ใบของพืชแตล่ ะชนิดได้ และความ รบั ผดิ ชอบในการ ปฏิบตั ิกิจกรรม ด้านเจตคติ (A) - สงั เกตพฤตกิ รรม 1. ความสนใจ การเรียนรู้ 2. การตรงต่อเวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรับฟังผอู้ ื่น 5. ความรบั ผดิ ชอบ
๑๑๙ ใบงานที่ 2.4 เร่อื ง โครงสร้างและหนา้ ท่ีของใบ คาชี้แจง : ให้นักเรยี นเติมคาตอบให้ถูกตอ้ งและสมบูรณท์ ี่สุด ............................................................................................................................. ................................ 1.การท่ีใบของพืชเปน็ แผน่ แบนเหมาะสมต่อการสร้างอาหารของพชื อย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.รูปร่างของใบมีส่วนสมั พันธ์กับการสรา้ งอาหารแหลง่ ทอ่ี ยู่ของพืชอย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. เพราะเหตใุ ดทางดา้ นบนของใบจงึ มีสีเขยี วเข้มกวา่ ทางด้านลา่ งของใบและเปน็ ประโยชน์ต่อการ สงั เคราะห์ดว้ ยแสงอยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4. ไซเลม และโฟลเอ็ม ในเส้นใบมีการเรียงตวั แตกตา่ งจากราก และลาตน้ อย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. ในใบพืชนอกจากสร้างสารสเี ขยี ว (chlorophyll) ยังสรา้ งสารชนิดใดอกี .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ช่อื -สกลุ ...................................................ชนั้ ................เลขท่ี................
๑๒๐ เฉลยใบงานท่ี 2.4 เรอื่ ง โครงสร้างและหนา้ ที่ของใบ คาชแ้ี จง : ใหน้ กั เรียนเตมิ คาตอบให้ถกู ตอ้ งและสมบูรณท์ ส่ี ุด ............................................................................................................................................................. 1. การทีใ่ บของพืชเปน็ แผน่ แบนเหมาะสมตอ่ การสร้างอาหารของพืชอยา่ งไร ตอบ เพ่อื เพ่มิ พนื ท่ผี ิวตอ่ การรับแสง ซงึ่ จะมผี ลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช 2. รปู ร่างของใบมีสว่ นสมั พันธก์ ับการสรา้ งอาหารแหล่งท่อี ยู่ของพชื อยา่ งไร ตอบ ใบพืชท่ีบางและมีขนาดกว้างช่วยเพ่ิมพืนที่ผิวท้าให้เกิดกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงได้มากกว่าใบ แคบๆ พืชที่ขึนในท่ีแห้งแล้งใบมีลักษณะอวบหนา หรือใบขนาดเล็กกว่าใบพืชที่ขึนอยู่ในแหล่งน้าที่อุดม สมบูรณเ์ พราะตอ้ งเกบ็ น้าไว้ใช้หรือลดพืนที่การคายนา้ 3. เพราะเหตุใดทางด้านบนของใบจึงมีสีเขียวเข้มกว่าทางด้านล่างของใบและเป็นประโยชน์ต่อการ สงั เคราะห์ดว้ ยแสงอย่างไร ตอบ ผิวใบด้านบนเป็นเนือเยื่อแพลิเซดมีโซฟิลล์ มีคลอโรพลาสอยู่กันหนาแน่นมากกว่าผิวใบด้านล่างจึง สามารถรบั พลังงานแสงแดดไดม้ าก การสังเคราะหด์ ้วยแสงจึงเกดิ มาก พืชบางชนดิ ผิวใบด้านบนอาจมีชันแพ ลเิ ซดมโี ซฟิลล์ 2 ชัน จึงมสี เี ขียวเขม้ และเพ่ิมประสทิ ธภิ าพการรบั พลงั งานแสง 4. ไซเลม และโฟลเอม ในเสน้ ใบมกี ารเรยี งตวั แตกต่างจากราก และลาต้นอยา่ งไร ตอบ จะแตกต่างจากลา้ ต้น คอื มัดทอ่ ล้าเลียงท่ีเป็นกลมุ่ เนือเยอื่ ไซเลมจะอยทู่ างเอพิเดอรม์ ิสดา้ นบนใกลก้ ับแพ ลิเซดมโี วฟิลล์ สว่ นเนือเยอื่ โพลเอมจะอยู่ใกลเ้ อเดอร์มิสด้านล่าง และระหวา่ งไซเลมกับโฟลเอมไมม่ ีแคมเบยี มค่นั กลาง 5. ในใบพืชนอกจากสรา้ งสารสเี ขยี ว (chlorophyll) ยงั สร้างสารชนิดใดอีก ตอบ สรา้ งสารแอนโทไซยานิน (anthocyanin) หรอื สารแคโรทนี อยด์ (carotenoid) สร้างสารสแี ดงหรือสีม่วง
๑๒๑ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 10 รหสั วชิ า ว32243 วิชา ชีววทิ ยา 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและการเจรญิ เตบิ โตของพชื ดอก จานวน 14 ชว่ั โมง แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 10 เรื่อง ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของพืชดอก เวลา 2 ช่วั โมง ครผู ู้สอน นายบญุ รัง จาปา สาระชีววิทยา สาระที่ 3 เข้าใจสว่ นประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้าของพืช การลา้ เลยี งของพืช การสังเคราะหด์ ้วย แสง การสบื พันธ์ขุ องพชื ดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพชื รวมทังนา้ ความร้ไู ปใช้ประโยชน์มาตรฐานการ ผลการเรียนรู้ ผเู้ รยี นสามรถอธิบายลักษณะทางพฤกษศาสตรข์ องพชื ดอก และบอกความแตกต่างของพชื แตล่ ะชนิด สาระสาคญั พชื ประกอบดว้ ย ราก ลา้ ต้น ใบ ดอก และผล จุดประสงค์การเรยี นรู้ ด้านความรู้ (K) 1. ผเู้ รยี นสามรถอธบิ ายลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของพชื ดอก และบอกความแตกต่างของพืชแต่ละชนิด ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) 1. ผเู้ รยี นสามารถเปรยี บเทียบลักษณะของพชื จากเอกสาร ก.7-003 ของงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น4.3 ดา้ น คณุ ลักษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงต่อเวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรับฟังผูอ้ ่นื 5. ความรบั ผดิ ชอบ สาระการเรยี นร้แู กนกลาง - ราก คอื ส่วนแกนของพืชทโ่ี ดยทว่ั ไปเจรญิ อยู่ ใต้ระดบั ผวิ ดิน ท้าหน้าที่ยึดหรอื คา้ จุนให้พชื เจริญเตบิ โตอย่กู บั ทีไ่ ด้และ ยังมหี น้าท่ีสา้ คญั ในการดูดน้าและธาตอุ าหารในดิน เพอ่ื สง่ ไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช - ล้าต้น คือ สว่ นแกนของพชื ที่โดยทว่ั ไปเจรญิ อยเู่ หนอื ระดบั ผวิ ดินถดั ขนึ มาจากราก ท้าหนา้ ท่ีสร้างใบและชใู บ ลา้ เลยี ง นา้ ธาตุอาหาร และอาหารทพ่ี ืชสรา้ งขึนสง่ ไปยังสว่ นต่าง ๆ - ใบมหี นา้ ที่สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง แลกเปล่ยี นแก๊สและคายนา้ ใบของพืชดอกประกอบดว้ ย กา้ นใบ แผ่นใบ เสน้ กลางใบ และเส้นใบ พืชบางชนิดอาจไม่มกี า้ นใบ ท่ีโคนก้านใบอาจพบหรือไม่พบหใู บ
๑๒๒ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน 1. ความสามารถในการสือ่ สาร 2. ความสามารถในการคดิ 1) ทกั ษะการสังเกต 2) ทักษะการส้ารวจค้นหา 3) ทักษะการตงั ค้าถาม 4) ทักษะการตังสมมตฐิ าน 5) ทักษะการตรวจสอบสมมตฐิ าน 6) ทกั ษะการสรปุ ลงความเห็น 3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิตคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 1) ซื่อสัตย์ สุจรติ 2) มีวนิ ยั 3) ใฝเ่ รยี นรู้ 4) มุ่งมั่นในการทา้ งาน หลกั ฐานแสดงความรู้ (ช้ินงาน) แบบฝกึ อธิบายลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ตามเอกสาร ก.7-003 ของงานพฤกษศาสตร์โรงเรยี น กระบวนการเรยี นรู้แบบการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (5E) ขั้นที่ 1 ขน้ั สร้างความสนใจ (สอนออนไลน์ผ่าน Google meet) 1) นักเรยี นคิดวา่ พชื แตล่ ะชนดิ มีความเหมือนหรอื แตกตา่ งกนั อย่างไร แนวตอบ พชื แตล่ ะชนดิ จะมีลักษณะเฉพาะ ซงึ่ จะมจี ดุ ที่แตกตา่ งกันออกไป เชน่ ราก ล้าต้น ใบ ดอก และผล ครูอาจ อธิบายเพิ่มเติมถึงเร่อื งคณุ สมบัติของสงิ่ มีชวี ติ ทจ่ี ะต้องมลี กั ษณะเฉพาะ ซึง่ พืชก็ปน็ สงิ่ มีชีวิตท่ีจะตอ้ งมีลักษะเด่นหรอื แตกตา่ งกัน ตามชนิดของพชื ข้ันท่ี 2 ขน้ั สารวจและคน้ หา (สอนออนไลน์ผ่าน Google meet) 1) ครูน้าเอกสาร ก.7-003 จากงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน (PowerPoint Presentation) มาให้นักเรียนดูและ อธิบายหลกั การเปรยี บเทียบลกั ษณะตา่ งๆ ดังนี สว่ นท่ี ๑ ลักษณะวสิ ัย สว่ นท่ี ๒ เรอื นยอด ทรงพุ่ม สว่ นท่ี ๓ ความสงู และความกวา้ ง ทรงพุ่ม สว่ นที่ ๔ ถน่ิ อาศยั ส่วนที่ ๕ ลา้ ตน้ (ชนดิ ของล้าต้น) สว่ นที่ 6 สี – ลกั ษณะเปลือกล้าต้น ส่วนที่ 7 ยาง
๑๒๓ ส่วนที่ 8 ใบ (ชนดิ ของใบ) ส่วนท่ี 9 ลกั ษณะพิเศษของใบ สว่ นท่ี 10 การเรยี งตวั ของใบ สว่ นที่ 11 รปู ร่างแผ่นใบ ปลายใบ โคนใบ และขอบใบ ส่วนที่ ๑2 ดอก (ชนิดของดอก) ส่วนท่ี 13 ตา้ แหน่งที่ออกดอก ส่วนที่ 14 กลบี เลียง สว่ นท่ี ๑5 กลบี ดอก, รูปร่างกลบี ดอก,เกสรเพศผู้, เกสรเพศเมีย, ต้าแหน่งรงั ไขแ่ ละกลิ่น ส่วนท่ี 16 ผล (ชนดิ ของผล) ส่วนท่ี ๑7 เมล็ด 2. ใหน้ ักเรียนเลอื กพืชทีม่ อี ยู่ในทอ้ งถนิ่ มาหนึ่งชนิด แลว้ ศกึ ษาลกั ษณะทางพฤกษศาสตรโ์ ดยเปรยี บเทยี บกบั เอกสาร ก. 7-003 ของงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน แล้วเขียนเป็นความเรียงพร้อมถ่ายภาพตัวอย่างมาประกอบ แล้วส่งทางแชทไลน์ (LINE) ข้ันท่ี 3 ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรปุ (สง่ ผลการศกึ ษาผา่ นแชทไลน์ LINE) ใหนกั เรียนน้าขอ้ มลู ทไ่ี ด้จากการศกึ ษา มาเขยี นสรปุ เปน็ ความเรยี งพรอ้ มถา่ ยภาพตวั อยา่ งมาประกอบ แล้วสง่ ทางแชท ไลน์ (LINE) ขน้ั ที่ 4 ข้นั ขยายความรู้ (ผ่านแชทไลน์ LINE) นกั เรียนลักษณะที่ได้จากการศกึ ษาไปหาขอ้ มูล เพ่ิมเติม เช่น ช่อื ท้องถิ่น ชื่อวิทยาศาสตร์ และวงศ์ ข้นั ที่ 5 ประเมนิ ผล (ภาพถา่ ยทางแชทไลน)์ ประเมนิ จากการอธบิ ายลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ของพืชในทอ้ งถ่ินทน่ี ักเรยี นสนใจ โดยมเี กณฑ์ดงั นี -เนอื หาถกู ตอ้ งตรงประเด็น -มรี ายละเอียดขันตอนครบถว้ น - มีความเป็นระเบียบเรยี บร้อย - มีประโยชนต์ ่อตนเองและสว่ นรวม สือ่ การเรยี นรู้ และ แหลง่ เรยี นรู้ 1. หนงั สอื เรยี นชวี วิทยา ม.5 เลม่ 1 2. อนิ เทอรเ์ นต็ (สมารท์ โฟน) 3. เอกสาร ก.7-003 ( ดาวน์โหลด ก.7-003 https://sites.google.com/site/swnphvkssastrphw/k-7---003 ) 4. PowerPoint 5. ตัวอยา่ งพชื ในทอ้ งถ่ิน 6. google meet 7. line การประเมินผล ประเมนิ จากชินงานการอธบิ ายลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ของพชื ในทอ้ งถิน่ ที่นักเรยี นสนใจ
๑๒๔ วิธกี ารวดั ประเมินผล จุดประสงค์การเรยี นรู้ (K P A) วิธกี ารวดั เคร่อื งมอื วดั เกณฑก์ าร ดา้ นความรู้ (K) ประเมนิ 1. ผเู้ รียนสามารถอธิบายลกั ษณะทาง พฤกษศาสตร์ของพชื ดอก และบอกความแตกต่าง ประเมนิ จากช้นิ งาน ชนิ้ งานการอธบิ าย เกณฑก์ ารผ่าน ของพืชแต่ละชนดิ การอธบิ ายลกั ษณะ ลักษณะทาง ต้ังแต่ระดับ ๒ ทางพฤกษศาสตร์ พฤกษศาสตร์ ขนึ้ ไป ดา้ นทกั ษะ (P) ประเมนิ จากช้นิ งาน - แบบประเมิน เกณฑ์การผ่าน 1. ผู้เรยี นสามารถเปรียบเทียบลกั ษณะของพชื การอธิบายลกั ษณะ ชน้ิ งาน ตง้ั แต่ระดับ ๒ จากเอกสาร ก.7-003 ของงานสวนพฤกษศาสตร์ ทางพฤกษศาสตร์ ข้นึ ไป โรงเรยี น ดา้ นเจตคติ (A) - สังเกตพฤตกิ รรม - แบบประเมิน เกณฑ์การผา่ น 1. ความสนใจ การเรียนรู้ พฤตกิ รรม ต้งั แตร่ ะดบั ๒ 2. การตรงตอ่ เวลา ขน้ึ ไป 3. การตอบคาถาม 4. การยอมรับฟังผอู้ ื่น 5. ความรับผิดชอบ
๑๒๕ สรปุ ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ประจาหน่วยการเรยี นรู้ 1. ด้านความรู้ …………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………..… (พจิ ารณาตามความรคู้ วามสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรยี นรขู้ องของหน่วยการเรยี นร)ู้ จานวน………….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ……… 2. ด้านทกัษะ/กระบวนการ ………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… (พิจารณาตามทกั ษะ/กระบวนการทใี่ ชใ้ นการฝกึ ปฏบิ ัติ ผู้เรียนประจาหนว่ ยการเรียนร)ู้ จานวน………….คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ…………… 3. ดา้ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 3.1 คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์(ประจาหนว่ ยการเรยี นรู)้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………….………………………………………………………………………… (พิจารณาตามคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคป์ ระจาหน่วยการเรียนร)ู้ จานวน………….คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ…………… 8.3.2 คุณลักษณะอันพึงประสงค(์ ประจากล่มุ สาระการเรียนรู้หรอื ประจารายวชิ า) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …….……………………………………………………………………………………………………………………………………………… (พจิ ารณาตามคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องกลมุ่ สาระการเรียนรู้หรอื ประรายวิชา) จานวน………….คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ…………… 4. ด้านสมรรถนะสาคญั ผู้เรียน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………….…………………………………………………………………… (พิจารณาตามสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี นในหนว่ ยการเรียนรู)้ จานวน………….คน คดิ เปน็ ร้อยละ…………… 8.5 สรุปผลจากการประเมนิ ชน้ิ งาน (รวบยอด) ประจาหน่วยการเรียนรู้ 8.5.1 ระดบั คณุ ภาพดีมาก จานวน...............คน คดิ เป็นรอ้ ยละ……………… 8.5.2 ระดบั คุณภาพดี จานวน...............คน คดิ เป็นร้อยละ……………… 8.5.3 ระดับคณุ ภาพพอใช้ จานวน...............คน คิดเป็นร้อยละ……………… 8.5.4 ระดบั คณุ ภาพปรบั ปรุง จานวน...........คน คิดเปน็ ร้อยละ………………
๑๒๖ ปัญหาอุปสรรค/ข้อเสนอแนะอน่ื ๆ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. .…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ.......................................... (ผู้สอน) ( นายบญุ รัง จาปา ) วนั ที่................................................ ความคดิ เหน็ หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………….........................................………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ.......................................... ( นายสมคิด ก้านกิง่ คา ) วันท่.ี ............................................... ความคิดเห็นรองผ้อู านวยการฝา่ ยวชาิ การ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ .......................................... ( นานวษิ ณุ อง้ึ ตระกูล ) วนั ที่................................................ หมายเหตุ บันทกึ ผลการเรยี นรู้ เมอื่ จบ 1 หนว่ ยการเรยี นรู้ ซง่ึ นาข้อมูลมาจากแผนการจัดการเรียนรู้ของหนว่ ย การเรียนรู้
๑๒๗ การออกแบบหน่วยการเรียนรู้ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 เรอื่ ง การลาเลียงของพชื เวลา 12 ชั่วโมง กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี รหสั วิชา ว32243 วิชา ชีววทิ ยา 3 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ชือ่ ครูผู้สอน นายบุญรงั จาปา 1. เปา้ หมายการเรยี นรู้ 1. ความเข้าใจที่คงทน พชื ล้ำเลียงน้ำจำกรำกสยู่ อด ล้ำเลยี งน้ำตำลจำกใบไปสว่ นต่ำงๆ 2. สาระชีววิทยา สำระท่ี 3 เข้ำใจส่วนประกอบของพชื กำรแลกเปลย่ี นแกส๊ และคำยน้ำของพืช กำรล้ำเลียงของ พืช กำรสังเครำะห์ด้วยแสง กำรสืบพนั ธุ์ของพืชดอกและกำรเจรญิ เติบโต และกำรตอบสนองของพชื รวมทงั นำ้ ควำมรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรียนรู้ 1. สืบคน้ ข้อมลู และอธบิ ำยกลไกกำรล เลียงน้ำ และธำตุอำหำรของพืช 2. สืบค้นขอ้ มลู สังเกต และอธบิ ำยกำรแลกเปลี่ยนแกส๊ และกำรคำยนำ้ ของพชื 3. สืบค้นขอ้ มูล อธิบำยควำมส้ำคัญของธำตุอำหำร และยกตวั อย่ำงธำตุอำหำรท่ีส้ำคัญท่ีมผี ลต่อกำร เจริญเติบโตของพชื 4. อธบิ ำยกลไกกำรล้ำเลยี งอำหำรในพชื สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด พืชมีระบบล้ำเลียงเพื่อใช้ล้ำเลียงน้ำ แร่ธำตุต่ำง ๆ จำกดินไปสู่ส่วนต่ำง ๆ ของพืช โดยกำรล้ำเลียงน้ำใช้ท่อ ลำ้ เลยี ง เรียกว่ำ ไซเลม ( Xylem) เมอ่ื พชื สรำ้ งอำหำรแล้วก็จะล้ำเลียงไปสู่สว่ นต่ำง ๆ ของพชื โดยอำศยั ท่อลำ้ เลียง เรยี กวำ่ โฟลเอม ( Phloem ) โดยระบบกำรล้ำเลียงน้ำและอำหำรแตกต่ำงกนั ระหวำ่ งพืชใบเลียงคู่และพืชใบเลียง เดี่ยว กำรคำยน้ำ มีส่วนชว่ ยในกำรล้ำเลียงนำ้ ของพชื พืชแต่ละชนิดต้องกำรปริมำณและชนิดของธำตุอำหำรแตกต่ำงกัน สำมำรถน้ำควำมรู้เกี่ยวกับสมบตั ิของ ธำตุอำหำรชนิดต่ำง ๆ ท่ีมีผลต่อกำรเจริญเติบโตของพืชในสำรละลำยธำตุอำหำร เพื่อให้พืชเจริญเติบโตได้ตำมท่ี ต้องกำร อำหำรท่ีไดจ้ ำกกระบวนกำรสงั เครำะหด์ ้วยแสงจำกแหลง่ สร้ำง จะถูกเปลีย่ นแปลงเปน็ ซโู ครส และล้ำเลียง ผำ่ นทำงท่อโฟลเอม็ โดยอำศยั กลไก กำรล้ำเลียงอำหำรในพชื ซง่ึ เกีย่ วข้องกับแรงดนั นำ้ ไปยังแหล่งรบั พืชมีกำรแลกเปลี่ยนแก๊สและกำรคำยน้ำผ่ำนทำงปำกใบเป็นส่วนใหญ่ ปำกใบพบได้ที่ใบและล้ำต้นอ่อน เม่ือควำมชืนสัมพัทธ์ในอำกำ ภำยนอกต่้ำกว่ำควำมชืนสัมพัทธ์ภำยในใบพืชท้ำให้น้ำภำยในใบพืชระเหยเป็นไอ
๑๒๘ ออกมำทำงรูปำกใบ เรียกว่ำ กำรคำยน้ำ ควำมชืนในอำกำศ ลม อุณหภูมิ สภำพน้ำในดิน ควำมเข้มของแสง เป็น ปจั จยั ที่มผี ลต่อกำรคำยนำ้ ของพืช สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง - พืชดูดน้ำและธำตุอำหำรต่ำง ๆ จำกดิน โดยเซลล์ ขนรำกแล้วล้ำเลียงผ่ำนชันคอร์เทกซ์เข้ำสู่ เนือเยื่อ ลำ้ เลยี งน้ำในชันสตลี ซ่งึ เป็นกำรดดู น้ำจำกดนิ สเู่ นอื เยือ่ ล้ำเลียงนำ้ ในแนวระนำบ และล้ำเลียง ไปยงั ส่วนต่ำง ๆ ของ พืชในแนวด่งิ - ในสภำวะปกติกำรลำ้ เลียงนำ้ จำกรำกสยู่ อด ของพืชอำศยั แรงดงึ จำกกำรคำยนำ้ ร่วมกบั แรงโคฮีชัน แรง แอดฮชี นั - ในภำวะท่ีบรรยำกำศมคี วำมชืนสัมพัทธ์สูงมำก จนไม่สำมำรถเกิดกำรคำยนำ้ ได้ตำมปกตินำ้ ท่ี เข้ำไปใน เซลลร์ ำกจะท้ำให้เกิดแรงดนั เรียกวำ่ แรงดันรำก ทำ้ ให้เกิดปรำกฏกำรณก์ ัตเตชัน - พืชแต่ละชนิดต้องกำรปริมำณและชนิดของ ธำตุอำหำรแตกต่ำงกัน สำมำรถน้ำควำมรู้ เก่ียวกับสมบัติ ของธำตุอำหำรชนิดต่ำงๆ ท่ีมีผลต่อ กำรเจริญเติบโตของพืชในสำรละลำยธำตุอำหำร เพ่ือให้พืชเจริญเติบโตได้ ตำมทีต่ อ้ งกำร - อำหำรท่ีได้จำกกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง จำกแหล่งสร้ำง จะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นซูโครส และ ลำ้ เลียงผำ่ นทำงทอ่ โฟลเอ็ม โดยอำศัยกลไก กำรลำ้ เลยี งอำหำรในพืชซงึ่ เกีย่ วข้องกับแรงดนั นำ้ ไปยังแหลง่ รบั สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน 1. ควำมสำมำรถในกำรส่ือสำร 2. ควำมสำมำรถในกำรคิด 1) ทักษะกำรสงั เกต 2) ทักษะกำรส้ำรวจคน้ หำ 3) ทักษะกำรตงั ค้ำถำม 4) ทักษะกำรตังสมมติฐำน 5) ทกั ษะกำรตรวจสอบสมมตฐิ ำน 6) ทักษะกำรสรปุ ลงควำมเหน็ 3. ควำมสำมำรถในกำรใช้ทกั ษะชีวิตคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ๒. ชนิ้ งาน/ภาระงาน - ใบงำนท่ี 3.1 เรอื่ ง กำรลำ้ เลียงน้ำ - ใบงำนที่ 3.2 เรอื่ ง กำรแลกเปล่ียนแก๊สและกำรคำยน้ำ - ใบงำนที่ 3.3 เรอ่ื ง กำรลำ้ เลียงธำตอุ ำหำร - ใบงำนท่ี 3.4 เรอ่ื ง กำรลำ้ เลยี งอำหำร
๑๒๙ การวัดและการประเมินผล การวัดและประเมนิ ก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ - แบบทดสอบกอ่ นเรียน เรอื่ ง กำรลำ้ เลยี งนำ้ - แบบทดสอบก่อนเรยี น เรอ่ื ง กำรแลกเปลี่ยนแก๊สและกำรคำยน้ำ - แบบทดสอบก่อนเรยี น เรื่อง กำรล้ำเลียงธำตอุ ำหำร - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรือ่ ง กำรล้ำเลยี งอำหำร การวัดและประเมินระหว่างการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ - ชดุ ค้ำถำม เรอ่ื ง กำรล้ำเลียงนำ้ - ชุดค้ำถำม เรือ่ ง กำรแลกเปลยี่ นแก๊สและกำรคำยนำ้ - ชดุ ค้ำถำม เรอ่ื ง กำรล้ำเลยี งธำตุอำหำร - ชดุ คำ้ ถำม เรอื่ ง กำรลำ้ เลยี งอำหำร การวดั และประเมินหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ - ใบงำนท่ี 3.1 เร่อื ง กำรลำ้ เลยี งน้ำ - ใบงำนที่ 3.2 เรื่อง กำรแลกเปลยี่ นแก๊สและกำรคำยน้ำ - ใบงำนท่ี 3.3 เรอ่ื ง กำรล้ำเลยี งธำตอุ ำหำร - ใบงำนท่ี 3.4 เรอ่ื ง กำรลำ้ เลียงอำหำร การออกแบบการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ เรอ่ื ง การลาเลียงของพืช เป้าหมายการ เลือกคาตอบท่ี ตอบคาถามส้ัน การเขยี นแบบ ประเมินจัดข้นึ ประเมินตาม การสังเกต เรยี นรู้ ถกู ต้อง ๆ อัตนยั ภายในโรงเรียน สภาพจริง (ประเมนิ ตลอด Constructed Essay contextual วิธีการ Selected School หน่วย) ประเมิน Response ความเขา้ ใจที่ Response Product / on-going คงทน Performance Tools พชื ล้ำเลียงน้ำ จำกรำกสูย่ อด ทดสอบควำมรู้ ตอบค้ำถำมสัน ๆ แบบทดสอบอัตนัย แสดงผลงำนท่ีเกดิ สังเกตจำกกำรท้ำ สังเกตพฤติกรรม ลำ้ เลียงนำ้ ตำล เกย่ี วกับ ควำมรู้ เกีย่ วกบั ควำมรู้ จำกกำรเรียนรู้ใน กำรเรียนรู้กำร จำกใบไปส่วน เร่อื ง พชื ลำ้ เลียง เรือ่ ง สปั ดำห์ ปฏบิ ตั กิ ำร ตอบคำ้ ถำมและ ตำ่ งๆ เรอ่ื ง พืชลำ้ เลยี ง น้ำจำกรำกสู่ยอด วทิ ยำศำสตร์ กำรท้ำปฏิบัตกิ ำร นำ้ จำกรำกสู่ ล้ำเลียงนำ้ ตำลจำก - กำรล้ำเลยี งนำ้ - กำรล้ำเลียงน้ำ ยอด ลำ้ เลยี ง ใบไปส่วนตำ่ งๆ - กำร - กำร แลกเปลย่ี นแก๊ส แลกเปลีย่ นแก๊ส นำ้ ตำลจำกใบไป และกำรคำยนำ้ และกำรคำยน้ำ สว่ นตำ่ งๆ - กำรลำ้ เลียง - กำรลำ้ เลยี ง ธำตุอำหำร ธำตุอำหำร
๑๓๐ เปา้ หมายการ เลือกคาตอบท่ี ตอบคาถามสน้ั การเขยี นแบบ ประเมินจดั ขน้ึ ประเมนิ ตาม การสังเกต เรยี นรู้ ถูกตอ้ ง ๆ อตั นัย ภายในโรงเรยี น สภาพจริง (ประเมินตลอด Constructed Essay contextual วธิ กี าร Selected School หนว่ ย) ประเมิน Response Response Product / on-going Performance Tools (ทดสอบกอ่ น - กำรลำ้ เลยี ง - กำรล้ำเลยี ง และหลงั ) อำหำร อำหำร สมรรถนะ ตอบค้ำถำมตอบโต้ - สรปุ ผล - นำ้ เสนอผลงำน - ผปู้ กครอง/ครู เกิดจำกกำรเรียนรู้ สงั เกตพฤตกิ รรม สาคญั กบั ครูผสู้ อน กำรศกึ ษำใน ในสปั ดำห์ กำรปฏบิ ตั งิ ำน 1.ควำมสำมำรถ วิทยำศำสตร์ ทักษะกำรใชก้ ลอ้ ง ในกำรสอ่ื สำร ระหว่ำงเรียน ปฏบิ ัตกิ ำรต่ำงๆ จุลทรรศน์ และ กำรถำ่ ยภำพได้ 2.ควำมสำมำรถ กล้อง ในกำรคดิ 2.1 ทกั ษะ กำรสังเกต 2.2 ทักษะ กำรสำ้ รวจ คน้ หำ 2.3 ทกั ษะ กำรตังคำ้ ถำม 2.4 ทกั ษะ กำร ตังสมมตฐิ ำน 2.5 ทกั ษะ กำรตรวจสอบ สมมตฐิ ำน 2.6 ทกั ษะ กำรสรปุ ลง ควำมเห็น 3.ควำมสำมำรถ ในกำรใชท้ ักษะ ชีวิตคณุ ลักษณะ อนั พงึ ประสงค์
๑๓๑ เป้าหมายการ เลอื กคาตอบท่ี ตอบคาถามส้นั การเขยี นแบบ ประเมินจัดขนึ้ ประเมินตาม การสงั เกต เรยี นรู้ ถูกตอ้ ง ๆ อัตนยั ภายในโรงเรียน สภาพจรงิ (ประเมนิ ตลอด Constructed Essay contextual วิธีการ Selected School หน่วย) ประเมนิ Response on-going คุณลกั ษณะอนั Response Product / Tools พึงประสงค์ Performance 1) ซ่อื สัตย์ สงั เกต สจุ ริต พฤติกรรมกำร 2) มีวนิ ยั ท้ำงำนสว่ นตวั 3) ใฝเ่ รียนรู้ และพฤตกิ รรม 4) ม่งุ มั่นในกำร กำรปฏิบัติงำน ท้ำงำน กล่มุ ด้านทักษะ ตอบคำ้ ถำม - ตรวจผลงำน 1. สบื ค้นขอ้ มูล เกี่ยวกบั ควำมรู้ - สงั เกตควำม และอธิบำย ตังใจและควำม เรอื่ ง กำร รบั ผิดชอบใน กลไกกำรล ล้ำเลียงนำ้ กำรปฏิบัติ เลียงน้ำ และ กจิ กรรม - ทักษะกำรใช้ ธำตอุ ำหำรของ กล้องจลุ ทรรศน์ พืช และกำร ถำ่ ยภำพได้ 2. สืบค้นข้อมูล ตอบคำ้ ถำม กล้อง เก่ียวกับควำมรู้ สงั เกต และ เรอื่ งกำร - ตรวจผลงำน อธบิ ำยกำร แลกเปลย่ี นแก๊ส - สังเกตควำม และกำรคำยน้ำ ตงั ใจและควำม แลกเปลีย่ นแก๊ส รับผดิ ชอบใน และกำรคำยน้ำ ตอบ กำรปฏบิ ัติ ของพืช ค้ำถำม กจิ กรรม - ตรวจผลงำน
๑๓๒ เลอื กคาตอบท่ี ตอบคาถามสน้ั การเขียนแบบ ประเมนิ จัดขน้ึ ประเมินตาม การสังเกต เป้าหมายการ ถกู ตอ้ ง ๆ อตั นยั ภายในโรงเรียน สภาพจรงิ (ประเมนิ ตลอด เรียนรู้ Selected Constructed Essay contextual Response School หน่วย) Response on-going วิธกี าร เก่ยี วกบั ควำมรู้ Product / Tools ประเมิน เรอื่ ง กำร Performance 3. สืบคน้ ข้อมูล ลำ้ เลียงธำตุ - สงั เกตควำม อำหำร ตงั ใจและควำม อธิบำย รับผดิ ชอบใน กำรปฏิบัติ ควำมสำ้ คญั ของ กิจกรรม ธำตุอำหำร และ ยกตัวอย่ำงธำตุ อำหำรที่ส้ำคัญท่ี มีผลตอ่ กำร ชิ้นงาน - ใบงำนท่ี 3.1 เรอื่ ง กำร ล้ำเลียงนำ้ - ใบงำนที่ 3.2 เรือ่ ง กำร แลกเปลยี่ นแก๊ส และกำรคำยนำ้ - ใบงำนท่ี 3.3 เรื่อง กำร ลำ้ เลยี งธำตุ อำหำร - ใบงำนท่ี 3.4 เรอ่ื ง กำร ล้ำเลียงอำหำร
๑๓๓ จัดทาเกณฑก์ ารประเมิน ตามผงั การประเมิน ระดบั คณุ ภาพ 1 ประเดน็ การประเมิน 2 ท้ำข้อสอบได้ 1-4 ขอ้ 3 ท้ำขอ้ สอบได้ 5-7 ขอ้ 1. กำรทดสอบ แบบเลือกตอบ ท้ำขอ้ สอบได้ 8-10 ข้อ ไมต่ อบคำ้ ถำม ตอบค้ำถำมไดบ้ ำงครังที่ครูถำม 2. กำรตอบค้ำถำมสัน ๆ ตอบค้ำถำมได้ทกุ ครังท่ีครูถำม 3. กำรเขียนแบบอตั นยั เนอื หำตรงประเด็นชดั เจน เนือหำถูกตอ้ งตรงประเดน็ เนือหำไม่ถกู ต้อง บำงส่วน - ใบงำนที่ 3.1 เรื่อง กำร -เนือหำถกู ตอ้ งตรงประเดน็ -เนือหำถูไม่ถกู ตอ้ ง -มีรำยละเอยี ดขนั ตอนครบถว้ น -เนอื หำถูกตอ้ งบำงสว่ น -รำยละเอยี ดไม่เป็นไปตำม ลำ้ เลยี งน้ำ - มีควำมเป็นระเบียบเรยี บร้อย -มรี ำยละเอยี ดขนั ตอนเปน็ ขนั ตอน - ใบงำนท่ี 3.2 เร่ือง กำร - มีประโยชน์ต่อตนเองและ บำงส่วน - ไม่เปน็ ระเบยี บ แลกเปลยี่ นแก๊สและกำรคำยน้ำ สว่ นรวม - มีควำมเป็นระเบยี บเรียบรอ้ ย - ประโยชนท์ ไ่ี ด้รับไม่ชดั เจน บำงส่วน - ใบงำนท่ี 3.3 เรอ่ื ง กำร - มปี ระโยชน์ต่อตนเอง ล้ำเลยี งธำตอุ ำหำร - ใบงำนท่ี 3.4 เรื่อง กำร ลำ้ เลียงอำหำร เกณฑ์กำรตดั สนิ /ระดับคณุ ภำพ เกณฑก์ ำรผ่ำนตังแตร่ ะดับ ๒ ขึนไป
๑๓๔ ประเด็นการประเมนิ ผลคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ประเด็นการประเมนิ ระดับคณุ ภาพ 3 2 1 1. มวี นิ ยั ปฏิบตั ติ ำมข้อตกลง กฎเกณฑ์ ปฏบิ ตั ิตำมขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ไม่ปฏบิ ัตติ นตำมข้อตกลง ระเบยี บ ข้อตกลง ของ ระเบียบ ข้อบงั คับ ของ กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบงั คบั ครอบครัว โรงเรยี น และสงั คม ครอบครัวและโรงเรยี น ตรงต่อ ของครอบครัวและโรงเรียน ไมล่ ะเมิดสทิ ธิของผูอ้ ่ืน ตรง เวลำในกำรปฏบิ ตั กิ จิ กรรมต่ำง ๆ ตอ่ เวลำ ในชีวิตประจ้ำวัน และรับผดิ ชอบ ในกำร ปฏิบัตกิ ิจกรรมตำ่ ง ๆ ในกำรทำ้ งำนเป็นบำงครัง ในชวี ิตประจำ้ วนั และ รบั ผดิ ชอบในกำรท้ำงำนปฏบิ ตั ิ เปน็ ปกติวิสัย และเป็น แบบอย่ำงท่ดี ี 2. ใฝ่เรยี นรู้ ศกึ ษำค้นคว้ำหำควำมร้จู ำกหนังสอื ศกึ ษำค้นคว้ำควำมรู้จำกหนงั สอื ไม่ศึกษำค้นคว้ำหำควำมรู้ เอกสำร สิ่งพมิ พ์ สือ่ เทคโนโลยี เอกสำร สง่ิ พมิ พ์ สืเ่ ทคโนโลยี และสำรสนเทศ แหล่งเรียนรทู้ ัง แหล่งเรยี นรู้ ทังภำยในและ ภำยในและภำยนอกโรงเรียน ภำยนอกโรงเรียน เลือกใช้สอ่ื ได้ เลือกใช้สอ่ื ได้อย่ำงเหมำะสม มี อยำ่ งเหมำะสม และ กำรบันทึกควำมรู้ วิเครำะห์ มีกำรบันทึกควำมรู้ ข้อมูล สรุปเป็นองค์ควำมรู้ และ แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ ดว้ ยวธิ ีกำรที่ หลำกหลำย และน้ำไปใชใ้ น ชวี ิตประจำ้ วนั ได้ 3.มุ่งม่ันในการทางาน ตงั ใจและรบั ผดิ ชอบในกำร ตังใจและรับผดิ ชอบในกำร ไม่ตังใจปฏบิ ัติหน้ำทก่ี ำรงำน ปฏบิ ตั หิ น้ำท่ีท่ไี ด้รบั มอบหมำย ปฏิบัติหนำ้ ทที่ ไ่ี ด้รับมอบหมำย ใหส้ ้ำเร็จ มีกำรปรับปรงุ กำร ท้ำงำนใหด้ ีขนึ ให้สำ้ เรจ็ มีกำร ปรบั ปรงุ และพัฒนำกำรทำ้ งำน ให้ดขี ึนด้วยตนเอง 4. มีจติ สาธารณะ - ช่วยพ่อแม่ ผู้ปกครองและครู -ช่วยพอ่ แม่ ผปู้ กครอง และ -ไมช่ ว่ ยเหลือพอ่ แม่ ทำ้ งำน อำสำท้ำงำน ชว่ ยคดิ ครทู ้ำงำนอำสำท้ำงำน และ ผูป้ กครอง และครู ช่วยท้ำ แบง่ ปันสง่ิ ของ และ แบ่งปันสง่ิ ของให้ผู้อ่ืนดว้ ยควำม -ไม่สนใจดูแลรกั ษำ เต็มใจ
๑๓๕ ประเด็นการประเมิน ระดบั คุณภาพ 2 3 1 - ดแู ล รกั ษำทรัพยส์ มบัติ ชว่ ยแก้ปัญหำใหผ้ ้อู ่ืนด้วยควำม ทรพั ยส์ มบตั ิและ เต็มใจ สงิ่ แวดลอ้ มของห้องเรยี น ส่ิงแวดลอ้ มของโรงเรยี น -ดูแล รกั ษำทรัพย์สมบตั ิ โรงเรียน และเข้ำรว่ มกจิ กรรม สงิ่ แวดลอ้ มของห้องเรียน โรงเรียน ชุมชน และเข้ำร่วม เพอื่ สงั คมและ กจิ กรรมเพ่ือสงั คมและ สำธำรณประโยชนข์ องโรงเรยี น สำธำรณประโยชนข์ องโรงเรียน และชมุ ชนด้วย ควำมเตม็ ใจ ดว้ ยควำมเต็มใจ เกณฑ์กำรตัดสนิ /ระดับคุณภำพ เกณฑก์ ำรผ่ำนตังแตร่ ะดับ ๒ ขนึ ไป ประเด็นการประเมิน สมรรถนะทสี่ าคญั ถงึ ตรงนี้ ระดับคณุ ภาพ 1 ประเดน็ การประเมนิ 2 -น้ำเสนอไมต่ ำมล้ำดับขันตอน 3 นำ้ เสนอตำมลำ้ ดบั ขันตอนแตไ่ ม่ 1. ควำมสำมำรถในกำรสอ่ื สำร -น้ำเสนอตำมล้ำดับขันตอน -ใช้ภำษำสอื่ ควำมหมำยไมช่ ัดเจน นำ่ สนใจ น่ำสนใจ -ใชภ้ ำษำส่อื ควำมหมำยเข้ำใจชดั -ใชภ้ ำษำสอื่ ควำมหมำยได้เขำ้ ใจ เจดยังไมช่ ดั เจน ชดั เจน 2.ควำมสำมำรถในกำรคิด -เขียนสรปุ แผนภำพควำมคดิ -เขียนสรุป แผนภำพควำมคิด -เขียนสรุป แผนภำพควำมคิด วิเครำะห์ ควำมรู้เรอ่ื ง เทคโนโลยี และ ควำมร้เู รื่อง เทคโนโลยี และ ควำมรูเ้ รื่อง เทคโนโลยี และ กระบวนกำรทำงเทคโนโลยี ได้ กระบวนกำรทำงเทคโนโลยี ได้ กระบวนกำรทำงเทคโนโลยี ยัง 3. ควำมสำมำรถในกำรใช้ทกั ษะ ถูกต้องครบทุกองคป์ ระกอบและ ถูกตอ้ ง ไมค่ รบองค์ประกอบ ชีวิต สวยงำม - มีทกั ษะในกำรเลอื กใช้ - มีทักษะในกำรเลอื กใช้ - ไมม่ ีทกั ษะในกำรเลือกใช้ เทคโนโลยไี ดอ้ ย่ำงปลอดภัย เทคโนโลยี เทคโนโลยี - นำ้ กระบวนกำรทำงเทคโนโลยี - น้ำกระบวนกำรทำงเทคโนโลยี - ไม่ได้น้ำกระบวนกำรทำง มำใชใ้ นกำรวำงแผนปฏิบตั งิ ำน มำใชใ้ นกำรวำงแผนปฏิบัตงิ ำน เทคโนโลยมี ำใช้ในกำรวำงแผน เป็นประจำ้ ปฏิบตั ิงำน 4. ควำมสำมำรถในกำรใช้ -มคี วำมร้ทู ักษะพนื ฐำนในกำรใช้ -มคี วำมรู้พืนฐำนในกำรใช้ -ไม่มีควำมรพู้ ืนฐำนในกำรใช้ เทคโนโลยี คอมพิวเตอรแ์ ละขำดทกั ษะ คอมพวิ เตอร์ คอมพวิ เตอรแ์ ต่ขำดทักษะ
๑๓๖ ประเดน็ การประเมนิ ระดับคุณภาพ 321 - นำ้ เสนอผลงำนโดยใช้ - น้ำเสนอผลงำนโดยใช้ - น้ำเสนอผลงำนโดยใช้ คอมพวิ เตอร์ไดด้ ี คอมพวิ เตอรไ์ ด้ คอมพวิ เตอรไ์ ม่ได้ - ใชค้ อมพิวเตอรเ์ ป็นแหล่งเรยี นรู้ - ใช้คอมพวิ เตอร์เป็นแหลง่ เรียนรู้ - ใชค้ อมพิวเตอรเ์ ปน็ แหลง่ เรียนรู้ ไดด้ ที กุ ครัง ได้ ไมไ่ ด้ เกณฑก์ ำรตัดสิน/ระดบั คณุ ภำพ เกณฑ์กำรผ่ำนตังแต่ระดบั ๒ ขนึ ไป ประเด็นการประเมิน พฤติกรรมกระบวนการทางานกลุ่ม ประเดน็ การประเมิน ระดับคุณภาพ 321 กระบวนกำรทำ้ งำนกลุม่ มีกำรแบง่ หน้ำที่ ควำมรบั ผดิ ชอบ มีกำรแบ่งหน้ำท่ี ควำมรับผิดชอบ มกี ำรแบง่ หนำ้ ที่ ควำม ชัดเจน รว่ มคดิ รว่ มวำงแผน ชดั เจน ร่วมคิด ร่วมวำงแผน รบั ผดิ ชอบไมช่ ดั เจน รว่ มคิด ร่วม ร่วมมือทำ้ งำน ช่วยเหลือเออื รว่ มมอื ทำ้ งำน ชว่ ยเหลือเออื วำงแผน รว่ มมือท้ำงำน อำทรในกำรท้ำงำน รบั ผิดชอบ อำทรในกำรทำ้ งำน รบั ผิดชอบ ช่วยเหลือเออื อำทรในกำรท้ำงำน ตรงต่อเวลำ รบั ฟังควำมคดิ เหน็ ตรงตอ่ เวลำ ขำดควำมรบั ผดิ ชอบและไม่ตรง ซง่ึ กันและกนั และร่วมภูมิใจใน ต่อเวลำ ผลงำน เกณฑก์ ำรตัดสิน/ระดับคุณภำพ เกณฑ์กำรผำ่ นตังแตร่ ะดับ ๒ ขนึ ไป
๑๓๗ การออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู้ ชอื่ หน่วยการเรียนรู้ เรอื่ ง การลาเลียงของพชื เวลา 12 ชัว่ โมง กิจกรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมนาสู่การเรียน (ชดุ คาถามทีก่ าหนดไว้/กจิ กรรมการเรียนรทู้ ี่ออกแบบไว)้ 1. เนือเย่ือท่อล้ำเลยี งน้ำและแรธ่ ำตขุ องพืชคืออะไร แนวตอบ ท่อไซเล็ม (Xylem) 2. พืชขนำดใหญ่หรือพืชทมี่ คี วำมสงู มำกจ้ำเปน็ ต้องมที ่อลำ้ เลียงน้ำ (Xylem) หรอื ไม่เพรำะเหตใุ ด แนวตอบ จ้ำเป็น เพรำะท่อล้ำเลียงน้ำหรือไซเล็ม (Xylem) ใช้ส้ำหรับล้ำเลียงน้ำและธำตุอำหำร จำกรำกไปยังสว่ นตำ่ ง ๆ 3. กำรคำยนำ้ ของพชื (Transpiration) ส่วนใหญเ่ กดิ ขึนที่ใด แนวตอบ สว่ นใหญ่เกิดขนึ ทใ่ี บ) 4. เซลลช์ นิดใดมีสว่ นชว่ ยควบคมุ สมดลุ ของน้ำภำยในร่ำงกำยของพืช แนวตอบ เซลล์คุม (Guard cell) 5. นักเรียนคิดว่ำ “ปำกใบของพืช (Stomata)” เปรียบเสมือนอวัยวะใดบ้ำงของร่ำงกำย เพรำะ เหตใุ ด นกั เรยี นจงึ คิดเช่นนนั แนวตอบ ขนึ อยู่กบั ควำมคิดเห็นของนักเรยี น และดลุ ยพินจิ ของครู โดยมีแนวทำงในกำรตอบ คือ จมกู เพรำะ ท้ำหนำ้ ท่แี ลกเปลีย่ นแกส๊ 6. ต้นไม้บำงชนิดมีรอยแตกบริเวณล้ำต้น นักเรียนคิดว่ำ รอยแตกนีเกิดขึนได้อย่ำงไร และมี ประโยชน์ กับพชื หรือไม่ แนวตอบ เลนทิเซล (Lenticel) เป็นรอยแตกท่ีเกิดจำกกำรแบ่งเซลล์ของคอร์กแคมเบียม (Cork Cambium) ท้ำให้ล้ำต้นมีรัศมีกว้ำงขึน ส่งผลให้บริเวณเปลือกไม้เกิดรอยแตกและน้ำภำยในล้ำต้นบำงส่วน จึง ระเหยออกมำทำงเลนทเิ ซล 7. จงยกตัวอยำ่ งธำตทุ นี่ ักเรยี นรู้จกั ในชีวติ ประจ้ำวัน มำ 2-3 ตัวอย่ำงพร้อมบอกประโยชนข์ องธำตุ เหลำ่ นันมำพอสงั เขป แนวตอบ เหล็ก (Fe) ใช้ในกำรท้ำอุตสำหกรรมต่ำง ๆ ตะก่ัว (Pb) ใช้ในกำรท้ำแบตเตอร่ี และ แคลเซยี ม (Ca) เกย่ี วข้องกบั เรือ่ งสขุ ภำพเช่น กำรดูแลกระดกู และ ฟัน เปน็ ต้น 8. ครูกระตุ้นควำมสนใจของนกั เรยี นโดยกำรเปรียบเทียบรำ่ งกำยของมนุษย์เหมอื นกับต้นไม้ 1 ต้น แล้วให้นักเรยี นระดมควำมคิดว่ำ ถำ้ หำกรำ่ งกำยมนุษย์ไมไ่ ดร้ ับสำรอำหำรจะมลี ักษณะเป็นอยำ่ งไร แนวตอบ ค้ำตอบขึนอยู่กับกำรแสดงควำมคิดเห็นของนักเรียนและดุลยพินิจของ เช่น ผอมเป็นโรค ไมม่ แี รงหรือเคล่ือนไหวได้ 9 เนือเย่ือท่ที ำ้ หน้ำทลี่ ำ้ เลียงอำหำรของพืชไดแ้ กอ่ ะไรบำ้ ง แนวคาตอบ เนือเยอ่ื ท่ที ำ้ หน้ำท่ลี ำ้ เลียงอำหำรของพชื ได้แก่ เนอื เยอ่ื ล้ำเลยี งโฟลเอม็ (Phloem) ซง่ึ ประกอบดว้ ย ซฟี ทวิ บ์ (Sieve tube member) และเซลล์คอมพำ-เนยี น (Companion cell)2. จำกภำพท้ำไมล้ำ ต้นของตน้ ไผก่ ับตน้ มะมว่ งจึงแตกต่ำงกัน
๑๓๘ กิจกรรมพัฒนา เรอ่ื ง การลาเลียงน้า 1. ใหน้ กั เรียนจบั กลมุ่ กลมุ่ ละ 4-5 คน สืบค้นรปู แบบกำรล้ำเลยี งน้ำและธำตอุ ำหำรในแนว ระนำบ จำกแหลง่ กำรเรยี นรู้ต่ำง ๆ เช่น อนิ เทอร์เน็ต หรือหนังสอื เรยี นชวี วิทยำ เล่ม 1 แลว้ สรปุ ลงในกระดำษ A4 พรอ้ มน้ำเสนอในรูปแบบท่ีสวยงำม 2. ให้ตวั แทนกลุ่มออกมำน้ำเสนอผลงำนหนำ้ ชันเรียน 3. นกั เรียนและครรู ่วมกันอภปิ รำยผลจำกกำรสืบค้นรปู แบบกำรลำ้ เลียงน้ำและธำตอุ ำหำร เร่อี ง การแลกเปล่ียนแกส๊ และการคายนา้ 1. ให้นักเรยี นแบ่งกลมุ่ กลุม่ ละ 6 คน โดยสมำชกิ ภำยในกลมุ่ แบง่ หนำ้ ทอ่ี อกเป็น 2 ทมี เพื่อศึกษำ 1) ทีมที่ 1 ศึกษำ เรื่อง กำรปรับตวั โครงสร้ำงภำยในใบของพืช 2) ทีมท่ี 2 ศึกษำ เร่ือง กลไกกำรเปดิ -ปิดของปำกใบ 2. ให้ทีมที่ 1 ของแต่ละกลมุ่ สรุปใบควำมรเู้ ป็นแผนผงั มโนทัศน์ เรอ่ื ง กำรปรับตวั โครงสรำ้ ง ภำยในใบของพชื 3. ใหท้ มี ท่ี 2 ของแต่ละกลุม่ สรุปกลไกกำรเปดิ -ปิดของปำกใบ ลงในกระดำษรำยงำน ในรูปแบบ ท่ตี นเองเข้ำใจ 4. จำกนันให้สมำชกิ ของแตล่ ะทมี แลกเปล่ียนควำมรู้กันภำยในกลุ่ม เร่ีอง การลาเลยี งธาตุอาหาร 1. ใหน้ ักเรยี นจบั กลุ่ม กลมุ่ ละ 3-4 คน สืบคน้ ขอ้ มลู เก่ียวกับหนำ้ ทแี่ ละควำมสำ้ คัญของธำตทุ ่มี ี ต่อพชื จำกแหล่งกำรเรียนรตู้ ่ำง ๆ เช่น อนิ เทอรเ์ นต็ หรอื หนังสือเรยี นชีววิทยำ ม.5 เลม่ 1 โดยให้แต่ละ กลุ่มส่ง ตวั แทนออกมำจับสลำกหมำยเลข 1-13 โดยแต่ละหมำยเลขให้ศกึ ษำธำตอุ ำหำร ดังนี 1) ธำตุแคลเซียม (Ca) 2) ธำตไุ นโตรเจน (N) 3) ธำตุฟอสฟอรสั (P) 4) ธำตโุ พแทสเซียม (K) 5) ธำตุแมกนีเซียม (Mg) 6) ธำตุก้ำมะถนั (S) 7) ธำตเุ หล็ก (Fe) 8) ธำตคุ ลอรนี (Cl) 9) ธำตโุ บรอน (B) 10) ธำตุสงั กะสี (Zn) 11) ธำตุแมกกำนีส (Mn) 12) ธำตทุ องแดง (Cu) 13) ธำตุโมลิบดินัม (Mo)
๑๓๙ 2. ให้นกั เรียนนำ้ ข้อมูลที่สืบคน้ จำกแหล่งกำรเรยี นรู้ จำกกำรส้ำรวจพนื ที่บรเิ วณใกล้เคียงวำ่ มี ต้นไม้ท่มี ีลกั ษณะดงั กลำ่ วหรอื ไม่ บันทกึ ภำพและรวบรวมไว้ในรำยงำนของกล่มุ ตนเอง เร่ีอง การลาเลยี งอาหาร 1. ให้นักเรยี นแบ่งกล่มุ ออกเปน็ 3 กลมุ่ ตำมควำมสมคั รใจ เพอ่ื ศึกษำเนือหำ เรือ่ ง กำรลำ้ เลยี ง อำหำรของพชื แลว้ ให้แต่ละกลุ่มสง่ ตัวแทนกลุ่มออกมำจบั สลำกหมำยเลข 1-3 โดยแตล่ ะหมำยเลขใหแ้ ตล่ ะกลุ่ม ศกึ ษำหวั ขอ้ ตอ่ ไปนี 1) หมำยเลข 1 : ศึกษำกำรพองของเปลือกของล้ำตน้ เหนือรอยควั่น 2) หมำยเลข 2 : ศึกษำกำรลำ้ เลยี งน้ำตำลในพืชโดยใช้ 14C (คำร์บอน-14) 3) หมำยเลข 3 : ศกึ ษำกำรล้ำเลียงอำหำรภำยในทอ่ โฟลเอ็ม (Phloem) โดยเพลยี อ่อน 2. ใหแ้ ต่ละกลุ่มสรปุ สำระส้ำคัญของหวั ข้อที่ศึกษำลงในกระดำษ A4 โดยสมำชกิ ทุกคนจะตอ้ งมี ข้อสรุปเป็นของตนเอง 1) ใหน้ ักเรยี นศกึ ษำ เรอ่ื ง กลไกกำรล้ำเลียงอำหำรของพืช จำกวดี ทิ ัศน์ เร่ือง กำร ล้ำเลยี งในโฟลเอ็ม 2) ใหน้ กั เรียนสรุปควำมร้แู ละสำระส้ำคญั ลงในสมุดบนั ทกึ ของตนเอง กิจกรรมรวบยอด (ชนิ้ งาน/ภาระงานของผู้เรียน) - ใบงำนที่ 2.1 เรอ่ื ง กำรลำ้ เลยี งนำ้ - ใบงำนท่ี 2.2 เรอ่ื ง กำรแลกเปลยี่ นแก๊สและกำรคำยนำ้ - ใบงำนท่ี 2.3 เรื่อง กำรล้ำเลียงธำตอุ ำหำร - ใบงำนที่ 2.4 เรอ่ื ง กำรลำ้ เลียงอำหำร
การประเมนิ กจิ กรรม ทรัพยากร/สือ่ ๑๔๐ กำรล้ำเลยี งนำ้ 1. ให้นกั เรยี นจบั กลมุ่ กลุ่มละ 4-5 คน สืบค้น 1. หนงั สือเรียน เวลา รปู แบบกำรลำ้ เลยี งนำ้ และธำตุอำหำรในแนวระนำบ ชวี วิทยำ ม.5 เลม่ 1 3 ชว่ั โมง จำกแหลง่ กำรเรียนรูต้ ่ำง ๆ เชน่ อนิ เทอรเ์ น็ต หรือ 2. อินเทอรเ์ นต็ หนงั สอื เรยี นชีววทิ ยำ เลม่ 1 แล้วสรุปลงในกระดำษ (สมำรท์ โฟน) A4 พร้อมนำ้ เสนอในรูปแบบท่สี วยงำม ใบงำนท่ี 3.1 เรอ่ื ง กำรล้ำเลียงน้ำ 2. ให้ตัวแทนกลุ่มออกมำนำ้ เสนอผลงำนหน้ำ ชันเรียน 3. นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั อภปิ รำยผลจำกกำร สบื ค้นรปู แบบกำรลำ้ เลยี งน้ำและธำตุอำหำร กำรแลกเปลีย่ นแก๊สและกำร 1. ให้นักเรยี นแบง่ กล่มุ กลุ่มละ 6 คน โดยสมำชิก 1. หนงั สอื เรยี น 3 ชว่ั โมง คำยนำ้ 3 ชั่วโมง ภำยในกลุ่มแบง่ หน้ำท่ีออกเป็น 2 ทมี เพื่อศึกษำ ชีววิทยำ ม.5 เล่ม 1 กำรล้ำเลียงธำตอุ ำหำร 1) ทมี ที่ 1 ศึกษำ เร่อื ง กำรปรบั ตวั 2. อินเทอรเ์ น็ต โครงสร้ำงภำยในใบของพืช (สมำรท์ โฟน) 2) ทมี ที่ 2 ศกึ ษำ เรอ่ื ง กลไกกำรเปิด-ปิด 3. ใบงำนที่ 3.2 ของปำกใบ เร่อื ง กำรแลกเปล่ยี น 2. ใหท้ มี ท่ี 1 ของแตล่ ะกลมุ่ สรุปใบควำมรู้เป็น แก๊สและกำรคำยน้ำ แผนผงั มโนทัศน์ เรื่อง กำรปรับตัวโครงสร้ำงภำยใน ใบของพชื 3. ใหท้ ีมท่ี 2 ของแตล่ ะกลมุ่ สรปุ กลไกกำรเปิด- ปิดของปำกใบ ลงในกระดำษรำยงำน ในรปู แบบท่ี ตนเองเขำ้ ใจ 4. จำกนันใหส้ มำชิกของแต่ละทมี แลกเปลี่ยน ควำมรูก้ ันภำยในกลมุ่ 1. ใหน้ กั เรยี นจับกลมุ่ กลุ่มละ 3-4 คน สืบค้น 1. หนงั สอื เรยี น ข้อมลู เกี่ยวกบั หนำ้ ท่ีและควำมส้ำคัญของธำตุท่มี ีต่อ ชีววทิ ยำ ม.5 เล่ม 1 พืช จำกแหลง่ กำรเรียนรตู้ ่ำง ๆ เช่น อนิ เทอร์เนต็ 2. อนิ เทอร์เนต็ หรือ หนังสอื เรียนชวี วิทยำ ม.5 เลม่ 1 โดยให้แต่ละ (สมำรท์ โฟน) กลุ่มส่งตวั แทนออกมำจับสลำกหมำยเลข 1-13 โดย 3. ใบงำนที่ 2.3 แต่ละหมำยเลขให้ศึกษำธำตุอำหำร ดังนี เร่อื ง กำรล้ำเลียงธำตุ 1) ธำตุแคลเซยี ม (Ca) อำหำร 2) ธำตไุ นโตรเจน (N) 4. PowerPoint 3) ธำตฟุ อสฟอรัส (P)
การประเมนิ กิจกรรม ทรัพยากร/สื่อ ๑๔๑ กำรลำ้ เลียงอำหำร 4) ธำตุโพแทสเซยี ม (K) เวลา 5) ธำตแุ มกนเี ซียม (Mg) 6) ธำตกุ ำ้ มะถนั (S) 3 ชวั่ โมง 7) ธำตุเหล็ก (Fe) 8) ธำตคุ ลอรนี (Cl) 9) ธำตโุ บรอน (B) 10) ธำตุสงั กะสี (Zn) 11) ธำตุแมกกำนีส (Mn) 12) ธำตุทองแดง (Cu) 13) ธำตุโมลิบดินัม (Mo) 2. ให้นักเรียนน้ำขอ้ มูลที่สืบคน้ จำกแหล่งกำร เรยี นรู้ จำกกำรส้ำรวจพืนทบ่ี ริเวณใกลเ้ คียงว่ำมี ต้นไม้ทม่ี ีลักษณะดังกล่ำวหรอื ไม่ บนั ทกึ ภำพและ รวบรวมไว้ในรำยงำนของกลุ่มตนเอง 1. ใหน้ กั เรยี นแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 3 กล่มุ ตำม 1. หนงั สอื เรยี น ควำมสมัครใจ เพอ่ื ศกึ ษำเนือหำ เร่ือง กำรล้ำเลยี ง ชวี วิทยำ ม.5 เลม่ 1 อำหำรของพชื แลว้ ให้แตล่ ะกลุ่มส่งตัวแทนกลุม่ 2. อนิ เทอรเ์ นต็ ออกมำจับสลำกหมำยเลข 1-3 โดยแต่ละหมำยเลข (สมำรท์ โฟน) ให้แต่ละกลุ่มศึกษำหัวขอ้ ตอ่ ไปนี 3. ใบงำนท่ี 2.4 1) หมำยเลข 1 : ศึกษำกำรพองของ เร่อื ง กำรลำ้ เลียง เปลือกของล้ำต้นเหนือรอยควั่น อำหำร 2) หมำยเลข 2 : ศึกษำกำรล้ำเลยี งนำ้ ตำล 4. PowerPoint ในพชื โดยใช้ 14C (คำรบ์ อน-14) 3) หมำยเลข 3 : ศกึ ษำกำรล้ำเลยี งอำหำร ภำยในทอ่ โฟลเอม็ (Phloem) โดยเพลียอ่อน 2. ให้แต่ละกล่มุ สรุปสำระส้ำคญั ของหวั ขอ้ ท่ี ศกึ ษำลงในกระดำษ A4 โดยสมำชิกทุกคนจะต้องมี ข้อสรุปเป็นของตนเอง 1) ให้นักเรียนศึกษำ เร่ือง กลไกกำรล้ำเลียง อำหำรของพชื จำกวดี ิทัศน์ เรือ่ ง กำรล้ำเลียงในโฟล เอม็ 2) ใหน้ กั เรียนสรปุ ควำมรู้และสำระส้ำคัญ ลงในสมุดบนั ทึกของตนเอง
๑๔๒ กาหนดโครงสร้างแผนการจดั การเรยี นรจู้ ากการออกแบบหนว่ ยการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 2 เรื่อง การลาเลยี งของพชื เวลา 12 ชวั่ โมง โครงสรา้ งการจัดทาแผนการจดั การเรยี นรู้ ตามทไี่ ดอ้ อกแบบหนว่ ยการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ ชอื่ เร่อื ง เวลา/ชัว่ โมง แผนกำรจัดกำรเรยี นรูท้ ่ี 11 กำรลำ้ เลยี งน้ำ 3 แผนกำรจดั กำรเรยี นรทู้ ี่ 12 กำรแลกเปล่ยี นแก๊สและกำรคำยนำ้ 3 แผนกำรจัดกำรเรยี นรทู้ ่ี 13 กำรลำ้ เลยี งธำตอุ ำหำร 3 แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ท่ี 14 กำรล้ำเลยี งอำหำร 3 12 รวม
๑๔๓ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 11 รายวิชา ชวี วทิ ยา 3 รหสั วชิ า ว32243 กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 3 การลาเลียงของพืช เวลา 12 ชัว่ โมง เร่อื ง การลาเลยี งนา เวลา 3 ชว่ั โมง ชนั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 ครูผู้สอน นายบุญรงั จาปา 1. สาระชวี วทิ ยา สาระท่ี 3 เข้าใจสว่ นประกอบของพืช การแลกเปล่ียนแก๊สและคายน้าของพืช การล้าเลียงของพชื การ สังเคราะหด์ ว้ ยแสง การสืบพนั ธ์ุของพชื ดอกและการเจริญเตบิ โต และการตอบสนองของพชื รวมทงั น้าความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรยี นรู้ สบื คน้ ขอ้ มลู และอธิบายกลไกการล้าเลยี งนา้ และธาตุอาหารของพืช 3. สาระสาคัญ พืชมรี ะบบลา้ เลียงเพ่ือใช้ล้าเลียงน้า แร่ธาตุตา่ ง ๆ จากดนิ ไปสู่สว่ นต่าง ๆ ของพืช โดยการลา้ เลียงน้า ใช้ท่อล้าเลียง เรยี กวา่ ไซเลม ( Xylem) เมอ่ื พชื สรา้ งอาหารแล้วก็จะล้าเลียงไปสู่สว่ นต่าง ๆ ของพชื โดยอาศัย ท่อล้าเลยี ง เรยี กว่า โฟลเอม ( Phloem ) โดยระบบการล้าเลยี งนา้ และอาหารแตกต่างกนั ระหว่างพืชใบเลียงคู่ และพชื ใบเลียงเดย่ี ว การคายน้า มีส่วนชว่ ยในการลา้ เลียงนา้ ของพืช 4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ดา้ นความรู้ (K) 1. ผู้เรยี นสามารถอธบิ ายกลไกการล้าเลยี งน้าของพืชได้ 4.2 ด้านทกั ษะกระบวนการ (P) 1. ผู้เรยี นสามารถเปรียบเทยี บรปู แบบการล้าเลียงนา้ แบบอโพพลาสตแ์ ละแบบ ซมิ พลาสตไ์ ด้ 4.3 ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงตอ่ เวลา 3. การตอบค้าถาม 4. การยอมรับฟังผอู้ ืน่ 5. ความรบั ผดิ ชอบ 5. สาระการเรยี นรู้ - พืชดูดน้าและธาตุอาหารต่าง ๆ จากดิน โดยเซลล์ขนรากแล้วล้าเลียงผ่านชนั คอร์เทกซ์เข้าสู่เนอื เยื่อ ล้าเลียงนา้ ในชนั สตลี ซ่ึงเปน็ การดดู น้าจากดินส่เู นือเยื่อล้าเลียงน้าในแนวระนาบ และลา้ เลียงไปยังสว่ นต่าง ๆ ของพืชในแนวดงิ่ - ในสภาวะปกติการล้าเลียงน้าจากรากสู่ยอดของพชื อาศัยแรงดึงจากการคายน้า ร่วมกับแรงโคฮชี ัน แรงแอดฮชี ัน
๑๔๔ - ในภาวะท่ีบรรยากาศมคี วามชืนสัมพัทธ์สูงมากจนไม่สามารถเกิดการคายนา้ ได้ตามปกติ น้าที่เข้าไป ในเซลล์รากจะท้าใหเ้ กดิ แรงดันเรยี กวา่ แรงดนั ราก ทา้ ใหเ้ กดิ ปรากฏการณก์ ตั เตชัน 6. ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (Attitude) คุณลักษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั พนื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่อย่างพอเพียง ซอ่ื สตั ย์สุจรติ มุ่งมน่ั ในการทา้ งาน มวี ินัย รกั ความเป็นไทย ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ 7. คุณลักษณะของผู้เรียน ตามหลักสตู รโรงเรยี นมาตรฐานสากล เป็นเลิศวชิ าการ สือ่ สารสองภาษา ล้าหน้าทางความคิด ผลติ งานอยา่ งสร้างสรรค์ รว่ มกนั รับผิดชอบต่อสงั คมโลก 8. ดา้ นการ อา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขยี น การอา่ น : อา่ นเอกสารใบความรู้ เรื่อง การล้าเลยี งน้า การคดิ วิเคราะห์ : คิดวเิ คราะหข์ อ้ มูลท่ไี ด้จากการอา่ นใบความรู้ การเขียน : เขยี นสรปุ เรือ่ ง การล้าเลียงน้า 9. ด้านสมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน ความสามารถในการส่ือสาร : แสดงความคิดเหน็ และสามารถอธบิ าย ความสามารถในการคิด : มีความสามารถในการวเิ คราะห์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ความสามารถในการแก้ปญั หา : นักเรียนสามารถแกไ้ ขปญั หาเฉพาะหน้าได้เมอ่ื พบปญั หา ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต : ท้างานรว่ มกบั ผอู้ ื่นไดด้ ี ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี : สามารถใช้เทคโนโลยีสืบค้นขอ้ มูล 10. กิจกรรมการเรียนรู้ (5E) ขนั ท่ี 1 ขนั สรา้ งความสนใจ 1.1 ครูกระตนุ้ ความสนใจของนักเรียนโดยมคี า้ ถามดังนี 1) เนอื เย่ือท่อล้าเลียงนา้ และแรธ่ าตขุ องพชื คืออะไร แนวตอบ ท่อไซเล็ม (Xylem) 1.2 ครูถามใหน้ ักเรยี นคิดตอ่ ไปว่า “พชื ขนาดใหญ่หรอื พชื ท่ีมคี วามสูงมากจ้าเป็นต้องมที อ่ ล้าเลยี งน้า (Xylem) หรอื ไม่เพราะเหตใุ ด” แนวตอบ จา้ เป็น เพราะท่อล้าเลียงน้าหรือไซเลม็ (Xylem) ใชส้ ้าหรบั ล้าเลียงนา้ และธาตอุ าหารจากราก ไปยงั สว่ นตา่ ง ๆ ขันที่ 2 สารวจคน้ หา 2.1 ให้นักเรียนจับกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน สืบค้นรูปแบบการล้าเลียงน้าและธาตุอาหารในแนวระนาบ จาก แหลง่ การเรียนร้ตู ่าง ๆ เชน่ อินเทอร์เนต็ หรอื หนงั สอื เรียนชีววทิ ยา เลม่ 1 แล้วสรุปลงในกระดาษ A4 พร้อม น้าเสนอในรูปแบบทีส่ วยงาม 2.2 ให้ตัวแทนกลุ่มออกมานา้ เสนอผลงานหน้าชนั เรยี น
๑๔๕ 2.3 นักเรียนและครรู ่วมกันอภปิ รายผลจากการสบื ค้นรูปแบบการลา้ เลียงนา้ และธาตุอาหาร ขนั ที่ 3 อธบิ ายความรู้ 3.1 ครเู ขียนคา้ ศัพทบ์ นกระดาน ดงั ตอ่ ไปนี 1) Apoplast 2) Symplast 3) Plasmodesmata 4) Casparian strip 5) Cytoplasm 6) Cell wall 7) Endodermis 8) Cortex 3.2 ให้นักเรียนลอกค้าศัพท์บนกระดานลงในสมุดบันทึก แล้วเขียนความหมายของค้าศัพท์แต่ละค้า พร้อม อธบิ ายความเชื่อมโยงของคา้ ศพั ท์กับการล้าเลียงนา้ ของพชื โดยมีแนวค้าตอบดงั นี 1) Apoplast แนวตอบ น้าในดินจะเข้าสู่รากผ่านชันคอร์เทกซ์ (Cortex) ของรากไปจนถึงชันเอนโดเดอร์มิส (Endodermis) โดยนา้ จะผา่ นจากเซลล์หน่งึ ไปยงั อีกเซลลห์ นง่ึ ทางผนงั เซลล์ หรือผา่ นทางชอ่ งวา่ งระหวา่ งเซลล์ 2) Symplast แนวตอบ นา้ จะเคลอ่ื นผ่านเซลล์หนึ่งไปอกี เซลล์หน่งึ ทางไซโทพลาซมึ (Cytoplasm) พลาสโมเดสมา (Plasmodesmata) และเยื่อหุม้ เซลล์ (Plasma membrane) ผ่านชันเอนโดเดอร์มิส (Endodermis) ก่อนเข้า สู่ไซเลม (Xylem) ตอ่ ไป 3) Plasmodesmata แนวตอบ ท้าหน้าที่เชื่อมเซลล์ท่ีอยู่ใกล้เคียงกัน เพ่ือช่วยในการขนถ่ายสิ่งๆต่าง ๆ ระหว่างเซลล์พืช แบบอโพพลาสต์ (Apoplast) เช่น น้า สารอาหาร และ ฮอรโ์ มน เปน็ ต้น 4) Casparian strip แนวตอบ ท้าหน้าที่ป้องกันการเคลื่อนที่ของน้าและธาตุอาหาร เม่ือเซลล์มีอายุมากขึนจะมีลิกนิน (Lignin) มาสะสม 5) Cytoplasm แนวตอบ เป็นสว่ นหนึ่งของโพรโทพลาสซมึ (protoplasm) ทอี่ ยรู่ อบ ๆ นิวเคลียส (Nucleus) ซ่งึ เปน็ สว่ นทีไ่ มม่ ชี วี ิตภายในเซลล์เป็นของเหลว ซ่ึงภายในมหี ลายอย่างที่สา้ คัญเชน่ คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) ใน คลอโรพลาสต์มีคลอโรฟิลล์ (chlorophyll) เอาไว้สังเคราะห์แสง มีออแกเนล (Organelle) ซ่ึงท้าให้เซลล์มี ชีวติ อยไู่ ด้เปน็ ต้น ซง่ึ สามารถพบได้ทงั เซลลพ์ ืชและเซลล์สตั ว์ 6) Cell wall
๑๔๖ แนวตอบ ผนังเซลล์ เป็นส่วนท่ีอยู่รอบนอกของเซลล์ ท้าหน้าท่ีเสริมความแข็งแรง เป็นตัวค้าจุน โครงสร้างท้าให้เซลลค์ งรูป ช่วยปกปอ้ งเซลล์และมีกลไกคัดกรองสารท่ีผ่านเข้า-ออกเซลลด์ ว้ ยผนงั เซลล์ของพืช ทา้ หน้าที่ปอ้ งกันการขยายตวั มากเกินไปหากนา้ ไหลผา่ นเขา้ สภู่ ายในเซลล์ 7) Endodermis แนวตอบ เป็นชันของเซลล์ท่ีอยู่ถัดจากชันคอร์เทกซ์ (Cortex) เข้าไป ประกอบด้วยเซลล์เพียงแถว เดียวโดยมคี ิวทนิ (Cutin) เคลือบอยบู่ นผนงั ชนั นอกของเซลล์ ชว่ ยป้องกันเนอื เย่อื ภายใน เน่อื งจากเซลลช์ นั นีมี ผนงั เซลล์บาง บางสว่ นของเซลลช์ นั นมี ีผนงั เซลล์บาง บางสว่ นของเซลลช์ นั นีจะยืน่ ออกไป ทา้ หน้าทด่ี ดู น้าและ แร่ธาตตุ า่ ง ๆ เซลลช์ นั นีมักจะพบในราก (Root) มากกวา่ ในลา้ ต้น (Stem) 8) Cortex แนวตอบ เป็นชันของเซลล์ท่ีอยู่ถัดจากชันเอพิเดอร์มิส (Epidermis) ส่วนใหญ่ประกอบด้วยเซลล์ พาเรงคมิ า (Parenchyma) เรยี งตวั กันหลายแถว ไมม่ ีครอโรพลาสต์ (Chloroplast) ทา้ หน้าทีส่ ะสมอาหาร จะ เหน็ ได้ชดั ในพชื ใบเลียงเดี่ยว 3.3 ให้นักเรียนจับคู่แลกเปล่ียนความรู้ ความหมาย และความเช่ือมโยงของค้าศัพท์กบั การล้าเลียงน้าของพชื ระหว่างคขู่ องตนเอง ขันที่ 4 ขันขยายความรู้ 4.1 ใหน้ ักเรยี นจบั กล่มุ กลุม่ ละ 3-4 คน สืบคน้ รปู แบบการล้าเลียงน้าและธาตอุ าหารในแนวดิง่ จาก แหลง่ การ เรยี นรู้ เชน่ อินเทอร์เนต็ สือ่ มเี ดยี ควิ อาร์โค้ด เร่ือง แรงดงึ จากการคายนา้ ของพืช 4.2 ครูถามค้าถามใหน้ ักเรยี นรว่ มกนั สืบค้นค้าตอบ ต่อไปนี 1) ภายในรากมีแรงดึงชนดิ ใดบา้ งทีส่ ่งผลให้น้าจากดนิ เข้ามาในทอ่ ไซเลม็ แนวตอบ แรงดึงจากการคายน้า (Transpiration pull) แรงดันราก (Root pressure) แอดฮีชัน (Adhesion) และ โคฮชี ัน (Coesion) 2) ปรากฏการณก์ ตั เตชัน (Guttation) เกิดขนึ เม่อื พชื อยู่ในสภาพแวดล้อมอยา่ งไร แนวตอบ ความชนื สมั พทั ธ์สูง ในเวลากลางคืน 3) ปรากฏการณ์กัตเตชัน (Guttation) แตกต่างกับการคายนา้ ของพืชทัว่ ไปอยา่ งไร แนวตอบ โดยท่ัวไปพืชจะคายน้าในรูปแบบไอน้า แต่ปรากฏการณ์กัตเตชัน (Guttation) พืชจะ คายนา้ ในรูปแบบหยดน้า 4.5 นักเรียนและครูร่วมกันสรุปความรทู้ ไ่ี ด้จากการท้าใบงานเพือ่ ให้ไดป้ ระเดน็ ดงั ต่อไปนี 1) กระบวนการคายนา้ ของพืชมีขนั ตอนเปน็ อยา่ งไร 2) รูปการล้าเลียงนา้ แบบอโพพลาสตแ์ ละแบบซิมพลาสตแ์ ตกต่างกนั อยา่ งไร 3) ปรากฏการณก์ ัตเตชัน (Guttation) จะเกิดขึนในสภาวะใด 4.6 ครูถามค้าถามแล้วให้นักเรียนตอบค้าถามลงในสมุดบันทึกของตนเอง แล้วให้นักเรียนเสนอค้าตอบของ ตนเอง โดยมคี า้ ถามดังนี 1) แคสพาเรียนสติปในชนั เอนโดเดอร์มสิ ส่งผลต่อการลา้ เลียงนา้ และธาตอุ าหารของพชื อยา่ งไร แนวตอบ แคสพาเรียนสตริป (Casparian strip) คือ สารซูเบอริน (suberin) ทีสะสมตัวที่ผนังด้าน รัศมี (Radial wall) และด้านตัดขวาง (Transverse wall) ของเซลล์ ท้าให้น้าและธาตุอาหารรวมทังน้าตาล
๑๔๗ ซโู ครส (Sucrose) ไม่สามารถผ่านได้ จงึ ต้องเปลีย่ นรูปแบบการลา้ เลียงผ่านทางไซโทพลาซึม (Symplast) หรอื ชอ่ งวา่ งระหวา่ งเซลล์เรยี กวา่ พลาสโมเดสมาตา (Plastmodesmata) เทา่ นัน 4.7 ให้นกั เรยี นท้าผังมโนทัศน์ เร่ือง การล้าเลยี งนา้ และธาตุอาหารของพชื 4.8 ครมู อบหมายการบ้านให้นกั เรียนทา้ แบบฝกึ หดั ในแบบฝึกหัดชวี วทิ ยา ม.5 เล่ม 1 ขนั ท่ี 5 ประเมินผล 5.1 วิธกี ารวดั และประเมนิ ผล 1. ประเมินจากสมุดบันทกึ 2. ประเมนิ จากใบกิจกรรม 3. ประเมนิ พฤตกิ รรมนกั เรยี น 5.2 เครื่องมอื วัดและประเมินผล 1. แบบเฉลยรายงานสมุดบนั ทึก 2. แบบประเมนิ ใบกจิ กรรม 3. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมนักเรียน 5.3 เกณฑก์ ารวดั และการประเมินผล 1. การประเมินจากสมุดบนั ทึก ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 70 2. การประเมินใบกจิ กรรม ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 80 3. การประเมนิ พฤติกรรมนกั เรยี น ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 80 11. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้ 11.1 หนังสอื เรยี นสาระการเรียนรู้ชีววทิ ยา 3 11.2 เพาเวอร์พอยท์ เรือ่ ง การล้าเลยี งนา้ 11.3 ใบกิจกรรมที่ 3.1 เรอื่ ง การลา้ เลียงน้า 11.4 สมดุ บนั ทกึ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303