บทที่ ๑ เหตกุ ารสาคัญความนา ความเป็นมาและความสาคัญของสิกขาบท พรรษาที่ ๑๔ (ปีจอ)ณพระเชตวันมหาวหิ าร นครสาวตั ถี ในพรรษานพ้ี ระพุทธเจา้ ทรงประทับทพ่ี ระเชตวันมหาวิหารเป็นพรรษาแรก มหาวิหารแห่งนี้อนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้เป็นมหาอุบาสกคนสาคัญสร้างถวาย เป็นมหาวิหารที่ใหญ่โตยังความสะดวกและความสงบได้ยิ่งกว่าวิหารใดในชมพูทวีป พระพุทธเจ้าทรงประทับพรรษาอยู่ ณ มหาวิหารแห่งนี้ถึง ๑๙ ฤดูฝน พระธรรมส่วนใหญ่แสดงที่มหาวิหารแหง่ น้ี พรรษาที่ ๒๑ - พรรษาท่ี ๔๔ ณ พระเชตวนั และบพุ พาราม นครสาวตั ถี นับจากพรรษาที่ ๒๑ ถึงพรรษาที่ ๔๔ พระพุทธเจ้าทรงประทับจาพรรษา ณพระนครสาวัตถี เป็นระยะเวลานานที่สุด พระบรมศาสดาทรงประทับจาพรรษา ณพระเชตวันมหาวิหาร ๑๙ ฤดูฝน (ในพรรษาที่ ๑๔ ทรงประทับจาพรรษาที่พระเชตวันมาแล้ว ๑ พรรษา) อีก ๖ ฤดูฝนเปลี่ยนไปประทับ ณ วิหารบุพพาราม ที่นางวิสาขา มิคารมารดามหาอุบาสิกาสาคัญสร้างถวายอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับมหาเชตวันโดยประทับสลับไปมา แต่มีคาอธิบายอีกนัยหนึ่งว่า เวลากลางวันประทับ ณ วิหารแห่งหนึ่งและกลางคืนเสด็จไปแสดงธรรม ณ วิหารอีกแห่งหนึ่งเป็นสถานที่ประทับอันนับเนื่องด้วยชีวิตการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้าตลอด ๒๔ ฤดฝู น
บทท่ี ๒ ปาราชกิ สกิ ขาบทความนา ประเภทของปาราชิกสิกขาบทและการบัญญัติปาราชิกสิกขาบท๖ ๒.๒ พระเถระเหล่านี้ เป็นคนนามา คือ พระอุบาลีพระทาสกะ พระโสณถะ พระสิคควะ รวมเปน็ หา้ ท้ังพระโมคคัลลบี ุตร นาพระวนิ ยั มาในทวีปชื่อว่าชมพู อันมีสิริ แต่นั้น พระเถระผู้ประเสรฐิ มปี ญั ญามากเหล่านี้ คือ พระมหินทะ ๑ พระอิฏฏิยะ ๑ พระอุตติยะ๑พระสัมพละ ๑ พระเถระชื่อภัททะผู้เป็นบัณฑิต ๑ มาในเกาะสิงหฬนี้ แต่ชมพูทวีป พวกทา่ นสอน พระวนิ ัยปิฎกในเกาะตามพปณั ณิ สอนนิกาย ๕ และปกรณ์ ๗แล้วภายหลังพระอริฏฐะผู้มีปัญญา พระติสสทัตตะผู้ฉลาด พระกาฬสุมนะผู้องอาจพระเถระมีชื่อว่าทีฆะ พระทีฆสุมนะผู้บัณฑิตต่อมาอีก พระกาฬสุมนะ พระนาคเถระพระพุทธรักขิต พระติสสเถระผู้มีปัญญาพระเทวเถระผู้ฉลาด ต่อมาอีก พระสุมนะผูม้ ีปัญญาและเชีย่ วชาญในพระวินัย พระจูฬนาค ผูพ้ หูสูต ดุจช้างซับมัน พระเถระชื่อธัมมปาลิตะ อันสาธุชนบูชาแล้วในโรหนชนบท ศิษย์ของพระธรรมปาลิตะนั้นมีปัญญามากชื่อพระเขมะ ทรงจาพระไตรปิฎกรุ่งเรืองอยู่ในเกาะ ด้วยปัญญาดุจพระจันทร์ พระอปุ ตสิ สะผู้มีปญั ญา พระปสุ สะเทวะผู้มหากถึก ต่อมาอีก พระสุมนะผู้มีปัญญา พระเถระชอื่ บุปผะ ผพู้ หูสตู พระมหาสวี ะผู้มหากถึก ฉลาดในพระปิฎกทั้งปวงต่อมาอกี พระอบุ าลี ผู้มีปัญญา เชี่ยวชาญในพระวินัย พระมหานาค ผู้มีปัญญามากฉลาดในวงศ์พระสทั ธรรม ตอ่ มาอีก พระอภยะ ผู้มีปญั ญา ฉลาดในพระปิฎกทั้งปวงพระตสิ ส เถระ ผู้มีปัญญาเชี่ยวชาญในพระวินัย ศิษย์ของพระติสสเถระนั้น มีปัญญา
มาก ชื่อปุสสะ เป็นพหูสูต ตามรักษาพระศาสนา อยู่ในชมพูทวีป พระจูฬาภยะผู้มีปัญญาและเชี่ยวชาญในพระวินัย พระติสสเถระ ผู้มีปัญญา ฉลาดในวงศ์พระสัทธรรม พระจูฬาเทวะ ผู้มปี ัญญาและเช่ยี วชาญในพระวินัย และพระสิวเถระ ผู้มปี ัญญา ฉลาดในพระวินัยทัง้ มวล พระเถระผปู้ ระเสริฐมีปญั ญามากเหล่านี้ รู้พระวินัยฉลาดในมรรคา ได้ประกาศพระวินยั ปิฎกไว้ในเกาะตามพปณั ณ.ิ ๑. ปาราชกิ ๔ สกิ ขาบท อสาธารณปาราชกิ ๔ สกิ ขาบท๑ อพุ ภชาณมุ ัณฑลกิ าสกิ ขาบท ๑. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี อวสสฺ ตุ า อวสสฺ ตุ สสฺ ปรุ สิ ปคุ คฺ ลสสฺ อธกฺขก อุพภฺชาณมุ ณฑฺ ล อามสน วา ปรามสน วา คหณ วา ฉปุ น วา ปฏปิ ฬี น วา สาทเิ ยยยฺ อยมปฺ ิ ปาราชกิ า โหติ อสวาสา อพุ ภฺ ชาณมุ ณฑฺ ลกิ า๒ กภ็ กิ ษณุ ีใดกาหนัดยนิ ดกี ารจับตอ้ ง การลูบคลา การจับ การต้อง หรือการบบี ของชายผ้กู าหนดั บริเวณใตร้ ากขวัญลงมาเหนือเข่าขึน้ ไป แม้ภกิ ษณุ ี น้เี ปน็ ปาราชิกที่ชอ่ื ว่าอพุ ภชาณุมัณฑลิกา หาสังวาสมิได้๓ ๑) สถานทบี่ ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวัตถี๔ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษุณีสนุ ทรีนนั ทามีความกาหนัดยนิ ดกี ารจบั ตอ้ งถูกต้องกายกบั ชายผกู้ าหนดั ทีบ่ ริเวณใต้รากขวัญลงมาเหนือเข่าขน้ึ ไป ๓) มลู เหตแุ หง่ การบัญญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ มีหญิงสาว ๔ คนพ่ีน้อง บวชอยใู่ นสานกั ภกิ ษุณีคือนันทา นันทวดี สุนทรีนันทา ถุลลนันทา ในจานวน ๔ รูปนี้ ภิกษุณีสุนทรีนันทาบวชตง้ั แตว่ ยั สาว มรี ูปงามน่าดู นา่ ชม เปน็ บณั ฑิต เฉลียวฉลาด มีปัญญา ขยัน ไม่เกียจคร้าน ๑ วิ.ภกิ ขุน.ี (ไทย) ๓/บทนา/หนา้ [๙] ๒ กงขฺ า.อ. ๔๙ ๓ วิ.ภิกขนุ ี. (ไทย) ๓/๖๕๗/๕,ว.ิ อ. ๒/๖๕๗-๘/๔๖๓ ๔ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๐๒/๒๐๓
ประกอบด้วยปัญญาไตร่ตรองในงานนั้น ๆ สามารถกระทา สามารถจัดแจงได้ ภิกษุณีสงฆ์จึงแต่งต้ังภิกษุณีสุนทรีนันทาให้เป็นผู้ดูแลการก่อสร้างของนายสาฬหะหลานของนางวิสาขามิคารมาตา ภิกษุณีสุนทรีนันทาน้ันไปบ้านนายสาฬหะเนือง ๆ บอกสิ่งต้องการในการก่อสร้าง ฝ่าย นายสาฬหะก็หมั่นไปสานักภิกษุณีอยู่เนือง ๆ เพ่ือให้ รู้งานที่ทาแล้วและยงั ไมไ่ ดท้ า คนท้งั สองนน้ั มีจติ รกั ใคร่ตอ่ กันเพราะพบเห็นกันเนืองๆ นายสาฬหะเม่ือไม่ได้โอกาสท่ีจะทามิดีมริ า้ ยภิกษุณสี นุ ทรีนันทา จงึ ได้จัดเตรยี มภตั ตาหารสาหรบั ถวายภกิ ษุณีสงฆ์เพ่ือหาทางทีจ่ ะประทุษรา้ ยนางนน้ั เมอ่ื จะปอู าสนะในโรงฉัน ปอู าสนะไว้ ๒ ส่วนเพื่อใหภ้ ิกษุณีเขา้ ใจผดิ ปูอาสนะไว้สาหรบั ภิกษุณสี นุ ทรีนันทา ณ สว่ นขา้ งหนง่ึ ในทม่ี ิดชดิ มที ี่กาบัง เพ่ือใหภ้ กิ ษุณผี ู้เปน็ เถระ เขา้ ใจวา่ “ภกิ ษณุ ีสุนทรนี ันทานั่งอยู่กับพวกภกิ ษณุ ีนวกะ” แมภ้ ิกษณุ ีนวกะก็จะเข้าใจไปว่า “ภกิ ษุณีสุนทรีนันทานง่ั อยู่กบั พวกภกิ ษุณผี เู้ ปน็ เถระ” ครน้ั แล้วนายสาฬหะจงึ ให้คนไปเรยี นภิกษุณีสงฆ์ว่า ไดเ้ วลาแลว้ ภัตตาหารเสร็จแล้ว” ภกิ ษุณีสุนทรนี นั ทาสังเกตรูว้ ่า เปน็ อบุ าย จึงส่ังภิกษุณอี นั เตวาสนิ ีไปนาบิณฑบาตมาให้ ถ้ามผี ถู้ าม ก็จงตอบวา่ เป็นไข้ เวลานั้น นายสาฬหะยนื คอยทซี่ มุ้ ประตูดา้ นนอก ถามถึงภกิ ษุณีสุนทรนี ันทาทราบจาก ภิกษณุ ีอนั เตวาสนิ ีของภิกษณุ ีสนุ ทรีนนั ทาวา่ ภิกษุณีสนุ ทรีนันทาเป็นไข้ และนาบิณฑบาตไปถวาย ลาดับนัน้ นายสาฬหะคิดว่า “การทเี่ ราเตรยี มอาหารถวายภิกษุณสี งฆ์ ก็เพราะแม่เจา้ สนุ ทรีนันทา” จงึ ส่งั ให้เลย้ี งดภู ิกษุณสี งฆแ์ ลว้ เขา้ ไปทางสานักภิกษณุ ี ภิกษุณีสนุ ทรนี นั ทายนื คอยนายสาฬหะอยู่นอกซุ้มประตวู ดั พอเห็นเขาเดินมาแต่ไกลจงึ หลบเข้าท่ีอยูน่ อนคลุมโปงอยู่บนเตยี ง นายสาฬหะเขา้ ไปหาภิกษณุ สี ุนทรีนนั ทาถึงที่อยู่ ครนั้ ถึงแล้วถามว่า “ท่านไม่สบายหรอื ทาไมจึงนอนอยู่ ขอรบั ” ภกิ ษุณีสนุ ทรีนนั ทากล่าววา่ “นาย สตรีผ้ปู รารถนาคนท่ไี มป่ รารถนาตอบ ก็มีอาการเช่นน้แี หละ” เขากลา่ วว่า “แมเ่ จ้า ทาไม กระผมจะไมป่ รารถนาทา่ น แต่หาโอกาสท่ีจะ ทามิดมี ริ ้ายท่านไม่ได้” มคี วามกาหนัด ถกู ต้องกายภิกษุณีสนุ ทรนี นั ทาซึ่งมีความกาหนัด
คราวนั้น ภกิ ษณุ ีชรามีเท้าเจ็บรปู หน่งึ นอนอยู่ไมไ่ กลจากทขี่ องภกิ ษณุ ีสนุ ทรนี ันทานั้น เหน็ นายสาฬหะผูก้ าหนัดกาลังถูกต้องกายกบั ภิกษุณสี ุนทรนี นั ทาผู้กาหนดั จงึ ตาหนิ ประณาม โพนทะนา ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นขอ้ บญั ญัติเฉพาะภิกษุณี วชั ชปั ปฏจิ ฉาทกิ าสกิ ขาบท ๒. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี ชาน ปาราชกิ ธมมฺ อชฌฺ าปนนฺ ภิกขฺ นุ ึ เนว อตตฺ นา ปฏโิ จเทยยฺ , น คณสสฺ อาโรเจยยฺ , ยทา จ สา ฐฃติ า วา อสสฺ จตุ า วา นาสติ า วา อวสสฺ ฏา วา,สา ปจฉฺ า เอว วเทยยฺ “ปพุ เฺ พวาห อยเฺ ย อญญฺ าสึ เอต ภกิ ฺขนุ ึ ‘เอวรปู า จ เอวรปู า จ สาภคนิ ี’ต,ิ โน จ โข อตตฺ นา ปฏโิ จเทสสฺ , น คณสสฺ อาโรเจสสฺ นฺ”ติ อยมปฺ ิ ปาราชกิ า โหติอสวาสา วชชฺ ปฏจิ ฉฺ าทกิ า๕ กภ็ ิกษุณีใดรอู้ ยู่ไม่ทักท้วงภกิ ษุณผี ตู้ อ้ งธรรมคือปาราชิกดว้ ยตนเอง ไม่บอกแก่คณะ ก็ในกาลใดภกิ ษุณนี ้ันยงั ครองเพศอยู่กด็ ี เคลื่อนไปกด็ ี ถูกนาสนะก็ดี ไปเขา้ รีตก็ดี ภายหลังภกิ ษุณีผู้รู้เรอ่ื งน้นั พึงกล่าวอย่างน้วี า่ “แม่เจา้ เมือ่ ก่อนดฉิ ันรจู้ ักภกิ ษุณีนด้ี ีว่านางมีความประพฤติอยา่ งนๆ้ี แตด่ ฉิ ันไม่ไดโ้ จทด้วยตนเอง ไม่ไดบ้ อกแกค่ ณะ แม้ภิกษุณีน้ีเปน็ ปาราชกิ ที่ชอื่ วา่ วัชชปฏจิ ฉาทิกา หาสงั วาสมิได้๖ ๑) สถานทบี่ ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถี๗ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษณุ ีถุลลนันทา ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษณุ ถี ุลลนนั ทาร้อู ยู่ ไม่ทกั ทว้ งภกิ ษณุ ผี ู้ต้องธรรมคือปาราชกิ ดว้ ยตนเอง ไม่บอกแกค่ ณะ โดยรวู้ ่าภกิ ษุณีสุนทรีนันทามีครรภ์กับ นายสาฬหะหลานของนางวิสาขามิคารมาตา แตป่ กปิดเร่ืองไว้ในขณะทีค่ รรภ์ยงั ออ่ น ๆ เมื่อครรภแ์ กจ่ ึงสกึ ไปคลอดบุตรภกิ ษณุ ีทั้งหลายได้กลา่ วกบั ภิกษณุ ีถลุ ลนันทาวา่ แม่เจา้ สุนทรนี นั ทาสึกไปไมน่ านก็คลอดบตุ ร เธอคงจะมีครรภ์ขณะเปน็ ภิกษณุ กี ระมัง ภกิ ษุณีถลุ ลนันทาจึงยอมรบั ภกิ ษุณีท้ังหลายกล่าวว่า เหตใุ ดจึงไม่โจทเอง ไม่บอกแกค่ ณะเล่า ๕ กงฺขา.อ. ๔๙ ๖ วิ.ภกิ ขุน.ี (ไทย) ๓/๖๖๕/๑๑ ๗ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๐๓/๒๐๖
ภิกษณุ ถี ลุ ลนันทาตอบวา่ แม่เจ้า ความเสียหาย ความเสอื่ มเกยี รติ ความอัปยศ เส่ือมลาภของภกิ ษุณสี ุนทรนี ันทาน้ี ก็คือความเสยี หาย ความเส่อื มเกียรติ ความอัปยศ ความเส่ือมลาภของดิฉันน่ันแหละ ดิฉนั จะบอกความเสยี หายของตน ความเส่อื มเกียรติของตน ความอัปยศของตน ความเส่ือมลาภของตนแกค่ นอนื่ ได้อยา่ งไร บรรดาภิกษณุ ผี มู้ ักนอ้ ย ฯลฯ พากันตาหนิ ประณาม โพนทะนาการกระทาของนาง ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นขอ้ บัญญัตเิ ฉพาะภกิ ษณุ ี อกุ ขติ ตานวุ ตั ตกิ าสกิ ขาบท ๓. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี สมคเฺ คน สงเฺ ฆน อกุ ฺขติ ตฺ ภิกขฺ ุ ธมเฺ มน วนิ เยน สตถฺ สุ าสเนน อนาทร อปปฺ ฏิการ อกตสหาย ตมนวุ ตเฺ ตยยฺ , สา ภกิ ขฺ นุ ี ภกิ ขฺ นุ หี ิ เอวมสสฺวจนยี า “เอโส โข อยฺเย ภกิ ขฺ ุ สมคเฺ คน สงเฺ ฆน อกุ ขฺ ติ โฺ ต, ธมเฺ มน วนิ เยน สตถฺ สุ าสเนนอนาทโร อปปฺ ฏกิ าโร อกตสหาโย, มายเฺ ย เอต ภกิ ขฺ ุ อนวุ ตตฺ ี”ต,ิ เอวญจฺ สา ภกิ ขฺ นุ ีภกิ ฺขนุ หี ิ วจุ จฺ มานา ตเถว ปคคฺ ณเฺ หยฺย, สา ภกิ ขฺ นุ ี ภกิ ขฺ ุนหี ิ ยาวตตยิ สมนภุ าสติ พพฺ าตสสฺ ปฏนิ สิ สฺ คคฺ าย, ยาวตตยิ เจ สมนภุ าสยิ มานา ต ปฏนิ สิ สฺ ชเฺ ชยยฺ , อจิ เฺ จต กสุ ล, โนเจ ปฏนิ สิ สฺ ชเฺ ชยยฺ , อยมปฺ ิ ปาราชิกา โหติ อสวาสา อกุ ฺขติ ตฺ านวุ ตฺตกิ า.๘ ก็ภิกษุณีใดประพฤติตามภกิ ษุผ้ถู กู สงฆ์พรอ้ มเพรยี งกันลงอุกเขปนียกรรมโดยธรรม โดยวนิ ยั โดยสตั ถศุ าสน์นั้น ผู้ไมเ่ ออ้ื เฟ้อื สงฆย์ ังไม่รับรอง ยงั ไม่ไดท้ าภิกษผุ ู้มีสงั วาสเสมอกนั ให้เปน็ สหาย ภิกษุณนี ั้น อนั ภกิ ษุณที ั้งหลายพึงวา่ กลา่ วตกั เตือนอย่างนี้ว่า“แม่เจ้า ภกิ ษนุ ั่นถกู สงฆ์พร้อมเพรียงกันลงอุกเขปนยี กรรมโดยธรรม โดยวินยั โดยสัตถุศาสน์ เปน็ ผไู้ ม่เอ้ือเฟ้อื สงฆ์ยังไมร่ ับรอง ยงั ไมไ่ ด้ทาภกิ ษผุ ู้มสี ังวาสเสมอกนั ให้เปน็ สหายแม่เจ้าอย่าประพฤติ ตามภกิ ษนุ ัน่ ภกิ ษณุ นี ัน้ ผู้อนั ภกิ ษุณีทง้ั หลายวา่ กล่าวอยู่อยา่ งน้ี ยังยกยอ่ งอยู่อย่างนน้ั ภิกษุณีนัน้ อนั ภกิ ษุณีทัง้ หลายพงึ สวดสมนภุ าสน์จนครบ ๓ ครัง้เพอ่ื ให้ สละเรอื่ งน้นั ถ้านางกาลังถูกสวดสมนุภาสนก์ ว่าจะครบ ๓ คร้ัง สละเรอ่ื งนน้ั ได้ น่ันเป็นการดี ถา้ นางไมส่ ละ แม้ภิกษุณนี ้กี ็เป็นปาราชิกชื่ออุกขิตตานุวตั ติกา หาสังวาสมิได้๙ ๘ กงขฺ า.อ. ๕๐ ๙ วิ.ภกิ ขนุ ี. (ไทย) ๓/๖๖๙/๑๕
๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถี๑๐ ๒) บคุ คลผูก้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษณุ ีถลุ ลนันทา ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภิกษุณถี ลุ ลนันทาประพฤติตาม๑๑ภกิ ษชุ ่ืออริฏฐะผู้เปน็ บุรุษนายพรานผ้ฆู ่านกแร้ง๑๒ทีส่ งฆพ์ ร้อมเพรยี งกันลงอกุเขปนียกรรม ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ข้อบัญญัติเฉพาะภิกษุณี อัฏฐวตั ถกุ าสกิ ขาบท ๔. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี อวสสฺ ตุ า อวสสฺ ตุ สสฺ ปรุ สิ ปคุ คฺ ลสสฺ หตถฺ คหณ วา สาทิเยยฺย สงฆฺ าฏกิ ณณฺ คหณ วา สาทเิ ยยยฺ สนตฺ ฏิ เฺ ฐฃยยฺ วา สลลฺ เปยยฺ วา สงเฺ กต วา คจเฺ ฉยยฺปรุ สิ สสฺ วา อพภฺ าคมน สาทิเยยยฺ ฉนนฺ วา อนปุ วเิ สยยฺ กาย วา ตทตฺถาย อปุ สหเรยยฺเอตสสฺ อสทธฺ มมฺ สสฺ ปฏเิ สวนตถฺ าย อยมฺปิ ปาราชกิ า โหติ อสวาสา อฏฐฺ ฃวตถฺ กุ า๑๓ กภ็ กิ ษุณีใดกาหนัดพงึ ยนิ ดีการจับมอื ยนิ ดีการทชี่ ายผู้กาหนัดจบั มมุ สังฆาฏิยืนเคียงคู่กนั กับชาย สนทนากนั ไปทีน่ ัดหมาย ยินดีการท่ีชายมาหา เดนิ ตามเข้าไปสู่ที่ลับ หรือน้อมกายเข้าไปเพ่ือคลุกคลีกนั ด้วยกายน้ัน เพื่อจะเสพอสทั ธรรมน้นั กบั ชายผู้กาหนดั แม้ภิกษณุ นี เ้ี ป็นปาราชกิ ช่อื อฏั ฐวตั ถกุ า หาสงั วาสมิได้๑๔ ๑๐ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๐๔/๒๐๗ ๑๑ ประพฤตติ ามพระอริฏฐะหมายถงึ ประพฤติในทานองเดยี วกนั ประพฤติเลยี นแบบ คอื พระอรฏิ ฐะมีทิฏฐิบาปเกิดข้นึ ในใจว่า “ตัวเองรู้ธรรมถึงขนาดที่ว่า ธรรมตามทพ่ี ระผู้ มีพระภาคตรสั วา่ เป็นธรรมทาอนั ตรายกห็ าสามารถทาอนั ตรายไดจ้ รงิ ไม่...” ภิกษณุ ี ถุลลนนั ทาก็มที ฏิ ฐเิ ชน่ น้นั เหมือนกนั (วิ.(แปล) เลม่ ๒/๔๑๗/๕๒๕) คทฺธาธปิ พุ ฺโพ ผมู้ บี รรพบรุ ุษเป็นพรานฆ่านกแร้ง อรรถกถาอธิบายว่า คทเฺ ธ พาธยสึ ตู ิ คทธฺ พาธิโน, คทธฺ พาธิโน ปพุ พฺ ปรุ ิสา อสฺสาติ คทธฺ พาธปิ พุ ฺโพ. ...คชิ ฌฺ ฆาฏกกลุ ปฺปสตู สสฺ พรานฆา่ นกแร้งเปน็ บรรพบรุ ุษของเขา เหตุนั้น เขาจึงชอื่ วา่ เปน็ ผมู้ บี รรพบุรุษเป็นพราน ฆา่ นกแรง้ หมายความวา่ เป็นคนเกิดในตระกลู พรานฆ่านกแร้ง (วิ.อ. ๒/๔๑๗/๔๑๘) ๑๓ กงขฺ า.อ. ๕๐ ๑๔ ว.ิ ภิกขนุ ี. (ไทย) ๓/๖๗๕/๒๑
๑) สถานท่บี ญั ญตสิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวัตถี๑๕ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษณุ ีฉพั พัคคยี ์ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ พวกภิกษุณฉี ัพพัคคยี ก์ าหนดัยินดกี ารจบั มือบ้าง ยนิ ดกี ารทช่ี ายผูก้ าหนดั จบั มมุ สงั ฆาฏิบ้าง ยืนเคยี งคู่กันกบั ชายบ้างสนทนากันบา้ ง ไปท่นี ดั หมายบ้าง ยินดกี ารท่ชี ายมาหาบ้าง เดินตามเข้าไปสทู่ ่ลี ับบา้ งนอ้ มกายเข้าไปเพ่ือคลุกคลีกนั ด้วยกายนนั้ เพื่อจะเสพอสัทธรรม นัน้ กับชายผกู้ าหนดั บา้ งทาวัตถคุ รบท้ัง ๘ ประการ๑๖ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นขอ้ บัญญัตเิ ฉพาะภิกษณุ ี ๖) อนาปัตติวาร ภกิ ษณุ ีต่อไปน้ีไม่ต้องอาบัติ คอื ๑๕ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๐๕/๒๐๗ ๑๖ คาว่า อัฏฐวัตถุกา แปลว่าวัตถุ เหตุหรือกรณี ๘ อย่าง เป็นช่ือเรียกภิกษุณีผู้ต้อง อาบัติปาราชิกสิกขาบทน้ี เมื่อทาครบ ๘ อย่าง คือ ๑. ยินดีการจับมือ ๒. ยินดีการจับ มุมสังฆาฏิ ๓. ยืนเคียงคู่ ๔. สนทนากัน ๕. ไปที่นัดหมาย ๖. ยินดีที่เขามาหา ๗. เดินตามเข้าไปสู่ที่ลับ ๘. น้อมกายเข้าไปเพ่ือจะเสพอสัทธรรมกับชายผู้กาหนัด (วิ.อ. ๒/๖๗๖/๔๖๘)เม่ือภิกษุณีล่วงละเมิดแต่ละวัตถุ ต้องอาบัติเล็กน้อยดังน้ี ๑. ในขณะที่ เดินทางไปที่นดั หมาย ต้องอาบัติทกุ กฏทุก ๆ ย่างก้าว พอก้าวเข้าสู่หัตถบาส(ระยะช่วง แขน)ของชาย ต้องอาบตั ิถุลลจั จัย ๒. ยินดกี ารทช่ี ายมา ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ พอชายก้าว เข้าสู่หัตถบาส ต้องอาบัติถุลลัจจัย ส่วนวัตถุท่ีเหลืออีก ๖ คือ ๑. ยินดีการจับมือ ๒. ยินดีการจับมุมสังฆาฏิ ๓. ยืนเคียงคู่กัน ๔. สนทนากัน ๕. ตามเข้าไปสู่ท่ีลับ ๖. นอ้ มกายเขา้ ไปเพือ่ จะเสพอสทั ธรรม ปรบั อาบตั ิถุลลจั จัยเท่าน้ันสาหรับแต่ละ วัตถุ ภิกษุณีต้องอาบัติถุลลัจจัยเพราะล่วงละเมิดแต่ละวัตถุแล้ว ไม่คิดจะสลัดทิ้ง โดย คิดว่า “เราจะต้อง อาบัติแม้เพราะวัตถุอ่ืนอีก” แม้จะแสดง(ปลง)อาบัติก็ไม่เป็นอัน แสดง อาบัตนิ ั้นยังสะสมอยู่ เม่อื ตอ้ งอาบัติ ถุลลัจจัยเพราะล่วงละเมิดวัตถุอ่ืน ๆ ก็เป็น การสะสมอาบัติเร่ือยไป พอเม่ือล่วงละเมิดครบวัตถุทั้ง ๘ ต้อง อาบัติปาราชิก แต่ถ้า ภิกษุณีน้นั ลว่ งละเมิดวัตถุใดวัตถุหนึ่งแล้ว คิดสลัดท้ิงไปว่า “บัดน้ีเราจักไม่ต้องอาบัติ” แลว้ แสดง(ปลง)อาบัติ อาบัติถุลลัจจัยน้ันย่อมตกไป ไม่สะสมอยู่ แม้จะล่วงละเมิดวัตถุ อน่ื ๆ อกี จนครบท้ัง ๘ ก็ไมต่ อ้ งอาบตั ปิ าราชกิ เพราะเธอทาการสลัดทง้ิ โดยแสดง(ปลง) อาบตั ทิ กุ ครั้งทลี่ ่วงละเมิดวตั ถุแต่ละอย่าง (ว.ิ อ. ๒/๖๗๖/๔๖๘, กงฺขา.อ. ๓๔๕/๓๔๖)
๑. ภกิ ษุณีไมจ่ งใจ ๒. ภิกษุณไี ม่มสี ติ ๓. ภกิ ษณุ ีผไู้ มร่ ู้ ๔. ภกิ ษุณผี ไู้ ม่ยนิ ดี ๕. ภิกษณุ วี กิ ลจรติ ๖. ภกิ ษุณีจิตฟ้งุ ซ่าน ๗. ภิกษุณีกระสบั กระสา่ ยเพราะเวทนา ๘. ภิกษุณีตน้ บญั ญัติ บทท่ี ๓ สงั ฆาทเิ สส ๑๖ สกิ ขาบทคานา สังฆาทิเสส ๑๗ สิกขาบท ๙ สิกขาบท ให้ต้องอาบัติเมื่อแรกทา ๘ สิกขาบทให้ต้องอาบัติเมื่อสวดสมนุภาครบสามจบภิกษุณีล่วงสิกขาบทใดสิกขาบทหน่ึงแล้ว สาหรับภกิ ษุต้องอยูปรวิ าสกรรม ส่วนภกิ ษุณีนั้นต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์สองฝ่าย ภิกษุณีประพฤติมานัต แล้วภิกษุณีสงฆ์มีคณะ ๒๐ อยู่ในสีมาใด พึงเรียกภิกษุณีนั้นเข้าหมู่ในสีมาน้ัน หากภิกษุณีสงฆ์มีคณะ ๒๐ หย่อนแม้รูปหน่ึง พึงเรียกภิกษุณีน้ันเข้าหมู่ ภิกษุณีนน้ั ก็ไม่เปน็ อนั สงฆ์ เรียกเขา้ หมแู่ ลว้ และภิกษณุ ีเหล่านัน้ ควรถูกตาหนิ สังฆาทิเสส๑๗ สาหรับภิกษณุ ไี ม่ต้องอย่ปู ริวาสเหมือนภกิ ษุ สาหรับอาบัติน้ันสงฆ์เทา่ นั้นใหม้ านัต ชกั เข้าหาอาบัติเดิม เรียกเข้าหมู่๑ ภิกษุณีหลายรูปก็ทาไม่ได้ ภิกษุณีรูป ๑๗ สังฆาทิเสสน้ีเป็นช่ือเรียกกองอาบัติ แปลว่า“หมู่อาบัติท่ีต้องการสงฆ์ท้ังในระยะ เบื้องต้นและในระยะที่เหลือ” หมายความว่า ภิกษุณีผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสจะออกจาก อาบตั ิน้นั ได้ตอ้ งอาศัยสงฆใ์ หม้ านตั (ปกั ข มานตั ) ชักเขา้ หาอาบัติเดมิ และอัพภาน(เรียกเข้า
เดียวก็ทาไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า สังฆาทิเสส๑๘ เป็นการเลือกเฉพาะสกิ ขาบทท่บี ญั ญตั ทิ ่ีเมอื งสาวตั ถีเท่านั้น สุกกวสิ ฏั ฐสิ กิ ขาบท ๑. สญฺเจตนกิ า สกุ กฺ วสิ สฺ ฏฐฺ ฃิ อญฺญตรฺ สปุ นิ นตฺ า, สงฆฺ าทเิ สโส.๑๙ ภิกษจุ งใจทาน้าอสจุ ใิ ห้เคลอื่ น เปน็ สังฆาทเิ สส ยกเวน้ ไว้แต่ฝนั ๒๐ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรงุ สาวตั ถี๒๑ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระเสยยสกะ หมู่) ในกรรมทั้งหมดนี้ ขาดสงฆ์เสียแล้ว ก็ทาไม่ได้สาเร็จ ภิกษุณีผู้จะออกจากอาบัติ สงั ฆาทเิ สสน้ัน แม้จะปิดอาบัตไิ วก้ ไ็ ม่ต้องอยู่ปริวาส ประพฤติปักขมานัตในสงฆ์ ๒ ฝ่ายเลย ทเี ดยี ว” (กงฺขา.อ. ๓๕๕, (ว.ิ มหา. ๑/๒๓๗/๒๕๒) สังฆาทิเสสนี้ เป็นช่ือเรียกกองอาบัติ แปลว่า“หมู่อาบัติท่ีต้องการสงฆ์ทั้งในระยะ เบ้ืองต้นและในระยะที่เหลือ” หมายความว่า ภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส จะออกจาก อาบัติน้ันได้ต้องอาศัยสงฆ์ให้ปริวาส ให้มานัต ชักกลับเข้าหาอาบัติเดิมและอัพภาน ใน กรรมท้ังหมดนขี้ าดสงฆเ์ สยี แลว้ กท็ าไมส่ าเร็จ (ว.ิ อ. ๒/๒๓๗/๖) ๑๘ สังฆาทิเสส ๑๗ สิกขาบทของภกิ ษุณีสงฆ์นปี้ รากฏเพยี ง ๑๐ สกิ ขาบท เปน็ อสาธารณ บัญญตั ิ คือภกิ ษสุ งฆไ์ มต่ อ้ งรกั ษา ทีเ่ ป็นสาธารณบัญญตั ิ คอื ภกิ ษสุ งฆ์ต้องรกั ษาด้วย ๗ สกิ ขาบท คือ ๑. สญั จรติ ตสิกขาบท ว่าดว้ ยการชกั สอ่ื ๒. ปฐมทุฏฐโทสะ ข้อท่ี ๑ วา่ ดว้ ยภิกษณุ ขี ดั เคอื งมโี ทสะ ๓. ทตุ ิยทฏุ ฐโทสะ วา่ ด้วยภิกษณุ ีขัดเคอื งมีโทสะขอ้ ท่ี ๒ ๔. สงั ฆเภท วา่ ด้วยการทาสงฆ์ใหแ้ ตกกนั ๕. สงั ฆเภทานุวตั ตกะ ว่าดว้ ยภกิ ษณุ ีผูป้ ระพฤติตามกลา่ วสนบั สนุนภกิ ษุผู้ทาลายสงฆ์ ๖. ทุพพจะ วา่ ดว้ ยภิกษณุ เี ปน็ คนวา่ ยาก ๗. กลุ ทสู กะ ว่าด้วยภิกษณุ ผี ปู้ ระทษุ ร้ายตระกลู (วิ แปล ๑/๒๙๙/๓๔๒,๓๐๑/๓๔๔, ๓๘๕/๔๑๙,๓๙๒/๔๓๒,๔๑๑/๔๔๔- ๔๔๕,๔๑๘/๔๕๐,๔๒๕/๔๕๕,๔๓๖/๔๖๖ - ๔๖๗) ๑๙ กงขฺ า.อ. ๔ ๒๐ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๓๓๖/๒๕๒ ๒๑ วิ.ป. (ไทย) ๘/๘/๑๐
๓) มูลเหตแุ ห่งการบญั ญตั ิสกิ ขาบท ได้แก่ พระเสยยสกะพยายามใช้มอื ทาน้าอสจุ ิใหเ้ คลอ่ื นพระเสยยสกะ ไมย่ ินดปี ระพฤตพิ รหมจรรยเ์ พราะความกระสนั นน้ั เธอจงึ ซูบผอม เศร้าหมอง มผี วิ พรรณคลา้ มีผิวเหลืองขน้ึ ๆ มรี ่างกายสะพรั่งด้วยเอน็ ทา่ นพระอุทายีได้เหน็ทา่ นพระเสยยสกะ ซูบผอม เศรา้ หมอง มผี ิวพรรณคล้ามีผิวเหลืองขน้ึ ๆ มรี า่ งกายสะพรง่ัดว้ ยเอน็ ครัน้ แล้วจึงได้ถามว่า อาวุโส เสยยสกะ เพราะเหตุไรคณุ จงึ ซบู ผอม เศรา้ หมองมีผิวพรรณคลา้ มีผวิ เหลอื งขึ้นๆ มีรา่ งกายสะพร่ังดว้ ยเอน็ คณุ จะไมย่ นิ ดีประพฤติพรหมจรรยก์ ระมังหนอ ทา่ นพระเสยยสกะรับสารภาพ พระอุทายีแนะนาวา่ ดกู รคณุเสยยสกะ ถา้ อย่างน้นั คณุ จงฉนั อาหารให้พอแก่ความต้องการ จาวดั ให้พอแกค่ วามตอ้ งการ สรงน้าให้พอแก่ความต้องการ ครัน้ ฉนั อาหาร จาวัด สรงน้าพอแก่ความต้องการแลว้ เมอ่ื ใดความกระสนั บงั เกดิ แก่คณุ ราคะรบกวนจติ คุณ เมอ่ื นัน้ คุณจงใชม้ อื พยายามปลอ่ ยอสุจิ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๑ พระอนุบญั ญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ข้อบญั ญัติเฉพาะภกิ ษุ กายสงั สัคคสิกขาบท ๒. โย ปน ภกิ ขฺ ุ โอตณิ โฺ ณ วปิ รณิ เตน จติ ฺเตน มาตคุ าเมน สทธฺ ึกายสสคฺค สมาปชเฺ ชยยฺ หตถฺ คคฺ าห วา เวณคิ คฺ าห วา อญฺญตรสสฺ วา อญญฺ ตรสสฺ วาองฺคสสฺ ปรามสน, สงฆฺ าทเิ สโส.๒๒ กภ็ กิ ษใุ ดถูกราคะครอบงาแล้ว มีจติ แปรปรวน ถูกตอ้ งกายกบั มาตุคาม คือจบั มอื จบั ช้องผมหรือลบู คลาอวัยวะสว่ นใดสว่ นหนง่ึ เปน็ สงั ฆาทเิ สส๒๓ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรุงสาวตั ถี๒๔ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระอทุ ายีถูกต้องกายกับมาตคุ าม ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ พระอทุ ายีอยู่ในป่า วหิ ารทา่ นงดงาม นา่ ดู น่าชม มหี ้องกลาง มรี ะเบยี งโดยรอบ เตยี งตั่ง ฟูกหมอน จัดไว้เรียบร้อย นา้ฉนั น้าใช้ ต้ังไวด้ ีแล้ว บริเวณเตียนสะอาด ประชาชนเป็นอันมากพากันมาชมวิหารของทา่ นพระอุทายี แมพ้ ราหมณ์คนหน่ึงกบั ภรรยาก็เขา้ ไปหาท่านพระอุทายี แลว้ ได้กล่าวกะ ๒๒ กงขฺ า.อ. ๔ ๒๓ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๗๐/๒๙๓ ๒๔ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๙/๑๔
ทา่ นว่า พวกผมอยากชมวหิ ารของท่าน ทา่ นพระอุทายีกล่าวเชญิ วา่ ถ้าเช่นนน้ั เชญิ ชมเถิดพราหมณ์ แล้วถือลกู ดาลไขลิม่ ผลกั บานประตูเข้าไป แมพ้ ราหมณน์ ้นั กต็ ามหลงั ทา่ นพระอุทายเี ขา้ ไป สว่ นพราหมณีตามหลงัพราหมณเ์ ขา้ ไปขณะนัน้ ทา่ นพระอุทายีเดนิ ไปเปิดบานหนา้ ตา่ งบางตอน ปดิ บานหนา้ ต่างบางตอนรอบห้องแล้วย้อนมาทางหลงั จบั อวัยวะน้อยใหญข่ องพราหมณนี ั้น ครัน้ พราหมณน์ นั้ สนทนากบั ทา่ นพระอุทายแี ล้ว ก็ลากลบั ไป พราหมณ์นัน้ ดีใจเปล่งวาจาแสดงความยนิ ดีว่า พระสมณะเช้ือสายพระศากยบุตรเหล่านี้ อยู่ในป่าเช่นนี้ยังมอี ัธยาศัยดีแม้ท่านพระอุทายีอย่ใู นป่าเชน่ น้ี ก็ยังมีอธั ยาศัยดี เมอ่ื พราหมณ์กลา่ วอย่างน้ีแล้ว พราหมณีได้กลา่ วกะพราหมณน์ น้ั ว่า พระอุทายจี ะมอี ธั ยาศยั ดีแต่ไหน เพราะพระอุทายีได้จับอวยั วะน้อยใหญข่ องดิฉันเหมือนทที่ ่านจับดิฉนั พอได้ทราบดั่งนนั้ พราหมณจ์ ึงเพ่งโทษ ตเิ ตียน โพนทะวา่ พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่าน้ี เป็นผ้ไู มล่ ะอาย ทุศีล พูดเทจ็ พระสมณะเหลา่ นี้ยงั จักปฏิญาณว่าเป็นผ้ปู ระพฤตธิ รรม ประพฤตเิ รยี บรอ้ ย ประพฤติพรหมจรรย์ พูดจริง มีศีล มีกัลยาณธรรมดังนเี้ ล่า ความเปน็ สมณะของพระสมณะเหลา่ นี้ไม่มี ความเปน็ พราหมณ์ของพระสมณะเหลา่ นี้ไมม่ ีความเป็นสมณะของพระสมณะเหล่าน้พี ินาศแลว้ ความเปน็ พราหมณ์ของพระสมณะเหล่านพี้ นิ าศแล้ว ความเป็นสมณะของพระสมณะเหลา่ นี้จะมแี ตไ่ หนความเป็นพราหมณข์ องสมณะเหล่าน้จี ะมีแตไ่ หน พระสมณะเหลา่ น้ีปราศจากความเปน็สมณะแลว้ พระสมณะเหล่าน้ีปราศจากความเปน็ พราหมณ์แลว้ ไฉน พระสมณะอุทายีจงึ ได้จับต้องอวัยวะน้อยใหญ่ของภรรยาเราต่อไปกลุ สตรี กุลธดิ า กลุ กุมารี สะใภ้ผู้มีสกลุ กลุ ทาสี จักไม่กลา้ ไปส่อู ารามหรอื วหิ าร เพราะถา้ ไป พระสมณะเช้ือสายพระศากยบตุ รเหล่าน้นั ก็จะพงึ ประทุษร้ายเขา ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ขอ้ บญั ญัตเิ ฉพาะภิกษุ ทฏุ ถลุ ลวาจาสิกขาบท ๓. โย ปน ภกิ ขฺ ุ โอติณโฺ ณ วปิ ริณเตน จติ เฺ ตน มาตุคาม ทฏุ ฐฺ ฃลุ ลฺ าหิ วาจาหิโอภาเสยยฺ ยถา ต ยวุ า ยวุ ตึ เมถนุ ปุ สหติ าห,ิ สงฆฺ าทเิ สโส.๒๕ ๒๕ กงขฺ า.อ. ๔
ก็ภิกษใุ ดถูกราคะครอบงาแลว้ มจี ิตแปรปรวน พูดเกี้ยวมาตุคาม ด้วยวาจาชัว่ หยาบ พาดพงิ เมถนุ เหมือนชายหนมุ่ พูดเกีย้ วหญงิ สาว เป็นสังฆาทิเสส๒๖ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถี ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ พระอทุ ายี ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ พระอทุ ายีพูดเกีย้ วมาตคุ ามดว้ ยวาจาชวั่ หยาบพระอทุ ายีอยู่ในวิหารชายป่า สตรเี ปน็ อนั มากได้พากันไปสอู่ าราม มีความประสงคจ์ ะชมวิหาร จึงเข้าไปหาทา่ นพระอุทายีกราบเรยี นว่า พวกดิฉนั ประสงค์จะชมวิหารของพระคุณเจา้ เจ้าค่ะ จึงทา่ นพระอทุ ายีเชญิ สตรีเหล่านนั้ ใหช้ มวหิ ารแล้ว กลา่ วมุ่งวจั จมรรค ปสั สาวมรรค ของสตรเี หลา่ น้ัน ชมบ้าง ตบิ า้ ง ขอบา้ ง ออ้ นวอนบา้ ง ถามบา้ ง ย้อนถามบา้ งบอกบา้ ง สอนบ้างดา่ บ้าง สตรเี หลา่ นัน้ จาพวกท่หี นา้ ด้าน ฐานนกั เลง ไม่มียางอาย บ้างก็ยมิ้ พราย บา้ งก็พูดยว่ั บา้ งก็ซกิ ซ้ี บา้ งก็เยย้ กบั ทา่ นพระอทุ ายี ส่วนจาพวกท่มี ีความละอายใจ ก็เล่ียงออกไป แลว้ โพนทะนาภกิ ษทุ งั้ หลายวา่ ทา่ นเจ้าขา้ คานี้ไม่สมควร ไม่เหมาะ แมส้ ามีดฉิ นั พูดอยา่ งนี้ ดฉิ ันยงั ไมป่ รารถนา ก็น่จี ะประโยชน์อะไรดว้ ยท่านพระอุทายี ภกิ ษุทัง้ หลาย บรรดาที่เปน็ ผู้มกั น้อย สนั โดษ มีความละอาย มคี วามรังเกยี จผู้ใครต่ อ่ สิกขา ต่างกเ็ พ่งโทษ ตเิ ตียน โพนทะนา ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ข้อบญั ญัติเฉพาะภิกษุ อัตตกามปารจิ รยิ สกิ ขาบท ๔. โย ปน ภกิ ขฺ ุ โอตณิ โฺ ณ วปิ รณิ เตน จติ เฺ ตน มาตุคามสฺส สนตฺ ิเก อตตฺ กามปารจิ รยิ าย วณฺณ ภาเสยยฺ “เอตทคคฺ ภคนิ ิ ปารจิ รยิ าน ยา มาทสิ สลี วนตฺ กลฺยาณธมมฺ พรฺ หฺมจารึ เอเตน ธมเฺ มน ปรจิ เรยยฺ า”ติ เมถนุ ปุ สหเิ ตน, สงฆฺ าทเิ สโส.๒๗ ก็ ภิกษใุ ดถูกราคะครอบงาแลว้ มจี ติ แปรปรวน กลา่ วสรรเสรญิ การบาเรอความใคร่ของตนตอ่ หน้ามาตุคาม ด้วยคาท่ีพาดพงิ เมถุนว่า “นอ้ งหญิง หญิงใดบาเรอผู้ ๒๖ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๘๔/๓๑๖ ๒๗ กงขฺ า.อ. ๔
ประพฤตพิ รหมจรรย์ ผูม้ ีศีลมีกลั ยาณธรรมเชน่ เราดว้ ยธรรมนน่ั การบาเรอนขี้ องหญิงนั้นเป็นการบาเรอชัน้ ยอด” เปน็ สังฆาทิเสส๒๘ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวตั ถี๒๙ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ พระอุทายี ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ พระอทุ ายีกล่าวสรรเสริญการบาเรอความใครข่ องตนต่อหน้ามาตุคามพระอุทายเี ป็นพระกลุ ุปกะในพระนครสาวัตถเี ข้าไปสูส่ กลุ เป็นอันมาก ครั้งน้นั มีสตรีหมา้ ยผู้หนง่ึ รปู งาม น่าดู น่าชม คร้ันเวลาเชา้ ทา่ นพระอุทายีครองอันตรวาสกแลว้ ถอื บาตรและจวี รเดินไปทางเรือนของสตรีหมา้ ยน้ันคร้ันแลว้ น่งั เหนืออาสนะทีเ่ ขาจดั ถวาย จึงสตรหี มา้ ยนั้น เข้าไปหาทา่ นพระอทุ ายี กราบแลว้ นั่ง ณ ทคี่ วรสว่ นข้างหน่ึง พระอทุ ายี ไดย้ งั สตรีหมา้ ยนั้น ให้เห็นแจง้ สมาทาน อาจหาญ รา่ เริง ด้วยธรรมกี ถา คร้ันแลว้ สตรีหมา้ ยนัน้ ได้กล่าวปวารณาท่านพระอุทายวี า่โปรดบอกเถดิ เจ้าขา้ ตอ้ งการสิ่งใดซ่ึงดิฉันสามารถจดั หาถวายพระคณุ เจา้ ได้ คือ จวี รบณิ ฑบาต เสนาสนะ เภสัชบริขารอนั เป็นปัจจยั ของภิกษุไข้ พระอุทายขี อรอ้ งว่า นอ้ งหญงิ ปจั จยั เหล่านน้ั ไมเ่ ป็นของหาได้ยากสาหรับฉนัขอจงให้ของทห่ี าได้ยากสาหรับฉันเถิด สตรีหม้ายถามวา่ ของอะไร เจ้าขา อ.ุ เมถนุ ธรรม จะ้ ส. พระคุณเจา้ ต้องการหรือ เจ้าคะ อุ. ต้องการ จ้ะ สตรีหมา้ ยนน้ั กลา่ วว่า นิมนต์มาเถดิ เจ้าค่ะ แลว้ เดินเข้าห้อง เลกิ ผา้ สาฎกนอนหงายบนเตยี ง ทันใดน้ัน ท่านพระอุทายตี ามเขา้ ไปหานางถึงเตียง คร้ันแลว้ ถ่มเขฬะรดพดู ว่าใครจกั ถูกต้องหญิงถ่อย มีกล่ินเหม็นน้ไี ด้ ดงั นแี้ ลว้ หลกี ไป จงึ สตรีหม้ายน้ันเพ่งโทษว่า พระสมณะเช้ือสายพระศากยบตุ รเหลา่ น้ี เป็นผไู้ ม่ละอาย ทุศีลพูดเท็จ พระสมณะเหล่าน้ยี งั จักปฏญิ าณวา่ เป็นผปู้ ระพฤตธิ รรม ประพฤติเรียบร้อย ประพฤติพรหมจรรย์ พูดจริง มศี ีลมีกัลยาณธรรม ดงั น้เี ล่า ติเตียนว่า ความเป็นสมณะของพระสมณะเหล่านไี้ มม่ ี ความเปน็ พราหมณข์ องพระสมณะเหล่าน้ีไม่มีความเปน็ สมณะของพระสมณะเหล่านี้พนิ าศแลว้ ความเปน็ พราหมณ์ของพระสมณะ ๒๘ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๙๑/๓๓๐ ๒๙ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๑๑/๑๕
เหลา่ นพี้ นิ าศแลว้ ความเป็นสมณะของพระสมณะเหล่านี้ จะมแี ต่ไหน ความเป็นพราหมณ์ของพระสมณะเหล่าน้ี จะมีแตไ่ หน และโพนทะนาวา่ พระสมณะเหล่านี้ ขาดจากความเปน็ สมณะแลว้ พระสมณะเหลา่ นข้ี าดจากความเปน็ พราหมณแ์ ล้ว ไฉนพระสมณะอทุ ายีจึงได้ขอเมถนุ ธรรมต่อเราดว้ ยตนเอง แล้วถ่มเขฬะรดพูดว่า ใครจักถูกต้องหญิงถ่อยมีกล่ินเหมน็ นี้ได้ ดังนแี้ ลว้ หลีกไป เรามีอะไรชวั่ ช้า เรามีอะไรทมี่ ีกล่นิ เหม็น เราเลวกวา่ หญิงคนไหนอย่างไร ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ข้อบญั ญัติเฉพาะภกิ ษุ สญั จรติ ตสกิ ขาบท ๕. โย ปน ภกิ ขฺ ุ สญจฺ รติ ตฺ สมาปชเฺ ชยยฺ อติ ฺถยิ า วา ปรุ สิ มตึ ปรุ ิสสสฺ วาอิตฺถมิ ตึ ชายตตฺ เน วา ชารตตฺ เน วา, อนตฺ มโส ตงขฺ ณิกายป,ิ สงฺฆาทิเสโส.๓๐ อน่งึ ภิกษุใดทาหนา้ ท่ชี กั สือ่ คอื บอกความประสงค์ของชายแก่หญิงกด็ ีบอกความประสงค์ของหญงิ แกช่ ายกด็ ี เพื่อใหเ้ ป็นภรรยาหรอื เปน็ ชรู้ ัก โดยทีส่ ดุ แม้เพื่อใหอ้ ยู่ร่วมกันช่วั คราว เป็นสังฆาทิเสส๓๑ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถี๓๒ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระอุทายี ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ พระอุทายีทาหน้าทช่ี ักสอ่ืโดยพระอุทายีเป็นพระ กุลุปกะในพระนครสาวัตถี เขา้ ไปสู่สกลุ เป็นอันมาก ทีต่ นเห็นวา่มเี ด็กชายหนมุ่ น้อยยงั ไม่มีภรรยาหรือเด็กหญิงสาวนอ้ ยยงั ไม่มสี ามี ยอ่ มพรรณนาคุณสมบตั ิของเดก็ หญิงสาวน้อยในสานกั มารดาบิดาของเด็กชายหนมุ่ นอ้ ยว่า เด็กหญงิสาวนอ้ ยของสกุลโนน้ มรี ูปงาม น่าดู น่าชม คมคาย มแี ววฉลาด มีไหวพรบิ ดี ขยนั ไม่เกยี จครา้ น เดก็ หญิงสาวน้อยนน้ั สมควรแก่เด็กชายหนมุ่ น้อยน้ี มารดาบดิ าของเด็กชายหนุม่ น้อยกลา่ วอยา่ งนวี้ า่ ท่านเจ้าขา้ คนเหล่าน้ันไมร่ จู้ ักพวกขา้ พเจา้ วา่ เปน็ ใครหรอื เป็นพรรคพวกของใคร ท่านเจ้าข้า ถ้าพระคุณเจ้ากรณุ าพดู ทาบทามให้ พวกขา้ พเจา้ จะสูข่ อเดก็ หญิงสาวนอ้ ยน้นั มาให้แกเ่ ดก็ ชายหนุม่ น้อยนี้ และพรรณนาคุณสมบัติของเด็กชาย ๓๐ กงฺขา.อ. ๔-๕ ๓๑ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๓๐๑/๓๔๔ ๓๒ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๑๒/๑๖
หนมุ่ น้อยในสานักมารดาบิดาของเด็กหญิงสาวน้อยวา่ เดก็ ชายหนมุ่ น้อยของสกุลโนน้ มีรปู งาม นา่ ดูน่าชม คมคาย มแี ววฉลาด มีไหวพริบดี ขยัน ไม่เกียจคร้าน เดก็ ชายหนุม่ นอ้ ยนั้นสมควรแก่เดก็ หญิงสาวนอ้ ยน้ี มารดาบดิ าของเดก็ หญิงสาวนอ้ ยก็กล่าวอยา่ งนี้ว่า ท่านเจา้ ข้า คนเหลา่ น้นั ไมร่ ู้จักพวกข้าพเจ้าวา่ เป็นใครหรือเปน็ พรรคพวกของใคร ฝ่ายหญิงจะพดู ข้ึนดูๆ ก็ยากอยู่ ท่านเจ้าขา้ ถ้าพระคณุ เจ้ากรุณาช่วยพดู ใหเ้ ขามาส่ขู อ พวกข้าพเจ้าจะยอมยกเดก็ หญงิ สาวน้อยนแ้ี ก่เดก็ ชายหนุ่มน้อยนน้ั โดยอบุ ายนแ้ี ล ทา่ นพระอทุ ายีให้มารดาบิดาของเจ้าหน่มุ เจา้ สาวทาอาวาทมงคลบ้าง ววิ าหมงคลบ้าง พูดให้สู่ขอกนั บ้าง ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ ๑ พระอนบุ ญั ญตั ิ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นขอ้ บญั ญตั ิเฉพาะภกิ ษุ กลุ ทสู กสกิ ขาบท ๑๓. ภิกฺขุ ปเนว อญฺญตร คาม วา นิคม วา อุปนิสฺสาย วิหรติ กุลทูสโกปาปสมาจาโร, ตสสฺ โข ปาปกา สมาจารา ทสิ สฺ นฺติ เจว สยุ ฺยนตฺ ิ จ, กลุ านิ จ เตน ทฏุ ฐฺ ฃานิ ทิสฺสนฺติ เจว สุยฺยนฺติ จ, โส ภิกฺขุ ภิกฺขูหิ เอวมสฺส วจนีโย “อายสฺมาโข กุลทูสโกปาปสมาจาโร, อายสฺมโต โข ปาปกา สมาจารา ทิสฺสนฺติ เจวสยุ ฺยนฺติ จ, กลุ านิ จายสฺมตา ทฏุ ฺฐฃานิ ทิสฺสนฺติ เจว สุยฺยนฺติ จ, ปกฺกมตายสฺมา อิมมฺหาอาวาสา, อล เต อธิ วาเสนา”ติ, เอวญจฺ โส ภกิ ฺขุ ภกิ ฺขูหิ วุจฺจมาโน เต ภิกฺขู เอว วเทยยฺ“ฉนทฺ คามโิ น จ ภกิ ฺขู โทสคามโิ น จ ภกิ ฺขู โมหคามิโน จ ภิกขฺ ู ภยคามโิ น จ ภิกฺขู ตาทิสิกาย อาปตฺตยิ า เอกจฺจ ปพพฺ าเชนตฺ ,ิ เอกจฺจ น ปพฺพาเชนตฺ ี”ต,ิ โส ภกิ ขฺ ุ ภกิ ขฺ หู ิ เอวมสสฺวจนโี ย “มายสมฺ า เอว อวจ, น จ ภิกฺขู ฉนฺทคามิโน, น จ ภิกฺขู โทสคามิโน, น จ ภิกฺขูโมหคามิโน, น จ ภิกฺขู ภยคามิโน, อายสฺมาโข กุลทูสโก ปาปสมาจาโร, อายสฺมโต โขปาปกา สมาจารา ทิสฺสนฺติเจว สุยฺยนฺติ จ, กุลานิ จายสฺมตา ทุฏฺฐฃานิ ทิสฺสนฺติ เจว สุยฺยนฺติ จ, ปกฺกมตายสฺมา อิมมฺหา อาวาสา, อล เต อิธ วาเสนา”ติ, เอวญฺจ โส ภิกฺขุภิกฺขูหิ วุจฺจมาโน ตเถว ปคฺคณฺเหยฺย, โส ภิกฺขุ ภิกฺขูหิ ยาวตติย สมนุภาสิตพฺโพตสสฺ ปฏนิ ิสฺสคคฺ าย, ยาวตติยญเฺ จ สมนภุ าสยิ มาโน ต ปฏนิ สิ ฺสชเฺ ชยฺย, อิจฺเจต กุสล, โนเจ ปฏินิสสฺ ชเฺ ชยฺย, สงฆฺ าทิเสโส.๓๓ ก็ ภิกษุอยอู่ าศยั หม่บู ้านหรือนคิ มแห่งใดแหง่ หน่ึง ประทุษรา้ ยตระกูล มีความประพฤติเลวทราม ความประพฤติเลวทรามของเธอ เขาไดเ้ หน็ และได้ยินกนั ท่ัว ๓๓ กงฺขา.อ. ๗-๘
ตระกูลทัง้ หลายที่เธอประทษุ ร้าย เขาก็ไดเ้ ห็นและไดย้ ินกนั ทวั่ ภกิ ษนุ ้ันอนั ภิกษุทั้งหลายพงึ วา่ กลา่ วตักเตือนอยา่ งน้วี า่ “ทา่ นประทษุ ร้ายตระกลู ประพฤติเลวทราม ความประพฤตเิ ลวทรามของท่าน เขาไดเ้ ห็นและไดย้ ินกันทวั่ ตระกูลทงั้ หลายที่ทา่ นประทุษรา้ ย เขาก็ได้เห็นและไดย้ ินกันทัว่ ท่านจงออกจากอาวาสน้ี อยา่ อยู่ทนี่ ี้” และภกิ ษุน้นั อนั ภกิ ษุทง้ั หลายวา่ กล่าวตกั เตือนอยอู่ ย่างน้ี กโ็ ต้ตอบภกิ ษุทงั้ หลายว่า “พวกภิกษุลาเอยี งเพราะความพอใจ ลาเอียงเพราะความขัดเคือง ลาเอียงเพราะความหลงและลาเอียงเพราะความกลวั ขบั ภกิ ษบุ างรปู ไม่ขับบางรูป เพราะอาบตั ิอย่างเดยี วกนั ”ภกิ ษนุ น้ั อนั ภกิ ษทุ ง้ั หลายว่ากลา่ วตกั เตือนอยา่ งนว้ี า่ “ทา่ นอยา่ พดู อยา่ งนั้น ภกิ ษุท้งั หลายไมล่ าเอียงเพราะความพอใจ ไม่ลาเอียงเพราะความขัดเคือง ไม่ลาเอยี งเพราะความหลง และไม่ลาเอียงเพราะความกลัว ท่านประทุษร้ายตระกูล ประพฤตเิ ลวทรามความประพฤตเิ ลวทรามของท่าน เขาได้เหน็ และได้ยินกนั ท่วั ตระกลู ทั้งหลายท่ที ่านประทษุ รา้ ย เขากไ็ ด้เห็นและได้ยนิ กนั ท่ัว ทา่ นจงออกจากอาวาสน้ี อยา่ อย่ทู ีน่ ี้” ภกิ ษนุ ั้นอนั ภกิ ษุทั้งหลายวา่ กล่าวตักเตอื นอยู่อยา่ งน้ี กย็ ังยกย่องอยอู่ ยา่ งนั้น ภกิ ษุนัน้ อันภิกษุท้ังหลายพงึ สวดสมนภุ าสนจ์ นครบ ๓ คร้ังเพื่อให้ สละเรือ่ งนัน้ ถ้าเธอกาลงั ถกู สวดสมนุภาสน์กวา่ จะครบ ๓ คร้ัง สละเรอื่ งน้นั ได้ นัน่ เปน็ การดี ถ้าเธอไม่สละ เปน็ สังฆาทิเสส๓๔ ๑) สถานท่ีบญั ญตั ิสกิ ขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถ๓ี ๕ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระอัสสชแิ ละพระปุนัพพสุกะ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ พระอัสสชิและพระปนุ พั พสกุ ะถูกสงฆ์ลงปัพพาชนยี กรรมแล้วกลับกลา่ วหาวา่ พวกภกิ ษุลาเอียงเพราะชอบ ลาเอียงเพราะชัง ลาเอียงเพราะหลง ลาเอียงเพราะกลวั ภกิ ษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะ เป็นเจ้าถิน่ ในชนบทกิฏาครี ี เป็นภิกษอุ ลัชชี ช่วั ชา้ ภกิ ษพุ วกน้ันประพฤตอิ นาจารเหน็ ปานดังนี้ คอื ปลูกต้นไมด้ อกเองบา้ งใช้ให้ผอู้ ่นื ปลูกบ้าง รดน้าเองบา้ ง ใชใ้ หผ้ ูอ้ ื่นรดบ้าง เกบ็ ดอกไมเ้ องบ้างใช้ใหผ้ ู้อืน่ เกบ็ บ้างรอ้ ยกรองดอกไม้เองบ้าง ใช้ใหผ้ ูอ้ ่ืนร้อยกรองบา้ ง ทามาลัยต่อก้านเองบา้ งใชใ้ หผ้ อู้ ื่นทาบ้าง ทามาลยั เรยี งกา้ นเองบา้ ง ใชใ้ ห้ผอู้ ่นื ทาบา้ ง ทาดอกไมช้ อ่ เองบา้ ง ใชใ้ ห้ผอู้ ่ืนทาบา้ งทาดอกไมพ้ มุ่ เองบ้าง ใช้ให้ผอู้ ื่นทาบา้ ง ทาดอกไม้เทรดิ เองบ้าง ใชใ้ หผ้ ู้อ่นื ทาบ้างทาดอกไม้พวงเองบ้าง ใชใ้ ห้ผูอ้ ืน่ ทาบา้ ง ทาดอกไมแ้ ผงสาหรับประดับอกเองบา้ ง ใชใ้ ห้ผ้อู นื่ ๓๔ วิ.มหา. (ไทย) ๑/๔๓๖/๔๖๖ ๓๕ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๐/๒๐
ทาบ้าง ภกิ ษุพวกนั้นนาไปเองบ้าง ใช้ใหผ้ ู้อ่นื นาไปบา้ ง ซ่งึ มาลยั ตอ่ ก้าน นาไปเองบ้าง ใช้ให้ผอู้ ่ืนนาไปบ้าง ซึ่งมาลัยเรียงกา้ น นาไปเองบ้าง ใช้ให้ผอู้ ืน่ นาไปบา้ ง ซึ่งดอกไมช้ อ่นาไปเองบา้ ง ใช้ให้ผู้อ่นื นาไปบ้าง ซ่งึ ดอกไม้พมุ่ นาไปเองบา้ ง ใชใ้ ห้ผู้อื่นนาไปบา้ ง ซ่งึดอกไม้เทริดนาไปเองบ้าง ใช้ให้ผู้อ่ืนนาไปบ้าง ซึง่ ดอกไม้พวง นาไปเองบ้าง ใชใ้ หผ้ ู้อื่นนาไปบ้างซึ่งดอกไม้แผงสาหรับประดับอก เพอื่ กุลสตรี เพ่ือกุลธิดา เพื่อกุลกมุ ารี เพื่อสะใภแ้ หง่ สกุลเพ่ือกุลทาสี ภกิ ษุพวกนั้น ฉนั อาหารในภาชนะอันเดียวกันบ้าง ด่มื น้าในขันใบเดียวกนั บ้างน่ังบนอาสนะอันเดยี วกนั บา้ ง นอนบนเตียงอันเดียวกันบ้าง นอนร่วมเครื่องลาดอันเดยี วกันบ้างนอนคลุมผา้ ห่มผนื เดยี วกันบา้ ง นอนรว่ มเคร่อื งลาดและคลุมผา้ หม่ รว่ มกันบา้ ง กบั กุลสตรี กุลธดิ ากลุ กุมารี สะใภแ้ ห่งสกุล กลุ ทาสี ฉนั อาหารในเวลาวิกาลบา้ ง ดมื่ น้าเมาบา้ ง ทัดทรงดอกไม้ของหอมและเครือ่ งลบู ไลบ้ า้ ง ฟ้อนราบา้ ง ขบัร้องบา้ ง ประโคมบ้าง เตน้ ราบ้าง ฟ้อนรากบั หญงิ ฟอ้ นราบ้าง ขับรอ้ งกับหญิงฟ้อนราบา้ งประโคมกบั หญิงฟ้อนราบา้ ง เต้นรากับหญงิ ฟอ้ นราบา้ ง ฟ้อนรากับหญิงขบั ร้องบ้าง ขบัร้องกับหญิงขบั ร้องบา้ ง ประโคมกับหญิงขบั ร้องบ้าง เตน้ รากบั หญิงขับร้องบา้ ง ฟ้อนรากบั หญิงประโคมบ้าง ขับร้องกับหญิงประโคมบ้าง ประโคมกับหญงิ ประโคมบ้าง เตน้ รากับหญงิ ประโคมบ้าง ฟ้อนรากับหญิงเต้นราบ้าง ขับร้องกับหญงิ เต้นราบา้ งประโคมกับหญิงเต้นราบา้ ง เตน้ รากับหญิงเต้นราบา้ ง เลน่ หมากรุกแถวละแปดตาบ้าง เล่นหมากรุกแถวละสบิ ตาบ้าง เลน่ หมากเก็บบ้าง เลน่ ชิงนางบา้ ง เลน่ หมากไหวบา้ ง เล่นโยนห่วงบา้ งเล่นไม้หง่ึ บ้าง เลน่ ฟาดใหเ้ ป็นรปู ต่างๆ บ้าง เล่นสะกาบ้าง เลน่ เป่าใบไมบ้ ้าง เลน่ ไถน้อยๆบา้ ง เลน่ หกคะเมนบา้ ง เลน่ ไม้กังหันบ้าง เล่นตวงทรายดว้ ยไม้ไบบ้ า้ ง เล่นรถน้อยๆ บา้ งเล่นธนูนอ้ ยๆ บ้าง เลน่ เขยี นทายบา้ ง เลน่ ทายใจบา้ ง เลน่ เลยี นคนพกิ ารบ้างหัดขชี่ า้ งบ้างหดั ข่ีมา้ บา้ ง หดั ขร่ี ถบ้าง หัดยิงธนูบ้าง หัดเพลงอาวุธบ้าง วิง่ ผลดั ชา้ งบา้ งว่งิ ผลัดมา้ บ้าง วิ่งผลัดรถบ้าง วิ่งขับกันบ้าง วง่ิ เปยี้ วกนั บ้าง ผิวปากบ้าง ปรบมือบา้ ง ปล้ากันบ้าง ชกมวยกันบ้าง ปลู าดผ้าสังฆาฏิ ณ กลางสถานเต้นราแลว้ พูดกับหญิงฟ้อนราอยา่ งน้ีวา่ น้องหญิง เธอจงฟ้อนรา ณ ที่นี้ ดงั นีบ้ า้ ง ใหก้ ารคานับบา้ ง ประพฤติอนาจารมีอยา่ งต่างๆ บ้าง ต่อมา ภิกษรุ ูปหนึ่งจาพรรษาในแคว้นกาสี เดินทางไปพระนครสาวตั ถีเพอ่ืเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงชนบทกิฏาคีรแี ล้ว ครน้ั เวลาเช้าภกิ ษุนั้นครองอนั ตรวาสก ถือบาตรและจวี รเข้าไปบณิ ฑบาตยังชนบทกฏิ าคีรี มีอาการเดินไป ถอยกลับ แลเหลียวเหยยี ดแขนคแู้ ขน น่าเลอ่ื มใส มีจกั ษทุ อดลง สมบูรณ์ด้วยอริ ิยาบถ
คนท้ังหลายเหน็ ภิกษรุ ูปนั้นแลว้ พูดอยา่ งน้วี า่ ภิกษรุ ูปนี้เปน็ ใคร ดูคลา้ ยคนไม่ค่อยมีกาลัง เหมือนคนอ่อนแอ เหมอื นคนมหี นา้ สยิ้ว ใครเล่าจกั ถวายบิณฑะแก่ทา่ นผู้เขา้ ไปเทยี่ วบิณฑบาตรูปนี้ ส่วนพระผู้เป็นเจา้ เหลา่ พระอัสสชิ และพระปนุ ัพพสุกะของพวกเรา เป็นผอู้ อ่ นโยน พูดไพเราะ อ่อนหวาน ยิ้มแยม้ ก่อนมกั พูดวา่ มาเถดิ มาดแี ล้ว มีหนา้ ไม่สยวิ้ มีหน้าชื่นบานมักพูดก่อน ใครๆ กต็ อ้ งถวายบณิ ฑะแก่ทา่ นเหล่านั้น อุบาสกคนหนึง่ ได้แลเหน็ ภิกษุรปู นัน้ กาลังเที่ยวบิณฑบาตอย่ใู นชนบทกฏิ าคีรีคร้นั แล้วจงึ เขา้ ไปหาภกิ ษุนั้น กราบเรียนถามภิกษุรูปน้ันทราบท่านจะไปพระนครสาวตั ถีเพอื่ เฝา้ พระผู้มพี ระภาคจงึ ฝากกราบเรยี นพระผูม้ ีพระภาคดว้ ยเศยี รเกล้า และขอให้กราบทลู ตามถ้อยคาอปุ าสกเร่ืองวัดในชนบทกฏิ าครี โี ทรม ภกิ ษุพวกพระอสั สชแิ ละพระปนุ ัพพสกุ ะเป็นเจ้าถิ่นในชนบทกิฏาครี ีเปน็ภิกษอุ ลชั ชี เลวทราม พวกเธอประพฤติอนาจาร ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญัตทิ ั่วไปทั้งภกิ ษุและภิกษุณี อุสสยวาทกิ าสกิ ขาบท ๑. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี อสุ สฺ ยวาทกิ า วหิ เรยยฺ คหปตนิ า วา คหปติปตุ เฺ ตน วา ทาเสน วา กมมฺ กาเรน วา อนตฺ มโส สมณปริพฺพาชเกนาป,ิ อยมปฺ ิ ภกิ ฺขนุ ี ปฐมาปตตฺ กิ ธมมฺอาปนนฺ า นสิ สฺ ารณยี สงฆฺ าทเิ สส๓๖ ก็ภิกษณุ ีใดก่อคดีพิพาทกับคหบดี กบั บตุ รคหบดี กบั ทาส หรือกับกรรมกรโดยทสี่ ดุ กระทั่งกบั สมณปริพาชก ภิกษุณีนีต้ ้องธรรมคือสังฆาทเิ สสทีช่ อ่ื ว่าปฐมาปตั ติกะนสิ สารณยี ะ๓๗ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๓ี ๘ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษุณีถุลลนนั ทา ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษณุ ถี ุลลนันทาก่อคดีพพิ าท ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบัญญตั เิ ฉพาะภกิ ษณุ ี ๓๖ กงฺขา.อ. ๕๑ ๓๗ วิ.ภิกขุน.ี (ไทย) ๓/๖๗๙/๒๗ ๓๘ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๐๗/๒๐๙
โจรวี ฏุ ฐาปิกาสิกขาบท ๒. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี ชาน โจรึ วชฌฺ วทิ ติ อนปโลเกตวฺ า ราชาน วา สงฆฺ วาคณ วา ปคู วา เสณึ วา อญญฺ ตรฺ กปปฺ า วฏุ ฐฺ ฃาเปยยฺ อยมฺปิ ภกิ ฺขนุ ี ปฐฃมาปตตฺ ิก ธมฺมอาปนนฺ า นสิ สฺ ารณยี สงฆฺ าทเิ สส๓๙ กภ็ กิ ษณุ ีใดรอู้ ยู่ไม่บอกพระราชา สงฆ์ คณะ สมาคม หรือ กล่มุ ชนใหท้ ราบบวชให้สตรีผูเ้ ปน็ โจรซึ่งเปน็ ท่รี ู้กนั ว่าตอ้ งโทษประหาร เวน้ ไว้แตส่ ตรที สี่ มควร แม้ภิกษณุ ีนกี้ ต็ ้องธรรมคอื สงั ฆาทเิ สสทช่ี ื่อว่าปฐมาปตั ติกะ นิสสารณยี ะ๔๐ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถ๔ี ๑ ๒) บุคคลผูก้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษณุ ีถุลลนนั ทา บวชใหส้ ตรผี ู้เปน็ โจร ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ชายาของเจา้ ลิจฉวีองค์หน่ึงในพระนครเวสาลีประพฤตินอกใจถูกเจา้ ลจิ ฉวีองค์น้นั จับได้รับส่ังจะฆา่ นาง สตรีผู้นั้นทราบข่าวว่า สามใี ครจ่ กั ฆา่ เรา จึงเกบ็ ส่ิงของท่ดี ีๆ หนไี ปยงั พระนครสาวตั ถีเข้าหาเหลา่เดียรถยี ข์ อบวช พวกเดียรถยี ์ไม่ปรารถนาจะใหน้ างบวช นางจึงเขา้ ไปหาภิกษุณี ขอบวชแมภ้ ิกษุณีทั้งหลายก็ไม่ปรารถนาจะใหน้ างบวช จงึ เขา้ ไปหาภกิ ษณุ ีถุลลนนั ทา แสดงห่อของแล้วขอบวช ภกิ ษณุ ีถุลลนันทารบั ห่อของ แล้วให้นางบวช. ครั้นเจ้าลิจฉวนี ้นั ทรงสบื หาสตรนี ั้นไปถึงพระนครสาวตั ถี พบนางบวชอยู่ในสานักภิกษณุ จี ึงเขา้ เฝา้ พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทลู เรอ่ื งให้ทรงทราบว่า นางบวชอย่ใู นสานกั ภกิ ษณุ ี พระราชาตรสั วา่ ถา้ นางบวชอยใู่ นสานกั ภิกษุณี เรากท็ าอะไรนางไม่ได้ เพราะพระธรรม อนั พระผมู้ พี ระภาคตรสั ดแี ล้ว ขอนางจงประพฤตพิ รหมจรรย์เพ่ือทาทส่ี ดุ ทุกข์โดยชอบเถิด เจ้าลิจฉวีน้นั เพ่งโทษ ติเตยี น โพนทะนาวา่ ไฉนเหลา่ ภกิ ษุณจี งึ ได้ใหห้ ญิงโจรบวชเล่า. ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ข้อบญั ญตั ิเฉพาะภกิ ษุณี เอกคามนั ตรคมนสกิ ขาบท ๓๙ กงขฺ า.อ. ๕๑ ๔๐ วิ.ภิกขุน.ี (ไทย) ๓/๖๘๓/๓๑ ๔๑ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๐๘/๒๑๑
๓. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี เอกา วา คามนฺตร คจเฺ ฉยยฺ , เอกา วา นทปี าร คจฺเฉยยฺ ,เอกา วา รตตฺ ึ วปิ ฺปวเสยยฺ เอกา วา คณมหฺ า โอหิเยยยฺ , อยมปฺ ิ ภกิ ขฺ นุ ี ปฐฃมาปตตฺ กิ ธมมฺอาปนนฺ า นสิ สฺ ารณยี สงฆฺ าทเิ สส๔๒ อน่งึ ภิกษณุ ีใดไปสลู่ ะแวกหมู่บา้ นรูปเดยี ว ขา้ มฝ่งั แม่น้ารปู เดียว ออกไปอยู่พกั แรมในราตรรี ปู เดยี ว หรอื ปลกี ตัวจากคณะอยรู่ ูปเดยี ว แม้ภกิ ษณุ นี กี้ ็ต้องธรรมคือสงั ฆาทเิ สส ที่ชือ่ วา่ ปฐมาปัตติกะ นิสสารณียะ๔๓ ๑) สถานทีบ่ ญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรุงสาวัตถ๔ี ๔ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษุณีรูปหนง่ึ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษุณรี ูปหนงึ่ ไปส่หู มู่บ้านรูปเดยี ว ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ มีอนบุ ญั ญัติ ๓ ๑พระอนบุ ญั ญตั ิ อนึง่ ภิกษุณีใด ผเู้ ดียวไปส่ลู ะแวกบา้ นก็ดี ผ้เู ดียวไปสู่ฝัง่ แม่นา้ กด็ ีภิกษณุ แี ม้น้ีก็ต้องธรรมคือสงั ฆาทิเสส ชื่อนสิ สารณียะ มีอันให้ต้องอาบตั ขิ ณะแรกทา มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษุณสี องรปู เดินทางจากเมืองสาเกตไปพระนครสาวัตถี ในระหว่างทางต้องขา้ มแมน่ า้ . จึงภกิ ษุณสี องรปู นน้ั เข้าไปหาพวกคนพายเรือแลว้ วงิ วอนวา่ ขอท่านไดโ้ ปรดสงเคราะห์ให้พวกขา้ พเจา้ ข้ามฟากสกั หน่อย. พวกคนเรอื กลา่ วว่า แมเ่ จา้ ท้ังหลาย พวกข้าพเจา้ ไม่สามารถใหข้ ้ามแม่น้าคราวเดยี วสองรูปได้ คนเรอื คนหนึ่ง ยังภิกษณุ รี ปู หนงึ่ ใหข้ ้ามฟาก. เขาข้ามถึงฝัง่ แล้วได้ขม่ ขนื ใจภกิ ษุณีรปู ทขี่ ้ามฟาก.คนเรือที่ยังไม่ข้ามฟากมาก็ขม่ ขนื ใจภิกษุณีรูปท่ียงั ไม่ขา้ มฟากมา. เธอทงั้ สองน้นั ภายหลังพบกันแล้วถามกันขน้ึ ทราบเรื่องของกันและกนั แลว้ จงึเดนิ ทางไปถงึ พระนครสาวัตถีแลว้ ไดแ้ จ้งเร่ืองนนั้ แก่ภิกษุณีทัง้ หลาย. บรรดาภิกษุณที ี่เปน็ ผู้มักนอ้ ย ตา่ งก็เพ่งโทษ ติเตยี น โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณรี ปู เดยี ว จึงไปฝงั่ แมน่ ้า ๔๒ กงขฺ า.อ. ๕๑ ๔๓ ว.ิ ภกิ ขุน.ี (ไทย) ๓/๖๙๑/๓๙ ๔๔ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๐๙/๒๑๑
๒พระอนุบญั ญัติ อนงึ่ ภิกษณุ ีใด ผู้เดยี วไปสู่ละแวกบา้ นก็ดี ผเู้ ดียวไปสู่ฝ่ังแม่นา้ กด็ ี ผู้เดยี วอย่ปู ราศจากพวกในราตรกี ็ดี ภิกษุณีแม้น้กี ็ต้องธรรมคือสังฆาทเิ สสชือ่ นสิ สารณียะ มีอันใหต้ ้องอาบตั ขิ ณะแรกทา. มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษณุ หี ลายรูปไดพ้ ากันไปสพู่ ระนครสาวตั ถีในโกศลชนบท เขา้ ถึงบา้ นตาบลหนึง่ ในเวลาเย็น. ในบรรดาภกิ ษณุ เี หลา่ นนั้รูปหนง่ึ ทรงโฉมวิไล นา่ พิศ พึงชม. บุรษุ ผ้หู นง่ึ พอไดส้ บนางก็มีจติ ปฏิพัทธ์. จงึ เม่อื เขาตกแต่งทพ่ี ักแรมถวายภิกษุณเี หล่านน้ั ได้จดั ท่ีพักแรมสาหรับภิกษณุ ีสวยนนั้ ไว้ ณ สว่ นขา้ งหนึ่ง. นางกาหนดรู้ได้ทันทีวา่ บุรษุ ผูน้ ีถ้ กู ราคะกลุม้ รมุ แล้ว ถา้ กลางคนื เขาจักเขา้ หาความเสยี หายจกั มีแกเ่ ราแล้วไมบ่ อกลาภิกษุณีท้ังหลาย หนไี ปพักแรมในสกุลอน่ื . คร้ันเวลาราตรบี ุรษุ นัน้ มาคน้ หาภิกษณุ ีสวยน้ัน ได้กระทบถึงภิกษุณีทง้ั หลาย. ภกิ ษุณที ง้ั หลายไมเ่ หน็ ภกิ ษุณีสวยนัน้ จึงพดู กันอย่างนีว้ า่ นางตามผชู้ ายไปแล้วเปน็ แน่. ครนั้ ราตรีนนั้ ผา่ นไป ภกิ ษณุ ีสาวกเ็ ข้าไปหาภิกษุณที ัง้ หลายแล้วเล่าเรอื่ งน้นั แก่ภกิ ษุณที ้ังหลาย.บรรดาภกิ ษุณีทีเ่ ปน็ ผ้มู ักน้อย ตา่ งกเ็ พ่งโทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาวา่ ไฉนในเวลาราตรี ๓ พระอนบุ ญั ญตั ิ อนึง่ ภิกษณุ ีใด ผเู้ ดยี วไปสลู่ ะแวกบ้านก็ดี ผเู้ ดียวไปสู่ฝัง่แมน่ า้ ก็ดี ผเู้ ดียวอยู่ปราศจากพวกในราตรีก็ดี ผเู้ ดียวเดินปลีกไปจากคณะกด็ ี ภิกษุณีแม้นี้ก็ตอ้ งธรรมคือสงั ฆาทิเสส ช่อื นิสสารณยี ะ มีอันให้ต้องอาบตั ิขณะแรกทา มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภกิ ษุณหี ลายรปู เดินทางไกลไปพระนครสาวตั ถี ในโกศลชนบท. ภิกษุณรี ปู หนงึ่ ในจานวนนั้นปวดอุจจาระ จงึ ได้เดนิ ลา้ หลงัไปแตผ่ ู้เดียว. พวกชาวบา้ นพบนางแลว้ ไดข้ ่มขืนใจ. ตอ่ มานางเข้าไปหาภกิ ษุณพี วกน้นัภกิ ษณุ ีพวกนน้ั ได้ถามวา่ ทาไมเธอจึงเดนิ ล้าหลงั แตผ่ ู้เดยี วเลา่ ไมถ่ ูกคนรงั แกดอกหรือ?นางตอบว่า ถูกรังแกมาแล้ว. บรรดาภิกษุณที ่ีเป็นผู้มกั นอ้ ย ตา่ งกเ็ พง่ โทษ ตเิ ตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีจึงเดินปลีกไปจากคณะแต่ผเู้ ดียว ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญัติเฉพาะภิกษุณี ๖) อนาปัตติวาร มีเพื่อนภิกษุณีไปตามด้วยก็ดี สึกแล้วก็ดี ถึงมรณภาพแลว้ ก็ดี ไปเข้ารตี เดยี รถยี ์ก็ดี ๑ มีอันตราย ๑ วิกลจริต ๑ อาทกิ มั มกิ า ๑ ไม่ต้องอาบัติ อกุ ฺขติ ตกโอสารณสกิ ขาบท
๔. ยา ปน ภกิ ฺขนุ ี สมคเฺ คน สงเฺ ฆน อุกขฺ ติ ตฺ ภกิ ฺขนุ ึ ธมฺเมน วนิ เยน สตถฺ สุ าสเนน อนปโลเกตวฺ า การกสงฆฺ , อนญฺญาย คณสสฺ ฉนทฺ โอสาเรยยฺ อยมปฺ ิ ภกิ ขฺ นุ ี ปฐฃมาปตตฺ ิกธมฺม อาปนนฺ า นสิ สฺ ารณยี สงฺฆาทิเสส.๔๕ กภ็ ิกษุณีใดเรียกภิกษณุ ที ส่ี งฆ์พรอ้ มเพรียงกันลงอุกเขปนียกรรมโดยธรรมโดยวนิ ัย โดยสตั ถุศาสนใ์ หก้ ลบั เขา้ หมโู่ ดยไม่บอกการกสงฆ์ ทั้งไม่ รับรฉู้ ันทะของคณะแม้ภิกษุณีน้ตี ้องธรรมคอื สังฆาทิเสสท่ชี ่อื ว่าปฐมาปัตติกะ นิสสารณียะ๔๖ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๔ี ๗ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษุณถี ลุ ลนันทา ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภกิ ษณุ ีถลุ ลนนั ทาเรยี กภกิ ษณุ ีท่ีสงฆ์พร้อมเพรยี งกนั ลงอุกเปนียกรรมโดยธรรม โดยวนิ ยั โดยสัตถุศาสนใ์ ห้กลับเข้าหมู่โดยไม่บอกการกสงฆ์ ทั้งไมร่ ับรู้ฉนั ทะของคณะ ภิกษุณีจณั ฑกาลเี ปน็ ผู้กอ่ ความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาทกอ่ ความอ้ือฉาว ก่ออธกิ รณ์ในสงฆ์. เมือ่ สงฆ์จะลงทัณฑกรรมแกน่ างแต่ภกิ ษุณถี ุลลนันทาคา้ นไว.้ คร้ังนนั้ ภิกษณุ ถี ุลลนนั ทาได้ไปสูต่ าบลบา้ นหนึ่งด้วยกิจจาเป็นบางอย่าง. ครนั้ภกิ ษุณีสงฆ์ทราบวา่ ภกิ ษุณีถลุ ลนนั ทาหลกี ไปแล้ว จงึ ยกภิกษณุ จี ัณฑกาลีเสียจากหมู่เพราะไมเ่ หน็ อาบัติ. ภิกษณุ ีถุลลนนั ทาเสร็จกรณียะน้ันในบ้านแลว้ กลบั มาส่พู ระนครสาวตั ถตี ามเดิม.เม่ือนางมาถงึ ภกิ ษุณจี ณั ฑกาลีไม่ปูอาสนะ ไม่เขา้ ไปจัดตง้ั น้าล้างเทา้ ตงั่รองเทา้ กระเบื้องเชด็ เทา้ไม่ลุกรับบาตรจีวร ไม่ต้อนรับด้วยนา้ ดื่ม. นางจึงถามภิกษุณีจัณฑกาลวี า่ เหตไุ ฉนเม่ือเรามาถงึ เธอจึงไม่ปูอาสนะ ไมจ่ ัดตั้งนา้ ลา้ งเท้า ตัง่ รองเทา้ กระเบอ้ื งเช็ดเทา้ ไม่ลกุ รับบาตรจวี ร ไมต่ อ้ นรับด้วยนา้ ดืม่ เล่า ภกิ ษุณีจัณฑกาลีตอบว่า เธอเป็นคนไม่มที ่ีพึง่ ภกิ ษุณีจัณฑกาลีชี้แจงวา่เพราะภิกษณุ เี หลา่ นี้คงเขา้ ใจดฉิ นั วา่ นางน้เี ป็นคนไม่มที ่ีพงึ่ ไม่มใี ครรจู้ ัก กิจอันเป็นหนา้ ทีข่ องนางคนนี้ก็ไม่มีสกั อยา่ ง จงึ ได้ยกดฉิ ันเสียจากหมู่ เพราะไม่เห็นอาบัติ เจา้ ค่ะ. ภิกษณุ ีถุลลนนั ทากล่าวว่า ภกิ ษณุ ีเหลา่ นน้ั เปน็ พาล ไม่ฉลาด ไมร่ ูจ้ ักกรรมหรอื โทษของกรรม กรรมวบิ ตั ิ หรอื กรรมสมบตั ิ เราเทา่ นั้นจึงจะรจู้ กั กรรม โทษของกรรม ๔๕ กงฺขา.อ. ๕๑ ๔๖ วิ.ภิกขุนี. (ไทย) ๓/๖๙๕/๔๒ ๔๗ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๑๐/๒๑๒
กรรมวิบัติ และกรรมสมบตั ิ เราจะพงึ ทากรรมที่เราไมไ่ ด้รว่ มทา หรือจะพึงยังกรรมท่เี ขาทาแล้วใหก้ าเริบ แลว้ ให้ประชุมภิกษุณสี งฆด์ ว่ น เรียกภิกษุณีจณั ฑกาลีใหเ้ ข้าหมู่ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นขอ้ บัญญัตเิ ฉพาะภกิ ษณุ ี โภชนปฏคิ คหณปฐมสกิ ขาบท ๕. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี อวสสฺ ตุ า อวสสฺ ตุ สสฺ ปรุ สิ ปคุ ฺคลสสฺ หตถฺ โต ขาทนยี วาโภชนยี วา สหตถฺ า ปฏคิ คฺ เหตวฺ า ขาเทยยฺ วา ภุญเฺ ชยยฺ วา อยมปฺ ิ ภกิ ขฺ นุ ี ปฐฃมาปตฺติกธมฺม อาปนนฺ า นสิ สฺ ารณยี สงฺฆาทเิ สส.๔๘ กภ็ ิกษุณีใดกาหนัด รับของเค้ียวหรอื ของฉนั จากมือชายผู้กาหนัดดว้ ยมือของตนแลว้ เคยี้ วหรือฉัน แมภ้ ิกษุณีนีต้ ้องธรรมคือสังฆาทเิ สสท่ีชือ่ ปฐมาปตั ติกะ นิสสารณียะ๔๙ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรุงสาวัตถ๕ี ๐ ๒) บุคคลผูก้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษณุ ีสุนทรีนนั ทา ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษุณสี นุ ทรนี ันทากาหนัดรบัอามสิ จากมอื ชายผกู้ าหนัด โดยท่ีภิกษุณีสนุ ทรีนนั ทาเป็นผู้ทรงโฉมวิไล นา่ พศิ พงึ ชม.คนทั้งหลายแลเห็นนางทใ่ี นโรงฉันแลว้ มีความพงึ พอใจ ต่างถวายโภชนาหารท่ดี ีๆ แกน่ างผู้มีความพึงพอใจ นางฉันได้พอแก่ความประสงค์ ภกิ ษุณรี ปู อื่นๆ ไม่ไดฉ้ ันตามตอ้ งการ บรรดาภิกษุณที เ่ี ป็นผมู้ ักนอ้ ย ต่างก็เพ่งโทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาว่า ไฉนแมเ่ จา้สนุ ทรนี นั ทาจึงได้มคี วามยนิ ดีรับของเคีย้ วของฉนั ด้วยมือของตนเอง จากมอื ของบุรษุบคุ คลผมู้ ีความพึงพอใจแล้วเคี้ยวฉนั ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นขอ้ บัญญตั ิเฉพาะภิกษุณี ๖) อนาปตั ตวิ าร ท้งั สองฝา่ ยไมม่ ีความพึงพอใจ ๑ ร้อู ยู่ว่าเขาไมม่ คี วามพงึพอใจจึงรับประเคน ๑วิกลจริต ๑ อาทกิ มั มิกา ๑ ไม่ตอ้ งอาบตั ิ ๔๘ กงขฺ า.อ. ๕๑ ๔๙ ว.ิ ภิกขนุ ี. (ไทย) ๓/๗๐๐/๔๕ ๕๐ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๑๑/๒๑๒
โภชนปฏคิ คหณทตุ ยิ สิกขาบท ๖. ยา ปน ภิกฺขุนี เอว วเทยฺย “กึ เต อยเฺ ย เอโส ปุริสปุคฺคโล กรสิ สฺ ติ อวสสฺ ุโต วา อนวสฺสุโต วา, ยโต ตฺว อนวสฺสุตา, อิงฺฆ อยฺเย ย เต เอโส ปุริสปุคฺคโล เทติขาทนีย วา โภชนยี วา ต ตฺว สหตถฺ า ปฏคิ ฺคเหตฺวา ขาท วา ภุญฺช วา”ติ อยมปฺ ิภกิ ขฺ นุ ี ปฐฃมาปตฺติก ธมฺม อาปนนฺ า นิสสฺ ารณยี สงฺฆาทเิ สส.๕๑ ก็ภิกษุณีใดกล่าวอยา่ งน้วี ่า “ชายผูน้ ้ันจะกาหนัดหรอื ไม่กาหนัดก็ตามก็ทาอะไรท่านไม่ได้ เพราะทา่ นไม่กาหนดั นิมนตเ์ ถดิ แม่เจ้า ชายผูน้ ้ีจะถวายสง่ิ ใดจะเป็นของเคีย้ วหรือของฉันก็ตาม ทา่ นจงรบั ประเคนของน้ันดว้ ยมือของตนเองแลว้ เคี้ยวหรือฉนัเถดิ ” ดังนี้ แมภ้ ิกษณุ ีนี้ต้องธรรมคือสังฆาทิเสส ที่ช่ือวา่ ปฐมาปัตตกิ ะ นสิ สารณยี ะ๕๒ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๕ี ๓ ๒) บุคคลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษณุ รี ปู หน่ึง ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภิกษุณีรปู หน่งึ ส่งเสริมภกิ ษณุ ีใหร้ บั โภชนะจากมือชายผกู้ าหนดั ภกิ ษณุ สี ุนทรีนันทาเป็นผูท้ รงโฉมวไิ ล น่าพิศพึงชม.คนทั้งหลายพบนางท่ีในโรงฉันแล้ว ต่างมีความพอใจ ถวายโภชนาหารทีด่ ีๆ แกน่ าง นางรงั เกียจไม่รบั ประเคน. ภกิ ษุณผี ู้นั่งรอลาดับจึงถามนางที่ไมร่ ับแลว้ กล่าวว่า แมเ่ จ้า บรุ ุษบุคคลน่ัน มคี วามพอใจก็ตาม ไมม่ ีความพอใจก็ตาม จักทาอะไรแกแ่ ม่เจ้าได้ เพราะแม่เจา้ ไม่มคี วามพอใจ นมิ นตเ์ ถิด เจ้าค่ะ บรุ ุษบคุ คลนั้นจกั ถวายของสงิ่ ใดเป็นของเค้ียวหรือของฉนั ก็ตาม แก่แมเ่ จา้ ๆ จงรบั ประเคนของสิง่ นัน้ ดว้ ยมือของตน แล้วเค้ียวหรือฉนัเถิด เจ้าค่ะ. บรรดาภกิ ษณุ ที เ่ี ป็นผูม้ กั นอ้ ย ต่างกเ็ พ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภกิ ษุณีจึงไดก้ ลา่ วอย่างนวี้ า่ แม่เจา้ บุรษุ บคุ คลนั่น มีความพอใจก็ตาม ไม่มคี วามพอใจกต็ าม จักทาอะไรแก่แม่เจา้ ได้ เพราะแมเ่ จ้าไมม่ คี วามพอใจ นิมนต์เถิด เจ้าคะ่ บรุ ุษบุคคลนัน้ จะถวายของส่งิ ใดเป็นของเค้ียวหรือของฉันก็ตาม แก่แมเ่ จา้ แม่เจ้าจงรบั ประเคนของสิง่ นนั้ด้วยมอื ของตน แลว้ เคย้ี วหรอื ฉันเถดิ ดังนเ้ี ลา่ ... แล้วกราบทูลเรื่องน้นั แด่พระผู้มพี ระภาค ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ ๕๑ กงขฺ า.อ. ๕๒ ๕๒ วิ.ภกิ ขนุ ี. (ไทย) ๓/๗๐๕/๔๙ ๕๓ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๑๒/๒๑๓
๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นขอ้ บัญญตั ิเฉพาะภกิ ษณุ ี สกิ ขงั ปจั จาจกิ ขณสกิ ขาบท ๑๐. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี กปุ ติ า อนตตฺ มนา เอว วเทยยฺ “พทุ ธฺ ปจจฺ าจิกฺขามิ ธมมฺปจจฺ าจกิ ขฺ ามิ สงฆฺ ปจจฺ าจิกขฺ ามิ สิกขฺ ปจจฺ าจิกฺขามิ กนิ นฺ ุมาว สมณโิ ยยา สมณโิ ยสกยฺ ธตี โร สนตฺ ญญฺ าปิ สมณโิ ย ลชชฺ นิ โิ ย กกุ กฺ จุ จฺ กิ า สิกขฺ ากามา, ตาสาห สนตฺ เิ ก พรฺหฺมจรยิ จรสิ สฺ ามี”ต.ิ สา ภิกขฺ นุ ี ภกิ ฺขนุ หี ิ เอวมสสฺ วจนียา “มายเฺ ย กปุ ติ า อนตตฺ มนาเอว อวจ ‘พุทธฺ ปจจฺ าจิกขฺ ามิ ธมมฺ ปจจฺ าจกิ ขฺ ามิ สงฆฺ ปจจฺ าจกิ ฺขามิ สกิ ขฺ ปจจฺ าจิกขฺ ามิกินนฺ มุ าว สมณโิ ย ยา สมณโิ ย สกยฺ ธตี โร สนตฺ ญฺญาปิ สมณโิ ย ลชชฺ นิ โิ ย กกุ กฺ จุ จฺ ิกา สกิ ฺขากามา ตาสาห สนตฺ เิ ก พรฺ หมฺ จรยิ จรสิ สฺ ามี’ติ อภริ มายเฺ ย สวฺ ากขฺ าโต ธมโฺ ม จร พรฺหฺมจรยิ สมมฺ า ทุกขฺ สสฺ อนตฺ กิรยิ ายา”ติ เอวญจฺ สา ภกิ ขฺ นุ ี ภกิ ฺขนุ หี ิ วจุ จฺ มานา ตเถวปคคฺ ณเฺ หยยฺ สา ภกิ ฺขนุ ี ภกิ ขฺ นุ หี ิ ยาวตตยิ สมนภุ าสติ พพฺ า ตสสฺ ปฏนิ สิ สฺ คคฺ าย ยาวตตยิ ญเฺ จ สมนภุ าสยิ มานา ต ปฏนิ สิ สฺ ชเฺ ชยยฺ อจิ เฺ จต กสุ ล โน เจ ปฏนิ สิ สฺ ชเฺ ชยยฺ อยมปฺ ิภกิ ฺขนุ ี ยาวตตยิ ก ธมมฺ อาปนนฺ า นสิ สฺ ารณยี สงฆฺ าทเิ สส.๕๔ กภ็ ิกษุณีใดโกรธ ไมพ่ อใจ กล่าวอยา่ งน้วี ่า “ดฉิ ันขอบอกลาพระพุทธ ขอบอกลาพระธรรม ขอบอกลาพระสงฆ์ ขอบอกลาสกิ ขา สมณะหญิงจะมีแต่สมณศากยธิดาเหล่าน้ันกระนั้นหรอื แม้สมณะหญิงเหลา่ อื่นผู้มีความละอาย มีความระมดั ระวัง ใฝ่การศกึ ษากย็ ังมีอยู่ เราจะไปประพฤติพรหมจรรย์ในสานักของสมณะหญงิ เหล่านน้ั ”ภกิ ษณุ ีนั้นอนั ภกิ ษุณีทงั้ หลายพึงวา่ กล่าวตกั เตือนอย่างนวี้ า่ “แมเ่ จา้ ทา่ นโกรธ ไม่พอใจก็อย่าได้กล่าวอย่างน้วี า่ ดิฉันขอบอกลาพระพุทธ ขอบอกลาพระธรรม ขอบอกลาพระสงฆ์ ขอบอกลาสกิ ขา สมณะหญงิ จะมแี ตส่ มณศากยธดิ ากระนั้นหรือ แมส้ มณะหญงิเหล่าอ่นื ผูม้ คี วามละอาย มีความระมัดระวงั ใฝ่การศึกษาก็มีอยู่ เราจะไปประพฤติพรหมจรรย์ในสานกั ของสมณะหญิงเหล่านน้ั ดังน้ี แมเ่ จา้ ทา่ นจงยินดเี ถิด พระธรรมอนัพระผู้มีพระภาคตรสั ไวด้ แี ลว้ จงประพฤติพรหมจรรยเ์ พอ่ื ทาทส่ี ุดทุกข์โดยชอบเถิด”ภิกษณุ นี นั้ อันภิกษุณีทัง้ หลายวา่ กลา่ วตกั เตือนอยู่อยา่ งนี้ ก็ยงั ยืนยันอยู่อย่างนน้ั ภิกษุณีนั้นอันภกิ ษุณีทัง้ หลายพึงสวดสมนภุ าสน์จนครบ ๓ ครัง้ เพ่ือให้สละเรอื่ งนั้น ถา้ เธอกาลังถกู สวดสมนภุ าสน์กว่าจะครบ ๓ ครัง้ สละเร่ืองนั้นได้ นั่นเป็นการดี ถ้าไมส่ ละ แมภ้ ิกษณุ ีนต้ี ้องธรรมคือสังฆาทิเสส ที่ชอ่ื ว่ายาวตติยกะ นิสสารณยี ะ๕๕ ๕๔ กงฺขา.อ. ๕๓ ๕๕ วิ.ภิกขนุ .ี (ไทย) ๓/๗๑๐/๕๓
๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถ๕ี ๖ ๒) บุคคลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษุณีจณั ฑกาลี ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภกิ ษุณจี ณั ฑกาลีโกรธไม่พอใจกล่าวบอกคืนพระรตั นตรัย บอกคืนสิกขาบท ภิกษณุ ีถลุ ลนนั ทาถูกสงฆ์สวดสมนุภาสแลว้ยังกล่าวกะภิกษุณีทงั้ หลายอย่างนีว้ ่า แมเ่ จ้าท้ังหลาย ท่านทงั้ หลายจรอยู่คลุกคลกี ันเถิดอยา่ ตา่ งคนต่างอยูเ่ ลยภกิ ษุณีแม้เหลา่ อน่ื ท่ีมีอาจาระเช่นนี้ มเี กียรติศพั ท์เช่นน้ี มีอาชวี ะเชน่ น้ี มักเบยี ดเบยี นภิกษุณสี งฆ์เชน่ น้ี ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกันเชน่ น้ี ก็ยังมใี นหมู่สงฆ์ ไม่เห็นสงฆ์ว่าอะไรภิกษณุ ีเหล่านั้น พวกทา่ นเทา่ นน้ั ถูกสงฆว์ ่ากลา่ วด้วยความดูหมนิ่ ดว้ ยความไม่สุภาพ ดว้ ยความไม่อดกลั้นด้วยความขเู่ ขญ็ และเพราะความท่ีพวกทา่ นเป็นคนอ่อนแออย่างนีว้ ่า พ่นี ้องหญงิ ท้งั หลายแล อยู่คลุกคลีกันมอี าจาระทราม มีเกียรติศัพทไ์ มง่ าม มอี าชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภกิ ษุณีสงฆ์ ชอบปกปดิ โทษของพรรคพวกกัน แม่เจา้ ท้ังหลายจงแยกกันอย่เู ถดิ สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงดั อยา่ งเดียวแก่พี่นอ้ งหญงิ ทั้งหลาย ดังน้ี บรรดาภกิ ษณุ ที เี่ ป็นผ้มู กั นอ้ ย สันโดษ ... ต่างก็เพ่งโทษ ตเิ ตียน โพนทะนา ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญัตเิ ฉพาะภิกษณุ ี อธกิ รณกปุ ติ สกิ ขาบท ๑๑. ยา ปน ภกิ ฺขนุ ี กสิ มฺ ญิ จฺ เิ ทว อธกิ รเณ ปจจฺ ากตา กปุ ติ า อนตตฺ มนาเอววเทยยฺ “ฉนทฺ คามนิ โิ ย จ ภกิ ขฺ นุ โิ ย โทสคามนิ โิ ย จ ภกิ ขฺ ุนโิ ย โมหคามนิ โิ ย จ ภกิ ฺขนุ โิ ยภยคามนิ โิ ย จ ภกิ ขฺ นุ โิ ย”ติ สา ภกิ ขฺ นุ ี ภกิ ฺขนุ หี ิ เอวมสสฺ วจนยี า “มายเฺ ย กสิ มฺ ญิ จฺ ิเทวอธกิ รเณ ปจจฺ ากตา กปุ ติ า อนตตฺ มนา เอว อวจ ‘ฉนฺทคามนิ โิ ย จภกิ ขฺ นุ โิ ย โทสคามนิ โิ ย จ ภกิ ขฺ ุนโิ ย โมหคามนิ โิ ย จ ภกิ ขฺ นุ โิ ย ภยคามนิ โิ ย จ ภกิ ขฺ นุ โิ ย’ติอยยฺ า โข ฉนฺทาปิ คจเฺ ฉยยฺ โทสาปิ คจเฺ ฉยยฺ โมหาปิ คจเฺ ฉยยฺ ภยาปิ คจเฺ ฉยยฺ า”ต.ิเอวญจฺ สา ภิกขฺ นุ ี ภกิ ขฺ นุ หี ิ วจุ จฺ มานา ตเถว ปคคฺ ณเฺ หยยฺ สา ภกิ ฺขนุ ี ภกิ ขฺ นุ หี ิ ยาวตตยิสมนภุ าสติ พพฺ า ตสสฺ ปฏนิ สิ สฺ คฺคาย ยาวตติยญเฺ จ สมนภุ าสยิ มานา ต ปฏนิ สิ สฺ ชเฺ ชยยฺ อจิ ฺเจต กสุ ล โน เจ ปฏนิ สิ สฺ ชเฺ ชยยฺ อยมปฺ ิ ภกิ ฺขนุ ี ยาวตตยิ ก ธมมฺ อาปนนฺ า นสิ สฺ ารณยีสงฺฆาทเิ สส.๕๗ ๕๖ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๑๓/๒๑๔ ๕๗ กงขฺ า.อ. ๕๓-๕๔
กภ็ กิ ษณุ ีใดถูกตัดสินใหแ้ พค้ ดีในอธิกรณห์ นึ่ง โกรธ ไม่พอใจ จึง กลา่ วอย่างนี้ว่า “พวกภิกษุณีลาเอียงเพราะชอบ พวกภกิ ษณุ ีลาเอียงเพราะชัง พวกภิกษณุ ลี าเอยี งเพราะหลง และพวกภิกษุณลี าเอยี งเพราะกลัว” ภิกษณุ นี น้ั อันภิกษุณีทง้ั หลายพึงว่ากลา่ วตกั เตือนอยา่ งนวี้ า่ “แม่เจา้ ทา่ นเม่ือถกู ตดั สินใหแ้ พค้ ดีในอธิกรณห์ นึ่งโกรธ ไม่พอใจ กอ็ ยา่ ได้กลา่ วอย่างน้ีวา่ พวกภิกษุณี ลาเอยี งเพราะชอบ พวกภกิ ษณุ ีลาเอียงเพราะชงั พวกภกิ ษณุ ลี าเอยี งเพราะหลง และพวกภิกษุณีลาเอยี งเพราะกลวั แมเ่ จา้ เองก็ยังลาเอียงเพราะชอบบา้ ง ลาเอยี งเพราะชงั บา้ ง ลาเอียงเพราะหลงบา้ ง ลาเอยี งเพราะกลวั บ้าง” ภิกษุณี นนั้ อนั ภกิ ษณุ ีท้ังหลายว่ากลา่ วตักเตือนอยูอ่ ยา่ งนกี้ ็ยงั ยืนยนั อย่อู ย่างน้นั ภิกษุณี นัน้ อนั ภิกษณุ ีท้ังหลายพึงสวดสมนุภาสนจ์ นครบ ๓ คร้ังเพื่อให้สละเรือ่ งน้นัถา้ เธอกาลงั ถกู สวดสมนุภาสน์กวา่ จะครบ ๓ ครัง้ สละเรอื่ งนัน้ ได้ น่ันเป็นการดี ถา้ ไม่สละ แมภ้ ิกษุณนี ้กี ็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสสทีช่ อื่ วา่ ยาวตตยิ กะ นสิ สารณยี ะ๕๘ ๑) สถานทีบ่ ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวัตถ๕ี ๙ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษณุ ีจณั ฑกาลี ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษุณจี ัณฑกาลโี กรธเพราะถูกตดั สนิ ใหแ้ พ้คดใี นอธิกรณ์ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ขอ้ บญั ญตั ิเฉพาะภกิ ษุณี ปาปสมาจารปฐมสกิ ขาบท ๑๒. ภกิ ฺขนุ โิ ย ปเนว สสฏฐฺ ฃา วหิ รนตฺ ิ ปาปาจารา ปาปสทฺทา ปาปสโิ ลกาภกิ ขฺ นุ สิ งฺฆสสฺ วเิ หสกิ า อญญฺ มญญฺ สิ สฺ า วชชฺ ปปฺ ฏจิ ฉฺ าทกิ า ตา ภกิ ขฺ ุนโิ ย ภกิ ขฺ ุนหี ิ เอวมสฺสุ วจนยี า “ภคนิ โิ ย โข สสฏฐฺ ฃา วหิ รนตฺ ิ ปาปาจารา ปาปสททฺ า ปาปสโิ ลกา ภกิ ขฺ ุนสิ งฺฆสสฺ วเิ หสกิ า อญญฺ มญญฺ สิ สฺ า วชชฺ ปปฺ ฏจิ ฉฺ าทกิ า ววิ จิ จฺ ถายเฺ ย วเิ วกญเฺ ญว ภคนิ นี สงฺโฆ วณเฺ ณต”ี ติ เอวญจฺ ตา ภกิ ฺขนุ โิ ย ภกิ ขฺ ุนหี ิ วจุ จฺ มานา ตเถว ปคฺคณเฺ หยยฺ ุ ตา ภกิ ขฺ ุนโิ ยภกิ ฺขนุ หี ิ ยาวตตยิ สมนภุ าสติ พพฺ า ตสสฺ ปฏนิ สิ สฺ คคฺ าย ยาวตตยิ ญเฺ จ สมนภุ าสยิ มานา ตปฏนิ สิ สฺ ชเฺ ชยยฺ ุ อจิ เฺ จต กสุ ล โน เจ ปฏนิ สิ สฺ ชเฺ ชยยฺ ุ อมิ าปิ ภกิ ขฺ นุ โิ ย ยาวตตยิ ก ธมฺมอาปนนฺ า นสิ สฺ ารณยี สงฺฆาทเิ สส.๖๐ ๕๘ วิ.ภิกขนุ ี (ไทย) ๓/๗๑๖/๕๙. (มจร.) ๕๙ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๑๔/๒๑๔. (มจร.) ๖๐ กงขฺ า.อ. ๕๔
กภ็ กิ ษณุ ีทง้ั หลายอยู่คลกุ คลกี ัน มีความประพฤตเิ ลวทราม มกี ติ ตศิ ัพท์ในทางเสอ่ื มเสยี มีช่ือเสียงไม่ดี มักเบยี ดเบียนภิกษุณสี งฆ์ ปกปิดโทษของกนั และกนัภิกษณุ เี หล่าน้นั อันภิกษณุ ีท้งั หลายพงึ ว่ากลา่ วตักเตือนอยา่ งนว้ี า่ “นอ้ งหญงิ ทัง้ หลายอยู่คลกุ คลกี นั มีความประพฤตเิ ลวทราม มีกิตตศิ ัพทใ์ นทางเสื่อมเสยี มีช่ือเสยี งไม่ดี มักเบยี ดเบยี นภกิ ษุณสี งฆ์ ปกปิดโทษของกันและกนั น้องหญิงทง้ั หลาย พวกท่านจงแยกกนัอยู่เถิด สงฆย์ ่อมสรรเสริญการแยกกันอย่ขู องน้องหญงิ ทั้งหลายเทา่ น้ัน” ภกิ ษุณีเหลา่ นัน้อนั ภิกษุณที ัง้ หลายวา่ กลา่ วตักเตือนอยู่อยา่ งน้ี ก็ยังยนื ยนั อยู่อย่างนั้น ภกิ ษุณีเหล่านัน้ อนัภิกษณุ ีท้งั หลายพงึ สวดสมนภุ าสนจ์ นครบ ๓ ครง้ั เพื่อให้สละเรือ่ งน้นั ถา้ พวกเธอกาลงั ถกูสวดสมนภุ าสน์กวา่ จะครบ ๓ ครง้ั สละเร่อื งนัน้ ได้ นนั่ เป็นการดี ถา้ ไม่สละแมภ้ ิกษุณีเหล่านกี้ ต็ อ้ งธรรมคือสังฆาทเิ สสท่ีช่อื ว่ายาวตติยกะ นิสสารณยี ะ๖๑ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวตั ถ๖ี ๒ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษุณหี ลายรูป ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษุณีหลายรูปอยู่คลุกคลกี ัน ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบัญญตั เิ ฉพาะภกิ ษุณี ปาปสมาจารทตุ ยิ สกิ ขาบท ๑๓. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี เอว วเทยยฺ “สสฏฐฺ ฃาว อยเฺ ย ตมุ ฺเห วหิ รถ มา ตมุ ฺเหนานา วหิ รติ ถฺ สนฺติ สงเฺ ฆ อญฺญาปิ ภิกขฺ นุ โิ ย เอวาจารา เอวสททฺ า เอวสโิ ลกา ภกิ ขฺ ุนสิ งฆฺ สสฺ วเิ หสกิ า อญญฺ มญญฺ สิ สฺ า วชชฺ ปปฺ ฏจิ ฉฺ าทิกา ตา สงโฺ ฆ น กญิ จฺ ิ อาห ตมุ ฺหญเฺ ญวสงโฺ ฆ อญุ ฺญาย ปรภิ เวน อกขฺ นตฺ ยิ า เวภสสฺ ยิ า ทพุ ฺพลยฺ า เอวมาห ‘ภคนิ โิ ย โข สสฏฐฺ ฃาวิหรนฺติ ปาปาจารา ปาปสททฺ า ปาปสโิ ลกา ภกิ ขฺ นุ สิ งฺฆสสฺ วเิ หสกิ า อญญฺ มญญฺ สิ สฺ าวชชฺ ปปฺ ฏจิ ฉฺ าทกิ า ววิ จิ จฺ ถายเฺ ย วเิ วกญเฺ ญว ภคนิ นี สงโฺ ฆ วณเฺ ณตี”’ติ สา ภกิ ขฺ นุ ี ภกิ ขฺ นุ ีหิ เอวมสสฺ วจนียา “มายเฺ ย เอว อวจ สสฏฐฺ ฃาว อยเฺ ย ตมุ เฺ ห วหิ รถ มา ตมุ เฺ ห นานา วิหรติ ถฺ สนตฺ ิ สงเฺ ฆ อญฺญาปิ ภกิ ขฺ นุ โิ ย เอวาจารา เอวสททฺ า เอวสโิ ลกา ภิกขฺ ุนสิ งฆฺ สสฺ วเิ หสกิ า อญญฺ มญญฺ สิ สฺ า วชชฺ ปปฺ ฏจิ ฉฺ าทกิ า ตา สงโฺ ฆ น กญิ จฺ ิ อาห ตมุ หฺ ญฺเญว สงโฺ ฆ ๖๑ วิ.ภกิ ขุน.ี (ไทย) ๓/๗๒๒/๖๔ ๖๒ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๑๕/๒๑๕
อญุ ญฺ าย ปรภิ เวน อกขฺ นตฺ ยิ า เวภสสฺ ยิ า ทพุ ฺพลยฺ า เอวมาห ‘ภคนิ โิ ย โข สสฏฐฺ ฃา วหิ รนตฺ ิปาปาจารา ปาปสททฺ า ปาปสโิ ลกา ภกิ ฺขนุ สิ งฺฆสสฺ วเิ หสกิ า อญญฺ มญญฺ สิ สฺ า วชชฺ ปปฺ ฏจิ ฺฉาทิกา ววิ จิ จฺ ถายเฺ ย วเิ วกญเฺ ญว ภคนิ นี สงโฺ ฆ วณเฺ ณตี”ติ เอวญจฺ สา ภกิ ขฺ นุ ี ภกิ ฺขนุ หี ิวจุ จฺ มานา ตเถว ปคคฺ ณเฺ หยยฺ สา ภกิ ฺขนุ ีภกิ ขฺ นุ หี ิ ยาวตตยิ สมนภุ าสติ พพฺ า ตสสฺ ปฏนิ สิ สฺ คคฺ าย ยาวตตยิ ญเฺ จ สมนภุ าสยิ มานา ตปฏนิ สิ สฺ ชเฺ ชยยฺ อจิ ฺเจต กสุ ล โน เจ ปฏนิ สิ สฺ ชเฺ ชยยฺ อยมปฺ ิ ภกิ ฺขนุ ี ยาวตตยิ ก ธมมฺ อาปนฺนา นสิ สฺ ารณยี สงฆฺ าทเิ สส.๖๓ ก็ภกิ ษณุ ีใดกลา่ วอย่างน้วี า่ “น้องหญงิ ท้ังหลาย ท่านทั้งหลาย จงอยู่คลุกคลีกนั อยา่ แยกกนั อยู่ ภกิ ษุณีเหลา่ อื่นผู้มคี วามประพฤติอย่างนี้ มีกิตติศพั ทอ์ ย่างน้ี มีชือ่ เสียงอยา่ งนี้ มักเบยี ดเบยี นภกิ ษณุ สี งฆ์ ปกปดิ โทษของกันและกนั ไว้กม็ ีอยใู่ นสงฆ์ สงฆ์ก็ไม่ได้ว่ากลา่ วพวกเธอเลย สงฆไ์ ด้แต่ว่ากล่าว พวกทา่ นเท่านน้ั ด้วยความดูหม่นิ เหยียดหยาม ดว้ ยความไม่พอใจ ด้วยการข่มขู่ เพราะพวกทา่ นอ่อนแอ อย่างน้ีวา่ “น้องหญิงทงั้ หลายอยูค่ ลุกคลีกัน มคี วามประพฤติเลวทราม มีกิตติศัพทใ์ นทางเส่ือมเสยี มชี ่อื เสยี งไม่ดี มกั เบยี ดเบยี น ภิกษณุ ีสงฆ์ ปกปดิ โทษของกนั และกัน นอ้ งหญิงท้งั หลาย พวกท่านจงแยกกันอย่เู ถิด สงฆย์ อ่ มสรรเสรญิ การแยกกนั อยู่ของน้องหญงิ ทง้ั หลายเท่านั้น”ภกิ ษณุ ีนั้นอนั ภกิ ษุณที ัง้ หลายพงึ ว่ากล่าวตกั เตือนอยา่ งนีว้ ่า “น้องหญิง ท่านอยา่ กลา่ วอย่างน้วี ่า น้องหญิงท้ังหลาย ท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกัน อยา่ แยกกนั อยู่ ภกิ ษุณแี ม้เหล่าอื่นผมู้ ีความประพฤติอย่างนี้ มีกิตตศิ ัพท์อย่างนี้ มชี ่ือเสียงอยา่ งน้ี มักเบียดเบียนภิกษณุ ีสงฆ์ ชอบปกปิดโทษกันไวก้ ็มีอยใู่ นสงฆ์ สงฆ์กไ็ มไ่ ด้ว่ากล่าวภกิ ษุณีเหล่านนั้ เลย ได้แตว่ า่ กลา่ วพวกท่านเทา่ นั้นด้วยความดหู มนิ่ เหยยี ดหยาม ดว้ ยความไม่พอใจ ด้วยการขม่ ขู่ เพราะพวกทา่ น ออ่ นแอ อยา่ งนี้ว่า น้องหญงิ ท้งั หลายอยูค่ ลุกคลกี ัน มีความประพฤตเิ ลวทราม มกี ติ ติศพั ทใ์ นทางเสื่อมเสีย มีช่ือเสียงไม่ดี มักเบียดเบยี นภกิ ษุณีสงฆ์ปกปิดโทษของกันและกนั นอ้ งหญิงท้ังหลาย พวกทา่ นจงแยกกนั อยูเ่ ถิด สงฆย์ อ่ มสรรเสรญิ การแยกกนั อยขู่ องน้องหญงิ ท้ังหลายเทา่ น้นั ” ภกิ ษณุ ีนน้ั อนั ภิกษณุ ี ท้ังหลายวา่ กลา่ วตักเตือนอยู่อย่างน้ี ก็ยังยนื ยนั อยอู่ ย่างน้นั ภิกษุณีน้นั อนั ภิกษุณีท้ังหลายพงึ สวดสมนภุ าสน์จนครบ ๓ คร้ังเพือ่ ให้สละเร่ืองนั้น ถา้ เธอกาลังถกู สวดสมนุภาสน์กวา่ จะครบ ๖๓ กงขฺ า.อ. ๕๔
๓ ครั้งสละเรื่องนน้ั ได้ นั่นเปน็ การดี ถ้าไม่สละ แมภ้ กิ ษุณีน้ีก็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสสทชี่ อ่ืว่ายาวตตยิ กะ นสิ สารณยี ะ๖๔ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถ๖ี ๕ ๒) บุคคลผกู้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษุณีถุลลนนั ทา ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภิกษณุ ีถลุ ลนันทา สง่ เสริมพูดชกั ชวนให้อยู่คลกุ คลีกนั ภิกษุณีถลุ ลนันทาถูกสงฆ์สวดสมนุภาสแล้วยงั กล่าวกะภกิ ษุณีท้ังหลายอย่างนีว้ ่า แม่เจ้าทั้งหลาย ทา่ นทง้ั หลายจงอยู่คลุกคลกี นั เถดิ อยา่ ต่างคนตา่ งอยู่เลยภกิ ษณุ แี ม้เหลา่ อน่ื ท่ีมีอาจาระเชน่ นี้ มีเกยี รตศิ ัพท์เชน่ นี้ มอี าชีวะเชน่ น้ี มักเบยี ดเบยี นภกิ ษุณีสงฆเ์ ช่นนี้ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกนั เช่นนี้ กย็ ังมใี นหม่สู งฆ์ ไม่เหน็ สงฆว์ า่ อะไรภิกษุณีเหล่านนั้ พวกท่านเท่าน้นั ถูกสงฆ์ว่ากลา่ วดว้ ยความดูหมนิ่ ด้วยความไมส่ ุภาพ ดว้ ยความไมอ่ ดกลน้ัด้วยความขู่เข็ญ และเพราะความท่ีพวกทา่ นเปน็ คนออ่ นแออย่างนี้วา่ พีน่ ้องหญิงทั้งหลายแล อยู่คลุกคลกี ันมีอาจาระทราม มเี กียรตศิ ัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไมช่ อบ มกัเบยี ดเบียนภกิ ษณุ ีสงฆ์ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน แมเ่ จา้ ท้ังหลายจงแยกกันอยู่เถดิ สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พ่นี ้องหญงิ ทั้งหลาย ดงั น.้ี บรรดาภกิ ษุณีทเี่ ป็นผมู้ กั นอ้ ย สนั โดษ ... ตา่ งกเ็ พง่ โทษ ตเิ ตยี น โพนทะนา ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕) ประเภทของบญั ญัติ เป็นข้อบญั ญตั เิ ฉพาะภิกษณุ ี ๖๔ วิ.ภกิ ขนุ ี. (ไทย) ๓/๗๒๘/๖๘-๗๐ ๖๕ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๑๖/๒๑๕
บทที่ ๓ อนยิ ตสกิ ขาบท๓.๑ อนิยต ๒ สกิ ขาบท ปฐมอนิยตสกิ ขาบท ๑. โย ปน ภกิ ขฺ ุ มาตุคาเมน สทธฺ ึ เอโก เอกาย รโห ปฏจิ ฉฺ นเฺ น อาสเน อลกมฺมนเิ ย นสิ ชชฺ กปเฺ ปยยฺ ตเมน สทเฺ ธยยฺ วจสา อุปาสกิ า ทสิ วฺ า ตณิ ณฺ ธมฺมาน อญญฺตเรน วเทยยฺ ปาราชเิ กน วา สงฺฆาทเิ สเสน วา ปาจติ ตฺ เิ ยน วา นสิ ชชฺ ภกิ ขฺ ุ ปฏชิ านมาโนตณิ ณฺ ธมมฺ าน อญญฺ ตเรน กาเรตพโฺ พ ปาราชเิ กน วา สงฺฆาทเิ สเสน วา ปาจติ ตฺ เิ ยนวา เยน วา สา สทฺเธยยฺ วจสา อปุ าสกิ า วเทยยฺ เตน โส ภิกขฺ ุ กาเรตพโฺ พ อย ธมโฺ มอนยิ โต.๖๖ ก็ ภิกษใุ ดนั่งบนอาสนะท่ีกาบังในทลี่ ับพอจะทาการได้กบั มาตคุ าม๖๗ สองต่อสอง อุบาสกิ ามวี าจาเช่ือถือได้ ได้เห็นภกิ ษนุ ่ังกับมาตุคามน้ันแล้วกล่าวโทษด้วยอาบตั ิอยา่ งใดอย่างหน่ึง บรรดาอาบตั ิ ๓ อย่าง คือ ปาราชิก สังฆาทิเสส หรอื ปาจิตตยี ์ ภิกษุนนั้ ยอมรับการนงั่ พึงถูกปรบั ดว้ ยอาบตั อิ ย่างใดอย่างหนง่ึ บรรดาอาบัติ ๓ อย่าง คือปาราชกิ สงั ฆาทเิ สส หรือปาจิตตีย์ อีกอย่างหนง่ึ อุบาสกิ าผู้มวี าจาเชื่อถือไดน้ ้ันกล่าวโทษด้วยอาบัติใด ภิกษนุ ั้นพึงถูกปรับดว้ ยอาบัตินั้น อาบตั นิ ้ชี อื่ ว่า อนยิ ต๖๘ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๖ี ๙ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ พระอุทายีนัง่ ในท่ีลบั ตากับหญงิ สองต่อสอง ๖๖ กงขฺ า.อ. ๙ ๖๗ มาตุคาม ได้แก่ หญงิ มนษุ ย์ ไมใ่ ช่หญงิ ยกั ษ์ ไมใ่ ช่หญงิ เปรต ไม่ใชส่ ตั ว์ดริ ัจฉานตวั เมียโดยทสี่ ดุ แม้เดก็ หญงิ ท่ี เกิดในวันนัน้ ไมต่ ้องพูดถงึ สตรผี ู้ใหญ่ ๖๘ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๔๔๔/๔๗๓-๔๗๕ ๖๙ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๒/๒๒
๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ พระอุทายี เปน็ พระประจาสกลุในพระนครสาวัตถีเข้าไปหาสกุลเปน็ อนั มาก สมยั นั้น สาวนอ้ ยแหง่ สกลุ อุปัฏฐากของท่านพระอุทายี เป็นสตรที ่ีมารดาบดิ ายกใหแ้ กห่ นมุ่ น้อยของสกุลหน่ึง ครั้นเวลาเชา้ ทา่ นพระอุทายีครองอนั ตรวาสกแลว้ ถือบาตรและจีวรเข้าไปหาสกลุ น้นั ครน้ั แล้วจึงไต่ถามพวกชาวบา้ น ทราบว่านางอยู่ในห้อง ท่านพระอุทายีเข้าไปหาสาวนอ้ ยนนั้ คร้นั แลว้สาเรจ็ การนั่งในทลี่ ับคือในอาสนะกาบงั ซึ่งพอจะทาการได้กับสาวนอ้ ยนั้น หน่งึ ต่อหนึ่งเจรจากล่าวธรรมอยู่ ควรแก่เวลา. สมยั นัน้ แล นางวสิ าขา มิคารมาตา เป็นสตรมี ีบตุ รมาก มีนัดดามากมบี ุตรไม่มีโรค มีนัดดาไม่มีโรค ซ่งึ โลกสมมตวิ า่ เป็นมิ่งมงคล พวกชาวบา้ นเชิญนางไปให้รับประทานอาหารก่อนในงานบาเพญ็ กศุ ล งานมงคล งานมหรสพ ไดถ้ กู เชญิ ไปส่สู กุลนั้นนางได้เห็นพระอทุ ายี นั่งในท่ลี บั คือในอาสนะกาบัง ซ่งึ พอจะทาการได้กับหญิงสาวนั้นหน่ึงต่อหนง่ึ ครน้ั แล้วไดก้ ลา่ วคาน้กี ะท่านพระอุทายวี า่ ข้าแตพ่ ระคณุ เจ้า การท่พี ระคุณเจา้ สาเรจ็ การนง่ั ในท่ีลบั คอื ในอาสนะกาบงั ซ่งึ พอจะทาการไดก้ บั มาตุคาม หนง่ึ ต่อหน่ึงเช่นน้ี ไมเ่ หมาะ ไมค่ วร แม้พระคณุ เจ้าจะไม่ต้องการดว้ ยธรรมนั้นก็จรงิ ถึงอยา่ งน้ัน พวกชาวบ้านผ้ทู ่ไี ม่เล่ือมใส จะบอกใหเ้ ช่อื ไดโ้ ดยยาก ท่านพระอุทายี แม้ถกู นางวสิ าขา มิคารมาตา วา่ กลา่ วอยอู่ ย่างน้ี ก็มิไดเ้ ชือ่ ฟงันางวสิ ขิ าได้แจง้ เร่อื งนั้นแก่ภิกษุท้ังหลาย บรรดาภิกษทุ ี่เป็นผู้มกั น้อย สนั โดษ มีความละอาย มีความรงั เกยี จ ผใู้ คร่ต่อสิกขาต่างพากนั เพง่ โทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวา่ ไฉนทา่ นพระอุทายจี ึงไดส้ าเรจ็ การน่งั ในท่ีลับ คอื ในอาสนะกาบงั ซึง่ พอจะทาการได้กบั มาตคุ าม หน่ึงตอ่ หนงึ่ เล่า แล้วกราบทูลเนือ้ ความน้ันแด่พระผู้มีพระภาค ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบญั ญัตเิ ฉพาะภกิ ษุ ทตุ ยิ อนยิ ตสกิ ขาบท ๒. น เหว โข ปน ปฏจิ ฉฺ นนฺ อาสน โหติ นาลกมมฺ นยิ อลญจฺ โข โหติ มาตุคาม ทฏุ ฐฺ ฃลุ ลฺ าหิ วาจาหิ โอภาสติ ุ โย ปน ภกิ ขฺ ุ ตถารเู ป อาสเน มาตคุ าเมน สทธฺ ึ เอโกเอกาย รโห นสิ ชชฺ กปเฺ ปยยฺ ตเมน สทฺเธยยฺ วจสา อปุ าสกิ า ทสิ วฺ า ทวฺ นิ นฺ ธมฺมาน อญญฺตเรน วเทยยฺ สงฆฺ าทเิ สเสน วา ปาจติ ตฺ เิ ยน วา นสิ ชชฺ ภกิ ขฺ ุ ปฏชิ านมาโน ทวฺ นิ นฺ ธมมฺ าน
อญญฺ ตเรน กาเรตพโฺ พ สงฺฆาทิเสเสน วา ปาจติ ตฺ เิ ยน วา เยน วา สา สทเฺ ธยยฺ วจสา อปุ าสิกา วเทยยฺ เตน โส ภกิ ขฺ ุ กาเรตพโฺ พ อยมปฺ ิ ธมโฺ ม อนยิ โต.๗๐ ก็ สถานท่ีไม่ใชอ่ าสนะท่กี าบัง ไม่พอจะทาการได้ แต่เปน็ สถานที่พอจะพดูเกย้ี วมาตคุ ามดว้ ยวาจาชั่วหยาบได้ กภ็ ิกษุใดนั่งบนอาสนะเช่นนั้น ในที่ลบั กับมาตุคามสองตอ่ สอง อุบาสิกามีวาจาเช่ือถือได้ ได้เหน็ ภิกษุนั่งกบั มาตุคามนนั้ แลว้ กลา่ วโทษด้วยอาบัติอย่างใดอยา่ งหนง่ึ บรรดาอาบัติ ๒ อย่าง คือ สงั ฆาทเิ สส หรอื ปาจติ ตีย์ ภิกษุยอมรบั การนั่ง พึงถกู ปรบั ด้วยอาบัติอย่างใดอย่างหนง่ึ บรรดาอาบัติ ๒ อย่าง คือสงั ฆาทิเสส หรอื ปาจติ ตยี ์ อีก อย่างหน่ึง อุบาสิกาผู้มีวาจาเช่ือถอื ได้นน้ั กล่าวโทษด้วยอาบตั ิใด ภิกษุน้ันพึงถกู ปรับด้วยอาบตั นิ ั้น อาบตั ิน้ชี ่ือว่า อนิยต๗๑ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวตั ถ๗ี ๒ ๒) บคุ คลผ้กู อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระอุทายี ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ พระอทุ ายีน่งั ในที่ลับหูกับหญงิสองตอ่ สอง ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบญั ญัตเิ ฉพาะภิกษุ บทที่ ๔ นสิ สคั คยี ์ ๒๔ สกิ ขาบท๗๓ จวี รวรรค อทุ โทสติ สกิ ขาบท ๒. นฏิ ฐฺ ฃติ จวี รสมฺ ึ ภกิ ฺขนุ า อพุ ภฺ ตสมฺ ึ กถเิ น เอกรตตฺ มปฺ ิ เจ ภิกขฺ ุ ตจิ วี เรนวปิ ปฺ วเสยยฺ อญฺญตรฺ ภิกขฺ สุ มมฺ ตุ ยิ า นสิ สฺ คคฺ ยิ ปาจติ ตฺ ยิ .๗๔ เมอ่ื จีวรของภกิ ษสุ าเร็จแลว้ เมือ่ กฐินเดาะแล้ว ถา้ ภิกษุอยู่ ปราศจากไตรจวี รแม้ส้นิ ราตรีหน่ึง ต้องอาบตั นิ ิสสคั คิยปาจิตตยี ์ เวน้ แตภ่ กิ ษุไดร้ ับสมมติ๗๕ ๗๐ กงฺขา.อ. ๙ ๗๑ ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๔๕๓/๔๘๐ ๗๒ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๓/๒๗ ๗๓ นับภิกษแุ ละภกิ ษณุ รี วมกนั ๒๒ สกิ ขาบท ๗๔ กงฺขา.อ. ๑๐ ๗๕ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๔๗๕/๑๑
๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวตั ถ๗ี ๖ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษุหลายรูป ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภิกษหุ ลายรูปฝากจีวรไวแ้ ลว้หลีกไปสทู่ ่ีจารกิ โดยมีเพยี งอุตตราสงคแ์ ละอนั ตรวาสกเท่านั้น ภิกษุทงั้ หลายฝากผ้าสงั ฆาฏไิ วแ้ กภ่ ิกษุทั้งหลายแล้ว มีแต่ผ้าอุตราสงค์กับผา้ อันตรวาสก หลกี ไปส่จู ารกิ ในชนบท. ผา้ สงั ฆาฏเิ หลา่ นนั้ ถกู เก็บไว้นาน ก็ขนึ้ ราตกหนาว ภิกษทุ ั้งหลายจึงผึง่ ผ้าสงั ฆาฏิเหล่าน้ัน.ทา่ นพระอานนท์เท่ียวตรวจดเู สนาสนะ ไดพ้ บภิกษเุ หล่านั้นกาลังผึ่งผ้าสังฆาฏิอยู่ ครน้ั แลว้ จึงเขา้ ไปหาภิกษุเหล่าน้ัน ถามวา่ จีวร ทขี่ น้ึ ราเหล่าน้ขี องใคร จงึ ภกิ ษุเหลา่ น้นั แจ้งความนัน้ แกท่ ่านพระอานนท์แลว้ .ทา่ นพระอานนทจ์ งึ เพง่ โทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนภกิ ษุทัง้ หลายจึงได้ฝากผา้ สังฆาฏิ ไวแ้ กภ่ ิกษุท้ังหลายแล้ว มีแต่ผ้าอตุ ราสงค์กับผ้าอนั ตรวาสก หลกี ไปสจู่ ารกิ ในชนบทเล่า แลว้ กราบทูลเรอ่ื งนน้ั แด่พระผมู้ ีพระภาค ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ ๑ พระอนุบัญญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นข้อบญั ญัตทิ ว่ั ไปทั้งภกิ ษุและภกิ ษุณี อกาลจวี รสกิ ขาบท ๓. นฏิ ฐฺ ฃติ จวี รสมฺ ึ ภกิ ฺขนุ า อุพภฺ ตสมฺ ึ กถเิ น ภกิ ขฺ โุ น ปเนว อกาลจวี ร อปุ ปฺ ชฺเชยยฺ อากงขฺ มาเนน ภกิ ขฺ นุ า ปฏคิ คฺ เหตพฺพ ปฏคิ คฺ เหตวฺ า ขิปปฺ เมว กาเรตพฺพ โน จสสฺปารปิ รู ิ มาสปรม เตน ภกิ ขฺ นุ า ต จวี ร นกิ ขฺ ปิ ติ พฺพ อนู สสฺ ปารปิ รู ยิ า สตยิ า ปจจฺ าสาย.ตโต เจ อุตตฺ ริ นิกขฺ ิเปยยฺ สตยิ าปิ ปจจฺ าสาย นสิ สฺ คคฺ ิย ปาจติ ฺตยิ .๗๗ เม่อื จวี รของภกิ ษสุ าเรจ็ แลว้ เม่ือกฐินเดาะแลว้ อกาลจวี รเกดิ ขึ้นแก่ภิกษุภิกษตุ ้องการก็พึงรบั ไวไ้ ด้ ครั้นรับแล้วพงึ รบี ใหท้ าเป็นจีวร ถ้าผา้ น้นั มีไม่พอ เม่ือมีความหวังว่าจะได้ผา้ มาเพิ่ม ภกิ ษนุ ้ันพึงเกบ็ ผ้าสาหรบั ทาจีวรนน้ั ไวไ้ ม่เกิน ๑ เดือน เพอื่เพิ่มผา้ สาหรบั ทาจวี รที่ยังขาดให้ครบ ถา้ เกบ็ เกินกาหนดนัน้ แมม้ คี วามหวงั ว่าจะไดผ้ ้ามาเพิม่ ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์๗๘ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๗ี ๙ ๗๖ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๕/๒๙ ๗๗ กงขฺ า.อ. ๑๐ ๗๘ วิ.มหา. (ไทย) ๒/๔๙๙/๒๐-๒๑ ๗๙ วิ.ป. (ไทย) ๘/๒๖/๓๐
๒) บุคคลผูก้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษหุ ลายรูป ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ การรับผ้านอกฤดูกาลแล้วเกบ็ ไวเ้ กิน ๑ เดือน ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ ๑ พระอนุบัญญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญตั ทิ วั่ ไปทั้งภกิ ษุและภิกษุณี ปรุ าณจวี รสกิ ขาบท ๔. โย ปน ภกิ ขฺ ุ อญญฺ าติกาย ภกิ ขฺ นุ ยิ า ปรุ าณจวี ร โธวาเปยยฺ วา รชาเปยฺยวา อาโกฏาเปยยฺ วา นสิ สฺ คคฺ ิย ปาจติ ตฺ ยิ .๘๐ ก็ ภกิ ษุใด ใช้ภกิ ษณุ ผี ไู้ มใ่ ช่ญาติ ใหซ้ กั ใหย้ ้อม หรอื ให้ทุบจีวรเก่า ตอ้ งอาบัตินสิ สคั คิยปาจติ ตีย์๘๑ ๑) สถานทบี่ ญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรุงสาวัตถ๘ี ๒ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระอุทายีใชภ้ ิกษณุ ีผู้ไม่ใช่ญาติใหซ้ ักจีวรเกา่ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ปรุ าณาทตุ ยิ กิ าของท่านพระอุทายี บวชอยู่ ในสานกั ภิกษุณี นางมายงั สานักทา่ นพระอุทายีเสมอ แม้ท่านพระอทุ ายีก็ไปยังสานักภกิ ษุณีนน้ั เสมอ และบางครั้งก็ฉนั อาหารอยู่ในสานักภิกษุณนี ั้น. เชา้ วนั หนึ่งทา่ นพระอุทายคี รอง อันตรวาสกแลว้ ถือบาตรจวี รเข้าไปหาภิกษณุ นี ั้นถึงสานัก คร้นั แล้วนงั่ บนอาสนะ เปิดองคก์ าเนิด เบือ้ งหน้าภกิ ษุณนี ้ัน แมภ้ ิกษณุ นี นั้ ก็น่งั บนอาสนะ เปดิองค์กาเนิดเบ้ืองหนา้ ท่านพระอุทายี ท่านพระอุทายมี ีความกาหนดั ได้เพง่ ดูองค์กาเนดิของนาง อสจุ ิไดเ้ คลื่อนจากองค์กาเนิดของ ทา่ นพระอทุ ายี ท่านพระอุทายไี ด้พดู กะนางวา่ ดกู รน้องหญงิ เธอจงไปหาน้ามา ฉนั จะซักผา้ อนั ตรวาสก นางบอกวา่ สง่ มาเถิดเจ้าข้า ดฉิ ันเองจักซักถวาย. ครั้นแลว้ นางไดด้ ูดอสุจิน้นั ของท่าน สว่ นหน่ึง อีกสว่ นหน่งึ ได้สอดเข้าไปในองค์กาเนิด นางได้ตั้งครรภเ์ พราะเหตนุ น้ั แล้ว. ภิกษุณีทง้ั หลายได้พดู กันอยา่ งนว้ี ่า ภิกษุณีรูปน้ีมิใช่พรหมจารินี ภกิ ษุณีรปู น้ีจงึ มีครรภ์. นางพดู วา่ แมเ่ จ้า ดิฉนั มใิ ช่พรหมจารนิ ีก็หาไม่ คร้ันแล้วนางได้แจ้งความน้ันแกภ่ ิกษุณีท้ังหลาย. ๘๐ กงขฺ า.อ. ๑๐ ๘๑ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๐๔/๒๗ ๘๒ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๗/๓๐
ภิกษุณที ง้ั หลาย พากันเพ่งโทษ ติเตยี น โพนทะนาว่า ไฉนทา่ นพระอุทายี จงึ ได้ให้ภกิ ษุณซี ักจวี รเก่าเล่า แลว้ แจ้งความนนั้ แกภ่ ิกษุทั้งหลาย ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ข้อบญั ญตั เิ ฉพาะภกิ ษุ อัญญาตกวญิ ญตั สิ กิ ขาบท ๖. โย ปน ภกิ ขฺ ุ อญฺญาตก คหปตึ วา คหปตานึ วา จวี ร วญิ ญฺ าเปยยฺอญฺญตรฺ สมยา นสิ สฺ คคฺ ยิ ปาจติ ฺตยิ . ตตถฺ าย สมโย อจฺฉนิ นฺ จวี โร วา โหติ ภกิ ฺขุ นฏฐฺ ฃจวี โรวา อย ตตฺถ สมโย.๘๓ อนง่ึ ภิกษใุ ดออกปากขอจวี รจากคฤหัสถช์ ายหรอื คฤหัสถ์หญงิ ผ้ไู ม่ใช่ญาตินอกสมัย ตอ้ งอาบัตินสิ สัคคิยปาจิตตีย์ สมัยในขอ้ นัน้ คือ ภิกษถุ ูกชงิ จวี รไป หรือจีวรสญูหาย นเี้ ป็นสมยั ในขอ้ น้นั ๘๔ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรุงสาวัตถ๘ี ๕ ๒) บุคคลผ้กู อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระอุปนนั ทศากยบุตรออกปากขอจีวรจากบุตรเศรษฐีผู้ไม่ใชญ่ าติ ๓) มูลเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบท ได้แก่ พระอุปนันทศากยบุตร เป็นผู้เชี่ยวชาญ แสดงธรรมี กถา จึงเศรษฐีบุตรผู้หนึ่งเข้าไปหาพระอุปนันทศากยบุตรอภิวาทท่านพระอุปนันทศากยบุตร แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ท่านพระอุปนันทศากยบตุ รไดช้ ้แี จงดว้ ย ธรรมกี ถาใหเ้ ศรษฐีบุตรสมาทาน อาจหาญ ร่าเรงิ แลว้ . เศรษฐบี ตุ รนัน้ อนั ทา่ นพระอุปนนั ทศากยบตุ รช้ีแจงด้วยธรรมกี ถา ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเรงิ แล้ว ไดป้ วารณาท่านพระอปุ นนั ทศากยบุตรในทันใดนั้นแลอย่างน้ีว่า ทา่ นเจา้ ข้า ขอพระคณุ เจ้าพึงบอกสิ่งทตี่ ้องประสงค์ คือ จวี ร บิณฑบาตเสนาสนะ เภสัชบรขิ ารอันเปน็ ปัจจัยของภกิ ษไุ ข้ ซง่ึ ข้าพเจ้าสามารถจะจดั ถวายแด่พระคุณเจ้าได้. ทา่ นพระอปุ นนั ทศากยบุตร ไดก้ ล่าวคานีก้ ะเศรษฐีบุตรนัน้ ว่า ถ้าท่านประสงค์จะถวายแก่ อาตมา ก็จงถวายผา้ สาฎกผนื หนงึ่ จากผา้ เหลา่ น.ี้ ๘๓ กงขฺ า.อ. ๑๑ ๘๔ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๑๘/๔๒ ๘๕ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๒๙/๓๑
เศรษฐีบุตรได้กล่าวขอผดั ว่า ท่านเจ้าขา้ กระผมเป็นกลุ บุตรจะเดนิ ไปมีผ้าผืนเดยี วดูกระไร อยู่ โปรดรออยู่ช่ัวเวลาท่กี ระผมกลบั ไปบ้าน กระผมไปถงึ บา้ นแลว้ จกัจัดสง่ ผา้ สาฎกผนื หนงึ่ จาก ผ้าเหลา่ นี้ หรือผ้าที่ดีกวา่ น้ีมาถวาย.แม้ครั้งท่สี องแล ทา่ นพระอุปนนั ทศากยบุตรก็ได้กล่าวคานีก้ ะเศรษฐีบตุ รนน้ั วา่ ถ้าท่าน ประสงคจ์ ะถวายแก่อาตมา ก็จงถวายผ้าสาฎกผืนหนงึ่ จากผ้าเหลา่ น.ี้ เศรษฐีบตุ รได้กลา่ วขอผดั ว่า ท่านเจา้ ข้า กระผมเปน็ กุลบตุ รจะเดนิ ไปมผี า้ ผืนเดียวดู กระไรอยู่ โปรดรออยชู่ ั่วเวลาทก่ี ระผมกลบั ไปบา้ น กระผมไปถงึ บา้ นแลว้ จกัจัดสง่ ผา้ สาฎก ผนื หนง่ึ จากผ้าเหล่านี้ หรือผา้ ทีด่ ีกว่านีม้ าถวาย.แม้ครง้ั ทส่ี ามแล ท่านพระอุปนันทศากยบุตรก็ได้กล่าวคานี้กะเศรษฐบี ตุ รนนั้ วา่ ถา้ ทา่ น ประสงค์จะถวายแก่อาตมา กจ็ งถวายผ้าสาฎกผืนหนง่ึ จากผ้าเหลา่ นี้. เศรษฐีบุตรได้กล่าวขอผดั วา่ ทา่ นเจ้าขา้ กระผมเป็นกุลบุตรจะเดนิ ไปมีผา้ ผนืเดยี ว ดกู ระไรอยู่ โปรดรออยู่ชวั่ เวลาทกี่ ระผมกลบั ไปบา้ น กระผมกลับไปถึงบ้านแลว้ จกัจัดสง่ ผา้ สาฎกผืนหน่ึงจากผา้ เหล่านี้ หรือผ้าทดี่ กี ว่านีม้ าถวาย. ท่านพระอุปนนั ทศากยบตุ รกลา่ วพอ้ วา่ ท่านไม่ประสงคจ์ ะถวายกจ็ ะปวารณาทาไม ท่าน ปวารณาแล้วไม่ถวาย จะมีประโยชนอ์ ะไร คร้นั เศรษฐบี ุตรนนั้ ถูกทา่ นพระอุปนันทศากยบุตรแคะได้ จึงได้ถวายผา้สาฎกผืนหนง่ึ แลว้ กลับไป ชาวบา้ นพบเศรษฐีบุตรนั้นแลว้ ถามวา่ นาย ทาไมทา่ นจึงมผี ้าผนื เดียวเดนิ กลบั มา เศรษฐีบุตรจึงไดเ้ ลา่ เรอ่ื งนัน้ แกช่ าวบ้านเหล่านนั้ ชาวบ้านจงึ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาวา่ พระสมณะเช้ือสายพระศากยบุตรเหลา่ นี้ มกั มาก ไมส่ นั โดษจะปฏบิ ตั ใิ หถ้ ูกตอ้ งตามที่เขาขอผดั โดยธรรมสกั หน่อยก็ไม่ได้ เมอ่ื เศรษฐบี ุตรกระทาการขอผัดโดยธรรม ไฉนจึงได้ถือเอาผา้ สาฎกไป ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๑ พระอนบุ ญั ญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นขอ้ บญั ญตั ิท่วั ไปท้ังภกิ ษุและภิกษุณี ตตตุ ตรสิ กิ ขาบท ๗. ตญฺเจ อญญฺ าตโก คหปติ วา คหปตานี วา พหหู ิ จวี เรหิ อภหิ ฏฐฺ ฃฃ ปวาเรยยฺ สนตฺ รตุ ตฺ รปรม เตน ภกิ ขฺ นุ า ตโต จวี ร สาทติ พพฺ . ตโต เจ อตุ ตฺ ริ สาทิเยยยฺนสิ สฺ คคฺ ยิ ปาจติ ตฺ ยิ .๘๖ ๘๖ กงฺขา.อ. ๑๑
ถ้าคฤหัสถ์ชายหรือคฤหัสถ์หญิงผู้ไม่ใช่ญาติ นาจีวรจานวนมากมาปวารณาภิกษุนั้น ภิกษุนั้น พึงยินดีจีวรมีอุตตราสงค์และอันตรวาสกเป็นอย่างมากจากจีวรที่เขานามานนั้ ถา้ ยินดเี กนิ กว่าน้นั ต้องอาบตั ิ นสิ สคั คิยปาจิตตีย์๘๗ ๑) สถานทบี่ ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๘ี ๘ ๒) บุคคลผ้กู อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษฉุ ัพพัคคยี ์ออกปากขอจวี รจานวนมาก ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษุฉัพพัคคยี ์ เขา้ ไปหาภกิ ษุทัง้ หลายผูม้ จี ีวร ถกู ชงิ ไป แล้วกล่าวอย่างนี้วา่ อาวโุ สท้งั หลาย การขอจวี รต่อพ่อเจ้าเรือนหรือแมเ่ จ้าเรอื นผู้มิใช่ ญาติ พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตแก่ภกิ ษุผู้มีจวี รถกู ชงิ ไป หรือผู้มีจวี รฉบิ หายแล้ว ท่านทั้งหลาย จงขอจีวรเถดิ ภิกษุเหลา่ นั้นกลา่ ววา่ พอแล้ว ขอรับ พวกผมได้จีวรมาแล้ว พระฉัพพัคคีย์บอกว่าจะขอเพื่อประโยชน์ของพวกท่าน. ลาดับนัน้ พระฉัพพัคคีย์เข้าไปหาพวกพ่อเจ้าเรอื นผู้มิใช่ญาติ แลว้ กลา่ วคาน้ีว่า ท่านทัง้ หลาย พวกภกิ ษุท่ีมจี ีวรถูกชิงไปมาแลว้ ขอท่านทั้งหลายจงถวายจีวรแก่พวกเธอ ดังนี้แล้ว ขอจีวรได้มาเป็นอนั มากครงั้ นนั้ บุรษุ ผูห้ นงึ่ นัง่ อยูใ่ นที่ชุมชน พดู กะบรุ ุษอีกผหู้ นึง่ วา่ พระคุณเจ้าท้ังหลาย ผูม้ จี วี รถกู ชิงไปมาแล้ว ขา้ พเจา้ ไดถ้ วายจวี รแก่ท่านเหลา่ นั้นแล้ว แม้บรุ ษุ อีกผูห้ นงึ่ นน้ั ก็กลา่ วอยา่ งนวี้ า่ แมข้ ้าพเจ้าก็ได้ถวายไปแลว้ แมบ้ รุ ุษอ่นื อีกก็กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ข้าพเจ้าก็ได้ถวายไป แลว้ บรุ ุษเหลา่ น้นั จงึ พากนั เพ่งโทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาวา่ ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จงึ ไม่รู้จักประมาณ ขอจวี รมามากมายเล่า พระสมณะเช้ือสายพระศากยบุตร จักทาการค้าผา้ หรอื จัดตั้งร้านขายผ้า. ภกิ ษุท้ังหลายได้ยนิ ชาวบ้านเหลา่ นนั้ เพง่ โทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุท่ี เป็นผู้มกั น้อย สันโดษ มคี วามละอาย มคี วามรงั เกียจ ผใู้ คร่ตอ่ สิกขา ตา่ งกเ็ พง่โทษ ติเตยี น โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จงึ ได้ไม่ร้จู ักประมาณ ขอจีวรมามากมายเลา่ แลว้ กราบทูลเรื่องนัน้ แด่พระผ้มู ีพระภาค ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบญั ญตั ทิ วั่ ไปท้ังภกิ ษุและภกิ ษุณี ปฐมอปุ กั ขฏสกิ ขาบท ๘๗ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๒๓/๔๗ ๘๘ วิ.ป. (ไทย) ๘/๓๐/๓๒
๘. ภกิ ขฺ ุ ปเนว อทุ ทฺ สิ สฺ อญญฺ าตกสสฺ คหปตสิ สฺ วา คหปตานยิ า วา จวี รเจตาปนนฺ อปุ กขฺ ฏ โหติ “อมิ นิ า จวี รเจตาปนเฺ นน จวี ร เจตาเปตวฺ า อติ ถฺ นนฺ าม ภกิ ขฺ ุ จีวเรน อจฉฺ าเทสสฺ าม”ี ติ ตตรฺ เจ โส ภกิ ขฺ ุ ปุพเฺ พ อปปฺ วารโิ ต อปุ สงกฺ มติ วฺ า จวี เร วกิ ปปฺ ํอาปชเฺ ชยยฺ “สาธุ วต ม อายสมฺ า อมิ นิ า จวี รเจตาปนฺเนน เอวรปู ํ วา เอวรปู ํ วา จวี ร เจตาเปตวฺ า อจฉฺ าเทหี”ติ กลยฺ าณกมยฺ ต อปุ าทาย นสิ สฺ คคฺ ยิ ปาจติ ตฺ ยิ .๘๙ ก็ คฤหัสถ์ชายหรือคฤหัสถ์หญงิ ผ้ไู มใ่ ชญ่ าติ ตระเตรียมทรพั ยเ์ ป็นคา่ จวี รเจาะจงภิกษวุ ่า “เราจะซื้อจีวรดว้ ยทรัพย์เป็นคา่ จวี รนแ้ี ลว้ นิมนต์ภิกษุช่อื นี้ใหค้ รองจวี ร”ถ้าภิกษุนั้นซ่ึงเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เขา้ ไปกาหนดชนิดจีวรในท่ีทเ่ี ขาเตรยี มจวี รไว้เพราะต้องการจีวรดีว่า “ดลี ะ ท่านจงซือ้ จีวรเชน่ นน้ั เช่นนดี้ ว้ ยทรพั ยเ์ ป็นค่าจวี รน้ีแลว้ ให้อาตมาครองเถดิ ” ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจติ ตีย์๙๐ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวตั ถี๙๑ ๒) บุคคลผ้กู อ่ เหตุ ได้แก่ พระอุปนันทศากยบุตร ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ พระอุปนนั ทศากยบุตรผทู้ ี่เขาไม่ได้ปวารณาไวก้ ่อน เขา้ ไปหาคฤหัสถผ์ ูไ้ มใ่ ชญ่ าติแล้วกาหนดจีวร โดยท่ีบรุ ุษผู้หนึ่งได้กล่าวคาน้กี ะภรรยาวา่ ฉันจกั ยงั ทา่ นพระอุปนนั ทะให้ครองจวี ร ภกิ ษรุ ูปหนง่ึ ผถู้ ือการเทย่ี วบณิ ฑบาตเป็นวตั ร ได้ยินบุรุษนน้ั กล่าวคาน้ี จงึ เขา้ ไปหาท่าน พระอุปนนั ทศากยบุตร คร้นั แล้วไดก้ ลา่ วคาน้ีกะทา่ นพระอปุ นันทศากยบุตรวา่ อาวุโส อปุ นนั ทะ ทา่ นเปน็ผมู้ บี ญุ มาก ในสถานทีโ่ นน้ บุรุษผู้หนง่ึ ไดก้ ล่าวคานี้กะภรรยาวา่ ฉนั จักยงั ทา่ นพระอปุ นนัทะให้ครองจวี ร ครน้ั แลว้ ทา่ นพระอปุ นันทศากยบตุ ร ได้เขา้ ไปหาบรุ ุษนนั้ แลว้ สอบถามทราบความจริงแล้ว จงึ บอกวา่ ถ้าทา่ นประสงค์จะให้อาตมาครองจีวร ก็จงใหค้ รองจีวรชนิดน้ีเถดิ เพราะจีวรที่ อาตมาไมใ่ ช้ แม้ครองแล้วจักทาอะไรได.้ บรุ ุษนั้นจึงเพ่งโทษ ติเตยี น โพนทะนาขึน้ ในขณะนั้นว่า พระสมณะเชอ้ื สายพระศากยบุตรเหลา่ นี้ เป็นคนมกั มาก ไม่สนั โดษ จะให้ครองจีวรกท็ าได้ไมง่ ่าย ไฉน ๘๙ กงฺขา.อ. ๑๑ ๙๐ วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๒๘/๕๒ ๙๑ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๓๑/๓๒
พระคุณเจา้ อปุ นนั ทะ อนั เราไมไ่ ดป้ วารณาไว้ก่อนจึงได้เขา้ มาหา แล้วถึงการกาหนดในจวี ร ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบญั ญตั ิทว่ั ไปทั้งภกิ ษุและภกิ ษุณี ทตุ ยิ อปุ กั ขฏสกิ ขาบท ๙. ภกิ ฺขุ ปเนว อทุ ทฺ สิ สฺ อภุ นิ นฺ อญญฺ าตกาน คหปตนี วา คหปตานีนวา ปจฺเจกจวี รเจตาปนนฺ านิ อปุ กขฺ ฏานิ โหนตฺ ิ “อเิ มหิ มย ปจเฺ จกจวี รเจตาปนเฺ นหิ ปจฺเจกจวี รานิ เจตาเปตวฺ า อติ ฺถนนฺ าม ภกิ ขฺ ุ จวี เรหิ อจฺฉาเทสสฺ ามา”ติ ตตรฺ เจ โส ภกิ ขฺ ุ ปพุ ฺเพ อปปฺวารโิ ต อปุ สงกฺ มิตวฺ า จวี เร วกิ ปปฺ ํ อาปชเฺ ชยฺย “สาธุ วต ม อายสมฺ นโฺ ต อเิ มหิ ปจเฺ จกจวี รเจตาปนเฺ นหิ เอวรปู ํ วา เอวรปู ํ วา จวี ร เจตาเปตวฺ า อจฉฺ าเทถ อโุ ภว สนตฺ าเอเกนา”ติ กลยฺ าณกมฺยต อุปาทาย นสิ สฺ คคฺ ยิ ปาจติ ตฺ ยิ .๙๒ ก็ คฤหัสถช์ ายหรือคฤหสั ถห์ ญงิ ผูไ้ ม่ใชญ่ าติ ๒ คน ตระเตรียมทรพั ย์เปน็ ค่าจีวรคนละผนื เจาะจงภิกษวุ ่า “พวกเราจะซือ้ จวี รคนละผืนด้วยทรัพย์เปน็ ค่าจีวรคนละผืนนี้แล้วนมิ นต์ภกิ ษุชอ่ื นใี้ หค้ รองจวี รหลายผืน” ถ้า ภิกษนุ ั้นซ่งึ พวกเขาไมไ่ ดป้ วารณาไว้กอ่ น เข้าไปกาหนดชนดิ จวี รในท่ที เี่ ขาเตรียมจีวรไว้ เพราะตอ้ งการจีวรดวี า่ “ดลี ะ ท่านท้ังสองจงรวมกนั ซ้ือจวี รเชน่ นัน้ เชน่ น้ี ด้วยทรพั ยเ์ ปน็ ค่าจีวรคนละผนื น้ี แล้วนมิ นต์อาตมาให้ครองเถดิ ” ต้องอาบัตินิสสัคคยิ ปาจติ ตีย์๙๓ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๙ี ๔ ๒) บคุ คลผูก้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระอุปนนั ทศากยบุตร ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ พระอุปนันทศากยบุตรผู้ที่เขาไม่ได้ปวารณาไวก้ ่อน เข้าไปหาคฤหสั ถ์ผไู้ ม่ใชญ่ าติแลว้ กาหนดจวี ร มชี ายสองคนพดู กันวา่ ตา่ งคนตา่ งจะซอ้ื ผา้ คนละผืนถวายพระอปุ นนทะ เธอรู้จงึ ไปแนะนาใหเ้ ขารวมทนุ กนัซ้อื ผ้าชนดิ น้ันชนดิ น้ี (ท่ดี ี ๆ) เขาพากนั ติเตยี นวา่ มักมาก ความทราบถงึ พระผู้มพี ระภาคจงึ ทรงบญั ญัติสิกขาบท ห้ามเข้าไปขอให้คฤหสั ถ์ทม่ี ใิ ชญ่ าติ มไิ ด้ปวารณาไว้ก่อน เขาตัง้ ใจจะตา่ งคนตา่ งซ้ือจวี รถวายเธอ แตเ่ ธอกลบั ไปขอให้เขารวมกนั ซ้อื จวี รอย่างนน้ั อย่างน้ีโดยมงุ่ ให้ได้ผ้าดี ๆ ทรงปรับอาบัตนิ สิ สคั คยิ ปาจิตตีย์แกภ่ ิกษผุ ู้ล่วงละเมิด ๙๒ กงขฺ า.อ. ๑๑ ๙๓ วิ.มหา (ไทย) ๒/๕๓๓/๕๘ ๙๔ วิ.ป. (ไทย) ๘/๓๒/๓๓
๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบัญญัติทั่วไปทั้งภกิ ษุและภกิ ษุณี ราชสิกขาบท ๑๐. ภกิ ขฺ ุ ปเนว อทุ ฺทสิ สฺ ราชา วา ราชโภคโฺ ค วา พรฺ าหมฺ โณ วา คหปตโิ กวา ทเู ตน จวี รเจตาปนนฺ ปหเิ ณยยฺ “อมิ นิ า จวี รเจตาปนฺเนน จวี ร เจตาเปตวฺ า อติ ฺถนฺนาม ภกิ ขฺ ุ จวี เรน อจฉฺ าเทหี”ต.ิ โส เจ ทโู ต ต ภกิ ขฺ ุ อุปสงกฺ มติ วฺ า เอว วเทยยฺ “อิท โขภนเฺ ต อายสมฺ นตฺ อทุ ฺทสิ สฺ จวี รเจตาปนฺน อาภต ปฏคิ คฺ ณหฺ าตุ อายสมฺ า จวี รเจตาปนนฺ นฺ”ต.ิ เตน ภกิ ขฺ นุ า โส ทโู ต เอวมสสฺ วจนโี ย “น โข มย อาวโุ ส จีวรเจตาปนนฺปฏิคคฺ ณหฺ าม จวี รญจฺ โข มย ปฏคิ คฺ ณหฺ าม กาเลน กปปฺ ยิ นฺ”ต.ิ โส เจ ทโู ต ต ภกิ ขฺ ุ เอววเทยยฺ “อตฺถิ ปนายสมฺ โต โกจิ เวยยฺ าวจจฺ กโร”ต.ิ จวี รตถฺ เิ กน ภกิ ฺขเว ภกิ ขฺ นุ า เวยยฺ าวจฺจกโร นทิ ทฺ สิ ติ พโฺ พ อารามโิ ก วา อปุ าสโก วา “เอโส โข อาวโุ ส ภกิ ขฺ นู เวยยฺ าวจจฺ กโร”ต.ิโส เจ ทโู ต ต เวยยฺ าวจจฺ กร สญญฺ าเปตวฺ า ต ภกิ ฺขุ อปุ สงฺกมติ วฺ า เอว วเทยฺย “ย โข ภนฺเต อายสมฺ า เวยยฺ าวจจฺ กร นทิ ทฺ สิ ิ สญฺญตโฺ ต โส มยา อปุ สงกฺ มตายสมฺ า กาเลน จวี เรน ตอจฉฺ าเทสสฺ ตี”ต.ิ จวี รตถฺ เิ กน ภกิ ขฺ เว ภกิ ฺขนุ า เวยยฺ าวจจฺ กโร อปุ สงกฺ มติ วฺ า ทวฺ ตตฺ ิกขฺ ตตฺ ุโจเทตพโฺ พ สาเรตพโฺ พ “อตโฺ ถ เม อาวโุ ส จวี เรนา”ติ ทวฺ ตตฺ ิกขฺ ตตฺ ุ โจทยมาโน สารยมาโน ต จวี ร อภนิ ปิ ผฺ าเทยยฺ อจิ เฺ จต กสุ ล โน เจ อภนิ ปิ ผฺ าเทยยฺ จตกุ ขฺ ตตฺ ุ ปญจฺ กขฺ ตฺตุฉกขฺ ตตฺ ปุ รม ตุณหฺ ภี เู ตน อทุ ทฺ สิ สฺ ฐฃาตพพฺ จตกุ ฺขตตฺ ุ ปญจฺ กฺขตตฺ ุฉกฺขตตฺ ปุ รม ตุณหฺ ภี โู ต อุททฺ สิ สฺ ตฏิ ฐฺ ฃมาโน ต จวี ร อภนิ ิปผฺ าเทยยฺ อจิ เฺ จต กสุ ล ตโต เจอตุ ตฺ ริ วายมมาโน ต จวี ร อภนิ ปิ ผฺ าเทยยฺ นสิ สฺ คคฺ ยิ ปาจติ ตฺ ยิ . โน เจ อภนิ ปิ ผฺ าเทยยฺยตสสฺ จวี รเจตาปนฺน อาภต ตตถฺ สาม วา คนตฺ พพฺ ทโู ต วา ปาเหตพโฺ พ “ย โข ตุมเฺ หอายสฺมนโฺ ต ภกิ ขฺ ุ อทุ ฺทสิ สฺ จวี รเจตาปนนฺ ปหณิ ติ ถฺ น ต ตสสฺ ภกิ ฺขโุ น กญิ จฺ ิ อตถฺ อนโุ ภติยุญชฺ นตฺ ายสมฺ นโฺ ต สก มา โว สก วนิ สสฺ า”ติ อย ตตถฺ สามจี .ิ ๙๕ ก็ พระราชา ราชอมาตย์ พราหมณห์ รอื คหบดีผู้ใดผ้หู น่งึ สง่ ทูตมาถวายทรัพย์เปน็ คา่ จวี รเจาะจงภกิ ษุพรอ้ มกบั ส่งั วา่ “ทา่ นจงเอาทรพั ย์เป็นค่าจวี รนี้ซื้อจวี ร แล้วนิมนต์ภิกษุชอ่ื นใี้ ห้ครองจวี ร” ถ้าทูตนน้ั เขา้ ไปหาภิกษุน้นั กล่าวอย่างนี้ว่า “ท่านผู้เจริญ กระผมนาทรัพย์เป็นค่าจีวรนี้มาเจาะจงพระคุณเจ้า พระคุณเจ้าจงรับทรัพย์เป็นค่าจีวรเถิด ”ภิกษุนั้นพึงกล่าวกับทูตนั้นอย่างนี้ว่า “พวกอาตมารับทรัพย์เป็นค่าจีวรไม่ได้ รับเฉพาะจีวรท่สี มควรตามกาล” ถ้าทตู นน้ั พงึ กล่าวกับภกิ ษุนนั้ อยา่ งนว้ี ่า “ก็มีใครผู้เป็นไวยาวัจกร ๙๕ กงฺขา.อ. ๑๒-๑๓
ของท่านบา้ งไหม” ภกิ ษุผู้ต้องการจีวรพงึ แสดงคนวดั หรืออุบาสกให้เปน็ ไวยาวัจกรว่า “ผู้นี้เป็น ไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย” ถ้าทูตตกลงกับไวยาวัจกรแล้วเข้าไปหาภิกษุนั้นกลา่ วอยา่ งน้ีวา่ “ขา้ พเจา้ ตกลงกับคนที่ท่านแนะนาว่า เป็นไวยาวัจกรแล้ว ท่านจงไปหาในเวลาอันสมควร เขาจะนิมนต์ทา่ นใหค้ รองจวี ร” ภกิ ษุทง้ั หลาย ภิกษตุ อ้ งการจีวรพึงเข้าไปหาไวยาวัจกรแล้วทวงหรือเตือน ๒-๓ ครั้งว่า “อาตมาต้องการจีวร” เมื่อทวงหรือเตอื น ๒-๓ ครัง้ ให้เขาจดั จีวรสาเร็จได้ นนั่ เปน็ การดี ถ้าไม่สาเร็จ พึงไปยืนแสดงตนนิ่ง ๆถึง ๔ ครั้ง ๕ ครั้ง หรือ ๖ ครั้ง เป็นอย่างมาก เมื่อยืนแสดงตนนิ่ง ๆ ถึง ๔ ครั้ง ๕ ครั้งหรือ ๖ ครั้งเป็นอย่างมากแล้วให้เขาจัดจีวรสาเร็จได้ นั่นเป็นการดี ถ้าพยายามเกินกว่านนั้ ให้เขาจดั จวี รสาเรจ็ ได้ ตอ้ งอาบัตนิ ิสสคั คิยปาจิตตีย์ ถ้าไม่สาเร็จ พึงไปเองหรือส่งทูตไปในสานักที่เขาส่งทรัพย์เป็นค่าจีวรมา กล่าวว่า “ทรัพย์เป็นค่าจีวรที่ท่านส่งไปเจาะจงภิกษุรูปใดไม่ได้อานวยประโยชน์อะไรแก่ภิกษุรูปนั้นเลย ท่านจงทวงทรัพย์ของท่านคืนมา ทรพั ยข์ องทา่ นอยา่ เสียหายเลย” นเ้ี ปน็ การทาท่ีสมควรในเร่อื งน้นั ๙๖ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถ๙ี ๗ ๒) บคุ คลผูก้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระอปุ นนั ทศากยบุตร ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ มหาอามาตย์ ผู้อปุ ัฏฐากของทา่ นพระอุปนันทศากยบตุ ร สง่ ทรัพยส์ าหรบั จ่ายจวี รไปกบั ทตู ถวายแกท่ ่านพระอปุ นนัทศากยบุตรส่งั ว่า เจ้าจงจา่ ย จวี รดว้ ยทรพั ย์จ่ายจวี รน้ี แลว้ ใหท้ ่านพระอปุ นันทครองจวี รทตู นน้ั จงึ เข้าไปหาทา่ นพระอุปนันทศากยบุตร ครนั้ แล้วไดก้ ล่าวคาน้ี กะท่านพระอปุทนนั ทศากยบตุ รว่า ท่านเจ้าข้า ทรพั ยส์ าหรับ จา่ ยจีวรนแี้ ล กระผมนามาถวายเฉพาะพระคณุ เจ้า ขอพระคุณเจา้ จงรบั ทรพั ยส์ าหรบั จ่ายจวี ร. เม่อื ทูตนัน้ กลา่ วอยา่ งนแี้ ลว้ ทา่ นพระอปุ นนั ทศากยบุตรได้ตอบคาน้ี กะทตูน้นั ว่า พวกเรารับทรพั ยส์ าหรับจ่ายจีวรไม่ได้, รับได้แต่จีวรอันเปน็ ของควรโดยการเท่านั้น เม่ือท่านตอบอยา่ งน้ันแลว้ ทตู นนั้ ได้ถามท่านว่า ก็ใครๆ ผู้เปน็ ไวยาวัจกรของทา่ นมีหรอื ขณะน้นั อุบาสกผหู้ น่งึ ได้เดนิ ไปส่อู ารามด้วยกรณียะบางอยา่ ง จงึ ท่านพระอปุ นันทศากยบตุ รไดก้ ล่าวคานกี้ ะทูตนั้นว่า อุบาสกน้ันแล เปน็ ไวยาวัจกรของภกิ ษุทั้งหลาย ทูตนั้น จงึ สงั่ อบุ าสกน้ันใหเ้ ข้าใจแล้ว กลับเขา้ ไปหาท่านพระอุปนนั ทศากยบตุ ร ๙๖ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๓๘/๖๕-๖๖ ๙๗ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๓๓/๓๓
แจง้ วา่ ทา่ นเจ้าข้า อุบาสกที่พระคุณเจ้าแสดงเป็นไวยาวจั กรนั้น, กระผมสงั่ ใหเ้ ขา้ ใจแล้วขอพระคณุ เจา้ จงเข้าไปหา เขาจกั ใหท้ ่านครองจีวรตามกาล ขณะนน้ั ท่านพระอุปนันทศากยบุตรไม่ได้พดู อะไรกะอุบาสกนน้ั . แม้ครั้งที่สองแล แม้ครั้งที่สามแล ท่านมหาอามาตย์นั้น ก็ได้ส่งทูตไปในสานักท่านพระอุปนันท ศากยบุตรว่า ขอพระคุณเจ้าจงใช้สอยจีวรนั้น, ข้าพเจ้าต้องการจะให้พระคณุ เจา้ ใชจ้ วี รนนั้ . กส็ มยั น้ัน เป็นคราวประชุมของชาวนิคม และชาวนิคมได้ตั้งกตกิ ากันไว้ว่า ผู้ใดมาภายหลัง ต้องถูกปรับ ๕๐ กหาปณะ คราวนั้น ท่านอุปนันทศากยบตุ รเขา้ ไปหาอุบาสกนน่ั แล้วได้กลา่ วคานี้ กะเขาว่า ฉันต้องการจีวร อุบาสกนั้นขอผัดว่าโปรดรอสกั วันหนึง่ กอ่ น, วันนี้เป็นสมยั ประชมุ ของ ชาวนิคม และชาวนิคมได้ตั้งกติกากันไว้ว่า ผใู้ ดมาภายหลังต้องถูกปรบั ๕๐ กหาปณะ. พระอปุ นันทศากยบุตรไดก้ ล่าวคาดคน้ั ว่า ท่านจงให้จีวรแก่ฉนั ในวนั นีแ้ หละแลว้ ยดึ ชายพกไว้อบุ าสกนนั้ ถูกคาดคั้น จงึ จ่ายจวี รถวายท่านพระอปุ นันทศากยบตุ ร แล้วจึงได้ ไปภายหลัง คนทง้ั หลายพากันถามอุบาสกนัน้ วา่ เหตุไรทา่ นจงึ ได้มาภายหลัง ท่านตอ้ งเสียเงิน ๕๐ กหาปณะ อุบาสกนนั้ จงึ ได้เลา่ เรื่องนัน้ ให้คนเหลา่ นัน้ ฟัง คนท้ังหลายพากันเพง่ โทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชอ้ื สายพระศากยบุตรเหลา่ นี้ เปน็ คนมักมาก ไม่สันโดษ จะทาการช่วยเหลอื คนเหล่านบ้ี า้ ง กท็ าไม่ได้งา่ ย ไฉนพระอุปนันทศากยบุตร เมอื่ อุบาสกขอผัด ว่าทา่ นเจา้ ข้า กรุณารอสกั วนั หน่งึ ก่อน กร็ อไมไ่ ด้ ภกิ ษทุ ้ังหลายไดย้ นิ คนเหล่าน้ันเพ่งโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาทเ่ี ปน็ผูม้ ักนอ้ ย สนั โดษ มีความละอาย มีความรงั เกยี จ ผใู้ คร่ต่อสกิ ขา ตา่ งกเ็ พ่งโทษ ติเตยี นโพนทะนา ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบญั ญตั ทิ ่ัวไปท้ังภกิ ษุและภิกษุณี โกสยิ วรรค ทเวภาคสิกขาบท ๑๓. นว ปน ภิกขฺ นุ า สนถฺ ต การยมาเนน ทเฺ ว ภาคา สทุ ธฺ กาฬกาน เอฬกโลมาน อาทาตพฺพา ตตยิ โอทาตาน จตตุ ถฺ โคจรยิ าน. อนาทา เจ ภกิ ขฺ ุ ทเฺ วภาเค สทุ ธฺ
กาฬกาน เอฬกโลมาน ตตยิ โอทาตาน จตตุ ฺถ โคจรยิ าน นว สนถฺ ต การาเปยยฺ นสิ สฺ คฺคยิปาจติ ตฺ ยิ .๙๘ ก็ ภิกษุผใู้ ช้ใหท้ าสนั ถตั ใหม่ พึงเอาขนเจยี มดาล้วน ๒ ส่วน ขนเจียมขาวเป็นส่วนที่ ๓ ขนเจยี มแดงเป็นสว่ นท่ี ๔ ถ้าเธอไม่เอาขนเจียมดาลว้ น ๒ สว่ น ขนเจยี มขาวเป็นสว่ นที่ ๓ ขนเจยี มแดงเปน็ ส่วนที่ ๔ แลว้ ใหท้ าสันถัตใหม่ ตอ้ งอาบัตินสิ สคั คยิปาจติ ตยี ์๙๙ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรุงสาวตั ถี๑๐๐ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษฉุ ัพพัคคยี ์ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษฉุ ัพพัคคยี ์ให้นาขนเจียมขาวหนอ่ ยหนง่ึ ปนไว้ที่ชายสันถตั แลว้ ให้ทาสันถัตขนเจียมดาลว้ นอย่างเดิม โดยที่พระฉัพพคั คยี ์ทราบวา่ พระผมู้ ีพระภาคทรงหา้ ม การกระทาสันถัตแหง่ ขนเจยี มดาลว้ นจงึ ถือเอาขนเจียมขาวหนอ่ ยหนึ่งปนไวท้ ชี่ ายสนั ถัตแลว้ ใหท้ าสันถตั แห่งขนเจยี มดาล้วนเหมอื นอย่างเดิมนั่นแหละ. บรรดาภิกษุผู้มกั น้อย สันโดษ มีความละอาย มคี วามรังเกียจ ผู้ใครต่ ่อสิกขาตา่ ง ก็เพง่ โทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพคั คีย์จึงได้ถือเอาขนเจียมขาวหน่อยหนึ่งปนไวท้ ี่ชาย สนั ถัต แลว้ ให้ทาสันถัตแห่งขนเจียมดาล้วนเหมือนอยา่ งเดิมน้ันแล้วกราบทูลเร่ืองน้นั แด่พระผ้มู ีพระภาค ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ข้อบญั ญตั เิ ฉพาะภกิ ษุ๑๐๑ ฉพั พสั สสกิ ขาบท ๑๔. นว ปน ภกิ ฺขนุ า สนถฺ ต การาเปตวฺ า ฉพพฺ สสฺ านิ ธาเรตพพฺ โอเรน เจฉนนฺ วสสฺ าน ต สนถฺ ต ๙๘ กงฺขา.อ. ๑๓ ๙๙ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๕๓/๘๐ ๑๐๐ วิ.ป. (ไทย) ๒/๓๖/๓๖ ๑๐๑ พระมหาธติ ิพงศ์ อุตฺตมปญโฺ ญ, ภิกขปุ าติโมกขแ์ ปล พร้อมมาติกาสาหรบั วนิ จิ ฉยัสิกขาบท, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, (กรงุ เทพมหานคร: หา้ งหนุ้ สว่ นจากดั ประยรู สาส์นไทย การพมิ พ์, ๒๕๖๐).หนา้ ๒๑๒
วสิ สฺ ชเฺ ชตวฺ า วา อวสิ สฺ ชเฺ ชตวฺ า วา อญญฺ นว สนถฺ ต การาเปยยฺ อญญฺ ตรฺ ภกิ ฺขุ สมฺมตุ ยิ านสิ สฺ คคฺ ยิ ปาจติ ตฺ ยิ .๑๐๒ อนึ่ง ภกิ ษุใชใ้ ห้ทาสนั ถตั ใหม่แลว้ พงึ ใชส้ อยใหไ้ ด้ ๖ ปี ถา้ ตา่ กว่า ๖ ปี เธอจะสละหรอื ไม่สละสนั ถัตนน้ั ก็ตาม ใชใ้ หท้ าสันถัตอน่ื ใหม่ ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจติ ตีย์ เวน้ไวแ้ ต่ภกิ ษุผู้ไดส้ มมติ ๑๐๓ ๑) สถานทบี่ ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถี๑๐๔ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษหุ ลายรปู ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษุหลายรปู ใหท้ าสนั ถัตทุกปีภกิ ษุทั้งหลายให้เขาทาสันถัตใช้ทกุ ๆ ปี, พวกเธอวอนขอเขาอยู่รา่ ไปว่า ทา่ นทง้ั หลายจงให้ขนเจียม อาตมาต้องการขนเจียม ชาวบา้ นพากัน เพ่งโทษตเิ ตยี นโพนทะนาวา่ ไฉนพระสมณะเช้ือสายพระศากยบุตรเหลา่ น้ี จึงได้ขอให้เขาทา สนั ถัตใช้ทุกๆ ปี วอนขอเขาอยรู่ า่ ไปวา่ ท่านท้ังหลายจงให้ขนเจียม อาตมาตอ้ งการขนเจียม ส่วนสนั ถตั ของพวกเราทาคราวเดยี ว ถกู เด็กๆ ของพวกเราถา่ ยอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง หนูกดั เสียบา้ ง ก็ยงั อยู่ได้ถงึ ๕-๖ ปี สว่ นพระสมณะเชอ้ื สายพระศากยบตุ รเหล่านี้ ขอให้เขาทาสนั ถัตใชท้ ุกๆ ปี วอนขอเขาอยูร่ ่าไปวา่ ทา่ นทั้งหลายจงให้ขนเจียม อาตมาต้องการ ขนเจียม. ภิกษทุ งั้ หลายไดย้ ินชาวบ้านเหลา่ นน้ั เพ่งโทษตเิ ตยี นโพนทะนาอยู่ บรรดาท่ีเป็นผมู้ กั นอ้ ย สนั โดษ มีความละอาย มีความรงั เกยี จ ผูใ้ คร่ตอ่ สกิ ขา ต่างกเ็ พ่งโทษติเตยี นโพนทะนาว่า ไฉน ภกิ ษุทัง้ หลายจึงได้ขอให้เขาทาสนั ถัตใชท้ กุ ๆ ปี วอนขอเขาอยูร่ า่ไปวา่ ทา่ นทงั้ หลายจงให้ ขนเจียม อาตมาตอ้ งการขนเจยี ม ดงั น้แี ล้วกราบทูลเร่ืองน้นั แด่พระผมู้ ีพระภาค ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ ๑ พระอนุบญั ญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นขอ้ บญั ญัติเฉพาะภกิ ษุ นสิ ีทนสนั ถตสกิ ขาบท ๑๐๒ กงฺขา.อ. ๑๓ ๑๐๓ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๖๑/๘๕ ๑๐๔ วิ.ป. (ไทย) ๘/๓๗/๒๖
๑๕. นสิ ีทนสนถฺ ต ปน ภกิ ขฺ นุ า การยมาเนน ปรุ าณสนถฺ ตสสฺ สามนตฺ า สคุ ตวทิ ตถฺ ิ อาทาตพฺพา ทพุ พฺ ณฺณกรณาย. อนาทา เจ ภกิ ขฺ ุ ปรุ าณสนถฺ ตสสฺ สามนฺตา สคุ ตวทิ ตถฺ ึ นว นสิ ที นสนถฺ ต การาเปยยฺ นสิ สฺ คคฺ ยิ ปาจติ ตฺ ยิ .๑๐๕ ก็ ภกิ ษผุ ้ใู ชใ้ หท้ าสันถัตรองนง่ั พึงเอาสันถตั เกา่ ๑ คืบสคุ ตโดย รอบมาปนเพ่ือทาใหเ้ สยี สี ถ้าไมเ่ อาสันถตั เกา่ ๑ คืบสคุ ตโดยรอบมาปนใชใ้ หท้ าสนั ถตั รองนง่ั ใหม่ตอ้ งอาบัตินิสสคั คยิ ปาจติ ตยี ์๑๐๖ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวัตถี๑๐๗ ๒) บุคคลผ้กู อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษหุ ลายรปู สละสันถตั ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ พระผู้มพี ระภาครับสงั่ กะภกิ ษุทัง้ หลายวา่ ดกู รภกิ ษุทง้ั หลาย เราปรารถนาจะหลกี ออกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส ใครๆ อย่าเข้าไปหาเรา นอกจากภกิ ษุ ผนู้ าบณิ ฑบาตเขา้ ไปให้รูปเดยี ว ภิกษุเหลา่ นั้นรับพระพทุ ธาณัติแล้ว ไมม่ ีใครเข้าไปเฝ้าพระผมู้ ีพระภาค ในพระวิหารนเ้ี ลย นอกจากภกิ ษุผนู้ าบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดยี วโดยแท้ ถงึ อยา่ งน้ัน สงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถี กย็ ังตง้ักติกากันไวว้ ่า อาวุโสทงั้ หลาย พระผู้มีพระภาคมีพระประสงคจ์ ะเสด็จหลกี ออกเรน้ อยู่ตลอดไตรมาส ใครๆ ไม่พึงเขา้ ไปเฝา้ พระองค์ นอกจากภิกษผุ ้นู าบณิ ฑบาตเขา้ ไปถวายรูปเดยี ว ภกิ ษุรูปใดเขา้ ไปเฝ้าพระองค์ ต้องให้แสดงอาบตั ิปาจิตตีย์ ครงั้ นนั้ ท่านพระอุปเสนวงั คันตบตุ รกบั ภกิ ษบุ รษิ ัทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบงั คมแลว้ นงั่ ณ ทีค่ วรสว่ นข้างหนึง่ . พระผมู้ ีพระภาคตรสั ถามทา่ นพระอปุ เสนวังคันตบตุ รว่า ดูกรอปุ เสน บรษิ ทัของเธอน้ีน่าเล่อื มใสนกั เธอแนะนาบริษัทอย่างไร พระอุปเสนวงั คันตบุตรกราบทลู วา่ พระพุทธเจา้ ขา้ ผ้ใู ดขออุปสมบทต่อขา้ พระพุทธเจา้ , ขา้ พระพุทธเจ้าบอกกะเขาอย่างนี้วา่ อาวโุ ส ฉนั เป็นผูอ้ ยู่ป่าเป็นวตั ร ถือบิณฑบาต เป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเปน็ วัตร, ถ้าท่านจักถืออยู่ปา่ เปน็ วัตร ถอื บิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้า บงั สุกุลเปน็ วัตรบา้ ง, ฉนั กจ็ กั ให้ทา่ นอุปสมบทตามประสงค์ ถ้าเขารับคาของขา้ พระพุทธเจ้าๆ จงึ ให้เขาอุปสมบท, ถ้าเขาไม่รับคาของข้าพระพุทธเจ้าๆ ก็ไม่ใหเ้ ขาอุปสมบท. ภกิ ษุใดขอนิสัย ต่อข้าพระพทุ ธเจ้าๆ บอกกะภิกษนุ ัน้ อย่างนีว้ ่า อาวโุ ส เรา ๑๐๕ กงขฺ า.อ. ๑๓-๑๔ ๑๐๖ วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๖๗/๙๓ ๑๐๗ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๓๘/๓๗
เปน็ ผถู้ ืออยู่ป่าเปน็ วัตร ถือบิณฑบาต เป็นวตั ร ทรงผ้าบงั สุกุลเป็นวัตร, ถา้ ท่านจักถืออยู่ปา่ เป็นวัตร ถอื บิณฑบาตเปน็ วตั ร ทรงผา้ บังสุกลุ เปน็ วัตรบา้ งได้, เราก็จักให้นสิ ัยแก่ทา่ นตามความประสงค์ ถา้ ภกิ ษุน้นั รับคาของข้าพระพทุ ธเจ้าๆ จึงจะใหน้ ิสยั , ถ้าภิกษุนน้ัรับคาของขา้ พระพทุ ธเจ้าไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้ากไ็ ม่ให้นิสยั , ขา้ พระพุทธเจา้ แนะนาบริษัทอย่างน้ีแล พระพุทธเจา้ ข้า. พระผมู้ ีพระภาค ตรสั บอกพระอปุ เสน เร่ืองสงฆใ์ นเขตพระนครสาวตั ถี ต้ังกติกากันไวว้ า่ ท่านทัง้ หลาย พระผมู้ ีพระภาคมีพระประสงค์จะเสด็จหลีกออกเรน้ อยู่ตลอดไตรมาส, ใครๆ อย่าเข้าไปเฝา้ พระองค์ นอกจากภิกษุผนู้ าบณิ ฑบาตเขา้ ไปถวายรปูเดียว, ภกิ ษุใดเขา้ ไปเฝ้าพระองค์ ต้องใหแ้ สดงอาบตั ปิ าจติ ตีย์. พระอปุ เสนวงั คันตบตุ ร ทูลว่า พวกข้าพระพุทธเจ้าจักไม่แตง่ ตั้งสกิ ขาบทท่ีพระองค์มไิ ด้ทรงบญั ญตั ิ และจกั ไมเ่ พกิ ถอนสกิ ขาบทท่ีทรงบัญญัติไว้ จักสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามท่ีทรงบญั ญัติไว้. พระผ้มู ีพระภาคตรัสวา่ ดีแลว้ ดีแล้ว อปุ เสน ไมค่ วรแต่งตั้งสกิ ขาบททเ่ี รายังมไิ ด้บญั ญัติ หรอื ไม่ควร เพิกถอนสิกขาบทท่เี ราบญั ญตั ิไว้ ควรสมาทานประพฤติในสิกขาบท ตามทเ่ี ราได้บญั ญัตไิ ว้ เรา อนุญาตใหพ้ วกภิกษุผูถ้ อื การอยู่ป่าเป็นวัตร ถือบณิ ฑบาตเป็นวตั ร ทรงผ้าบังสกุ ุลเปน็ วตั ร เขา้ หาเราได้ตามสะดวก.เวลาน้นั ภกิ ษุหลายรูปกาลังรออยู่ท่นี อกซมุ้ ประตูพระวิหาร ดว้ ยตง้ั ใจวา่ พวกเราจักให้ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรแสดงอาบตั ปิ าจติ ตีย.์ แตท่ ่านพระอปุ เสนวังคนั ตบตุ รกับภกิ ษบุ ริษทั ลุกจากอาสนะถวายบงั คมพระผมู้ ีพระภาค ทาประทักษิณแล้วหลกี ไป ภิกษุเหล่านัน้ ไดถ้ ามทา่ นพระอปุ เสนวงั คันตบตุ รถึงเรื่องต่างๆทา่ นจงึ บอกว่า พระผูม้ ีพระภาคเลยทรงอนุญาตให้บรรดาภิกษุผถู้ ือการอยปู่ ่าเปน็ วัตร ถือ บิณฑบาตเปน็ วตั ร ทรงผา้บงั สกุ ลุ เป็นวัตร เข้าเฝ้าไดต้ ามสะดวก ภิกษุเหลา่ นั้นเห็นจริงดว้ ยในทันใดน้ันว่า ทา่ นพระอุปเสนวงั คนั ตบตุ ร พูดถูกต้องจรงิ แท้, พระสงฆ์ไม่ควรแตง่ ต้ังสิกขาบททยี่ งั มิได้ทรงบญั ญัติ หรือไมค่ วรเพิกถอนสกิ ขาบทที่ทรง บัญญตั ิไว้ ควรสมาทานประพฤตใิ นสิกขาบทตามท่ีทรงบัญญัติไว้ต่างละท้งิ สนั ถตั พากนั สมาทานอารญั ญกิ ธดุ งค์ บิณฑปาติกธุดงค์ ปังสกุ ูลกิ ธุดงค์หลังจากนน้ั พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษเุ ปน็ อันมาก เสดจ็ เทย่ี วประพาสตามเสนาสนะ ได้ทอดพระเนตรเหน็ สนั ถตั ซง่ึ ทอดทง้ิ ไว้ในที่น้ันๆ ครนั้ แล้วรบั ส่งั ถามภกิ ษุทงั้ หลายว่า สันถัตเหลา่ น้ีของใคร ถูกทอดทง้ิ ไวใ้ นทน่ี นั้ ๆ ภกิ ษเุ หล่านัน้ จงึ ไดก้ ราบทูลเรอื่ งนนั้ แด่พระผมู้ ีพระภาค
๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญัติเฉพาะภกิ ษุ เอฬกโลมสกิ ขาบท ๑๖. ภกิ ขฺ โุ น ปเนว อทธฺ านมคคฺ ปปฺ ฏปิ นนฺ สสฺ เอฬกโลมานิ อปุ ปฺ ชเฺ ชยยฺ ุอากงขฺ มาเนน ภิกขฺ นุ า ปฏคิ คฺ เหตพพฺ านิ ปฏคิ คฺ เหตวฺ า ตโิ ยชนปรม สหตถฺ า หรติ พพฺ านิอสนเฺ ต หารเก. ตโต เจ อตุ ตฺ ริ หเรยยฺ อสนเฺ ตปิ หารเก นสิ สฺ คฺคยิ ปาจติ ตฺ ยิ .๑๐๘ ก็ ขนเจยี มเกดิ ขึ้นแกภ่ กิ ษุผเู้ ดินทางไกล ภกิ ษุต้องการกพ็ ึงรับได้ ครั้นรบั แล้วเมื่อไมม่ ีคนนาไปให้ พึงนาไปเองตลอดระยะ ๓ โยชน์เปน็ อยา่ งมาก ถา้ เมื่อไม่มีคนนาไปให้ นาไปไกลกว่านน้ั ตอ้ งอาบัตินสิ สคั คยิ ปาจติ ตีย์๑๐๙ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวัตถี๑๑๐ ๒) บุคคลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษรุ ปู หนึ่งรับขนเจยี มแลว้ นาไปเกิน ๓ โยชน์ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบัญญัติสิกขาบท ได้แก่ ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไปสู่พระนครสาวัตถี แถบโกศลชนบท ขนเจยี มเกดิ ข้ึนแกเ่ ธอ ในระหว่างทาง จึงภิกษุนั้นได้เอาผ้าอุตราสงคห์ ่อขนเจียม เหล่านั้นเดินไป ชาวบ้าน เห็นภิกษุนั้นแล้วพูดสัพยอกว่า ท่านเจ้าข้า ท่านซื้อขนเจียมมาด้วยราคาเท่าไร กาไรจกั มสี ักเท่าไร ภิกษรุ ปู นั้นถูกชาวบ้านพูดสัพยอกได้เป็นผู้เก้อพอไปถึงพระนครสาวัตถีแล้วทัง้ ๆ ทีย่ ืนอยนู่ น่ั แล ได้โยนขนเจียมเหล่านั้นลง ภิกษทุ งั้ หลายจงึ ถามภิกษนุ นั้ ถึงสาเหตุ ภิกษุรูปนั้นตอบว่า ก็เพราะผมถูกชาวบ้านพูดสัพยอกเหตุขนเจียมเหล่าน้ีขอรบั ภิกษุทั้งหลายถามว่า ก็ท่านนาขนเจียมเหล่านี้มาจากที่ไกลเท่าไรเล่า ภิกษุรูปนั้นตอบว่า เกนิ กวา่ ๓ โยชน์ ขอรบั บรรดาภกิ ษุผ้มู กั น้อย สนั โดษ มคี วามละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขาต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุจึงได้นาขนเจียมมาไกลเกิน ๓ โยชน์เล่าแลว้ กราบทูลเรอ่ื งนน้ั แดพ่ ระผมู้ พี ระภาค ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบญั ญัติเฉพาะภิกษุ ๑๐๘ กงขฺ า.อ. ๑๔ ๑๐๙ วิ.มหา. (ไทย) ๒/๕๗๒/๙๗ ๑๑๐ วิ.ป. (ไทย) ๘/๓๙/๓๗
รปู ยิ สงั โวหารสกิ ขาบท ๑๙. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ชาตรปู รชต อคุ ฺคณเฺ หยยฺ วา อุคคฺ ณหฺ าเปยยฺ วา อปุนิกขฺ ิตตฺ วา สาทิเยยยฺ นสิ สฺ คคฺ ยิ ปาจติ ตฺ ยิ .๑๑๑ ก็ ภิกษใุ ดทาการแลกเปลย่ี นกันดว้ ยรปู ิยะชนิดต่างๆ ต้องอาบัตนิ สิ สคั คิยปาจติ ตีย์๑๑๒ ๑) สถานทบี่ ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวัตถี๑๑๓ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษฉุ ัพพัคคีย์ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ พระฉัพพัคคยี ์ถึงความซือ้ ขายด้วยรปู ยิ ะ มปี ระการต่างๆ ชาวบ้านพากนั เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชอื้ สายพระศากยบตุ รจึง ได้ถึงความซ้ือขายด้วยรปู ิยะมปี ระการต่างๆ เหมือนพวกคฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกาม ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ข้อบญั ญัตทิ ัว่ ไปทั้งภกิ ษุและภิกษุณี๑๑๔ตยิ ๑๑๕ กยวกิ กยสกิ ขาบทปริพาชก ๒๐. โย ปน ภกิ ขฺ ุ นานปปฺ การก กยวกิ กฺ ย สมาปชเฺ ชยยฺ นสิ สฺ คคฺ ยิ ปาจติ ฺ ก็ ภิกษุใดทาการซ้ือขายมีประการต่างๆ ต้องอาบัตนิ สิ สคั คิยปาจติ ตีย์๑๑๖ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถี๑๑๗ ๒) บุคคลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ พระอุปนันทศากยบุตรทาการซอ้ื ขายกบั ๑๑๑ กงขฺ า.อ. ๑๔ ๑๑๒ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๘๘/๑๑๓ ๑๑๓ วิ.ป. (ไทย) ๘/๔๒/๓๙ ๑๑๔ พระมหาธิติพงศ์ อุตตฺ มปญโฺ ญ, ภกิ ขปุ าติโมกข์แปล พร้อมมาติกาสาหรบั วินจิ ฉัยสิกขาบท, หน้า ๒๒๕ ๑๑๕ กงฺขา.อ. ๑๔ ๑๑๖ ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๙๔/๑๑๘ ๑๑๗ ว.ิ ป. (ไทย) ๘/๔๓/๓๙
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241