๔๘ 1. การประเมนิ จากสมดุ บันทึก ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 70 2. การประเมนิ ใบกิจกรรม ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 3. การประเมินพฤติกรรมนักเรียน ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 80 9. ส่ือ/แหลง่ การเรียนรู้ 9.1 หนงั สือเรียนสาระการเรียนรู้ชวี วทิ ยา 3 9.2 เพาเวอร์พอยท์ เร่อื ง การสรา้ งเซลล์สบื พันธุข์ องพชื ดอก 9.3 ใบกจิ กรรมท่ี 1.3 เร่ือง การสร้างเซลล์สบื พนั ธขุ์ องพืชดอก 9.4 สมุดบันทกึ 10. หลักฐานการเรยี นร้แู ละวธิ ีการประเมนิ วิธีการวดั เครื่องมอื วัด เกณฑ์การ จุดประสงค์การเรียนรู้ (K P A) ประเมนิ ดา้ นความรู้ (K) - ตรวจใบกจิ กรรม - ใบกจิ กรรม ผ่านเกณฑ์ รอ้ ยละ 70 ของ 1. ผู้เรยี นสามารถสรุปเก่ียวกับกระบวนการสร้าง - ตรวจสมุดบนั ทกึ - สมุดบนั ทกึ คะแนน เซลล์สืบพันธเุ์ พศผู้และเพศเมียของพืชดอก ดา้ นทกั ษะ (P) - ตรวจผลงาน - แบบประเมนิ ผ่านเกณฑ์ 1. ผเู้ รยี นสามารถอธิบายเก่ียวกบั กระบวนการ - สงั เกตความตงั ใจ ชินงาน คุณภาพระดับ 2 สรา้ งเซลลส์ ืบพนั ธเ์ุ พศผ้แู ละเพศเมยี ของพชื ดอก และความ รบั ผิดชอบในการ - แบบประเมิน ผา่ นเกณฑ์ ดา้ นเจตคติ (A) ปฏบิ ตั ิกจิ กรรม พฤติกรรม คณุ ภาพระดบั 2 1. ความสนใจ 2. การตรงตอ่ เวลา - สงั เกตพฤติกรรม 3. การตอบคา้ ถาม การเรยี นรู้ 4. การยอมรบั ฟังผูอ้ ื่น 5. ความรบั ผดิ ชอบ
๔๙ ใบงานที่ 1.3 เรอ่ื ง การสบื พันธุ์แบบอาศยั เพศของพืชดอก (การสรา้ งเซลลส์ บื พนั ธ์)ุ คาช้ีแจง : ให้นักเรยี นเตมิ คาตอบให้ถูกต้องและสมบูรณท์ ่ีสุด ............................................................................................................................. ..................... 1. ภายในถงุ ละอองเรณู ( Microsporangium หรือ Pollen sac ) มีกลุ่มเซลล์ที่ เรยี กว่า ไมโครสปอรม์ าเทอร์ เซลล์ ( Microspore mother cell ) ซง่ึ เป็นเซลล์ตังต้นในการสรา้ งส่วนใด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. การสรา้ งเซลล์สบื พนั ธเ์ุ พศเมียของพืชดอก เกดิ ทีใ่ ด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. เมื่อละอองเรณูแก่ อับเรณู ( Ather ) แตกออก ท้าให้ละอองณูปลิวไปตกบนยอดเกสรตัวเมีย ( หรือถูกน้า พดั พาไป หรือตดิ ขาแมลง สัตวพ์ าไป ) เรียกกระบวนการนวี า่ กระบวนการใด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4. แมลงมีความส้าคัญในการถา่ ยละอองเรณู .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 5. สารเคมที ่ีใช้ปราบศัตรูพืชและสตั ว์นนั มผี ลกระทบตอ่ การสืบพันธุ์ของพชื ดอกอยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. . ชื่อ – สกลุ ............................................................. เลขที่ ....................... ช้ัน ...........................
๕๐ เฉลยใบงานท่ี 1.3 เรอื่ ง การสบื พันธ์ุแบบอาศยั เพศของพชื ดอก (การสร้างเซลลส์ ืบพนั ธ์)ุ คาชแี้ จง : ใหน้ ักเรียนเตมิ คาตอบให้ถูกตอ้ งและสมบรู ณท์ สี่ ดุ ............................................................................................................................. ..................... 1. ภายในถุงละอองเรณู ( Microsporangium หรือ Pollen sac ) มีกลุ่มเซลลท์ ่ี เรยี กวา่ ไมโครสปอร์มา เทอรเ์ ซลล์ ( Microspore mother cell ) ซึ่งเปน็ เซลลต์ ั้งต้นในการสรา้ งส่วนใด ตอบ ละอองเรณู หรอื แกมโี ทไฟต์เพศผู้ ( Microspore หรือ Male gametophyte ) 2. การสร้างเซลลส์ ืบพันธ์เุ พศเมยี ของพชื ดอก เกิดท่ีใด ตอบ ในรงั ไข่ ( Ovary ) 3. เมื่อละอองเรณูแก่ อบั เรณู ( Ather ) แตกออก ทาใหล้ ะอองณูปลิวไปตกบนยอดเกสรตวั เมีย ( หรือถกู น้าพดั พาไป หรอื ติดขาแมลง สัตวพ์ าไป ) เรียกกระบวนการนวี้ ่ากระบวนการใด ตอบ การถ่ายละอองเรณู ( Pollination ) 4. แมลงมคี วามสาคญั ในการถ่ายละอองเรณู ตอบ ช่วยผสมเกสรได้ โดยการบินไปดูดน้าหวานในขณะที่ไต่ลงไปในดอก ละอองเรณูจะติดตามตัวแมลงไป ด้วย เม่อื แมลงไปดดู นา้ หวานดอกอน่ื ละอองเรณูทต่ี ดิ มากบั ตวั แมลงจะติดบนยอดเกสรตวั เมียของดอกใหม่ ทา้ ให้เกิดการถ่ายละอองเรณู ส้าหรับดอกไม้ที่แมลงช่วยผสมเกสรนัน ดอกจะมีสีสวยงาม อาจมีกลิ่นหอม มีต่อม น้าหวาน และเรณจู ะมีลกั ษณะเหนยี ว เพือ่ ตดิ ตามสว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายแมลงได้ 5. สารเคมีที่ใช้ปราบศัตรูพชื และสตั ว์นนั้ มีผลกระทบต่อการสืบพันธุ์ของพืชดอกอย่างไร ตอบ เพราะแมลงที่ไปยังต้นพืชท่ีถูกฉีดสารเคมีจะตาย ท้าให้ลดจ้านวนแมลงท่ีช่วยถ่ายละอองเรณู นอกจากนันสารพิษเหล่านันยังสะสมหรือปะปนอยู่กับพืช ผัก ผลไม้ อันเป็นอาหารท้าให้คนได้รับอันตรายไป ด้วย การแก้ไขควรใช้สารเคมีท่ีมีการสลายตัวเรว็ หรือใช้สารท่ีสกัดได้จากธรรมชาติ เช่น สารสกัดจากใบสะเดา หรอื ตะไครห้ อม ซง่ึ ไมเ่ ปน็ อันตรายต่อคน
๕๑ แผนการจดั การเรยี นรู้ 4 กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รายวิชา ชีววิทยา 3 รหัสวิชา ว32243 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 การสบื พนั ธุข์ องพืชดอก เวลา 10 ช่ัวโมง เรื่อง การสบื พันธุ์แบบอาศยั เพศของพืชดอก (การปฏสิ นธิ การเกดิ ผลและเมล็ด) เวลา 2 ช่ัวโมง ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ครผู ู้สอน นายบญุ รงั จาปา 1. สาระชีววิทยา สาระที่ 3 เขา้ ใจสว่ นประกอบของพชื การแลกเปลยี่ นแก๊สและคายนา้ ของพืช การล้าเลียงของพืช การสังเคราะหด์ ้วยแสง การสืบพันธขุ์ องพืชดอกและการเจรญิ เตบิ โต และการตอบสนองของพชื รวมทงั นา้ ความร้ไู ปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรยี นรู้ อธิบายและเปรยี บเทยี บกระบวนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผแู้ ละเพศเมียของพชื ดอกและอธิบายการปฏิสนธิ ของพชื ดอก 3. สาระสาคัญ ภายหลังการปฏิสนธิรังไข่จะมีการเจริญและพัฒนาไปเป็นผล และออวุลจะมีการเจริญและพัฒนาไป เป็นเมล็ด โครงสร้างของผลประกอบด้วยผนังผลและเมล็ด ส่วนโครงสร้างของเมล็ดประกอบด้วยเปลือกเมล็ด เอ็มบริโอ และเอนโดสเปิร์ม โครงสร้างแต่ละส่วนของผลและเมล็ดมีประโยชน์ต่อพืชและต่อส่ิงมีชีวิตอ่ืน ซึ่ง มนุษย์ใชป้ ระโยชน์จากโครงสร้างของผลและเมลด็ ในดา้ นตา่ ง ๆ 3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้ (K) 1. ผ้เู รียนสามารถสรปุ เกี่ยวกับการปฏสิ นธิ การเกดิ ผลและเมลด็ 3.2 ด้านทกั ษะกระบวนการ (P) 1. ผ้เู รยี นสามารถสบื คน้ และอธบิ ายการปฏสิ นธิ การเกดิ ผลและเมล็ด . 3.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงต่อเวลา 3. การตอบค้าถาม 4. การยอมรับฟังผูอ้ ่นื 5. ความรับผดิ ชอบ 5. สาระการเรียนรู้ - การปฏสิ นธิของพืชดอกเปน็ การปฏสิ นธคิ ู่ โดย ค่หู น่ึงเปน็ การรวมกันของสเปริ ม์ เซลล์หน่ึง กบั เซลล์ ไขไ่ ด้เปน็ ไซโกต ซ่ึงจะเจรญิ และพฒั นา ไปเป็นเอ็มบริโอ และอีกคหู่ นง่ึ เป็นการรวมกนั ของสเปิรม์ อกี เซลลห์ นึ่ง กบั โพลาร์นิวคลไี อ ไดเ้ ป็นเอนโดสเปริ ม์ นวิ เคลยี สซึ่งจะเจรญิ และพัฒนา ต่อไปเป็นเอนโดสเปิร์ม - ภายหลังการปฏสิ นธิออวุลจะมกี ารเจรญิ และพัฒนาไปเป็นเมล็ด และรังไขจ่ ะมกี ารเจรญิ และพัฒนา ไปเป็นผล
๕๒ - โครงสรา้ งของเมลด็ ประกอบด้วย เปลอื กเมลด็ เอม็ บรโิ อ และเอนโดสเปริ ์ม โครงสร้างของผล ประกอบดว้ ย ผนงั ผล และเมลด็ ซง่ึ แต่ละส่วน ของโครงสร้างจะมีประโยชน์ต่อพชื เองและตอ่ ส่ิงมีชีวติ อื่น สมรรถนะสา้ คญั ของผูเ้ รียนและคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ 6. ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น ความสามารถในการสื่อสาร : แสดงความคดิ เห็น และสามารถอธบิ าย ความสามารถในการคิด : มีความสามารถในการวเิ คราะห์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ความสามารถในการแก้ปญั หา : นกั เรยี นสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหนา้ ได้เมื่อพบปัญหา ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต : ท้างานรว่ มกับผู้อน่ื ได้ดี ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี : สามารถใชเ้ ทคโนโลยีสบื ค้นข้อมลู 7. ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (Attitude) คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551 รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ อย่อู ยา่ งพอเพยี ง ซ่ือสตั ย์สจุ รติ มงุ่ มัน่ ในการทา้ งาน มวี นิ ัย รกั ความเป็นไทย ใฝเ่ รยี นรู้ มจี ติ สาธารณะ 8. กจิ กรรมการเรียนรู้ (5E) ขน้ั ที่ 1 ข้ันสร้างความสนใจ 1.1 ครูให้นักเรียนศึกษารูปท่ี 8.12 การปฏิสนธิคู่ของพืชดอกและตังค้าถามเพ่ือน้าเข้าไปสู่เร่ืองการ ปฏสิ นธิคู่ ว่าการปฏิสนธขิ องพืชดอกเกิดขนึ ไดอ้ ยา่ งไร และมกี ระบวนการอย่างไร 1.2 ครูตังค้าถามเพ่อื นา้ ไปสู่การอภปิ รายดงั นี 1) ใน 1 เรณูมสี เปริ ์มนิวเคลยี สจา้ นวนเท่าใด แตล่ ะนวิ เคลยี สมโี ครโมโซมกีช่ ดุ 2) ใน 1 ถุงเอ็มบรโิ อมเี ซลล์ไขจ่ ้านวนเทา่ ใด และมโี ครโมโซมกชี่ ดุ จากการอภิปรายนักเรียนควรสรุปได้ว่าใน 1 เรณูจะมีสเปิร์มนิวเคลียส 2 สเปิร์ม นิวเคลียส และแต่ ละสเปริ ์มนิวเคลยี สมโี ครโมโซม 1 ชดุ สว่ นเซลล์ไขม่ ีจา้ นวน 1 เซลลแ์ ละมีโครโมโซม 1 ชุด ขน้ั ที่ 2 ขน้ั สารวจและค้นหา 2.1 จากรปู ที่ 8.12 ทน่ี กั เรียนได้ศกึ ษาและมาร่วมกันอภิปราย 2.2 ครูน้าเข้าสู่บทเรียนโดยการทบทวนเกี่ยวกับกิจกรรม 8.1 ซึ่งนักเรียนท้ากิจกรรมไปแล้ว หรือให้ นกั เรียนศึกษาภาพผลไม้ชนิดต่าง ๆ แล้วถามนักเรยี นว่า ผลไม้แต่ละชนิดมีความเหมอื นหรือแตกต่างกันอย่างไร ซงึ่ นกั เรียนอาจตอบไดว้ ่า ผลไมแ้ ต่ละชนิดมีรูปรา่ งลกั ษณะ ขนาด เปลือกของผลทม่ี องเห็นภายนอกแตกต่างกัน และเม่อื ผ่าผลไมแ้ ต่ละชนิดจะพบเมล็ดอยขู่ ้างในซ่งึ เมล็ดก็มีรูปร่างลกั ษณะและจา้ นวนทแี่ ตกต่างกันด้วย 2.3 ครูใหน้ ักเรยี นศึกษารูป 8.13 ดอกมะเขอื และผลมะเขอื เพ่อื ให้นักเรยี นเปรียบเทียบส่วนของ ดอกท่ีเจริญไปเป็นผล แล้วถามนักเรียนว่า ผลและเมล็ดของพืชพัฒนามาจากส่วนใดของดอก ซ่ึงนักเรียนอาจ ตอบได้วา่ ผลพฒั นามาจากรังไข่ ผนงั รงั ไข่จะเปล่ียนแปลงไปเป็นผนงั ผล และเมลด็ พฒั นามาจากออวุล จากนัน ใหน้ ักเรียนศึกษาเกีย่ วกับผนงั ผลในรูป 8.14 ซ่ึงมีรายละเอยี ดดังนี 1) ผนังผลอาจแบ่งได้เป็น 3 ชัน คือ ผนังผลชันนอก ผนังผลชันกลาง และผนังผลชันใน ผลบางชนิด สามารถแยกผนังผลออกเป็น 3 ชันได้ชัดเจน เช่น มะม่วงและมะพร้าว แต่ผลบางชนิดไม่สามารถแยกผนังผล เป็น 3 ชันออกจากกันได้อย่างชัดเจน เช่น เมลอน มะเขือเทศ ฟักทอง และแตงโม ส่วนท่ีเป็นเนือผลคือ ผนัง
๕๓ ผลชันกลางและผนังผลชันใน จากนันครูให้นักเรียนศึกษารูป 8.15 ผลมีเนือ และรูป 8.16 ผลแห้ง แล้ว อภิปรายร่วมกนั เกยี่ วกบั ลักษณะของผนงั ผล ซงึ่ นักเรียนควรสรุปได้ ดังนี ลักษณะของผนังผลอาจอ่อนนุ่มมีลักษณะอวบน้าเรียกว่า ผลมีเนือ และผนังผลที่แห้งแข็ง เรียกว่า ผลแห้ง ซ่ึงผลแหง้ นันมี 2 แบบ คือ ผลแหง้ แบบแตกและผลแหง้ แบบไม่แตก 2.4 ครูให้นักเรียนศึกษารูป 8.17 การเจริญและพัฒนาของเอ็มบริโอและเอนโดสเปิร์ม เพื่อศึกษา เก่ียวกับการเจริญและพัฒนาของเอ็มบริโอและเอนโดสเปริ ์ม แล้วตอบค้าถามในหนังสอื เรียน ซ่ึงมีแนวค้าตอบ ดงั นี คาถาม การแบง่ เซลล์ของเอ็มบรโิ อในรูป 8.17 เปน็ การแบ่งเซลลแ์ บบใด ทราบได้อยา่ งไร แนวคาตอบ แบ่งเซลล์แบบไมโทซิส เนอื่ งจากตน้ สปอโรไฟต์ประกอบด้วยเซลลท์ ่ีมโี ครโมโซม 2 ชุดซึง่ ต้นสปอโรไฟตน์ เี จริญเติบโตมาจากเอ็มบริโอ คาถาม การเจริญและการพัฒนาของเอ็มบริโอกับเอนโดสเปิร์มในเมล็ดพืชเกิดขึนพร้อมกันหรือไม่ อยา่ งไร แนวคาตอบ เกิดขึนพร้อมกัน เอ็มบริโอจะมีการเจริญและพัฒนาต่อไปจนเห็นโครงสร้างได้ชัดเจนใน ระยะท่ี 5 ซึ่งจะสังเกตเห็นเอนโดสเปิร์มเช่นเดียวกันซึ่งมีการเจริญและพัฒนาเป็นเนือเยื่อสะสมอาหารไว้ ส้าหรบั การเจรญิ ของเอ็มบริโอ2.3 ครูอธบิ ายเพิ่มเตมิ ว่าในการสร้างเซลลส์ บื พันธุเ์ พศเมีย คอื เซลล์ไข่นัน สร้าง ในออวุลซ่ึง อยู่ในรังไข่ ส่วนการสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ในพืชบางชนิดอาจจะยังไม่สร้างในทันทีแต่ต้องมี กระบวนการถา่ ยเรณูกอ่ น ขั้นท่ี 3 ข้นั อธิบายและลงข้อสรปุ 3.1 ครแู ละนกั เรียนร่วมกันอภิปราย โดยกระบวนการปฏสิ นธิเกิดขึนในรังไข่ โดยเกดิ ขึน 2 คู่ในคราว เดียวกัน คู่แรกเกิดจากสเปิร์มนิวเคลียสหน่งึ ไปปฏสิ นธิกับเซลล์ไข่ซ่ึงมี 1 เซลล์ ได้เป็นไซโกตซึ่งมีจ้านวนเซลล์ 1 เซลลแ์ ละมโี ครโมโซม 2 ชุด หรือ 2n สว่ นอกี คู่หนงึ่ เกิดจากสเปิรม์ นวิ เคลียสอีกสเปริ ์มหนง่ึ ไปผสมกับโพลาร์ นิวคลีไอซ่ึงมี 2 นิวเคลียสได้เป็นเอนโดสเปิร์มนิวเคลียสซึ่งมีโครโมโซม 3 ชุด หรือ 3n ซึ่งการปฏิสนธิทัง 2 ครังทเี่ กดิ ขนึ นีจะเกดิ ขนึ พร้อมกนั จึงเรียกวา่ การปฏสิ นธิคู่ 3.2 ครูเช่ือมโยงจากการปฏิสนธิคู่ เพื่อให้นักเรียนเข้าใจในการเกิดผลและเมล็ด โดยน้าดอกและผล ของพชื ชนดิ นนั าให้นกั เรียนได้ศึกษา ขั้นท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้ 4.1 ครูอาจตังค้าถามเพิ่มเติมเพ่ือให้นักเรียนเช่อื มโยงความรใู้ หม่กับความร้เู ดิมท่ีนักเรียนได้เคยเรยี น เร่อื ง การปฏสิ นธิของสัตว์มาแลว้ ดงั นี 1) การปฏสิ นธิของพืชดอกแตกตา่ งจากการปฏสิ นธิของสตั วอ์ ย่างไร จากการอภิปรายควรสรุปได้ว่า ในพืชมีการปฏิสนธิคู่ คือ สเปิร์มนิวเคลียสหนึ่งปฏิสนธิกับเซลล์ไข่ได้ เป็นไซโกต (2n) ซึ่งจะพัฒนาเป็นเอ็มบริโอ และอีกสเปิร์มนิวเคลียสหนึ่งผสมกับโพลาร์นิวคลีไอ ได้เอนโด สเปิร์มนิวเคลียส (3n) ซึ่งจะพัฒนาเป็นเอนโดสเปิร์มท้าหน้าท่ีเป็นแหล่งอาหารของเอ็มบริโอ ส่วนในสัตวน์ ันมี สเปิร์ม 1 เซลล์ท่จี ะปฏสิ นธกิ ับเซลลไ์ ข่ 1 เซลล์ไดเ้ ปน็ ไซโกต (2n) ซ่ึงจะพฒั นาเป็นเอม็ บรโิ อ 4.2 ครูอาจแจกเมลด็ ท่แี ช่น้าจนเปลอื กนมุ่ ให้แก่ นักเรยี นเพือ่ สังเกตเมล็ดในประเดน็ ตา่ ง ๆ ตอ่ ไปนี 1) ลักษณะภายนอกของเมลด็ 2) ลักษณะภายในของเมล็ด 3) ส่วนประกอบของเอ็มบรโิ อ 4) จา้ นวนใบเลียง
๕๔ ข้นั ที่ 5 ประเมินผล 5.1 วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล 1. ประเมินจากสมุดบันทกึ 2. ประเมนิ จากใบกจิ กรรม 3. ประเมนิ พฤติกรรมนักเรยี น 5.2 เครื่องมอื วัดและประเมินผล 1. แบบเฉลยรายงานสมดุ บนั ทกึ 2. แบบประเมินใบกิจกรรม 3. แบบประเมนิ พฤติกรรมนักเรยี น 5.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล 1. การประเมินจากสมดุ บันทึก ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 70 2. การประเมินใบกิจกรรม ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 3. การประเมนิ พฤติกรรมนักเรยี น ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 80 9. ส่อื /แหลง่ การเรียนรู้ 9.1 หนงั สือเรยี นสาระการเรียนรู้ชวี วิทยา 3 9.2 เพาเวอร์พอยท์ เร่ือง การปฏิสนธิ การเกิดผลและเมล็ด 9.3 ใบกิจกรรมที่ 1.4 เร่ือง การปฏสิ นธิ การเกิดผลและเมล็ด 9.4 สมดุ บันทึก 10. หลกั ฐานการเรียนรู้และวิธกี ารประเมนิ วิธกี ารวัด เคร่อื งมือวัด เกณฑก์ าร จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (K P A) ประเมนิ ดา้ นความรู้ (K) - ตรวจใบกิจกรรม - ใบกจิ กรรม ผ่านเกณฑ์ 1. ผู้เรียนสามารถสรปุ เกีย่ วกับการปฏสิ นธิ การ - ตรวจสมุดบนั ทกึ - สมดุ บันทึก ร้อยละ 70 เกดิ ผลและเมล็ด ของคะแนน ดา้ นทักษะ (P) - ตรวจผลงาน - แบบประเมนิ ผ่านเกณฑ์ 1. ผู้เรียนสามารถสืบคน้ และอธิบายการปฏสิ นธิ - สังเกตความตงั ใจ ชินงาน คณุ ภาพระดบั การเกดิ ผลและเมลด็ และความ 2 รบั ผดิ ชอบในการ - แบบประเมิน ด้านเจตคติ (A) ปฏบิ ตั ิกจิ กรรม พฤติกรรม ผ่านเกณฑ์ 1. ความสนใจ คุณภาพระดับ 2. การตรงต่อเวลา - สังเกตพฤติกรรม 2 3. การตอบค้าถาม การเรยี นรู้ 4. การยอมรับฟงั ผูอ้ ืน่ 5. ความรับผดิ ชอบ
๕๕ ใบงานที่ 1.4 เร่อื ง การสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศของพืชดอก (การปฏสิ นธิ การเกิดผลและเมลด็ ) คาชแ้ี จง : ให้นกั เรยี นเตมิ คาตอบใหถ้ กู ตอ้ งและสมบรู ณท์ ่สี ุด .................................................................................................................................................. 1. การปฏิสนธิซ้อนในดอกออวูลจะเจริญไปเป็นส่วนใด .................. และรังไข่หลังจากผ่านระยะปฏิสนธิไป แล้วจะเปล่ียนแปลงไปเปน็ ส่วนใด ……………… 2. ผลเด่ียว ผลกลมุ่ ผลรวม เกดิ จากดอกทีม่ ลี กั ษณะเชน่ ใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………… 3. การเปลย่ี นแปลงรปู ร่างของเอม็ บรโิ อ เกิดจากการแบ่งเซลลแ์ บบใด ……………………………..………………….. 4. เปลือกหมุ้ เมล็ด (Seed coat หรือ Testa) ท้าหน้าทอี่ ย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………… 5. เอ็มบรโิ อ (Embryo) จะเจริญไปเป็นส่วนใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………… 6. เมลด็ สว่ นใหญเ่ มือ่ ไดร้ ับความชืนแลว้ จะมผี ลอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………… 7. เมล็ดขา้ ว ขา้ วโพด ทเ่ี รากนิ เปน็ มนั เป็นสว่ นใดของพืชดอก ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………..…………………………………………………………………………… ชื่อ – สกุล ...................................................... เลขที่ .................. ชนั้ ..................
๕๖ เฉลยใบงานท่ี 1.4 เรอื่ ง การสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศของพืชดอก (การปฏสิ นธิ การเกดิ ผลและเมลด็ ) คาชี้แจง : ใหน้ กั เรียนเติมคาตอบใหถ้ ูกต้องและสมบูรณ์ทส่ี ุด ............................................................................................................................. ..................... 1. การปฏสิ นธิซอ้ นในดอกออวูลจะเจริญไปเป็นส่วนใด .................. และรงั ไขห่ ลังจากผ่านระยะปฏิสนธิ ไปแล้วจะเปลีย่ นแปลงไปเป็นส่วนใด ……………… คาตอบ ออวลู จะเจริญไปเปน็ เมล็ด รงั ไขห่ ลงั จากผา่ นระยะปฏิสนธไิ ปแล้วจะเปลยี่ นแปลงไปเปน็ ผล 2. ผลเดย่ี ว ผลกลุ่ม ผลรวม เกิดจากดอกท่ีมีลักษณะเช่นใด ตอบ ผลเดย่ี ว เกิดจากดอกเดี่ยวท่ีมรี งั ไขใ่ บเดียว ผลกลุม่ เกดิ จากดอกเดยี่ วท่ีมรี งั ไขห่ ลายใบอย่ชู ิดติดกัน ผลรวม เกิดจากดอกช่อทรี่ ังไขข่ องดอกย่อยหลอมรวมกัน แตผ่ ลไม้บางชนดิ เกดิ มาจากส่วนอ่นื ของดอกได้ 3. การเปล่ยี นแปลงรูปรา่ งของเอ็มบริโอ เกดิ จากการแบ่งเซลล์แบบใด ตอบ แบบไมโทซิส 4. เปลอื กหุ้มเมล็ด (Seed coat หรือ Testa) ทาหนา้ ท่อี ย่างไร ตอบ ป้องกนั ส่วนทอี่ ย่ภู ายใน โดยปอ้ งกันอันตรายและป้องกันการคายน้า 5. เอ็มบรโิ อ (Embryo) จะเจรญิ ไปเปน็ สว่ นใด ตอบ คือส่วนทจี่ ะเจริญเติบโตเปน็ ต้นไม้ 6. เมลด็ สว่ นใหญเ่ มือ่ ไดร้ บั ความช้นื แลว้ จะมีผลอยา่ งไร ตอบ ทา้ ใหท้ ังความชนื และออกซิเจน สามารถแพร่ผา่ นเยื่อหุม้ เมลด็ เขา้ ไปภายในได้ เอ็มบริโอจงึ เจริญเตบิ โต แทงเปลือกหมุ้ เมลด็ ออกมา เพ่ือเจริญเติบโตต่อไปเปน็ พชื ต้นใหม่ 7. เมล็ดขา้ ว ข้าวโพด ทเ่ี รากินเปน็ มันเปน็ ส่วนใดของพืชดอก ตอบ ส่วนเอนโดสเปริ ์ม
๕๗ แผนการจดั การเรียนรู้ 5 กล่มุ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รายวิชา ชีววิทยา 3 รหสั วิชา ว32243 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 การสืบพนั ธขุ์ องพืชดอ เวลา 10 ชั่วโมง เรอ่ื ง การใชป้ ระโยชนจ์ ากโครงสร้างตา่ ง ๆ ของผลและเมลด็ เวลา 1 ชั่วโมง ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 ครูผสู้ อน นายบุญรัง จาปา 1. สาระชีววิทยา สาระที่ 3 เข้าใจสว่ นประกอบของพชื การแลกเปลย่ี นแกส๊ และคายน้าของพืช การลา้ เลยี งของพืช การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญเตบิ โต และการตอบสนองของพืช รวมทังนา้ ความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 2. ผลการเรยี นรู้ เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปล่ียนแกส๊ และคายนา้ ของพืช การลา้ เลยี งของพชื การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง การสบื พนั ธข์ุ องพืชดอกและการเจรญิ เตบิ โต และการตอบสนองของพืช รวมทังน้าความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ 3. สาระสาคัญ ภายหลังการปฏิสนธิรังไข่จะมีการเจริญและพัฒนาไปเป็นผล และออวุลจะมีการเจริญและพัฒนาไป เป็นเมล็ด โครงสร้างของผลประกอบด้วยผนังผลและเมล็ด ส่วนโครงสร้างของเมล็ดประกอบด้วยเปลือกเมล็ด เอ็มบริโอ และเอนโดสเปิร์ม โครงสร้างแต่ละส่วนของผลและเมล็ดมีประโยชน์ต่อพืชและต่อสิ่งมีชีวิตอื่น ซึ่ง มนุษย์ใชป้ ระโยชน์จากโครงสรา้ งของผลและเมลด็ ในด้านต่าง ๆ 4. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ดา้ นความรู้ (K) 1. ผู้เรียนสามารถยกตวั อย่างการน้าโครงสร้างแต่ละสว่ นของผลและเมลด็ ไปใชป้ ระโยชน์ 3.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) 1. ผูเ้ รยี นสามารถสืบคน้ และอธิบายการนา้ โครงสรา้ งแต่ละส่วนของผลและเมล็ดไปใช้ ประโยชน์. 3.3 ดา้ นคุณลกั ษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงตอ่ เวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรบั ฟังผูอ้ ื่น 5. ความรบั ผดิ ชอบ 5. สาระการเรียนรู้ - โครงสร้างของเมล็ดประกอบด้วย เปลือกเมล็ด เอ็มบริโอ และเอนโดสเปิร์ม โครงสร้างของผล ประกอบดว้ ย ผนงั ผล และเมล็ด ซงึ่ แต่ละส่วน ของโครงสร้างจะมีประโยชนต์ อ่ พชื เองและต่อ ส่ิงมชี วี ติ อืน่ สมรรถนะส้าคัญของผเู้ รียนและคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
๕๘ 6. ด้านสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น ความสามารถในการสื่อสาร : แสดงความคดิ เห็น และสามารถอธิบาย ความสามารถในการคดิ : มีความสามารถในการวเิ คราะห์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ความสามารถในการแก้ปัญหา : นักเรียนสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหนา้ ไดเ้ ม่ือพบปัญหา ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวติ : ทา้ งานร่วมกบั ผู้อื่นได้ดี ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี : สามารถใช้เทคโนโลยสี ืบค้นขอ้ มลู 7. ดา้ นคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (Attitude) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขันพืนฐาน พุทธศักราช 2551 รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยอู่ ยา่ งพอเพยี ง ซ่อื สัตย์สจุ รติ มุ่งม่ันในการท้างาน มีวนิ ัย รักความเป็นไทย ใฝเ่ รียนรู้ มจี ิตสาธารณะ 8. กิจกรรมการเรยี นรู้ (5E) ขนั้ ที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ 1.1 ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างการน้าผลและเมล็ดมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ นักเรียนอาจตอบได้ หลากหลาย เช่น น้ามาเป็นอาหาร เครื่องใช้ สิ่งทอหรืออื่น ๆ ขึนกับความรู้เดิมของนักเรียน ครูยังไม่สรุป คา้ ตอบ แต่ใหน้ กั เรียนศกึ ษาต่อไปเกีย่ วการใช้ประโยชนจ์ ากสว่ นของผลและเมลด็ ในดา้ นตา่ ง ๆ ขัน้ ที่ 2 ข้ันสารวจและคน้ หา 2.1 ครูให้นักเรียนยกตัวอย่างผลไม้ต่าง ๆ ท่ีน้ามารับประทาน นักเรียนอาจตอบได้หลากหลาย เช่น มะมว่ ง แตงโม ลนิ จ่ี ทุเรียน และเงาะ จากนนั ครูใช้ค้าถามเพือ่ น้าอภปิ ราย ดงั นี 1) สว่ นเนอื ที่น้ามารบั ประทานเป็นสว่ นของผลหรอื เมลด็ ทราบไดอ้ ย่างไร 2.2 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและอาจสรุปได้ว่า เนือผลไม้ที่น้ามารับประทานนันเป็นสว่ นของ ผนงั ผล ซึง่ ชันของผนงั ผลท่ีรับประทานได้นันขึนกับชนิดของพืช 2.3 ครใู หน้ ักเรยี นแบง่ กล่มุ ท้ากิจกรรมท่ี 8.3 2.4 ครใู ช้ค้าถามถามนกั เรียนเพ่ิมเติมว่า เมลด็ พืชมีการสะสมแป้งและไขมนั ไว้ทเี่ มล็ด ซ่ึงอาจสะสมใน เอนโดสเปิร์มหรือใบเลียง มนุษย์น้ามาใช้ประโยชน์อะไรบ้าง ครูและนักเรียนอภิปรายร่วมกันเพ่ือให้ได้ข้อสรปุ ว่า มนุษย์น้าเมล็ดมาใช้เป็นอาหาร โดยเมล็ดพืชที่สะสมแป้งอาจจะน้ามารับประทานทังเมล็ด เช่น ข้าว เจา้ และข้าวเหนียว หรืออาจน้าเมลด็ ไปบดให้ละเอียดจนกลายเป็นแปง้ เชน่ แป้งสาลี ใชใ้ นการท้าขนมปงั สว่ น เมลด็ พืชท่สี ะสมลิพิดไว้จะน้ามาสกดั เพือ่ ผลติ นา้ มนั เช่น น้ามนั ถ่วั เหลือง นา้ มันมะพร้าว 2.5 จากนันครใู ห้นกั เรยี นตอบค้าถามในหนังสือเรียน ซงึ่ มแี นวการตอบดังนี คาถาม แปง้ ในเมลด็ ขา้ วเจ้าและถัว่ เขยี ว สะสมอยใู่ นโครงสร้างใดของเมลด็ แนวคาตอบ ในเมล็ดข้าวเจ้าจะสะสมแป้งในเอ็นโดสเปิร์ม ส่วนในเมล็ดถั่วเขียวจะสะสมแป้งในใบ เลยี ง 2.6 ครูน้าเข้าสู่เรื่องการใช้ประโยชน์จากเส้นใย โดยอ้างอิงถามความรู้เดิมเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ จากตน้ ลินินท่ีสามารถนา้ มาทอเปน็ ผา้ ลินินเพือ่ ตัดเปน็ เครื่องนงุ่ ห่มได้ และใชค้ า้ ถาม ดังนี คาถาม เสน้ ใยควรมสี มบัตอิ ย่างไรจึงจะสามารถน้ามาใช้ทอเป็นเคร่ืองน่งุ ห่ม
๕๙ คาถาม ส่วนของผลและเมล็ดสามารถนา้ มาใชท้ า้ เคร่ืองนุ่งห่มไดห้ รือไม่ แนวคาตอบ เสน้ ใยควรมลี ักษณะเหนียว เซลล์รปู ร่างยาว ผนังเซลลห์ นา และแขง็ แรงท้าใหเ้ หมาะสม กบั นา้ มาทา้ เป็นเสน้ ด้ายเพ่ือใช้ทอผา้ 2.7 ครูให้ความรู้เก่ียวกับฝ้ายและนุ่น โดยบอกว่าสว่ นเส้นใยที่เห็นนันเป็นส่วนของเมล็ด จากนันบอก สมบัตขิ องเส้นใยทไ่ี ดจ้ ากฝา้ ยและนนุ่ แล้วใหน้ กั เรยี นรว่ มกันอภปิ รายว่า สมบัติของเส้นใยเหมาะสมกับการน้าไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ อย่างไร ซ่ึงนักเรียนควรสรุปได้ว่า เส้นใยฝ้ายมีสมบัติเหนียว เซลล์รูปร่างยาว สามารถน้ามาป่ันเป็นด้ายเส้นยาวได้ดี ส่วนเส้นใยของนุ่นนัน มีลกั ษณะสนั เซลลส์ ัน ไมเ่ หนียว ไม่สามารถนา้ มาปนั่ เป็นเส้นยาวได้ ไมส่ ามารถนา้ มาใช้ท้าส่ิงทอได้ จงึ นา้ ไปใช้ ประโยชนด์ ้านอ่ืน เช่น ใส่ในหมอนหรือท่นี อน ข้นั ที่ 3 ข้นั อธบิ ายและลงข้อสรุป 3.1 ให้ตัวแทนแต่กลุ่มออกมาน้าเสนอหน้าชันเรียนพร้อมกับยกตัวอย่างการน้าสว่ นของผลและเมล็ด มาใชป้ ระโยชน์ ขน้ั ที่ 4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการน้าส่วนของผลและเมล็ดมาใช้ประโยชน์ในท้องถ่ิน เช่น การนา้ ผลมะเกลือน้ามาย้อมแห่ ข้นั ท่ี 5 ประเมนิ ผล 5.1 วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1. ประเมนิ จากสมดุ บนั ทึก 2. ประเมนิ จากใบกจิ กรรม 3. ประเมนิ พฤติกรรมนักเรียน 5.2 เครอ่ื งมือวดั และประเมินผล 1. แบบเฉลยรายงานสมดุ บันทกึ 2. แบบประเมนิ ใบกจิ กรรม 3. แบบประเมินพฤติกรรมนกั เรยี น 5.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล 1. การประเมนิ จากสมุดบนั ทึก ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 70 2. การประเมินใบกจิ กรรม ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 3. การประเมินพฤติกรรมนกั เรยี น ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 9. สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้ 9.1 หนงั สือเรียนสาระการเรียนรู้ชวี วทิ ยา 3 9.2 เพาเวอรพ์ อยท์ เร่อื ง การใช้ประโยชน์จากโครงสรา้ งต่าง ๆ ของผลและเมล็ด 9.3 ใบกจิ กรรมที่ 1.5 เรื่อง การใช้ประโยชน์จากโครงสร้างตา่ ง ๆ ของผลและเมล็ด 9.4 สมดุ บนั ทกึ
๖๐ 10. หลักฐานการเรยี นรู้และวธิ กี ารประเมนิ วธิ ีการวัด เคร่ืองมือวดั เกณฑ์การ จุดประสงค์การเรยี นรู้ (K P A) ประเมนิ - ตรวจใบกจิ กรรม - ใบกจิ กรรม ดา้ นความรู้ (K) - ตรวจสมดุ บนั ทกึ - สมดุ บันทึก ผา่ นเกณฑ์ 1. ผเู้ รียนสามารถยกตัวอย่างการนา้ โครงสรา้ งแต่ ร้อยละ 70 ของ ละสว่ นของผลและเมล็ดไปใชป้ ระโยชน์ คะแนน ด้านทกั ษะ (P) - ตรวจผลงาน - แบบประเมนิ ผา่ นเกณฑ์ 1. ผเู้ รียนสามารถสืบค้นและอธบิ ายการนา้ - สงั เกตความตงั ใจ ชินงาน คุณภาพระดับ 2 โครงสร้างแต่ละสว่ นของผลและเมล็ดไป และความ รับผดิ ชอบในการ - แบบประเมนิ ผ่านเกณฑ์ ดา้ นเจตคติ (A) ปฏิบัติกจิ กรรม พฤติกรรม คุณภาพระดบั 2 1. ความสนใจ 2. การตรงตอ่ เวลา - สังเกตพฤติกรรม 3. การตอบคา้ ถาม การเรียนรู้ 4. การยอมรับฟงั ผอู้ น่ื 5. ความรับผิดชอบ
๖๑ ใบงานที่ 1.5 เรอื่ ง การใช้ประโยชนจ์ ากโครงสร้างต่าง ๆ ของผลและเมลด็ คาชแ้ี จง : ให้นักเรยี นบอกผลติ ภณั ฑ์ หรือเครอื่ งใชท้ ี่ทามาจากพชื ท่ีมีในท้องถิน่ ของนักเรียน 1. ชื่อผลติ ภัณฑ์ หรือเครอื่ งใช.้ ............................................................................................................................ 2.พชื ท่นี า้ มาใช้.................................................................................................................................................... 3. วธิ ิการทา้ ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................... ........................................... ........................................................................................ ................................................... ................................... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ....................................................... .................................................................................... ................................... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................... ................................... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................... ................................... ชอื่ – สกุล ...................................................... เลขท่ี .................. ชนั้ ..................
๖๒ สรุปผลการจดั กิจกรรมการเรียนร้ปู ระจาหน่วยการเรยี นรู้ 1. ด้านความรู้ …………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………..… (พิจารณาตามความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนร้ขู องของหนว่ ยการเรยี นรู้) จานวน………….คน คิดเปน็ ร้อยละ……… 2. ด้านทกัษะ/กระบวนการ ………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… (พจิ ารณาตามทักษะ/กระบวนการท่ใี ชใ้ นการฝึกปฏบิ ตั ิ ผู้เรียนประจาหน่วยการเรยี นรู้) จานวน………….คน คดิ เป็นรอ้ ยละ…………… 3. ด้านคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ 3.1 คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์(ประจาหน่วยการเรียนร้)ู …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………….………………………………………………………………………… (พจิ ารณาตามคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงคป์ ระจาหน่วยการเรียนรู)้ จานวน………….คน คดิ เป็นรอ้ ยละ…………… 8.3.2 คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค(์ ประจากล่มุ สาระการเรียนร้หู รอื ประจารายวชิ า) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …….……………………………………………………………………………………………………………………………………………… (พจิ ารณาตามคุณลักษณะอนั พึงประสงคข์ องกลุม่ สาระการเรียนรู้หรือประรายวิชา) จานวน………….คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ…………… 4. ดา้ นสมรรถนะสาคญั ผูเ้ รียน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………….…………………………………………………………………… (พจิ ารณาตามสมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียนในหนว่ ยการเรยี นรู้) จานวน………….คน คดิ เป็นร้อยละ…………… 8.5 สรปุ ผลจากการประเมินชิน้ งาน (รวบยอด) ประจาหน่วยการเรยี นรู้ 8.5.1 ระดับคณุ ภาพดีมาก จานวน...............คน คดิ เป็นร้อยละ……………… 8.5.2 ระดับคณุ ภาพดี จานวน...............คน คดิ เป็นรอ้ ยละ……………… 8.5.3 ระดบั คณุ ภาพพอใช้ จานวน...............คน คดิ เป็นรอ้ ยละ……………… 8.5.4 ระดับคุณภาพปรบั ปรงุ จานวน...........คน คิดเปน็ รอ้ ยละ………………
๖๓ ปญั หาอปุ สรรค/ข้อเสนอแนะอ่นื ๆ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………. .…………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ .......................................... (ผู้สอน) ( นายบญุ รงั จาปา ) วันที่................................................ ความคิดเห็นหวั หนา้ กล่มุ สาระการเรียนรู้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………….........................................………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ.......................................... ( นายสมคิด ก้านกิง่ คา ) วันท่ี................................................ ความคิดเห็นรองผู้อานวยการฝา่ ยวชิาการ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ.......................................... ( นานวษิ ณุ อ้งึ ตระกลู ) วนั ท่.ี ............................................... หมายเหตุ บันทกึ ผลการเรยี นรู้ เม่ือจบ 1 หน่วยการเรยี นรู้ ซึ่งนาข้อมูลมาจากแผนการจดั การเรียนรขู้ องหน่วย การเรยี นรู้
๖๔ การออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้ หน่วยการเรยี นรู้ที่ 2 เรือ่ ง โครงสรา้ งและการเจรญิ เตบิ โตของพชื ดอก เวลา 14 ชัว่ โมง รหัสวิชา ว32243 วิชา ชวี วิทยา 3 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 ชอ่ื ครูผสู้ อน นายบุญรัง จาปา 1. เปา้ หมายการเรียนรู้ 1. ความเขา้ ใจท่คี งทน โครงสร้างของพชื ดอก ประกอบไปด้วยเน้ือเย่ือเจริญและเน้ือเยอ่ื ถาวร 2. สาระชีววิทยา สาระท่ี 3 เขา้ ใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปล่ยี นแก๊สและคายน้าของพชื การล้าเลียงของ พชื การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง การสบื พนั ธข์ุ องพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพืช รวมท้งั นา้ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ผลการเรยี นรู้ 1. อธิบายเกี่ยวกับชนิดและลักษณะของเนื้อเยอ่ื พืช และเขียนแผนผงั เพอื่ สรุปชนิดของเน้อื เย่อื พชื 2. สงั เกต อธิบาย และเปรยี บเทียบโครงสรา้ งภายในของรากพชื ใบเล้ยี งเดย่ี วและราก พชื ใบเลี้ยงค่จู าก การตัดตามขวาง 3. สังเกต อธบิ าย และเปรียบเทยี บโครงสรา้ งภายในของล้าตน้ พชื ใบเลีย้ งเด่ียวและล้าต้น พืชใบเล้ียงคู่จากการ ตดั ตามขวาง 4. สังเกต และอธิบายโครงสร้างภายในของใบพืชจากการตัดตามขวาง 6. อธิบายลกั ษณะทางพฤกษศาสตรข์ องพชื ดอก และบอกความแตกตา่ งของพชื แต่ละชนดิ สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด พืชดอกประกอบด้วยอวัยวะตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ราก ล้าต้น ใบ และดอก ซึ่งอวยั วะเหลา่ น้ีประกอบไปดว้ ย เนือ้ เย่อื ที่ทา้ หนา้ ทีแ่ ตกตา่ งกัน โดยเนื้อเย่อื พืชแบ่งออกได้เปน็ 2 ประเภท คอื เน้ือเยอ่ื เจรญิ และเน้ือเย่อื ถาวร โดย เนอ้ื เยือ่ เจรญิ แบ่งออกได้เป็น เนอ้ื เย่อื เจรญิ สว่ นปลาย เน้ือเย่ือเจริญเหนอื ข้อ และเนื้อเย่ือเจริญด้านข้าง ส่วน เนอ้ื เยอ่ื ถาวรเปลีย่ นแปลงจากเนื้อเย่อื เจรญิ เพอ่ื ท้าหนา้ ที่เฉพาะ แบง่ ออกได้เปน็ 3 ระบบ คอื ระบบเนื้อเยอื่ ผิว ระบบเน้ือเย่อื พืน้ และระบบเนือ้ เยอ่ื ท่อล้าเลียง รากพืชประกอบดว้ ย เนื้อเย่ือเจรญิ ปลายรากและเนื้อเยอ่ื ลา้ เลียง ท้าหนาทดี่ ูดน้าและธาตอุ าหารภายใน ดินและทา้ หนา้ ทพี่ ิเศษ เชน่ รากหายใจ รากสะสมอาหาร ลา้ ตน้ พืชประกอบดว้ ย เนื้อเยอื่ ดา้ นขา้ ง ท้าให้ลา้ ต้นขยายขนาดใหญ่ขนึ้ และภายในล้าตน้ มีเนือ้ เย่ือ ล้าเลียงท้าหน้าท่ีลา้ เลียงนา้ และอาหาร นอกจากนี้ พืชบางชนิดมลี ้าตน้ ใตด้ นิ ท้าหนา้ ท่ีสะสมอาหาร ใบเป็นอวยั วะท่ีเจริญออกไปบริเวณด้านข้าง อย่บู รเิ วณดา้ นข้าง อยบู่ รเิ วณข้อปล้องของลา้ ตน้ และก่ิง ทา้ หนา้ ท่ีหลกั ในการสรา้ งอาหารโดยการสงั เคราะห์ด้วยแสง
๖๕ สาระการเรียนรู้ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ เป็นลักษณะเฉพาะของพืชแต่ละชนิด ที่จะมีราก ล้าต้น ใบ ดอก และผล แตกต่างกนั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง - เนื้อเยื่อพืชแบง่ เป็น ๒ กลุ่มใหญ่คอื เน้อื เยือ่ เจริญ และเนือ้ เยอ่ื ถาวร - เน้ือเย่อื เจรญิ แบง่ เปน็ เนอื้ เย่ือเจริญส่วนปลาย เน้ือเย่ือเจรญิ เหนือข้อ และเน้ือเยือ่ เจรญิ ดา้ นข้าง - เนอ้ื เยื่อถาวรเปลี่ยนแปลงมาจากเน้อื เยื่อเจรญิ เนือ้ เย่อื ถาวรอาจแบ่งไดเ้ ป็น ๓ ระบบ คอื ระบบเนื้อเย่อื ผวิ ระบบเนื้อเยอ่ื พนื้ และระบบเนอื้ เย่อื ท่อล้าเลียง ซ่ึงทา้ หนา้ ที่ตา่ งกัน - ราก คือ สว่ นแกนของพชื ทีโ่ ดยท่ัวไปเจรญิ อยู่ ใต้ระดบั ผวิ ดนิ ท้าหน้าท่ียึดหรอื ค้าจนุ ให้พืชเจริญเติบโต อยู่กบั ท่ไี ดแ้ ละยังมีหน้าทสี่ ้าคญั ในการดูดนา้ และธาตุอาหารในดนิ เพ่อื ส่งไปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของพืช - โครงสร้างภายในของปลายรากท่ตี ัดตามยาวประกอบด้วย เน้อื เยอื่ เจรญิ แบง่ เปน็ บรเิ วณต่างๆ คือ บริเวณหมวกราก บรเิ วณเซลล์ก้าลังแบ่งตัวบริเวณเซลล์ขยายตัวตามยาว และบริเวณทีเ่ ซลล์มกี ารเปลย่ี นแปลงไป ทา้ หน้าทเ่ี ฉพาะและเจริญเตบิ โตเต็มท่ี - โครงสรา้ งภายในของรากระยะการเตบิ โตปฐมภูมิ เม่ือตดั ตามขวางจะเหน็ โครงสร้างแบ่งเป็น ๓ ช้ัน เรยี ง จากด้านนอกเข้าไป คอื ชนั้ เอพิเดอร์มสิ ชน้ั คอร์เทกซแ์ ละชนั้ สตีล ในช้ันสตีลจะพบมดั ท่อลา้ เลียงท่ีมลี กั ษณะ แตกต่างกันในพชื ใบเลยี้ งเด่ยี ว และพชื ใบเลี้ยงคู่ - โครงสร้างภายในของรากระยะการเติบโตทตุ ิยภูมิ ชน้ั เอพเิ ดอร์มิสจะถกู แทนท่ีดว้ ยชัน้ เพริเดริ ์ม ซ่งึ มี คอรก์ เป็นเนือ้ เยือ่ ส้าคัญ ชน้ั คอร์เทกซอ์ าจมกี าเปลย่ี นแปลงเกดิ เซลล์ท่ีท้าให้มีความแขง็ แรงเพมิ่ ขน้ึ หรอื เกิดเซลล์ท่ี สะสมอาหารเพม่ิ ขนึ้ สว่ นลกั ษณะมัดทอ่ ล้าเลยี งจะเปลีย่ นไป เนอ่ื งจากมีการสรา้ งเนื้อเยอื่ ล้าเลียงเพ่ิมขึ้น - ล้าตน้ คอื สว่ นแกนของพืชทโี่ ดยทั่วไปเจรญิ อย่เู หนือระดับผวิ ดนิ ถดั ขนึ้ มาจากราก ท้าหนา้ ที่สรา้ งใบและ ชใู บ ล้าเลยี งน้า ธาตุอาหาร และอาหารทพ่ี ืชสร้างข้นึ ส่งไปยังสว่ นตา่ ง ๆ - โครงสร้างภายในของล้าตน้ ระยะการเติบโตปฐมภูมิ เม่อื ตดั ตามขวางจะเห็นโครงสรา้ งแบง่ เปน็ ๓ ชน้ั เรียงจากด้านนอกเขา้ ไป คอื ชน้ั เอพเิ ดอรม์ ิส ชน้ั คอรเ์ ทกซ์และช้นั สตีล ซ่งึ ชัน้ สตลี จะพบมัด ทอ่ ล้าเลียงที่มีลักษณะ แตกต่างกนั ในพืชใบเลีย้ งเด่ียว และพืชใบเลยี้ งคู่ - ลา้ ตน้ ในระยะการเตบิ โตทตุ ยิ ภมู ิจะมีเสน้ รอบวงเพิม่ ข้นึ และมีโครงสร้างแตกตา่ งจากเดมิ เนอื่ งจากมกี าร สรา้ งเนือ้ เย่ือเพริเดิรม์ และเนอ้ื เยือ่ ทอ่ ล้าเลียงทุติยภมู ิเพิม่ ข้ึน - ใบมีหน้าท่ีสังเคราะหด์ ้วยแสง แลกเปล่ียนแก๊สและคายนา้ ใบของพชื ดอกประกอบดว้ ย กา้ นใบ แผ่นใบ เสน้ กลางใบ และเสน้ ใบ พืชบางชนดิ อาจไม่มีก้านใบ ที่โคนกา้ นใบอาจพบหรอื ไม่พบหใู บ - โครงสร้างภายในของใบตดั ตามขวาง ประกอบด้วยเนอื้ เยอ่ื ๓ กลุ่ม ได้แก่ เอพิเดอรม์ ิส มีโซฟลิ ล์ และ เนือ้ เยอ่ื ท่อลา้ เลียง
๖๖ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น 1. ความสามารถในการสอ่ื สาร 2. ความสามารถในการคดิ 1) ทกั ษะการสังเกต 2) ทกั ษะการส้ารวจค้นหา 3) ทักษะการตงั้ ค้าถาม 4) ทกั ษะการต้งั สมมติฐาน 5) ทกั ษะการตรวจสอบสมมติฐาน 6) ทกั ษะการสรปุ ลงความเหน็ 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ ๒. ชิน้ งาน/ภาระงาน - ใบงานที่ 2.1 เร่อื ง เนอื้ เยือ่ พืช - ใบงานท่ี 2.2 เรื่อง โครงสร้างและการเจริญเติบโตของราก (ภาพถา่ ยไตก้ ลอ้ งจุลทรรศน์) - ใบงานที่ 2.3 เร่ือง โครงสร้างและการเจริญเตบิ โตของลา้ ตน้ (ภาพถ่ายไต้กลอ้ งจลุ ทรรศน)์ - ใบงานท่ี 2.4 เรื่อง โครงสรา้ งและการเจริญเตบิ โตของใบ (ภาพถ่ายไตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน์) - ใบงานที่ 2.5 เรอ่ื ง ลักษณะทางพฤกษศาสตรข์ องพชื ดอก . การวัดและการประเมินผล การวดั และประเมนิ ก่อนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ - แบบทดสอบก่อนเรยี น เร่อื ง เนอ้ื เยอื่ พืช - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรื่อง โครงสรา้ งและการเจรญิ เติบโตของราก - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรอ่ื ง โครงสรา้ งและการเจริญเตบิ โตของล้าตน้ - แบบทดสอบกอ่ นเรยี น เรื่อง โครงสร้างและการเจริญเติบโตของใบ - แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของพืชดอก การวัดและประเมินระหว่างการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ - ชุดคา้ ถาม เรอ่ื ง เนอื้ เยอ่ื พชื - ชุดคา้ ถาม เรอ่ื ง โครงสร้างและการเจริญเตบิ โตของราก - ชดุ คา้ ถาม เร่ือง โครงสร้างและการเจริญเติบโตของล้าต้น - ชดุ ค้าถาม เรอื่ ง โครงสร้างและการเจริญเติบโตของใบ - ชดุ ค้าถาม เรื่อง ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ของพืชดอก การวัดและประเมินหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ - ใบงานที่ 2.1 เรอ่ื ง เนือ้ เยอ่ื พชื - ใบงานที่ 2.2 เร่ือง โครงสรา้ งและการเจริญเตบิ โตของราก (ภาพถา่ ยไตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน)์ - ใบงานท่ี 2.3 เรอ่ื ง โครงสร้างและการเจรญิ เตบิ โตของล้าตน้ (ภาพถ่ายไตก้ ล้องจุลทรรศน์) - ใบงานท่ี 2.4 เรื่อง โครงสรา้ งและการเจริญเตบิ โตของใบ (ภาพถ่ายไตก้ ลอ้ งจุลทรรศน)์ - ใบงานที่ 2.5 เร่อื ง ลักษณะทางพฤกษศาสตรข์ องพืชดอก
๖๗ การออกแบบการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ หน่วยการเรียนรู้ เรอื่ ง โครงสร้างและการเจริญเติบโตของพชื ดอก เปา้ หมายการ เลอื กคาตอบท่ี ตอบคาถามสั้น การเขียนแบบ ประเมนิ จดั ขึ้น ประเมนิ ตาม การสงั เกต เรยี นรู้ ถกู ต้อง ๆ อตั นัย ภายในโรงเรยี น สภาพจริง (ประเมนิ ตลอด Essay contextual วิธีการ Selected Constructed School หนว่ ย) ประเมนิ Response Response Product / on-going ความเข้าใจท่ี Performance Tools คงทน ทดสอบความรู้ โครงสรา้ งของ เกี่ยวกบั ความรู้ ตอบคำถำมสนั้ ๆ แบบทดสอบอัตนัย แสดงผลงำนทเี่ กดิ สงั เกตจำกกำรทำ สงั เกตพฤตกิ รรม พชื ดอก เรอื่ ง โครงสรา้ ง เก่ียวกับควำมรู้ กำรเรียนรูก้ ำร ประกอบไปดว้ ย ของพชื ดอก เร่ือง โครงสร้ำง เรอื่ ง เน้ือเย่อื พืช จำกกำรเรยี นรูใ้ น ปฏบิ ัติกำร ตอบคำถำมและ เนื้อเยือ่ เจรญิ (ทดสอบกอ่ น ของพืชดอก กำรทำปฏบิ ตั กิ ำร และเนอื้ เยอื่ และหลัง) สปั ดำห์ - โครงสร้ำงและ ถาวร - ผู้ปกครอง/ครู - โครงสรำ้ งและ วทิ ยำศำสตร์ กำรเจรญิ เติบโต สังเกตพฤติกรรม กำรเจรญิ เติบโต ของรำก กำรปฏบิ ตั งิ ำน ของรำก - โครงสรำ้ งและ ทักษะกำรใชก้ ล้อง - โครงสร้ำงและ กำรเจริญเติบโต จุลทรรศน์ และ กำรเจริญเติบโต ของลำต้น ของลำตน้ - โครงสรำ้ งและ - โครงสร้ำงและ กำรเจริญเติบโต กำรเจริญเตบิ โต ของใบ ของใบ - ลักษณะทำง พฤกษศำสตรข์ อง พืชดอก สมรรถนะ ตอบคำถำมตอบโต้ - สรปุ ผล - นำเสนอผลงำน เกดิ จำกกำรเรียนรู้ สาคัญ กบั ครูผสู้ อน กำรศกึ ษำใน ในสัปดำห์ 1. วิทยำศำสตร์ ระหว่ำงเรียน ปฏบิ ัติกำรตำ่ งๆ ความสามารถใน การสื่อสาร 2. ความสามารถใน การคิด
๖๘ เป้าหมายการ เลอื กคาตอบที่ ตอบคาถามส้ัน การเขียนแบบ ประเมินจดั ขนึ้ ประเมินตาม การสงั เกต เรียนรู้ ถกู ตอ้ ง ๆ อัตนยั ภายในโรงเรยี น สภาพจริง (ประเมินตลอด Constructed Essay contextual วธิ กี าร Selected School หน่วย) ประเมนิ Response on-going Response Product / Tools 2.1 ทกั ษะ Performance การสงั เกต กำรถำ่ ยภำพได้ กลอ้ ง 2.2 ทักษะ สังเกต การสา้ รวจ คน้ หา พฤตกิ รรมการ ทา้ งานสว่ นตัว 2.3 ทกั ษะ และพฤตกิ รรม การตั้งคา้ ถาม การปฏบิ ตั ิงาน 2.4 ทักษะ กลุ่ม การ ต้ังสมมตฐิ าน 2.5 ทกั ษะ การตรวจสอบ สมมตฐิ าน 2.6 ทกั ษะ การสรุปลง ความเหน็ 3. ความสามารถใน การใชท้ กั ษะ ชวี ิตคุณลักษณะ อันพงึ ประสงค์ คุณลกั ษณะอัน พึงประสงค์ 1) ซ่ือสตั ย์ สุจรติ 2) มีวินัย 3) ใฝเ่ รียนรู้
๖๙ เป้าหมายการ เลือกคาตอบท่ี ตอบคาถามส้ัน การเขียนแบบ ประเมนิ จัดขน้ึ ประเมินตาม การสงั เกต เรียนรู้ ถกู ต้อง ๆ อตั นยั ภายในโรงเรยี น สภาพจริง (ประเมินตลอด Constructed Essay contextual วิธีการ Selected School หน่วย) ประเมนิ Response 4) ม่งุ มนั่ ในการ Response Product / on-going ทา้ งาน Performance Tools ด้านทักษะ ตอบค้าถาม - ตรวจผลงาน 1. ผ้เู รยี น เกี่ยวกับความรู้ - สงั เกตความ สามารถจ้าแนก เรื่องเนือ้ เยื่อพืช ต้งั ใจและความ ประเภทและ ได้ เขยี นแผนผงั รบั ผดิ ชอบใน สรุปชนดิ ของ ตอบคา้ ถาม การปฏิบัติ เน้อื เยอื่ พชื ได้ เกีย่ วกบั ความรู้ กจิ กรรม เรือ่ งเน้อื เย่ือพชื - ทักษะการใช้ 2. ผู้เรียน ได้ กล้องจุลทรรศน์ สามารถจ้าแนก ประเภทและ และการ เขยี นแผนผัง ถ่ายภาพได้ สรปุ ชนิดของ เน้ือเยอื่ พชื ได้ กลอ้ ง - ตรวจผลงาน - สังเกตความ ตั้งใจและความ รบั ผดิ ชอบใน การปฏิบัติ กจิ กรรม - ทกั ษะการใช้ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ และการ ถา่ ยภาพได้ กล้อง
๗๐ เป้าหมายการ เลอื กคาตอบที่ ตอบคาถามสน้ั การเขยี นแบบ ประเมนิ จดั ข้นึ ประเมนิ ตาม การสังเกต เรยี นรู้ ถกู ตอ้ ง ๆ อตั นยั ภายในโรงเรียน สภาพจริง (ประเมนิ ตลอด Essay contextual วธิ ีการ Selected Constructed School หนว่ ย) ประเมิน Response Response on-going 3. ผู้เรยี น Product / Tools สามารถ ตอบคา้ ถาม Performance เปรยี บเทยี บ เกยี่ วกับความรู้ - ตรวจผลงาน โครงสรา้ ง เรือ่ งโครงสร้าง - สงั เกตความ ภายในของล้า ภายในของล้า ต้งั ใจและความ ตน้ พืชใบเลี้ยง ต้นพืชใบเล้ียง รบั ผดิ ชอบใน เด่ยี วและล้าต้น เด่ียวและลา้ ต้น การปฏบิ ัติ พืชใบเลีย้ งคู่ได้ พืชใบเลยี้ งค่ไู ด้ กิจกรรม - ทกั ษะการใช้ 4. ผ้เู รียน ตอบค้าถาม กล้องจลุ ทรรศน์ สามารถ เกี่ยวกบั ความรู้ และการ เปรียบเทยี บการ เรื่องจดั เรียงของ ถา่ ยภาพได้ จัดเรียงของเสน้ เสน้ ใบของพืช กลอ้ ง ใบของพืชแต่ละ แต่ละชนิดได้ ชนดิ ได้ - ตรวจผลงาน - สงั เกตความ ตง้ั ใจและความ รบั ผิดชอบใน การปฏิบัติ กิจกรรม - ทกั ษะการใช้ กลอ้ งจลุ ทรรศน์ และการ ถ่ายภาพได้ กล้อง
๗๑ เปา้ หมายการ เลอื กคาตอบท่ี ตอบคาถามสน้ั การเขียนแบบ ประเมินจัดขึน้ ประเมินตาม การสงั เกต เรียนรู้ ถูกตอ้ ง ๆ อัตนยั ภายในโรงเรียน สภาพจริง (ประเมินตลอด Constructed Essay contextual วิธีการ Selected Response School หนว่ ย) ประเมนิ on-going 5. ผูด้ เรียน Response ตอบค้าถาม Product / Tools สามารถอธิบาย เกย่ี วกับความรู้ Performance ลักษณะทาง เร่อื งลักษณะ - ตรวจผลงาน พฤกษศาสตร์ ทาง - สงั เกตความ ของพชื ดอกได้ พฤกษศาสตร์ ตั้งใจและความ ของพชื ดอกได้ รบั ผดิ ชอบใน การปฏบิ ัติ กิจกรรม - ทกั ษะการใช้ กลอ้ งจุลทรรศน์ และการ ถา่ ยภาพได้ กล้อง - ใบงานท่ี 2.1 ชน้ิ งาน เร่อื ง เนือ้ เย่อื พชื - ใบงานท่ี 2.2 เรอ่ื ง โครงสร้าง และการ เจริญเติบโตของ ราก (ภาพถ่าย ไต้กล้อง จลุ ทรรศน์) - ใบงานที่ 2.3 เรื่อง โครงสรา้ ง
๗๒ เปา้ หมายการ เลอื กคาตอบที่ ตอบคาถามสั้น การเขียนแบบ ประเมนิ จดั ขน้ึ ประเมินตาม การสงั เกต เรยี นรู้ ถูกตอ้ ง ๆ อัตนยั ภายในโรงเรยี น สภาพจริง (ประเมินตลอด Constructed Essay contextual วธิ ีการ Selected School หนว่ ย) ประเมนิ Response Response Product / on-going Performance Tools และการ เจรญิ เติบโตของ ล้าตน้ (ภาพถ่าย ไต้กล้อง จลุ ทรรศน)์ - ใบงานที่ 2.4 เรอ่ื ง โครงสร้าง และการ เจริญเตบิ โตของ ใบ (ภาพถ่ายไต้ กล้อง จุลทรรศน์) - ใบงานท่ี 2.5 เรื่อง ลกั ษณะ ทาง พฤกษศาสตร์ ของพืชดอก
๗๓ จัดทาเกณฑก์ ารประเมิน ตามผงั การประเมนิ ระดบั คุณภาพ 1 ประเดน็ การประเมนิ 2 ท้าข้อสอบได้ 1-4 ข้อ 3 ทา้ ขอ้ สอบได้ 5-7 ข้อ 1. การทดสอบ แบบเลือกตอบ ท้าข้อสอบได้ 8-10 ขอ้ ไม่ตอบคา้ ถาม ตอบค้าถามได้บางครงั้ ทีค่ รถู าม 2. การตอบค้าถามสัน้ ๆ ตอบค้าถามไดท้ ุกครง้ั ทค่ี รถู าม 3. การเขยี นแบบอัตนัย เนือ้ หาตรงประเดน็ ชัดเจน เนอ้ื หาถูกตอ้ งตรงประเดน็ เนือ้ หาไมถ่ กู ตอ้ ง บางสว่ น -เนือ้ หำถูไม่ถูกต้อง 1. ใบงานท่ี 2.1 เรอ่ื ง เนือ้ เยื่อ -เนอื้ หำถกู ตอ้ งตรงประเดน็ -เนอ้ื หำถูกต้องบำงสว่ น -รำยละเอียดไมเ่ ปน็ ไปตำม พชื -มีรำยละเอยี ดขน้ั ตอนครบถ้วน -มรี ำยละเอียดขัน้ ตอนเป็น ขัน้ ตอน - ไม่เป็นระเบยี บ 2. ใบงานที่ 2.2 เรื่อง - มคี วำมเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ย บำงสว่ น - ประโยชนท์ ่ไี ด้รับไมช่ ดั เจน โครงสรา้ งและการเจรญิ เติบโต - มปี ระโยชนต์ ่อตนเองและ - มคี วำมเป็นระเบียบเรียบร้อย ของราก (ภาพถา่ ยไต้กลอ้ ง สว่ นรวม บำงส่วน จุลทรรศน)์ - มปี ระโยชนต์ อ่ ตนเอง 2. ใบงานที่ 2.3 เร่ือง โครงสร้างและการเจรญิ เตบิ โต ของล้าตน้ (ภาพถา่ ยไตก้ ลอ้ ง จุลทรรศน์) 3. ใบงานท่ี 2.4 เร่อื ง โครงสร้างและการเจริญเตบิ โต ของใบ (ภาพถา่ ยไต้กลอ้ ง จุลทรรศน)์ 4. ใบงานที่ 2.5 เร่ือง ลกั ษณะ ทางพฤกษศาสตรข์ องพืชดอก เกณฑก์ ารตัดสนิ /ระดับคณุ ภาพ เกณฑก์ ารผ่านตง้ั แต่ระดับ ๒ ข้นึ ไป ประเดน็ การประเมินผลคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ประเดน็ การประเมนิ ระดบั คุณภาพ 2 3 1 ปฏบิ ัตติ ำมขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ 1. มีวินยั ปฏบิ ตั ิตำมขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ไมป่ ฏบิ ัตติ นตำมขอ้ ตกลง ระเบียบ ข้อบงั คบั ของ ระเบียบ ข้อตกลง ของ กฎเกณฑ์ ระเบียบ ข้อบังคับ ครอบครวั และโรงเรยี น ตรงต่อ ครอบครวั โรงเรียน และสังคม ของครอบครัวและโรงเรยี น
๗๔ ประเด็นการประเมิน 3 ระดับคณุ ภาพ 1 2. ใฝ่เรียนรู้ ไมล่ ะเมิดสิทธขิ องผูอ้ นื่ ตรง 2 3.มุ่งม่ันในการทางาน 4. มีจิตสาธารณะ เวลำในกำรปฏบิ ัติกิจกรรมต่ำง ๆ ตอ่ เวลำ ในชวี ิตประจำวัน และรบั ผดิ ชอบ ในกำร ปฏบิ ตั ิกจิ กรรมตำ่ ง ๆ ในกำรทำงำนเป็นบำงคร้งั ในชวี ติ ประจำวัน และ รับผดิ ชอบในกำรทำงำนปฏบิ ัติ เป็นปกตวิ ิสัย และเป็น แบบอยำ่ งทีด่ ี ศกึ ษาคน้ ควา้ หาความรจู้ ากหนงั สือ ศึกษาค้นคว้าความรจู้ ากหนังสือ ไม่ศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้ เอกสาร สง่ิ พมิ พ์ สอ่ื เทคโนโลยี เอกสาร สง่ิ พมิ พ์ สื่เทคโนโลยี และสารสนเทศ แหล่งเรียนร้ทู งั้ แหล่งเรยี นรู้ ท้งั ภายในและ ภายในและภายนอกโรงเรียน ภายนอกโรงเรียน เลือกใชส้ ่อื ได้ เลอื กใช้สอ่ื ได้อยา่ งเหมาะสม มี อยา่ งเหมาะสม และ การบนั ทึกความรู้ วิเคราะห์ มกี ารบันทึกความรู้ ขอ้ มลู สรปุ เปน็ องคค์ วามรู้ และ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ดว้ ยวิธกี ารที่ หลากหลาย และน้าไปใช้ใน ชวี ติ ประจ้าวันได้ ตง้ั ใจและรบั ผิดชอบในการ ตงั้ ใจและรับผิดชอบในการ ไม่ตง้ั ใจปฏบิ ตั หิ นา้ ทีก่ ารงาน ปฏบิ ตั หิ น้าทที่ ไี่ ดร้ ับมอบหมาย ปฏบิ ตั ิหน้าท่ที ี่ได้รบั มอบหมาย ใหส้ ้าเร็จ มกี ารปรับปรงุ การ ท้างานให้ดขี ึ้น ให้สา้ เรจ็ มีการ ปรบั ปรุงและพัฒนาการทา้ งาน ใหด้ ีข้ึนด้วยตนเอง - ชว่ ยพ่อแม่ ผปู้ กครองและครู -ช่วยพอ่ แม่ ผู้ปกครอง และ -ไมช่ ่วยเหลอื พอ่ แม่ ท้างาน อาสาทา้ งาน ช่วยคิด ครทู ้างานอาสาทา้ งาน และ ผู้ปกครอง และครู ช่วยทา้ แบ่งปันสิ่งของ และ แบ่งปนั สิง่ ของใหผ้ ูอ้ ื่นดว้ ยความ -ไมส่ นใจดแู ลรักษา ชว่ ยแกป้ ญั หาให้ผู้อ่นื ด้วยความ เตม็ ใจ ทรัพย์สมบัติและ เตม็ ใจ สง่ิ แวดล้อมของโรงเรยี น - ดูแล รักษาทรัพย์สมบตั ิ -ดูแล รักษาทรพั ยส์ มบตั ิ สิง่ แวดล้อมของห้องเรยี น สิง่ แวดล้อมของห้องเรยี น โรงเรียน และเขา้ รว่ มกจิ กรรม โรงเรยี น ชุมชน และเข้ารว่ ม เพ่อื สังคมและ
๗๕ ประเดน็ การประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ 2 3 1 สาธารณประโยชน์ของโรงเรียน กิจกรรมเพือ่ สังคมและ ด้วยความเต็มใจ สาธารณประโยชนข์ องโรงเรยี น และชมุ ชนดว้ ย ความเต็มใจ เกณฑ์การตดั สนิ /ระดบั คณุ ภาพ เกณฑก์ ารผา่ นต้งั แต่ระดับ ๒ ขนึ้ ไป ประเด็นการประเมนิ สมรรถนะทส่ี าคัญ ถึงตรงน้ี ระดับคุณภาพ 1 ประเดน็ การประเมนิ 2 -นา้ เสนอไมต่ ามลา้ ดับข้ันตอน 3 นา้ เสนอตามล้าดับข้นั ตอนแต่ไม่ 1. ความสามารถในการส่อื สาร -น้าเสนอตามล้าดับขัน้ ตอน -ใช้ภาษาสอื่ ความหมายไม่ชัดเจน นา่ สนใจ น่าสนใจ -ใช้ภาษาส่ือความหมายเขา้ ใจชดั -ใช้ภาษาสอื่ ความหมายไดเ้ ข้าใจ เจดยังไม่ชัดเจน ชดั เจน 2.ความสามารถในการคดิ -เขียนสรปุ แผนภาพความคิด -เขยี นสรปุ แผนภาพความคดิ -เขียนสรุป แผนภาพความคิด วเิ คราะห์ ความรเู้ ร่ือง เทคโนโลยี และ ความรู้เรือ่ ง เทคโนโลยี และ ความรเู้ รื่อง เทคโนโลยี และ กระบวนการทางเทคโนโลยี ได้ กระบวนการทางเทคโนโลยี ได้ กระบวนการทางเทคโนโลยี ยงั 3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะ ถูกตอ้ งครบทุกองค์ประกอบและ ถกู ตอ้ ง ไม่ครบองคป์ ระกอบ ชีวิต สวยงาม - มที กั ษะในการเลอื กใช้ - ไม่มีทักษะในการเลอื กใช้ - มที ักษะในการเลอื กใช้ เทคโนโลยี เทคโนโลยี เทคโนโลยีไดอ้ ย่างปลอดภัย - นา้ กระบวนการทางเทคโนโลยี - ไม่ไดน้ ้ากระบวนการทาง - น้ากระบวนการทางเทคโนโลยี มาใชใ้ นการวางแผนปฏบิ ัตงิ าน เทคโนโลยมี าใช้ในการวางแผน มาใชใ้ นการวางแผนปฏบิ ตั ิงาน ปฏบิ ัตงิ าน เป็นประจา้ 4. ความสามารถในการใช้ -มคี วามรู้ทกั ษะพ้นื ฐานในการใช้ -มคี วามร้พู ้ืนฐานในการใช้ -ไมม่ คี วามรู้พืน้ ฐานในการใช้ เทคโนโลยี คอมพวิ เตอร์ คอมพวิ เตอรแ์ ต่ขาดทักษะ คอมพวิ เตอร์และขาดทักษะ - นา้ เสนอผลงานโดยใช้ - นา้ เสนอผลงานโดยใช้ - น้าเสนอผลงานโดยใช้ คอมพิวเตอร์ได้ดี คอมพิวเตอรไ์ ด้ คอมพวิ เตอร์ไมไ่ ด้ - ใชค้ อมพวิ เตอร์เปน็ แหลง่ เรยี นรู้ - ใชค้ อมพิวเตอร์เปน็ แหล่งเรียนรู้ - ใช้คอมพวิ เตอร์เป็นแหล่งเรยี นรู้ ได้ดที กุ คร้ัง ได้ ไม่ได้ เกณฑก์ ารตดั สิน/ระดับคณุ ภาพ เกณฑ์การผ่านตงั้ แต่ระดบั ๒ ข้นึ ไป
๗๖ ประเด็นการประเมนิ พฤตกิ รรมกระบวนการทางานกลมุ่ ประเดน็ การประเมิน ระดับคณุ ภาพ 321 กระบวนการท้างานกลุ่ม มกี ารแบ่งหน้าท่ี ความรบั ผิดชอบ มีการแบ่งหน้าที่ ความรบั ผิดชอบ มกี ารแบ่งหนา้ ท่ี ความ ชัดเจน รว่ มคิด ร่วมวางแผน ชดั เจน ร่วมคิด รว่ มวางแผน รับผดิ ชอบไม่ชดั เจน ร่วมคดิ รว่ ม ร่วมมอื ทา้ งาน ชว่ ยเหลอื เอือ้ ร่วมมือทา้ งาน ชว่ ยเหลือเออ้ื วางแผน รว่ มมือท้างาน อาทรในการท้างาน รับผิดชอบ อาทรในการท้างาน รบั ผดิ ชอบ ช่วยเหลอื เอ้อื อาทรในการทา้ งาน ตรงต่อเวลา รบั ฟงั ความคิดเหน็ ตรงตอ่ เวลา ขาดความรบั ผดิ ชอบและไม่ตรง ซง่ึ กันและกนั และร่วมภูมิใจใน ต่อเวลา ผลงาน เกณฑก์ ารตัดสิน/ระดับคุณภาพ เกณฑ์การผา่ นตง้ั แตร่ ะดบั ๒ ขึน้ ไป
๗๗ การออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ เรอื่ ง โครงสรา้ งและการเจริญเติบโตของพชื ดอก เวลา 14 ชัว่ โมง กิจกรรมการเรียนรู้ กิจกรรมนาส่กู ารเรยี น (ชุดคาถามทกี่ าหนดไว้/กิจกรรมการเรยี นรทู้ ี่ออกแบบไว)้ 1. จากภาพล้าต้นของต้นไผก่ บั ต้นมะม่วงแตกตา่ งกันอยา่ งไร แนวตอบ เนอื่ งจากต้นไผเ่ ปน็ พชื ใบเลยี้ งเดย่ี ว จึงมีลกั ษณะของล้าต้นที่สงู และเปน็ ปลอ้ งหรอื ข้อ (Node) สว่ นตน้ มะมว่ งเปน็ พืชใบเล้ยี งคู่ จึงมลี ักษณะของล้าตน้ ท่ีกว้าง 2. จากภาพท้าไมล้าตน้ ของตน้ ไผก่ บั ต้นมะมว่ งจึงแตกตา่ งกนั แนวตอบ ต้นไผ่เปน็ พืชใบเลี้ยงเด่ียว มเี นื้อเยอื่ เจริญเหนือขอ้ (Intercalary meristem) อยู่ ระหวา่ ง ข้อ (Node) ทา้ ให้ต้นไผม่ ลี า้ ตน้ สูง สว่ นต้นมะมว่ งเปน็ พืชใบเล้ียงคูม่ กั พบเน้ือเย่อื เจริญดา้ นขา้ ง (Lateral meristematic) แต่ไม่พบในพืชใบเล้ียงเดี่ยว ซึง่ เนอ้ื เย่อื เจริญด้านขา้ ง หรือแคมเบยี ม (Cambium) จะท้าให้ลา้ ตน้ ขยายขนาดกวา้ งขึ้น ดังน้นั ตน้ ไผจ่ งึ มีลา้ ต้นที่ผอมสูงกว่าต้นมะมว่ ง 3. จากภาพอวยั วะของพชื ทา้ หน้าทีส่ ัมพนั ธก์ ันอยา่ งไร แนวตอบ อวยั วะของพืช ได้แก่ ราก (Root) ล้าต้น (Stem) ใบ (Leaf) และ ดอก (Flower) ซ่ึง ราก ท้าหนา้ ทดี่ ูดน้าและธาตุอาหารที่อย่ใู นดินล้าเลียงไปสสู่ ว่ นต่าง ๆ ผ่านลา้ ต้นซึง่ ภายในมีท่อล้าเลยี งน้าและอาหาร นอกจากนีล้ า้ ตน้ พชื ช่วยคา้ จนุ ให้พืชต้ังตรงได้ เม่อื น้าและธาตุอาหารล้าเลียงมาสใู่ บซงึ่ เปน็ อวยั วะทม่ี ี 4. ครูถามค้าถามเพือ่ กระต้นุ ความคดิ ของนกั เรียนโดยมีแนวค้าถามดังนี้ “อวยั วะของพชื ทา้ งาน สัมพนั ธ์กนั อยา่ งไร” แนวตอบ อวัยวะของพชื ประกอบด้วย ราก (Root) ลา้ ตน้ (Stem) ใบ (Leaf) และ ดอก (Flower) ซงึ่ แตล่ ะอวัยวะตา่ งทา้ งานสัมพันธ์กนั เชอื่ มโยงกนั เปน็ ระบบ เพอ่ื ใหพ้ ชื ด้ารงชวี ติ อยู่ไดโ้ ดยส่วนตา่ ง ๆ ของพืชตา่ งตอ้ งการน้าและอาหารเพือ่ แปรเปล่ยี นเป็นพลังงานใชก้ จิ กรรมในการด้ารงชวี ติ โดยรากเป็นอวัยวะทีท่ ้า หน้าท่ีดูดน้าและธาตอุ าหารท่ีอยภู่ ายในดินล้าเลียงไปส่ใู บเพอ่ื เป็นสารตั้งตน้ ในกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงเพอื่ ผลิตอาหารใหก้ บั พืช แลว้ ลา้ เลียงผ่านลา้ ตน้ ไปสสู่ ่วนต่าง ๆ ของพืช 5. รากท้าหน้าทอ่ี ะไรบ้าง นอกจากดูดน้าและธาตุอาหาร แนวตอบ พิจารณาค้าตอบของนักเรียน ตวั อยา่ ง เชน่ สะสมอาหาร หายใจ พยุงล้าต้น 6. นกั เรียนร้ไู ดอ้ ย่างไรวา่ บริเวณใดเป็นลา้ ตน้ แนวตอบ ล้าตน้ มกั มสี เี ขยี ว หรือสอี น่ื ร่วม มีเจรญิ ออกด้านขา้ งของลา้ ตน้ ตรงตา้ แหน่งข้อท่เี ห็นได้ ชดั เจน โดยเฉพาะพืชใบเล้ียงเดีย่ ว เช่น ต้นข้าว ไผ่ จะเหน็ ข้อและปล้องชดั เจนกว่าพืชใบเลี้ยงคู่ 7. นกั เรียนคดิ วา่ หากเราตัดลา้ ต้นพชื ตามขวาง เราจะสังเกตเห็นอะไรบ้าง แนวตอบ โครงสร้างภายในของล้าตน้ ทแ่ี ตกตา่ งกันไปตามชนิดของพืช เช่น พืชใบเล้ยี งเดยี่ ว และ พชื ใบเล้ียงคู่ จะพบว่าล้าต้นของพชื ใบเล้ียงเดี่ยว กลุ่มทอ่ ล้าเลยี งกระจายทัว่ ไปในเน้ือเยื่อพ้นื (Ground tissue) แต่ ในพชื ใบเล้ยี งคู่ กลมุ่ ทอ่ ลา้ เลยี งเรียงเปน็ ระเบียบในแนวรศั มี 8. ลกั ษณะของใบพืชทั่วไปเปน็ อย่างไร
๗๘ แนวตอบ มีลักษณะแบน ผิวใบด้านบนค่อนขา้ งมัน สว่ นใหญม่ ีสีเขียว 9. หน้าทีห่ ลักสา้ คัญของใบพชื คอื อะไร แนวตอบ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง เพือ่ ผลิตอาหารให้กับพชื 10. ลกั ษณะของใบพชื ท่ัวไปเหมาะสมตอ่ การสร้างอาหารของพืชอยา่ งไร แนวตอบ ช่วยเพ่มิ พื้นท่ีผิวในการรบั แสง ซ่งึ มผี ลตอ่ การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง 11. นกั เรียนคดิ ว่าพืชแตล่ ะชนิดมีความเหมอื นหรอื แตกต่างกันอย่างไร แนวตอบ พืชแตล่ ะชนดิ จะมลี ักษณะเฉพาะ ซึง่ จะมีจุดทีแ่ ตกตา่ งกนั ออกไป กจิ กรรมพฒั นา (กิจกรรมการเรียนการสอนของครูทอี่ อกแบบไว้ในตารางออกแบบกจิ กรรม) เร่อื งเนื้อเยือ่ พชื 1. ครถู ามค้าถาม “เน้ือเย่อื พืชแตกตา่ งจากเน้ือเยื่อสตั ว์อยา่ งไร”จากนนั้ ให้นักเรยี นรว่ มกนั สืบคน้ ขอ้ มูล จากแหล่งเรยี นรูต้ า่ ง ๆ เช่น อินเทอรเ์ นต็ หรอื หนงั สือเรียนชวี วทิ ยา ม.5 เลม่ 1 เพอ่ื ตอบค้าถาม แนวตอบ เนอ้ื เยือ่ พืช (Plant tissue) ประกอบดว้ ยเซลล์ที่มีผนงั หนา ซ่ึงเป็นสารประเภท เซลลูโลส และมีแวควิ -โอลทม่ี ีขนาดใหญก่ ว่า และมคี ลอโรพลาสตเ์ ปน็ องคป์ ระกอบ ทา้ หนา้ ที่สงั เคราะห์ด้วยแสง ซ่ึงแตกตา่ งกบั เนื้อเยอื่ สัตวท์ ีป่ ระกอบดว้ ยเซลล์ทไ่ี มม่ ีผนังเซลล์ มแี วคิวโอล (Vacuole) ขนาดเลก็ กวา่ และไม่มคี ลอ โรพลาสต์ (Chloro plast) 2. ครใู หน้ กั เรียนแบ่งกลมุ่ กลุม่ ละ 4-5 คน โดยให้แต่ละกล่มุ สืบคน้ ขอ้ มลู จากแหล่งเรยี นรูต้ ่าง ๆ เชน่ อนิ เทอร์เนต็ เรอ่ื ง เน้อื เยือ่ เจรญิ ของพชื ในประเด็นดงั ต่อไปนี้ 1) ศึกษาเน้อื เยือ่ เจรญิ ของพืชของลา้ ตน้ ดงั ตอ่ ไปนี้ (ต้นถ่วั และต้นไผ)่ 2) ศึกษาค้าศัพท์เฉพาะของเนอื้ เยือ่ เจรญิ ของพืช 3. ให้แต่ละกลมุ่ ทา้ ใบงานท่ี 2.1 เรอื่ ง เนอื้ เย่ือพชื เรี่องโครงสรา้ งของราก 1. ใหน้ ักเรียนสบื ค้นข้อมูล หรือศึกษาเนอื้ หาและโครงสร้างภายในของปลายรากท่ีตัดตามขวางในหนังสอื เรยี นชวี วิทยา ม.5 เล่ม 1 2. ครูถามนักเรียนวา่ โครงสร้างภายในรากทตี่ ัดตามขวางแบง่ ออกเปน็ กช่ี ั้น ได้แก่อะไรบา้ ง แนวตอบ 3 ชั้น ไดแ้ ก่ ชนั้ นอกสุด หรือเอพเิ ดอร์มิส (Epidermis) ชัน้ ถดั เข้ามา หรอื ชน้ั คอร์ เทกซ์ (Cortex) และช้นั ในสุด หรอื ชั้นสตีล (Stele) 3. ใหน้ ักเรียนแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 6 กลมุ่ ทา้ ปฏิบัตกิ ารโดยแต่ละกลุ่มตดั ตามขวางรากของพชื ใบ เลี้ยงคู่และใบลยี้ งเด่ียว แล้วศีกษาไตก้ ล้องจุลทรรศน์ ใช้กล้องโทรศพั ทบ์ ันทกึ ภาพไตก้ ล่องแล้วชี้ต้าแหนง่ ชน้ั ของเน้ือเย่อื ตอ่ ไปนี้ 1) ช้นั เอพเิ ดอรม์ ิส (Epidermis) 2) ชนั้ คอร์เทกซ์ (Cortex) 3) ชั้นสตลี (Stele) 4. เม่ือแตล่ ะกลุ่มศึกษาข้อมูลแลว้ ให้นักเรียนให้ออกมานา้ เสนอหน้าชัน้ เรียน
๗๙ เร่ีองโครงสรา้ งของลาต้น 1 ใหน้ ักเรยี นสืบคน้ ข้อมูล และศกึ ษาโครงสร้างและหน้าทภี่ ายในของลา้ ต้นพืชใบเลี้ยงเดีย่ วและ พืชใบเล้ียงคู่ จากแหล่งการเรียนร้ตู า่ ง ๆ เชน่ อนิ เทอรเ์ น็ต หรือหนังสือเรียนชวี วทิ ยา ม.5 เลม่ 1 2 ให้นกั เรยี นแบง่ กลุ่ม กล่มุ ละ 6 กล่มุ ตามความสมคั รใจ ร่วมกนั สบื คน้ ขอ้ มูลเกีย่ วกับบริเวณ ปลายสุดของล้าต้นจาก PowerPoint Presentation เร่อื ง บริเวณปลายสดุ ของล้าตน้ 3. ใหน้ กั เรียนแบง่ กลุม่ ออกเปน็ 6 กลุม่ ท้าปฏบิ ัติการโดยแต่ละกลุม่ ตัดตามขวางล้าต้นของพืช ใบเลย้ี งค่แู ละใบเลีย้ งเด่ยี ว แล้วศกี ษาไต้กล้องจุลทรรศน์ ใช้กล้องโทรศพั ท์บนั ทกึ ภาพไต้กล่องแล้วช้ี ตา้ แหนง่ ชน้ั ของเนือ้ เย่ือต่อไปนี้ 1) ชัน้ เอพิเดอรม์ ิส (Epidermis) 2) ชนั้ คอรเ์ ทกซ์ (Cortex) 3) ชนั้ วาสควิ ลาร์ แคมเบียม (Vascular cambium) 4) ช่องพิธ (Pith cavity) 4. เม่อื แต่ละกลมุ่ ศกึ ษาข้อมูลแลว้ ใหน้ กั เรยี นใหอ้ อกมาน้าเสนอหน้าชัน้ เรยี น เรอ่ี งโครงสรา้ งของใบ 1 ให้นักเรยี นสบื คน้ ขอ้ มลู และศกึ ษาโครงสร้างและหนา้ ทภ่ี ายในของใบพชื ใบเลย้ี งเดย่ี วและพืช ใบเลีย้ งคู่ จากแหล่งการเรียนร้ตู ่าง ๆ เช่น อินเทอรเ์ นต็ หรือหนังสือเรียนชวี วิทยา ม.5 เลม่ 1 2. ใหน้ กั เรียนแบง่ กลุ่มออกเป็น 6 กลมุ่ ท้าปฏบิ ตั ิการโดยแต่ละกลมุ่ ตัดตามขวางใบของพชื ใบ เล้ยี งคู่และใบเล้ียงเด่ียว แล้วศกี ษาไตก้ ล้องจุลทรรศน์ ใช้กล้องโทรศัพท์บันทึกภาพไตก้ ลอ่ งแล้วชี้ตา้ แหน่ง ช้ันของเนื้อเย่อื ต่อไปน้ี 1) Upper epidermis 2) Lower epidermis 3) Vascular bundle 4) Bundle sheath 5) Palisade mesophyll 6) Spongy mesophyll 3. เมื่อแตล่ ะกลุ่มศกึ ษาขอ้ มูลแล้ว ให้นกั เรียนให้ออกมาน้าเสนอหนา้ ช้นั เรยี น เรี่องลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของพืชดอก (การเรยี นการสอนออนไลน์ ผา่ น google meet) 1. ครนู ้าเอกสาร ก.7-003 จากงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรยี น (PowerPoint Presentation) มาใหน้ ักเรยี นดูและอธิบายหลักการเปรียบเทยี บลักษณะต่างๆ ดังน้ี สว่ นท่ี ๑ ลกั ษณะวสิ ัย สว่ นที่ ๒ เรือนยอด ทรงพุ่ม ส่วนท่ี ๓ ความสงู และความกว้าง ทรงพุ่ม ส่วนท่ี ๔ ถ่ินอาศยั
๘๐ ส่วนท่ี ๕ ล้าตน้ (ชนดิ ของล้าต้น) สว่ นที่ 6 สี – ลกั ษณะเปลือกล้าตน้ สว่ นที่ 7 ยาง สว่ นที่ 8 ใบ (ชนดิ ของใบ) ส่วนที่ 9 ลกั ษณะพิเศษของใบ ส่วนท่ี 10 การเรยี งตัวของใบ ส่วนท่ี 11 รูปรา่ งแผ่นใบ ปลายใบ โคนใบ และขอบใบ สว่ นท่ี ๑2 ดอก (ชนดิ ของดอก) ส่วนที่ 13 ตา้ แหน่งที่ออกดอก สว่ นท่ี 14 กลีบเล้ยี ง ส่วนท่ี ๑5 กลบี ดอก, รปู รา่ งกลบี ดอก,เกสรเพศผ,ู้ เกสรเพศเมีย, ตา้ แหนง่ รงั ไข่ และกลน่ิ ส่วนที่ 16 ผล (ชนดิ ของผล) สว่ นท่ี ๑7 เมล็ด 2. ให้นักเรียนเลอื กพืชทีม่ อี ยู่ในทอ้ งถน่ิ มาหนงึ่ ชนดิ แลว้ ศกึ ษาลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์โดย เปรยี บเทยี บกับเอกสาร ก.7-003 ของงานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรยี น แลว้ เขยี นเป็นความเรยี งพรอ้ มถา่ ยภาพ ตวั อย่างมาประกอบ แล้วสง่ ทางแชทไลน์ (LINE) กิจกรรมรวบยอด (ชิ้นงาน/ภาระงานของผูเ้ รียน) - ใบงานท่ี 2.1 เร่ือง เนื้อเย่ือพชื - ใบงานที่ 2.2 เรื่อง โครงสร้างและการเจริญเตบิ โตของราก (ภาพถา่ ยไตก้ ล้องจุลทรรศน์) - ใบงานท่ี 2.3 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและการเจรญิ เติบโตของลา้ ต้น (ภาพถา่ ยไต้กลอ้ งจลุ ทรรศน)์ - ใบงานที่ 2.4 เรือ่ ง โครงสรา้ งและการเจริญเตบิ โตของใบ (ภาพถ่ายไตก้ ลอ้ งจลุ ทรรศน)์ - ใบงานที่ 2.5 เรอ่ื ง ลกั ษณะทางพฤกษศาสตรข์ องพืชดอก
การประเมิน กิจกรรม ทรัพยากร/สือ่ ๘๑ เนอื้ เยื่อพืช 1. ครถู ามค้าถาม “เน้ือเยือ่ พชื แตกต่างจากเน้ือเยื่อ 1. หนังสอื เรยี น เวลา 3 ชวั่ โมง สตั วอ์ ยา่ งไร”จากนั้นให้นักเรยี นรว่ มกนั สบื ค้นข้อมลู ชีววิทยา ม.5 เลม่ 1 จากแหลง่ เรยี นรูต้ า่ ง ๆ เช่น อนิ เทอร์เนต็ หรอื 2. อนิ เทอรเ์ น็ต หนงั สอื เรยี นชีววทิ ยา ม.5 เล่ม 1 เพอ่ื ตอบค้าถาม (สมาร์ทโฟน) แนวตอบ เนือ้ เยอ่ื พืช (Plant tissue) ใบงานที่ 2.1 เรือ่ ง ประกอบดว้ ยเซลลท์ ่มี ีผนังหนา ซ่ึงเป็นสารประเภท เนื้อเยอ่ื พืช เซลลูโลส และมแี วควิ -โอลท่ีมีขนาดใหญก่ วา่ และมี คลอโรพลาสต์เปน็ องค์ประกอบ ทา้ หนา้ ทส่ี งั เคราะห์ ด้วยแสง ซง่ึ แตกต่างกบั เน้ือเยอื่ สตั วท์ ีป่ ระกอบดว้ ย เซลล์ทไ่ี ม่มีผนังเซลล์ มแี วควิ โอล (Vacuole) ขนาด เล็กกวา่ และไมม่ ีคลอโรพลาสต์ (Chloro plast) 2. ครูให้นักเรียนแบง่ กลมุ่ กล่มุ ละ 4-5 คน โดยให้ แตล่ ะกลุ่มสืบคน้ ขอ้ มูลจากแหล่งเรยี นรตู้ ่าง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ต เรื่อง เนอื้ เยื่อเจริญของพืช ในประเดน็ ดังต่อไปนี้ 1) ศกึ ษาเนอื้ เยือ่ เจริญของพืชของลา้ ต้น ดงั ต่อไปนี้ (ตน้ ถว่ั และตน้ ไผ)่ 2) ศกึ ษาคา้ ศพั ทเ์ ฉพาะของเนื้อเยอ่ื เจรญิ ของ พืช 3. ให้แต่ละกลุ่มทา้ ใบงานที่ 2.1 เร่ือง เนอื้ เยือ่ พชื
การประเมิน กจิ กรรม ทรัพยากร/สือ่ ๘๒ โครงสร้างของราก 1. ใหน้ กั เรียนสบื ค้นข้อมลู หรอื ศึกษาเนื้อหาและ 1. หนงั สอื เรยี น เวลา โครงสร้างของลา้ ต้น 3 ชวั่ โมง โครงสร้างภายในของปลายรากท่ีตัดตามขวางใน ชวี วทิ ยา ม.5 เลม่ 1 3 ช่ัวโมง หนังสือ 2. อนิ เทอร์เน็ต เรยี นชวี วิทยา ม.5 เลม่ 1 (สมารท์ โฟน) 2. ครูถามนกั เรยี นวา่ โครงสรา้ งภายในรากท่ตี ดั ตาม 3. ใบงานท่ี 2.2 ขวางแบง่ ออกเปน็ ก่ีชนั้ ได้แกอ่ ะไรบ้าง เรอ่ื ง โครงสร้างของ แนวตอบ 3 ชนั้ ไดแ้ ก่ ช้นั นอกสดุ หรอื เอพิเดอร์มสิ ราก (Epidermis) ชน้ั ถัดเข้ามา หรือชนั้ คอร์เทกซ์ 4. ตวั อยา่ งรากพชื ใบ (Cortex) และชัน้ ในสุด หรอื ช้นั สตีล (Stele) เลีย้ งคู่และใบเลย้ี ง 3. ให้นักเรยี นแบ่งกล่มุ ออกเป็น 6 กลมุ่ ท้า เดี่ยว ปฏบิ ัตกิ ารโดยแต่ละกลมุ่ ตัดตามขวางรากของพืชใบ เลีย้ งคู่และใบล้ยี งเด่ียว แล้วศกี ษาไต้กล้องจุลทรรศน์ ใชก้ ลอ้ งโทรศพั ท์บันทึกภาพไต้กล่องแล้วชีต้ ้าแหนง่ ช้ันของเนอื้ เยอ่ื ตอ่ ไปนี้ 1) ชน้ั เอพเิ ดอรม์ ิส (Epidermis) 2) ช้นั คอรเ์ ทกซ์ (Cortex) 3) ชั้นสตีล (Stele) 4. เม่อื แต่ละกลมุ่ ศึกษาขอ้ มูลแล้ว ให้นักเรียนให้ ออกมาน้าเสนอหนา้ ชัน้ เรียน 1 ใหน้ กั เรียนสืบคน้ ขอ้ มูล และศกึ ษาโครงสรา้ งและ 1. หนงั สือเรียน หน้าทภี่ ายในของล้าต้นพชื ใบเล้ียงเดี่ยวและพืชใบ ชีววิทยา ม.5 เลม่ 1 เลี้ยงคู่ จากแหลง่ การเรียนรตู้ า่ ง ๆ เชน่ อินเทอร์เนต็ 2. อินเทอร์เนต็ หรอื หนงั สือเรียนชวี วิทยา ม.5 เลม่ 1 (สมารท์ โฟน) 2 ให้นกั เรยี นแบ่งกลุม่ กลุ่มละ 6 กลมุ่ ตามความ 3. ใบงานท่ี 2.3 สมคั รใจ ร่วมกันสบื คน้ ขอ้ มลู เก่ียวกบั บริเวณปลาย เรื่อง โครงของสรา้ ง สุดของลา้ ตน้ จาก PowerPoint Presentation ลา้ ต้น เรือ่ ง บริเวณปลายสุดของลา้ ตน้ 4. PowerPoint 3. ใหน้ กั เรียนแบ่งกลมุ่ ออกเป็น 6 กลุม่ ท้า 5. ตวั อย่างล้าต้นพืช ปฏิบัตกิ ารโดยแต่ละกลมุ่ ตัดตามขวางล้าต้นของพชื ใบเล้ยี งคู่และใบเล้ียง ใบเล้ยี งคูแ่ ละใบเลีย้ งเดยี่ ว แล้วศีกษาไตก้ ลอ้ ง เดี่ยว จุลทรรศน์ ใช้กล้องโทรศัพท์บันทกึ ภาพไตก้ ลอ่ งแลว้ ชี้ตา้ แหนง่ ช้นั ของเนื้อเยอื่ ตอ่ ไปนี้
การประเมนิ กจิ กรรม ทรัพยากร/สื่อ ๘๓ 1) ชน้ั เอพเิ ดอรม์ ิส (Epidermis) เวลา 2) ชน้ั คอร์เทกซ์ (Cortex) 3 ชวั่ โมง 3) ช้นั วาสคิวลาร์ แคมเบียม (Vascular cambium) 2 ชัว่ โมง 4) ชอ่ งพธิ (Pith cavity) 4. เมอ่ื แตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาข้อมูลแล้ว ใหน้ กั เรยี นให้ ออกมาน้าเสนอหน้าชน้ั เรียน โครงสรา้ งของใบ 1 ใหน้ ักเรยี นสบื คน้ ข้อมลู และศึกษาโครงสรา้ งและ 1. หนงั สอื เรียน หนา้ ทภ่ี ายในของใบพชื ใบเลยี้ งเดี่ยวและพืชใบเลีย้ งคู่ ชีววทิ ยา ม.5 เล่ม 1 จากแหลง่ การเรยี นรูต้ า่ ง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ต หรือ 2. อินเทอร์เนต็ หนังสือเรยี นชีววทิ ยา ม.5 เล่ม 1 (สมารท์ โฟน) 2. ให้นักเรียนแบ่งกล่มุ ออกเป็น 6 กลมุ่ ท้า 3. ใบงานท่ี 2.4 ปฏิบัตกิ ารโดยแต่ละกล่มุ ตัดตามขวางใบของพืชใบ เรือ่ ง โครงของสรา้ ง เลีย้ งคแู่ ละใบเลีย้ งเดี่ยว แล้วศีกษาไตก้ ลอ้ ง ใบ จุลทรรศน์ ใช้กล้องโทรศพั ท์บนั ทกึ ภาพไต้กลอ่ งแล้ว 4. PowerPoint ช้ตี า้ แหน่งชัน้ ของเนอ้ื เยอื่ ตอ่ ไปนี้ 5. ตัวอย่างใบพืชใบ 1) Upper epidermis เล้ียงคูแ่ ละใบเลย้ี ง 2) Lower epidermis เดี่ยว 3) Vascular bundle 4) Bundle sheath 5) Palisade mesophyll 6) Spongy mesophyll 3. เมอ่ื แตล่ ะกลุ่มศึกษาขอ้ มูลแลว้ ใหน้ ักเรยี นให้ ออกมาน้าเสนอหนา้ ชนั้ เรยี น ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ของ 1. ครูน้าเอกสาร ก.7-003 จากงานสวน 1. หนังสอื เรยี น พชื ดอก (การเรียนการสอน พฤกษศาสตร์โรงเรียน (PowerPoint ชีววิทยา ม.5 เลม่ 1 ออนไลน์ ผา่ น google meet) Presentation) มาใหน้ ักเรยี นดแู ละอธบิ ายหลักการ 2. อินเทอร์เน็ต เปรียบเทียบลกั ษณะต่างๆ ดงั น้ี (สมารท์ โฟน) สว่ นท่ี ๑ ลักษณะวสิ ัย 3. เอกสาร ก.7- สว่ นที่ ๒ เรอื นยอด ทรงพุม่ 003 สว่ นท่ี ๓ ความสงู และความกว้าง ทรงพมุ่ 4. PowerPoint สว่ นที่ ๔ ถนิ่ อาศยั 5. ตวั อย่างพืชใน สว่ นที่ ๕ ลา้ ต้น (ชนดิ ของลา้ ต้น) ทอ้ งถิน่
การประเมนิ กิจกรรม ทรัพยากร/สอ่ื ๘๔ เวลา ส่วนท่ี 6 สี – ลกั ษณะเปลอื กล้าต้น 6.google meet สว่ นท่ี 7 ยาง 7.line ส่วนท่ี 8 ใบ (ชนดิ ของใบ) สว่ นท่ี 9 ลักษณะพเิ ศษของใบ สว่ นท่ี 10 การเรยี งตัวของใบ สว่ นท่ี 11 รปู รา่ งแผน่ ใบ ปลายใบ โคนใบ และ ขอบใบ ส่วนที่ ๑2 ดอก (ชนิดของดอก) ส่วนที่ 13 ตา้ แหน่งท่ีออกดอก ส่วนที่ 14 กลีบเลีย้ ง ส่วนที่ ๑5 กลบี ดอก, รปู ร่างกลบี ดอก,เกสรเพศ ผู้, เกสรเพศเมีย, ต้าแหนง่ รังไขแ่ ละกลน่ิ สว่ นที่ 16 ผล (ชนดิ ของผล) สว่ นท่ี ๑7 เมล็ด 1. ใหน้ กั เรยี นเลือกพชื ทมี่ ีอยใู่ นทอ้ งถ่ินมาหนง่ึ ชนดิ แลว้ ศกึ ษาลักษณะทางพฤกษศาสตร์ โดยเปรยี บเทียบกับเอกสาร ก.7-003 ของ งานสวนพฤกษศาสตรโ์ รงเรียน แลว้ เขยี น เป็นความเรียงพรอ้ มถา่ ยภาพตวั อยา่ งมา ประกอบ แล้วส่งทางแชทไลน์ (LINE)
๘๕ กาหนดโครงสรา้ งแผนการจัดการเรยี นรจู้ ากการออกแบบหน่วยการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 5 หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 เรอ่ื ง โครงสรา้ งและการเจริญเติบโตของพืชดอก เวลา 14 ช่ัวโมง โครงสรา้ งการจัดทาแผนการจัดการเรียนรู้ ตามที่ได้ออกแบบหนว่ ยการเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ ชื่อเรื่อง เวลา/ช่วั โมง แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 6 เนอ้ื เยื่อพืช 3 แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 7 โครงสรา้ งของราก 3 แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 8 โครงสรา้ งของลา้ ตน้ 3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 โครงสรา้ งของใบ 3 แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 10 ลักษณะทางพฤกษศาสตรข์ องพืชดอก 2 14 รวม
๘๖ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 6 รายวิชา ชีววทิ ยา 3 รหัสวิชา ว32243 กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 โครงสร้างและการเจรญิ เติบโตของพืชดอก เวลา 14 ชัว่ โมง เรอ่ื ง เนอ้ื เยอ่ื พชื เวลา 3 ชัว่ โมง ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 ครผู สู้ อน นายบญุ รงั จาปา 1. สาระชวี วทิ ยา สาระที่ 3 เข้าใจสว่ นประกอบของพชื การแลกเปลีย่ นแก๊สและคายนา้ ของพชื การล้าเลยี งของพืช การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง การสืบพนั ธ์ุของพชื ดอกและการเจรญิ เตบิ โต และการตอบสนองของพชื รวมทงั นา้ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ อธบิ ายเกย่ี วกบั ชนดิ และลักษณะของเนอื เยื่อพชื และเขียนแผนผงั เพื่อสรปุ ชนิดของเนอื เยื่อพืช 3. สาระสาคญั พืชดอกประกอบด้วยอวัยวะต่าง ๆ ได้แก่ ราก ล้าต้น ใบ และดอก ซึ่งอวัยวะเหล่านีประกอบไปด้วย เนือเย่ือที่ท้าหน้าท่ีแตกต่างกนั โดยเนือเยื่อพืชแบ่งออกได้เปน็ 2 ประเภท คือเนือเยื่อเจริญและเนือเยื่อถาวร โดยเนือเย่ือเจริญแบ่งออกได้เป็น เนือเยื่อเจริญส่วนปลาย เนือเยื่อเจริญเหนือข้อ และเนือเยื่อเจริญด้านข้าง ส่วนเนือเยื่อถาวรเปลี่ยนแปลงจากเนือเย่ือเจริญเพ่ือท้าหน้าที่เฉพาะ แบ่งออกได้เป็น 3 ระบบ คือ ระบบ เนอื เยอ่ื ผวิ ระบบเนอื เยอ่ื พนื และระบบเนอื เย่อื ท่อล้าเลยี ง 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ดา้ นความรู้ (K) 1. ผู้เรยี นสามารถอธิบายเกีย่ วกับชนิดและลกั ษณะของเนือเย่ือพืชได้ 2. ผเู้ รยี นสามารถเปรียบเทียบความแตกต่างระหวา่ งชนดิ และลกั ษณะของเนือเยือ่ พชื ได้ 4.2 ด้านทกั ษะกระบวนการ (P) 1. ผเู้ รียนสามารถจ้าแนกประเภทและเขียนแผนผังสรุปชนิดของเนอื เยือ่ พืชได้ 4.3 ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงตอ่ เวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรับฟังผอู้ ่นื 5. ความรบั ผดิ ชอบ 5. สาระการเรยี นรู้แกนกลาง เนือเยื่อแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือเนือเย่ือเจริญและเนือเย่ือถาวร เนือเย่ือเจริญแบ่งเป็น เนือย่ือเจริญ ส่วนปลาย เนือเยื่อเจริญเหนือข้อ และเนือเยื่อเจริญด้านข้าง เนือเย่ือถาวรเปล่ียนแปลงมาจากเนือเยื่อเจริญ เนือเยื่อถาวรอาจแบ่งได้เป็น 3 ระบบ คือ ระบบเนือเย่ือผิว ระบบเนือเย่ือพืน และระบบเนือเย่ือ ท่อล้าเลียง ซงึ่ ท้าหนา้ ท่ีตา่ งกัน
๘๗ 6. ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (Attitude) คุณลักษณะอันพงึ ประสงคต์ ามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขันพนื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง ซ่ือสัตย์สุจริต มุง่ มั่นในการท้างาน มีวินัย รกั ความเปน็ ไทย ใฝเ่ รียนรู้ มีจิตสาธารณะ 7. คุณลกั ษณะของผู้เรยี น ตามหลกั สูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล เปน็ เลศิ วิชาการ สื่อสารสองภาษา ล้าหนา้ ทางความคดิ ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ ร่วมกันรับผดิ ชอบตอ่ สังคมโลก 8. ด้านการ อา่ น คดิ วิเคราะห์และเขยี น การอา่ น : อา่ นเอกสารใบความรู้ เรอ่ื ง เนือเยือ่ พืช การคิดวเิ คราะห์ : คิดวเิ คราะหข์ ้อมูลท่ไี ดจ้ ากการอา่ นใบความรู้ การเขียน : เขียนสรปุ เรอื่ ง เนือเยอื่ พชื 9. ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน ความสามารถในการสอื่ สาร : แสดงความคิดเห็น และสามารถอธบิ าย ความสามารถในการคดิ : มีความสามารถในการวิเคราะห์ แกป้ ญั หาเฉพาะหน้า ความสามารถในการแก้ปญั หา : นักเรียนสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้เมือ่ พบปญั หา ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต : ทา้ งานร่วมกบั ผู้อ่นื ไดด้ ี ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี : สามารถใช้เทคโนโลยสี ืบค้นขอ้ มลู 10. กิจกรรมการเรยี นรู้ (5E) ข้ันท่ี 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ ชั่วโมงที่ 1 1.1ครูน้าภาพต้นไผ่และต้นมะม่วงมาให้นักเรียนเปรียบเทียบแล้วถามค้าถาม เพื่อให้นักเรียนได้อธิบาย เกี่ยวกบั ชนิดและลกั ษณะของเนือเยือ่ แต่ละชนิดดังนี ภาพตน้ ไผ่ ภาพตน้ มะม่วง 1)จากภาพลา้ ตน้ ของต้นไผ่กบั ตน้ มะม่วงแตกตา่ งกนั อย่างไร แนวตอบ เน่ืองจากต้นไผ่เป็นพืชใบเลียงเด่ียว จึงมีลักษณะของล้าต้นที่สูงและเป็นปล้องหรือข้อ (Node) สว่ นตน้ มะมว่ งเป็นพชื ใบเลยี งคู่ จงึ มีลกั ษณะของล้าตน้ ที่กวา้ ง 2)จากภาพทา้ ไมลา้ ต้นของต้นไผ่กบั ตน้ มะม่วงจงึ แตกต่างกนั แนวตอบ ต้นไผ่เป็นพชื ใบเลียงเด่ียว มเี นอื เยอื่ เจรญิ เหนือขอ้ (Intercalary meristem) อยู่ระหวา่ ง
๘๘ ข้อ (Node) ท้าให้ต้นไผ่มีล้าต้นสูง ส่วนต้นมะม่วงเป็นพืชใบเลียงคู่มักพบเนือเยื่อเจริญด้านข้าง (Lateral meristematic) แตไ่ ม่พบในพชื ใบเลียงเดีย่ ว ซ่งึ เนือเย่ือเจริญดา้ นขา้ ง หรือแคมเบียม (Cambium) จะทา้ ให้ล้า ต้นขยายขนาดกวา้ งขนึ ดังนัน ต้นไผ่จงึ มีล้าตน้ ท่ผี อมสงู กว่าตน้ มะมว่ ง 3) จากภาพอวัยวะของพืชท้าหน้าท่ีสัมพันธก์ นั อยา่ งไร แนวตอบ อวัยวะของพืช ได้แก่ ราก (Root) ลา้ ตน้ (Stem) ใบ (Leaf) และ ดอก (Flower) ซึ่งราก ท้าหน้าท่ีดูดน้าและธาตุอาหารท่ีอยู่ในดินล้าเลียงไปสู่ส่วนต่าง ๆ ผ่านล้าต้นซึ่งภายในมีท่อล้าเลียงน้าและ อาหาร นอกจากนีล้าต้นพืชช่วยค้าจุนให้พืชตังตรงได้ เมื่อน้าและธาตุอาหารล้าเลียงมาสู่ใบซึ่งเป็นอวัยวะที่มี หนา้ ทหี่ ลักในการสังเคราะหด์ ้วยแสง เพือ่ ผลิตอาหารให้กบั พชื ส่วนดอกเป็นอวัยวะสืบพันธ์ทุ า้ หนา้ ท่สี ร้างเซลล์ สืบพันธุ์ให้กับพืช เมื่อดอกได้รับการผสมเกสร จะมีเพียงเกสรเพศเมียท่ีพัฒนาต่อไปเป็นผล ซ่ึงภายในมีเมล็ด (Seed) ทา้ หนา้ ท่ีแพร่พันธุ์ 4) เพราะเหตุใดพืชส่วนใหญ่จงึ คายน้าในเวลาเชา้ แนวตอบ แสงในเวลาเขา้ มผี ลต่อการเปดิ -ปิดของปากใบ โดยแสงมผี ลทา้ ให้เกิดการลา้ เลียงสารเข้า สเู่ ซลล์คมุ (Guard cell) ส่งผลให้น้าบริเวณโดยรอบออสโมซิส (Osmosis)เขา้ สเู่ ซลล์คุมส่งผลใหเ้ ซลล์เต่งปาก ใบพืชจงึ เปดิ ขัน้ ที่ 2 ขั้นสารวจและคน้ หา ชั่วโมงท่ี 2 2.1 ครูถามค้าถาม “เนือเย่อื พืชแตกตา่ งจากเนือเยื่อสัตว์อย่างไร”จากนันให้นักเรยี นร่วมกันสืบค้นข้อมูล จาก แหล่งเรยี นรู้ตา่ ง ๆ เช่น อินเทอรเ์ น็ต หรือหนังสือเรยี นชวี วิทยา ม.5 เลม่ 1 เพอ่ื ตอบคา้ ถาม แนวตอบ เนือเยื่อพืช (Plant tissue) ประกอบด้วยเซลล์ที่มีผนังหนา ซ่ึงเป็นสารประเภท เซลลูโลส และมีแวคิว-โอลท่ีมีขนาดใหญ่กว่า และมีคลอโรพลาสต์เป็นองค์ประกอบ ท้าหน้าที่สังเคราะห์ด้วย แสง ซ่งึ แตกต่างกบั เนอื เย่อื สัตวท์ ่ปี ระกอบดว้ ยเซลล์ทีไ่ มม่ ผี นงั เซลล์ มีแวคิวโอล (Vacuole) ขนาดเลก็ กว่า และ ไม่มคี ลอโรพลาสต์ (Chloro plast) 2.2 ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน โดยให้แต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น อนิ เทอรเ์ น็ต เร่ือง เนือเยื่อเจรญิ ของพืช ในประเดน็ ดงั ตอ่ ไปนี 1) ศึกษาเนือเยอื่ เจริญของพืชของล้าต้นดังต่อไปนี (ต้นถั่วและตน้ ไผ่) 2) ศกึ ษาคา้ ศัพท์เฉพาะของเนอื เยอื่ เจริญของพชื 3. ให้แต่ละกลุ่มทา้ ใบงานที่ 2.1 เรือ่ ง เนือเยอื่ พืช ขัน้ ที่ 3 ข้นั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ ชว่ั โมงท่ี 3 3. 1 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายผลจากการท้าใบงานท่ี 1.6 เร่ือง เนือเย่ือพืช โดยใช้ แนวค้าถาม ดังนี 1) เนอื เยอื่ เจรญิ ของพืชดอกแบง่ ตามต้าแหนง่ ทีอ่ ยู่ออกเปน็ กช่ี นิด แนวตอบ เนอื เยื่อพชื มี 3 ประเภท ไดแ้ ก่ เนือเยอ่ื เจรญิ สว่ นปลาย (Apical meristem) เนอื เย่ือเจริญ เหนือข้อ (Intercalary meristem) และเนอื เยอ่ื เจรญิ ดา้ นขา้ ง (Lateral meristem) 2) เนอื เยอ่ื เจรญิ มคี วามส้าคัญกับพชื อย่างไร แนวตอบ เนือเย่ือเจริญ (Meristem) เป็นเนือเย่ือที่มีสมบัติการแบ่งเซลล์ได้ ท้าให้พืชเจริญเติบโตได้ อย่างไม่มีสินสุด โดยเนือเย่ือเหล่านีจะเจริญต่อไปจนกระทั่งท้าหน้าท่ีเฉพาะ เรียกว่า เนือเย่ือ ถาวร
๘๙ (Permanent tissue) โดยมียีนหรือสารพันธุกรรมเป็นตัวก้าหนดรูปร่าง ขนาด และหน้าท่ีให้สอดคล้องกับ โครงสร้างเฉพาะสว่ นต่าง ๆ ของพืช 3.2 หลังจากการอภิปราย ครูอาจใช้ภาพจาก PowerPoint Presentation เร่ือง เนือเย่ือเจริญและชินส่วน ต่างๆ ของพชื และระบุว่ามีเนือเย่อื บริเวณใดเปน็ เป็นองค์ประกอบ 3.3 ครถู ามนกั เรยี นว่า “การเจริญเตบิ โตปฐมภูมิ (Primary growth) สง่ ผลอยา่ งไรกบั พชื ” แนวตอบ พิจารณาคา้ ตอบของนักเรยี น เชน่ การเจริญเตบิ โตปฐมภูมมิ ผี ลทา้ ใหล้ ้าตน้ สงู ยาวขึน 3.4 ครูจับคู่ให้นักเรียนโดยการสุ่มเลขที่ จากนันให้นักเรียนออกมาจับสลากหน้าชันเรียน จากนันครูจะชีแจง รายละเอียดว่า “ถ้าผู้ใดได้สีแดงจะเป็นฝ่ายถามค้าถามท้าทายการคิดขันสูง (H.O.T.S.) และถ้าผู้ใดได้สีขาว จะตอ้ งเปน็ ผ้ตู อบคา้ ถาม” จากนนั ครใู หค้ นทีจ่ ับไดส้ ีขาวนา้ เสนอค้าตอบของคู่ตนเอง พร้อมเสนอแนวคา้ ตอบ ของตนเองรว่ มกบั ของเพือ่ น โดยมแี นวคา้ ถามดังนี 1) พืชจะมลี กั ษณะเป็นอยา่ งไรหากพืชมเี พียงเนือเย่ือเจริญ และพชื จะดา้ รงชีวิตอยไู่ ดห้ รอื ไม่ แนวตอบ พิจารณาค้าตอบของนักเรียน โดยมแี นวค้าตอบว่า หากพชื มเี พยี งเนือเยื่อเจรญิ (Meristem) พชื จะเจริญแบง่ เซลล์อย่างไม่มสี ินสุด ไม่เปลี่ยนแปลงรปู รา่ ง ไมม่ หี น้าท่ีเฉพาะ พืชดังกลา่ วจงึ ไมม่ อี วยั วะและไม่ สามารถด้ารงชวี ิตอยูไ่ ด้ 3.5 ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่ม โดยให้แต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูลผ่านแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น อนิ เทอร์เนต็ เรือ่ ง ระบบเนือเย่อื ถาวร (Permanent tissue) โดยแบ่งหนา้ ทีค่ วามรับผิดชอบแต่ละกล่มุ ดงั นี 1) กล่มุ ท่ี 1 ศกึ ษาหัวขอ้ ระบบเนอื เย่อื ผวิ (Epidermal tissue system) 2) กลุม่ ที่ 2 ศกึ ษาหัวขอ้ ระบบเนอื เยอ่ื พืน (Ground tissue system) 3) กลมุ่ ที่ 3 ศกึ ษาหวั ข้อ ระบบเนอื เย่อื ล้าเลยี ง (Vascular tissue system) 3.7 นักเรียนแต่ละคนสรุปความรู้เร่ือง ระบบเนือเย่ือถาวรของพืช จากในหนังสือเรียนชีววทิ ยา ม.5 เล่ม 1 ลงในสมุดบันทึกของตนเอง 3.8 นักเรียนและครูรว่ มกันอภปิ รายผล เรอื่ ง ระบบเนือเยือ่ ถาวรของพืช โดยนา้ ภาพเนอื เยื่อพืชตวั อย่างมาให้ นกั เรยี นร่วมกนั ตอบค้าถามวา่ บรเิ วณทช่ี ีเป็นเนือเย่อื ชนิดใด ตวั อย่างค้าถาม เชน่ บรเิ วณ A และ B คือเนือเยื่อ อะไร A B แนวตอบ บริเวณ A คือ สเกลอเรงคิมา (Sclerenchyma) เน่ืองจากมีผนังเซลล์ค่อนข้างหนาส่วน บริเวณ B คือ พาเรงคิมา (Parenchyma) เน่ืองจากเซลล์ค่อนข้างกลม มีผนังเซลล์หนาบาง สม้่าเสมอกัน ทงั เซลล์
๙๐ 3.9 ให้นักเรียนท้ากิจกรรม โดยครูท้าสลากท่ีมีชื่อเนือเยื่อ ดังนี ได้แก่ เอพิเดอร์มิส (Apidermis) เพริเดิร์ม (Periderm) พาเรงคิมา (Parenchyma) คอลเลงคิมา (Collenchyma) สเกลอเรงคิมา (Sclerenchyma) ไซเลม็ (Xylem) และโฟลเอม็ (Phloem) 3.10 ครูแจกสลากให้กบั นักเรยี น โดยนกั เรียนแตล่ ะคนจะไดร้ ับสลากช่อื เนือเย่ือเพียง 1 ชื่อ และหา้ มใหเ้ พอ่ื น เห็นสลากของตนเอง 3.11 ครูพูดระบบเนือเยื่อถาวรของพืชแต่ละระบบ แล้วให้นักเรียนยืนขึนตามระบบท่ีนักเรียนได้รับสลาก เนอื เย่อื นนั ๆ จากนนั จึงแสดงสลากของตนเองให้เพอื่ น พรอ้ มบอกคุณสมบัติของเนอื เยื่อนัน ๆ เช่น แนวตอบ คอลเลงคิมา (Collenchyma) เป็นเนือเย่ือท่ีให้ความแข็งแรงแก่โครงสร้างพืช พบมาก บรเิ วณใต้ชนั เอพิเดอร์มสิ (Apidermis) ของล้าต้น กา้ นใบ และ แผน่ ใบ แตไ่ ม่พบในราก เป็นตน้ ข้นั ท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้ 4.1 ให้นักเรียนท้าผังมโนทัศน์เพื่อจ้าแนกประเภทและชนิดของเนือเย่ือพืช ลงในกระดาษ A4 ตกแต่งให้ สวยงาม พร้อมนา้ เสนอหนา้ ชันเรียน 4.2. ครมู อบหมายการบา้ นให้นักเรยี นทา้ แบบฝกึ หดั ชีววิทยา ม.5 เล่ม 1 ขั้นที่ 5 ประเมินผล 5.1 วธิ กี ารวดั และประเมินผล 1. ประเมนิ จากสมดุ บันทกึ 2. ประเมินจากใบกจิ กรรม 3. ประเมนิ พฤติกรรมนักเรียน 5.2 เครอ่ื งมือวัดและประเมนิ ผล 1. แบบเฉลยรายงานสมุดบันทกึ 2. แบบประเมนิ ใบกจิ กรรม 3. แบบประเมินพฤตกิ รรมนักเรียน 5.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล 1. การประเมินจากสมุดบันทึก ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 70 2. การประเมินใบกจิ กรรม ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 3. การประเมนิ พฤตกิ รรมนกั เรียน ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 80 11. สอ่ื /แหลง่ การเรียนรู้ 11.1 หนังสอื เรยี นสาระการเรียนรูช้ วี วิทยา 3 11.2 เพาเวอรพ์ อยท์ เร่ือง เนอื เยอ่ื พืช 11.3 ใบกจิ กรรมท่ี 2.1 เร่ือง เนือเยื่อพชื 11.4 สมุดบนั ทกึ
๙๑ 12. หลกั ฐานการเรยี นรู้และวธิ กี ารประเมิน วิธีการวัด เครอ่ื งมือวดั เกณฑก์ าร จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (K P A) ประเมิน - ตรวจใบกิจกรรม - ใบกิจกรรม ดา้ นความรู้ (K) - ตรวจสมุดบันทกึ - สมุดบนั ทึก ผา่ นเกณฑ์ 1. ผเู้ รยี นสามารถอธบิ ายเกยี่ วกบั ชนดิ และ ร้อยละ 70 ลักษณะของเนือเยอื่ พืชได้ ของคะแนน 2. ผ้เู รยี นสามารถเปรียบเทยี บความแตกต่าง ระหว่างชนดิ และลกั ษณะของเนอื เยอ่ื พืชได้ - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผา่ นเกณฑ์ - สงั เกตความตังใจ ชินงาน คุณภาพระดบั ด้านทักษะ (P) และความ 2 1. ผ้เู รียนสามารถจ้าแนกประเภทและเขยี น รับผิดชอบในการ - แบบประเมิน แผนผงั สรปุ ชนิดของเนอื เยอื่ พืชได้ ปฏบิ ัติกจิ กรรม พฤติกรรม ผ่านเกณฑ์ คณุ ภาพระดับ ด้านเจตคติ (A) - สงั เกตพฤติกรรม 2 1. ความสนใจ การเรยี นรู้ 2. การตรงต่อเวลา 3. การตอบค้าถาม 4. การยอมรบั ฟังผอู้ ่นื 5. ความรับผิดชอบ
๙๒ ใบงานท่ี 2.1 เรอื่ ง เนอ้ื เยื่อพชื คาช้ีแจง : ให้นกั เรียนเติมคาตอบลงในช่องว่างให้ถูกต้องและสมบูรณท์ สี่ ดุ ............................................................................................................................. ...................................... 1.เนือเยอ่ื เจริญแบง่ ออกไดเ้ ปน็ กี่กล่มุ คอื อะไรบา้ ง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.เนอื เยอ่ื เอพเิ ดอร์มิสท้าหน้าทอ่ี ย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3.ไซเลม (Xylem) ทา้ หนา้ ที่ อยา่ งไร และประกอบดว้ ยสว่ นใดบ้าง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4.โฟลเอม็ (Phloem) ทา้ หนา้ ท่ี อยา่ งไร และประกอบด้วยส่วนใดบ้าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................ ช่อื -สกลุ ....................................................................ชนั้ .................เลขท่.ี ..................
๙๓ เฉลยใบงานท่ี 2.1 เรื่อง เนอื้ เยอ่ื พชื คาชี้แจง : ใหน้ ักเรียนเตมิ คาตอบลงในช่องว่างใหถ้ ูกตอ้ งและสมบรู ณท์ สี่ ดุ ............................................................................................................................. ...................................... . 1.เนอื้ เยอื่ เจริญแบ่งออกไดเ้ ปน็ กี่กลุม่ คืออะไรบ้าง ตอบ 3 กลมุ่ 1. เนือเยื่อเจริญส่วนปลาย (Apical meristem) 2. เนอื เยื่อเจรญิ ดา้ นขา้ ง (Lateral meristem) 3. เนือเยอ่ื เจรญิ เหนอื ขอ้ (Intercalary meristem) 2. เนอ้ื เย่ือเอพิเดอร์มสิ ทาหน้าอยา่ งไร ตอบ ปกคลุมและปอ้ งกันอันตรายให้แกพ่ ชื 3.ไซเลม (Xylem) ทาหน้าท่ี อย่างไร และประกอบด้วยส่วนใดบ้าง ตอบ ล้าเลียงน้าและแร่ธาตุจากรากไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช ซึ่งเรียกว่า คอนดักชัน (Conduction) ไซเลม ประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิดคอื 1. เซลล์พาเรงคิมา (Parenchyma) 2. ไฟเบอร์ (Fiber) 3. เทรคิด (Tracheid) 4. เวสเซลอลี เี มนต์ (Vessel element ) 4.โฟลเอ็ม (Phloem) ทาหน้าที่ อยา่ งไร และประกอบด้วยส่วนใดบ้าง ตอบ โฟลเอ็มท้าหน้าทีล่ า้ เลียงอาหารหรอื อนิ ทรยี สารจากใบไปยงั ส่วนตา่ ง ๆ ของพชื การล้าเลยี งน้าทางโฟล เอ็มเรยี กว่า ทรานสโลเคชนั (Translocation) โฟลเอม็ ประกอบด้วยเซลล์ 4 ชนิดคอื 1. เซลลพ์ าเรงคมิ า 2. ไฟเบอร์ 3. ซฟี ทิวบเ์ มมเบอร์ (Sieve tube member) 4. คอมพาเนยี นเซลล์ (Companion cell)
๙๔ แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 7 รายวชิ า ชวี วิทยา 3 รหัสวิชา ว32243 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 โครงสร้างและการเจริญเติบโตของพืชดอก เวลา 14 ชวั่ โมง เร่ือง โครงสรา้ งและการเจริญเติบโตของรา เวลา 3 ช่ัวโมง ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 ครูผู้สอน นายบุญรงั จาปา 1. สาระชีววิทยา สาระท่ี 3 เข้าใจสว่ นประกอบของพชื การแลกเปล่ยี นแก๊สและคายน้าของพชื การล้าเลียงของพืช การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง การสืบพันธ์ขุ องพืชดอกและการเจริญเติบโต และการตอบสนองของพชื รวมทังน้า ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 2. ผลการเรยี นรู้ สังเกต อธบิ าย และเปรยี บเทยี บโครงสรา้ งภายในของรากพชื ใบเด่ยี วและรากพืชใบเลียงคจู่ ากการตดั ตามขวาง 3. สาระสาคญั รากพืชประกอบด้วย เนือเยื่อเจริญปลายรากและเนือเย่ือล้าเลียง ท้าหนาท่ีดูดน้าและธาตุอาหาร ภายในดินและท้าหน้าท่พี เิ ศษ เชน่ รากหายใจ รากสะสมอาหาร 4. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) 1. ผเู้ รียนสามารถอธบิ ายโครงสรา้ งภายในของรากพชื ใบเลียงเด่ียวและรากพชื ใบ เลยี งคจู่ ากการตัดตามขวาง 2. ผเู้ รียนสามารถเปรยี บเทียบโครงสร้างภายในของรากพชื ใบเลยี งเดี่ยวและรากพืช ใบเลียงคไู่ ด้ 4.2 ดา้ นทักษะกระบวนการ (P) 1. ผูเ้ รียนสามารถจ้าแนกประเภทและเขียนแผนผังสรุปชนิดของเนือเย่อื พชื ได้ 4.3 ดา้ นคณุ ลกั ษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงตอ่ เวลา 3. การตอบค้าถาม 4. การยอมรับฟงั ผูอ้ ่นื 5. ความรับผดิ ชอบ 5. สาระการเรยี นรู้แกนกลาง - ราก คอื ส่วนแกนของพืชทโี่ ดยทว่ั ไปเจรญิ อยใู่ ต้ ระดบั ผวิ ดิน ทา้ หนา้ ทย่ี ดึ หรอื ค้าจนุ ให้พชื เจริญเตบิ โตอยู่กับที่ไดแ้ ละยงั มหี น้าท่ีสา้ คัญในการดดู นา้ และธาตอุ าหารในดินเพอื่ ส่งไปยังส่วนตา่ ง ๆ ของพืช - โครงสร้างภายในของปลายรากท่ีตัดตามยาวประกอบด้วยเนือเยอ่ื เจรญิ แบ่งเป็นบริเวณต่าง ๆ คือ บรเิ วณหมวกราก บรเิ วณเซลลก์ ้าลังแบง่ ตวั บรเิ วณเซลล์ขยายตวั ตามยาวและบรเิ วณทเ่ี ซลลม์ ีการเปลีย่ นแปลง ไปท้าหน้าทเ่ี ฉพาะและเจรญิ เตบิ โตเตม็ ที่
๙๕ - โครงสรา้ งภายในของรากระยะการเติบโตปฐมภูมิ เมือ่ ตัดตามขวางจะเห็นโครงสร้างแบง่ เปน็ 3 ชัน เรียงจากด้านนอกเข้าไป คือ ชันเอพิเดอร์มิส ชันคอร์เทกซ์และชันสตีล ในชันสตีลจะพบมัดท่อล้าเลียงท่ีมี ลักษณะแตกต่างกันในพืชใบเลียงเดี่ยวและพืชใบเลียงคู่ โครงสร้างภายในของรากระยะการเติบโตทุติยภูมิ ชนั เอพิเดอร์มิสจะถกู แทนทดี่ ้วยชนั เพริเดิร์ม ซง่ึ มีคอร์กเปน็ เนือเยื่อส้าคัญ ชนั คอรเ์ ทกซอ์ าจมกี ารเปลี่ยนแปลง เกิดเซลล์ที่ท้าให้มีความแข็งแรงเพ่ิมขึน หรือเกิดเซลล์ที่สะสมอาหารเพิ่มขึนส่วนลักษณะมัดท่อล้าเลียงจะ เปล่ียนไป เนอ่ื งจากมกี ารสรา้ งเนอื เยือ่ ลา้ เลียงเพมิ่ ขนึ 6. ดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (Attitude) คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขันพืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง ซ่อื สตั ยส์ ุจริต มงุ่ ม่ันในการทา้ งาน มวี นิ ยั รกั ความเปน็ ไทย ใฝ่เรียนรู้ มจี ิตสาธารณะ 7. คุณลักษณะของผู้เรยี น ตามหลักสูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล เป็นเลศิ วิชาการ สอื่ สารสองภาษา ล้าหนา้ ทางความคิด ผลิตงานอย่างสร้างสรรค์ รว่ มกันรับผิดชอบตอ่ สังคมโลก 8. ดา้ นการ อ่าน คิดวิเคราะห์และเขยี น การอา่ น : อ่านเอกสารใบความรู้ เร่ือง โครงสรา้ งและการเจรญิ เตบิ โตของราก การคดิ วิเคราะห์ : คิดวิเคราะห์ขอ้ มูลทไี่ ด้จากการอา่ นใบความรู้ การเขียน : เขียนสรปุ เรื่อง โครงสรา้ งและการเจริญเตบิ โตของราก 9. ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ความสามารถในการสื่อสาร : แสดงความคิดเห็น และสามารถอธบิ าย ความสามารถในการคดิ : มีความสามารถในการวิเคราะห์ แก้ปัญหาเฉพาะหนา้ ความสามารถในการแก้ปญั หา : นักเรียนสามารถแกไ้ ขปัญหาเฉพาะหน้าได้เมือ่ พบปญั หา ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต : ท้างานรว่ มกบั ผ้อู ื่นได้ดี ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี : สามารถใช้เทคโนโลยสี ืบค้นขอ้ มลู 10. กิจกรรมการเรียนรู้ (5E) ข้นั ท่ี 1 ขนั้ สรา้ งความสนใจ ชว่ั โมงที่ 1 1.1 ครูถามค้าถามเพื่อกระตุ้นความคิดของนกั เรียนโดยมีแนวค้าถามดังนี “อวัยวะของพืชท้างานสัมพนั ธก์ นั อย่างไร” แนวตอบ อวัยวะของพืชประกอบด้วย ราก (Root) ล้าต้น (Stem) ใบ (Leaf) และ ดอก (Flower) ซึง่ แตล่ ะอวัยวะตา่ งทา้ งานสมั พันธ์กันเชื่อมโยงกันเปน็ ระบบ เพ่ือใหพ้ ชื ด้ารงชวี ติ อยูไ่ ดโ้ ดยสว่ นตา่ ง ๆ ของพืชต่างต้องการน้าและอาหารเพ่ือแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานใช้กจิ กรรมในการด้ารงชีวติ โดยราก เป็นอวัยวะท่ีท้าหน้าที่ดูดน้าและธาตุอาหารท่ีอยู่ภายในดินล้าเลียงไปสู่ใบเพ่ือเป็นสารตังต้นใน กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงเพอื่ ผลิตอาหารให้กับพืช แลว้ ล้าเลียงผา่ นล้าตน้ ไปสู่สว่ นต่าง ๆ ของ พชื 1.2 ครูกระตนุ้ ความสนใจของนกั เรยี นโดยน้าภาพ เร่ือง การเจรญิ ของรากตน้ ถ่ัว โดยมีแนวภาพ ดังนี
๙๖ 1.3 หลังจากดูภาพ ครูสุ่มเรยี กเลขท่ีของนักเรยี นประมาณ 3-4 คน เพอ่ื ตอบค้าถามคนละ 1 ข้อ โดยมีคา้ ถาม ดังนี 1) การเจริญของรากต้นถัว่ มแี นวโนม้ เป็นอยา่ งไร แนวตอบ: รากของตน้ ถ่ัวยาวขึนและมขี นาดใหญม่ ากขึน 2) รากของต้นถั่วประกอบไปด้วยเนือเย่ือประเภทใด จงยกตัวอย่างชนิดของเนอื เยอื่ มาอย่างน้อย 1 ชนิดตัวอย่าง แนวตอบ เนือเยอื่ เจรญิ (Meristem) ได้แก่ เนือเยอื่ เจริญปลายราก (Apical meristem) ทา้ ให้ราก พืชยาวขึนและภายในรากมีเนอื เยื่อเจริญด้านข้าง (Lateral meristem) หรือวาสคิวลาร์แคมเบยี ม (Vascular cambium) ท้าใหร้ ากพืชมขี นาดใหญข่ นึ นอกจากนีรากพชื ยงั ประกอบด้วยเนือเยอ่ื ถาวร (Permanent tissue) ที่เปล่ียนแปลงมาจากเนือเยื่อเจริญเพ่ือท้าหน้าท่ีเฉพาะ เช่น เซลล์ขนราก (Root hair cell) ทอ่ ไซเล็ม (Xylem) และโฟลเอ็ม (phloem) 3) รากทา้ หนา้ ทอ่ี ะไรบ้าง นอกจากดดู น้าและธาตอุ าหาร แนวตอบ พจิ ารณาคา้ ตอบของนักเรียน ตัวอยา่ ง เชน่ สะสมอาหาร หายใจ พยงุ ลา้ ตน้ ขน้ั ที่ 2 ข้นั สารวจและคน้ หา ชัว่ โมงที่ 2 2.1 ใหน้ ักเรียนสืบค้นขอ้ มูล หรอื ศกึ ษาเนือหาและโครงสรา้ งภายในของปลายรากทต่ี ัดตามขวางในหนังสือ เรยี นชีววทิ ยา ม.5 เล่ม 1 2.2 ครูถามนกั เรียนว่าโครงสร้างภายในรากทีต่ ดั ตามขวางแบง่ ออกเป็นกี่ชนั ไดแ้ กอ่ ะไรบ้าง แนวตอบ 3 ชัน ได้แก่ ชันนอกสุด หรือเอพิเดอร์มิส (Epidermis) ชันถัดเข้ามา หรือชันคอร์เทกซ์ (Cortex) และชันในสุด หรือชันสตลี (Stele) 2.3 ให้นักเรยี นแบ่งกลมุ่ ออกเป็น 6 กลุ่ม ท้าปฏิบตั ิการโดยแต่ละกลุม่ ตดั ตามขวางรากของพชื ใบเลียงคู่และใบ ลียงเด่ียว แล้วศีกษาไต้กล้องจุลทรรศน์ ใช้กล้องโทรศัพท์บันทึกภาพไต้กล่องแล้วชีต้าแหน่งชันของเนือเย่ือ ต่อไปนี 1) ชันเอพิเดอรม์ ิส (Epidermis) 2) ชนั คอร์เทกซ์ (Cortex) 3) ชนั สตีล (Stele) 2.4 เมอ่ื แตล่ ะกลุ่มศึกษาข้อมลู แลว้ ใหน้ ักเรยี นใหอ้ อกมานา้ เสนอหน้าชันเรียน ขนั ที่ 3 ขัน้ อธิบายและลงขอ้ สรุป ชั่วโมงที่ 3 3.1 ให้สมาชกิ ภายในกล่มุ อธบิ ายหัวขอ้ ท่ตี นเองศกึ ษาจากกลุ่มเดิมให้สมาชกิ ภายในกลมุ่ ใหม่ฟงั ให้เข้าใจ
๙๗ 3.2 ครแู จกใบงาน เรอื่ ง โครงสร้างภายในของรากพชื แล้วใหแ้ ต่ละกลุ่มศึกษาคา้ ชแี จง และลงมอื ทา้ ใบงาน 3.3 ใหแ้ ตล่ ะกลุ่มส่งตวั แทนออกมานา้ เสนอค้าตอบในใบงาน โดยนักเรียนและครูร่วมกันเฉลยและอภปิ ราย ค้าตอบทถี่ ูกต้อง 3.4 ใหน้ กั เรียนทุกคนสรปุ ความร้ทู ไ่ี ด้จากการท้าใบงานลงในสมดุ บันทกึ ของตนเอง 3.5 ครูนา้ ภาพประเภทของรากพชื ดงั นี ภาพ A ภาพ B ภาพ A ภาพ B 3.6. หลังจากดภู าพ ครถู ามค้าถามนกั เรียน เพื่อใหน้ กั เรยี นสืบคน้ ข้อมลู จากแหลง่ เรียนรู้ หรอื จากหนงั สอื เรยี นชีววิทยา ม.5 เลม่ 1 โดยมีแนวค้าถาม ดังนี 1) จากภาพ รากทังสองมลี กั ษณะแตกต่างกนั อยา่ งไร แนวตอบ ภาพ A รากมขี นาดใหญ่และเรยี วเล็กลง และภาพ B รากมลี ักษณะเป็นฝอยๆ 2) ภาพซา้ ยเป็นรากประเภทใด แนวตอบ รากแกว้ (Tap root) หรือรากปฐมภูมิ (Primary root) 3) ภาพขวาเปน็ รากประเภทใด แนวตอบ รากฝอย (Fibrous root) หรอื รากทุตยิ ภมู ิ Secondary root) 4) ภาพ A เป็นรากทม่ี แี หล่งกา้ เนดิ มาจากอะไร แนวตอบ รากแรกเกดิ หรือแรดเิ คิล (Radicle) 5) ภาพ B เปน็ รากทีม่ แี หลง่ ก้าเนิดมาจากอะไร แนวตอบ เพริไซเคิล (Pericyicle) 3.7 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน สืบค้นข้อมูลเก่ียวกับ รากพิเศษหรือรากวิสามัญ (Adventitious root) แลว้ ทา้ ใบงานท่ี 1.7 เรอื่ ง โครงสรา้ งและการเจริญเตบิ โตของราก 3.8 ใหแ้ ต่ละกลมุ่ ส่งตวั แทนกลุ่มออกมาน้าเสนอใบงานหนา้ ชันเรยี น 3.9 นกั เรียนและครรู ว่ มกันอภปิ รายความรจู้ ากการท้าใบงานรว่ มกนั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303