101 ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู ครวั เรือน คาช้แี จง : โปรดตอบคาถามโดยการเลือกทาเคร่ืองหมาย ลงใน หนา้ ข้อคาตอบ หรือเติม ข้อความในชอ่ งว่างที่เตรียมไว้ ใหต้ รงกบั สภาพความเปน็ จริงของครัวเรือนของท่าน 1. หวั หนา้ ครัวเรอื นของทา่ นอาย.ุ ..............ปี (นบั อายเุ ต็ม) 2. ระดับการศกึ ษาสูงสุดของหวั หนา้ ครวั เรอื น 1. ประถมศึกษา 2. มัธยมศกึ ษาตอนตน้ 3. มัธยมศึกษาตอนปลาย 4. อนปุ รญิ ญา/ปวส. 5. ปรญิ ญาตรี 6. สูงกว่าปรญิ ญาตรี 3. หวั หนา้ ครัวเรอื นของท่านดารงตาแหนง่ ในชมุ ชนตอ่ ไปน้หี รือไม่ (ตอบได้หลายข้อ) 1. กานนั /ผใู้ หญบ่ า้ น/ผูช้ ่วยผใู้ หญบ่ า้ น/สารวตั รกานัน 2. นายก อบต./รองนายก อบต./สมาชิกสภา อบต./ที่ปรึกษานายก อบต. 3. ประธาน/กรรมการกองทนุ หมบู่ ้าน 4. อาสาสมัครต่าง ๆ เช่น อสม./อพช./อปพร. เป็นตน้ 5. อืน่ ๆ (โปรดระบ.ุ ....................................................) 4. ในครวั เรือนของทา่ นมีสมาชิก (รวมตัวทา่ น) จานวน .................... คน 5. อาชีพหลักของครัวเรือนของทา่ น คอื 1. ทานา/ทาไร่/ทาสวน 2. เลย้ี งสัตว์ 3. ข้าราชการ/รฐั วสิ าหกิจ 4. พนักงาน/รับจ้าง 5. คา้ ขาย/ธรุ กจิ สว่ นตวั 6. อ่นื ๆ ระบ.ุ ................. 6. ครัวเรอื นของท่านมีรายได้รวมกนั ทกุ คน 6.1 รายไดป้ ระจา ท่ีได้อย่างต่อเนื่องเป็นประจา 1) ทกุ ปี (เชน่ ผลผลิตทางการเกษตร ดอกเบ้ีย เปน็ ต้น) ปลี ะประมาณ ................. บาท 2) ทกุ เดือน (เช่น คา่ จา้ ง เงินเดอื น เปน็ ต้น) เดือนละประมาณ ........................... บาท 3) ทกุ วนั (เช่น ขายผัก เป็นต้น) วันละประมาณ .......................... บาท 6.2 รายไดท้ ่ไี ด้เปน็ คร้งั คราว ปลี ะประมาณ .................................. บาท 7. ครัวเรือนของท่านมีรายจ่ายรวมทุกคนทุกเร่ือง เฉล่ียเดือนละประมาณ ................................ บาท 7.1 รายจ่ายประจา ท่ตี อ้ งจ่ายอยา่ งต่อเนื่องเป็นประจา 1) ทกุ ปี (เช่น คา่ ใชจ้ ่ายในการประกอบอาชีพ การเรียนของบุตรหลาน เปน็ ตน้ ) ปลี ะ ประมาณ ......................... บาท 2) ทุกเดือน (เชน่ ค่าไฟฟา้ ค่านา้ คา่ แก๊ส เปน็ ต้น) เดือนละประมาณ ................... บาท 3) ทุกวัน (เชน่ คา่ อาหาร ค่าใชจ้ า่ ยของบตุ รหลานไปโรงเรียน เป็นต้น) วนั ละประมาณ .......................... บาท 7.2 รายจ่ายท่จี ่ายเป็นคร้ังคราว ปีละประมาณ ............................ บาท 8. ปัจจบุ ันครัวเรอื นของทา่ นมีเงินออม (จานวนเงนิ ออมคงเหลือในสมุดบัญชีธนาคาร กลุ่มออม ทรัพย์และอนื่ ๆ) ประมาณ .............................. บาท 9. ปจั จบุ ันครัวเรือนของทา่ นมีภาวะหน้ีสนิ หรือไมจ่ านวนเทา่ ไร
102 1. ไมม่ ี 2. มี 1) ในระบบ (เชน่ ธนาคาร สหกรณ์ กลุ่ม/กองทุน เปน็ ตน้ ) จานวนประมาณ ........ บาท 2) นอกระบบ (เช่น เถ้าแก่ นายทุน แชร์ เป็นตน้ ) จานวนประมาณ ................. บาท ตอนที่ 2 การเรยี นร้ปู รชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง คาชแ้ี จง : โปรดตอบคาถามโดยการเลือกทาเครอื่ งหมาย ลงใน หน้าข้อคาตอบ หรือเตมิ ข้อความในช่องวา่ งที่เตรียมไว้ ให้ตรงกบั สภาพความเป็นจรงิ ของครวั เรือนของท่าน 1. ท่านและสมาชกิ ในครวั เรือนของท่านได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงจาก แหล่งใดบ้าง (เลอื กตอบได้มากกวา่ 1 ขอ้ ) 1. โทรทัศน์ 2. วทิ ยุ 3. หนงั สือพมิ พ์ 4. นติ ยสาร/วารสาร 5. อินเทอร์เน็ต 6. บคุ คลในครอบครัวพูดให้ฟงั 7. อน่ื ๆ ระบุ............................ 2. ท่านและสมาชกิ ในครวั เรือนของท่านได้เรยี นรูป้ รชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง ด้วยวิธกี ารตา่ ง ๆ ตอ่ ไปน้ี หรือไม่ 2.1 ในรอบปีที่ผ่านมา ท่านและสมาชิกในครัวเรือนของท่านได้รับฟังข้อมูล/ข่าวสาร เก่ยี วกบั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งจากสอื่ ต่าง ๆ 1. ไม่เคย 2. 1-2 ครงั้ /สปั ดาห์ 3. ตั้งแต่ 3 ครงั้ /สปั ดาห์ ข้ึนไป 2.2 ในรอบปีที่ผ่านมา ท่านและสมาชิกในครัวเรือนของท่านเข้ารับการฝึกอบรม/การ อบรมเชงิ ปฏิบตั ิการเก่ียวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง 1. ไมเ่ คย 2. เคย จานวน ................. คร้งั โดยสว่ นใหญ่ไดเ้ ขา้ รบั การฝกึ อบรมจาก 1. ในตาบลทท่ี า่ นอยู่ 2. ในอาเภอท่ีท่านอยู่ 3. ในจงั หวัดที่ท่านอยู่ 4. ต่างจังหวดั 2.3 ในรอบปีทผี่ า่ นมา ท่านและสมาชกิ ในครัวเรือนของทา่ นศึกษาดงู านเกีย่ วกับ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 1. ไมเ่ คย 2. เคย จานวน ................. ครั้ง โดยส่วนใหญไ่ ดศ้ ึกษาดูงานจาก 1. ในตาบลท่ที ่านอยู่ 2. ในอาเภอที่ท่านอยู่ 3. ในจังหวดั ทท่ี ่านอยู่ 4. ตา่ งจงั หวัด 2.4 ในรอบปที ่ีผา่ นมา ทา่ นและสมาชกิ ในครวั เรือนของทา่ นรว่ มแลกเปล่ียนเรียนรู้ เก่ยี วกบั ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง 1. ไม่เคย 2. เคย จานวน ................. ครัง้ โดยสว่ นใหญ่ผรู้ ว่ มแลกเปล่ียนเรยี นรู้มาจาก 1. ในตาบลทท่ี ่านอยู่ 2. ในอาเภอทีท่ ่านอยู่ 3. ในจังหวัดท่ีท่านอยู่ 4. ต่างจังหวดั
103 2.5 ในรอบปีทผ่ี ่านมา ท่านและสมาชกิ ในครวั เรือนของทา่ นเผยแพรค่ วามรู้เกย่ี วกับ ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง 1. ไม่เคย 2. เคย จานวน ................. ครัง้ โดยสว่ นใหญ่ผมู้ าเรียนรู้มาจาก 1. ในตาบลทที่ า่ นอยู่ 2. ในอาเภอท่ที า่ นอยู่ 3. ในจงั หวัดทท่ี า่ นอยู่ 4. ตา่ งจงั หวัด 4) ลักษณะของแบบสอบถามท่ีดี มดี งั น้ี (กาสัก เต๊ะขนั หมาก. 2553 : 132) 4.1) เพอื่ เปน็ การจูงใจให้ผู้ตอบใหม้ ีความตง้ั ใจทจ่ี ะตอบข้อต่อ ๆ ไป ควรต้ัง คาถามชนิดทตี่ อบง่าย หรือสง่ิ ท่ีอยรู่ อบ ๆ ตัวก่อน เชน่ อายุ การศกึ ษา สถานภาพสมรส ภมู ลิ าเนา เป็นตน้ 4.2) ควรตงั้ คาถามท่ผี ู้ตอบมีสว่ นไดเ้ สยี ซง่ึ จะทาให้มีความเตม็ ใจทจ่ี ะให้คาตอบ 4.3) ควรหลกี เล่ยี งการใชค้ าคณุ ศัพทแ์ ละคาวเิ ศษณ์ เช่น บ่อย มาก น้อย เพราะคาเหลา่ นสี้ อื่ ความหมายไดห้ ลายแบบ 4.4) ควรตั้งคาถามให้ตรงกบั วัตถุประสงค์ของเรื่องทจ่ี ะวจิ ัย หรือตงั้ คาถาม เพือ่ หาขอ้ มูลทเี่ กี่ยวข้องกบั สมมตฐิ านการวจิ ัยเทา่ นน้ั อย่าตงั้ คาถามนอกเรอ่ื งโดยเดด็ ขาดเพราะ นอกจากจะไม่ได้ประโยชน์แล้วยังเสยี เวลาและแรงงานอีกด้วย 4.5) ควรตัง้ คาถามชนดิ ทจี่ ะนาตัวเลขมาสรปุ เปน็ ตารางวิเคราะห์ไดง้ ่าย โดยเฉพาะควรใช้คาถามประเภทปลายปิด (Closed-End) ใหม้ าก สว่ นคาถามแบบปลายเปดิ (Opened-End) ควรใช้ให้น้อย แตท่ ้ังน้ขี ้ึนอยู่กบั เร่ืองท่ีทาการวิจัยด้วยวา่ ควรจะใชป้ ระเภทใด มากกวา่ กนั 4.6) ควรต้งั คาถามใหส้ น้ั กะทัดรดั เข้าใจง่าย และไดใ้ จความ 4.7) การต้งั คาถาม คาถามหนึ่งควรบรรจุเพียงประเดน็ เดียว ไม่ควรมี หลายประเด็นเพราะจะทาให้ผู้ตอบสงสยั ว่าจะใหต้ อบอย่างไรแน่ เพราะผลจากความสงสยั จะทา ใหไ้ ม่อยากตอบหรือถา้ ตอบก็ไมต่ รงกับขอ้ เท็จจริง ทาใหเ้ กดิ ความเสียหายตอ่ ขอ้ มลู ที่ไดร้ บั มา 4.8) ไมค่ วรตั้งคาถามที่ซ้าซ้อนกัน ยกเวน้ จะมเี จตนาเพ่ือตรวจสอบ ความเชือ่ ถือไดข้ องการให้คาตอบ 4.9) คาถามท่ีใช้ต้องไม่เปน็ คาถามนา เพราะจะทาใหผ้ ู้ตอบมีแนวโน้มที่จะ ตอบตามคาถามนน้ั 4.10) ภาษาท่ใี ชใ้ นการตัง้ คาถาม ควรเป็นภาษาทผี่ ูต้ อบสามารถเขา้ ใจได้ง่าย หรอื ภาษาในท้องถ่ินน้นั ๆ และไม่ควรใชค้ าท่ีเป็นนามธรรมหรือศัพทท์ างเทคนิคทรี่ ู้จักกันในกลมุ่ เล็ก ๆ 4.11) คาถามทเี่ กีย่ วกับมาตราส่วนต่าง ๆ ถ้าจาเปน็ ต้องถาม กค็ วรเลือกใช้ ใหเ้ หมาะสมกบั ชุมชน 4.12) ควรหลกี เล่ยี งคาย่อที่ไม่เป็นทีร่ ู้จักกนั ดีโดยท่วั ไป หรอื เป็นคาท่ีใชส้ ือ่ ความหมายตา่ งกัน
104 4.13) ไม่ควรตั้งคาถามทเ่ี ป็นคาปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ 4.14) ไม่ควรตงั้ คาถามชนดิ ท่ีจะทาใหผ้ ตู้ อบมีความเอนเอียงไปทางใดทางหน่งึ เปน็ อนั ขาด 4.15) ควรต้ังคาถามใหต้ ่อเน่ืองสัมพันธห์ รือเรยี งลาดับตลอดไป เช่น ถ้าถาม เกีย่ วกบั เรอ่ื งหน้สี นิ กค็ วรถามเกยี่ วกบั แหล่งกู้เงิน จานวนเงนิ กู้ ระยะเวลา และอัตราดอกเบีย้ เป็นต้น ให้จบเปน็ เร่อื ง ๆ ไป 4.16) ถ้าเป็นคาถามเก่ียวกบั ความคิด ความเช่ือ ที่เป็นแบบประมาณค่า จุดกลางนัน้ ควรเปน็ ข้อความที่ต้องการถามจริง ๆ เพราะการตอบ “เฉย ๆ” กบั “ไมม่ ีความเหน็ ” ให้ผลต่างกนั 4.17) พยายามหลกี เล่ยี งคาถามท่ไี วต่อความร้สู ึกของคน หรือข้อความ ทเ่ี ก่ียวกบั สถาบันท่ีคนนับถอื บูชา 4.18) การวจิ ยั ทีใ่ ช้คอมพวิ เตอร์ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจยั จะตอ้ งวางแผน ไว้ลว่ งหนา้ โดยการออกแบบสอบถามเพ่ือใหส้ ามารถนาข้อมลู มาวเิ คราะห์ดว้ ยเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ได้เลย จากแนวคิดเกีย่ วกับการสอบถามดังกลา่ วข้างต้นสามารถสรุปได้วา่ การสอบถาม เป็นวิธีกรเกบ็ รวบรวมข้อมลู โดยการใช้แบบสอบถามเป็นเคร่ืองมือในการเกบ็ ข้อมูลการวจิ ัยทาง สังคมศาสตร์เพราะเปน็ เคร่ืองมือที่ทาได้ง่าย ใช้สะดวก ประหยดั เวลา แรงงาน และค่าใช้จ่าย ซง่ึ แบบสอบถามทีน่ ิยมใช้กันทั่วไปมี 2 แบบ คอื แบบสอบถามปลายเปดิ และแบบสอบถาม ปลายปิด สาหรับขอ้ คาถามที่ใชถ้ ามในแบบสอบถามทัง้ 2 ชนดิ การตง้ั คาถามให้ตรงกับ วตั ถปุ ระสงค์ของเรื่องทว่ี ิจยั อย่าตั้งคาถามนอกเหนอื จากเรือ่ งทว่ี จิ ยั เปน็ อนั ขาดเพราะนอกจากจะ ไม่ได้ประโยชนแ์ ลว้ ยงั เสียเวลา แรงงานและงบประมาณอกี ดว้ ย 6.3.4 การวดั เจตคติ การวดั เจตคติเป็นวธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมลู ที่เป็นความรสู้ ึก ความเช่ือ ความศรัทธา ของบุคคลต่อสงิ่ ใดส่งิ หน่ึงซ่ึงเป็นผลจากการเรียนรู้ และประสบการณ์ทชี่ ว่ ยกระต้นุ จูงใจใหบ้ ุคคล แสดงพฤติกรรมต่อส่ิงต่าง ๆ สาหรบั แบบวดั เจตคตมิ ีอยหู่ ลายประเภท เชน่ แบบวดั เจตคติตามวิธี ของเทอรส์ โตน แบบวดั เจคติตามวิธีของลิเคิร์ท และแบบวดั เจตคติโดยใชค้ วามหมายทางภาษา 6.3.4.1 ความหมายของเจตคติ และแบบวัดเจตคติ นักการศึกษาได้ให้แนวคดิ เกยี่ วกบั ความหมายของเจตคติและแบบวดั เจตคติ ไวห้ ลายแง่มมุ ดังน้ี พวงรตั น์ ทวรี ตั น์ (2538 : 106) กลา่ วไวว้ า่ เจตคติ (Attitude) หมายถงึ ผลรวมท้งั หมดท่เี ก่ียวกบั ความร้สู กึ นึกคดิ ของบุคคลอันเป็นผลเนอื่ งมาจากการเรยี นรู้ หรอื ประสบการณ์ และเปน็ ตัวกระตนุ้ ใหบ้ คุ คลแสดงพฤติกรรมตอ่ ส่ิงเร้าไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ซ่ึงอาจเป็นไปในทางสนบั สนุนหรือทางต่อตา้ นกไ็ ด้ เชน่ ชอบหรอื ไม่ชอบ เห็นด้วยหรือไมเ่ ห็นดว้ ย แบบวดั เจตคติ หมายถึง ระดบั ของข้อความจานวนหนึ่งที่ใชว้ ัดความรู้สึกของบคุ คลท่ีมีต่อส่ิงเรา้ ต่าง ๆ และเปน็ ความรู้สึกทค่ี ่อนขา้ งจะลกึ ซึ้ง ใชว้ ดั กับข้อมูลทางด้านจิตพิสยั (Affective Domain)
105 พชิ ติ ฤทธิ์จรูญ (2551 : 223) กล่าวไว้ว่า เจตคติเปน็ ความรู้สึก ความเชือ่ ความศรัทธาของบุคคลต่อส่งิ ใดสิง่ หน่ึงซง่ึ เปน็ ผลมาจากการเรียนรู้ และประสบการณ์ทชี่ ว่ ย กระตนุ้ จงู ใจให้บคุ คลแสดงพฤติกรรมต่อสงิ่ ต่าง ๆ ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เช่น สนบั สนนุ หรือ ตอ่ ตา้ น ชอบหรือไม่ชอบ เหน็ ด้วยหรือไม่เหน็ ด้วย แบบวัดเจตคติ หมายถงึ เครือ่ งมอื วดั พฤติกรรม ด้านจิตพสิ ัย ซึง่ ประกอบด้วยชดุ ของข้อความจานวนหน่ึงท่ีใช้วดั ความร้สู ึก ความเช่ือ ความศรทั ธา ของบุคคลท่ีมีตอ่ สงิ่ ต่าง ๆ จากแนวคิดเกีย่ วกับความหมายของเจตคติและแบบวดั เจตคติดังกลา่ วข้างต้น สามารถสรปุ ไดว้ า่ เจตคติเป็นความร้สู กึ เชอื่ ศรัทธาตอ่ สงิ่ หน่งึ สิง่ ใด จนเกิดความพร้อมทจ่ี ะแสดงการ กระทาออกมา ซ่ึงอาจจะไปในทางดหี รือไม่ดีกไ็ ด้ เจตคติยังไมเ่ ป็นพฤติกรรมแต่เป็นตวั การทจ่ี ะทาให้ เกดิ พฤติกรรม ดังน้ัน เจตคติจงึ เป็นคณุ ลักษณะของความรสู้ กึ ทซ่ี ่อนเรน้ อย่ภู ายในใจ แบบวดั เจตคติ หมายถึง เคร่ืองมือวัดพฤตกิ รรมดา้ นจติ พิสยั ซึ่งประกอบด้วยชดุ ของข้อความจานวนหน่ึงที่ใช้วัด ความรสู้ กึ ความเชอ่ื ความศรัทธาของบุคคลท่ีมีต่อสง่ิ ต่าง ๆ ซ่ึงเป็นความรู้สกึ ทีค่ ่อนขา้ งจะลึกซ้ึง 6.3.4.2 ประเภทของแบบวัดเจตคตแิ ละการสร้างแบบวดั เจตคติ แบบวัดเจตคติทใ่ี ช้ในการวจิ ัยมอี ยู่หลายชนดิ ในท่ีน้จี ะกลา่ วถึงที่นยิ มใชอ้ ยู่ 3 ชนิด คอื (พชิ ิต ฤทธิ์จรูญ. 2551 : 223 - 231) 1) วธิ ีของเทอร์สโตน (Thurstone’s Scale) แบบวดั เจตคตติ ามวิธีของเทอร์สโตน กาหนดช่วงความรูส้ ึกของคนท่ีมีต่อ สง่ิ ใดสิ่งหนึง่ เป็น 11 ชว่ ง จากน้อยที่สดุ จนถงึ มากท่ีสุด คือจาก A ถึง K หรือจาก 1 ถึง 11 แตล่ ะช่วงมรี ะยะห่างเทา่ ๆ กนั จึงมชี อื่ เรียกได้อีกอยา่ งว่า The Method of Equal Appearing Intervals ข้อความทีบ่ รรจลุ งในมาตราวดั จะตอ้ งนาไปให้ผู้ตดั สิน (Judge) พิจารณาว่าควรอยู่ ในตาแหนง่ ใดของมาตราและแตล่ ะข้อความกจ็ ะต้องหาคา่ ประจาข้อความคอื ค่าแบบวัด (Scale Value-S) หาในรูปของคา่ มธั ยฐาน (Median) และหาค่าการกระจาย (Quartile Deviation-QD) จานวนข้อความทีป่ ระกอบเป็นแบบวดั เจตคติตามวธิ ีของเทอร์สโตนมีประมาณ 20 ข้อความ หรอื มากกว่าเลก็ น้อย แบบวัดเจตคตติ ามแบบของเทอร์สโตนน้ี ได้รับการวิพากษ์วจิ ารณ์ในประเดน็ สาคญั 3 ประการ คือ 1.1) การตัดสนิ ข้อความของคณะบุคคลท่ีใชต้ ัดสนิ ด้วยการใหเ้ ลอื กวา่ ขอ้ ความนัน้ ควรอยู่มาตราวดั ใด มิใช่เป็นการให้คณะบคุ คลทีต่ ัดสนิ นัน้ ประเมินเจตคติของตนต่อ เร่ืองนน้ั ซ่ึงเปน็ การทาได้ยากมากทจี่ ะไม่ใหเ้ จตคติต่อเรื่องน้ันของคณะบุคคลทีต่ ดั สนิ มีส่วนใน การตดั สนิ ด้วย 1.2) ความเป็นอสิ ระในการตัดสนิ แตล่ ะข้อความทาไดย้ าก เน่ืองจาก ตอ้ งอ่านข้อความทุกข้อในเวลาใกล้เคยี งกนั ฉะนัน้ ผู้ตดั สินใจจงึ หลกี เลี่ยงท่ีจะเปรียบเทียบข้อความ วัดเจตคตซิ ึ่งกนั และกันไม่ได้ 1.3) เนอ่ื งจากมคี วามแตกต่างกนั ระหว่างบุคคล การให้คะแนน แบบวดั เทา่ กันทุกคนทต่ี อบเห็นดว้ ยจึงไม่ค่อยถูกตอ้ งนัก เพราะบางคนก็เห็นดว้ ยกับเรื่องนั้นน้อย แต่บางคนก็เห็นดว้ ยกบั เรื่องนั้นมาก
106 2) วธิ ีของลเิ คริ ์ท (Likert’s Scale) แบบวดั เจตคติตามวธิ ีของลเิ คิรท์ นิยมใชก้ นั อยู่แพร่หลายเพราะง่ายแก่ การวดั โดยกาหนดช่วงความรสู้ กึ ของคนเป็น 5 ช่วง หรอื 5 ระดบั คือ เห็นดว้ ยอย่างยง่ิ เห็นด้วย เฉย ๆ ไมเ่ ห็นดว้ ย และไม่เห็นด้วยอย่างยง่ิ ข้อความทีบ่ รรจุลงในแบบวัดประกอบดว้ ย ขอ้ ความท่ีแสดงความรู้สกึ ต่อสง่ิ หน่ึงสิ่งใดทัง้ ในทางที่ดี (ทางบวก) และในทางท่ีไมด่ ี (ทางลบ) และ มีจานวนพอ ๆ กนั ขอ้ ความเหลา่ นี้อาจมีประมาณ 18-20 ขอ้ ความ การกาหนดนา้ หนักคะแนน การตอบแต่ละตัวเลือกกระทาภายหลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลแล้ว การสรา้ งแบบวัดเจตคตติ ามวิธีของลิเคริ ์ท มีขน้ั ตอนดังนี้ 2.1) ต้ังจุดมุ่งหมาย หรือโครงสร้างของการศึกษาวา่ ด้วยการศึกษา เจตคติของใครท่มี ตี ่อสงิ่ ใด 2.2) ให้ความหมายของเจตคตติ อ่ ส่ิงที่จะศึกษานนั้ ให้แจ่มชัด เพ่อื ให้ ทราบวา่ สงิ่ ท่ีจะศกึ ษา (Psychological Object) นน้ั ประกอบด้วยคุณลักษณะใดบา้ ง 2.3) สรา้ งขอ้ ความให้ครอบคลุมคุณลกั ษณะทสี่ าคัญ ๆ ของสิ่งที่จะศึกษา ให้ครบถ้วน ทกุ แง่ทุกมมุ และตอ้ งมีข้อความท่ีเปน็ ไปในทางบวกและทางลบจานวนพอ ๆ กัน 2.4) ตรวจสอบขอ้ ความทส่ี ร้างขึน้ ซงึ่ ทาไดโ้ ดยผสู้ รา้ งข้อความเองและ นาไปใหผ้ มู้ ีความรใู้ นเรือ่ งนน้ั ๆ ตรวจสอบ โดยพจิ ารณาในเรือ่ งของความครบถว้ นของคุณลกั ษณะ ของสงิ่ ท่ศี กึ ษาและความเหมาะสมของภาษาท่ใี ช้ ตลอดจนลักษณะการตอบกบั ข้อความ ท่สี ร้างวา่ สอดคล้องกนั หรือไม่เพยี งใด เช่น พิจารณาว่าควรจะใหต้ อบว่า “เห็นดว้ ยอย่างยงิ่ เหน็ ดว้ ย เฉย ๆ ไมเ่ หน็ ดว้ ย ไม่เหน็ ด้วยอยา่ งยงิ่ ” หรือ “ชอบมากที่สุด ชอบมาก ปานกลาง ชอบนอ้ ย ชอบนอ้ ยท่ีสุด” 2.5) ทาการทดลองขัน้ ต้นก่อนที่จะนาไปใชจ้ ริง โดยการนาขอ้ ความ ทไ่ี ดต้ รวจสอบแล้วไปทดลองใชก้ บั กลุ่มตัวอยา่ งจานวนหนงึ่ เพ่อื ตรวจสอบความชดั เจนของข้อความ และภาษาท่ีใช้อกี ครง้ั หนงึ่ และเพื่อตรวจสอบคุณภาพด้านอน่ื ๆ ได้แก่ ความเท่ยี งตรง คา่ อานาจ จาแนก และคา่ ความเชื่อมนั่ ของแบบวัดเจตคติทั้งชดุ ด้วย 2.6) กาหนดการใช้คะแนนการตอบของแตล่ ะตวั เลอื ก โดยทัว่ ไป ทีน่ ิยมใช้ คือ กาหนดคะแนนเปน็ 5 4 3 2 1 (หรอื 4 3 2 1 0) สาหรับขอ้ ความทางบวก และ 1 2 3 4 5 (หรอื 0 1 2 3 4) สาหรบั ขอ้ ความทางลบ ซง่ึ กาหนดแบบนี้เรียกวา่ Arbitrary Weighting Method ซ่ึงเปน็ วิธที ่ีสะดวกมากในทางปฏบิ ัติ
107 ตวั อย่าง แบบสอบถามเพื่อการวิจัย เร่อื ง “ปจั จัยท่ีสมั พันธก์ ับพฤติกรรมการดาเนนิ ชวี ติ ตามปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงของครวั เรอื นในจงั หวดั ยโสธร” คาช้ีแจง : 1. แบบสอบถามฉบับนเี้ ป็นแบบสอบถามเพื่อการวิจัย เร่ือง “ปัจจัยที่สัมพันธ์กับ พฤติกรรมการดาเนินชีวติ ตามปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งของครัวเรอื นในจังหวดั ยโสธร” 2. แบบสอบถาม ประกอบด้วย 6 ตอน ได้แก่ ตอนท่ี 1 ขอ้ มลู ครวั เรือน ตอนท่ี 2 การเรียนรปู้ รัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ตอนที่ 3 การสนับสนุนทางสงั คม ตอนที่ 4 ความรูเ้ รื่องปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง ตอนที่ 5 เจตคตติ ่อปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ตอนที่ 6 พฤติกรรมการดาเนนิ ชวี ติ ตามปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง 3. คาตอบของท่านจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการวจิ ยั ในครั้งน้ี จงึ ขอความกรุณาจาก ท่านไดโ้ ปรดตอบแบบสอบถามน้ใี ห้ครบทุกข้อตามความจริง 4. ขอ้ มูลทีท่ า่ นตอบแบบสอบถามฉบบั นจ้ี ะถือเปน็ ความลับ โดยผวู้ จิ ัยจะนาเสนอ ผลการวจิ ัยในภาพรวม โดยไม่มผี ลกระทบต่อท่านแต่อยา่ งใดท้ังทางตรงและทางอ้อม ขอขอบคุณท่านที่ให้ความรว่ มมอื ในการตอบแบบสอบถามคร้ังนดี้ ว้ ยความตงั้ ใจจริง มา ณ โอกาสนี้ นางสาวปยิ ดา ปญั ญาศรี ผ้วู จิ ยั
108 ตอนท่ี 5 เจตคติตอ่ ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง คาช้แี จง : โปรดอ่านขอ้ ความตอ่ ไปนี้ แลว้ เลอื กตอบ ตามความคดิ เห็น ถา้ “เหน็ ด้วยอยา่ งยิ่ง” กับข้อความในข้อนน้ั โปรดเลอื กตอบ “เหน็ ดว้ ยอย่างยิง่ ” ถา้ “เห็นด้วย” กับข้อความในข้อน้นั โปรดเลอื กตอบ “เหน็ ดว้ ย” ถ้า “ไม่มีความเห็น” กับขอ้ ความในขอ้ นัน้ โปรดเลือกตอบ “เฉยๆ” ถา้ “ไมเ่ ห็นดว้ ย” กับข้อความในข้อนนั้ โปรดเลอื กตอบ “ไม่เหน็ ด้วย” ถา้ “ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งย่ิง” กบั ขอ้ ความในข้อนน้ั โปรดเลอื กตอบ “ไมเ่ หน็ ดว้ ยอยา่ งยง่ิ ” ที่ ข้อความ เห็นด้วย เห็นด้วย เฉย ๆ ไมเ่ หน็ ไมเ่ หน็ ดว้ ย อยา่ งย่งิ ด้วย อยา่ งยิง่ 1 การน้อมนาปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งมาใช้ ในการดารงชวี ติ จะทาใหป้ ระชาชนใน ทุกระดับมีชวี ิตทดี่ ขี ึน้ 2 การปฏบิ ตั ิตามปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ทาได้ยากเพราะจะตอ้ งพ่ึงตนเองเป็นหลัก 3 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งเนน้ การปฏิบตั ิ เพือ่ ความตระหน่ี 4 การปฏบิ ัติตามปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง เปน็ ไปเพื่อประโยชน์ของเราและครอบครวั เท่าน้ัน 5 ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งเปน็ การแก้ปัญหา เฉพาะหนา้ ไมจ่ าเปน็ ต้องคานึงถงึ ความ เป็นไปได้ทจ่ี ะเกดิ ข้นึ ในอนาคต 6 การปฏบิ ัติตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง เป็นการเตรยี มตัวให้พร้อมรับการ เปลย่ี นแปลงท่จี ะเกดิ ขึ้น 7 การปฏิบตั ติ ามหลกั การของปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงต้องใชค้ วามรอบรู้ เก่ียวกับวชิ าการตา่ ง ๆ จงึ เหมาะสมสาหรับ คนทเ่ี รียนสงู ๆ เทา่ นนั้ 3) วธิ ีวัดเจตคติโดยใชค้ วามหมายทางภาษา (Semantic Differential Scale) วธิ นี ผ้ี ู้คดิ คือ ออสกูด (Osgood) แบบวัดน้ีใชค้ าคุณศัพท์มาอธิบายความหมาย ของสิ่งเร้าโดยมีคาคุณศัพท์ตรงข้ามกันเปน็ ขั้วของมาตราวดั ออสกูดใช้ชอื่ สง่ิ เร้านวี้ า่ สังกัปหรือมโนทัศน์ (Concept) เช่น อาชีพครู นกั การเมือง ผ้หู ญงิ การเรียนการสอน
109 3.1) องค์ประกอบของความหมายทางภาษา ออสกูดได้แบง่ การใช้ ความหมายทางภาษาออกเปน็ 3 องค์ประกอบ ดงั นี้ 3.1.1) องค์ประกอบด้านประเมินคา่ คาคณุ ศัพท์ที่ใช้อธบิ าย เชน่ ดี-ช่ัว จริง-เทจ็ ฉลาด-โง่ สวย-น่าเกลยี ด สวา่ ง-มืด 3.1.2) องค์ประกอบดา้ นศักยภาพ (Potentia l Factor) เป็น องคป์ ระกอบท่ีแสดงถงึ กาลังอานาจหรือศกั ยภาพ คาคุณศพั ท์ท่ใี ช้แสดงศักยภาพ เชน่ แขง็ แรง- ออ่ นแอ หนัก-เบา หนา-บาง หยาบ-ละเอยี ด เคร่งครดั -ผ่อนปรน ใหญ-่ เล็ก 3.1.3) องคป์ ระกอบดา้ นกิจกรรม (Activity Factor) เปน็ คุณศัพท์ แสดงกจิ กรรมต่าง ๆ เชน่ ช้า-เร็ว เฉ่อื ยชา-กระตือรือรน้ ร่าเรงิ -เศรา้ ซมึ คึกคัก-เงียบเหงา 3.2) เกณฑ์ในการเลือกสงั กปั หรอื มโนทัศน์ในการวิจัยเรอื่ งหนง่ึ ๆ อาจต้องใช้สงั กปั หรือมโนทัศน์มากมาย ซึ่งการเลือกสงั กัปหรือมโนทัศน์มีเกณฑก์ ารเลอื กดงั นี้ 3.2.1) พยายามเลือกสังกัปหรอื มโนทัศน์ทเ่ี ข้าใจตรงกนั มีความหมาย เดียว แจ่มชดั เพ่อื ให้แน่ใจว่า กาลังพรรณนาลักษณะอะไร 3.2.2) พยายามเลือกสังกปั หรอื มโนทัศน์ที่ให้ผู้ตอบแลว้ มีความ แปรปรวนระหว่างบคุ คลมากหรอื กล่าวอีกนัยหน่ึงว่าพยายามเลอื กสังกัปหรือมโนทัศน์ที่ต่างคน ตา่ งตอบแลว้ ได้คา่ แตล่ ะมาตราตา่ ง ๆ กันออกไป น่นั คือ ในแต่ละมาตรา (Scale) มผี ้ตู อบกระจาย กนั เพราะในแตล่ ะแบบวดั ถา้ มคี นตอบเหมอื น ๆ กนั สังกัปหรอื มโนทศั น์นน้ั กไ็ ม่สามารถแยกคน ออกจากกนั ได้ 3.2.3) พยายามเลือกสงั กัปหรอื มโนทศั น์ที่ผ้ตู อบมคี วามคุ้นเคย เพราะถ้าเป็นสงั กัปหรอื มโนทัศน์ทผ่ี ้ตู อบไม่คุ้นเคย จะทาใหผ้ ลของการประมาณค่าจะมีแนวโน้มไปอยู่ ตรงกลาง ๆ ของมาตรา 3.2.4) พยายามเลือกสงั กปั หรือมโนทัศน์ให้ครอบคลมุ ตวั แทนของ ประชากรสังกปั หรอื มโนทศั น์ เช่น การเรยี นการสอนอาจต้องใชส้ งั กปั หรือมโนทัศน์หลายอยา่ ง เชน่ หลักสตู ร ตวั ครู วิชาทีเ่ รยี น เปน็ ต้น 3.3) รปู แบบของการใช้ความหมายทางภาษา รปู แบบของความหมาย ของภาษามี 2 แบบ คือ แบบท่ี 1 มสี งั กัปหรือมโนทัศน์ควบคูไ่ ปกบั มาตราแต่ละมาตรา และแบบ ที่ 2 มาตราจานวนหน่งึ สาหรบั ประเมนิ สังกปั หรอื มโนทัศน์หน่งึ ประเภทของแบบวดั เจตคตแิ ละการสรา้ งแบบวัดเจตคติดังกล่าวข้างต้น สามารถสรปุ ไดว้ า่ เจตคติเป็นคุณลกั ษณะภายในของบคุ คลไม่สามารถวดั ไดโ้ ดยตรง จึงเปน็ การวัด โดยอ้อม ไดแ้ ก่ การสงั เกตพฤติกรรม การสมั ภาษณ์ การรายงานตนเอง เช่น การใช้แบบวดั เจตคติ สาหรับแบบวัดเจตคติมีหลายประเภท แตก่ ลา่ วถงึ 3 ประเภท คือ 1) แบบวัดเจตคตติ ามวธิ ีของ เทอร์สโตน (Thurstone’s Scale) มลี ักษณะสาคญั 4 ประการ คือ ประการแรก กาหนดช่วง ความรู้สึกเปน็ 11 ช่วงเทา่ ๆ กัน จากนอ้ ยทสี่ ุดไปหามากทีส่ ุด ประการทสี่ อง กาหนดขอ้ ความ ทแี่ สดงถึงความรู้สกึ ต่อเปา้ หมาย แลว้ นามาให้ผูเ้ ช่ยี วชาญเปน็ ผ้ตู ัดสนิ วา่ อยใู่ นระดบั ใด (ใน 11 ชว่ ง)
110 ประการทส่ี าม แต่ละข้อความมีคา่ ประจาข้อ (Scale Value-s) และคา่ การกระจาย (Quartile Deviation-Q) และประการท่สี ่ี แบบวดั เจตคติท้งั ฉบับประกอบด้วยข้อความประมาณ 20 - 25 ขอ้ 2) แบบวัดเจตคตติ ามวธิ ีของลเิ คริ ท์ (Likert’s Scale) มีลกั ษณะสาคัญ คือ กาหนดชว่ งความรสู้ ึก ของคนเปน็ 5 ชว่ ง หรอื 5 ระดับ ซง่ึ แบบวัดประกอบด้วยข้อความที่แสดงความร้สู ึกตอ่ เป้าหมาย ทง้ั ทางบวกและลบจานวนพอ ๆ กัน และ 3) แบบวดั เจตคตติ ามวิธขี องออสกูด (Osgood’s Scale) มลี กั ษณะสาคัญ คอื ใช้คาคุณศัพท์มาอธิบายเปา้ หมายทีต่ ้องการวัด คาคณุ ศัพท์ทน่ี ามาอธบิ าย เป้าหมายมลี กั ษณะเปน็ คู่ที่มคี วามหมายตรงกันข้าม (Bipolar) ซงึ่ มีองคป์ ระกอบ 3 ดา้ น คือ ด้านการประเมนิ เป็นคณุ ศพั ทท์ สี่ ะท้อนการตดั สินคณุ ค่าเช่น ดี-เลว สวย-ขเี่ หร่ น่ารกั -น่าเกลียด ฉลาด-โง่ ด้านศกั ยภาพ เป็นคณุ ศัพท์ท่ีสะท้อนถงึ พลงั อานาจ เช่น แขง็ แรง-ออ่ นแอ สูง-ตา่ หนกั -เบา ละเอียด-หยาบ และดา้ นกจิ กรรม เปน็ คุณศัพท์ที่สะท้อนถึงกริ ิยาอาการ เช่น เรว็ -ชา้ คล่องแคลว่ -อืดอาด รา่ งเริง-เซ่อื งซึม ขยนั -ข้ีเกียจ 6.4 การตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการวิจัย เมอื่ ผ้วู จิ ยั สร้างหรือเลอื กเคร่ืองมอื ในการวิจัยได้แลว้ กอ่ นที่ผู้วจิ ยั จะนาเคร่อื งมอื วิจัยไปใช้ ในการเก็บรวบรวมข้อมลู จะต้องทาการตรวจสอบและวิเคราะหค์ ณุ ภาพเคร่ืองมือกอ่ นทุกครง้ั เพือ่ ให้ แน่ใจว่าเครื่องมอื วจิ ัยน้ันมีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์สูง เมื่อนาไปใชเ้ ก็บขอ้ มลู จริงแลว้ จะทาใหไ้ ดผ้ ลวจิ ัย ทถ่ี ูกต้องและเชอื่ ถือได้มากที่สุด (กาสัก เตะ๊ ขนั หมาก. 2553 : 139 - 150) ในการวิจัยทาง สงั คมศาสตร์ คุณภาพของเครื่องมือท่ีจาเป็นต้องตรวจสอบ มอี ยู่ 5 เรอื่ ง ได้แก่ ความเที่ยงตรง (Validity) ความเช่ือมน่ั (Reliability) ความเป็นปรนัย (Objectivity) ความยากง่าย (Difficulty) และอานาจจาแนก (Discrimination) สาหรับเคร่อื งมือท่ใี ช้ในการวจิ ยั บางชนดิ จาเปน็ ต้องตรวจสอบ คุณภาพทั้ง 5 เรอ่ื ง แต่บางชนิดกต็ รวจสอบเพยี งบางเร่ือง ทง้ั นแ้ี ลว้ แตล่ กั ษณะของเคร่ืองมอื แตล่ ะชนดิ 6.4.1 ความเที่ยงตรง ความเท่ยี งตรง (Validity) เปน็ คุณสมบตั ิของเคร่อื งมือท่ีแสดงใหท้ ราบว่าเครื่องมือ น้นั ๆ สามารถวัดไดต้ รงตามจุดประสงค์ของผู้ใช้เคร่อื งนนั้ หรอื ไม่ ชิดชนก เชิงเชาว์ (2535 : 121) ได้เสนอว่า ความเทย่ี งตรงเป็นคุณสมบัตทิ ่สี าคญั ที่สุดของเครอื่ งมือ ผูว้ จิ ยั จะต้องทาให้เครื่องมือ เกดิ คุณภาพด้านเทย่ี งตรงเปน็ เบอ้ื งตน้ เสียก่อน จึงตรวจสอบคุณภาพด้านอืน่ ๆ ต่อไป สอดคล้องกบั พวงรตั น์ ทวรี ัตน์ (2538 : 115-120) ทเ่ี สนอว่า ความเท่ียงตรงของเครื่องมอื ต้องอาศยั เกณฑ์ เปน็ ตัวบ่งชี้ หรือเป็นเครื่องเทยี บเพื่อใหท้ ราบวา่ เครอ่ื งมอื นนั้ ๆ มคี วามเทย่ี งตรงในด้านใด ความเท่ยี งตรงของเครื่องมือจาแนกได้ 2 อยา่ งตามเกณฑ์ท่ีใชเ้ ทียบ คือ (พชิ ิต ฤทธ์จิ รูญ. 2551 : 241 - 245) 6.4.1.1 ความเที่ยงตรงตามเน้อื หา (Content Validity) เป็นความสอดคล้องระหว่าง เน้อื หาของเครื่องมือทสี่ ร้างข้ึนกับเน้ือหาของส่ิงท่ีต้องการศึกษา ถ้าเคร่ืองมอื ใดสรา้ งไดส้ อดคล้องกับ เนือ้ หาของส่งิ ที่ต้องการศึกษา กก็ ลา่ วไดว้ ่าเครอ่ื งมือนั้น ๆ มีความเที่ยงตรงตามเน้ือหาท่ีใช้เทยี บ คือ เน้อื หาของส่ิงทต่ี ้องการศึกษา ซึ่งสามารถตรวจสอบโดยอาศัยดลุ ยพินิจของผ้เู ชย่ี วชาญ หรอื ผรู้ อบรู้ เฉพาะเรือ่ ง (Subject Matter Specialists) วธิ ีน้ีผู้วจิ ัยจะต้องสารวจดวู า่ เรื่องทวี่ จิ ยั นน้ั มีใครเป็น
111 ผู้รอบรู้ หรือผู้เช่ยี วชาญในเรื่องน้นั ๆ บา้ ง คัดเลือกหรอื กาหนดไว้อย่างน้อยควรมี 3 คน นาเคร่ืองมอื ที่สรา้ งข้นึ ไปใหผ้ ู้เชี่ยวชาญท่ีกาหนดไวต้ รวจสอบ ซ่งึ ก็จะเป็นการพจิ ารณาดูว่าเคร่ืองมือนั้น ๆ ได้ถาม ในแง่มมุ ต่าง ๆ หรือประเด็นต่าง ๆ ตามท่ีควรจะถาม ได้ครอบคลุมหรอื ไม่ ถา้ ผู้เชย่ี วชาญส่วนใหญ่ ตัดสนิ ตรงกันว่าใช้ได้ เครื่องมือนน้ั ก็มคี วามเทีย่ งตรงตามเนื้อหา ถา้ ข้อคาถามใดผ้เู ชี่ยวชาญให้ ความเห็นไมต่ รงกนั ก็ควรปรับปรุงแก้ไข การตรวจสอบโดยวธิ ีน้เี รียกวา่ “Face Validity” และเป็นวธิ ี ทีใ่ ชไ้ ด้กับเครือ่ งมือวจิ ยั ทว่ั ๆ ไป ไม่ว่าจะเปน็ แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกตซึ่งมรี ายการ คาถามสรา้ งไวเ้ รียบรอ้ ยแล้ว (Structured Form) รวมทง้ั มาตราวัดเจตคตติ ่าง ๆ ด้วย 6.4.1.2 ความเท่ียงตรงตามโครงสร้าง (Construct Validity) เปน็ ความสอดคล้อง ระหว่างลกั ษณะพฤติกรรมของข้อคาถามกบั พฤติกรรมท่เี ป็นเปา้ หมายของสิง่ ทจี่ ะต้องการจะวัด และ พฤติกรรมทเ่ี ป็นเป้าหมายของส่งิ ทตี่ อ้ งการจะวดั คอื พฤติกรรมที่เป็นโครงสรา้ งของเร่ืองนั้น ๆ ตามที่ กาหนดไวใ้ นทฤษฎเี ร่ืองนน้ั ๆ การตรวจสอบความเท่ยี งตรงตามโครงสรา้ งสว่ นใหญ่ใชก้ ับเคร่อื งมอื ทเี่ ปน็ แบบทดสอบวัดทางด้านพุทธปิ ัญญาหรือพุทธิพสิ ยั และดา้ นจติ พิสยั ประเภททีเ่ ป็นนามธรรม เช่น ความเกรงใจ ความซื่อสัตย์ และเจตคติต่อสงิ่ ตา่ ง ๆ ซ่ึงสามารถตรวจสอบโดยอาศยั ดลุ ยพินิจ ของผเู้ ชยี่ วชาญหรือผู้รอบรู้เฉพาะเรื่อง (Subject Matter Specialists) ซ่ึงเรยี กว่า วิธี “Face Validity” เชน่ เดยี วกับการหาความเทยี่ งตรงตามเน้ือหา ในการตรวจสอบจะเน้นท่กี ารตรวจสอบ ลกั ษณะพฤตกิ รรมของข้อคาถามแทนเนื้อหา เปน็ วธิ ที ี่ใชไ้ ด้กับเครื่องมือวิจัยท่วี ดั คุณลักษณะ ทางจิตวิทยา และเจตคตติ ่าง ๆ หรือด้านจติ พิสัย (Affective Domain) การตรวจสอบความเทีย่ งตรงตามเนอื้ หา และตามโครงสร้างโดยอาศยั ดลุ ยพนิ จิ ของ ผูเ้ ชี่ยวชาญนั้น ในทางปฏบิ ตั สิ ามารถตรวจสอบไปพร้อม ๆ กนั ได้ และสามารถวเิ คราะห์ออกมา ในเชงิ ปริมาณหรือตัวเลขได้ โดยการหาค่าดชั นีความสอดคลอ้ งระหวา่ งข้อคาถามกบั ลักษณะเฉพาะ กลุ่มพฤติกรรมที่ต้องการศึกษาตามวัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย (Index of Item Objective Congruence : IOC) โดยนาเครื่องมอื ท่ีสรา้ งขึ้นไปใหผ้ ู้เชยี่ วชาญดา้ นเนื้อหา (ควรมีอยา่ งน้อย 3 คน) แต่ละคน พจิ ารณาลงความเหน็ และใหค้ ะแนน ดังน้ี +1 เมือ่ แนใ่ จว่าข้อคาถามนัน้ เปน็ ตวั แทนลกั ษณะเฉพาะกลมุ่ พฤติกรรมทีต่ ้องการ ศึกษาตามวัตถปุ ระสงค์การวิจัย 0 เมือ่ ไมแ่ นใ่ จวา่ ข้อคาถามนั้นเปน็ ตัวแทนลกั ษณะเฉพาะกลุม่ พฤติกรรมท่ี ต้องการศึกษาตามวตั ถุประสงค์การวิจยั หรือไม่ -1 เมอ่ื แนใ่ จวา่ ข้อคาถามไมเ่ ปน็ ตวั แทนลักษณะเฉพาะกลุ่มพฤติกรรมท่ีต้องการ ศึกษาตามวัตถปุ ระสงค์การวจิ ัย นาคะแนนท่ไี ด้มาหาค่าดชั นีความสอดคลอ้ งระหวา่ งขอ้ คาถามกบั ลักษณะพฤตกิ รรม ท่ตี ้องการศึกษาตามวตั ถุประสงคก์ ารวิจัย (Index of Item Objective Congruence : IOC) IOC = ∑R N
112 เมื่อ IOC = ดชั นีความสอดคล้องระหวา่ งข้อคาถามกับพฤติกรรมท่ีตอ้ งการ ศกึ ษาตามวตั ถปุ ระสงค์การวิจัย ∑R = ผลรวมคะแนนความคิดเหน็ ของผู้เช่ียวชาญ N = จานวนผเู้ ช่ียวชาญ ตัวอย่าง การคานวณค่าดชั นีความสอดคล้องระหวา่ งข้อคาถาม (5 ข้อ) กับวตั ถุประสงค์ ของการวิจัย (IOC) ตามคะแนนทีผ่ เู้ ชี่ยวชาญด้านเนอ้ื หา (5 คน) ได้พิจารณาใหแ้ ลว้ ข้อ คนท่ี 1 ค่าคะแนนของผเู้ ชย่ี วชาญ R IOC แปลผล คาถามท่ี คนท่ี 2 คนท่ี 3 คนท่ี 4 คนท่ี 5 1.00 ใชไ้ ด้ 1 +1 +1 +1 +1 +1 5 0.80 ใชไ้ ด้ 0.80 ใชไ้ ด้ 2 +1 +1 0 +1 +1 4 1.00 ใชไ้ ด้ 1.00 ใช้ได้ 3 0 +1 +1 +1 +1 4 4 +1 +1 +1 +1 +1 5 5 +1 +1 +1 +1 +1 5 ในการพิจารณา ถา้ ค่าดัชนคี วามสอดคล้อง (IOC) ท่คี านวณไดม้ ากกว่าหรือเท่ากบั 0.5 แสดงข้อคาถามนน้ั เปน็ ตัวแทนลกั ษณะเฉพาะของกล่มุ พฤติกรรมทตี่ ้องการศึกษาตามวตั ถุประสงค์ การวิจัยนน้ั ถา้ ขอ้ คาถามใดมีคา่ ดชั นคี วามสอดคล้อง (IOC) ต่ากวา่ 0.5 ก็ตอ้ งพจิ ารณานาไป ปรับปรุงแก้ไขใหม่ให้ดีข้นึ หรือตัดออกไป 6.4.2 ความเชื่อม่ัน ความเช่อื ม่ัน (Reliability) เปน็ คุณสมบตั ิของเครื่องมือทแ่ี สดงให้ทราบวา่ เครื่องมือ น้ัน ๆ ใหผ้ ลการวดั ทส่ี มา่ เสมอ แนน่ อนหรือคงที่ (Stability or Consistency) มากนอ้ ยเพยี งใด ถา้ เครื่องมือที่สรา้ งขน้ึ ใหผ้ ลการวัดท่แี น่นอนคงทมี่ ากไมว่ า่ จะนาไปวดั ก่ีครัง้ กต็ าม เคร่ืองมือนน้ั ก็มี ความเชื่อม่ันสงู การตรวจสอบหรอื หาค่าความเช่ือม่นั มวี ิธีการอยู่หลายวธิ ี แตล่ ะวธิ ีเหมาะสมกบั เคร่ืองมือแตล่ ะชนิด ทง้ั น้ีข้ึนอย่กู ับลักษณะของเครอ่ื งมือวัดที่มีลักษณะเทา่ เทียมกนั หรือคู่ขนานกัน (Equivalent form or Parallel form Method) เปน็ การหาความเชอ่ื มั่นโดยนาเคร่ืองมือ ท่ีสรา้ งขน้ึ กับเครื่องมืออีกฉบับหนึ่งท่มี ีคุณภาพเหมือนกันทุกประการคือมีเน้ือหา รปู แบบข้อคาถาม จานวนขอ้ ความยากงา่ ยเหมือนกนั และมีคา่ เฉลี่ยและความแปรปรวนเท่ากันทงั้ สองฉบับไปสอบวัด กบั กลมุ่ ทดลองเครอ่ื งมอื กลมุ่ เดยี วกนั ไดค้ ะแนน 2 ชดุ นามาหาค่าสมั ประสิทธ์ิสหสัมพนั ธต์ ามวิธขี อง เพยี รส์ ัน (Pearson) ถา้ เปน็ คะแนนดิบคา่ สัมประสิทธ์สิ หสมั พนั ธ์ท่ไี ดเ้ รยี กสมั ประสิทธข์ิ องความ เท่าเทยี มกนั (Coefficient of Equivalence) เน่อื งจากความเชอื่ ม่นั อาจจะปรับปรุงใหเ้ พมิ่ ข้นึ ได้ ผู้วจิ ัยจึงตอ้ งใชค้ วามพยายามอยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะทาใหเ้ คร่ืองมือท่ใี ช้มคี วามเชือ่ มั่นสงู ท่สี ุด
113 6.4.2.1 องคป์ ระกอบท่จี ะทาใหค้ วามเช่ือม่นั ของเครื่องมือมคี ่าสูงขน้ึ ได้แก่ 1) ลักษณะคาถาม คาถามจะต้องมีความเป็นปรนัย คือ มคี วามชัดเจน เฉพาะเจาะจง มคี าอธิบายวธิ ีทาท่ีชัดเจน และมกี ารตรวจใหค้ ะแนนท่ีเป็นปรนยั และคาถามแตล่ ะข้อมีความเปน็ อสิ ระ จากกัน 2) จานวนขอ้ คาถาม จานวนข้อคาถามตอ้ งมมี ากพอที่จะครอบคลุมในเร่ืองท่ีศกึ ษา เครอ่ื งมือใด ๆ ก็ตาม ที่มีจานวนข้อคาถามมากจะมีค่าความเชือ่ มัน่ สงู กวา่ เครือ่ งมือทม่ี ีจานวนข้อ คาถามน้อยเมื่อเปน็ เครือ่ งมือชนดิ เดยี วกนั 3) คณุ ลักษณะของผูร้ ับการทดสอบ พงึ ระลึกวา่ ความเช่ือม่ันเปน็ คณุ สมบัติของ เครอื่ งมือกจ็ ริงแต่ขน้ึ กบั คะแนนของเครอ่ื งมือนั้น เม่ือนาไปทดสอบกับกลมุ่ ใดกลมุ่ หนึง่ โดยเฉพาะเทา่ น้ัน ดงั นั้นในการเลือกกลมุ่ ทดลองเครือ่ งมือถ้าจะให้ได้คา่ ความเชื่อมน่ั ทถี่ ูกต้องและมีค่าสงู ควรเลอื กกลุม่ ท่ีมี ระดับความสามารถกระจายกันออกไป 4) สภาพแวดล้อมของการดาเนินการทดสอบ ผตู้ อบหรอื ผู้รบั การทดสอบต้องมี สมาธแิ ละใชค้ วามสามารถอย่างเต็มท่ใี นการทา ดังนั้นในระหวา่ งการดาเนนิ การทดสอบตอ้ งพยายาม อยา่ ใหผ้ รู้ ับการทดสอบถกู รบกวน ด้วยกรณตี า่ ง ๆ 6.4.2.2 วิธหี าความเชอ่ื มน่ั ของการวัดมหี ลายวธิ ีดว้ ยกนั แตท่ ี่นิยมใช้กนั มากมี 4 วิธี ดังนี้ (พิชิต ฤทธ์ิจรญู . 2551 : 245 - 248) 1) วธิ ีการทดสอบซ้า (Test-Retest) เปน็ วธิ ีหาความเชอื่ มน่ั โดยใช้เครอ่ื งมอื วัด ชดุ เดิมทดสอบซ้ากับกลมุ่ ตวั อยา่ งเดมิ 2 ครัง้ โดยเว้นระยะเวลาให้หา่ งกันพอสมควร ซง่ึ โดยปกติ ไมค่ วรจะน้อยกว่า 1 สปั ดาห์ แล้วนาคะแนนที่ไดจ้ ากการทดสอบครง้ั แรกและครัง้ ทส่ี องมาหา คา่ สมั ประสิทธ์สิ หสัมพันธ์โดยใช้สตู ร Pearson Product-Moment Correlation ดังนี้ r Ν ΧΥ Χ Υ 2 2 2 2 เมอ่ื r = สัมประสทิ ธ์หิ าความเช่ือมน่ั ของเครื่องมือวดั N = จานวนผู้ตอบ X = คะแนนจากการทดสอบ ครั้งที่ 1 Y = คะแนนจากการทดสอบ ครั้งที่ 2 การวดั ความเช่อื มั่นโดยวิธีนอี้ าจจะเกิดความคลาดเคลื่อนในการคานวณค่า ความเช่ือม่ัน เน่ืองจากในการสอบคร้งั ที่ 2 กลุม่ ตวั อย่างอาจจะไปศึกษาเพิ่มเติมทาให้มีความรู้ เพ่มิ ข้นึ หรืออาจจะเบื่อในการทาแบบทดสอบซา้ อีกครัง้ ทาใหค้ ่าความเชื่อม่ันเปล่ยี นไปได้ บางครงั้ ก็ เรียกวธิ ีวดั ความเชื่อม่ันนวี้ า่ การวัดความคงท่ีแน่นอน (Measure of Stability)
114 2) วิธใี ชแ้ บบทดสอบแบบคขู่ นาน (Parallel Form) เป็นวธิ ที ่ีใชแ้ บบทดสอบ ฉบบั ท่มี ีเนื้อหา จานวนข้อ ความยากง่าย คะแนนเฉลยี่ และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานเหมอื นกนั ไปทดสอบกบั กล่มุ ตวั อย่างท้ัง 2 ฉบับ แล้วหาค่าความสมั พันธ์ระหว่างคะแนนทั้ง 2 ฉบับนี้ โดยใช้ สูตรเดียวกนั กับวิธกี ารทดสอบซา้ ข้างตน้ ซงึ่ วธิ นี ้เี ป็นการแก้ปัญหาความเชื่อม่นั โดยวิธีการทดสอบซ้า นั่นเอง แตก่ ารสรา้ งแบบทดสอบทาไดค้ ่อนข้างยาก 3) วธิ ีแบง่ คร่งึ ฉบบั ของแบบทดสอบ (Split-Half) เป็นการใช้หลกั การของการหา คา่ ความเชือ่ ม่ันแบบเดยี วกบั การใช้วธิ ที ดสอบแบบค่ขู นาน โดยนาเครอ่ื งมือที่มีการทดสอบหลายข้อ มาแบง่ คร่ึงเปน็ 2 ฉบับ นาไปทดสอบกับกลมุ่ ตัวอย่าง ตรวจใหค้ ะแนนแบ่งคะแนนเป็น 2 ส่วน อาจจะแบ่งเป็นข้อคู่กบั ข้อคี่ หรอื แบง่ เปน็ ครง่ึ แรกและครึ่งหลัง นามาหาค่าสัมประสทิ ธิส์ หสมั พนั ธ์ เช่นเดยี วกับ 2 วิธดี งั กล่าวข้างตน้ กจ็ ะไดค้ ่าความเช่ือม่ันเพียงครง่ึ ฉบับ จากนั้นกน็ าไปหาค่าความ เช่อื มั่นทัง้ ฉบบั โดยใช้สตู ร Spearman – Brown ดงั น้ี rtt = 2 rhh 1 + rhh เม่ือ r = สมั ประสิทธค์ิ วามเช่อื มน่ั ของเครอื่ งมือวัดทงั้ ฉบบั tt r = สมั ประสทิ ธิค์ วามเชื่อมน่ั ของเคร่อื งมือวดั คร่ึงฉบบั hh 4) วธิ หี าคา่ สัมประสิทธแ์ิ อลฟา ( - Coefficient) เป็นวธิ ีการหาคา่ ความเชอื่ มน่ั ตามวิธีการของครอนบาค (Cronbach) ซ่งึ ใช้กับเครอ่ื งมอื วัดทใ่ี หค้ ะแนนในลกั ษณะใดก็ได้ เช่น กรณีของแบบสอบถามทีใ่ ห้คะแนนแบบเรยี งอันดับหรือเป็นมาตราส่วนประมาณค่า สตู รท่ีใชค้ านวณ คือ (ชไมพร กาญจนกจิ สกลุ . 2555 : 121) n s 2 1 i s2 n 1 t เม่ือ = สัมประสทิ ธคิ์ วามเชอ่ื มั่นของเครื่องมือวดั n = จานวนขอ้ คาถาม s2 = ความแปรปรวนของคะแนนเป็นรายข้อ i s2 = ความแปรปรวนของคะแนนรวมท้ังฉบบั t จากตัวอยา่ งแบบวดั เจตคตติ ่อปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง จานวน 7 ข้อ เมื่อได้นา เคร่อื งมอื นี้ไปทดลองใชก้ บั ประชากรท่ีไมใ่ ช่กลุ่มตัวอยา่ งจานวน 30 คน เม่อื นามาประมวลผลโดยใช้
115 โปรแกรมสาเร็จรปู (Statistic Package for Social Science : SPSS) เพอ่ื วิเคราะหค์ ่าความเชอื่ มั่น (Reliability Analysis) โดยดาเนินการดังนี้ 1. เลือก Analyze ทเี่ มนูหลกั (Main Menu) 2. เลอื ก Scale 3. เลอื ก Reliability Analysis หน้าจอจะปรากฏ ดังภาพ 4. เลือกตวั แปรทีต่ ้องการวเิ คราะหค์ ่าความเชอ่ื มนั่ ด้วยวิธีการหาคา่ สมั ประสิทธิแ์ อลฟาของครอนบาค (ในที่น้ีคอื x1 ถงึ x7) ไปไว้ในช่อง items หนา้ จอจะปรากฏ ดงั ภาพ เมื่อ OK ผลการวิเคราะห์จะได้ค่าสัมประสิทธ์ิแอลฟา = .7583 ดังนี้ Reliability Coefficients N of Cases = 30.0 N of Item = 7 Alpha = .7583 ซึ่งแสดงวา่ แบบสอบถามเจตคตติ อ่ ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งฉบับนี้ (ท้ังฉบับ) มคี วามเชอ่ื ม่ัน (Reliability) ในระดบั สูง สามารถนาไปใช้เปน็ เคร่อื งมอื สาหรบั เกบ็ ข้อมลู ในการวจิ ัยได้ ในกรณีท่ีตอ้ งการทราบวา่ คาถามแตล่ ะขอ้ มสี หสัมพันธก์ บั แบบสอบถามทั้งฉบับ ในกรณที ่ีตัดข้อคาถามขอ้ นนั้ ออก (Deleted) จะดาเนินการต่อโดย
116 1. กด Statistics 2. เลือก Scale if item deleted ในช่อง Descriptive for หน้าจอจะปรากฏ ดังภาพ เมอื่ กด Continue แล้ว กด OK ผลการวิเคราะหจ์ ะได้คา่ สัมประสิทธแิ์ อลฟา = .7583 ดงั นี้ Item- Total Statistics Scale Scale Corrected Mean Variance Item- Alpha If Item If Item Total If Item Deleted Deleted Correlation Deleted X1 28.8500 26.1342 .5404 .7057 X2 28.7000 27.4842 .5859 .7061 X3 28.1000 29.9895 .2524 .7481 X4 28.8000 29.7474 .2276 .7542 X5 29.0500 25.8395 .5752 .7010 X6 28.6000 28.6737 .4707 .7217 X7 28.9500 27.8395 .3826 .7325 Reliability Coefficients N of Cases = 30.0 N of Items = 7 Alpha = .7583 สรปุ ได้ว่า วธิ หี าคา่ สมั ประสิทธ์แิ อลฟา ( - Coefficient) เป็นการหาความ เช่ือมน่ั โดยใช้กบั เคร่ืองมือที่เปน็ แบบอัตนยั หรือมาตรส่วนประมาณคา่ ซ่งึ ไมไ่ ดม้ กี ารให้คะแนน แบบ 0 และ 1 ทง้ั นี้หากค่า ทค่ี านวณไดม้ ีคา่ ต้งั แต่ 0.7 ขนึ้ ไปถือไดว้ า่ มีความเท่ยี งท่ีใชไ้ ด้
117 6.4.2.3 ขอ้ สังเกตการหาความเช่ือม่นั 1) การหาค่าความเชอ่ื มั่นของเครอ่ื งมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัยแต่ละชนดิ ตอ้ งเลือกให้ เหมาะสมกบั ลักษณะของเคร่ืองมือแต่ละชนดิ นนั้ ๆ 2) ค่าความเช่ือม่ันท้ัง 4 วธิ ดี ังกล่าวจะอยูร่ ะหว่าง 0.00 - 1.00 ดงั นัน้ ถา้ ค่าความเชื่อม่ันใกล้ 1.00 มากเท่าไรก็แสดงวา่ เคร่ืองมือวัดมีค่าความเชือ่ ม่นั สงู มากเทา่ น้นั และในทางตรงกนั ข้ามถา้ ค่าความเชอื่ มนั่ ใกล้ 0.00 มากเท่าไรก็แสดงว่า เครื่องมอื วัดนัน้ มี ค่าความเชื่อมน่ั ต่าเท่านัน้ 6.4.3 ความเปน็ ปรนัย ความเปน็ ปรนยั (Objectivity) หมายถึงความชดั เจนของเคร่ืองมือซ่งึ มคี วามหมาย ตรงกันข้ามกับความเป็นอัตนัย (Subjectivity) ซ่งึ หมายถึงความไมช่ ดั เจน ยึดถือในความคดิ เหน็ ความรสู้ กึ และเหตุผลของแต่ละบคุ คลเปน็ สาคญั การวเิ คราะห์ความเป็นปรนัยจะพจิ ารณา ความชัดเจนของคาถาม คาตอบและการตรวจให้คะแนนดังน้ี (ชไมพร กาญจนกจิ สกุล. 2555 : 127 -128) 6.4.3.1 ความชัดเจนในความหมายของคาถาม ทุกคนอา่ นแล้วมคี วามเข้าใจตรงกัน วา่ คาถามนั้น ถามเก่ยี วกับอะไร 6.4.3.2 ความชัดเจนในวธิ ตี รวจหรือมาตรฐานการให้คะแนน ไม่ว่าจะให้ใคร ๆ ตรวจก็ ตามตอ้ งตรวจไดค้ ะแนนเทา่ กัน 6.4.3.3 ความชัดเจนในการแปลความหมาย น่ันคือคะแนนที่ไดแ้ ปลความหมายได้ ตรงกันว่ามีความสามารถอยใู่ นระดับนั้น ความเปน็ ปรนัยของเคร่ืองมือ เป็นสิ่งจาเปน็ สาหรับเคร่ืองมือวิจัยทกุ ชนิด เพราะถ้า เคร่อื งมอื มีความเปน็ ปรนัยแล้ว จะทาใหเ้ คร่ืองมือเกดิ ความเท่ียงตรงและความเช่อื มนั่ สูงข้นึ ด้วย การตรวจสอบความเป็นปรนัยของเครอ่ื งมือ เป็นการตรวจสอบเกย่ี วกับความชดั แจนของภาษาที่ใช้ ในการถาม รวมทั้งการใช้ภาษาท่เี หมาะสมกับวัยและระดับความรู้ของผ้ตู อบ เกณฑ์ในการให้คะแนน และการแปลความหมายคะแนน การตรวจสอบอาจกระทาไดโ้ ดยผู้ทาวิจัยเอง หรอื อาจนาไปให้ ผู้ชานาญการชว่ ยตรวจสอบอีกครงั้ หนง่ึ ก็ได้ หรือโดยการนาไปทดลองใชก้ บั กลุ่มทดลองแล้วพิจารณา จากคาตอบก็ได้ 6.4.4 ความยากงา่ ย ความยากงา่ ย (Difficulty) เปน็ คณุ ลักษณะเฉพาะของเคร่ืองมือวัดท่เี ปน็ แบบทดสอบ (Test) วา่ แบบทดสอบนั้นมีความยากง่ายเพียงใด สว่ นใหญ่เปน็ เครื่องมอื วดั ทางดา้ นความรู้ เชน่ แบบทดสอบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น หากแบบทดสอบนน้ั มคี นทาถูกมากแบบทดสอบก็งา่ ย แตห่ ากมี คนทาถูกน้อย แบบทดสอบน้ันก็มีความยาก ในการตรวจสอบความยากงา่ ยของแบบทดสอบเปน็ รายข้อ หาได้จากสดั สว่ นหรอื รอ้ ยละของผู้ทต่ี อบข้อนนั้ ถูก โดยคานวณไดจ้ ากสตู ร (พชิ ติ ฤทธจิ์ รูญ. 2551 : 250 - 251)
118 H+L P = NH + NL เมื่อ P = ความยาก H = จานวนคนที่ตอบถกู ทอี่ ยใู่ นกล่มุ สูง L = จานวนคนท่ตี อบถูกทีอ่ ยใู่ นกลุ่มต่า NH = จานวนคนทัง้ หมดในกลมุ่ สงู NL = จานวนคนทง้ั หมดในกลมุ่ ต่า สาหรับเกณฑ์ในการพจิ ารณาค่าความยากงา่ ยมีต้งั แต่ 0.00 - 1.00 โดยขอ้ ใดทีม่ ี ค่าใกล้ 0.00 หมายความว่า ข้อสอบข้อนน้ั ค่อนข้างยาก แต่ถ้ามคี ่าใกล้ 1.00 แสดงวา่ ข้อสอบข้อนัน้ ค่อนข้างงา่ ย โดยปกติขอ้ สอบท่ีใช้ได้ควรมีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20 – 0.80 และเกณฑ์ โดยละเอียดมีดังนี้ 0.81 – 1.00 = ข้อสอบงา่ ยมาก ควรตัดทงิ้ หรือปรบั ปรงุ 0.61 – 0.80 = ขอ้ สอบค่อนข้างง่าย (ดี) 0.41 – 0.60 = ขอ้ สอบง่ายปานกลาง (ดีมาก) 0.20 – 0.40 = ขอ้ สอบยาก (ดี) 0.00 – 0.19 = ขอ้ สอบยากมาก ควรตดั ทิ้งหรือปรับปรุง ในกรณีการตรวจสอบความยากง่ายของแบบทดสอบทงั้ ฉบับ สามารถหาได้โดยใช้ คะแนนเฉลี่ยของคะแนนผลการสอบ ถ้าได้คะแนนเฉลี่ยใกลเ้ คียงครงึ่ หนึ่งของคะแนนเต็ม แบบทดสอบนนั้ มีความยากปานกลาง ถา้ ไดค้ ะแนนเฉลีย่ สูงกวา่ ครงึ่ หนึง่ ของคะแนนเตม็ แสดงวา่ แบบทดสอบนน้ั ง่าย แตถ่ ้าคะแนนเฉลยี่ ตา่ กว่าครึ่งหนงึ่ ของคะแนนเต็ม แสดงว่าแบบทดสอบนัน้ ยาก 6.4.5 อานาจจาแนก อานาจจาแนก (Discrimination) เปน็ คณุ สมบตั ิของเครื่องมือท่สี ามารถจาแนกบุคคล เป็น 2 กลมุ่ ทม่ี คี ุณลกั ษณะต่างกันในเร่ืองท่ีศึกษา ถา้ เคร่ืองมอื เปน็ แบบทดสอบที่วัดทางดา้ นพุทธพิ ิสัย (Cognitive Domain) ก็จาแนกออกเปน็ กลมุ่ เกง่ และกลุ่มอ่อน ถา้ เครื่องมือเปน็ แบบทดสอบท่ีถาม ความคดิ เหน็ เปน็ มาตราวัดเจตคติ กจ็ าแนกเป็น 2 กลมุ่ ท่มี คี วามคิดเห็นตา่ งกัน หรือเจตคตติ ่างกนั คือ มีความคิดเห็นหรือมเี จตคตใิ นทางบวกกับมีความคดิ เห็นหรอื เจคตใิ นทางลบ ค่าอานาจจาแนก มีความสัมพันธ์อย่างมากกบั ความเที่ยงตรงตามสภาพ ถา้ เคร่อื งมือมีอานาจจาแนกแล้วจะมีความ เทีย่ งตรงตามสภาพด้วย การคานวณหาค่าอานาจจาแนกมีหลายวิธดี ้วยกนั แตใ่ นทีน่ จี้ ะกลา่ วถึง 3 วธิ ี คือ 6.4.5.1 การนาเครื่องมอื วดั ไปทดสอบกับกลุ่มตวั อยา่ งแลว้ ให้คะแนน จากนนั้ เรียง คะแนนจากมากไปหาน้อย แล้วตดั กล่มุ คะแนนมากมา 1 ใน 3 ซ่งึ ถอื เป็นกลุ่มเกง่ และตัดกลมุ่ ที่ ไดค้ ะแนนน้อยมา 1 ใน 3 ซง่ึ ถือเป็นกลุ่มอ่อนแล้วแทนคา่ ในสูตร (กาสกั เตะ๊ ขันหมาก. 2553 : 149)
119 D= Ru RL หรือ Ru RL N Nu 2 เมือ่ D = คา่ อานาจจาแนก Ru = จานวนผตู้ อบถูกในกลุ่มเก่ง =RL จานวนผตู้ อบถูกในกลมุ่ อ่อน N = จานวนท้ังหมดของกลุ่มเก่งและกลุ่มออ่ น 6.4.5.2 การหาคา่ อานาจจาแนกโดยใชค้ า่ สหสัมพันธแ์ บบ Point Biserial Correlation ซง่ึ เปน็ การหาค่าอานาจจาแนกโดยมีข้อตกลงเบ้ืองต้นว่า ถา้ ทาถกู ได้ 1 คะแนน ทาผดิ ได้ 0 คะแนน เทา่ นน้ั และขอ้ มลู ชดุ หน่งึ มีคา่ ต่อเน่ือง อีกชุดหนึ่งไม่มคี ่าต่อเนื่อง โดยใชส้ ตู ร (กาสัก เต๊ะขนั หมาก. 2553 : 149) rp.bis p f . pq St เม่ือ =r p.bis คา่ อานาจจาแนก p = คะแนนเฉลีย่ ของกลุ่มทีท่ าข้อนั้นได้ = คะแนนเฉล่ียของกลุม่ ที่ทาข้อนั้นไมไ่ ด้ f St = คะแนนเบ่ยี งเบนมาตรฐานของแบบทดสอบฉบบั นั้น p= สัดสว่ นของผทู้ ท่ี าขอ้ นนั้ ได้ q= สัดสว่ นของผ้ทู ่ีทาขอ้ นัน้ ไม่ได้ หรอื 1-p คา่ อานาจจาแนกทง้ั 2 วธิ ีดงั กล่าวข้างตน้ มีคา่ ระหว่าง -1.00 ถงึ +1.00 โดยมเี กณฑ์พจิ ารณาดงั นี้ 0.40 – 1.00 = จาแนกได้ดี เปน็ ข้อสอบท่ีดี 0.30 – 0.39 = จาแนกได้ดปี านกลาง เปน็ ข้อสอบดพี อสมควร 0.20 – 0.29 = จาแนกได้พอใช้ เปน็ ข้อสอบท่ีตอ้ งปรบั ปรงุ -1.00 – 0.19 = ไม่สามารถจาแนกได้ ต้องปรับปรงุ หรอื ตัดท้ิง 6.4.5.3 การหาค่าอานาจจาแนกโดยใชก้ ารแจกแจงที (t-Distribution) เปน็ การ หาอานาจจาแนกของข้อความท่เี ปน็ แบบอันดบั มาตราส่วน (Ratio Scale) โดยแบง่ เปน็ กลุ่มท่ีได้ คะแนนสงู มาร้อยละ 25 เป็นกลุม่ สงู และกลุ่มที่ได้คะแนนต่ามารอ้ ยละ 25 เปน็ กลมุ่ ต่า แลว้ คานวณหาคา่ คะแนนเฉลีย่ ค่าความเบ่ยี งเบนมาตรฐานของแตล่ ะกลุ่ม และแทนคา่ ในสูตร (พิชิต ฤทธิจ์ รูญ. 2551 : 249 - 250)
120 t H L 2 2 S H S L NH NL เม่อื t = ค่าอานาจจาแนกของขอ้ สอบ คะแนนเฉลยี่ ของกลุ่มสงู Xu = คะแนนเฉลี่ยของกลุ่มต่า XL = ค่าความแปรปรวนของกลุม่ สูง =SH2 คา่ ความแปรปรวนของกลมุ่ ต่า 2=S จานวนกลมุ่ ตวั อยา่ งในกล่มุ สูง L จานวนกลมุ่ ตวั อยา่ งในกลุม่ ต่า NH = NL = 1) การพิจารณาคา่ อานาจจาแนกคือ ถา้ ค่า t ขอ้ ใดมีนัยสาคัญทางสถิติแสดงว่า เป็นข้อสอบที่อานาจจาแนกใชไ้ ด้ 2) การหาค่าอานาจจาแนกของเครื่องมือทเี่ ป็นแบบสอบถามความคดิ เห็น หรอื เป็นมาตราวดั เจตคติ การหาคา่ อานาจจาแนกใช้วธิ หี าคา่ อตั ราสว่ นวกิ ฤติ t เป็นรายขอ้ ตามวิธกี ารของ t-test โดยดาเนินการตามลาดับดังน้ี 2.1) นากระดาษคาตอบท่ีตรวจคะแนนจากสูงไปหาต่า ตดั กลุ่มสงู -กลุม่ ตา่ โดยใชส้ ัดสว่ น 25% แล้วแยกกระดาษคาตอบเป็น 2 ชุด เป็นกลมุ่ สูง 1 ชุดและกลุ่มตา่ 1 ชดุ 2.2) นาคะแนนของกลุม่ สูงและกลมุ่ ตา่ มาแจกแจงความถโ่ี ดยทาเปน็ รายข้อ เพ่อื หาคะแนนเฉลีย่ และความแปรปรวนเปน็ รายข้อ 2.3) นาคา่ คะแนนเฉล่ียของกลมุ่ สงู และกลุ่มต่า พร้อมกบั คะแนนความ แปรปรวนของกลมุ่ สงู และกลุ่มตา่ มาแทนในสูตร t-test เพอื่ หาค่า t ค่า t ที่ไดจ้ ะเป็นค่าอานาจ จาแนกของข้อความน้ัน ๆ 2.4) เลอื กข้อความท่ีมีค่า t สงู ๆ ไว้ใช้ ค่า t ย่ิงสงู แสดงว่าข้อความนนั้ จาแนกความรู้สึกหรอื เจตคตขิ องผตู้ อบได้ดี เกณฑ์ของค่า t (อาจใช้ 1.75 หรือ 2.0 ขึ้นไป ซ่ึงหมายถึง มนี ยั สาคัญท่ีระดับ .05 หรอื .01 ตามลาดบั ) ในทางปฏิบัตใิ ช้วธิ เี ลือกข้อท่ีมคี ่า t จากสูงสดุ ลดหล่ันลงมาจนถึงตา่ สดุ ดูว่าไดจ้ านวนข้อตามทต่ี อ้ งการหรอื ไม่ ถ้าได้จานวนขอ้ ครบ ตามท่ตี ้องการโดยมีค่า t ตา่ สดุ ยังอยู่ในเกณฑใ์ ช้ไดก้ เ็ ปน็ อันหมดปญั หาไป ถ้าได้จานวนขอ้ ไมค่ รบ ตามที่ต้องการ ก็อาจใชว้ ิธปี รับปรงุ ขอ้ ทย่ี งั ใช้ไมไ่ ดเ้ สียใหม่ ถ้าคา่ t ต่ามากไป ก็ต้องตัดทิ้งไป และสร้างเพิ่มเติมใหม่
121 บทสรปุ ระดบั การวดั ในการวิจัยทางสังคมศาสตร์มี 4 ระดบั คือ มาตรานามบญั ญตั ิ มาตราจดั อนั ดับ มาตราอันตรภาค และมาตราอตั ราสว่ น ผู้วจิ ัยจาเปน็ ต้องใช้วธิ ีการและเครื่องมือในการเกบ็ รวบรวม ขอ้ มูลให้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายของการวจิ ยั เครื่องมือทีน่ ิยมใช้ในการวิจยั ทางสังคมศาสตร์ คอื การสัมภาษณ์ การสังเกต แบบสอบถาม และแบบวดั เจตคติ สาหรบั คณุ ภาพของเคร่อื งมือทีใ่ ช้ ในการวจิ ัยสามารถตรวจสอบได้จากการหาค่าความเท่ียง ความเชอื่ มั่น ความเป็นปรนัย ความยากงา่ ย และอานาจจาแนก
122 กิจกรรมท้ายบทท่ี 6 1. ระดบั การวดั มีกร่ี ะดบั และมีอะไรบ้าง 2. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ในการวจิ ยั แบง่ ออกไดก้ ่ลี กั ษณะ อะไรบา้ ง จงอธิบายพอสังเขป 3. เครือ่ งมือวดั แบบมาตรสว่ นประมาณคา่ เหมาะสาหรบั วัดขอ้ มูลในลักษณะใด 4. ถา้ ท่านได้รับผิดชอบทาการวจิ ยั เร่ือง “ปัจจยั ทมี่ ผี ลตอ่ การออมของครวั เรอื นในตาบลสาราญ อาเภอเมือง จังหวดั ยโสธร” ท่านจะใช้เครื่องมือในการจัดเก็บรวบรวมขอ้ มูลอะไรบ้าง และมีวิธีการสรา้ ง การหาคณุ ภาพเคร่อื งมอื เหล่าน้ันอย่างไร พร้อมท้ังออกแบบเครื่องมือท่ีใช้ ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล 5. การตรวจสอบคุณภาพการสงั เกตและกาสัมภาษณจ์ ะพิจารณาในเร่ืองใดบา้ ง จงอธบิ าย
123 บทที่ 7 สถิตบิ รรยาย หลงั จากเก็บรวบรวมข้อมลู ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนสมบรู ณข์ องข้อมลู แล้ว กระบวนการวจิ ยั ในข้นั ต่อไปคือการวิเคราะห์ข้อมลู เพื่อจะไดส้ รปุ ผลการวิจยั ให้สามารถตอบคาถาม การวจิ ยั ได้ ซง่ึ ผู้วิจัยจะต้องตัดสนิ ใจเลือกว่าจะใช้สถิติใดมาช่วยในการวิเคราะห์ขอ้ มลู ในบทนจี้ ะได้ นาเสนอเนื้อหาตามลาดบั ดงั น้ี - ความหมายของสถติ ิบรรยาย - สถิติทใี่ ช้ในการจดั ตาแหน่งเปรียบเทียบ - การวัดแนวโนม้ เขา้ สสู่ ว่ นกลาง - การวัดการกระจาย - การหาค่าความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตัวแปร 7.1 ความหมายของสถติ บิ รรยาย สถติ ิบรรยายเปน็ สถิตทิ ี่ใชบ้ รรยายใหเ้ ห็นคุณลกั ษณะหรือคุณสมบตั ขิ องส่งิ ทตี่ ้องการศึกษา จากกล่มุ ใดกลมุ่ หนงึ่ โดยเฉพาะ ซง่ึ อาจจะเป็นกลุ่มใหญห่ รือกลมุ่ เล็กก็ได้ ผลท่ไี ด้จากการศกึ ษาน้ัน จะบอกได้เพียงคุณลกั ษณะหรือคณุ สมบตั ขิ องกลุ่มทศ่ี ึกษาเทา่ น้นั ไมส่ ามารถนาผลสรุปไปอ้างองิ หรือทานายค่าของกล่มุ อื่นได้ นักการศึกษาหลายท่านได้เสนอแนวคิดเกย่ี วกับความหมายของ สถติ ิบรรยายไวห้ ลายแง่มุม ดังนี้ สุชาติ ประสทิ ธิ์รัฐสินธ์ุ (2538 : 311) กลา่ วไวว้ า่ สถติ บิ รรยายเปน็ สถิติทใี่ ช้ บรรยายคุณสมบัติของประชากรหรอื กลมุ่ ตัวอยา่ งตามข้อมูล (Data) หรอื ลกั ษณะของตวั แปรทีไ่ ด้ เก็บรวบรวมได้ ท่สี าคัญเปน็ ลาดับใน 4 เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ 1) การจดั ตาแหนง่ เปรยี บเทยี บ ไดแ้ ก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ สัดสว่ น อัตราส่วน เปอรเ์ ซนไทล์ และควอร์ไทล์ 2) การวดั แนวโน้ม เขา้ สูส่ ว่ นกลาง ได้แก่ ฐานนยิ ม มัธยฐาน และคา่ เฉลยี่ เลขคณติ 3) การวดั การกระจาย ไดแ้ ก่ พิสัย ส่วนเบีย่ งเบนควอรไ์ ทล์ สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน และความแปรปรวน และ 4) การหาค่า ความสัมพันธร์ ะหวา่ งตัวแปร ไดแ้ ก่ สมั ประสิทธสิ์ หสมั พันธ์ระหว่างตัวแปร พิชติ ฤทธจิ์ รญู (2551 : 255) กล่าวว่า สถติ ิบรรยายเปน็ สถิติทใี่ ชบ้ รรยายหรือ อธิบายลกั ษณะต่าง ๆ ของกลุ่มตัวอย่างหรือประชากรที่ศึกษาเทา่ นั้น โดยไม่นาไปใช้อธบิ ายหรอื สรุป อ้างอิงไปยังกลมุ่ ตัวอยา่ งหรอื ประชากรอ่นื วิธีการทางสถิติประเภทน้ีทใ่ี ช้ได้แก่ การแจกแจงความถ่ี การจดั ตาแหน่งเปรียบเทยี บ การวดั แนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง การวดั การกระจาย การวัด ความสมั พันธ์ เป็นต้น พิสณุ ฟองศรี (2554 : 152) กลา่ วว่า สถิติบรรยายตอ้ งใช้ในงานวิจัยเชิงปริมาณ ทุกเรือ่ ง อย่างน้อยทส่ี ุดก็ใช้รอ้ ยละ การแจกแจงความถ่ี ถดั มามักจะใชก้ ารวดั แนวโน้มเข้าสู่ ส่วนกลาง และการวัดการกระจาย งานวิจัยบางเร่ืองก็ใชส้ ถิติวิเคราะห์ความสัมพนั ธด์ ้วย
124 สมชาย วรกิจเกษมสกลุ (2554 : 298) กล่าวไว้ว่า สถติ ิเชิงบรรยายเปน็ สถติ ิที่มงุ่ นาเสนอสารสนเทศเพ่ือใช้บรรยายสรุปลกั ษณะของตัวแปรในกลมุ่ ตัวอยา่ งหรือประชากรว่าเปน็ อยา่ งไร มีสถิตทิ ใี่ ช้ดังน้ี 1) การแจกแจงความถี่ และการนาเสนอด้วยตาราง กราฟ และแผนภูมิ 2) การจดั ตาแหน่งและเปรียบเทียบ อาทิ สดั ส่วน รอ้ ยละ หรือเปอรเ์ ซนไทล์ 3) การวดั แนวโน้ม เขา้ สสู่ ว่ นกลาง 4) การวดั การกระจายของขอ้ มลู และ 5) การวดั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตัวแปร จากแนวคดิ เกยี่ วกับความหมายของสถติ บิ รรยายขา้ งตน้ สรปุ ไดว้ ่า สถิติบรรยาย (Descriptive Statistics) หมายถงึ สถติ ิที่ใชใ้ นการศกึ ษาข้อเทจ็ จริงจากกลุ่มข้อมูลทีร่ วบรวมมาได้ เพ่ือให้ทราบรายละเอียดเก่ยี วกบั ลกั ษณะของข้อมูลกลุ่มน้ันโดยไมไ่ ดส้ รปุ อา้ งองิ ผลการศึกษาไปยัง กลุ่มข้อมูลกลุ่มอืน่ หรือสรปุ อ้างองิ ไปยงั ประชากรทศ่ี ึกษา การบรรยายสรปุ ลักษณะของกล่มุ ข้อมลู ได้แก่ การแจกแจงความถี่ การวัดตาแหนง่ การเปรียบเทยี บ การวัดแนวโนม้ เขา้ ส่สู ว่ นกลาง การกระจายข้อมูล และการวัดความสมั พันธ์ เปน็ ต้น 7.2 สถติ ิท่ีใชใ้ นการจดั ตาแหน่งเปรียบเทียบ สถติ ใิ นชุดนี้เป็นการเปล่ียนค่าของข้อมลู ที่เกบ็ รวบรวมไดใ้ ห้อยู่ในลักษณะทีส่ ามารถ เรยี งลาดบั หรอื เปรียบเทยี บกันได้อย่างชดั เจน และชัดเจนกว่าการใชข้ อ้ มูลดบิ สถติ ิในชุดน้ี ประกอบด้วย 7.2.1 การแจกแจงความถี่ (Frequency Distribution) การแจงความถใ่ี นงานวิจยั เปน็ การข้อมลู ทม่ี ีอยู่เป็นจานวนมาก และมคี า่ ซ้ากัน หรือใกลเ้ คยี งกนั ให้เปน็ กลมุ่ ตามลักษณะทผ่ี ู้วจิ ยั สนใจเพ่อื ความสะดวกรวดเร็วในการนาไปใชว้ เิ คราะห์ ตอ่ ไป เชน่ การจาแนกครัวเรอื นตามขนาดและสถานทตี่ ั้ง การจาแนกสถานประกอบการ อุตสาหกรรมตามประเภทอุตสาหกรรม จานวนคนงาน และสนิ ทรัพย์ การจาแนกประชากรตามเพศ อายุ ระดบั การศึกษา อาชีพ รายได้ และสถานภาพสมรส เปน็ ต้น (สรชยั พิศาลบตุ ร. 2549 : 133) โดยท่ัว ๆ ไปการแจกแจงความถ่ีทาได้ 2 วธิ คี อื การแจกแจงความถ่สี าหรบั คา่ แตล่ ะค่า ทเี่ ป็นไปได้ทงั้ หมดของลักษณะท่ผี ู้วิจัยสนใจ และการแจกแจงความถ่ีของค่าในแตล่ ะช่วงหรือ อนั ตรภาคช้นั ของลกั ษณะท่ีผู้วิจัยสนใจ 7.2.1.1 การแจกแจงความถ่ีสาหรับค่าแต่ละค่าทเ่ี ป็นไปได้ทัง้ หมดของลกั ษณะ ท่ีผู้สนใจ เป็นการแจกแจงความถ่ีท่นี ยิ มใช้เมื่อมคี ่าทีเ่ ป็นไปไดท้ งั้ หมดของลักษณะทีผ่ วู้ ิจยั สนใจมี จานวนไม่มากนัก เชน่ การแจกแจงความถีข่ องจานวนผู้มาใชห้ ้องสมดุ ประชาชนแห่งหนงึ่ ในแตล่ ะวัน ของสปั ดาห์ท่ีผา่ นมา คือ วนั จันทร์ อังคาร พธุ พฤหสั สบดี ศกุ ร์ เสาร์และอาทติ ย์ การแจกแจง จานวนนักเรยี นตามเพศและอายุ การจาแนกจานวนรถยนตน์ ่ังส่วนบคุ คลตามย่ีห้อ ประเทศทผ่ี ลิต และขนาด 7.2.1.2 การการแจกแจงความถีข่ องค่าในแตล่ ะช่วงหรอื อัตรภาคชัน้ เป็นการ แจกแจงความถีท่ ี่นิยมใชเ้ มื่อค่าทเ่ี ปน็ ไปไดท้ ้ังหมดของลักษณะทผ่ี ้สู นใจมีจานวนมากหรือนิยมใช้กบั แบบสอบถามทีม่ ีคาถามปลายปดิ กล่าวคอื กาหนดคาตอบให้ผตู้ อบแบบสอบถามเลือกตอบ เชน่ การจาแนกจานวนนักเรียนตามคะแนนสอบท่ีได้ โดยแบ่งคะแนนสอบท่ีเปน็ ไปได้ทั้งหมดระหว่าง 0 ถงึ 100 ออกเปน็ 5 ช่วง ได้แก่ ต่ากว่า 30 คะแนน 30 ถึง 49 คะแนน 50 ถึง 69 คะแนน
125 70 ถงึ 89 คะแนน และต้งั แต่ 90 คะแนนขึน้ ไป สาหรับการแจกแจงความถ่ีของค่าในแตล่ ะช่วง หรอื อันตรภาคชัน้ ในกรณที ี่มีขอ้ มูลบางคา่ สูงหรือตา่ กว่าค่าอื่น ๆ มาก ผูว้ ิจัยควรใชช้ ่วงแรกและหรือ ชว่ งทา้ ยเป็นชว่ งปิด กลา่ วคือ ไมม่ ีค่าต่าสดุ สาหรบั ช่วงแรกและไม่มีคา่ สูงสุดสาหรบั ชว่ งสุดทา้ ย เช่น การแจกแจงรายไดเ้ ฉล่ียต่อปีของประชากรไทย ซงึ่ บางคนมีรายไดส้ ูงกว่าคนทวั่ ไปมาก การแจกแจง จานวนโรงงานทอผา้ ตามจานวนคนงาน ซง่ึ โรงงานทอผ้าบางโรงงานมจี านวนคนมากกว่าโรงงาน ทอผา้ ทว่ั ไปค่อนขา้ งมาก แต่อย่างไรก็ตามหากไมม่ ีความจาเปน็ ผู้วจิ ัยควรหลีกเลยี่ งการแจกแจง ความถ่ที ่ีใช้ชว่ งเปดิ เน่อื งจากจะมปี ัญหาในการวเิ คราะห์ข้อมลู ข้นั สูงต่อไป เชน่ การหาค่ากลางและ คา่ การกระจาย เนอ่ื งจากไม่สามารถทราบค่าตวั แทนของช่วงเปิดดังกลา่ วได้ การแจกแจงความถี่ดงั กลา่ วข้างตน้ สามารถสรปุ ไดว้ ่า การแจงความถี่ คือ การนา ขอ้ มลู ที่เป็นตวั เลขมาจัดเรียงลาดบั ตามความมากน้อย โดยแบ่งเปน็ ชว่ งเท่า ๆ กัน ชว่ งหนงึ่ อาจมี เพยี งหนึ่งคะแนน หรืออาจจะมีมากกวา่ หน่งึ ก็ได้ แล้วแต่ความเหมาะสม จานวนข้อมลู ในแต่ละชว่ ง คะแนน เรยี กว่า ความถ่ี (Frequency) ส่วนจานวนคะแนนในแต่ละชว่ งเรียกวา่ อนั ตรภาคชน้ั (Class Interval) ถา้ พิสยั (Range) หรือความแตกต่างระหว่างคะแนนสูงสุดกับคะแนนต่าสดุ มากกวา่ 25 คะแนนควรมีการแจกแจงความถี่แบบเป็นกลุ่ม โดยในแต่ละชว่ งคะแนนมีมากกว่า หนึง่ คะแนน แตถ่ ้าพิสยั ไม่กวา้ งนกั ไมจ่ าเป็นตอ้ งสร้างตารางแจกแจงความถี่แบบเปน็ กลุ่ม วัตถุประสงค์หลักของการแจกแจงความถี่เพ่ือดูภาพรวมของการแจกแจงขอ้ มูลทัง้ หมดอยา่ งเปน็ ระบบ 7.2.2 ร้อยละ (Percentage) รอ้ ยละ คือ อัตราส่วนที่มสี ่วนเปน็ 100 โดยทั่วไปแลว้ นกั วจิ ัยนยิ มเสนอข้อมลู เบอ้ื งต้นด้วยค่าร้อยละ แมว้ า่ การวิเคราะห์ข้อมูลดว้ ยค่ารอ้ ยละจะเปน็ วิธีท่งี า่ ยท่สี ุด โดยไมม่ ีขอ้ ตกลง เรือ่ งลักษณะของข้อมลู มากนัก ผู้วจิ ยั ก็จะต้องใช้อย่างระมัดระวงั และคานงึ ถึงเหตผุ ลต่าง ๆ ประกอบดว้ ย การคานวณค่าร้อยละ มีข้อควรระวัง คอื ผู้วิจัยตอ้ งคิดก่อนว่าต้องการเสนอค่าร้อยละ ของอะไร ของผู้ตอบแบบสอบถามแตล่ ะกลุ่มหรือของทั้งหมด (พิสณุ ฟองศร.ี 2554 : 152 – 153) การคานวณใชส้ ูตรดังน้ี P = f n × 100 เมอ่ื P = รอ้ ยละ n= จานวนความถที่ ้งั หมด f= ความถี่ที่ต้องการแปลให้เปน็ ร้อยละ ตวั อย่าง จากการสารวจนกั ศกึ ษาอนปุ ริญญาสาขาการปกครองท้องถนิ่ ของ วิทยาลยั ชุมชนยโสธรมจี านวนท้งั สิน้ 250 คน เป็นนักศกึ ษาชาย 110 คน นักศกึ ษาหญงิ 140 คน คดิ เป็นร้อยละไดด้ ังนี้ นักศึกษาชายมี = 110 × 100 = 44 % 250 นกั ศึกษาหญงิ มี = 140 × 100 = 56 % 250
126 สรปุ ได้วา่ การคานวณค่ารอ้ ยละเม่ือรวมกล่มุ หรือตวั เลขเปรยี บเทยี บแล้วจะได้ 100% เสมอ ยกเว้นถ้ามีจดุ ทศนิยมและมีการปดั อาจเกินไดเ้ ลก็ น้อย เชน่ 0.01 – 0.02 ซ่ึงตอ้ ง ปรบั ให้เหลือ 100% นอกจากนี้ ต้องระวังอยา่ หาค่ารอ้ ยละจากจานวนเตม็ ทนี่ อ้ ยเกนิ ไป เชน่ นักศึกษาวทิ ยาลยั ชมุ ชนแห่งหนึ่งสอบเข้ามหาวทิ ยาลัยได้ 2 คน ในปีการศกึ ษาก่อน ปีต่อมาสอบได้ 4 คน จะโฆษณาว่าสอบได้เพิม่ 100% จะทาใหเ้ ขา้ ใจผิดได้ 7.2.3 เปอร์เซนไทล์ (Percentile) เปอร์เซนไทล์ เป็นตาแหนง่ ท่ีบอกให้ทราบวา่ มขี ้อมลู กีส่ ่วนจากรอ้ ยสว่ นท่มี ีค่าน้อยกว่า คะแนน ณ ตาแหน่งนนั้ เช่น นาย ก. สอบได้คะแนนวิจยั 60 คะแนน ซ่ึงตรงกบั ตาแหนง่ เปอร์เซนไทล์ ที่ 70 (P70) หมายความวา่ มีนักศกึ ษารอ้ ยละ 70 ของทั้งหมดทเี่ ขา้ สอบ สอบได้คะแนนต่ากวา่ 60 คะแนนหรือจากนักศึกษาทเี่ ข้าสอบ จานวน 100 คน มี 70 คนที่สอบไดค้ ะแนนตา่ กวา่ 60 คะแนน หรอื ต่ากว่า นาย ก. การคานวณหาตาแหน่งเปอร์เซนไทล์ มขี น้ั ตอนดังน้ี 7.2.3.1 สรา้ งตารางแจกแจงความถี่สะสม 7.2.3.2 คานวณ หาตาแหน่งเปอรเ์ ซนไทลข์ องคะแนนที่กาหนด โดยใช้สูตร (กาสัก เต๊ะขันหมาก. 2553 : 152) P = 100 [F + f(X−L)] Ni เม่อื P = ตาแหน่งเปอรเ์ ซนไทลท์ ่ตี อ้ งการหา N = จานวนขอ้ มูลท้งั หมด L = ขดี จากัดล่างทีแ่ ทจ้ รงิ ของชน้ั คะแนนที่ X อยู่ X = คะแนนทกี่ าหนดให้ f = ความถ่ีของคะแนนในชนั้ X อยู่ F = ความถส่ี ะสมจากคะแนนต่าสดุ ถงึ L ������ = ค่าอนั ตรภาคชนั้ ตัวอยา่ งการหาคา่ เปอร์เซนไทลข์ องคะแนน 25 ตามรายละเอยี ดในตาราง 7.1 ตาราง 7.1 ชั้นคะแนนและความถ่ี ช้นั คะแนน ความถี่ (f) ความถ่ีสะสม (F) 31-35 4 75 26-30 6 71 21-25 37 65 16-20 28 28 รวม 75
127 จากสูตร P = 100 [F + f(X−L)] Ni 100 28 3725 20.5 75 5 = 81.73 หรือประมาณ 82 ดงั น้นั คะแนน 25 อยู่ในตาแหน่ง เปอรเ์ ซนไทล์ที่ 82 หรือ P82 7.2.4 ควอร์ไทล์ (Quartile) ควอรไ์ ทล์ เป็นตาแหน่งทีบ่ อกใหท้ ราบว่ามขี ้อมูลอยูก่ ่ีส่วน จาก 4 ส่วนทม่ี คี ่าน้อยกวา่ คะแนน ณ ตาแหน่งน้นั เช่น นาย ข. สอบได้คะแนนวิจยั 50 คะแนน ซึ่งตรงกบั ตาแหน่งควอร์ไทล์ที่ 2 (Q2) แสดงว่า จากผู้สอบทงั้ หมดมจี านวน 2 ส่วน ใน 4 สว่ น ที่สอบได้คะแนนตา่ กวา่ 50 คะแนน หรอื ตา่ กว่านาย ข. สูตรท่ีใช้คานวณตาแหนง่ ควอร์ไทล์ จากคะแนนทก่ี าหนดให้ก็คล้ายกบั สูตรคานวณ เปอรเ์ ซนไทล์ เพียงแต่เปลย่ี นตัวเลขจาก 100 มาเป็น 4 ดงั นี้ (กาสัก เต๊ะขันหมาก. 2553 : 153) 4 f(X − L) Q = N [F = i ] เม่ือ Q = ตาแหนง่ ควอไทล์ที่ต้องการหา N = จานวนข้อมูลทั้งหมด L = ขีดจากดั ล่างที่แท้จรงิ ของชน้ั คะแนนที่ X อยู่ X = คะแนนทก่ี าหนดให้ f = ความถ่ีของคะแนนในชัน้ X อยู่ F = ความถ่สี ะสมจากคะแนนต่าสดุ ถงึ L ������ = คา่ อนั ตรภาคชน้ั 7.3 การวัดแนวโนม้ เข้าสู่ส่วนกลาง การวัดแนวโนม้ เข้าสูส่ ว่ นกลาง (Measure of Central Tendency) หมายถึง การหา คา่ กลางหรือค่าเฉลย่ี ของข้อมูลสาหรบั งานวิจยั เพอื่ ตอ้ งการทราบขนาดของลักษณะท่ผี ู้วิจัยตอ้ งการ ทราบในประชากรเป้าหมานนั้ เชน่ โรงงานอุตสาหกรรมหรอื ตวั แทนจาหนว่ ยสนิ คา้ ชนดิ หน่ึงตอ้ งการ ทราบราคาเฉลย่ี ของสนิ ค้าชนิดหนงึ่ ทวี่ างขายอยใู่ นรา้ นคา้ ปลีก เพื่อนาไปใช้ในการตงั้ ราคาสนิ คา้ ทีจ่ ะ จาหนา่ ย กระทรวงเกษตรและสหกรณต์ ้องการทราบพน้ื ที่ปลกู ข้าวเฉล่ยี ของชาวนา และผลิตขา้ ว เฉล่ยี ตอ่ ไร เพ่ือนาไปใช้ในการประมาณผลผลิตข้าวในแต่ละปี เปน็ ตน้ สาหรับการวดั แนวโนม้ เข้า ส่สู ่วนกลางในงานวิจัยทางสังคมศาสตร์มักนยิ มใช้ 3 วิธี คอื ฐานนยิ ม (Mode) มัธยฐาน (Median) และคา่ เฉลย่ี เลขคณิต (Arithmetic Mean) การวดั แนวโนม้ เขา้ สสู่ ่วนกลางแต่ละวิธดี ังกลา่ วข้างต้น มีท้ังข้อดีและข้อเสยี ทแี่ ตกตา่ งกันไป ทง้ั น้ีข้ึนอยู่กบั ปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความแตกตา่ งระหว่างคา่ ของ
128 ข้อมูลชดุ น้นั ว่ามมี ากน้อยเพียงใด วัตถปุ ระสงค์ของการวดั แนวโน้มเขา้ สู่ส่วนกลางหรือค่าเฉล่ียไปใช้ และความถกู ต้องเช่อื ถอื ได้ของการวัดแนวโน้มเข้าสู่สว่ นกลางหรอื คา่ เฉลีย่ ทหี่ าได้ 7.3.1 ฐานนยิ ม ฐานนิยม (Mode) แทนดว้ ยสัญลกั ษณ์ Mo. คือ คา่ ของขอ้ มูลที่มีความถม่ี ากท่ีสดุ ข้อมลู ชดุ หนงึ่ ๆ อาจมีค่าฐานนยิ มได้หลายคา่ ถ้าข้อมลู ชุดน้ันมีคา่ ของข้อมลู ทม่ี ีความถ่มี ากทสี่ ุดเทา่ กนั หลายคา่ แต่โดยท่ัวไปหากข้อมูลชดุ ใดมีคา่ ฐานนิยมมากกว่า 2 คา่ อาจถือวา่ ขอ้ มูลนั้นไมม่ ีค่าฐาน นิยมเลยก็ได้ เชน่ ขอ้ มูลชุดท่ี 1 ประกอบด้วย 5 1 4 3 4 2 3 4 2 1 5 3 2 3 3 ขอ้ มลู ชดุ ที่ 2 ประกอบดว้ ย 2 3 1 4 5 3 4 2 1 5 3 2 3 4 2 จะเหน็ ว่า ข้อมลู ชดุ ท่ี 1 ข้อมูลท่ีมีความถ่ีมากที่สุด คอื 3 ดงั นั้น ฐานนิยมของข้อมูล ชุดที่ 1 คอื 3 สว่ นข้อมลู ชุดที่ 2 ขอ้ มูลทีม่ ีความถีม่ ากทีส่ ุด 2 ตวั คือ 2 และ 3 ซง่ึ มีความถี่เทา่ กนั ดังน้นั ฐานนิยมของข้อมลู ชุดที่ 2 น้ี คอื 2 และ 3 7.3.2 มัธยฐาน มัธยฐาน (Median) แทนด้วยสญั ลักษณ์ Md. คอื ค่าท่ีอยตู่ รงตาแหน่งก่งึ กลาง ของข้อมูลทั้งชุด เม่ือได้เรยี งค่าของข้อมลู จากน้อยท่ีสุดไปหามากที่สดุ หรือจากมากทีส่ ุดไปหานอ้ ย ทส่ี ดุ (สรชยั พศิ าลบุตร. 2549 : 138 - 140) วธิ ีการหาค่ามัธยฐานสามารถกระทาได้ 2 ลักษณะ คือ การหาค่ามัธยฐานของข้อมลู ที่ไม่ได้แจกแจงความถี่ และการหาคา่ มธั ยฐานของข้อมลู ทม่ี ี การแจกแจงความถี่ 7.3.2.1 สาหรบั ข้อมูลทไ่ี มไ่ ด้แจกแจงความถี่ นาขอ้ มูลมาเรยี งคะแนนจากน้อยไปหามาก หรือจากมากไปหานอ้ ยก็ได้ ในกรณีที่ขอ้ มูลมีจานวนคี่ มัธยฐานจะอยูต่ รงตาแหน่งก่ึงกลางของข้อมลู ชดุ นน้ั พอดี และในกรณที ่ี ข้อมูลมีเปน็ จานวนคู่ มัธยฐาน คือครึง่ หนึง่ ของผลรวมของค่าคะแนนของข้อมลู 2 ตวั ทีอ่ ยู่ตรงกลาง ของข้อมูลชุดนนั้ เช่น ขอ้ มลู ประกอบดว้ ย 5 11 0 3 4 8 3 4 12 1 5 7 2 3 13 วธิ กี ารหามัธยฐาน เร่มิ จากการเรียงข้อมูลจากน้อยไปหามาก หรือจากมากไป หานอ้ ยก็ได้ ดงั นี้ 0 1 2 3 3 3 4 4 5 5 7 8 11 12 13 จะเหน็ ว่า ขอ้ มลู ตวั ที่อย่ตู รงตาแหนง่ ก่งึ กลาง (ตาแหนง่ ท่ี 8 ) ของข้อมูล ชดุ นี้ คือ 4 ดงั น้ัน มธั ยฐาน คือ 4 ขอ้ มูลประกอบด้วย 5 11 0 3 4 8 3 4 12 1 5 7 2 3 6 9 วิธกี ารหามัธยฐาน เริ่มจากการเรยี งข้อมูลจากน้อยไปหามาก หรอื จากมากไป หาน้อยก็ได้ ดังน้ี 0 1 2 3 3 3 4 4 5 5 6 7 8 9 11 12 จะเหน็ ว่า ข้อมลู ตวั ที่อยตู่ รงตาแหน่งกึ่งกลาง (ตาแหน่งท่ี 8 และ 9) ของ ขอ้ มูลชุดนี้ คือ 4 และ 5 ดังนนั้ มธั ยฐาน คือ = 4.5
129 7.3.2.2 สาหรับข้อมูลทม่ี ีการแจกแจงความถี่ คานวณโดยใชส้ ูตร มัธยฐาน = L + (n2−F) i f เม่ือ L = ขอบเขตคะแนนขัน้ ต่าของชนั้ ท่ีมัธยฐานตกอยู่ F = ความถ่สี ะสมชั้นกอ่ นทีม่ มี ัธยฐานตกอยู่ f = ความถ่ีของชนั้ คะแนนท่ีมธั ยฐานตกอยู่ i = อนั ตรภาคช้ัน N = จานวนข้อมูลทง้ั หมด ตัวอยา่ ง จงหาค่ามัธยฐานของข้อมลู จากตาราง 7.2 ข้างลา่ งน้ี ตาราง 7.2 ข้อมูลในการคานวณค่ามัธยฐาน ช่วงคะแนน ความถ่ี (f) ความถ่ีสะสม (F) 21 - 25 1 15 16 - 20 2 14 11 – 15 5 12 6 – 10 3 7 1-5 4 4 15 ขน้ั แรกจะต้องหาวา่ มธั ยฐานตกอยู่ในช้นั ใด N = 15 = 7.5 22 จะเห็นว่าความถสี่ ะสมเท่ากบั 7.5 อยู่ในชัน้ คะแนน 11 – 15 ดังนนั้ ค่ามธั ยฐานจะตก อยใู่ นช้ันน้ี จะได้คา่ L = 10.5 , F = 7 , I = 5 , f = 5 แทนค่าในสตู รกรณีข้อมลู แจกแจงความถ่ีจะได้ มัธยฐาน = 10.5 + 5(75.5−7) 5 = 10.5 + 0.5 = 11 มัธยฐานมคี ่าเท่ากับ 11 มัธยฐานดังกล่าวข้างต้น สามารถสรปุ ไดว้ า่ มัธยฐานเป็นค่ากลางทีบ่ อกใหน้ ักวจิ ยั ทราบวา่ ในข้อมลู ชุดนน้ั มจี านวนคา่ ทมี่ ากกวา่ และน้อยกว่าค่านอี้ ยู่เปน็ จานวนเท่ากัน อาจจะกล่าว ไดว้ ่ามัธยฐานเปน็ คา่ ที่มีตาแหน่งอยูต่ รงกลางของข้อมูลทั้งหมดเมื่อเรยี งข้อมลู ตามลาดบั จากนอ้ ย
130 ไปหามากหรือจากมากไปหาน้อย ดังนนั้ การหาค่ากลางโดยใชม้ ธั ยฐานจงึ เป็นการใช้คา่ ของข้อมูล ท่อี ยู่ตรงกลางเปน็ ตวั แทนของขอ้ มลู ชุดน้นั ทาให้สามารถวัดค่ากลางของข้อมลู ชดุ ใด ๆ ได้ดี ถา้ ข้อมูลชดุ นัน้ มีคา่ ใดค่าหนึ่งหรือหลายคา่ สูงหรือตา่ กวา่ คา่ ของข้อมลู อ่ืน ๆ ในชดุ เดียวกันมาก เชน่ การหารายได้เฉล่ียของคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม ซ่งึ มีคนงานทมี่ รี ายไดต้ ่าใกล้เคียงกนั เปน็ สว่ นใหญ่ และมีคนงานจานวนนอ้ ยท่มี รี ายได้สงู มากเมื่อเทียบกบั คนงานกลมุ่ แรก สาหรบั การหา ค่ามธั ยฐานของข้อมลู ชุด ๆ ใด สามารถกระทาได้ 2 ลกั ษณะ คอื การหาคา่ มธั ยฐานของขอ้ มลู ที่ไม่ได้แจกแจงความถ่ี และการหาค่ามัธยฐานของข้อมูลที่มีการแจกแจงความถ่ี 7.3.3 ค่าเฉลย่ี เลขคณิต คา่ เฉลย่ี เลขคณิต (Arithmetic Mean) นิยมเรยี กสนั้ ๆ ว่า คา่ เฉล่ีย (Mean) แทนด้วยสญั ลกั ษณ์ สาหรับกลุม่ ตวั อยา่ ง และ สาหรบั ประชากร โดยนิยมใช้กนั มาก ในงานวิจยั ทว่ั ๆ ไป เนื่องจากคานวณง่าย มีความถูกต้องเชอ่ื ถอื ได้ค่อนข้างสงู และสามารถนาไปใช้ ในการวิเคราะหข์ ้อมูลขัน้ สงู ต่อไปได้ ซ่งึ การหาคา่ เฉล่ียเลขคณิตทาไดโ้ ดยนาค่าคะแนนทั้งหมด มารวมกนั แลว้ หารดว้ ยจานวนขอ้ มูลทั้งหมด ซงึ่ สามารถทาได้ดงั นี้ 7.3.3.1 สาหรบั ข้อมลู ที่ไมไ่ ด้แจกแจงความถ่ี การหาคา่ เฉลีย่ เลขคณิตโดยวธิ นี ี้ หาไดจ้ ากการนาผลรวมของข้อมลู ทุก ๆ คา่ ทย่ี งั ไม่ไดแ้ จกแจงความถม่ี าหารดว้ ยจานวนข้อมูลท้ังหมด (กาสกั เต๊ะขันหมาก. 2553 : 155) N Xi i1 (สาหรับประชากร) N n xi X i1 (สาหรบั กลุ่มตัวอยา่ ง) n เม่อื = ค่าเฉล่ียเลขคณิตของประชากร N = จานวนขอ้ มูลของประชากร X = ค่าเฉลีย่ เลขคณิตของกลมุ่ ตวั อยา่ ง n = จานวนขอ้ มลู ของกลุ่มตัวอย่าง Xi = คะแนนของขอ้ มูลแตล่ ะตัว ตวั อยา่ ง จากการสอบถามชาวบ้านในหมูบ่ ้านแหง่ หนงึ่ จานวน 10 คน พบวา่ มคี วามคดิ เห็น ต่อนโยบายเร่อื งไทยเข้มแขง็ ของรัฐบาลเป็นดังนี้ 3 5 2 4 4 3 1 2 3 4 (จาก 5 ระดับคะแนน) n xi จากสตู ร X i1 n ดังนั้น X 3 5 2 4 4 31 2 3 4 10
131 = 31 10 = 3.1 แปลความหมายว่าชาวบา้ นในหมูบ่ ้านน้ีมคี วามคิดเห็นต่อนโยบายเรอ่ื งไทยเข้มแข็งของ รัฐบาลในระดับปานกลาง (3.1 คะแนน จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน) 7.3.3.2 สาหรับขอ้ มลู ท่แี จกแจงความถี่ (กาสัก เต๊ะขันหมาก. 2553 : 156) N (สาหรับประชากร) fi Xi i1 f n fi xi X i 1 (สาหรบั กลมุ่ ตัวอยา่ ง) f เมื่อ = ค่าเฉลยี่ เลขคณิตของประชากร N= จานวนขอ้ มูลของประชากร X= ค่าเฉลี่ยเลขคณติ ของกลุ่มตัวอยา่ ง n= จานวนขอ้ มูลของกลมุ่ ตัวอยา่ ง f= ความถ่ขี องคะแนนแต่ละตวั Xi = คะแนนของข้อมลู แตล่ ะตวั ∑f = ผลรวมความถี่ ∑fx = ผลรวมความถี่สะสม ตัวอยา่ ง จากการสอบถามชาวบา้ นในหมู่บา้ นแห่งหนึง่ จานวน 10 คน พบวา่ มีความคดิ เหน็ ต่อนโยบายเรื่องไทยเขม้ แข็งของรฐั บาลเปน็ ดังนี้ 3 5 2 4 4 3 1 2 3 4 (จาก 5 ระดบั คะแนน) เม่อื นามาแจกแจงความถีข่ องคะแนนแตล่ ะตัวแลว้ รายละเอยี ดในตาราง 7.3 ตาราง 7.3 ชั้นคะแนนและความถ่ี ระดบั คะแนน (X) ความถี่ ( f ) ความถี่สะสม ( fX ) 5 1 5 4 3 12 3 3 9 2 2 4 1 1 1
132 X fX f = 31 10 = 3.1 คา่ เฉลยี่ ของข้อมูลเท่ากับ 3.1 7.3.4 ความสัมพนั ธร์ ะหว่างค่า , Md. และ Mo. การวดั แนวโนม้ สูส่ ว่ นกลางมคี วามสัมพันธก์ ัน ดงั น้ี (วาโร เพง็ สวัสด์ิ. 2551 : 289) 7.3.4.1 ในกรณีท่ีข้อมลู มีการแจกแจงเป็นโค้งปกติ (Normal Curve) ข้อมลู ชดุ เดียวกันจะมีคา่ เฉลย่ี เลขคณติ มัธยฐาน และฐานนยิ มเทา่ กัน กลา่ วคือ คะแนนของนกั ศึกษากระจาย จากน้อยไปหามาก ส่วนใหญจ่ ะได้คะแนนกลาง ๆ ของกลุ่ม แสดงว่าความสามารถของนักศกึ ษาม่ี ต้งั แตต่ า่ สดุ ไปหาสงู สดุ แตส่ ว่ นใหญม่ คี วามสามารถกลาง ๆ Md. Mo. 7.3.4.2 ในกรณีทขี่ ้อมูลมีลักษณะการแจกแจงเบ้ไปทางขวา (Positively Skewed) แสดงว่า คา่ เฉลยี่ มากกวา่ ค่ามัธยฐานและคา่ มัธยฐานมากกว่าคา่ ฐานนยิ ม กล่าวคือ นักศึกษาส่วนใหญ่ ไดค้ ะแนนน้อยเน่อื งจากข้อสอบยากหรือนกั ศึกษาส่วนใหญ่มีความสามารถต่า หรอื นักศกึ ษาอ่อน Mo. Md. 7.3.4.3 ในกรณที ขี่ ้อมลู มีลักษณะแจกแจงเบ้ไปทางซ้าย (Negatively Skewed) แสดงว่า ค่าเฉลยี่ น้อยกว่าค่ามัธยฐาน และคา่ มธั ยฐานน้อยกวา่ คา่ ฐานนิยม กล่าวคือ นักศกึ ษาสว่ นใหญ่ สอบได้คะแนนมากเน่ืองจากข้อสอบงา่ ยหรือนกั ศกึ ษาส่วนใหญม่ ีความสามารถสงู หรือนักศึกษาเก่ง Md. Mo.
133 7.3.5 ข้อควรพจิ ารณาในการเลือกใช้ค่าแนวโน้มเขา้ ส่สู ว่ นกลาง มีดงั น้ี 7.3.5.1 ถ้าข้อมลู มกี ารแจกแจงเปน็ โค้งปกติ การหาคา่ แนวโนม้ เขา้ ส่สู ว่ นกลาง ด้วยคา่ เฉลย่ี เลขคณติ จะเหมาะสมทส่ี ดุ และได้ค่าท่ีตรงตามเปน็ จริงมากท่ีสดุ เพราะตอ้ งนาทกุ ค่า ของขอ้ มูลมาเฉลย่ี 7.3.5.2 ถ้าข้อมลู มกี ารแจกแจงเบ้ไปทางใดทางหนึ่ง หมายความวา่ ข้อมูลมีคา่ แตกตา่ งกันมาก หรอื เปน็ ค่าผิดปกติ การหาคา่ แนวโนม้ เข้าสูส่ ว่ นกลางควรใช้มัธยฐาน 7.3.5.3 ถ้าต้องการทราบค่าโดยประมาณอย่างรวดเรว็ ควรใชฐ้ านนยิ ม เพราะดู ได้งา่ ย ไม่ต้องคานวณแต่ดูจากคา่ ที่มคี วามถี่สูงสุด 7.3.5.4 ถ้าข้อมลู ทว่ี ดั อยใู่ นมาตรานามบญั ญัติให้ใช้ฐานนยิ ม 7.3.5.5 ถ้าขอ้ มูลทว่ี ดั อยู่ในมาตราอนั ตรภาคหรืออัตราส่วนอาจเลอื กใช้ค่าเฉล่ยี เลขคณิต มัธยฐาน หรอื ฐานนิยมกไ็ ด้แลว้ แต่ความเหมาะสม 7.4 การวดั การกระจาย ในการหาคุณลักษณะเบอื้ งต้นของขอ้ มูลนนั้ ถา้ ดูจากการวัดแนวโน้มเขา้ สสู่ ่วนกลางแต่ อย่างเดียว (เช่น หาค่าเฉลยี่ เป็นต้น) แลว้ กย็ งั ไมส่ ามารถทราบคุณลักษณะของข้อมลู ได้อยา่ งชดั เจน จาเป็นตอ้ งวดั การกระจาย (Measure of Variability or Dispersion) ของข้อมลู ประกอบด้วย จึงจะทาให้เขา้ ใจถึงลักษณะการกระจายของข้อมลู ได้อย่างแทจ้ รงิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการ เปรยี บเทยี บคณุ ลักษณะของข้อมูลตงั้ แต่ 2 ชดุ ขนึ้ ไป เมื่อตอ้ งการทราบว่าข้อมลู ที่ไดม้ านัน้ มีความ แตกต่างกันมากนอ้ ยเพียงใด เราใชก้ ารวดั การกระจาย ถ้าข้อมูลมีการกระจายมากก็แสดงว่ามคี วาม แตกตา่ งกนั มาก ถา้ ข้อมูลมีการกระจายน้อยก็แสดงว่ามคี วามแตกต่างกันน้อย ตวั อย่าง จากการสอบถามความคิดเหน็ ของชาวบา้ นในหมู่บ้านหน่งึ ต่อนโยบายเร่ือง การเมืองเข้มแข็งของรัฐบาลได้คาตอบเปน็ ดงั นี้ (จาก 5 ระดบั คะแนน) 10 คน กลมุ่ แรก มีความคิดเห็นดงั น้ี 3 5 2 3 4 3 1 2 3 4 10 คน กลุ่มทสี่ อง มีความคดิ เห็นดังนี้ 4 4 2 4 4 2 3 2 3 2 10 คน กลุ่มทสี่ าม มคี วามคิดเห็นดังนี้ 3 3 3 3 3 3 3 3 3 3 ถ้าพจิ ารณาเฉพาะคา่ เฉล่ยี ของความคิดเหน็ ของชาวบ้านทัง้ 3 ชดุ จะเหน็ วา่ มีคา่ เฉลี่ยเท่ากัน (คือ 3) แตเ่ มอื่ พจิ ารณาลกั ษณะการกระจายของความคดิ เหน็ ของชาวบา้ น พบวา่ มกี ารกระจายของความคดิ เห็นของชาวบา้ นแตกตา่ งกัน ดังนน้ั จึงมคี วามจาเป็นต้องวัดการกระจาย ของข้อมูลควบคูก่ นั ไปดว้ ย การวัดการกระจายของข้อมูลที่นิยมใชม้ ีอยู่ 4 วิธี คอื 7.4.1 พิสยั พสิ ยั (Range) หมายถึง ค่าการกระจายของข้อมลู ชุดนน้ั ท่ไี ดจ้ ากผลตา่ งระหวา่ ง คา่ สูงสุดและคา่ ตา่ สุด คา่ พสิ ยั เปน็ ค่าท่ใี ชว้ ัดการกระจายอย่างหยาบ ๆ เนือ่ งจากวดั จากค่าของข้อมูล เพยี งสองค่า คือ คา่ ท่ีมากท่ีสุดและคา่ ทนี่ ้อยทส่ี ุดเท่านนั้ เขียนเปน็ สูตรได้ดังนี้ พิสยั = ค่าสูงสุด – คา่ ต่าสดุ
134 สรชัย พศิ าลบตุ ร (2549 : 142 - 143) กลา่ วว่า ในกรณีท่ีคา่ ของข้อมลู ค่าใด คา่ หนึ่งน้อยหรือมากผดิ ปกตจิ ะมผี ลทาให้ค่าพิสัยสูงกว่าค่าการกระจายท่ีแทจ้ รงิ มาก ตวั อย่างเช่น จากการสารวจนา้ หนักแรกเกิด (กโิ ลกรมั ) ของทารกชายแต่ละคนจานวน 30 คน ในโรงพยาบาล แหง่ หนงึ่ ปรากฏผลดังนี้ 3.3 3.0 3.9 3.4 3.4 3.0 3.5 3.7 3.4 3.9 2.7 3.6 3.3 3.1 3.3 3.2 3.4 3.2 3.5 3.4 2.9 3.2 3.7 3.2 3.1 2.8 3.6 3.5 3.7 3.3 คา่ พสิ ัยของนา้ หนักแรกเกิดของทารกชาย = 3.9 - 2.7 = 1.2 กิโลกรัม หากนาขอ้ มลู น้าหนัก แรกเกดิ ของทารกชายแต่ละคนทัง้ 30 คนมาแจกแจงความถ่โี ดยใหช้ ่วงของความถหี่ รืออัตรภาคชัน้ เทา่ กับ 0.1 และขีดจากดั ลา่ งของชว่ งหรืออัตรภาคชั้นแรกเท่ากบั 2.7 จะเป็นดังนี้ นาหนักแรกเกิดของทารกชาย (กโิ ลกรัม) ความถ่ี 2.7 - 2.8 2 2.9 - 3.0 4 3.1 - 3.2 6 3.3 - 3.4 9 3.5 - 3.6 5 3.7 - 3.8 3 3.9 - 4.0 1 จะได้คา่ พิสัยน้าหนักแรกเกดิ ของทารกชาย = คา่ สงู สุดของช่วงท้าย - คา่ ต่าสุดของช่วงแรก = 4.0 - 2.7 = 1.3 กิโลกรมั คา่ พสิ ยั ดงั กล่าวข้างต้นสามารถสรุปไดว้ า่ คา่ พิสัยของข้อมูลทีย่ งั ไม่แจกแจงความถี่ และคา่ พิสัยของข้อมลู ที่แจกแจงความถี่ ไมจ่ าเป็นต้องเท่ากนั ทง้ั นีข้ น้ึ อยกู่ ับการกาหนดค่าตา่ สุดของ อัตรภาคช้ันแรกและความกว้างของแต่ละอตั รภาคเป็นสาคัญ 7.4.2 สว่ นเบ่ียงเบนควอร์ไทล์ สว่ นเบ่ยี งเบนควอร์ไทล์ (Quartile Deviation) หมายถงึ ครง่ึ หนึ่งของความแตกต่าง ของควอรไ์ ทลท์ ่ี 3 (Q3) กับควอร์ทไทล์ท่ี 1 (Q1) เขยี นเปน็ สูตรได้ ดงั นี้ (วาโร เพ็งสวสั ด์.ิ 2551 : 291 - 294) สว่ นเบีย่ งเบนควอรไ์ ทล์ (Q.D.) = (Q3−Q1) 2 ซ่ึง Q1 และ Q3 หาได้เหมอื นกับการหาคา่ มธั ยฐานโดยใชส้ ูตร ดังน้ี สูตร Q1 = L1 + [n4−F1] i f1 Q3 = L3 + [34n−F3] i f3
135 เม่อื Q.D. = ส่วนเบย่ี งเบควอไทล์ Q1 = ควอไทล์ท่ี 1 Q3 = ควอไทล์ที่ 3 L1 = ขีดจากัดล่างที่มี Q1 L3 = ขดี จากดั ลา่ งทม่ี ี Q3 F1 = ผลรวมความถข่ี องชั้นแรกจนถงึ ชัน้ ก่อน Q1 F3 = ผลรวมความถ่ขี องช้นั แรกจนถงึ ชน้ั กอ่ น Q3 f1 = ความถีข่ องชั้นที่มี Q1 f3 = ความถ่ขี องชั้นที่มี Q3 I= อันตรภาคชัน้ ตัวอยา่ ง ผลการสารวจอายุของนักศึกษาช้ันปที ่ี 2 สาขาวิชาการปกครองท้องถ่ิน วทิ ยาลยั ชมุ ชนยโสธร จานวน 40 คน ปรากฏผลดงั ตาราง 7.4 ขา้ งลา่ งน้ี จงหาค่าสว่ นเบ่ียงเบนควอไทลข์ องข้อมลู ชุดนี้ ตาราง 7.4 ขอ้ มูลอายขุ องนกั ศึกษาชั้นปีท่ี 2 สาขาวชิ าการปกครองท้องถ่ิน ช่วงอายุ (ปี) ขดี จากัด (L) ความถี่ (f) ความถี่สะสม (F) 21 – 25 20.5 – 25.5 2 2 26 – 30 25.5 – 30.5 9 11 31 – 35 30.5 – 35.5 14 25 36 – 40 35.5 – 40.5 10 35 41 – 45 40.5 – 45.5 3 38 46 - 50 45.5 – 50.5 2 40 40 วิธคี านวณ ขน้ั ที่ 1 หาตาแหนง่ Q1 และ Q3 n= ตาแหนง่ Q1 = 40 = 10 (จะเห็นว่าตาแหนง่ Q1 อยู่ในช้ันที่มี 4 4 ความถีส่ ะสมเท่ากับ 10 ดังนนั้ ตกอยู่ในชว่ งอายุ 26 – 30 ปี) ตาแหนง่ Q3 = 3n = 3(40) = 30 (จะเหน็ ว่าตาแหนง่ Q3 อยู่ในชัน้ ทม่ี ี 4 4 ความถ่ีสะสมเท่ากับ 30 ดงั นัน้ ตกอยใู่ นชว่ งอายุ 36 – 40 ปี) ขน้ั ท่ี 2 จากตารางจะได้ค่าต่าง ๆ ดังนี้ n = 40 L1 = 25.5 L3 = 35.5 I = 5 F1= 2 F3 = 25 f1 = 9 f3 = 10
136 ขั้นที่ 3 แทนคา่ ในสตู ร Q1 และ Q3 Q1 = L1 + [n4−F1] i Q3 = L3 + [34n−F3] i f1 f3 = 25.5 + [440−2] 5 = 35.5 + [3(440)−25] 5 9 10 = 25.5 + [10−2] 5 = 35.5 + [30−25] 5 9 10 = 25.5 + 4.44 = 35.5 + 2.5 = 29.94 = 38 ขั้นที่ 4 นาคา่ Q1 และ Q3 แทนค่าในสูตร Q.D. (Q.D.) = (Q3−Q1) 2 = 38−29.94 2 = 8.06 2 = 4.03 ส่วนเบยี่ งเบนควอไทลเ์ ทา่ กับ 4.03 ข้อสงั เกต การวัดการกระจายดว้ ยส่วนเบย่ี งเบนควอร์ไทล์ เปน็ การวัดการกระจาย ทไี่ ม่ละเอยี ดมากนัก เนอ่ื งจากไม่ไดใ้ ชข้ ้อมลู ท้ังหมดมาคานวณ ซึง่ ขอ้ มูลท่ีมกี ารแจกแจงความถ่ี และอัตรภาคชน้ั สุดท้ายเป็นแบบเปดิ ก็สามารถหาค่าการกระจายของข้อมลู โดยวธิ ีนไ้ี ด้ เน่อื งจาก ไม่ไดใ้ ชข้ อ้ มลู ทกุ ตัวมาคานวณอีกทงั้ ข้อมูลสงู สุดหรือตา่ สุดกไ็ มน่ ามาใชใ้ นการคานวณเช่นกัน สาหรบั การแปลความหมายส่วนเบย่ี งเบนควอไทล์ใหพ้ จิ ารณาจากค่าท่ีคานวณได้ ถา้ มีค่ามาก แสดงวา่ ข้อมูลมกี ารกระจายหรอื เบ่ียงเบนออกจากมธั ยฐานมาก ถา้ มีค่าน้อยแสดงว่าข้อมลู มี การกระจายหรอื เบ่ยี งเบนออกจากมธั ยฐานน้อย ดังนนั้ การวดั การกระจายด้วยส่วนเบี่ยงเบน ควอร์ไทล์จงึ เหมาะสาหรับการวดั การกระจายของข้อมลู ท่ีมีบางค่าสงู หรอื ตา่ มาก ๆ ในชุดเดียวกัน 7.4.3 สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน คา่ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : SD) หมายถงึ คา่ การกระจาย ของข้อมูลชดุ นนั้ ท่ไี ด้จากการวัดความแตกต่างโดยเฉลี่ยระหวา่ งคา่ แต่ละค่าของข้อมูลชุดน้นั กบั คา่ เฉลย่ี เลขคณติ ซงึ่ เปน็ ตัวแทนของข้อมลู ทัง้ หมด กล่าวคือ ถา้ ความแตกต่างโดยเฉลย่ี ระหว่าง ค่าของข้อมูลแต่ละคา่ กบั คา่ เฉล่ียเลขคณิตมีมากแสดงวา่ ข้อมลู ชดุ นน้ั มกี ารกระจายมาก แต่เนอื่ งจาก ความแตกต่างทเี่ กดิ ขน้ึ ระหวา่ งค่าของข้อมลู แต่ละคา่ กับค่าเฉลีย่ เลขคณิตของข้อมลู ชดุ นัน้ อาจจะมีค่า เป็นบวกหรอื ลบก็ได้ แล้วแต่ค่าใดจะมากกว่ากนั ดังนัน้ ผลรวมของความแตกตา่ งระหวา่ งค่า ของข้อมูลแต่ละค่ากบั ค่าเฉลี่ยเลขคณิตจะหักลา้ งกนั หมดไป จึงมีผลทาให้คา่ เฉลยี่ ของความแตกต่าง ระหว่างคา่ ของค่าเฉลย่ี เลขคณิตเท่ากบั 0 เสมอ ทาให้วัดคา่ การกระจายของข้อมูลไม่ได้ เพ่ือขจัด ปญั หาดงั กลา่ วจงึ ต้องวดั จากรากท่สี องของคา่ เฉลย่ี ผลรวมของความแตกตา่ งกาลงั สองระหวา่ งคา่
171 แต่ละคา่ กบั ค่าเฉล่ียเลขคณติ ของขอ้ มูลชดุ นน้ั (วาโร เพง็ สวสั ดิ.์ 2551 : 296 - 299) สาหรับสูตร ทใี่ ชใ้ นการคานวณมี 2 ลกั ษณะ คือ การหาค่าสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานของข้อมูลท่ีไมม่ ีการแจกแจง ความถี่ และการหาค่าสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของข้อมูลท่ีมีการแจกแจงความถ่ี 7.4.3.1 สาหรับขอ้ มูลท่ไี ม่มีการแจกแจงความถ่ี สูตรจะเป็นดังน้ี SD = √∑(x−x̅)2 หรอื n−1 SD = √n ∑ x2(∑ x)2 n(n−1) เมอื่ SD = สว่ นเบีย่ งมาตรฐาน = ข้อมลู หรือคะแนนแต่ละตัว x = คะแนนเฉลยี่ ของกลมุ่ ตวั อยา่ ง x̅ = จานวนข้อมูลหรอื คะแนนทง้ั หมด n ตวั อยา่ ง จงหาค่าสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานกรณีขอ้ มูลไม่ได้แจกแจงความถี่ จากข้อมูล ตอ่ ไปน้ี 8 , 6 , 7 , 4 , 10 วิธีคานวณ ขัน้ ท่ี 1 หาค่าเฉลยี่ จากสูตร x̅ = ∑ x n = 8 + 6 + 7 + 4 + 10 5 =7 ขั้นที่ 2 สรา้ งตาราง 7.5 บรรจุขอ้ มูลเพอื่ ความเข้าใจในการคานวณ ตาราง 7.5 ขอ้ มูลในการคานวณสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน x x − x̅ (x − x̅)2 811 6 -1 1 700 4 -3 9 10 3 9 ∑(x − x̅)2 = 20
172 ขัน้ ท่ี 3 แทนค่าในสตู รส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน จะได้ SD = √∑(x−x̅)2 n−1 = √20 4 = 2.236 จะไดส้ ว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.236 7.4.3.2 สาหรบั ขอ้ มลู ทม่ี ีการแจกแจงความถ่ี สูตรจะเปน็ ดังนี้ SD = √∑ f(x−x̅)2 หรอื n−1 SD = √n ∑ fx2−(∑ fx)2 n(n−1) เมื่อ SD = สว่ นเบยี่ งมาตรฐาน x = ขอ้ มูลหรือคะแนนแต่ละตวั x̅ = คะแนนเฉล่ียของกลุม่ ตัวอย่าง f = ความถ่ขี องขอ้ มลู n = จานวนข้อมลู หรอื คะแนนทง้ั หมด ตวั อยา่ ง จงหาคา่ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐานกรณีขอ้ มลู มีการแจกแจงความถี่ จากขอ้ มูล ที่กาหนดใหด้ ังตาราง 7.6 ดังนี้ ตาราง 7.6 ข้อมูลท่ีกาหนดให้เพื่อหาคา่ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน x x2 f fx fx2 10 100 3 30 300 9 81 6 54 486 6 36 10 60 360 5 25 4 20 100 4 16 7 28 112 ∑ 30 192 1358 สูตร SD = √n ∑ fx2−(∑ fx)2 n(n−1) = √30 ×1358−(192)2 30(30−1)
173 = √3876 870 = 2.11 7.4.3.3 ขอ้ สงั เกตการวดั คา่ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน 1) ความแปรปรวนเปน็ การวัดการกระจายในรปู พ้ืนที่ แต่ความเบยี่ งเบน มาตรฐานเป็นการวัดการกระจายในรปู เส้นตรง และทั้ง 2 วิธี เปน็ ท่นี ยิ มใช้มากในหมนู่ กั วิจยั เพราะค่าท่ีคานวณไดม้ คี วามถูกตอ้ งตรงตามความเป็นจริงมากที่สดุ เนื่องจากคานวณจากคา่ ของ ข้อมลู ทุกค่า 2) การวดั การกระจายด้วยความแปรปรวน และความเบีย่ งเบนมาตรฐาน เปน็ การวดั ที่คงทม่ี ากทีส่ ดุ และมักใชเ้ ม่ือหาค่าแนวโน้มเขา้ สู่ส่วนกลางดว้ ยคา่ เฉล่ียเลขคณิต เพราะคา่ เฉล่ยี เลขคณติ เป็นค่าที่คงท่ีมากที่สุดในกรณที ีข่ ้อมูลนั้นมีการแจกแจงเป็นโคง้ ปกติ 3) ในการวจิ ัยทางสังคมศาสตร์การศึกษากับประชากรทาไดย้ าก จึงต้อง ศึกษาจากกลุ่มตวั อยา่ ง ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานดงั กล่าวข้างตน้ สามารถสรุปไดว้ า่ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation : SD) หมายถึง รากทส่ี องของค่าความแปรปรวนหรอื รากทีส่ องของค่าเฉล่ีย ของผลรวมทั้งหมดของคะแนนเบยี่ งเบนยกกาลังสอง สูตรท่ีใช้ในการคานวณมี 2 ลักษณะ คือ การหา คา่ ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานของขอ้ มูลทไี่ มม่ ีการแจกแจงความถ่ี และการหาคา่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ของขอ้ มลู ท่มี ีการแจกแจงความถ่ี 7.4.4 ความแปรปรวน ความแปรปรวน (Variance : SD2) หมายถึง ค่าเฉล่ยี ของผลรวมของคะแนน ท่เี บย่ี งเบนออกมาจากค่าเฉลี่ยของข้อมลู ชดุ นนั้ ยกกาลังสอง หรอื ค่าส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ยกกาลงั สอง การคานวณคา่ ความแปรปรวนจะคานวณเช่นเดียวกนั กบั สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน แต่ไม่ถอกรากทส่ี อง หรอื ถ้าทราบค่าเฉลย่ี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐานให้นามายกกาลังสองก็จะได้ คา่ ความแปรปรวน เชน่ จากตวั อยา่ งการหาคา่ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานกรณีข้อมลู มีการแจกแจง ความถ่ี ไดส้ ว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.11 ดงั น้นั จะได้ค่าความแปรปรวนเท่ากบั (2.11)2 = 4.45 ความแปรปรวนใชส้ าหรับวดั การกระจายของข้อมูลในรปู พ้ืนที่ ซง่ึ มหี นว่ ยเป็น กาลงั สองของข้อมูลชุดน้นั แต่สาหรบั ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานใช้วัดการกระจายของข้อมูลในรปู เส้นตรง 7.5 การหาค่าความสัมพันธ์ระหวา่ งตัวแปร การหาค่าความสมั พันธร์ ะหวา่ งตวั แปร (Correlation) เปน็ การศึกษาความผันแปรรว่ มกัน ของข้อมูล 2 ชดุ วา่ แปรตามกันหรือแปรผกผนั ข้อควรระวงั ประการหนง่ึ เก่ียวกับการหาความสัมพันธ์ ก็คือ ข้อมูล 2 ชดุ นัน้ ต้องไดร้ บั มาจากกลมุ่ ตวั อยา่ งเดยี วกนั ทเี่ รียกวา่ Bivariate Data
174 ในการหาความสัมพนั ธข์ องตวั แปร ตวั ทใี่ ชบ้ อกความสมั พันธ์คือ คา่ สัมประสิทธิ์สหสมั พนั ธ์ (Coefficient of Correlation) แทนด้วยสัญลกั ษณ์ r ซึ่งมีค่าระหว่าง -1.00 ถงึ +1.00 ค่าท่ีอยูต่ รง กลางคือ 0 หมายความว่า ไม่มีความสัมพันธก์ ันเชงิ เส้นตรงเลย ในการพิจารณาความสัมพนั ธ์พจิ ารณา ไดจ้ ากหลกั กว้าง ๆ ดังนี้ ถ้า r มคี า่ 0.8 ข้นึ ไป ถือว่ามีความสัมพนั ธ์กันในระดบั สงู หรือสูงมาก ถา้ r มีค่าระหว่าง 0.6 - 0.8 ถือวา่ มีความสัมพันธ์กนั ในระดับค่อนข้างสงู ถา้ r มคี า่ ระหว่าง 0.4 - 0.6 ถอื วา่ มีความสมั พันธ์กนั ในระดบั ปานกลาง ถ้า r มคี ่าระหวา่ ง 0.2 - 0.4 ถือว่ามีความสัมพนั ธ์กนั ในระดบั คอ่ นข้างต่า ถ้า r มคี ่าระหว่าง 0.2 ถอื ว่ามีความสมั พันธใ์ นระดบั ต่าหรอื ต่ามาก ในการพจิ ารณาทิศทางความสมั พนั ธข์ องตวั แปรจะต้องพิจารณาจากเครอื่ งหมาย ประกอบดว้ ยคือ ถ้าคา่ สัมประสทิ ธสิ์ หสมั พันธ์เป็นลบ แสดงว่า ตวั แปรสองตวั มคี วามสัมพันธ์ทางลบ น่ันคือ ถ้าตวั แปรตัวหน่งึ มีคา่ สูง ตวั แปรอีกตัวมีคา่ ตา่ หรอื ตรงกันข้ามกัน แต่ถา้ ค่าสมั ประสิทธิ์ สหสมั พนั ธ์เปน็ บวกแสดงวา่ ตัวแปรสองตัวมีความสัมพนั ธ์กันทางบวก นัน่ คือ ถ้าตวั แปรตัวหน่ึงมีคา่ สงู ตวั แปรอีกตัวก็จะมีค่าสงู ดว้ ยหรอื ในทางกลบั กนั ถ้ามีคา่ ต่ากต็ ่าท้งั คู่ สาหรับสถิติทีใ่ ช้หาคา่ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งตวั แปรที่นยิ มใช้และเปน็ ท่รี จู้ ักกันดมี ี 2 ชนิดคือ สหสัมพนั ธแ์ บบ Pearson และสหสัมพันธแ์ บบ Spearman 7.5.1 สหสัมพนั ธแ์ บบ Pearson (Pearson’s Product Moment Correlation) เป็นการหาความสมั พันธ์ของตัวแปรในรูปคะแนนดบิ ซง่ึ ค่าของคา่ สหสัมพันธห์ าได้จากสูตร (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 110) N ∑ XY − ∑ X ∑ Y rxy = [N ∑ X2 − (∑ X)2][N ∑ Y2 − (∑ Y)2] เม่อื rxy = สัมประสิทธ์สิ หสมั พันธ์ระหว่างตัวแปร X กับตวั แปร Y N = จานวนคนหรอื จานวนขอ้ มูลทั้งหมด ∑X = ผลรวมคะแนนดบิ ของตวั แปร X ∑ ������ = ผลรวมคะแนนดบิ ของตัวแปร Y ∑ X ������ = ผลรวมของผลคณู ของคะแนนตัวแปร X กับคะแนนของตัวแปร ∑ X2 Y เป็นคู่ ๆ ในรปู คะแนนดิบ ∑ ������2 = ผลรวมของกาลังสองของคะแนนดบิ เป็นตัวแปร X = ผลรวมของกาลงั สองของคะแนนดบิ เป็นตวั แปร Y ตัวอย่างในการหาค่าสัมประสิทธส์ิ หสัมพนั ธร์ ะหว่างคะแนนของวชิ า 2 วชิ าของ นักเรยี น ดังปรากฏในตาราง 7.7 ดังน้ี
175 ตาราง 7.7 คะแนนของวิชา 2 วชิ าของนกั เรียน คน X Y X2 Y2 XY 1 5 1 25 1 5 2 10 6 100 36 60 3 5 2 25 4 10 4 11 8 121 64 88 5 12 5 144 25 60 6 4 1 16 1 4 7 3 4 9 16 12 8 2 6 4 36 12 9 7 5 49 25 35 10 1 2 1 4 2 รวม 60 40 494 212 288 จากสูตร N ∑ XY − ∑ X ∑ Y rxy = √[N ∑ X2 − (∑ X)2][N ∑ Y2 − (∑ Y)2] แทนค่า rxy = 10(228)−(60)(40) √[10(494)−(60)2][10(212)−(40)2] = 0.58 แสดงว่า คะแนนท้ัง 2 วชิ าของนักเรยี นกลมุ่ นี้ มีความสัมพันธ์ทางบวก และมีค่า ความสัมพนั ธ์ = 0.58 ซ่งึ ถือว่าอยใู่ นระดบั ปานกลาง 7.5.2 สหสัมพนั ธแ์ บบสเปียร์แมน (Spearman’s Rank Correlation) เป็นการหา ความสัมพันธข์ องตัวแปรในรูปอนั ดบั ท่ี (Rank) ใช้กับข้อมูลอันดับ ค่าสัมประสทิ ธ์สิ หสมั พันธ์แบบนี้ มีสตู รทีใ่ ชค้ านวณ คือ (พสิ ณุ ฟองศร.ี 2554 : 161) rs =1− 6 ∑ D2 n(n2−1) เมือ่ r = คา่ สมั ประสิทธิ์สหสมั พันธ์ในรปู อันดบั ท่ี D = ผลต่างของอันดบั ของขอ้ มลู แต่ละคู่ n = จานวนคนหรือจานวนคู่ของข้อมูล ตัวอย่าง การหาคา่ สมั ประสิทธิส์ หสัมพันธร์ ะหวา่ งผลการตัดสินการประกวดนางนพมาศ ของกรรมการ 2 คน ปรากฏผลดังตาราง 7.8
176 ตาราง 7.8 ผลการตดั สนิ ของกรรมการ 2 คน ผู้เข้าแข่งขันคนท่ี การตดั สนิ ของกรรมการ D D2 1 คนท่ี 1 คนท่ี 2 1 1 2 -1 1 3 54 0 0 4 45 1 1 5 88 -1 1 6 76 1 1 7 67 0 0 8 32 -1 1 9 11 0 0 10 23 0 0 10 10 99 ∑D = 0 ∑ D2 = 6 จากสูตร rs =1− 6 ∑ D2 n(n2−1) แทนค่า rs 1 66 10100 1 = 1 – 0.04 = 0.96 แสดงวา่ การตัดสินของกรรมการท้ัง 2 มีความสอดคลอ้ งกัน คอื คา่ สัมประสทิ ธ์ิ สหสมั พนั ธ์ = 0.96 ซง่ึ ถือว่าอย่ใู นระดับสูงมาก สถิตทิ ใี่ ชห้ าค่าสมั ประสทิ ธส์ิ หสมั พันธ์ระหวา่ งตัวแปรน้ี ถา้ เปน็ การแปรผล ในเชิงปริมาณ คา่ สัมประสิทธิ์สหสมั พันธ์ (r) สามารถพฒั นาเปน็ คา่ สมั ประสทิ ธข์ิ องการทานาย (Coefficient of Determination) ได้ดว้ ย โดยการนาคา่ r ท่คี านวณไดย้ กกาลงั สองแลว้ คูณดว้ ย 100 ซง่ึ เขยี นสตู รไดเ้ ป็น r2x100 เปอรเ์ ซน็ ต์ ซึง่ หมายความว่า ถ้าทราบคา่ ตวั แปรตัวหน่งึ แล้วจะทานาย คา่ ตัวแปรตวั ท่ีสองได้ถูกต้องร้อยละเท่าไร เชน่ ถ้าค่าสมั ประสทิ ธิ์สหสัมพันธร์ ะหวา่ งคะแนนวิชาวิจยั กบั วชิ าสถิติ (r) เท่ากับ .52 และสมมตวิ า่ เราทราบคะแนนวชิ าวิจัยของนักศึกษาท้งั หมด เราจะทานาย คะแนนวิชาสถิติของนักศึกษาท้ังหมดได้ถกู ต้อง = (.52)2 x 100 = 0.27 x 100 = 27 เปอรเ์ ซ็นต์ คา่ สมั ประสิทธสิ์ หสัมพนั ธ์ดังกลา่ วขา้ งต้น สามารถสรปุ ไดว้ ่า ค่าสมั ประสทิ ธสิ์ หสมั พนั ธ์ แบบต่าง ๆ น้นั จะใชป้ ระโยชนใ์ นการวิจยั เมื่อตอ้ งการทราบความสัมพนั ธข์ องตวั แปรหรือการพจิ ารณา คะแนนของนักเรียนจานวน 2 วิชา หรือการสังเกตต่าง ๆ ได้ ถา้ ข้อมลู ท่ีไดเ้ ป็นระดับคะแนนจะใช้ สูตรของเพยี ร์สนั แตถ่ า้ เปน็ การจดั อนั ดบั ท่ีของคน 2 คน ไม่ว่าจะเป็นกรรมการหรือผู้สังเกตก็ใช้ สูตรของสเปยี ร์แมน
177 บทสรปุ สถติ ิที่ใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อเท็จจรงิ จากกลมุ่ ข้อมูลทีร่ วบรวมมาได้ เพ่ือใหท้ ราบรายละเอียด เกีย่ วกับลักษณะของข้อมูลกลุ่มนัน้ โดยไมไ่ ด้สรุปอ้างอิงผลการศึกษาไปยงั กลุ่มขอ้ มูลอน่ื หรอื สรปุ อา้ งองิ ไปยังประชากรท่ศี ึกษา การบรรยายสรปุ ลักษณะของกล่มุ ข้อมูล ไดแ้ ก่ 1) การแจงความถี่ เป็นการนาข้อมูลมาจัดเรียงใหมต่ ามลาดบั คะแนนจากมากไปหานอ้ ยหรือจากคะแนนนอ้ ยไปหามากก็ ได้ ทั้งนี้เพื่อชว่ ยให้สะดวกต่อการนาไปใช้ 2) การวัดแนวโนม้ เข้าสู่สว่ นกลาง เปน็ การหาคา่ กลาง ๆ ของข้อมูล เพอ่ื เปน็ ตวั แทนของข้อมลู ในแต่ละชดุ วธิ ีการวดั แนวโน้มเข้าส่สู ่วนกลางนิยมใชม้ ี 3 วธิ ี คือ คา่ เฉลยี่ มธั ยฐาน และฐานนยิ ม 3) การวดั การกระจาย เปน็ วธิ ที างสถติ ิท่ีใชบ้ ง่ บอกว่า ความสามารถของสมาชิกภายในกลุ่มหรอื ข้อมลู แต่ละตวั ในชดุ น้นั ๆ มีความใกล้เคยี งกันหรอื แตกต่าง กันมากน้อยเพียงใด วิธีการวดั กระจาย ได้แก่ พิสัย ส่วนเบี่ยงเบนควอไทล์ ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และความแปรปรวน และ 4) สหสมั พนั ธ์ เป็นสถติ ิทีใ่ ช้วัดความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตัวแปร 2 ตัว วา่ มีความสมั พันธ์กันหรือไม่ สมั พนั ธก์ ันในระดบั ใด และสัมพันธก์ นั ในทิศทางใด สหสัมพนั ธอ์ ย่างง่าย ท่นี ยิ มใช้ ได้แก่ สหสมั พันธแ์ บบเพยี รส์ ัน และสหสัมพนั ธ์แบบอนั ดบั ท่ีของสเปียร์แมน
178 กิจกรรมทา้ ยบทที่ 7 1. จงหาคา่ มัธยฐานจากข้อมูลทก่ี าหนดใหด้ งั น้ี 7 6 9 2 3 14 18 5 9 1 3 4 3 12 62 2. ข้อมูลต่อไปนี้เป็นคะแนนสอบวิชาวจิ ยั ทางสงั คมศาสตรข์ องนักศึกษาจานวน 80 คน 71 95 85 75 63 68 77 82 75 68 84 69 53 88 78 73 74 73 76 60 79 60 71 75 85 61 75 87 65 74 65 76 83 82 95 66 71 75 79 94 78 62 68 89 77 96 60 61 74 75 78 76 63 67 62 79 72 97 78 78 62 85 73 93 65 75 57 59 88 80 76 73 90 86 93 81 88 72 67 จากขอ้ มลู ดงั กลา่ วจงหา 2.1 พสิ ัย 2.2 จานวนนกั ศึกษาทไี่ ด้คะแนนต่ากว่า 70 คะแนนมีทงั้ หมดกค่ี น และคดิ เปน็ ร้อยละเท่าไร ของนักศกึ ษาทง้ั หมด 2.3 จงสร้างตารางแจกแจงความถ่ีท่มี ี 5 ช้นั คะแนน และคานวณหาความถี่ 3. จงบอกความหมาย ความเหมือนและความตา่ งของร้อยละ (Percent) สงู สุด และฐานนิยม (Mode) 4. จงคานวณหาเปอรเ์ ซ็นไทลด์ งั ต่อไปนี้ 4.1 จงหาเปอร์เซน็ ไทล์ที่ 80 ของข้อมูลต่อไปนี้ 3 , 13 , 5 , 4 , 10 , 16 , 20 , 14 , 25 , 30 , 28 , 28 , 2 , 15 4.2 จากข้อมูลท่ีกาหนดให้ จงหาเปอร์เซน็ ไทลท์ ี่ 85 ช่วงของข้อมลู จานวน 21 – 30 1 31 – 40 3 41 – 50 4 51 - 60 2 5. ข้อมลู ต่อไปน้ีเป็นเวลา (นาที) ของการรอรถโดยสารของผู้โดยสานที่สถานีปลายทาง 2 แห่ง (สถานี ก และสถานี ข) สถานี ก : 5.5 6.0 4.5 5.0 7.0 6.5 5.0 7.5 5.5 4.0 8.0 สถานี ข : 5.5 8.0 2.0 5.0 8.5 12.0 1.5 6.5 9.5 10.0 6.0 5.1 จงหาค่าเฉล่ีย มธั ยฐาน และพสิ ัยของขอ้ มลู แตล่ ะชดุ
179 5.2 จงหาสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐานของข้อมูลแตล่ ะชุด 6. อนั ดบั ความสามารถในการประกวดเรยี งความและการแต่งกลอนของนกั ศึกษากลมุ่ หนึง่ เปน็ ดงั นี้ ช่ือนักศึกษา อันดบั ท่ีของการเรยี งความ อนั ดบั ท่ีของการแต่งกลอน นายกติ ติกร 11 นางสาวสายพิณ 2 2 นางทศั นยี ์ 43 นางสาวรุ่งกานต์ 3 4 นายนครชัย 55 นางขนษิ ฐา 66 จากข้อมลู น้ี จะหาคา่ สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธด์ ว้ ยวิธีใด จงให้เหตผุ ลประกอบ พร้อมทง้ั คานวณหาคา่ สัมประสทิ ธิ์สหสมั พนั ธ์ และแปลความหมายคา่ ท่ีคานวณได้
180 บทที่ 8 สถติ ทิ ีใ่ ช้ทดสอบสมมติฐาน สถติ ทิ ี่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน เปน็ สถิติทใ่ี ชว้ เิ คราะห์ข้อมูลท่ีไดจ้ ากการศึกษากับ กลุ่มตวั อยา่ ง แลว้ อาศัยทฤษฎคี วามนา่ จะเปน็ มาใช้ในการวิเคราะห์ เพ่ือสรปุ ผลไปยงั กลุ่ม ประชากรเป้าหมาย ทงั้ นเี้ นือ่ งจากประชากรมขี นาดใหญ่เกินไปจงึ มีข้อจากดั ในการเก็บรวบรวมข้อมลู จากประชากร ดงั นนั้ จงึ ใช้กลุ่มตัวอยา่ งขนาดเล็กมีความเป็นตวั แทนทด่ี ีของประชากรศึกษาแทน ค่าสถติ ิที่ได้จากการศึกษาจากกลุม่ ตัวอยา่ งน่าจะเท่ากับคา่ พารามเิ ตอร์ของประชากร จาเปน็ ตอ้ ง เลอื กใชส้ ถติ ิอ้างอิงท่ีเหมาะสมในการทดสอบสมมตฐิ าน ในบทน้จี ะนาเสนอเน้ือหาดังนี้ - ความหมายของการทดสอบสมมติฐาน - ประเภทของการทดสอบสมมตฐิ าน - ความคลาดเคลือ่ นในการตัดสินใจ - ระดับนยั สาคญั ทางสถิติ - ข้นั ตอนของการทดสอบสมมตฐิ าน - สถติ ิทใ่ี ช้ในการทดสอบสมมตฐิ าน 8.1 ความหมายของการทดสอบสมมติฐาน การทดสอบสมมตฐิ านเป็นกระบวนการทดสอบค่าสถติ ลิ ักษณะต่าง ๆ หรือค่าสถติ ทิ ี่แสดง ความสัมพันธ์ หรอื ต้องการเปรยี บเทยี บความแตกตา่ งระหว่างกลมุ่ ตวั อยา่ งเพื่อการสรุปอ้างองิ ไปสู่ ประชากรทท่ี าการศึกษาภายใต้ระดับนัยสาคัญทางสถิติทกี่ าหนดไว้ นักการศึกษาไดเ้ สนอแนวคดิ เกี่ยวกับความหมายของการทดสอบสมมตฐิ านไว้ ดังนี้ สวุ ิมล ติรกานนั ท์ (2549 : 213) ได้ให้ความหมายของการทดสอบสมมติฐาน หมายถงึ การทดสอบค่าสถิติของลกั ษณะต่าง ๆ หรือคา่ สถติ ิท่ีแสดงความสมั พันธ์ หรอื ต้องการ เปรยี บเทยี บความแตกต่างระหวา่ งกลมุ่ ตวั อย่าง เพ่ือการสรุปอา้ งอิงไปยังประชากรทีท่ าการศกึ ษา ภายใต้ระดบั นยั สาคัญ (Level of Significance) ท่ีกาหนดไว้ ชศู รี วงศ์รัตนะ (2550 : 120) ได้ใหค้ วามหมายของการทดสอบสมมตฐิ าน หมายถงึ กระบวนการสาคญั ท่ีใช้ในการตดั สินใจ (Decision – Making Process) ของนกั วจิ ยั ว่า สมมตฐิ านเกี่ยวกบั ประชากรทีต่ ้ังไวถ้ ูกหรือผดิ โดยศึกษาจากข้อมลู ที่เก็บจากกลมุ่ ตัวอยา่ ง ในทาง สงั คมศาสตร์การแสวงหาความรจู้ ากกลุม่ ประชากรทั้งหมดทาได้ยากมาก การทดสอบสมมติฐาน ทางสถิติจึงเปน็ กลยทุ ธ์ท่สี าคัญสาหรับใชต้ ดั สินใจว่า ผลที่ศึกษาได้จากกลมุ่ ตวั อย่างจะสรุปอ้างอิง (Generalized) ไปสู่ประชากรไดห้ รอื ไม่ วาโร เพง็ สวสั ดิ์ (2551 : 320) ได้ให้ความหมายของการทดสอบสมมติฐาน หมายถึง วิธีการทางสถิตทิ ่ใี ช้สาหรบั อ้างอิงข้อมลู ต่าง ๆ จากกลุ่มตวั อย่างไปยังประชากร กล่าวคอื ในการคน้ หาความรูค้ วามจรงิ ใด ๆ โดยอาศัยวิธกี ารวิจัยน้นั ผวู้ ิจยั จะศึกษาหาความร้คู วามจรงิ น้นั ๆ จากกล่มุ ตัวอย่างแลว้ สรปุ ผลท่ไี ด้จากกลมุ่ ตวั อยา่ งไปสู่ประชากรนนั้ ๆ ซ่ึงวธิ กี ารดงั กล่าวเป็นการใช้
181 ค่าการวัดที่ได้จากกลุ่มตวั อย่างหรือทเี่ รียกวา่ ค่าสถิติ (Statistic) สรุปอ้างอิงไปสู่คุณลกั ษณะของ ประชากรหรือคา่ พารามิเตอร์ (Parameter) การสรุปอ้างอิงดงั กล่าวต้องอาศัยวธิ กี ารทางสถิตทิ ่ี เรยี กว่า “การทดสอบสมมติฐาน” การทดสอบสมมติฐานดงั ท่กี ล่าวขา้ งต้น สามารถสรปุ ได้วา่ การทดสอบสมมติฐาน (Hypothesis Testing) เปน็ กระบวนการท่จี ะนาไปส่กู ารลงสรุปตดั สนิ ใจ (Decision Making) วา่ สมมติฐานทางการวจิ ยั (Research Hypothesis) ที่ตงั้ ไวเ้ กย่ี วกบั ประชากรที่ศึกษานั้นถูกต้อง เป็นจริงหรอื ไม่ ซง่ึ กระบวนการตรวจสอบน้ีจะเร่มิ จากการเปลี่ยนแปลงสมมติฐานทางการวิจยั ใหเ้ ปน็ สมมตฐิ านทางสถิติ แลว้ ใชเ้ ทคนิคทางสถติ ิมาทดสอบโดยอาศยั ข้อมลู จากกลุ่มตัวอย่าง ถ้าผลการทดสอบปรากฏวา่ เป็นไปตามทต่ี ง้ั สมมตฐิ านไว้ สมมติฐานการวจิ ยั น้ันกเ็ ปน็ จริงสามารถ สรุปอา้ งอิง (Generalization) ไปส่ปู ระชากรได้ 8.2 ประเภทของการทดสอบสมมตฐิ าน การวิเคราะหด์ ว้ ยสถิติอ้างอิง ตอ้ งมีการตง้ั สมมตฐิ านการวิจยั ด้วยเสมอและต้องดาเนินการ ทดสอบสมมตฐิ านทางสถติ ิ สามารถทาได้ 2 ลกั ษณะ คือ การทดสอบแบบทางเดียว และการ ทดสอบแบบสองทาง (วาโร เพง็ สวสั ด.ิ์ 2551 : 324 – 326) 8.2.1 การทดสอบสมมติฐานแบบทางเดียว (One Tailed Test) เป็นการทดสอบ ทก่ี าหนดเขตปฏิเสธ H0 (Reject H0) ไวป้ ลายเดียวของโค้งปกติ อาจเป็นทางซา้ ยหรือทางขวาก็ได้ การทดสอบสมมติฐานแบบทางเดียวจะใช้เม่ือผูว้ จิ ัยต้งั สมมติฐานในการวิจัยเปน็ แบบมีทศิ ทาง (Directional Hypothesis) เช่น ผวู้ จิ ัยตงั้ สมมตฐิ านการวิจัยไว้ว่า ประชาชนท่ีเป็น เพศหญิงมสี ว่ นร่วมทางการเมืองมากกว่าเพศชาย สมมตฐิ านทางสถิตทิ จี่ ะทดสอบจะต้ังวา่ H0 : ������ญ = ������ช H1 : ������ญ > ������ช 8.2.2 การทดสอบสมมติฐานแบบสองทาง (Two Tailed Test) เป็นการทดสอบ ทกี่ าหนดเขตปฏเิ สธ H0 (Reject H0) ไว้ทปี่ ลายโค้งทงั้ สองขา้ งของโคง้ ปกติ โดยแบ่งเขตปฏเิ สธ H0 ไว้ปลายละสว่ นละเท่า ๆ กนั คือแปลงคร่ึงค่าระดับนัยสาคัญ เช่น ต้ังระดบั นยั สาคัญไว้ที่ .05 เขตปฏเิ สธ H0 แตล่ ะปลาย = .025 เป็นต้น การทดสอบสมมติฐานแบบสองทางจะใช้เม่ือผูว้ ิจยั ตั้งสมมติฐานการวิจยั ไว้เปน็ แบบไม่มที ศิ ทาง (Non-Directional Hypothesis) เช่น ผูว้ ิจยั ต้ังสมมตฐิ านการวิจยั ไวว้ า่ ประชาชนทเี่ ปน็ เพศหญงิ มสี ่วนรว่ มทางการเมอื งไม่แตกต่างจากเพศชาย สมมติฐานทางสถิตทิ ีจ่ ะ ทดสอบจะตง้ั ว่า H0 : ������ญ = ������ช H1 : ������ญ ≠ ������ช จากการแบ่งประเภทของการทดสอบสมมตฐิ านสรุปได้วา่ การทดสอบสมมติฐานแบ่งได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ การทดสอบสมมตฐิ านแบบทางเดียว จะกระทาเมื่อผู้วิจยั ต้ังสมมตฐิ านการวจิ ัยไวเ้ ปน็ แบบมที ศิ ทาง ไม่ว่าจะเปน็ การเปรียบเทียบหรอื หาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งตวั แปร ส่วนการทดสอบ
182 สมมติฐานแบบสองทาง จะกระทาเม่ือผูว้ จิ ัยตั้งสมมติฐานการวจิ ัยไวเ้ ปน็ แบบไม่มีทิศทาง ไม่วา่ จะเป็น การเปรยี บเทยี บหรือหาความสมั พันธ์ระหวา่ งตัวแปร 8.3 ความคลาดเคลอ่ื นในการตดั สินใจ การทดสอบสมมติฐานทางสถิตมิ โี อกาสเกิดความคลาดเคล่ือนได้ เพราะสมมติฐานทางสถิติ นนั้ ประกอบดว้ ยสมมตฐิ าน 2 ชนดิ คอื สมมติฐานเป็นกลาง (H0) และสมมติฐานทางเลอื ก (H1) ในการทดสอบสมมติฐานจะเร่ิมจากการทดสอบทส่ี มมติฐานเป็นกลาง (H0) ก่อนวา่ จะยอมรับ (Accept) หรือจะปฏิเสธ (Reject) การตัดสนิ ใจทจ่ี ะยอมรบั หรือปฏเิ สธสมมติฐานกลาง (H0) มโี อกาสเกดิ ความคลาดเคล่ือนในการตัดสินใจ (Decision errors) ได้ 2 ลักษณะ คอื (พิชิต ฤทธิ์จรูญ. 2551 : 294 - 295) ลักษณะแรก เป็นความคลาดเคล่ือนแบบท่ีหน่ึง (Type I error) เปน็ ความคลาดเคลื่อน ที่ผูว้ ิจัยปฏเิ สธสมมติฐานกลาง (Reject H0) โดยทส่ี มมติฐานน้นั เปน็ จรงิ ความน่าจะเป็นท่ีเกิด ความคลาดเคล่ือนแบบที่หนึง่ น้จี ะแทนดว้ ย α (อา่ นว่า แอลฟา) ซึ่งก็คือระดับนยั สาคัญ (Level of Significance) ท่ีกาหนดไว้ในการทดสอบสมมติฐานนนั่ เอง ความคลาดเคลื่อนแบบท่ีหนึ่งจึงอาจเรยี ก ไดอ้ ีกอย่างว่า α error ซง่ึ ทาใหก้ ารตัดสนิ ใจในการสรปุ ผลการวจิ ยั ผดิ พลาดมาก เพราะเป็นการ สรปุ ผลทีป่ ฏเิ สธความจรงิ ซง่ึ นักวิจยั ต้องระวังไม่ให้เกดิ ขนึ้ โดยกาหนด α ให้ต่าที่สุดเทา่ ท่ีจะต่าได้ ส่วนลกั ษณะทีส่ อง เป็นความคลาดเคลื่อนแบบทสี่ อง (Type II error) เปน็ ความคลาดเคล่อื น ทผ่ี ูว้ จิ ัยยอมรับสมมตฐิ านเปน็ กลาง (Accept H0 ) โดยสมมตฐิ านน้นั เปน็ เทจ็ ความน่าจะเปน็ ทีจ่ ะ เกิดความคลาดเคล่ือนแบบท่ีสองนจี้ ะแทนดว้ ย β (อา่ นวา่ เบตา) ความคลาดเคลือ่ นแบบท่สี องน้ี จงึ เรยี กชอ่ื ได้อีกอยา่ งว่า β error ในการวจิ ัยถือว่า ในการตัดสินใจท่เี กิดความคลาดเคลือ่ น แบบท่ีสองน้ีมคี วามรุนแรงนอ้ ยกวา่ ความคลาดเคลื่อนแบบท่ีหนง่ึ สาหรับการคานวณค่าโอกาสความคลาดเคลื่อนแบบท่หี นงึ่ (α) สามารถทาไดส้ ะดวกกวา่ การคานวณคา่ โอกาสความคลาดเคลื่อนแบบทีส่ อง (β) จึงนิยมคานวณคา่ (α) มากกว่า แต่ผู้วิจัย จะตอ้ งระลึกอย่เู สมอวา่ การกาหนดความคลาดเคล่ือนแบบท่หี น่งึ ตากว่ามาก ๆ ย่อมจะทาใหเ้ กิด ความคลาดเคล่ือนแบบท่ีสองมากขึ้นเชน่ กัน สถานการณ์ท่ีเป็นไปได้ในการตัดสินใจถูกต้องท้ัง 2 กรณี เขียนในตารางไดด้ ังนี้ (วาโร เพง็ สวสั ดิ์. 2549 : 323) ตาราง 8.1 โอกาสการเกิดความคลาดเคล่ือนและการตดั สินใจท่ีถกู ต้อง การตดั สินใจ สถานการณ์ที่ถูกต้องของ H0 หลงั การทดสอบ H0 เปน็ จรงิ H0 เป็นเทจ็ ยอมรบั H0 1) ตดั สินใจถูกต้อง (1 - α) 3) ความคลาดเคล่อื นแบบท่ีสอง ปฏิเสธ H0 (β) 2) ความคลาดเคลือ่ นแบบที่หน่ึง (α) 4) ตัดสินใจถูกต้อง (1- β) จากตาราง 8.1 พบวา่ การตดั สินใจในการทดสอบสมมติฐานมี 4 ลักษณะ คือ 1) เปน็ การยอมรบั สมมติฐานท่ีเป็นกลาง (H0) เม่อื สมมติฐานน้ันเปน็ จริง ซงึ่ ถอื ว่า เปน็ การตัดสนิ ใจที่ถกู ต้อง (1 - α ) 2) เป็นการปฏเิ สธสมมติฐานทเ่ี ป็นกลาง (H0) เมือ่ สมมติฐานน้นั เป็นจริง ซง่ึ ถอื ว่า
183 เป็นความผดิ พลาดแบบที่หนึ่ง แทนดว้ ยสัญลกั ษณ์ (α) 3) เปน็ การยอมรบั สมมตฐิ านที่เป็นกลาง (H0) เมอ่ื สมมติฐานนัน้ เป็นเท็จ ซึ่งถอื ว่า เปน็ ความผิดพลาดแบบที่สอง แทนดว้ ยสัญลกั ษณ์ (β) 4) เปน็ การปฏิเสธสมมติฐานทเี่ ป็นกลาง (H0) เม่ือสมมติฐานนั้นเป็นเท็จ ซึ่งถือวา่ เป็นการตัดสินใจท่ีถกู ต้อง (1- β ) สาหรบั การทดสอบสมมติฐานมโี อกาสท่จี ะเกดิ ความคลาดเคลอ่ื นในการตัดสนิ ใจท้ัง 2 กรณนี ัน้ ขน้ึ อยกู่ บั สงิ่ ตอ่ ไปน้ี (กาสัก เต๊ะขันหมาก. 2553 : 169) 8.3.1 ระดบั นัยสาคญั (Level of Significance) ถา้ ผู้วิจยั ตง้ั ระดบั นัยสาคัญไว้ มคี า่ มาก เชน่ ตั้งไว้ท่รี ะดบั .10 หมายความวา่ ยอมเสย่ี งใหค้ วามคลาดเคล่ือนแบบท่หี น่ึงเกดิ ได้ 10 คร้ัง ใน 100 ครั้ง แต่ถา้ ตง้ั ระดับยอมเส่ียงให้ความคลาดเคล่อื นแบบทห่ี นง่ึ เกิดไดเ้ พียง 1 ครงั้ ใน 100 คร้ัง และเมอื่ ลดโอกาสของความคลาดเคล่ือนแบบทห่ี น่ึงได้มากเพยี งใด โอกาสท่ีจะ ยอมรบั H0 เปน็ จรงิ ก็จะมีมากขนึ้ ดังน้ันในการวจิ ัยผู้วจิ ัยจึงควรทีจ่ ะตง้ั ระดบั นยั สาคัญไว้ที่คา่ ต่า ๆ เพอ่ื ท่ีว่าความคลาดเคลื่อนแบบที่หนง่ึ จะได้มโี อกาสเกิดไดน้ ้อยทีส่ ดุ 8.3.2 ขนาดของกลุม่ ตวั อยา่ ง ถ้าขนาดของกลุ่มตวั อยา่ งมาก ในการทดสอบทางสถติ ิ และใช้เทคนิคการสุ่มท่ถี ูกตอ้ ง ผลที่ศึกษาไดก้ ็จะมีความถูกตอ้ งมากหรือกล่าวได้วา่ มีความเช่อื ม่ันสงู นน่ั คือ ความคลาดเคลื่อนกจ็ ะลดน้อยลงดว้ ย 8.3.3 ลักษณะความแปรปรวนของประชากร ถา้ ประชากรมคี วามแปรปรวนมาก กลมุ่ ตวั อย่างท่สี ุ่มมากจ็ ะมีความแปรปรวนมากด้วย ดงั นัน้ โอกาสที่จะเกิดความคลาดเคล่ือนกจ็ ะมี มากขึน้ ด้วย 8.3.4 การเลือกใช้การทดสอบแบบทางเดียวหรือสองทาง ถา้ ใชก้ ารทดสอบแบบ ทางเดียว (One Tailed Test) ค่าวกิ ฤติ (Critical Value) ท่ีจะปฏิเสธสมมติฐาน H0 จะมคี ่า นอ้ ยกว่าแบบสองทาง (Two Tailed Test) เชน่ ถา้ กาหนดระดับนยั สาคญั = .05 ค่าวิกฤของ การแจกแจงแบบทางเดียว = 1.645 แต่แบบสองทางมีค่า = 1.96 เป็นต้น ถา้ คา่ วกิ ฤติต่า โอกาสทจ่ี ะยอมรับ H0 เม่อื H0 เปน็ จริงกจ็ ะมากขน้ึ ความคลาดเคลื่อนแบบทีห่ น่งึ กจ็ ะน้อยลง 8.4 ระดับนัยสาคัญทางสถิติ ระดับนัยสาคญั ทางสถติ ิ (Level of Significance) หมายถงึ ความน่าจะเป็นในการ ปฏิเสธสมมตฐิ านท่ีเป็นกลาง H0 ที่เป็นจริง หรอื ความน่าจะเป็นในการเกดิ ความคลาดเคลอ่ื น แบบที่ 1 เขยี นแทนด้วยสัญลักษณ์ α (วลั ลภ รฐั ฉตั รานนท์. 2554 : 140) ทั้งน้เี ปน็ ระดบั ความเชอ่ื มนั่ ในการสรุปตามผลการทดสอบสมมติฐาน หรือเปน็ การแสดงว่าข้อสรปุ ท่ีได้จากการวจิ ัย นนั้ เช่อื ถือได้เพียงใดนนั่ เอง ในการวจิ ยั ทางสังคมศาสตร์ ความน่าจะเปน็ หรือโอกาสท่ีจะใหไ้ ดผ้ ลถูกต้องรอ้ ยละ 100 น้นั ย่อมเป็นไปไดย้ าก จึงเปน็ ความจาเป็นที่ผูว้ จิ ัยจะต้องกาหนดไว้ลว่ งหนา้ วา่ ในเร่อื งที่วจิ ัยนัน้ จะยอมใหเ้ กิดความคลาดเคล่ือนได้เท่าใด โอกาสของการเกิดความคลาดเคล่ือนน้ีก็คือระดับนัยสาคัญ ของการทดสอบ (Level of Significance) แทนด้วยสัญลักษณ์ α ถา้ กาหนดว่า α = .05 หมายความว่า ในการวิจยั น้นั ผลการวิจยั ยอมเส่ยี งใหเ้ กิดความคลาดเคล่ือนได้ 5 ครง้ั ใน 100 คร้งั
184 และเป็นความคลาดเคลื่อนที่เกดิ ขน้ึ โดยบงั เอิญเท่าน้นั ในการวจิ ยั ทางสังคมศาสตร์มักกาหนดคา่ ������ ไว้ทีร่ ะดับ .05 และ .01 ระดบั นยั สาคญั อาจมองในเรื่องของความเชื่อม่นั (Level of Confidence) กไ็ ด้ เช่น ที่ระดับ α = .01 หมายความในเร่ืองของความเชื่อม่ันวา่ ผลวจิ ัยทไ่ี ดน้ น้ั มคี วามเชื่อม่ันได้ร้อยละ 99 หมายความวา่ ถา้ ทาการวจิ ยั 100 คร้งั จะไดผ้ ลตรงกนั อยู่ 99 คร้ัง จะมีเพยี ง 1 คร้ังท่ีอาจจะ ไดผ้ ลคลาดเคลื่อนไป 8.5 ขั้นตอนของการทดสอบสมมติฐาน การทดสอบสมมติฐานควรดาเนนิ การตามลาดับขน้ั ตอนดังนี้ (กาสัก เต๊ะขนั หมาก. 2553 : 170) 8.5.1 ตั้งสมมตฐิ านทางสถิติ ขนั้ น้เี ปน็ การแปลงสมมตฐิ านทางการวจิ ยั ให้เปน็ สมมตฐิ านทางสถิติ ซ่ึงมที ั้งสมมติฐานเปน็ กลาง (H0) และสมมตฐิ านทางเลือก (H1) 8.5.2 กาหนดระดบั นัยสาคัญ การวจิ ัยทางสงั คมศาสตร์นยิ มกาหนดระดับนัยสาคญั α ไว้ที่ระดับ .05 หรือ .01 8.5.3 เลอื กเทคนิคทางสถติ ิที่จะใชใ้ นการทดสอบ โดยพิจารณาให้สอดคล้องกบั ขอ้ ตกลงเบื้องต้นของคา่ สถิตินนั้ ๆ และลักษณะขอ้ มูลที่ศึกษา 8.5.4 ระบเุ ขตปฏเิ สธ H0 ทเ่ี ป็นขอบเขตในการปฏเิ สธสมมตฐิ านเปน็ กลาง โดยไปอ่าน ค่าวกิ ฤติ (Critical Value) จากตารางการแจกแจงของค่าสถติ ิแบบใดแบบหนงึ่ แลว้ แต่กรณี 8.5.5 คานวณคา่ สถิติ ข้นั นี้เปน็ การคานวณคา่ สถติ ิโดยคานึงให้สอดคล้องกับข้อตกลง เบ้ืองต้นของเทคนิคทางสถิตินั้น ๆ 8.5.6 การตดั สินใจลงสรุปผล เปน็ การสรปุ ผลการคานวณคา่ สถิติที่ได้จากกลุม่ ตวั อย่าง เพื่ออา้ งองิ (Infer) ไปสปู่ ระชากรทศ่ี กึ ษาโดยมหี ลกั ในการตัดสินใจวา่ “ถ้าค่าสถติ ิท่ีคานวณได้มีค่า มากกว่าค่าวิกฤติ” กจ็ ะสรปุ โดยการปฏเิ สธ H0 และยอมรบั H1 “ในทางตรงขา้ ม ถา้ สถิติ ทีค่ านวณไดม้ ีค่านอ้ ยกวา่ คา่ วิกฤติ” ก็สรุปโดยการยอมรบั H0 และปฏเิ สธ H1 สรุปไดว้ า่ ในการทดสอบสมมติฐานน้ัน ผูว้ ิจัยจะตอ้ งดาเนนิ การทดสอบสมมติฐาน ตามลาดับข้ันตอนคือ กาหนดสมมตฐิ านทีต่ ้องการทดสอบ กาหนดระดับนัยสาคัญ กาหนดสตู ร สถิติทดสอบ กาหนดขอบเขตวกิ ฤติ คานวณค่าสถิติ และตัดสนิ ใจและสรปุ ผล สาหรบั ข้อสงั เกต ในการทดสอบสมมติฐานของผวู้ จิ ยั มกั จะมีความประสงคท์ ี่จะใหม้ ีการปฏิเสธสมมตฐิ าน H0 เพอ่ื ไปยอมรบั สมมตฐิ าน H1 ซงึ่ แสดงวา่ ผลการทดสอบนั้นเปน็ ไปตามสมมติฐานการวจิ ัยท่ตี ้งั ไว้ 8.6 สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการทดสอบสมมติฐาน สถิติอ้างองิ (Inferential Statistics) เปน็ เทคนคิ ท่ศี ึกษาข้อมลู จากกล่มุ ตวั อย่าง และนาผล ทีไ่ ด้ไปประมาณคา่ หรืออ้างอิงสปู่ ระชากรโดยอาศัยทฤษฎคี วามน่าจะเป็น (Probability Theory) เป็นพืน้ ฐานในการอ้างองิ สถิติแบบนี้จะต้องใช้กลุ่มตัวอย่างทเี่ ป็นตัวแทนที่ดขี องประชากร ผลสรุป
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205