หลกั สตู รสถานศกึ ษาปฐมวัย โรงเรยี นชุมชนประชานกิ รอาํ นวยเวทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๔ โรงเรียนชมุ ชนประชานกิ รอาํ นวยเวทย สํานักงานเขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศึกษาปทมุ ธานี เขต ๒ สํานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐานกระทรวงศกึ ษาธิการ
ประกาศโรงเรียนชุมชนประชานกิ รอาํ นวยเวทย เรอื่ ง ใหใชหลกั สตู รปฐมวัยโรงเรียนชมุ ชนประชานกิ รอาํ นวยเวทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๔ ตามหลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั (พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐) ****************** ดวยกระทรวงศึกษาธกิ ารมีคาํ ส่ังที่ สพฐ. ๑๒๒๓ /๒๕๖๐ ใหใชหลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวยั พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ เพื่อใหการจัดการศึกษาปฐมวัยที่ตองพัฒนาเด็กตั้งแตแรกเกิด–๖ป ใหมีพัฒนาการดานรางกาย อารมณ จติ ใจ สังคม และสติปญญาทเี่ หมาะสมกบั วยั ความสามารถ และความแตกตางระหวางบุคคล เปนการ เตรียมความพรอมที่จะเรียนรูและสรางรากฐานชีวิต ใหพัฒนาเด็กปฐมวัยไปสูความเปนมนุษยที่สมบูรณ เปน คนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ และมีความรับผิดชอบตอตนเองครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ ตาม เจตนารมณของรฐั ธรรมนูญแหงราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช ๒๕๖๐ มาตรา ๕๔ และโดยอาศัยอํานาจความ ในมาตรา ๕ แหงพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ.๒๕๕๒ และที่แกไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒ ) พ.ศ.๒๕๕๔ กระทรวงศึกษาธิการจึงใหใชหลักสูตร พุทธศักราช ๒๕๖๐ แทนหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย ๒๕๔๖ เพ่ือให สถานศึกษาหรือสถาบันพัฒนาเด็กปฐมวัยทุกสังกัด นําหลักสูตรไปใชโดยใหปรับปรุงใหเหมาะสมกับเด็กและ สภาพทองถิน่ โรงเรียนชุมชนประชานิกรอํานวยเวทย จึงดําเนินการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย โรงเรียนชุมชนประชานิกรอํานวยเวทย พุทธศักราช ๒๕๖๔ ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ โดยนําสารสนเทศจากการประเมินหลักสูตรมาพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรใหมีความเหมาะสมกับสภาพ ปจจุบัน และความตองการของชุมชน ทองถ่ิน เพ่ือนําไปใชจัดการศึกษาระดับปฐมวัย ใหเด็กไดรับการพัฒนา ใหบรรลุจุดหมายวิสัยทัศน เปาหมาย และมาตรฐานคุณลกั ษณะทีพ่ ึงประสงคตามทห่ี ลักสูตรกาํ หนด อาศัยมิติของคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้นื ฐาน โรงเรียนชุมชนประชานิกรอํานวยเวทย ในคราว ประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมอ่ื วันท่ี ๓ เดอื นพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๔ เห็นชอบใหประกาศใชหลักสูตรการศึกษา ปฐมวัย โรงเรียนชุมชนประชานิกรอํานวยเวทย พุทธศักราช ๒๕๖๔ แทนหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย โรงเรียนชมุ ชนประชานกิ รอํานวยเวทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๓ ตั้งแตปการศึกษา ๒๕๖๔ เปนตนไป ประกาศ ณ วนั ที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๔ …………………….. ……………………… (นายอนกุ ูล สรุ ิยสวัสด์ิ) (นายบญุ ลือ บญุ ฤทธิโรจน) ประธานกรรมการสถานศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน ผอู าํ นวยการโรงเรียนชมุ ชนประชานกิ รอาํ นวยเวทย
คาํ นาํ กระทรวงศึกษาธิการมีคําส่ังที่ สพฐ. ๑๒๒๓/๒๕๖๐ เร่ือง ใหใชหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ แทนหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๔๖ เม่ือ วันที่ ๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เพ่อื ใหสถานศึกษาหรอื สถาบนั พฒั นาเด็กปฐมวัยทุกสงั กดั นําหลักสูตรไปใชโดยใหปรับปรุงใหเหมาะสมกับเด็ก และสภาพทองถ่ิน โรงเรียนชุมชนประชานิกรอํานวยเวทยจัดการศึกษาปฐมวัย โดยยึดนโยบายการพัฒนา การศึกษาปฐมวัย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยของกระทรวงศึกษาธิการ เปนกรอบทิศทางในการพัฒนาจัด การศึกษามาอยางจริงจังและตอเน่ือง จากคําสั่งกระทรวงศึกษาธิการที่สพฐ.๑๒๒๓/๒๕๖๐โรงเรียนจึงแตงตั้ง คณะกรรมการจัดทาํ หลกั สตู รสถานศกึ ษาปฐมวยั โรงเรียนชมุ ชนประชานกิ รอํานวยเวทยขึ้น และไดดําเนินการ ใชหลกั สตู รสถานศึกษาปฐมวยั มาระยะเวลาหน่ึงโรงเรียนจึงไดมีการประเมินหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย และ นํามาสูการพัฒนาปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยฉบับน้ีใหมีคุณภาพ และความสอดคลองกับสภาพการ เปล่ียนแปลงดานเศรษฐกิจ สังคม และความเจริญกาวหนาทางเทคโนโลยี นโยบายตางๆท่ีเก่ียวของของ หนวยงาน และประเทศชาติ เชน หลกั สตู รตานทุจรติ การสอนสะเต็มศกึ ษา โครงการบานนักวิทยาศาสตรนอย ประเทศไทย รวมถึงความตองการของชุมชน ทองถ่ิน โรงเรียนชุมชนประชานิกรอํานวยเวทยจึงไดพัฒนา ปรับปรุงหลกั สูตรสถานศึกษาปฐมวยั โรงเรยี นชุมชนประชานกิ รอํานวยเวทยพทุ ธศักราช ๒๕๖๔ ฉบบั น้ขี ้นึ โรงเรียนชุมชนประชานิกรอํานวยเวทยขอขอบคุณ ผูท่ีมีสวนเก่ียวของทุกทาน ท้ังคณะกรรมการที่ปรึกษา ผทู รงคณุ วุฒดิ านการศึกษาปฐมวยั ศึกษานิเทศก คณะกรรมการสถานศึกษา คณะผูบริหารโรงเรียน ครูปฐมวัย ครูชั้นประถมศึกษาปที่ ๑ ตัวแทนผูปกครอง ตัวแทนชุมชน ตลอดจนบุคลากรทุกคนที่มีสวนรวมในการจัดทํา หลักสูตรสถานศึกษาปฐมวยั โรงเรียนชมชนประชานกิ รอํานวยเวทย พุทธศักราช ๒๕๖๔ ใหสําเร็จ และมีความ เหมาะสม มคี ณุ ภาพในการนาํ ไปใชจัดการศกึ ษาปฐมวัย ……………………………………… นายบุญลือ บุญฤทธิโรจน ผูอาํ นวยการโรงเรียนชมุ ชนประชานกิ รอํานวยเวทย
สารบัญ หนา คํานาํ ๑ ประกาศใชหลักสตู รสถานศกึ ษาปฐมวัยโรงเรยี นชมุ ชนประชานกิ รอํานวยเวทย ๑๕ สวนท่ี ๑ ขอมูลพืน้ ฐานโรงเรียน ๑๖ สวนที่ ๒ ความนํา ๑๖ ๑๖ ปรชั ญาการศึกษาปฐมวัย ๑๗ หลกั การ ๑๗ วิสัยทัศน ๒๐ เปาหมาย ๒๑ แนวคดิ การจัดการศึกษาปฐมวัย ๓๑ สวนที่ ๓ หลกั สตู รสถานศกึ ษาปฐมวัยโรงเรยี นชุมชนประชานิกรอํานวยเวทย ๓๓ มาตรฐานคุณลกั ษณะท่ีพงึ ประสงค ๓๓ โครงสรางหลกั สตู ร ๔๐ สาระการเรียนรู ๔๔ ๔๖ - ประสบการณสาํ คญั ๔๘ - สาระที่ควรเรยี นรู 5๐ ขอบขายเวลาเรียนและสาระการเรียนรู เดก็ อายุ ๓ ป ๕๓ ขอบขายเวลาเรียนและสาระการเรยี นรู เด็กอายุ ๔ ป ๕๗ ขอบขายเวลาเรียนและสาระการเรยี นรู เดก็ อายุ ๕ ป ๗๔ การจดั หนวยการเรยี นรูรายป ๗๖ การจดั ประสบการณ ๘๕ ตารางกิจกรรมประจําวัน ๘๙ การสรางบรรยากาศการเรียนรู ๙๑ สอ่ื และแหลงการเรยี นรู ๙๒ การประเมนิ พัฒนาการ ๙๖ การบรหิ ารจัดการหลักสูตร บทบาทครปู ฐมวัยพอแม ผปู กครองเดก็ ปฐมวยั การเชื่อมตอระดับการศึกษาปฐมวยั กับประถมศกึ ษาปท่ี ๑ สวนท่ี ๓ หลกั สตู รตานทุจรติ ศึกษา
สารบญั หนา เอกสารอางอิง ภาคผนวก - ตารางวิเคราะหมาตรฐาน/ตวั บงช้ี/สภาพทพ่ี งึ ประสงค/ - คาํ ส่ังแตงตง้ั คณะกรรมการจดั ทําหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัย - แบบตรวจสอบคณุ ภาพของหลกั สูตรสถานศกึ ษากอนนาํ ไปใช - แบบนิเทศ ตดิ ตามการเรยี นการสอน (นเิ ทศภายใน) - แบบประเมินคณุ ภาพของแผนการจดั ประสบการณ - แบบฟอรมการเขียนแผนการจัดประสบการณ
1 ส่วนท่ี ๑ ขอ้ มูลพื้นฐานโรงเรยี น
2 ๑.ขอ้ มลู ท่วั ไป โรงเรียนชุมชนประชานิกรอานวยเวทย์ ตั้งอยูํที่ หมํู ๘ ตาบลหนองสามวัง อาเภอหนองเสือ จงั หวัดปทมุ ธานี รหสั ไปรษณยี ์ ๑๒๑๗๐ โทรศัพท์ ๐๒๙๐๕๘๔๖๙ โทรสาร ๐๒๙๐๕๘๔๖๙ e-mail :prachanikorn12 website pk.siamscool.info ประวตั โิ รงเรียนโดยย่อ ประวตั โิ รงเรยี นชมุ ชนประชานกิ รอานวยเวทย์เริ่มก่อตั้งเม่ือ พ.ศ.2480 โดยช่ือว่า“โรงเรียน หนองสานกั ”ต่อมาเปลี่ยนช่ือเป็น “โรงเรียนชุมชนประชานิกรอานวยเวทย์” โดยต้ังอยู่ในที่ของวัดฝั่ง ตะวันออกของคลองระบายน้าที่ 12 พ.ศ. 2521 โดยสร้างในท่ี จานวน 5 ไร่ ปี พ.ศ. 2524 ได้รับ การแต่งตั้งให้เป็น โรงเรียนชุมชนโดยใช้ชื่อว่า “โรงเรียนชุมชนประชานิกรอานวยเวทย์” และได้ทา การเปิดการเรียนการสอนในระดับเด็กเล็ก อย่างเป็นทางการจานวน 1 ห้องเรียน ปี พ.ศ. 2535 ทางโรงเรียนได้รับคาส่ังจาก สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ ให้เปิดเป็นโรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษาและมีนักเรียนในระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 เป็นปีแรก ปี พ.ศ. 2536 ได้ เปิดระดับชั้นอนุบาล 1 เป็นปีแรก และมีนักเรียนเรียนช้ันอนุบาล 2 ในระดับช้ันเด็กเล็กจึงหมดไป และนักเรียนท่ีจบหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) เป็นปีแรก ปี พ.ศ. 2539 ทางโรงเรียนได้ร่วม กิจกรรมโครงการปฏิรูปการศึกษา ได้ห้องปฏิบัติการทางภาษาพร้อมอุปกรณ์ จานวน 1 ห้อง และได้ ห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ จานวน 1 ห้อง ได้ก่อสร้างอาคารแบบ 105/29 จานวน 5 ห้องเรียน เปน็ เงนิ 1,710,000 บาท สรา้ งสว้ ม 8 ทีน่ ง่ั ตามแบบ 601/26 เป็นเงิน 180,000 บาท ปี พ.ศ. 2543 ทางโรงเรียนได้รับงบบริจาคสร้างส้วม ตามแบบดัดแปลงของกรมสามัญ 6 ท่ีนั่ง งบประมาณ 41,550 บาท และสร้างแท่นประดิษฐานพระพุทธรูป และในปีเดียวกัน ทางโรงเรียนได้รับ งบประมาณสนับสนุนเคร่ืองคอมพิวเตอร์ พร้อมอุปกรณ์ จานวน 15 เครื่อง จากองค์การบริหารส่วน จังหวัดปทุมธานี เป็นเงิน 600,000 บาท ปี พ.ศ. 2548 โรงเรียนได้งบประมาณจากองค์การ บริหารส่วนจงั หวัดในการดาเนนิ การกอ่ สร้างอาคารเรียน อาคารบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ปี พ.ศ. 2550 และจัดการทอดผ้าป่าเพื่อการศึกษาปี พ.ศ. 2552 ทางโรงเรียนได้รับงบประมาณจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ให้ปรับปรุงต่อเติมใต้ถุนอาคาร 3 เป็นห้องประชุมพร้อม เทคโนโลยีครบครนั และได้งบประมาณตามโครงการส้วมสุขสันต์ จัดทอดผ้าป่าเพ่ือการศึกษาเพ่ือนา เงนิ ซ้ือท่ดี ินสว่ นทร่ี ุกล้า จานวน 184 ตารางวาปี พ.ศ. 2553 ทางโรงเรียนได้งบประมาณดาเนินการ ดาเนินการก่อสร้างส้วมสุขสันต์ และปรับปรุงร้ัวด้านหน้าโรงเรียน โรงอาหาร ห้องคอมพิวเตอร์ ปี พ.ศ. 2554 โรงเรียนได้รับงบประมาณ 2,000,000 บาท ก่อสร้างลานกีฬาหลังคาโดม ปี พ.ศ. 2555 ได้รับงบประมาณ กอ่ สร้างอาคารห้องสมุดโรงเรียน 1,000,000 บาท ปี พ.ศ. 2558 ได้รับ งบประมาณ กอ่ สร้างอาคารยกระดบั
3 แผนท่ีโรงเรียนชุมชนประชานกิ รอานวยเวทย์ โรงเรียนชมุ ชนประชานิกรอานวยเวทย์ โรงงานน้ามะนาว โรงเรียนราษฎรส์ งเคราะห์วทิ ยา ถนนเลยี บคลองสิบสอง คลอง๑๒ เทศบาลเมือง ถนนรงั สติ – นครนายก สน่ันรักษ์ คลองรังสติ
4 ๒.ข้อมูลด้านผู้บริหาร ทาเนยี บผบู้ ริหาร รายชือ่ ผู๎บริหารโรงเรียนชมุ ชนประชานกิ รอานวยเวทย์ ต้งั แตํอดตี จนถึงปัจจุบัน ท่ี ชอ่ื - สกุล ตาแหนํง ปีทีด่ ารงตาแหนํง หมายเหตุ ๑ นายพร คม๎ุ วงษา ครูใหญํ พ.ศ. ๒๔๘๐ ๒ นายแฉล๎ม ทองสอน ครใู หญํ _ ๓ นายศิลป์ แกํนจันทร์ ครใู หญํ _ ๔ นายผดุง รอดวงษ์ ครูใหญํ _ ๕ นายพร เผื่อนละมุด ครใู หญํ _ ๖ นายเสนาะ คชสนิ ธ์ ครูใหญํ _ ๗ ร.ต.ต.บุญสอ โรจนวิชเวตร์ ครูใหญํ _ ๘ นายพุด กล่นิ ผกา ครูใหญํ ๙ นายนโิ รธ เทวคุปต์ ครใู หญํ พ.ศ. ๒๔๘๗-๒๔๘๘ ๑๐ นายประเสรฐิ หมวกเพรช อาจารยใ์ หญํ พ.ศ. ๒๔๘๙-๒๕๑๑ ๑๑ นายววิ รณ์ คาสใี หมํ ผู๎อานวยการ พ.ศ. ๒๕๑๒-๒๕๑๓ ๑๒ นายประสิทธ์ิ วิไลลกั ษณ์ ผ๎ูอานวยการ พ.ศ. ๒๔๑๓-๒๕๔๑ ๑๓ นายสมบรู ณ์ ผลนาค ผ๎อู านวยการ พ.ศ. ๒๕๔๑-๒๕๔๙ ๑๔ นายมนัส เอ่ยี มรตั นโยธนิ ผูอ๎ านวยการ พ.ศ. ๒๕๔๙-๒๕๕๐ ๑๕ นายวิเชยี ร น๎อยสถติ ผอู๎ านวยการ พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๑ ๑๖ นายบญุ ลอื บุญฤทธโิ รจน์ ผอู๎ านวยการ พ.ศ.๒๕๕๗-๒๕๖๐ พ.ศ.๒๕๖๑-ปจั จุบนั
5 ขอ้ มลู บุคลากรของสถานศกึ ษา ครูประจาการ อายุ ภาระงาน อายุ ราชการ ที่ ชอ่ื – ชือ่ สกุล ตาแหนง่ / วุฒิ วชิ าเอก สอน (ป)ี วทิ ยฐานะ การศกึ ษา (ชม./ สปั ดาห)์ ผูอ๎ านวยการ กศ.บ. สังคมศกึ ษา - ชานาญการพิเศษ ป.บัณฑิต บริหารการศกึ ษา ๑ นายบุญลือ บุญฤทธโิ รจน์ ๕๙ ๔๐ ๒ นางสาวมลกาญจน์ มาตแมน๎ ๓๕ ๕ปี ๖เดอื น ครู ศษ.ม. การบรหิ ารการศึกษา ๒๑ ๓ นายกติ ตศิ ักดิ์ ธระปราบ ๓๐ ๕ ปี ๔ เดือน ครู ค.บ. คณิตศาสตร์ ๒๑ ๔ นางสาวนนั ทมาศ ชน่ื ฉ่า ครู ค.บ. คณติ ศาสตร์ ๒๑ ๕ นางสาวหทยั ทพิ ย์ สสี วํ น ๒๙ ๕ปี ๔ เดอื น ครู ค.ม. วิธีวิทยาวจิ ยั ทางการศึกษา ๒๑ ๖ นางนฎั พงศ์ สมพรเจริญ ครู ค.บ. คณิตศาสตร์ ๒๑ ๗ นางสาวรชั นู ละอองเอก ๓๒ ๔ ปี ๓ เดือน ครู ค.บ. คณติ ศาสตร์ ๒๑ ๘ นางสาวอโนชา ใจคง ครู ค.บ. วิทยาศาสตร์ ๒๑ ๙ นางสาวเปียทิพย์ ย้ิมญวน ๒๘ ๓ ปี ๖ เดือน ครู ค.บ. ภาษาไทย ๒๑ ๑๐ นางสาวกลั ยาพร ขวัญถาวร ๒๘ ๓ ปี ๖ เดอื น ครู ค.บ. ปฐมวยั ๓๐ ๒๘ ๓ ปี ๖ เดอื น ๒๖ ๒ ปี ๙ เดอื น ๓๒ ๒ปี ๙ เดอื น ๑๑ นางสาวสมฤทยั สมสอางค์ ๒๗ ๒ ปี ๑ เดอื น ครู ค.บ. ภาษาไทย ๒๑ ๑๒ นางสาวศุภาภร สารใจ ๒๗ ๒ ปี ๑ เดือน ครู ค.บ. ภาษาไทย ๒๑ ๑๓ นางสาวณชิ ชาพร ทองพานิชย์ ๒๗ ๒ ปี ๑ เดือน ครู ค.บ. ภาษาไทย ๒๑ ๑๔ นายสมชาย จิตตสขุ ๓๒ ๒ ปี ๑ เดอื น ครู ศ.บ. ดนตรีสากล ๒๑ ๑๕ นายภมู ใิ จ แกว๎ ใส ๓๕ ๒ ปี ครู วท.บ. สัตวศาสตร์ ๒๑ ๑๖ นายอชิรวชิ ญ์ ขนั คา ครผู ู๎ชวํ ย ค.บ. พลศึกษา ๒๒ ๒๖ ๑ ปี ๙เดอื น
6 ๑๗ นายชวั ยวฒั น์ ศรยี างกลุ ๔๕ ๑ ปี ครูผ๎ชู วํ ย ค.บ. พลศกึ ษา ๒๑ ครผู ช๎ู ํวย ค.บ. พลศกึ ษา ๑๘ นายธงชัย สวุ รรณประทปี ๔๐ ๑ปี ครผู ู๎ชํวย ค.บ. คณติ ศาสตร์ ๒๑ ครูผชู๎ วํ ย ค.บ. คอมพิวเตอร์ศึกษา ๒๑ ๑๙ นางสาวสุกัญญา สวรรคทตั ๔๒ ๑ ปี ครูผช๎ู ํวย ค.บ. ภาษาไทย ๒๑ ครูผ๎ชู วํ ย ค.บ. ศิลปศกึ ษา ๒๑ ๒๐ นายสทุ ธศิ ักด์ิ ซอ่ื สตั ย์ ๓๐ ๑ ปี ครูผชู๎ ํวย ศษ.บ. การศึกษาปฐมวยั ๒๑ ๒๕ ๒๑ นายอุทยั ราญมชี ยั ๒๘ ๑ ปี ๒๒ นายสามารถ ออํ นศรีชยั ๒๙ ๑ ปี ๒๓ นางสาวนรศิ รา กจิ ประเสริฐ ๒๙ ๙ เดือน ครอู ตั ราจ้าง ท่ี ชอื่ – ชื่อสกลุ อายุ วฒุ ิ วชิ าเอก ภาระการสอน จ้างด้วยเงิน (ชม./สปั ดาห์) ๑ นายเฉลมิ พล ศรีจนิ ดา ๕๘ ค.บ. ศลิ ปศึกษา Sp๒ ๒ นางสาวเพรชรัตน์ อม่ิ ย้มิ ๒๙ ค.บ. ปฐมวัย ๒๑ อบจ. ปทมุ ธานี ๓ นางสาวอุษา เฮงทรัพย์ ๓๐ บธ.บ. การพัฒนาชุมชน ๔ นางสาวนภสั ร์นนั ท์ จนั ทร์ทะศร ๔๓ บธ.บ. การจัดการทว่ั ไป ๓๐ อบต. หนองสามวัง ๕ นายประจักษ์ นาคศริ ิ ๓๗ ป.๖ ประถมศกึ ษาปีท่ี ๖ ๓๐ เจา๎ หน๎าทธี่ ุรการ สพฐ. สพฐ. นกั การภารโรง บุคลากร ผบู้ รหิ าร ครูผสู้ อน พนักงาน ครอู ัตราจา้ ง เจ้าหน้าที่ ราชการ ๓ อน่ื ๆ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๔ ๑ ๒๓ - ๒
7 ๓.ข้อมูลด้านนโยบาย วสิ ัยทศั นส์ ถานศึกษา ภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ จัดการศกึ ษามํุงพฒั นาผู๎เรยี นทุกคนให๎มคี วามร๎ูคคูํ ุณธรรม มสี ขุ ภาพราํ งกายแขง็ แรง มีคณุ ภาพตามมาตรฐานการศึกษา สํงเสริมวิชาการและเทคโนโลยี มีนิสัยรักการอําน สืบสาน งานประเพณีวัฒนธรรมไทย มีใจรักส่ิงแวดล๎อม น๎อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงใน การดาเนินชีวิต เน๎นประสานความรํวมมือจากทกุ ภาคสํวน อัตลักษณส์ ถานศกึ ษา โรงเรยี นสะอาด ปลอดภัย นําอยํู นาํ เรียน เอกลักษณ์สถานศกึ ษา รํางกานสะอาด เกํงการกีฬา กลยทุ ธแ์ ละจดุ เน้น กลยทุ ธท์ ่ี 1 ผ๎ูเรยี นมสี ุขภาพรํางกายแขง็ แรง มสี มรรถภาพทางกายและนา้ หนักสวํ นสูงตาม กลยทุ ธ์ท่ี 2 ผูเ๎ รียนมีความภาคภูมใิ จในท๎องถน่ิ ในความเป็น ไทยและเหน็ คณุ คําเก่ียวกบั ภมู ิ ปัญญาไทย และแสดงออกได๎อยํางเหมาะสม จดุ เน้นการดาเนินงาน โรงเรียนชมุ ชนประชานกิ รอานวยเวทย์ กาหนดจุดเนน๎ การดาเนินการ ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ โดยแบงํ เป็น ๓ สํวน ดงั นี้ ๑. ดา้ นคณุ ภาพผู้เรียน ๑.๑ ผ๎ูเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น นักเรียนกล๎าแสดงออก รําเริง แจํมใส สขุ ภาพกายแขง็ แรง และเป็นผม๎ู ีคุณธรรมจรยิ ธรรมตามที่สถานศึกษากาหนด ๑.๒ ผเ๎ู รยี นอาํ นหนงั สือออกและอาํ นคลอํ ง รวมทั้งสามารถเขียนเพ่ือการส่ือสาร ได๎ทุกคน สามารถใช๎เทคโนโลยีในการแสวงหาความร๎ูได๎ด๎วยตนเอง สํงผลให๎ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนอยํูในระดบั ดี ๑.๓ ผู๎เรียนมีสุขภาพรํางกายแข็งแรง มีสมรรถภาพทางกายและน้าหนักสํวนสูง ตามเกณฑ์ เคารพกฎกตกิ า ระเบยี บของสงั คม เปน็ ตน๎ ๑.๔ ผู๎เรียนอํานและเขียนได๎เหมาะสมตามระดับช้ัน สามารถสื่อสารภาษาไทย ได๎เข๎าใจ ชัดเจน กล๎าแสดงออก มีความคิดริเร่ิม และสร๎างสรรค์ ผลงานด๎วยความ
ภาคภูมิใจ โดยมีการสืบค๎นข๎อมูล หรือแสวงหาความรู๎จากส่ือเทคโนโลยีได๎ด๎วยตนเอง สามารถวิเคราะห์ จาแนกแยกแยะได๎วําส่ิงไหนดี สาคัญ จาเป็น รวมท้ังรู๎เทําทันส่ือและ สังคมที่เปลยี่ นแปลงอยาํ งรวดเร็ว ๑.๕ ผ๎ูเรียนมีความภาคภูมิใจในท๎องถิ่น ในความเป็น ไทยและเห็นคุณคํา เกี่ยวกับภูมิปัญญาไทย และแสดงออกได๎อยํางเหมาะสม จนเป็นเอกลักษณ์ของ สถานศึกษาเป็นท่ียอมรับของชมุ ชน ๑.๖ ผ๎ูเรียนรู๎และตระหนักถึงโทษและพิษภัยของส่ิงเสพติด เลือกรับประทาน อาหารท่ีสะอาดและมี ประโยชน์ รักการออกกาลังกาย มีสุขภาพรํางกาย แข็งแรง มี สมรรถภาพทางกายและน้าหนัก-สํวนสูง ตามเกณฑ์ นักกีฬาของโรงเรียนได๎รับเหรียญ รางวัล หลายรางวัล และหลายประเภท จากการแขํงขันรายการตําง ๆ ในระดับศูนย์ เครอื ขํายโรงเรยี นและระดับจังหวัด ๑.๗ ผู๎เรียนได๎รับรางวัลเหรียญทองจากงานมหกรรมความสามารถทาง ศิลปหัตถกรรม วิชาการ และเทคโนโลยีของนักเรียน ปีการศึกษา ๒๕๖๒ ระดับชาติ (ภมู ภิ าคภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ) ๒. ดา้ นกระบวนการบริหารและการจัดการ ๒.๑ ผบู๎ ริหารมีความตั้งใจ มีความมุํงม่ัน มีหลักการบริหาร และมีวิสัยทัศน์ที่ ดีในการบริหารงาน สามารถเป็นแบบอยํางที่ดีในการทางาน และคณะกรรมการ สถานศกึ ษามีความต้ังใจ และมคี วามพร๎อมในการปฏิบตั หิ นา๎ ทีต่ ามบทบาท ๒.๒ โรงเรยี นมกี ารบรหิ ารและการจดั การอยาํ งเป็นระบบ แบงํ โครงสร๎างการ บริหารงานเปน็ ๔ กลํุมงาน ยึดหลกั การบรหิ ารโดยใชโ๎ รงเรยี นเปน็ ฐาน (SBM) ๒.๓ โรงเรยี นใช๎เทคนคิ การประชุมที่หลากหลายวิธี เชนํ การประชมุ แบบมีสวํ น รวํ ม การประชุมระดมสมอง การประชุมกลุมํ เพื่อใหท๎ ุกฝาุ ยมสี ํวนรํวมในการ กาหนด วสิ ยั ทัศน์ พนั ธกิจ เปาู หมาย ทช่ี ัดเจน ๒.๔ มีการปรบั แผนพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษา แผนปฏบิ ัติการประจาปี ท่ี สอดคล๎องกบั ผลการจดั การศึกษา สภาพปญั หา ความต๎องการพัฒนา และ นโยบายการ ปฏริ ปู การศึกษา ๒.๕ มีแผนพัฒนาคณุ ภาพการจัดการศกึ ษา แผนปฏบิ ัติ การประจาปี ที่ สอดคลอ๎ งกับการพัฒนาผเู๎ รียนทุก กลํมุ เปาู หมาย ๒.๖ มีการพฒั นาครูและบคุ ลากรทางการศึกษาให๎มี ความร๎ูความเชยี่ วชาญตาม มาตรฐาน ตาแหนํง ๒.๗ มขี ๎อมูลสารสนเทศที่ถูกต๎อง ครบถ๎วน ทนั สมยั สามารถนาไปประยกุ ต์ใชไ๎ ด๎
๒.๘ โรงเรยี นจัดสภาพแวดล๎อมทางกายภาพและสงั คม ทก่ี ระต๎ุนผ๎เู รียนใหใ๎ ฝุ เรียนรู๎ ๒.๙ ครผู ูส๎ อนสามารถจัดการเรียนร๎ไู ดอ๎ ยํางมีคุณภาพ มกี ารดาเนนิ การนเิ ทศ กากบั ตดิ ตาม ประเมินผลการดาเนินงาน และจดั ทารายงานผลการจดั การศึกษา ๒.๑๐ มีการระดมทรัพยากร เพอ่ื การพัฒนาคุณภาพ การศึกษาจากผูป๎ กครอง นักเรียน สํงผลให๎โรงเรยี นมี สอ่ื และแหลํงเรยี นร๎ูท่ีมีคุณภาพ ๒.๑๑ โรงเรียนให๎ความสาคญั กบั การดาเนนิ งานประกันคุณภาพภายในของ สถานศึกษา เน๎นการสร๎างความเข๎าใจและให๎ความรู๎ด๎านการประกนั คุณภาพการศึกษากับคณะครู บุคลากรทุกฝุายทเ่ี ก่ยี วข๎อง การดาเนินงานประกนั คุณภาพภายในของสถานศึกษา เน๎นการมสี ํวน รํวมของทุกกลุํมสาระการเรียนร๎ู ดาเนินการในรูปของคณะกรรมการ ซ่ึงเป็นตัวแทนจากทุกกลมํุ สาระการเรยี นรู๎ โรงเรยี นได๎มีการพัฒนาระบบการประกนั คุณภาพภายในของสถานศึกษาท้ัง๘ ข๎อ ๓. ด้านกระบวนการเรยี นการสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเปน็ สาคัญ ๓.๑ ครูพัฒนาตนเองอยเํู สมอ มีความตง้ั ใจ มํุงม่ันในการปฏิบตั ิหน๎าท่ีอยํางเต็ม เวลา และเตม็ ความสามารถ ๓.๒ ครจู ัดกจิ กรรมให๎นักเรยี นแสวงหาความร๎ูจากส่ือเทคโนโลยดี ๎วยตนเองอยําง ตํอเนอ่ื ง ๓.๓ ครูให๎นกั เรียนมสี วํ นรํวมในการจัดบรรยากาศ สภาพแวดล๎อมที่เออื้ ตํอการ เรียนร๎ู ๓.๔ ครูจดั กิจกรรมใหน๎ กั เรียนเรียนรูจ๎ ากการคิดไดป๎ ฏบิ ตั ิจรงิ ด๎วยวิธกี ารและ แหลํงเรียนรทู๎ ห่ี ลากหลาย ๓.๕ ครูมผี ลงานวิจยั ในช้นั เรียนทกุ คน ๓.๖ ครทู กุ คนจัดการเรยี นการสอนท่เี น๎นผ๎ูเรยี นเปน็ สาคัญ โดยการดาเนนิ งาน/ โครงการ/กจิ กรรมอยําง หลากหลาย ๓.๗ ครูทุกคนตัง้ ใจ มุํงมัน่ ในการพัฒนาการสอน โดยจัดกิจกรรมใหผ๎ ๎เู รียนได๎ แสวงหาความร๎ูจากสอ่ื เทคโนโลยดี ว๎ ยตนเองอยาํ งตํอเน่ือง ๓.๘ มีการนาภมู ปิ ัญญาท๎องถน่ิ เข๎ามามีสํวนรวํ มในการ จดั กิจกรรมการเรยี นรู๎ ๓.๙ ครูทกุ คนไดร๎ ับการพฒั นาตามโครงการพฒั นา หลักสูตรสถานศึกษา และ แผนการจัดการเรียนร๎ู เพื่อยกระดับผลสมั ฤทธท์ิ างการศกึ ษาของนักเรยี น ๓.๑๐ ผลการทดสอบระดบั ชาติ (O-NET) วิชาคณติ ศาสตร์ ป.๖ ได๎ ๑๐๐ คะแนนเต็ม ๑ คน ผลการทดสอบระดับชาติ (NT) ช้ัน ป.๓ มกี ารพัฒนาสูงขึ้นจากปีการศึกษา ๒๕๖๑
จดุ ควรพฒั นา ๑. ดา้ นคุณภาพผเู้ รียน ๑.๑ ผูป๎ กครองไมคํ ํอยมเี วลาในการดูแลนักเรียนเทําที่ควร เน่ืองจากภาระงานท่ี ต๎องทา ๑.๒ ควรสรา๎ งเครือขาํ ยความรวํ มมือกับผู๎มสี วํ นเก่ียวข๎องในการจัดการศึกษาของ โรงเรียน ให๎มีความเข๎มแข็ง มีสํวนรํวมรับผิดชอบตํอผลการจัดการศึกษา และการ ขับเคลือ่ นคุณภาพการจดั การศกึ ษา ๑.๓ ผู๎เรียนทุกระดับชั้นยังต๎องเรํงพัฒนาความสามารถ ในการอําน การเขียน และการส่ือสารภาษาอังกฤษ และการคดิ คานวณ ๑.๔ โรงเรียนจัดหาคอมพิวเตอร์ เพื่อบริการผ๎ูเรียน ในการสืบค๎นข๎อมูลหรือ แสวงหาความร๎จู ากสอ่ื เทคโนโลยีได๎ด๎วยตนเอง ๒. ด้านกระบวนการบริหารและการจดั การ ๒.๑ โรงเรียนควรจัดกิจกรรมเน๎นให๎ผ๎ูเรียนได๎มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ คิดสงั เคราะห์ อยํางหลากหลาย และใช๎แหลงํ เรียนร๎ูในการพัฒนาตนเอง ๒.๒ ครูควรจัดกิจกรรมพัฒนาผ๎ูเรียนในระดับชั้น ป.๔ – ม.๓ ให๎สามารถ นาเสนอ อภิปรายและแลกเปลี่ยนเรียนรู๎อยํางสมเหตุสมผล และมีทักษะในการ แก๎ปญั หาตามสถานการณ์ไดอ๎ ยํางเหมาะสม ๒.๓ ครูควรจัดกิจกรรมพัฒนาผ๎ูเรียนในระดับชั้น ป.๔ – ม.๓ ให๎มีพฤติกรรม ทัศนคติที่ดตี อํ ความเปน็ ไทยไมํหลงใหลกับคาํ นิยมตํางชาติ จนเกิดการลอกเลียนแบบ ทา ให๎ลมื วฒั นธรรมอันดีงามของไทย ๒.๔ โรงเรียนควรจัดการเรียนการสอนด๎วยวิธีการที่หลากหลาย สอดคล๎องกับ มาตรฐานการเรียนร๎ู ตัวช้ีวัดตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐานและฝึกให๎นักเรียนได๎คิด วิเคราะห์ หาความร๎ูจากแหลํงเรียนร๎ูส่ือเทคโนโลยีให๎มากข้ึน และพัฒนาสื่อ แหลํง เรียนรู๎ จดั เตรียมห๎องปฏิบัตกิ ารให๎อยํใู นสภาพดแี ละพรอ๎ มใช๎งานเสมอ ๒.๕ครูควรวัดและประเมินผลการเรียนรู๎ของผู๎เรียนด๎วยวิธีที่หลากหลายตาม สภาพจรงิ สอดคล๎องกับมาตรฐานการเรยี นรูแ๎ ละธรรมชาติวชิ า ๒.๖ ครูควรนาภูมิปัญญาท๎องถิ่นให๎เข๎ามามีสํวนรํวมในการจัดกิจกรรมให๎ นักเรียนได๎เรียนรู๎ ๒.๗ ครูควรให๎ข๎อมูลย๎อนกลับแกํนักเรียนทันทีเพ่ือนักเรียนนาไปใช๎พัฒนา ตนเอง
๒.๘ โรงเรียนควรสร๎างเครือขํายความรํวมมือของผู๎มีสํวนเกี่ยวข๎องในการจัด การศึกษาของโรงเรียนให๎มีความ เข๎มแข็ง และมีสํวนรํวมรับผิดชอบตํอผลการจัด การศึกษา และการขับเคลอื่ นคณุ ภาพการจดั การศึกษา ๒.๙ สถานศึกษาจดั ระบบใหค๎ รูประเมนิ ตนเองรายบคุ คลตามแผนพัฒนาตนเอง แตํยังขาดการให๎ข๎อมูลย๎อนกลับแกํครูในการพัฒนาตนเองในการจัดกิจกรรมการ เรียนรู๎ เพื่อยกระดับคณุ ภาพของนกั เรียน ๒.๑๐ นักเรียนมีการประเมินตนเองในการเรียนร๎ู แตํยังขาดการติดตาม ชวํ ยเหลือดา๎ นการเรยี นรู๎ของนกั เรียนเปน็ รายคน ๓. ดา้ นกระบวนการเรียนการสอนท่เี นน้ ผเู้ รียนเป็นสาคัญ ๓.๑ ควรมีการประเมนิ คณุ ภาพและประสิทธภิ าพของ ส่ือการสอนทใ่ี ช๎ ๓.๒ ควรมีการประชุมปฏิบัติการผลิตสื่อเทคโนโลยีให๎กับครูผู๎สอนทุกคน แนวทางการพฒั นาในอนาคต ๑. การจดั กจิ กรรมการเรียนร๎ูท่เี นน๎ การพัฒนาผู๎เรยี นเปน็ รายบุคคลให๎ชัดเจนขึ้น ๒. การสํงเสริมให๎ครูเห็นความสาคัญของการจัดการเรียนรู๎โดยเน๎นผู๎เรียนเป็น สาคัญ การจัดทาการวิจัยในช้ันเรียนเพ่ือพัฒนาผ๎ูเรียนให๎สามารถเรียนร๎ูได๎เต็มศักยภาพ ๓. การพัฒนาบุคลากรโดยสงํ เข๎ารบั การอบรม แลกเปล่ียนเรียนร๎ูในงานท่ีได๎รับ มอบหมาย ติดตามผลการนาไปใช๎ และผลท่เี กิดกบั ผ๎ูเรยี นอยํางตํอเน่อื ง ๔. การพฒั นาสถานศึกษาให๎เปน็ สงั คมแหงํ การเรยี นรข๎ู องชมุ ชน ๕. โรงเรียนต๎องการให๎ครูเป็นบุคคลแหํงการเรียนร๎ู คือ ลดภาระงานพิเศษให๎ น๎อยลง จัดหาแหลํงเรียนรู๎ ส่ือ อุปกรณ์ อานวยความสะดวกในการเรียนร๎ูแกํครู โดยเฉพาะ มีการปรบั เปล่ียนวัฒนธรรมการทางาน เปิดรับ การเปลี่ยนแปลง และส่ิงใหมํ ๆ เปิดโอกาสด๎านการแสดงออกทางความคิดอยํางเสรีมากขึ้น สร๎างแรงจูงใจ ในการ เรียนรรู๎ วํ มกนั เปน็ ทีม มีการแลกเปล่ยี นเรยี นร๎ใู หเ๎ พม่ิ มากข้ึน สํงเสรมิ กิจกรรมรํวมคิด รํวม ทา เพ่ือเปูาหมาย และวิสัยทัศน์รํวมกันของโรงเรียน โดยการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ/ อบรม/สมั มนา และศึกษาดูงานอยํางตํอเน่ือง ๖. โรงเรียนมงํุ พัฒนาครูและบคุ ลากรภายในโรงเรียนให๎เป็นครูมืออาชีพ เป็นครู ท่ีสอนดี ซึ่งคือครูท่ีจัด ประสบการณ์การเรียนรู๎ให๎กับนักเรียนให๎มากที่สุด นักเรียนได๎ เรียนร๎ูจากสถานการณ์จริงและสถานการณ์ จาลอง ที่ครูเป็นผ๎ูจัดทาข้ึน ครูใช๎เทคโนโลยี สารสนเทศตําง ๆ มาประกอบเป็นส่ือการเรียนรู๎ ใช๎กับนักเรียน ทาให๎นักเรียนได๎รับการ พัฒนาความรูค๎ วามสามารถมากทสี่ ุด
๗. โรงเรียนมุํงพัฒนาสิ่งแวดล๎อมของโรงเรียน พัฒนาห๎องเรียนให๎เป็น E-classroom มีโสตทัศนูปกรณ์ ที่เอื้อตํอการจัดการเรียนการสอนของครูและนักเรียน เชํน เครื่องฉายภาพ เครื่องเสียง โทรทัศน์ เป็นต๎น ทาให๎ครูสามารถจัดการเรียนร๎ูที่ หลากหลาย นักเรียนได๎รับความรู๎อยํางเต็มท่ี นอกจากนั้นโรงเรียนยังมีการพัฒนา แหลํง เรียนรู๎ภายใน อาทิ ห๎องภูมิปัญญาท๎องถ่ิน ห๎องอาเซียน ห๎องสมุด ซึ่งจะมีมุมหนังสือ มุม มัลติมีเดีย มุมสืบค๎น ข๎อมูล (คอมพิวเตอร์) ให๎บริการกับนักเรียน นักเรียนสามารถ แสวงหาความรูด๎ ๎วยตนเองได๎ ๘. โรงเรียนมีการประสานการระดมทรัพยากร โดยประสานทุกภาคสํวนเพื่อ ระดับทรัพยากรตําง ๆ ทั้ง ความคิด ข๎อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา การปรับปรุงคุณภาพ ด๎านตาํ ง ๆ ของโรงเรยี น รวมถงึ การระดมงบประมาณ เพอ่ื ใช๎ในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน พัฒนาความร๎ูความสามารถของบุคลากรภายในโรงเรียนและนามาใช๎ ในการ สรา๎ งขวัญกาลงั ใจให๎กับครูและบคุ ลากรภายในโรงเรยี น ๙. พัฒนากระบวนการดาเนินงานและการบริหารจัดการ เพื่อพัฒนาคุณภาพ การจัดการศึกษาของ สถานศึกษาให๎เกิดสัมฤทธ์ิผลตามวิสัยทัศน์ ปรัชญา จุดเน๎นและ เปูาหมายท่ีกาหนดขึ้น เพื่อสํงเสริมพัฒนาผู๎เรียน อยํางรอบด๎าน โดยการมีสํวนรํวมของ ผู๎บริหาร ครู บุคลากร ผ๎ูปกครอง ชุมชนและหนํวยงานท่ีเก่ียวข๎อง เพื่อสํงผลสะท๎อน ความเปน็ เอกลกั ษณ์ของโรงเรยี น ๑๐. สํงเสริมสุขภาพอนามยั และความปลอดภัยของผู๎เรียน ตามสุขบัญญัติ ๑๐ ประการ โดยความรํวมมือ ของทุกฝุายท่ีเก่ียวข๎อง เพ่ือให๎ผู๎เรียนร๎ูจักดูแลตนเองให๎มี สุขภาพสมบูรณแ์ ข็งแรง รจ๎ู กั รกั ษาสุขภาพอนามัยสวํ นตน และมสี ขุ ภาพจติ ท่ดี ี ความตอ้ งการและการช่วยเหลือ ๑. การพัฒนาครูผู๎สอนในการจัดกิจกรรมการเรียนร๎ู ท่ีสอดคล๎องกับการพัฒนา ผู๎เรยี นในศตวรรษ ท่ี ๒๑ ๒. การจดั สรรครูผ๎ูสอนให๎ตรงตามวชิ าเอกทโี่ รงเรยี นมีความตอ๎ งการและจาเป็น ๓. โรงเรียนต๎องการระดมทรัพยากรตําง ๆ เพื่อใช๎ในการพัฒนาด๎านตําง ๆ ของ โรงเรียน ๔. โรงเรียนต๎องการบุคลากรเพ่ิมเติม เพื่อให๎การบริหารจัดการด๎านตําง ๆ ของ โรงเรยี นมีความคลอํ งตัว มากยิง่ ขน้ึ ๕. ขอรบั การสนับสนุนวิทยากรผู๎ทรงคุณวุฒิ ให๎ความร๎ูคาปรึกษาในด๎านเทคนิค การจัดกิจกรรมการเรียน การสอน การวัดและประเมินผลผ๎ูเรียนด๎วยเทคนิคที่
หลากหลาย เทคนิคการสอนทักษะการคิดเช่ือมโยง เพื่อพัฒนาผ๎ูเรียนได๎เติมเต็มตาม ศกั ยภาพ ๖. ขอรับการสนับสนนุ งบประมาณในการกํอสรา๎ งอาคารเรยี น โรงอาหาร และ หอ๎ งสมุดอิเลคทรอนิกส์ ๗. ผู๎ปกครอง ชุมชน หนํวยงานที่เกี่ยวข๎อง ให๎ความรํวมมือสนับสนุนสํงเสริม กิจกรรมของโรงเรียน เพิ่มมากย่ิงขึ้น เพื่อหาแนวทางแก๎ปัญหา พัฒนา และสํงเสริม ผ๎ูเรียนรํวมกันระหวํางบ๎าน โรงเรียน และชุมชนอยํางตํอเน่ือง เพ่ือพัฒนาให๎ผู๎เรียนมี คุณภาพสอดคลอ๎ งกบั ความตอ๎ งการของชมุ ชนและประเทศชาตติ ํอไป พนั ธกจิ ๑.จัดประสบการณ์พัฒนาการเด็กปฐมวัยชํวงอายุ ๓-๖ ปีให๎มีพัฒนาการท้ัง ๔ ด๎าน อยาํ งสมดุลและเตม็ ศกั ยภาพมีเจตคตทิ ่ดี ีตํอท๎องถน่ิ สนใจใฝรุ ๎ู มคี ุณธรรม จริยธรรม มีทักษะ ชวี ิตและเรยี นรอ๎ู ยาํ งมคี วามสขุ ๒.พัฒนาครูและบุคลากรให๎สามารถจัดประสบการณ์การเรียนร๎ูผํานการเลํนที่มี จุดหมายอยํางตอํ เนื่อง ๓.จัดประสบการณ์การเรียนรู๎ท่ีหลากหลายสภาพแวดล๎อม ส่ือเทคโนโลยี ท่ี สอดคล๎องกับพัฒนาการของเด็ก โดยนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและแหลํงเรียนรู๎ ภูมิ ปญั ญาท๎องถนิ่ มาใชเ๎ สรมิ สรา๎ งพัฒนาการและการเรยี นรข๎ู องเด็ก ๔.ผ๎ปู กครองชุมชน และทุกฝาุ ยมีสํวนรํวมในการพฒั นาเด็กปฐมวัย
เป้าประสงค์ ๑.เดก็ ปฐมวัยทุกคนมพี ฒั นาการดา๎ นราํ งกายอารมณจ์ ิตใจ สงั คมและสตปิ ัญญาอยาํ งสมดลุ ตาม มาตรฐานคณุ ลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ของหลักสูตร ๒.ครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาทกุ คนมีความรคู๎ วามเขา๎ ใจและสามารถจดั ประสบการณ์เพื่อพฒั นา เด็กปฐมวยั อยํางรอบด๎านและเตม็ ศักยภาพ ๓.ทุกห๎องเรียนจดั สภาพแวดลอ๎ มภายในและภายนอกหอ๎ งเรียนไดอ๎ ยาํ งหลากหลาย เหมาะสมกับการ จดั ประสบการณก์ ารเรียนรแ๎ู ละเพยี งพอ ๔.ผูป๎ กครอง ชุมชนและทุกฝุายทเี่ ก่ียวข๎อง อยาํ งน๎อยร๎อยละ ๘๐ ใหค๎ วามรํวมมือและสนับสนุนการ จดั การศึกษาปฐมวัย
ส่วนที่ ๒ ความนาเกี่ยวกบั หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั
ปรชั ญาการศกึ ษาปฐมวัย โรงเรียนชุมชนประชานิกรอานวยเวทย์ จัดการพัฒนาเด็กอายุ ๓ – ๖ปีบนพ้ืนฐานการอบรมเลี้ยงดู และการสํงเสริมกระบวนการเรียนรู๎ที่สนองตํอธรรมชาติและพัฒนาการตามวัยของเด็กแตํละคนให๎เต็มตาม ศักยภาพ ภายใต๎บริบทสังคมและวัฒนธรรมท๎องถิ่น ด๎วยความรักความเอื้ออาทรและความเข๎าใจของทุกคน เพอื่ สร๎างรากฐานคุณภาพชีวิตให๎เดก็ พัฒนาไปสคํู วามเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์เกิดคุณคําตํอตนเองครอบครัวชุมชน สังคม และประเทศชาติ วสิ ยั ทศั น์ ภายในปี๒๕๖๓โรงเรียนชุมชนประชานิกรอานวยเวทย์มํุงพัฒนาเด็กปฐมวัยอายุ ๓-๖ ปีทุกคนให๎มี พฒั นาการด๎านราํ งกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คมและสติปัญญาเหมาะสมกับวัย เน๎นให๎เด็กเรียนรู๎ผํานการเลํน การ ลงมือปฏิบัติ ดารงชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงได๎อยํางเหมาะสมกับวัยและบริบทของตน โดย การมีสํวนรํวมของผ๎ูปกครอง ชุมชนและทุกฝุายท่ีเกี่ยวข๎องในการพัฒนาเด็กให๎มีพัฒนาการรอบด๎านอยําง สมดุล เตม็ ศักยภาพ สนใจใฝรุ ู๎ เรยี นรอู๎ ยาํ งมีความสุข มีเจตคติที่ดีตํอท๎องถิ่นและสํงเสริมให๎เด็กมีความพร๎อม ในการเรียนตอํ ในชั้นท่ีสงู ขน้ึ ไป หลกั การ เด็กทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได๎รับการอบรมเลี้ยงดูและสํงเสริมพัฒนาการตามอนุสัญญาวําด๎วยสิทธิเด็ก ตลอดจน ได๎รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู๎อยํางเหมาะสมด๎วยปฏิสัมพันธ์ท่ีดีระหวํางเด็กกับพํอแมํ เด็กกับผ๎ูสอน เด็กกับผู๎เลี้ยงดูหรือผู๎ที่เกี่ยวข๎องในการอบรมเลี้ยงดู การพัฒนาและให๎การศึกษาแกํเด็กปฐมวัย เพ่ือให๎เด็กมี โอกาสพัฒนาตนเองตามลาดับขั้นของพัฒนาการทุกด๎าน อยํางเป็นองค์รวม มีคุณภาพ และเต็มตามศักยภาพ โดยมหี ลักการดงั น้ี ๑. สงํ เสรมิ กระบวนการเรียนร๎แู ละพฒั นาการท่ีครอบคลมุ เด็กปฐมวัยทุกคน ๒. ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให๎การศึกษาที่เน๎นเด็กเป็นสาคัญ โดยคานึงถึงความแตกตําง ระหวาํ งบุคคลและวถิ ีชวี ติ ของเด็กตามบรบิ ทของชมุ ชน สงั คม และวฒั นธรรมไทย ๓. ยดึ พฒั นาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวมผํานการเลํนอยํางมีความหมายและมีกิจกรรมท่ี หลากหลาย ไดล๎ งมือกระทาในสภาพแวดลอ๎ มทีเ่ อ้ือตํอการเรียนรู๎ เหมาะสมกบั วัย และมกี ารพกั ผํอนท่เี พยี งพอ ๔. จัดประสบการณ์การเรียนรู๎ให๎เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกจิ พอเพยี ง เปน็ คนดี มวี นิ ัย และมคี วามสขุ ๕. สรา๎ งความร๎ู ความเข๎าใจและประสานความรวํ มมือในการพัฒนาเดก็ ระหวํางสถานศกึ ษากบั พํอแมํ ครอบครวั ชมุ ชนและทุกฝุายท่ีเกย่ี วข๎องกบั การพฒั นาเด็กปฐมวยั
เป้าหมาย โรงเรยี นชุมชนประชานกิ รอานวยเวทย์ ได้กาหนดเป้าหมายด้านคณุ ภาพของเดก็ ปฐมวัย คุณภาพของ ครูและบุคลากรปฐมวัย การจัดทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม และการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บรรลุ ตามวิสัยทศั น์และพันธกจิ ทก่ี าหนดไว้ ดังน้ี ๑.เด็กปฐมวยั ทุกคนมีพฒั นาการด๎านรํางกายอารมณ์จติ ใจ สังคมและสตปิ ญั ญาอยาํ งสมดุล ตามมาตรฐานคณุ ลักษณะท่พี ึงประสงคข์ องหลักสตู ร ๒.ครูและบุคลากรทางการศึกษาทกุ คนมีความรคู๎ วามเข๎าใจและสามารถจดั ประสบการณเ์ พอ่ื พัฒนาเดก็ ปฐมวัยอยํางรอบดา๎ นและเตม็ ศกั ยภาพ ๓.ทกุ หอ๎ งเรียนจัดสภาพแวดล๎อมภายในและภายนอกห๎องเรยี นได๎อยาํ งหลากหลาย เหมาะสมกบั การจัดประสบการณ์การเรยี นร๎แู ละเพยี งพอ ๔.ผ๎ูปกครอง ชุมชนและทุกฝุายท่ีเกี่ยวข๎อง ให๎ความรํวมมือและสนับสนุนการจัดการศึกษา ปฐมวยั แนวคิดการจดั การศกึ ษาปฐมวยั หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ พัฒนาข้ึนบนแนวคิดหลักสาคัญเกี่ยวกับพัฒนาการ เด็กปฐมวัย โดยถือวําการเลํนของเด็กเป็นหัวใจสาคัญของการจัดประสบการณ์การเรียนรู๎ ภายใต๎การจัด สภาพแวดล๎อมที่เอื้อตํอการทางานของสมอง ผํานสื่อท่ีต๎องเอื้อให๎เด็กได๎เรียนร๎ูผํานการเลํนประสาทสัมผัสท้ัง ห๎า โดยครูจาเป็นต๎องเข๎าใจและยอมรับวําสังคมและวัฒนธรรมที่แวดล๎อมตัวเด็กมีอิทธิพลตํอการเรียนรู๎และ การพัฒนาศักยภาพและพัฒนาการของเด็กแตํละคน ทั้งนี้ หลักสูตรฉบับนี้มีแนวคิดในการจัดการศึกษา ปฐมวยั ดังนี้ ๑. แนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก พัฒนาการของมนุษย์เป็นกระบวนการเปล่ียนแปลงที่ เกิดขึ้นตํอเน่ืองในตัวมนุษย์เร่ิมต้ังแตํปฏิสนธิไปจนตลอดชีวิต พัฒนาการของเด็กแตํละคนจะมีลาดับข้ันตอน ลักษณะเดียวกัน แตํอัตราและระยะเวลาในการผํานข้ันตอนตํางๆอาจแตกตํางกันได๎ข้ันตอนแรกๆจะเป็น พ้ืนฐานสาหรับพัฒนาการข้ันตํอไป พัฒนาการด๎านรํางกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา แตํละสํวน สงํ ผลกระทบซ่ึงกนั และกนั เมือ่ ด๎านหนง่ึ ก๎าวหน๎าอีกดา๎ นหนงึ่ จะกา๎ วหนา๎ ตามดว๎ ยในทานองเดียวกันถ๎าด๎านหน่ึง ด๎านใดผิดปกติจะทาให๎ด๎านอื่นๆผิดปกติตามด๎วย แนวคิดเก่ียวกับทฤษฎีพัฒนาการด๎านรํางกายอธิบายวําการ เจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กมีลักษณะตํอเน่ืองเป็นลาดับช้ัน เด็กจะพัฒนาถึงข้ันใดจะต๎องเกิดวุฒิภาวะ ของความสามารถด๎านน้ันกํอน สาหรับทฤษฎีด๎านอารมณ์ จิตใจ และสังคมอธิบายวํา การอบรมเลี้ยงดูในวัย เดก็ สํงผลตอํ บุคลกิ ภาพของเด็ก เมอื่ เติบโตเปน็ ผใ๎ู หญํ ความรักและความอบอุํนเป็นพ้ืนฐานของความเช่ือม่ันใน ตนเอง เด็กทไ่ี ด๎รับความรักและความอบอํุนจะมีความไว๎วางใจในผู๎อื่น เห็นคุณคําของตนเอง จะมีความเช่ือม่ัน ในความสามารถของตน ทางานรํวมกับผู๎อ่ืนไดด๎ ี ซ่ึงเปน็ พ้นื ฐานสาคัญของความเปน็ ประชาธิปไตยและความคิด ริเร่ิมสร๎างสรรค์และทฤษฎีพัฒนาการด๎านสติปัญญาอธิบายวํา เด็กเกิดมาพร๎อมวุฒิภาวะ ซึ่งจะพัฒนาข้ึนตาม อายุ ประสบการณ์ รวมทง้ั คาํ นิยมทางสงั คมและสิง่ แวดลอ๎ มทีเ่ ด็กไดร๎ ับ
๒. แนวคดิ เกย่ี วกับการเล่นของเด็ก การเลํนเป็นหัวใจสาคัญของการจัดประสบการณ์การ เรียนร๎ู การเลํนอยํางมีจุดมํุงหมายเป็นเครื่องมือการเรียนร๎ูข้ันพื้นฐานที่ถือเป็นองค์ประกอบสาคัญใน กระบวนการเรียนร๎ูของเด็ก ขณะท่ีเด็กเลํนจะเกิดการเรียนร๎ูไปพร๎อมๆกันด๎วย จากการเลํนเด็กจะมีโอกาส เคลอื่ นไหวสวํ นตาํ งๆของราํ งกาย ไดใ๎ ชป๎ ระสาทสมั ผัสและการรับรู๎ผํอนคลายอารมณ์ และแสดงออกของตนเอง เรียนร๎ูความร๎ูสึกของผ๎ูอ่ืน เด็กจะร๎ูสึกสนุกสนาน เพลิดเพลิน ได๎สังเกต มีโอกาสทาการทดลอง คิดสร๎างสรรค์ คิดแกป๎ ญั หาและค๎นพบด๎วยตนเอง การเลํนชํวยให๎เด็กเรียนร๎ูสิ่งแวดล๎อม และชํวยให๎เด็กมีพัฒนาการทางด๎าน รํางกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญา ดังน้ันเด็กควรมีโอกาสเลํน ปฏิสัมพันธ์กับบุคคล สิ่งแวดล๎อม รอบตัว และเลือกกจิ กรรมการเลํนด๎วยตนเอง ๓. แนวคดิ เกี่ยวกับการทางานของสมอง สมองเป็นอวัยวะที่มีความสาคัญท่ีสุดในรํางกาย ของคนเรา เพราะการท่มี นุษย์สามารถเรียนรู๎สิ่งตํางๆได๎นั้นต๎องอาศัยสมองและระบบประสาทเป็นพ้ืนฐานการ รับรู๎ รับความร๎ูสึกจากประสาทสัมผัสท้ังห๎า การเช่ือมโยงตํอกันของเซลล์สมองสํวนมากเกิดขึ้นกํอนอายุ ๕ ปี และปฏิสัมพันธ์แรกเริ่มระหวํางเด็กกับผู๎ใหญํ มีผลโดยตรงตํอการสร๎างเซลล์สมองและจุดเช่ือมตํอ โดยในชํวง ๓ ปีแรกของชีวิต สมองเจริญเติบโตอยํางรวดเร็วมาก มีการสร๎างเซลล์สมองและจุดเช่ือมตํอขึ้นมามากมาย มี การสร๎างไขมันหรือมันสมองหุ๎มล๎อมรอบเส๎นใยสมองด๎วย พอเด็กอายุ ๓ ปี สมองจะมีขนาดประมาณ ๘๐ % ของสมองผ๎ูใหญํ มีเซลล์สมองนับหมื่นล๎านเซลล์ เซลล์สมองและจุดเช่ือมตํอเหลํานี้ยิ่งได๎รับการกระตุ๎นมาก เทาํ ใด การเชอ่ื มตอํ กนั ระหวํางเซลล์สมองย่ิงมีมากข้ึนและความสามารถทางการคิดย่ิงมีมากขึ้นเทํานั้น ถ๎าหาก เด็กขาดการกระต๎ุนหรือสํงเสริมจากสิ่งแวดล๎อมที่เหมาะสม เซลล์สมองและจุดเช่ือมตํอที่สร๎างข้ึนมาก็จะ หายไป เด็กท่ีได๎รับความเครียดอยํูตลอดเวลาจะทาให๎ขาดความสามารถท่ีจะเรียนร๎ู อยํางไรก็ตาม สํวนตํางๆ ของสมองเจริญเติบโตและเร่ิมมีความสามารถในการทาหน๎าท่ีในชํวงเวลาตํางกัน จึงอธิบายได๎วําการเรียนร๎ู ทกั ษะบางอยํางจะเกิดขึ้นได๎ดที ส่ี ดุ เฉพาะในชํวงเวลาหน่งึ ทเ่ี รยี กวํา”หน๎าตํางของโอกาสการเรียนรู๎” ซึ่งเป็นชํวง ทพี่ ํอแมํ ผเู๎ ล้ยี งดูและครูสามารถชวํ ยให๎เดก็ เรียนรู๎และพฒั นาสิ่งนนั้ ๆได๎ดที ี่สดุ เมือ่ พ๎นชํวงน้ีไปแล๎วโอกาสน้ันจะ ฝกึ ยากหรอื เด็กอาจทาไมํได๎เลย เชนํ การเชอ่ื มโยงวงจรประสาทของการมองเห็นและรับรู๎ภาพจะต๎องได๎รับการ กระตุ๎นทางานตั้งแตํ ๓ หรือ ๔ เดือนแรกของชีวิตจึงจะมีพัฒนาการตามปกติ ชํวงเวลาของการเรียนภาษาคือ อายุ ๓ – ๕ ปีแรกของชีวิต เด็กจะพูดได๎ชัด คลํองและถูกต๎อง โดยการพัฒนาจากการพูดเป็นคาๆมาเป็น ประโยคและเลําเรอื่ งได๎ เป็นต๎น ๔. แนวคิดเก่ียวกับส่ือการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู๎ทาให๎เด็กเกิดการเรียนร๎ูตามจุดประสงค์ท่ี วางไว๎ ทาให๎สิ่งที่เป็นนามธรรมเข๎าใจยากกลายเป็นรูปธรรมที่เด็กเข๎าใจและเรียนรู๎ได๎งําย รวดเร็ว เพลิดเพลิน เกิดการเรยี นรแ๎ู ละค๎นพบดว๎ ยตนเอง การใชส๎ ือ่ การเรยี นร๎ูตอ๎ งปลอดภัยตํอตวั เดก็ และเหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะ ความแตกตาํ งระหวาํ งบคุ คล ความสนใจ และความต๎องการของเด็กท่ีหลากหลาย สื่อประกอบการจัดกิจกรรม เพอ่ื พัฒนาเด็กปฐมวัยควรมสี อื่ ทั้งที่เปน็ ประเภท ๒ มติ แิ ละ/หรือ ๓ มติ ิ ที่เปน็ ส่ือของจรงิ ส่ือธรรมชาติ สื่อท่ีอยํู ใกล๎ตัวเด็ก สื่อสะท๎องวัฒนธรรม สื่อภูมิปัญญาท๎องถิ่น ส่ือเพื่อพัฒนาเด็กในด๎านตํางๆให๎ครบทุกด๎าน ทั้งน้ี ส่ือ ต๎องเอ้ือให๎เด็กเรียนรู๎ผํานประสาทสัมผัสทั้งห๎าโดยการจัดการใช๎ส่ือสาหรับเด็กปฐมวัยต๎องเริ่มต๎นจากส่ือของ จริง ของจาลอง ภาพถาํ ย ภาพโครงรํางและสญั ลักษณ์ตามลาดบั ๕. แนวคิดเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรม เด็กเมื่อเกิดมาจะเป็นสํวนหนึ่งของสังคมและ วฒั นธรรม ซงึ่ ไมํเพยี งแตจํ ะได๎รับอิทธิพลจากการปฏิบัติแบบด้ังเดิมตามประเพณี มรดก และความรู๎ของบรรพ บรุ ษุ แตํยังได๎รับอิทธิพลจากประสบการณ์ คํานิยมและความเชื่อของบุคคลในครอบครัว และชุมชนของแตํละ
ทดี่ ๎วย บริบทของสังคมและวัฒนธรรมท่ีเด็กอาศัยอยํูหรือแวดล๎อมตัวเด็กทาให๎เด็กแตํละคนแตกตํางกันไป ครู จาเป็นต๎องเข๎าใจและยอมรับวําสังคมและวัฒนธรรมท่ีแวดล๎อมตัวเด็ก มีอิทธิพลตํอการเรียนร๎ู การพัฒนา ศักยภาพและพัฒนาการของเด็กแตํละคน ครูควรต๎องเรียนร๎ูบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของเด็กที่ตน รับผิดชอบ เพื่อชํวยให๎เด็กได๎รับการพัฒนา เกิดการเรียนร๎ูและอยูํในกลํุมคนที่มาจากพื้นฐานเหมือนหรือตําง จากตนได๎อยํางราบรานมีความสุข เป็นการเตรียมเด็กไปสู๎สังคมในอนาคตกับการอยูํรํวมกับผู๎อ่ืน การทางาน รํวมกับผอู๎ ่ืนทมี่ ีความหลากหลายทางความคดิ ความเชื่อและวัฒนธรรมเชํน ความคล๎ายคลึงและความแตกตําง ระหวํางวัฒนธรรมไทยกับประเทศเพื่อนบ๎านเรื่องศาสนา ประเทศ พมํา ลาว กัมพูชาก็จะคล๎ายคลึงกับคนไทย ในการทาบุญตักบาตร การสวดมนต์ไหว๎พระ การให๎ความเคารพพระสงฆ์ การทาบุญเล้ียงพระ การเวียนเทียน เนื่องในวันสาคัญทางศาสนา ประเพณีเข๎าพรรษา สาหรับประเทศมาเลเซีย บรูไน อินโดนีเซีย ประชากรสํวน ใหญํนับถือศาสนาอิสลามจึงมีวัฒนธรรมแบบอิสลาม ประเทศฟิลิปปินส์ได๎รับอิทธิพลจากคริสต์ศาสนา ประเทศสงิ คโปร์และเวียดนามนบั ถือหลายศาสนา โดยนับถอื ลทั ธิธรรมเนยี มแบบจนี เปน็ หลัก เป็นต๎น
ส่วนที่ ๓ หลกั สตู รสถานศึกษาปฐมวยั โรงเรียนชุมชนประชานกิ รอานวยเวทย์
หลักสตู รการศึกษาปฐมวยั สาหรบั เดก็ อายุ ๓ – ๖ ปี หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สาหรับเด็กอายุ ๓ - ๖ ปี เป็นการจัดการศึกษาในลักษณะของการอบรม เลี้ยงดูและให๎การศึกษา เด็กจะได๎รับการพัฒนาท้ังด๎านรํางกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ตามวัย และความสามารถของแตลํ ะบคุ คล จุดหมาย หลกั สูตรการศกึ ษาปฐมวัยสาหรับเด็กอายุ ๓ – ๖ ปี มํุงให๎เด็กมีพัฒนาการตามวัยเต็มตามศักยภาพ และมีความพรอ๎ มในการเรียนรตู๎ ํอไป จงึ กาหนดจดุ หมายเพื่อใหเ๎ กดิ กบั เดก็ เม่ือเด็กจบการศกึ ษาปฐมวัย ดงั น้ี ๑. มรี ํางกายเจริญเติบโตตามวัย และมีสุขนิสัยทด่ี ี ๒. มีสุขภาพจติ ดี มีคณุ ธรรม จริยธรรม และจิตใจทดี่ ีงาม ๓. มที กั ษะชวี ติ ที่และปฏบิ ัติตนตามหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง มีวินัย และอยูํรํวมกับผู๎อ่ืนได๎อยําง มีความสขุ ๔. มีทักษะการคิด การใช๎ภาษาส่ือสาร และการแสวงหาความรูไ๎ ด๎เหมาะสมกบั วัย มาตรฐานคุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ หลกั สตู รการศึกษาปฐมวัย สาหรบั เด็กอายุ ๓ – ๖ ปี กาหนดมาตรฐานคณุ ลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ จานวน ๑๒ มาตรฐาน ประกอบดว๎ ย ๑. พฒั นาการด้านรา่ งกาย ประกอบดว๎ ย ๒ มาตรฐาน คือ มาตรฐานท่ี ๑ ราํ งกายเจริญเติบโตตามวยั และมีสุขนสิ ยั ทีด่ ี มาตรฐานที่ ๒ กล๎ามเนื้อใหญํและกล๎ามเน้ือเล็กแข็งแรง ใช๎ได๎คลํองแคลํวและประสาน สมั พันธ์กนั ๒. พัฒนาการด้านอารมณ์ จติ ใจ ประกอบด๎วย ๓ มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ ๓ มีสขุ ภาพจติ ดีและมคี วามสุข มาตรฐานท่ี ๔ ชนื่ ชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว มาตรฐานที่ ๕ มีคณุ ธรรม จริยธรรม และมีจติ ใจทีด่ ีงาม ๓. พัฒนาการดา้ นสังคม ประกอบด๎วย ๓ มาตรฐาน คือ มาตรฐานท่ี ๖ มีทกั ษะชวี ิตและปฏิบตั ติ นตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง มาตรฐานท่ี ๗ รกั ธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ๎ ม วัฒนธรรม และความเป็นไทย มาตรฐานที่ ๘ อยูํรํวมกับผ๎ูอ่ืนได๎อยํางมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกท่ีดีของสังคมใน ระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตรยิ เ์ ปน็ ประมุข ๔. พฒั นาการดา้ นสตปิ ัญญา ประกอบดว๎ ย ๔ มาตรฐาน คือ มาตรฐานท่ี ๙ ใช๎ภาษาสื่อสารได๎เหมาะสมกบั วยั มาตรฐานท่ี ๑๐ มคี วามสามารถในการคดิ ทเ่ี ปน็ พ้นื ฐานในการเรียนรู๎ มาตรฐานท่ี ๑๑ มจี นิ ตนาการและความคดิ สร๎างสรรค์ มาตรฐานที่ ๑๒ มีเจตคติท่ีดีตํอการเรียนรู๎ และมีความสามารถในการแสวงหาความรู๎ได๎ เหมาะสมกบั วัย
ตัวบง่ ช้แี ละสภาพทีพ่ งึ ประสงค์ ตัวบง่ ช้ี ตัวบํงช้ี เป็นเปูาหมายในการพัฒนาเด็กที่มี่ความสัมพันธ์สอดคล๎องกับมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ สภาพท่ีพึงประสงค์ สภาพท่ีพึงประสงค์ เป็นพฤติกรรมหรือความสามารถตามวัยที่คาดหวังให๎เด็กเกิด บนพ้ืนฐาน พัฒนาการตามวัยหรือความสามารถตามธรรมชาติในแตํละระดับอายุ เพื่อนาไปใช๎ในการกาหนดสาระการ เรียนร๎ูในการจัดประสบการณ์และประเมินพัฒนาการเด็ก โดยมีรายละเอียดของมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ ตัวบํงชี้ และสภาพท่พี งึ ประสงค์ ดงั น้ี มาตรฐานที่ ๑ ร่างกายเจริญเติบโตตามวยั และมสี ุขนสิ ัยที่ดี ตวั บง่ ชี้ สภาพที่พงึ ประสงค์ อายุ ๓ – ๔ ปี อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๕ – ๖ ปี ๑.๑ มีน้าหนัก แ ละ ๑.๑.๑ นา้ หนักและ ๑.๑.๑ นา้ หนกั และ ๑.๑.๑ นา้ หนกั และ ส่วนสูงตามเกณฑ์ สํวนสงู ตามเกณฑข์ อง สํวนสงู ตามเกณฑข์ อง สวํ นสงู ตามเกณฑข์ อง กรมอนามัย กรมอนามัย กรมอนามัย ๑.๒ มีสุขภาพอนามัย ๑.๒.๑ ยอมรับประทาน ๑.๒.๑ รับประทาน ๑.๒.๑ ยอมรบั ประทาน สุขนสิ ยั ที่ดี อาหารทมี่ ีประโยชนแ์ ละ อาหารท่มี ปี ระโยชน์และ อาหารท่ีมปี ระโยชนไ์ ด๎ ดม่ื น้าสะอาดเมื่อผ๎ชู ้แี นะ ดม่ื นา้ สะอาดไดด๎ ๎วย หลายชนดิ และด่มื นา้ ตนเอง สะอาดได๎ด๎วยตนเอง ๑.๒.๒ ลา๎ งมือกํอน ๑.๒.๒ ล๎างมอื กํอน ๑.๒.๒ ลา๎ งมอื กํอน รับประทานอาหารและ รับประทานอาหารและ รบั ประทานอาหารและ หลงั จากใช๎ห๎องน้าห๎อง หลงั จากใชห๎ ๎องนา้ ห๎อง หลงั จากใช๎หอ๎ งนา้ ห๎อง ส๎วมเมอ่ื ผช๎ู ้แี นะ ส๎วมด๎วยตนเอง สว๎ มดว๎ ยตนเอง ๑.๒.๓ นอนพักผอํ นเปน็ ๑.๒.๓ นอนพักผํอนเป็น ๑.๒.๓ นอนพกั ผอํ นเป็น เวลา เวลา เวลา ๑.๒.๔ ออกกาลงั กาย ๑.๒.๔ ออกกาลังกาย ๑.๒.๔ ออกกาลงั กาย เป็นเวลา เป็นเวลา เป็นเวลา ๑.๓ รักษาความ ๑.๓.๑ เลนํ และทา ๑.๓.๑ เลนํ และทา ๑.๓.๑ เลํนและทา ปลอดภยั ของตนเอง กจิ กรรมอยาํ งปลอดภัย กจิ กรรมอยํางปลอดภัย กจิ กรรมและปฏบิ ตั ิตํอ และผอู้ ืน่ เมอ่ื มีผช๎ู ้ีแนะ ดว๎ ยตนเอง ผูอ๎ ื่นอยํางปลอดภยั
มาตรฐานที่ ๒ กลา้ มเน้ือใหญแ่ ละกลา้ มเนือ้ เลก็ แขง็ แรง ใช้ได้อยา่ งคลอ่ งแคลว่ และประสานสมั พนั ธ์กนั ตัวบง่ ช้ี สภาพทพี่ ึงประสงค์ อายุ ๓ – ๔ ปี อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๕ – ๖ ปี ๒.๑ เคล่อื นไหวรา่ งกาย ๒.๑.๑ เดนิ ตามแนวที่ ๒.๑.๑ เดินตอํ เท๎าไป ๒.๑.๑ เดนิ ตํอเทา๎ ถอย อย่างคล่องแคล่วและ กาหนดได๎ ข๎างหนา๎ เปน็ เส๎นตรงได๎ หลงั เปน็ เส๎นตรงได๎โดย ทรงตัวได้ โดยไมตํ รงกางแขน ไมตํ รงกางแขน ๒.๑.๒ กระโดดขาเดยี ว ๒.๑.๒ กระโดดขาเดยี ว ๒.๑.๒ กระโดดขาเดยี ว ขึ้นลงอยูํกับท่ีได๎ อยูกํ บั ที่ไดโ๎ ดยไมํเสยี การ ไปขา๎ งหนา๎ ได๎อยําง ทรงตัว ตอํ เน่ืองโดยไมํเสียการ ทรงตวั ๒.๑.๓ ว่งิ แล๎วหยุดได๎ ๒.๑.๓ วิง่ หลบหลกี ส่งิ ๒.๑.๓ ว่ิงหลบลีกสง่ิ กีด กดี ขวางได๎ ขวางได๎อยาํ งคลํองแคลวํ ๒.๑.๔ รับลกู บอลโดยใช๎ ๒.๑.๔ รบั ลกู บอลโดยใช๎ ๒.๑.๔ รับลกู บอลที่ มือและลาตัวชวํ ย มือท้ัง ๒ ข๎าง กระดอนข้นึ จากพน้ื ได๎ ๒.๒ ใช้มอื -ตา ประสาน ๒.๒.๑ ใช๎กรรไกรตัด ๒.๒.๑ ใช๎กรรไกรตัด ๒.๒.๑ ใช๎กรรไกรตดั สัมพนั ธก์ นั กระดาษขาดจากกันได๎ กระดาษเป็นแนว กระดาษตามแนวเสน๎ โดยใช๎มอื เดียว เส๎นตรงได๎ โค๎งได๎ ๒.๒.๒ เขยี นรปู วงกลม ๒.๒.๒ เขียนรูปสี่เหลยี่ ม ๒.๒.๒ เขียนรปู ตามแบบได๎ ตามแบบไดอ๎ ยํางมมี ุม สามเหล่ยี มตามแบบได๎ ชัดเจน อยาํ งมีมุมชัดเจน ๒.๒.๓ รอ๎ ยวัสดุที่มี ๒.๒.๓ รอ๎ ยวสั ดทุ ่ีมี ๒.๒.๓ ร๎อยวัสดุทม่ี ี ขนาดเสน๎ ผาํ นศูนยก์ ลาง ขนาดเส๎นผาํ นศูนย์กลาง ขนาดเสน๎ ผาํ นศนู ยก์ ลาง ๑ เซนตเิ มตรได๎ ๐.๕ เซนติเมตรได๎ ๐.๒๕ เซนติเมตรได๎
มาตรฐานที่ ๓ มสี ุขภาพจติ ดแี ละมีความสุข ตัวบ่งชี้ สภาพที่พงึ ประสงค์ ๓.๑ แสดงออกทาง อายุ ๓ – ๔ ปี อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๕ – ๖ ปี อารมณ์อยา่ งเหมาะสม กับวยั และสถานการณ์ ๓.๑.๑ แสดงอารมณ์ ๓.๑.๑ แสดงอารมณ์ ๓.๑.๑ แสดงอารมณ์ ความรูส๎ ึกได๎เหมาะสม กับบางสถานการณ์ ความรสู๎ กึ ได๎เหมาะสม ความรส๎ู ึกได๎สอดคล๎อง ตามสถานการณ์ กบั สถานการณ์อยําง เหมาะสม ๓.๒ มีความรสู้ กึ ทดี่ ตี อ่ ๓.๒.๑ กลา๎ พูดกลา๎ ๓.๒.๑ กลา๎ พูดกล๎า ๓.๒.๑ กล๎าพูดกล๎า ตนเอง และผู้อ่นื แสดงออก แสดงออกอยาํ ง แสดงออกอยาํ ง เหมาะสมบาง เหมาะสมตาม สถานการณ์ สถานการณ์ ๓.๒.๒ แสงความพอใจ ๓.๒.๒ แสงความพอใจ ๓.๒.๒ แสงความพอใจ ในผลงานตนเอง ในผลงานและ ในผลงานและ ความสามารถของตนเอง ความสามารถของตนเอง และผอ๎ู ืน่ มาตรฐานที่ ๔ ชน่ื ชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรีและการเคลือ่ นไหว ตัวบ่งชี้ อายุ ๓ – ๔ ปี สภาพท่พี ึงประสงค์ อายุ ๕ – ๖ ปี ๔. ๑ สนใจและมี ๔.๑.๑ สนใจ และมี อายุ ๔ – ๕ ปี ๔.๑.๑ สนใจ และมี ความสขุ กับศิลปะ ความสขุ และแสดงออก ความสุข และแสดงออก ดนตรี และการ ผํานงานศิลปะ ๔.๑.๑ สนใจ และมี ผํานงานศลิ ปะ เคล่ือนไหว ความสุข และแสดงออก ผํานงานศิลปะ ๔.๑.๒ สนใจ และมี ๔.๑.๒ สนใจ และมี ๔.๑.๒ สนใจ และมี ความสขุ และแสดงออก ความสุขและแสดงออก ความสุขและแสดงออก ผาํ นเสยี งเพลง ดนตรี ผาํ นเสยี งเพลง ดนตรี ผาํ นเสียงเพลง ดนตรี ๔.๑.๓ สนใจ มคี วามสขุ ๔.๑.๓ สนใจ มีความสขุ ๔.๑.๓ สนใจ มคี วามสขุ และแสดงทําทาง / และแสดงทําทาง / และแสดงทําทาง / เคลอ่ื นไหว เคล่ือนไหว เคล่อื นไหว ประกอบเพลง จังหวะ ประกอบเพลง จังหวะ ประกอบเพลง จังหวะ และดนตรี และดนตรี และดนตรี
มาตรฐานที่ ๕ มคี ณุ ธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดงี าม ตวั บ่งชี้ สภาพทีพ่ งึ ประสงค์ อายุ ๓ – ๔ ปี อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๕ – ๖ ปี ๕.๑ ซื่อสตั ย์สุจริต และ ๕.๑.๑ บอกหรือชี้ได๎วํา ๕.๑.๑ ขออนุญาตหรือ ๕.๑.๑ ขออนุญาตหรือ รถู้ กู รผู้ ดิ สิ่งใดเป็นของตนเองและ ร อ ค อ ย เ มื่ อ ต๎ อ ง ก า ร ร อ ค อ ย เ มื่ อ ต๎ อ ง ก า ร สิ่งใดเป็นของผ๎อู ื่น ส่ิงของของผ๎ูอ่ืนเมื่อมีผ๎ู สิ่งข องข อง ผู๎อ่ืน ด๎ว ย ชี้แนะ ตนเอง ๕.๒ มีความเมตตา ๕.๒.๑ แสดงความรัก ๕.๒.๑ แสดงความรัก ๕.๒.๑ แสดงความรัก กรณุ า มีน้าใจและ เพ่ือนและมีเมตตาสัตว์ เพื่อนและมีเมตตาสัตว์ เพ่ือนและมีเมตตาสัตว์ ช่วยเหลอื แบ่งปัน เลย้ี ง เลีย้ ง เลี้ยง ๕.๒.๒ แบํงปันผู๎อื่นได๎ ๕.๒.๒ ชํวยเหลือและ ๕.๒.๒ ชํวยเหลือและ เมือ่ มผี ๎ชู แ้ี นะ แบํงปันผู๎อ่ืนได๎เมื่อมีผู๎ แ บํ ง ปั น ผู๎ อ่ื น ไ ด๎ ด๎ ว ย ช้ีแนะ ตนเอง ๕.๓ มีความเห็นอกเห็น ๕.๓.๑ แสดงสีหน๎าหรือ ๕.๓.๑ แสดงสีหน๎าและ ๕.๓.๑ แสดงสีหน๎าและ ใจผอู้ ืน่ ทําทางรับรู๎ความร๎ูสึก ทําทางรับรู๎ความร๎ูสึก ทําทางรับร๎ูความรู๎สึก ผอ๎ู น่ื ผ๎อู ื่น ผ๎ูอื่นอยํางสอดคล๎องกับ สถานการณ์ ๕.๔ มีความรับผดิ ชอบ ๕.๔.๑ ทางานท่ีได๎รับ ๕.๔.๑ ทางานท่ีได๎รับ ๕.๔.๑ ทางานท่ีได๎รับ มอบหมายจนสาเร็จเมื่อ มอบหมายจนสาเร็จเม่ือ มอบหมายจนสาเร็จด๎วย มผี ู๎ชวํ ยเหลอื มีผู๎ช้ีแนะ ตนเอง
มาตรฐานที่ ๖ มที ักษะชีวติ และปฏิบตั ติ นตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตวั บง่ ชี้ สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ อายุ ๕ – ๖ ปี อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๓ – ๔ ปี ๖.๑.๑ แตงํ ตวั ด๎วย ๖.๑.๑ แตํงตัวด๎วย ตนเองได๎อยาํ ง ๖.๒ ช่วยเหลือตนเอง ๖.๑.๑ แตงํ ตัวโดยมผี ๎ู ตนเอง คลํองแคลวํ ในการปฏิบัติกิจวัตร ชํวยเหลือ ประจาวนั ๖.๑.๒ รบั ประทาน ๖.๑.๒ รับประทาน อาหารดว๎ ยตนเอง อาหารด๎วยตนเองอยําง ๖.๑.๒ รบั ประทาน ถูกวิธี อาหารด๎วยตนเอง ๖.๑.๓ ใช๎และทาความ ๖.๑.๓ ใชห๎ ๎องนา้ หอ๎ ง ๖.๑.๓ ใชห๎ อ๎ งน้าห๎อง สะอาดหลังใชห๎ ๎องน้า ส๎วมโดยมีผู๎ชวํ ยเหลือ สว๎ มดว๎ ยตนเอง หอ๎ งสว๎ มดว๎ ยตนเอง ๖.๒ มีวนิ ัยในตนเอง ๖.๒.๑ เก็บของเลนํ ๖.๒.๑ เก็บของเลํน ๖.๒.๑ เก็บของเลํน ของใชเ๎ ข๎าทเ่ี ม่ือมผี ๎ูช้แี นะ ของใชเ๎ ขา๎ ทดี่ ว๎ ยตนเอง ของใชเ๎ ข๎าท่ีอยาํ ง เรยี บร๎อยดว๎ ยตนเอง ๖.๒.๒ เขา๎ แถว ๖.๒.๒ เข๎าแถว ตามลาดบั กํอนหลังได๎ ๖.๒.๒ เขา๎ แถว ตามลาดับกํอนหลังได๎ ด๎วยตนเอง ตามลาดบั กํอนหลังได๎ ดว๎ ยตนเอง เมอ่ื มีผชู๎ ้ีแนะ ๖.๓.๑ ใชส๎ ่งิ ของ เครอ่ื งใช๎อยํางประหยัด ๖.๓.๑ ใชส๎ ่งิ ของ ๖ . ๓ ป ร ะ ห ยั ด แ ล ะ ๖.๓.๑ ใชส๎ ิง่ ของ และพอเพียงเมื่อมีผ๎ู เคร่อื งใช๎อยาํ งประหยัด ช้แี นะ และพอเพียงด๎วยตนเอง พอเพียง เครือ่ งใช๎อยาํ งประหยดั และพอเพียงเมื่อมผี ู๎ ชี้แนะ มาตรฐานที่ ๗ รักธรรมชาติ ส่งิ แวดลอ้ ม วฒั นธรรม และความเปน็ ไทย ตัวบ่งชี้ สภาพที่พงึ ประสงค์ ๗.๑ ดูแลรักษา อายุ ๓ – ๔ ปี อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๕ – ๖ ปี ธรรมชาติ และสง่ิ แวดล้อม ๗.๑.๑ มีสวํ นรํวมดูแล ๗.๑.๑ มีสวํ นรวํ มดูแล ๗.๑.๑ ดูแลรักษา ๗.๒ มีมารยาทตาม รักษาธรรมชาตแิ ละ รักษาธรรมชาติและ ธรรมชาตแิ ละ วฒั นธรรมไทยและรกั สิง่ แวดลอ๎ มเม่ือมีผ๎ชู ี้แนะ สง่ิ แวดลอ๎ มเม่ือมีผชู๎ ีแ้ นะ ส่ิงแวดลอ๎ มดว๎ ยตนเอง ๗.๑.๒ ทงิ้ ขยะได๎ถูกที่ ๗.๑.๒ ท้งิ ขยะได๎ถูกท่ี ๗.๑.๒ ทงิ้ ขยะได๎ถูกที่ ๗.๒.๑ปฏบิ ัติตนตาม ๗.๒.๑ ปฏิบตั ติ นตาม ๗.๒.๑ ปฏบิ ตั ติ นตาม มารยาทไทยไดเ๎ มอื่ มีผู๎ มารยาทไทยได๎ดว๎ ย มารยาทไทยได๎เม่อื มีผ๎ู
ตัวบ่งช้ี สภาพทพ่ี งึ ประสงค์ ความเป็นไทย อายุ ๓ – ๔ ปี อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๕ – ๖ ปี ชแ้ี นะ ตนเอง ชี้แนะ ๗.๒.๒ กลําวคาขอบคุณ ๗.๒.๒ กลําวคาขอบคุณ ๗.๒.๒ กลําวคาขอบคุณ และขอโทษเมอื่ มผี ู๎ช้ีแนะ และขอโทษด๎วยตนเอง และขอโทษเมอ่ื มีผ๎ชู ี้แนะ ๗.๒.๓ หยดุ ยืนเม่ือได๎ยิน ๗.๒.๓ หยุดยืนเม่ือได๎ยิน ๗.๒.๓ ยืนตรงและรํวม เพลงชาติไทยและเพลง เพลงชาติไทยและเพลง ร๎องเพลงชาติไทยและ สรรเสรญิ พระบารมี สรรเสรญิ พระบารมี เพลงสรรเสริญพระบารมี มาตรฐานท่ี ๘ อยรู่ ่วมกบั ผอู้ ่ืนได้อย่างมคี วามสุข และปฏิบตั ิตนเปน็ สมาชิกท่ดี ีของสงั คมในระบอบ ประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมขุ ตวั บ่งช้ี สภาพที่พงึ ประสงค์ อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๓ – ๔ ปี อายุ ๕ – ๖ ปี ๘.๑.๑ เลนํ และทา ๘. ๑ ยอมรบั ความ ๘.๑.๑ เลํนและทา กจิ กรรมรวํ มกับเดก็ ท่ี ๘.๑.๑ เลํนและทา แตกตาํ งไปจากตน กิจกรรมรํวมกับเดก็ ที่ เหมอื นและความ กจิ กรรมรวํ มกับเด็กท่ี ๘.๒.๑ เลํนหรอื ทางาน แตกตํางไปจากตน รวํ มกับเพ่ือนเปน็ กลํุม แตกต่างระหว่างบุคคล แตกตํางไปจากตน ๘.๒.๑ เลนํ หรอื ทางาน ๘.๒.๒ ยมิ้ ทกั ทาย และ รํวมมอื กับเพ่ือนอยาํ งมี ๘.๒ มปี ฏิสัมพนั ธ์ท่ดี กี ับ ๘.๒.๑ เลํนรวํ มกบั เพื่อน พูดคยุ กบั ผ๎ูใหญแํ ละ เปาู หมาย บคุ คลทค่ี ๎ุนเคยไดด๎ ว๎ ย ผูอ้ นื่ ตนเอง ๘.๒.๒ ยิม้ หรอื ทักทาย ๘.๓.๑ มสี วํ นรวํ มสรา๎ ง ผู๎ใหญํและบุคคลท่ี ๘.๒.๒ ยิ้มหรือทกั ทาย ข๎อตกลงและปฏบิ ัติตาม คุ๎นเคยไดเ๎ หมาะสมกับ ผ๎ใู หญแํ ละบคุ คลที่ ข๎อตกลงเม่ือมีผ๎ูชีแ้ นะ สถานการณ์ คุ๎นเคยไดเ๎ มื่อมีผ๎ชู แ้ี นะ ๘.๓.๒ ปฏิบัติตนเป็น ผ๎ูนาและผตู๎ ามได๎ตนเอง ๘.๓.๑ มีสวํ นรํวมสร๎าง ๘.๓ ปฏิบัติตนเบ้ืองต้น ๘.๓.๑ ปฏบิ ตั ติ าม ขอ๎ ตกลงและปฏบิ ัตติ าม ในการเป็นสมาชิกท่ีดี ขอ๎ ตกลงเมื่อมผี ชู๎ แ้ี นะ ๘.๓.๓ ประนปี ระนอม ขอ๎ ตกลงด๎วยตนเอง ของสงั คม แกไ๎ ขปญั หาโดย ปราศจากการใชค๎ วาม ๘.๓.๒ ปฏบิ ตั ิตนเป็น ๘.๓.๒ ปฏิบัติตนเป็น รุนแรงเมอ่ื มผี ูช๎ แ้ี นะ ผ๎ูนาและผูต๎ ามได๎ ผ๎นู าและผู๎ตามเมื่อมีผู๎ เหมาะสมกับสถานการณ์ ชแี้ นะ ประนปี ระนอมแก๎ไข ๘.๓.๓ ยอมรบั การ ปัญหาโดยปราศจากการ ประนปี ระนอมแกไ๎ ข ใช๎ความรุนแรงด๎วย ปญั หาเม่อื มีผ๎ชู แี้ นะ ตนเอง
มาตรฐานที่ ๙ ใช้ภาษาสื่อสารไดเ้ หมาะสมกับวัย ตวั บง่ ช้ี สภาพท่พี งึ ประสงค์ อายุ ๓ – ๔ ปี อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๕ – ๖ ปี ๙. ๑ สนทนา ๙.๑.๑ ฟังผู๎อ่ืนพูด และ ๙.๑.๑ ฟังผ๎ูอื่นพูด และ ๙.๑.๑ ฟังผ๎ูอ่ืนพูดจนจบ โต้ตอบและเลา่ เรื่องให้ โต๎ตอบได๎เหมาะสมกับ ส น ท น า โ ต๎ ต อ บ และสนทนาโต๎ตอบอยําง ผู้อืน่ เขา้ ใจ สถานการณ์ สอดคลอ๎ งกบั เรื่องที่ฟงั ตํอเน่ือง เชื่อมโยงกับ เร่ืองทฟ่ี ัง ๙.๑.๒ เลําเร่ืองด๎วย ๙.๑.๒ เลาํ เร่ืองเปน็ ๙.๑.๒ เลําเป็นเรื่องราว ประโยคสั้นๆ ประโยคอยาํ งตอํ เน่ือง ตํอเนอ่ื งได๎ ๙. ๒ อ่าน เขียนภาพ ๙.๒.๑ อํานภาพและพูด ๙.๒.๑ อํานภาพ ๙.๒.๑ อํานภาพ และสัญลักษณ์ได้ ข๎อความด๎วยภาษาของ สัญลกั ษณ์ คาพร๎อมทั้งช้ี สัญลกั ษณ์ คาด๎วยการชี้ ตน หรอื กวาดตามอง หรือกวาดตามอง ข๎อความตามบรรทัด จุดเริ่มต๎นและจุดจบของ ข๎อความ ๙.๒.๒ เขียนขีดเขี่ยอยาํ ง ๙.๒.๒ เขียนคลา๎ ย ๙.๒.๒ เขียนชอื่ ของ มีทิศทาง ตัวอกั ษร ตนเองตามแบบ เขียน ข๎อความด๎วยวธิ ที ีค่ ดิ ขึ้น เอง มาตรฐานท่ี ๑๐ มคี วามสามารถในการคดิ ท่เี ป็นพ้ืนฐานในการเรียนรู้ ตัวบ่งช้ี สภาพท่ีพึงประสงค์ อายุ ๓ – ๔ ปี อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๕ – ๖ ปี ๑๐.๑ มีความสามารถ ๑๐.๑.๑ บอกลักษณะ ในการคดิ รวบยอด ของสิ่งตาํ งๆ จากการ ๑๐.๑.๑ บอกลกั ษณะ ๑๐.๑.๑ บอกลักษณะ สงั เกตโดยใช๎ประสาท และสํวนประกอบของส่งิ สํวนประกอบ การ สมั ผสั ตํางๆ จากการสังเกต เปลย่ี นแปลงหรือ ๑๐.๑.๒ จับคํูหรอื เปรยี บเทยี บสงิ่ ตํางๆ โดยใชป๎ ระสาทสัมผัส ความสัมพนั ธ์ของสิง่ โดยใชล๎ กั ษณะหรือ หนา๎ ทกี่ ารใชง๎ านเพยี ง ตํางๆ จากการสังเกต ลกั ษณะเดยี ว โดยใช๎ประสาทสัมผสั ๑๐.๑.๒ จับคูํและ ๑๐.๑.๒ จับคแํู ละ เปรียบเทียบความ เปรียบเทียบความ แตกตํางหรือความ แตกตํางและความ เหมอื นของสิง่ ตาํ งๆ โดย เหมือนของส่ิงตํางๆ โดย ใชล๎ ักษณะหรือหน๎าท่ี ใช๎ลักษณะท่สี งั เกตพบ
ตัวบง่ ช้ี สภาพที่พงึ ประสงค์ อายุ ๓ – ๔ ปี อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๕ – ๖ ปี การใชง๎ านเพียงลักษณะ ๒ ลักษณะขึน้ ไป เดยี ว ๑๐.๑.๓ คดั แยกสง่ิ ตํางๆ ๑๐.๑.๓ จาแนกและจดั ๑๐.๑.๓ จาแนกและจดั ตามลกั ษณะหรือหนา๎ ที่ กลํมุ สง่ิ ตาํ งๆ โดยใช๎ กลุํมสง่ิ ตํางๆ โดยใช๎ การใช๎งาน อยาํ งน๎อย ๑ ลักษณะ ตง้ั แตํ ๒ ลักษณะขนึ้ ไป เป็นเกณฑ์ ๑๐. ๑.๔ เรียงลาดับ ๑๐.๑.๔ เรียงลาดับ ๑๐.๑.๔ เรียงลาดับ สิ่งของหรือเหตุการณ์ ส่ิงของหรือเหตุการณ์ สิ่งของหรือเหตุการณ์ อยํางน๎อย ๓ ลาดับ อยํางนอ๎ ย ๔ ลาดับ อยาํ งนอ๎ ย ๕ ลาดบั ๑๐.๒ มีความสามารถ ๑๐.๒.๑ ระบุผลที่ ๑๐.๒.๑ ระบสุ าเหตุ ๑๐.๒.๑ อธบิ าย ในการคดิ เชิงเหตผุ ล เกิดขึ้นในเหตุการณห์ รือ หรือผลทเ่ี กดิ ขึ้นใน เช่อื มโยงสาเหตแุ ลผลท่ี การกระทาเมื่อมีผ๎ูชี้แนะ เหตุการณ์หรือการ เกดิ ขึน้ ในเหตุการณ์หรือ กระทาเมอ่ื มผี ูช๎ ีแ้ นะ การกระทาดว๎ ยตนเอง ๑๐.๒.๒ คาดเดา หรือ ๑๐.๒.๒ คาดเดา หรือ ๑๐.๒.๒ คาดคะเนสิ่งที่ คาดคะเนส่ิงที่อาจจะ คาดคะเนสิ่งที่อาจจะ อาจจะเกิดขน้ึ และมี เกดิ ข้นึ เกดิ ข้ึนหรือมสี ํวนรํวมใน สํวนรํวมในการลง การลงความเห็นจาก ความเหน็ จากข๎อมลู ขอ๎ มลู อยาํ งมีเหตุผล ๑๐.๓ มีความสามารถ ๑๐.๓.๑ ตัดสนิ ใจใน ๑๐.๓.๑ ตดั สนิ ใจใน ๑๐.๓.๑ ตดั สินใจใน ในการคิดแกป้ ญั หา เรือ่ งงาํ ยๆ เร่อื งงํายๆ และเรม่ิ เร่ืองงาํ ยๆและยอมรับ เรียนรูผ๎ ลทเ่ี กิดขน้ึ ผลทีเ่ กดิ ขึ้น ๑๐.๓.๒ แกป๎ ัญหาโดย ๑๐.๓.๒ ระบุปญั หาและ ๑๐.๓.๒ ระบุปญั หา ลองผิดลองถูก แกป๎ ัญหาโดยลองผิด สร๎างทางเลอื กและเลือก ลองถกู วิธีแกป๎ ญั หา
มาตรฐานที่ ๑๑ มีจนิ ตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ตวั บ่งชี้ สภาพทพี่ ึงประสงค์ อายุ ๓ – ๔ ปี อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๕ – ๖ ปี ๑๑. ๑ เล่น /ทางาน ๑๑.๑.๑ สรา๎ งผลงาน ๑๑.๑.๑ สรา๎ งผลงาน ๑๑.๑.๑ สร๎างผลงาน ศลิ ปะเพื่อส่ือสาร ศิลปะเพอื่ ส่ือสาร ศิลปะตามจินตนาการ ศิลปะเพื่อสื่อสาร ความคดิ ความรู๎สึกของ ความคิด ความร๎สู ึกของ ตนเอง โดยมีการ ตนเอง โดยมกี าร และความคิดสร้างสรรค์ ความคดิ ความรู๎สึกของ ดดั แปลงและแปลกใหมํ ดัดแปลงแปลกใหมํจาก จากเดมิ หรือมี เดมิ และมรี ายละเอยี ด ของตนเอง ตนเอง รายละเอยี ดเพมิ่ ขน้ึ เพิม่ ขึน้ ๑๑. ๒ แสดงทา่ ทาง / ๑๑.๒.๑ เคล่อื นไหว ๑๑.๒.๑ เคลอ่ื นไหว ๑๑.๒.๑ เคลื่อนไหว ทําทางเพือ่ ส่ือสาร ทําทางเพื่อส่ือสาร เคล่ือนไหวตาม ทาํ ทางเพ่ือส่ือสาร ความคดิ ความรส๎ู ึกของ ความคดิ ความรู๎สึกของ ตนเองอยาํ งหลากหลาย ตนเองอยาํ งหลากหลาย จินตนาการและ ความคดิ ความรสู๎ ึกของ หรือแปลกใหมํ และแปลกใหมํ ความคดิ สร้างสรรค์ของ ตนเอง ตนเอง มาตรฐานที่ ๑๒ มเี จตคตทิ ี่ดตี ่อการเรียนรู้ และมีความสามารถในการแสวงหาความรไู้ ดเ้ หมาะสมกับวัย ตัวบง่ ชี้ สภาพท่ีพงึ ประสงค์ ๑๒. ๑ มีเจตคติทดี่ ีตอ่ การเรยี นรู้ อายุ ๓ – ๔ ปี อายุ ๔ – ๕ ปี อายุ ๕ – ๖ ปี ๑๒. ๒ มีความสามารถ ๑๒.๑.๑ สนใจฟังหรือ ๑๒.๑.๑ สนใจซักถาม ๑ ๒ . ๑ . ๑ ส น ใ จ ห ยิ บ ในการแสวงหาความรู้ อาํ นหนงั สือดว๎ ยตนเอง เกี่ยวกับสัญลักษณ์หรือ หนังสือมาอํานและเขียน ตัวหนังสอื ทีพ่ บเห็น สื่อความคิดด๎วยตนเอง เปน็ ประจาอยํางตํอเน่ือง ๑๒.๑.๒ กระตือรือร๎นใน ๑๒.๑.๒ กระตือรือร๎นใน ๑๒.๑.๒ กระตือรือร๎นใน การเข๎ารวํ มกจิ กรรม การเข๎ารํวมกจิ กรรม การเขา๎ รํวมกิจกรรม ๑๒.๒.๑ ค๎นหาคาตอบ ๑๒.๒.๑ คน๎ หาคาตอบ ๑๒.๒.๑ ค๎นหาคาตอบ ของขอ๎ สงสยั ตํางๆ ตาม ของข๎อสงสยั ตํางๆ ตาม ของขอ๎ สงสยั ตาํ งๆ โดย วิธกี ารเมอื่ มีผ๎ูชแ้ี นะ วิธีการของตนเอง ใชว๎ ิธกี ารที่หลากหลาย ด๎วยตนเอง ๑๒.๒.๒ ใชป๎ ระโยค ๑๒.๒.๒ ใช๎ประโยค ๑๒.๒.๒ ใช๎ประโยค คาถามวาํ “ใคร” คาถามวาํ “ทไี่ หน” คาถามวาํ “เมือ่ ไหรํ” “อะไร” ในการคน๎ หา “ทาไม” ในการค๎นหา “อยาํ งไร” ในการค๎นหา คาตอบ คาตอบ คาตอบ
การจัดเวลาเรียน โรงเรยี นชมุ ชนประชานิกรอานวยเวทย์ ได๎จัดหลักสตู รสถานศึกษา ๑ หลกั สูตร คือ หลักสูตรห๎องเรียน ปกติ ซง่ึ หลกั สตู รการศึกษา ได๎กาหนดกรอบโครงสรา๎ งเวลาในการจัดประสบการณ์ให๎กับเดก็ ดังน้ี ๑. หลกั สูตรหอ้ งเรยี นปกติ หอ๎ งเรยี นปกติระดับอนบุ าล ๑ จานวน ๑ ห๎อง ห๎องเรียนปกตริ ะดบั อนบุ าล ๒ จานวน ๒ หอ๎ ง ห๎องเรยี นปกตริ ะดับอนบุ าล ๓ จานวน ๒ ห๎อง กาหนดเวลาเรยี น โรงเรียนชมุ ชนประชานกิ รอานวยเวทย์ กาหนดชํวงเวลาเรยี นตามระดับชั้นดงั นี้ หลกั สูตรชั้น กล่มุ อายุ เวลาเรยี น อนบุ าล ๑ ๓ – ๔ ปี ๑ ปี (๔๐ สัปดาห์/๒๐๐ วัน ) อนบุ าล ๒ ๔ – ๕ ปี ๑ ปี (๔๐ สัปดาห์/๒๐๐ วัน ) อนุบาล ๓ ๕ – ๖ ปี ๑ ปี (๔๐ สปั ดาห์/๒๐๐ วัน ) โครงสร้างหลักสตู ร เพ่ือให๎การจัดการศึกษาเป็นไปตามหลักการ จุดหมายที่กาหนดไว๎ให๎สถานศึกษาและผู๎เกี่ยวข๎อง ใน การจดั หลักสตู รสถานศึกษาปฐมวยั จงึ กาหนดโครงสรา๎ งของหลักสูตรปฐมวัย ดังนี้ อนบุ าล ๑ อนบุ าล ๒ อนบุ าล ๓ ลาดบั กจิ กรรมประจาวัน ชัว่ โมง (นาที) : วัน ช่ัวโมง ชวั่ โมง (นาท)ี : วนั (นาที) : วัน ๑ กจิ กรรมเคลอ่ื นไหวและจงั หวะ ๒๐ นาที ๒๐ นาที ๒๐ นาที ๒ กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์ ๒๐ นาที ๒๐ นาที ๒๐ นาที ๓ กจิ กรรมสรา๎ งสรรค์ ๓๐ นาที ๓๐ นาที ๓๐ นาที ๔ กจิ กรรมเสรี ๔๐ นาที ๔๐ นาที ๔๐ นาที ๕ กิจกรรมกลางแจง๎ ๔๐ นาที ๔๐ นาที ๔๐ นาที ๖ เกมการศกึ ษา ๓๐ นาที ๓๐ นาที ๓๐ นาที ๗ ทกั ษะพื้นฐานในชวี ิตประจาวัน ๓ ชม. ๓ ชม. ๓ ชม. (การชํวยเหลือตนเองในการรับประทาน ๖ ชม. / วัน ๖ ชม. / วัน อาหารด่มื นม สุขอนามยั และการนอน ๑,๒๐๐ ชม./ปี ๑,๒๐๐ ชม./ปี พักผอํ น) รวม
ห้องเรยี นปกติ เวลาเรยี น ๖ กิจกรรมหลัก อนบุ าล ๑ อนบุ าล ๒ อนบุ าล ๓ ชวั่ โมง : สัปดาห์ ชัว่ โมง : สัปดาห์ ชั่วโมง : สัปดาห์ กจิ กรรมเคล่อื นไหวและจงั หวะ ๑ ชั่วโมง ๔๐ นาที ๑ ชว่ั โมง ๔๐ ๑ ชัว่ โมง ๔๐ นาที นาที กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์ ๑ ชว่ั โมง ๔๐ นาที ๑ ช่วั โมง ๔๐ ๑ ชั่วโมง ๔๐ นาที นาที กจิ กรรมสร๎างสรรค์ ๒ ช่ัวโมง ๓๐ นาที ๒ ชั่วโมง ๓๐ ๒ ชั่วโมง ๓๐ นาที นาที กิจกรรมเสรี ๓ ช่วั โมง ๒๐ นาที ๓ ช่วั โมง ๒๐ ๓ ชว่ั โมง ๒๐ นาที นาที กิจกรรมกลางแจง๎ ๓ ช่ัวโมง ๒๐ นาที ๓ ชั่วโมง ๒๐ ๓ ช่วั โมง ๒๐ นาที นาที เกมการศึกษา ๒ ชว่ั โมง ๓๐ นาที ๒ ชว่ั โมง ๓๐ ๒ ช่วั โมง ๓๐ นาที นาที ทักษะพ้นื ฐานในชวี ิตประจาวนั (ด่มื นม รบั ประทานอาหาร สุขอนามัย ๑๕ ๑๕ ๑๕ และนอนพักผํอน) รวมต่อสัปดาห์ ๓๐ ๓๐ ๓๐ รวมทั้งปกี ารศึกษา ๑,๒๐๐ ๑,๒๐๐ ๑,๒๐๐ (๔๐ สัปดาห์ / ๒๐๐ วัน) กิจกรรมพฒั นาศกั ยภาพ (บูรณาการกบั ๖ กิจกรรมหลกั ใหเ้ หมาะสมกับเวลาในแต่ละวัน) คอมพวิ เตอร์ ๑๑ พลศกึ ษา ๑๑ ดนตรี นาฏศิลป์ ๑๑ วทิ ยาศาสตร์/คณิตศาสตร์ ๑ ๑
สาระการเรยี นรู้ สาระการเรียนร๎ู เป็นส่ือกลางในการจัดประสบการณ์การเรียนรู๎ให๎กับเด็ก เพื่อสํงเสริมพัฒนาการเด็ก ทกุ ด๎าน ใหเ๎ ปน็ ไปตามจดุ หมายของหลักสตู รทีก่ าหนด สาระการเรยี นรู๎ ประกอบด๎วย ประสบการณ์สาคัญ และ สาระทค่ี วรเรยี นรู๎ ดงั นี้ ๑. ประสบการณส์ าคญั ประสบการณส์ าคัญ เป็นแนวสาหรับผู๎สอนนาไปใช๎ออกแบบการจัดประสบการณ์ให๎เด็กเรียนรู๎ ลงมือ ปฏิบตั ิ และไดร๎ บั การสงํ เสริมพัฒนาการครอบคลมุ ทุกดา๎ น ดังน้ี ๑.๑ ประสบการณส์ าคัญทส่ี ง่ เสรมิ พฒั นาการด้านร่างกาย เป็นการสนับสนุนเด็กได๎มีโอกาสพัฒนาการใช๎ กล๎ามเนื้อใหญํ (กล๎ามเนื้อแขน-ขา ลาตัว) กล๎ามเน้ือเล็ก (กล๎ามเนื้อมือ-น้ิวมือ) และการประสานสัมพันธ์ ระหวาํ งกลา๎ มเนอ้ื และระบบประสาท (กลา๎ มเนือ้ มอื -ประสานตา) ในการทากจิ วัตรประจาวันหรือกิจกรรมตํางๆ และสนับสนนุ ใหเ๎ ด็กมีโอกาสดูแลสขุ ภาพและสขุ อนามัย สขุ นิสัย และการรักษาความปลอดภยั ดังนี้ ด้านร่างกาย ประสบการณ์สาคัญ ตวั อยา่ งประสบการณแ์ ละกิจกรรม ๑.๑.๑ การใช้ (๑) การเคล่ือนไหวอยํูกบั ที่ กลา้ มเนื้อใหญ่ (๒) การเคลื่อนไหวเคล่ือนที่ (๓) การเคลื่อนไหวพร๎อมวสั ดุอุปกรณ์ (๔) การเคล่ือนไหวที่ใชก๎ ารประสานสมั พันธ์ ของการใช๎กลา๎ มเน้อื ใหญํ ในการขว๎างการจบั การโยน การเตะ (๕) การเลํนเคร่ืองเลนํ สนามอยาํ งอิสระ ๑.๑.๒ การใช้ (๑) การเลนํ เคร่อื งเลนํ สมั ผสั และการสร๎างส่ิง กลา้ มเนื้อเลก็ ตาํ งๆจากแทํงไม๎ บล็อก (๒) การเขียนภาพและเลนํ กบั สี (๓) การปั้น (๔) การประดิษฐส์ ิง่ ตํางๆ ด๎วยเศษวสั ดุ (๕) การหยิบจบั การใชก๎ รรไกร การตัด และ การรอ๎ ยวสั ดุ ๑.๑.๓ การรักษา (๑) การปฏบิ ัติตนตามสุขอนามัย สุขนิสัยที่ดี สขุ ภาพอนามยั ทีด่ ี ในกจิ วตั รประจาวนั สว่ นตน (๑) การปฏิบัติตนให๎ปลอดภัยในกิจวัตร ๑.๑.๔ การรกั ษา ประจาวนั ความปลอดภัย (๒) การฟังนิทาน เร่ืองราว เหตุการณ์
ด้านรา่ งกาย ประสบการณ์สาคญั ตวั อยา่ งประสบการณแ์ ละกิจกรรม เกี่ยว กับการปูองกันและรักษาคว าม ปลอดภยั (๓) การเลนํ เครื่องเลนํ อยํางปลอดภยั (๔) เลนํ บทบาทสมมุติเหตกุ ารณต์ ํางๆ ๑.๑.๕ การ (๑) การเคลื่อนไหวเพ่ือควบคุมตนเองไปใน ตระหนักร้เู กีย่ วกับ ทศิ ทาง ระดบั และพืน้ ท่ี รา่ งกายตนเอง (๒) การการเคลื่อนไหวขา๎ มส่งิ กดี ขวาง ๑.๒ ประสบการณ์สาคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ เป็นการสนับสนุนให๎เด็ก ได๎แสดงออก ทางอารมณแ์ ละความรูส๎ ึกของตนเองท่เี หมาะสมกับวัย ตระหนักถึงลักษณะพิเศษเฉพาะที่เป็นอัตลักษณ์ ความ เป็นตัวของตัวเอง มีความสุข รําเริงแจํมใสการเห็นอกเห็นใจผ๎ูอื่น ได๎พัฒนาคุณธรรมจริยธรรม สุนทรียภาพ ความรู๎สกึ ท่ดี ตี อํ ตนเอง และความเชอื่ มั่นในตนเองขณะปฏบิ ตั กิ ิจกรรมตาํ งๆ ดงั น้ี ด้านอารมณ์-จิตใจ ประสบการณส์ าคญั ตวั อยา่ งประสบการณ์และกิจกรรม ๑.๒.๑ สนุ ทรยี ภาพ (๑) การฟังเพลง การร๎องเพลง และการ ดนตรี แสดงปฏิกิริยาโต๎ตอบเสียงดนตรี (๒) การเลํนเครือ่ งดนตรีประกอบจงั หวะ (๓) การเคล่ือนไหวตามเสียงเพลง/ดนตรี (๔) การแสดงบทบาทสมมติ (๕) การทากจิ กรรมศลิ ปะตาํ งๆ (๖) การสร๎างสรรคส์ ง่ิ สวยงาม ๑.๒.๒ การเล่น (๑) การเลนํ อสิ ระ (๒) การเลนํ รายบุคคล กลมํุ ยอํ ย และกลุมํ ใหญํ (๓) การเลนํ ตามมุมประสบการณ/์ มุมเลํน ตาํ งๆ (๔) การเลํนนอกหอ๎ งเรยี น ๑.๒.๓ คณุ ธรรม (๑) การปฏิบตั ติ นตามหลักศาสนาทน่ี บั ถอื จริยธรรม (๒) กา รฟัง นิทา นเก่ี ยว กั บคุณ ธ รร ม จริยธรรม
ด้านอารมณ์-จิตใจ ประสบการณส์ าคญั ตัวอยา่ งประสบการณ์และกิจกรรม (๓) การรํวมสนทนา และแลกเปล่ียนความ คดิ เหน็ เชิงจรยิ ธรรม ๑.๒.๔ การ (๑) การพูดสะท๎อนความร๎ูสึกของตนเอง แสดงออกทาง และผู๎อน่ื อารมณ์ (๒) การเลํนบทบาทสมมติ (๓) การเคล่อื นไหวตามเสยี งเพลง/ดนตรี (๔) การรอ๎ งเพลง/การพดู คาคลอ๎ งจอง (๕) การทางานศลิ ปะ ๑.๒.๕ การมีอัต ( ๑ ) ก า ร ป ฏิ บั ติ กิ จ ก ร ร ม ตํ า ง ๆ ต า ม ลกั ษณ์เฉพาะตนและ ความสามารถของตนเอง เชอ่ื วา่ ตนเองมี ความสามารถ ๑.๒.๖ การเห็นอก (๑) การแสดงความยินดีเม่ือผู๎อื่นมีความสุข เห็นใจผู้อ่นื เห็นอกเห็นใจเม่ือผ๎ูอื่นเศร๎าหรือเสียใจ และ การชํวยเหลือปลอบโยนเม่ือคนอื่นได๎รับ บาดเจ็บ ๑.๓ ประสบการณ์สาคญั ที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม เป็นการสนับสนุนให๎เด็กมีโอกาสปฏิสัมพันธ์ กับบุคคลและสิ่งแวดล๎อมตํางๆรอบตัวจากการปฏิบัติกิจกรรมตํางๆ ผํานการเรียนรู๎ทางสังคม เชํน การเลํน การทางานกับผ๎อู ืน่ ฯลฯ การปฏบิ ัตกิ จิ วัตรประจาวนั การแกป๎ ัญหาข๎อขัดแย๎งตาํ งๆ ดังนี้ ดา้ นสงั คม ประสบการณส์ าคัญ ตัวอยา่ งประสบการณ์และ กิจกรรม ๑.๓.๑ การปฏิบัติ (๑) การชํวยเหลือตนเองในกิจวตั รประจาวัน กิจวัตรประจาวัน (๒) การปฏิบัติตนตามแนวทางหลักปรัชญา ด้วยตนเอง ของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ๑ . ๓ . ๒ ก า ร ดู แ ล (๑) การมีสํวนรํวมรับผิดชอบดูแลรักษา รักษาธรรมชาติและ สิ่ ง แ ว ด ล๎ อ ม ทั้ ง ภ า ย ใ น แ ล ะ ภ า ย น อ ก สง่ิ แวดลอ้ ม หอ๎ งเรียน (๒) การใช๎วัสดุและสิ่งของเครื่องใช๎อยําง
ด้านสังคม ประสบการณ์สาคญั ตวั อย่างประสบการณ์และ กิจกรรม คม๎ุ คาํ (๓) การทางานศิลปะท่ีนาวัสดุส่ิงของ เคร่ืองใช๎ที่ใช๎แล๎ว มาใช๎ซ้าหรือแปรรูปแล๎ว นากลบั มาใช๎ใหมํ (๔) การเพาะปลูกและดแู ลตน๎ ไม๎ (๕) การเลย้ี งสัตว์ (๖) การสนทนาขําวและเหตุการณ์ท่ี เ ก่ี ย ว กั บ ธ ร ร ม ช า ติ แ ล ะ ส่ิ ง แ ว ด ล๎ อ ม ใ น ชวี ิตประจาวนั ๑.๓.๓ การปฏิบัติ (๑) การเลํนบทบาทสมมติการปฏิบัติตนใน ตามวัฒนธรรมท้อง ความเป็นคนไทย ถน่ิ ที่อาศัยและความ (๒) การปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมท๎อง เปน็ ไทย ถิ่นที่อาศยั และประเพณีไทย (๓) การประกอบอาหาร (๔) การทางานภาคสนาม (๕) การศึกษานอกสถานท่ี ๑.๓.๔ การมี (๑) การรํวมกาหนดข๎อตกลงของหอ๎ งเรียน ปฏสิ มั พันธ์ มีวินัย มี (๒) การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกท่ีดีของ สว่ นร่วม และ หอ๎ งเรยี น บทบาทสมาชิกของ (๓) การให๎ความรํวมมือในการปฏิบัติ สงั คม กจิ กรรมตํางๆ (๔) การดแู ลห๎องเรียนรํวมกนั (๕) การรํวมกิจกรรมวนั สาคญั ๑.๓.๕ การเล่นและ (๑) การรํวมสนทนาและแลกเปล่ียนความ ทางานแบบร่วมมือ คดิ เหน็ รว่ มใจ (๒) การเลนํ และทางานรวํ มกบั ผู๎อ่ืน (๓) การทาศิลปะแบบรํวมมือ ๑.๓.๖ การ (๑) การมสี วํ นรวํ มในการวิธกี ารแก๎ปัญหา แกป้ ัญหาความ (๒) การมีสํวนรํวมในการแก๎ปัญหาความ ขัดแยง้ ขดั แย๎ง
ด้านสังคม ประสบการณ์สาคัญ ตัวอยา่ งประสบการณแ์ ละ กิจกรรม ๑.๓.๗ การยอมรับ (๑) การเลํนและทากิจกรรมรํวมกับกลํุม ในความเหมือนและ เพอื่ น ความแตกตา่ ง ระหวา่ งบุคคล ๑.๔ ประสบการณ์สาคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา เป็นการสนับสนุนให๎เด็กได๎รับรู๎ เรียนร๎ู ส่ิงตํางๆ รอบตัวผํานการมีปฏิสัมพันธ์กับส่ิงแวดล๎อม บุคคล และสื่อตํางๆ ด๎วยกระบวนการเรียนรู๎ท่ี หลากหลาย เพ่อื เปิดโอกาสใหเ๎ ดก็ พัฒนาการใช๎ภาษา จินตนาการความคิดสรา๎ งสรรค์ การแก๎ปญั หา การคิดเชิง เหตผุ ล การคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งตํางๆ รอบตัว และมีความคดิ รวบยอดทางคณิตศาสตรท์ ีเ่ ป็นพ๎นฐานของการ เรยี นรู๎ตอํ ไป ดงั น้ี ดา้ นสตปิ ัญญา ประสบการณ์สาคญั ตวั อยา่ งประสบการณ์และกิจกรรม ๑.๔.๒ การใช้ภาษา (๑) การฟังเสยี งตํางๆ ในส่งิ แวดลอ๎ ม (๒) การฟังและปฏิบัติตามคาแนะนา (๓) การฟังเพลง นิทาน คาคล๎องจอง บท รอ๎ ยกรอง หรือเรื่องราวตํางๆ (๔) การพูดแสดงความคิด ความร๎ูสึก และ ความตอ๎ งการ (๕) การพูดกับผ๎ูอ่ืนเก่ียวกับประสบการณ์ ของตนเอง หรอื เลําเรอ่ื งราวกับตนเอง ( ๖ ) ก า ร พู ด อ ธิ บ า ย เ กี่ ย ว กั บ สิ่ ง ข อ ง เหตกุ ารณ์ และความสมั พนั ธข์ องสงิ่ ตํางๆ (๗) การพูดอยํางสร๎างสรรค์ในการเลํนและ การกระทาตํางๆ (๘) การรอจงั หวะทีเ่ หมาะสมในการพูด (๙) การพูดเรียงลาดับคาเพ่ือใช๎ในการ ส่ือสาร ( ๑ ๐ ) ก า ร อํ า น ห นั ง สื อ ภ า พ นิ ท า น หลากหลายประเภท/รูปแบบ (๑๑) การอํานอยํางอิสระตามลาพัง การ อาํ นรํวมกัน การอาํ นโดยมีผ๎ูชี้แนะ(๑๒) การ เห็นแบบอยาํ งการอํานที่ถกู ตอ๎ ง (๑๓) การสังเกตทิศทางการอธิบายเกี่ยวกับ
ด้านสตปิ ญั ญา ประสบการณ์สาคัญ ตวั อยา่ งประสบการณแ์ ละกิจกรรม ส่ิงของ เหตุการณ์ และความสัมพันธ์ของสิ่ง ตาํ งๆ (๑๔) การอํานและชี้ข๎อความ โดยกวาด สายตาตามบรรทดั จากซ๎ายไปขวาจากบนลง ลาํ ง (๑๕) การสังเกตตัวอักษรในช่ือของตน หรือ คาคุ๎นเคย (๑๖) การสังเกตตัวอักษรที่ประกอบเป็นคา ผํานหรือเขียนของผู๎ใหญํ (๑๗) การคาดเดาคา วลี หรือประโยคที่มี โครงสร๎างซ้าๆ กัน จากนิทาน เพลง คา คลอ๎ งจอง (๑๘) การเลํนเกมทางภาษา (๑๙) การเห็นแบบอยํางของการเขียนที่ ถูกต๎อง (๒๐) การเขียนรํวมกันตามโอกาส และการ เขียนอสิ ระ (๒๑) การเขียนคาท่ีมีความหมายกับตัวเด็ก / คาค๎นุ เคย (๒๒) การคิดสะกดคาและเขียนเพื่อส่ือ ความหมายด๎วยตนเองอยาํ งอสิ ระ ๑.๔.๒ การคดิ รวบ (๑) การสังเกตลักษณะ สํวนประกอบ การ ยอด การคิดเชงิ เปลี่ยนแปลง และความสัมพันธ์ของสิ่งตํางๆ เหตผุ ลการตดั สินใจ โดยใชป๎ ระสาทสัมผัสอยาํ งเหมาะสม และแก้ปญั หา (๒) การสังเกตส่ิงตํางๆ และสถานท่ีจาก มมุ มองทต่ี ํางกัน (๓) การบอกและแสดงตาแหนงํ (๔) การเลนํ กบั ส่ือตาํ งๆ ท่ีเป็นทรงกลม ทรง ส่เี หล่ยี มมมุ ฉาก ทรงกระบอก ทรงกรวย (๕) การคัดแยก การจัดกลุํม และการ จาแนกส่ิงตํางๆ ตามลักษณะและรูปรําง รปู ทรง (๖) การตํอของช้ินเล็กเติมในช้ินใหญํให๎
ดา้ นสติปัญญา ประสบการณ์สาคญั ตัวอย่างประสบการณแ์ ละกิจกรรม ๑.๔.๓ จนิ ตนาการ สมบูรณ์ และการแยกชิน้ สวํ น และความคิด (๗) การทาซ้า การตํอเติม และการสร๎าง สรา้ งสรรค์ แบบรปู (๘) การนับและแสดงจานวนของส่ิงตํางๆ ในชวี ติ ประจาวัน (๙) การเปรียบเทียบและเรียงลาดับจานวน ของสง่ิ ตาํ งๆ (๑๐) การรวมและการแยกสง่ิ ตํางๆ (๑๑) การบอกและแสดงอันดับท่ีของสิ่ง ตาํ งๆ (๑๒) ลงข๎อสรุปสิ่งท่ีค๎นพบหรือส่ิงท่ีได๎ เรียนร๎ู (๑๓) การชั่ง ตวง วัดสิ่งตํางๆ โดยใช๎ เครอ่ื งมอื และหนํวยที่ไมํใชมํ าตรฐาน (๑๔) การบอกและเรียงลาดับกิจกรรมหรือ เหตกุ ารณต์ ามชํวงเวลา (๑๕) การใช๎ภาษาทางคณิตศาสตร์กับ เหตุการณใ์ นชีวติ ประจาวนั (๑๖) การอธิบายเช่ือมโยงสาเหตุและผลท่ี เกดิ ข้ึนในเหตุการณ์หรอื การกระทา (๑๗) การคาดเดาหรือการคาดคะเนส่ิงท่ี อาจจะเกิดขน้ึ อยาํ งมเี หตุผล (๑๘) การมีสํวนรํวมในการลงความเห็นจาก ขอ๎ มลู อยํางมีเหตผุ ล (๑๙) การตัดสินใจและมีสํวนรํวมใน กระบวนการแกป๎ ัญหา (๑) การรับร๎ู และแสดงความคิด ความร๎ูสึก ผํานส่ือ วัสดุ ของเลํน และช้ินงาน (๒) การแสดงความคิดสร๎างสรรค์ผํานภาษา ทาํ ทาง การเคลอ่ื นไหว และศลิ ปะ (๓) การสร๎างสรรค์ชิ้นงานโดยใช๎รูปรําง รูปทรงจากวสั ดุท่หี ลากหลาย
ดา้ นสตปิ ญั ญา ประสบการณ์สาคญั ตัวอยา่ งประสบการณแ์ ละกิจกรรม ๑.๔.๔ เจตคตทิ ีด่ ี (๑) การสารวจส่ิงตํางๆ และแหลํงเรียนร๎ู ต่อการเรียนร้แู ละ รอบตัว การแสดงหาความรู้ (๒) การต้ังคาถามในเร่อื งทส่ี นใจ (๓) การสืบเสาะหาความรู๎เพื่อค๎นหาคาตอบ ของขอ๎ สงสยั ตํางๆ (๔) การมีสวํ นรํวมในการรวบรวมข๎อมูลและ นาเสนอขอ๎ มูลจากการสบื เสาะ หาความรใ๎ู นรูปแบบตาํ งๆ และแผนภูมิอยําง งําย ๒. สาระทคี่ วรเรยี นรู้ สาระที่ควรเรียนร๎ู เป็นเรื่องราวรอบตัวเด็กที่นามาเป็นส่ือในการจัดกิจกรรมให๎เด็กเกิดแนวคิด หลังจากนาสาระการเรียนรู๎น้ันๆ มาจัดประสบการณ์ให๎เด็ก เพ่ือให๎บรรลุจุดหมายท่ีกาหนดไว๎ท้ังนี้ ไมํเน๎นการ ทอํ งจาเน้อื หา ผู๎สอนสามารถกาหนดรายละเอยี ดขนึ้ เองให๎สอดคล๎องกับวัย ความต๎องการ และความสนใจของ เด็ก โดยให๎เด็กได๎เรียนรู๎ผํานประสบการณ์สาคัญ ทั้งนี้อาจยืดหยุํนเน้ือหาได๎ โดยคานึงถึงประสบการณ์และ ส่ิงแวดล๎อมในชีวติ จรงิ ของเดก็ ดงั นี้ ๒.๑ เร่อื งราวเกีย่ วกับตวั เดก็ เด็กควรเรียนรู๎เกีย่ วกบั ชื่อ นามสกุล รูปรํางหน๎าตา อวัยวะตํางๆ วิธี รักษาราํ งกายใหส๎ ะอาดและมสี ุขภาพอนามัยที่ดี การรบั ประทานอาหารที่มีประโยชน์ การรักษาความปลอดภัย ของตนเอง รวมทั้งการปฏิบตั ติ อํ ผ๎ูอน่ื อยํางปลอดภยั การร๎ูจักประวัติความเป็นมาของตนเองและครอบครัว การ ปฏิบัติตนเป็นสมาชิกท่ีดีของครอบครัวและโรงเรียน การเคารพสิทธิของตนเองและผ๎ูอ่ืน การรู๎จักแสดงความ คิดเห็นของตนเองและรับฟังความคิดเห็นของผ๎ูอ่ืน การกากับตนเอง การเลํนและทาส่ิงตํางๆด๎วยตนเองตาม ลาพังหรือกับผ๎ูอื่น การตระหนักรู๎เกี่ยวกับตนเอง ความภาคภูมิใจในตนเอง การสะท๎อนการรับร๎ูอารมณ์และ ความรู๎สึกของตนเองและผู๎อ่ืน การแสดงออกทางอารมณ์และความรู๎สึกอยํางเหมาะสม การแสดงมารยาทท่ีดี การมคี ุณธรรม จริยธรรม เมอ่ื เด็กมีโอกาสเรียนรแ๎ู ลว๎ ควรเกดิ แนวคดิ เชํน ฉนั มชี อ่ื ต้ังแตํเกิด ฉันมีเสียง รูปรํางหน๎าตาไมํเหมือนใคร ฉันภูมิใจท่ีเป็นตัวฉันเองเป็นคน ไทยที่ดี มีมารยาท มีวินัย รู๎จักแบํงปันทาส่ิงตํางๆ ด๎วยตนเอง เชํน แตํงตัว แปรงฟัน รับประทานอาหาร ฯลฯ ฉันมีอวัยวะตํางๆ เชํน ตา หู จมูก ปาก ขา มือ ผม น้ิวมือ นิ้วเท๎า ฯลฯ และฉันรู๎จักวิธี รกั ษารํางกายให๎สะอาด ปลอดภัย มีสุขภาพดี ฉนั ใชต๎ า หู จมูก ลน้ิ และผิวกาย ชวํ ยในการรับรส๎ู ่งิ ตาํ งๆ จงึ ควรดแู ลรักษาให๎ปลอดภัย ฉันต๎องการอากาศ น้า และอาหาร เพ่ือการดารงชีวิต ฉันจึงต๎องรับประทานอาหารที่มี ประโยชน์ ออกกาลังกาย และพกั ผอํ นใหเ๎ พยี งพอ เพือ่ ให๎รํางกายแข็งแรงเจรญิ เตบิ โต ฉันตระหนักร๎ูเก่ียวกับตนเองวํา ฉันสามารถเคลื่อนไหวโดยควบคุมรํางกายไปในทิศทาง ระดบั และพ้ืนท่ีตาํ งๆ ราํ งกายของฉนั อาจมีเปล่ยี นแปลงเมอื่ ฉนั ร๎ูสึกไมสํ บาย
ฉันเรียนร๎ูข๎อตกลงตํางๆ รู๎จักระมัดระวังรักษาความปลอดภัยของตนเองและผ๎ูอื่นเม่ือ ทางาน เลนํ คนเดยี ว และเลนํ กบั ผอู๎ นื่ ฉันอาจร๎ูสึกดีใจ เสียใจ โกรธ เหนื่อย หรืออ่ืนๆที่ฉันเรียนรู๎ที่จะแสดงความร๎ูสึกในทางที่ดี และเหมาะสม เม่ือฉันแสดงความคิดเห็นหรือทาสิ่งตํางๆ ด๎วยความคิดของตนเอง แสดง วาํ ฉนั มีความคิดสรา๎ งสรรค์ ความคดิ ของฉันเปน็ สิ่งสาคัญ แตํคนอื่นก็มีความคิดท่ีดีเหมือน ฉันเชํนกนั ๒.๒ เร่อื งราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานท่แี วดลอ้ มเดก็ เด็กควรเรยี นร๎ูเกย่ี วกบั ครอบครวั สถานศึกษา ชุมชน บุคคลตํางๆ ท่ีเด็กต๎องเก่ียวข๎องหรือใกล๎ชิด และมีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจาวัน สถานที่ สาคัญ วันสาคัญ อาชีพของคนในชุมชน ศาสนา แหลํงวัฒนธรรมในชุมชน สัญลักษณ์สาคัญของชาติไทย และ การปฏิบัติตามวัฒนธรรมท๎องถิ่นและความเป็นไทย หรือแหลํงเรียนรู๎จากภูมิปัญญาท๎องถ่ินอ่ืนๆ เมื่อเด็กมี โอกาสเรียนรแู๎ ล๎วควรเกดิ แนวคดิ เชํน ทุกคนในครอบครัวของฉันเป็นบุคคลสาคัญ ต๎องการที่อยํูอาศัย อาหาร เส้ือผ๎า และยารักษา โรค รวมท้ังต๎องการความรัก ความเอื้ออาทร ชํวยดูแลซ่ึงกันและกัน ชํวยกันทางาน และ ปฏิบัติตามข๎อตกลงภายในครอบครัว ฉันต๎องเคารพเชื่อฟังพํอแมํและผ๎ูใหญํในครอบครัว ปฏิบัติตนให๎ถูกต๎องตามกาลเทศะ ครอบครัวของฉันมีวันสาคัญตํางๆ เชํน วันเกิดของบุคคล ในครอบครวั วนั ทาบุญบ๎าน ฉนั ภูมใิ จในครอบครัวของฉนั สถานศึกษาของฉันมีชื่อ เป็นสถานท่ีท่ีเด็กๆ มาทากิจกรรมรํวมกัน และทาให๎ได๎เรียนรู๎ส่ิง ตํางๆ มากมาย สถานศึกษาของฉันมีคนอยํูรํวมกันหลายคน ทุกคนมีหน๎าที่ท่ีรับผิดชอบ ปฏบิ ัติตามกฎระเบียบ ชํวยกันรกั ษาความสะอาด และทรัพย์สมบัติของสถานศึกษา ครูรักฉัน และเอาใจใสํดูแลเด็กทุกคน เวลาทากิจกรรม ฉันและเพ่ือนจะชํวยกันคิด ชํวยกันทา รับฟัง ความคดิ เหน็ และรับรู๎ความรู๎สกึ ซ่งึ กันและกัน ท๎องถิ่นของฉันมีสถานที่ บุคคล แหลํงวิทยากร แหลํงเรียนร๎ูตํางๆท่ีสาคัญคนในท๎องถ่ินที่ฉัน อาศัยอยํู มีอาชีพที่หลากหลาย เชํน ครู แพทย์ ทหาร ตารวจ ชาวนา ชาวสวน พํอค๎าแมํค๎า ท๎องถนิ่ ของฉัน มวี นั สาคญั ของตนเอง ส่งิ จะมีการปฏบิ ตั ิกจิ กรรมที่แตกตาํ งกนั ไป ฉันเป็นคนไทย ฉันภูมิใจในความเป็นไทยท่ีมีวันสาคัญของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ มีภาษา วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชาติ และท๎องถิ่นหลายอยําง ฉันและเพื่อน นบั ถอื ศาสนา หรือมคี วามเชอื่ ทเ่ี หมือนกันหรอื แตกตํางกันได๎ ศาสนาทุกศาสนาสอนให๎ทุกคน เป็นคนดี ๒.๓ ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู๎เก่ียวกับชื่อ ลักษณะ สํวนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและ ความสัมพันธ์ของมนุษย์ สัตว์ พืช ตลอดจนการร๎ูจักเก่ียวกับดิน น้า ท๎องฟูา สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ แรง และพลงั งานในชวี ติ ประจาวนั ที่แวดล๎อมเดก็ รวมทั้งการอนรุ กั ษ์สง่ิ แวดลอ๎ มดูและการรักษาสาธารณสมบัติ เมื่อ เด็กมีโอกาสเรียนร๎แู ลว๎ ควรเกดิ แนวคิด เชนํ ธรรมชาติรอบตัวฉันมีทั้งสิ่งมีชีวิตและไมํมีชีวิต ส่ิงมีชีวิตต๎องการอากาศ แสงแดด น้าและ อาหารเพ่ือเจริญเติบโต สิ่งมีชีวิตสามารถปรับตัวให๎เข๎ากับลักษณะลมฟูาอากาศในแตํละวัน
หรือฤดู และยังต๎องพ่ึงพออาศัยซ่ึงกันและกัน สาหรับสิ่งไมํมีชีวิต เชํน น้า หิน ดินทราย มี รปู รําง รปู ทรง ลกั ษณะ สตี ํางๆ และมปี ระโยชน์ ลักษณะลมฟูาอากาศรอบตัวแตํละวันอาจเหมือนหรือแตกตํางกันได๎ บางคร้ังฉันคาดคะเน ลักษณะลมฟูาอากาศได๎จากส่ิงตํางๆ รอบตัว เชํน เมฆ ท๎องฟูา ลม ในเวลากลางวันเป็น ชวํ งเวลาที่ดวงอาทติ ยข์ ึน้ จนดวงอาทิตย์ตก คนสํวนใหญํจะตื่นและทางานสํวนฉันไปโรงเรียน หรือเลํน กลางวันและกลางคืนมีลักษณะแตกตํางกัน เชํน ท๎องฟูาในเวลากลางวัน เป็นสีฟูา ในเวลากลางคืนเป็นสีดา กลางวันมีแสงสวําง แตํกลางคืนมืด อากาศเวลากลางวันร๎อนกวํา เวลากลางคืน เมอื่ ฉันออกแรงกระทาตํอสิ่งของด๎วยวิธีตํางๆ เชํน ผลัก ดึง บีบ ทุบ ตี เปุา เขยํา ดีด ส่ิงของ จะมีการเปลย่ี นแปลงรปู ราํ ง การเคลอ่ื นท่ี และเกิดเสยี งแบบตาํ งๆ แสง และไฟฟูา ได๎มาจากแหลํงพลังงาน เชํน ดวงอาทิตย์ ลม น้า เช้ือเพลิง แสงชํวยให๎เรา มองเห็นเม่ือมีส่ิงตํางๆ ไปบังแสงจะเกิดเงา ไฟฟูาทาให๎สิ่งของเครื่องใช๎บางอยํางทางานได๎ ชวํ ยอานวยความสะดวกในชีวติ ประจาวัน การนาพลังงานมาใช๎ทาให๎แหลํงพลังงานบางอยําง มีปรมิ าณลดลง เราจึงใชพ๎ ลงั งานอยาํ งประหยดั สิง่ แวดล๎อมตามธรรมชาติรอบตัวฉัน เชนํ สตั ว์ พชื น้า ดิน หนิ ทราย สภาพของลมฟูาอากาศ เปน็ ส่งิ จาเปน็ สาหรบั ชีวิตต๎องได๎รับการอนุรักษ์ ส่ิงแวดล๎อมท่ีมนุษย์สร๎างข้ึนรอบๆตัวฉัน เชํน ส่ิงของเครื่องใช๎ บ๎านอยํูอาศัย ถนนหนทาง สวนสาธารณะ สถานท่ีตํางๆ เป็นสิ่งที่ใช๎ ประโยชนร์ ํวมกนั ทุกคนรวมท้ังฉันชํวยกันอนุรักษ์ส่ิงแวดล๎อมและรักษาสาธารณสมบัติโดยไมํ ทาลายและบารงุ รักษาให๎ดีข้ึนได๎ ๒.๔ สิ่งต่างๆ รอบตัวเดก็ เดก็ ควรเรยี นรู๎เกีย่ วกบั การใช๎ภาษาเพื่อสื่อความหมายในชีวิตประจาวัน ความรู๎พื้นฐานเก่ียวกับการใช๎หนังสือและตัวหนังสือ ร๎ูจักชื่อ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รูปรําง รูปทรง ปริมาตร น้าหนัก จานวน สํวนประกอบ การเปล่ียนแปลงและความสัมพันธ์ของส่ิงตํางๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใช๎งาน และการเลือกใช๎ส่ิงของเคร่ืองใช๎ ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการส่ือสาร ตํางๆ ที่ใช๎อยํูในชีวิตประจาวัน อยํางประหยัด ปลอดภัย และรักษาส่ิงแวดล๎อม ทั้งน้ี เมื่อเด็กมีโอกาสเรียนร๎ู แลว๎ เด็กควรเกดิ แนวคิด เชํน ฉนั ใช๎ภาษาท้งั ฟงั พดู อาํ น เขียน เพือ่ การสอื่ ความหมายในชีวติ ประจาวันฉันติดตอสื่อสารกับ บุคคลตํางๆได๎หลายวิธี เชํน โดยการไปมาหาสูํ โทรศัพท์ จดหมาย หรือเคร่ืองใช๎ที่ใช๎ในการ ติดตอํ สอ่ื สารตาํ งๆและฉนั ทราบขาํ วความเคล่ือนไหวตํางๆรอบตัวด๎วยการสนทนา ฟังวิทยุ ดู โทรทัศน์ และอํานหนังสือ หนังสือเป็นส่ือในการถํายทอดความร๎ู ความคิด ความร๎ูสึกไปยัง ผ๎ูอําน ถ๎าฉันชอบอํานหนังสือฉันก็จะมีความรู๎ความคิดมากขึ้น ฉันสามารถรวบรวมข๎อมูล งาํ ยๆนามาถาํ นทอดให๎ผ๎ูอ่ืนเข๎าใจได๎โดยนาเสนอด๎วยรูปภาพ สัญลักษณ์ แผนผัง ผังความคิด แผนภูมิ สิ่งตํางๆรอบตัวฉันสํวนใหญํมีสี ยกเว๎นกระจกใส พลาสติกใส สีมีอยูํทุกหนทุกแหํงท่ีฉัน สามารถเห็นตามดอกไม๎ เส้ือผ๎า อาหาร รถยนต์ และอ่ืนๆ สีที่ฉันเห็นมีชื่อเรียกตํางๆกัน เชํน
แดง เหลือง น้าเงิน สีแตํละสีทาให๎เกิดความร๎ูสึกตํางกัน สีบางสีสามารถใช๎เป็นสัญญาณหรือ สญั ลักษณส์ อื่ สารกันได๎ สิ่งตํางๆรอบตัวฉันมีชื่อ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส วัสดุ รูปรําง รูปทรง ปริมาตร น้าหนักและ สวํ นประกอบตํางๆกัน สามารถจาแนกประเภทตามชนดิ ขนาด สี พืน้ ผิว วัสดุ รูปรําง รูปทรง หรอื ประโยชนใ์ นการใช๎งาน ฉันสามารถสังเกตเห็นการเปล่ียนแปลงของส่ิงตํางๆรอบตัว เชํน การเจริญเติบโตของมนุษย์ สัตว์หรือพชื การเปล่ยี นแปลงของสภาพของลมฟาู อากาศ การเปล่ียนแปลงของสิ่งตํางๆ จาก การทดลองอยํางงํายๆหรือการประกอบอาหาร และฉันสามารถเห็นความสัมพันธ์ของส่ิง ตาํ งๆรอบตัว เชํน การนาสิ่งตํางๆมาใช๎ประโยชน์ ความสัมพันธ์ระหวํางการกระทาบางอยําง กับผลที่เกิดขึ้น เชํน ถ๎ารับประทานอาหารแล๎วไมํแปรงฟันฟันจะผุ ถ๎าใสํน้าตาลลงไปในน้า แล๎วนา้ ตาลจะละลาย ถา๎ ปลอํ ยสิง่ ของจากที่สงู แลว๎ สิ่งของจะตกลงมา การนบั สงิ่ ตาํ งๆทาให๎ฉันรจ๎ู านวนส่ิงของ และจานวนนับนน้ั เพ่ิมหรอื ลดลงได๎ ฉันรู๎วําส่ิงของแตํ ละชน้ิ นับไดเ๎ พียงครง้ั เดยี ว ไมนํ ับซา้ และเสยี งสุดทา๎ ยที่นับเป็นตวั บอกปริมาณ ฉันเปรียบเทียบและเรียงลาดับส่ิงของตํางๆตามลักษณะ รูปรําง รูปทรง จานวน ขนาด น้าหนักปริมาตร สิ่งท่ีชํวยในการสังเกต เชํน แวํนขยาย ส่ิงท่ีชํวยในการ ช่ัง ตวง วัด มีหลาย อยาํ ง เชนํ เคร่ืองชงั่ สองแขนอยํางงําย ถ๎วย ช๎อน เชือก วสั ดุสง่ิ ของอื่นๆท่ีฉันอาจใช๎คาดคะเน หรือกะประมาณ ฉันใช๎คาที่เก่ียวกับเวลาในชีวิตประจาวัน เชํน กลางวัน กลางคืน กํอน หลัง เช๎า บําย เย็น เมือ่ วานนี้ วนั นี้ พรุํงน้ี ฉันใช๎เงินเหรียญและธนบัตรในการซ้ือขนมและอาหาร ตัวเลขที่อยํูบนเหรียญและธนบัตรจะ บอกคาํ ของเงิน ฉันใช๎ตัวเลขในชีวิตประจาวัน เชนํ วนั ท่ี ชนั้ เรยี น อายุ บ๎านเลขท่ี นาฬิกา หรือเบอร์โทรศัพท์ และใช๎ตวั เลขในการบอกปริมาณของส่ิงตํางๆและแสดงอันดบั ท่ี สิ่งของเครื่องใช๎มีหลายชนิดและหลายประเภท เชํน เคร่ืองใช๎ในการทาสวนเพาะปลูก การ กํอสร๎าง เครื่องใช๎ภายในบ๎าน เราใช๎สิ่งของเคร่ืองใช๎ตํางๆชํวยอานวยความสะดวกในการ ทางาน ขณะเดียวกันก็ต๎องระมัดระวังในการใช๎งาน เพราะอาจเกิดอันตรายและความ เสียหายได๎ถ๎าใช๎ผิดวิธีหรือใช๎ผิดประเภท เมื่อใช๎แล๎วควรทาความสะอาดและเก็บเข๎าท่ีให๎ เรยี บรอ๎ ย เราควรใช๎ส่งิ ของเคร่ืองใช๎อยาํ งประหยดั และรักษาสงิ่ แวดลอ๎ ม ฉันเดินทางจากทห่ี น่งึ ไปยังอีกท่หี นึง่ ได๎ด๎วยการเดินหรือใชย๎ านพาหนะ พาหนะบางอยํางท่ีฉัน เคลื่อนที่ได๎โดยการใช๎เครื่องยนต์ ลม ไฟฟูา หรือคนเป็นผ๎ูทาให๎เคลื่อนท่ี คนเราเดินทางหรือ ขนสํงได๎ทั้งทางบก ทางน้า ทางอากาศ พาหนะที่ใช๎เดินทาง เชํน รถยนต์ รถเมล์ รถไฟ เคร่ืองบิน เรือ ผู๎ขับข่ีจะต๎องได๎รับใบอนุญาตขับข่ี และทาตามกฎจราจรเพื่อความปลอดภัย ของบุคคล และฉันจะต๎องเดินบนทางเท๎า ข๎ามถนนตรงทางม๎าลาย สะพานลอยหรือตรงที่มี สญั ญาณไฟ เพอ่ื ความปลอดภัยและต๎องระมดั ระวังเวลาขา๎ ม
ขอบขา่ ยเวลาเรยี นและสาระการเรยี นรู้ ระดบั ชัน้ อนบุ าลปีที่ ๑ (๓ – ๔ ปี) สาระการเรียนรู้ รายละเอียดสาระการเรียนรู้ เวลา / หมายเหตุ ( หน่วยการเรยี น ) สปั ดาห์ ๓ ๑ หนวํ ยตวั เรา ๑ เรอื่ งราวเกย่ี วกบั ตัวเด็ก หนวํ ยหนทู าได๎ ๑ หนํวยปรมิ าณ น้าหนกั อนบุ าล ๑ ๒ หนํวยครอบครวั มีความสุข ๒ บุคคลและสถานท่ี หนวํ ยชุมชนของเรา ๑ ๑ แวดล๎อมเดก็ ๘ ๓ หนํวยฝน ๑ ธรรมชาตริ อบตัว หนวํ ยข๎าว ๑ หนวํ ย ดิน หิน ทราย ๑ หนวํ ยสัตว์นาํ รัก ๑ หนํวยฤดูร๎อน ๑ หนวํ ยฤดหู นาว ๑ หนํวยกลางวนั กลางคนื ๑ หนวํ ยตน๎ ไมท๎ ่รี ัก ๑
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234