Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง กายวิภาคและสรีรวิทยาของพืช ( Plant Anatomy and Physiology )

หน่วยการเรียนรู้ เรื่อง กายวิภาคและสรีรวิทยาของพืช ( Plant Anatomy and Physiology )

Published by Guset User, 2021-09-03 05:43:26

Description: รายวิชาชีววิทยาเพิ่มเติม ว32243 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสังคมวิทยา

Search

Read the Text Version

การประเมนิ กิจกรรม ทรพั ยากร/ส่อื ๑๙๘ เวลา กระบวนการหายใจมมี ากกวา่ อตั ราการตรึง คารบ์ อนไดออกไซดเ์ พื่อใช้ในการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง 3) ไลทค์ อนเพนเซชันพอยท์ (Light Compensation Point) คอื อะไร แนวตอบ จดุ ท่ีความเข้มแสงทา้ ให้อัตรา การตรงึ คารบ์ อนไดออกไซดส์ ทุ ธิเป็นศนู ย์ เน่ืองจาก อัตราการปล่อยคารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากกระบวนการ หายใจเท่ากับอตั ราการตรึงคารบ์ อนไดออกไซดจ์ าก กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง 4) จากกราฟไลท์คอนเพนเซชนั พอยท์ของต้น ออ้ ย ข้าว และมะมว่ งมีค่าเท่ากนั หรอื ไม่ อยา่ งไร แนวตอบ ไลทค์ อมเพนเซชันพอยทข์ อง อ้อยและข้าวมีประมาณเท่ากนั ประมาณ 30 ไมโคร โมลโฟตอนต่อเมตรวินาที สว่ นไลท์คอมเพนเซชนั พอยท์ของมะม่วงประมาณ 100 ไมโครโมลโฟตอน ต่อเมตรวินาที จะเหน็ วา่ พืชทัง 3 ชนดิ ตา่ งมอี ัตรา การหายใจและอตั ราการสงั เคราะห์ด้วยแสงที่ แตกต่างกัน 5) จุดอ่ิมตัวของแสงคืออะไร แนวตอบ จุดท่ีเม่ือเพ่ิมความเขม้ ขน้ ของ แสงแลว้ อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซดส์ ทุ ธจิ ะไม่ เพิม่ ขึน

๑๙๙ กาหนดโครงสร้างแผนการจัดการเรียนรู้จากการออกแบบหน่วยการเรยี นรู้ กล่มุ สาระการเรียนรู้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 เรอื่ ง การสังเคราะห์ด้วยแสง เวลา 14 ชั่วโมง โครงสรา้ งการจัดทาแผนการจดั การเรียนรู้ ตามทไ่ี ดอ้ อกแบบหน่วยการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ ช่ือเร่ือง เวลา/ชัว่ โมง แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 15 การศกึ ษาที่เก่ียวกับการสังเคราะหด์ ้วยแสง 2 แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 16 กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง 4 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 17 โฟโตเรสไพเรชนั 1 แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 18 การเพิ่มความเขม้ ข้นของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ 4 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 19 ปจั จยั บางประการท่ีมีผลตอ่ การสงั เคราะห์ด้วยแสง 3 รวม 14

๒๐๐ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 15 รายวชิ า ชวี วิทยา 3 รหัสวชิ า ว33243 กลุม่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี หน่วยการเรยี นรู้ที่ 4 การสังเคราะหด์ ้วยแสง เวลา 14 ช่วั โมง เร่อื ง การศึกษาที่เกีย่ วกบั การสังเคราะหด์ ้วยแสง เวลา 2 ชั่วโมง ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 ครูผูส้ อน นายบุญรงั จาปา 1. สาระชวี วิทยา สาระที่ 3 เข้าใจส่วนประกอบของพชื การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้าของพชื การล้าเลียงของพชื การ สงั เคราะห์ดว้ ยแสง การสืบพันธ์ุของพชื ดอกและการเจรญิ เตบิ โต และการตอบสนองของพืช รวมทังนา้ ความรู้ ไปใชป้ ระโยชน์ 2. ผลการเรยี นรู้ สืบค้นข้อมูลและสรุปการศึกษาท่ีได้จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในอดีตเก่ียวกับกระบวนการ สังเคราะหด์ ้วยแสง 3. สาระสาคัญ การสงั เคราะห์ด้วยแสง เปน็ กระบวนการสร้างอาหารของพชื โดยมีใบเป็นอวยั วะส้าคญั ภายในใบของ พืชมีสารคลอโรฟิลล์ท่ีสามารถน้าพลังงานแสงมาเปล่ียนให้เป็นพลังงานเคมี และมีเอนไซม์ท่ีสามารถตรึงแก๊ส คารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากอากาศมาผลิตอาหารเก็บไวใ้ นรูปสารอนิ ทรียไ์ ด้ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) 1. ผ้เู รยี นสามารถอธิบายและสรปุ การทดลองของนกั วิทยาศาสตรใ์ นอดตี ที่เก่ียวข้อง กับกระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสงได้ 4.2 ด้านทกั ษะกระบวนการ (P) 1. ผูเ้ รยี นสามารถเปรียบเทียบผลการทดลองกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของ นักวิทยาศาสตร์ในอดีตได้ 4.3 ดา้ นคุณลักษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงต่อเวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรับฟงั ผูอ้ นื่ 5. ความรบั ผิดชอบ 5. สาระการเรียนรู้ - การศึกษาค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ในอดีตท้าให้ได้ ความรู้เก่ียวกับกระบวนการสังเคราะห์ด้วย แสงมาเป็นล้าดับขันจนได้ข้อสรุปว่าคาร์บอนไดออกไซด์และนา้ เป็นวัตถุดิบท่ีพืชใช้ในกระบวนการสังเคราะห์ ด้วยแสงและผลผลิตที่ได้ คอื นา้ ตาล ออกซเิ จน

๒๐๑ 6. ดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (Attitude) คุณลกั ษณะอันพึงประสงคต์ ามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขันพืนฐาน พุทธศกั ราช 2551  รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์  อยู่อย่างพอเพียง  ซื่อสตั ยส์ ุจริต  มุง่ มั่นในการท้างาน  มวี นิ ยั  รกั ความเปน็ ไทย  ใฝเ่ รยี นรู้  มีจิตสาธารณะ 7. คณุ ลักษณะของผู้เรียน ตามหลักสูตรโรงเรยี นมาตรฐานสากล  เปน็ เลศิ วิชาการ  ส่ือสารสองภาษา  ล้าหน้าทางความคิด  ผลติ งานอย่างสรา้ งสรรค์  ร่วมกันรับผดิ ชอบต่อสงั คมโลก 8. ด้านการ อ่าน คดิ วิเคราะห์และเขียน  การอ่าน : อา่ นเอกสารใบความรู้ เร่อื ง การศึกษาท่เี กี่ยวกบั การสงั เคราะหด์ ้วยแสง  การคิดวิเคราะห์ : คิดวิเคราะห์ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการอ่านใบความรู้  การเขียน : เขยี นสรุป เรอ่ื ง การศึกษาท่ีเกีย่ วกบั การสังเคราะหด์ ว้ ยแสง 9. ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน  ความสามารถในการสือ่ สาร : แสดงความคิดเห็น และสามารถอธิบาย  ความสามารถในการคิด : มีความสามารถในการวเิ คราะห์ แกป้ ัญหาเฉพาะหน้า  ความสามารถในการแก้ปญั หา : นักเรียนสามารถแก้ไขปญั หาเฉพาะหน้าไดเ้ มื่อพบปญั หา  ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต : ท้างานรว่ มกบั ผอู้ ่ืนไดด้ ี  ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี : สามารถใชเ้ ทคโนโลยีสืบค้นข้อมูล 10. กิจกรรมการเรยี นรู้ (5E) ขัน้ ท่ี 1 ขัน้ สรา้ งความสนใจ 1.1 ครูใหน้ กั เรยี นทา้ แบบทดสอบก่อนเรียน เร่อื ง การสังเคราะหด์ ว้ ยแสง 1.2 ให้นักเรยี นท้ากจิ กรรมเรอื่ ง กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง ภายในหอ้ งเรยี น เพอ่ื กระตนุ้ ความสนใจของ นกั เรยี น ดงั นี 1) ครูมีจดหมายมาให้นักเรียน โดยในกระดาษจดหมายจะมคี ้าถาม อยู่ 3 ค้าถาม ส่วนกระดาษท่ี เหลือเป็นเพียงกระดาษเปล่า โดยภายในค้าถามจะมีหมายเลขข้อก้ากับไว้ เช่น ข้อ 1 “กระบวนการสังเคราะห์แสงเกดิ ขึนที่บริเวณใดของตน้ มะม่วง” 2) ครูสุ่มแจกจดหมายให้นักเรียนแต่ละคน จากนันให้นักเรียนเปิดซองจดหมาย นักเรียนคนใดที่ เปดิ ได้คา้ ถามให้นกั เรยี นจา้ คา้ ถามหรือหมายเลขที่กา้ กับข้อค้าถามนนั ไว้ จากนันใหน้ ้ากระดาษใส่ ซอง จดหมายตามเดมิ แลว้ ให้นักเรยี นสง่ จดหมายต่อไปจนกว่าครูจะสงั่ ใหห้ ยดุ ส่งจดหมาย 3) ใหน้ ักเรียนเปิดซองจดหมายอีกครัง นกั เรยี นคนใดทไ่ี ดค้ ้าถามให้นักเรียนยืนขนึ 4) ครอู า่ นคา้ ถาม แล้วใหน้ ักเรียนจบั ค่กู บั คนทไี่ ด้ค้าถามเดยี วกนั แล้วรว่ มกนั ตอบคา้ ถาม 1.3 ครูและนักเรียนร่วมกนั อภปิ รายคา้ ตอบของคา้ ถาม โดยมคี ้าถามดังนี 1) กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพืชแต่ละชนดิ มีขันตอนท่แี ตกต่างกนั หรอื ไม่อย่างไร แ น วตอ บ ไม่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่มี 2 ขันตอน คือ ปฏิกิริยาแสง และการตรึง คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2)

๒๐๒ 2) ต้นมะมว่ ง ข้าวโพด และกระบองเพชรมีกลไกการตรงึ คารบ์ อนไดออกไซด์ (CO2) ที่แตกต่างกัน หรือไม่ อยา่ งไร แนวตอบ แตกต่างกัน เนื่องจากต้นมะม่วง ต้นข้าวโพด มีสภาพแวดล้อมท่ีแตกต่างไปจาก กระบองเพชรซง่ึ เปน็ ในเขตรอ้ น ดังนนั เวลาในการเปดิ ปดิ ปากใบ (Stomata) ของกระบองเพชร จงึ แตกต่างไปจากพชื ท่ัวไป ซง่ึ มีผลต่อการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ของพืช 3) สภาพแวดลอ้ มสง่ ผลกระบวนการผลติ อาหารของพืชอย่างไร แนวตอบ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในบรรยากาศและน้าเป็นสารตังต้นท่ีส้าคัญใน กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ดังนัน ในวันท่ีสภาพแวดล้อมมีความเหมาะสม เช่น มีความเขม้ แสงและคาร์บอนไดออกไซด์ท่ีเหมาะสม มีอุณหภูมิ น้า และธาตุอาหารในดินเหมาะสมต่อการ เจรญิ ของพชื จะสง่ ผลให้พชื เกดิ กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงไดด้ ี ข้ันท่ี 2 สารวจค้นหา 2.1 ครูถามค้าถามแล้วให้นักเรียนร่วมกันสืบค้นข้อมูลจากแหล่งการเรียนรู้เพิ่มเติม เช่น อินเทอร์เน็ต หรือ หนังสอื ชีววิทยาเลม่ 1 หน่วย 2 การสังเคราะหข์ องแสง เพอ่ื ตอบค้าถามโดยมีคา้ ถามดงั นี 1) นักวิทยาศาสตรไ์ ด้ศกึ ษาคน้ คว้าเกีย่ วกบั กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงอย่างไร แนวตอบ ทดลองปลูกต้นไม้ในสภาวะต่าง ๆ โดยศึกษาผลลัพธ์ที่เกิดขึนจากน้าหนักของต้นไม้ การด้ารงอยู่ได้ของส่ิงมีชีวติ เช่น หนู รวมทังผลิตภัณฑท์ ี่เกิดขึนจากสภาพแวดล้อมท่ีแตกต่างกัน เชน่ นา้ แสง 2.2 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 8 กลุ่ม จากนันส่งตัวแทนกลุ่มมาจับสลากหมายเลข 1-8 โดยแต่ละ หมายเลขให้นักเรียนแต่ละกลุม่ ศึกษา ดังนี หมายเลข 1 ศึกษาการทดลองของ ฌอง แบบติสท์ แวน เฮลมองท์ (Jean Baptiste van Helmont) หมายเลข 2 ศึกษาการทดลองของ โจเซฟ พรสิ ตล์ ีย์ (Joseph Priestley) หมายเลข 3 ศึกษาการทดลองของ แจน อินเก็น ฮูซ (Jan IngenHousz) หมายเลข 4 ศึกษาการทดลองของ นโิ คลาส ธีโอดอร์ เดอ โซซูร์ (Nicolas Theodore de Soussure) หมายเลข 5 ศึกษาการทดลองของ จูเลียส ซาส (Julius Sachs) หมายเลข 6 ศกึ ษาการทดลองของ แวน นลี (Van Niel) หมายเลข 7 ศกึ ษาการทดลองของ โรบิน ฮิลล์ (Robin Hill) หมายเลข 8 ศกึ ษาการทดลองของ แดเนยี ล อารน์ อน (Daniel Arnon) 2.3 ครูก้าหนดเวลาให้นักเรียน 20 นาที จากนันให้นักเรียนแต่ละกลุ่มบันทึกข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นลงใน กระดาษ A4 พร้อมนา้ เสนอขอ้ มลู ในรปู แบบท่ีน่าสนใจหน้าชนั เรยี น

๒๐๓ ข้นั ที่ 3 อธบิ ายความรู้ 3.1 ให้นักเรียนกลุ่มที่จับได้หมายเลข 1-4 ออกมาน้าเสนอข้อมูลตามสลากตามหมายเลขท่ีกลุ่มของตนเอง ได้รับ โดยอาจน้าเสนอในรูปของแผนผงั มโนทศั น์ แผ่นพบั รายงาน หรือแสดงขอ้ มูลบนแผ่นฟวิ เจอรบ์ อร์ด 3.2 ใหน้ กั เรียนที่น่ังอย่ภู ายในห้องเรยี นเลอื กการทดลองที่ตนเองสนใจ แล้วเขียนคา้ ถามลงในสมดุ บนั ทกึ ของ ตนเอง อย่างนอ้ ย 2 ค้าถาม โดยการทดลองทนี่ กั เรียนสนใจอาจมมี ากกวา่ 2 การทดลอง 3.3 ครสู ุ่มตวั แทนนกั เรยี นโดยจบั สลากเรียกเลขท่ีของนกั เรยี นประมาณ 10 คน 3.4 ให้ตัวแทนนักเรียนยืนขึน แล้วระบุว่าตนเองสนใจการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ท่านใด จากนันอ่าน ค้าถามของตนเอง 3.5 ครูสมุ่ เรยี กสมาชิกภายในกลมุ่ ท่ีศึกษาการทดลองที่ตัวแทนนักเรียนสนใจตอบค้าถามและอธิบาย ค้าตอบ ใหเ้ พือ่ นฟัง 3.6 ครพู จิ ารณาและเพิม่ เติมคา้ ตอบของนักเรียนให้สมบูรณ์ขนึ 3.7 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม ตามความสมัครใจ กลุ่มละ 3-4 คน ท้าใบงาน เรื่อง การศึกษาท่ีเก่ียวกับการ สังเคราะห์ดว้ ยแสง 3.8 ให้นักเรียนนักเรียนจับกลุ่มเดิม จากนันให้นักเรียนสืบค้นจากแหล่งการเรียนรเู้ พ่ิมเติมเกี่ยวกบั ปฏกิ ิริยารี ดอกซ์ (Redox reaction) ซึง่ เกย่ี วขอ้ งกับกระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง โดยครูอาจ เขียนคา้ ศัพทต์ ่อไปนีบน กระดาน แลว้ ให้นกั เรียนเขียนความหมายของค้าศัพทบ์ นกระดานลงในสมุดบันทึก - Redox (ปฏิกิรยิ ารีดอกซ์) - Oxidation (ปฏกิ ริ ยิ าออกซิเดชนั ) - Reduction (ปฏกิ ริ ิยารีดกั ชนั ) - ตัว Oxidize - ตัว Reduce 3.9 ครูยกตัวอย่างปฏิกิริยาท่ีเกี่ยวข้องกับการทดลองการสังเคราะห์ด้วยแสง แล้วให้นักเรียนตอบค้าถาม ตัวอย่าง เชน่ 1) Fe3++ e- Fe2+ เป็นปฏิกริ ิยาชนิดใด และ Fe3+ เรียกว่าอะไร แนวตอบ Reduction เรยี ก Fe3+ วา่ ตัวออกซิไดซ์ 2) NADP++ H2O  NADPH + H+ + O2 เรยี ก NADP+และ H2O วา่ อะไร แนวตอบ เรยี ก NADP+ วา่ ตัวออกซิไดซ์ และ H2O เปน็ ตัวรดี ิวซ์ ขัน้ ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ 4.1 ครูสมุ่ ตัวแทนกลุ่มให้ออกมาน้าเสนอใบงานหนา้ ชันเรียน 4.2 นักเรยี นและครูร่วมกันอภิปรายผลจากการทา้ ใบงานในประเด็นดงั ต่อไปนี 1) นักวิทยาศาสตร์ท่ีทดลองการสังเคราะห์ของแสงท่ีได้ข้อสรุปว่า “พืชท้าให้อากาศเสยเปลี่ยนเป็น อากาศดีได้ส้าเร็จก็ต่อเมื่อมีแสงและพชื เปล่ียนคารบ์ อนไดออกไซด์เปน็ สารอินทรีย์” คือแจน อิน เกน็ ฮซู 2) ฌอง แบบติสท์ แวน เฮลมองทไ์ ด้ทา้ การทดลองการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงโดยการปลูกตน้ หลิว แล้ว ไดข้ อ้ สรุปว่า “น้าหนกั ของต้นหลิวทีเ่ พิม่ ขึนได้มาจากน้าเพยี งอย่างเดยี ว” 4.3 ให้นักเรียนท้าแผ่นพับสรุปเกี่ยวกับการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในอดีตที่เก่ียวข้องกับกระบวนการ สงั เคราะห์ดว้ ยแสง

๒๐๔ 4.4 ใหน้ กั เรยี นสรุปสาระสา้ คญั และเสนอความคิดเห็นว่าผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในอดีตที่เก่ียวข้อง กับกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงมีส่วนสนับสนุนข้อเท็จจริงของกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงในปัจจุบัน อยา่ งไร 4.5 ใหน้ ักเรียนนา้ ความร้ทู ไี่ ด้จากการศึกษาเนอื หามาตอบค้าถามลงในสมุดบันทกึ โดยมแี นวตอบ ดังนี 1) จากการทดลองของ ฌอง แบบติสท์ แวน เฮลมองท์ (Jean Baptiste van Helmont) ท้าไม ต้องปิดฝาเฉพาะเวลารดนา้ แนวตอบ เพอื่ ควบคุมปริมาณดนิ ไม่ให้สูญหายโดยวธิ ีอ่นื ๆ เชน่ ลมพัด สัตว์คุ้ยเข่ีย เปน็ ต้น หรือ ป้องกันไมใ่ ห้ใบไม้ หรอื ส่งิ อน่ื ปะปนลงไปในดนิ เพอื่ ใหป้ รมิ าณดินคงที่ ท้าใหส้ รปุ ผลการทดลองได้ ถกู ตอ้ ง 2) การทดลองของนักวิทยาศาสตร์คนใดสามารถระบไุ ด้ว่า แกส๊ ทที่ า้ ใหเ้ ทียนไขดับส่งผลให้หนูตาย และแก๊สทที่ ้าให้หนูตายสง่ ผลใหเ้ ทียนไขดับคือแก๊สชนิดเดียวกัน และเปน็ แกส๊ อะไร แนวตอบ โจเซฟ พริสต์ลีย์ (Joseph Priestley) ได้ท้าการทดลองไว้ว่า แก๊สชนิดเดียวกัน ซึ่ง เป็นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) 4.6 ครถู ามค้าถามเพ่ือทดสอบความเข้าใจของนกั เรียนโดยมแี นวค้าถามดังนี 1) สารอนิ ทรยี ท์ ่ีสะสมในสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื มาจากไหน และเป็นสารชนดิ ใด สามารถตรวจสอบได้ อยา่ งไร แนวตอบ มาจากแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ซ่ึงเป็นสารอินทรีย์ประเภทแป้ง สามารถ ตรวจสอบโดยหยดสารละลายไอโอดนี 2) จากการทดลองของนักวทิ ยาศาสตร์หลายทา่ นสามารถสรุปได้หรอื ไม่วา่ แสงเปน็ ปัจจัยส้าคัญตอ่ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง แนวตอบ ได้ เน่ืองจากการทดลองของแจน อนิ เก็น ฮซู (Jan IngenHousz) แสดงใหเ้ ห็นวา่ แสง เป็นปัจจัยส้าคัญของกระบวนสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช หากไม่มีแสง พืชไม่สามารถเปลี่ยน อากาศเสียให้เป็นอากาศดีได้ หรือท้าให้หนูด้ารงชีวิตอยู่ได้ ซ่ึงสนับสนุนการทดลองของโจเซฟ พริสต์ลีย์ (Joseph Priestley) และการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ท่านอื่นต่อมาจนกระทั่ง ปจั จุบัน 3) แก๊สออกซเิ จนท่ไี ดจ้ ากการสังเคราะห์ดว้ ยแสงเกดิ ขึนมาจากสารตังตน้ ชนิดใด เพราะเหตุใด แนวตอบ น้า เพราะการทดลองของแวน นีล (Van Niel) แสดงให้เห็นว่าออกซิเจน (Oxygen) อะตอมของแก๊สออกซเิ จน เป็นอะตอมเดยี วกับออกซิเจนอะตอมของน้า 4) ในการทดลองของโรบิน ฮลิ ล์ (Robin Hill) เกลอื เฟอรกิ (Fe3+) เปล่ียนไปเปน็ เกลือเฟอรัส (Fe2+) ได้อย่างไร แนวตอบ ไดร้ บั ไฮโดรเจนอะตอม (Hydrogen atom) ที่แตกตวั ออกมาจากโมเลกุลของนา้ ) 5) ในการทดลองของโรบิน ฮิลล์ (Robin Hill) เกลือเฟอริก (Fe3+) ท่ีเติมลงไปในหลอดทดลองท้า หนา้ ทเี่ หมอื นกบั สารใดในการทดลองของแดเนยี ล อารน์ อน (Daniel Arnon) แนวตอบ NADP+ : Nicotinamide adenine dinucleotide phosphate (NADP) คือ นิโคตร นาไมดอ์ ะดนี ีนไดนวิ คลีโอไตดฟ์ อสเฟต เป็นสารอนิ ทรยี ์ชนดิ หนึ่ง ทา้ หน้าท่ีเปน็ ตวั รบั ไฮโดรเจน ในกระบวนการสงั เคราะห์แสงซึง่ เมื่อรบั ไฮโดรเจนแลว้ จะอยใู่ นรปู ของ NADPH2) 6) จากการทดลองของเองเกลมัน (T.W. Engelmann) ได้ข้อสรุปว่าอยา่ งไร

๒๐๕ แนวตอบ คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) เป็นสารสีที่ท้าหน้าท่ีดูดซับพลังงานแสง เพ่ือใช้ในการ สังเคราะห์อาหาร โดยการทดลองแสดงให้เห็นว่า บริเวณที่มีแบคทีเรียมารวมกลมุ่ คอื บรเิ วณทมี่ ี แกส๊ ออกซิเจน (Oxygen) ซง่ึ ไดจ้ ากการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง 7) จากการทดลองของแดเนยี ล (Daniel Arnon) สาร NADP+ ที่เตมิ ลงไปมีผลต่อการสร้าง ATP (Adenosine triphosphate) และ O2 หรือไม่ อยา่ งไร แนวตอบ มีผลต่อการสร้างออกซิเจน (O2) แต่ไม่มีผลต่อการสังเคราะห์ ATP (Adenosine Triphosphate) 8) จากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ในอดีต ปัจจัยใดบ้างท่ีมีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของ พชื แนวตอบ แสง นา้ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ NADP+ และ ADP + P+ ขัน้ ที่ 5 ประเมนิ ผล 5.1 วิธกี ารวดั และประเมินผล 1. ประเมินจากสมดุ บนั ทึก 2. ประเมินจากใบกิจกรรม 3. ประเมินพฤติกรรมนักเรยี น 5.2 เครอ่ื งมอื วัดและประเมนิ ผล 1. แบบเฉลยรายงานสมดุ บันทกึ 2. แบบประเมินใบกจิ กรรม 3. แบบประเมินพฤติกรรมนกั เรียน 5.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล 1. การประเมนิ จากสมุดบันทึก ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 70 2. การประเมินใบกจิ กรรม ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 80 3. การประเมนิ พฤติกรรมนักเรียน ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 80 11. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้ 11.1 หนังสือเรยี นสาระการเรยี นรชู้ วี วิทยา 3 11.2 เพาเวอรพ์ อยท์ เรือ่ ง การศึกษาเกี่ยวกบั การสังเคราะหด์ ้วยแสง 11.3 ใบกจิ กรรมท่ี 4.1 เรือ่ ง การศึกษาเก่ียวกบั การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง 11.4 สมดุ บนั ทกึ

๒๐๖ 12. หลักฐานการเรยี นรู้และวิธกี ารประเมนิ วธิ ีการวัด เคร่อื งมือวดั เกณฑก์ าร จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (K P A) - ใบกิจกรรม ประเมิน - สมุดบนั ทกึ ผ่านเกณฑ์ ด้านความรู้ (K) - ตรวจใบกิจกรรม รอ้ ยละ 70 - แบบประเมิน ของคะแนน 1. ผู้เรียนสามารถอธิบายและสรุปการทดลองของ - ตรวจสมุดบันทกึ ชนิ งาน ผ่านเกณฑ์ นกั วิทยาศาสตร์ในอดีตทเ่ี ก่ียวข้องกับกระบวนการ - แบบประเมนิ คณุ ภาพระดบั พฤตกิ รรม 2 สังเคราะห์ด้วยแสงได้ ผ่านเกณฑ์ ดา้ นทักษะ (P) - ตรวจผลงาน คุณภาพระดับ 2 1. ผู้เรียนสามารถเปรียบเทียบผลการทดลอง - สังเกตความตังใจ กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงของ และความ รบั ผดิ ชอบในการ ปฏิบัตกิ ิจกรรม ดา้ นเจตคติ (A) - สงั เกตพฤติกรรม 1. ความสนใจ การเรียนรู้ 2. การตรงตอ่ เวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรบั ฟังผู้อืน่ 5. ความรับผดิ ชอบ

๒๐๗ ใบงานที่ 4.1 เรอ่ื ง การคน้ ควา้ ท่เี ก่ยี วข้องกบั กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง คาชี้แจง : ให้นกั เรียนเติมคาตอบใหถ้ ูกตอ้ งและสมบรู ณ์ทส่ี ดุ ............................................................................................................................................................................. ............................... 1.จากการทดลองของแวน เฮลมองทเ์ หตใุ ดจะตอ้ งปิดฝาถังตลอดเวลา จะเปิดเฉพาะตอนรดน้าเทา่ นนั้ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2.จากการทดลองน้ีพริสต์ลีย์ สรุปว่าแก๊สที่ทาใหเ้ ทียนไขดับเป็นแก๊สท่ีทาใหห้ นตู ายและแก๊สท่ีทาใหเ้ ทยี น ไขลุกไหม้เป็นแก๊สที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตของหนู นักเรียนเห็นด้วยกับข้อสรุปของพริสต์ลีย์ หรือไม่ เพราะเหตใุ ด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3.จากการทดลองน้ี พริสต์ลีย์น่าจะต้ังสมมุติฐานว่าอย่างไร ถ้าอากาศที่ทาให้หนูตายและอากาศท่ีทาให้ เทียนไขดับ เรียกว่าอากาศเสีย .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................…………………………………………………………………………………………………… 4.สมมุตฐิ านการทดลองของพริสตน์ ียน์ า่ จะเปน็ อยา่ งไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ................................................................………………………………………………………………………………………………… 5. เหตใุ ดพรสิ ตล์ ียจ์ งึ แบ่งอากาศทไ่ี ด้จากเทยี นไขลกุ ไหมแ้ ละดับแล้ว ออกเป็น 2 สว่ น แลว้ จงึ จดุ เทยี นไข .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ชอ่ื -สกุล.......................................................ชนั้ ................เลขที่...............

๒๐๘ เฉลยใบงานท่ี 4.1 เร่อื ง การคน้ ควา้ ทเี่ ก่ียวข้องกบั กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง คาช้แี จง : ให้นักเรยี นเตมิ คาตอบให้ถูกต้องและสมบรู ณ์ทส่ี ดุ ............................................................................................................................................................................. 1.จากการทดลองของแวน เฮลมองท์เหตใุ ดจะต้องปดิ ฝาถงั ตลอดเวลา จะเปิดเฉพาะตอนรดนา้ เทา่ นัน้ คาตอบ เพื่อควบคุมปริมาณดินเพือ่ มิให้สูญเสียไปโดยวิธีอน่ื ๆ เช่น ลมพัด สัตว์คุ้ยเข่ีย เป็นต้นหรือปอ้ งกัน ใหป้ ริมาณดินคงที่ โดยมิให้ใบไมห้ รอื สิง่ อ่ืนใดปะปนลงไปในดิน ซ่งึ จะทา้ ใหส้ รุปผลการท้าลองไดถ้ ูกต้อง 2.จากการทดลองนี้พริสต์ลีย์ สรุปว่าแก๊สท่ีทาให้เทยี นไขดับเปน็ แก๊สทที่ าให้หนตู ายและแก๊สที่ทาใหเ้ ทียน ไขลุกไหม้เป็นแก๊สที่จาเป็นต่อการดารงชีวิตของหนู นักเรียนเห็นด้วยกับข้อสรุปของพริสต์ลีย์ หรือไม่ เพราะเหตุใด คาตอบ เห็นด้วย เพราะหนูตายทันทีท่ีใส่เข้าไปในครอบแก้วที่เทียนไขดับ แสดงว่าแก๊สท่ีท้าให้เทียนไขดับ เป็นแก๊สทที่ ้าให้หนูตาย 3.จากการทดลองนี้ พริสต์ลีย์น่าจะต้ังสมมุติฐานว่าอย่างไร ถ้าอากาศท่ีทาให้หนูตายและอากาศที่ทาให้ เทียนไขดบั เรยี กวา่ อากาศเสีย คาตอบ ถ้าอากาศทที่ ้าให้หนูตายและอากาศที่ท้าให้เทียนไขดับ เรียกว่าอากาศเสีย ดงั นันอากาศเสียที่ท้าให้ หนตู ายและเทยี นไขดบั นา่ จะเปน็ แก๊สชนิดเดยี วกนั 4.สมมตุ ฐิ านการทดลองของพรสิ ตน์ ียน์ ่าจะเป็นอยา่ งไร คาตอบ พชื ทอี่ ย่ใู นครอบแกว้ จะใหแ้ กส๊ ที่ท้าให้เทยี นไขลกุ ไหมไ้ ด้ 5. เหตุใดพริสต์ลีย์จงึ แบง่ อากาศท่ีได้จากเทยี นไขลุกไหมแ้ ละดบั แล้ว ออกเป็น 2 ส่วน แล้วจึงจุดเทียนไข คาตอบ เพื่อควบคุมตัวแปรให้แน่ใจว่าเทียนไขจะลุกไหม้เมื่อมีพืชอยู่ด้วยเท่านัน ถ้าไม่มีพืชจะสามารถจุด เทียนไขให้ลกุ ไหม้ไม่ได้

๒๐๙ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 16 รายวิชา ชวี วทิ ยา 3 รหสั วิชา ว33243 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 4 การสังเคราะห์ด้วยแสง เวลา 14 ช่วั โมง เรื่อง กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง เวลา 4 ชว่ั โมง ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2564 ครผู สู้ อน นายบญุ รงั จาปา 1. สาระชวี วิทยา สาระที่ 3 เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลย่ี นแกส๊ และคายน้าของพืช การล้าเลียงของพชื การ สังเคราะห์ดว้ ยแสง การสืบพนั ธ์ุของพืชดอกและการเจรญิ เติบโต และการตอบสนองของพชื รวมทงั นา้ ความรู้ ไปใชป้ ระโยชน์ 2. ผลการเรียนรู้ อธบิ ายขันตอนทเี่ กิดขนึ ในกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพชื C3 3. สาระสาคัญ พชื ตอ้ งการแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์และนา้ เป็นวัตถุดบิ ในกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงโดยมีคลอ- โรพลาสตเ์ ปน็ ออแกเนลล์สา้ คญั พบในทกุ เซลล์ของอวยั วะพชื ที่มสี เี ขยี ว กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช สามารถแบง่ ออกได้เป็น 2 ขนั ตอน คือ ปฏิกิริยาแสง (Light reaction) และการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ 4. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 4.1 ดา้ นความรู้ (K) 1. ผู้เรียนสามารถอธบิ ายโครงสร้างของใบพืช C3 และ C4 ได้ 4.2 ดา้ นทักษะกระบวนการ (P) 1. ผเู้ รียนสามารถเปรยี บเทียบกลไกการตรงึ แก๊สคาร์บอนไดออกไซดไ์ ด้ 4.3 ด้านคุณลกั ษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงตอ่ เวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรับฟงั ผอู้ ื่น 5. ความรับผดิ ชอบ 5. สาระการเรียนรู้แกนกลาง - กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสงมี 2 ขันตอน คือ ปฏกิ ิริยาแสง และการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ - ปฏิกิริยาแสงเป็นปฏิกิริยาท่ีเปล่ียนพลังงานแสงเป็นพลังงานเคมี โดยแสงออกซิไดซ์โมเลกุลสารสที ่ี ไทลาคอยด์ของคลอโรพลาสต์ ท้าให้เกิดการถ่ายทอดอิเล็กตรอน ได้ผลิตภัณฑ์เป็น ATP และ NADPH+ H+ ในสโตรมาของคลอโรพลาสต์ - การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ เกิดในสโตรมา โดยใช้ RuBP และเอนไซม์รูบสิ โก ได้สารทปี่ ระกอบด้วย คาร์บอน 3 อะตอม คือ PGA โดยใช้ ATP และ NADPH ท่ีได้จากปฏิกิริยาแสงไปรดี ิวซส์ ารประกอบคาร์บอน 3 อะตอม ได้เป็นนา้ ตาลท่ีมีคาร์บอน 3 อะตอม คอื PGAL ซงึ่ ส่วนหนึง่ จะถกู นา้ ไปสรา้ ง RuBP กลับคนื เปน็ วัฏ จกั รโดยพืช C3 จะมีการตรงึ คาร์บอนไดออกไซดด์ ้วยวฏั จกั รคลั วนิ เพยี งอยา่ งเดยี ว

๒๑๐ 6. ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (Attitude) คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขันพนื ฐาน พทุ ธศักราช 2551  รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์  อยู่อย่างพอเพียง  ซ่อื สัตยส์ ุจริต  มุ่งมนั่ ในการทา้ งาน  มวี ินยั  รกั ความเปน็ ไทย  ใฝเ่ รียนรู้  มีจิตสาธารณะ 7. คณุ ลักษณะของผู้เรยี น ตามหลกั สูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล  เป็นเลศิ วชิ าการ  ส่อื สารสองภาษา  ล้าหนา้ ทางความคดิ  ผลิตงานอยา่ งสร้างสรรค์  รว่ มกนั รับผดิ ชอบตอ่ สงั คมโลก 8. ด้านการ อ่าน คดิ วเิ คราะหแ์ ละเขียน  การอ่าน : อ่านเอกสารใบความรู้ เรอื่ ง กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช  การคิดวเิ คราะห์ : คิดวเิ คราะห์ขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากการอา่ นใบความรู้  การเขียน : เขียนสรุป เรอ่ื ง กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพชื 9. ด้านสมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น  ความสามารถในการสอื่ สาร : แสดงความคิดเห็น และสามารถอธิบาย  ความสามารถในการคดิ : มีความสามารถในการวเิ คราะห์ แกป้ ญั หาเฉพาะหน้า  ความสามารถในการแกป้ ัญหา : นักเรยี นสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหนา้ ได้เมื่อพบปญั หา  ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ : ท้างานร่วมกบั ผอู้ ่นื ได้ดี  ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี : สามารถใชเ้ ทคโนโลยีสืบคน้ ข้อมลู 10. กจิ กรรมการเรียนรู้ (5E) ขนั้ ท่ี 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ 1.1ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียน โดยการทบทวนความรู้เดิม เรื่อง โครงสร้างคลอโรพลาสต์ จากนันน้า การส่มุ เลขที่นกั เรยี น จา้ นวน 2-3 คน เพอ่ื ตอบค้าถาม โดยมคี า้ ถามดงั นี 1) คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) มเี ยือ่ ห้มุ กช่ี ัน แนวตอบ มี 2 ชัน คือ เยื่อหุ้มชันใน (Inner membrane) และเยื่อหุ้มชันนอก (Outer Membrane) 2) คลอโรพลาสต์ (Chloroplast) สว่ นมากพบมากทสี่ ว่ นประกอบใดของพืช แนวตอบ ใบ (Leaf) 3) ปฏิกริ ิยาแสง (Light reaction) เกดิ ขึนทบี่ ริเวณใดในคลอโรพลาสต์ (Chloroplast) แนวตอบ เยื่อหุ้มไทลาคอยด์ (Thylakoid) 4) การตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxidefixation) เกิดขึนที่บริเวณใดในคลอโรพลาสต์ (Chloroplast) แนวตอบ สโตรมา (Stroma 1.2 ใหน้ ักเรยี นแบง่ กลมุ่ ออกเป็น 4 กลมุ่ โดยครใู หน้ กั เรียนนับเลข 1-4 เรยี งตอ่ กนั 1) นกั เรยี นที่นบั ไดห้ มายเลข 1 คอื กลุม่ ท่ี 1 2) นกั เรียนที่นบั ไดห้ มายเลข 2 คอื กลมุ่ ที่ 2 3) นักเรยี นทน่ี บั ไดห้ มายเลข 3 คือ กลุ่มท่ี 3 4) นักเรยี นท่นี ับได้หมายเลข 4 คอื กลมุ่ ที่ 4

๒๑๑ ขน้ั ที่ 2 สารวจคน้ หา 2.1 ให้นกั เรยี นรวมกลมุ่ ของตนเอง ร่วมกนั สืบคน้ ข้อมลู เกี่ยวกับปฏกิ ิรยิ าแสง เพอ่ื ตอบคา้ ถามดังนี 1) ใหก้ ลุ่มที่ 1 ตอบคา้ ถาม : แอนเทนนา (Antenna) คืออะไร มหี นา้ ที่สา้ คญั อย่างไร แนวตอบ กลุ่มของสารสี ทา้ หน้าทร่ี บั และสง่ พลังงานแสง 2) ให้กลมุ่ ท่ี 2 ตอบคา้ ถาม : จงอธบิ ายการส่งตอ่ อิเล็กตรอนของโมเลกุลสารสไี ปยงั โมเลกุลพิเศษ แนวตอบ เม่ือแสงมากระทบกับโมเลกุลของสารสี สารสีจะดูดกลืนแสงส่งผลให้ อิเล็กตรอน เคล่ือนที่จากสถานะพืนไปยังสถานะกระตุ้น ส่งผลให้โมเลกุลสารสีที่อยู่ ขา้ งเคียงเกิดการส่งตอ่ อิเลก็ ตรอนตอ่ เน่อื งไปยงั โมเลกลุ สารสพี ิเศษ 3) ใหก้ ล่มุ ท่ี 3 ตอบคา้ ถาม : สารสีมีบทในกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสงอยา่ งไร แนวตอบ สารสีท้าหน้าทด่ี ดู กลืนแสง ซ่งึ ส้าคัญตอ่ การเกดิ ปฏิกริ ยิ าแสง (Light reaction) 4) ใหก้ ลุม่ ที่ 4 ตอบค้าถาม : หากไม่มีสารสจี ะสง่ ผลตอ่ กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงอย่างไร แนวตอบ ไม่มีพลังงานเคมีท่ีใช้กระตุ้นกระบวนการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ใน บรรยากาศ ทา้ ให้ พืชไม่สามารถผลิตพลงั งานได้ 2.2 ให้นักเรียนศึกษาข้อมูลเก่ียวกับการเปลี่ยนแปลงระดับของอิเล็กตรอนเม่ือมีการเปลี่ยนแปลงพลังงาน จากหนงั สือเรยี นชวี วิทยา ม.5 เล่ม 1 2.3 ครูแจกใบงาน เรื่อง กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสืบค้นข้อมูลเพ่ือ ท้าใบงาน 2.4 ครมู อบหมายให้นกั เรยี นทกุ กลุ่มทา้ ใบงาน โดยใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาหวั ขอ้ ดังนี 1) ใหก้ ลมุ่ ท่ี 1 และ 2 ศึกษา เรอ่ื ง การถ่ายทอดอเิ ลก็ ตรอนแบบไมเ่ ปน็ วัฏจกั ร 2) ให้กลุ่มท่ี 3 และ 4 ศึกษา เร่ือง การถา่ ยทอดอเิ ลก็ ตรอนแบบเปน็ วฏั จักร 2.5 ให้นกั เรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันศกึ ษาสารประกอบโปรตนี เชิงซอ้ นซง่ึ ท้าหน้าท่ีรับส่งอเิ ล็กตรอน แล้วรว่ มกัน สรุปลงในสมดุ บนั ทกึ ขน้ั ท่ี 3 อธิบายความรู้ 3.1 ครูน้ารูปภาพ หรือเปิดภาพจาก PowerPoint Presentation เร่ือง โปรตีนท่ีเรียงตัวอยู่บนเยื่อหุ้มไทลา คอยด์ (Thylakoid) ตามภาพตวั อยา่ ง ดังนี 3 . 2 ค รู สุ่ ม ตัวแทนนักเรียน 6 คน ตอบค้าถามช่ือโปรตีนหมายเลข 1-6 ซ่ึงจัดเรียงตัวอยู่บนเยื่อหุ้มไทลาคอยด์ (Thylakoid) 3.3 นักเรยี นและครรู ว่ มกันอภิปรายผลจากการท้ากจิ กรรมและการท้าใบงานภายในห้องเรยี น 3.4 ครสู มุ่ เรียกนกั เรียน 3-4 คน ออกมาสรปุ ขันตอนการถา่ ยทอดอิเล็กตรอนแบบไมเ่ ปน็ วัฏจักร

๒๑๒ 3.5 ครูถามคา้ ถามเพ่ือทดสอบความเข้าใจของนกั เรียน ดงั นี 1) ผลิตภณั ฑ์ท่ีไดจ้ ากขันตอนการถ่ายทอดอิเลก็ ตรอนแบบไมเ่ ปน็ วัฏจักรคืออะไร แ น ว ต อ บ NADPH ( Nicotinamide adenine dinucleotide phosphate) แ ล ะ ATP (Adenosine triphosphate) 2) ผลิตภณั ฑ์ท่ไี ด้จากขันตอนการถา่ ยทอดอเิ ลก็ ตรอนแบบเป็นวฏั จกั รคืออะไร แนวตอบ ATP (Adenosine triphosphate) 3) โปรตนี ตวั รับอิเล็กตรอนชนิดใดมผี ลต่อรปู แบบการถา่ ยทอดอเิ ลก็ ตรอนในปฏกิ ริ ยิ าแสง แนวตอบ เฟอริดอกซนิ (Ferredoxin) 4) โปรตีนตัวรบั อเิ ล็กตรอนชนดิ ใดทา้ หน้าท่สี ังเคราะหพ์ ลังงาน ATP แนวตอบ ไซโทโครมคอมเพลก็ ซ์ (Cytochrome complex) 3.6 ให้นักเรียน สืบค้นข้อมูลการทดลองของ เมลวิน คัลวิน (Melvin Calvin) และแอนดรู เอเบนสัน (AndrewA.Benson) จากแหลง่ การเรียนรู้ทางอนิ เทอรเ์ น็ต หอ้ งสมดุ หรือ หนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 1 3.7 ใหน้ ักเรียนสรปุ ยอ่ ผลการทดลองของเมลวิน คลั วนิ (Melvin Calvin) และ แอนดรู เอ เบนสัน (Andrew A.Benson) ลงในกระดาษ A4 เพ่ือเป็นชนิ งานสง่ ทา้ ยชวั่ โมง 3.8 ใหน้ กั เรียนแบง่ กล่มุ กลมุ่ ละ 3 คน โดยให้สมาชกิ ภายในกลมุ่ สบื คน้ ขอ้ มูล ดังนี 1) สมาชิกคนท่ี 1 ศึกษา เรอื่ ง ปฏิกริ ยิ าทีเ่ กิดขึนในขนั คารบ์ อกซิเลชนั (Carboxylation) 2) สมาชกิ คนที่ 2 ศึกษา เร่ือง ปฏิกริ ยิ าทเ่ี กดิ ขึนในขนั รดี กั ชนั (Reduction) 3) สมาชกิ คนที่ 3 ศกึ ษา เรอ่ื ง ปฏิกริ ิยาท่เี กิดขึนในขนั รีเจเนอเรชนั (Regeneration) 3.9 ให้นักเรียนจดบันทึกค้าศัพท์ เพื่อศึกษาและหาความหมายเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องกับกระบวนการ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง แล้วบันทึกลงในสมดุ บันทกึ 1) Carboxylation (คารบ์ อกซิเลชนั ) 2) Reduction (รดี ักชัน) 3) Regeneration (รีเจเนอเรชัน) 4) Photorespiration (โฟโตเรสไพเรชนั ) 3.10 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 4 กลุ่ม ตามความสมัครใจ จากนันให้ตัวแทนกลุ่มจับสลากเพื่อร่วม ตอบคา้ ถาม 3.11 ครอู า่ นคา้ ถาม และเฉลยค้าตอบ โดยมคี า้ ถาม ดังนี 1) คา้ ถามข้อที่ 1 : หากในบรรยากาศจา้ ลองทีห่ นงึ่ มีคาร์บอนไดออกไซด์ 38 โมเลกุล พชื A จะผลติ นา้ ตาลไดก้ ่ีโมเลกลุ 2) คา้ ถามข้อที่ 2 : ในการผลิตน้าตาล 3 โมเลกุล ของพืชชนดิ หนง่ึ จะตอ้ งใช้พลงั งานก่ี ATP 3) คา้ ถามขอ้ ที่ 3 : RuBP และ RuBisCo คืออะไร และแตกต่างกนั อยา่ งไร 4) คา้ ถามข้อที่ 4 : หากในวันหนึ่งปริมาณออกซเิ จนในบรรยากาศมีมากกวา่ แก๊ส คารบ์ อนไดออกไซด์(CO2) จะส่งผลอย่างไร เพราะเหตใุ ด

๒๑๓ ขน้ั ท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้ 4.1 ครูถามคา้ ถามแลว้ ใหน้ กั เรยี นยกมอื ตอบคา้ ถามต่อไปนี 1) เม่ือออกซิเจน (Oxygen) และคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide) จับ RuBP จะให้ PGA กี่ โมเลกลุ ตามลา้ ดับ 2) นักเรียนคดิ วา่ โฟโตเรสไพเรชนั (Photorespiration) มปี ระโยชนก์ ับพืชอยา่ งไร 3) สารอินทรีย์ที่เกิดขึนจากกระบวนการโฟโตเรสเรชัน (Photorespiration) จะถูกเปลี่ยนเป็น คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide) โดยผา่ นออร์แกเนลล์ (Organelle) ใดบ้าง 4.2 ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกันอภิปรายคา้ ตอบ โดยมีแนวตอบของแต่ละขอ้ ตอ่ ไปนี 1) ปฏิกิริยาแสง (Light reaction) คืออะไรและเกดิ ขนึ ท่ีใด แนวตอบ คือ ปฏิกิริยาท่ีพืชดูดกลืนแสงไวใ้ นคลอโรพลาสต์ (Chloroplast) และเปลี่ยนพลงั งาน แสงให้เป็นพลังงานเคมี 2) ในปฏิกิริยาแสง (Light reaction) การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร (Cyclic electron Transfer) และไม่เปน็ วฏั จกั ร (Non-Cyclic electron transfer) แตกต่างกันหรือไมอ่ ย่างไร แนวตอบ แตกต่างกัน การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร จักร (Cyclic electron Transfer) ให้พลังงานเพียง ATP (Adenosine triphosphate) แต่การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบ ไมเ่ ปน็ วัฏจักร (Non-Cyclic electron transfer) ให้พลงั งาน ATP และ NADPH 3) กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสงมีกี่ขนั ตอน แตล่ ะขนั ตอนเกดิ ขนึ ที่ใด แนวตอบ 2 ขันตอน คือ ปฏิกิริยาแสง (Light reaction) เกิดขึนท่ีเย่ือหุ้มไทลาคอยด์ (Thylakoid) และการตรึงแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide fixaion) เกิดขึนท่ีสโตรมา (Stroma) 4) เอนไซมช์ นิดใดมผี ลตอ่ การตรงึ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นอากาศ แนวตอบ เอนไซม์รบู สิ โก (Rubisco) 5) ในวัฏจกั รคัลวนิ (Calvin cycle) สารประกอบคารบ์ อนที่เสถียรตัวแรกคอื อะไร เกดิ ขนึ ในขนั ตอนใด แนวตอบ ฟอสโฟกลเี ซอเรต (Phosphoglycerate) หรือ PGA ข้ันท่ี 5 ประเมินผล 5.1 วธิ ีการวัดและประเมินผล 1. ประเมินจากสมดุ บันทึก 2. ประเมนิ จากใบกิจกรรม 3. ประเมนิ พฤตกิ รรมนกั เรยี น 5.2 เครอื่ งมอื วดั และประเมินผล 1. แบบเฉลยรายงานสมุดบนั ทกึ 2. แบบประเมินใบกจิ กรรม 3. แบบประเมินพฤติกรรมนกั เรียน 5.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล 1. การประเมินจากสมุดบนั ทกึ ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 70 2. การประเมินใบกิจกรรม ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 3. การประเมนิ พฤติกรรมนกั เรียน ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 80

๒๑๔ 11. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้ 11.1 หนังสอื เรยี นสาระการเรยี นรชู้ วี วิทยา 3 11.2 เพาเวอร์พอยท์ เร่ือง กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง 11.3 ใบกจิ กรรมที่ 4.2 เรอ่ื ง กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง 11.4 สมดุ บนั ทกึ 12. หลักฐานการเรียนร้แู ละวิธกี ารประเมิน วิธกี ารวัด เคร่ืองมอื วัด เกณฑก์ าร จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (K P A) ประเมนิ - ใบกจิ กรรม ด้านความรู้ (K) - ตรวจใบกิจกรรม - สมุดบนั ทกึ ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 1. ผู้เรยี นสามารถอธบิ ายโครงสรา้ งของใบพชื C3 - ตรวจสมุดบันทึก ของคะแนน และ C4 ได้ ด้านทักษะ (P) - ตรวจผลงาน - แบบประเมนิ ผ่านเกณฑ์ 1. ผู้เรียนสามารถเปรียบเทยี บกลไกการตรงึ แก๊ส - สงั เกตความตงั ใจ ชนิ งาน คณุ ภาพระดบั คารบ์ อนไดออกไซดไ์ ด้ และความ 2 รบั ผิดชอบในการ - แบบประเมนิ ด้านเจตคติ (A) ปฏิบตั ิกจิ กรรม พฤติกรรม ผา่ นเกณฑ์ 1. ความสนใจ คุณภาพระดับ 2. การตรงตอ่ เวลา - สังเกตพฤติกรรม 2 3. การตอบค้าถาม การเรียนรู้ 4. การยอมรบั ฟังผูอ้ ่ืน 5. ความรับผิดชอบ

ชอื่ – สกลุ ................................................................ ๒๑๕ ชัน...............เลขท.ี่ .......... ใบงานท่ี 4.2.1 เรือ่ ง โครงสร้างของคลอโรพลาส, สารสแี ละปฏกิ ิรยิ าแสง คาชแ้ี จง : ตอบคาถามต่อไปนีใ้ หถ้ กู ตอ้ ง 1. รงควัตถสุ ตี ่างๆ พบได้ที่ บริเวณใด.................................................................................................................... 2. บรเิ วณใดที่ท้าหนา้ ทใ่ี นการดูดและเกบ็ พลงั งานแสง........................................................................................ 3. คลอโรฟิลล์ ชนดิ ใดท่ีท้าหนา้ ท่ีในการดดู แสงไดด้ ีที่สดุ ...................................................................................... 4. รงควตั ถุ คือ อะไร............................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................................. 5. ภายในไทลาคอยด์มีถงุ บรรจขุ องเหลวอย่ภู ายในเรียกถุงนนั เรยี กวา่ อะไร........................................................ .............................................................................................................................................................................. 6. Stomalamella ทา้ หน้าทใ่ี ด .............................................................................................................................................................................. 7. ทา้ ไมใบพชื เวลาท่ีใกลร้ ว่ งหลน่ จงึ เปน็ สีเหลอื ง.................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 8. รงควัตถุ แบง่ เป็นกี่ชนิด อะไรบา้ ง.................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................. 9. คลอโรฟิลล์ เอ สามารถดดู กลืนแสงได้ดใี นชว่ งความยาวคลืน่ ท่เี ท่าไร............................................................. 10. แบคเทอริโอคลอโรฟิลลส์ ามารถพบไดใ้ นกลมุ่ สงิ่ มีชวี ติ ใด............................................................................. 11. แคโรทนิ อยด์ เป็นสารสีทส่ี ารประกอบประเภทใด และเปน็ สารสใี ด............................................................. .............................................................................................................................................................................. 12. ระบบแสง I รับพลังงานแสงได้ดีที่สุดท่ีความยาวคลื่นท่ีช่วงใด และมีรงควัตถุชนิดใดเป็นศูนย์กลางของ ปฏกิ ริ ยิ า................................................................................................................................................................ 13. ปฏิกิริยาแสงเกิดขึนทโี่ ครงสร้างใดของคลอโรพลาส...................................................................................... 14. เอนไซมท์ ช่ี ่วยในการสร้าง ATP คอื เอนไซมช์ นิดใด...................................................................................... 15. โครงสรา้ งท่มี ลี ักษณะคลา้ ยเหรยี ญวางซ้อนกนั โครงสร้างนนั เรียกว่า............................................................ 16. จากปฏกิ ริ ยิ าแสงนา้ พลังงานแสงมาสรา้ งพลังงานเคมใี นรูปใดบ้าง................................................................

๒๑๖ ใบงาน 4.2.2 เร่อื ง ปฏิกริ ิยาแสง ให้นกั เรียนเปรยี บเทียบการถา่ ยทอดอเิ ล็กตรอนแบบเปน็ วัฏจกั รและไมเ่ ป็นวัฏจักร สิ่งเปรียบเทยี บ ถ่ายทอดอิเล็กตรอน การถ่ายทอดอเิ ลก็ ตรอน แบบเป็นวัฏจักร แบบไมเ่ ปน็ วฏั จกั ร ระบบแสง ความยาวคลื่นแสง ปฏกิ ิริยา Photooxidation ปฏกิ ริ ยิ า Oxidativephotophosphoralation ออกซิเจน ATP NADPH

๒๑๗ แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 17 รายวชิ า ชีววิทยา 3 รหสั วิชา ว33243 กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 4 การสังเคราะห์ด้วยแสง เวลา 14 ชัว่ โมง เร่อื ง โฟโตเรสไพเรชัน เวลา 1 ชั่วโมง ช้นั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2564 ครผู ้สู อน นายบญุ รงั จาปา 1. สาระชวี วิทยา สาระท่ี 3 เขา้ ใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปล่ยี นแก๊สและคายน้าของพชื การล้าเลียงของพชื การ สังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพนั ธุ์ของพืชดอกและการเจริญเตบิ โต และการตอบสนองของพืช รวมทงั นา้ ความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรยี นรู้ อธิบายขันตอนที่เกดิ ขึนในกระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสงของพชื C3 3. สาระสาคญั พชื ต้องการแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และนา้ เป็นวัตถุดิบในกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสงโดยมีคลอ- โรพลาสตเ์ ป็นออแกเนลลส์ า้ คัญพบในทกุ เซลล์ของอวยั วะพชื ทม่ี ีสีเขยี ว กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพชื สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 2 ขันตอน คือ ปฏกิ ริ ิยาแสง (Light reaction) และการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ 4. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 4.1 ด้านความรู้ (K) 1. ผู้เรยี นสามารถอธบิ ายโครงสรา้ งของใบพืช C3 และ C4 ได้ 4.2 ดา้ นทักษะกระบวนการ (P) 1. ผู้เรยี นสามารถเปรียบเทียบกลไกการตรงึ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซดไ์ ด้ 4.3 ดา้ นคณุ ลักษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงต่อเวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรับฟงั ผอู้ น่ื 5. ความรับผดิ ชอบ 5. สาระการเรยี นรู้แกนกลาง - กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงมี 2 ขันตอน คอื ปฏกิ ริ ิยาแสง และการตรงึ คารบ์ อนไดออกไซด์ - ปฏิกิริยาแสงเป็นปฏิกิรยิ าท่ีเปล่ียนพลังงานแสงเป็นพลังงานเคมี โดยแสงออกซิไดซ์โมเลกุลสารสีที่ ไทลาคอยด์ของคลอโรพลาสต์ ท้าให้เกิดการถ่ายทอดอิเล็กตรอน ได้ผลิตภัณฑ์เป็น ATP และ NADPH+ H+ ในสโตรมาของคลอโรพลาสต์ - การตรึงคารบ์ อนไดออกไซด์ เกดิ ในสโตรมา โดยใช้ RuBP และเอนไซม์รูบิสโก ได้สารทีป่ ระกอบด้วย คาร์บอน 3 อะตอม คือ PGA โดยใช้ ATP และ NADPH ที่ได้จากปฏิกิริยาแสงไปรดี ิวซ์สารประกอบคารบ์ อน

๒๑๘ 3 อะตอม ไดเ้ ป็นน้าตาลที่มคี าร์บอน 3 อะตอม คือ PGAL ซ่งึ ส่วนหนึง่ จะถกู น้าไปสร้าง RuBP กลบั คนื เปน็ วัฏ จกั รโดยพชื C3 จะมกี ารตรงึ คาร์บอนไดออกไซดด์ ้วยวัฏจักรคัลวนิ เพยี งอยา่ งเดียว 6. ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (Attitude) คุณลกั ษณะอนั พึงประสงคต์ ามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั พนื ฐาน พทุ ธศักราช 2551  รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์  อยู่อย่างพอเพียง  ซ่อื สตั ย์สุจรติ  มงุ่ ม่ันในการทา้ งาน  มวี นิ ยั  รกั ความเป็นไทย  ใฝ่เรียนรู้  มีจิตสาธารณะ 7. คณุ ลกั ษณะของผเู้ รยี น ตามหลักสูตรโรงเรยี นมาตรฐานสากล  เป็นเลศิ วิชาการ  สื่อสารสองภาษา  ล้าหน้าทางความคดิ  ผลิตงานอยา่ งสร้างสรรค์  ร่วมกันรบั ผิดชอบตอ่ สงั คมโลก 8. ด้านการ อ่าน คดิ วิเคราะหแ์ ละเขียน  การอ่าน : อา่ นเอกสารใบความรู้ เรื่อง กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื  การคดิ วเิ คราะห์ : คิดวเิ คราะหข์ ้อมูลทไ่ี ด้จากการอ่านใบความรู้  การเขียน : เขยี นสรุป เรอื่ ง กระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงของพืช 9. ด้านสมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น  ความสามารถในการส่อื สาร : แสดงความคิดเหน็ และสามารถอธบิ าย  ความสามารถในการคดิ : มีความสามารถในการวเิ คราะห์ แกป้ ญั หาเฉพาะหน้า  ความสามารถในการแกป้ ัญหา : นกั เรยี นสามารถแกไ้ ขปญั หาเฉพาะหน้าไดเ้ ม่ือพบปญั หา  ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ : ท้างานร่วมกบั ผ้อู ่นื ไดด้ ี  ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี : สามารถใชเ้ ทคโนโลยสี ืบคน้ ขอ้ มลู 10. กิจกรรมการเรียนรู้ (5E) ขนั้ ท่ี 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ 1.1 ครทู บทวนความรู้เกย่ี วกบั เอนไซมร์ ูบิสโก (Rubisco) ว่าเป็นเอนไซม์ทีส่ ามารถจบั กบั ออกซิเจน (Oxygen) และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้ ดังนันออกซิเจนในบรรยากาศจึงสามารถแยง่ จับกับเอนไซม์รูบิสโกได้ จากนันครูตังค้าถามเพื่อระดมความคิดของนักเรียนต่อว่า “หากออกซิเจนจับกับเอนไซม์รูบิสโก จะเป็น อยา่ งไร” ข้นั ท่ี 2 สารวจค้นหา 2.1 ให้นักเรียนสืบค้นกระบวนการเกิดโฟโตเรสไพเรชัน (Photorespiration) แล้วสรุปลงในสมุดบันทึกของ ตนเอง 2.2 ให้นักเรียนจับคู่กับเพ่ือนแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นแล้วท้าผังสรุปเร่ือง โฟโตเรสไพเรชัน (Photorespiration) พรอ้ มนา้ เสนอในรปู แบบที่สวยงาม ขั้นท่ี 3 อธบิ ายความรู้ 3.1 ครสู ุ่มตัวแทนออกมา 4-5 คู่ ออกมานา้ เสนอผังสรุป 3.2 ครูเพิ่มเติมขอ้ มลู ทน่ี กั เรียนออกมาน้าเสนอ 3.3 ครูน้าภาพมาให้นักเรียนเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ท่ีเกิดขึนจากการจับแก๊สออกซิเจน (Oxygen) และแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) โดยมภี าพ ดังนี

๒๑๙ 3.4 ครูค้าถามแลว้ ให้นักเรยี นยกมอื ตอบคา้ ถามตอ่ ไปนี 1) เม่ือออกซิเจน (Oxygen) และคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon dioxide) จับ RuBP จะให้ PGA ก่ี โมเลกลุ ตามล้าดบั 2) นกั เรยี นคดิ ว่าโฟโตเรสไพเรชัน (Photorespiration) มีประโยชน์กบั พืชอยา่ งไร 3) สารอินทรีย์ท่ีเกิดขึนจากกระบวนการโฟโตเรสเรชัน (Photorespiration) จะถูกเปล่ียนเป็น คารบ์ อนไดออกไซด์ (Carbon dioxide) โดยผ่านออรแ์ กเนลล์ (Organelle) ใดบ้าง ขนั้ ที่ 4 ข้นั ขยายความรู้ 4.1 ให้นกั เรยี นตรวจสอบความรู้ ความเขา้ ใจในบทเรยี นโดยให้นกั เรยี นตอบค้าถาม ลงในสมดุ บันทกึ 4.2. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั อภปิ รายคา้ ตอบ โดยมีแนวตอบของแต่ละขอ้ ต่อไปนี 1) ปฏกิ ิรยิ าแสง (Light reaction) คอื อะไรและเกดิ ขึนทีใ่ ด แนวตอบ คือ ปฏิกิริยาที่พืชดูดกลืนแสงไว้ในคลอโรพลาสต์ (Chloroplast) และเปลี่ยนพลังงาน แสงใหเ้ ป็นพลงั งานเคมี 2) ในปฏิกิริยาแสง (Light reaction) การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร (Cyclic electron Transfer) และไมเ่ ปน็ วฏั จักร (Non-Cyclic electron transfer) แตกตา่ งกันหรือไม่อยา่ งไร แนวตอบ แตกต่างกัน การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบเป็นวัฏจักร จักร (Cyclic electron Transfer) ให้พลังงานเพียง ATP (Adenosine triphosphate) แต่การถ่ายทอดอิเล็กตรอนแบบ ไมเ่ ปน็ วฏั จกั ร (Non-Cyclic electron transfer) ใหพ้ ลงั งาน ATP และ NADPH) 3) กระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสงมกี ่ขี ันตอน แตล่ ะขนั ตอนเกิดขึนที่ใด แนวตอบ 2 ขันตอน คือ ปฏิกิริยาแสง (Light reaction) เกิดขึนท่ีเยื่อหุ้มไทลาคอยด์ (Thylakoid) และการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide fixaion) เกิดขึนที่สโตรมา (Stroma) 4) เอนไซม์ชนิดใดมผี ลตอ่ การตรงึ คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นอากาศ แนวตอบ เอนไซมร์ บู ิสโก (Rubisco) 5) ในวัฏจกั รคัลวิน (Calvin cycle) สารประกอบคารบ์ อนที่เสถยี รตวั แรกคอื อะไร เกดิ ขึนในขันตอนใด

๒๒๐ แนวตอบ ฟอสโฟกลเี ซอเรต (Phosphoglycerate) หรอื PGA 6) โฟโตเรสไพเรชัน (Photorespiration) คืออะไร แนวตอบ กระบวนการทอ่ี อกซิเจน (Oxygen) จบั กับเอนไซม์รบู ิสโก (Rubisco) 7) กระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงแตกตา่ งกับโฟโตเรสไพเรชนั (Photorespiration) อย่างไร แนวตอบ แตกตา่ งกันท่เี อนไซม์รบู สิ โก (Rubisco) 8) สารอนิ ทรีย์ทเ่ี กดิ ขนึ จะถกู ลา้ เลยี งผ่านไปยงั ออแกเนลล์ (Organelle) ใดบา้ ง แนวตอบ เพอรอกซโิ ซม (Peroxisome) และไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) 9) สารอินทรีย์ที่เกดิ ขึนจะถกู ลา้ เลยี งไปสลายทย่ี งั ออร์แกเนลล์ (Organelle) ใดบา้ ง แนวตอบ เพอรอกซโิ ซม (Peroxisome) 10) โฟโตเรสไพเรชนั (Photorespiration) เป็นประโยชน์กับพชื อย่างไร แนวตอบ ชว่ ยลดอันตรายจากสารพลังงานสูงเหลอื ใชจ้ ากปฏกิ ริ ยิ าแสง (Light reaction) ขั้นท่ี 5 ประเมินผล 5.1 วธิ กี ารวัดและประเมนิ ผล 1. ประเมินจากสมดุ บนั ทกึ 2. ประเมนิ จากใบกิจกรรม 3. ประเมินพฤตกิ รรมนกั เรียน 5.2 เคร่ืองมอื วัดและประเมนิ ผล 1. แบบเฉลยรายงานสมุดบนั ทกึ 2. แบบประเมนิ ใบกจิ กรรม 3. แบบประเมินพฤติกรรมนักเรยี น 5.3 เกณฑ์การวดั และการประเมนิ ผล 1. การประเมนิ จากสมุดบนั ทกึ ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 70 2. การประเมนิ ใบกจิ กรรม ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 3. การประเมินพฤตกิ รรมนักเรียน ผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 80 11. สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้ 11.1 หนงั สอื เรยี นสาระการเรียนรชู้ วี วทิ ยา 3 11.2 เพาเวอร์พอยท์ เร่อื ง กระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง 11.3 ใบกิจกรรมท่ี 4.3 เรือ่ ง กระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง 11.4 สมดุ บนั ทกึ

๒๒๑ 12. หลักฐานการเรียนรแู้ ละวิธกี ารประเมิน วธิ กี ารวดั เครอื่ งมอื วดั เกณฑก์ าร จดุ ประสงค์การเรียนรู้ (K P A) ประเมนิ - ใบกจิ กรรม ดา้ นความรู้ (K) - ตรวจใบกิจกรรม - สมุดบันทึก ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 70 1. ผู้เรียนสามารถอธิบายโครงสรา้ งของใบพชื C3 - ตรวจสมุดบนั ทกึ ของคะแนน และ C4 ได้ ดา้ นทักษะ (P) - ตรวจผลงาน - แบบประเมิน ผ่านเกณฑ์ 1. ผู้เรียนสามารถเปรียบเทียบกลไกการตรึงแก๊ส - สงั เกตความตงั ใจ ชนิ งาน คณุ ภาพระดบั คารบ์ อนไดออกไซด์ได้ และความ 2 รับผิดชอบในการ - แบบประเมนิ ด้านเจตคติ (A) ปฏบิ ัตกิ จิ กรรม พฤตกิ รรม ผา่ นเกณฑ์ 1. ความสนใจ คุณภาพระดับ 2. การตรงต่อเวลา - สงั เกตพฤตกิ รรม 2 3. การตอบคา้ ถาม การเรียนรู้ 4. การยอมรับฟังผอู้ ่ืน 5. ความรับผิดชอบ

ช่อื -สกลุ ................................................................... ๒๒๒ ชนั .................................เลขท่.ี ................... ใบงานท่ี 4.3 เรอ่ื ง กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง 1. กระบวนการตรงึ คาร์บอนเกดิ ขนึ้ บริเวณใดของคลอโรพลาสต์ และเกดิ ข้ึนเมอ่ื ใด เพราะอะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………...…………………. จากภาพจงตอบคาถามขอ้ 2-3 2. หมายเลข 1 2 และ 3 คือสารใด และมคี ารบ์ อนอะตอมจานวนเทา่ ใด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………. 3. ถ้าในภาพใช้ RuBP จานวน 6 โมเลกุล จะสามารถตรึงคาร์บอนไดออกไซด์เข้ามาได้กีโ่ มเลกุลและเกิด ผลติ ภณั ฑต์ ัวแรกเปน็ สารใด และมีจานวนก่ีโมเลกุล ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………….……… 4. โฟโตเรสไพเรชันคืออะไร และมีผลตอ่ อตั ราการสงั เคราะห์ด้วยแสงอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………..………………

๒๒๓ 5. จงเติมขอ้ ความในตารางเปรียบเทียบการตรงึ คาร์บอนไดออกไซดข์ องพืช C3, C4 c และ CAM ข้อเปรยี บเทียบ พืช C3 พืช C4 พชื CAM 1. จ้านวนครังในการตรึง ..................................... ..................................... ..................................... CO2 .................................. .................................. .................................. ..................................... ..................................... ..................................... .................................. .................................. .................................. 2. สารที่ในการตรึง CO2 ..................................... ..................................... ..................................... .................................. .................................. .................................. ..................................... ..................................... ..................................... .................................. .................................. .................................. 3. ต้าแหน่งที่เกิดการตรึง ..................................... ..................................... ..................................... CO2 .................................. .................................. .................................. ..................................... ..................................... ..................................... .................................. .................................. .................................. 4. เวลาท่ีเกิดการตรึง CO2 ..................................... ..................................... ..................................... ดว้ ย PEP และ RuBP .................................. .................................. .................................. ..................................... ..................................... ..................................... .................................. .................................. .................................. 5. ผลิตภัณฑ์ตัวแรกท่ีเกิด ..................................... ..................................... ..................................... จากการตรงึ CO2 .................................. .................................. .................................. ..................................... ..................................... ..................................... .................................. .................................. .................................. 6. เกิดวฏั จักรคาลวนิ หรือไม่ ..................................... ..................................... ..................................... .................................. .................................. .................................. ..................................... ..................................... ..................................... .................................. .................................. .................................. 7. บริเวณที่เกิด G3P หรือ ..................................... ..................................... ..................................... PGAL .................................. .................................. .................................. ..................................... ..................................... ..................................... .................................. .................................. .................................. 8. ตัวอยา่ งพชื ..................................... ..................................... ..................................... .................................. .................................. .................................. ..................................... ..................................... ..................................... .................................. .................................. ..................................

๒๒๔ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 18 รายวิชา ชวี วทิ ยา 3 รหัสวชิ า ว33243 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 4 การสังเคราะหด์ ้วยแสง เวลา 14 ชั่วโมง เรือ่ ง การเพ่ิมความเข้มขน้ ของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ เวลา 4 ชว่ั โมง ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2564 ครูผสู้ อน นายบุญรัง จาปา 1. สาระชีววิทยา สาระท่ี 3 เขา้ ใจสว่ นประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแกส๊ และคายน้าของพชื การล้าเลยี งของพชื การ สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง การสืบพนั ธข์ุ องพืชดอกและการเจริญเตบิ โต และการตอบสนองของพืช รวมทงั น้าความรู้ ไปใชป้ ระโยชน์ 2. ผลการเรยี นรู้ เปรียบเทียบกลไกการตรงึ คาร์บอนไดออกไซดใ์ นพืช C3 พืช C4 และ พืช CAM 3. สาระสาคัญ พชื แตล่ ะชนดิ มีประสิทธิภาพในการตรงึ CO2 ไม่เท่ากัน พชื ทีม่ ีการตรงึ CO2 ในวฏั จกั รคัลวนิ แลว้ ได้ สารประกอบคาร์บอนที่เสถียรชนิดแรกเปน็ สารทม่ี ีคาร์บอน 3 อะตอมเรยี กวา่ พืช C3 ตอ่ มามีการศกึ ษา พบว่า พืชบางชนิดสามารถสร้างสารประกอบคาร์บอนที่เสถียรชนิดแรกเป็นสารท่ีมีคาร์บอน 4 อะตอม ด้วยกลไกที่ นอกเหนอื ไปจากวัฏจักรคลั วนิ เรียกพชื กลมุ่ นีวา่ C4 4. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 3.1 ด้านความรู้ (K) 1. ผ้เู รยี นสามารถอธิบายกลไกการตรึงแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ได้ 3.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) 1. ผู้เรียนสามารถเปรยี บเทยี บกลไกการตรึงแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ได้ 3.3 ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงต่อเวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรบั ฟังผอู้ นื่ 5. ความรับผดิ ชอบ 5. สาระการเรียนรู้แกนกลาง - พืช C4 ตรึงคาร์บอนอนินทรีย์ 2 ครัง ครังแรก เกิดขึนท่ีเซลล์มีโซฟิลล์ โดย PEP และเอนไซม์เพบ คารบ์ อกซเิ ลส ไดส้ ารประกอบท่ีมีคารบ์ อน4 อะตอม คือ OAA ซึง่ จะมกี ารเปลีย่ นแปลงทางเคมีได้สารประกอบ ทม่ี ีคารบ์ อน 4 อะตอม คือ กรดมาลิก ซึง่ จะถกู ลา้ เลียงไปจนถึงเซลล์บนั เดิลชีทและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ในคลอโรพลาสตเ์ พอื่ ใชใ้ นวัฏจกั รคลั วินตอ่ ไป

๒๒๕ - พืช CAM มีกลไกในการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์คล้ายพชื C4 แต่มีการตรึงคาร์บอนอนินทรียท์ ัง 2 ครังในเซลล์เดียวกัน โดยเซลล์มีการตรึงคาร์บอนอนินทรีย์ครังแรกในเวลากลางคืนและปล่อยออกมาในเวลา กลางวนั เพ่ือใช้ในวัฏจักรคัลวินต่อไป 6. ดา้ นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (Attitude) คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั พนื ฐาน พุทธศักราช 2551  รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์  อยู่อย่างพอเพียง  ซือ่ สตั ย์สุจริต  มุ่งม่นั ในการทา้ งาน  มวี นิ ัย  รกั ความเป็นไทย  ใฝเ่ รียนรู้  มีจิตสาธารณะ 7. คณุ ลักษณะของผู้เรียน ตามหลักสตู รโรงเรยี นมาตรฐานสากล  เปน็ เลิศวชิ าการ  สือ่ สารสองภาษา  ล้าหน้าทางความคดิ  ผลิตงานอยา่ งสรา้ งสรรค์  ร่วมกนั รับผิดชอบต่อสังคมโลก 8. ดา้ นการ อ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน  การอา่ น : อา่ นเอกสารใบความรู้ เร่ือง การเพิ่มความเข้มขน้ ของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์  การคิดวิเคราะห์ : คิดวิเคราะหข์ อ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากการอ่านใบความรู้  การเขียน : เขียนสรุป เรือ่ ง การเพิม่ ความเข้มข้นของแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ 9. ด้านสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น  ความสามารถในการสือ่ สาร : แสดงความคิดเห็น และสามารถอธิบาย  ความสามารถในการคดิ : มีความสามารถในการวิเคราะห์ แก้ปญั หาเฉพาะหนา้  ความสามารถในการแก้ปัญหา : นกั เรียนสามารถแก้ไขปญั หาเฉพาะหน้าไดเ้ มื่อพบปัญหา  ความสามารถในการใช้ทกั ษะชวี ติ : ทา้ งานร่วมกบั ผอู้ ่ืนได้ดี  ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี : สามารถใช้เทคโนโลยีสืบค้นขอ้ มลู 10. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (5E) ขั้นท่ี 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ 1.1 ครกู ระตนุ้ ความสนใจของนักเรียน โดยแจกบตั รค้า กิจกรรมพืชชนดิ ต่าง ๆ ให้กบั นักเรียน ซึ่งบัตรคา้ จะมี ประเภทของพืชต่าง ๆ เชน่ ข้าวเจ้า ขา้ วสาลี ถ่วั สบั ประรด กระบองเพชร เป็นต้น 1.2 ครูเขียน ค้าวา่ พชื C3 พืช C4 และพชื CAM บนกระดาน 1.3 ครูพูดประเภทของพืชแล้วให้นักเรียนยืนขึน ตามประเภทของพืช แล้วออกมาเขียนชื่อพืช บนกระดาน หน้าชันเรียนตามประเภททคี่ รกู า้ หนด ยกตวั อย่างเช่น แนวคาตอบ พืช C3 เช่น ข้าวสาลี พืช C4 เช่น ขาวโพด และ พืช CAM เช่น สับประรด กระบองเพชร เปน็ ต้น 1.4 ครูให้นักเรียนศึกษาเนือหาเรื่องกลไกการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช ในบทเรียนก่อนจะเฉลย คา้ ตอบท่ีถูกตอ้ ง ข้นั ท่ี 2 สารวจคน้ หา 2.1 ใหน้ ักเรียนจับกลมุ่ ประเภทของพชื ที่นักเรยี นออกมาเขียนช่อื หน้าชนั เรยี น โดยแบง่ กลุม่ ออกเป็น 3 กลุ่ม ดงั นี 1) กลมุ่ ที่ 1 คือ กล่มุ ท่นี ักเรียนเขยี นชอื่ พชื ในกลุ่มพชื C3 2) กลุม่ ที่ 2 คือ กลมุ่ ทนี่ ักเรียนเขยี นชอ่ื พืชในกลมุ่ พืช C4

๒๒๖ 3) กลุม่ ท่ี 3 คอื กลุ่มท่นี กั เรียนเขยี นชอ่ื พืชในกลมุ่ พืช CAM 2.1 ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มศึกษาลักษณะ โครงสร้างภายในของใบ และตัวอย่างพืชตามชนิดของพืชที่ได้รับ มอบหมาย แลว้ สรุปลงในกระดาษ A4 2.2 ให้นักเรียนส่งตัวแทนกลุ่มออกมาน้าเสนอข้อมูลของกลุ่มตนเอง หลังจากนันนักเรียนและครูร่วมกัน อภปิ รายถึงความแตกต่างของโครงสรา้ งภายในใบซึง่ แตกต่างกันดังนี “ ใบพืช C3 จะมีเซลล์ในชันมีโซฟิลล์ (Mesophyll) 2 ชนิด คือ แพลิเซดมีโซฟิลล์ (Palisade Mesophyll) และสปันจมี ีโซฟิลล์ (Spongy Mesophyll) และจะพบครอโรพลาสต์ (Chloroplast) ภายในมีโซ ฟิลล์ ทัง 2 ชนิดอย่างชัดเจน และบันเดิลชีท (Bundle sheath) อาจมีหรือไม่มีกไ็ ด้ ซ่ึงหากมีบันเดิลชีทมกั ไม่ พบครอโรพลาสต์ในบันเดิลชีท ส่วนโครงสร้างของใบพืช C4 พบว่ามีเซลล์มีโซฟิลล์อยู่ติดกับบันเดิลชีท มีพลาสโมเดสมาตา (Plastmodesmata) เช่ือมระหว่าเซลล์ทังสองชนิด นอกจากนียังพบครอโรพลาสต์ใน เซลลม์ โี ซฟิลล์และบนั เดลิ ชที อย่างชัดเจน” 2.3 จากนันให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเดิม เพื่อสืบค้นจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ต ห้องสมุด หรือ หนังสือเรียนชวี วทิ ยา ม.5 เล่ม 1 เกีย่ วกบั เร่ือง กลไกการตรงึ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ของพืชตามชนิดของพืช ท่ีได้รบั มอบหมายแล้วสรุปลงในกระดาษ A4 พรอ้ มนา้ เสนอในรูปแบบท่ีนา่ สนใจ ขัน้ ที่ 3 อธบิ ายความรู้ 3.1 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลจากการสืบค้นข้อมลู โดยครูน้าภาพสรุปโครงสร้างและกลไกการตรงึ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ของพืชแต่ละประเภทมาให้ นักเรยี นศึกษาเพ่มิ เตมิ ดว้ ยภาพภาพ 3.2 เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจมากขึน ครเู ขยี นค้าถามบนกระดานแล้วใหน้ กั เรยี นจดคา้ ถามและตอบคา้ ถามลงในสมุด 3.3 จากนนั ใหน้ กั เรียนจับคูแ่ ลกเปลี่ยนค้าตอบของตนเอง แล้วอภิปรายหาค้าตอบที่ถูกตอ้ ง 3.4 ครูอา่ นคา้ ถามและให้ตัวแทนคู่ของตนเองลุกขนึ ตอบคา้ ถามทีละคู่ โดยนกั เรยี นและครรู ว่ มกันอภิปรายถึง ค้าตอบทถี่ ูกตอ้ ง ดงั นี

๒๒๗ 1) จงยกตัวอยา่ งพชื C3 มาอยา่ งนอ้ ย 4 ชนิด แนวตอบ ขนึ อยู่กบั ดลุ ยพินิจของครู ตวั อยา่ งเชน่ มะม่วง ขา้ ว ขา้ วสาลี ถว่ั ขา้ วบาเล่ย์ 2) จงยกตวั อย่างพืช C4 มาอยา่ งนอ้ ย 4 ชนดิ แนวตอบ ขนึ อยกู่ บั ดุลยพินจิ ของครู ตวั อย่างเช่น ข้าวโพด อ้อย บานไมร่ ้โู รย ขา้ วฟา่ ง 3) จงยกตวั อย่างพชื CAM มาอยา่ งน้อย 4 ชนิด แนวตอบ ขึนอยู่กับดลุ ยพนิ ิจของครู ตวั อยา่ งเช่น สบั ปะรด กระบองเพชร ว่านหางจระเข้ ศรนารายณ์ 4) จงเปรยี บเทยี บโครงสรา้ งภายในของพืช C3 และ C4 แนวตอบ โครงสร้างภายในของใบ C3 ประกอบด้วย mesophyll cell 2 แบบ คือ palisade mesophyll และ spongy mesophyll และมีกลุ่มเนือเย่ือล้าเลียงแทรกอยู่ อาจมีกลุ่มเซลล์ ล้อมรอบกลุ่มท่อล้าเลียง ซึ่งเรียกว่า bundle sheath cell ส่วนโครงสร้างภายในของพืช C4 ประกอบด้วย epidermal cell, mesophyll cell และ bundle sheath cell ท่ีมีคลอโร- พลาสต์ ซึ่ง bundle sheath cell เป็นเซลล์ท่ีอยู่ล้อมรอบมัดท่อมัดล้าเลียงน้า (vascular bundle) 5) นักเรียนคิดวา่ กลไกการตรงึ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ของพืช C3 และ C4 เหมือนหรอื แตกต่างกัน อยา่ งไร แนวตอบ แตกต่างกัน เนือ่ งจาก พชื C3 บางชนิดไม่พบ bundle sheath cell บางชนดิ มี Bundle sheath cell ซ่ึงแตกต่างจากเนอื เย่ือใบของพืช C4 ซ่ึงจะพบ bundle sheath cell ท่ีมีคลอโรพ ลาสต์อย่างชัดเจน ดังนัน คาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศเมือผ่านเข้าสู่ปากใบพืช C3 จะเข้า สู่วัฏจักรคัลวิน ส่วนพืช C4 คาร์บอนไดออกไซด์ที่ผ่านเข้าสู่ปากใบจะถูกเปล่ียนให้เป็นสารท่ีมี คาร์บอน 4 อะตอมก่อน 6) นกั เรียนคดิ ว่ากระบวนการตรงึ แก๊สคาร์บอนไดออกไซดข์ องพืช C3 และ C4 เหมือนหรือแตกต่าง กนั อยา่ งไร แนวตอบ กลไกการตรึงเหมือนกัน แตกต่างกันที่เวลาในการตรึงแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดข์ องพชื CAM จะเกดิ ขนึ ในเวลากลางคืน 7) ต้าแหนง่ ทีเ่ กิดการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซดข์ องพืช C3 C4 และ CAM เกิดขึนตา้ แหนง่ เดยี วกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร แนวตอบ พืช C3 C4 และ CAM มีกลไกการตรึงแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ที่มีโซฟิลล์เซลล์ เหมือนกัน แตต่ า่ งกันทวี่ ัฏจกั รคัลวิน (Calvin cycle) ในพืช C4 เกิดขึนท่ี Bundle sheath cell 3.5 ให้นกั เรียนตรวจสอบความถูกต้องจากการแบง่ ประเภทของบัตรคา้ ทน่ี ักเรยี นไดร้ ับว่าจ้าแนกประเภทของ พชื ถูกต้องหรือไม่ จากการทา้ กจิ กรรมตน้ ชวั่ โมง 3.6 ให้นักเรยี นทา้ แบบฝึกหดั ชีววิทยา ม.5 เล่ม 1 3.7 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน สร้างแบบจ้าลองโครงสร้างของใบพืช C3 และ C4 โดยใช้วัสดุที่ เหมาะสม พรอ้ มเขยี นกลไกการตรงึ แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซดล์ งในกระดาษ A4 3.8 ครใู ห้นักเรยี นตรวจสอบความเขา้ ใจของนักเรยี นโดยตอบคา้ ถามจากนันครูเฉลยค้าตอบท่ีถูกตอ้ ง ดงั นี 1) เพราะเหตุใดพืช C4 จงึ มกี ลไกการตรงึ คารบ์ อนไดออกไซดแ์ ตกตา่ งจากพืช C3 แนวตอบ เพราะโครงสร้างของใบพืช C3 และพชื C4 แตกตา่ งกนั 2) พืช C4 มีกลไกการเพิม่ ความเขม้ ข้นของคารบ์ อนไดออกไซด์ (Carbondioxide) อย่างไร

๒๒๘ แนวตอบ มกี ารตรึงคารบ์ อนไดออกไซด์ 2 ครัง โดยครงั แรกเกิดขึนท่ีมโี ซฟิลลเ์ ซลล์ โดยใช้เอนไซม์ PEP carboxylase ได้สารอินทรีย์ตัวแรกท่ีมีคาร์บอน 4 อะตอม ซึ่งสารตัวนีจะสลายตัวปล่อย คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide) ให้กับรูบิสโก (Rubisco) โดยตรงในบันเดิลชีท (BundleSheath) เซลล์ 3) สารประกอบคารบ์ อนทีเ่ สถียรชนิดแรกของพชื C3 และ C4 คอื อะไร ตามลา้ ดบั แนวตอบ: PGA และ OAA ตามล้าดบั 4) พืช C3 และ C4 มีเอนไซม์ที่ใช้ตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide fixation) ในอากาศ แตกตา่ งกันหรือไม่ อยา่ งไร แนวตอบ แตกตา่ งกัน พชื C3 ใช้เอนไซม์รูบิสโก (Rubisco) สว่ นพืช C4 ใช้ PEP carboxylase) 5) คาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide) ที่เข้าสู่วัฏจักรคัลวิน (Calvin cycle) ในพืช C3 และ C4 แตกตา่ งกันหรอื ไม่อยา่ งไร แนวตอบ แตกต่างกัน พืช C4 จะเกิดวัฏจักรคัลวิน (Calvin cycle) ที่บันเดิลชีท (Bundle Sheath) แต่พืช C3 เกิดขึนท่ตี า้ แหนง่ ใดกไ็ ด้ที่มีคลอโรพลาสต์ (Chloroplast) 3.9 ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมของพืช CAM (Crassulacean acid Metabolism Plant) ข้นั ท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครสู ่มุ ตวั แทนนักเรยี นออกมานา้ เสนอ 4.2 นักเรยี นและครูร่วมกนั อภิปรายวา่ “ในเวลากลางคืน พืชตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้แต่ไม่สามารถสร้างน้าได้ เพราะขาด NADPH และ ATP พืช CAM (Crassulacean acid Metabolism Plant) จึงต้องตรึงแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ไว้ ในรูป สารที่ประกอบดว้ ยคารบ์ อน 4 อะตอม เพอ่ื เกบ็ สะสมไวก้ ่อน เมอ่ื พืชได้รับแสงในเวลากลางวันจงึ สามารถสร้าง NADPH และ ATP มาใชใ้ นกระบวนการสรา้ งน้าตาลได้” 4.3 ครูอธบิ ายเพ่ิมเติมวา่ “พืชที่มีการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ลักษณะเช่นนีว่า (Crassulacean acid Metabolism Plant) เรียกย่อๆ ว่า พืช CAM เน่ืองจากการค้นพบกระบวนการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์แบบนีในพืชพวกวงศ์ (Crussulace) เป็นพืชอวบนา้ ขยายพันธุ์ไดง้ ่าย โดยใช้ส่วนประกอบต่าง ๆ ของพืช เช่น เช่น กุหลาบหิน คว้่า ตายหงายเป็น ต่อมาในภายหลังพบว่า พืชท่ีขึนในท่ีแล้ง เช่น กระบอกเพชร หรือกล้วยไม้รวมทังสับปะรด ก็มี การตรงึ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ลักษณะนีเชน่ กนั ” 4.4 เพ่ือขยายความรู้ของนักเรียน ครูเขียนตารางเปรียบเทียบโครงสร้างและกลไกการตรึงแก๊ส คาร์บอนไดออกไซดข์ องพชื C3 C4 และ CAM บนกระดานแลว้ ให้นักเรียนจดค้าถามลงในสมุดและเตมิ ค้าตอบ ลงในตาราง

๒๒๙ หวั ข้อเปรยี บเทียบ พืช C3 พืช C4 พืช CAM บนั เดิลชที คลอโรพลาสตท์ บ่ี นั เดลิ ชที จานวนคร้งั ที่มกี ารตรงึ CO2 ช่วงเวลาในการตรงึ CO2 ตาแหน่งทม่ี กี ารตรงี CO2 ตาแหนง่ ทเ่ี กดิ วัฏจกั รคลั วิน สารตวั แรกที่เกดิ จากการตรึง CO2 สารทใ่ี ชต้ รงึ CO2 การเกิดโฟโตเรสไพเรชัน 4.5 ครเู ฉลยคา้ ตอบที่ถกู ตอ้ ง ดังนี หวั ข้อเปรยี บเทียบ พชื C3 พชื C4 พืช CAM บันเดิลชีท อาจมหี รอื ไม่มี มี - คลอโรพลาสต์ที่บันเดิลชีท ไมม่ ี มี - จานวนครง้ั ทม่ี กี ารตรึง CO2 1 2 2 ช่วงเวลาในการตรงึ CO2 เชา้ เช้า กลางคนื ตาแหน่งทีม่ กี ารตรงึ CO2 ครงั ท่ี 1 มีโซฟลิ ล์ - มีโซฟลิ ล์ ครงั ที่ 2 บันเดลิ ชที ตาแหน่งทเ่ี กิดวัฏจักรคัลวิน ต้าแหน่งใดก็ได้ที่มี ตา้ แหนง่ ใดก็ได้ทม่ี ี คลอ มโี ซฟลิ ล์ คลอโรพลาสต์ สารตัวแรกที่เกดิ จากการตรงึ โรพลาสต์ CO2 OAA OAA สารท่ีใชต้ รึง CO2 PGA การเกดิ โฟโตเรสไพเรชัน PEP PEP RuBP ต่า้ มาก ต่า้ มาก สงู 4.6 ให้นกั เรียนทา้ แบบฝกึ หดั ชวี วทิ ยา ม.5 เล่ม 1 4.7 ให้นักเรียนทบทวนความรู้ ความเขา้ ใจในหัวขอ้ นีโดยให้นกั เรียนตอบคา้ ถาม แลว้ รว่ มกนั เฉลยคา้ ตอบดังนี 1 ) พื ช C4 แ ล ะ พื ช CAM ( Crassulacean acid Metabolism Plant) มี ก ล ไ ก ก า ร ต รึ ง คาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศแตกตา่ งกนั อยา่ งไร แนวตอบ แตกต่างกันที่ เวลาในการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ของพืช C4 เกิดขึนในเวลา กลางวันแต่พชื CAM เกิดขึนในเวลากลางคนื 2) เพราะเหตุใดพืช CAM (Crassulacean acid metabolism plant) จึงจ้าเป็นต้อ ง ตรึง คารบ์ อนไดออกไซด์ (Carbondioxide fixation) ในเวลากลางคนื แนวตอบ เพราะ สภาพแวดล้อมของพืช CAM (Crassulacean acid Metabolism Plant) เป็น บรเิ วณที่ร้อนจัด

๒๓๐ 3) สารประกอบคาร์บอนที่เสถียรชนิดแรกของพืช CAM (Crassulacean acid metabolism Plant) คืออะไร แนวตอบ ออกซาโลอะซีเตต (Oxaloacetate) หรือ OAA 4) พืช CAM (Crassulacean acid metabolism plant) สังเคราะห์กรดมาลิก (Malic acid) แล้ว ลา้ เลียงไปสะสมทีใ่ ด ซ่งึ แตกตา่ งกับพืช C4 หรอื ไม่ อย่างไร แนวตอบ แวคิวโอล (Vacuole แตกต่างกับพืช C4 ท่ีไม่มีการสะสมกรดมาลิก (Malic acid) ไว้ใน ออร์แกเนลล์ (Organelles) ใด 5) หากเปรียบเทียบระหว่างพืช C3 กับพืช CAM พืชชนิดใดมีอัตราการเกิดโฟโตเรสไพเรชัน (Photorespiration) ทีม่ ากกวา่ เพราะเหตใุ ด แนวตอบ พืช C3 เพราะ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ท่เี ข้าสวู่ ัฏจกั รคัลวิน (Calvin cycle) มาจาก บรรยากาศโดยตรง ซ่ึงแตกต่างกับคารบ์ อนได้ที่เข้าสวู่ ัฏจักรคัลวนิ ของพืช CAM ซ่ึงไดม้ าจากการ สลายตัวของกรดมาลกิ (Malic acid) ขั้นที่ 5 ประเมินผล 5.1 วธิ ีการวดั และประเมินผล 1. ประเมนิ จากสมุดบนั ทึก 2. ประเมินจากใบกจิ กรรม 3. ประเมนิ พฤตกิ รรมนกั เรียน 5.2 เครื่องมือวัดและประเมนิ ผล 1. แบบเฉลยรายงานสมุดบันทึก 2. แบบประเมินใบกิจกรรม 3. แบบประเมนิ พฤติกรรมนักเรียน 5.3 เกณฑ์การวดั และการประเมินผล 1. การประเมินจากสมุดบนั ทกึ ผา่ นเกณฑ์ร้อยละ 70 2. การประเมนิ ใบกิจกรรม ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 3. การประเมนิ พฤตกิ รรมนักเรียน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 11. สอื่ /แหล่งการเรยี นรู้ 11.1 หนังสอื เรยี นสาระการเรยี นรูช้ วี วทิ ยา 3 11.2 เพาเวอรพ์ อยท์ เรือ่ ง การเพ่ิมควมเข้มข้นของแกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ 11.3 ใบกจิ กรรมที่ 4.4 เร่ือง การเพ่ิมควมเขม้ ข้นของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ 11.4 สมุดบันทกึ

๒๓๑ 12. หลักฐานการเรียนรแู้ ละวิธีการประเมนิ วิธกี ารวัด เคร่ืองมอื วัด เกณฑก์ าร จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ (K P A) - ใบกจิ กรรม ประเมนิ - สมุดบันทกึ ผ่านเกณฑ์ ด้านความรู้ (K) - ตรวจใบกิจกรรม ร้อยละ 70 - แบบประเมนิ ของคะแนน 1. ผู้เรียนสามารถอธิบายกลไกการตรึงแก๊ส - ตรวจสมุดบันทกึ ชินงาน ผ่านเกณฑ์ คาร์บอนไดออกไซด์ได้ - แบบประเมิน คณุ ภาพระดบั พฤติกรรม 2 ด้านทักษะ (P) - ตรวจผลงาน 1. ผเู้ รยี นสามารถเปรยี บเทยี บกลไกการตรงึ แกส๊ - สงั เกตความตังใจ ผา่ นเกณฑ์ คาร์บอนไดออกไซดไ์ ด้ และความ คุณภาพระดับ รบั ผิดชอบในการ 2 ด้านเจตคติ (A) ปฏิบตั ิกิจกรรม 1. ความสนใจ 2. การตรงตอ่ เวลา - สงั เกตพฤตกิ รรม 3. การตอบคา้ ถาม การเรยี นรู้ 4. การยอมรับฟงั ผู้อ่ืน 5. ความรบั ผิดชอบ

๒๓๒ ใบงานท่ี 4.4.1 เรอ่ื ง กลไกการเพิ่มความเขม้ ข้นของคารบ์ อนไดออกไซด์ในพืช C4 คาช้แี จง : ใหน้ กั เรยี นเตมิ คาตอบใหถ้ ูกตอ้ งและสมบรู ณ์ทส่ี ุด ............................................................................................................................. .......................................... 1. พืช C3 หมายถงึ พืชพวกใด และยกตวั อย่างประกอบมา 4 ชนดิ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. พืช C4 หมายถึงพืชพวกใด และยกตวั อยา่ งประกอบมา 4 ชนดิ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. พืช C3 มีการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ กคี่ ร้ัง อย่างไรบา้ ง จงอธิบาย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. พชื C4 มีการตรงึ คาร์บอนไดออกไซด์ ก่ีคร้ัง อย่างไรบ้าง จงอธิบาย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………… 5. พืช C4 มกี ระบวนการโฟโตเรสไพเรชันเกิดขึ้นในเซลล์ หรอื ไม่ เพราะเหตใุ ด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………..……… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………..………… ชื่อ-สกุล....................................................................................................ชน้ั ................เลขท.่ี ..................

๒๓๓ เฉลยใบงานท่ี 4.1.1 เรื่อง กลไกการเพม่ิ ความเข้มข้นของคารบ์ อนไดออกไซดใ์ นพืช C4 คาชแ้ี จง : ให้นกั เรยี นเติมคาตอบให้ถูกตอ้ งและสมบูรณท์ ส่ี ุด .................................................................................................................................................. 1. พืช C3 หมายถึงพืชพวกใด และยกตวั อย่างประกอบมา 4 ชนดิ ตอบ พชื ทีม่ ีกระบวนการตรงึ CO2 แล้วได้ผลผลผิตท่อี ยู่ตวั เปน็ สารประกอบที่มีคารบ์ อน 3 อะตอมดงั ปฏกิ ิริยา RuBP + CO2 -------------------------> PGA (3C) ตัวอยา่ งเช่น ข้าว ฟกั ทอง บวบ ถว่ั ต่าง ๆ 2. พชื C4 หมายถงึ พืชพวกใด และยกตัวอย่างประกอบมา 4 ชนิด ตอบ พืชท่ีมกี ระบวนการตรงึ CO2 แล้วได้ผลผลผิตท่ีอยตู่ ัว เป็นสารประกอบทมี่ ีคาร์บอน 4 อะตอม ดงั ปฏิกริ ิยา PEP (3C) + CO2 -------------------------> OAA (4C) ตัวอยา่ งเช่น ข้าวโพด ข้าวฟา่ ง บานไมร่ โู้ รย อ้อย 3. พืช C3 มกี ารตรึงคาร์บอนไดออกไซดก์ ี่ครั้ง อยา่ งไรบา้ ง จงอธิบาย ตอบ มกี ารตรึงคารบ์ อนไดออกไซดเ์ พยี งครงั เดยี ว เกดิ ทม่ี ีโซฟิลล์ โดยการกระตุ้นของเอนไซม์ รบู สิ โก ทา้ ให้ RuBP รวมตัวกบั CO2 ได้ผลผลติ เปน็ สารทมี่ ีคาร์บอน 3 อะตอม 2 โมเลกุล คอื PGA 4. พืช C4 มีการตรึงคารบ์ อนไดออกไซดก์ ีค่ รั้ง อย่างไรบ้าง จงอธิบาย ตอบ มีการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ 2 ครงั ครังแรกเกดิ ท่มี โี ซฟลิ ล์ โดยการกระตุ้นของเอนไซม์ PEP carboxylase ทา้ ให้ PEP รวมตัวกับ CO2 ได้ผลผลติ เป็นสารทม่ี ีคารบ์ อน 4 อะตอม คือ OAA สว่ นการตรงึ คารบ์ อนไดออกไซด์ครังที่ 2 เกิดท่ีบันเดิลชีท โดยการกระตนุ้ ของเอนไซมร์ ูบสิ โก ท้าให้ RuBP รวมตวั กับ CO2 ไดผ้ ลผลิตเปน็ สารท่ีมีคารบ์ อน 3 อะตอม 2 โมเลกลุ คอื PGA 36 5. พืช C4 มีกระบวนการโฟโตเรสไพเรชนั เกดิ ขึ้นในเซลล์ หรอื ไม่ เพราะเหตุใด ตอบ เกิดขึนในเซลล์ น้อยมาก หรือไมเ่ กดิ เลย เพราะ เน่ืองจากการกระตนุ้ ของเอนไซมร์ บู ิสโก เกิดในบนั เดิล ชีทซึง่ มอี อกซิเจนน้อยมาก (ปฏกิ ิรยิ าชว่ งใชแ้ สงเกิดในมโี ซฟิลล)์

๒๓๔ ใบงานท่ี 4.1.2 เร่ือง การเพม่ิ ความเข้มข้นของคารบ์ อนไดออกไซด์ในพืช CAM คาชแ้ี จง : จงเติมขอ้ ความลงในชอ่ งวา่ งใหค้ วามสมบรู ณ์และถกู ตอ้ ง 1. พืช CAM (CAM plant) หมายถงึ พืชพวกใด และยกตัวอย่างประกอบมา 3 ชนิด ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………..… 2. พชื พวกกระบองเพชร มกี ารปรับตวั อย่างไรบา้ ง เพือ่ ให้ดารงชีวิตได้ในที่อยู่อาศัยแบบทะเลทราย ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………..… 3. สับปะรด มกี ารตรงึ คาร์บอนแบบใดบา้ ง เม่ือดารงชีวติ ในสภาพแวดล้อมปกติ และสภาพแวดลอ้ ม ผิดปกติ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………..… 4. พชื CAM มีการตรึงคาร์บอนไดออกไซดค์ ร้ังแรก เกดิ ที่บริเวณใด และมปี ฏิกิรยิ าเคมีอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………..… 5. พืช CAM มกี ารตรึงคารบ์ อนไดออกไซด์คร้ังที่สอง เกดิ ทบ่ี รเิ วณใด และมีปฏิกริ ยิ าเคมีอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………….…………..… ชื่อ-สกลุ ..........................................................................................ชนั้ .......................เลขที่.......................

๒๓๕ เฉลยใบงานท่ี 4.1.2 เร่อื ง การเพ่ิมความเขม้ ข้นของคารบ์ อนไดออกไซด์ในพืช CAM คาชีแ้ จง : จงเติมขอ้ ความลงในช่องว่างให้ความสมบรู ณ์ และถูกตอ้ ง 1. พชื CAM (CAM plant) หมายถึงพชื พวกใด และยกตัวอยา่ งประกอบมา 3 ชนดิ ตอบ พืช CAM หมายถงึ พืชท่ีขนึ อยูใ่ นแถบภูมิอากาศร้อนแห้งแลง้ แบบทะเลทราย จงึ เปดิ ปากใบในเวลา กลางคืน และตรงึ คารบ์ อนไดออกไซดเ์ กบ็ สะสมไวใ้ นแวควิ โอล ในรูปของกรดมาลกิ (4C) และเมือ่ เวลา กลางวนั ปากใบจะปิด และล้าเลียงกรดมาลกิ ออกจากแวคิวโอลมายงั มีโซฟิลล์ และแตกตวั ออกได้ PEP และ CO2 และมกี ารตรงึ CO2 อกี ครัง โดยวฏั จกั รคัลวนิ ตวั อยา่ งได้แก่ กระบองเพชร วา่ นหางจระเข้ ศรนารายณ์ กหุ ลาบหนิ สับปะรด กล้วยไม้ (ตอบถูก 3 ชอ่ื ) 2. พืชพวกกระบองเพชร มกี ารปรบั ตวั อยา่ งไรบา้ ง เพ่ือใหด้ ารงชวี ติ ไดใ้ นท่อี ยอู่ าศยั แบบทะเลทราย ตอบ ลดจ้านวนใบให้เหลือนอ้ ย หรือเปลี่ยนไปเป็นหนาม มีล้าตน้ อวบน้า ปากใบเปิดเวลากลางคนื เพ่อื ตรึง CO2 ไว้ใชส้ งั เคราะหด์ ้วยแสงในเวลากลางวัน ซง่ึ ปากใบปิด 3. สบั ปะรด มีการตรึงคาร์บอนแบบใดบา้ ง เม่อื ดารงชีวิตในสภาพแวดลอ้ มปกติ และสภาพแวดลอ้ มผิดปกติ ตอบ ในสภาพแวดล้อมปกติสับปะรดตรงึ คารบ์ อนเหมือนพชื C3 ส่วนสภาพแวดล้อมผิดปกติ เช่น อากาศร้อน จัด ดนิ เปน็ กรด ดนิ เค็ม สับประรดจะตรงึ CO2 แบบพชื CAM 4. พืช CAM มกี ารตรึงคารบ์ อนไดออกไซด์คร้ังแรก เกดิ ทบ่ี รเิ วณใด และมปี ฏิกิรยิ าเคมีอย่างไร ตอบ พืช CAM มีการตรึง CO2 ครงั แรกทีม่ ีโซฟลิ ล์ เกดิ ในเวลากลางคืน เนอ่ื งจากอณุ หภูมติ ่้า และปากใบเปิด โดยมีปฏิกิรยิ าดังสมการเคมีข้างลา่ งนี CO2 + H2O H2CO3 H+ + HCO3- HCO3- + PEP PEP carboxylase OAA Makic acid 5. พชื CAM มีการตรึงคาร์บอนไดออกไซดค์ รั้งทส่ี อง เกดิ ทีบ่ ริเวณใด และมีปฏิกิริยาเคมีอยา่ งไร ตอบ พชื CAM มกี ารตรึง CO2 ครังแรกทีม่ ีโซฟิลล์ เกิดในเวลากลางคนื เนื่องจากอุณหภูมิต้่า และปากใบเปิด โดยมปี ฏกิ ิริยาดงั สมการเคมีข้างล่างนี

๒๓๖ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 19 รายวิชา ชวี วทิ ยา 3 รหัสวิชา ว33243 กล่มุ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 4 การสังเคราะห์ด้วยแสง เวลา 14 ชว่ั โมง เรอื่ ง ปจั จยั บางประการทมี่ ีผลตอ่ การสังเคราะห์ด้วยแสง เวลา 3 ชว่ั โมง ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศกึ ษา 2564 ครผู ู้สอน นายบุญรัง จาปา 1. สาระชีววิทยา สาระท่ี 3 เขา้ ใจส่วนประกอบของพชื การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้าของพืช การล้าเลยี งของพืช การ สงั เคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธขุ์ องพืชดอกและการเจรญิ เตบิ โต และการตอบสนองของพชื รวมทงั นา้ ความรู้ ไปใช้ประโยชน์ 2. ผลการเรยี นรู้ สืบคน้ ขอ้ มูล อภิปราย และสรุปปัจจัยความเข้มของแสง ความเขม้ ขน้ ของคารบ์ อนไดออกไซด์และ อณุ หภมู ทิ ีม่ ผี ลตอ่ การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช 3. สาระสาคัญ การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชมีความส้าคัญอย่างมากเพราะไมเ่ พียงแต่ผลิตอาหารให้แก่ผู้บริโภคแต่ ยังเป็นการลดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และเพิ่มแก๊สออกซิเจนให้แก่ระบบนิเวศอีกด้วย ดังนันการศึกษา เกยี่ วกับปัจจยั ทีม่ ีผลตอ่ การสังเคราะห์ดว้ ยแสงจึงมีความสา้ คญั จากการศกึ ษาพบว่า อตั ราการสงั เคราะห์ด้วย แสงขึนอยกู่ บั ปจั จยั หลายประการ 4. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 4.1 ดา้ นความรู้ (K) 1. ผู้เรยี นสามารถอธบิ ายปัจจยั ความเข้มของแสงได้ 4.2 ดา้ นทักษะกระบวนการ (P) 1. ผเู้ รยี นสามารถสรปุ ปัจจยั ความเขม้ ของแสงได้ 4.3 ด้านคณุ ลกั ษณะ (A) 1. ความสนใจ 2. การตรงต่อเวลา 3. การตอบคา้ ถาม 4. การยอมรับฟงั ผอู้ น่ื 5. ความรบั ผดิ ชอบ 5. สาระการเรียนรู้แกนกลาง - ปัจจัยท่ีมีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง เช่นความเข้มของแสง ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ อณุ หภูมิ ปริมาณนา้ ในดนิ ธาตุอาหาร อายใุ บ

๒๓๗ 6. ด้านคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ (Attitude) คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขันพนื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551  รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์  อยู่อย่างพอเพียง  ซ่ือสตั ย์สุจริต  มุ่งมน่ั ในการท้างาน  มวี นิ ัย  รักความเป็นไทย  ใฝเ่ รียนรู้  มีจิตสาธารณะ 7. คณุ ลักษณะของผเู้ รียน ตามหลกั สูตรโรงเรียนมาตรฐานสากล  เป็นเลิศวชิ าการ  สอื่ สารสองภาษา  ล้าหนา้ ทางความคิด  ผลิตงานอยา่ งสรา้ งสรรค์  ร่วมกนั รบั ผดิ ชอบต่อสังคมโลก 8. ดา้ นการ อ่าน คดิ วเิ คราะห์และเขียน  การอา่ น : อ่านเอกสารใบความรู้ เร่ือง ปจั จัยบางประการท่มี ผี ลต่อการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง  การคิดวิเคราะห์ : คิดวเิ คราะห์ข้อมูลท่ไี ดจ้ ากการอา่ นใบความรู้  การเขยี น : เขยี นสรุป เร่ือง ปัจจัยบางประการท่มี ีผลต่อการสังเคราะห์ดว้ ยแสง 9. ดา้ นสมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน  ความสามารถในการสอ่ื สาร : แสดงความคิดเหน็ และสามารถอธิบาย  ความสามารถในการคิด : มีความสามารถในการวเิ คราะห์ แก้ปัญหาเฉพาะหน้า  ความสามารถในการแก้ปญั หา : นกั เรยี นสามารถแกไ้ ขปญั หาเฉพาะหนา้ ได้เม่อื พบปญั หา  ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต : ทา้ งานรว่ มกับผู้อนื่ ไดด้ ี  ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี : สามารถใช้เทคโนโลยีสืบคน้ ขอ้ มลู 10. กจิ กรรมการเรยี นรู้ (5E) ขนั้ ที่ 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ 1.1ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียน โดยถามค้าถามทบทวนความรู้เดิมของนกั เรยี นโดยใช้ค้าถาม ดังนี ให้ นกั เรยี น เขยี นสมการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง 1.2ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน แล้วให้แต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ว่า ปัจจัยใจใดที่มีผลต่อการ สงั เคราะหด์ ้วยแสงบา้ ง 1.3ครูสง่ ลูกบอลให้แต่ละกลมุ่ สง่ ลูกบอลไปเรื่อย ๆ แลว้ เปิดเพลงจนกวา่ ครูจะปดิ เพลง ลูกบอลอยู่ทก่ี ลุ่มใด ให้ กลุ่มนนั ลกุ ขนึ ตอบค้าถาม 1.4นกั เรยี นและครูรว่ มกันอภิปรายผลจากการตอบคา้ ถามของตัวแทนกลุม่ โดยมีคา้ ถามดงั นี 1) ปัจจยั ท่ีมผี ลตอ่ การสังเคราะห์ดว้ ยแสงมีอะไรบา้ ง (แนวค้าตอบ: ได้แก่ แสงและความเข้มของแสง ความเข้มของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ อุณหภูมิ อายใุ บ ปรมิ าณนา้ ที่พืชได้รบั ธาตุอาหาร) ขั้นที่ 2 สารวจคน้ หา 2.1 ให้นักเรียนสืบค้นและศึกษาหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เล่ม 1 เกี่ยวกับแสงและความเข้มของแสงมีผล อยา่ งไรตอ่ กระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพชื 2.2 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน เพื่อท้ากิจกรรม เรื่อง ความเข้มของแสง โดยให้สมาชิกภายในกลุ่ม แบ่งบทบาทและหน้าท่ีกัน ดงั นี - สมาชกิ คนท่ี 1: สบื ค้นขอ้ มลู จากแหลง่ การเรียนรตู้ า่ ง ๆ เชน่ อินเทอร์เนต็ หรอื หอ้ งสมุด

๒๓๘ - สมาชิกคนที่ 2 และ 3 : วเิ คราะห์และบนั ทึกผลการทา้ กจิ กรรม - สมาชกิ คนท่ี 4 : นา้ เสนอผลการท้ากจิ กรรม 2.3 ในระหว่างการท้ากิจกรรมให้สมาชิกภายในกลุ่มตังค้าถามขันตอนการทดลองที่ตนเองสงสัย เช่น เพราะ เหตุใดจึงต้องเติมแอลกอฮอล์ และปิโตรเลียมอีเทอร์ แล้วให้สมาชิกร่วมกันสืบค้นจาก แหล่งข้อมูลเพ่ือตอบ คา้ ถาม 2.4 หลังจากทา้ กิจกรรมแล้วให้นกั เรียนศึกษาโครงสร้างของเยอื่ หุ้มไทลาคอยด์ (Thylakoid) ในหนังสือ เรียน ลว่ งหนา้ 2.5 ให้แต่ละกลุม่ สง่ ตัวแทนกลุ่มออกมานา้ เสนอผลที่ได้จากการทา้ กจิ กรรมหน้าชนั เรียน 2.6 นักเรียนและครูรว่ มกนั อภปิ รายผลจากการทา้ กจิ กรรม 2.7 ครถู ามคา้ ถามท้ายกิจกรรม แลว้ ใหน้ กั เรยี นตอบคา้ ถามลงในสมุดบนั ทึกของตนเอง 2.8 นักเรียนและครรู ่วมกันเฉลยคา้ ตอบ โดยมีแนวตอบคา้ ถาม ดังนี 1) ความเขม้ ของแสงมีผลตอ่ การสงั เคราะห์ด้วยแสงของพืชอย่างไร แนวตอบ ความเขม้ ของแสงทีเ่ พ่มิ ขึน ส่งผลให้อตั ราการสงั เคราะหแ์ สงเพิม่ ขึน 2) ในที่ไม่มีแสง อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์ของพืชทัง 3 ชนิดเป็นอย่างไร เพราะเหตุใดจึง เปน็ เชน่ นัน แนวตอบ อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นลบ เน่ืองจากกระบวนการหายใจมีมากกว่า อัตราการตรงึ คารบ์ อนไดออกไซด์เพ่อื ใช้ในการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง 3) ไลท์คอนเพนเซชนั พอยท์ (Light Compensation Point) คอื อะไร แนวตอบ จุดท่ีความเข้มแสงท้าให้อัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ เนื่องจากอตั รา การปลอ่ ยคารบ์ อนไดออกไซด์จากกระบวนการหายใจเท่ากับอัตราการตรงึ คารบ์ อนไดออกไซด์จาก กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง 4) จากกราฟไลท์คอนเพนเซชนั พอยท์ของตน้ อ้อย ข้าว และมะม่วงมคี ่าเทา่ กันหรือไม่ อย่างไร แนวตอบ ไลท์คอมเพนเซชนั พอยท์ของอ้อยและข้าวมีประมาณเท่ากัน ประมาณ 30 ไมโครโมลโฟ ตอนต่อเมตรวินาที ส่วนไลท์คอมเพนเซชันพอยท์ของมะม่วงประมาณ 100 ไมโครโมลโฟตอนต่อ เมตรวินาที จะเห็นว่าพืชทัง 3 ชนิดต่างมีอัตราการหายใจและอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงที่ แตกตา่ งกัน 5) จดุ อิม่ ตัวของแสงคืออะไร แนวตอบ จุดที่เมื่อเพิ่มความเข้มข้นของแสงแล้วอัตราการตรึงคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิจะไม่ เพิม่ ขึน ขั้นท่ี 3 อธิบายความรู้ 3.1 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม 4 คน ท้ากิจกรรม เร่ือง การวัดอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพชื ท่ีความเข้มของ แสงต่าง ๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อ 1) วัดอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชที่ความเข็มของแสงต่าง ๆ 2) วิเคราะห์ผลความเข็มของแสงที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง โดยสมาชิกในกลุ่มมีบทบาทและหน้าท่ี ของ ตนเอง ดงั นี 1) สมาชิกคนที่ 1 : ทา้ หนา้ ทเ่ี ตรียมวัสดุอุปกรณ์กิจกรรมการวัดอตั ราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช ทคี่ วามเขม้ ของแสงตา่ ง ๆ 2) สมาชกิ คนท่ี 2 : ทา้ หน้าที่อ่านวิธีการท้ากจิ กรรม และนา้ มาอธบิ ายให้สมาชกิ ภายในกลุ่มฟัง 3) สมาชิกคนท่ี 3 : ทา้ หนา้ ทีบ่ นั ทกึ ผลการทา้ กจิ กรรม

๒๓๙ 4) สมาชิกคนท่ี 4 : ทา้ หนา้ ท่นี า้ เสนอผลการทา้ กิจกรรม 3.2 ในระหว่างการท้ากิจกรรมให้สมาชิกภายในกลุ่มตังค้าถามขันตอนการทดลองที่ตนเองสงสัย เช่น เพราะ เหตุใดการทดลองนีจึงต้องใช้สารโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต แล้วให้สมาชิกร่วมกันสืบค้นจากแหล่งข้อมูล เพ่อื ตอบค้าถาม 3.3 ให้แต่ละกลุม่ ส่งตัวแทนกลุ่มออกมานา้ เสนอผลทีไ่ ดจ้ ากการท้ากจิ กรรมหนา้ ชันเรยี น 3.4 ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั อภปิ รายผลจากการทา้ กจิ กรรม 3.5 ครูถามค้าถามท้ายกิจกรรม แลว้ ใหน้ กั เรียนตอบคา้ ถามลงในสมุดบนั ทกึ 3.6 ครูและนักเรยี นร่วมกนั เฉลยคา้ ตอบ โดยมีแนวตอบค้าถาม ดังนี 1) การเล่ือนโคมไฟให้อยู่ในต้าแหน่งที่แตกต่างกันมีผลต่อความเข้มข้นของแสงท่ีสาหร่ายหาง กระรอกไดร้ บั อยา่ งไร แนวตอบ ระยะห่างโคมไฟมาก ความเข้มแสงจะน้อย ในทางกลับกันระยะหา่ งโคมไฟนอ้ ย ความ เข้มแสงจะมาก 2) ความเขม้ ของแสงมผี ลต่ออัตราการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงหรือไม่ อย่างไร แนวตอบ มีผล เน่ืองจากถ้าเพมิ่ ความเข้มของแสงมากขึน อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงจะเพิม่ ขนึ แตจ่ ะเพ่ิมขึนไดร้ ะดบั หนึง่ เมือ่ เพม่ิ ความเข้มแสงอตั ราการสังเคราะหแ์ สงจะไม่เพมิ่ ขนึ 3.7 ครทู บทวนความรู้เดมิ ของนักเรยี นโดยใชค้ า้ ถามจากคาบที่แลว้ โดยมีแนวค้าถามดังนี 1) ปจั จยั ใดบา้ งทมี่ ผี ลตอ่ การสังเคราะหแ์ สง นอกจากความเขม็ แสงแล้วมปี ัจจัยอะไรอีกบา้ ง 3.8 เพื่อทบทวนความรู้เดิมของนักเรียน ให้นักเรียนบันทึกกราฟความเข้มข้นของแสงต่ออัตราการตรึง คาร์บอนไดออกไซด์ของต้นข้าว ข้าวโพด และอ้อย 3.9 ครูมอบหมายให้นักเรียนสืบค้นความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศมีผลต่อการตรึง คาร์บอนไดออกไซดข์ องตน้ ขา้ ว ข้าวโพด และอ้อยอย่างไร ให้นักเรยี นบันทกึ ผลลงในกระดาษกราฟ 3.10 ครูให้นักเรียนเปรียบเทียบระหว่างกราฟความเข้มข้นของแสงกับความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ ของต้นขา้ ว ข้าวโพด และออ้ ย ข้นั ท่ี 4 ขั้นขยายความรู้ 4.1 ครใู หน้ ักเรยี นโยนลกู บอลยางต่อไป จนกระทงั่ ครนู บั เลข 1-10 บอลยางอยู่ท่ีนกั เรยี นคนใด ให้นกั เรียนท่ี ถอื บอลยางลุกขนึ ตอบคา้ ถาม ประมาณ 2-3 คน 4.2 ครูถามค้าถาม โดยมีแนวคา้ ถามดงั นี 1) จากกราฟทนี่ ักเรยี นบนั ทกึ มลี ักษณะอย่างไร แนวตอบ พจิ ารณาค้าตอบของนักเรียน แต่ลักษณะกราฟควรมลี กั ษณะที่สูงชนั ขึนในชว่ งแรก และ คงท่ีในชว่ งหลงั 2) จากข้อมูลที่นักเรียนบันทึกผล คาร์บอนไดออกไซด์คอมเพนเซชันพอยท์ของพืชแต่ละชนิดเป็น อยา่ งไร แนวตอบ ข้าวโพดและอ้อยซึ่งเป็นพืช C4 มีคาร์บอนไดออกไซด์คอมเพนเซชันพอยท์ที่ต่้ากว่าขา้ ว ซ่ึงเป็นพืช C3 3) จากข้อมูลจดุ อิ่มตวั ของคารบ์ อนไดออกไซด์ของพชื แต่ละชนดิ เป็นอยา่ งไร แนวตอบ จดุ อมิ่ ตัวของคาร์บอนไดออกไซด์ของข้าวโพดสงู กว่าอ้อยและข้าว ตามล้าดับ ดงั นนั พืช C4 มีจุดอม่ิ ตัวของคารบ์ อนไดออกไซดต์ า้่ กว่าพชื C3

๒๔๐ 4.3 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายกราฟความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศท่ีมีผลต่อการตรึง คาร์บอนไดออกไซดข์ องต้นขา้ ว ขา้ วโพด และอ้อย 4.4 ครถู ามคา้ ถามทบทวนความรเู้ ดิมว่า ปัจจยั ทม่ี ีผลตอ่ กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสงของพืชได้แก่อะไรบา้ ง แนวตอบ แสงและความเข้มของแสง ความเข้มของคาร์บอนไดออกไซด์ อุณหภูมิ อายุใบ ปริมาณ น้าท่ีพืชไดร้ ับ ธาตอุ าหาร 4.5 ให้นักเรยี นศกึ ษาและสบื ค้นขอ้ มลู ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.5 เลม่ 1 4.6 ครูเกร่ินน้าต่อไปว่า วันนีจะมาศึกษาอุณหภูมิ อายุใบ ปริมาณน้าท่ีพืชได้รับ และธาตุอาหาร ให้นักเรียน แบง่ กลุ่มออกเปน็ 4 กลมุ่ โดยใหต้ วั แทนกล่มุ ออกมาจับสลากหมายเลข 1-4 โดยแตล่ ะหมายเลขให้แตล่ ะกลุ่ม ศกึ ษาหัวขอ้ ตอ่ ไปนี 1) หมายเลข 1 ศึกษาหวั ขอ้ อณุ หภมู ิ 2) หมายเลข 2 ศกึ ษาหัวข้อ อายุใบ 3) หมายเลข 3 ศึกษาหัวขอ้ ปริมาณนา้ ทีพ่ ืชได้รับ 4) หมายเลข 4 ศึกษาหัวขอ้ ธาตุอาหาร 4.7 ใหน้ ักเรียนแตล่ ะกลุ่มสรปุ เนือหาตามหัวขอ้ ท่กี ลุ่มตนเองได้รับมอบหมายลงในสมุดบันทกึ ของตนเอง 4.8 ให้แตล่ ะกลุ่มสง่ ตัวแทนกลุม่ ออกมาน้าเสนอหวั ข้อทตี่ นเองได้รับหน้าชนั เรียน 4.9 นกั เรยี นบนั ทึกขอ้ มลู และสรปุ ใจความสา้ คญั จากการนา้ เสนอของเพ่อื นกลมุ่ อ่นื 4.10 ครูสุ่มตัวแทนนกั เรยี น 3-4 คน สรุปปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ การสังเคราะห์ด้วยแสง 4.11 นักเรยี นและครรู ่วมกนั อภิปรายผลจากการศกึ ษาปัจจัยทีม่ ีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง เพอื่ ใหข้ ้อสรุป ว่า พืชจา้ เป็นต้องการแสง ปริมาณคารบ์ อนไดออกไซด์ อณุ หภูมิทพ่ี อเหมาะ นอกจากนอี ายุของใบ ปรมิ าณน้า และธาตอุ าหารทพี่ ืชไดร้ บั ล้วนสง่ ผลต่อกระบวนการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพืช 4.12 ครูสุม่ ตวั แทนนักเรยี น 1 คน ลกุ ขึนตอบค้าถามจากคา้ ถามท้าทายการคิดขนั สูง จากนนั ครแู ละ นกั เรยี น รว่ มอภปิ รายคา้ ตอบจากคา้ ถามท้าทายการคิดขนั สูง โดยใหม้ คี า้ ถามดงั นี 1)หากน้าสตรอว์เบอร์รีไปปลกู ทปี่ ระเทศอียปิ สจ์ ะเป็นอยา่ งไร แนวตอบ สตรอว์เบอร์รไี ม่เจริญและตายลงในที่สุด เน่ืองจากอุณหภูมไิ ม่เหมาะสมต่อการทา้ งาน ของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์ด้วยแสงของ ส่งผลให้สตรอว์เบอร์รีไม่สามารถสร้าง อาหารและเจริญเติบโตได้ โดยอุณหภูมิเฉล่ียท่ีเหมาะสมควรอยู่ในช่วงประมาณ 17-20 องศาเซลเซยี ส 4.13 เพ่อื ทบทวนความเขา้ ใจของนักเรียน ครูถามค้าถามตอ่ ไปนี 1) อณุ หภมู ิมีผลต่อการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพืชอย่างไร แนวตอบ อุณหภูมิท่ีเหมาะสมจะส่งผลให้พืชมีอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงได้ดี ซึง่ พชื แต่ละชนิด มีอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงที่ต่างกัน พืช C3 สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ดีในช่วงอุณหภูมิ 1-45 องศาเซลเซียส ส่วนพืช C4 สามารถสังเคราะห์แสงได้ดีในช่วงอุณหภูมิ 8-58 องศา เซลเซียส เนือ่ งจากอณุ หภมู ิทเี่ หมาะสมมีผลต่อการทา้ งานของเอนไซม์ที่เกยี่ วข้องกบั กระบวนการ สงั เคราะห์ดว้ ยแสง 2) อายุของใบมผี ลต่อการสงั เคราะห์ด้วยแสงของพืชอยา่ งไร

๒๔๑ แนวตอบ ใบที่เจริญเติบโตเต็มท่ีจะมีความสามารถในการสังเคราะห์ด้วยแสงสูงกว่าใบพืชท่ีแก่ หรอื ออ่ น เน่ืองจากออร์แกเนลล์ (Organelles) ทภี่ ายในใบทีแ่ ก่ เริ่มเสอื่ มลง สว่ นใบท่อี อ่ นเกนิ ไป การพฒั นาของเซลล์และสารบางชนิดยงั ไม่สมบูรณ์ 3) น้ามีผลตอ่ การสังเคราะห์ด้วยแสงของพชื อย่างไร แนวตอบ น้ามีผลต่อการเปิด-ปิดของปากใบ หากพืชขาดน้าอัตราการสังเคราะห์ด้วยแสง จะลดลง เน่ืองจากปากใบพชื จะปิด เพ่อื รกั ษาสมดลุ น้าในร่างกายพืช 4) ธาตุอาหารชนิดใดมีผลต่อการสงั เคราะหด์ ้วยแสงของพชื จงยกตัวอย่าง แนวตอบ ธาตุแมกนีเซียมเป็นองค์ประกอบส้าคัญในสารประกอบคลอโรฟิลล์ ธาตุเหล็กเป็น องค์ประกอบส้าคัญระบบแสง II 4.14 ใหน้ กั เรยี นทา้ แบบฝกึ หดั ชวี วิทยา ม.5 เล่ม 1 4.15 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5-6 คน ท้ารายงาน เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการสังเคราะห์ด้วยแสงของพชื แลว้ นา้ เสนอในรูปแบบที่สวยงาม ข้ันท่ี 5 ประเมนิ ผล 5.1 วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล 1. ประเมนิ จากสมุดบันทกึ 2. ประเมินจากใบกิจกรรม 3. ประเมินพฤติกรรมนกั เรียน 5.2 เครอ่ื งมอื วดั และประเมนิ ผล 1. แบบเฉลยรายงานสมดุ บันทกึ 2. แบบประเมินใบกจิ กรรม 3. แบบประเมินพฤติกรรมนกั เรียน 5.3 เกณฑก์ ารวัดและการประเมนิ ผล 1. การประเมินจากสมดุ บันทึก ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 70 2. การประเมนิ ใบกจิ กรรม ผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 80 3. การประเมินพฤติกรรมนกั เรยี น ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 80 11. สอ่ื /แหล่งการเรยี นรู้ 11.1 หนงั สอื เรยี นสาระการเรยี นร้ชู วี วทิ ยา 3 11.2 เพาเวอร์พอยท์ เรื่อง ปจั จยั บางประการทีม่ ีผลตอ่ การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง 11.3 ใบกิจกรรมท่ี 4.5 เรื่อง ปัจจัยบางประการทม่ี ีผลต่อการสังเคราะห์ดว้ ยแสง 11.4 สมุดบันทกึ

๒๔๒ 12. หลกั ฐานการเรยี นรู้และวิธกี ารประเมนิ วธิ กี ารวดั เครื่องมอื วัด เกณฑก์ าร จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ (K P A) - ใบกจิ กรรม ประเมนิ - สมุดบันทึก ผ่านเกณฑ์ ดา้ นความรู้ (K) - ตรวจใบกิจกรรม ร้อยละ 70 - แบบประเมนิ ของคะแนน 1. ผู้เรียนสามารถอธิบายปัจจัยความเข้มของแสง - ตรวจสมุดบันทึก ชินงาน ผ่านเกณฑ์ ได้ - แบบประเมิน คณุ ภาพระดบั พฤตกิ รรม 2 ดา้ นทกั ษะ (P) - ตรวจผลงาน 1. ผู้เรยี นสามารถสรุปปัจจัยความเข้มของแสงได้ - สงั เกตความตังใจ ผา่ นเกณฑ์ และความ คุณภาพระดับ ด้านเจตคติ (A) รบั ผดิ ชอบในการ 2 1. ความสนใจ ปฏบิ ตั กิ จิ กรรม 2. การตรงตอ่ เวลา 3. การตอบค้าถาม - สงั เกตพฤตกิ รรม 4. การยอมรับฟังผอู้ ่นื การเรียนรู้ 5. ความรบั ผดิ ชอบ

๒๔๓ ใบงานท่ี 4.5 เรื่อง ปัจจยั บางประการท่มี ผี ลต่ออัตราการสังเคราะหด์ ้วยแสง คาช้ีแจง : จงเติมข้อความลงในช่องว่างให้ความสมบรู ณ์และถกู ต้อง 1.ความเขม้ ของแสงมผี ลตอ่ อตั ราการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืชอย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 2.ความเขม้ ขน้ ของคารบ์ อนไดออกไซดม์ ผี ลต่ออตั ราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพชื อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3.ระดบั อณุ หภูมมิ ีผลต่ออัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชอยา่ งไร และอณุ หภมู ทิ เี่ หมาะสม ต่อการ สังเคราะหด์ ้วยแสงคอื ก่ีองศาเซลเซยี ส ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4.“ไลท์คอมเพนเซชันพอยท์” (Light compensation point) คืออะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 5.จุดอิม่ ตัวของคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbondioxide saturation point) คอื อะไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 6. ปจั จยั ทม่ี ผี ลต่ออัตราการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพชื มีอะไรบา้ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….

๒๔๔ 7. อายใุ บมีผลตอ่ อตั ราการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพืชอยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 8. พืชทอี่ ยใู่ นสภาวะขาดนา้ มีผลทาใหอ้ ัตราการสังเคราะหด์ ้วยแสง อย่างไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 9. ธาตแุ มกนเี ซยี ม และธาตุไนโตรเจน มคี วามสาคัญตอ่ พชื อยา่ งไร ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. 10. เพราะเหตใุ ด พืช C3 จึงมจี ุดอ่มิ ตัวของคารบ์ อนไดออกไซดส์ ูงกว่าพืช C4 ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ช่ือ-สกลุ ..................................................................................................ชัน้ ....................เลขที่..................

๒๔๕ เฉลยใบงานท่ี 4.5 เรอื่ ง ปจั จัยบางประการทีม่ ีผลตอ่ อตั ราการสังเคราะหด์ ้วยแสง คาชแ้ี จง : จงเติมข้อความลงในช่องวา่ งให้ความสมบูรณแ์ ละถกู ต้อง 1. ความเข้มของแสงมีผลตอ่ อตั ราการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื อย่างไร ตอบ ความเข้มแสงมผี ลตอ่ อัตราการสงั เคราะหด์ ้วยแสง โดยความเข้มของแสงเพิ่มขนึ อัตรา การสงั เคราะห์ ดว้ ยแสงก็จะเพ่ิมขึนตาม จนถงึ ความเขม้ ของแสงระดบั หนงึ่ อตั รา การสงั เคราะห์ดว้ ยแสงจะคงที่ไม่ เปล่ยี นแปลง 2. ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์ มผี ลต่ออัตราการสังเคราะหด์ ้วยแสงของพืชอยา่ งไร ตอบ ความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์มีผลต่ออตั ราการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง โดยที่ระดบั ความเข้มขน้ ของ CO2 ตา่้ อัตราการสงั เคราะหด์ ้วยแสงจะเพ่มิ ตามความเข้มขน้ ของ CO2 จนถึงระดบั หนึ่งอตั ราการสังเคราะห์ ด้วยแสงก็จะคงท่ี 3. ระดบั อณุ หภมู ิมีผลตอ่ อตั ราการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพชื อยา่ งไร และอุณหภูมทิ ่ีเหมาะสม ต่อการ สงั เคราะหด์ ้วยแสงคือก่อี งศาเซลเซียส ตอบ อุณหภูมมิ ีผลตอ่ อัตราการสังเคราะห์ดว้ ยแสง โดยมชี ว่ งทเ่ี หมาะสมตอ่ การสังเคราะห์ ด้วยแสง และการ สังเคราะหด์ ้วยแสง จะไม่เกิดขึนเลยถ้าอณุ หภูมิต้่าเกนิ ไป หรอื สงู เกนิ ไป และอณุ หภูมิท่เี หมาะสมที่สุด คือ 25 องศาเซลเซียส 4. ไลท์คอมเพนเซชนั พอยท์ (Light compensation point) คืออะไร ตอบ ไลทค์ อมเพนเซชนั พอยท์ คือความเข้มของแสงทีอ่ ตั ราการสังเคราะห์ด้วยแสงเป็น 0 หรือ คือความเข้ม ของแสงทที่ า้ ให้อัตราการคาย CO2 ของกระบวนการหายใจเทา่ กบั ปรมิ าณ CO2 ทถ่ี ูกตรึงไปใช้ใน กระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง 5. จุดอมิ่ ตัวของคารบ์ อนไดออกไซด์ (Carbondioxide saturation point) คอื อะไร ตอบ จดุ อ่ิมตัวของคาร์บอนไดออกไซด์ คอื ความเข้มข้นของ CO2 สูงสดุ ท่ที ้าให้เกิดอตั รา การสงั เคราะห์ด้วย แสงสูงท่สี ดุ ซึง่ เมอ่ื เพิม่ ความเขม้ ขน้ ของ CO2 กไ็ ม่ท้าใหอ้ ตั รา การสังเคราะหด์ ว้ ยแสงเพมิ่ ขึน 6. ปัจจยั ทมี่ ีผลตอ่ อัตราการสังเคราะห์ด้วยแสงของพชื มอี ะไรบ้าง ตอบ ปัจจยั ท่ีมผี ลตอ่ อตั ราการสังเคราะหด์ ้วยแสง ได้แก่ ความเขม้ ของแสง คารบ์ อนไดออกไซด์ อุณหภมู ิ อายุ ใบ ปริมาณน้า ธาตุอาหาร 7. อายใุ บมีผลตอ่ อัตราการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพืชอยา่ งไร ตอบ อายุใบทีไ่ ม่ออ่ นเกินไป และไม่แกเ่ กนิ ไป ท้าให้เกิดอัตราการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง อย่างเตม็ ท่ี 8. พชื ทีอ่ ยู่ในสภาวะขาดน้ามีผลทาใหอ้ ัตราการสงั เคราะห์ด้วยแสง อยา่ งไร ตอบ พชื ทอี่ ยใู่ นสภาวะขาดน้า ท้าให้ปดิ ปากใบ เพื่อสงวนรักษาน้าไวใ้ นเซลลท์ ้าให้ CO2 แพร่เข้าสู่ใบไดย้ าก ขึน อตั ราการสงั เคราะห์ด้วยแสงกจ็ ะลดลง

๒๔๖ 9. ธาตุแมกนเี ซียม และธาตุไนโตรเจน มคี วามสาคญั ต่อพืชอย่างไร ตอบ ธาตแุ มกนเี ซียม และไนโตรเจน เป็นธาตุสา้ คัญในการสร้างคลอโรพลาสต์ ถ้าขาด พืชจะสรา้ งคลอโรฟลิ ล์ ไมไ่ ด้ ใบจะเหลืองซีด การสังเคราะห์ดว้ ยแสงลดลง 10.เพราะเหตใุ ด พืช C3 จงึ มจี ุดอิม่ ตัวของคาร์บอนไดออกไซดส์ ูงกวา่ พืช C4 ตอบ พืช C3 มกี ารตรึง CO2 ที่มโี ซฟลิ ล์อย่างเดยี ว และตรงึ ไดต้ ลอดเวลาทมี่ ี CO2 และขณะทเี่ กิดการ สังเคราะห์ดว้ ยแสง O2 ที่ปลอ่ ยออกมาจะไปรวมตัวกับ RuBP โดยการเร่งปฏิกริ ิยาของ RuBisCO ท้าให้ สามารถตรึง CO2 ได้มากกว่า สว่ นพืช C4 ตรึง CO2 ครงั แรก ทม่ี โี ซฟลิ ล์ สว่ นครังที่ 2 ตรึงที่เซลล์บันเดิลชีท ทา้ ให้ CO2 ถูกตรงึ โดย RuBP โดย การ เรง่ ปฏกิ ริ ิยาของ RuBisCO ในวฏั จกั รคัลวนิ ท้าให้มีการใช้ CO2 อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

๒๕๗ สรปุ ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ประจาหน่วยการเรยี นรู้ 1. ด้านความรู้ …………………………………………………………………………………………………………………..… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………….………………………………………………………..… (พจิ ารณาตามความรคู้ วามสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรยี นรขู้ องของหน่วยการเรยี นร)ู้ จานวน………….คน คิดเปน็ รอ้ ยละ……… 2. ด้านทกัษะ/กระบวนการ ………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… (พิจารณาตามทกั ษะ/กระบวนการทใี่ ชใ้ นการฝกึ ปฏบิ ัติ ผู้เรียนประจาหนว่ ยการเรียนร)ู้ จานวน………….คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ…………… 3. ดา้ นคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ 3.1 คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์(ประจาหนว่ ยการเรยี นรู)้ …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………….………………………………………………………………………… (พิจารณาตามคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคป์ ระจาหน่วยการเรียนร)ู้ จานวน………….คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ…………… 8.3.2 คุณลักษณะอันพึงประสงค(์ ประจากล่มุ สาระการเรียนรู้หรอื ประจารายวชิ า) …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …….……………………………………………………………………………………………………………………………………………… (พจิ ารณาตามคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องกลมุ่ สาระการเรียนรู้หรอื ประรายวิชา) จานวน………….คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ…………… 4. ด้านสมรรถนะสาคญั ผู้เรียน …………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………….…………………………………………………………………… (พิจารณาตามสมรรถนะสาคัญของผู้เรยี นในหนว่ ยการเรียนรู)้ จานวน………….คน คดิ เปน็ ร้อยละ…………… 8.5 สรุปผลจากการประเมนิ ชน้ิ งาน (รวบยอด) ประจาหน่วยการเรียนรู้ 8.5.1 ระดบั คณุ ภาพดีมาก จานวน...............คน คดิ เป็นรอ้ ยละ……………… 8.5.2 ระดบั คุณภาพดี จานวน...............คน คดิ เป็นร้อยละ……………… 8.5.3 ระดับคณุ ภาพพอใช้ จานวน...............คน คิดเป็นร้อยละ……………… 8.5.4 ระดบั คณุ ภาพปรบั ปรุง จานวน...........คน คิดเปน็ ร้อยละ………………