ผูจ้ ดั ทาํ บรรณาธิการฝ่ ายศิลป์ ส�ำ นกั ง�นคณะกรรมก�รกจิ ก�ร ปยิ พงศ์ ภมู จิ ิตร กระจ�ยเสยี ง กจิ ก�รโทรทัศน์ และกิจก�รโทรคมน�คมแห่งช�ติ ผูช้ ่วยบรรณาธิการฝ่ ายศิลป์ ท่ีปรกึ ษา พรปวณี ์ ทวิ ทพิ ยส์ กลุ ลลดิ � น้อยจันทร์ กิตติ กันภัย พิพัฒน์ เลิศกติ ตสิ ขุ ภาพประกอบ ศักด์ชิ ัย พฤฒิภัค นุชช� ประพิณ บรรณาธิการ ลลดิ � น้อยจนั ทร์ อสิ รยี ์ จ�รุอรยิ �นนท์ สมิทธิ์ บุญชตุ มิ � ความเป็ นจรงิ เสรมิ รองบรรณาธิการ และสื่อการสอน ร�ำ ไพพรรณ แกว้ สุรยิ ะ ปัญจพร หงษท์ อง ภ�นวุ ัต หัวใจ ผูช้ ่วยบรรณาธิการ รัชกร วจิ ิตรช�ญ วทัญญู แสงจนั ทร์ กิรติ คเชนทว� ศนั สนีย์ สงิ หบุตร วชั ร�กร ชชู �ติ ศภุ ลักษณ์ แสงสว่�ง ศภุ �พิชญ์ ชูช�ติ สิริชัย จันทรมนตรี อ�รญ� สุขหอม อสิ ระ อุปดี พิ มพค์ รงั้ ท่ี ๑ เอกะสิทธ์ิ สุมะนะ จาํ นวน พิ สูจนอ์ กั ษร ISBN XXX-XXX-XXXXX-X-X โรงพิมพภ์ �พพมิ พ์ รววิ รรณ จันทรแมน้ สงวนลขิ สทิ ธ์ิต�มพระร�ชบญั ญตั ลิ ิขสทิ ธ์ิ พ.ศ. ๒๕๕๘ ขอขอบคุณ ผ้ใู ห้ค�ำ ปรกึ ษ� คณะอนกุ รรมก�รวิช�ก�ร คณะท่ปี รกึ ษ�โครงก�ร สำ�นกั ง�นร�ชบณั ฑติ ยสภ�
คํานํา ในปจั จุบนั ความรูเ้ ก่ียวกบั วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทศั น ์ และ โทรคมนาคม มีอยู่หลากหลายและกระจายอยู่ในแหล่งความรูต้ ่าง ๆ ทงั้ในรูปแบบเอกสาร หนงั สื อ ตํารา ตวั บุคคลและส่ื ออิเล็กทรอนิ กส ์ เม่ือผูป้ ฏิบตั ิงานท่ีเก่ียวขอ้ งหรือประชาชนท่วั ไปตอ้ งการไดร้ บั ความรู ้ ในเร่ืองดงั กลา่ วมกั คน้ หาจากแหล่งขอ้ มูลท่ีไม่เป็ นทางการ ซ่งึ อาจนําไป สู่ ความเขา้ ใจท่ี คลาดเคล่ือน ส่ งผลใหม้ ี การส่ งต่ อความรูท้ ่ีบิ ดเบื อน ใ ห แ้ พ ร่ ห ล า ย อ อ ก ไ ป ใ น ว ง ก ว า้ ง แ ล ะ ก ร ะ ท บ ต่ อ ก า ร ป ฏิ บ ตั ิ ง า น แ ล ะ ความเขา้ ใจท่ีถูกตอ้ งของประชาชนโดยท่วั ไป สํานกั งานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทศั น ์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สํานกั งาน กสทช.) เป็ นองคก์ รท่ีมี หนา้ ท่ีสําคญั ในการกาํกบั ดูแลจดั สรรคล่ืนความถ่ีและกาํกบั การประกอบ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทศั น ์ และกิจการโทรคมนาคม เพ่ื อให ้ เกิดประโยชนส์ ูงสุดต่อความม่นั คงของรฐั ผลประโยชนส์ าธารณะและ ประชาชน จึงไดจ้ ดั ทําสารานุ กรมการส่ือสารของประเทศไทยโดยมิได ้ มุ่งหวงั กาํไรหรอื ผลประโยชนใ์ นเชงิ พาณิชย ์กาํหนดกลมุ่ ผอู ้ า่ นเปา้ หมาย เป็ น ประชาชน นกั เรยี น นกั ศึกษา และผูส้ นใจ มีนกั วชิ าการและนกั วชิ าชีพ มาร่ วมกนั รวบรวมและสงั เคราะหข์ อ้ มู ลท่ี เก่ี ยวขอ้ งใหเ้ ป็ นบทความ จาํนวน ๒๐๐ เร่ือง ซ่งึ อธิบายสาระสําคญั อย่างกระชบั เขา้ ใจงา่ ย มุ่งหวงั ใ หผ้ ู อ้ ่ านนําไป ใช เ้ ป็ น แ หล่ ง อ า้ ง อิ ง แ ล ะ การ ศึ กษ า เ รี ย นรู ้ น อ ก จ า กนี ้ กลุ่มครูอาจารยย์ งั สามารถดาวนโ์ หลดชุ ดการสอนซ่ึงประกอบดว้ ย สไลดน์ ําเสนอ ส่ื อวีดิ ทศั น ์ ขอ้ สอบตลอดจนสารานุ กรมการส่ื อสาร ของประเทศไทยฉบบั อิเล็กทรอนิ กสไ์ ดจ้ ากเว็บไซต ์ และส่งไปรษณี ย ์ อิเลก็ ทรอนิกสม์ ายงั คณะผูจ้ ดั ทาํเพ่ื อขอรบั เฉลยขอ้ สอบได ้ ค ณ ะ ผู จ้ ดั ทํา ไ ด ใ้ ช ค้ ว า ม พ ย า ย า ม อ ย่ า ง ท่ี สุ ด ใ น ก า ร ป้อ ง ก นั การ ล ะ เ มิ ด ท รพั ย ส์ ิ น ท า ง ปัญ ญ า แ ต่ ห า ก ท่ านพ บ ข อ้ มู ล รู ป ภาพ ท่ี ละเมิดทรพั ยส์ ิ นทางปัญญาปรากฏอยู่ในสารานุ กรมเล่มนี ้โปรดแจง้ ใหท้ ราบเพ่ื อดาํเนินการแกป้ ญั หาดงั กลา่ วโดยเรว็ ท่ีสุดต่อไป คณะผูจ้ ดั ทาํ สารานุกรม
สารบญั ตอนที่ ๑ การสื่อสารของมนุษยชาติ และการส่ือสารของประเทศไทย บทที่ ๒ ๓๐ การส่ือสารในประวตั ิศาสตรไ์ ทย ๓๒ ๗ การส่ือสารในสมยั สุโขทยั ๓๖ ๘ การส่ือสารในสมยั อยุธยา ๓๘ ๔๐ บทนาํ ๑๔ บทที่ ๓ ๔๒ การสื่อสาร : ความหมายและแนวคิดเบือ้ งตน้ ๑๖ การส่ือสารในสมยั ธนบุรีและรตั นโกสินทร ์ ๔๔ ๑ นิ ยามการสื่อสาร ๑๘ ๔๕ ๒ แนวคิดการส่ือสาร ๒๐ ๙ การส่ือสารในสมยั ธนบุรีและรตั นโกสินทร ์ ๔๖ ๓ ความสําคญั และผลกระทบของการสื่อสาร ๒๒ ๔๘ ๔ รูปแบบการส่ือสารในยุคกอ่ นประวตั ิศาสตร ์ ๑๐ ตอนตน้ ๕๐ ๕ รูปแบบการส่ือสารในยุคประวตั ิศาสตร ์ ๒๖ ๑๑ การส่ือสารในสมยั รชั กาลที่ ๔ ๕๒ ๑๒ การส่ือสารผ่านส่ือสิ่งพิ มพ ์ บทที่ ๑ ๑๓ การวางรากฐานการส่ือสารสมยั ใหม่ ๕๖ การสื่อสารยุคกอ่ นประวตั ิศาสตรไ์ ทย การนําโครงข่ายกิจการสื่ อสาร ๕๘ ๖ การสื่อสารผ่านภาพ ลวดลาย ๑๔ โทรคมนาคมสู่ สากล และสญั ญาณเสียง พระมหากษตั ริยก์ บั การส่ือสาร ๑๕ โทรคมนาคมในยุคเร่ิมตน้ ประชาธิปไตย พระบรมราโชบายดา้ นการส่ือสาร ๑๖ กบั การรกั ษาเอกราชของชาติ ๑๗ การส่ือสารยุคกอ่ นประชาธิปไตย การสื่ อสารโทรคมนาคมระหว่าง สงครามโลกครงั้ ท่ี ๒ ๑๘ พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดชกบั การนําเทคโนโลยีสื่อสาร สารสนเทศมาใชใ้ นการปฏิบตั ิ พระราชกรณี ยกิจ บทที่ ๔ การส่ือสารในยุคโลกาภิวตั น ์ ๑๙ โลกาภิวตั นข์ องส่ือ ๒๐ การเปรียบเทียบเทคโนโลยี การส่ือสารไทยกบั นานาชาติ
ตอนที่ ๒ เทคโนโลยีการสื่อสาร บทที่ ๕ ประเภทของเทคโนโลยีการส่ือสาร ๒๑ คล่ืนความถี่ ๖๒ ๖๔ ๒๒ การอนุ ญาตคลื่นความถี่ ๖๖ ๒๓ ระบบสมั ปทาน ๖๘ ๒๔ การประมูลคล่ืนความถี่ ๗๐ ๒๕ กิจการกระจายเสียงและ ๗๑ กิจการโทรทศั น ์ ๗๒ ๗๔ ๒๖ วิทยุกระจายเสียง ๗๕ ๓๓ กิจการโทรทศั น ์ ๘๐ ๒๗ คล่ืนวิทยุ ๗๖ ๓๔ ๘๒ ๗๗ ๓๕ ยุคโทรทศั นข์ าวดํา ๘๓ ๒๘ วิทยุชุมชน ๗๘ ๓๖ ๘๔ ๓๗ ยุคโทรทศั นส์ ี ๘๕ ๒๙ วิทยุผ่านดาวเทียม ๓๘ คลื่นโทรทศั น ์ ๘๖ ๓๙ โทรทศั นภ์ าคพื น้ ดิน ๘๘ ๓๐ วิทยุออนไลน ์ ๔๐ ๘๙ ๔๑ โทรทศั นด์ าวเทียม ๙๐ ๓๑ หอกระจายข่าวและเสียงตามสาย ๔๒ ๙๑ ๔๓ โทรทศั นบ์ อกรบั เป็ นสมาชิก ๙๒ ๓๒ วิทยุระบบดิจิทลั ๔๔ ๙๔ ๔๕ ไอพี ทีวี ๙๖ ๔๖ ๙๘ ๔๗ เอม็ เอม็ ดีเอสทีวี ๑๐๐ ๔๘ ๑๐๒ ๔๙ ดิจิทลั ทีวี ๑๐๔ กิจการวิทยุสมคั รเล่น วิทยุสมคั รเล่นในประเทศไทย วิทยุคมนาคมยุคแอนะลอ็ ก วิทยุคมนาคมยุคดิจิทลั กิจการเคล่ือนที่ทางทะเล กิจการเคล่ือนที่ทางบก กิจการเคล่ือนที่ทางอากาศ
สารบญั ๖๕ เคเบิลเสน้ ใยนําแสง ๖๖ การส่ื อสารเชิงแสง ๖๗ โทรเลข ๖๘ โทรศพั ท ์ ๖๙ เครือข่ายส่วนบุคคล (แพน) ๗๐ เครือข่ายเฉพาะที่ (แลน) ๗๑ เครือข่ายระดบั เมือง (แมน) ๗๒ เครือข่ายบริเวณกวา้ ง (แวน) ๗๓ อินเทอรเ์ น็ตเกตเวย ์ ๗๔ เกณฑว์ ิธี ๗๕ ไอพี แอดเดรส ๗๖ เซิรฟ์ เวอร ์ ๗๗ โฮสต ์ ๗๘ โดเมนเนมและดีเอน็ เอสเซิรฟ์ เวอร ์ ๕๐ การสื่ อสารผ่านดาวเทียม ๕๑ ดาวเทียมไทยคม ๕๒ ดาวเทียมไทพฒั ๕๓ อนาคตของดาวเทียมส่ื อสาร ๕๔ กิจการโทรคมนาคม ๕๕ ยุค 1G ระบบแอนะลอ็ ก ๕๖ ยุค 2G ระบบ GSM ๕๗ ยุค 2.5G เทคโนโลยี GPRS ๕๘ ยุค 2.75G เทคโนโลยี EDGE ๕๙ ยุค 3G ๖๐ ยุค 4G LTE ๖๑ ยุค 5G ๖๒ เคเบิลโคแอกเชียล ๖๓ เคเบิลโมเดม็ ๖๔ ดีเอสแอล ๗๙ HTML, HTML5, Java, PHP, ASP ๘๐ ๘๑ ลินุกซ ์ ๘๒ คุกกี ้ ๘๓ ขนั้ ตอนวิธี ๘๔ ๘๕ เอนโคด้ /ดีโคด้ /เอนคริปชนั ๘๖ ๘๗ ขนาดของขอ้ มูล ๘๘ การเชอื่ มต่อแบบหมุนโทรศพั ท ์ ๘๙ การเชือ่ มต่อแบบบรอดแบนด ์ ๙๐ บรอดแบนดไ์ รส้ าย Internet Leased Line Backbone ผูใ้ หบ้ ริการอินเทอรเ์ น็ต
บทที่ ๖ การใชเ้ ทคโนโลยีการส่ือสาร ๙๑ องคป์ ระกอบของการส่ือสาร ผ่านเวบ็ ไซต ์ ๙๒ เวิลดไ์ วดเ์ วบ็ ๙๓ ยูอารแ์ อล ๙๔ เวบ็ เบราวเ์ ซอร ์ ๙๕ เวบ็ ไซต ์ ๙๖ เวบ็ ท่า ๙๗ เสิรช์ เอนจิน ๙๘ เวบ็ มาสเตอร ์ ๙๙ ผูผ้ ลิตเวบ็ ๑๑๖ การสอบออนไลน ์ ๑๐๐ การวิเคราะหเ์ วบ็ ไซต ์ ๑๑๗ การเรียนออนไลนแ์ บบเปิ ด ๑๐๑ ผูใ้ ชง้ านเวบ็ ไซต ์ ๑๑๘ การซอื ้ ของออนไลน ์ ๑๐๒ ขอ้ ความหลายมิติ ๑๑๙ การประมูลออนไลน ์ ๑๐๓ สื่อหลายมิติ ๑๒๐ ธนาคารออนไลน ์ ๑๐๔ สื่อผสม ๑๒๑ การลงทุนออนไลน ์ ๑๐๕ อีเมล ๑๒๒ สถานี วิทยุออนไลน ์ ๑๐๖ หอ้ งคุย ๑๒๓ การชมโทรทศั นแ์ ละวิดีโอออนไลน ์ ๑๐๗ การรบั ส่งขอ้ ความด่วน ๑๒๔ โทรทศั นแ์ บบปฏิสมั พนั ธ ์ ๑๐๘ กระทูอ้ อนไลน ์ ๑๒๕ วิดีโอตามความตอ้ งการ ๑๐๙ โทรศพั ทผ์ ่านอินเทอรเ์ น็ต ๑๒๖ เครื่องบนั ทึกวิดีโอดิจิทลั ๑๑๐ การประชุมทางวีดิทศั น ์ ๑๒๗ เกมออนไลน ์ ๑๑๑ หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส ์ ๑๒๘ เพิ รท์ ไอซีคิว ไฮไฟฟ์ เอม็ เอสเอน็ ๑๑๒ วารสารอเิ ลก็ ทรอนิกส ์ ๑๒๙ พนั ทิป ๑๑๓ หนงั สือพิ มพอ์ อนไลน ์ ๑๓๐ ไลน ์ ๑๑๔ หอ้ งสมุดออนไลน ์ ๑๓๑ เฟซบุก๊ ๑๑๕ การฝึ กอบรมผ่านเวบ็ และ ๑๓๒ ยูทูบ การศึกษาทางไกล ๑๓๓ อินสตาแกรม
สารบญั ๑๓๔ ทวิตเตอร ์ ๑๕๐ ขอ้ มูลขนาดใหญ่ ๑๓๕ วอตสแ์ อปป์ ๑๕๑ บลอ็ กเชน ๑๓๖ เอชทีทีพี และเอฟทีพี ๑๕๒ ดิจิทลั แพลตฟอรม์ ๑๓๗ การเกบ็ ขอ้ มูลแบบคลาวด ์ ๑๕๓ แพลตฟอรม์ บริการ ๑๓๘ ระบบเครือข่ายคอมพิ วเตอร ์ ๑๕๔ เมืองอจั ฉริยะ แบบเพี ยรท์ ูเพี ยร ์ ๑๕๕ เครือข่ายอจั ฉริยะ ๑๓๙ ทอรเ์ รนต ์ ๑๕๖ รฐั บาลอิเลก็ ทรอนิกส ์ ๑๔๐ โฟรแ์ ชร ์ กูเกิลไดรฟ์ ดรอปบอกซ ์ ๑๕๗ การทําเหมืองขอ้ มูล ๑๔๑ ความปลอดภยั ออนไลน ์ ๑๕๘ คริปโทเคอรเ์ รนซี ๑๔๒ ความม่นั คงในโลกไซเบอร ์ ๑๕๙ อากาศยานไรค้ นขบั ๑๔๓ สงครามไซเบอร ์ ๑๖๐ แชต็ บอท ๑๔๔ อาชญากรรมไซเบอร ์ ๑๖๑ ปัญญาประดิษฐ ์ ๑๔๕ ไวรสั คอมพิ วเตอร ์ ๑๖๒ ความจรงิ เสมือน ๑๔๖ ความเป็ นส่วนตวั ดา้ นขอ้ มูล ๑๖๓ ความเป็ นจรงิ เสริม ๑๔๗ ระบบปฏิบตั ิการบนอุปกรณส์ ่ือสารเคล่ือนท่ี ๑๖๔ ความเป็ นจรงิ ผสม ๑๔๘ อินเทอรเ์ น็ตในทุกสรรพส่ิง ๑๔๙ Over-the-Top: OTT บทท่ี ๗ เนือ้ หาและผลกระทบของส่ือ ๑๖๕ เนื อ้ หาของสื่อในยุคดิจิทลั ๑๖๖ นิ ยามระบบนิ เวศนส์ ่ือของไทย ๑๖๗ นโยบายในการกาํ กบั ดูแล
ตอนท่ี ๓ ระบบนิเวศนส์ ื่อของประเทศไทย : ผูป้ ระกอบการ ผูใ้ ช ้ กฎหมาย และการกาํ กบั ดูแล บทนาํ บทท่ี ๑๐ ๑๖๘ การหลอมรวมส่ือ นโยบายกฎหมายและจรรยาบรรณท่ีเก่ียวขอ้ ง ๑๖๙ การซอื ้ และควบรวมกิจการสื่อ กบั กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทศั น ์ ๑๗๐ ยุคดิจิทลั และยุคเศรษฐกิจและ และกิจการโทรคมนาคมของประเทศไทย สงั คมดิจิทลั ๑๘๕ นโยบายดา้ นการส่ือสารของประเทศไทย ๑๘๖ ผลกระทบของส่ือในยุคดิจิทลั บทท่ี ๘ ๑๘๗ ยุทธศาสตรช์ าติ ๒๐ ปี ผูป้ ระกอบการดา้ นการสื่อสาร (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ๑๗๑ ผูป้ ระกอบกิจการกระจายเสียง ๑๘๘ สิทธิเสรีภาพสื่อและกลไกกาํ กบั กนั เอง ๑๗๒ ผูป้ ระกอบกิจการโทรศพั ทป์ ระจาํ ท่ี ๑๘๙ กฏหมายที่เก่ียวขอ้ งกบั องคก์ รกาํ กบั ดูแล ๑๗๓ ผูป้ ระกอบกิจการโทรศพั ทเ์ คล่ือนที่ ๑๙๐ กฏหมายที่เก่ียวขอ้ งกบั การกาํ กบั ดูแล ๑๗๔ ผูผ้ ลิตเนื อ้ หาในกิจการกระจายเสียง กิจการสื่ อสาร ๑๙๑ กฏหมายท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การสื่อสารในยุค ๑๗๕ ผูป้ ระกอบกิจการโทรทศั น ์ ๑๗๖ ผูผ้ ลิตเนื อ้ หาในกิจการโทรทศั น ์ ดิจิทลั ๑๗๗ ผูผ้ ลิตเนื อ้ หาในส่ืออนไลน ์ บทท่ี ๙ บทที่๑๑ ผูใ้ ชส้ ่ือ องคก์ รกาํ กบั ดูแล ๑๗๘ ผูฟ้ ังวิทยุกระจายเสียง ๑๙๒ กรมไปรษณี ยโ์ ทรเลข ๑๗๙ ผูช้ มโทรทศั น ์ ๑๘๐ ผูใ้ ชโ้ ทรศพั ทป์ ระจาํ ท่ี ๑๙๓ กรมโฆษณาการ ๑๘๑ ผูใ้ ชโ้ ทรศพั ทเ์ คล่ือนที่ ๑๙๔ กรมประชาสมั พนั ธ ์ ๑๘๒ ผูใ้ ชอ้ ินเทอรเ์ น็ต ๑๙๕ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ๑๘๓ ผูใ้ ชว้ ิทยุคมนาคม สื่อสาร และกระทรวงดิจิทลั เพื่ อ ๑๘๔ เปรียบเทียบการใชส้ ่ือของ เศรษฐกิจและสงั คม ประเทศไทยกบั ต่างประเทศ ๑๙๖ องคก์ รกาํ กบั ดูแลกิจการโทรคมนาคม ยุคกอ่ น กสทช. ๑๙๗ บทบาทหนา้ ท่ีของกระทรวงดิจิทลั เพ่ื อเศรษฐกิจและสงั คม ๑๙๘ กสทช. และสํานกั งาน กสทช. ๑๙๙ บทบาทหนา้ ท่ีของ กสทช. บทท่ี ๑๒ ความทา้ ทายในการกาํ กบั ดูแล ๒๐๐ ความทา้ ทายในการกาํ กบั ดูแล รายชอ่ืผูเ้ ขียน บรรณานุกรมและท่ีมาของภาพ
วิธีการใช ้ AR ในสารานุกรม การดาวนโ์ หลด ระบบไอโอเอส ๑ เขา้ ไปที่แอปพลิเคชนั App Store ๒ พิ มพ ์ AR สารานุกรม ที่ ชอ่ ง ๓ รอการดาวนโ์ หลด จนไอคอน ๔ กดไอคอน AR สารานุกรม แลว้ กดป่ ุม คน้ หา คน้ หาดา้ นบนแลว้ กดป่ ุมคน้ หา แอปพลิเคชนั ปรากฎบนหนา้ จอ เพ่ื อเร่ิมใชง้ าน เม่ือพบแอปพลิเคชนั ใหก้ ด รบั โทรศพั ท ์ AR AARR NBTC Encyclopedia สารานกุ รม สารานุกรม ARAR สารานุกรม NBTC Encyclopedia AR สารานุกรม AR NBTC Encyclopedia ระบบแอนดรอยด์ ๑ เขา้ ไปทีแ่ อปพลิเคชนั Play Store ๒ กดที่ป่ ุม จากนนั้ ใหเ้ ลอื ก ๓ รอการดาวนโ์ หลด จนไอคอน ๔ กดไอคอน AR สารานุกรม คาํ ส่งั ติดตง้ ั แอปพลิเคชนั ปรากฎบนหนา้ จอ เพ่ื อเร่ิมใชง้ าน แลว้ พิ มพ ์ AR สารานุกรม โทรศพั ท ์ ทีช่ อ่ งคน้ หาดา้ นบน สารานุกรม AR AR NBTC Encyclopedia NBTC Encyclopedia AARRNสBาTสCารรEาาnนcนyกุ cรุกloมpรeมdia AR สารานกุ รม AR NBTC Encyclopedia
การใชง้ าน วธิ กี ารสแกนเออาร์ ๑ เปิ ดหนา้ คู่แรกของแต่ละบท ๒ ใชก้ ลอ้ งในแอปพลิเคช่นั AR สารานุกรม ๓ ภาพเคล่อื นไหวจะปรากฎบนหนา้ จอโทรศพั ท ์ ส่องไปท่ีภาพท่ีอยู่หนา้ ขวา วิธกี ารอา่ นและดาวนโ์ หลดสารานุกรมอิเลก็ ทรอนิกส์ ๑ กดปุม่ สารานุกรมอเิ ลก็ ทรอนิกสบ์ นหนา้ แรก ๒ รอการดาวนโ์ หลด สารานุกรม ๓ หากตอ้ งการบนั ทกึ สารานุกรมอิเลก็ ทรอนิกส ์ ของแอปพลิเคชนั AR สารานุกรม ฉบบั อเิ ลก็ ทรอนิกส ์ จะปรากฎขนึ ้ ท่ีหนา้ จอโทรศพั ท ์ เกบ็ ไวบ้ นเครื่องโทรศพั ท ์ ใหก้ ดป่ ุมดาวนโ์ หลด จากนนั้ ทาํ การบนั ทกึ ลงเคร่่ือง ไดท้ ่ี
ตอนท่ี ๑ การสอื่ สารของมนุษยชาติ และการสอื่ สารของประเทศไทย บทนํา การส่ื อสาร : ความหมายและแนวคิดเบื อ้ งตน้ ๑ นิ ยามการสื่อสาร ๑๔ ๒ แนวคิดการส่ือสาร ๑๖ ๑๘ ๓ ความสําคญั และผลกระทบ ของการสื่ อสาร ๒๐ ๔ รูปแบบการส่ือสารในยุคกอ่ น ๒๒ ประวตั ิศาสตร ์ ๕ รูปแบบการส่ือสารในยุค ประวตั ิศาสตร ์
The Interactive Model A’s field of experience B’s field of experience Channel(s) Channel(s) Sender Behaves Message Decodes Sender Receiver Decodes Feedback Behaves Receiver NOISE = Physical, Semantic, Psychological barriers
๑ นิ ยามการส่ ือสาร คาํ วา่ Communication หรอื ในภาษาไทยวา่ การส่ือสาร มีรากฐานมาจากคาํ ในภาษาละตนิ วา่ Communicare แปลวา่ การแบ่งปันหรอื การเก่ียวโยงกนั อนั เป็ นกลไกทางสงั คมอย่างหน่ึงในการอยู่รว่ มกนั ซ่งึ ในระยะตน้ นนั ้ เป็ นการส่ือสารผ่านเสียงหรือท่าทางท่ีสามารถทําไดต้ ามธรรมชาติของร่างกาย ไม่มีการเขียนหรือใช ้ เทคโนโลยีแต่อย่างใด
1-1 การสอื่ สาร (Communication) ตามพจนานกุ รม ภาพท่ี ๑ แสดงการส่ือสาร Channel Message ๑๔—๑๕ แบบองั กฤษ หมายถึง “กระบวนการแลกเปลยี่ น การจาํ ลอง SMCR ขอ้ มลู ขา่ วสาร (Information) ระหวา่ งบคุ คลดว้ ย สญั ญาณ สญั ลกั ษณ ์ หรอื พฤตกิ รรมและการแลก Receivers เปลยี่ นข้อมูลข่าวสารผา่ นสื่อต่าง ๆ เช่น การใช้ สญั ญาณควนั สญั ญาณธง ภาพวาดในถา้� การพดู ในบางแนวคิด เรียกผู้ส่งสารว่า ผู้เข้ารหัส Feedback การเขยี น (Encoder) และเรียกผู้รับสารว่า ผู้ถอดรหัส (Decoder) เนือ่ งจากผูส้ ่งสารตอ้ งแปลงความคิด Source ส ่ ว น ก า ร สื่ อ ส า ร ท่ี ใ ช ้ ค� า ภ า ษ า อั ง ก ฤ ษ ว ่ า เป็นสัญญาณ สัญลักษณ์ หรือพฤติกรรม และ Communication หมายถึง ระบบที่ใช้ส่งข้อมูล ผู ้ รั บ ส า ร ต ้ อ ง ถ อ ด ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง สั ญ ญ า ณ การสอ่ื สาร (Communication) มารวมกบั คา� ว่า ข่าวสาร หรือการส่งหรือรับข้อมูลข่าวสาร หรือ สญั ลกั ษณ ์ หรือพฤติกรรมทีไ่ ด้รบั มวลชน (Mass) ที่หมายถงึ คนจา� นวนมาก การ เทคโนโลยีในการแปลงข้อมูลข่าวสาร เช่น การ สื่ อ ส า ร ม ว ล ช น จึ ง ห ม า ย ถึ ง ก า ร ส่ื อ ส า ร ไ ป สอื่ สาร ผา่ นสาย การสอ่ื สารผา่ นระบบคอมพวิ เตอร์ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ นักวิชาการฝั่ง สู่มวลชน หรือไปสู่คนจ�านวนมากโดยส่ือที่ใช้ใน การสื่อสารผ่านดาวเทียม ในพจนานุกรม ฉบับ ตะวันตกได้คิดแบบจ�าลองการส่ือสารและมีการ การสื่อสารมวลชน (Medium หรือ Media of ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ การส่อื สาร พฒั นาตอ่ ยอดกนั มาหลายแบบ ทเี่ รยี กกนั วา่ แบบ communication) เรียกว่า สื่อมวลชน (Mass หมายถงึ “วธิ กี ารนา� ถอ้ ยคา� ขอ้ ความ หรอื หนงั สอื จ�าลองการสื่อสาร SMCR (Sender Message media) ซ่ึงเป็นส่ือที่สามารถน�าสารจากผู้ส่งสาร เปน็ ตน้ จากบคุ คลหนงึ่ หรอื สถานท่ีหน่ึงไปยังอีก Channel Receiver Model) โดยมีการเพิ่ม ไปสู่ผู้รับสารจ�านวนมากได้อย่างรวดเร็ว ภายใน บุคคลหนึ่งหรืออีกสถานที่หนึ่ง” องคป์ ระกอบทเี่ รยี กวา่ ชอ่ งทางสอื่ สาร (Channel) เวลาทีใ่ กล้เคียงกันหรือในเวลาเดียวกัน และปฏิกิรยิ าสะทอ้ นกลบั (Feedback) ดงั นนั้ คา� วา่ การสอ่ื สาร จงึ มคี วามหมายไดท้ งั้ ประเภทของส่ือมวลชนมี ๖ ประเภท กระบวนการแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ขา่ วสาร และระบบของ ระดบั ของการส่ือสาร ได้แก่ การสง่ และรบั ขอ้ มลู ขา่ วสาร โดยเปน็ กระบวนการ การสอ่ื สาร แบง่ ได้เปน็ ๔ ระดบั ตามจ�านวน สง่ ตอ่ ความเขา้ ใจบางสงิ่ บางอยา่ ง จากบคุ คลหรอื ๑. ส่ิงพิมพ์ หนงั สือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร กลุ่มบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ผรู้ ว่ มสอื่ สาร ไดแ้ ก่ หนงั สอื และสิ่งตีพิมพ์ประเภทอืน่ ๆ ผ ่ า น ก ร ะ บ ว น ก า ร ห รื อ วิ ธี ก า ร ซ่ึ ง เ ป ็ น ท่ี เ ข ้ า ใ จ ระหวา่ งกัน ๒. ภาพยนตร ์ ทง้ั ภาพยนตรเ์ รอื่ ง ภาพยนตร์ สารคด ี และภาพยนตรท์ างการศกึ ษาบางประเภท องคป์ ระกอบของการส่ือสาร จากนยิ ามการสอื่ สารขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ องค์ ๑. การส่ื อสารภายในตวั บุคคล ๓. วทิ ยกุ ระจายเสยี ง ไดแ้ ก ่ วทิ ยทุ สี่ ง่ รายการ บท ํนา/การ ืส่อสาร : ความหมายและแนว ิคดเ ืบอ้งต้น (Intrapersonal communication) ออกอากาศ ท้งั ระบบ AM และ FM รวมไปถึง ประกอบพนื้ ฐานของการสอ่ื สารม ี ๓ องคป์ ระกอบ หรือการสื่อสารภายในตนเอง คือการได้ยินสิ่งท่ี ระบบเสียงตามสาย และระบบดิจิทัล ระบบ ได้แก่ ผู้ส่ง (Sender) ข้อมูลข่าวสารหรือสาร ตัวเองพูด รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวและความคิด ออนไลน ์ (Information ห รื อ M e s s a g e ) แ ล ะ ผู ้ รั บ ของตวั เอง (Receiver) ๔. โทรทศั น ์ คอื สอ่ื ทเ่ี ผยแพรท่ งั้ ภาพและทาง ๒ . ก า ร ส่ื อ ส า ร ร ะ ห ว่ า ง บุ ค ค ล เสยี ง ทงั้ ประเภทแอนะลอ็ กและดจิ ทิ ลั ๑. ผูส้ ่งหรอื ผูส้ ่งสาร หมายถงึ บคุ คล (Interpersonal communication) หรอื กล่มุ บุคคลที่เป็นผู้ส่งข้อมูลข่าวสารหรือสาร คอื การส่อื สารกบั ผ้อู ื่นในลกั ษณะตวั ต่อตัว หรอื ๕. โทรคมนาคม เป็นความก้าวหน้าทาง ไปให้อีกบุคคลหน่ึงหรือกลุ่มบุคคล ทั้งโดยต้ังใจ ภายในกลมุ่ เล็ก ๆ หรืออาจเรียกวา่ การส่อื สารท่ี เทคโนโลยที ท่ี า� ใหส้ ง่ ขอ้ ความ เสยี ง ภาพ ตวั พมิ พ์ และไมต่ งั้ ใจ เชน่ การแสดงสหี นา้ ทา่ ทางทแี่ สดงออก ผู้ร่วมกลุ่มมีปฏิสัมพันธ์กันในลักษณะตัวต่อตัว ตลอดจนสัญลักษณ์ต่าง ๆ ได้หลากหลายและ มาโดยไม่ต้งั ใจ การสื่อสารดังกล่าวมักจะเกิดขึ้นกับคนต้ังแต่ รวดเร็ว ส่ือวัสดุบันทึก ได้แก่ แผ่นบันทึกเสียง สองคนถงึ แปดคน แผน่ บนั ทกึ ภาพ ซง่ึ จดั เปน็ สอ่ื มวลชน เพราะเปน็ ๒. ขอ้ มูลข่าวสารหรอื สาร หมายถงึ เทคโนโลยีที่สามารถผลิตเผยแพร่ได้จ�านวนมาก สง่ิ ทผ่ี ู้ส่งสารส่งไปยังผู้รับสาร อาจเป็นสัญญาณ ๓. การส่ือสารสาธารณะ (Public และรวดเรว็ สัญลักษณ์ หรือพฤตกิ รรม ทส่ี ื่อความหมายใหร้ ู้ communication) เป็นสถานการณ์ที่คน เรอื่ งราว ขอ้ เทจ็ จรงิ ขอ้ มลู หรอื สง่ิ ใด ๆ สญั ญาณ หลาย ๆ คนรับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งเดียวกัน ๖. เมอ่ื เขา้ สยู่ คุ ของการหลอมรวมสอ่ื (Conver- หรอื สญั ลกั ษณอ์ าจเปน็ คา� พดู ตวั หนงั สอื รปู ภาพ เป็นการสือ่ สารผ่านส่อื มวลชน gence) ทมี่ กี ารหลอมรวมเทคโนโลยกี ารสอ่ื สาร เคร่ืองหมาย สัญญาณควัน สญั ญาณธง ฯลฯ สอื่ สง่ิ พมิ พแ์ ละสอื่ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส ์ ถกู แปลงใหอ้ ยใู่ น ๔. การสอ่ื สารมวลชน (Mass commu- รปู ของขอ้ มลู อเิ ลก็ ทรอนกิ สเ์ พอ่ื เผยแพรผ่ า่ นสอื่ ใหม ่ ๓. ผูร้ บั หรอื ผูร้ บั สาร หมายถงึ บคุ คล nication) เป็นการสื่อสารผ่านสื่อมวลชน (New media) อยา่ งเชน่ สอ่ื สงั คมออนไลน ์ (Social หรอื กลมุ่ บคุ คลในกระบวนการส่อื สาร ซ่ึงตีความ media) เขา้ ถงึ ไปสคู่ นจา� นวนมากไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ ขอ้ มลู ขา่ วสารหรือสารที่ไดร้ บั นิยามการส่อื สารมวลชน (Mass com- จงึ สง่ ผลกระทบไดใ้ นวงกวา้ ง m u n i c at i o n ) เ ป ็ น ผู ้ เ ส น อ ใ ห ้ น� า ค� า ว ่ า
๒ แนวคิดการส่ือสาร แบบจา� ลอง SMCR ของเบอรโ์ ล แสดงใหเ้ หน็ ปจั จยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั แตล่ ะองคป์ ระกอบในกระบวนการ สอื่ สารโดยละเอียด เชน่ แหล่งสาร หรือผ้สู ่งสาร จะมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องคือ ทักษะในการสื่อสาร ทัศนคติ ความรู้ ระบบสังคมและวัฒนธรรมของ ผู้ส่งสาร ในการสอื่ สารผสู้ ง่ สารจะตอ้ งมเี ปา้ หมาย เชน่ เพอ่ื โนม้ นา้ วใจ หรอื เพอ่ื ใหค้ วามรแู้ กผ่ รู้ บั สาร แบบจาํ ลองการส่ือสาร SMCR (Sender Message Channel Receiver ก า ร พั ฒ น า เ น้ื อ ห า ข อ ง ส า ร อ า จ จ ะ ป ร ะ ก อ บ ด ้ ว ย Model) เป็ นแบบจาํ ลองพื น้ ฐานของการส่ือสาร ซ่งึ ชีใ้ หเ้ หน็ วา่ ทุกการ แนวคดิ ทว่ั ไป ศพั ทเ์ ฉพาะ หรอื ความหมายแฝง หรือ อาจจะมีทั้ง ๓ องค์ประกอบในสาร ผสู้ ง่ สารจะใช้ ส่ือสารตอ้ งเร่ิมตน้ จากผูส้ ่งสาร (Sender) แบบจําลองการส่ือสาร ช่องทางการสื่อสารท่ีจะส่งสารได้เหมาะสมท่ีสุด SMCR ท่ีเป็ นท่ีรจู ้ กั ไดแ้ ก่ แบบจาํ ลองของแชนนอน แบบจาํ ลองของ ช่องทางการส่ือสารในทางสื่อสารมวลชน (Mass เ2บ-1อรโ์ ล (Berlo) และแบบจาํ ลองของแชรมม ์ media) หมายถงึ สอื่ ตา่ ง ๆ โทรทศั น ์ วทิ ย ุ อนิ เทอรเ์ นต็ แตใ่ นการสอื่ สารทว่ั ไป หมายถงึ ประสาทสมั ผสั ทง้ั ๕ ซงึ่ ไดแ้ ก ่ การไดย้ นิ การเหน็ การสมั ผสั การดมกลนิ่ และการล้ิมรส ท้ายท่ีสุดคือ ผู้รับสาร ซ่ึงจะตี The Shannon-Weaver Mathematical Model, 1949 ความหมายของสารโดยใชส้ มั ผสั ทั้ง ๕ และตัวตน ของผู้รับสาร เช่น ทักษะในการสื่อสาร ทัศนคติ ความร ู้ ระบบสงั คม และวฒั นธรรม เช่นเดยี วกบั Information Transmitter Channel Receiver Destination ผสู้ ่งสาร Source (Encoder) (Decoder) ตอ่ มาใน ค.ศ. ๑๙๘๒ วลิ เบอร ์ แชรมม ์ (Wilber 2-1 Message Signal Received Message Schramm) ไดข้ ยายแบบจา� ลอง SMCR โดยเพมิ่ ๒ Signal The Shannon-WeaverอMงคa์ปtรhะeกmอบa tคicือa lกMารoเขd้าeรหl,ัส1 9(E4n9coder) และ การถอดรหัส (Decoder) โดยยังคง มีส่ิงรบกวน Noise ตามแบบจ�าลองของแชนนอนและวีเวอร์ไว้ด้วยการ Source Information Transmitter เขCา้ hรanหnสั el คอื การแป(RDลeeงcceสoidvาeeรrrใ)หอ้ ยใู่ นรปู Dแeบstบinทatี่ จioะnส ่ ง Source (Encoder) ผา่ นชอ่ งทางการสอ่ื สารทเี่ หมาะสมได ้ การถอดรหสั Message Signal ซคงึ่ือถ อื กวาา่ รกทาR่ีผรeSรู้รcigบัeับnivสสaelาาdรรเแสปรลจ็ สงสม่ิงบทรู ี่ไMณดe้ร ์ssับagกeลับมาเป็นสาร สอื่ สคารลดาา้ วนดโ ์ ทแรชคนมนนอานคB ม (eเCรrlยีaluกodว’eา่ s BSSuhlMla’sn-nC EoRny)e MMไดooเ้ dสdeนl eอโดแlบยoแบfสจดา� Cลงใอoหงmเ้กหาน็ mร un(แสSผ่ือihสcนaาภanราntขพoiอonทง-่ีnWแ๑ชeแนaบนvบeอจrนาํ ’sแลลอMะงoวกีเdวาeอรlร ์ Noise ถึงระบบการสื่อสารพ้ืนฐาน ซ่ึงประกอบด้วย ๓ องค์ประกอบหลัก of Communication) Source คอื ผสู้ ง่ สาร (Source) สEnารc o(dMesessage) และผรู้ บั สาร (Receiver) นนั่ Decodes คือ ผู้รับสSาoรuมrุ่งcสe่งสารไปยังผู้รับสารMท่ีเeปs็นsaเปge้าหมาย ต่อมาใน คC.hศa.n nel Receiver ๑๙๔๘ แชนนอนและวเี วอร ์ (Weaver )ไดพ้ ฒั นาแบบจา� ลองเพอ่ื เพมิ่ Berlo’s SMCR Model of Communication ประสทิ ธภิ าพในการส่ือสารโทรคมนาคม โดยเพมิ่ อีก ๔ องคป์ ระกอบ ขไดอแ้ งกภ ่าCชษoอ่ าmง (mทSRาkueงinldสlicsuอื่ anสtdioาaรnn c(yC)h แanลnะeปlฏ) กิ สริ ง่ิ ยิ รCาบoสกnะวtทeนnอ้ tน(Nกลoiบั se ()F eคeวdาbมaฟcมkุ่ )เ ฟโHดอื eยยaring Communication Decodes EncodSeks ills แชนนอนใAหttน้ itยิ uาdมesชอ่ งทางสอ่ื สารวา่ เปน็ Eรleะmบeบnกtsารนา� สญั ญาณ เชน่ คลSนe่ื eing Source AttitudesMessage Channel Receiver เสยี ง หรอื สญั ญาณภาพ ไปยงั ผรู้ บั สาร ไดแ้ ก ่ วทิ ย ุ โทรทศั น ์ อนิ เทอรเ์ นต็ แบบจา� ลKอnงนowเ้ี รleยี dกgวeา่ A mathematicaTl rtehaetomrye notf communication หToรuอื ching Knowledge Communication Hearing Communication รจู้ กั กนั ในชSSอื่ yos ctSieahmlannon-Weaver modSetlr uocft ucroemmunication Skills Social Content Seeing Skills Smelling System Attitudes Attitudes Elements ตอ่ มาใCนu lคtu.ศre. ๑๙๖๐ เดวดิ เค. เบอรCโ์oลd e(David K. Berlo) ไดพ้ ฒั Tนaาsting Knowledge Culture Touching Knowledge แบบจา� ลองกระบวนการสอ่ื สารทเ่ี รยี กวา่ แบบจา� ลอง SMCR (SMCR Social Treatment Smelling Social model) โดยเปน็ แบบจา� ลองสา� หรบั การสอื่ สารทวั่ ไป ไมไ่ ดเ้ ฉพาะเจาะจง System Structure System ว่าเป็นการสื่อสารผ่านช่องทางใด แบบจ�าลองการส่ือสารของเบอร์โล Culture Code Tasting Culture ประกอบดว้ ย ผสู้ ง่ สาร สาร ชอ่ งทางการสอ่ื สาร และผรู้ บั สาร แผนภาพท่ี ๒ แบบจาํ ลองการส่ือสาร SMCR ของเบอรโ์ ล 2-2 (Berlo’s SMCR Model of Communication) 2-2
2-3 Wilbur Schramm’s Model ท ฤ ษ ฎี เ ท ค โ น โ ล ยี เ ป็ น ต วั กํ า ห น ด ๑๖—๑๗ ( Te c h n o l og y D e t e r m i n i s m Source Encoding Message Media Decoding Receiver Theory) คา� วา่ เทคโนโลยเี ปน็ ตวั กา� หนดมตี น้ กา� เนดิ มาจาก ธอรส์ เตน วเี บลน (Thorstein Veblen) Noise นักเศรษฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ชาวอเมริกัน โดยมสี มมตฐิ านวา่ เทคโนโลยใี นแตล่ ะยคุ สมยั เปน็ Feedback Response ตัวก�าหนดพัฒนาการของโครงสร้างทางสังคม และคา่ นยิ ม แผนภาพท่ี ๓ แบบจาํ ลอง SMCR ของแชรมม ์ ทฤษฎีนี้แสดงให้เห็นว่าความก้าวหน้าทาง แบบจาํ ลองการสอ่ื สารแบบ ปTฏhสิ eมั Iพnนtั eธr์act iveนอMกจoาdกนeก้ี lารสอื่ สารไมไ่ ดม้ แี ตแ่ บบทศิ ทางเดยี ว เทคโนโลยแี ละสอ่ื ตา่ ง ๆ ลว้ นเป็นปัจจัยส�าคัญท่ี ดงั แบบจBา� ’ลsอfiงeกlาdรสoอ่ืf สexารpแeบriบeเnสcน้ eตรง แตผ่ รู้ บั สาร ขับเคลื่อนประวัติศาสตร์และการเปล่ียนแปลง 2-3 ( I n t e r a c t i ve AC’s ofiemldmofuexnpiecriaentci eo n อาจมปี ฏกิ ริ ยิ าตอ่ สาร (React) โดยสง่ สารอนื่ ๆ ทางสงั คม การเปลยี่ นแปลงทางเทคโนโลยชี ว่ ยยน่ Model) ระยะทาง ลดชอ่ งวา่ ง และทา� ใหโ้ ลกไรพ้ รมแดน แ บ บ จ� า ล อ ง ก า ร ส่ื อ ส า รWแ บilบbปuฏrิ สัSมcพhั นrธa ์ mmกล’บั sมาMในoรdปู ขeอlงวจั นภาษาและอวจั นภาษา ทเี่ รยี ก เกดิ กระแสโลกาภวิ ตั นแ์ บบกา้ วกระโดด (มIาnจteาrกacแtบivบe จc� าoลmอmง กunาiรcaสCt่ื อihoสnaา nรmnแoบdeeบll()เsส พ)้ นัฒตนราง วทา่ งั้ ปผฏสู้ กงิ่ สริ ยิาารสแะลCทะอh้ ผนร้aู กบั nลสบั nา (รeF ele(dsb)ack) ดงั นนั้ เราจงึ เปน็ มาร์แชล แมคคลูน (Marshall McCluhan) แ(SLอoiดnueเrลacอer ร์ co(RmomgueEnr nicScAaeodtndiloedinnre)g r mแลodะBeจehlอ)aMร veจ์ ขes sอรsงอaโgดรeเแจมอนร์ Mes saMgeeแdบiaบ จ� า ลDอecงoกdDeาesรcoสdื่ อSinสegnา dร eแrบ บ Receiver ธ ์ แสดงใหเ้ หน็ วา่ สอ่ื เทคโนโลยสี อื่ สารมวลชน และ วั ฒ น ธ ร ร ม มี ค ว า ม สั ม พั น ธ ์ กั น จ ะ เ ห็ น ไ ด ้ จ า ก ป ฏิ สั ม พั น ยคุ สมยั ตา่ ง ๆ จะเปลยี่ นแปลงไป ตามสอ่ื ทใี่ ชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวางในยคุ นน้ั ๆ เชน่ ชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษ (George Rodman) ด้วยข้อสังเกตที่ว่า การ ยงั แสดงใหเ้ หน็ ถงึ ประเดน็ ของการเกดิ ความเขา้ ใจ ที่ ๑ ๗- กลางค ริส ต์ศตวร รษท่ี ๑ ๙ เป็น ยุคข อ ง สง่ิ พมิ พ ์ และชว่ งครสิ ตศ์ ตวรรษท ่ี ๒๐ กเ็ ขา้ สยู่ คุ ส่ือสารของผู้ส่งสาRรeอceาiจvจeะrไม่ได้อยู่ในรูปของใส่ Feedผbิดacใkนการส่ือสาร ซึ่งเกRิดecจeาiกveสrภาพแวดล้อม อิเล็กทรอนิกส์ การเข้าสู่ยุคอิเล็กทรอนิกส์ก่อให้ รหัส (Encode) หรอื การตั้งใจแปDeลcงoคdeวsามคดิ และ (EnvironmentsB)e hทavต่ี eา่ sงกนั สภาพแวดลอ้ ม หมายถงึ เกิดการเปล่ียนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม อย่างมหาศาล เพราะส่ืออิเล็กทรอนิกส์นั้นท้ัง ความรู้สึกเป็นสารเพียงอย่างเดียว แต่ผู้ส่งสาร ปรNะoสiบseการณท์ ่ีจะช่วยเกิดความเข้าใจพฤติกรรม ฉบั ไวและกวา้ งไกลกวา่ สอื่ สง่ิ พมิ พม์ าก สง่ ผลตอ่ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันและพฤติกรรมทางสังคม อาจมีอวัจนภาษาที่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัวด้วย ซึ่งกันและกัน คา� วา่ ประสบการณ ์ ในมติ ขิ องการ ของมนษุ ย์ เชน่ การแสดงสีหน้า ทา่ ทาง น้�าเสยี ง ดังน้ันจงึ สอื่ สาร หมายถงึ ประสบการณส์ ว่ นตวั พนื้ ความร ู้ วลหี นงึ่ ทส่ี า� คญั ของแมคคลนู คอื ตวั สอ่ื คอื สาร (Medium is the message) คา� วา่ สาร ของสอื่ ควรแทนค�าว่า ใFสe่รeหdัสba cดk้วยคN�าOวI่าS E พ= Pฤhตysิกicรaรl,มSe manแtiลc,ะPภsyมู cหิhoลloงั gทicาaงl วbฒั arRrนeieธsrspรรoมnsขeองผรู้ ว่ มสนทนา หรอื เทคโนโลยใี หม ่ ๆ ในทน่ี ค้ี อื การกอ่ ใหเ้ กดิ การ (Behavior) เพราะอธิบายได้ครอบคลุมถึงการ เปลย่ี นแปลงในกจิ การตา่ ง ๆ ของมนษุ ย ์ เปน็ ความ คดิ เชอื่ มโยงของมนษุ ย ์ เชน่ เมอ่ื พดู ถงึ รถไฟหรอื 2-4 กระทา� ทงั้ ทจี่ งใจและไมจ่ งใจทส่ี ามารถสงั เกตและ เครอื่ งบนิ ความคดิ ของมนษุ ยจ์ ะเชอ่ื มโยงถงึ ความ บท ํนา / การ ืส่อสาร: ความหมายและแนว ิคดเ ืบอ้งต้น ตีความได้ เจริญที่จะเข้ามา การเกิดเมืองใหม่ งานใหม่หรอื นันทนาการรูปแบบใหม ่ ๆ The Interactive Model อีกนัยหน่ึง วลีนี้หมายถึง สื่อ (Medium) A’s field of experience B’s field of experience มีอิทธิพลต่อมนุษย์มากกว่าตัวสาร (Message) ดังนั้นการเกิดสื่อใหม่ ๆ จึงไม่ใช่เป็นเพียงการ Channel(s) Channel(s) เพิ่มเติมสื่อท่ีมีอยู่เท่านั้น แต่เป็นการเพิ่มตัว ก�าหนดความคิด ความรู้สึก และการกระท�าของ Sender Behaves Message Decodes Sender ผู้รับสาร ท้ังนี้เพราะว่าผู้รับสารมีปฏิกิริยาต่อ Receiver Decodes Feedback Behaves Receiver เนื้อหาสารเดียวกันแตกต่างกันไปตามประเภท ของสอื่ ดงั เชน่ การเกดิ ของสงิ่ พมิ พ ์ โทรทศั น ์ และ NOISE = Physical, Semantic, Psychological barriers อินเทอร์เน็ต ซ่ึงมีอิทธิพลต่อตัวบุคคลและสังคม แตกต่างกันไป แผนภาพท่ี ๔ แบบจาํ ลองการส่ือสารแบบปฏสิ มั พนั ธ ์ 2-4
๓ ความสําคญั และ ผลกระทบของการส่ือสาร การส่ือสารมีความสาํ คญั และสง่ ผลกระทบอยา่ งมากตอ่ การ ที่มีประสิทธิภาพให้กับผู้ประกอบการโทรคมนาคม ต้ังแต่ พ.ศ. ดําเนินชีวิตของบุคคล ความสมั พนั ธร์ ะหว่างบุคคล การ ๒๕๕๕ สอดคล้องกับในสหรฐั ฯ และสหภาพยโุ รป ทีพ่ บวา่ การมีการ ทาํ งานและการเรยี น สอื่ สารระบบดจิ ทิ ลั ทเพม่ิ ขน้ึ รอ้ ยละ ๑๐ และการเพมิ่ จ�านวนประชาชน ท่ีเข้าถึงเครือข่ายอินเทอร์เน็ตท�าให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาตสิ งู ความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยกี ารสอ่ื สาร และความซบั ซอ้ นของสงั คมทเ่ี พมิ่ ขนึ้ สง่ ผล ข้ึนรอ้ ยละ ๐.๙-๑.๕ และทา� ใหเ้ กิดการจ้างงานเพม่ิ ขน้ึ โดยเฉพาะงาน กระทบต่อสังคมในด้านต่าง ๆ ดงั น้ี ท่ีเกี่ยวข้องกับนวัตกรรม ท�าให้เกิดการคิดค้นผลิตภัณฑ์และบริการ ใหม่ เช่น การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ วิดีโอเกม และการโฆษณา ๑. ดา้ นเศรษฐกจิ ระบบการสอ่ื สารแบบดจิ ทิ ลั ทา� ใหเ้ กดิ การพฒั นาทางเศรษฐกจิ ออนไลน์ และยังน�าไปสู่กิจการในรูปแบบใหม่ เช่น เน็ตฟลิกซ์ รายได้ และผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพ่ิมสงู ขน้ึ ตวั อยา่ งเชน่ ในประเทศไทย ( N e t f l i x ) เ ป ็ น กิ จ ก า ร ส ่ ง ภ า พ ย น ต ร ์ ใ ห ้ ผู ้ ช ม ใ น ส ห รั ฐ อ เ ม ริ ก า พบวา่ ผลิตภณั ฑ์มวลรวมภายในประเทศ ขยายตวั จากรอ้ ยละ ๑.๕ ใน พ.ศ. ๒๕๕๗ เปลี่ยนจากการส่งทางไปรษณีย์เป็นการส่งแบบออนไลน์ สามารถให้ เป็นรอ้ ยละ ๔.๕ ใน พ.ศ. ๒๕๕๗ ส่วนหนึง่ เปน็ ผลมาจากการจัดสรรคลื่นความถ่ีอย่าง บริการกับประชาชนท่ัวโลกด้วยความรวดเร็ว ส่วนผลกระทบด้าน
จึงหันมาส่ือสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและประชาชนอย่างต่อเน่ือง ๑๘—๑๙ มากขึ้นเพื่อป้องกันความขัดแย้งหรือเข้าใจผิดด้วยการใช้ส่ือดง้ั เดมิ ภาพท่ี ๑ เว็บไซต์และส่อื สังคมออนไลน์ และมีการเฝา้ ระวงั ทางออนไลน์เพอ่ื บท ํนา / การ ืส่อสาร: ความหมายและแนว ิคดเ ืบอ้งต้น เขา้ ไปแกไ้ ขความเขา้ ใจผดิ กบั ประชาชนไดก้ อ่ นทจี่ ะเกดิ การแบง่ ปนั ภาพท่ี ๑ ข้อมูลเป็นวงกวา้ ง สว่ นประชาชนกเ็ ริม่ ใชส้ ือ่ สงั คมออนไลนเ์ พ่อื รบั ข้อมูลความรู้ สนทนาและแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นกับผู้อ่ืน ภาพท่ี ๒ ส่วนนักการเมืองก็ใช้สื่อสังคมออนไลน์มากข้ึนเผยแพร่นโยบาย ออกแถลงการณ ์ และหาเสยี ง เศรษฐกิจในระดบั บคุ คล พบวา่ การส่งเสริมการเขา้ ถึงอินเทอรเ์ น็ต ความเร็วสูงท�าให้ประชาชนในประเทศเอกวาดอร์มีรายได้เพิ่มข้ึน ๓. ดา้ นวฒั นธรรม ความปลอดภัย และการศึกษา ร้อยละ ๓.๖๗ วัฒนธรรมแสดงออกได้หลายรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างย่ิงมุมมอง และค่านิยม ในอดีตประชาชนมักไม่ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมอ่ืน อยา่ งไรกต็ าม เทคโนโลยกี ารสอื่ สารแบบดจิ ทิ ลั อาจนา� ไปสคู่ วาม เพราะข้อจ�ากัดด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ต่อมาเมื่อเทคโนโลยี เหล่อื มลา้� ได ้ เพราะธรุ กิจขนาดใหญ่มีโอกาส และความสามารถใน ก้าวหน้ามากขึ้น ประชาชนจึงได้เห็นวัฒนธรรมอ่ืนผ่านสื่อต่าง ๆ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสารดิจิทัลได้มากกว่าธุรกิจ และยงั สามารถปฏสิ มั พนั ธก์ บั ผทู้ มี่ าจากวฒั นธรรมอน่ื ได ้ ทา� ใหม้ มี มุ ขนาดเล็ก จากการส�ารวจในสหรัฐอเมริกา พบว่า ประชาชน มองและคา่ นยิ มที่แตกต่างจากประชาชนในรุ่นก่อน นอกจากน้ียัง เขา้ ท�างานกับบรษิ ทั ใหญม่ ากข้นึ ในขณะท่ีบริษทั ใหญเ่ ปน็ ที่ยอมรับ เทคโนโลยยี ังท�าให้วธิ กี ารสอื่ สารระหวา่ งบุคคลเปลี่ยนไป เช่น การ และเตบิ โตมากขึ้น ใช้อีเมลแทนการส่ือสารอย่างเป็นทางการด้วยจดหมาย การใช้สื่อ สงั คมออนไลน ์ เชน่ ไลน ์ เฟซบกุ๊ และทวติ เตอร ์ ทดแทนการพบปะ ๒. ดา้ นการเมอื ง การสอื่ สารทม่ี เี นอื้ หาทางการเมอื ง มผี ล กนั ในโลกจรงิ การใชเ้ ฟซไทมแ์ ละสไกปเ์ พอ่ื การสอื่ สารแบบเหน็ หนา้ กระทบทัง้ ทางบวกและทางลบตอ่ การเลอื กต้ัง การกา� หนดนโยบาย กัน และการใชอ้ ินสตาแกรมเพือ่ ติดตามและเลียนแบบบุคคลที่ตน ทงั้ ในระดบั ทอ้ งถนิ่ ระดบั ประเทศ และระดบั โลก ในอดตี การสอ่ื สาร ชนื่ ชอบ ทางการเมืองใช้การสื่อสารระหว่างบุคคล ส่ิงพิมพ์ จึงเข้าถึง ประชาชนจา� นวนร้อยหรอื พันคนในแต่ละครงั้ แต่เม่อื มีการใช้วทิ ยุ ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศส่งผลกระทบต่อ ซึง่ ทา� ให้เขา้ ถงึ ประชาชนได้หลายลา้ นคนในแต่ละครงั้ และใน พ.ศ. ความปลอดภยั โดยความเปน็ สว่ นตวั ของประชาชนลดลงเพราะเวบ็ ไซต์ ๒๔๘๓ มกี ารใชว้ ิทยใุ ชเ้ พ่ือเผยแพร่ขา่ วสารดา้ นการเมืองและเกิด เกบ็ บนั ทกึ ขอ้ มลู สว่ นบคุ คลดว้ ยไฟลค์ กุ กแี้ ละนา� ขอ้ มลู ทไ่ี ดไ้ ปขายตอ่ ให้ การโฆษณาชวนเช่อื ขน้ึ ท่วั โลก ใน พ.ศ. ๒๕๐๓ มีการใชโ้ ทรทศั น์ กบั เวบ็ ไซตอ์ นื่ และมกี ารลกั ลอบตดิ ตงั้ โปรแกรมสปายแวรเ์ พอื่ สอดแนม เพอื่ ถ่ายทอดการประชมุ การโต้วาท ี และการกล่าวสุนทรพจน์ ซง่ึ พฤตกิ รรมของผใู้ ชค้ อมพวิ เตอร ์ ซง่ึ เปน็ การละเมดิ สทิ ธคิ วามเปน็ สว่ น มีประชาชนหลายร้อยล้านคนรับชม ซ่ึงการแพร่ภาพแต่ละครั้งส่ง ตวั ของประชาชน ในระดบั ชาต ิ พบวา่ ความมน่ั คงทง้ั ระดบั ชาตแิ ละระดบั ผลตอ่ ประชามตอิ ยา่ งมาก ในปจั จบุ นั ประชากรไทยจา� นวนมากเปน็ นานาชาตกิ า� ลงั ไดร้ บั ผลกระทบจากการสอ่ื สารอยา่ งมาก เชน่ กลมุ่ ผู้ เจ้าของโทรศัพท์เคล่ือนท่ีจึงมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมกระบวนการ กอ่ การรา้ ยสามารถรบกวนหรอื โจมตกี ารดา� เนนิ การของแตล่ ะประเทศ ทางการเมอื งได้มากขน้ึ เช่น สนทนา นัดหมายชมุ นมุ และแบง่ ปัน ดว้ ยการทา� สงครามผา่ นอนิ เทอรเ์ นต็ (Net war) หรอื ทเ่ี รยี กวา่ การ ภาพและวดิ โี อทมี่ เี นอื้ หาตอ่ ตา้ นรฐั บาล โดยทร่ี ฐั บาลไมส่ ามารถปดิ กอ่ การรา้ ยบนโลกไซเบอร ์ (Cyberterrorism) กน้ั หรอื แทรกแซงไดเ้ หมอื นกบั การสอ่ื สารผา่ นสอ่ื สงิ่ พมิ พ ์ ภาพยนตร ์ วทิ ยแุ ละโทรทศั น ์ ดงั นนั้ หนว่ ยงานภาครฐั ทง้ั ขนาดใหญแ่ ละขนาดเลก็ การสื่อสารยังท�าให้รูปแบบการศึกษาเปล่ียนแปลงไป โดยใน ปัจจุบันมีการผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น มีการรวบรวม ข้อมูลหนังสือเป็นห้องสมุดออนไลน์ มีการเรียนออนไลน์มากขึ้น ผสู้ อนและผเู้ รยี นไมจ่ า� เปน็ ตอ้ งนดั หมายเวลาและสถานทก่ี นั ในโลก จริง แต่ผู้สอนสามารถบันทึกเน้ือหาการสอนไว้ในฐานข้อมูล ออนไลน ์ และใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ชมไดใ้ นเวลาทีต่ นสะดวก นอกจากนัน้ ยงั สามารถสอ่ื สารโตต้ อบกบั ผสู้ อนหรอื ผเู้ รยี นคนอนื่ ไดผ้ า่ นเวบ็ ไซต์ ทา� ใหป้ ระชาชนจา� นวนมากเขา้ ถงึ ความรู้ ในอนาคตผลกระทบของการสื่อสารจะมีมากขึ้น เป็นเสมือน ดาบ ๒ คม ทีม่ คี ณุ อนันต์ ขณะเดียวกันกม็ ีโทษมหนั ต ์ ผ้สู ่อื สาร ทุกคนจึงต้องไม่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารไปในทางท่ีผิด รู้เท่าทัน เทคโนโลยกี ารสื่อสาร วเิ คราะห์ความถกู ตอ้ ง ความนา่ เชอื่ ถือ และ ความสมเหตุสมผลของข้อมูลข่าวสารท่ีได้รับ เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อ ของผู้ไม่ประสงคด์ ี
๔ รูปแบบการส่ือสารใน ยคุ กอ่ นประวตั ศิ าสตร ์ ก า ร แ บ่ ง เ ว ล า ยุ ค ก่ อ น ป ร ะ ว ตั ิ ศาสตรต์ ามหลกั สากลคอื หว้ งเวลา ท่ี ม นุ ษ ย ย์ งั ไ ม่ มี ต วั อ กั ษ ร บ นั ทึ ก เร่อื งราวของสงั คม มีการแบ่งยุค ย่อยเป็ น ยุคหิน ไดแ้ ก่ ยุคหินเก่า ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่ กบั ยุค โลหะ ไดแ้ ก่ ยุคสํารดิ และยุคเหลก็ เมอ่ื ๑๐,๐๐๐ ปมี าแลว้ นกั โบราณคดคี น้ พบวา่ มนษุ ยย์ คุ หนิ มกี ารสง่ สญั ญาณสอ่ื สาร ๒ ประเภท คือ การใช้เสียง โดยใช้เครื่องมือสื่อสารเกิดเสียง ตา่ ง ๆ เชน่ การเคาะไม ้ การผวิ ปาก การเปา่ ใบไม ้ การเปา่ เขาสตั ว ์ การตกี ลอง เคาะระฆงั ฯลฯ การใช้ ควนั โดยการกอ่ ไฟใหเ้ กดิ ควนั สตี า่ ง ๆ เพอื่ การมอง เหน็ เมอ่ื อกี กลมุ่ หนงึ่ ไดย้ นิ เสยี งและมองเหน็ สคี วนั สามารถแปลความหมายเกดิ การรบั ร ู้ และปฏบิ ตั ติ าม วตั ถปุ ระสงคข์ องผสู้ ง่ สญั ญาณนน้ั ได้ การสง่ สญั ญาณเสียง ๑. การเคาะไม ้ โดยใชเ้ นอื้ แขง็ หรอื แกน่ ไม ้ ๒ ชิ้นมาเคาะกัน เกิดเสียงดังกังวาน ถ้าเป็นไม้ ชิ้นใหญแ่ กะเป็นโพรงเรียกว่า “ตีเกราะ” ส่วนไม้ ชน้ิ เลก็ เคาะกนั ในฝา่ มอื เรยี กวา่ “ตกี รบั ” การเคาะไม้ ใช้สื่อสารหลายความหมาย ได้แก่ เพ่ือประกอบ พธิ กี รรม เพอ่ื การรน่ื เรงิ เพอ่ื รวมกลมุ่ เพอ่ื หลบภยั ฯลฯ อนึ่ง การตีกรับยังใช้เป็นสัญญาณเสียงดนตรีไทย ทกุ วนั นค้ี อื การตกี รบั ประกอบการขบั เสภา ๒ . การ ผิ ว ป า ก แ ล ะ การ เ ป่ าใ บ ไ ม ้ ๓. การเป่ าเขาสตั ว ์ ใชป้ ระกอบพธิ กี รรม เปน็ การสง่ สญั ญาณสอื่ สารคลา้ ยการเคาะไม ้ แตม่ ี เพอื่ การตอ้ นสตั วใ์ หร้ วมกลมุ่ และเพอื่ การทา� สงคราม ระยะทางใกล้กว่า บางคร้ังใช้เลียนแบบเสียงสัตว ์ ดว้ ย ในพธิ กี รรมของชาวกยู (จ.สรุ นิ ทร)์ ใชเ้ พอ่ื การ ลอ่ ใหส้ ตั วเ์ ขา้ มาใกลแ้ ลว้ ลา่ สตั วไ์ ดง้ า่ ย การเปา่ ใบไมย้ งั ออกไปจบั ชา้ งปา่ มาฝกึ เพอ่ื ใชง้ านในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา ใชเ้ ปน็ สญั ญาณการรบแบบกองโจรทพ่ี บในไทยเมอ่ื ส่ี จนถงึ สมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ศตวรรษทผ่ี า่ นมา ภาพท่ี ๑ เขาสตั วท์ ่ีใชส้ ่งสญั ญาณ
ตอ้ งมกี ารตกลงระหวา่ งกลมุ่ ลว่ งหนา้ กอ่ น เชน่ เพอ่ื ๒๐—๒๑ แจง้ ภยั อนั ตรายจากขา้ ศกึ ศตั ร ู หรอื มกี ารนดั หมาย ระหวา่ งกองทพั เพอื่ ใหท้ หารออกมาจากทซ่ี อ่ นและ การเขา้ โจมต ี ภาพท่ี ๒ กลองมโหระทกึ การใชส้ ญั ลกั ษณ ์ ภาพท่ี ๔ ลกั ษณะและความหมายของอกั ษรล่ิม ในยุคหินกลางและหินใหม่ เม่ือ ๑๐,๐๐๐- ภาพท่ี ๕ อกั ษรล่ิมบนดินเหนียว ๔. การตีกลอง เป็นการต่อยอดทาง ภมู ปิ ญั ญาจากการทา� เกราะ โดยนา� เอาหนงั สตั วแ์ หง้ ๓,๕๐๐ ปกี อ่ นประวตั ศิ าสตร ์ นกั โบราณคดพี บวา่ บท ํนา / การ ืส่อสาร: ความหมายและแนว ิคดเ ืบอ้งต้น มาขึงให้ตึงบนโพรงไม้และใช้ไม้ตี ในยุคโลหะ มกี ลมุ่ ชนรวมกนั อาศยั อยตู่ ามถา้� และเพงิ ผาใกล้ ประมาณ ๒,๕๐๐ ป ี พบวา่ ในวฒั นธรรมดองซอน ท่ีราบริมแหล่งน�้า เร่ิมรู้จักเลี้ยงสัตว์และท�าการ มนุษย์สามารถท�ากลองด้วยโลหะส�าริดเรียกว่า เกษตรกรรม รจู้ กั สรา้ งสรรคง์ านศลิ ปะวาดภาพไว้ “กลองมโหระทกึ ” เพอ่ื ใชป้ ระกอบพธิ กี รรม ปจั จบุ นั บนผนงั หนิ ตอ่ มาเมอื่ ๔,๐๐๐ ป ี กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช การตกี ลองมโหระทกึ ยงั คงใชอ้ ยใู่ นพธิ พี ราหมณ ์ เชน่ (ยคุ โลหะ) มนษุ ยม์ คี วามต้องการนับผลผลิตทาง พระราชพธิ จี รดพระนงั คลั แรกนาขวญั เ ก ษ ต ร ก ร ร ม จึ ง ป ร ะ ดิ ษ ฐ ์ อักษรรูปลิ่ม เป็น สัญลักษณ์การนับจ�านวน จารึกไว้บนแผ่นดิน ๕. การตรี ะฆงั ในยคุ โลหะนกั โบราณคดี เหนยี ว เมอ่ื ดนิ เหนยี วแหง้ กป็ รากฏเปน็ ตวั อกั ษร พบว่ามีการหล่อระฆังในซีกโลกตะวันตกแถบ ถาวรเปน็ ขอ้ มลู เกบ็ ไวไ้ ด้ ดิ น แ ด น เ ม โ ส โ ป เ ต เ มี ย เ พื่ อ ใ ช ้ ใ น พิ ธี ก ร ร ม แ ล ะ การดนตรี และยังพบการใช้ระฆังในจีนสมัย ภาพ วา ด บ นผ นงั หิ น ( Ro c k a r t ) ร า ช ว ง ศ ์ ซ า ง และโจว ภาพเขยี นบนผนงั ถา้� และหนา้ ผาหนิ บางแหง่ เปน็ การสง่ สญั ญาณดว้ ยควนั รอยขดู ขดี รปู เรขาคณติ นกั โบราณคดวี เิ คราะหว์ า่ สญั ญาณจากควนั ไฟ เปน็ การสอ่ื สารทเ่ี หน็ ได้ อาจใชเ้ ครอื่ งมอื โลหะขวานหรอื สวิ่ ทมี่ คี วามคมและ จากระยะไกล โดยกอ่ กองไฟแลว้ ใชก้ ารเปา่ หรอื การใช้ แขง็ จารขดู ขดี แกะหรอื ตอกลงบนแผน่ หนิ จนเปน็ หนงั สตั วต์ ดั กลมุ่ ควนั เพอื่ ใหม้ องเหน็ กลมุ่ ควนั ลอย ภาพ แลว้ ทาทบั ดว้ ยสดี า� หรอื สแี ดง ภาพวาดเหมอื น ตดิ ตอ่ ตามสญั ลกั ษณท์ เ่ี ขา้ ใจกนั ในกลมุ่ ได ้ บางครง้ั ทเ่ี ลยี นแบบของจรงิ ทง้ั สดี า� และสแี ดง เชน่ รปู คน ใชย้ างไม ้ เพอ่ื ใหค้ วนั มสี ตี า่ ง ๆ การสอื่ สารดว้ ยควนั สตั ว ์ และภาพวถิ ชี วี ติ สดี า� หรอื สแี ดงทใี่ ชน้ นั้ พบวา่ สีด�าได้มาจากสีน�้ามัน ส่วนสีแดงเป็นสีที่เอาดิน ลกู รงั มาบดใหล้ ะเอยี ด กรองเอาสที เ่ี กดิ จากสนมิ เหลก็ (Hematite) ผสมกบั ยางไมก้ วนใหเ้ ปน็ เนอ้ื เดยี วกนั แลว้ ใชพ้ กู่ นั อาจทา� จากกง่ิ ไมท้ บุ ปลายให้ เปน็ ฝอยแลว้ จมุ่ สวี าดภาพ เมอ่ื สแี หง้ จงึ ปรากฏเปน็ รปู ทเ่ี หน็ อยา่ งถาวร ภาพวาดบนผนงั หนิ และในถา�้ สีด�าและสีแดงพบกันหลายแห่งทั่วโลก แม้ใน ประเทศไทยพบวา่ มหี ลายแหง่ เชน่ ทห่ี นา้ ผาหมอน อทุ ยานแหง่ ชาตผิ าแตม้ จ.อบุ ลราชธาน ี ทเี่ ขาจนั ทร์ งาม จ.นครราชสมี า ทถ่ี า�้ ลายแทง จ.เลย อกั ษรรูปล่ิม (Cuneiform script) อั กษรรูปล่ิมใช้วัตถุที่เป็นของแข็งและแหลม จารึกตัวอักษรไว้บนแผ่นดินเหนียวที่ยังอ่อนน่ิม เพอื่ บอกความหมายและจา� นวน เมอ่ื ดนิ เหนยี วแหง้ กจ็ ะปรากฏอกั ษรถาวร อกั ษรรปู ลม่ิ ทพี่ บมภี าษา หลายตระกูล ท้ังตระกูลเซมิติก ตระกูลอินโด- ยูโรเปียน เป็นต้น แต่ที่พบว่าเก่าแก่สุดอยู่ใน ดนิ แดนเมโสโปเตเมยี เรยี กวา่ บลุ ลา (Bulla) ภาพท่ี ๓ ภาพเขียนสีท่ีเพิ งผา อาํ เภอโขงเจียม จงั หวดั อุบลราชธานี อายุราว ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ปี มาแลว้
๕ รปู แบบการส่ือสาร ในยคุ ประวตั ศิ าสตร ์ ยุ คประวตั ิ ศาสตรเ์ ป็ นช่ วงท่ีมนุ ษยร์ ูจ้ กั การ ป ร ะ ดิ ษ ฐ เ์ ค ร่ื อ ง มื อ ขึ น้ ม า ใ ช ใ้ น ก า ร ส่ื อ ส า ร ห ล า ก ห ล า ย รู ป แ บ บ เ ช่ น เ พ่ื อ ใ ห ม้ ว ล ช น มี ความรู ้ ความบนั เทิง เกิดปัญญาประดิษฐส์ ่ิง ของต่าง ๆ ส่งผลต่อการปกครอง เศรษฐกิจ และสงั คม ใหเ้ จรญิ กา้ วหนา้ มากขนึ ้ การส่ือสาร ในยุคประวตั ิศาสตรต์ อนตน้ มี หลายรูปแบบ ไดแ้ ก่ การใชส้ ญั ญาณ การใชส้ ญั ลกั ษณ ์ และ การประดิษฐต์ วั อกั ษรใชเ้ ฉพาะกลุ่มตน ซ่งึ มี รายละเอยี ดดงั นี ้ การใชส้ ญั ญาณ มีส่ิงประดิษฐ์ใหม่ใช้เป็น สัญญาณเสียง ได้แก่ การตีกลอง มีการท�ากลอง หลายชนิด เสียงกลองยังใช้ส่งสัญญาณการรับรู ้ ต่างกัน ให้จังหวะในวงดนตรีเพ่ือความบันเทิง ใชเ้ ปน็ สัญญาณกลองเพื่อบอกเวลาดังท่ีคนไทยคุ้น เคยกับคา� ว่า ทมุ่ หรือ โมง ใช้ประกอบพธิ กี รรม และสัญญาณการออกศึกสงคราม ส่งสัญญาณให้ ทหารรกุ หรอื ถอยทัพ เป็นตน้ การจุดประทัด พบ หลกั ฐานวา่ ชาวจนี สามารถทา� ประทดั ใชเ้ มอื่ ๒๐๐ ปี กอ่ นครสิ ตกาล โดยใช้ดินปืนใส่ในปล้องไมไ้ ผ ่ แต่ การใช้เสียงประทัดเพ่ือใช้ประกอบพิธีกรรมในงาน เทศกาลตา่ ง ๆ จนถึงปัจจบุ นั ชาวจนี รู้จกั การใช้ดนิ ระเบิดเพือ่ ประดิษฐอ์ าวุธ ปืนใหญเ่ รยี กว่า ปืนคาบศลิ า เปน็ ชาตแิ รกในสมัย ราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ. ๑๕๐๓-๑๘๒๒) มีบันทึกว่า มารโ์ ค โปโล เปน็ ผนู้ า� เทคนคิ การทา� ปนื ใหญจ่ ากจนี ไปเผยแพรใ่ นยโุ รป ตอ่ มาชาวยโุ รปเปน็ ฝา่ ยพฒั นา ให้มีประสิทธิภาพมากข้ึน เพื่อประโยชน์ในการท�า สงครามขยายอาณาเขต เสียงปนื ใหญ่จากการยงิ สลตุ เป็นสัญญาณอนญุ าตให้เรอื สนิ ค้าเดนิ ทางเขา้ มาเทียบท่าได้ และเป็นสัญญาณแสดงการต้อนรับ หรอื การเฉลมิ ฉลอง ตามธรรมเนยี มการยงิ สลตุ นาที ละ ๑ นัด ประเทศอังกฤษเป็นชาติแรกท่ีวางกฎ ระเบียบการยงิ สลุต ๒๑ นดั และได้ถือเป็นกตกิ า สากลสบื ต่อกนั มา การเปา่ แตร มกี ารคน้ พบวา่ ชาวจนี สมยั ราชวงศ์ ฮนั่ (พ.ศ. ๓๓๕-๗๖๓) สามารถประดษิ ฐแ์ ตร โดย นา� แกน่ ไมเ้ จาะรเู หมอื นขลยุ่ แลว้ สวมตอ่ กบั ปลายเขาววั
การเปา่ เขาสัตวจ์ ึงเรยี กว่า “หนวิ เจี่ยว” หรือแตร ๒๒—๒๓ เขาวัว ระยะแรกใช้เป็นเครื่องดนตรีประกอบ พธิ กี รรม จากนนั้ องคค์ วามร้กู ารประดิษฐแ์ ตรได้ ขยายจากจีนผ่านอินเดยี สู่ยโุ รป เสยี งแตรใช้เป็น สญั ญาณในการศกึ สงครามดว้ ย การใชโ้ ลหะและกระจกสะทอ้ นแสง คน้ พบวา่ ภาพท่ี ๑ การเป่ าแตร ภาพท่ี ๓ อกั ษรจีนสมยั ราชวงศ ์ เมื่อ ๒,๗๕๐ ปีก่อนคริสตกาล ชาวจีนคิดวิธี ซางท่ีใชม้ ีดปลายแหลมจารกึ บน ประดษิ ฐโ์ ลหะขดั มนั ใชส้ อ่ งเปน็ กระจกไดเ้ รยี กวา่ การใช้กระโจมไฟ หรือประภาคาร เพื่อส่ง กระดองเต่า กระจกมหัศจรรย์ จากนั้นได้แพร่เข้าไปใช้กันใน สัญญาณให้กบั เรือเดินสมทุ รรู้ถึงอันตรายและจดุ ดนิ แดนตะวนั ตกและยโุ รปจนกระทงั่ พทุ ธศตวรรษ เรม่ิ เข้าใกล้ฝัง่ ในยามค่�าคนื โดยพบวา่ เมอื่ พ.ศ. การประดิษฐ์อักษร เมื่อ ๑,๔๕๗ ปีก่อน ท ่ี ๑๑ เมือ่ ช่างชาวเวนสิ พบวธิ ีทา� กระจกเงาจาก ๒๗๓ ชาวอยี ปิ ตเ์ ป็นชาตแิ รกท่ีคดิ สร้างกระโจม คริสต์ศักราชพบว่า ชาวอียิปต์พัฒนาอักษรได้ แกว้ ขนึ้ มาใชแ้ ทน มนษุ ยร์ จู้ กั ใชโ้ ลหะและกระจก ไฟขึ้น เป็นหอสูงมีบันไดเวียนและใช้ตะเกียง ๒๒ ตวั ใช้เปน็ พยญั ชนะกับตวั ท่ี ๒๓ เป็นเสยี ง เป็นสัญญาณการรับรู้จากแสงสะท้อน ซึ่งนิยม จุดใหแ้ สงสวา่ ง สระ แต่ยังคงออกเสียงของอักษรไฮโรกลิฟฟิก ใช้เพื่อการท�าศึกสงครามด้วย เหมอื นเดิม จนถงึ พุทธศตวรรษท ่ี ๑๑ ดนิ แดน การใชส้ ญั ลกั ษณ ์ อียิปต์ ตกอยู่ภายใต้อ�านาจการปกครองของกรีซ การใชธ้ ง เปน็ สญั ลกั ษณส์ อ่ื สารไดห้ ลายอยา่ ง ตัวอักษรในภาษาอียิปต์จึงได้ถูกดัดแปลงให้มี บท ํนา / การ ืส่อสาร: ความหมายและแนว ิคดเ ืบอ้งต้น ลักษณะคล้ายอักษรในภาษากรีก และเมื่อถูก เช่น ธงชาติ ธงแม่ทัพ ธงหย่าศึก ธงยอมแพ ้ อาหรับรุกรานตัวอักษรในภาษาอียิปต์ได้ถูกปรับ ธงประจ�าเรือ ธงกีฬา ธงศาสนา ธงกาชาด เปล่ียนอีก จนมีลักษณะคล้ายอักษรอาหรับใน ธงบอกเขตสถานทเี่ พือ่ ความบนั เทงิ ธงขบวนแห ่ เวลาตอ่ มา ธงบอกเขตอนั ตราย ส่วนในแผ่นดินจีนพบว่า เม่ือ ๑,๖๐๐ ปี การใช้อักษรภาพ (Hieroglyph) จากการ ก่อนคริสต์ศักราช สมัยราชวงศ์ซาง ชาวจีนได้ ส่ือสารดว้ ยภาพเขียน พัฒนาเป็นอักษรภาพและ ประดษิ ฐเ์ ปน็ ตวั อกั ษรโดยใชม้ ดี ปลายแหลมจารกึ การเขียนด้วยตัวอักษร เม่ือ ๔,๖๐๐ ปีก่อน บนกระดองเต่า บนแผ่นหิน และบนแผ่นไม ้ คริสตกาล ชาวอียิปต์ได้จารึกอักษรภาพไว้บน จนถึงสมัยราชวงศ์ซ้อง (พ.ศ. ๑๕๐๓-๑๘๒๒) แผน่ หนิ ในสสุ าน ตอ่ มามกี ารคน้ พบวธิ ที า� กระดาษ ชาวจีนคดิ ค้นวธิ ที า� กระดาษจากเปลอื กไม้จ�าพวก จากตน้ กก (ปาปริ สุ ) โดยใชพ้ กู่ นั และปากกาทท่ี า� ปอและป่านได้ ส่วนหมึกท�าจากเขม่าจากต้นรัก จากต้นกกจุ่มหมึกซึ่งท�าจากยางไม้ผสมกับหินสี และต้นสนปั้นเป็นเม็ดหรือแท่งฝนกับน�้า แล้วใช้ ตา่ ง ๆ ท่ีบดละเอียดกวนเปน็ เน้ือเดียวกนั เขยี น พกู่ นั จมุ่ นา้� หมกึ เขยี นเปน็ ตวั อกั ษรลงบนกระดาษ เปน็ ตวั หนงั สอื ดว้ ยอกั ษรภาพอักษรไฮโรกลฟิ ฟกิ เม่ือหมึกแห้งแล้ว สามารถพับกระดาษรวมเป็น เล่มใชเ้ ปน็ ต�าราสะดวกในการพกพา ผลจากการผลติ กระดาษ นา�้ หมกึ และปากกา เพ่ือใช้เขยี นหนงั สือ และจดบันทึกเร่อื งราวตา่ ง ๆ ส่งผลให้การส่ือสารจากเมืองหนึ่งสู่อีกเมืองหนึ่ง ได้อย่างรวดเรว็ และกวา้ งขวางได้ ๒ ช่องทางคอื เสน้ ทางการคา้ และการเผยแผศ่ าสนา นา� ไปสกู่ าร สรา้ งอา� นาจทางการเมอื งการปกครองเปน็ อาณาจกั ร นอ้ ย ใหญใ่ นเวลาต่อมา ภาพท่ี ๒ อกั ษรภาพของชาวอียิปต ์
ตอนที่ ๑ การสอื่ สารของมนุษยชาติ และการสอื่ สารของประเทศไทย บทท่ี ๑ การส่ื อสารยุคก่อนประวตั ิศาสตรไ์ ทย ๖ การสื่อสารผ่านภาพ ลวดลาย ๒๖ และสญั ญาณเสียง
๖ การส่ือสารผ่านภาพ ลวดลาย และสญั ญาณเสยี ง
นกั โบราณคดีพบวา่ ช่วงปลายพุ ทธศตวรรษ การจารึกตัวอักษรไว้บนผนังถ้�าหินปูน แผ่น ๒๖—๒๗ ท่ี ๑๖ กอ่ นประวตั ิศาสตรช์ าติไทย อาณาจกั ร หนิ ทราย และหินชนวน เริ่มจากการตดั หินท่ีน�า และแควน้ นอ้ ยใหญใ่ นชว่ งพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ มาจากแหลง่ ตดั หนิ เช่น ท่ลี ่มุ แมน่ า้� ปิง แมน่ ้�ายม บท ่ีท ๑ การ ื่สอสาร ุยค ่กอนประวั ิตศาสตร์ เ ป็ น ต น้ ม า มี ว ฒั น ธ ร ร ม ก า ร ใ ช ภ้ า ษ า แ ล ะ และท่ีราบสูงโคราช น�าแท่งหินมาขัดพ้ืนผิวให้ ตวั อกั ษรในการเขยี น เพ่ือใชต้ ดิ ตอ่ ส่ือสารทงั ้ เรียบเป็นมัน แล้วใช้เครื่องมือท�าด้วยเหล็ก มี ในและภายนอกอาณาจกั รหรอื รฐั ต่าง ๆ มี ๒ ปลายแหลมคม มาสลักให้เป็นร่องลึกรอยการ รปู แบบ คือ การส่ือสารภายใน เช่น ดา้ นการ จารึกบนแผ่นอฐิ ต้องจารบนอิฐเปียกกอ่ น แลว้ จงึ ปกครอง ดา้ นศาสนาเพ่ื อการครองชีวิตให ้ นา� ไปเผาใหแ้ หง้ แขง็ สว่ นจารบนฐานพระพทุ ธรปู เป็ นสุข ดา้ นศิลปะและดนตรี เพ่ื อประกอบ และเทวรปู สา� รดิ โดยใชเ้ หลก็ แหลมจาร ก่อนขัด พิ ธี กรร ม ท า ง ศ าส นา แ ล ะ ค วา ม ส นุ กส นาน ผวิ ใหเ้ รยี บมนั จงึ ปรากฏรอยอกั ษรขนึ้ ชดั เจน แทง่ การส่ือสารภายนอก ไดแ้ ก่ ดา้ นการติดต่อ ศิลาจารึกพบอยู่ทว่ั ไป เช่น ศลิ าจารึกอกั ษรมอญ คา้ ขาย และการเจรญิ สมั พนั ธไมตรตี ่อกนั โบราณของอาณาจักรหริภุญชัย จารึกเขาน้อย อ.อรัญประเทศ จ.ปราจนี บรุ ี สร้างขึ้นเม่อื พ.ศ. นกั ภาษาศาสตรพ์ บว่า การสือ่ สารภายในภมู ภิ าคนี้ เจ้าผคู้ รอง ๑๑๘๐ ศิลาจารึกช้ินนี้เป็นหลักฐานเอกสาร นครเป็นผู้กา� หนด ตระกูลภาษาทใ่ี ช ้ ได้แก่ โบราณ ทบี่ ง่ บอกถงึ วฒั นธรรมทางด้านการใชร้ ูป อักษรทีป่ รากฏบนผนื แผ่นดนิ ไทยครั้งแรก ๑. ตระกลู ภาษาอนิ โดยูโรเปี ยน เช่น ภาษาเปอร์เซีย ภาษาบาล ี ภาษาสนั สกฤต และภาษาละตนิ การบนั ทกึ เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรนนั้ นอกจาก จารึกบนแผ่นหนิ แล้ว ยังมกี ารบันทกึ บนใบลาน ๒. ตระกลู ภาษาออสโตรเอเชียติก เช่น ภาษามอญ และบนแผ่นทองคา� เรยี กว่า การจาร โดยใช้เหลก็ เขมรโบราณ และตระกูลภาษาไท-กะได อันเป็นภาษาถิ่นใน แหลมกดเพอื่ เขยี นตวั อกั ษรลงบนใบลานแหง้ ทต่ี ดั เอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ หวั ทา้ ยใหเ้ สมอกนั การเขยี นเรยี งตอ่ กนั เปน็ แผน่ ต่อแผ่น แล้วเจาะรูร้อยด้วยเชือกเป็นเล่มเก็บไว้ ๓. ดา้ นการปกครอง ไดแ้ ก ่ จารกึ ตามท่ตี ่าง ๆ เชน่ การจารบนแผ่นทองส่วนใหญ่เป็นพระราชสาส์น หลกั หนิ ฐานพระพทุ ธรปู จารกึ ลานเงนิ ลานทอง ตวั อยา่ งเชน่ จารกึ ของพระมหากษตั ริย์ เพื่อเจรญิ ไมตรตี ่อกัน โดย อักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต ราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ พบที่ นา� แผน่ เงนิ หรอื แผน่ ทองมาตแี ลว้ รดี เปน็ แผน่ บาง ชอ่ งสระแจง ต.ตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแกว้ ปจั จบุ นั เกบ็ รกั ษา กวา้ งยาวตามตอ้ งการ เมอ่ื จารอกั ษรเสรจ็ แลว้ นา� ทพ่ี ิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร เน้ือความกล่าวถึงกษัตริย์ว่า ม้วนเกบ็ ใส่กระบอก เมอ่ื ถึงมอื ผ้รู ับกค็ ล่แี ผ่นทอง มเหนทรวรมนั แสดงถึงการปกครองที่มรี ะบบกษัตรยิ ์ อ่านพระราชสาสน์ น้ัน ๔. ดา้ นศาสนา มเี อกสารทใ่ี ชเ้ พอื่ เปน็ คา� สอนและหลกั ธรรม ภาพท่ี ๒ เครอ่ื งมอื และอปุ กรณก์ ารจารลงในใบลาน บทสวด การประกอบพธิ ศี าสนาสา� คญั ทเ่ี ผยแพรอ่ ยใู่ นดนิ แดนนคี้ อื ศาสนาพราหมณ์ ฮินด ู พทุ ธ มสุ ลมิ เป็นต้น ภาพท่ี ๓ แผน่ เงนิ แผน่ ทองท่ใี ชจ้ ารพระราชสาสน์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ชาติไทยน้ัน การผลิตเอกสารต่าง ๆ พบวา่ มกี ารจารึกบนผนงั ถ้�า แผน่ หนิ ทรายหนิ ชนวน แผ่นอิฐ และ ฐานรปู เคารพ สว่ นการจารเปน็ การเขียนอกั ษรบนใบลาน แผ่นเงิน หรอื ทองคา� ภาพท่ี ๑ เคร่ืองมือใชแ้ กะสลกั และการเขียนจารบนแผ่นหิน
ตอนที่ ๑ การสอื่ สารของมนุษยชาติ และการสอื่ สารของประเทศไทย บทท่ี ๒ การส่ื อสารในประวตั ิศาสตรไ์ ทย ๗ การสื่อสารในสมยั สุโขทยั ๓๐ ๘ การสื่อสารในสมยั อยุธยา ๓๒
๗ การส่ือสารในสมยั สุโขทยั อาณาจกั รท่เี จรญิ พรอ้ มกบั เมอื งสโุ ขทยั ไดแ้ ก่ เมอื งบางยาง (ชมุ ชนเกา่ นครไทย) เมอื งศรสี ชั นาลยั เมอื งเชลยี ง เมอื งนครชมุ เมอื งสองแคว เมอื งสุพรรณภมู ิ เมอื งศรเี ทพ และเมอื งราด (ชมุ ชนเกา่ สงู เนิน) ลว้ นเป็ นเมอื งท่ี อยใู่ นกลมุ่ วฒั นธรรมภาษามอญ เขมร และไท-กะได แตใ่ ชภ้ าษาขอมเป็ นภาษาส่อื สารทางการปกครอง ชาวเมอื ง นบั ถอื ศาสนาพุ ทธและพราหมณฮ์ ินดู โดยใชภ้ าษาบาลีเป็ นบทสวดมนตแ์ ละหลกั ธรรม ครนั ้ เม่อื พ.ศ. ๑๗๙๒ รชั สมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๘ พ่อขนุ บางกลางหาว เจา้ เมอื งบางยาง กบั พ่อขนุ ผาเมอื ง เจา้ เมอื งราด กระทาํ การ ขบั ไลส่ บาดโขลญลาํ พง เจา้ เมอื งฉอด จากนนั ้ ทาํ พิ ธีปราบดาภิเษกพ่ อขุนบางกลางหาวเป็ นกษตั รยิ พ์ ระนาม ว่าพ่ อขุนศรีอินทราทิตย ์ ครองเมืองสุโขทยั
๓๐—๓๑ ภาพท่ี ๓ แบบสระลายสือไทย ภาพท่ี ๑ จารกึ วดั ศรีชุม กลา่ วถงึ ประวตั ิศาสตร ์ ต่อมาสมัยพระมหาธรรมราชาท่ี ๑ (พญาลิไท) การปกครองระบบปติ รุ าชาธิปไตยในสมัย และการตงั้ราชวงคส์ ุโขทยั ได้โปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงพยัญชนะ-สระ และ พ่อขนุ รามคา� แหงมหาราชโปรดเกลา้ ฯ ใหช้ า่ งท�า การเขียนค�า อักขระวิธี วางสระไว้ข้างหน้าบ้าง แทน่ หนิ ชอื่ พระแทน่ มนงั คศลิ าบาตร ตงั้ ไวท้ ก่ี ลาง พ ่ อ ขุ น ศ รี อิ น ท ร า ทิ ต ย ์ ท ร ง จั ด ร ะ บ บ ก า ร ขา้ งหลงั บา้ ง ลา่ งบา้ ง และยงั ใชส้ บื มาจนถงึ ปจั จบุ นั น ี้ ดงตาล ในวนั พระ แปดคา�่ สบิ หา้ คา่� ไดน้ มิ นตพ์ ระ ปกครองแผ่นดินโดยรวมอ�านาจอยู่ท่ีพระองค์ใน เถระ ขนึ้ นง่ั บนพระแทน่ แลว้ แสดงธรรม พระองค์ ระบบปติ รุ าชาธปิ ไตย หรือพ่อปกครองลูก ด้วย การบันทึกจดหมายเหตุสมัยสุโขทัยนั้น นัก พระมเหส ี พระโอรสและธิดาได้ตามเสด็จ พรอ้ ม ทศพิธราชธรรม เพ่ือให้เกิดความสงบสุขความ โบราณคดีพบว่า ใช้วิธีจารึกข้อความลงบนแท่ง ดว้ ยขุนนางและทวยราษฎรช์ ายหญงิ มาฟังพระ เจรญิ รุ่งเรืองแกอ่ าณาจกั รสโุ ขทยั หนิ ชนวนสีเ่ หล่ยี มทรงกระโจม สกัดให้เรียบแลว้ ธรรมเทศนา เพื่อน้อมน�าหลักธรรมไปใช้ในการ ขดั มนั เรยี กวา่ ศลิ าจารกึ ตอ่ มาเมอ่ื พ.ศ. ๑๘๘๘ ครองเมอื ง ครองเรือน วันธรรมดาหลังจากออก คร้ันถึงรัชสมัยพ่อขุนรามค�าแหงมหาราช พระมหาธรรมราชาท ี่ ๑ (พญาลไิ ท) ทรงพระราชนพิ นธ์ ว่าราชการแล้ว พ่อขุนรามค�าแหงมหาราชได้ ไดท้ รงพระราชดา� รสิ รา้ งเอกลกั ษณค์ วามเปน็ ชาติ เตภมู คิ าถา สว่ นหลกั ธรรมะและบทสวดมนตน์ ยิ ม ประทบั ตดั สินคดีความทรี่ าษฎรมารอ้ งทุกข ์ โดย ไทย เพอ่ื ใชส้ อื่ สาร ดงั นน้ั เมอื่ พ.ศ. ๑๘๒๖ จงึ ทรง จารลงในใบลานแหง้ ตัดเปน็ แผน่ ส่เี หลย่ี มผนื ผ้า ตรี ะฆงั ทแ่ี ขวนไวห้ นา้ ประตวู งั เพอื่ เปน็ การรอ้ งทกุ ข ์ คิดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเรียกว่า “ลายสือไทย” ขนาดเทา่ กนั ใชเ้ หลก็ แหลมจมุ่ นา�้ หมกึ นา�้ สตี า่ ง ๆ นบั เปน็ การปกครองทมี่ ที ศพธิ ราชธรรมทา� ใหบ้ า้ น ดว้ ยการดดั แปลงเปลย่ี นรูปสณั ฐานของตัวอักษร จารลงบนใบลาน เมื่อหมกึ แห้งแลว้ ปรากฏเป็นสี เมอื งสงบสขุ ขอม มอญ ให้ง่ายต่อการใช้เขียนเรียงกันมี ตา่ ง ๆ ตดิ ทนนาน ส่วนการเขา้ เล่มใชเ้ ชอื กรอ้ ย พยัญชนะท้ังหมด ๔๐ ตัว สระและวรรณยุกต์ และมดั หอ่ ดว้ ยผา้ เก็บไว้ได้ ราชธานีสุโขทัยเป็นดินแดนท่ีก่อก�าเนิดชาติ ๒๐ ตวั ทรงกา� หนดวางรปู วรรณยกุ ตก์ บั สระไวใ้ น ไทย มีกษัตรยิ ์ราชวงศพ์ ระรว่ งทรงปกครองแผ่น บรรทดั เดยี วกนั เพอ่ื ใหเ้ ขา้ กบั ลกั ษณะการออกเสยี ง สีท่ีอาลกั ษณจ์ ารอกั ษรและจติ รกร ดินด้วยระบบปิตุราชาธิปไตย ทรงวางรากฐาน ภาษาไทยท่ีแตกต่างไปจากภาษามอญ-เขมรเดิม วาดภาพจารลงบนใบลาน วฒั นธรรมความเปน็ ชาตไิ ทย ไดแ้ ก ่ ลายสอื ไทย เ พื่ อ ใ ช ้ ก า ร สื่ อ ส า ร ว ร ร ณ ก ร ร ม ไ ท ย ศิ ล ป ะ ๑. สดี าํ ไดจ้ ากการขดู เขมา่ กน้ หมอ้ บดเปน็ ผง สถาปัตยกรรมไทย (สกุลช่างสุโขทัย) และ ประเพณไี ทยไวเ้ ปน็ มรดกใหล้ กู หลานไทยมคี วาม ๒. สีขาว ไดจ้ ากปนู ขาวหรอื ใชเ้ ปลอื กหอย ภาคภมู ใิ จและไดถ้ ือปฏิบตั อิ ยู่ทุกวนั น้ี เผาไฟแล้วต้มตากแห้งแล้วบดเปน็ ผงสีขาว บท ีท่๒ การ ืส่อสารในประวั ิตศาสตร์ไทย ๓. สีแดง จากรังครั่งบดละเอียดผสมน้�า กรอง เอาน้�าสีแดงไปเค่ียวต่อจนแห้งตะกอนที่ เหลอื มสี ีแดง น�าผงจากสีทไี่ ดผ้ สมกับยางรกั กวน เป็นเนอ้ื เดยี วกันไดห้ มกึ สีตา่ ง ๆ ท้งั ขาว ด�า แดง บางครงั้ ใชห้ มกึ และสีจากจีน ๔. สีเหลือง จากยางต้นรง มียางเป็น ลกั ษณะสเี หลอื งเหนยี วเอามาผสมนา้� จารลงบนใบ ลานได้ ภาพท่ี ๒ แบบพยญั ชนะลายสือไทย
๘ การส่ือสารในสมยั อยุธยา ในช่วงปลายพุ ทธศตวรรษท่ี ๑๘ เกิดกลุ่มชุมชนในดินแดนประเทศไทย ในชว่ งเวลาปลายพทุ ธศตวรรษท ่ี ๑๙ - พทุ ธศตวรรษ มีการแลกเปล่ียนติดต่อส่ือสารกนั ซ่งึ พฒั นาจนกลายเป็ นอาณาจกั ร ท ี่ ๒๐ พบหลกั ฐานการตดิ ตอ่ ระหวา่ งรฐั สโุ ขทยั มาแลว้ ต่าง ๆ ในขณะท่ีตามลุ่มนํา้ ยมเกิดรฐั สุโขทยั ดินแดนตามลุ่มแม่นํา้ โดยเฉพาะสมยั ของพระบรมราชาธริ าชท ่ี ๑ (ขนุ หลวง เจา้ พระยาเกิดการรวมกลุ่มรฐั ตามลุ่มแม่นํา้ ในภาคกลาง ๒ รฐั คือ พอ่ งว่ั พ.ศ. ๑๙๑๓-๑๙๓๑) พระองคไ์ ดเ้ สดจ็ ขน้ึ มา สุพรรณภูมิ (สุพรรณบุรี) และละโว ้ (ลพบุรี) ครนั ้ เม่ือ พ.ศ. ๑๘๙๓ ตเี มอื งสโุ ขทยั ตรงกบั รชั กาลของพระมหาธรรมราชา พระเจา้ อู่ทองไดย้ า้ ยเมืองมาตงั ้ อยู่ริมหนองโสน ขนานนามเมืองนี ว้ ่า ท ่ี ๑ แหง่ สโุ ขทยั ใน พ.ศ. ๑๙๒๑ และเขา้ มามบี ทบาท กรงุ เทพทวารวดีศรอี ยุธยา และพระองคป์ ราบดาภิเษกเป็ นกษตั รยิ ท์ รง ในการเมอื งของอาณาจกั รสโุ ขทยั จนกระทงั่ สมเดจ็ พระนามวา่ สมเดจ็ พระรามาธิบดีท่ี ๑ นาํ ไปสู่การเป็ นเมอื งท่าในการส่ง พระบรมราชาท ี่ ๒ (เจา้ สามพระยา พ.ศ. ๑๙๖๗- ออกสิ นคา้ เพ่ื อแลกเปล่ี ยน สรา้ งความม่ งั ค่งั ใหก้ บั อาณาจกั รกรุง ๑๙๙๑) สง่ พระราชโอรส พระราเมศวร (สมเดจ็ ศรอี ยุธยาจนพฒั นาตนเองในอกี ๔ ศตวรรษ พระบรมไตรโลกนาถ) ไปครองเมอื งพษิ ณโุ ลก ซงึ่ เป็นศูนย์กลางของเมืองสุโขทัย เป็นการปิดฉาก อา� นาจทางการเมือง และถือเปน็ การผนวกดนิ แดน ของสโุ ขทยั เขา้ กบั กรงุ ศรอี ยธุ ยา
๓๒—๓๓ ภาพท่ี ๑ จิตรกรรมในสมุด ข่อย สมยั อยุธยา เก่ียวกบั พุ ทธ ประวตั ิและไตรภูมิ สีส่วนใหญ่ท่ี ใชจ้ ะเป็ นสีแดง ดาํ และขาว สมยั อยธุ ยา ชาวไทยสามารถท�ากระดาษใช้ ส่ังสมบุญกุศล ดังเช่นท่ีวัดใหญ่สุวรรณาราม เขียนหนังสือได้ เรียกว่า สมุดไทย โดยการนา� จังหวัดเพชรบุรี เยื่อของต้นข่อยทุบละเอียด เคี่ยวกรอง เทใส่ ตะแกรงตากแหง้ แลว้ ลอกเปน็ ใบสมดุ (กระดาษ) ๓. ส่ือดา้ นวรรณคดี นอกจากใชอ้ กั ษร มีขนาดเฉลี่ยกวา้ ง ๕๕ เซนตเิ มตร ยาว ๒๒๐ ลายสือไทยแล้ว ยังใช้ภาษามอญ ขอม และ เซนตเิ มตร ใชพ้ บั ทบเกบ็ เปน็ เลม่ ไดเ้ รยี กสมดุ ไทย ไท-กะได ผสมอยดู่ ว้ ยตามท่ีกวีถนัดเขียนในสมดุ ซึ่งนิยมท�า ๒ สี สดี า� และสีขาวนวล ใชป้ ากกา ไทย วรรณคดีเรื่องแรกที่สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง หรือขนไก่ บากให้แหลมรปู ปากฉลาม เซาะรอ่ ง โปรดเกล้าฯ ให้แต่งช่ือ ลิลิตโองการแช่งน้�า สา� หรบั ใหน้ า�้ หมกึ เดนิ ใชป้ ากกาชบุ นา้� หมกึ สตี า่ ง ๆ เพ่ือใช้ในพระราชพิธีถือน้�าพิพัฒน์สัตยา ในสมัย เขยี นตวั หนงั สอื ลงบนกระดาษได ้ น�้าหมึกใช้วัสดุสี สมเด็จพระนารายณ์ฯ โปรดเกล้าฯ ให้พระ ต่าง ๆ บดเปน็ ผง เช่น สดี �าได้จากเขม่าควนั ไม้ โหราธบิ ดแี ตง่ หนงั สอื จนิ ดามณ ี ซงึ่ เปน็ ตา� ราเรยี น สีขาวจากดินขาว หรือเปลือกหอยมุกเผาแล้วน�า ภาษาไทยเลม่ แรก ตอ่ มาสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ ไปตม้ ตากแหง้ บดเปน็ ผง สแี ดงจากครง่ั หรอื เมลด็ โปรดเกล้าฯ ใหร้ าชบณั ฑิตแต่งโคลงสีส่ ภุ าพทีน่ บั ต้นชาดหรคุณบดละเอียดผสมผงปูนขาว น�าผง เป็นยอดวรรณกรรมคือ โคลงพาลีสอนน้อง แต่ละสีผสมกับกาวยางมะขวิดกวนให้เป็นเนื้อ พระราม โคลงประดษิ ฐ์พระร่วง โคลงราชานุวตั ร เดยี วกัน เปน็ ต้น ภาพท่ี ๒ จิตรกรรมฝาผนงั ศิลปะอยุธยา ผลจากชาวอยุธยาสามารถผลิตใบสมุดและ ๔ . ส่ื อ ด า้ น ส ญั ญ า ท า ง ก า ร ค า้ บท ีท่๒ การ ืส่อสารในประวั ิตศาสตร์ไทย ภาพท่ี ๓ จิตรกรรมฝาผนงั ศิลปะอยุธยา สมดุ ไทย จงึ สามารถผลติ เอกสารเพอ่ื สอื่ สารออก นกั การคา้ ไดน้ า� เรอื สนิ คา้ จากยโุ รปและจนี ผา่ นอา่ ว ไปหลายรูปแบบ ทัง้ เอกสารทางราชการ ศาสนา สยามสู่แม่น�้าเจ้าพระยาและเข้าถึงกรุงศรีอยุธยา ธรรม ต�ารา วรรณคด ี ซ่งึ มีรายละเอยี ดดงั น้ี ได้สะดวก ท�าให้กรุงศรีอยุธยากลายเป็นเมืองท่า ที่ส�าคัญในสุวรรณภูมิ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๕๔ ใน ๑. ส่ือเอกสารทางราชการ เขียน รชั สมยั สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ี่ ๒ พระมหากษตั รยิ ์ โดยอาลักษณ ์ (เสมยี นหรือเจา้ หนา้ ท่ีสารบรรณ) องค์ที่ ๘ มีผู้แทนการค้าและแม่ทัพใหญ่จาก จ า ก ร า ช ส� า นั ก สู ่ หั ว เ มื อ ง ป ร ะ เ ท ศ ร า ช เ ช ่ น โปรตุเกส มาขอท�าไมตรีและสัญญาทางการค้า กฎหมาย/ใบบอก/ท้องตรา/รายงาน/จดหมาย เปน็ ชาตแิ รก เปน็ ผลใหร้ าชสา� นกั กรงุ ศรอี ยธุ ยาใช้ ศุภอักษร ตราตอบ สัญญาทางการค้าและพระ ภาษาโปรตเุ กสเปน็ ภาษากลางตดิ ตอ่ กบั นานาชาต ิ ราชสาส์น ๕. ส่ือพระราชสาสน์ พระมหากษตั รยิ ์ ๒. ส่ือศาสนธรรม ใช้ภาษาเขียนเป็น กรุงศรีอยุธยาแต่ละพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ส่ง ภาษาบาลี สันสกฤต เขยี นบทกระดาษสมดุ ไทย พ ร ะ ร า ช ส า ส ์ น พ ร ะ ร า ช ท า น แ ด ่ ค ณ ะ ทู ต น� า ไ ป เชน่ ในสมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ โปรดเกลา้ ฯ ถวายองค์พระประมุขของต่างประเทศเพื่อเจริญ ใหแ้ ตง่ หนงั สอื มหาชาตคิ า� หลวง เพอื่ ถวายพระสงฆ์ สมั พันธไมตรี ใช้ศึกษาธรรมะ นับเป็นวรรณกรรมพุทธธรรม เล่มแรกของกรุงศรีอยุธยา เม่ือ พ.ศ. ๒๒๗๙ ระยะแรกโปรดเกล้าฯ ให้เขียนบนกระดาษ เจา้ ฟา้ ธรรมาธเิ บศร ์ ทรงนพิ นธพ์ ระมาลยั คา� หลวง สมดุ ไทยเปน็ ภาษาไทย ตอ่ มาเมอ่ื มลี า่ มจงึ แปลเปน็ และนันโทปนันทสูตร นอกจากน้ีมีการวาดภาพ ภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาโปรตุเกส ภาษา จิตรกรรมฝาผนังภายในวัด โดยวาดเรื่องชาดก ฝรงั่ เศส ภาษาองั กฤษ และพระพทุ ธประวตั ิเพ่อื เป็นการสั่งสอนผ้คู นให้
ตอนที่ ๑ การสอ่ื สารของมนุษยชาติ และการสอื่ สารของประเทศไทย บทท่ี ๓ การส่ื อสารในสมยั ธนบุรีและรตั นโกสิ นทร ์ ๙ การสื่อสารในสมยั ธนบุรีและ ๓๖ ๑๐ รตั นโกสินทรต์ อนตน้ ๓๘ ๑๑ การสื่อสารในสมยั รชั กาลที่ ๔ ๔๐ ๑๒ การสื่อสารผ่านสื่อส่ิงพิ มพ ์ ๔๒ การวางรากฐานการส่ื อสาร ๑๓ ๔๔ สมยั ใหม่ ๑๔ การนําโครงข่ายกิจการส่ื อสาร ๔๕ ๑๕ โทรคมนาคมสู่ สากล ๔๖ พระมหากษตั ริยก์ บั การส่ือสาร ๑๖ โทรคมนาคมในยุคเร่ิมตน้ ๔๘ ๑๗ ๕๐ ประชาธิปไตย ๑๘ พระบรมราโชบายดา้ นการส่ือสาร ๕๒ กบั การรกั ษาเอกราชของชาติ การสื่อสารยุคกอ่ นประชาธิปไตย การสื่ อสารโทรคมนาคมระหว่าง สงครามโลกครงั้ ที่ ๒ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา ภูมิพลอดุลยเดชกบั การนาํ เทคโนโลยีสื่อสารสารสนเทศมาใช ้ ในการปฏบิ ตั ิพระราชกรณียกิจ
๙ การส่ือสารในสมยั ธนบุรี และรตั นโกสินทรต์ อนตน้ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราชทรงพระปรชี าสามารถใชเ้ วลาเพี ยง ๘ เดือนกส็ ามารถกชู ้ าติไทยได ้ และทรง ปราบดาภเิ ษกเป็ นพระมหากษตั รยิ ์ ทรงพระนามวา่ สมเดจ็ พระบรมราชาท่ี ๔ ตงั ้ ราชธานีแหง่ ใหมอ่ ยดู่ า้ นขวา รมิ แม่นาํ ้ เจา้ พระยา พระราชทานนามวา่ กรงุ ธนบุรศี รมี หาสมุทร เม่อื วนั ท่ี ๒๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๓๑๐ พระองค ์ ทรงครองราชยอ์ ยู่เพี ยง ๑๕ ปี กส็ ิน้ รชั กาล สมเดจ็ พระพุ ทธยอดฟา้จฬุ าโลกมหาราชแหง่ ราชวงศจ์ กั รี ทรง ปราบดาภิเษก และทรงยา้ ยราชธานีอกี ครงั ้ เป็ นฝ่ ังซา้ ยของแม่นาํ ้ เจา้ พระยา เป็ นกรงุ เทพมหานครในปัจจบุ นั
ในตน้ สมยั ของมหาราชทงั้ สองพระองค ์ ตอ้ งทา� แม้ว่ามีระบบการพิมพ์ประกาศทางราชการ ๓๖—๓๗ ศกึ ปอ้ งกนั ประเทศและขยายอาณาเขต การสอื่ สาร เผยแพร่ในต้นรัชกาลที่ ๓ ก็ตาม โปรดเกล้าฯ ในราชการสงครามน้นั ยังคงใช้ระบบนา� สารคล้าย ใหม้ กี ารส่ือสารกบั ประชาราษฎรโ์ ดยตรง โดยต้ัง ภาพท่ี ๒ หนงั สือจดหมายเหตุ The Bangkok บท ีท่๓ การ ืส่อสารในสมัยธน ุบ ีรและรัตนโก ิสนทร์ สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาหลายประเภท เชน่ คนเดนิ สาร กลองวินิจฉัยเภรี ไว้ในพระบรมมหาราชวัง Recorder มา้ เรว็ ชา้ ง และเรอื การสอ่ื สารจากราชสา� นกั ถงึ เมื่อราษฎรผู้มีทุกข์ตีกลองร้องถวายฎีกา หวั เมอื งประเทศราช การเขยี นคงใชก้ ระดาษ (สมยั กรงุ ศรี วรรณคดีไทย พระองค์ทรงพระอัจฉริยภาพด้าน อยุธยาตอนปลายเรียกใบสมุดว่ากระดาษ) และ ๒. ศาสนาธรรม สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี วรรณศลิ ป ์ ทรงพระราชนพิ นธห์ ลากหลายประเภท สมุดไทย ซ่ึงมีการพัฒนาวิธีท�าให้เนื้อกระดาษ โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมช่างสิบหมู่จากอยุธยา เช่น คา� กลอน ละครนอก ละครใน เสภา นิราศ ละเอยี ดและเขยี นดว้ ยปากกาคอแรง้ (สนิ คา้ นา� เขา้ ฝึกสอนให้กับช่างรุ่นใหม่ เม่ือ พ.ศ. ๒๓๑๙ กาพย์ ฉันท ์ ลลิ ติ โครงสสี่ ภุ าพและบทละครเรอ่ื ง สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาตอนตน้ ) ซง่ึ นา�้ หมกึ ไมซ่ มึ งา่ ย ทา� ให้ โปรดเกล้าฯ ทรงฟื้นฟูศาสนธรรม สมุดภาพสี อิเหนา เสภาเร่ืองขุนช้างขุนแผน บทพากย์โขน การเขยี นและวาดภาพมคี วามคมชดั สวยงามขนึ้ ไตรภูมิไว้ในสมุดไทยท้ังสองหน้า ซ่ึงมีความยาว บทละครเรื่องไชยเชษฐ์ สงั ข์ทอง คาวี ไกรทอง ถึง ๓๔.๗๒ เมตร นับเป็นสมุดภาพไตรภูม ิ มณีพชิ ยั การสอ่ื สารในสมยั กรงุ ธนบรุ แี ละตน้ รตั นโกสนิ ทร ์ ทมี่ ขี นาดใหญท่ ส่ี ดุ สมยั ตน้ รตั นโกสนิ ทร ์ โปรดเกลา้ ฯ มที งั้ เอกสารทางราชการ ศาสนาธรรม วรรณกรรม ให้สังคายนาพระไตรปิฎกเรียกว่า พระไตรปิฎก เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๘๐ คณะมชิ ชันนารีอเมรกิ ัน ซงึ่ มีลกั ษณะดังนี้ ฉบับทองใหญ่ โปรดเกล้าฯ ให้ช่างวาดภาพบน กลมุ่ หมอบรดั เลย ์ ไดน้ า� แทน่ พมิ พท์ า� ดว้ ยโลหะตวั ฝาผนังในพระอุโบสถและพระวิหาร ช่างได้สอด พมิ พอ์ กั ษรไทย พรอ้ มด้วยช่างพมิ พ์และกระดาษ ๑. เอกสารทางราชการ ราชสา� นกั สง่ แทรกวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านไว้ในงาน เข้ามาพิมพ์ในกรุงเทพฯ ระยะแรกพิมพ์หนังสือ เอกสารสู่หัวเมอื งประเทศราชหลายรปู แบบ เช่น จติ กรรมฝาผนัง เรยี กว่า “ภาพกาก” นอกจาก สอนศาสนาคริสต์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ กฎหมาย ใบบอก ทอ้ งตรา รายงาน จดหมาย ภาพเขยี นบนฝาผนงั แลว้ รชั กาลท ่ี ๓ โปรดเกลา้ ฯ หมอบรัดเลย์ได้พิมพ์ปฏิทินภาษาไทยเผยแพร่ ศุภอักษร ตราตอบ สัญญาทางการค้าและ ให้จารึกสรรพต�าราไทยสาขาต่าง ๆ ไว้บนแผ่น เปน็ คร้ังแรก คร้ันเมอ่ื วันท่ี ๔ กรกฎาคม พ.ศ. พระราชสาส์น มีการเขียนบนกระดาษและสมุด หินชนวนและหินอ่อนใส่กรอบปิดทองจ�านวน ๒๓๘๗ ได้ออกหนังสือพิมพ์รายปักษ์เป็นภาษา รัชกาลท ่ี ๑ โปรดเกล้าฯ ใหช้ �าระกฎหมายใหม่ ๑,๑๔๐ รายการ ตดิ ประดบั ไวต้ ามเสาและฝาผนงั ไทยฉบับแรกชื่อ “บางกอกรีคอร์เดอร์” นับเป็น เรยี กวา่ กฎหมายตราสามดวง รวมทง้ั กฎหมาย ในพระอโุ บสถ พระวหิ ารและระเบยี งคด วดั เชตพุ น กา้ วแรกของการพฒั นาดา้ นการพมิ พใ์ นประเทศไทย สงฆอ์ ีกหลายฉบับด้วย วมิ ลมงั คลาราม (วดั โพธ)์ิ ดว้ ยทรงพระราชประสงค์ ใหเ้ ป็นแหลง่ เรยี นรู้ของคนไทย ในสมัยกรุงธนบุรีกับรัตนโกสินทร์ตอนต้นน ี้ ภายหลงั การเสยี กรงุ พบวา่ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี นับเป็นช่วงการฟื้นฟูประเทศเพ่ือให้มีความเจริญ พยายามแตง่ หนงั สอื ขอสารตราตงั้ จากพระจกั รพรรดิ ๓. วรรณกรรม สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ ฯ ก้าวหน้าทันสมัย ประชาราษฎร์มีความอยู่เย็น จีนอยู่หลายครั้ง แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่ไม่ ท ร ง พ ร ะ ร า ช นิ พ น ธ ์ ร ่ ว ม กั บ เ ห ล ่ า ร า ช บั ณ ฑิ ต ก า ร ส่ื อ ส า ร ก็ มี ก า ร พั ฒ น า ต า ม ต ่ า ง ป ร ะ เ ท ศ เรียบร้อยจึงท�าให้ถูกปฏิเสธอยู่บ่อยครั้ง จนถึงป ี บทละครเร่ืองรามเกยี รต์ิไว้ในสมดุ ไทย ๔ เล่ม ๔ เดมิ นั้นการสอื่ สารมีเพยี งการส่งสารจากราชการ พ.ศ. ๒๓๑๕ เปน็ ตน้ มา มกี ารขอซอ้ื กา� มะถนั และ ตอน สมยั รตั นโกสนิ ทรเ์ จา้ พระยาพระคลงั (หน) สู่ประเทศราชและประชาชน ช่วงน้ีมีการส่ือสาร แร่ต่าง ๆ จากจีนอยู่บ่อยคร้ังเพ่ือการสงคราม ผเู้ ชยี่ วชาญภาษาจนี ไดแ้ ปลและเรยี บเรยี งวรรณกรรม จากประชาชนสปู่ ระชาชน จงึ นบั เปน็ กา้ วแรกของ กระทั่งใน พ.ศ. ๒๓๒๔ สยามในสมัยของเจา้ สามกก๊ เปน็ ภาษาไทยเขยี นลงบนสมดุ ไทยถงึ ๙๕ การส่อื สารมวลชนในประเทศไทย เจิง (ชอื่ ถอดภาษาจีนของพระเจ้ากรงุ ธนบุร)ี ได้ เล่ม ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ รัชสมัยพระบาท สง่ บรรณาการพรอ้ มสพุ รรณบฏั (จารกึ ลานทอง) สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย นับเป็นยุคทอง แกพ่ ระเจา้ กรงุ จีนรชั สมัยเฉยี นหลง หรอื พระเจ้า ชิงเกาจง ภาพท่ี ๑ กฎหมายตราสามดวง ชว่ งรตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ พระมหากษตั รยิ ไ์ ทย ท ร ง มี พ ร ะ ร า ช ส า ส ์ น ท� า สั ญ ญ า ท า ง ก า ร ค ้ า กั บ น า น า ประเทศจากยุโรป ในรัชสมัยพระบาท สมเดจ็ พระน่งั เกลา้ เจา้ อยู่หัว เมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๐ คณะมชิ ชนั นารอี เมรกิ นั กลมุ่ หมอบรดั เลย ์ ไดน้ า� แทน่ พมิ พ์ท�าดว้ ยโลหะตัวพิมพอ์ ักษรไทย พรอ้ ม ด้วยช่างพมิ พ์และกระดาษ จากเมืองสิงคโปรเ์ ข้า มาพมิ พ์ในกรงุ เทพฯ พ.ศ. ๒๓๘๒ รชั กาลท่ี ๓ โปรดเกล้าฯ ให้จ้างโรงพิมพ์มิชชันนารีอเมริกัน พิมพ์หมายประกาศห้ามสูบฝ่นิ จ�านวน ๙,๐๐๐ ฉบับ นับว่าเป็นเอกสารทางราชการของไทยชิ้น แรกที่ได้จัดพิมพ์ข้ึน กระดาษท่ีใช้พิมพ์ก็เป็น กระดาษที่ผลติ ในเอเชีย
๑๐ การส่ือสารในสมยั รชั กาลท่ี ๔ ช่วงตน้ รชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๔ เป็ น ช่วงท่ีไทยเปิ ดรบั เทคโนโลยีท่ีพฒั นาจากการปฏิวตั ิอุตสาหกรรม และ ความรทู ้ างวทิ ยาศาสตรจ์ ากประเทศทางตะวนั ตก พระองคท์ รงใชห้ ลกั โยนิโสมนสกิ ารตงั ้ รบั อทิ ธพิ ลจากชาตติ ะวนั ตกท่แี ฝงมากบั สมั พนั ธไมตรี ทางการคา้ ทาํ ใหป้ ระเทศดาํ รงความเป็ นอสิ ระได ้ ภาพท่ี ๒ หมอบรดั เลย ์ ภาพท่ี ๑ พระบามสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๔ การเปิดรับความรู้และวัฒนธรรมตะวันตกท่ี คอ่ ย ๆ เขา้ สู่ราชอาณาจักรไทยในสมยั รัชกาลที่ ๓ นนั้ ส่งผลใหร้ ชั กาลที่ ๔ ทรงตั้งรบั ไวล้ ่วงหน้ากอ่ น ท่ีทรงครองราชย์ โดยทรงศึกษาภาษาจีน ภาษา อังกฤษและวัฒนธรรมตะวันตกอยา่ งดี บนั ทึกหมอ บรดั เลยท์ ไ่ี ดเ้ ขา้ เฝา้ อยา่ งใกลช้ ดิ วา่ ทรงตอ้ นรบั ด้วย วัฒนธรรมตะวันตกอย่างไม่ถือพระองค์ ตรัสด้วย ภาษาอังกฤษอย่างชัดเจน ท่ีส�าคัญโป รดเกล้าฯ พระราชทานเอกสารเรอื่ งเกยี่ วกบั ประเทศสยามเพอื่ ชาวตะวนั ตกรู้จักชาวไทยมากข้ึน การเตรยี มพรอ้ มและตง้ั รบั กระแสซอ่ นเรน้ จาก ชาติตะวันตกที่เข้ามาพร้อมกับไมตรีทางการค้า นบั ตง้ั แตต่ น้ รชั กาล เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๙๕ โปรดเกลา้ ฯ ใหต้ งั้ โรงเรยี นภาษาองั กฤษ ในพระบรมมหาราชวงั ท่ีตึกริมประตูพิมานไชยศรี โดยคณะมิชชันนารี องั กฤษสตร ี สอนภาษาองั กฤษใหก้ บั พระโอรส พระธดิ า และประยูรญาติ มีครูชายชาวอังกฤษสอนภาษา อังกฤษให้กับข้าราชการและมหาดเล็ก ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๐๔ โปรดเกล้าฯ ให้จ้างแหม่มแอนนา เลียวโนเวนส์ เป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้แก ่ พ ร ะ โ อ ร ส แ ล ะ พ ร ะ ธิ ด า ใ น พ ร ะ บ ร ม ม ห า ร า ช วั ง โดยเฉพาะ รวมทงั้ เจา้ ฟา้ จฬุ าลงกรณ ์ (รชั กาลท ี่ ๕) รวม อยู่ด้วย การเผยแพรข่ า่ วสารทางราชการและสปู่ ระชาชน นั้น รชั กาลที่ ๔ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๑ โปรดเกลา้ ฯ ให้ ต้ังโรงพิมพ์หลวงในบริเวณพระราชวังช้ันกลาง
๓๘—๓๙ บรเิ วณโรงแสงตน้ เปน็ ตกึ สองชนั้ พระราชทานชอ่ื วา่ การเจรญิ ไมตรที างการทตู ระหวา่ งนานาประเทศ โรงพมิ พอ์ กั ษรพมิ พการ จากนนั้ วนั ท ่ี ๑๕ มนี าคม นักประวัติศาสตร์พบว่า ทรงโปรดเกล้าฯ เขียน พ.ศ. ๒๔๐๑ ไดจ้ ดั พมิ พห์ นงั สอื ราชกจิ จานเุ บกษา พระราชสาสน์ เปน็ ภาษาองั กฤษดว้ ยพระองคแ์ ละ อนั เปน็ หนงั สอื พมิ พข์ องราชการฉบบั แรก สา� หรบั แนบพระบรมฉายาลกั ษณแ์ ละพระบรมสาทศิ ลกั ษณ์ บอกข่าวคราวในราชส�านัก และเก็บความจาก ม อ บ ใ ห ้ ค ณ ะ ทู ต อั ญ เ ชิ ญ พ ร ้ อ ม ด ้ ว ย เ ค รื่ อ ง ร า ช ประกาศของราชการตา่ ง ๆ พมิ พอ์ อกเผยแพรจ่ นถงึ บรรณาการไปถวายแดป่ ระมขุ มหาอา� นาจ ไดแ้ ก่ ปจั จบุ นั น ้ี ครนั้ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๐๔ โปรดเกลา้ ฯ ให้ สมเดจ็ พระราชนิ นี าถวกิ ตอเรยี แหง่ สหราชอาณาจกั ร พิมพ์ปฏิทินภาษาไทย เพ่ือใช้ในราชการและ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๐ และสมเด็จพระจักรพรรด ิ ราชส�านัก รวมทั้งทรงประกาศให้ใช้เวลาตาม นโปเลยี นท ี่ ๓ แหง่ ฝรั่งเศส เม่อื พ.ศ. ๒๔๐๔ มาตรฐานสากล เพ่อื ทราบเวลานดั หมายกบั ชาติ และเม่ือวนั ท่ี ๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๐๔ ทรง ตะวนั ตก ส ่ ง พ ร ะ ร า ช ส า ส ์ น พ ร ้ อ ม เ ค ร่ื อ ง บ ร ร ณ า ก า ร ถึ ง ประธานาธิบดี เจมส์ บูคานาน สหรฐั อเมริกา ซ่ึง การผลติ เอกสารในรัชกาลน้ี เอกสารท่พี ิมพ์ เผอญิ หมดวาระเสยี กอ่ น ประธานาธบิ ด ี ลนิ คอลน์ ดว้ ยเครอื่ งพมิ พ์มี ๒ ประเภท คอื เอกสารและ ผดู้ า� รงตา� แหนง่ ตอ่ มาไดต้ อบพระราชสาสน์ กราบ หนังสือทางราชการท่ีพิมพ์จากโรงพิมพ์อักษร บังคมทูลถึงพระองค์เมื่อ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. พมิ พการ สว่ นหนังสอื พิมพ์ หนงั สอื อา่ นทั่วไป ๒๔๐๕ พมิ พจ์ ากสา� นกั พมิ พบ์ างกอกรคี อรเ์ ดอร ์ โรงพมิ พ์ ของหมอบรดั เลย์ สา� หรบั คณะสงฆ์และราษฎร การสอ่ื สารดา้ นวรรณกรรมในสมยั รชั กาลท ี่ ๔ ยงั ใชภ้ าษาเขยี นและการวาดภาพในสมดุ ไทย การ น้นั มหี ลายเรอ่ื งได้แก่ บทละครรามเกียรต ์ิ บท ส่งเอกสารราชการยังคงใช้ระบบเก่าคือ คนเดิน เทศนม์ หาชาต ิ ๕ กณั ฑ ์ ทส่ี า� คญั คอื จดหมายเหตุ สารโดยฝากหนงั สอื มากบั กลมุ่ ขนุ นางและขา้ ราชการ จารึกวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธ์ิ) เป็นต้น ส่วน ที่เดินทางมาติดต่อราชการในพระนคร หากเป็น ส� า คั ญ แ ล ะ ย่ิ ง ใ ห ญ ่ ก็ คื อ ก า ร สื่ อ ส า ร ด ้ า น เรอื่ งดว่ นคงใชม้ า้ เรว็ ระบบการไปรษณยี ใ์ ชเ้ ฉพาะ วิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ โปรดเกล้าฯ ส่ง ในกลมุ่ มชิ ชนั นารแี ละพอ่ คา้ นกั เดนิ เรอื การสอ่ื สาร พระราชสาสน์ และขา่ วสารเชญิ คณะทตู านทุ ตู และ ระหว่างเรือสินค้าริมฝั่งน้�า มีการใช้สัญญาณ นกั ดาราศาสตรช์ าวตะวนั ตกเดนิ ทางไปรว่ มพสิ จู น์ เสียงฆ้อง เพ่ือกิจการศลุ กากร ว่า วันที่ ๑๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ จะเกิด สุ ริ ย ป ร า ค า เ ต็ ม ด ว ง ที่ ต� า บ ล ห ว ้ า ก อ เ มื อ ง รชั กาลท ี่ ๔ ทรงรบั รขู้ า่ วสารจากสง่ิ พมิ พต์ า่ ง ๆ ภาพท่ี ๓ จดหมายจากประธานาธิบดีแหง่ สหรฐั ประจวบคีรีขันธ์ ซ่ึงผลจากการค�านวณด้วย บท ีท่๓ การ ืส่อสารในสมัยธน ุบรีและรัตนโก ิสนทร์ ว่าในรัชสมัยของพระองค์ เป็นช่วงที่ประเทศ อเมริกา ของ อบั บราฮมั ลนิ คอลน์ ถงึ พระบาท พระองคเ์ อง ครานน้ั มกี ารบนั ทกึ ขา่ วสารออกเผย มหาอา� นาจตะวนั ตกทงั้ หลายทม่ี าตดิ ตอ่ สมั พนั ธไมตรี สมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๔ แพรอ่ อกไปอยา่ งกวา้ งขวาง ทางการค้าว่ามีวาระซ่อนเร้น ดังนั้นการส่ือสาร และการเจรจาตกลงทางการคา้ จงึ ทรงเตรยี มเอกสาร การสื่อสารในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ และข้อมูลต่าง ๆ เก่ียวกับประวัติศาสตร์และ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั นบั ไดว้ า่ มกี ารสอ่ื สารสมู่ วลชน วฒั นธรรมไทยมอบใหพ้ รอ้ ม กอ่ นทท่ี รงลงนามใน ได้อย่างกว้างขวางทั้งภายในประเทศและนานา สญั ญาการคา้ ทส่ี า� คญั คอื การลงพระนามในสนธิ ประเทศ ส่งผลใหป้ ระชาชนชาวไทยรับร้ขู ่าวสาร สญั ญาเบาวร์ งิ กบั สหราชอาณาจกั ร เมอ่ื พ.ศ. ๒๓๙๘ อันหลากหลาย สามารถรับรู้และปรับตัวได้ตาม ด้วยพระราชวินิจฉัยว่า แม้ส่งผลให้ชาติไทยเสยี สมยั การเปลย่ี นแปลงของวทิ ยาการจากตะวนั ตก สทิ ธสิ ภาพนอกอาณาเขตทางการปกครองและการ ส่วนการสื่อสารระหว่างประเทศได้สร้างการรับรู้ ตลุ าการกต็ าม ดกี วา่ การตกเปน็ เมอื งอาณานิคม เรอื่ งวิถีไทยและเอกลกั ษณไ์ ทยมากขึ้น เหมอื นประเทศเพื่อนบ้านรอบราชอาณาจักรไทย
๑๑ การส่ือสารผ่าน ส่ือส่ิงพิ มพ ์ หนงั สอื พิมพ ์เปน็ สอื่ สา� คญั ประเภทหนง่ึ ในสมยั แหง่ การวางรากฐานการสอ่ื สารภายในประเทศ เปน็ เอกสารท่ีตีพิมพ์โดยมีก�าหนดการออกท่ีแน่นอน เข้าถึงคนจ�านวนมาก การก�าเนิดหนังสือพิมพ์ใน ประเทศไทยมีมาต้ังแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ และมี บทบาทส�าคัญมากข้ึน เม่ือไทยเปิดประเทศค้าขาย กับชาวตะวันตก ท�าให้ชนช้ันน�าในประเทศต่ืนตัว การรับสารจากภายนอก ในเวลาต่อมาจึงเกิด หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของชาวไทยที่เผยแพร่แก่ ประชาชน ดา� เนนิ การโดยคนไทย คอื “ดรโุ ณวาท” อันมีความหมายว่า โอวาทของคนหนุ่ม ออกฉบับ แรกเมอ่ื วนั ท ่ี ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๑๗ พมิ พถ์ งึ พ.ศ. ๒๔๑๘ โดยพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอพระองคเ์ จา้ เกษมสนั ตโ์ สภาคย ์ กรมหลวงพรหมวรานรุ กั ษ ์ ทรง เป็นเจ้าของและบรรณาธิการ เป็นหนังสือพิมพ์ราย สัปดาห์ ออกทุกวันอังคาร ปีละ ๘ บาท ส่งถึงบ้าน ราคา ๑๐ บาท ขายปลีกฉบับละ ๑ สลึง ๑ เฟื้อง เนื้อหามีทั้งข่าวต่างประเทศ เก่ียวกับราชการ สุภาษิตสอนใจ และต�าราการแสดงแบบแผนวิชา ต่าง ๆ นอกจากนยี้ งั ม ี จดหมายเหตสุ ยามไสมย เปน็ หนงั สอื พมิ พร์ ายเดอื นและรายสปั ดาห ์ ออกระหวา่ ง พ.ศ. ๒๔๒๕-๒๔๒๙ บรรณาธกิ ารและผจู้ ดั พมิ พค์ อื แซมมวล เจ สมทิ (Samuel J. Smith) มชิ ชนั นารี นบั เป็ นปฐมบทแห่งการส่ือสารสมยั ใหม่จากการริเร่ิมการส่ือสารทงั ้ ภาพท่ี ๑ หนงั สือดรโุ ณวาท ภายใน และภายนอกประเทศในสมยั พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี ๔ ทาํ ใหใ้ นรชั กาลต่อมาพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอม- เ กลา้ เ จา้ อ ยู่ ห วั ท รง ส านต่ อ งาน ท า ง ด า้ นการ ส่ื อ ส าร ต่ อ จา กส ม เ ด็จ พระบรมชนกนาถ นอกจากจะใหค้ วามสําคญั การส่ือสารภายนอกแลว้ ยงั ใหค้ วามสําคญั กบั การส่ือสารภายใน อนั นํามาซ่งึ ความเขา้ ใจอนั ดี ระหว่างพระมหากษตั ริย ์ ขา้ ราชการและราษฎร มีการส่ือสารทงั ้ ใน พระบรมหาราชวงั และในเขตพระนคร เป็ นการแนะนําเบื อ้ งตน้ ให ้ คนไทยรจู ้ กั การส่ือสารกอ่ นกาํ เนิดกิจการไปรษณีย ์
๔๐—๔๑ ช า ว อั ง ก ฤ ษ มี เ น้ื อ ห า ส ะ ท ้ อ น ส ภ า พ สั ง ค ม ภาพท่ี ๓ หนงั สือ COURT เล่มท่ี ๑ เดิมเรียกหนังสือราชการว่า COURT ต่อมา บท ีท่๓ การ ืส่อสารในสมัยธน ุบ ีรและรัตนโก ิสนทร์ วฒั นธรรม และเจตนาในการสอ่ื สารเกยี่ วกบั ขา่ ว พ.ศ. ๒๔๑๙ เปล่ียนมาเรียกชื่อภาษาไทยว่า ในราชสา� นกั พงศาวดาร วรรณคด ี และเผยแผ่ วนั ท่ี ๒๖ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๑๘ ขา่ วราชการ ตอ่ มาจงึ มกี ารเรยี กรวม ๆ วา่ หนงั สอื ครสิ ตศ์ าสนา นอกจากนยี้ งั มปี รากฏจดหมายทมี่ ี คอ๊ ตขา่ วราชการ โดยหนงั สอื ฉบบั นม้ี วี ตั ถปุ ระสงค์ คนเขยี นหรอื รอ้ งทกุ ขก์ บั สอื่ มวลชนดว้ ย ราชกจิ จานเุ บกษา เปน็ หนงั สอื แจง้ ขา่ วของ จัดพิมพ์ข้ึนในแต่ละวันเพื่อให้เจ้านายหรือผู้ที่อยู่ ราชการที่ใช้มาถึงปัจจุบัน ถือเป็นรูปแบบการ ในราชการไดร้ บั รรู้ บั ทราบขอ้ มลู ในพระราชสา� นกั ต ่ อ ม า มี ห นั ง สื อ พิ ม พ ์ อี ก ห ล า ย ฉ บั บ ด ้ ว ย ส่ื อ ส า ร ที่ เ กิ ด ข้ึ น ใ น ส มั ย พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ใ น แ ต ่ ล ะ วั น เ ป ็ น ก า ร แ ก ้ ไ ข ป ั ญ ห า ห นั ง สื อ วัตถุประสงค์ต่างกันมีก�าหนดออกแน่นอน เช่น จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมามีการยุบเลิกไป และ ราชกิจจานุเบกษาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ที่ออก หนงั สอื พมิ พจ์ ดหมายเหตแุ สงอรณุ ออกเมอ่ื พ.ศ. พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ขนึ้ ทกุ ๆ สปั ดาห์ ซง่ึ เกดิ ความลา่ ชา้ ในแตล่ ะขา่ วสาร ๒๔๓๕ ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นช่ือวัฒนาวิทยาลัย ครองราชย์ จึงมีพระราชด�าริให้ฟื้นฟูข้ึนใหม่ หรอื งานตา่ ง ๆ หนังสือค๊อตข่าวราชการถือเป็น ตั้งโดยมิชชันนารีอเมริกัน ยังมี ยุทธโกษ เป็น โดยการออกราชกิจจานุเบกษาในรัชกาลท่ี ๕ หนงั สอื สา� คญั ทเี่ ปน็ ประโยชนใ์ นการศกึ ษาเกย่ี วกบั หนงั สอื พมิ พฉ์ บบั แรกของราชการทหาร ออกเมอ่ื แตกต่างจากรัชกาลท ี่ ๔ คอื มกี ารก�าหนดการ งานราชการและขนบธรรมเนียมในราชส�านัก พ.ศ. ๒๔๓๖ เปน็ ตน้ มา ออกที่แนน่ อนเดอื นละ ๔ ครงั้ คอื ขนึ้ หนง่ึ คา�่ แรม นอกจากนี้ยังเชื่อมโยงสู่การก่อก�าเนิดไปรษณีย์ หนง่ึ คา�่ และขนึ้ เกา้ คา่� แรมเกา้ คา่� ของทกุ ๆ เดอื น รวม ของไทย ตอ่ มามหี นงั สอื พมิ พข์ องนกั คดิ ทม่ี ชี อ่ื เสยี งอกี เปน็ ปลี ะ ๔๘ ฉบบั มกี ารเกบ็ คา่ ธรรมเนยี มรายปี ๒ ท่าน ฉบับแรกคือ หนังสือพิมพ์ของ กสร. สา� หรบั ผทู้ ตี่ อ้ งการรบั หนงั สอื ราชกจิ จานเุ บกษาปี โดยสา� นกั งานทจ่ี ดั พมิ พห์ นงั สอื Court ตงั้ อยู่ กหุ ลาบ คอื สยามประเภทสนุ ทโรวาทพเิ ศษ ออก ละ ๘ บาท ราชกจิ จานเุ บกษาทอ่ี อกใหมค่ รงั้ ท ่ี ๒ ท่ีต�าหนักหอนิเพทพิทยาคม ริมประตูศรีสุนทร เมอ่ื วนั ท ่ี ๓ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๔๐ ราคาเลม่ ละ พ.ศ. ๒๔๑๗ ออกได้ ๕ ปีก็ต้องหยุดลงไป ส�าหรับผู้ที่ต้องการต้องไปรับที่หอเองทุกวัน แต่ ๒ สลึง อีกฉบับเป็นของ ต.ว.ส. วัณณาโภ ต่อมาจึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกอีกครั้ง เมื่อมีผู้ต้องการมาทูลขอมากข้ึนท�าให้ต้องมีการ (เทียนวรรณ) เป็นหนังสือพิมพ์รายปักษ์ช่ือ หนึ่งเมอื่ วันท ี่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๒ นับแต่ พิมพม์ ากขึน้ และมกี ารจา� หนา่ ย แตภ่ ายหลังผู้รบั ตลุ วภิ าคพจนกจิ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๔๕ และเลกิ ใน นั้นมาก็ออกติดต่อกันเป็นล�าดับจนถึงปัจจุบัน ไม่ไปรับตามเวลาแม้เจ้าพนักงานโรงพิมพ์จะน�า พ.ศ. ๒๔๔๙ เนอ่ื งจากบทความเนน้ หนกั ไปในทาง เร่ืองท่ีน�าลงพิมพ์แบ่งเป็น ๒ ประเภทใหญ่ คือ หนงั สอื ไปสง่ แกผ่ ทู้ ล่ี มื พรอ้ มเรยี กคา่ ปรบั ใบละ ๑ ปรัชญาการเมือง หนังสือพิมพ์ท่ีออกในสมัย การบอกขอ้ ราชการและขา่ วตา่ ง ๆ อกี ประเภทหนงึ่ เฟ้อื ง แตก่ ็ไม่อาจแก้ปญั หาได้ รัชกาลท่ี ๕ จ�านวนท่ีออกในคราวหนึ่งไม่เกิน ได้แก่ แจง้ ความ ประกาศ พระราชบัญญตั แิ ละ ๑,๕๐๐ ฉบบั กฎหมาย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณรุ งั ษี สวา่ งวงศ ์ กรมพระยาภาณพุ นั ธวุ งศว์ รเดชฯ จงึ หา ภาพท่ี ๒ แซมมวล เจ สมิท (Samuel J. Smith) หนงั สื อคอ๊ ตข่าวราชการ (Court) ทางแก้โดยทรงดา� ริให้มคี นเดนิ ส่งหนังสอื แกผ่ ้รู ับ บรรณาธิการ จดหมายเหตุสยามไสมย เปน็ สอื่ สง่ิ พมิ พป์ ระเภทหนง่ึ ทพี่ ระบรมวงศานวุ งศ์ หนงั สอื ทกุ คนทกุ เชา้ โดยคดิ เงนิ คา่ สมาชกิ เพม่ิ ปี ๑๑ พระองค์ช่วยกันแต่ง โดยแต่ละพระองค์จะ ละ ๒ บาท และเลกิ ธรรมเนยี มปรบั โดยคนสง่ แต่งในแต่ละวนั เช่น สมเดจ็ เจา้ ฟ้าภาณรุ งั ษ ี ทรง หนังสือให้แต่งตัวชุดเส้ือกางเกงเป็นสีน�้าเงิน มี แตง่ ในวนั เสาร ์ กรมหมนื่ นเรศวรฤทธ ิ์ ทรงแตง่ ใน กระเปา๋ สะพายหนงั สอื เรยี กวา่ “โปสตแมน” เมอื่ วนั อาทติ ย์ พระองคเ์ จ้าเกษมสันตโสภาคย ์ ทรง คนสง่ หนังสอื ไปสง่ หนงั สือสมาชกิ ผใู้ ดแลว้ ผ้นู น้ั แต่งในวนั จันทร ์ โดยหนังสอื คอ๊ ตข่าวราชการจัด จะฝากจดหมายสง่ สมาชกิ ผหู้ นงึ่ ผใู้ ดกไ็ ด ้ โดยใหม้ ี พิมพค์ รั้งแรกในวันท่ี ๒๖ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๑๘ ตว๋ั เรยี กวา่ “แสตมป”์ หรอื ตราไปรษณยี ากรขนึ้ เปน็ ครง้ั แรกในประเทศไทย การส่งหนังสือค๊อตข่าวราชการของคนส่ง หนังสือท่ีท�าหน้าท่ีรับส่งจดหมายระหว่างสมาชิก นับเป็นจุดเร่ิมต้นของการมี POSTMAN หรือ บรุ ษุ ไปรษณยี ์ และการใชแ้ สตมปต์ ดิ บนจดหมาย ท่ีหนังสือค๊อตข่าวราชการ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของ การไปรษณยี ข์ องประเทศไทยในเวลาตอ่ มา
๑๒ การวางรากฐาน การขยายตัวของกิจการโทรคมนาคมอย่าง การส่ือสารสมยั ใหม่ กว้างขวางของโลก ท�าให้พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงความส�าคัญ ภายหลงั การเปิ ดประเทศหลงั จากการทาํ สนธิสญั ญาเบาวร์ งิ เป็ นตน้ มา และวางรากฐานกจิ การโทรคมนาคมในประเทศไทย อยา่ งเปน็ ทางการ เพอื่ ปอ้ งกนั การแทรกแซงจากชาติ การพาณิชยข์ ยายตวั อย่างกวา้ งขวางมากขนึ ้ ทงั ้ นีเ้ พ่ื อประโยชนท์ าง มหาอา� นาจ รวมทง้ั การตดิ ตอ่ สอ่ื สารของไทยอยใู่ น สภาพล้าหลังท�าให้การตรวจตราควบคุมหัวเมืองมี การคา้ และการขยายตวั ของลทั ธิจกั รวรรดินิยมทาํ ใหเ้ กิดความจาํ เป็ นท่ี ความยากลา� บาก ดว้ ยปจั จยั เหลา่ นที้ ง้ั ความจา� เปน็ ใน การตดิ ตอ่ กบั โลกภายนอกและความมนั่ คงของชาต ิ ตอ้ งมีการติดต่อส่ือสารถงึ กนั อย่างรวดเรว็ ท�าให้ประเทศไทยต้องวางรากฐานกิจการส่ือสาร โทรคมนาคมอย่างเร่งด่วน คือ กิจการโทรเลข ในเวลาน้ันแถบประเทศยุโรปมีการพัฒนาการ การสง่ ขา่ วดว้ ยรหสั มอรส์ ฉบบั แรกของโลก จากกรงุ โทรศัพท์ และวิทยุโทรเลข และมีการวางรากฐาน กจิ การสอ่ื สารโทรคมนาคมอยา่ งกวา้ งขวาง เชน่ การ วอชงิ ตนั ด.ี ซ.ี ไปยงั เมอื งบลั ตมิ อร ์ การวางสายเคเบลิ กจิ การการสอ่ื สารคอื การตง้ั กรมไปรษณยี ์ ประดษิ ฐเ์ ครอื่ งโทรเลขแบบ ๕ เขม็ ในประเทศองั กฤษ ใตน้ า�้ ขา้ มชอ่ งแคบองั กฤษเปน็ เสน้ แรกของโลก การ โดยวลิ เลยี ม เอฟ คกุ (Wiliam F. Cooke) และ เปิดกิจการโทรเลขในหลายประเทศในระหว่างช่วง กจิ การไปรษณีย ์ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๔๒๓-๒๔๒๔ ชาลส ์ วตี สโตน (Chares Wheatstone) ใน พ.ศ. พ.ศ. ๒๓๘๙-๒๔๐๐ บา้ นเมอื งทมี่ คี วามเจรญิ มาก จา� เปน็ ตอ้ งมกี ารตดิ ตอ่ ๒๓๘๐ นบั เปน็ โทรเลขระบบแรกของโลกเพอื่ การคา้ สอื่ สารอยา่ งรวดเรว็ โดยรฐั บาลเปน็ ผจู้ ดั หา แทนการ ให้ประชาชานจ้างหรือฝากคนเดินทางไปมา ผู้ท่ีมี บทบาทส�าคัญต่อการด�าเนินกิจการไปรษณีย์คือ เจา้ หมนื่ เสมอใจราช ซงึ่ ไดร้ บั การศกึ ษาจากประเทศ องั กฤษใหม้ คี วามคนุ้ เคยกบั กจิ การไปรษณยี อ์ ยา่ งมาก จึงท�าหนังสือกราบบังคมทูลขอให้ทรงจัดกิจการ ไปรษณีย์ข้ึน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจา้ อยหู่ วั ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหส้ มเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ ภาณรุ งั ษสี วา่ งวงศ ์ กรมพระยาภาณพุ นั ธวุ งศ์ วรเดช ด�ารงต�าแหน่งอธิบดีผู้ส�าเร็จราชการกรม ไปรษณยี โ์ ทรเลข ใน พ.ศ. ๒๔๒๔ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั มพี ระบรมราชโองการโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ปดิ กจิ การไปรษณียข์ น้ึ ภายในพระนครเปน็ การทดลอง จากน้ันรัชกาลท่ี ๕ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เปิด สา� นกั งานใหญข่ น้ึ ทอี่ าคารไปรษณยี าคาร เปน็ ออฟฟศิ ไปรษณยี แ์ ละโทรเลข เมอื่ วนั ท ่ี ๔ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ การบรหิ ารดา้ นการไปรษณยี แ์ หง่ ราชอาณาจกั ร สยามไดม้ กี ารตพี มิ พเ์ อกสารเผยแพรใ่ นกรงุ ลอนดอน กล่าวถึงข้อมูลที่น่าสนใจดังน้ี มีบริการส่งจดหมาย ๓ ครงั้ ตอ่ ๑ วนั ในกรงุ เทพฯ จดหมายทกุ ฉบบั ตอ้ ง อยู่ในซองติดแสตมป์พร้อมระบุท่ีอยู่ของผู้รับ และ จดั สง่ ในตจู้ ดหมายซง่ึ จดหมายจะถกู จดั เกบ็ ตามเวลา โดยบรุ ษุ ไปรษณยี ์ และจะถกู จดั สง่ ไปถงึ ทหี่ มายตอ่ ไป วิธีการจัดการไปรษณีย์ในระยะแรก คือการ จัดท�าบัญชีหมายเลขบ้าน แบ่งออกเป็นเขต แขวง ต�าบล แล้วให้ติดหมายเลขบ้านไว้ตามบ้าน จัดท�า ระเบยี บขอ้ บงั คบั วา่ ดว้ ยการไปรษณยี ์ พ.ศ. ๒๔๒๘ จดั ทา� ตราไปรษณียากรหรือแสตมป์ขึ้น โดยส่ังตรา ไปรษณียากรมาจากประเทศอังกฤษ ประกาศใช้ รวม ๖ ราคา คือ ราคา ๑ โสฬศ ๑ อัฐ ๑ เสี้ยว
ให้หม่อมเจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย ทูตไทยประจ�า ๔๒—๔๓ ประเทศฝรงั่ เศสเขา้ รว่ มประชมุ สากลไปรษณยี ท์ ่ี กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส และในโอกาส เดยี วกนั นป้ี ระเทศไทยไดเ้ ขา้ รว่ มสญั ญาสากล ไปรษณยี ด์ ว้ ย ภาพท่ี ๑ แสดงบุรุษไปรษณีย ์ และตูไ้ ปรษณีย ์ การโทรเลขและวทิ ยโุ ทรเลข ภาพท่ี ๓ ภายในท่ีทาํ การไปรษณียโ์ ทรเลขในอดีต แบบแขวน ปฐมบทการโทรเลขมใี หเ้ หน็ ตงั้ แตส่ มยั รชั กาล ท ี่ ๔ แตไ่ ทยเรม่ิ สรา้ งสายเสน้ ทางโทรเลขครง้ั แรก วทิ ยโุ ทรเลข ๑ ซกี ๑ เฟือ้ ง และ ๑ สลึง สรา้ งเคร่ืองมือเครอ่ื ง ใน พ.ศ. ๒๔๑๘ โดยรัชกาลที่ ๕ มีพระบรม การวทิ ยใุ นประเทศไทย เรม่ิ มขี นึ้ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๔๗ ใชใ้ นกจิ การไปรษณยี ์ เชน่ ตไู้ ปรษณยี ์ เครอ่ื งแบบ ราชโองการใหส้ รา้ งสายโทรเลขจากกรงุ เทพฯ ถงึ โดยหา้ ง บี.กรมิ แอนโก (B.Grimm & Co) ซงึ่ เปน็ บรุ ษุ ไปรษณยี ์ ถงุ ไปรษณยี ์ การดา� เนนิ การในระยะ สมทุ รปราการเปน็ สายแรก โดยใหห้ มอ่ มเทวาธริ าช ผแู้ ทนบรษิ ทั วทิ ยโุ ทรเลขเยอรมนั เทเลฟงุ เกน (The แรกปรากฏว่ากิจการไปรษณีย์ด�าเนินด้วยความ (ม.ร.ว.แดง อศิ รเสนา) เปน็ ผอู้ า� นวยการสรา้ งสาย Telefunken Wlreless Telegraph Company of เรยี บรอ้ ยเปน็ ทพ่ี อใจของมหาชน รฐั บาลจงึ ขยายการ โทรเลข โดยเรมิ่ ปกั เสาตน้ แรก วนั ท ่ี ๑๙ เมษายน Berlin) ไดจ้ ดั ตงั้ สถานวี ทิ ยชุ วั่ คราวขนึ้ ทก่ี รงุ เทพฯ ไปรษณยี อ์ อกไปตามหวั เมอื งมณฑลตา่ ง ๆ พ.ศ. ๒๔๒๑ ใชเ้ สาทง้ั สนิ้ ๗๒๑ ตน้ ระยะทางยาว แห่งหนึ่ง และเกาะสีชังแห่งหน่ึง ต่อมา พ.ศ. ๔๕ กโิ ลเมตร ภายหลงั ได้พาดต่อและทอดสาย ๒๔๕๐ บรทั นอ็ ด เยอรมนั ลอย ขอพระราชทาน เคเบลิ ใตน้ า้� โดยมพี ระยาอนทุ ตู วาท ี (เขม็ แสงชโู ต) ตดิ ต้ังเครื่องโทรเลขไม่มีสายระหว่างเกาะสีชังกับ เปน็ คนไทยคนแรกทตี่ อ่ สายเคเบลิ ใตน้ า้� กรงุ เทพฯ โดยใชท้ นุ ทรพั ยแ์ ละคา่ ใชจ้ า่ ยบรษิ ทั เอง แตไ่ ทยปฏเิ สธเนอ่ื งจากความไมพ่ รอ้ มดา้ นบคุ ลากร การขยายเสน้ ทางการโทรเลข โดยในชว่ ง ๕ ปี แตด่ ว้ ยทเ่ี กาะสชี งั เปน็ ทา่ เรอื บรรทกุ สนิ คา้ จา� เปน็ แรกมักท�าควบคู่ไปกับเส้นทางรถไฟเป็นรูปแบบ ต้องใช้บริการโทรเลขโดยเร็ว ดังน้ันวิธีที่เป็น สากลทไ่ี ทยรบั มาจากยโุ รป เสน้ ทางโทรเลขสายแรก ประโยชนท์ ส่ี ดุ คอื การวางสายเคเบลิ ใตน้ า้� คอื สายกรงุ เทพฯ-สมทุ รปราการถงึ ลา� ภลู าย ระยะทาง ๔๕ กโิ ลเมตร สายท ี่ ๒ คอื กรงุ เทพฯ-บางปะอนิ การขยายโครงข่ายไปรษณีย์ในประเทศ ใน ระบบการโทรเลข การโทรศพั ท ์ บท ีท่๓ การ ืส่อสารในสมัยธน ุบรีและรัตนโก ิสนทร์ พ.ศ. ๒๔๓๒ ไดท้ รงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให ้ การรับโทรเลขและสัญญาณทีใ่ ชใ้ นการรบั ส่ง การริเร่ิมกิจการโทรศัพท์ในประเทศไทยเป็น กรมไปรษณยี โ์ ทรเลขจดั หาเรอื กลไฟมาเดนิ รบั สง่ โทรเลข แต่เดิมเป็นระบบกระแสทางเดียว ครง้ั แรกนนั้ กรมพระกลาโหมนา� เขา้ มาทดลองใช้ ถงุ ไปรษณยี แ์ ละรบั สนิ คา้ และคนโดยสาร ตอ่ มาใน (Simplex more System) ชา้ และเสยี เวลาเพราะ ระหว่างกรุงเทพฯ และสมุทรปราการเมื่อ พ.ศ. พ.ศ. ๒๔๑๑ กระทรวงโยธาธกิ ารไดต้ กลงทา� สญั ญา รับส่งได้คร้ังละ ๑ ฉบับ จึงเปลี่ยนไปใช้ระบบ ๒๔๒๔ เพื่อใช้ส่งข่าวเรือเข้าเรือออก แต่จาก การขนสง่ ไปรษณยี ก์ บั บรษิ ทั เรอื ไฟทนุ จา� กดั ใน กระแสไฟฟา้ (Duplex System) รบั สง่ ไดค้ ราวละ เอกสารประเทศอังกฤษพบว่ากิจการโทรศัพท์ การขนส่งถุงไปรษณีย์ตามหัวเมืองชายฝั่งทะเล ๒ ฉบบั การรบั สญั ญาณโทรเลขนน้ั ชว่ งแรกใชว้ ธิ ี ของไทยเปดิ ใชอ้ ยา่ งเปน็ ทางการใน พ.ศ. ๒๔๒๙ ตะวนั ออก และชายฝง่ั ทะเลตะวนั ตกไปถงึ สงิ คโปร์ อา่ นสญั ญาณจากแถบกระดาษทอี่ อกจากเครอื่ ง แต่ ในระบบแม็กนิโต (Magneto) ต่อมากรมโทรเลข เปน็ วธิ ที ชี่ า้ และสนิ้ เปลอื งมาก จงึ นา� วธิ รี บั โทรเลข รับช่วงต่อจากกรมพระกลาโหมมาด�าเนินการต่อ การขนสง่ ไปรษณยี ท์ างเรอื แลว้ ยงั มกี ารสรา้ ง โดยการฟงั เสยี งมาใช ้ สว่ นสญั ญาณทใี่ ชใ้ นการรบั รัฐบาลจึงได้สั่งเคร่ืองโทรศัพท์รุ่นแรกมาจากห้าง เสน้ ทางรถไฟนบั เปน็ ความสา� เรจ็ อกี ประการหนงึ่ ใน โทรเลขม ี ๒ แบบ คอื สญั ญาณแบบอกั ษรโรมนั ไคเชอร์ชมิท (Ka ser Schmidt) กรุงเบอร์ลิน การพฒั นาการคมนาคมสอื่ สารสภู่ มู ภิ าค โดยใน และสญั ญาณอกั ษรไทย คอื รหสั มอรส์ ประเทศเยอรมน ี เปน็ เครอ่ื งแบบสายเดยี วมหี มอ้ พ.ศ. ๒๔๔๓ ทางรถไฟสายนครราชสมี าสรา้ งเสรจ็ ไฟขนาดย่อมติดอยู่ทุกเครื่อง และเปิดโอกาสให้ จงึ ใหจ้ ดั ขนสง่ โดยทางรถไฟตงั้ แตน่ น้ั มา นอกจาก ประชาชนเขา้ ใช ้ โดยมที ง้ั หมด ๖๑ เครอ่ื ง น้ีกรมไปรษณีย์โทรเลขได้จัดตู้ส�าหรับฝากส่ง ไปรษณยี ภณั ฑ ์ ประเภทจดหมายและไปรษณยี บตั ร ธรรมดาที่ได้ประทับตราไปรษณียากรแล้ว ตาม สถานทต่ี า่ ง ๆ เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๒๘ มตี ไู้ ปรษณยี ต์ ดิ ตง้ั อยรู่ วม ๑๓๗ ต้ ู การไปรษณีย์ไทยกับนานาประเทศ ความ ภาพท่ี ๒ ตารางโทรเลขสมยั รชั กาลท่ี ๕ มุ่งหมายของรัฐบาล คือขยายการไปรษณีย์ให้ สามารถตดิ ตอ่ กบั ตา่ งประเทศไดม้ ากขนึ้ ดงั นนั้ เมอื่ ในประเทศด�าเนินการครบ ๒ ป ี รฐั บาลจงึ เหน็ สมควรในการเขา้ รว่ มสญั ญาสากลไปรษณยี ์ โดย
๑๓ การนาํ โครงข่ายกิจการ สร้างกฎระเบียบเดียวกันให้แก่บริการไปรษณีย์ ส่ือสารโทรคมนาคมสู่สากล ระหว่างประเทศ โดยตกลงเป็นอนุสัญญาสากล ไปรษณยี ์ (Universal Postal Convertion) กรม ไปรษณีย์โทรเลขไทยเข้าร่วมเป็นภาคีสมาชิกของ สหภาพสากลไปรษณีย์ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๔๒๘ ได้มี การสง่ ผูแ้ ทนเขา้ รว่ มประชมุ ใหญ่เพ่อื แก้ไขระเบยี บ ข้อบังคบั อยเู่ สมอ การเขา้ ร่วมสหภาพสากลไปรษณี ย ์ ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ การประชุมสหภาพสากลไปรษณีย์ท่ีกรุงเบิร์น และกรุงปารีส ใน พ.ศ. ๒๔๐๖ มีประเทศภาคี เข้าร่วม ๑๕ ประเทศ การประชุมดังกล่าวน�ามา สู ่ ค ว า ม ส� า เ ร็ จ ใ น ก า ร ว า ง ห ลั ก ก า ร แ ล ะ ร ะ เ บี ย บ พื้ น ฐ า น เ กี่ ย ว กั บ ก า ร ไ ป ร ษ ณี ย ์ ร ะ ห ว ่ า ง ป ร ะ เ ท ศ หลายประการ การประชมุ สหภาพสากลไปรษณยี ท์ กี่ รงุ ลสิ บอน (พ.ศ. ๒๔๒๘) พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้า ปฤษฎางค์เป็นผู้แทนไทยเข้าร่วมประชุม โดย บทบาทที่ผู้แทนไทยได้ปฏิบัติในการประชุมเพื่อฟัง การอา่ นรายงานของคณะกรรมาธกิ ารแกไ้ ขอนสุ ญั ญา และกฎหมายประกอบ จากนนั้ ทรงกลา่ วในทปี่ ระชมุ วา่ ไทยตอ้ งการจะเขา้ รว่ มเปน็ ภาคสี มาชกิ ตอ่ ไป และ ในวันท่ี ๖ เมษายน ได้ลงพระนามในอนุสัญญา พรอ้ มกบั ภาคีผแู้ ทนประเทศอนื่ ๆ ก า ร ว า ง ร ะ เ บี ย บ แ ล ะ ก ฎ เ ก ณ ฑ ์ กิจการไปรษณีย์ เรียกว่า วิธีไปรสนีย์กรุงสยาม การประชมุ สหภาพสากลไปรษณยี ท์ กี่ รงุ เวยี นนา กิจการโทรคมนาคมสู่ สากลสมยั (Siamese Postal Guide) ทา� ข้นึ หลังจากเขา้ รว่ ม ค.ศ. ๑๙๘๑ (พ.ศ. ๒๔๓๔) ผู้แทนไทยเขา้ ร่วม แรกเร่มิ นนั ้ สาํ หรบั การวางระเบยี บ ประชุมสากลไปรษณีย์ท่ีกรุงลิสบอน ประเทศ ประชุมครั้งน้ีคือ พระยาสุริยานุวัตร ซึ่งด�ารง ขอ้ บงั คบั ในกจิ การโทรเลข ไดม้ ีการ โปรตเุ กส ทา� เพอ่ื แจกจา่ ยในทที่ า� การไปรษณยี แ์ ตล่ ะ ต�าแหน่งรักษาการราชทูตไทยประจ�ากรุงเบอร์ลิน ออกหนงั สือวธิ โี ทรเลข (Telegraph จังหวัด หนังสือฉบับน้ีต่อมาถูกน�ามาปรับเป็น การประชุมนี้แบ่งเป็น ๔ คณะอนุกรรมการ เพ่ือ Guide for the Kingdom of Siam) กฎหมายไปรษณีย์ ศกึ ษาขอ้ เสนอของภาคสี มาชกิ ต่าง ๆ พ.ศ. ๒๔๒๖ เอกสารฉบบั นี เ้ ป็ น เอกสารสําคญั อย่างย่ิงในกิจการ การเขา้ รว่ มองคก์ ารระหวา่ งประเทศทเี่ กย่ี วขอ้ ง การประชุมสากลโทรเลข โทรคมนาคมไทย เป็ นเอกสารท่บี อก ในคริสต์ศตวรรษท่ี ๑๗-๑๘ การส่งจดหมายและ ประเทศไทยเป็นภาคขี องสหภาพโทรเลขระหวา่ ง ธรร ม เ นี ย ม แ ล ะ ก ฎ เ ก ณ ฑ ก์ าร ใช ้ สิ่งของอ่ืน ๆ ทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศจะอยู ่ ประเทศ (International Telegraph Union) ตง้ั แต่ สายโทรเลขอย่างละเอยี ดเป็ นครงั ้ ภายใตข้ อ้ บงั คบั และระเบียบต่าง ๆ ทก่ี า� หนดอยูใ่ น วนั ท ่ี ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๐๘ ทกี่ รงุ ปารสี ซง่ึ แรกในประเทศ ข้อตกลงระหว่างกันเกี่ยวกับการไปรษณีย์ในระดับ ตอ่ มาเปลย่ี นชอ่ื เปน็ “สหภาพโทรคมนาคมระหวา่ ง ทวิภาคี ต่อมาศตวรรษท่ี ๑๙ ข้อตกลงทวิภาคีมี ประเทศ” (International Telecommunication เอกสารนี้ไม่พบในส่วนราชการที่เก็บรักษา จ�านวนมากและซับซ้อน กรมไปรษณีย์โทรเลขของ Union) ใน พ.ศ. ๒๔๗๗ เอกสารประวัติศาสตร์ในประเทศไทย แต่พบจาก ประเทศตา่ ง ๆ จงึ ประชุมเพือ่ วางแผนแมบ่ ทเพอื่ การค้นควา้ งานวิจยั ท่ไี ด้มาจากประเทศเยอรมน ี ซึง่ เปน็ หลกั ฐานสา� คญั วา่ กรมไปรษณยี แ์ ละโทรเลขไทย ภาพท่ี ๑ แสดงผูเ้ ขา้ ร่วมการ ได้ส่งเอกสารช้ินน้ไี ปยังราชส�านกั ยุโรปเพอื่ แจ้งราย ประชุมสหภาพสากล ละเอยี ดกจิ การโทรเลขไทยทกี่ า� ลงั วางรากฐานอยา่ ง ไปรษณียท์ ่ีกรงุ เวียนนา เป็นทางการและสากล การวางระเบียบข้อบงั คบั ใน ค.ศ. ๑๘๙๑
๑๔ พระมหากษตั ริยก์ บั การ ๔๔—๔๕ ส่ือสารโทรคมนาคมในยุค เร่ิมตน้ ประชาธิปไตย ภายหลงั การเปล่ียนแปลงการปกครองใน พ.ศ. ๒๔๗๕ การส่ือสาร การส่ือสารระหว่างพระมหากษัตริย์และ บท ีท่๓ การ ืส่อสารในสมัยธน ุบ ีรและรัตนโก ิสนทร์ ร ะ ห ว่า งพ ร ะ ม ห า กษ ตั ริย ก์ บั ป ร ะ ช าช น เ ป็ น ส่ิ ง สํ า ค ญั เ พ ร า ะ การ ราษฎรมีหลายรูปแบบ เช่น การส่งภาพพระ เปล่ียนแปลงอาจทาํ ใหเ้ กิดความสบั สน พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ ฉายาลกั ษณ์จากประเทศสวติ เซอรแ์ ลนด์ เพ่ือน�า เ จ า้ อ ยู่ ห วั ท ร ง ใ ช ว้ ิ ท ยุ โ ท ร เ ล ข ใ น ก า ร แ จ ง้ ข่ า ว ส า ร ใ น ก า ร เ ส ด็ จ ไปพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ทั้งในประเทศและต่าง พระราชดาํ เนินปฏบิ ตั ิพระราชกรณียกิจใหป้ ระชาชนทราบ ครนั ้ เม่ือ ประเทศ นอกจากนคี้ รงั้ นวิ ตั พระนครครงั้ แรกการ พระองคป์ ระกาศสละราชสมบตั ิ พระองคท์ รงส่ือสารกบั ประชาชน ติดต่อส่ือสารระหว่างยุวกษัตริย์กับราษฎรยัง ดว้ ยพระราชหตั ถเลขาการสละราชสมบตั ิเม่ือวนั ท่ี ๖ มีนาคม พ.ศ. ปรากฏเปน็ กระแสพระราชดา� รสั ทางวทิ ยกุ ระจาย ๒๔๗๗ โดยรฐั บาลไดอ้ ่านพระราชหตั ถเลขาประกาศใหป้ ระชาชน เสียง และยังได้มีพระราชโทรเลขถึงผู้ส�าเร็จ ทราบทางวิทยุกระจายเสียง ราชการแทนเพื่อติดต่อข่าวสาร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การสอ่ื สารสว่ นพระองคใ์ นราชสกลุ มหดิ ลซงึ่ ก า ร พ ฒั น า แ ล ะ ป ร บั ป รุ ง กิ จ ก า ร อานนั ทมหดิ ลทรงศกึ ษาอยตู่ า่ งประเทศ การตดิ ตอ่ ประทบั อย ู่ ณ ตา่ งประเทศ การสง่ ขา่ วสารและแจง้ ส่ื อ ส า ร โ ท ร ค ม น า ค ม สอ่ื สารระหวา่ งพระมหากษตั รยิ แ์ ละราษฎรจงึ อาศยั เหตกุ ารณต์ า่ ง ๆ ทมี่ กี ารเปลย่ี นแปลงใหห้ มรู่ าชวงศ์ สอ่ื ตา่ ง ๆ ในสมยั นนั้ ไดแ้ ก ่ โทรเลข จดหมาย ทป่ี ระทบั ในประเทศไทยทรงทราบดว้ ยวธิ กี ารโทรเลข ก า ร ไ ป ร ษ ณี ย ์ ไปรษณยี บตั ร หนงั สอื พมิ พ ์ และวทิ ยกุ ระจายเสยี ง มีการสร้างอาคารที่ท�าการใหม่ติดกับถนน เจริญกรุง ในสมัยรัชกาลที่ ๘ กจิ การสื่อสาร โทรคมนาคมทส่ี า� คญั อกี ประการคอื การใชต้ รู้ ถไฟ เปน็ ทที่ า� การไปรษณยี ์ เรยี กวา่ ทท่ี า� การไปรษณยี ์ รถไฟเคลือ่ นท่ี การโทรเลขและวิทยุโทรเลข ใน พ.ศ. ๒๔๘๗ กรมไปรษณีย์โทรเลขได้ เสนอโครงการทางสายโทรเลขทั่วราชอาณาจักร เพราะแตเ่ ดมิ สายเดนิ ตามแนวทางรถไฟหรอื ปา่ ทบึ นอกจากนยี้ งั ปรากฏกจิ การการสอื่ สารขา่ วอากาศ ใน พ.ศ. ๒๔๗๙ การโทรศพั ท ์ กิจการในระยะน้ีได้เจริญรุดหน้าไปยังพ้ืนท่ี ห่างไกล กรมไปรษณีย์โทรเลขจึงได้มีการจัดท�า สมดุ รายนามผเู้ ชา่ ทงั้ ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ ขณะที่ พ.ศ. ๒๔๘๐ กระทรวงเศรษฐการมี โครงการสร้างโทรศัพท์ทางไกลระหว่างจังหวัด ท่ัวพระราชอาณาจกั รขน้ึ เปน็ ครง้ั แรก วทิ ยสุ มคั รเลน่ ใน พ.ศ. ๒๔๗๙ ไ ด้เกิดกจิ การวทิ ยุสมคั ร เล่น โดยสามารถเ ปิดการติดต่อกับสถานีวิทยุ สมัครเล่นได้ท่ั วทุกทวีปต่างประเทศโดยสามารถ ตดิ ตอ่ กบั กรงุ โตเกยี วประเทศญปี่ นุ่ ไดเ้ ปน็ แหง่ แรก
๑๕ พระบรมราโชบายดา้ นการส่ือสาร กบั การรกั ษาเอกราชของชาติ ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยู่หวั ประเทศไทยตอ้ งเผชิญกบั ภยั คุกคามอย่างหนกั จากการแผ่ ขยายอาํ นาจและอทิ ธิพลของจกั รวรรดินิยมตะวนั ตก พระองคท์ รงตระหนกั ถงึ สถานการณ ์ ทรงเหน็ วา่ การ จะรกั ษาประเทศชาติไม่ใหม้ ีอนั ตรายทงั้ ภายในและภายนอก ซ่งึ ส่ิงท่ีสําคญั ท่ีสุดท่ีควรกระทําคือการจดั การ ปกครองบา้ นเมอื งใหเ้ รยี บรอ้ ยทว่ ั พระราชอาณาจกั ร จงึ นาํ ไปสู่การปฏริ ปู การปกครอบแบบพลิกแผ่นดิน ซ่งึ การดาํ เนินการจะประสบความสําเรจ็ ไดต้ อ้ งมีการจดั การดา้ นการส่ือสารโดยผ่านการโทรคมนาคมท่ีทนั สมยั แบบตะวนั ตกในขณะนนั ้
พระบรมราโชบายในดา้ นการสอื่ สารคือ การ ๔๖—๔๗ วางรากฐานและพัฒนากิจการไปรษณีย์โทรเลข และโทรศัพท์ เพ่ือให้การติดต่อส่ือสารภายใน ภาพท่ี ๑ ภาพจากหนงั สือพิ มพ ์ ดา� เนนิ การอยา่ งไรใหท้ นั สถานการณ ์ อยา่ งในกรณที รี่ ฐั บาลฝรง่ั เศส ประเทศและตา่ งประเทศเปน็ ไปอย่างรวดเรว็ ใน Le Petit Parisien ส่ือชนั้นาํ พยายามสง่ เรอื รบเขา้ มายงั สนั ดอนปากแมน่ า้� เจา้ พระยา พระบาทสมเดจ็ การดา� เนนิ พระบรมราโชบายกต็ อ้ งทรงระมดั ระวงั ของฝรง่ั เศสยุคสาธารณรฐั ท่ี พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้มีการส่งโทรเลขไปยัง ไ ม ่ ใ ห ้ ไ ท ย ต ก อ ยู ่ ภ า ย ใ ต ้ อิ ท ธิ พ ล ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ๓ เป็ นภาพเรือรบฝรง่ั เศส อัครราชทูตไทยประจ�ากรุงฝร่ังเศส เพ่ือขอความช่วยเหลือยับย้ัง ตะวันตกประเทศใดประเทศหนึง่ ขณะมุ่งสู่ปากนาํ ้เจา้ พระยา เหตกุ ารณด์ งั กลา่ ว เมอ่ื นายปาว ี ราชทตู ฝรงั่ เศสประจา� ประเทศไทย พรอ้ มเลง็ ปื นใหญ่เขา้ หา ไดร้ ับโทรเลข ในวันท่ี ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ นายปาวกี ลบั ที่เห็นชัดเจนคือเรื่องปัญหาการขาดแคลน พระสมุทรเจดีย ์ สง่ จดหมายแบบธรรมดาไปยงั กองเรอื รบทา� ใหไ้ มส่ ามารถยบั ยงั้ เหตุ บคุ ลากรผมู้ คี วามรคู้ วามชา� นาญเฉพาะทางในดา้ น ปะทะกนั ได้ทนั สง่ ผลในทางลบต่อประเทศไทยอยา่ งสิน้ เชงิ การส่ือสารด้วยเครื่องมือโทรคมนาคมที่ทันสมัย บท ีท่๓ การ ืส่อสารในสมัยธน ุบรีและรัตนโก ิสนทร์ ทา� ให้ไทยตอ้ งเผชิญกับอิทธพิ ลในกิจการดังกลา่ ว จากเหตุการณ์วิกฤตการณ์สะท้อนให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จ ของอังกฤษ ฝรัง่ เศส และเยอรมนี พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ความส�าคัญต่อการส่ือสารและ ข้อมูลข่าวสารเป็นอย่างย่ิง จึงมีพระราชบัญชาให้เสนาบดีเจ้า ในการเรม่ิ กจิ การโทรเลข นายการเ์ นยี กงสลุ กระทรวงตา่ ง ๆ ตอ้ งถวายรายงานความคบื หนา้ ของการดา� เนนิ งาน ฝรั่งเศส เจรจากับรัฐบาลไทยเพ่ือต้องการที่จะ ให้ทราบเป็นระยะ ๆ จึงมีการส่งใบบอกรายงานเหตุการณ์จาก สร้างสายโทรเลขต่อเข้ามาในประเทศไทย โดย หัวเมอื งตา่ ง ๆ ฝรงั่ เศสจะเปน็ ธรุ ะจดั สรา้ งสายโทรเลขในเขตไทย ตง้ั แตเ่ ขตแดนเขมรถงึ กรงุ เทพฯ ขอใหฝ้ า่ ยไทยตดั สว่ นขอ้ มลู สา� คญั จากตา่ งประเทศ บรรดาทตู ไทยในตา่ งประเทศ เสาทีจ่ ะพาดสายให้เท่านนั้ ขณะที่อังกฤษกเ็ รียก และทตู ตา่ งประเทศในไทยซง่ึ สว่ นใหญเ่ ปน็ ชาวองั กฤษ จะคอยถวาย ร ้ อ ง ใ ห ้ ไ ท ย ป ฏิ เ ส ธ ไ ม ่ รั บ โ ด ย รั ฐ บ า ล อั ง ก ฤ ษ รายงานความเคลื่อนไหวของฝรั่งเศสที่สืบทราบให้เสมอ อีกกรณี ที่อนิ เดยี จะขอสรา้ งทางสายโทรเลขตดิ ตอ่ กบั ไทย หนง่ึ ทแ่ี สดงถงึ ความละเอยี ดรอบคอบคอื มาตราการการปอ้ งกนั การ โดยเข้ามาทางเมืองทวายเอง เม่ือประสบปัญหา ลักลอบอ่านโทรเลข ดังเช่นคราวที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เชน่ น้ี รัฐบาลไทยได้หาทางออกในลกั ษณะทไี่ มใ่ ห้ รชั กาลท ่ี ๕ ทรงมโี ทรเลขลบั ถงึ กรมหลวงพชิ ติ ปรชี ากร ทรงใชร้ หสั เกดิ ความขนุ่ ขอ้ งหมองใจทง้ั องั กฤษและฝรงั่ เศสโดย เปน็ ตัวเลขท้งั หมด ยืนยันความคิดท่ีรัฐบาลจะเป็นผู้ท�าทางเดินสาย โทรเลขเอง อกี กรณหี น่งึ ใน พ.ศ. ๒๔๒๘ รชั กาลท่ ี ๕ มี พระบรมราโชบายท่ีจะเร่ิมสร้างเส้นทางโทรเลข เพ่ือสื่อสารกับจังหวัดชายแดนเรียบริมแม่น�้าโขง รวมถึงลาวและเขมรส่วนในประเทศราชของไทย เ พ่ื อ ก ร ะ ชั บ ก า ร ป ก ค ร อ ง เ ข ้ า ม า สู ่ ศู น ย ์ ก ล า ง ท่ี กรุงเทพฯ อันจะช่วยปกป้องไทยจากการขยาย อทิ ธิพลของโคชนิ จนี และฝร่งั เศส จึงก่อสรา้ งเส้น ทางโทรเลขเช่ือมเมืองปากเซ-อุบล-กรุงเทพฯ (Ligne Bassac - Ubon-Bangkok) พระบรมราโชบายดา้ นการสอื่ สารของรชั กาล ท ่ี ๕ จะเหน็ ไดช้ ดั เจนในวกิ ฤตการณท์ างการเมอื ง ครงั้ รา้ ยแรงในประวตั ศิ าสตรไ์ ทยสมยั รตั นโกสนิ ทร์ คอื เหตกุ ารณ ์ ร.ศ. ๑๑๒ หรอื วกิ ฤตการณป์ ากนา้� ใน พ.ศ. ๒๔๓๖ ที่หมิ่นเหม่ต่อการสูญเสีย เอกราชของชาติไทยให้แก่จักรวรรดินิยมฝร่ังเศส อยา่ งไรกด็ ี สยามรฐั นาวา สามารถดา� รงอยไู่ ดอ้ ยา่ ง เป็นอิสระในท่ามกลางความกดดัน ปัจจัยสา� คญั สว่ นหนง่ึ คอื พระบรมราโชบายดา้ นการสอื่ สารของ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ท ร ง ใ ช ้ โทรเลขติดต่อส่ือสารท�าให้การติดต่อสอ่ื สาร เ ป ็ น ไ ป อ ย ่ า ง ร ว ด เ ร็ ว ท� า ใ ห ้ ท ร า บ ว ่ า ไ ท ย จ ะ
๑๖ การส่ือสาร ยุคกอ่ นประชาธิปไตย พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็จพ ร ะ ม ง กุ ฎ เ กลา้ เ จา้ อ ยู่ ห วั กบั การใช ว้ รร ณกรร ม เป็ นเคร่ืองมือส่ื อสาร พระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หวั ร ชั ก า ล ท่ี ๖ ท ร ง ถ่ า ย ท อ ด แ น ว พ ร ะ ร า ช ดํ า ริ ใ น ก า ร พ ฒั นา บ า้ น เมืองใหเ้ จริญย่ิงขึน้ นนั ้ ตอ้ งอาศยั เ ค ร่ื อ ง มื อ ท่ี จ ะ ถ่ า ย ท อ ด พระราชดาํ รนิ ีใ้ หป้ ระชาชนไดท้ ราบ และปฏบิ ตั ิ เคร่อื งมอื ท่ที รงเลอื กคอื ง า น ว ร ร ณ ก ร ร ม ท่ี ท รง พ ร ะ ร า ช นิ พ น ธ ไ์ ว จ้ ํ า น ว น ม า ก แ ล ะ ใ ช ้ นามแฝงเพ่ื อแทนพระองคใ์ นนาม ราษฎรคนหน่ึ งท่ีจะสามารถรบั รู ้ ความคิดเห็นของประชาชนท่ีเห็น ดว้ ยและคดั คา้ น นามแฝงท่ีทรงใช ้ เช่น ศรอี ยุธยา รามจติ ติ อศั วพาหุ ฯลฯ พระองคท์ รงใชห้ นงั สือพิ มพ ์ เป็ นเคร่อื งหยง่ ั ความคดิ ประชาชน เก่ี ยวกบั พระราโชบายท่ี จะนํามา บ ริ ห าร ป ร ะ เ ท ศ ทําใ ห ป้ ร ะ ช าช น ส า ม า ร ถ แ ส ด ง ค ว า ม คิ ด เ ห็ น ไ ด ้ อย่างเสรีเกิดความต่ืนตวั เก่ียวกบั แนวคดิ สมยั ใหม่โดยเฉพาะแนวคดิ เสรนี ิยมและสิทธิในการแสดงออก ภาพท่ี ๑ ตูไ้ ปรษณียส์ มยั รชั กาลท่ี ๗ ผลิตขนึ ้ใชเ้ องใน ประเทศ หลอ่ ดว้ ยซีเมนตห์ นา ประมาณ ๒๐ เซนติเมตร
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358