เอกสารประกอบการสอน วิชาทฤษฎแี ละพฤตกิ รรมองค์การ (Theory and Organization Behaviors) โดย ดร.อบุ ล วฒุ พิ รโสภณ
๒๗๖ รายละเอยี ดมาตรฐานคณุ วุฒอิ ดุ มศกึ ษา (มคอ. ๓) ประจารายวิชา ทฤษฎแี ละพฤตกิ รรมองคก์ าร ชอื่ สถาบันอดุ มศกึ ษา มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขต/คณะ/ภาควชิ า คณะสังคมศาสตร์ หมวดท่ี ๑ ข้อมลู โดยทั่วไป ๑. รหสั และชือ่ รายวิชา ๔๐๑ ๓๑๑ ทฤษฎีและพฤตกิ รรมองคก์ าร Organizational Theory and Behavior ๒. จานวนหนว่ ยกิต ๓หนว่ ยกิต(๓-๐-๖) ๓. หลักสูตรและประเภทของรายวิชา พุทธศาสตรบณั ฑิต สาขาวชิ ารัฐประศาสนศาสตร์ ๔. อาจารย์ผู้รบั ผิดชอบรายวิชาและอาจารย์ผูส้ อน อ.อุบล วฒุ ิพรโสภณ ๕. ภาคการศกึ ษา / ช้นั ปที ่ีเรยี น ๒๕๕๗/๒ ๖. รายวิชาท่ตี ้องเรียนมาก่อน (Pre-requisite) (ถ้ามี) ไมม่ ี ๗. รายวชิ าท่ตี ้องเรยี นพร้อมกนั (Co-requisites) (ถา้ ม)ี ไมม่ ี ๘. สถานทเี่ รียน วิทยาลัยสงฆ์พทุ ธปญั ญาศรที วารวดี มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย วัดไรข่ ิง จงั หวัดนครปฐม ๙. วนั ที่จดั ทาหรือปรับปรุงรายละเอียดของรายวิชาครั้งล่าสดุ พฤษภาคม ๒๕๕๕
๒๗๗ หมวดท่ี ๒ จดุ มงุ่ หมายและวัตถปุ ระสงค์ ๑. จุดมงุ่ หมายของรายวิชา เพื่อศึกษาให้มีความรู้ความความเข้าใจความรู้ท่ัวไปเก่ียวกับทฤษฎีองค์การและศึกษาเปรียบเทียบกับทฤษฎีต่างๆ เพื่อให้สามารถอธิบายพฤติกรรมของคนในการบริหารจัดการองค์การซ่ึงนาไปสู่ความสาเร็จท้ังอดีตจนถึงปัจจุบัน เพอื่ ให้รจู้ กั วเิ คราะหข์ อ้ ดี ขอ้ ดอ้ ยเกย่ี วกบั พฤติกรรมองค์การ รวมท้ังการประยุกตใ์ ช้ทฤษฎีเก่ียวกับองค์การให้เหมาะสม กับการบริหารจัดการในปัจจุบนั ๒. วตั ถปุ ระสงค์ในการพัฒนา/ปรบั ปรงุ รายวิชา เพ่ือให้นิสิตมีความรู้พ้ืนฐาน เป็นการเตรียมความพร้อมด้านปัญญาในการนาความรู้ ความเข้าใจ ในทฤษฎีและ พฤติกรรมองค์การ เพ่ือเป็นพ้ืนฐานการเรียนในวิชาอ่ืนท่ีเก่ียวข้อง ท้ังนี้ ควรมีการเปล่ียนแปลงตัวอย่างอ้างอิง ให้ สอดคล้องกบั แนวโนม้ ของทฤษฎแี ละพฤตกิ รรมองคก์ ารที่ได้มีความก้าวหนา้ และเปลี่ยนแปลงไป หมวดที่ ๓ ลกั ษณะและการดาเนินการ ๑. คาอธิบายรายวชิ า ศึกษาทฤษฎีและพฤติกรรมองค์การ โดยเริ่มจากแนวความคิดและทฤษฎีเก่ียวกับองค์การสมัยดั้งเดิมถึงสมัย ปัจจบุ นั ความหมายและองค์ประกอบขององค์การ ตวั แปรในองค์การ วิธีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์การ ปัจจัยพ้ืนฐาน ท่กี าหนดพฤตกิ รรมการทางานของมนุษย์ พฤตกิ รรมในการบรหิ าร อทิ ธพิ ลของโครงสรา้ งและกระบวนการในองค์การที่ มีตอ่ พฤตกิ รรมการทางานของมนุษย์ ๒. จานวนชวั่ โมงทใี่ ช้ตอ่ ภาคการศกึ ษา บรรยาย สอนเสรมิ การฝึกปฏบิ ัติงาน การศึกษาดว้ ยตนเอง ภาคสนาม/การฝึกงาน บรรยาย ๔๘ ชว่ั โมงต่อภาค สอนเสริมตามความต้องการ ไมม่ ีการฝกึ ปฏบิ ัติงาน การศึกษาด้วยตนเอง การศกึ ษา ของนสิ ติ เฉพาะราย ภาคสนาม ๖ ชว่ั โมงต่อสัปดาห์ ๓. จานวนชั่วโมงต่อสปั ดาห์ที่อาจารย์ให้คาปรกึ ษาและแนะนาทางวชิ าการแก่นสิ ิตเป็นรายบคุ คล - อาจารย์ประจารายวชิ า ประกาศเวลาให้คาปรึกษาผา่ นจดหมายอเิ ล็กทรอนิกส์ - อาจารยจ์ ัดเวลาให้คาปรกึ ษาเปน็ รายบคุ คล หรอื รายกล่มุ ตามความต้องการ ๓ ช่วั โมงตอ่ สปั ดาห์
๒๗๘ หมวดท่ี ๔ การพัฒนาการเรียนรขู้ องนสิ ิ ๑. คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ๑.๑ คณุ ธรรม จริยธรรมท่ตี อ้ งพฒั นา พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรมจริยธรรมเพื่อให้สามารถดาเนินชีวิตร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมอย่างราบรื่นและเป็น ประโยชนต์ อ่ ส่วนรวมโดยผสู้ อนต้องสอดแทรกเรอ่ื งท่ีเกี่ยวกับคณุ ธรรมจริยธรรมเพื่อให้นิสิตสามารถพัฒนาไปพร้อมกับ ทฤษฎแี ละพฤติกรรมองค์การ โดยมีคณุ ธรรมจริยธรรมตามคุณสมบัตหิ ลกั สูตร ดังนี้ ๑) ตระหนักในคุณค่า คุณธรรม จริยธรรม เสยี สละ และซือ่ สตั ย์สุจรติ ๒) มวี ินยั ตรงต่อเวลา มีความรบั ผิดชอบต่อตนเองวิชาชีพ และสังคม ๓) มภี าวะความเป็นผูน้ าและผตู้ าม สามารถทางานเปน็ ทมี และสามารถแก้ไขข้อขดั แย้งและลาดับความสาคัญ ๔) เคารพสทิ ธิและรับฟงั ความคิดเหน็ ของผอู้ น่ื รวมทัง้ เคารพในคุณคา่ และศักดศ์ิ รีความเป็นมนุษย์ ๕เคารพกฎระเบยี บข้อบังคับขององค์กรและสงั คม ) ๑.๒ วิธีการสอน - บรรยายพร้อมยกตวั อย่างกรณศี ึกษาเกี่ยวกับประเด็นทางพฤติกรรมการเรียนรู้ท่ีเก่ียวข้องกับทฤษฎีและพฤติกรรม องค์การ - อภปิ รายกล่มุ - กาหนดใหน้ สิ ิตหาตวั อยา่ งท่ีเกี่ยวข้อง - บทบาทสมมติ ๑.๓ วธิ กี ารประเมินผล - พฤติกรรมการเข้าเรยี น และส่งงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายตรงเวลา - มกี ารอ้างอิงเอกสารที่ได้นามาทารายงาน อยา่ งถูกต้องและเหมาะสม - ประเมนิ ผลการวิเคราะหก์ รณีศึกษา - ประเมนิ ผลการนาเสนอรายงานทีม่ อบหมาย
๒๗๙ ๒. ความรู้ ๒.๑ ความรู้ท่ตี ้องไดร้ บั ทฤษฎีและพฤติกรรมองค์การเร่ิมจากแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับองค์การสมัยด้ังเดิมถึงสมัยปัจจุบัน ความหมาย และองคป์ ระกอบขององค์การ ตวั แปรในองค์การ วิธีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับองค์การ ปัจจัยพ้ืนฐานท่ีกาหนดพฤติกรรม การทางานของมนษุ ย์ พฤตกิ รรมในการบริหาร อทิ ธิพลของโครงสร้างและกระบวนการในองค์การที่มีต่อพฤติกรรมการ ทางานของมนุษย์ ๒.๒ วธิ ีการสอน บรรยาย อภิปราย การทางานกลุ่ม การนาเสนอรายงาน การวิเคราะห์กรณีศึกษา และมอบหมายให้ค้นคว้าหา บทความ ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง โดยนามาสรุปและนาเสนอ การศึกษาโดยใช้ปัญหา (Problem base learning) และเน้น ผู้เรยี นเปน็ สาคัญ (Student Center) ๒.๓ วิธกี ารประเมินผล - แบบฝึกหัด สอบกลางภาค สอบปลายภาค - นาเสนอสรุปการอา่ นจากการค้นคว้าข้อมูลทเ่ี ก่ียวข้อง - วเิ คราะห์กรณีศกึ ษา ๓. ทักษะทางปัญญา ๓.๑ ทักษะทางปัญญาท่ีตอ้ งพัฒนา พัฒนาความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบ มีความสามารถในการวิเคราะห์เน้ือหาเกี่ยวกับทฤษฎีและ พฤติกรรมองค์การ สามารถสร้างแนวคิดใหม่ในการทาความเข้าใจกับองค์การและพฤติกรรมองค์การ โดยอาศัย ฐานความรจู้ ากแนวคิดทฤษฎอี งค์การท่ไี ดศ้ ึกษา ๓.๒ วิธีการสอน - นาเสนอทาง Power point พรอ้ มเอกสารประกอบการสอน - อภปิ รายกลุ่ม - วเิ คราะห์กรณีศกึ ษาเกี่ยวกับทฤษฎแี ละพฤตกิ รรมองคก์ าร -การสะทอ้ นแนวคิดจากการประพฤติ ๓.๓ วิธีการประเมินผล ตอบแบบฝึกหัด สอบกลางภาคและปลายภาค โดยเน้นข้อสอบที่มีการวิเคราะห์สถานการณ์ หรือวิเคราะห์แนวคิดใน ดา้ นทฤษฎีและพฤตกิ รรมองคก์ าร
๒๘๐ ๔. ทกั ษะความสัมพนั ธ์ระหว่างบุคคลและความรับผดิ ชอบ ๔.๑ ทกั ษะความสมั พันธ์ระหวา่ งบุคคลและความรับผิดชอบที่ต้องพัฒนา - พฒั นาทกั ษะในการสร้างสัมพันธภาพระหวา่ งผู้เรยี นด้วยกัน - พัฒนาความเปน็ ผนู้ าและผู้ตามในการทางานเปน็ ทีม พฒั นาการเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง และมคี วามรับผดิ ชอบในงานท่ีมอบหมายให้ครบถว้ นตามกาหนดเวลา - ๔.๒ วิธกี ารสอน - จดั กิจกรรมกลมุ่ ในการวเิ คราะหก์ รณีศึกษา - มอบหมายงานรายกล่มุ และรายบคุ คล - อา่ นบทความทีเ่ กีย่ วข้องกบั รายวิชา การนาเสนอรายงาน - ๔.๓ วธิ ีการประเมนิ ผล - ประเมนิ จากการตอบแบบฝึกหดั ประจาสปั ดาห์ - รายงานทน่ี าเสนอ พฤตกิ รรมการทางานเปน็ ทมี - รายงานการศึกษาด้วยตนเอง เช่น การค้นควา้ เพ่ิมเติม ๕. ทกั ษะการวิเคราะห์เชงิ ตัวเลข การสือ่ สาร และการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ ๕.๑ ทกั ษะการวเิ คราะห์เชิงตวั เลข การสอื่ สาร และการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศทต่ี อ้ งพัฒนา - พัฒนาทักษะในการส่อื สารท้ังการพดู การฟัง การแปล การเขียน โดยการทารายงาน และนาเสนอในชัน้ เรียน - พฒั นาทักษะในการวเิ คราะห์ข้อมูลจากกรณีศึกษา - พฒั นาทกั ษะในการสืบค้น ข้อมลู ทางอินเทอร์เน็ต - ทกั ษะการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศในการสื่อสาร เชน่ การสง่ งานทางอีเมล์ ฯลฯ - ทักษะในการนาเสนอรายงานโดยใช้รูปแบบ เครื่องมือ และเทคโนโลยที ่ีเหมาะสม ๕.๒ วธิ กี ารสอน - มอบหมายงานใหศ้ ึกษาค้นควา้ ด้วยตนเอง จาก website สือ่ การสอน e-learning และทารายงาน โดยเน้นการนา ข้อมูลทถี่ ูกต้องเปน็ จริง และข้อมูลตัวเลข หรอื มสี ถติ ิอา้ งอิง จากแหลง่ ที่มาข้อมูลท่ีน่าเชื่อถือ - นาเสนอโดยใช้รปู แบบและเทคโนโลยีท่เี หมาะสม ๕.๓ วิธกี ารประเมนิ ผล - การจัดทารายงาน และนาเสนอด้วยส่อื เทคโนโลยี - การมสี ว่ นรว่ มในการอภปิ รายและวิธกี ารอภิปราย
๒๘๑ หมวดที่ ๕ แผนการสอนและการประเมินผล ๑. แผนการสอน สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จานวน กิจกรรมการเรียน ผสู้ อน ท่ี ชวั่ โมง การสอน สื่อที่ใช้ (ถ้ามี) อ.อุบล วุฒพิ รโสภณ วิชาทฤษฎีและพฤติกรรมองคก์ าร อ.อุบล วุฒพิ รโสภณ - แนะนำเน้อื หำรำยวชิ ำ ๓ บรรยำย อ.อุบล วุฒพิ รโสภณ ๑ - แนะนำควำมรทู้ วั่ ไปเกย่ี วกบั ทฤษฎแี ละ อ.อุบล วุฒพิ รโสภณ พฤตกิ รรมองคก์ ำร - กำรประเมนิ ผล บทท่ี ๑ ควำมรทู้ วั่ ไปเกย่ี วกบั องคก์ ำร - ความหมายและองค์ประกอบขององค์การ - ลกั ษณะและวตั ถปุ ระสงค์ขององคก์ าร - ความจาเป็นทต่ี อ้ งมีองค์การ - แนวทางขององค์การเชงิ พทุ ธ ๓ บรรยำย ยกตวั อยำ่ งประกอบ ๒ - ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งองค์การกับการ จดั การเชิงพทุ ธ - ความร้เู บื้องตน้ เกี่ยวกบั พฤติกรรมองคก์ าร - ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งวชิ าพฤตกิ รรม องค์การกบั ศาสตร์อน่ื - การวิเคราะห์พฤติกรรมองค์การ บทที่ ๒ ทฤษฎอี งคก์ าร - ทฤษฎีองค์การแบบดงั้ เดิม ๓ - ทฤษฎอี งค์การแบบสมยั ใหม่ ๓ บรรยำย - ทฤษฎีองค์การสมยั ปจั จุบนั ยกตวั อยำ่ งประกอบ - ทฤษฎีพฤติกรรมองค์การ - องค์การอัจฉริยะ บทที่ ๓ ความแตกตา่ งและพฤติกรรมสว่ น บคุ คล ๔ - ประเภทความแตกต่างสว่ นบคุ คล ๓ บรรยำย - ความฉลาดทางอารมณ์ อีคิว (E.Q.) ยกตวั อยำ่ งประกอบ - ความฉลาดทางปัญญา ไอคิว (I.Q.) - ความแตกตา่ งระหว่างไอคิวกบั อีควิ
๒๘๒ สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จานวน กิจกรรมการเรียน ผสู้ อน ท่ี ชวั่ โมง การสอน สื่อท่ีใช้ (ถา้ ม)ี - การบริหารความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล - พฤตกิ รรมสว่ นบุคคล และของกลมุ่ - วัฒนธรรมกบั บคุ ลิกภาพ - ทัศนคติ บุคลกิ ภาพ - การรับรู้ ปจั จัยทม่ี ีผลตอ่ การรบั รู้ - การเรียนรู้ - ประเดน็ สาคัญของพฤติกรรมองคก์ ารใน ปจั จบุ ัน - พทุ ธวธิ กี บั กำรพฒั นำบุคลกิ ภำพ บทที่ ๔ การจูงใจ - ความหมายของการจูงใจ - ทฤษฎีการจูงใจ - ทฤษฎลี าดบั ขนั้ ตามความต้องการ ๕ - ทฤษฎอี ี อาร์ จี ๓ บรรยำย อ.อุบล วฒุ พิ รโสภณ - ทฤษฎีการจูงใจเพื่อความสาเร็จ ยกตวั อยำ่ งประกอบ - ทฤษฎสี องปจั จยั - ทฤษฎีความคาดหวงั - ทฤษฎคี วามเท่าเทยี มกัน - การบูรณาการของทฤษฎีการจูงใจ บทท่ี ๕ การตัดสินใจ - ความหมายของการตดั สินใจ - การตดั สินใจกับการจัดการ ๖ - กระบวนการการตัดสนิ ใจ ๓ บรรยำย อ.อุบล วุฒพิ รโสภณ - พฤตกิ รรมในการตัดสนิ ใจ ยกตวั อยำ่ งประกอบ - ประเภทของการตัดสินใจ - เทคนคิ ของการตัดสนิ ใจ - บุคคลที่ทาการตดั สินใจ
๒๘๓ สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จานวน กิจกรรมการเรยี น ผสู้ อน ที่ ชวั่ โมง การสอน ส่ือที่ใช้ (ถา้ ม)ี อ.อุบล วฒุ พิ รโสภณ ๗ บทที่ ๖ ภาวะผ้นู ากบั การจัดการ ๓ บรรยำย อ.อุบล วฒุ พิ รโสภณ ยกตวั อยำ่ งประกอบ อ.อุบล วุฒพิ รโสภณ - ความหมายของภาวะผนู้ า ๓ ๓ บรรยำย - ความหมายของผู้นา ๓ ยกตวั อยำ่ งประกอบ - ทฤษฏีภาวะผ้นู า บรรยำย ยกตวั อยำ่ งประกอบ - แบบของภาวะผู้นา - พฤตกิ รรมของผบู้ รหิ าร - แบบของภาวะผนู้ าตามความคิดสมัยใหม่ - ภาวะผ้นู าแบบมงุ่ งาน มุ่งความสมั พนั ธ์ - สถานการณก์ บั ประสทิ ธภิ าพของภาวะผู้นา - ภาวะผู้นาเชิงพทุ ธ บทที่ ๗ กลมุ่ ในองคก์ าร - ความหมายของกลุ่ม - ลักษณะของกลุ่มในองคก์ าร - ประเภทของกลมุ่ ในองค์การ ๘ - สาเหตุของการเกดิ กลุ่ม - หน้าทขี่ องกลมุ่ ในองค์การ - กระบวนการพัฒนาการเกดิ กลุ่ม - การป้องกนั ความขัดแยง้ ในกลุ่ม - ปัจจัยพ้นื ฐานของประสิทธิผลของกลมุ่ - ลักษณะของกล่มุ ทม่ี ปี ระสิทธภิ าพ และขาด ประสทิ ธิภาพ ๙ สอบกลางภาค บทที่ ๘ การทางานเป็นทีม - ความหมายของทีม - ทมี งานทม่ี ปี ระสิทธิภาพ ๑๐ - การสร้างทมี งาน - วธิ ีการบรหิ ารทีมงาน - บทบาทของทมี - การประเมินผลทีมงาน - การพฒั นาทีมงานใหเ้ ข้มแข็ง
๒๘๔ สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จานวน กิจกรรมการเรียน ผสู้ อน ท่ี ชวั่ โมง การสอน ส่ือที่ใช้ (ถ้าม)ี บทที่ ๙ ข่าวสารขอ้ มูลและการติดต่อส่ือสาร - ความหมายของการติดตอ่ สื่อสาร - กระบวนการติดต่อส่อื สาร - การติดตอ่ สื่อสารในองคก์ าร ๑๑ - การติดต่อสื่อสารจากบนลงลา่ งและจาก ๓ บรรยำย อ.อุบล วุฒพิ รโสภณ ลา่ งขนึ้ บน ยกตวั อยำ่ งประกอบ - การติดต่อสื่อสารแบบไมเ่ ป็นทางการ - เครอื ข่ายการตดิ ต่อส่ือสาร - ปญั หาในการตดิ ต่อสื่อสาร - การเพ่ิมประสิทธภิ าพในการตดิ ตอ่ สื่อสาร บทท่ี ๑๐ การบรหิ ารความขดั แยง้ - แนวคดิ เกี่ยวกบั ความขัดแย้ง - สภาพของความขดั แย้ง - ประเภทของความขัดแยง้ - สาเหตุของความขดั แยง้ - ปัจจัยท่สี ง่ ผลตอ่ การเพ่ิมความขัดแย้ง - หนา้ ตา่ ง โจฮารี ๓ บรรยำย อ.อุบล วุฒพิ รโสภณ ๑๒ - ผลกระทบของความขดั แยง้ ยกตวั อยำ่ งประกอบ - การบรหิ ารความขดั แยง้ - ทกั ษะทจ่ี าเป็นในการบรหิ ารความขดั แยง้ – การสร้างความขัดแยง้ - สถานการณ์ที่ควรสรา้ งความขดั แยง้ - พฤติกรรมในสถานการณค์ วามขัดแย้ง - แนวคดิ ในพระพุทธศำสนำทเ่ี กย่ี วกบั กำร จดั กำรควำมขดั แยง้ บทที่ ๑๑ การจดั โครงสรา้ งองคก์ าร - ความหมายของการจัดโครงสร้างองค์การ ๑๓ - แนวคิดการจัดโครงสรา้ งองค์การ ๓ บรรยำย ยกตวั อยำ่ ง อ.อุบล วุฒพิ รโสภณ - ประเภทของโครงสร้างองคก์ าร ประกอบ - ความสาคัญของการจดั โครงสร้างองค์การ
๒๘๕ สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จานวน กิจกรรมการเรยี น ผสู้ อน ท่ี ชวั่ โมง การสอน สื่อท่ีใช้ (ถ้าม)ี อ.อุบล วุฒพิ รโสภณ - ลกั ษณะและรปู แบบโครงสร้างองค์การ ๓ บรรยำย อ.อุบล วุฒพิ รโสภณ ยกตวั อยำ่ งประกอบ - ปัจจัยทีม่ ผี ลตอ่ โครงสรา้ งองค์การ บรรยำย - แนวคิดทฤษฎีการจดั โครงสร้างองค์การ ยกตวั อยำ่ งประกอบ - ทฤษฎโี ครงสรา้ งแบบจักรกล กับทฤษฎี โครงสรา้ งแบบมชี ีวิต - องคป์ ระกอบพน้ื ฐานของการออกแบบ โครงสรา้ งสมัยใหม่ - การจัดองค์การยคุ การเปลีย่ นแปลง - รปู แบบโครงสร้างองค์การสมัยใหม่ - แนวโน้มการจดั โครงสรา้ งองคก์ ารสมยั ใหม่ บทที่ ๑๒ วฒั นธรรมองคก์ าร - ความหมายของวัฒนธรรมองคก์ าร - องคป์ ระกอบของวัฒนธรรมองค์การ - ลกั ษณะของวัฒนธรรมองค์การ - ประเภทวัฒนธรรมองคก์ าร ๑๔ - ระดบั ของวัฒนธรรมองคก์ าร - หน้าทข่ี องวฒั นธรรมองค์การ - แนวความคิดของวฒั นธรรมองค์การ - ปจั จัยท่มี ีผลกระทบตอ่ วัฒนธรรมองค์การ - การสรา้ งวัฒนธรรมองคก์ าร - วัฒนธรรมองคก์ ารในพระพทุ ธศาสนา - การสร้างวฒั นธรรมองค์การตามหลกั พทุ ธธรรม บทท่ี ๑๓ พฤตกิ รรมองคก์ ารเชิงพทุ ธ - พฤติกรรมองคก์ ารเชงิ พทุ ธ - พน้ื ฐานสาคัญของวัฒนธรรม ๑๕ - หมวดวินัย - หมวดความต้ังใจ - หมวดปัญญา - พ้ืนฐานความรู้ดา้ นพฤติกรรมท่ีแสดงออก เชิงพทุ ธ
๒๘๖ สปั ดาห์ หวั ข้อ/รายละเอียด จานวน กิจกรรมการเรยี น ผสู้ อน ที่ ชวั่ โมง การสอน สื่อท่ีใช้ (ถา้ มี) - พฤติกรรมการแสดงออกด้วยมรรคแปด - แนวทางการประเมนิ พฤตกิ รรม - การแสดงออกพฤตกิ รรมทีพ่ ฒั นา ๑๖ สอบปลายภาค ๓ ๒. แผนการประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ที่ วิธีการประเมิน สัปดาห์ท่ปี ระเมิน สดั ส่วนของการ ประเมนิ ผล แบบฝึกหดั ๒-๑๔ ๑๐% ๑ สอบกลางภาค ๘ ๒๐% สอบปลายภาค ๑๖ ๔๐% วเิ คราะห์กรณีศกึ ษา ค้นคว้า การนาเสนอรายงาน ๒ การทางานกลมุ่ และผลงาน ตลอดภาคการศึกษา ๒๐% การอา่ นและสรปุ บทความ ๓ การเข้าชนั้ เรียน การมีส่วนรว่ ม อภิปราย เสนอความ ตลอดภาคการศึกษา ๑๐% คิดเห็นในชั้นเรียน หมวดที่ ๖ ทรัพยากรประกอบการเรียนการสอน ๑. เอกสารและตาราหลกั นิตพิ ล ภตู ะโชติ. พฤติกรรมองค์การ, กรงุ เทพมหานคร : สานกั พิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๖. ณฐั พนั ธ์ เขจรนนั ทร.์ พฤติกรรมองค์การ. กรุงเทพมหานคร : ซีเอด็ ยเู คชน่ั , ๒๕๕๑. สมคดิ บางโม. องค์การและการจดั การ. กรุงเทพมหานคร: วทิ ยพัฒน์, ๒๕๕๕. สรุ พล สยุ ะพรหม. ทฤษฎีองคก์ ารและการจัดการเชิงพทุ ธ. พระนครศรีอยธุ ยา : ภาควชิ ารฐั ศาสตร์ คณะ สงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๕. ๒๒๑ หน้า. ๒. เอกสารและข้อมูลสาคัญ ไม่มี
๒๘๗ ๓. เอกสารและขอ้ มลู แนะนา เว็บไซต์ ท่เี กยี่ วกับหัวข้อในประมวลรายวชิ า เช่น Wikipedia คาอธิบายศัพท์ ชนงกรณ์ กณุ ฑลบุตร. หลักการจดั การและองคก์ ารและการจดั การ. กรงุ เทพมหานคร:สานักพมิ พ์จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ,๒๕๕๒. ทพิ วรรณ หลอ่ สวุ รรณรตั น์,ทฤษฎีองคก์ ารสมัยใหม่. กรงุ เทพมหานคร: บรษิ ทั ดี.เค.ปริน้ ต้งิ เวิลด์ จากัด.๒๕๕๓. Baron and Greenberg, R.A. Behavior in organizations, 6th ed. Upper Saddle River, NJ : Prentice Hall. 1997. Chester I. Barnard, The Function of the Executive, )Cambridge: Harvard University Press, 1970), p. 19. Daft, Richard L. Essentials of Organization Theory & Design. Cincinnati, Ohio: South-Western College Pub., 2001. Hodge, Billy J., ed. Organization Theory. Boston : Allyn and Bacon, 1988. Max Weber,The Theory of Social and Economic Organization, )new York: Oxford University Press, 1966), p. 221. Robbins, S.P. Organizational Behavior, 9th ed. Upper Saddle River, NJ. : Prentice-Hall, 2001. Talcott Parsons, Toward a General Theory of Action, (new York: Harper & Row Publishers, 1972), p. 72. หมวดที่ ๗ การประเมินและปรบั ปรงุ การดาเนินการของรายวิชา ๑. กลยทุ ธก์ ารประเมินประสิทธิผลของรายวิชาโดยนิสิต กำรประเมนิ ประสทิ ธผิ ลในรำยวชิ ำน้ี ทจ่ี ดั ทำโดยนิสติ ได้จดั กจิ กรรมในกำรนำแนวคดิ และควำมเหน็ จำก นิสติ ไดด้ งั น้ี - กำรสนทนำกลุ่มระหวำ่ งผสู้ อนและผเู้ รยี น - กำรสงั เกตพฤตกิ รรมของผเู้ รยี น - แบบประเมนิ ผสู้ อน และแบบประเมนิ รำยวชิ ำ ๒. กลยทุ ธก์ ารประเมินการสอน ในกำรเกบ็ ขอ้ มลู เพ่อื ประเมนิ กำรสอน ไดม้ กี ลยทุ ธ์ ดงั น้ี - ผลกำรสอบ - กำรทบทวนสอบผลประเมนิ กำรเรยี นรู้ ๓. การปรบั ปรงุ การสอน หลงั จำกผลกำรประเมนิ กำรสอนในขอ้ ๒ จงึ มกี ำรปรบั ปรุงกำรสอน โดยกำรจดั กจิ กรรมในกำรระดมสมอง และ หำขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ ในกำรปรบั ปรงุ กำรสอน ดงั น้ี - สมั มนำกำรจดั กำรเรยี นกำรสอน - กำรวจิ ยั ในและนอกชนั้ เรยี น
๒๘๘ ๔. การทวนสอบมาตรฐานผลสมั ฤทธ์ิของนิสิตในรายวิชา ในระหว่ำงกระบวนกำรสอนรำยวชิ ำ มกี ำรทวนสอบผลสมั ฤทธใิ ์ นรำยหวั ขอ้ ตำมทค่ี ำดหวงั จำกกำรเรยี นรใู้ น วชิ ำ ได้จำก กำรสอบถำมนิสติ หรอื กำรสุ่มตรวจผลงำนของนิสติ รวมถงึ พจิ ำรณำจำกผลกำรตอบแบบฝึกหดั และหลงั กำรออกผลกำรเรยี นรำยวชิ ำ มกี ำรทวนสอบผลสมั ฤทธโิ ์ ดยรวมในวชิ ำไดด้ งั น้ี - กำรทวนสอบกำรใหค้ ะแนนจำกกำรส่มุ ตรวจผลงำนของนิสติ โดยอำจำรยอ์ ่นื หรอื ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ ทไ่ี มใ่ ชอ่ ำจำรย์ ประจำหลกั สตู ร - มกี ำรตงั้ คณะกรรมกำรในสำขำวชิ ำ ตรวจสอบผลกำรประเมนิ กำรเรยี นรขู้ องนสิ ติ โดยตรวจสอบขอ้ สอบ รำยงำน วธิ กี ำรใหค้ ะแนนสอบ และกำรใหค้ ะแนนพฤตกิ รรม ๕. การดาเนินการทบทวนและการวางแผนปรบั ปรงุ ประสิทธิผลของรายวิชา จำกผลกำรประเมนิ และทวนสอบผลสมั ฤทธปิ ์ ระสทิ ธผิ ลรำยวชิ ำ ไดม้ กี ำรวำงแผนกำรปรบั ปรงุ กำรสอน และ รำยละเอยี ดวชิ ำ เพ่อื ใหเ้ กดิ คุณภำพมำกขน้ึ ดงั น้ี - ปรบั ปรงุ รำยวชิ ำทุก ๓ ปี หรอื ตำมขอ้ เสนอแนะและผลกำรทวนสอบมำตรฐำนผลสมั ฤทธติ ์ ำมขอ้ ๔ - เปลย่ี นหรอื สลบั อำจำรยผ์ สู้ อน เพอ่ื ใหน้ ิสติ มมี มุ มองในเรอ่ื งกำรประยกุ ตค์ วำมรหู้ รอื แนวคดิ ใหมๆ่
คำนำ “ทฤษฎี และพฤติกรรมองค์การ” (๔๐๑ ๓๑๑) มีความสาคัญและจาเป็นสาหรับทุกคนในองค์การ โดยเฉพาะผู้บริหาร หัวหน้างาน บุคลากร เพราะเป็นพ้ืนฐานในการทางานและการจัดการองค์การ โดยจะทา ให้ทราบพ้นื ฐานความรู้ ความเข้าใจ และการมีปฏสิ ัมพนั ธภ์ ายในองค์การทั้งระดับบุคคล ระดับกลุ่ม และระดับ องคก์ าร โดยจะทาใหส้ ามารถที่จะคาดการณ์ ดาเนินการ และบรหิ ารงานได้อย่างมีประสทิ ธิภาพ เอกสารการสอนวิชาทฤษฎีและพฤติกรรมองค์การที่ได้จัดทาข้ึนน้ีมีเนื้อหาท้ังหมด ๑๓ บท ประกอบด้วย ความรู้ท่ัวไปเก่ียวกับองค์การ ทฤษฎีองค์การ ความแตกต่างและพฤติกรรมส่วนบุคคล การจูงใจ การตัดสินใจ ภาวะผู้นากับการจัดการ กลุ่มในองค์การ การทางานเป็นทีม ข่าวสารข้อมูลและการติดต่อสื่อสาร การบริหาร ความขดั แย้ง การจัดโครงสรา้ งองคก์ าร วฒั นธรรมองค์การ และพฤติกรรมองค์การเชงิ พทุ ธ วัตถุประสงค์ของการจัดทาเอกสารการสอนวิชาทฤษฎีและพฤติกรรมองค์การคร้ังนี้ เพ่ือใช้ประกอบ การเรียนการสอนในวิชาทฤษฎีและพฤติกรรมองค์การที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี ในคณะสังคมศาสตร์ สาขารฐั ประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ผู้จัดทาหวังว่าเอกสารประกอบการสอน เลม่ น้ี จะเปน็ ประโยชน์สาหรับนิสิต และนกั ศึกษาและผสู้ นใจท่วั ไป ดร.อบุ ล วุฒิพรโสภณ ๒๕๕๘
ข หนา้ สารบัญ ก ข คานา ญ สารบญั ฏ สารบัญภาพ สารบัญตาราง ๑ ๒ บทท่ี ๑ ความรทู้ ว่ั ไปเก่ียวกับองค์การ (Introduction of Organization) ๔ ความหมายขององค์การ ๔ ลักษณะขององค์การ ๖ การจาแนกประเภทขององค์การ ๗ วตั ถปุ ระสงค์ขององคก์ าร ๘ ความจาเปน็ ของการมอี งค์การ ๙ องค์การเชิงพุทธ ๑๐ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งองคก์ ารและการจัดการเชงิ พุทธ ๑๒ ความรเู้ บอื้ งตน้ เกย่ี วกบั พฤติกรรมองค์การ ๑๕ ความสัมพันธร์ ะหว่างพฤติกรรมองค์การกับศาสตร์อืน่ ๑๘ การวเิ คราะห์พฤติกรรมองค์การ ๑๙ สรุปทา้ ยบท ๒๐ คาถามท้ายบท ๒๑ เอกสารอ้างองิ ประจาบท ๒๔ ๒๔ บทที่ ๒ ทฤษฎอี งคก์ าร (Organization Theory ๒๖ ทฤษฎอี งค์การสมยั ดง้ั เดิม ๒๗ ทฤษฎอี งคก์ ารของอองรี ฟาโยล ๒๘ ทฤษฎอี งค์การของแมกซ์เวเบอร์ ๓๐ ทฤษฎอี งค์การสมัยใหม่ ๓๐ ทฤษฎหี มุดเชื่อมโยงของเรนซิสไลเกริ ์ต ทฤษฎีองค์การสมยั ปัจจุบนั ทฤษฎอี งคก์ ารของบารน์ าร์ด
ค หนา้ สารบัญ (ตอ่ ) ๓๑ ๓๓ ทฤษฎีองค์การของวีเนอร์ ๓๘ ทฤษฎีพฤตกิ รรมองค์การ ๓๙ องค์การอจั ฉรยิ ะ สรุปท้ายบท ๔๑ คาถามท้ายบท ๔๒ เอกสารอา้ งอิงประจาบท ๔๓ บทที่ ๓ ความแตกตา่ งและพฤตกิ รรมสว่ นบคุ คล ๔๔ ประเภทความแตกต่างส่วนบคุ คล ๔๙ อคี วิ (E.Q.) ความฉลาดทางอารมณ์ ๕๑ ลกั ษณะที่ดีของอคี วิ ๕๒ แนวคิดเรอ่ื งความฉลาดทางอารมณข์ องกรมสุขภาพจิต ๕๓ การวัดอคี ิว (E.Q.) หรือความฉลาดทางอารมณ์ ๕๔ ไอควิ (I.Q.) ความฉลาดทางด้านเชาวนป์ ัญญา ๕๖ การวดั ไอควิ หรอื การวัดระดบั เชาวน์ปญั ญา ๕๗ ความแตกตา่ งระหวา่ งไอควิ (I.Q.) กบั อีคิว (E.Q.) ๕๘ การบรหิ ารความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล ๕๙ พฤติกรรมสว่ นบุคคล ๖๓ The Big – Five Model of Personality ๖๔ การทานายพฤติกรรมจากคุณลักษณะของบคุ ลิกภาพ ๖๕ วฒั นธรรมกบั บคุ ลกิ ภาพ (Personality Type in Different Cultures) ๖๘ ประเดน็ สาคัญของพฤตกิ รรมองค์การในปัจจบุ นั ๗๐ พุทธวธิ ีพฒั นาบุคลกิ ภาพ ๗๔ สรุปทา้ ยบท ๗๕ คาถามท้ายบท ๗๖ เอกสารอ้างองิ ประจาบท
ง หน้า สารบญั (ตอ่ ) ๗๗ ๗๘ บทท่ี ๔ การจูงใจ (M๐tivation) ๘๑ ความหมายของการจูงใจ ๘๓ ทฤษฎีการจูงใจ ๘๗ ทฤษฎีลาดบั ขน้ั ความต้องการ (Hierarchy of Needs Theory) ๘๘ ทฤษฎอี ี-อาร์-จี (ERG Theory) ๘๙ ทฤษฎีการจูงใจเพื่อความสาเรจ็ (Achievement Motivation Theory) ๙๑ ทฤษฎสี องปัจจัย (Two Factor Theory) ๙๒ ทฤษฎีความคาดหวัง (Expectancy Theory) ๙๔ ทฤษฎคี วามเทา่ เทยี มกนั (Equity Theory) ๙๖ การบรู ณาการของทฤษฎกี ารจงู ใจ ๙๗ สรปุ ทา้ ยบท ๙๘ คาถามท้ายบท ๙๙ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๑๐๑ ๑๐๑ บทที่ ๕ การตดั สนิ ใจ (Decision Making) ๑๐๓ การตดั สนิ ใจ ๑๐๕ การตดั สนิ ใจกับการจัดการ ๑๐๘ ระดบั ของการตัดสนิ ใจภายในองค์การ ๑๐๙ กระบวนการตัดสนิ ใจ ๑๑๑ พฤติกรรมในการตดั สนิ ใจ ๑๑๓ ประเภทของการตัดสนิ ใจ ๑๑๕ เทคนคิ การตดั สนิ ใจ ๑๑๖ บุคคลท่ีทาการตัดสนิ ใจ ๑๑๗ สรุปทา้ ยบท คาถามท้ายบท เอกสารอา้ งอิงประจาบท
จ หนา้ สารบัญ (ตอ่ ) ๑๑๘ ๑๑๙ บทท่ี ๖ ภาวะผ้นู ากบั การจัดการ (Leadership in Management) ๑๒๐ ความหมายของภาวะผู้นา ๑๒๑ ความหมายของผ้นู า ๑๒๓ ทฤษฎีภาวะผูน้ า ๑๒๕ แบบของภาวะผูน้ า ๑๒๖ พฤติกรรมของผู้บรหิ าร ๑๓๒ แบบของภาวะผู้นาตามแนวความคิดสมยั ใหม่ ๑๓๒ ผนู้ าแบบมุ่งงานและแบบมงุ่ ความสมั พันธ์ ๑๓๔ สถานการณ์กับประสิทธภิ าพของภาวะผนู้ า ๑๓๔ ประสทิ ธิภาพของผ้นู า ๑๓๘ ภาวะผู้นาเชิงพทุ ธ (Buddhist Leadership) ๑๓๙ สรุปท้ายบท ๑๔๐ คาถามท้ายบท ๑๔๑ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๑๔๒ ๑๔๓ บทท่ี ๗ กลมุ่ ในองคก์ าร (Groups in organization) ๑๔๔ ความหมายของกลุม่ ๑๔๙ ลักษณะของกลุ่มในองค์การ ๑๕๐ ประเภทของกลมุ่ ในองค์การ ๑๕๒ สาเหตุของการเกิดกล่มุ ๑๕๕ หน้าที่ของกลมุ่ ในองค์การ ๑๕๖ กระบวนการพัฒนาการเกดิ กล่มุ ๑๕๗ การป้องกนั ความขัดแยง้ ในกลุ่ม ๑๕๘ ปัจจัยพืน้ ฐานของประสิทธิผลของกลมุ่ ๑๕๙ ลักษณะของกลุ่มทมี่ ปี ระสทิ ธิภาพ ๑๖๐ ลักษณะของกลุ่มทขี่ าดประสิทธภิ าพ ๑๖๑ บทสรปุ คาถามทา้ ยบท เอกสารอา้ งองิ ประจาบท
ฉ หนา้ สารบัญ (ตอ่ ) ๑๖๒ ๑๖๔ บทท่ี ๘ การทางานเปน็ ทีม (Team Working) ๑๖๔ ความหมายของทมี งาน ๑๖๖ ทมี งานท่ีมีประสิทธิภาพ ๑๖๗ การสรา้ งทีมงาน ๑๖๗ การบรหิ ารทีมงาน ๑๖๙ วิธีการบริหารทีมงาน ๑๗๐ บทบาทของทีมงาน ๑๗๒ การประเมินผลทีมงาน ๑๗๓ การพัฒนาทมี งานให้เขม้ แขง็ ๑๗๔ สารสนเทศระดบั ทมี งาน ๑๗๕ สรปุ ท้ายบท ๑๗๖ คาถามทา้ ยบท ๑๗๗ เอกสารอ้างองิ ประจาบท ๑๗๘ ๑๗๙ บทที่ ๙ ข่าวสารข้อมลู และการติดต่อส่ือสาร (Information and communication) ๑๘๒ ความหมายของการตดิ ต่อสอื่ สาร ๑๘๔ กระบวนการติดต่อส่ือสาร ๑๘๕ การติดต่อส่ือสารในองค์การ ๑๘๕ ช่องทางการตดิ ต่อสื่อสารจากบนลงลา่ ง ๑๘๖ ช่องทางการตดิ ต่อสอ่ื สารจากลา่ งข้ึนบน ๑๘๙ การติดต่อสอ่ื สารแบบไม่เปน็ ทางการ ๑๙๐ เครอื ข่ายการติดต่อส่ือสาร ๑๙๑ ปญั หาของการตดิ ตอ่ ส่ือสาร ๑๙๓ การเพ่ิมประสิทธภิ าพในการติดต่อสื่อสาร ๑๙๔ สรปุ ทา้ ยบท คาถามท้ายบท เอกสารอา้ งองิ ประจาบท
ช หนา้ สารบญั (ตอ่ ) ๑๙๕ ๑๙๖ บทที่ ๑๐ การบรหิ ารความขัดแยง้ (Conflict Management) ๑๙๗ แนวคดิ เก่ียวกบั ความขัดแย้ง ๑๙๗ สภาพของความขัดแย้ง ๑๙๘ ประเภทของความขัดแย้งในองค์การ ๑๙๙ สาเหตุของความขัดแย้ง ๒๐๐ ปจั จยั ทส่ี ง่ ผลตอ่ การเพม่ิ ความขัดแย้ง ๒๐๑ หน้าต่างโจฮารี ๒๐๒ การพัฒนาความสมั พันธ์ ๒๐๓ ผลกระทบของความขดั แย้ง ๒๐๔ การบรหิ ารความขัดแย้ง ๒๐๖ วธิ ีบรหิ ารความขัดแยง้ ๒๐๘ ทักษะท่จี าเป็นในการบริหารความขดั แย้ง ๒๐๙ การฟัง ๒๐๙ ความสามารถในการเผชญิ หน้า ๒๑๐ การมีความยืดหยนุ่ ๒๑๐ การสร้างความขัดแยง้ ๒๑๑ สถานการณ์ทค่ี วรสรา้ งความขดั แย้ง ๒๑๑ พฤติกรรมในสถานการณ์ขดั แยง้ ๒๑๒ แบบพฤติกรรมท่เี หมาะสมในสถานการณ์ขดั แย้ง ๒๑๔ แนวคดิ ในพระพทุ ธศาสนาที่เกีย่ วข้องกบั การจดั การความขดั แย้ง บทสรปุ ๒๑๕ คาถามทา้ ยบท ๒๑๖ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท
ซ หนา้ สารบัญ (ตอ่ ) ๒๑๗ ๒๑๘ บทที่ ๑๑ การจดั โครงสร้างองค์การ (Organization Structure) ๒๑๙ ความหมายของการจัดโครงสรา้ งองค์การ แนวคดิ การจดั การโครงสร้างองค์การ ๒๒๐ ประเภทของโครงสร้างองค์การ ๒๒๓ ความสาคญั ของการจดั โครงสร้างองค์การ การกาหนดโครงสรา้ งองคก์ ารในหลายรปู แบบ ๒๒๓ ลักษณะและรูปแบบโครงสรา้ งองค์การ ๒๒๔ ปจั จัยที่มีผลตอ่ โครงสรา้ งองค์การ แนวคิดเชงิ ทฤษฎีตอ่ การจดั โครงสร้างองค์การ ๒๒๕ ทฤษฎีโครงสร้างแบบจักรกลกับทฤษฎีโครงสรา้ งแบบมีชวี ิต ๒๒๕ องคป์ ระกอบพ้นื ฐานของการออกแบบโครงสร้างสมยั ใหม่ ๒๒๗ การจัดการองค์องคก์ ารแห่งยุคการเปล่ียนแปลง ๒๒๘ การจัดโครงสร้างการเพื่อตอบสนองกลยทุ ธ์ ๒๒๙ รูปแบบโครงสร้างองค์การสมัยใหม่ ๒๒๙ แนวโนม้ การจัดโครงสรา้ งองค์การสมัยใหม่ ๒๓๐ สรปุ ทา้ ยบท ๒๓๐ คาถามท้ายบท ๒๓๒ เอกสารอ้างองิ ประจาบท ๒๓๓ บทท่ี ๑๒ วฒั นธรรมองคก์ าร (Organizational Culture) ๒๓๔ ความหมายของวัฒนธรรมองค์การ ๒๓๕ องค์ประกอบของวฒั นธรรมองคก์ าร ๒๓๖ ลกั ษณะของวัฒนธรรมองคก์ าร ๒๓๘ ประเภทของวฒั นธรรมองคก์ าร ๒๓๙ ระดับของวัฒนธรรมองค์การ ๒๔๐ ๒๔๒
ฌ หนา้ สารบัญ (ตอ่ ) ๒๔๔ ๒๔๕ หนา้ ทขี่ องวฒั นธรรมองค์การ ๒๔๗ แนวความคิดของวฒั นธรรมองคก์ าร ๒๔๘ ปัจจยั ท่มี ีผลกระทบต่อวฒั นธรรมองค์การ ๒๔๙ การสร้างวฒั นธรรมองค์การ ๒๕๐ วัฒนธรรมองค์การในพระพุทธศาสนา ๒๕๑ การสรา้ งวฒั นธรรมองค์การตามหลักพุทธธรรม ๒๕๒ สรปุ ท้ายบท ๒๕๓ คาถามท้ายบท ๒๕๔ เอกสารอา้ งองิ ประจาบท ๒๕๕ บทที่ ๑๓ พฤติกรรมองคก์ ารเชิงพทุ ธ (Buddhist Organization Behavioral) ๒๕๕ หมวดวินัย ๒๕๖ หมวดความตง้ั ใจ ๒๕๙ หมวดปญั ญา ๒๖๐ การประเมินศกั ยภาพจากพฤตกิ รรมแสดงออกเชงิ พุทธ ๒๖๔ แนวทางประเมนิ พฤตกิ รรมแสดงออก ๒๖๖ การบรหิ ารงานอย่างมีจรยิ ธรรม ๒๖๗ สรปุ ทา้ ยบท ๒๖๘ คาถามท้ายบท เอกสารอา้ งอิงประจาบท ๒๖๙ ๒๗๕ บรรณานกุ รม ภาคผนวก
ญ หนา้ สารบัญภาพ ๕ ๗ ภาพท่ี ๑๔ ๑๕ ๑.๑ ประเภทขององค์การ ๑๖ ๑.๒ วตั ถุประสงค์ขององค์การ ๑๖ ๑.๓ แสดงความสัมพนั ธ์ระหว่างพฤติกรรมองค์การกบั ศาสตรอ์ นื่ ๑๗ ๑.๔ แสดงตวั แบบพฤติกรรมองค์การพนื้ ฐาน ๒๕ ๑.๕ แสดงปัจจยั ในการวิเคราะหพ์ ฤติกรรมระดบั บุคคล ๒๙ ๑.๖ แสดงปจั จัยในการวเิ คราะห์พฤตกิ รรมระดับกลุ่ม ๓๑ ๑.๗ แสดงปัจจยั ในการวเิ คราะห์พฤติกรรมระดบั องค์การ ๓๖ ๒.๑ สายการบงั คบั บญั ชา ๗๙ ๒.๒ การจดั องคก์ ารแบบหมดุ เชื่อมโยง ๘๑ ๒.๓ แสดงองคก์ ารในฐานะเป็นระบบ ๘๒ ๒.๔ แสดงพฤติกรรมการจงู ใจแบบเสริมแรง ๘๔ ๔.๑ แบบจาลองการจงู ใจ ๘๗ ๔.๒ แบบจาลองการจูงใจกับความสาเรจ็ ขององค์การ ๙๐ ๔.๓ กล่มุ ของทฤษฎีการจงู ใจ ๙๒ ๔.๔ ลาดับข้ึนความตอ้ งการของ Maslow ๙๓ ๔.๕ ทฤษฎี อี-อาร์-จี ของ ALDERFER ๙๔ ๔.๖ ความพอใจและความไม่พอใจในงาน ๑๐๒ ๔.๗ แบบจาลองความคาดหวัง ๑๐๔ ๔.๘ สถานการณ์ท่เี กดิ ขึ้นตามทฤษฎคี วามเทา่ เทยี มกัน ๑๐๗ ๔.๙ ลาดบั ขน้ึ ตอนการจงู ใจ ๑๐๘ ๕.๑ บทบาททางการจัดการ ๕.๒ ระดับการตัดสนิ ใจภายในองค์การ ๕.๓ กระบวนการตดั สนิ ใจและการแก้ปัญหา ๕.๔ สถานการณ์แวดล้อมเก่ียวกบั พฤติกรรมการตัดสนิ ใจ
ฎ หนา้ สารบัญภาพ (ตอ่ ) ๑๑๐ ๑๑๑ ภาพที่ ๑๒๔ ๑๒๕ ๕.๕ ประเภทขอการตดั สินใจตามโคตรงสรา้ งปญั หา ๑๒๗ ๕.๖ เทคนคิ การตัดสินใจ ๑๒๙ ๖.๑ ความสมั พนั ธ์ในกลมุ่ ที่มีผ้นู า ๓ แบบ ๑๓๐ ๖.๒ แนวตอ่ เน่ืองของพฤติกรรมผูน้ า ๑๓๑ ๖.๓ การบริหารเป็นระบบสงั คม ๑๔๕ ๖.๔ ผู้นาแบบมงุ่ งาน – มุง่ ความสาเร็จ ๑๕๒ ๖.๕ สรปุ ผลการศึกษาวิจยั ของไลเคริ ์ต ๑๕๗ ๖.๖ ตาข่ายการบริหาร ๑๖๘ ๗.๑ แสดงกลมุ่ บังคบั บัญชา ๑๘๑ ๗.๒ แสดงข้ันตอนการพฒั นาการเกิดกลมุ่ ๑๘๓ ๗.๓ แสดงกลุ่มงานที่เป็นระบบปิด ๑๘๗ ๘.๑ วฏั จักรเดมมิง ๑๘๗ ๙.๑ แสดงกระบวนการติดต่อสือ่ สาร ๑๘๘ ๙.๒ แสดงการติดต่อส่ือสารในองค์การ ๑๘๘ ๙.๓ แสดงการตดิ ต่อสื่อสารแบบลูกโซ่ ๑๘๙ ๙.๔ แสดงการตดิ ตอ่ สื่อสารแบบตวั วาย ๒๐๐ ๙.๕ แสดงการตดิ ตอ่ สื่อสารแบบมีศูนย์กลาง ๒๒๒ ๙.๖ แสดงการตดิ ต่อแบบวงกลม ๒๒๗ ๙.๗ แสดงการตดิ ตอ่ สื่อสารแบบครบวงจร ๒๒๘ ๑๐.๑ หนา้ ต่างโจฮารี ๑๑.๑ แสดงโครงสรา้ งแบบแมททรกิ ซ์ ๑๑.๒ โครงสร้างแบบจกั รกล ๑๑.๓ โครงสร้างแบบมีชีวิต
ฏ หนา้ สารบัญตาราง (ตอ่ ) ๕๗ ๕๗ ตารางท่ี ๘๕ ๙๐ ๓.๑ แสดงระดับเชาวน์ปัญญากบั คา่ ของไอควิ ๑๕๔ ๓.๒ แสดงตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง อีคิวกับไอคิว ๒๔๑ ๔.๑ รางวลั และการปฏบิ ัตภิ ายในองค์การทสี่ ัมพันธ์กับลาดับข้นั ความต้องการของ Maslo ๒๕๙ ๔.๒ ตารางเปรียบเทียบปจั จัยบารงุ รกั ษา ๒๖๐ ๗.๑ แสดงหลักเกณฑ์ ๑๐ อย่างทีใ่ ช้ในการจดั ความเจริญของกล่มุ ๑๒.๑ แสดงประเภทของวฒั นธรรมองค์การ ๑๓.๑ หัวข้อหลกั ในการประเมินพฤติกรรมแสดงออกในมุมมองของการพัฒนา ๑๓.๒ พฤติกรรมแสดงออกกับการพัฒนาในมุมมองอรยิ มรรค
๑ บทที่ ๑ ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกบั องค์การ (Introduction of Organization) ขอบข่ายรายวิชา ๑. ความหมายขององคก์ ารและลกั ษณะขององค์การ ๒. การจาแนกประเภทขององคก์ าร ๓. วตั ถุประสงค์ขององคก์ ารและความจาเป็นของการมอี งค์การ ๔. องค์การเชิงพทุ ธ ๕. ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งองคก์ ารและการจดั การเชงิ พุทธ ๖. ความรูเ้ บ้อื งต้นเกี่ยวกบั พฤตกิ รรมองค์การ ๗. ลักษณะของวชิ าพฤตกิ รรมองค์การ ๘. ความสมั พันธ์ระหวา่ งพฤติกรรมองค์การกบั ศาสตรอ์ น่ื ๙. การวิเคราะหพ์ ฤติกรรมองค์การท้งั ระดับบคุ คล ระดบั กลุ่ม และระดบั องคก์ าร วตั ถปุ ระสงค์ ๑. เพอ่ื ศึกษาและเข้าใจความหมายขององค์การ ๒. เพอื่ ศกึ ษาและเข้าใจวัตถุประสงคข์ ององค์การ ๓. เพื่อศึกษาและเขา้ ใจองค์การเชงิ พทุ ธ ๔. ความสมั พันธร์ ะหวา่ งองค์การและการจดั การเชิงพุทธ ๕. เพ่ือศกึ ษาและเข้าใจความหมายของพฤติกรรมองค์การ ๖. เพ่ือศกึ ษาและเข้าใจลักษณะของวิชาพฤติกรรมองค์การ ๗. เพอ่ื ศกึ ษาและเข้าใจการวิเคราะหพ์ ฤติกรรมองคก์ ารระดบั บคุ ล ระดบั กลุ่ม และ ระดับองค์การ
๒ คานา องค์การมคี วามสาคัญในการดาเนนิ งานของภาคเอกชน และภาครัฐ โดยเป็นที่รวมของบุคคล ที่แตกต่างกันทั้งอายุ สถานภาพ การศึกษา ศาสนา ฯลฯ ลักษณะงานที่ดาเนินอยู่เป็นภาคเอกชน จะเน้นด้านการให้บริการ ภาครัฐก็จะเน้นสร้างความพึงพอใจแก่ประชาชน ภาคการศึกษาเน้นการ สร้างบุคลากรที่มีคุณภาพ โดยงานที่ทานั้นจะบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การหรือไม่ จะขึ้นอยู่กับ การจัดการองคก์ ารเปน็ หลัก องค์การจะมหี ลายลกั ษณะทัง้ เป็นกระบวนการเป็นระบบจัดการภายใน ใช้บุคลากรให้ตรงกับ งานและความสามารถ และมีการนาทรัพยากรขององค์การ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุด องค์การ มิใช่มีเฉพาะในภาคเอกชน และภาครัฐเท่านั้น แต่รวมถึงการจัดองค์การทางศาสนา โดยได้มีการนา หลักทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการจัดองค์การ เช่น อิทธิบาทสี่ (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วมิ ังสา) หรืออรยิ สัจส่ี (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) เป็นหลักธรรมท่ีเน้นการทางานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน พระพุทธศาสนายังกล่าวถึงคุณสมบัติของผู้นาในองค์การ และ การทางานที่ให้ความสาคัญเร่ืองวัฒนธรรม และจริยธรรม ที่จะช่วยแก้ปัญหาเร่ืองพฤติกรรมองค์การ ของบุคลากรได้อย่างดี รวมถึงหลักทฤษฎีองค์การ และทฤษฎีพฤติกรรมองค์การมาประยุกต์ใช้กับ การจัดการตามแนวพระพทุ ธศาสนา มนษุ ยม์ ีการรวมตวั กันเปน็ กลุ่มเพ่อื ความมัน่ คง ความปลอดภัยเพ่ือการพ่ึงพากัน แต่มนุษย์ ก็มีความแตกต่างกันด้านความรู้ ความสามารถ และทักษะที่แตกต่างในการอยู่ร่วมกัน ดังน้ัน การศึกษาพฤติกรรมองค์การเป็นการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ ทัศนคติ ค่านิยม การรับรู้และการเรียนรู้ ของคน โดยใช้ศาสตร์สาขาต่างๆ เพื่อเป็นศาสตร์พ้ืนฐานในการศึกษาพฤติกรรมของคนในองค์การ โดยตอ้ งทาการวิเคราะหพ์ ฤตกิ รรมองคก์ ารในหลายระดับ จึงได้มีการแบ่งศึกษาออกเป็น ๓ ระดับ คือ ระดับบุคคล ซึ่งเป็นการศึกษาถึงรายละเอียดของบุคคล เช่น นิสัย สถานภาพ บุคลิกภาพ ฯลฯ ระดับกลุ่ม เช่น การส่ือสารในกลุ่ม การตัดสินใจกลุ่ม ภาวะผู้นา ความขัดแย้ง ฯลฯ และระดับองค์การ เป็นการศกึ ษาในภาพรวมองค์การ โดยแต่ละองค์การจะมีภาพรูปแบบขององค์การท่ีแตกต่างกัน และ การแสดงออกพฤตกิ รรมของบุคคลในองคก์ ารจะเป็นไปตามท่ีองค์การต้องการ ๑. ความหมายขององค์การ นักวิชาการด้านการจัดการ และการบริหารได้วิเคราะห์ศัพท์ และให้ความหมายคาว่า องคก์ าร ไว้มากมายหลายแนวคดิ ซึ่งมคี วามหมายคล้ายคลึงกนั ดงั น้ี
๓ แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) กล่าวว่า องค์การคือ หน่วยสังคมหรือหน่วยงานซ่ึงมีกลุ่ม บุคคลกลุ่มหนึง่ ร่วมกนั ดาเนนิ กิจกรรมตา่ งๆ เพื่อให้บรรลุเปา้ หมายอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ๑ เชสเตอร์ บาร์นาร์ด (Chester Barnard) ให้คาจากัดความว่า องค์การที่เป็นแบบแผน หมายถึง ความร่วมมือกันระหว่างบุคคลหลายคนซึ่งมีความตั้งใจจริงที่จะร่วมกันดาเนินกิจกรรมให้ บรรลุวตั ถปุ ระสงค์๒ แทลคอตต์ พาร์สันส์ (Talcott Parsons) มีความเห็นว่า บรรดาระบบประสานสัมพันธ์ รว่ มมอื กันทางานทุกชนดิ ของมนุษย์จัดเป็น องคก์ าร ไดท้ ัง้ นัน้ ๓ เอมิไท เอตชิโอนิ (Amitai Etzioni) ให้ความหมายว่า องค์การหมายถึง หน่วยสังคมหรือ กลมุ่ บคุ คลทต่ี ้ังขน้ึ อยา่ งจงใจ เพอื่ ทางานใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายท่ีแน่นอนอยา่ งใดอย่างหนึ่ง๔ สมบูรณ์ ศรีสุพรรณดิษฐ์ ให้คาจากัดความไว้ว่า องค์การเป็นระบบประสานกิจกรรมของกลุ่มคน ซึง่ ร่วมงานกันเพอ่ื ให้บรรลุเปา้ หมายรวมภายใตก้ ารสง่ั การและความเปน็ ผูน้ า๕ สมคิด บางโม กล่าวว่า องค์การคือ กลุ่มบุคคลหลายๆคนร่วมกันทากิจกรรม เพ่ือให้บรรลุ เปา้ หมายทีต่ ัง้ ไว้ การรว่ มกันของกลุ่มตอ้ งถาวร มีการจัดระเบยี บภายในกลมุ่ เกีย่ วกบั อานาจหน้าท่ีของ แต่ละคน ตลอดจนกาหนดระเบยี บขอ้ บงั คบั ต่างๆใหย้ ึดถือปฏบิ ตั ิ จากคาจากัดความดงั กล่าวจะเห็นได้วา่ องคก์ ารมอี งคป์ ระกอบดังน้ี ๑. มีกลุม่ บุคคลรวมตวั กันอยา่ งถาวร ๒. ร่วมกันทากจิ กรรม ๓. เพอ่ื ใหบ้ รรลุเปา้ หมายรว่ มกนั จากความหมายขององค์การจะเห็นว่า ห้างหุ้นส่วน บริษัท สโมสร หน่วยราชการ โรงเรียน โรงพยาบาล มูลนิธิ และชมรม ล้วนเป็นองค์การท้ังส้ิน อน่ึง คาว่า องค์การ และองค์กรมีความหมาย เดียวกนั ๖ ๑ Max Weber, The Theory of Social and Economic Organization, (New York: Oxford University Press, 1966), p. 221. ๒ Chester I. Barnard, The Function of the Executive, (Cambridge: Harvard University Press, 1970), p. 19. ๓ Talcott Parsons, Toward a General Theory of Action, (New York: Harper & Row Publishers, 1972), p. 72. ๔ Amitai Etzioni, Modern Organization, (New Jersey: Prentice-Hall, 1964), p. 1. ๕ สมบรู ณ์ ศรสี พุ รรณดษิ ฐ์, การจัดการ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์บารุงนกุ ูลกิจ, ๒๕๑๘), หน้า ๙. ๖ สมคดิ บางโม, องค์การและการจัดการ. (กรุงเทพมหานคร : วิทยพฒั น,์ ๒๕๕๕), หน้า ๑๖.
๔ ๒. ลักษณะขององค์การ นกั วชิ าการไดศ้ ึกษาวเิ คราะห์องค์การในแงม่ มุ ต่างๆกนั ในหลายลักษณะ สรุปได้ดังน้ี๗ ๑. องคก์ ารเป็นโครงสร้างของความสัมพนั ธ์ แนวคิดน้ีมององค์การในลักษณะหน่วยงานย่อยต่างๆที่มีความสัมพันธ์กัน มีการกาหนด ขอบเขตหน้าทีค่ วามรบั ผดิ ชอบของแตล่ ะหน่วยงานยอ่ ย ๒. องค์การเป็นกลุ่มของบุคคล แนวคิดนี้มององค์การว่าเป็นกลุ่มบุคคลท่ีมีเป้าหมายร่วมกัน บุคคลจะแสวงหาความ ร่วมมือจากบคุ คลอืน่ ๆเสมอ ทางานร่วมกบั บุคคลอน่ื ก็เพอื่ สนองความต้องการของตน ๓. องคก์ ารเป็นสว่ นหน่งึ ของการจัดการ แนวคิดนี้มององค์การเป็นหน้าที่สาคัญอย่างหนึ่งของบริหารที่จะต้องทาการจัดการเพ่ือ นาปจั จัยตา่ งๆขององคก์ ารมาใช้ คือ คน เงิน วัสดุ และอุปกรณ์ตา่ งๆ ๔. องคก์ ารเปน็ กระบวนการ แนวคิดน้ีมององค์การเป็นกระบวนการจัดกลุ่มงานท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกันมารวมกันไว้ มีการแบง่ งานกนั ทาตามความถนัดและร่วมมือกันทางาน ๕. องคก์ ารเป็นระบบอยา่ งหนึ่ง แนวคิดนี้มององค์การเป็นระบบเปิดประกอบด้วยระบบย่อยๆโดยมีปัจจัยนาเข้า (Input) กระบวนการ (process) ผลผลิต (output) ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) และส่ิงแวดล้อม (environment) ๓. การจาแนกประเภทขององคก์ าร การจาแนกประเภทขององค์การอาจแบ่งได้โดยยดึ หลกั ตา่ งๆกันดังน้ี ๓.๑ การจาแนกองคก์ ารโดยยึดวตั ถุประสงคข์ ององค์การ พีเตอร์ บลัว และวิชาร์ด สกอตต์ (Peter Blua and Richard Scott) แบ่งองค์การออกเป็น ๔ กลุม่ ดงั ต่อไปน้ี๘ (๑) องค์การเพ่ือผลประโยชน์ร่วมของสมาชิก (Mutual-benefit) ได้แก่ องค์การท่ีจัดต้ัง ขึ้นเพอื่ ประโยชนข์ องสมาชิกโดยตรง เชน่ พรรคการเมือง สโมสร สมาคมวิชาชพี และสหกรณ์ ๗ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, การบริหารและการพัฒนาองค์การ, (กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทัยธรรมาธริ าช, ๒๕๓๐), หน้า ๓๔. ๘ Peter Blua and Richard Scott, formal organization, (San Francisco: Chandles, 1962), pp. 45-47.
๕ (๒) องค์การเพ่ือธุรกิจ (Business concern) ได้แก่ องค์การที่มุ่งแสวงหาผลประโยชน์ หรือกาไร เช่น บริษัท โรงงานอตุ สาหกรรม ห้างร้าน และธนาคาร (๓) องค์การเพ่ือสาธารณะ (Commonweal organization) ได้แก่ องค์การท่ีจัดข้ึนเพ่ือ ประโยชน์สว่ นรวมของประชาชน เชน่ กระทรวง ทบวง กรม กองทหาร สถานตี ารวจ (๔) องค์กรเพื่อการบริการ (Service organization) ได้แก่ องค์การที่มุ่งสร้างประโยชน์ แกส่ าธารณชนทั่วไป เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล สมาคมเพื่อการสังคมสงเคราะห์ตา่ งๆ เป็นต้น องคก์ าร เกณฑ์การแบ่ง ประเภทขององค์การ วตั ถุประสงค์ เพ่อื ประโยชนข์ องสมาชิก โครงสร้าง ธุรกิจ การเกิด บริการ สวสั ดิภาพของประชาชน เป็ นทางการ ไม่เป็ นทางการ แบบปฐม แบบมธั ยม ภาพท่ี ๑.๑ ประเภทขององค์การ ๓.๒ การจาแนกองค์การโดยยึดโครงสรา้ ง แบง่ ออกเป็น ๒ แบบ ดงั นี้ (๑) องค์การแบบเป็นทางการ (Formal organization) เป็นองค์การที่มีการจัด โครงสรา้ งอยา่ งเปน็ ระเบียบแบบแผนแน่นอน การจัดต้ังมีกฎหมายรองรับบางแห่งเรียกว่า องค์การรูปนัย ได้แก่ บริษัท มูลนิธิ หน่วยงานราชการ กรม โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ ซึ่งการศึกษาเร่ืององค์การ และจดั การศึกษาในเร่ืองขององค์การประเภทน้ีท้ังสิ้น (๒) องค์การแบบไม่เป็นทางการ (Informal organization) เป็นองค์การที่รวมกัน หรือจัดต้ังขึ้นด้วยความพึงพอใจและมีความสัมพันธ์กันเป็นส่วนตัว ไม่มีการจัดระเบียบโครงสร้าง ภายใน มีการรวมกันอย่างง่ายๆและเลิกล้มได้ง่าย องค์การแบบน้ีเรียกว่า องค์การอรูปนัย หรือ องค์การนอกแบบ เช่น ชมรมต่างๆ หรือกลุ่มต่างๆ นอกจากน้ี องค์การอรูปนัยยังมีลักษณะเป็นกลุ่ม อยภู่ ายในองค์การรปู นยั ซึง่ จะไดก้ ล่าวถึงตอ่ ไป
๖ ๓.๓ การจาแนกองคก์ ารออกโดยยึดการกาเนดิ แบง่ ได้เปน็ ๒ ประเภท ดงั น้ี (๑) องค์การแบบปฐม (Primary organization) หมายถึง องค์การท่ีเกิดข้ึนเองตาม ธรรมชาติ สมาชิกทุกคนต้องเกี่ยวข้องกันมาแต่กาเนิด มีกิจกรรมเฉพาะกลุ่ม มีการติดต่อสัมพันธ์กัน เป็นการส่วนตัวด้วยความสมัครใจ ถือหลักความมุ่งหวังและผลประโยชน์อย่างเดียวกันมากกว่า ระเบียบขอ้ บงั คบั ท่ีกาหนดขนึ้ องคก์ ารแบบปฐมภมู ิ ได้แก่ ครอบครัว ศาสนา หมบู่ ้าน เป็นตน้ (๒) องค์การแบบมัธยม (Secondary organization) หมายถึง องค์การท่ีมนุษย์จัดตั้งข้ึน สมาชกิ มคี วามสมั พนั ธ์กันดว้ ยเหตุผลและความรู้สึกสานึกอย่างเป็นทางการตามข้อผูกพันที่กาหนดขึ้น ในองค์การ ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในองค์การจึงไม่เป็นแบบส่วนตัว วัตถุประสงค์ในการจัดต้ัง องค์การแบบนี้มักจัดตั้งข้ึนเพื่อสนองความต้องการของสมาชิกและบุคคลภายนอกองค์การไปพร้อมๆกัน เช่น หน่วยราชการต่างๆ ห้างหุ้นส่วน บริษทั สมาคม โรงเรียน สโมสร โรงพยาบาล เป็นต้น๙ ๔. วตั ถุประสงคข์ ององคก์ าร วัตถุประสงค์มีอิทธิพลอย่างมากต่อการดาเนินงานขององค์การ เพราะนอกจากจะเป็น แนวทางในการปฏิบัติแล้วยังเป็นสิ่งแสดงถึงเหตุผลของการปฏิบัติด้วย การทากิจกรรมใดๆจะได้รับ ความตั้งใจมากขึ้นเมื่อทราบว่าทาไปทาไม นอกจากนี้ การกาหนดวัตถุประสงค์ยังเป็นการเตรียมการ ข้ันพื้นฐานในการประสานงาน และประการสุดท้ายยังมีความสาคัญต่อการกาหนดมาตรฐานสาหรับ การควบคุมท่ีมีประสิทธิภาพด้วย นักบริหารส่วนมากต่างตระหนักว่าองค์การแต่ละองค์การมี วตั ถุประสงค์แตกต่างกันออกไป แต่อย่างไรก็ตาม วัตถุประสงค์หลักขององค์การย่อมมีเหมือนๆกัน ๓ ประการดงั นี้ ๔.๑ เพอื่ สรา้ งคณุ ค่าทส่ี งั คมปรารถนา องค์การที่ทางราชการจัดตั้งข้ึนมีวัตถุประสงค์เพ่ือบริการแก่ประชาชน สร้างสรรค์ความอยู่ดี กินดีให้แก่ประชาชน ตลอดจนคุ้มครองความปลอดภัยต่างๆ และพัฒนาประเทศ ได้แก่ หน่วยงาน ราชการต่างๆ อาเภอ จังหวัด หน่วยทหาร ตารวจ โรงพยาบาล โรงเรียน ฯลฯ องค์การท่ีเอกชนจัดตั้ง ขึ้นหากเป็นองค์การทางธุรกิจ วัตถุประสงค์หลักคือ มุ่งแสวงหากาไร แต่องค์การธุรกิจก็จะต้องให้ ความร่วมมือกับบุคคลต่างๆในสังคม ปฏิบัติตนในฐานะพลเมืองดี เครารพกฎหมายบ้านเมือง ให้การ สนับสนุนกจิ กรรมต่างๆแก่สาธารณชน สโมสร หรือสมาคมต่างๆที่จัดต้ังขึ้นเพ่ือช่วยเหลือสร้างสรรค์ สิ่งดีงามแกส่ มาชิกและสังคม ๙ วีระนารถ มานะกิจและพรรณี ประเสริฐวงษ์, การจัดองค์การและการบริหาร, (กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง, ๒๕๑๙), หนา้ ๑๑๔.
๗ ๔.๒ เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกแต่ละคนและกลุ่มตา่ งๆในองค์การ สมาชิกแต่ละคนในองค์การมีวัตถุประสงค์ส่วนตัวแตกต่างกัน แต่ละคนมุ่งหวังจะได้รับส่ิงท่ี ต้องการจากองค์การ บางคนมุ่งหวังไดร้ บั คณุ คา่ ทางเศรษฐกิจ คือ ได้เงินมากๆ บางคนมุ่งหวังจะได้รับ เกียรติยศ ช่ือเสียง และความพึงพอใจ บางคนเป็นสมาชิกเพ่ือต้องการสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม หากวตั ถปุ ระสงค์สว่ นตัวไมไ่ ดร้ ับการตอบสนองในระดับท่นี า่ พอใจแล้ว สมาชิกเหล่าน้ีก็จะถอนตัวออก จากองคก์ าร หากองคก์ ารต้องการความเจริญและดารงอยู่ได้องค์การจะต้องให้ผลตอบแทนแก่สมาชิก อยา่ งสมเหตสุ มผล ๔.๓ เพอื่ ความดารงอย่แู ละความเจรญิ ขององคก์ าร เม่ือต้ังองค์การใดองค์การหน่ึงข้ึนมาแล้ว วัตถุประสงค์อย่างหนึ่งที่สมาชิกในองค์การทุกคน ควรยึดถือร่วมกันคือการดารงอยู่และความเจริญขององค์การ สมาชิกทุกคนจะต้องปฏิบัติหน้าท่ีท่ี ได้รับมอบหมายอย่างดีที่สุดเพื่อให้องค์การของตนบรรลุเป้าหมาย องค์การของทางราชการก็ต้อง บริการประชาชนให้ดีที่สุด เพื่อทาให้องค์การของตนมีความสาคัญและขยายงานออกไปได้อย่าง กวา้ งขวาง องคก์ ารธรุ กจิ กเ็ ช่นกัน ถา้ ทากาไรให้ไดส้ ูงกว่าและมีการบริหารดีกว่าองค์การอ่ืนๆก็ย่อมจะ เจริญรุง่ เรืองและดารงอยไู่ ดต้ ลอดไป วัตถุประสงคข์ ององคก์ าร สรา้ งสรรคส์ ินคา้ และบรกิ าร ตอบสนองความตอ้ งการของสมาชิกและสงั คม ความดารงอยู่ตลอดไป ภาพที่ ๑.๒ วตั ถุประสงค์ขององค์การ ๕. ความจาเป็นของการมอี งค์การ ดังได้กล่าวมาแล้วว่าองค์การเป็นท่ีรวมของคนและงาน ความจาเป็นท่ีจะต้องมีองค์การมีอยู่ หลายประการดงั นี้ ประการแรก แนวความคิดพื้นฐานในการจัดต้ังองค์การ ไม่ว่าเป็นองค์การธุรกิจ องค์การ ราชการ หรือองค์การศาสนา ได้แก่สมมตฐิ านทวี่ ่าศนู ย์กลางของอานาจในการส่ังการน้ันมีที่มาอันชอบ ธรรมและชอบด้วยกฎหมาย ในทางการเมืองถือว่าศูนย์กลางอานาจคือ เจตนาโดยรวมของประชาชน ในการใช้สิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเข้าไปบริหารประเทศ ในทางธุรกิจยอมรับกันว่า ศูนย์กลางแห่งอานาจมาจากผู้ถือหุ้นซึ่งรวมกันเข้าเป็นที่ประชุมใหญ่ ผู้ถือหุ้นจะเป็นผู้เลือกต้ัง กรรมการบริษัทและกรรมการผู้จัดการเพื่อเป็นตัวแทนในการใช้อานาจ จึงเป็นการชัดแจ้งว่าการ จัดการองค์การมิได้มอบหมายการงานให้ผู้ใดผู้หน่ึงโดยเฉพาะ แต่เป็นการกระจายอานาจหน้าท่ีให้แก่ ฝ่ายต่างๆซ่ึงต้องทางานประสานกนั
๘ ประการที่สอง องค์การแบบเป็นทางการกาหนดตาแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบ แน่นอน เม่ือผู้ใดดารงตาแหน่งนั้นจะต้องมีความรับผิดชอบและปฏิบัติตามท่ีระบุไว้สาหรับตาแหน่งน้ันๆ จะปฏบิ ตั ิตามใจตนเองไม่ได้ จงึ เปน็ การผูกคนไวก้ ับงาน ประการทสี่ าม องคก์ ารจะเป็นเคร่อื งควบคุมและส่งเสริมให้คนทางานและบรรลุเป้าหมาย ที่ตั้งไว้ องค์การมีการจัดแบ่งงานออกเป็นกลุ่มๆ และกาหนดสายการควบคุมบังคับบัญชาด้วยการ ตรวจสอบควบคมุ การปฏบิ ัตงิ านใหเ้ ปน็ ไปอย่างรัดกุมและมีประสทิ ธภิ าพ องค์การมิได้เกิดข้ึนเอง และสมรรถภาพหรือสัมฤทธิผลขององค์การก็มิใช่ว่าเกิดขึ้นได้เอง จะตอ้ งจัดทาให้เกดิ ขนึ้ ต่อเน่ืองกันไป การจัดการจงึ เป็นสงิ่ จาเป็นสาหรบั องค์การ๑๐ ๖. องคก์ ารเชิงพุทธ (Buddhist Organization) การจดั การทีไ่ ดม้ ีการนาหลักพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้น้ัน ถือเป็นเร่ืองท่ีมีมาเป็นพันๆ ปี แล้วแต่มิได้มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ดังนั้น ในท่ีน้ีจึงได้มีการนาเสนอให้เห็นว่า หลักการ ทางพระพุทธศาสนาสามารถนามาประยุกต์ใช้ในทางการจัดการได้เป็นอย่างดี ดังปรากฏเป็นตัวอย่าง ก็คือ ประสิทธิภาพของการทางานน้ัน เม่ือเข้าใจหลักของความสันโดษและหลักของความไม่สันโดษ ก็จะทาให้มีความมุ่งมั่นในการทางานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการไม่สันโดษในการทาความดี หรือใน หน้าท่ีการงานท้ังปวง ตลอดถึงยึดหลักธรรมท่ีทาการทางานให้สาเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ีเรียกว่า อทิ ธิบาท การทางานท่ีประสบปัญหาในด้านต่างๆ เม่ือนาหลักพระพุทธศาสนามาใช้ในการแก้ปัญหา ดว้ ยวธิ คี ดิ แบบแก้ปญั หาแนวพทุ ธกลา่ วคอื ใช้กระบวนการแก้ปัญหาตามหลักอริยสัจก็จะทาให้ แกป้ ัญหาท่ีรากเหงา้ ได้ เปน็ การแก้ปญั หาทยี่ ่งั ยนื ได้ทีเดยี ว พระพุทธศาสนาได้มีหลักคาสอนท่ีกล่าวถึง คุณสมบัติและทักษะของผู้นาในองค์การว่า ผู้นาต้องรู้จักปกครองตนเอง ผู้นาต้องรู้หลักเจ็ดด้านท่ีจะ ทาให้พร้อมในการจัดการงานทั้งหลาย ผู้นาองค์การท่ีย่ิงใหญ่ต้องมองกว้าง คิดไกล ใฝ่สูง และใน ทานองเดยี วกนั ผ้นู าในองค์การก็จะตอ้ งมีทักษะของความเป็นผู้นา เช่น เป็นผู้มีวิสัยทัศน์ เป็นผู้มีความ รอบรู้และเป็นผู้มีมนุษยสัมพันธ์ อีกท้ังผู้นาต้องเป็นผู้แตกฉานในอรรถ ถ่ายทอดให้เป็นและท่ีสาคัญก็ คือมีทักษะในการส่ือสารด้วยความแจ่มแจ้งจูงใจแกล้วกล้าและร่าเริง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น เปน็ เรอ่ื งท่พี ระพุทธศาสนาให้ความสาคัญยงิ่ เพราะว่า พระพุทธศาสนาถือว่า การพัฒนาท่ีแท้จริงต้อง เรมิ่ ต้นด้วยการพฒั นามนุษย์ มนุษย์เป็นแกนกลางของการพัฒนา มนุษย์มีศักยภาพท่ีจะพัฒนาตนเอง ไดด้ ีทีน่ าไปสกู่ ารเรยี นร้แู ละบรรลุผลสาเรจ็ ได้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงก็คือ การบรรลุอิสรภาพจากการเห็น แกต่ วั เพ่ือสามารถอยรู่ ว่ มกับบุคคลอน่ื ได้อยา่ งปรกติสุข ๑๐ สมคิด บางโม, องค์การและการจัดการ, (กรงุ เทพมหานคร: วิทยพัฒน,์ ๒๕๕๕), หน้า ๑๕-๒๒.
๙ พระพุทธศาสนายังได้กล่าวถึงการทางานในองค์การ ควรท่ีจะให้ความสาคัญเรื่องของ จริยธรรมสาหรับองค์การ เพราะการมีจริยธรรมสาหรับผู้ปฏิบัติงานในองค์การก็จะทาให้เป็นการ แก้ปัญหาเรื่องพฤติกรรม จิตใจ และปัญหาที่บกพร่องของคนในองค์การได้ เมื่อมีการส่งเสริมให้เกิด จริยธรรมมากข้นึ ก็จะเป็นการลดตัณหา มานะ และทิฏฐิ ลงไปได้มาก ผลดีทต่ี ามมาก็คือ เป็นการสร้าง พลังให้เข้มแข็งแก่สมาชิกในองค์การ ท่ีสามารถนาเอาจริยธรรมมาเป็นวิถีชีวิตของตนเองโดยไม่ฝืนใจ และมคี วามสุขในการทางานตามจรยิ ธรรมดังกลา่ วน้ี นอกจากน้ี พระพุทธศาสนายังมีคาสอนเร่ืองวัฒนธรรมสาหรับองค์การโดยมองว่าแท้ท่ีจริง วัฒนธรรมนั้นก็คือ รูปแบบการปฏิบัติตามจริยธรรมซ่ึงได้ผลจริงบนฐานของสัจธรรม ซ่ึงปรากฏในวิถี ชีวิตของคนในองค์การ ท้ังน้ี วัฒนธรรมท่ีคงทนอยู่ได้ดี ก็เพราะมีการจัดรูปแบบและวิธีการท่ีมีการ เปลย่ี นแปลงปรบั ปรุง ใหเ้ หมาะสมกบั สภาพแวดล้อมและกาลเทศะอยู่เสมอน่นั เอง อย่างไรก็ตาม การจัดการในองค์การท้ังหลายมักมีความขัดแย้งเกิดข้ึน พระพุทธศาสนาสอน ให้ยึดทางสายกลาง นาหลักปัญญาคู่กับกรุณา หลักทิฏฐิสามัญญุตา (ความเห็นที่ลงรอยกันได้) หลักการส่งเสริมสันติภาพภายใน และหลักสมานฉันท์แนวพุทธ มาเป็นเครื่องมือจัดการความขัดแย้ง เปน็ การทาวิกฤตใหเ้ ป็นโอกาส โดยการพัฒนาองคก์ ารได้เปน็ อย่างดี ๗. ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งองค์การและการจัดการเชิงพุทธ การศึกษาทฤษฎีองค์การและการจัดการเชิงพุทธ เป็นการศึกษาที่มีความสัมพันธ์และ เกีย่ วขอ้ งกันเป็นอยา่ งยงิ่ ดว้ ยเหตุผลดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. การศึกษาทฤษฎีองค์การ เป็นการศึกษาและพิจารณาองค์การในภาพรวม องค์ความรู้ใน เร่ืองของทฤษฎีองค์การ เป็นการอธิบายแนวคิดและวิธีการปฏิบัติงานขององค์การโดยจะเน้นการ พิจารณาองค์การในภาพรวมหรือภาพกว้างกล่าวคือ เป็นการมององค์การในระดับวิเคราะห์ทั้งเร่ือง ของกลุ่มบุคคล โครงสร้าง สภาพแวดล้อม สังคม เทคโนโลยีและการพัฒนาองค์การ อีกทั้งทฤษฎี องค์การให้ความสนใจในการศึกษาเร่ืองต่างๆ เช่น ระบบการผลิตในองค์การ วงจรชีวิตขององค์การ การประเมินผล ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล วัฒนธรรมองค์การ ในขณะท่ีการจัดการเชิงพุทธ จะเป็น การพิจารณาถึงกระบวนการในการดาเนินงานหรือการกระทากิจกรรมต่างๆ โดยนาเอาองค์ความรู้ จากทฤษฎีองค์การนั้นมาประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับการจัดการตามแนวพระพุทธศาสนา และนาไป ประยุกต์ใช้ในการบริหารกิจการทางพระพุทธศาสนา เพราะการบริหารจัดการงานใดๆ ก็ ตาม จาเป็นต้องมีหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีจะนามายึดเป็นแนวทางการปฏิบัติ การจัดการเชิงพุทธจึงมี ความจาเป็นที่ต้องแสวงหาองค์ความรู้เรื่องทฤษฎีองค์การเป็นกรอบแนวทางในการบริหารองค์การ ทางพระพทุ ธศาสนาอกี ดว้ ย
๑๐ ๒. ทฤษฎอี งคก์ าร ได้รบั การยอมรับวา่ เปน็ องคค์ วามรู้ในลกั ษณะของศาสตร์ประยุกต์ที่มีการ สร้างสมความรู้นี้มาเพ่ือนาไปใช้ในสถานการณ์จริงที่เกิดข้ึน ความรู้นี้จึงมีความสัมพันธ์กับบริบทของ สงั คมในการบรหิ ารจัดการองคก์ ารในลกั ษณะนั้นดว้ ย ในขณะทก่ี ารจัดการการเชิงพุทธ แม้จะเป็นการ เน้นการบริหารจัดการในระดับบุคคลกลุ่ม หรือพฤติกรรมของบุคคลเป็นสาคัญ แต่เม่ือได้มีการนาเอา ความรทู้ างทฤษฎอี งค์การเข้ามาประยุกต์ใช้ ก็จะเป็นการเสริมกระบวนการจัดการเชิงพุทธให้เข้มแข็ง ยิ่งข้ึน เพราะการจัดการองค์การมิใช่มีมุมมองในภาพกว้างคือ ในระดับโครงสร้างขององค์การเท่าน้ัน แต่การจัดการเชิงพุทธท่ีเน้นด้านจิตใจ จิตสานึก ท่าที ค่านิยม วัฒนธรรมองค์การ ล้วนแล้วแต่เป็น เร่ืองท่ีเป็นแรงผลักดนั ใหอ้ งคก์ ารประสบความสาเร็จได้อย่างม่นั คง อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีองค์การสามารถปรับเปล่ียนองค์ความรู้นี้ไปตามยุคสมัยตามการ เปลี่ยนแปลงของโลกท่ีเรียกกนั ในปจั จบุ ันว่า โลกาภิวัตน์ ดังน้ัน การจัดการเชิงพุทธเมื่อนาองค์ความรู้ ทางทฤษฎีมาประยุกต์ใช้ก็พึงนามาบูรณาการปรับใช้อย่างไรให้เข้ากับการจัดการตามแนว พระพุทธศาสนา หรือปรับใช้ในองค์การทางพระพุทธศาสนา เพราะทฤษฎีองค์การเป็นหลักวิชา แต่ การจัดการเชิงพุทธเป็นการปฏิบัติ จึงทาให้มองเห็นว่าทั้งสองส่วนนี้มีความสัมพันธ์และเก่ียวเนื่องกัน อย่างหลีกเลีย่ งไมพ่ น้ ๑๑ ๘. ความรู้เบ้อื งตน้ เกย่ี วกับพฤตกิ รรมองคก์ าร (Introduction to Organizational Behavior) โดยปกติมนุษย์เป็นสัตว์สังคมโดยธรรมชาติ (Man is a social animal by nature) สิ่งที่ทา ให้มนุษย์มีการรวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือเป็นหมู่เหล่า มีสาเหตุมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น เพ่ือความ ม่ันคงและความปลอดภัยในการดาเนินชีวิต เพ่ือเป็นการพึ่งพาอาศัยกันในการทางานต่างๆหรือเพ่ือ ร่วมมือกันทางานบางอย่างให้บรรลุผลสาเร็จของกลุ่ม ท้ังน้ีเพราะมนุษย์แต่ละคนมีข้อจากัดด้าน ความรู้ ความสามารถ ทักษะความชานาญท่แี ตกตา่ งกนั ดังน้ัน ในการศึกษาพฤติกรรมองค์การจะทาให้ผู้ศึกษาได้ทราบถึงพฤติกรรมของบุคคลใน องคก์ าร พฤติกรรมกลุม่ การบรหิ ารงานในองคก์ ารและปัจจยั อนื่ ๆ ทเี่ กย่ี วกบั การบริหารจัดการ ความหมายของพฤติกรรมองค์การ นกั วิชาการหลายทา่ นได้ใหค้ วามหมายของพฤติกรรมองคก์ ารเอาไว้ดงั ต่อไปนี้ ๑๑ สรุ พล สุยะพรหม และคณะ, ทฤษฎีองค์การ และการจัดการเชิงพทุ ธ, (พระนครศรอี ยุธยา : ภาควชิ า รัฐศาสตร์ คณะสังคมศาศตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๕), หน้า ๒๐-๒๑
๑๑ Baron และ Greenberg (๑๙๙๘) ไดอ้ ธิบายเอาไวว้ ่า พฤตกิ รรมองคก์ าร เปน็ การศึกษา อย่างเปน็ ระบบ ที่เก่ียวขอ้ งกับบุคคลในองค์การ กลุ่มคนและองค์การ ซ่ึงมจี ุดมงุ่ หมายเพอ่ื เพมิ่ ประสทิ ธิผลขององค์การและความอยูด่ ีของคนในองค์การ๑๒ Robbins กล่าวว่า พฤติกรรมองค์การเป็นการศึกษาถึงการกระทาของบุคคลในองค์การและ ผลกระทบของพฤตกิ รรมน้ันต่อการแสดงออกขององคก์ าร๑๓ สุพานี สฤษฎ์วานิช ให้ความหมายของพฤติกรรมองค์การว่า เป็นสาขาวิชาที่ทาการศึกษา พฤติกรรมและทัศนคติที่สาคัญของคนในองค์การท่ีเราสนใจ ทั้งในระดับบุคคลและกลุ่ม ภายใต้ สภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกองค์การ ซ่งึ ก่อให้เกิดพฤตกิ รรมต่างๆ และทัศนคติทส่ี าคัญ๑๔ สรุปความหมายพฤตกิ รรมองคก์ าร จากความหมายที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่า พฤติกรรมองค์การเป็นการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ ทัศนคติ ค่านิยม ความสามารถในการรับรู้ การเรียนรู้ของคน ผลการปฏิบัติงานของคนในองค์การ โดยใช้ทฤษฎีวิธีการและหลักการของศาสตร์สาขาต่างๆ เช่น จิตวิทยา สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ทั้งนเี้ พอื่ ให้องคก์ ารสามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลักษณะของวิชาพฤติกรรมองค์การ วิชาพฤติกรรมองค์การมีลักษณะที่แตกต่างจากวิชาบริหารอ่ืนๆ เพราะมีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งสามารถสรปุ ได้ดงั นี้ ๑.วิชาพฤติกรรมองค์การทีลักษณะเป็นสหวิชา เพราะเป็นการรวมศาสตร์หลายๆแขนง เช่น จิตวิทยา สังคมวิทยา มานุษยวิทยา รัฐศาสตร์ และศาสตร์สาขาอื่นๆ อีก เป็นการนาแนวคิด ทฤษฎีและองค์ความรู้ต่างๆ มาทาการศึกษา เพื่อให้เกิดความเข้าใจในด้านพฤติกรรมของบุคคลใน องค์การ ๒. วิชาพฤติกรรมองค์การมีพื้นฐานมาจากพฤติกรรมศาสตร์ เพราะเป็นการศึกษา พฤติกรรมของบุคคลอย่างเป็นระบบ เป็นการศึกษารวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทาของคนใน องคก์ าร ซง่ึ จะเน้นทาการศกึ ษาไปทพี่ ฤติกรรมของคนในองคก์ ารเป็นสาคัญ ๑๒ Baron และ Greenberg, R.A. Behavior in organizations, 6th ed. Upper Saddle River, NJ : Prentice Hall. 1997. ๑๓ Robbins, S.P. Organizational Behavior, 9th ed. Upper Saddle River, NJ. : Prentice-Hall, 2001. ๑๔ สุพานี สฤษฎว์ านิช, พฤติกรรมองค์การสมัยใหม่ แนวคิดและทฤษฎี, (กรงุ เทพมหานคร : ซเี อ็ดยูเคชั่น , ๒๕๔๙).
๑๒ ๓. วิชาพฤติกรรมองค์การใช้เคร่ืองมือและวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษา คือ เป็น การศกึ ษารวบรวมขอ้ มูลตา่ งๆ อย่างเปน็ ระบบ จากนน้ั นามาวิเคราะห์และประมวลผล เพื่อให้สามารถ อธบิ ายและทานายพฤตกิ รรมของบุคคลในองค์การได้อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ถกู ต้อง และเชื่อถือได้ ๔. วิชาพฤติกรรมองค์การทาการศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมองค์การทั้ง ๓ ระดับ คือ เรม่ิ ทาการศึกษาตั้งแต่พฤติกรรมระดับบุคคล ซึ่งเป็นรากฐานท่ีสาคัญ จากน้ันทาการศึกษาพฤติกรรม ในระดับกลุ่ม การรวมกลุ่ม อิทธิพลของกลุ่ม และอีกส่วนหนึ่งคือ พฤติกรรมในระดับองค์การ ซึ่งเป็น การศกึ ษาโครงสรา้ งขององค์การ กระบวนการทางานต่างๆ และวัฒนธรรมองค์การ ๕. วิชาพฤติกรรมองค์การได้ทาการศึกษาถึงสถานการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดขึ้นในองค์การ เพราะ สถานการณ์อาจมีการเปล่ียนแปลง ดังนั้น พฤติกรรมของบุคคลจะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ท่ี เกิดขึน้ ๖. วิชาพฤติกรรมองค์การเน้นทาการศึกษาเพื่อนาไปประยุกต์ใช้กับงาน คือ สามารถนา ความรตู้ า่ งๆ ที่ไดร้ ับการศกึ ษาไปประยุกต์ใชใ้ นการแก้ปัญหาตา่ งๆ ที่เกิดข้ึนในองค์การ ซึ่งจะเป็นผลดี ตอ่ การบริหารจดั การในองค์การต่อไป ๙. ความสมั พันธ์ระหวา่ งพฤตกิ รรมองคก์ ารกับศาสตร์อ่ืน ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วว่าวิชาพฤติกรรมองค์การเป็นสหวิชา คือเป็นการศึกษาและรวบรวม ศาสตรต์ ่างๆ เพอ่ื นามาประยุกต์ ดังน้ัน พฤติกรรมองค์การจึงมีองค์ความรู้ ทฤษฎี แนวคิดของศาสตร์ ตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. จิตวิทยา (Psychology) เป็นศาสตร์ท่ีศึกษาและอธิบายเก่ียวกับพฤติกรรมของแต่ละบุคคล การเปล่ียนแปลงของ มนุษย์และสัตว์ ความแตกต่างของแต่ละบุคคล เช่น การรับรู้ การเรียนรู้ ทัศนคติ บุคลิกภาพ การ ฝึกอบรม ความพึงพอใจในงาน การออกแบบงาน การตัดสินใจส่วนบุคคล การจูงใจ แนวคิด ความ เป็นผู้นา การประเมินผลการปฏิบัติงาน ความกดดันในการทางาน นอกจากน้ันยังศึกษาเก่ียวกับ สภาพแวดลอ้ มและสาเหตุทที่ าใหค้ นแตล่ ะคนมีความแตกตา่ งกัน เช่น อทิ ธิพลของพันธกุ รรม ๒. สงั คมวิทยา (Sociology) เป็นการศึกษาเก่ียวกับระบบของสังคมที่บุคคลเหล่าน้ันได้มีส่วนร่วม ซ่ึงเป็นการศึกษาถึง ความสมั พนั ธแ์ ละความเปน็ อยขู่ องมนุษย์ การรวมกลุ่ม การติดต่อส่ือสาร ความขัดแย้งระหว่างบุคคล ความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม การวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่ม โครงสร้างองค์การแบบเป็นทางการ อานาจ เป็นต้น การศกึ ษาในเรื่องต่างๆ ดังกล่าว จะทาให้ได้องค์ความรู้ทางด้านสังคมวิทยาเพ่ือนาไป วิเคราะหห์ าพฤติกรรมของกลุ่มในองคก์ าร
๑๓ ๓. จิตวทิ ยาสังคม (Social Psychology) จิตวิทยาสังคมเป็นส่วนหนึ่งของวิชาจิตวิทยา แต่จิตวิทยาสังคมจะเน้นศึกษาในเรื่องอิทธิพล ของคนท่ีมีต่อบุคคลอ่ืน ซ่ึงจะเน้นวิเคราะห์พฤติกรรมในระดับกลุ่มและระดับสังคม การเปล่ียนแปลง พฤติกรรม การตดั สนิ ใจของกล่มุ การติดตอ่ ส่อื สาร การเปลีย่ นแปลงทัศนคติ กระบวนการกลมุ่ ๔. มานุษยวิทยา (Anthropology) เป็นการศึกษาเก่ียวกับมนุษย์และกิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ มุ่งศึกษาวัฒนธรรมของมนุษย์ ในแง่ต่างๆ ความเป็นมาของวัฒนธรรม วิวัฒนธรรมและการพัฒนาวัฒนธรรม วัฒนธรรมองค์การ ความแตกต่างด้านวัฒนธรรม ความแตกต่างด้านค่านิยมพ้ืนฐานของมนุษย์ ทัศนคติ สภาพแวดล้อม ขององค์การ นอกจากนี้ยังทาการศึกษาถึงโบราณคดี ชาติพันธุ์ ภาษาศาสตร์ มานุษยวิทยากายภาพ เปน็ ตน้ ๕. รฐั ศาสตร์ (Political Science) เป็นการศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมบุคคลและกลุ่มบุคคลภายใต้สภาพแวดล้อมของการ ปกครองรัฐศาสตร์เน้นให้การศึกษาถึงพฤติกรรมบุคคลและกลุ่ม ภายใต้สภาพแวดล้อมทางการเมือง เช่น เรื่องอานาจ ความขัดแย้งระดับบุคคล ความขัดแย้งระดับกลุ่มและปัญหาต่างๆ ในด้านการเมือง การปกครอง อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาวิชาพฤติกรรมองค์การจึงมีความจาเป็นที่จะต้องทาการศึกษา ศาสตรอ์ ื่นๆ อกี หลายแขนง ทัง้ จิตวทิ ยา สงั คมวทิ ยา จิตวิทยาสังคม มานุษยวิทยาและรัฐศาสตร์ ท้ังน้ี เพอื่ จะได้มีความรู้ในศาสตร์ตา่ งๆ อยา่ งกว้างขวาง และนาความรู้ดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการศึกษา ดา้ นพฤตกิ รรมองคก์ ารได้อย่างถกู ต้องต่อไปดงั รปู ภาพต่อไปน้ี
๑๔ ศาสตร์ทเ่ี กี่ยวกับ เรอื่ ง ระดับการ ผลทไ่ี ดร้ บั พฤติกรรมศาสตร์ วิเคราะห์ การจูงใจ จิตวทิ ยา การเรยี นรู้ ระดบั บุคคล บุคลกิ ภาพ ความรู้สกึ การฝกึ อบรม ความเป็นผนู้ า ความพึงพอใจในงาน การประเมนิ ผลทัศนคติ การคัดเลือกพนักงาน ความกดดนั ในการทางาน การออกแบบงาน สงั คมวทิ ยา อานาจ การศกึ ษา จิตวทิ ยาสงั คม ความขดั แย้ง ระดบั พฤตกิ รรม พฤติกรรมระหวา่ งกลุม่ กล่มุ องค์การ มานุษยวทิ ยา การติดตอ่ สอ่ื สาร รัฐศาสตร์ พลังของกล่มุ ระดบั องคก์ าร ทมี งาน ทฤษฎีองค์การแบบทางการ เทคโนโลยีองค์การ การเปล่ียนแปลงองค์การ การเปลย่ี นแปลงวัฒนธรรม การเปลย่ี นแปลงทศั นคติ การเปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรม การติดตอ่ สื่อสาร การตัดสนิ ใจของกลุม่ กระบวนการกลุ่ม การเปรยี บเทยี บค่านยิ ม การวิเคราะหว์ ฒั นธรรมท่แี ตกตา่ ง การเปรยี บเทยี บทัศนคติ สภาพแวดล้อมองคก์ าร วัฒนธรรมองคก์ าร ความขัดแย้ง อานาจ การเมอื งภายในองค์การ ภาพที่ ๑.๓ แสดงความสัมพันธร์ ะหว่างพฤตกิ รรมองค์การกบั ศาสตรอ์ ่นื
๑๕ ๑๐. การวิเคราะห์พฤติกรรมองค์การ เน่ืองจากพฤติกรรมองค์การเป็นเร่ืองท่ีมีความเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายฝ่าย ดังน้ัน ใน การศึกษาจึงมีความจาเป็นต้องทาการศึกษาให้คลอบคลุมหลายด้านหลายระดับ เพราะจะส่งผลต่อ ประสิทธิภาพในการศึกษา เมื่อได้มีการศึกษาขอบเขตต่างๆ อย่างทั่วถึง จะทาให้เข้าใจและสามารถ วิเคราะห์พฤติกรรมองค์การได้ถูกต้อง ในการศึกษาวิเคราะห์พฤติกรรมองค์การจึงแบ่งขอบเขตเพ่ือ ทาการศกึ ษา ออกเปน็ ๓ ระดบั ดงั ต่อไปน้ี ๑. ระดบั บคุ คล (Individual Level) ๒. ระดับกลมุ่ (Group Level) ๓. ระดับองค์การ (Organization System Level) ระดบั องคก์ าร ระดบั กล่มุ ระดบั บุคคล ภาพท่ี ๑.๔ แสดงตัวแบบพฤติกรรมองคก์ ารพนื้ ฐาน (ดดั แปลงมาจาก Stephen P. Robbins, ๑๙๙๘, p.๒๓) ระดบั บุคคล (Individual Level) ในการศึกษาและวิเคราะห์พฤติกรรมองค์การในระดับบุคคล เป็นการศึกษาถึงรายละเอียด ต่างๆ ของบุคคลแต่ละคนในองค์การท่ีมีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้าน เช่น นิสัย อายุ เพศ สถานภาพสมรส บุคลิกภาพ ทัศนคติ ค่านิยม ความสามารถพื้นฐาน ปัจจัยดังกล่าวเป็นส่ิงที่แต่ละ บคุ คลมแี ละตดิ ตวั มา ซึ่งจะอิทธิพลต่อพฤติกรรมในการทางาน ดังนั้น ในการศึกษาพฤติกรรมองค์การ ในระดับบุคคลจึงมีมีความจาเป็นต้องทาการศึกษา วิเคราะห์ลักษณะที่แตกต่างของแต่ละคน อยา่ งละเอยี ด เพราะปัจจยั ดงั กล่าวมีผลกระทบต่อพฤติกรรมของบุคคลและความสามรถในการทางาน ในองค์การ
๑๖ ลกั ษณะทางกายภาพ บุคลิกภาพ การรับรู้ การตดั สินใจ ผลผลิต ค่านิยมและทศั นคติ การจูงใจ ของบุคคล ขององคก์ าร การเรียนรู้ ความสามารถ ภาพที่ ๑.๕ แสดงปจั จัยในการวเิ คราะห์พฤติกรรมระดบั บุคคล ระดบั กลมุ่ (Group Level) การศึกษาพฤติกรรมในระดับกลุ่มน้ันเป็นการศึกษาพฤติกรรมของคนในกลุ่ม เช่น การ ติดต่อส่ือสารกันในกลุ่ม การตัดสินใจของกลุ่ม ภาวะผู้นา โครงสร้างกลุ่ม ความขัดแย้ง การเมืองและ อานาจทีมงานกลุ่มอื่นๆ ดังนั้น ในการศึกษาพฤติกรรมระดับกลุ่มจึงเป็นการศึกษาถึงปัจจัยต่างๆ ที่มี ส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มมีอิทธิพล มีผลกระทบต่อพฤติกรรมของกลุ่ม การบรรลุวัตถุประสงค์และ ประสิทธภิ าพขององค์การ การตดั สินใจของกลมุ่ ภาวะผนู้ ากลุ่ม การติดตอ่ ส่ือสาร โครงสร้างกลุ่ม ทีมงาน ผลผลิต กล่มุ อื่นๆ ขององคก์ าร ความขดั แยง้ การเมืองและอานาจ ภาพที่ ๑.๖ แสดงปจั จยั ในการวิเคราะห์พฤติกรรมระดบั กลุ่ม (ดัดแปลงมาจาก Stephen P. Robbins, ๑๙๙๘, p.๒๘)
๑๗ ระดบั องค์การ (Organization System Level) เป็นการศึกษาถึงภาพรวมขององค์การทั้งหมด แต่ละองค์การจะมีรูปแบบหรือลักษณะเฉพาะ ของแต่ละองค์การท่ีแตกต่างกัน การแสดงออกพฤติกรรมของบุคคลในองค์การจะเป็นไปตามที่ องค์การต้องการ ดังนั้น ในการศึกษาพฤติกรรมองค์การจึงเป็นการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบายด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์ วัฒนธรรมองค์การ โครงสร้างและการออกแบบองค์การ เทคโนโลยีและการออกแบบ ดังน้ัน ในการศึกษาพฤติกรรมระดับองค์การจึงเป็นส่ิงสาคัญและมีความ สลับซบั ซอ้ นมาก แต่ถา้ ได้ทาการศึกษาอยา่ งถอ่ งแท้ จะทาใหเ้ ขา้ ใจถึงผลกระทบต่อพฤติกรรมองค์การ และเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาท่ีเกิดข้นึ ภายในองคก์ ารต่อไป นโยบายดา้ นการบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ วฒั นธรรมองคก์ าร โครงสร้าง เทคโนโลยี ผลผลิต และการออกแบบ และการออกแบบงาน ขององคก์ าร องคก์ าร ภาพที่ ๑.๗ แสดงปัจจัยในการวเิ คราะหพ์ ฤติกรรมระดับองค์การ (ดัดแปลงมาจาก Stephen P. Robbins, ๑๙๙๘, p.๒๘) จากท่ีได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเหน็ ไดว้ ่า ในการศึกษาพฤติกรรมองค์การน้ันต้องทาการศึกษา วิเคราะห์ทุกระดับอย่างละเอียด คือ ศึกษาตั้งแต่พฤติกรรมระดับบุคคล ซ่ึงทาให้ทราบความแตกต่าง ขั้นพื้นฐานของแต่ละคนได้อย่างชัดเจน จึงจะทาให้สามารถเข้าใจถึงปัจจัยพ้ืนฐานที่แท้จริงท่ีทาให้ แต่ละบุคคลแสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมา และพฤติกรรมดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการทางานของบุคคล ในองค์การ สว่ นการศึกษาพฤตกิ รรมระดบั กลุม่ จะทาใหเ้ ข้าใจในสง่ิ ต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนในกลุ่ม การติดต่อส่ือสาร ภายในกลมุ่ การตัดสินใจของกลุ่ม ผู้นาในกลุ่ม โครงสร้างกลุ่ม ความขัดแย้ง การเมืองในกลุ่ม อานาจ ทีมงาน เป็นต้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทาให้ทราบถึงความเคลื่อนไหวและประสิทธิภาพในการทางาน รวมท้ังปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนในกลุ่ม และในระดับองค์การจะทาให้เข้าใจนโยบายด้านการบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ วัฒนธรรมต่างๆ โครงสร้างและออกแบบองค์การ รวมทั้งเทคโนโลยีและการออกแบบงาน เป็นการศึกษาในภาพรวมทั้งหมดขององค์การ ซ่ึงจะทาให้เข้าใจปัญหาต่างๆ ที่เกิดข้ึนในองค์การและ จะนาไปสู่การปรบั ปรงุ แกไ้ ข เพอื่ ใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพท่ีดตี อ่ การทางานในองค์การ๑๕ ๑๕ นิติพล ภูตะโชติ, พฤติกรรมองค์การ, (กรุงเทพมหานคร : จฬุ าลงกรณ์ราชวิทยาลัย, ๒๕๕๖), หน้า ๑-๙
๑๘ สรปุ ทา้ ยบท องค์การเป็นกลุ่มบุคคลต้ังแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันทากิจกรรม เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ท่ี ตั้งไว้ มกี ารกาหนดกฎระเบยี บภายในกลุ่ม มีการจดั แบง่ อานาจหน้าที่ท่ีชัดเจน และมีระเบียบให้ยึดถือ ปฏิบัติ โดยมีลักษณะขององค์การเป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์ องค์การเป็นกลุ่มของบุคคล องคก์ ารเปน็ สว่ นหน่ึงของการจัดการ องค์การเป็นกระบวนการ และองค์การเป็นระบบอย่างหนึ่ง โดย มีการจาแนกองค์การโดยยึดวัตถุประสงค์ขององค์การ ยึดโครงสร้าง และยึดการกาเนิด องค์การจะมี วัตถุประสงค์เพ่ือสร้างคุณค่าท่ีสังคมปรารถนา เพ่ือตอบสนองความต้องการของสมาชิกแต่ละคนและ กลุ่มต่างๆในองค์การ เพื่อความดารงอยู่และความเจริญขององค์การ ส่วนทางด้านความจาเป็นของ การมีองค์การ ประการแรก แนวความคิดพ้ืนฐานในการจัดตั้งองค์การ ประการท่ีสอง องค์การแบบ เป็นทางการกาหนดตาแหน่งหน้าที่และความรับผิดชอบแน่นอน ประการท่ีสาม องค์การจะเป็นส่วน ส่งเสริมและควบคุมให้คนทางานและบรรลุเป้าหมายที่ต้ังไว้ โดยองค์การหรือผลสัมฤทธ์ิขององค์การ มิใช่ว่าจะเกิดขน้ึ เองแต่จะตอ้ งจัดการกระทาใหต้ อ่ เนื่องกันไป พฤตกิ รรมองค์การเป็นการศกึ ษาพฤตกิ รรมมนุษย์ ทัศนคติ ค่านิยม ความสามารถในการรับรู้ การเรียนรู้ของคน ผลปฏิบัติงานของคนในองค์การ ลักษณะของพฤติกรรมองค์การเป็นสหวิชา เช่น จิตวิทยาศึกษาเกี่ยวกับการจูงใจ การเรียนรู้ บุคลิกภาพ ความรู้สึก ความพึงพอใจในงาน การประเมินผล ทัศนคติ สังคมวิทยาศึกษาเก่ียวกับอานาจ ความขัดแย้ง พฤติกรรมระหว่างกลุ่ม การติดต่อสื่อสาร พลังของกลุ่ม ทีมงาน ทฤษฎีองค์การแบบทางการ เทคโนโลยีองค์การ การเปล่ียนแปลงวัฒนธรรม จิตวิทยาสังคมศกึ ษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ การเปล่ียนแปลงพฤติกรรม การตัดสินใจของกลุ่ม กระบวนการกลุ่ม มานุษยวิทยาศึกษาเก่ียวกับการเปรียบเทียบค่านิยม การวิเคราะห์วัฒนธรรม ทแี่ ตกตา่ ง การเปรยี บเทียบทศั นคติ วัฒนธรรมองค์การ ฯลฯ การวเิ คราะหพ์ ฤติกรรมองค์การแบ่งเป็น ๓ ระดับ เป็นการวิเคราะห์องค์การในระดับบุคคลท่ีเกี่ยวกับนิสัย อายุ เพศ สถานภาพ บุคลิกภาพ ค่านิยม ความสามารถพื้นฐาน ปัจจัยดังกล่าวเป็นสิ่งท่ีแต่ละบุคคลติดตัวมา ในระดับกลุ่ม ศึกษา เก่ียวกับการติดต่อส่ือสารกันในกลุ่ม การตัดสินใจของกลุ่ม ภาวะผู้นา โครงสร้างกลุ่มความขัดแย้ง การเมืองและอานาจ ทีมงานกลุ่มต่างๆ และในระดับองค์การ ศึกษาเกี่ยวกับนโยบายด้านการบริหาร ทรัพยากรมนุษย์ วัฒนธรรมองค์การ โครงสร้างและการออกแบบองค์การ เทคโนโลยีและ การออกแบบงาน
๑๙ คาถามท้ายบท ๑. จงอธิบายความหมายขององค์การ ลักษณะขององค์การ ๒. องค์การจาแนกเป็นกี่ประเภท อะไรบ้าง ๓. องค์การเชิงพุทธมีลกั ษณะอย่างไร อธิบาย ๔. พฤติกรรมองค์การ (Organizational Behavior) เป็นการศึกษาเก่ียวกับเร่ืองอะไรบ้าง และ สามารถนาไปใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นใดบ้าง จงอธิบาย ๕. จงอธิบายความหมายของพฤตกิ รรมองค์การมาอย่างละเอียด ๖. การวเิ คราะหพ์ ฤติกรรมองคก์ ารในระดับบุคคล (Individual level) จะต้องวิเคราะห์เกี่ยวกับ เรื่องอะไรบา้ ง จงอธบิ ายมาใหเ้ ขา้ ใจ ๗. การวิเคราะห์พฤติกรรมในระดับกลุ่ม (Group Level) จะต้องทาการวิเคราะห์เก่ียวกับเร่ือง อะไรบา้ งและมคี วามจาเป็นอยา่ งไร จงอธิบาย ๘. ความแตกต่างกันของแต่ละบุคคลในองค์การส่งผลกระทบต่อพฤติกรรมการทางานของ พนักงานในองค์การอย่างไร จงอธิบาย ๙. ทาไมผู้บริหารองค์การจึงต้องทาการศึกษาและทาความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของบุคคล องค์การ จงอธบิ าย
๒๐ เอกสารอา้ งอิงประจาบท นติ ิพล ภูตะโชติ, พฤติกรรมองค์การ, (กรงุ เทพมหานคร : จฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๖), หนา้ ๑-๙. มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, การบริหารและการพัฒนาองค์การ, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๓๐), หนา้ ๓๔. วีระนารถ มานะกิจและพรรณี ประเสริฐวงษ์, การจัดองค์การและการบริหาร, (กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง, ๒๕๑๙), หน้า ๑๑๔. สมคิด บางโม, องคก์ ารและการจัดการ, (กรุงเทพมหานคร: วิทยพฒั น์, ๒๕๕๕) หนา้ ๑๕-๒๒. สมคดิ บางโม, องคก์ ารและการจดั การ. (กรงุ เทพมหานคร : วิทยพัฒน,์ ๒๕๕๕), หนา้ ๑๖. สมบรู ณ์ ศรสี ุพรรณดิษฐ์, การจัดการ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พบ์ ารงุ นกุ ูลกจิ , ๒๕๑๘), หน้า ๙. สุพานี สฤษฎ์วานิช, พฤติกรรมองค์การสมัยใหม่: แนวคิดและทฤษฎี, (กรุงเทพมหานคร: ซีเอ็ด ยเู คชั่น, ๒๕๔๙), หน้า๕๖. สรุ พล สุยะพรหม และคณะ, ทฤษฎอี งคก์ าร และการจัดการเชิงพุทธ, (พระนครศรีอยุธยา : ภาควิชา รัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย), ๒๕๕๕, หน้า ๒๐-๒๑. Amitai Etzioni, Modern Organization, (new Jersey: Prentice-Hall, ๑๙๖๔), p. ๑. Baron และ Greenberg, R.A. Behavior in organizations, ๖th ed. Upper Saddle River, NJ : Prentice Hall. ๑๙๙๗. Chester I. Barnard, The Function of the Executive, (Cambridge: Harvard University Press, ๑๙๗๐ ), p. ๑๙. Max Weber,The Theory of Social and Economic Organization, (new York: Oxford University Press, ๑๙๖๖), p. ๒๒๑. Peter Blua and Richard Scott, formal organization, (San Francisco : Chandles, ๑๙๖๒), p. ๔๕-๔๗. Robbins, S.P. Organizational Behavior, ๙th ed. Upper Saddle River, NJ. : Prentice- Hall, ๒๐๐๑. Talcott Parsons, Toward a General Theory of Action, (new York: Harper & Row Publishers, ๑๙๗๒), p. ๗๒.
๒๑
๒๑ บทที่ ๒ ทฤษฎีองค์การ (Organization Theory) ขอบขา่ ยรายวชิ า ๑. เนอ้ื หาความรทู้ ่ัวไปเกี่ยวกบั ทฤษฎอี งค์การ ๒. ทฤษฎีองคก์ ารแบบดั้งเดิม ๓. ทฤษฎีองค์การแบบสมัยใหม่ ๔. องค์ประกอบสาคญั ของทฤษฎอี งคก์ ารสมัยใหม่ ๕. ทฤษฎีองคก์ ารสมัยปัจจุบัน ๖. ความหมายขององค์การอัจฉริยะ ๗. การสรา้ งองคก์ ารทจี่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ ประสิทธิผลแก่องค์การ ๘. ทฤษฎีพฤติกรรมองคก์ าร ๙. การพัฒนาและการเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรม ๑๐.การบรหิ ารจัดการปญั หาและการแก้ปญั หาเกย่ี วกบั พฤตกิ รรมองค์การ ๑๑.ทฤษฎีในการตัดสินใจ และแนวคดิ องค์การระบบเปิด ๑๒.พฤติกรรมทเ่ี กิดจากส่งิ เรา้ และการตอบสนอง ๑๓.แนวคิดเกย่ี วกับบุคลิกภาพของมนุษย์ วัตถปุ ระสงค์ ๑. เพ่อื ศึกษาและเขา้ ใจทฤษฎีองคก์ าร ๒. เพ่อื ศกึ ษาและเขา้ ใจทฤษฎสี มัยด้งั เดิม ๓. เพือ่ ศึกษาและเข้าใจทฤษฎสี มัยใหม่ ๔. เพอ่ื ศึกษาและเขา้ ใจทฤษฎีสมัยปจั จบุ นั ๕. เพ่ือศึกษาและเข้าใจทฤษฎีพฤติกรรมองค์การ ๖. เพอ่ื ศกึ ษาและเขา้ ใจองค์การอัจฉรยิ ะ
๒๒ คานา ทฤษฎีองค์การ (Organization theory) เป็นหลักการศึกษาถึงโครงสร้าง และการออกแบบ องคก์ าร โดยอธบิ ายวา่ องคก์ ารถูกจัดตั้งข้ึนมาได้อย่างไร และให้ข้อเสนอแนะการสร้างองค์การในลักษณะ ใดที่จะก่อให้เกิดประสิทธิผลแก่องค์การ และเป็นหลักในการนาไปปฏิบัติในองค์การ โดยการศึกษาจะมี การนาทฤษฎีองค์การต้ังแต่ยุคด้ังเดิมที่เร่ิมเป็นแนวคิด และยังสามารถนามาใช้ปฏิบัติกันอยู่ในองค์การ เชน่ อองรี ฟาโยล และแมกซ์ เวเบอร์ ซ่ึงเปน็ แนวคิดของระบบราชการในปัจจุบัน เป็นต้น จนมาถึงทฤษฎี องค์การสมัยใหม่ที่เน้นทางด้านบุคคล ด้านแรงจูงใจในการทางาน เน้นการมีส่วนร่วมในการทางานของ คนงาน การสร้างขวัญ และกาลังใจให้แก่คนงานเพ่ือเพ่ิมผลผลิตของงาน และทฤษฎีองค์การสมัยปัจจุบัน เช่น ของบารน์ าร์ด ทก่ี ล่าวว่าองค์การเป็นระบบของสังคมที่เปลี่ยนแปลงได้ระบบหน่ึง ภายในระบบนี้จะมี ความสัมพันธ์ประสานกัน โดยมีเป้าหมายของการตอบสนองความต้องการส่วนบุคคล เป็นต้น ส่วน องค์การอัจฉริยะ มุ่งเน้นให้มีการถ่ายทอดความรู้ระหว่างบุคคลในองค์การ ทั้งเป็นทางการและไม่เป็น ทางการ โดยเป็นความรู้ที่อย่ใู นสมองคน ความร้ทู ่เี ป็นเหตุเป็นผล และความรู้ภายในองค์การ การศึกษาทฤษฎีพฤติกรรมองค์การ จะทาให้ทราบแนวคิด ด้านพฤติกรรมองค์การ ปัญหาและ วิธีการแก้ปัญหาที่เกิดจากพฤติกรรมของคนในองค์การ ซ่ึงจะเป็นแนวทางที่สาคัญในการท่ีจะเข้าใจ พฤติกรรมของมนุษย์ ซ่ึงเป็นผลต่อพฤติกรรมในองค์การ และการบรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ โดยมี แนวคิดด้านจิตวิทยา โดยการประสานงานเป็นการติดต่อโดยตรงกับผู้รับผิดชอบงาน และกระทาอย่าง ต่อเน่ืองเป็นระบบ แนวคิดการตัดสินใจ โดยมนุษย์ตัดสินใจไปตามความพอใจของตน ๒ ทางคือ การใช้ อานาจหน้าท่ีกับผู้ใต้บังคับบัญชา และการควบคุมการทางานด้วยตัวเอง แนวคิดองค์การระบบเปิด การ เคลือ่ นไหวอยเู่ สมอ การแข่งขัน และสาเหตุความขัดแย้งในองค์การ แนวคิดกฎแห่งผล มีส่ิงเร้ามากระตุ้น เป็นการเสริมแรง หรือแรงจูงใจ ท้ังเสริมแรงบวก และเสริมแรงลบ แนวคิดพฤติกรรมเกิดข้ึนจาก ความสัมพันธ์ของส่ิงเร้า และการตอบสนอง และแนวคิดของซิกมัน ฟรอยด์ แบ่งจิตของมนุษย์ออกเป็น ๓ สว่ น คือ จิตสานกึ จิตกงึ่ สานึก และจติ ใตส้ านึก ดังนั้นจึงมีความสาคัญยิ่งท่ีต้องมีการเรียนรู้ในเรื่องของแนวคิด และทฤษฎีองค์การและทฤษฎี พฤติกรรมองค์การเพอ่ื เปน็ พน้ื ฐานในการจดั องค์การต่อไป Richard L. Daft เสนอไว้ว่า ทฤษฎีองค์การไม่ใช่เรื่องของการรวบรวมความจริงแต่เป็นวิธีการ มองและวิเคราะหอ์ งค์การ ทม่ี ีความถูกต้องและลึกซึ้งกว่าวิธีอื่นๆ การมองและวิเคราะห์องค์การขึ้นอยู่กับ แบบแผนและกฎเกณฑ์ในการออกแบบองค์การและพฤติกรรมนักทฤษฎีองค์การจะค้นหากฎเกณฑ์ต่างๆ
๒๓ ทากฎเกณฑใ์ หช้ ัดเจน และนากฎเกณฑ์ไปใช้ประโยชน์ ผลท่ีได้วิจัยยังไม่สาคัญเท่ากับแบบแผนและความ เข้าใจในหนา้ ท่ีขององค์การ๑ B.J. Hodge และ William P. Anthony อธิบายว่า ทฤษฎีองค์การเป็นแนวคิด (Concepts) หลักการ (Principles) และข้อสมมติฐาน (hypothesis) ที่นามาใช้เพื่ออธิบายองค์ประกอบ (components) ขององคก์ าร และองค์ประกอบเหล่าน้ี มีการดาเนนิ การอย่างไร ดังน้ันทฤษฎีองค์การช่วย ให้เราเข้าใจว่า องค์การคืออะไร และองค์การมีการบริหารงานอย่างไรภายใต้สภาพแวดล้อมที่ถูก กาหนดให้ มีการใช้ทฤษฎีการบริหาร (Management theory) เข้ามาช่วยอธิบายส่ิงท่ีผู้บริหารได้ปฏิบัติ สาหรับองค์ประกอบของทฤษฎอี งค์การมดี งั นี้ ก. สภาพแวดล้อมขององค์การ (Organization environment) ข. การประมวลผลสารสนเทศและการตัดสนิ ใจเลอื ก (Information processing and choices) ค. การปรบั ตวั และการเปลีย่ นแปลงขององค์การ (Adaptation and change) ง. เปา้ หมายองค์การ (Goals) จ. ชนดิ ของงานที่จะทาให้เป้าหมายสาเรจ็ (Work) ฉ. การออกแบบองค์การ (Organization design) ช. ขนาดและความซบั ซ้อนขององค์การ (Size and complexity) ซ. เทคโนโลยขี ององคก์ าร (Organization technology) ฌ. วัฒนธรรมขององคก์ าร (Organization culture) ญ. อานาจและอานาจหนา้ ท่ี (Power and authority)๒ ทฤษฎีองคก์ ารนยิ มแบ่งออกเป็น ๓ สมัยดงั น้ี ๑. ทฤษฎีองค์การสมยั ด้ังเดมิ (Classical Theory of Organization) ๒. ทฤษฎอี งค์การสมัยใหม่ (Neo-Classical Theory of Organization) ๓. ทฤษฎีองค์การสมยั ปัจจบุ ัน (Modern Theory of Organization) ๑ Richard L. Daft, The Organization: Theory and Design, 6th ed., (Singapore : Info Access & Distribution Pte Led., 1992) p. 18. ๒ B.J. Hodge and William P. Anthony, Organization theory : A Strategic Approach,4th ed., (Massachusetts : Allyn and Bacon, lnc., 1991). P. 9.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302