Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore sr-53-k-002

sr-53-k-002

Published by สุกัญญา อ้นปรางค์, 2018-09-14 01:15:22

Description: sr-53-k-002

Search

Read the Text Version

17ใหมทํ ั้งโรงเรียน เพ่อื น (ปรชี า คัมภีรปกรณ,์ 2547) จึงทาให๎วัยรุํนมีอารมณ์รุนแรงและเปล่ียนแปลงเร็วควบคุมอารมณต์ นเองได๎น๎อย ชอบความเสยี่ ง ท๎าทายและความแปลกใหมํ บุํมบําม ตัดสินใจเร็วและถูกจูงใจงําย (Steinberg, 2007) เร่ิมมีพละกาลังมากขึ้น พึ่งพาตนเองได๎ ทาให๎ร๎ูสึกวําตนเองเป็นผ๎ูใหญํ มีความเชื่อม่ันในตนเอง มักแสดงออกถึงความชอบและไมํชอบอยํางชัดเจน ต๎องการเป็นอิสระ จึงมักขัดแย๎งกับผู๎ใหญํ และฝ่าฝืนกฎระเบียบที่วางไว๎ บางโอกาสอาจมีความสับสนในบทบาทของตัวเอง บางคร้ังอยากเป็นเด็กเพราะไมํต๎องคอยรับผิดชอบอะไรแตํบางคร้ังอยากเป็นผู๎ใหญํเพ่ือจะได๎มีสิทธิตํางๆเต็มท่ี ขณะเดียวกันชํวงวัยน้ีเป็นชํวงของการค๎นหาเอกลักษณ์ของตนเองจึงพยายามจะสร๎างบุคลิกภาพของตนเองขึ้นมาซึ่งในระยะแรกอาจจะเป็นรูปแบบของการลอกเลียนแบบคนอื่น พยายามปรบั ตัวให๎เขา๎ กบั เกณฑข์ องสังคม และในทีส่ ดุ พยายามปรับและสร๎างบคุ ลกิ ภาพของตนเอง (ปรีชา คัมภีรปกรณ,์ 2547) สังคมของวัยรุํนเป็นสังคมของกลํุมเพื่อนท่ีวัยรํุนเริ่มเรียนรู๎และมีประสบการณก์ ารอยูํรํวมกบั ผ๎ูอืน่ ทีก่ ว๎างออกไปจากครอบครัว การรวมกลุํมในวัยรํุนตอนต๎นจะเป็นการรวมกลุํมของเพื่อนเพศเดียวกัน และเมื่อก๎าวเข๎าสํูวัยรํุนตอนกลางจะเร่ิมสนใจและสร๎างสัมพนั ธภาพกบั เพศตรงข๎าม และเม่ือเขา๎ สชํู วํ งปลายของวยั รุนํ วัยรํุนหญิง และวยั รุํนชายจะเริ่มจบั คํู จากธรรมชาติของวัยซ่งึ เปน็ ชวํ งของการเปลย่ี นแปลงท้ังทางรํางกาย จิตใจและสังคมอยาํ งรวดเร็ว รวมไปถงึ อทิ ธิพลของสังคมและส่ิงแวดล๎อมทาให๎วัยรํุนมีพฤติกรรมเสี่ยงท่ีทาให๎เกดิ ผลเสียตอํ สขุ ภาพ และสงั คมได๎งําย (นวลอนงค์ บุญจรูญศิลป์, 2546; พนม เกตุมาน, 2550;สุวรรณา เรืองกาญจนเศรษฐ์, 2549) เมื่อรํางกายเปลี่ยนแปลงอยํางรวดเร็วจากการเข๎าสูํภาวะเจริญพันธ์ุ ทาให๎วัยรุํนมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของตนเอง เชํน รู๎สึกวําตนเองอ๎วนมาก วัยรุํนอาจพยายามลดน้าหนักด๎วยการอดอาหาร หรือกินยาลดความอ๎วน ซึ่งอาจทาให๎เกิดผลเสียตํอสุขภาพ และการเข๎าสภูํ าวะเจริญพนั ธเ์ รว็ ยํอมมีพฤตกิ รรมเสยี่ งตอํ สุขภาพเร็ว เชํน การมีเพศสัมพันธ์ที่ไมํปลอดภัย สูบบุหร่ี หรือด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ จากสภาวะท่ีอารมณ์ไมํคงท่ีและให๎ความสาคัญกับความคิดของตนเองทาให๎วัยรุํนหงุดหงิด อารมณ์เสียงําย ประกอบกับสมองสํวนท่ีควบคุมด๎านการตัดสินใจการควบคุมอารมณ์ยังเจริญไมํเต็มท่ี จึงทาให๎วัยรุํนควบคุมตนเองได๎น๎อยมีการทะเลาะวิวาทกับผู๎อื่นได๎งําย จากความต๎องการความต่ืนเต๎น ท๎าทาย จึงทาให๎เกิดความอยากรู๎อยากเห็น อยากลอง รวมทั้งต๎องการทาตัวให๎เป็นท่ียอมรับของเพ่ือนหรือกลุํม จึงอาจมีการทดลองดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ หรือใช๎ สารเสพติด หรือการมีเพศสัมพันธ์ นอกจากน้ีความต๎องการเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง อาจนาไปสูํการขัดแย๎งทางด๎านความคิดกับผู๎ท่ีอยํูรอบตัว เชํนความขัดแย๎งกับพํอแมํ อีกท้ังเม่ือวัยรํุนมีอิสระมากขึ้นและเร่ิมท่ีจะทดลองแสดงพฤติกรรมที่แปลกใหมํซ่ึงบางพฤติกรรมทาให๎วัยรุํนมีความเส่ียงตํอการเกิดผลลบตํอสุขภาพ (Green, 1999) และด๎วย

18ต๎องการเป็นที่ยอมรับจากกลํุมเพื่อน และต๎องการแสดงความมีสํวนรํวมในกลุํม จึงทาให๎วัยรุํนมีพฤตกิ รรมทาตามเพือ่ น เชํน แตํงตัว ทรงผม รองเท๎า หรือ การใช๎ภาษาทันสมัยเหมือนเพื่อน ซึ่งอาจขัดกับความคาดหวัง หรอื ความตอ๎ งการของพํอแมํ ทาให๎เกดิ ความขดั แยง๎ กบั ผู๎ปกครองขึ้นได๎ จากความเปลี่ยนแปลงด๎านตํางของชํวงวัยรุํนจะเห็นวํา การเข๎าสูํภาวะเจริญพันธุ์เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สาคัญที่จะสํงผลตํอการเปลี่ยนแปลงในด๎านอื่นๆ ถึงแม๎วําผลการศกึ ษาช้ใี ห๎เหน็ วําการเข๎าสูภํ าวะเจรญิ พนั ธุ์เร็วมคี วามสัมพันธ์กับการดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ในวัยรุํนชาย ยังไมํมีการศึกษาที่อธิบายความสัมพันธ์นี้วําเป็นเพราะเหตุใด แตํด๎วยลักษณะที่ชอบเข๎าไปเส่ียงอันตราย (Risk taking) และท๎าทาย จึงนําจะเป็นเหตุหลักมากกวําที่ทาให๎วัยรุํนเข๎าไปเกี่ยวข๎องกบั การสบู บุหรี่ ดม่ื เคร่ืองดมื่ แอลกอฮอล์ ใชส๎ ารเสพติด และขับรถแขํง (Chanchong, 2004;Green, Kremar, Walters, Rubin, & Hale, 2000; Hittner & Swickert, 2006; Kopstein, Crum, &Celetano, 2001; ดุษฎี โยเหลา และคณะ, 2540; ประธาน รัชตจารูญ, 2544; วันชัน ธรรมสัจการ,นิพนธ์ ทิพยศ์ รนี ิมติ , & นริ นั ด์ จุลทรัพย์, 2543) 2.2 เคร่อื งดม่ื แอลกอฮอล์ เคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ ตามความหมายของ พระราชบัญญัติ ควบคุมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ (2551) หมายถึง สรุ าตามกฎหมายวําดว๎ ยสุรา (พระราชบญั ญัติสุรา, 2493) ซ่ึงได๎แกํวัตถุทั้งหลายหรือของผสมท่ีมีแอลกอฮอล์ที่สามารถด่ืมกินได๎ หรือดื่มกินไมํได๎ แตํเม่ือได๎ผสมกับน้าหรือของเหลว อยํางอ่ืนแล๎ว สามารถด่มื กนิ ได๎เชํนเดียวกับนา้ สรุ า ท้ังน้ีไมํรวมถึงยาวัตถุออกฤทธ์ิตํอจิตและประสาท ยาเสพติดใหโ๎ ทษ เครือ่ งดืม่ แอลกอฮอล์มีจาหนาํ ยทว่ั ไปในท๎องตลาด เพียงแตํมีการจากดั เวลาจาหนําย และจากัดอายุของผู๎ซ้ือ โดยกฎหมายในประเทศไทยได๎ระบุไว๎วําไมํให๎จาหนํายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แกํผู๎ท่ีมีอายุต่ากวํา 20 ปี หรือให๎เคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์แกํเด็กท่ีมีอายุต่ากวํา18 ปี (พระราชบัญญตั คิ ๎มุ ครองเดก็ , 2546) เครื่องด่ืมแอลกอฮอล์จึงเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมายสาหรับผู๎ดื่มทมี่ อี ายุมากกวาํ 20 ปี เครอ่ื งด่มื แอลกอฮอลท์ ี่มีอยูํในประเทศไทยมหี ลากหลายชนดิ และช่ือการค๎า มีท้ังที่ผลิตเองในประเทศ และนาเข๎าจากตํางประเทศ แตํเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ท่ีถูกกฎหมายต๎องอยูํในขอบขํายของการควบคุมฉลากเพ่ือความปลอดภัยของผู๎บริโภคซึ่งได๎ถูกให๎คาจากัดความจากคณะกรรมการอาหารและยา (คณะกรรมการอาหารและยา, 2549 อ๎างถึงในบัณฑิต ศรไพศาลและคณะ, 2549) ไว๎วํา เป็นของเหลวเพ่ือการบริโภคของมนุษย์ท่ีมีจานวนเอธานอล (ethanol)เกินกวํา 5 มิลลิลิตรตํอของเหลว 1 ลิตร หรือ เกินกวํา 0.5 ดีกรี ซึ่งได๎แกํ เบียร์ ไวน์ สุรา หรือของเหลวที่มีช่ืออ่ืนๆ ทั้งน้ีไมํรวมถึงยาตามกฎหมายวําด๎วยยา ซึ่งเครื่องด่ืมเหลํานี้สามารถแบํงออกตามวิธีการผลิต เป็น 2 ประเภทใหญํๆ (เทพินทร์ พัชรานุรักษ์, 2541) คือ 1) สุรากล่ัน (Distilled

19liquors) ได๎แกํ บรั่นดี วิสก้ี รัม วอดก๎า เหล๎าขาว และเคร่ืองดื่มคอกเทลตํางๆ 2) สุราหมัก(Fermented liquors) ได๎แกํ แชมเปญ ไวน์ เบียร์ เหล๎าหมักพื้นบ๎าน แตกตํางจากการแบํงประเภทของผบู๎ รโิ ภค ที่แบํงประเภทเหลา๎ ตามลกั ษณะที่เห็น คอื เหลา๎ แดง เหล๎าขาวหรือเหล๎าโรง และเหล๎าพื้นบ๎าน นอกจากนี้ยังแยก เบียร์ ไวน์ ออกเป็นอีกประเภทตํางหําง และไมํถูกนามารวมไว๎กับเหล๎า(สริตา ธีระวัฒน์สกุล, จิราพร สุวรรณธีรางกูร และวราภรณ์ ปัญณวลี, 2549) คนไทยนิยมด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์หลากหลายชนิดแตกตํางกันตามวัยและเพศ น้าผลไม๎ผสมแอลกอฮอล์และเครื่องด่ืมผสมแอลกอฮอล์พร๎อมดื่ม (Ready-To-Drink [RTD]) เป็นเคร่ืองดื่มของคนหนุํมสาว แตํเครื่องดื่มท่ีเป็นท่ีนิยมทุกกลุํมอายุ และทุกเพศคือ เบียร์ ผ๎ูท่ีอยํูในวัยผ๎ูใหญํตอนปลายด่ืมเหล๎าขาวเหล๎าพื้นบ๎าน เหล๎าเถ่ือน เหล๎าจีน และยาดองมากกวําคนหนํุมสาว (คณะกรรมการบริหารเครือขํายวิชาการสารเสพติด, 2551) สาหรับในหมูํวัยรุํน ปัจจุบันนิยมดื่ม เหล๎าปั่น ซึ่งเป็นเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ท่ไี ดถ๎ กู ปรับแตงํ โดยการนามาผสมในน้าหวาน น้าผลไม๎ หรือน้าที่มีกลิ่นผลไม๎ หรือสิ่งอื่นใด แล๎วนามาปั่นรวมกัน เพื่อให๎มีรสชาติดีขึ้น ไมํขม (ฝ่ายขําวและส่ือมวลชนสัมพันธ์กลํุมสารนิเทศ กระทรวงสาธารณสขุ , 2552) 2.3 ผลจากการดื่มเคร่อื งด่มื แอลกอฮอล์ แอลกอฮอล์สํวนใหญํถูกดูดซึมในกระเพาะอาหารและกระจายเข๎าสูํกระแสเลือดภายในเวลาเพียง 5 นาที จึงสามารถตรวจพบแอลกอฮอล์ในเลือดได๎ภายในเวลา 5 นาที หลังดื่มรํางกายมีกลไกเปลี่ยนแปลงแอลกอฮอล์ให๎เป็นสารท่ีไมํกํอให๎เกิดพิษเม่ือมีระดับแอลกอฮอล์ในรํางกายระดับหน่ึง แตํหากรํางกายได๎รับในปริมาณมากจะเป็นพิษท่ีสะสมในรํางกาย ขณะท่ีเร่ิมกลไกการดูดซึม การแพรํกระจําย และการเผาผลาญ แอลกอฮอล์จะออกฤทธิ์ตํออวัยวะตํางๆท่สี ามารถแพรํกระจายไปถึงได๎ โดยเฉพาะระบบประสาท ผลที่ปรากฏใหเ๎ ห็นจากการออกฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในสมองมี 2 ลักษณะ คือ ผลการสงบและผํอนคลายในเบื้องต๎น ผลน้ีคงอยํูในชํวงเวลาส้ันๆ และผลตํอความแปรปรวนระบบประสาทสํวนกลางมีความคงอยํูยาวเป็น 6 เทํา ของผลการสงบระงับ ผลดังกลําวจะเกิดข้ึนได๎มากน๎อยขึ้นอยํูกับระดับความตื่นตัวของระบบประสาทสํวนกลางในชํวงเวลาท่ีบริโภค ระดับของแอลกอฮอล์ในเลือด ส่ิงแวดล๎อมในขณะนั้น รวมถึงบุคลิกภาพของผ๎ูบริโภค (National Drug AbuseCenter for Training and Resource Development, 2008) ทํามกลางบริบทท่ีสงบเงียบ แอลกอฮอล์ทาให๎ผํอนคลาย อารมณ์ดี และอาจมีความรส๎ู กึ งํวง (Drowsiness) รํวมด๎วย ผลท่ีปรากฏนี้พบวํารํางกายมีแอลกอฮอล์ในเลือดในระดับต่าถึง 1-2 ดื่มมาตรฐาน (0.02-0.03กรัม/100 มิลลิลิตร) (Ramchandani, 2000) แตํในบริบทท่ีแวดล๎อมไปด๎วยปฏสิ ัมพันธ์ตํางๆ เชํน งานเล้ียงสังสรรค์ สถานท่ีเท่ียว ผ๎ูบริโภคจะแสดงถึงความต่ืนตัว เชํน

20พูดมากขึ้น แสดงความรําเริงมากข้ึน มีความเชื่อมั่นในตนเองมากข้ึน เมื่อเพิ่มปริมาณการดื่มสูงขึ้นจนระดบั ของแอลกอฮอลใ์ นกระแสเลือด อยํทู ่รี ะดับ 0.03-0.05 กรมั /100 มลิ ลิลิตร การทาหน๎าท่ีของจิตใจและรํางกายแสดงความบกพรํอง (Krüger, Utzelmann, Berghaus & Kroj, 1993; Eckardt et al,1998) จะปรากฏอาการเมา (Drunkenness) หรือ ท่ีทางการแพทย์เรียกวํา ภาวะเป็นพิษของแอลกอฮอล์ (Alcohol intoxication) พูดมากแตํไมํชัด เดินเซ ควบคุมอารมณ์ไมํได๎ ซึม เมื่อระดับแอลกอฮอล์ในเลือดเพิ่มถึง 0.04-0.05 กรัม/100 มิลลิลิตร จะมีอาการหมดสติ และมีโอกาสเสียชีวิตจากระบบหายใจถูกกด (Ramchandani, 2000; สมศักดิ์ เทียมเกํา, 2549; National Drug AbuseCenter for Training and Resource Development, 2008) กรณีการดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์เป็นประจา จะปรากฏผลท้ังสองรูปแบบทั้งความสงบและผํอนคลาย และมีการต่ืนตัวของระบบประสาท ในแตํละชํวงของการดื่ม กลําวคือหลงั จากมกี ารบรโิ ภค 1-2 ชั่วโมง ผลการผํอนคลายจะเกิดข้ึน และถ๎ายังคงด่ืมตํอ หลังจากน้ันไปจะเกดิ การแปรปรวนของระบบประสาท จะปรากฏอาการเมาดังกลําวมาข๎างต๎น ชํวงน้ีผ๎ูด่ืมจะหมดสติหรือหลับลึก จนกระท่ังแอลกอฮอล์ในรํางกายถูกเผาผลาญหมดผ๎ูด่ืมจะเร่ิมรู๎สึกตัว แตํความแปรปรวนของระบบประสาทยังมีค๎างอยูํจึงยังแสดงอาการสั่น มึนงง หลังจากตื่นขึ้นมา อาการท่ีเกดิ ขน้ึ หลงั จากรู๎สึกตัวถูกเรยี กกันวาํ เมาคา๎ ง (Hangover) อาการเหลําน้ีจะถูกทาให๎ดีข้ึนได๎โดยอาศัยผลการผํอนคลายจากการดื่มอีก หรือจากยาคลายกังวล ซ่ึงหากเป็นนักด่ืมจะใช๎การด่ืมเข๎ามาชํวยทีเ่ รียกกันวํา ด่ืมเพื่อถอนพิษ ดังนั้นวงจรของการด่ืมเป็นประจาจึงเริ่มต๎นขึ้น (National Drug AbuseCenter for Training and Resource Development, 2008) การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในแตํละชํวงของการดื่ม รํางกายของผ๎ูด่ืมจะปรับตัวตอํ พษิ ของแอลกอฮอล์ หรือเรียกวํามีความทนตํอความเข๎มข๎นของแอลกอฮอล์ในเลือด (Tolerance)ในผู๎ท่ีดื่มประจา ความทนตํอความเข๎มข๎นของแอลกอฮอล์ในเลือด (Tolerance) จะเพ่ิมสูงขึ้น น่ันหมายความวํา ผ๎ูด่ืมจะไมํร๎ูสึกถึงผลท่ีเกิดจากการดื่มเม่ือด่ืมเทําเดิมเหมือนอยํางท่ีเคยร๎ูสึก หรือไมํร๎ูสึกวําเมาเมื่อดื่มเทําเดิมท่ีเคยเมา ทาให๎มีการดื่มเพิ่มข้ึนโดยไมํรู๎ตัว ณ จุดน้ีจึงเป็นจุดที่จะก๎าวไปสูํการพ่ึงพิงสุราตอํ ไป (Ramchandani, 2000; Brick, 2005) หากการดมื่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจามีอันต๎องยุติการด่ืมลง ผู๎ดื่มจะต๎องพบกับภาวะการขาดแอลกอฮอล์ (Alcoholic withdrawal) กลําวคือ ระดับแอลกอฮอล์ในเลือดลดลงทันทีทันใด ระบบประสาทสํวนกลางจะแสดงปฏิกิริยาตรงข๎ามกับท่ีเคยเป็นมา ซ่ึงผ๎ูหยุดดื่มจะมีอาการ ปวดศีรษะ คลื่นไส๎ วิตกกังวล นอนไมํหลับ (Restlessness) กล๎ามเน้ือกระตุก สั่น(Shakiness) สับสน (Confusion) หายใจเร็วลึก (Hyperventilation) ประสาทหลอน (Hallucination)และอาการชัก (Convulsion) ขณะเดียวกันจากการด่ืมเป็นประจาทาให๎ผู๎ดื่มมีภาวะของการขาด

21สารอาหาร และน้า รํวมด๎วย อาการเหลําน้ีจะปรากฏ หลังจากหยุดบริโภค 24 ช่ัวโมง และมีความรุนแรงขึ้นภายใน 2-3 วัน หลังหยุดดื่ม และจะหายไปได๎เองภายใน 1-2 สัปดาห์ (สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา และนันทนา ขาวลออ, 2549; National Drug Abuse Center for Training and ResourceDevelopment, 2008) สาหรบั บคุ คลทัว่ ไปทอี่ ยูํในวัยผ๎ูใหญํ การดูดซึมและการเผาผลาญแอลกอฮอล์ของราํ งกายขนึ้ อยํูกบั ปจั จยั 2 สํวน ได๎แกํ ระดับแอลกอฮอล์ในรํางกายซ่ึงก็ข้ึนอยูํกับ ปริมาณ ชนิด และความเข๎มข๎นของเคร่ืองด่ืม รูปแบบการดื่ม และระดับสารเคมีตํางๆในรํางกายท่ีมีหน๎าท่ีเผาผลาญแอลกอฮอล์ทั้งที่กระเพาะอาหารและตับ ไมํวําบุคคลจะดื่มในระดับมากหรือน๎อย บุคคลยํอมได๎รับผลท่ีเกิดจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ท่ีมีตํอระบบประสาทดังกลําวข๎างต๎น ผลลัพธ์นี้เป็นส่ิงที่ดีหรือไมํดีและจะสํงผลตํอการเรียนร๎ูท่ีบุคคลจะด่ืมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์สืบไปหรือไมํข้ึนอยูํกับวําบุคคลจะเปรียบเทียบผลท่ีเกิดตามมาจากฤทธ์ิของแอลกอฮอล์วําเป็นเหมือนกับส่ิงที่ตนเชื่อหรือคาดห วังมากํอนหรอื ไมํ จะตคี วามวําใหป๎ ระโยชนห์ รือโทษ หรือชอบ/ไมํชอบอยํางไร แตํผลเสียหรือพิษท่ีมีตํอรํางกาย จะไมํเกิดขึ้นหากบุคคลด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ในระดับที่เหมาะสม รํางกายสามารถเปลี่ยนแอลกอฮอล์เป็นสารไมํมีพิษได๎ท้ังหมด แตํหากบุคคลด่ืมในปริมาณมากเกินระดับท่ีเหมาะสม นอกจากจะรบั ผลจากฤทธขิ์ องแอลกอฮอล์แล๎วยงั รับผลเสียจากการตกค๎างของสารพิษอันเกิดจากการเผาผลาญแอลกอฮอลอ์ กี ดว๎ ย การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระดับท่ีพอเหมาะไมํมากจนเกินไป จะชํวยให๎บุคคลผํอนคลาย มีอารมณ์ดี และป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary heart disease) โรคหลอดเลือดในสมอง (Cerebrovascular disease) โรคเบาหวาน (Diabetes) และนิ่วในถุงน้าดี (Gallstones)(National Drug Abuse Center for Training and Resource Development, 2008; Gutjahr, Gmel &Rehm, 2001) แตหํ ากดืม่ ในปรมิ าณท่มี ากจนเกนิ ไป หรือดม่ื เปน็ ประจาจะสํงผลเสียตํอสุขภาพของผ๎ูด่ืมและบุคคลท่ีอยูํรอบข๎าง การดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์มากกวําระดับปานกลางหรือ 1-2 ด่ืมมาตรฐาน (0.02-0.03กรัม/100 มิลลิลิตร) มีแนวโน๎มจะเกิดอันตรายตํอตัวผู๎ด่ืม (Ramchandani,2000) ผลเสียท่ีเกิดขึ้นมีท้ังที่เกิดอยํางเฉียบพลัน (Acute consequences) และเกิดอยํางเรื้อรัง(Chronic consequences) (Gutjahr, Gmel & Rehm, 2001) ไดแ๎ กํ การบาดเจ็บจากอุบัติเหตุการจราจรจากอุบัติเหตุในการทางาน จากงานร่ืนเริงหรือสันทนาการ จากการหกล๎ม จากการเกิดเพลิงไหม๎การทาร๎ายตนเอง ตลอดจนการใช๎ความรุนแรงระหวํางบุคคล (Interpersonal violence) (Cherpitel,1993; Hingson & Howland, 1993; US Department of Health and Human Services, 1997) การด่ืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจาเป็นสาเหตุของโรคตํางๆ มากกวํา 60 โรค เชํน กระเพาะอาหารอักเสบ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง ตับแข็ง การทาร๎ายตนเอง ติดสุรา โรคจิตจากสุรา โรคหัวใจและ

22หลอดเลือด และโรคอื่นๆ (Gutjahr, Gmel & Rehm, 2001; จุรีย์ อุสาหะ และเศรณีย์ จุฬาเสรีกุล,2548; บัณฑติ ศรไพศาลและคณะ, 2549) นอกจากนกี้ ารดม่ื เครอ่ื งด่มื แอลกอฮอล์ยังเป็นสาเหตุของการตาย และการสูญเสียทางสุขภาพหรอื เปน็ ภาระโรค (Burden of diseases) ดงั จะเห็นได๎จาก ข๎อมูลขององค์การอนามัยโลก (World Health Organization, 2009b) ที่แสดงไว๎วําการด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอลเ์ ปน็ สาเหตุของการตาย จานวน 1.8 ลา๎ นราย หรอื รอ๎ ยละ 3.2 ของการตายทั้งหมดท่ัวโลก และกํอใหเ๎ กิดภาระโรค ร๎อยละ 4 ของภาระโรคทัง้ หมด ผลที่เกิดตามมาจากการดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ดังท่ีกลําวมาข๎างต๎นเป็นผลที่ปรากฏโดยท่ัวไปในกลํุมวัยผู๎ใหญํ สาหรับการดื่มในวัยรํุนให๎ผลที่แตกตํางไปจากผ๎ูใหญํเป็นผลเสียมากกวําเกิดประโยชน์ ท้ังน้ีเน่ืองด๎วยการเปล่ียนแปลงของชํวงวัยเป็นปัจจัยหลักของความแตกตํางและความเปราะบาง การเริ่มดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์กํอนอายุ 16 ปี ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่มีตํอรํางกายยํอมไปกระทบกับพัฒนาการทางกาย โดยเฉพาะการเจริญเติบโตของสมองในสวํ นของการคดิ และความจา ซงึ่ จะสํงผลให๎เห็นได๎ในระยะส้นั และระยะยาว ผลจากการด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ท่ีพบได๎บํอยหลังจากด่ืมไมํนานได๎แกํ อาการเมาสุรา (Drunkenness) อาการท่ีสรํางจากเมาสุราแล๎วจาเหตุการณ์ตอนด่ืมไมํได๎ (Blackout) อาการเมาค๎าง (Hangover) (Zeigler,Wang, Yoast, Dickinson, McCaffree & Robinowitz et al., 2005) อาการเหลํานี้เกิดขึ้นแตกตํางจากผ๎ูใหญํตรงที่ ด๎วยรํางกายของวัยรํุนมีความไวตํอฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ในด๎านการกระต๎ุนมากกวําผู๎ใหญํแตํมีความไวตํอผลอันไมํพึงประสงค์น๎อยกวําผู๎ใหญํ ดังน้ันวัยรุํนจึงต๎องด่ืมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากในชํวงเวลาหน่ึงถึงจะทาให๎เกิดผลอันไมํพึงประสงค์เหลําน้ี (U.S.Department of Health and Human Services, 2006) การด่ืมสรุ าในปริมาณมากในชํวงโอกาสเดียวจึงเป็นการกระทาที่พบเห็นได๎บํอยในกลุํมวัยรํุนเพราะดื่มเทําไรก็ไมํเมา แตํการด่ืมแบบนี้ยิ่งทาให๎วัยรํุนตกอยูํในความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายตํอสุขภาพและชีวิตมากข้ึน ได๎แกํ ปริมาณแอลกอฮอล์ท่ีอยูํในรํางกายสูงสํงผลตํอการทาลายการเจริญเติบโตของระบบประสาท โดยเฉพาะสมองสํวนซีรีบรัล คอร์เทกซ์อันเป็นสํวนของการคิดและการจาซึ่งอาจทาให๎การพัฒนาการเรียนร๎ูและสติปัญญาลดลง อาจทาให๎เกิดปัญหาทางด๎านการเรียนตามมา (Zeigler et al, 2005) วัยรุํนที่ด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ชอบที่จะขับรถในขณะท่ีมีอาการมึนเมาสุรา (Lynskey, Bucholz, Madden &Heath, 2007) การไมํสามารถครองสติจากการด่ืมในขณะขับรถน้ันยํอมมีโอกาสสูงตํอการเกิดการบาดเจ็บและตายจากอุบัติเหตุจราจร (Bohning & Na Ayutha, 1997; Swaddiwudhipong, Nguntra,Mahasakpan, Koonchote & Tantriratna, 1994; U.S. Department of Health and Human Services,2006) นอกจากนี้การดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์จนมึนเมายังสํงผลให๎วัยรุํนหญิงมีเพศสัมพันธ์ที่ไมํปลอดภัยและมีโอกาสตั้งครรภ์ได๎ (Dye & Upchurch, 2006) ไมํวําวัยรํุนหญิงหรือชายหากดื่มใน

23ปรมิ าณมากอาจทาใหห๎ มดสติจากการมีระดบั แอลกอฮอล์ในรํางกายสูงมากได๎ (U.S. Department ofHealth and Human Services, 2007) ผลจากการดื่มเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ ท่ีจะปรากฏแกํผ๎ูท่ีด่ืมในระยะยาวก็คือ การมีภาวะตดิ สรุ า ซึง่ กข็ ้ึนอยูกํ ับปริมาณและความถ่ีของการด่ืม หากด่ืมบํอยคร้ังเป็นประจาจะมีโอกาสมีภาวะติดสุราในชํวงของวัยผู๎ใหญํตอนต๎น ย่ิงผู๎ดื่มเริ่มดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์กํอนอายุ 15 ปี ย่ิงมีแนวโน๎มที่จะด่ืมเพิ่มมากข้ึนในวัยผู๎ใหญํตอนต๎น และมีโอกาสเกิดภาวะความผิดปกติจากการด่ืมสุรา (Alcohol use disorders) ได๎มากถึง 4 เทํา และมีปัญหาสุขภาพอื่นรวมถึงปัญหาทางสังคมตามมาเร็วขึ้น (Bonomo, Bowes, Coffey, Carlin & Patton, 2004; Clapper, & Lipsitt, 1992; Grant& Dawson, 1998; Pitkänen, Kokko, Lyyta, Anna-Liisa & Pulkkinen, 2008; Single & Wortly,1993; Wells, Horwood, & Fergusson, 2004) การดมื่ เคร่อื งด่มื แอลกอฮอลข์ องวยั รุนํ สงํ ผลเสียทีอ่ าจทาให๎ถงึ แกํชีวติ มากกวําผลดีในแตํละปีประเทศสหรฐั อเมริกามีการสูญเสียวัยรุํนที่มีอายุต่ากวํา 21 ปี ประมาณ 5,000 คน จากผลของการดื่มในชํวงวัยรํุน จากจานวนดังกลําว 1,900 คน เสียชีวิตจากรถชน 1,600 คน ถูกฆาตกรรม300 คน ฆําตัวตาย และ 100 คน เสียชีวิต จากการบาดเจ็บจากหกล๎มและจมน้า (U.S. Department ofHealth and Human Services, 2006) แมว๎ าํ ในประเทศไทยยังไมํมีการรายงานการ เสียชีวิตของวัยรํุนจากการด่ืมเครือ่ งด่ืมแอลกอฮอล์เหมอื นกับในประเทศสหรัฐอมริกาก็ตาม แตํจานวนผ๎ูท่ีด่ืมของชํวงวัยนใี้ นปัจจุบันมีอยูํมิใชํน๎อย โอกาสท่ีประเทศไทยจะสูญเสียจานวนประชากรวัยรุํน อันเป็นวัยที่มีคําตอํ การเป็นผ๎ูท่ีจะเป็นกาลังสาคัญสาหรับการพัฒนาประเทศในอนาคตมีสูงหากยังไมํสามารถลดการดื่มของวัยรนํุ ลง 2.4 ความหมายและการประเมินการดมื่ เครือ่ งด่ืมแอลกอฮอลแ์ บบผดิ ปกติ ผลเสียที่เกิดตามมาหลังการด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์มาจากการด่ืมในระดับท่ีมากเกินควร แตํดื่มในระดับใดจึงทาให๎เกิดผลเสีย การกาหนดระดับหรือปริมาณการด่ืมท่ีเหมาะสมเป็นไปได๎ยากเน่ืองจากรูปแบบการดื่ม เพศ วัย สภาพรํางกายของผู๎ดื่มแตกตํางกัน ปัจจุบันยังไมํมีสามารถระบุระดับปริมาณการดื่มท่ีชัดเจนได๎ แตํอยํางไรก็ตามในตํางประเทศได๎มีการกาหนดปริมาณการด่ืมโดยประมาณเป็นคํากลางๆไว๎ เชํนในประเทศสหรัฐอเมริกาได๎เสนอแนะระดับของการด่ืมหรือระดับของปริมาณเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์สาหรับผ๎ูที่อยํูในวัยผ๎ูใหญํสามารถดื่มได๎โดยที่ไมํทาให๎เกิดผลเสียตํอสุขภาพ ชํวงปริมาณที่สามารถดื่มได๎โดยปลอดภัยคือ 1 ดื่มมาตรฐานตอํ วนั และไมํมากกวาํ 7 ดื่มมาตรฐานตอํ สปั ดาห์สาหรับผู๎หญิง 2 ดื่มมาตรฐานหรือ น๎อยกวําตํอวันและไมํมากกวํา 14 ด่ืมมาตรฐานตํอสัปดาห์สาหรับผู๎ชาย (National Institute on Alcohol Abuse andAlcoholism, 2003) เม่ือ 1 ด่ืมมาตรฐาน มีแอลกอฮอล์บริสุทธ์ิในเครื่องด่ืม 12-14 กรัม เทียบเป็น

24เครื่องดื่มชนิดตํางๆ ได๎แกํ เบียร์ 1 แก๎ว หรือ กระป๋องขนาด 12 ออนซ์ (4-5% แอลกอฮอล์) หรือไวน์ 1 แก๎วปริมาณ 5 ออนซ์ (12-14% แอลกอฮอล์) หรือ ไวน์คูลเลอร์ 1 ขวด จุ 12 ออนซ์ (4-5%แอลกอฮอล์) หรือ สุรากลั่น 1 แก๎ว มีสุรา 1.5 ออนซ์ (40% แอลกอฮอล์) (Dufour, 1999; NationalInstitute on Alcohol Abuse and Alcoholism, 2004; Taproom, 2004) ระดับท่ีปลอดภัยน้ีอาจประยุกตใ์ ช๎ไมํได๎ในกลมุํ ประชากรบางกลํุมทีม่ ีความเปราะบางทางราํ งกาย ได๎แกํ กลุํมหญิงตั้งครรภ์ผ๎ูท่ีเพิ่งฟื้นหายจากการติดสุรา และกลุํมเด็กและวัยรุํน ระดับการด่ืมที่ปลอดภัยสาหรับกลุํมท่ีเปราะบางนอ้ี าจต๎องลดลงจนถึงไมคํ วรดื่มเลย การดืม่ มากเกนิ กวาํ ระดับทปี่ ลอดภัยองคก์ ารอนามัยโลกถอื วําเป็นการดื่มท่ีผิดปกติไปเพราะเป็นการด่ืมที่เส่ียงตํอการเกิดอันตรายตํอสุขภาพ แม๎วําผู๎ด่ืม ยังไมํได๎รับอันตราย(Hazardous drinking) การด่ืมท่ีมากกวําระดับปกติและผู๎ดื่มได๎รับผลทางลบตํอรํางกายและสุขภาพจิตจัดวําเป็นการด่ืมแบบอันตราย (Harmful drinking) (Babor, Higgins-Biddle, Saunders, &Monteiro, 2001; Sommers, 2006) ซึ่งหากยังไมํมีอาการขาดสุรา อาจเรียกวํา การด่ืมที่เป็นปัญหา(Problem drinking) (Sommers, 2006) แตํถ๎าผู๎ดื่มมีลักษณะของการด่ืมดังนี้คือ ต๎องเพ่ิมปริมาณแอลกอฮอล์ทด่ี ่มื มากขน้ึ เพ่อื ให๎ได๎ผลเทําเดิม (Tolerance) มีอาการขาดสุรา (Withdrawal symptoms)ปรากฏหากไมํได๎ดื่มสุรา ควบคุมการดื่มไมํได๎ (Impaired control) ให๎เวลาในการดื่มกํอนและมากกวําการกระทาอยํางอื่นๆ และหน๎าท่ีการงาน มีความต๎องการด่ืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยํางมากมีการเพ่ิมปริมาณการดื่มขึ้นเร่ือยๆมีความบกพรํองในหน๎าท่ีทางสังคม อาชีพ การงาน หรือการพักผํอนหยํอนใจ และยังคงดื่มแม๎จะได๎รับผลเสียตํอสุขภาพ ผู๎ด่ืมท่ีมีลักษณะดังกลําวอยํางน๎อย3 ลกั ษณะถอื วาํ เปน็ ผู๎ทมี่ ภี าวะตดิ สรุ า (Babor et al., 2001) ดังน้ันการดื่มเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์แบบผิดปกติจึงครอบคลุมต้ังแตํ การด่ืมที่มากเกนิ ระดับที่ปลอดภยั แตยํ งั ไมํไดร๎ บั อนั ตรายตอํ สุขภาพ การดม่ื ท่ีมากกวําระดับท่ีปลอดภัยและได๎รับผลทางลบตํอสุขภาพ ไปจนถึงจนมีภาวะติดสุรา การชี้วัดวําบุคคลใดมีการด่ืมที่ผิดปกติไปน้ันมีเครือ่ งมือหลากหลาย ดงั นี้ 1) ไอซีดี-10 (ICD-10) (The 10th revision of the International Classification ofDiseases) โดยองค์การอนามัยโลกในปี 1992 และ ดีเอสเอ็ม-4 (DSM-IV) (The 4th edition of theDiagnosis and Statistical Manual of the American Psychiatric Association) โดย สมาคมจิตแพทย์อเมริกาในปี 1994 (Caetano & Cunradi, 2002) เป็นเกณฑ์ของการจัดกลํุมวินิจฉัยโรคโดยแพทย์การจัดกลุํมการวินิจฉัยโรคท่ีเก่ียวข๎องกับพฤติกรรมการดื่มสุราท่ีผิดปกติ DSM-IV และ ICD10 ให๎ความสาคัญของอาการในเวลาใดกต็ าม ในชํวง 12 เดือนท่ีผาํ นมา แบํงออกเป็น 2 ประเภท ไดแ๎ กํ

25 1.1) ความผิดปกติของพฤติกรรมการดื่มสุรา (Alcohol use disorder)ประกอบด๎วย พฤติกรรมการด่ืมสุราจนเกิดโทษ (Alcohol abuse) และพฤติกรรมการดื่มสุราจนติดและต๎องพ่งึ พิง (Alcohol dependence) 1.2) ความผิดปกติเกิดขึ้นจากผลของสุรา (Alcohol induced disorders)ประกอบด๎วยความผิดปกติจากพิษสุรา (Alcohol intoxication) และการขาดสุรา (Alcoholwithdrawal) พฤติกรรมการด่ืมสุราจนติดและต๎องพึ่งพิงมีเกณฑ์การวินิจฉัยการติดสุรา(PsychNet-UK Home, 2007) ดังนี้ - มีการด้ือตํอสุรา โดยมีอาการอยํางใดอยํางหน่ึงตํอไปนี้ 1) มีความต๎องการดืม่ สรุ าเพิ่มข้ึนอยํางมากเพื่อให๎เกิดอาการมึนเมาหรือผลอื่นท่ีต๎องการ หรือ 2) ได๎รับผลจากสรุ าลดลงอยาํ งมากหากคงการด่มื ในขนาดเทําเดมิ - มีอาการขาดสุรา หรืออยํางใดอยํางหน่ึงดังตํอไปนี้ 1) หลังจากหยุดดื่มจะมีอาการตํอไปน้ีสองอาการหรือมากกวําเกิดขึ้นภายในเวลาไมํก่ีชั่วโมง จนถึง 2-3 วัน ได๎แกํ เหง่ือออก ชีพจรเต๎นเร็วกวําปกติ มือสั่นมากข้ึน นอนไมํหลับ อาเจียน คล่ืนไส๎ เห็นภาพหลอน ประสาทหลอน กระวนกระวายวิตกกงั วล ชกั ท้งั ตวั หรือ 2) การใช๎สุราสามารถกาจดั อาการขาดสรุ าได๎ - มีการใชส๎ รุ าในปรมิ าณมากหรือเป็นเวลานานกวาํ ทีต่ ั้งใจ - มีความตอ๎ งการด่มื สุราอยตํู ลอด หรอื ไมํสามารถหยุดหรือควบคุมการดื่มได๎ - ใช๎เวลาอยํางมากในการกระทาเพื่อใหไ๎ ดส๎ รุ ามาดมื่ - ต๎องงดหรือลดการเข๎าสังคม การงาน หรอื การหยอํ นใจอ่ืนๆ เน่ืองจากการดื่มสุรา - คงมีการด่ืมสุราแม๎จะทราบวําการดื่มมีโอกาสกระตุ๎นให๎เกิดปัญหาทางกายทม่ี ีอยูํแล๎วให๎เกิดข้ึน พฤติกรรมการดื่มสุราจนเกิดโทษซึง่ มีรูปแบบการดื่มสรุ าไมํเหมาะสม นาไปสํูความบกพรอํ งหรอื ความทุกข์ทรมาน เกณฑ์การวินิจฉัยจะพิจารณาจากการแสดงออก 1 พฤติกรรมหรอื มากกวํา (PsychNet-UK Home, 2550) ดงั น้ี - มีการดื่มประจาจนไมํสามารถทางานสาคัญที่จาเป็น การศึกษาหรืองานบา๎ นได๎ - มกี ารดื่มเป็นประจาในสถานการณ์ทอ่ี าจกํอให๎เกิดอันตรายตํอรํางกายเชนํ ขบั รถ

26 - มีปัญหาทางกฎหมายอันเกิดจากการดื่มเป็นประจา เชํน ถูกจับกุมเน่ืองจากดม่ื ขณะขับรถ - ยังคงด่ืมแม๎จะกํอให๎เกิดปัญหาทางสังคม ความสัมพันธ์ระหวํางบุคคลอยํตู ลอดหรือบํอยๆ ความผิดปกติจากพิษสุรา(PsychNet-UK Home, 2550) เป็นอาการที่เกิดข้ึนหลังจากการบริโภคแอลกอฮอล์ในระยะเวลาอันสั้นด๎วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นสารระงบั ประสาทจะออกฤทธิล์ ดการทางานของระบบประสาทสวํ นกลาง จงึ ทาใหผ๎ ู๎ทีไ่ ดร๎ บั พิษมอี าการทางคลินิก คือ สูญเสียกาลังของกล๎ามเน้ือ ขาดความสัมพันธ์ของการเคล่ือนไหวรํางกาย เดินเซรูมํานตาช๎าตํอการกระต๎ุน ถ๎ารํางกายได๎รับในปริมาณมากรูมํานตาจะหด อัตราการเต๎นของหัวใจความดันโลหิต อตั ราการหายใจ ลดลง เหงอื่ ออกมาก พูดไมํชัด เสียความทรงจา ความสนใจน๎อยลงมีพฤติกรรมที่ผิดปกติไป เชํน ก๎าวร๎าว มีพฤติกรรมทางเพศไมํเหมาะสม หรือมีอาการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ เชํน อารมณ์เปลี่ยนแปลงอยํางรุนแรง การตัดสินใจไมํดี ในกรณีที่เป็นรุนแรงจะซึมและหมดสติ การขาดสรุ า ต๎องมีอาการ (PsychNet-UK Home, 2550) ดงั นี้ - มีการหยุดหรือลดการด่ืมสุราหลังจากการใช๎อยํางมากและเป็นเวลานาน - มีอาการดังตํอไปนี้ 2 ข๎อหรือมากกวํา เกิดข้ึนภายในไมํก่ีช่ัวโมงจนถึง 2-3 วัน จากเกณฑ์ข๎อแรก 1) ระบบประสาทอัตโนมัติทางานมากกวําปกติ เชํน เหงื่อออกชพี จรเร็วกวํา100 ครั้ง/นาที 2) มือสั่นมากข้ึน 3) นอนไมํหลับ 4) คลื่นไส๎อาเจียน 5) เห็นภาพหลอนหูแวํว สัมผัสหลอน หรือมองเห็นภาพส่ิงของผิดไปจากความเป็นจริงชั่วคราว 6) กระวนกระวายกระสบั กระสําย 7) วิตกกงั วล 8) ชักทั้งตวั - อาการในข๎อ 2. กํอให๎เกิดความทุกข์ทรมานอยํางมีความสาคัญทางการแพทย์ หรอื กจิ กรรมด๎านสังคมการงาน หรอื ดา๎ นอื่นๆ ท่สี าคัญบกพรํอง - อาการไมไํ ด๎เกดิ จากการเจ็บป่วยทางกาย และไมํเข๎ากับโรคทางจิตเวชอืน่ ๆ 2) แบบคัดกรองเคจ (The CAGE) (C คือ Cut down A คือ Annoyed G คือGuilty E คือ Eye opener)(Fisher, Cook, Sam, & Kapiga, 2008; National Institute on AlcoholAbuse and Alcoholism, 2003; Seppä, Laippala, & Sillanaukee, 1996) เป็นเคร่ืองมือท่ีใช๎คัดกรองเบื้องต๎นเพ่ือระบุการเป็นผู๎ท่ีดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนเส่ียงตํอการเกิดอันตรายในชํวงเวลาท่ีผํานมา เครื่องมือประกอบด๎วยข๎อคาถามจานวน 4 ข๎อ ผ๎ูตอบตอบเพียง ใชํ หรือ ไมํใชํ ข๎อคาถาม

27ถามถึงความสามารถที่จะหยุดด่ืม การกํอความราคาญให๎แกํผู๎อื่นจากการดื่มของตนเอง ความรู๎สึกท่ีมีตํอการด่ืมของตนเองและความต๎องการดื่มเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ท่ีเพ่ิมข้ึน และอาการเมาค๎างคะแนนท่ไี ด๎จากการตอบคาถามทั้งฉบับน๎อยกวําหรือเทํากับหนึ่ง แสดงถึงผ๎ูตอบน้ันเป็นผู๎ที่ด่ืมแล๎วไมํเกิดปญั หา แตถํ า๎ ไดค๎ ะแนนต้ังแตํ 2 ข้ึนไป ถือวาํ เป็นผ๎ทู ด่ี ม่ื แลว๎ เกิดปญั หา 3) แบบคัดกรองมิชิแกน (The Michigan Alcohol Screening Test: MAST)(Buddy, 2007; Devoulyte, Stewart, & Theakstone, 2006; Seppä et al., 1996) เป็นเครื่องมือท่ีใช๎คัดกรองผ๎ทู ี่มีปญั หาจากการด่มื เครอ่ื งดื่มแอลกอฮอล์ ถูกออกแบบมาเป็นข๎อคาถามท้ังหมด 22 ข๎อ และให๎ผู๎ตอบตอบเพียง ใชํ หรือ ไมํใชํ ข๎อคาถามถามถึงการประเมินการดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ของผ๎ูตอบเองวําเป็นการดื่มที่ผิดไปจากคนอ่ืนหรือไมํ และถามถึงปัญหาด๎านสังคม ด๎านการประกอบอาชีพ และด๎านครอบครัว ที่เกิดจากการดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์อยํางหนักในชํวงเวลาท่ีผํานมาในอดีต คะแนนท่ีได๎จากการตอบคาถามท้ังฉบับน๎อยกวํา 6 แสดงถึงเป็นผู๎ที่ดื่มแล๎วไมํเกิดปัญหาถ๎าคะแนนมากกวาํ หรือเทํากบั 6 ขึน้ ไปถอื วําเปน็ ผูท๎ ีม่ ีปญั หาจากการดื่มสุราทค่ี วรได๎รบั การแกไ๎ ข 4) แบบคัดกรองภาวะผิดปกติจากการด่ืมสุราหรือแบบคัดกรองออดิท (TheAlcohol Use Disorders Identification Test: AUDIT) (NIAAA, 2003; Zamboanga, 2006) เป็นเครื่องมือท่ีใช๎ค๎นหาผ๎ูท่ีมีปัญหาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในชํวง 1 ปี ท่ีผํานมา เคร่ืองมือประกอบดว๎ ยขอ๎ คาถาม 10 ข๎อ ขอ๎ ที่ 1-8 มคี าตอบใหเ๎ ลือกตอบเป็นแบบประมาณคํา 5 ตัวเลือก ข๎อท่ี9 และ 10 มีคาตอบให๎เลอื กตอบเป็นแบบประมาณคํา 3 ตัวเลือก ข๎อคาถามถามเกี่ยวกับ ความถ่ีของการด่ืม และปริมาณเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ท่ีเคยดื่ม ความถ่ีของการด่ืมหนักในโอกาสหน่ึงความสามารถหยุดด่ืมด๎วยตนเอง การดื่มเพื่อถอนพิษสุราในตอนเช๎า ความรู๎สึกผิดจากการด่ืมความร๎ูสึกวําการด่ืมเป็นอุปสรรคตํอความต้ังใจทาส่ิงใดสิ่งหน่ึง การลืมเหตุการณ์ในชํวงท่ีดื่มหลังจากตน่ื ขน้ึ มา การเกิดอบุ ตั ิเหตุท่ีเปน็ ผลมาจากการดื่ม และความวิตกกังวลของบุคคลอื่นท่ีมีตํอการด่ืม เอ็นไอเอเอเอ (NIAAA: National Institute on Alcohol Abuse and Alcoholism) (NIAAA,2003) และบาเบอร์และคณะ ((Babor, Higgins-Biddle, Saunders & Monteiro, 2001) ได๎กาหนดให๎ผ๎ูทม่ี ีคะแนนจากการตอบทง้ั ฉบับนอ๎ ยกวํา 8 เป็นผูท๎ ่ดี ื่มแล๎วไมเํ กิดปญั หา ผ๎ูที่ได๎คะแนนตั้งแตํ 8 ข้ึนไปถือวําให๎ผลบวก หากได๎คะแนนอยูํในชํวง 8-15 ผ๎ูให๎บริการสุขภาพจะให๎คาแนะนาท่ีเป็นข๎อความรู๎ในเรื่องของผลเสียจากการดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดแกํสุขภาพหากคะแนนอยใูํ นชํวง 16-19 จะให๎การบาบัดแบบสั้น (Brief intervention) และมีการติดตามผลเป็นชวํ งๆ หากคะแนนมากกวาํ 20 ขึ้นไปถือวาํ เป็นผต๎ู ิดสรุ าตอ๎ งเข๎ารับการบาบัดในโปรแกรมการบาบัดตาํ งๆทร่ี ะบบบรกิ ารสขุ ภาพจัดใหม๎ ขี ้ึน (Babor, et al., 2001; สาวิตรี อษั ณางค์กรชยั , 2547)

28 5) แบบคัดกรองที.ดับบลิว.อี.เอ.เค. (TWEAK) (T คือ Tolerance W คือ WorriedE คือ Eye-opener A คือ Amnesia K คือ Cut down on alcohol consumption) (Gans, 2007;O’Connor & Whaley, 2003) เป็นเคร่ืองมือท่ีพัฒนาขึ้นเพื่อค๎นหาการดื่มท่ีทาให๎เกิดอันตรายของมารดาท่ีกาลังตั้งครรภ์ท่ัวๆไปท่ีไมํได๎เฉพาะเจาะจงวําใช๎ในคลินิก เคร่ืองมือถูกออกแบบให๎ผู๎ตอบตอบคาถามวํา ใชํ หรือไมํใชํ จากการถาม 5 คาถาม ท่ีถามถึง 1) ปริมาณการด่ืมสูงสุดเทําท่ีผ๎ูตอบสามารถด่ืมได๎ 2) ความร๎ูสึกวําตนเองต๎องหยุดด่ืม 3) การดื่มของตนเองเป็นสิ่งที่คนอ่ืนที่อยูํรอบตัวกังวล 4) มีอาการเมาค๎างและต๎องด่ืมเพ่ือดับความอยากในตอนเช๎า และ 5) ลืมเหตุการณ์ที่ผํานมาเมื่อฟื้นจากการเมาแล๎ว คะแนนที่ได๎จากการตอบทั้งฉบับมากกวําหรือเทํากับ 2 ขึ้นไป ถือวําเป็นผทู๎ ี่นําจะมปี ญั หาจากการดืม่ สุราทคี่ วรไดร๎ ับการวนิ ิจฉยั ซา้ อกี ครงั้ 6) แบบคัดกรองที-เอซ (T-ACE) (T คือ Tolerance A คือ Annoyed C คือ Cutdown E คือ Eye opener)(Stark, 2006; Stevenson & Masters, 2005) เป็นเครื่องมือ ท่ีปรับมาจากแบบคัดกรองเคจเพื่อใชค๎ น๎ หาการด่มื เครอื่ งดื่มแอลกอฮอล์ที่เป็นปัญหาในชํวงเวลาท่ีผํานมาในกลุํมหญงิ ต้งั ครรภ์ (Sokol, Martier, & Ager, 1989) และกลุํมผ๎ูสูงอายุหญิง (Stevenson & Masters, 2005)เครื่องมือประกอบด๎วยข๎อคาถาม 4 ข๎อ ท่ีถามเก่ียวกับการเพิ่มการด่ืมที่ผิดไปจากเดิม ความร๎ูสึกโกรธหรือราคาญเมื่อมีผู๎อ่ืนแสดงความกังวลเก่ียวกับการดื่มของตนเอง ความพยายามท่ีจะหยุดด่ืมเคยมีอาการเมาค๎างและต๎องดื่มเพ่ือดับความอยากในตอนเช๎า แตํละข๎อให๎ผู๎ตอบตอบวํา ใชํ หรือไมํใชํ คะแนนท่ีได๎จากการตอบทั้งฉบับมากกวําหรือเทํากับ 2 ข้ึนไป ถือวําเป็นการดื่มท่ีเส่ียงอยํางมากตอํ การเกิดปัญหา สาหรับกลํุมวัยรํุน การศึกษาการดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ท่ีผิดปกติไปของวัยรุํนในชํวง 10 ปีท่ีผํานมาเป็นการศึกษาในเร่ืองการด่ืมหนักในโอกาสเดียว (Binge drinking)/ การดื่มหนัก (Heavy drinking) การด่ืมแบบเส่ียง (Risky drinking/ hazardous drinking) การศึกษาในเรื่องเหลาํ น้ี มหี ลักในการช้ีวัด 2 ลกั ษณะ ไดแ๎ กํ 1) ใช๎ปริมาณและความถ่ีของการด่ืมเป็นหลัก ได๎แกํ การศึกษาการดื่มหนักในโอกาสเดียว/การด่ืมหนัก และการดื่มแบบเส่ียง งานวิจัยที่ศึกษาทั้ง 2 เรื่องน้ี เป็นการศึกษาที่ใช๎ความถข่ี องการด่มื ทม่ี ากกวํา 5 ด่มื มาตรฐานในหนึ่งโอกาส เป็นตัวชี้วัด (Bellis et al., 2007; Colder,Chassin, Stice, & Curran, 1997; Engels, Wiers, Lemmers, & & Overbeek, 2005; Jessor, Costa,P.M, & Turbin, 2006; Katz, Fromme, & D’Amico, 2000; Reboussina, Songa, Shresthab,Lohmana, & Wolfson, 2006; Ricciardelli, Connor, Williams, & Young, 2001; Van Beurden,Zask, Brooks, & Dight, 2005; Vickers et al., 2004)

29 2) ใช๎ปัญหาที่เกิดจากการด่ืมเป็นหลัก ได๎แกํ การด่ืมที่เส่ียง การศึกษาการดื่มในลักษณะน้ีจะมุํงไปที่การเกิดการทาลายสุขภาพกายและสุขภาพจิตในอนาคตหากผ๎ูด่ืมดื่มในปริมาณมาก การศึกษาเกี่ยวกับเรื่องน้ี ใช๎แบบสอบถามหรือแบบวัดเป็นเคร่ืองมือในการประเมิน เชํนแบบคัดกรองภาวะผิดปกติจากการดื่มสุราหรือแบบคัดกรองออดิท เป็นต๎น (Faulkner, Hendry,Roderique, & Thomson, 2006; Kypri, 2002; Zamboanga, 2006) การดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์แบบผิดปกตินั้นหากใช๎ปริมาณการดื่มและความถ่ีประเมินอยํางเดียวโดยไมํคานึงถึงผลตํอสุขภาพที่เกิดข้ึนด๎วยจะไมํครอบคลุม เนื่องจากการด่ืมมากกวําในระดับทป่ี ลอดภัยผ๎ูดมื่ อาจจะไดร๎ บั อันตรายหรอื ไมไํ ด๎รับอนั ตรายตํอสุขภาพ หากผ๎ูด่ืมดื่มแล๎วมอี ันตรายตํอสุขภาพด๎วยจะทราบแตํปริมาณและความถี่ของการด่ืมเพียงอยํางเดียวจะไมํทราบวําผ๎ูท่ีดื่มมากนั้นมีผลตํอสุขภาพหรือไมํ แตํหากใช๎ปัญหาท่ีเกิดจากการดื่มเป็นหลักอยํางเดียวจะไมํทราบปริมาณการดืม่ และความถี่ของเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ที่เข๎าสูํรํางกายซ่ึงไมํครอบคลุมกรณีที่ดื่มมากเกินระดับที่ปลอดภัยแตํยังไมํมีอันตรายตํอสุขภาพ ผ๎ูวิจัยจึงเห็นวําการศึกษาการด่ืมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์แบบผิดปกติของวัยรุํนควรใช๎เครื่องมือที่ช้ีวัดครอบคลุมท้ัง 2 ลักษณะ คือท้ังปริมาณและความถ่ีและปญั หาที่เกดิ จากการด่ืม ซึ่งสามารถแยกหรือคัดกรองการด่ืมแบบผิดปกติได๎ทั้งกลุํมท่ีด่ืมมากเกินระดับท่ีปลอดภัยแตํยังไมํได๎รับอันตรายตํอสุขภาพ และกลํุมที่ด่ืมจนมีอันตรายตํอสุขภาพ จากเครื่องมือท่ีได๎กลําวมา 6 ชนิด ข๎างต๎นจะเห็นวําแบบคัดกรองภาวะผิดปกติจากการดื่มสุราหรือแบบคัดกรองออดิท มีความสอดคล๎องและเหมาะสมเน่ืองจากมีข๎อคาถามท่ีถามถึงปริมาณและความถ่ี รวมไปถึงปัญหาที่เกิดจากการด่ืม และมีการแยกกลํุมท่ีดื่มมากเกินระดับที่ปลอดภัยแตํยังไมํได๎รับอันตรายตํอสุขภาพ และกลุํมที่ด่ืมจนมีอันตรายตํอสุขภาพจากคะแนนที่ได๎ทั้งฉบับนอกจากน้แี บบคดั กรองมขี อ๎ คาถามไมมํ ากวยั รุํนไมํต๎องใช๎เวลาตอบมากนัก จึงเป็นข๎อดีท่ีได๎รับการพจิ ารณาเพมิ่ ขึน้ 2.5 การด่มื เครือ่ งด่ืมแอลกอฮอลแ์ บบผิดปกติของวยั รนุ่ สาหรับวัยรํุนถึงแม๎วําสังคมไมํเห็นด๎วย ไมํยอมรับการด่ืมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์แตํวัยรุํนจานวนไมํน๎อยยังคงด่ืม ดังเชํนนักเรียนมัธยมในสังคมตะวันตกเชํนประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2548 ชั้นเรียนท่ีเกรด 12 ด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ 3 ใน 4 ช้ันเรียนท่ีเกรด 10 ด่ืมมากกวํา 2ใน 3 และชั้นเรียนท่ีเกรด 8 ด่ืม 2 ใน 5 ซ่ึงการดื่มของนักเรียนแตํละคร้ังดื่มในปริมาณ 4-5 ดื่มมาตรฐาน (Johnston, O’Malley, Bachman & Schulenberg, 2005) นักเรียนสํวนใหญํเร่ิมดื่มคร้ังแรกเมื่ออายุเฉล่ีย 14 ปี เริ่มดื่มเร็วขึ้นเม่ือเทียบกับ 30 ปีที่แล๎ว คือ 17.5 ปี (U.S. Department of Healthand Human Services, 2006)

30 สาหรับในสังคมตะวันออก เชํน ประเทศไทย การดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ของวัยรุํนในชํวง 10 ปี ท่ีผํานมา พบได๎ในวัยรํุนชายอายุ 15 ปี ขึ้นไป และมีจานวนไมํมาก แตํในชํวง 4ปี ที่ผํานมาวัยรํุนอายุต่า กวํา 15 ปีเร่ิมด่ืม เห็นได๎จากการสารวจพฤติกรรมการบริโภคเคร่ืองดื่มท่ีมีแอลกอฮอล์ของสานักงานสถิติแหํงชาติ (สานักงานสถิติแหํงชาติ, 2547, 2551) พบวํา วัยรํุนหญิงที่อายุ 11-14 ปี ดืม่ เครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ มีจานวนเพ่ิมข้ึนจากท่ีไมํพบเลยในปี 2546เพิ่มเป็น 2,201 คนหรือร๎อยละ 0.11 ในปี 2550 เชํนเดียวกับการสารวจตามโครงการเฝ้าระวังพฤติกรรมการบริโภคเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์และพฤติกรรมเส่ียงตํอสุขภาพของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาในประเทศไทย(สาวิตรี อัษณางค์กรชัย และคณะ, 2551) ในปีการศึกษา 2550 พบวําอายุเฉลี่ยที่นักเรียนเร่ิมดื่มเครอ่ื งดม่ื แอลกอฮอลเ์ ป็นครั้งแรก คือ 13 ปใี นผ๎ูชาย และ 14 ปใี นผู๎หญิง นักเรียนวัยรํุนของไทยเคยด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์มาแล๎วเกือบร๎อยละ 40 ในชายและเกอื บร๎อยละ 25 ในหญิง ในกลมํุ น้ีเปน็ นักเรียนชายช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพ ปี 2 เกือบร๎อยละ70 ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 5 รอ๎ ยละ 52 ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 รอ๎ ยละ 35 และชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ร๎อยละ17 เปน็ นักเรียนหญิง ช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพ ปี 2 เกือบร๎อยละ 45 ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 5 ร๎อยละ31 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 รอ๎ ยละ 22 และช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ร๎อยละ 9 ภายในกลํุมนักเรียนที่เคยดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์มาแล๎ว นักเรียนชายร๎อยละ 46 และหญิงร๎อยละ 32 เพ่ิงดื่มเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์เป็นคร้ังสุดท๎ายภายใน 1 สัปดาห์ท่ีผํานมา นักเรียนสํวนใหญํท่ียังคงด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์อยูํในปัจจุบัน ด่ืม 1-2 คร้ังตํอสัปดาห์ และด่ืมเพียง 1-2 ดื่มมาตรฐานตํอคร้ัง นอกจากนี้มีนักเรียนท่ีด่ืมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์มากกวํา 5 ดื่มมาตรฐานข้ึนไปในชํวงโอกาสเดียวถึงร๎อยละ 49 ในชาย และร๎อยละ 36 ในหญิง นักเรียนท่ีเคยดื่มจนเมามีถึงร๎อยละ 63 ในชาย และ ร๎อยละ 50 ในหญิงสถานทที่ ่นี กั เรียนสํวนใหญนํ ิยมเลอื กเป็นทด่ี ืม่ เคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ ได๎แกํ ในสวน/ไรํนา รองลงมาคอื หอพัก นกั เรียนมัธยมศึกษาชั้นปีท่ี 5 และช้ันประกาศนียบัตรวิชาชีพ ปี 2 สํวนใหญํได๎เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาจากผ๎ูอื่นท้ังเป็นผ๎ูที่อายุมากกวําหรือน๎อยกวํา 20 ปี รวมท้ังการซื้อเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์มาด่ืมเองโดยท่ีผ๎ูขายไมํได๎ตรวจบัตรประจาตัว นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 3 ท้ังหญิงและชาย และนักเรยี นชายชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1 สํวนใหญไํ ดเ๎ คร่อื งดื่มแอลกอฮอล์มาจากผ๎ูอ่ืนท้ังเป็นผ๎ูท่ีอายุมากกวําหรือน๎อยกวํา 20 ปี แตํในขณะที่นักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สํวนใหญํได๎เครอื่ งดื่มมาจากผอู๎ ่นื ท่อี ายุมากกวํา 20 ปี (สาวิตรี อษั ณางค์กรชัย และคณะ, 2551) จะเห็นวําวัยรุํนมีรูปแบบการด่ืมที่หลากหลาย มีการด่ืมอยําหนักในหน่ึงโอกาสจานวนมาก จึงมีโอกาสสูงที่รํางกายได๎รับแอลกอฮอล์เกินกวําระดับท่ีปลอดภัย ปัญหาจากการดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์มากเกินกวําระดับที่ปลอดภัยของวัยรุํนได๎รับความสนใจเกือบ 20 ปีโดยเฉพาะในประเทศตะวันตก เชํน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สวีเดน เดนมาร์ก เยอรมัน ที่มีอัตราของ

31วัยรํุนท่ีดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สูง (Colder et al., 1997; Fergusson, Horwood, & Lynskey, 1995;Fleming, Barry, & MacDonald, 1991; Kypri, 2002; Luczak, Corbett, Oh, Carr, & Wall, 2003;Thomas & McCambridge, 2008; Tyssen, Vaglum, Aasland, Gronvold, & Ekeberg, 1998; Vickerset al., 2004; Zamboanga, 2006; Zufferey et al., 2007) สาหรับประเทศไทยความโดดเดํนในการด่ืมแบบมากกวําปกติของวัยรํนุ พบได๎เม่ือประมาณ 5 ปี ที่ผํานมา จากการสารวจของวิชัย เอกปละกรณ์และคณะในปี พ.ศ.2547 (Aekplakorn et al., 2008) พบวําเยาวชนชายและหญิงอายุ 15-24 ปี มีความชุกของการด่ืมแบบเสี่ยงร๎อยละ 5.9 และ 0.5 ตามลาดับ ด่ืมแบบอันตรายร๎อยละ 14.7 ในชาย และร๎อยละ 2.2 ในหญิง ดื่มอยํางหนักในโอกาสเดียวร๎อยละ 50.4 ในชาย และร๎อยละ 8.8 ในหญิงการด่ืมในสองรูปแบบน้ีไมํมีความแตกตํางระหวํางชนบทและในเมืองท้ังหญิงและชาย และไมํมีความแตกตาํ งระหวาํ งภาคในผ๎ูดืม่ ชาย และผ๎ดู ่มื หญงิ ซ่ึงยกเว๎นภาคใต๎ทม่ี คี วามชุกของผู๎ดื่มหญิงน๎อยที่สุด ตอํ มาคณะกรรมการบริหารเครือขํายองค์กรวิชาการสารเสพติดรายงานผลการสารวจคุณภาพชวี ติ และสุขภาพของประชาชนเพ่อื ประมาณการจานวนผ๎ูเกี่ยวข๎องกับสารเสพติดและผู๎ด่ืมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ในปี 2550 วาํ วัยรุํนอายุ 12-19 ปี ด่ืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีปริมาณแอลกอฮอล์เฉลี่ยตํอวันที่ด่ืมสูงถึง 118.35 กรัม/วันที่ดื่มในผู๎ชาย 61.95 กรัม/วันท่ีดื่มในผู๎หญิง ด่ืมแบบเส่ียงร๎อยละ26.5 ในชาย ร๎อยละ 13.2 ในหญิง ด่ืมแบบอันตรายร๎อยละ 4.5 ในชาย ร๎อยละ 2.2 ในหญิง มีภาวะเสพติดรอ๎ ยละ 3 ในชาย และร๎อยละ 0.4 ในหญงิ การดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์แบบผิดปกติของวัยรุํนในประเทศไทยมีจานวนไมํน๎อย ปญั หาสุขภาพของวัยรุนํ กลํุมน้ีเป็นส่ิงที่บุคลากรสุขภาพควรตระหนักถึง การศึกษาวิจัยเพื่อให๎ได๎มาซึง่ องคค์ วามรู๎และนาไปสกูํ ารปอ้ งกันและชวํ ยเหลอื เดก็ ในกลุํมนี้จงึ เปน็ สิง่ สาคัญ 2.6 นโยบายการควบคุมการดมื่ และผลกระทบจากการดื่มเครอื่ งดืม่ แอลกอฮอล์ 2.6.1 นโยบายการควบคุมการด่ืมและผลกระทบจากการดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ของนานาชาติ ในหลายๆประเทศมีการใช๎มาตรการควบคุมการด่ืมและผลกระทบจากการดมื่ เคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ (วรเวศม์ สุวรรณระดา และคณะ, 2548; ทักษพล ธรรมรังสี และคณะ,2553) ดงั นี้ 1) มาตรการที่สํงผลกระทบตํอการเข๎าถึงเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ เป็นมาตรการท่ีสร๎างอุปสรรคในการเข๎าถึงการด่ืม ได๎แกํ การผูกขาดการผลิตและจัดจาหนํายเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์โดยรัฐบาล การใช๎ระบบใบอนุญาตในการจัดจาหนํายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การจากัดความหนาแนนํ ของร๎านที่จัดจาหนาํ ยเคร่ืองดม่ื แอลกอฮอล์ การจากัดสถานที่ด่มื และการกาหนดอายุขัน้ ตา่ ของผซ๎ู อื้ เครอ่ื งดมื่ แอลกอฮอล์ หลายประเทศในกลํุมประเทศทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกา เอเชีย

32รวมถึงประเทศไทยใช๎มาตรการเหลํานี้อยํางกว๎างขวาง มาตรการเหลําน้ีมาจากการศึกษาวิจัยหลายชนิ้ ท่ีพบวาํ การเข๎าถงึ เครอ่ื งดมื่ แอลกอฮอลไ์ ด๎งํายจะสํงผลใหก๎ ารด่ืมเพิ่มข้ึน และถ๎าเพิ่มอุปสรรคตํอการเข๎าถึงจะสํงผลให๎การดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์มีปริมาณลดลงอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ(Bramdy & Martin, 1999; Stockwell et.al., 1998; D’Abbs, Togni & Duquemin, 1999) เม่ือเพิ่มระดับความยากในการเข๎าถึงเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์จากการใช๎มาตรการสร๎างอุปสรรคตํอการเข๎าถึงเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ในนักเรียนและนักศึกษาแล๎ว ปริมาณการด่ืมของนักเรียนและนักศึกษาลดลงและยังสํงผลให๎จานวนอุบัติเหตุจากการขับขี่ยานพาหนะลดลงอยํางมีนัยสาคัญทางสถิติ อีกด๎วย(Cahloupka & Wechisler, 1995) นอกจากนม้ี าตรการเหลาํ น้ียงั สํงผลให๎ลดความรุนแรงท่ีมาจากการดมื่ และจานวนอาชญากรรมด๎วย (Baughman et al., 2000) 2) มาตรการที่สํงผลกระทบตํอผ๎ูด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ เป็นมาตรการท่ีมีเป้าหมายที่ผ๎ูดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์โดยใช๎ 1) นโยบายการคลัง ซ่ึงก็คือการเพิ่มภาษีเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ และ2) มาตรการท่เี กี่ยวกบั การโฆษณาและสงํ เสริมการขาย การใช๎มาตรการเพิม่ ภาษีเคร่อื งดม่ื แอลกอฮอล์ซ่งึ จะมผี ลตํอราคาเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์และสํงผลตํอปริมาณของการดื่มตํอไปเป็นวิธีการท่ียอมรับกันวํามีประสิทธิภาพมาตรการนี้มาจากแนวคิดทางการวิจัยที่วําเมื่อราคาของเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์เพ่ิมข้ึน การดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์จะลดลง ในทางกลับกันเมื่อราคาของเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ลดลง การดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์จะเพ่ิมขึ้น ในสํวนของการโฆษณาเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์นั้นมีผลตํอเด็กและเยาวชน กลําวคือ เด็กสามารถจดจาโฆษณาได๎ ร๎อยละ 90 และจาชื่อสินค๎าได๎ถึงร๎อยละ 63 เยาวชนจะรู๎สึกเพลิดเพลินและสะดุดตาโฆษณาเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ทางโทรทัศน์ (Lieberman & Orlandi,1987; Aitken, Leather & Scott, 1988) การโฆษณาเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์มีการสํงผํานกลยุทธ์การตลาดไปยังผ๎ูรับสารโดยทาให๎เห็นวําการดื่มเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์เป็นเร่ืองธรรมดา และเชื่อมโยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กับสิ่งดีๆ (ทักษพล ธรรมรังสีและคณะ, 2553) โฆษณาจึงมีผลตํอพฤติกรรมการด่ืม และทัศนคติตํอการดื่มซ่ึงนาไปสูํการด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ถึงระดับท่ีสร๎างอันตราย (Hill & Casswell, 2001) ดังนั้นมาตรการควบคุมการโฆษณาและการสํงเสริมการขายจึงมีความจาเป็น ท้ังนี้การควบคุมกิจกรรมทางการตลาดเป็นการป้องกันนักดื่มหน๎าใหมํและควบคุมพฤติกรรมการดื่มท่มี ีความเสยี่ งสูงในกลุํมทีม่ อี ายนุ ๎อย 3) มาตรการท่ีใช๎ป้องกันผลเสียที่เป็นผลสืบเน่ืองจากการดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ ประกอบด๎วย การให๎ความร๎ูเก่ียวกับอันตรายจากการดื่มแอลกอฮอล์ และมาตรการการตํอต๎านการขับข่ียานพาหนะภายหลังจากการด่ืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในสํวนการให๎ความรู๎เก่ียวกับอันตรายจากการดื่มแอลกอฮอล์ มาจากแนวคิดวํา การให๎สาระท่ีเป็นความรู๎จะทาให๎ผ๎ูรับ

33สารเปลยี่ นแปลงทัศนคติเกี่ยวกับการด่ืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และหันมาตํอต๎านการด่ืมซึ่งมีผลการศึกษาวิจัยสนับสนุนแนวคิดนี้หลายชิ้น การให๎ความรู๎เก่ียวกับอันตรายจากการด่ืมแอลกอฮอล์ยังมีผลทาให๎ปริมาณการดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ลดลงแตํต๎องมีการดาเนินงานอยํางตํอเนื่องและเลือกใช๎สื่อท่ีเหมาะสมกับกลุํมวัย (Bertram & Crundall, 1997; Carroll et al., 2000) ในสํวนของมาตรการตํอต๎านการขับขี่ยานพาหนะหลังจากด่ืมแอลกอฮอล์ หลายประเทศได๎ดาเนินมาตรการน้ีในรูปกฎหมายท่ีห๎ามขับขี่เม่ือมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือด (Blood Alcohol Concentration: BAC)สูงเกินกวําท่ีกาหนด ประเทศท่ีมีการกาหนดกฎหมายนี้ไปใช๎สํวนใหญํกาหนดระดับของ BACไมเํ กิน 70-80 มิลลกิ รมั (Rehn, Room & Edwards, 2001) และกาหนดบทลงโทษสาหรับผ๎ูฝ่าฝืน คือการปรับ การยึดหรือยกเลิกใบอนุญาตขับขี่ และการติดคุก มาตรการน้ีพบวํามีประสิทธิภาพมากที่สุดที่ประเทศออสเตรเลีย สามารถลดจานวนอุบัติเหตุ และการเสียชีวิตบนถนนที่มีสาเหตุมาจากผู๎ขับข่บี ริโภคแอลกอฮอล์ (National Expert Advisory Committee on Alcohol, 2001) 4) มาตรการการจัดระบบคัดกรองและบาบัดรักษาในระบบบริการสขุ ภาพและการเพม่ิ โอกาสในการเขา๎ ถึงระบบ กลไกของมาตรการนเี้ ปน็ ไปเพ่ือปอ้ งกนั ภาวะติดสุราในกลํุมผู๎ดื่มที่มีความเส่ียงสูงด๎วยการลดการด่ืมรวมถึงการบาบัดรักษาในรูปแบบตํางๆ ซ่ึงจากหลกั ฐานการวิจัยแบํงเปน็ 3 กลํมุ ไดแ๎ กํ 1) การบาบดั ผท๎ู ีด่ มื่ แบบเสย่ี งสงู แตํยังไมํตดิ สุรา เชํน การให๎คาปรกึ ษาแบบสรา๎ งแรงจงู ใจ (Motivational counseling) และ การคัดกรองเพื่อระบุระดับความเส่ียงและการบาบดั แบบสนั้ หรือยนํ ยํอ (Brief intervention) 2) การรกั ษาตามมาตรฐานสาหรับผ๎ูที่ด่ืมแบบมีปัญหา และผู๎ท่ีติดสุรา ได๎แกํ ครอบครัวบาบัด (Family therapy) การบาบัดแบบปรับเปล่ียนความคิดและพฤติกรรม (Cognitive-behavioral therapy) การอบรมเพื่อป้องกันการกลับมาติดซ้า(Relapse prevention training) การบาบัดแบบตรงข๎าม (Aversion therapy) การรักษาด๎วยยา3) มาตรการให๎การชํวยเหลือกันเอง เชํน 12 ข้ันตอนของกลุํมผู๎ติดสุรานิรนาม (Twelve steps ofAlcoholics Anonymous) (ทักษพล ธรรมรังสี และคณะ, 2553) มาตรการดังกลําวข๎างต๎นประเทศในแถบตะวันตกได๎นาไปใช๎และทาการศึกษาวิจัยที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการจัดการกับปัญหาจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ประเทศไทยได๎นามาตรการหลายๆ ด๎านมาใช๎ แตํยังไมํมีการศึกษาที่ยืนยันประสิทธิภาพและประสทิ ธิผล 2.6.2 นโยบายการควบคุมการดื่มและผลกระทบจากการด่ืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย ตั้งแตํปีพ.ศ. 2548 เป็นต๎นมาประเทศไทยเริ่มดาเนินนโยบายการควบคุมการด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์เพื่อลดอันตรายท่ีเกิดจากการด่ืมอยํางจริงจังในหลายมาตรการ ได๎แกํ

341) มาตรการด๎านภาษีและราคา ด๎วยการจัดเก็บภาษีตามมูลคําและตามปริมาณแอลกอฮอล์ ซึ่งจะทาให๎ราคาเคร่ืองดื่มที่มีแอลกอฮอล์สูงข้ึน 2) มาตรการควบคุมการเข๎าถึง ได๎แกํ การควบคุมการจาหนํายโดยกฎหมายกาหนดให๎ผู๎ขายต๎องขอใบอนุญาตจากรัฐ กาหนดเวลาจาหนําย โดยกฎหมายกาหนดให๎จาหนํายได๎สองชํวงเวลา คือระหวําง 11.00-14.00 น. และ 17.00-24.00 น. จากัดบริเวณจาหนาํ ยโดยหา๎ มจาหนํายเครอ่ื งด่ืมแอลกอฮอล์ในสถานท่ีหรือบริเวณวัดหรือสถานท่ีสาหรับปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา สถานบรกิ ารสาธารณสขุ ของรฐั สถานพยาบาลและร๎านขายยา สถานที่ราชการหอพัก สถานศึกษา สถานบี ริการน้ามันเชื้อเพลิง หรือร๎านค๎าในบริเวณสถานีบริการน้ามันเช้ือเพลิงและสวนสาธารณะของทางราชการท่ีจัดไว๎เพื่อการพักผํอนของประชาชนโดยท่ัวไป จากัดอายุของผู๎ซ้ือและผ๎ูดื่ม โดยกฎหมายกาหนดอายุข้ันต่าของผู๎ซื้อไว๎ท่ี 20 ปี ห๎ามไมํให๎ผู๎ใดให๎เครื่องด่ืมแอลกอฮอล์แกํเยาวชนอายุต่ากวํา 18 ปี ยกเว๎นการบาบัดทางแพทย์ ห๎ามเยาวชนอายุต่ากวํา 18 ปีซ้ือ ขาย ด่ืมและเข๎าไปในสถานท่ีที่จัดไว๎สาหรับการด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ และห๎ามเยาวชนอายุต่ากวํา 20 ปี เข๎าไปในสถานบันเทิง 3) มาตรการควบคุมการตลาดและโฆษณาเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์โดยกฎหมายห๎ามการโฆษณาเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ท้ังหมด แตํอนุญาตให๎เผยแพรํความรู๎เชิงสร๎างสรรค์สังคมโดยไมํปรากฏภาพของสินค๎า 4) มาตรการการให๎ความรู๎ ปรับทัศนคติ และเพิ่มโอกาสในการไมดํ มื่ สุรา โดยให๎ข๎อมูลคาเตือนแกผํ ูด๎ ่มื ด๎วยฉลากตดิ ภาชนะบรรจุผลิตภัณฑ์เคร่ืองด่ืมมีการรณรงค์และเชิญชวนผํานส่ือโฆษณาและจัดกิจกรรมให๎ลด ละ เลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในชํวงเทศกลสาคัญ เชํน งดเหล๎าเข๎าพรรษา สงกรานต์ปลอดเหล๎า รับน๎องปลอดเหล๎า งานศพปลอดเหล๎า และมหกรรมอาหารปลอดเหล๎า 5) มาตรการควบคุมพฤติกรรมการขับขี่ยานพาหนะขณะมึนเมาโดยกฎหมายกาหนดให๎เจ๎าพนักงานสามารถสํุมตรวจระดับแอลกอฮอล์ในเลือด ลมหายใจ และปัสสาวะของผ๎ูขับข่ียานพาหนะ ซึ่งผ๎ูขับขี่ดังกลําวต๎องมีระดับแอลกอฮอล์ในเลือดไมํเกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ หรือเทียบเทําจากการตรวจเลือด ลมหายใจ และปัสสาวะ และกาหนดบทลงโทษเม่ือมีการฝ่าฝืน (พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์, 2551; พระราชบัญญัติคุ๎มครองเด็ก, 2546; พระราชบัญญัติสุรา, 2493: ศูนย์วิจัยปัญหาสุรา, ม.ป.ป.) แตํสาหรับมาตรการคัดกรองและบาบัดรักษาในระบบบริการสุขภาพของประเทศไทยในปัจจุบันนั้นยังไมํมีระบบคัดกรองกลุํมเส่ียงอยํางเป็นทางการหรือโดยกฎหมายกาหนด และยังไมํมีการผนวกการคัดกรองและบาบัดรักษาเข๎าไปในการบริการระดับปฐมภูมิและระบบประกันสุขภาพเป็นการเฉพาะ (ศูนย์วิจัยปัญหาสรุ า, ม.ป.ป.) มาตรการควบคุมการด่ืมและผลกระทบจากการด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ในประเทศไทยดังที่กลําวมามาตรการสํวนใหญํมุํงท่ีกลุํมเป้าหมายคือกลํุมประชาชนท่ัวไปซ่ึงเป็นการป้องกันแบบสากล (Universal prevention) ซึ่งเป็นการป้องกันในระดับแรก (Primary

35prevention) (Kumpfer, 2011) ยกเว๎นมาตรการควบคุมการตลาดและโฆษณาเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์และมาตรการการให๎ความร๎ู ปรบั ทศั นคติ และเพิ่มโอกาสในการไมํด่ืมสุรามํุงไปท่ีกลุํมเยาวชนท่ียังไมํได๎เข๎าสํูวงการนักดื่มซ่ึงเป็นการป้องกันการเกิดนักด่ืมหน๎าใหมํ ถึงแม๎จะมีมาตรการครอบคลุมไปถงึ กลมุํ เยาวชนซึ่งเปน็ กลมุํ เส่ียงเป็นการป้องกันแบบเฉพาะกลุํม (Selective prevention) หรือการปอ้ งกนั ในระดับท่สี อง แตํกลุํมวัยรํุนที่เข๎าสูํวงการนักด่ืมแล๎วซ่ึงต๎องการการป้องกันในระดับที่สาม(Tertiary prevention) หรือการป้องกันแบบชี้เฉพาะ (Indicated prevention) ยังไมํมีมาตรการใดท่ีจะควบคุมการดื่มและผลกระทบจากการด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ของวัยรุํนกลุํมนี้ ทั้งนี้ระบบการคัดกรองและบาบดั รกั ษาดว๎ ยการบาบัดแบบสั้นสาหรับผู๎ด่ืมที่มีความเส่ียงสูงแตํยังไมํมีภาวะติดสุราให๎ผลดีในกลุํมวัยผ๎ูใหญํแตํสาหรับวัยรุํนน้ันผลของการบาบัดแบบยํอยังมีความคลาดเคลื่อน เห็นได๎จากการติดตามผลในประเทศสหรัฐอเมริกากับกลุํมนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 1 หลังการบาบัด 4 ปีพบวําปัญหาจากการดื่มลดลง แตํการด่ืมไมํลดลง (Baer, Kivlahan, & Blume, 2001) การบาบัดแบบยํออาจไมเํ หมาะสมหรอื ไมสํ ามารถไปลดปัจจัยท่สี งํ เสรมิ การดมื่ ของวยั รํนุ ได๎ ดังน้ันจะเห็นได๎วําพัฒนาการตามชํวงวัยของวัยรํุนที่ทาให๎วัยรํุนกังวลเก่ียวกับรูปลักษณ์ของตนเอง มีอารมณ์อํอนไหว ไมํคงที่ บํุมบําม ตัดสินใจเร็ว ถูกจูงใจงําย ให๎ความสาคัญกับความคิดของตนเอง ชอบท่ีจะพาตนเองเข๎าไปอยูํในสถานการณ์ที่นําต่ืนเต๎น ท๎าทายและไมเํ คยมปี ระสบการณ์มากํอน อยากรู๎อยากเห็นอยากลอง ต๎องการเป็นอิสระ ชอบเลียนแบบคนอื่นที่ตนเองช่ืนชอบศรัทธา และกระทาตามกลํุมเพื่อน มีสํวนสํงเสริมอยํางมากตํอการมีพฤติกรรมเสี่ยงตํอสุขภาพดังเชํน การด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์ ขณะท่ีเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์เอื้อตํอลักษณะของวัยรนํุ คือ เคร่ืองดม่ื แอลกอฮอล์ให๎รสชาติท่ีถูกใจ ให๎ผลทางบวกตามความคาดหวัง เชํน ด่ืมแล๎วกลา๎ แสดงออก เทํห์ มคี วามเป็นผู๎ใหญํ เปน็ เครือ่ งดืม่ ทผ่ี ๎ูใหญหํ า๎ มทาให๎นาํ ลอง เพ่อื นๆดื่ม และดื่มได๎มากและเมาช๎า วัยรุํนจึงมีพฤติกรรมด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ และด่ืมมากเกินกวําระดับที่ปลอดภัยเป็นจานวนไมํน๎อย ซ่ึงจะสํงผลเสียที่เป็นอันตรายตํอสุขภาพในเวลาตํอมา จากการสารวจที่ผํานมาชี้ให๎เหน็ วําวยั รํุนไทยมกี ารดมื่ แบบผดิ ปกติจานวนมากในทํามกลางการดาเนินมาตรการควบคุมการดมื่ ของรัฐ แสดงให๎เห็นวํามาตรการควบคุมการดื่มของรัฐและการป้องกันที่มีอยํูมีผลตํอวัยรํุนท่ีดื่มแบบผิดปกติน๎อย สาเหตุ/ปัจจัยอาจจะไดร๎ ับการแกไ๎ ข หรอื ปอ้ งกันไมํตรงจุด การศึกษาถึงปัจจัยท่ีมีอทิ ธิพลตอํ การดืม่ แบบผดิ ปกตินาํ จะสามารถใหค๎ าตอบได๎ และชีใ้ หเ๎ ห็นถงึ ทิศทางของการปอ้ งกัน3. แนวคดิ และทฤษฎที ี่ใช้อธิบายพฤติกรรมเสีย่ งด้านการใช้สารเสพติดของวยั รุ่น จากการทบทวนวรรณกรรมทั้งในประเทศและตํางประเทศ ต้ังแตํปี พ.ศ.2538-2553เกยี่ วกบั ปัจจัยท่ีมีความสมั พันธเ์ ชิงทานายหรืออธิบายพฤติกรรมเสี่ยงตํอสุขภาพ ในกลํุมของการใช๎สารเสพติด และการสูบบุหร่ีของวัยรุํน พบวํา มีงานวิจัย จานวน 57 เรื่อง ใช๎มโนทัศน์ และทฤษฎีเป็นกรอบในการศกึ ษาจานวน 5 ทฤษฎี และ 1 มโนทัศน์ ดังนี้

36 3.1 มโนทศั นก์ ารแสวงหาความท้าทาย การแสวงหาความท๎าทายเป็นลักษณะของบุคคลท่ีมํุงแสวงหาความแปลกใหมํท๎าทาย และเข๎าไปอยํูในสถานการณ์ที่เส่ียงเพื่อสร๎างความเร๎าใจ บุคคลทุกคนมีลักษณะแบบนี้ในระดับท่ีแตกตํางกัน ท้ังนี้เน่ืองจากปัจจัยสามสํวน คือ พันธุกรรม ระดับของสารทางชีวเคมีในรํางกาย และส่ิงแวดล๎อมรอบตัวบุคคล แตํจากการศึกษาที่ผํานมาพบวําถูกกาหนดโดย พันธุกรรมและลกั ษณะทางชีวเคมเี ป็นหลัก ผลการศกึ ษาของบาวชาร์ด (Bouchard, 1994) ช้ีให๎เห็นวํา ลักษณะการแสวงหาความท๎าทาย ได๎รับอิทธิพลจากพันธุกรรม โดยพบความสัมพันธ์ระหวํางการสืบทอดทางพันธุกรรมกับนิสัยแบบมุํงแสวงหาความท๎าทายในระดับปานกลางถึงสูง และตรงข๎ามกับปัจจัยทางสง่ิ แวดล๎อมที่คราฟ์ท และซคั เคอรแ์ มน (Kraft & Zuckermen, 1999) พบวําลักษณะมุํงแสวงหาความท๎าทายไมํมีความสัมพันธ์กับการมีครอบครัวที่สมบูรณ์หรือครอบครัวท่ีมีพํอหรือแมํเลี้ยง แตํอิทธิพลของเพือ่ นและส่งิ แวดล๎อมภายนอกบา๎ นมผี ลตอํ การปรับแตงํ ลกั ษณะแบบมงํุ แสวงหาความทา๎ ทาย โดยทว่ั ไปลักษณะนสิ ัยหรือพฤติกรรมของบคุ คลเก่ียวขอ๎ งกบั ระดับของสารเคมีในรํางกาย ไมํวําจะเป็น สารสื่อประสาท ฮอร์โมน หรือเอนไซม์ การแสวงหาคมท๎าทายเป็นเชํนเดียวกัน ซัคเคอร์แมน (Zuckerman & Kuhlman, 2000) ได๎อธิบายด๎วยโมเดลทางชีวเคมีวําการแสดงลักษณะบุคลิกที่ชอบความท๎าทายและเข๎าไปอยูํในสถานการณ์ท่ีมีความเสี่ยงของบุคคลเก่ียวเน่ืองกับสารสื่อประสาทกลํุมโมโนเอมีน (Monoamine) ได๎แกํ โดปามีน (Dopamine) ซีโรโทนิน(Serotonin) และนอร์อะดรนี าลนี (Noradrenaline) เป็นต๎น กลไกโดปามีนเป็นกลไกของการกระตุ๎นเร๎า ทางานใน 4 ระบบ (tract) (Lang, 2009; Neuropolitics.org, 2008; Wikipedia, 2010) ดังภาพที่ 2ได๎แกํ 1) ระบบมีโสคอร์ติคอล (Mesocortical tract) เป็นระบบการสํงสารสื่อประสาทโดปามีนไปสูํพรีฟรอนทอลคอร์เทกซ์ (Pre-frontal cortex) ของสมองสํวนหน๎า ซึ่งเป็นพื้นท่ีท่ีทาหน๎าทเี่ กีย่ วกบั การคดิ ดา๎ นการจงู ใจและอารมณ์ 2) ระบบมีโสลิมบิค (Mesolimbic tract) เป็นระบบสํงสารส่ือประสาทโดปามีนไปสํูอมิกดาลา (Amygdala) และฮิปโปแคมปัส (Hippocampus) ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมอารมณ์ความรู๎สกึ ด๎านความสุข ความพงึ พอใจ ความจา ความกลวั 3) ระบบไนโกรสไตรทัล (Nigrostriatal tract) เป็นระบบสํงสารสื่อประสาท โดปามนี ไปสูํเบสัลแกงเกลียมอเตอร์ลปู (Basal ganglia motor loop) ซ่ึงไปควบคุมการเคลอื่ นไหวรํางกาย 4) ระบบทูเบอรอนฟันดิบูลาร์ (Tuberoinfundibular tract) เป็นระบบที่ไปมีอิทธิพลตํอตํอมใต๎สมองสํวนหน๎า (Anterior pituitary gland) ในการควบคุมการหล่ังฮอร์โมนโปรแลคติน(Prolactin hormone)

37ภาพที่ 2 ระบบการทางานของโดปามีน (Seneff, 2009) กลไกของซีโรโทนินในสมองเป็นทั้งการกระตุ๎นเร๎าและการยับยั้ง กลําวคือ กลไกจะมีระบบจากจุดตั้งต๎นท่ีราเฟนิวคลีไอ (Raphe nuclei) ในสมองสํวนกลางที่พอนส์ (Pons) และเมดุลลา (Medulla) สงํ สารสื่อประสาทซีโรโทนินไปสูํ ก๎านสมอง (Brainstem) เปลือกสมองสํวนนอก(Cerebral cortex) และ ไขสันหลงั (Spinal cord) ดงั ภาพที่ 3ภาพที่ 3 ระบบการทางานของซีโรโทนนิ (Best, 2010)

38 ผลจากกลไกของซีโรโทนินคือ การยับย้ังควบคุมอารมณ์อันเกิดจากการกระต๎ุนของกลไกโดปามีน (Zuckerman & Kuhlman, 2000) ควบคุมการนอนหลับ การรับรู๎ความปวดอุณหภูมิของรํางกาย ความดันเลือดและ การหล่ังฮอร์โมน (Lundbeck Institute, 2009) ในสํวนของกลไกนอรอ์ ะดรนี าลนี ในสมองเป็นระบบท่ีกระตุ๎นเร๎า โดยมีเส๎นทางจากโลคัสเซอร์รูเลียส (Locusceruleus) ท่ีอยูํในสํวนของก๎านสมอง ไปสูํสมองสํวนสํวนนอก ฮิปโปแคมปัส ธาลามัส(Thalamus) และสมองสํวนกลาง ดงั ภาพท่ี 4ภาพท่ี 4 ระบบการทางานของนอรอ์ ะดรีนาลีน (Best, 2010) ผลจากการทางานของกลไกนอร์อะดรีนาลีน คือ กระตุ๎นการรับร๎ูความรู๎สึกให๎มีความไวจากการกระตุ๎นจากสิ่งแวดล๎อม เชํน รู๎สึกต่ืนเต๎น กังวล นอนไมํหลับ กระต๎ุนให๎ระบบประสาทอตั โนมัติต่ืนตวั (Lundbeck Institute, 2009) โดยปกตริ ํางกายมีระบบการควบคุมการทางานของโดปามีน ซีโรโทนิน และนอร์อะดรีนาลีน ให๎เป็นไปอยํางสมดุล หลายระบบ เชํน ระดับของฮอร์โมน สารเคมีท่ีรํางกายสร๎างมาอื่นๆ แตํระบบที่เดํนและสามารถตรวจวัดระดับสารเคมีได๎ คือ ระบบของสารเคมีโมโนเอมีนออกซิเดส (Monoamine Oxidase: MAO) ระบบน้ีควบคุมด๎วยการไปจับและแยกสลายกับสารสื่อประสาทเหลํานี้ กํอนทจ่ี ะออกไปสูชํ ํองวํางระหวํางเซลล์หรือเขา๎ ไปอยํูในเซลล์ประสาท โมโนเอมีนออกซิเดส อยูํในรูปแบบเอ และรูปแบบบี แตํภายในสมองของมนุษย์พบเป็นสํวนใหญํคือชนิดบี

39ซึ่งสามารถตรวจวัดระดับได๎จากเกล็ดเลือด (Zuckerman & Kuhlman, 2000) ซัคเคอร์แมนเช่ือวําผู๎ที่มีระดับการแสวงหาคมท๎าทายสูงมีการทางานรํวมกันระหวํางกลไกโดปามีน ซีโรโทนิน และนอร์อะดรีนาลีน แตํกลไกโดปามีนจะมีความเดํน เข๎มแข็งกวําในขณะที่กลไกซีโรโทนิน และนอร์อะดรีนาลีนมีความด๎อยกวํา และระดับของโมโนเอมีนออกซิเดสแบบบี (MAO-B) นําจะอยํูในระดับต่า จากข๎อสันนิษฐานน้ีได๎มีผู๎ศึกษาเพ่ือตรวจสอบความสัมพันธ์ในเวลาตํอมา ผลการศึกษา9 เรื่อง จาก 13 เรื่อง (Zuckerman & Kuhlman, 2000) พบความสัมพันธ์ทางลบระหวํางโมโนเอมีนออกซิเดสแบบบีและระดับคะแนนการแสวงหาคมท๎าทาย วัยรุํนมีระดับของโมโนเอมีนออกซิเดสแบบบีต่าท่ีสุด และจะเพิ่มข้ึนตามอายุ ผู๎หญิงมีระดับโมโนเอมีนออกซิเดสแบบบีสูงกวําผ๎ูชายจากการค๎นพบดังกลําวแสดงให๎เห็นวําวัยรํุนเป็นวัยที่มีระดับการแสวงหาความท๎าท ายสูงท่ีสุดเมือ่ เทยี บกบั วยั อ่ืนๆ และผูช๎ ายมรี ะดับการแสวงหาคมทา๎ ทายสงู กวาํ ผ๎หู ญงิ ด๎วยการเปล่ียนแปลงของสารเคมีในสมองดังกลําวจึงทาให๎วัยรุํนมีลักษณะท่ีชอบความเส่ียง ท๎าทายและความแปลกใหมํ อันเป็นเหตุให๎วัยรํุนเข๎าไปเก่ียวข๎องกับการดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ และการใช๎สารเสพติด ดังเชํนผลการศึกษาของคอปสเตียนและคณะ(Kopstein et al., 2001) ทีพ่ บวํานักเรียนเกรด 8 และเกรด 11 ท่ีสูบบุหร่ีและกัญชาของสหรัฐอเมริกาจานวนสองพนั กวําคนมีลักษณะของการไมํยบั ย้ังช่ังใจหรอื ขมํ ใจ และความรู๎สึกชอบในสิ่งท่ีต่ืนเต๎นเร๎าใจและเสี่ยงภัย นอกจากน้ีการค๎นพบของกรีนและคณะ (Green et al., 2000) และฮิทท์เนอร์และสวิคเคิร์ท (Hittner & Swickert, 2006) ช้ีให๎เห็นวําการด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ของวัยรุํนเกี่ยวข๎องกบั การแสวงหาความท๎าทายใน 4 ด๎าน ได๎แกํ ด๎านความร๎ูสึกชอบในสิ่งที่ต่ืนเต๎นเร๎าใจและเส่ียงภัย (Thrill and adventure seeking) เป็นความต๎องการทากิจกรรมที่ต๎องแขํงด๎วยความเร็ว และเสี่ยงอันตราย เชํน ปีนหน๎าผา แขํงรถ ด๎านความต๎องการประสบการณ์ในการแสวงหาหรือสารวจสิ่งใหมํ (Experience seeking) เป็นความต๎องการประสบการณ์แปลกใหมํท่ีแตกตํางจากเดิม แสดงออกมาในรูปแบบท่ีชอบเดินทางไปในที่ไมํเคยไป มีปฏิสัมพันธ์กับผ๎ูคนตํางวัฒนธรรม หรือเรียนรู๎เก่ียวกับแนวคิด ความเชื่อใหมํๆ ด๎านการไมํยับย้ังชั่งใจหรือขํมใจ (Disinhibition) เป็นการแสดงถึงความไมอํ ยากควบคมุ ตนเองเมือ่ อยูใํ นสงั คม บุคคลท่ีมีลักษณะนิสัยเชํนน้ีจะเป็นบุคคลท่ีมีแนวโน๎มท่จี ะแสดงพฤตกิ รรมท่ีไมํอยูํในกรอบบรรทดั ฐานของสังคม และชอบทดลองทาสิ่งตํางๆที่สังคมไมํยอมรับ และด๎านความร๎ูสึกที่ไวตํอความนําเบ่ือหนําย (Boredom susceptibility) เป็นความรู๎สึกไมํชอบสิ่งท่ีกระทาเป็นประจา ทุกวัน หรือสิ่งท่ีสามารถทานายได๎ ผู๎ท่ีมีความรู๎สึกด๎านน้ีมากจะชอบคน๎ หาประสบการณแ์ ปลกใหมํและชอบพบปะกับบุคคลแปลกหน๎า การแสวงหาความท๎าทายทั้ง 4 ด๎านดังกลําว นักวิชาการได๎สร๎างเครื่องมือเพ่ือประเมินระดบั การแสวงหาความทา๎ ทาย เปน็ แบบให๎ผู๎ตอบรายงานตนเอง (Self report) หลายฉบับ ดงั นี้

40 1) แบบประเมินการแสวงหาความท๎าทายแบบฟอร์ม 5 (Sensation Seeking Scaleform V; SSS-V) พฒั นาขึน้ โดยซคั เคอรแ์ มนในปี 1971 แบบประเมินประกอบด๎วยข๎อคาถาม 40 ข๎อแตลํ ะข๎อประกอบด๎วยข๎อความ 2 ข๎อความ แสดงถึงความรสู๎ ึกแสวงหาส่ิงต่ืนเต๎นเร๎าใจกับความร๎ูสึกตรงกันข๎ามให๎ผ๎ูตอบเลือกข๎อความที่ตรงกับความรู๎สึกของตนเองมากท่ีสุดเพียง 1 ข๎อความ โดยที่ข๎อท่ี 1 12-13 25 29-30 32-33 35-36 ประเมินในด๎านลักษณะท่ีไมํมีการยับยั้งช่ังใจหรือขํมใจซึ่งท้ัง 10 ข๎อน้ี ประเมินความต๎องการที่จะไมํหยุดยั้งการแสดงออกในเร่ืองการเข๎าสังคม และทางเพศ ในการดืม่ สรุ า ในงานเล้ียง และในท่ตี ํางๆกับคูรํ กั ขอ๎ ที่ 2 5 7-8 15 24 27 31 34 39 ประเมินด๎านความรส๎ู กึ ทไ่ี วตํอความนําเบ่ือหนาํ ยทีผ่ ๎ตู อบอาจมีความร๎สู กึ ไมํชอบทาอะไรซา้ ๆ ทาเป็นประจา และทนไมํได๎ที่ส่ิงตํางๆรอบตัว ไมํเปลี่ยนแปลง ข๎อที่ 3 11 16-17 20-21 23 28 38 40 ประเมินด๎านความร๎ูสึกชอบในส่ิงท่ีตื่นเต๎นเร๎าใจและเสี่ยงภัย ในด๎านน้ีผู๎ตอบจะได๎ตรวจสอบความต๎องการเลํนกีฬา หรือกิจกรรมอ่ืนๆที่ทาให๎ตื่นเต๎น ท๎าทาย และอันตรายของตนเอง ข๎อที่ 4 6 9 10 14 18 1922 26 37 ประเมินด๎านประสบการณ์ในการแสวงหาหรือสารวจส่ิงใหมํ ผ๎ูตอบจะได๎ตรวจสอบความร๎ูสึกอยากค๎นหาประสบการณ์การเดินทาง หรือการมีวิถีชีวิตที่ไมํเหมือนเดิม แบบประเมินน้ีใหค๎ าํ ความเชอื่ มน่ั ระดบั ปานกลาง (α = 0.75) (Ridgeway, & Russell, 1980) 2) แบบประเมินการแสวงหาความท๎าทายฉบับยํอ (the Brief Sensation SeekingScale: BSSS-8) เป็นการยํอแบบประเมินการแสวงหาความท๎าทายให๎สั้นลงเหลือเพียง 8 ข๎อ แตํยังคงไว๎ซึ่งแนวคิดการวัดการแสวงหาความท๎าทายทั้ง 4 ด๎าน ของซัคเคอร์แมนไว๎ โดยวัดแตํละด๎านด๎วยข๎อคาถาม 2 ขอ๎ ผู๎ตอบสามารถเลือกตอบในแตํละข๎อคาถาม 5 ชํวงคะแนน คือ ไมํเห็นด๎วยอยํางยิ่ง ไมํเหน็ ด๎วย ไมแํ นํใจ เหน็ ด๎วย และเหน็ ด๎วยอยํางยงิ่ แบบประเมนิ นีส้ ามารถประเมินการแสวงหาความท๎าทายได๎เทยี่ งตรงในกลมํุ วัยรนํุ อายุ 13-17 ปี ทใี่ ชส๎ ารเสพติด แบบประเมินนี้ให๎คําความคงท่ีภายใน (Internal consistency) ระดบั ปานกลาง (α = 0.76) (Hoyle et al., 2002) 3) แบบประเมินการแสวงหาความท๎าทายฉบับยํอ 4 ข๎อ (the Brief SensationSeeking Scale: BSSS-4) นักวิจัยได๎ยํอการประเมินการแสวงหาความท๎าทายให๎สั้นลงเหลือเพียง4 ข๎อ เพื่อใช๎ในการสารวจกลํุมตัวอยํางขนาดใหญํในระดับชาติ (large nation-wide surveys)ท่ีต๎องการแบบสอบถามที่ส้ันกระชับไมํยาวเกินไป แตํยังคงใช๎ประเมินได๎ตรงกับแนวคิดเดิมแบบสอบถามนปี้ รับคาถามเปน็ การถามถึงบคุ ลกิ แบบท๎าทาย ท้ัง 4 ด๎านเป็นด๎านละ 1 คาถาม ผู๎ตอบสามารถเลอื กตอบในแตลํ ะข๎อคาถาม 5 ชํวงคะแนน เชํนเดียวกับแบบประเมินการแสวงหาความท๎าทายแบบยํอ 8 ข๎อ แบบประเมินนี้ได๎ถูกนาไปทดสอบความเช่ือมั่นในกลํุมนักเรียนมัธยมต๎นและมธั ยมปลายพบวาํ คาํ สมั ประสทิ ธ์แอลฟาของครอนบาช (Cronbach’s coefficient alpha) เทํากับ 0.66(Stephenson, Hoyle, Palmgreen, & Slater, 2003) อีกทั้งได๎นาไปทดสอบในหลากหลายเชื้อชาติ

41พบวาํ แบบประเมินนี้มีการวัดได๎อยํางเที่ยงตรงไมํแตกตํางกันในระดับอายุและเพศของวัยรุํน แตํมีขอ๎ จากดั ในเรือ่ งเชอื้ ชาติ (Vallone, Allen, Clayton, & Xiao, 2007) 4) แบบประเมนิ การแสวงหาความท๎าทายฉบับภาษาไทย 51 ข๎อ แปลมาจากแบบประเมินการแสวงหาความท๎าทายแบบฟอร์ม 4 (Sensation Seeking Scale Form IV) โดย กุลวดีอักษรทับ (2544) ซ่ึงได๎มีการทดสอบความตรงทางเน้ือหา และคําความเช่ือม่ัน มีความตรงเชิงเนอ้ื หา และความเชือ่ มนั่ จากการทดสอบซา้ เทํากับ 0.78 5) แบบประเมินการแสวงหาความท๎าทายฉบับภาษาไทยแบบยํอ ประกอบด๎วยข๎อคาถาม 10 ขอ๎ ครอบคลมุ ลกั ษณะบุคลกิ แบบทา๎ ทายทั้ง 4 ดา๎ น พัฒนาขนึ้ โดยดษุ ฎี โยเหลา (2540)และวันชัน ธรรมสัจการ นิพนธ์ ทิพย์ศรีนิมิต และนิรันด์ จุลทรัพย์ (2543) ผ๎ูตอบสามารถเลือกตอบไดใ๎ น 3 ชํวงคะแนน คือ ไมชํ อบ (1 คะแนน) ชอบ (2 คะแนน) ชอบมากท่ีสุด (3 คะแนน)แบบประเมินนี้มีคําความเช่ือม่ันภายในอยํูในระดับปานกลางถึงดี (α = 0.74-0.81) (Chanchong,2004; วันชัน ธรรมสัจการและคณะ, 2543) และคําความเช่ือมั่นด๎วยการวัดซ้าเทํากับ 0.77(Chanchong, 2004) มโนทัศน์การแสวงหาความท๎าทายได๎ถูกนามาศึกษาเพื่ออธิบายพฤติกรรมการใช๎สารเสพติดในวัยรุํนหลายการศึกษาทั้งในประเทศและตํางประเทศ ดังเชํนผลการศึกษาของมาร์ตินสทอรร์ อเล็กซานเดอร์ และชิลโคท (Martins, Storr, Alexandre, & Chilcoat, 2008) ท่ีพบวําวัยรํุนอายุ 12-18 ปี ท่ีมีการแสวงหาความท๎าทายสูงมีโอกาสเป็นผ๎ูเสพยาอี กัญชา และดื่มสุราสูงผลการศึกษาของฮิทท์เนอร์ และสวิคเคิร์ท (Hittner & Swickert, 2006) ที่พบวํา การแสวงหาความท๎าทายนี้มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับการด่ืมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ท้ังความถี่ของการดื่มแล ะ ป ริ ม า ณ ท่ี ด่ืม โดย ด๎า นก า รไ มํ ยั บ ย้ั ง ชั่ ง ใ จหรื อขํ ม ใ จ มี ค ว า ม สั ม พั นธ์ กั บ ก า รดื่ ม เ ค ร่ื อ ง ดื่ มแอลกอฮอล์มากที่สุด รวมท้ังผลการศึกษาของวีณา คันฉ๎อง (2004) ที่พบวํา นักเรียนในภาคใต๎ของประเทศไทยท่ีมีระดับการแสวงหาความท๎าทายสูงมีโอกาสดื่มเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์สูงเป็น 4 เทําของกลุมํ นกั เรยี นที่มีระดบั การแสวงหาความทา๎ ทายต่า 3.2 ทฤษฎพี ฤตกิ รรมตามแผน ทฤษฎีน้ีพัฒนามาจาก ทฤษฎีเหตุการกระทา (Theory of Reasoned Action, TRA)โดย เอจ์เซน และ ฟิชเบียน (Icek Ajzen & Martin Fishbein) (Ajzen, 1988; Ajzen, 1991)นักจิตวิทยาสังคม การพัฒนาทฤษฎีได๎รับอิทธิพลจาก การวัดทัศนคติของเธอร์สโตน (Thurston)ของกัทท์แมน (Guttman) และอัลพอร์ท(Allport) ที่เชื่อวําทัศนคติมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมอยํางซับซ๎อน ทฤษฎีน้ีสามารถทานายเฉพาะพฤติกรรมที่มาจากการต้ังใจกระทา ประกอบด๎วย5 มโนทศั น์ ดงั ภาพที่ 5

42ภาพท่ี 5 มโนทัศนแ์ ละความสมั พันธ์ตามทฤษฎีพฤตกิ รรมตามแผน (Ajzen, 1991) พฤติกรรม (Behavior) หมายถึง การตอบสนองท่ีแสดงออกมาให๎เห็นได๎ตํอสถานการณห์ นง่ึ ๆ เป็นการตอบสนองท่มี เี ปา้ หมาย ความตงั้ ใจกระทา (Behavioral intentions) หมายถึง เครื่องหมายแสดงความพร๎อมในการกระทาพฤติกรรม บุคคลจะมีความพร๎อมในการทาพฤติกรรมหรือไมํขึ้นอยูํกับทัศนคติตํอพฤตกิ รรมน้นั บรรทดั ฐานของบคุ คล และความเชือ่ ในการควบคมุ การแสดงพฤติกรรม การควบคุมโดยการรับรู๎พฤติกรรม (Perceived behavioral control) มโนทัศน์นี้เอจ์เซน(Ajzen) นามาจากมโนทัศน์ การรับรู๎สมรรถนะแหํงตน (Self efficacy) ของ Bandura (1986)การควบคุมโดยการรับรู๎พฤติกรรมตามทฤษฎีน้ีหมายถึง การรับรู๎ถึงความยากงํายของการแสดงพฤติกรรม ซงึ่ บคุ คลตดั สนิ ความยากงาํ ยด๎วยความเชื่อม่ันในการควบคุมของตนเอง ทัศนคติตํอการทาพฤติกรรม (Attitude toward behavior) หมายถึง การประเมินคําการกระทาของตนเองในทางบวกและทางลบของบุคคล การประเมินคํานี้บุคคลตัดสินโดย ความเชอ่ื ในผลทเ่ี กิดหลงั จากกระทาแลว๎ บรรทัดฐานของบุคคล (Subjective norms) หมายถึง การรับร๎ูบรรทัดฐานของสังคมหรือความเชื่อของบุคคลอ่ืนตํอการกระทาของบุคคล การรับรู๎นี้ได๎รับอิทธิพลมาจากบุคคลสาคญั เชนํ พํอแมํ คูรํ ัก เพือ่ น ครู มโนทัศน์ทัศนคติตํอการทาพฤติกรรม (Attitude) บรรทัดฐานของบุคคล(Subjective norms) และการควบคุมโดยการรับร๎ูพฤติกรรม (Perceived behavioral control) เป็นตัวทานายความตั้งใจกระทา (Behavioral intentions) และความต้ังใจกระทาพฤติกรรมเป็นตัวนาสํูการแสดงพฤติกรรม หากบคุ คลเช่ือวํา เมอื่ เขากระทาพฤติกรรมน้ันแล๎วจะได๎รับผลทางบวก มีแนวโน๎มมีทัศนคติที่ดีตํอพฤติกรรมนั้น ในทางตรงข๎ามหากเชื่อวํา เม่ือทาพฤติกรรมน้ันแล๎วจะได๎รับผลในทางลบ บุคคลมีแนวโน๎มมีทัศนคติที่ไมํดีตํอพฤติกรรมน้ัน และเมื่อมีทัศนคติทางบวกก็จะเกิด

43เจตนาหรือตั้งใจ (Intention) ท่ีจะแสดงพฤติกรรมนั้น แตํหากบุคคลได๎เห็นหรือรับรู๎วําบุคคลท่ีมีความสาคัญตํอเขาทาพฤติกรรมนั้น บุคคลมีแนวโน๎มคล๎อยตามและทาตามด๎วย ซ่ึงบุคคลหรือกลุํมอ๎างอิงที่สาคัญแตํละเร่ืองจะขึ้นอยํูกับประเด็นเรื่องหรือพฤติกรรมที่สอดคล๎องกับกลํุ มอ๎างอิงน้ันและถา๎ บุคคลเชื่อวํามีความสามารถกระทาพฤติกรรมในสภาพการณ์นั้นได๎ และสามารถควบคุมให๎เกิดผลดงั ต้ังใจ เขาก็มแี นวโนม๎ ทจี่ ะทาพฤตกิ รรมนนั้ ทฤษฎนี ม้ี ีความกระชับ และสามารถนาไปใช๎อธิบายพฤติกรรมได๎อยํางกว๎างขวางในทุกกลํุมอายุ หลากหลายพฤติกรรม สาหรับพฤติกรรมการดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์เชํนกันมาร์คอกซ์และชอป (Marcoux & Shop, 1997) ได๎นามาประยุกต์ใช๎ในการทานายพฤติกรรมการดื่มเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์ของนักเรียนระดับ 5-8 ของสหรัฐอเมริกา ผลการศึกษาพบวําความต้ังใจดื่มอธิบายพฤติกรรมการดื่มได๎ เป็นที่นําสังเกตวํามโนทัศน์ตามทฤษฎีนี้เป็นคุณลักษณะทางจิตของผู๎กระทาพฤติกรรมเทํานั้น ไมํได๎อธิบายครอบคลุมไปถึงอิทธิผลสิ่ งแวดล๎อมอื่นๆ เชํนด๎านครอบครัวเป็นต๎น 3.3 ทฤษฎีการเรียนร้ทู างปัญญาสังคม ทฤษฎีการเรียนร๎ูทางปัญญาสังคมพัฒนาข้ึนโดยอัลเบิร์ท แบนดูรา (AlbertBandura (Bandura, 1986) นักจิตวิทยาชาวแคนาดา เป็นทฤษฎีท่ีอธิบายการแสดงพฤติกรรมของบุคคลโดยผํานกระบวนการคิดและตัดสินใจกํอนแสดงพฤติกรรม ทฤษฎีการเรียนร๎ูทางปัญญาสังคมเช่ือวําการกระทาของบุคคลไมํได๎มาจากแรงขับจากภายใน หรือการตอบสนองโดยอัตโนมัติตํอสิ่งกระตุ๎นเร๎าจากภายนอก แตํการกระทาของบุคคลเป็นไปตามรูปแบบการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันของปัจจัย 3 ปัจจัย ได๎แกํ ปัจจัยทางความคิดหรือพุทธิปัญญา (cognitive factors) ปัจจัยด๎านสภาพแวดล๎อม (environmental influences) และปจั จยั ในสํวนของพฤติกรรม (behavior) ในรูปแบบของสามเหลี่ยม(Bandura, 1986) ดงั ภาพท่ี 6 B PEภาพที่ 6 ความสัมพันธ์แบบสามเหลี่ยมของการกาหนดซ่ึงกันและกัน (Triadic Reciprocal Causation) ระหวําง P คือ ปัจจัยทางพุทธิปัญญาหรือปัจจัยสํวนบุคคล B คือ พฤติกรรม และ E คือสภาพแวดลอ๎ ม (Bandura, 1986)

44 จากรปู แบบความสัมพันธด์ งั ภาพท่ี 6 นี้ เปน็ การแสดงให๎เห็นถึงผล 3 ด๎านท่ีมาจากการกาหนดซ่ึงกันและกันระหวํางปัจจัยทางพุทธิปัญญาหรือปัจจัยสํวนบุคคล ปัจจัยทางพฤติกรรมและปจั จัยดา๎ นสภาพแวดล๎อม มลี ักษณะ (Bandura, 1986) ดังน้ี 1) การกาหนดซงึ่ กันและกันระหวํางปจั จยั ทางความคดิ พุทธิปัญญากับพฤติกรรมเป็นการแสดงปฏิสัมพันธ์ระหวํางความคิด ความรู๎สึก และการกระทา กลําวคือ ความรู๎ ความคาดหวัง ความเชื่อและความตั้งใจของบุคคลเป็นตัวกาหนดทิศทางของพฤติกรรม และในขณะเดียวกันผลจากการกระทาของบุคคลจะถูกนากลับไปพิจารณา รับรู๎ ตอบสนองทางอารมณ์ 2) การกาหนดซึ่งกันและกันระหวํางปัจจัยทางพุทธิปัญญากับสภาพแวดล๎อมเปน็ การปฏิสมั พนั ธ์ระหวํางความคดิ ความร๎สู ึก และสภาพแวดล๎อม กลําวคือ ความรู๎ ความคาดหวังความเชอื่ อารมณ์และความสามารถทางปัญญาของบุคคลจะถูกปรับเปลี่ยนโดยอิทธิพลของสังคมท่ีแวดล๎อมบุคคลน้ัน โดยผําน ตัวแบบ (Modeling) การรู๎คิดด๎วยตนเอง (Tuition) หรือการชักจูงทางสังคม (Social persuasion) ขณะที่บุคคลมีปฏิกิริยาตอบสนองตํอสภาพแวดล๎อมแตกตํางตามสภาพร๎างกาย เชนํ อายุ เช้อื ชาติ เพศ บทบาทและสถานภาพทางสงั คม 3) การกาหนดซึ่งกันและกันระหวํางปัจจัยพฤติกรรมและสภาพแวดล๎อมเปน็ ปฏิสมั พันธร์ ะหวํางพฤติกรรมและสภาพแวดล๎อม กลําวคือ พฤติกรรมท่ีบุคคลแสดงออกมาไปเปล่ียนเงื่อนไขสภาพแวดล๎อม และขณะเดียวกันสภาพแวดล๎อมท่ีเปล่ียนไปไปทาให๎พฤติกรรมเปล่ียนแปลงไปดว๎ ย การกาหนดซง่ึ กันและกนั ของ 3 ปัจจัยน้ีอาจมีอิทธิพลการกาหนดท่ีไมํเทํากัน หรือเกดิ ขน้ึ พร๎อมกนั แตจํ ะมีการกาหนดซึง่ กนั และกันของปจั จยั ทีละดา๎ น และตอํ เนอ่ื งไปในชวํ งหน่ึง การกระทาของบุคคลถูกปรับแตํงโดยการเข๎าไปมีประสบการณ์ตรงและโดยการสังเกตในรูปแบบตํางภายใต๎ข๎อจากัดทางชีววิทยาของรํางกาย กลําวคือ โครงสร๎างและกลไกทางระบบประสาทของมนษุ ยท์ ีแ่ ตกตํางกันแตลํ ะคน ให๎กระบวนการคิด การจา การให๎รหัสข๎อมูลที่เป็นตัวกาหนดใหม๎ นษุ ยแ์ สดงพฤติกรรมแตกตําง อีกท้ังยังให๎ความสามารถพ้ืนฐาน (Basic capabilities)หลายด๎าน ซ่ึงได๎แกํ ความสามารถในการสร๎างสัญลักษณ์ (Symbolizing capability) ความสามารถวางแผนลํวงหน๎า (Forethought capability) ความสามารถเลียนแบบ (Vicarious capability)ความสามารถในการควบคุมตนเอง (Self-regulatory capability) และความสามารถในการสะท๎อนความคิดและประสบการณ์ของตนเอง (Self-reflective capability) แตกตํางกันไปในแตํละบุคคล(Bandura, 1986) ด๎วยในชํวงวัยรุํนเป็นชํวงท่ีสมองและระบบประสาทอยูํระหวํางมีการพัฒนาและเติบโต ดังนั้นความสามารถพ้ืนฐานตามที่กลําวมาข๎างต๎นจึงยังไมํสมบูรณ์ทุกด๎านเทํากับวัยผู๎ใหญํ

45การเรียนร๎ูเร่ืองของการด่ืมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวัยรุํนจึงเกี่ยวข๎องกับความสามารถ 3 ด๎าน คือความสามารถเลียนแบบ ความสามารถในการสรา๎ งสญั ลกั ษณ์ และความสามารถวางแผนลวํ งหน๎า ความสามารถเลียนแบบเป็นส่ิงท่ีบุคคลมีอยํางตํอเนื่องจากวัยเด็กมาจนเข๎าสูํวัยรุํนบุคคลสามารถเรียนร๎ูโดยการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลอ่ืนจดจาแล๎วผํานกระบวนการทางความคิดตัดสินใจและสร๎างพฤติกรรมใหมํที่เหมือนกับพฤติกรรมท่ีเขาสังเกตแล๎วจาไว๎การเลยี นแบบการกระทาของบุคคลอืน่ น้ีประกอบดว๎ ยกระบวนการ 4 ข้ัน ดังภาพท่ี 7

46ภาพท่ี 7 กระบวนการเรยี นรู๎จากการสงั เกต (สมโภชน์ เอี่ยมสภุ าษิต, 2536)

46 46

47 กระบวนการต้ังใจเป็นกระบวนการแรกของบุคคลโดยก ารเปิดรับข๎อมูลจากตัวแบบ บคุ คลจะไมํสามารถเรียนร๎ูโดยการสังเกตได๎สาเร็จถ๎าเขาไมํสามารถจาส่ิงที่เป็นต๎นแบบได๎และกระบวนการตํอมาคือ กระบวนการเก็บจาท่ีเป็นกระบวนการถํายโยงและสร๎างโครงแบบความคดิ ขน้ึ ใหมจํ ากสิง่ ท่ีมีอยูํในความทรงจา โครงแบบความคิดใหมํนี้จะถูกสํงเป็นรหัสสัญลักษณ์จะถกู เทยี บเคยี งกับต๎นแบบเดมิ อยใํู นความคิดแล๎วจึงแสดงพฤติกรรมท่ีคิดวําเหมือนต๎นแบบออกมาพฤติกรรมเลียนแบบต๎นแบบท่ีบุคคลแสดงออกมาจะได๎รับอิทธิพลจากสิ่งจูงใจ บุคคลมีแนวโน๎มท่ีจะหยุดแสดงพฤติกรรมเลียนแบบถ๎าผลจากการกระทานั้นไมํได๎ถูกให๎คุณคําหรือไมํได๎รับความพึงพอใจด๎วยกระบวนการดังกลําววัยรุํนจึงสามารถที่จะเลียนแบบพฤติกรรมการด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์จากบุคคลท่ีอยูรํ อบขา๎ ง เชํน การดืม่ สุราของผ๎ใู หญํในครอบครัว การด่มื สรุ าของกลํมุ เพ่ือน ความสามารถในการสร๎างสัญลักษณ์ของบุคคลเป็นวิถีหลักในการ ปรับตัวตํอสิ่งแวดล๎อม บุคคลสามารถสร๎างภาพสัญลักษณ์ไว๎ภายในใจเพื่อให๎รูปแบบและความหมายในการดาเนินชีวิตอยํู ความสามารถสร๎างภาพของสัญลักษณ์ไว๎ในความคิดน้ีเอื้อให๎บุคคลสื่อสารและจินตนาการผลลัพธ์ที่นําจะเกิดขึ้นในอนาคต ความสามารถของบุคคลด๎านนี้เป็นฐานให๎บุคคลคิดวางแผนลํวงหน๎า (Forethought) บุคคลจึงสามารถคาดการณ์ถึงผลที่จะเกิดจากการแสดงพฤติกรรม(Outcome expectation) ของตนเองได๎ การคาดการณ์ถึงผลของการกระทาที่จะเกิดขึ้นจึงเป็นแรงท่ีจูงใจให๎บุคคลแสดงพฤติกรรมอยํางมีจุดมํุงหมายเพ่ือไปสํูผลท่ีตนเองวาดภาพไว๎ (Bandura, 1986;Rew, 2005) การคาดการณ์ถึงผลของการกระทาอาจเกิดจากประสบการณ์ในการกระทาพฤติกรรมนั้นๆโดยตรงๆ หรืออาจเกิดจากการที่ได๎การพูดคุยกับผ๎ูอ่ืนและได๎เห็นผู๎อ่ืนกระทาแล๎วเกิดผลจากการกระทาพฤตกิ รรมนั้นๆตามมาให๎เห็น (Bandura, 1997) สาหรับวัยรํุนความสามารถทางด๎านการสร๎างสัญลักษณ์ และการจินตนาการผลที่จะเกิดข้ึนจากการกระทามีพัฒนาการมาตั้งแตํในวัยเด็กการจินตนาการถึงผลการกระทาของตนเองเพอ่ื จงู ใจทาพฤติกรรมเพื่อไปสํูผลการกระทาจึงสามารถพบได๎ทวั่ ไปในวัยน้ี การคาดหวังผลจากการกระทาเฉพาะอยาํ งจงึ เปน็ สวํ นหน่ึงในการจงู ใจวัยรํุนให๎กระทาอยาํ งนั้น ๆ รวมถึง พฤตกิ รรมการดื่มเคร่ืองดมื่ แอลกอฮอล์ดว๎ ย วยั รํุนแสดงพฤติกรรมการดื่มเคร่อื งดื่มแอลกอฮอล์โดยมกี ารคาดหวังผลจากการดม่ื เปน็ ปจั จัยชักนา ทฤษฎีการเรียนร๎ูทางสังคมเป็นทฤษฎีใหญํและอธิบายพฤติกรรมได๎อยํางกว๎างขวางทกุ พฤตกิ รรมทม่ี าจากการเรียนร๎ู มีมโนทัศน์ใหญํหลายมโนทัศน์ แตํละมโนทัศน์มีความเป็นนามธรรม จนสามารถนามาศึกษาตํอไปอีกได๎อยํางลึกซึ้ง มีการนาทฤษฎีน้ีไปศึกษาพฤติกรรมของบุคคลในหลายชํวงวัย สาหรับการศึกษาในเรื่องการใช๎สารเสพติดในวัยรุํน การศึกษาท่ีได๎จากการทบทวนวรรณกรรม จานวน 16 เร่ือง นามโนทัศน์ความสามารถในการควบคุมตนเองการเลียนแบบ และการคาดหวังผลจากการกระทามาเป็นกรอบในการหาปัจจัยท่ีมีความสัมพันธ์กับ

48พฤติกรรมการใช๎สารเสพติดของวัยรุํนพบวําให๎ผลในการอธิบายดี ปัจจัยที่นามาใช๎ในการอธิบายพฤติกรรมการใช๎สารเสพติติดทงั้ หมดน้ีเป็นเร่ืองของกระบวนการคิด ไมํได๎กลําวถึงความร๎ูสึก และลกั ษณะทางชวี เคมีของวยั รุนํ 3.4 ทฤษฎีพฤติกรรมทเ่ี ป็นปัญหา ทฤษฎีพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหา (Problem-Behavior Theory) พัฒนาข้ึนโดยริชาร์ดเจสเสอร์ (Richard Jessor) และเชอร์เลย์ เจสเสอร์ (Shirley Jessor) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน (Jessor,Graves, Hanson & Jessor, 1968; Jessor & Jessor, 1977 อา๎ งถึงใน Rew, 2005) เพื่ออธิบายการแสดงพฤติกรรมของวัยรํุนท่ีอยูํนอกเหนือบรรทัดฐานของสังคม คณะผ๎ูพัฒนาได๎ดึงเอาแนวคิดเร่ืองคาํ นยิ ม (Value) และความคาดหวังผลจากการกระทา (Expectation) จากทฤษฎีการเรียนร๎ูทางสังคมของร็อตเตอร์ (Rotter, 1964) แนวคิดเร่ืองภาวะผิดปกติของบุคคล (Anomie) ของเมอร์ตัน (Merton,1957) มาประกอบกับทฤษฎีสนามของเคิร์ท เลวิน (Kurt Lewin’s field Theory) (Lewin, 1951)ทีเ่ ชอื่ วาํ พฤตกิ รรมทุกพฤติกรรมของบคุ คลเปน็ ผลมาจากปฏิสัมพันธ์ระหวํางบุคคลและส่ิงแวดล๎อมมาใช๎เป็นกรอบในการศึกษาวิจัยการด่ืมสุราอยํางหนัก (Excessive dinking) และพฤติกรรมที่เป็นปัญหาอ่ืนๆของวัยรํุนในชุมชน 3 เช้ือชาติทางตะวันตกเฉียงใต๎ของโคโลราโด (Colorado)สหรัฐอเมริกา (Jessor, Graves, Hanson & Jessor, 1968) กรอบแนวคิดการวิจัยในครั้งน้ันได๎ถูกปรับปรุงใหมํโดยเพิ่มเร่ืองการขัดเกลาทางสังคม (Socialization) เพ่ือศึกษาวิจัยระยะยาวในพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของนักเรียนมัธยมและนักศึกษาในวิทยาลัย จากการศึกษาวิจัยนี้กรอบแนวคิดของทฤษฎีพฤติกรรมทเี่ ปน็ ปญั หาจงึ ถูกนาไปใชอ๎ ยํางแพรํหลาย ทฤษฎีพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาประกอบด๎วยกลํุมตัวแปรที่มีความสัมพันธ์หลายกลุํม ครอบคลุมตํอการอธิบายพฤติกรรมแตํมีความซับซ๎อนของความสัมพันธ์ ทฤษฎีนี้อยํูบนพ้ืนฐานความเชื่อหลักที่วําพฤติกรรมท้ังหมดของบุคคลเป็นผลรวมของปฏิสัมพันธ์ระหวํางบุคคลกับสภาพแวดลอ๎ ม (Costa, 2008) บคุ คลถูกกาหนดลักษณะนิสัยจากกลํุมของคุณลักษณะทางปัญญาซึ่งได๎แกํ ทัศนคติ ความเช่ือ การให๎คุณคํา และความคาดหวัง คุณลักษณะเหลําน้ีได๎รับอิทธิพลจากการมีปฏิสัมพันธ์กับสงั คม และความหมายท่สี ังคมกาหนด สภาพแวดล๎อมท่ีบุคคลรับร๎ูมีอิทธิพลตํอพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออกมาโดยเป็นตัวสนับสนุน เป็นตัวแบบ และเป็นสิ่งควบคุมบุคคลพฤติกรรมของบุคคลบางพฤติกรรมสังคมรับร๎ูวําไมํกํอให๎เกิดปัญหา และยอมรับได๎ แตํบางพฤติกรรมกํอให๎เกิดปัญหาแกํผู๎อ่ืน สังคมยอมรับไมํได๎ นอกจากน้ีทฤษฎีพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหายังอยูบํ นความเช่อื พื้นฐานอ่ืนๆอีก (Jessor & Jessor, 1977 อ๎างถึงใน Rew, 2005) ดังน้ี 1) คุณคําที่บุคคลให๎กับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนสะท๎อนความเช่ือของบุคคลตํอธรรมเนยี มปฏิบตั ิของสังคม

49 2) คุณคําที่บุคคลให๎กับความเป็นอิสระ (Independence) สะท๎อนให๎เห็นความแตกตาํ งของความเช่อื ของบุคคลจากธรรมเนียมปฏิบตั ิของสงั คมและจากการควบคุมโดยผูใ๎ หญํ 3) พฤตกิ รรมทีเ่ ป็นปญั หาเป็นพฤตกิ รรมท่ีทศิ ทางมํุงสูกํ ารบรรลเุ ปา้ หมาย 4) การอธิบายพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาในวัยรุํนขึ้นอยูํกับคุณลักษณะทางจิตทางสงั คม และทางพฤติกรรม สถานการณ์และสภาพสังคม ทฤษฎีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาอธิบายการแสดงพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของบุคคลด๎วย 3 ระบบหลัก คือ ระบบลักษณะนิสัย (Personality System) ระบบสภาพแวดล๎อมตามการรับรู๎ของวัยรํุน (Perceived Environmental System) และระบบพฤติกรรม (Behavior System) ภายในแตํละระบบ จะประกอบดว๎ ยปัจจยั เรม่ิ ตน๎ ทางจิตสงั คมที่สนับสนุนและควบคุมการเกิดพฤติกรรม และทัง้ 3 ระบบ มีปฏิสัมพนั ธ์ซง่ึ กันและกนั และกาหนดซงึ่ กนั และกนั ดังภาพที่ 8

50Antecedent-background Variables Social-psychological Variables Social behavior VariablesDemography-Social Structure Personality System Behavior System Father’s Education Motivational-Instigation Structure Problem Behavior Structure Father’s Occupation Father’s Religious Group Value on Academic Achievement Marijuana Use Mother’s Education Value on Independence Sexual Intercourse Mother’s Religious Group Value on Affection Independence- Activist Protest Hollingsheed Index Achievement Value Discrepancy Drinking Family Structure Expectation for Academic Achievement Problem Drinking Expectation for Independence General Deviant BehaviorD Expectation for Affection Multiple Problem- Personal Belief Structure Behavior Index Socialization Social Criticism Conventional Behavior Paternal Ideology Alienation Structure Maternal Traditional Beliefs Self-esteem Church Attendance Maternal Religiosity Internal-External locus of control Academic Performance Maternal Tolerance of Deviance Personal Control Structure Paternal Traditional Beliefs Attitudinal Tolerance of Deviance C Paternal Religiosity Religiosity Home Climate Positive-Negative Function Discrepancy Maternal Control-Regulations A Maternal Affectional Interaction Perceived environmental System Peer Influence Distal structure Friends’ Interests Media Influence Parental Support Involvement with Television Parental ControlsE Friends Support Friend Controls Parent-Friends Compatibility Parent-Friends Influence Proximal structure Parent Approval Problem Behavior Friends Approval Problem Behavior Friends Models Problem Behavior Bภาพที่ 8 กรอบแนวคิดพฤติกรรมที่เป็นปญั หา (Jessor & Jessor, 1977 อ๎างถงึ ใน Rew, 2005)

51 จากภาพท่ี 8 แสดงให๎เห็นถึงมโนทัศน์หลัก กลุํมตัวแปร ตัวแปรยํอยและความสัมพันธข์ องมโนทศั น์ทป่ี ระกอบขึ้นเปน็ กรอบแนวคดิ ระบบลักษณะนิสัย เป็นความสัมพันธ์ขององค์ประกอบที่เป็นโครงสร๎างทางปัญญาสังคม (Sociocognitive variables) ได๎แกํ โครงสร๎างทางการกระตุ๎นเร๎าจูงใจ (Motivationalinstigation structure) โครงสร๎างทางความเชื่อของบุคคล (Personal belief structure) และโครงสร๎างทางการควบคมุ ของบุคคล (Personal control structure) 1) โครงสร๎างทางการกระตุ๎นเร๎าจูงใจ หมายถึง เป้าหมายตํางๆ และแรงกดดันท่ีกระต๎ุนให๎วัยรุํนแสดงพฤติกรรม แรงชักจูงท่ีทาให๎วัยรุํนแสดงพฤติกรรมนี้ข้ึนอยูํกับคุณคําท่ีวัยรุํนให๎แกํเป้าหมายและความคาดหวังผลจากการไปถึงเป้าหมาย หากวัยรํุนให๎คุณคําแกํเป้าหมายไว๎สูงจะมีแนวโน๎มสูงจะแสดงพฤติกรรมเพื่อไปสํูเป้าหมายนั้น เป้าหมายสาหรับกรอบแนวคิดน้ีเป็นเป้าหมายทางจิตสังคมท่ีเก่ียวข๎องกับการแสดงพฤติกรรมที่เป็นปัญหาที่เดํนชัดในวัยรุํนมี3 เป้าหมาย ได๎แกํ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความเป็นอิสระ ความรักเพ่ือน วัยรุํนท่ีให๎คุณคํากับผลสาเร็จทางการเรียนสูงจะถูกชักจูงให๎แสดงพฤติกรรมที่สังคมยอมรับ ในทางตรงกันข๎ามหากให๎คณุ คาํ แกํผลสาเร็จทางการเรียนต่าและให๎คุณคําแกํความเป็นอิสระสูงมีแนวโน๎มแสดงพฤติกรรมที่สังคมไมํยอมรับสูง ภายในโครงสร๎างน้ีประกอบไปด๎วยตัวแปร 7 ตัว คือ คํานิยมด๎านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Value on academic achievement) คํานิยมด๎านความเป็นอิสระ (Value onindependence) คํานิยมด๎านความรักเพื่อน (Value on affection) ความขัดแย๎งทางคํานิยมด๎านผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนและความเป็นอิสระ (Independence-achievement value discrepancy) ความคาดหวังผลในผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Expectation for academic achievement) ความคาดหวังผลในความเป็นอิสระ (Expectation for independence) และความคาดหวังผลในความรักเพื่อน(Expectation for affection) 2) โครงสร๎างทางความเช่ือของบุคคล เป็นความสัมพันธ์ของปัจจัยท่ีป้องกันบุคคลจากการแสดงพฤติกรรมที่เป็นปัญหา อันประกอบด๎วย การวิพากษ์ของสังคม (Socialcriticism) ความร๎ูสึกแปลกแยก (Alienation) การเห็นคุณคําในตนเอง (Self-esteem) การเชื่อในอานาจภายในและภายนอกตนเอง (Internal-external locus of control) การวิพากษ์ของสังคม หมายถึง การยอมรับหรือการปฏิเสธพฤติกรรมและคํานิยมเฉพาะเร่อื งของสงั คม การยอมรับบรรทดั ฐานทางสังคมเก่ียวกับความยุติธรรม การศึกษา และความประสบความสาเร็จของบุคคลจะกลายเป็นการควบคุมที่มีพลังเหนือการแสดงพฤติกรรมที่เป็นปญั หา แตํถ๎าวัยรุํนไมยํ อมรับในบรรทดั ฐานเหลาํ นี้จะสํงเสริมใหม๎ ีการแสดงพฤตกิ รรมทเี่ ปน็ ปัญหา

52 ความรู๎สึกแปลกแยก หมายถึง ความร๎ูสึกไมํม่ันคงในตนเองในการแสดงบทบาทและกิจกรรมในแตลํ ะวัน และเชื่อวาํ ตนเองถกู แยกจากกลมํุ บคุ คลหรอื สังคม การเหน็ คณุ คาํ ในตนเอง หมายถึง ระดับท่บี ุคคลประเมนิ คุณคําของตนเอง วัยรุํนที่มีการเห็นในคุณคาํ ของตนเองสงู อาจป้องกันวัยรนุํ จากการแสดงพฤติกรรมทีเ่ ป็นปญั หาได๎ การเชื่อในอานาจภายในตนเอง เป็นความยึดมั่นของบุคคลท่ีมีตํอความเช่ือในการแสดงพฤติกรรมของตนวาํ อยูํในขอบเขตท่ีสังคมยอมรับได๎ สํวนการเช่ือในอานาจภายนอกตนเองเป็นส่ิงทตี่ รงข๎ามจากการเช่ือในอานาจภายในตนเอง กลําวคือ บุคคลไมํเช่ือในการแสดงพฤติกรรมของตนเอง แตเํ ชือ่ วาํ การแสดงพฤติกรรมของตนเองมาจากแรงผลกั ดนั จากภายนอก ผลรวมจากความสัมพันธ์ระหวํางการวิพากษ์ของสังคม ความรู๎สึกแปลกแยกการเห็นคุณคําในตนเอง และการเชื่อในอานาจภายในตนเอง เป็นรูปแบบความเชื่อที่ไปควบคุมการแสดงพฤติกรรม แตํก็ไมํมีตัวแปรใดใน 4 ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์โดยตรงตํอการแสดงพฤติกรรมของวัยรุํน การวิพากษ์สังคม และความรู๎สึกแปลกแยก นาไปสํูการสูญเสียการควบคุมตนเองของบุคคล และมีแนวโนม๎ สูงที่จะแสดงพฤติกรรมท่ีสงั คมไมํยอมรับ 3) โครงสร๎างทางการควบคุมของบุคคล หมายถึง ความสัมพันธ์ระหวํางความอดทนตํอความผิดปกติ (Attitudinal tolerance of deviance) ความเลื่อมใสศรัทธาในศาสนา(Religiosity) ความขัดแย๎งในหน๎าท่ีควบคุมทางด๎านบวกและลบ (Positive-negative functiondiscrepancy) ความอดทนตํอความผิดปกติ หมายถึง การควบคุมของบุคคลตํอการแสดงพฤตกิ รรมการตํอต๎านตอํ บรรทดั ฐานของสังคม เม่ือบุคคลไมํอาจอดกลั้นตํอความผิดปกติ บุคคลจะมกี ารแสดงพฤติกรรมที่ผิดปกติไปจากบคุ คลอน่ื ความเล่ือมใสศรัทธาในศาสนา หมายถึง การเข๎ารํวมกิจกรรมทางศาสนา และการมคี วามเชอื่ ในทางศาสนาของบคุ คล การเลื่อมใสในศาสนาเป็นการควบคุมการแสดงพฤติกรรมตามความเชื่อในความดงี าม และในศีลธรรม ความขัดแย๎งในหน๎าที่ควบคุมทางด๎านบวกและลบ หมายถึง คุณลักษณะท่ีดี และไมํดที ี่อยคํู วบคํูไปกบั พฤติกรรมท่เี ปน็ ปญั หา จากผลการศึกษาของเจสเสอร์ และเจสเสอร์ (Jessor & Jessor, 1977 อ๎างถึงในRew, 2005) พบความสมั พันธ์ของตัวแปรจากโครงสรา๎ งในระบบลักษณะนิสัยวํา วัยรํุนท่ีเห็นคุณคําในตนเองต่า เชื่อในอานาจภายนอกตนเอง มีความเลื่อมใสใน ศาสนาน๎อย มีความคาดหวังในผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่า มีความอดทนตํอความผิดปกติต่าและให๎ ความสาคัญทางด๎ายบวกกับ

53พฤติกรรมท่ีเป็นปัญหา มีแนวโน๎มท่ีจะแสดงพฤติกรรมที่สังคมไมํยอมรับสูงกวําวัยรุํนท่ีมีคณุ ลักษณะตรงข๎าม ระบบสภาพแวดล๎อมตามการรับร๎ู หมายถึง สภาพแวดล๎อมท่ีวัยรํุนให๎ความหมายเปน็ สภาพแวดล๎อมทางดา๎ นจิตสังคม ประกอบด๎วย โครงสร๎างความสัมพันธ์ของปัจจัยในระยะไกล(Distal structure) และ โครงสร๎างความสมั พันธ์ของปจั จยั ในระยะใกล๎ (Proximal structure) 1) โครงสร๎างความสัมพันธ์ของปัจจัยในระยะไกล หมายถึง ความสัมพันธ์ของปัจจัยทางบริบททางสังคมที่บุคคลกาหนดขอบเขตและสัมพันธ์กับการแสดงพฤติกรรมท่ีสังคมไมํยอมรับในทางอ๎อม ประกอบด๎วย ปัจจัยในครอบครัว และกลํุมเพื่อน วัยรุํนท่ีมีชีวิตอยํูในครอบครัวมากจะมีโอกาสแสดงพฤติกรรมที่สังคมไมํยอมรับน๎อยกวํามีชีวิตอยํูกับของเพื่อน ปัจจัยของโครงสรา๎ งนี้ ได๎แกํ การชวํ ยเหลอื จากพอํ แมํ (Parental Support) การควบคุมจากพํอแมํ (ParentalControls) การชํวยเหลือจากเพื่อน (Friends Support) การควบคุมจากเพื่อน (Friend Controls)ความสอดคล๎องของความคาดหวังระหวํางพํอแมํกับเพ่ือน (Parent-Friends Compatibility) และความสัมพันธ์ของอทิ ธพิ ลของพอํ แมํและเพ่อื น (Parent-Friends Influence) การรับรู๎การชํวยเหลือจากพํอแมํหรือเพื่อน หมายถึง ความรู๎สึกของบุคคลวําจะได๎รับการชํวยเหลือและกาลังใจจากพํอแมํหรือเพ่ือนเม่ือบุคคลต๎องการ บุคคลท่ีรับรู๎วําพํอแมํหรือเพอ่ื นให๎ความชวํ ยเหลือ ใหก๎ าลงั ใจสูงมีโอกาสแสดงพฤติกรรมที่เป็นปญั หาน๎อย การรับรู๎การควบคุมจากพํอแมํหรือเพ่ือน หมายถึง ความรู๎สึกวําพํอแมํหรือเพ่ือนกาหนดมาตรฐานของการกระทาและจะลงโทษ หรือไมํยินยอมตํอการแสดงพฤติกรรมบางอยํางบุคคลท่รี ับร๎วู าํ พํอแมํและเพอ่ื นควบคุมพฤติกรรมสูงมีโอกาสแสดงพฤตกิ รรมทีเ่ ปน็ ปญั หาน๎อย ความสอดคล๎องของความคาดหวังระหวํางพํอแมํกับเพ่ือน หมายถึง ความสอดคล๎องหรือความตรงกันในความหํวงกังวลตํอการแสดงพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาของพํอแมํกับเพื่อน บุคคลที่รับรู๎วําพํอแมํและเพื่อนมีความคาดหวังท่ีตรงกันน๎อยมีแนวโน๎มสูงที่จะแสดงพฤติกรรมท่ีสังคมไมยํ อมรับ ความสัมพันธ์ของอิทธิพลของพํอแมํและเพื่อน หมายถึง การรับร๎ูผลกระทบที่มากกวําหรือน๎อยกวําของพํอแมํหรือเพ่ือนท่ีมีตํอการแสดงพฤติกรรมของวัยรุํน อิทธิพลของพํอแมํมีระเบียบแบบแผนและมีมาในระยะยาวกวําอิทธิพลของเพ่ือน วัยรุํนที่ได๎รับอิทธิพลจากพํอแมํนอ๎ ยและเขา๎ กลุํมเพอ่ื นมาก มโี อกาสสูงท่ีจะแสดงพฤติกรรมท่ีเป็นปญั หา 2) โครงสร๎างความสัมพันธ์ของปัจจัยในระยะใกล๎ หมายถึง ความสัมพันธ์ของปัจจัยหรือท่ีมีอิทธิพลทางตรงตํอพฤติกรรมท่ีสังคมไมํยอมรับ ปัจจัยในโครงสร๎างน้ีประกอบด๎วยการเหน็ ด๎วยและไมํเห็นดว๎ ยตํอการแสดงพฤติกรรมทีส่ งั คมไมํยอมรับจากพํอแมํหรือเพ่ือน การเห็น

54ด๎วยมากหรือน๎อยข้ึนอยํูกับแตํละพฤติกรรม และตัวแบบพฤติกรรมที่เป็นปัญหาจากเพื่อนความสัมพันธ์ภายในระบบสภาพแวดล๎อมท่ีวัยรํุนรับรู๎ เจสเสอร์ และเจสเสอร์ พบวํา วัยรํุนที่ได๎รับการชํวยเหลือจากพํอแมํและมีการควบคุมจากพํอแมํน๎อย การควบคุมจากเพ่ือนน๎อย รับรู๎ความสอดคล๎องของความคาดหวังระหวํางพํอแมํกับเพื่อนวํามีความสอดคล๎องต่า มีความสัมพันธ์ของอทิ ธิพลของพอํ แมแํ ละ เพ่ือนน๎อยมีแนวโน๎มสูงท่ีจะแสดงพฤติกรรมท่ีสังคมไมํยอมรับสูง วัยรุํนท่ีพํอแมํยินยอมให๎มีพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาและมีเพ่ือนเป็นตัวแบบของการแสดงพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาและชกั ชวนใหแ๎ สดงพฤตกิ รรมนน้ั ๆ มีแนวโน๎มสงู ท่จี ะเปน็ ผ๎ูที่กระทาพฤตกิ รรมทเ่ี ปน็ ปญั หา ระบบโครงสร๎างพฤติกรรม ประกอบด๎วยพฤติกรรม 2 กลํุม คือ กลุํมพฤติกรรมที่เปน็ ปญั หา (Problem behavior) และพฤติกรรมทส่ี ังคมยอมรับ (Conventional behavior) 1) พฤติกรรมที่เป็นปัญหา หมายถึง การกระทาของวัยรํุนท่ีสังคมเห็นวําไมํเหมาะสมหรือไมตํ อ๎ งการอยํูนอกบรรทัดฐานของสังคม ได๎แกํ การทากิจกรรมประท๎วง การด่ืมสุราการด่ืมสุราที่มากเกินปกติ การเสพสารเสพติด การมีเพศสัมพันธ์ และกลุํมพฤติกรรมเบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นโดยท่ัวไป เชํน การโกหก การขโมย การแสดงความก๎าวร๎าว การแสดงพฤติกรรมที่เป็นปญั หาเปน็ วิถีทางสาหรบั วัยรนํุ ในการบรรลสุ ูเํ ป้าหมายท่ีโดยความเป็นจริงแล๎วเขาไมํสามารถบรรลุถึงได๎ หรืออาจเป็นวิถีทางตํอต๎านขัดขืนอานาจของผ๎ูใหญํและสังคม หรือเป็นวิถีทางในการเผชิญกับความสับสนและล๎มเหลว การแสดงพฤติกรรมที่เป็นปัญหาอาจเป็นวิถีทางการสร๎างเอกลักษณ์แหํงตน หรืออาจเป็นสัญลักษณ์ของการเปล่ียนผํานชํวงวัยตามพัฒนาการโดยวัยรุํนพยายามท่ีจะแสดงบทบาทผ๎ูใหญํในสังคม 2) พฤติกรรมท่ีสังคมยอมรับ หมายถึง กิจกรรมท่ีสังคมโดยท่ัวไปยินยอมและเป็นกิจกรรมที่คาดวําเหมาะสมกับชํวงวัย โครงสร๎างพฤติกรรมท่ีสังคมยอมรับ ประกอบด๎วยการเข๎ารํวมกิจกรรมทางศาสนา และกิจกรรมทางการเรียน กิจกรรมดังกลําวเป็นกิจกรรมท่ีสังคมเห็นวําสามารถขดั เกลาวยั รุํนได๎ ความสัมพันธ์ภายในระบบโครงสร๎างพฤติกรรมปรากฏให๎เห็นได๎อยํางชัดเจนการเข๎าสูํการแสดงพฤติกรรมที่สังคมยอมรับจะยับย้ังการกระทาที่สังคมไมํยอมรับ นอกจากนี้การแสดงพฤติกรรมที่เป็นปัญหาใดพฤติกรรมหนึ่งมีแนวโน๎มที่จะทาพฤติกรรมที่เป็นปัญหาอื่นๆอีกในการพัฒนาทฤษฎีตํอมาเจสเสอร์ได๎รวมพฤติกรรมการขับรถแขํง (Risky driving) เข๎าไว๎ในโครงสร๎างพฤติกรรมที่เป็นปัญหา เนื่องจากมีวัยรํุนในอเมริกาจานวนไมํน๎อยทั้งหญิงและชายแสดงพฤติกรรมนี้ และจากการศึกษาวิจัยในเวลาตํอมาพบวํา พฤติกรรมการขับรถแขํงมีความสัมพันธ์กับระบบลักษณะนิสัย ระบบสภาพแวดล๎อม และภายในระบบโครงสร๎างพฤติกรรมเองยังพบวํามีความสมั พนั ธ์กับพฤติกรรมทเ่ี ปน็ ปัญหาอ่ืน เชํน การสบู บหุ รี่ การดื่มสรุ า และการเสพกัญชา

55 ถึงแม๎วําทฤษฎีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของเจสเสอร์และเจสเสอร์เป็นทฤษฎีท่ีอธิบายพฤติกรรมเฉพาะที่สังคมไมํยอมรับของวัยรํุน มีการให๎ความหมายเชิงปฏิบัติการของมโนทศั น์หลัก 5 มโนทศั น์ และมกี ารสร๎างเคร่ืองมือวัดปัจจัยยํอยทั้งหมด 50 ปัจจัย ครอบคลุมตัวบุคคลท่ีสะท๎อนทั้งความคิด ความร๎ูสึกของบุคคล รวมทั้งสิ่งแวดล๎อม และกลไกการทางานของปัจจัยภายในตัวบุคคล และสภาพแวดล๎อมท่ีสํงผลตํอการมีพฤติกรรมท่ีสังคมไมํยอมรับ แตํทฤษฎีน้ีมีปัจจัยยํอยจานวนมาก มีความซับซ๎อนของความสัมพันธ์ในแตํละปัจจัย จึงทาให๎ขาดความกระชับและยากตํอการนามโนทัศน์หลักแยกมาทดสอบหรือปรับแตํงให๎กระชับ อีกท้ังเคร่ืองมือที่ผ๎ูพัฒนาทฤษฎีสร๎างและพัฒนาข้ึนมีความยาวและใช๎เวลามากจึงอาจทาให๎ผ๎ูตอบเบื่อหนําย และมีความเหนอื่ ยล๎าจากการตอบ 3.5 ทฤษฎีอิทธพิ ลไทรอาดิก ทฤษฎีอิทธิพลไทรอาดิกพัฒนาข้ึนโดยเฟรย์และเพเทรียติส (Flay & Petraitis)(Flay & Petraitis, 1994) เพือ่ อธบิ ายพฤตกิ รรมท่ีสัมพันธ์กับสุขภาพของวัยรํุนในปี 1993 จากบริบทการใช๎สารเสพติดในวัยรุํนด๎วยการบูรณาการปัจจัยที่มีอิทธิพลตํอพฤติกรรมจากทฤษฎีระดับเล็ก(micro-theory) หลายทฤษฎีเข๎าด๎วยกัน เฟรย์และเพเทรียติสได๎นาข๎อสันนิษฐานจากทฤษฎีพฤตกิ รรมตามแผนซ่งึ ปจั จัยที่อธิบายพฤติกรรมเป็นปัจจัยในระดับบุคคลและมีขนาดอิทธิพลสูงตํอการแสดงพฤติกรรมมาเป็นหลักในการอธิบายพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับสุขภาพวัยรํุน กลําวคือทฤษฎีอิทธิพลไทรอาดิกเชื่อวําการแสดงพฤติกรรมสุขภาพของวัยรุํนถูกควบคุมโดยตรงจากการตัดสินใจหรือความต้ังใจ ซึ่งการตัดสินใจกระทาพฤติกรรมได๎รับอิทธิพลจากทัศนคติที่มีตํอการแสดงพฤติกรรม (Health-related attitude) ความกดดันจากบรรทัดฐานทางสังคมท่ีมีตํอการแสดงพฤติกรรม (Social norms) และการรับรู๎สมรรถนะแหํงตน (Self-efficacy) ในการควบคุมการแสดงพฤติกรรม เฟรย์และเพเทรียติสยังสันนิษฐานอีกวําทัศนคติที่มีตํอการแสดงพฤติกรรม ความกดดันจากบรรทดั ฐานทางสังคมทีม่ ตี ํอการแสดงพฤติกรรม และการรับรู๎สมรรถนะแหํงตนมาจากอิทธิพล3 กลํุมหลักท่ีมีจุดกาเนิดแตกตํางกัน และอิทธิพลทั้ง 3 กลํุมนี้สํงอิทธิพลผํานปัจจัยตํางๆมายังทัศนคติท่ีมีตํอการแสดงพฤติกรรม ความกดดันจากบรรทัดฐานทางสังคมที่มีตํอการแสดงพฤตกิ รรม และการรับร๎ูสมรรถนะแหํงตนดงั ภาพท่ี 9

56ภาพท่ี 9 กลุํมอทิ ธพิ ลที่มีตํอพฤตกิ รรม (Flay & Petraitis, 1994) ทฤษฎีน้ีครอบคลุม 2 มิติ คือ มิติแรก กลําวถึงปัจจัยจากอิทธิพล 3 กลุํม ได๎แกํปัจจัยจากภายในตัวบุคคล (Intra-personal influence factors) ปัจจัยจากบริบททางสังคม (Socialcontext influence factors) ปัจจัยจากส่ิงแวดล๎อมทางวัฒนธรรม (Cultural environment influencefactors) รวมท้ังพฤติกรรมอ่ืนที่เกี่ยวข๎องท่ีมีตํอพฤติกรรมของวัยรํุน มิติท่ีสองแสดงถึงระดับของอิทธิพลที่มีผลตํอพฤติกรรม ได๎แกํ ปัจจัยขั้นสูงสุด (Ultimate factors) ปัจจัยระยะกลาง (Distalfactors) ปัจจยั ระยะใกล๎ (Proximal factors) ดังภาพท่ี 10

Levels of Causation Cultural/Attitudinal StreamUltimate Causes Cultural Environment Social Information/ Cultures/ O Personal Opportunity Religion Nexus Distal Causes Knowledge/ Values/ Expectancies & Expectancies Evaluations Evaluations Attitudes towardCognitions & Affect the behaviorProximal Predictors Decisions Experiences Experiences: Expectanภาพท่ี 10 ทฤษฏอี ทิ ธิพลไทรอาดิก (Theory Triadic Influence) (Flay, ภาพท่ี 10 ทฤษฎีอิทธิพลไทรอา

Social/Normative Stream 57 Social Situation Intra-personal StreamOthers’ Behavior Social Biology/ Personality & Attitude Bonding Social Competence Sense of SelfPerceived Motivation Social Skills Self Determination Norms to Comply Self-EfficacySocial Normative Behavioral Control BeliefsDecision/Intentions Trial Behaviorncies-Social Reinforcements-Psychological/PhysiologicalBehavior Related Behavior, 1999) 57าดกิ (Theory Triadic Influence) (Flay, 1999)

58 กลุํมปัจจัยที่มีอิทธิพลตํอทัศนคติ คือ กลุํมปัจจัยจากส่ิงแวดล๎อมทางวัฒนธรรมส่ิงแวดล๎อมทางวัฒนธรรมตามทฤษฎีน้ีคือ แหลํงท่ีให๎ข๎อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและพฤติกรรมท่ีเกี่ยวข๎องกับสุขภาพ ได๎แกํ โรงเรียน สื่อสารมวลชน และบุคคลที่วัยรุํนรู๎จักแตํไมํได๎ติดตํอประจาข๎อมูลเกี่ยวกับสุขภาพหรือพฤติกรรมที่เกี่ยวข๎องกับสุขภาพจากแหลํงที่ให๎ข๎อมูลถํายทอดไปยังวัยรุํนให๎รับร๎ูและตระหนักในข๎อมูลความร๎ู(Knowledge) การตระหนักถึงความร๎ูเร่ืองสุขภาพไปมีอิทธิพลทาให๎วัยรุํนคาดหวังผลท่ีอาจจะเกิดข้ึนจากการกระทาพฤติกรรม (expectancies) นอกจากสง่ิ แวดล๎อมทางวัฒนธรรมจะให๎ข๎อมูลความร๎ูแล๎ว ยังให๎การปรับแตํงคํานิยม (Values) ทฤษฎีน้ีเช่ือวําคํานิยมทางวัฒนธรรมถูกถํายโยงโดย รัฐบาล โรงเรียน ส่ือสารมวลชน นักแสดง การโฆษณาและบุคคลที่วัยรุํนร๎ูจักแตํไมํได๎ติดตํอประจา คํานิยมท่ีถูกถํายโยงมานี้เป็นส่ิงท่ีสนับสนุนให๎วัยรุํนประเมินคําผลที่คาดหวังวําจะเกิดจากการกระทา (Evaluations) การคาดหวังผลจากการกระทารํวมกับการประเมินคําผลท่ีคาดวําจะเกิดจากการกระทาไปปรับทัศนคติท่ีมีตํอพฤติกรรมซง่ึ ทัศนคตนิ ้ีไปมอี ิทธิพลตํอการตดั สนิ ใจเรม่ิ กระทาพฤตกิ รรมท่ีเกีย่ วข๎องกบั สขุ ภาพ กลุํมปัจจัยท่ีมีอิทธิพลตํอความเช่ือในบรรทัดฐานสังคม คือกลุํมปัจจัยจากสถานการณ์ทางสังคม (Social context) ซ่ึงเป็นสิ่งแวดล๎อมของวัยรุํนท่ีมีขนาดเล็กลงมา ได๎แกํครอบครัวและเพื่อน หรือเพื่อนบ๎าน รูปแบบการเลี้ยงดูและคํานิยมของพํอแมํหรือผู๎ปกครองความสนิทสนมกับเพื่อนและเพ่ือนบ๎าน แหลํงอิทธิพลกลํุมนี้จะสํงผลให๎วัยรํุนรับรู๎แรงกดดันจากสังคมให๎กระทาตามบรรทัดฐานของสังคมท่ีวัยรุํนดาเนินชีวิตอยูํ โดยเชื่อวําวัยรุํนสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากการสังเกตและเลียนแบบผู๎ท่ีใกล๎ชิดผูกพัน เงื่อนไขของสถานการณ์ทางสงั คมสํงผลตํอความผูกพันกับบุคคลท่ีมีโอกาสอยูํด๎วยมากที่สุด (Social bonding) ความผูกพันนี้สํงอิทธิพลตํอการถูกจูงใจให๎ยินยอมกระทาตาม (Motivation in comply) ในอีกทางหน่ึงเง่ือนไขของสถานการณ์ทางสังคมไปมีผลตํอทัศนคติ คํานิยม และพฤติกรรมของบุคคลอื่นที่อยูํในสถานการณ์เดยี วกนั ซึง่ ทศั นคติ คํานยิ ม และพฤตกิ รรมของบุคคลอนื่ นีไ้ ปมผี ลตอํ การรับรู๎บรรทัดฐานของสังคม(perceived norms) การยนิ ยอมกระทาตามผูท๎ ช่ี กั ชวนรวมทง้ั รับรว๎ู ําการกระทาเชํนนี้เป็นส่ิงที่บุคคลอื่นๆในสังคมกระทากัน วัยรํุนจะมีความเชื่อตามบรรทัดฐานทางสังคม (Social normative beliefs)อันจะไปมอี ิทธพิ ลตอํ การตดั สินใจกระทาพฤตกิ รรม กลุํมปัจจัยท่ีมีอิทธิพลตํอการรับรู๎สมรรถนะแหํงตน คือกลํุมปัจจัยจากภายในตัวบุคคลเป็นปัจจัยทางชีวภาพและบุคลิกภาพ (Biology & Personality) ของบุคคลมีลักษณะ 5 มิติ คือการควบคุมพฤติกรรม (Behavior control) การควบคุมอารมณ์ (Emotional control) บุคลิกภาพแบบชอบสังคม/ไมํชอบสังคม (Extraversion/introversion) สติปัญญา (Intelligence quotient [IQ]) และความสามารถทางสังคม (Sociability) โดยทฤษฎีน้ีอธิบายวําความสามารถควบคุมพฤติกรรมและ

59อารมณ์ของวัยรํุนมีอิทธิพลตํอการรู๎จักตนเอง (Sense of self) หากวัยรุํนสามารถควบคุมพฤติกรรมและอารมณ์ จะพัฒนาไปสํูการเห็นคุณคําในตนเองมากขึ้น และรู๎จักและม่ันใจในตนเองมากขึ้นการรู๎จักตนเองของวัยรํุนไปมีผลตํอการกาหนดตนเอง (Self Determination) บุคลิกภาพแบบชอบสังคม/ไมํชอบสังคมและความสามารถทางสังคม ไปมีอิทธิพลตํอทักษะทางสังคม (Social skills)วัยรํุนที่มีบุคลิกภาพแบบไมํชอบเข๎าสังคมแล ะด๎อยควา มส ามารถ ทางสังคมให๎ผล ทางล บกับสมรรถนะทางสังคม วัยรุํนจะมีความสามารถในการเข๎าสังคมไมํดีจะไปมีผลตํอการรับร๎ูทักษะการแสดงพฤติกรรม การกาหนดตนเองตํอการแสดงพฤติกรรมรํวมกับการรับร๎ูทักษะการแสดงพฤติกรรมไปมอี ิทธพิ ลตอํ การรบั ร๎สู มรรถนะแหํงตนในการควบคุมพฤติกรรม วัยรุํนท่ีมีความตั้งใจควบคมุ พฤตกิ รรมตนเองและเชื่อวําตนเองมีทักษะในการควบคุมพฤติกรรมจะมีการรับรู๎สมรรถนะแหงํ ตนสงู และมแี นวโนม๎ ท่จี ะตดั สินใจกระทาพฤติกรรมนอ๎ ยลง ในภาพที่ 10 แสดงให๎เห็นวํานอกจากปัจจัยภายในกลํุมอิทธิพลจะมีความสัมพันธ์กันโดยตรงแล๎ว ปัจจัยภายในกลํุมอิทธิพลหนึ่งยังได๎รับอิทธิพลจากปัจจัยภายในกลํุมอิทธิพลอื่นกลาํ วคือ ปัจจยั การคาดหวังผลจากการกระทาได๎รับอทิ ธิพลจากสมรรถนะทางสงั คม การประเมินคําผลท่ีคาดวําจะเกิดจากการกระทาได๎รับอิทธิพลจากความผูกพันทางสังคม และการร๎ูจักตนเองการรับรู๎บรรทัดฐานของสังคมได๎รับอิทธิพลจากข๎อมูลและโอกาสที่มาจากแหลํงวัฒนธรรมและสมรรถนะทางสังคม การจูงใจให๎ยินยอมการกระทาตามได๎รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมหรือศาสนาและการรู๎จักตนเอง ทักษะทางสังคมได๎รับอิทธิพลจากข๎อมูลและโอกาสท่ีมาจากแหลํงวัฒนธรรมการกาหนดตนเองได๎รบั อิทธพิ ลจากวฒั นธรรมหรือศาสนาและความผกู พันทางสังคม ทฤษฎีอิทธิพลไทรอาดิกน้ีมีจุดมุํงหมายในการอธิบายพฤติกรรมท่ีเกี่ยวข๎องกับสุขภาพวัยรุํน ทั้งการแสดงพฤติกรรมใหมํและพฤติกรรมท่ีเกิดขึ้นเป็นประจา (Flay & Petraitis,1994) โดยประสบการณ์จากการแสดงพฤติกรรมทั้งพฤติกรรมใหมํและพฤติกรรมที่แสดงเป็นประจาเป็นอิทธิพลย๎อนกลับไปยังปัจจัยในอิทธิพล 3 กลุํม และเป็นวงจรกลับมาใหมํ ซ่ึงอาจเป็นการเสริมแรงให๎กระทาพฤติกรรมเพ่ิมข้ึน หรือ ควบคุมให๎แสดงพฤติกรรมน๎อยลง หรือหยุดแสดงพฤตกิ รรม เนื่องดว๎ ยทฤษฎีพฤติกรรมตามแผน และมโนทัศน์ การควบคุมตนเอง การคาดหวังผลการกระทา และการเลียนแบบ จากทฤษฎีการเรียนร๎ูทางปัญญาสังคม ถูกนามาบูรณาการไว๎ในทฤษฎีอทิ ธพิ ลไทรอาดกิ ผ๎ูวจิ ยั จึงพิจารณาความเหมาะสมสาหรบั นาไปใชใ๎ นการอธบิ ายการดื่มแบบผิดปกติของวัยรุํนจากทฤษฎีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา ทฤษฎีอิทธิพลไทรอาดิก และมโนทัศน์การแสวงหาความทา๎ ทาย ดงั รายละเอียดในตารางท่ี 1

60ตารางท่ี 1 ความเหมาะสมของมโนทัศน์และทฤษฎีในการนาไปอธิบายการดื่มแบบผิดปกติของ วยั รํุน ความเหมาะสมสาหรับการนาไปใช้ การแสวงหา ทฤษฎพี ฤติกรรม ทฤษฎอี ทิ ธพิ ล ความท้าทาย ท่เี ปน็ ปัญหา ไทรอาดกิมีการอธิบายพฤติกรรมของวัยรํุนด๎วย ความรสู๎ กึ ความรส๎ู ึก ความรู๎สกึปัจจัยท่ีครอบคลุมความเป็นบุคคล ลกั ษณะทางชีวเคมี ความคิดใน 4 ดา๎ น คอื ลกั ษณะทางชีวเคมี1. ความร๎ูสึก (2 ด๎าน) สังคม/วัฒนธรรม ความคดิ2. ลักษณะทางชีวเคมี (3 ด๎าน)3. ความคดิ 1 มโนทศั น์ สังคม/วฒั นธรรม4. สงั คม/วัฒนธรรม  50 มโนทัศน/์ ปัจจัย (4 ดา๎ น)  จานวนมโนทศั น์/ปัจจัยไมํมาก  23 มโนทัศน/์ ปัจจยัความสัมพนั ธ์ของมโนทศั น์   ไมซํ ับซ๎อน  มคี วามกระชับ  มโนทศั น์แสดงนยิ ามเชิงปฏบิ ตั กิ าร มีเครื่องมอื วดั แตํละมโนทศั น/์ ปจั จยั  จากตารางท่ี 1 จะเห็นวํา มโนทัศน์การแสวงหาความท๎าทาย อธิบายการแสดงพฤติกรรมของวัยรุํนในด๎านความร๎ูสึก และลักษณะทางชีวเคมี มีความกระชับ เพราะมีเพียงมโนทัศน์เดียวมีนิยามเชิงปฏิบัติการและมีเคร่ืองมือวัด ขณะท่ีทฤษฎีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา อธิบายการแสดงพฤตกิ รรมของวัยรนุํ ในดา๎ นความรส๎ู ึก ความคิด และด๎านสังคม/วัฒนธรรม ขาดการอธิบายลักษณะทางชีวเคมี มีจานวนมโนทัศน์/ปัจจัยมาก และแสดงความสัมพันธ์ระหวํางมโนทัศน์/ปัจจัยซับซ๎อมหลายทิศทางทาให๎ความกระชับน๎อยลง มีการให๎นิยามเชิงปฏิบัติการสาหรับมโนทัศน์หลัก และมีเครอ่ื งมือวดั ทกุ มโนทศั น์/ปจั จัยยํอยซ่งึ จะครอบคลุมนยิ ามของมโนทศั นห์ ลัก จงึ เป็นการยากสาหรับการแยกปัจจัยยํอยบางสํวนมาศึกษา การนามาใช๎ต๎องนาเคร่ืองมือของทุกมโนทัศน์/ปัจจัยมาใช๎ซึ่งเครื่องมือมีความยาวและใช๎เวลาในการตอบมาก ดังนั้นจึงมีความไมํเหมาะสมท่ีจะเลือกมาเป็นกรอบในการศึกษา สํวนทฤษฎีอิทธิพลไทรอาดิก มโนทัศน์/ปัจจัยในทฤษฎีอธิบายการแสดงพฤติกรรมของวัยรํุนครอบคลุมในด๎านความร๎ูสึก ลักษณะทางชีวเคมี ความคิด และด๎านสังคม/วฒั นธรรม มจี านวนมโนทศั น์มากแตนํ อ๎ ยกวําทฤษฎีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา ความสัมพันธ์ของมโนทัศนซ์ ับซ๎อนนอ๎ ยกวาํ ทฤษฎีพฤตกิ รรมทเ่ี ป็นปัญหา มีความเป็นนามธรรม และมีการสร๎างเครื่องมือ

61เพื่อประเมิน มโนทัศน์สาหรับการอธิบายพฤติกรรมการสูบบุหรี่ของวัยรํุนเทําน้ันด๎วยข๎อดีของการอธิบายพฤติกรรมของวัยรุํนได๎ครอบคลุมความเป็นบุคคล มีความกระชับระดับกลางเม่ือเทียบกับมโนทัศน์การแสวงหาความท๎าทายและทฤษฎีพฤติกรรมที่เป็นปัญหา ด๎วยความเป็นนามธรรมจึงมีความยืดหยํุนสาหรับการแยกมโนทัศน์มาศึกษา ดังน้ันผู๎วิจัยจึงเห็นวํามีความเหมาะสมที่จะนามาเป็นกรอบชีน้ าในการอธบิ ายการดื่มเคร่อื งดม่ื แอลกอฮอล์แบบผิดปกตขิ องวยั รนุํ4. ปจั จยั ทค่ี าดวา่ จะมีอิทธพิ ลตอ่ การดม่ื แบบผิดปกตขิ องวยั รนุ่ เนื่องด๎วยทฤษฎีอิทธิพลไทรอาดิกมีความเป็นนามธรรมไมํมีนิยามเชิงปฏิบัติการสาหรับพฤติกรรมการด่ืมเครื่องด่ืมแอลกอฮอล์แบบผิดปกติของวัยรํุน ผ๎ูวิจัยจึงกาหนดคานิยามของปัจจัยอธิบายการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แบบผิดปกติของวัยรุํนตามขอบเขตคานิยามของ ปัจจัยจากทฤษฎีอิทธิพลไทรอาดิก จากน้ันนาคานิยามของปัจจัยที่กาหนดข้ึนใหมํมาเปรียบเทียบกับปัจจัยท่ีได๎มาจากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยท่ีมีอิทธิพลตํอการด่ืมมากเกินกวําระดับท่ีปลอดภัย น่ันก็คือ การดื่มหนักในโอกาสเดียว/การด่ืมอยํางหนัก และการดื่มแบบเส่ียงเปรียบเทียบคานยิ ามและการวดั ปัจจยั จากงานวิจัยท่ีคานิยามมีขอบเขตครอบคลุมนิยามของปัจจัยท่ีถูกกาหนดข้ึนใหมํและเคร่ืองมือจะถูกเลือกเข๎าสูํการศึกษาเพื่อหาความสัมพันธ์หากการศึกษาใดมไิ ดใ๎ ห๎เครอ่ื งมือวดั ผว๎ู จิ ัยสรา๎ งเคร่ืองมอื วัดข้ึนเอง การกาหนดคานิยามของปัจจัยอธิบายการดื่มเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์แบบผิดปกติของวัยรํุนตามขอบเขตคานยิ ามของปัจจยั จากทฤษฎอี ิทธพิ ลไทรอาดกิ แสดงดงั ตารางที่ 2 3 4 และ 5

62ตารางที่ 2 การกาหนดนิยามของปัจจัยอธิบายการดื่มเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์แบบผิดปกติของวัยรุํน ตามกรอบทฤษฎไี ทรอาดกิ ในกลมุํ อทิ ธพิ ลภายในตวั บุคคล ปจั จัย นิยามของปจั จัยจากอทิ ธิพลภายในตวั บุคคล นิยามของปัจจยั อธิบายการด่มื เครื่องดมื่ ตามทฤษฎอี ิทธพิ ลไทรอาดกิ แอลกอฮอลแ์ บบผดิ ปกติลักษณะทาง ลักษณะของวยั รํุนใน 5 มิติ ได๎แกํ การควบคมุ ลกั ษณะของวัยรุํนทมี่ าจากการชวี เคมแี ละ พฤตกิ รรม การควบคมุ อารมณ์ บคุ ลกิ ภาพ เปลยี่ นแปลงทางชีวเคมี สรรี ะรํางกายบุคลกิ ภาพ สตปิ ัญญา และความสามารถทางสงั คม ท่ไี ดร๎ บั หรอื ไดร๎ บั การสงํ ถาํ ยพนั ธุกรรมของ อทิ ธพิ ลจากพนั ธุกรรม ชีวเคมี สรรี ะรํางกาย ที่ วัยรํุน ทีส่ งํ ผลใหด๎ มื่ เครอ่ื งดื่ม สํงผลตํอการแสดงพฤตกิ รรม แอลกอฮอล์มากขึน้ หรอื ขัดขวางการดม่ืสมรรถนะทาง ความสามารถในการแสดงออกและการแสดง ความสามารถในการอยกํู ับบคุ คลอนื่ ในสงั คม อารมณ์ในสังคมของวัยรนํุ รวมทงั้ ความสามารถ สังคมทง้ั ในการแสดงพฤติกรรมและการ ของวัยรุํนในการยกํู บั บคุ คลอน่ื ทไ่ี ปมีผลตํอการ แสดงอารมณโ์ ดยทั่วไป ท่อี าจบกพรํอง/ แสดงพฤติกรรม เออ้ื ตํอการดม่ื เครือ่ งดื่มแอลกอฮอล์การร๎ูจักตนเอง การนึกคดิ เกี่ยวกับตนเองในหลายๆดา๎ น ได๎แกํ การนึกคดิ เกี่ยวกบั ตนเองโดยทัว่ ไปของ ภาพลักษณ์ การมคี ณุ คาํ ความสามารถในดา๎ น วัยรุํนท่ีสนบั สนนุ ให๎วัยรุํนกาหนด ตํางๆเชํนการเรยี น การแสดงออก การมี ขอบเขตของตนเองในการด่มื เครอื่ งด่ืม ความสัมพันธก์ บั บุคคลอน่ื การทาหน๎าทข่ี อง แอลกอฮอล์ ตนเอง การยึดเหนีย่ วศรทั ธาในศาสนา และ ความโดดเดนํ ของตนเอง ท่ีสนบั สนุนใหว๎ ัยรํนุ กาหนดขอบเขตของตนเองในการทาพฤตกิ รรมทกั ษะทางสังคม การใชค๎ วามสามารถในการแสดงพฤติกรรมและ การใช๎ความสามารถในการแสดง แสดงอารมณใ์ นสังคมอยํางเชีย่ วชาญในการมี พฤตกิ รรมและแสดงอารมณ์ในสังคม ปฏสิ มั พนั ธ์และสื่อสารกบั บคุ คลอน่ื ของวัยรํุน อยํางเช่ยี วชาญในการมปี ฏสิ ัมพันธ์และ สื่อสารกับบุคคลอื่นของวัยรุํนท่เี อื้อ/ ขดั ขวางตอํ การดื่มเครอ่ื งดื่มแอลกอฮอล์การกาหนด การควบคุมหรือกาหนดระดบั ความสามารถ/ การควบคุมหรือกาหนดระดบัตนเอง ขอบเขตของตนเองของวยั รนํุ ในการกระทา ความสามารถ/ขอบเขตของตนเองในการ พฤติกรรม ด่ืมเครอื่ งดมื่ แอลกอฮอล์สมรรถนะแหํง ความเชือ่ มั่นในความสามารถของตนเองในการ ความเชอ่ื ในความสามารถของตนเองตนในการควบคุม ควบคุมพฤตกิ รรมภายใต๎สถานการณใ์ ด ของวัยรุนํ ในการปฏเิ สธการดื่มเครอ่ื งดื่มการแสดง สถานการณ์หนงึ่ แอลกอฮอล์พฤติกรรม (Flay, 1999; Flay & Petraitis, 1994)

63ตารางท่ี 3 การกาหนดนยิ ามของปัจจัยอธิบายการด่ืมเคร่ืองด่ืมแอลกอฮอล์แบบผิดปกติของวัยรํุน ตามกรอบทฤษฎไี ทรอาดิกในกลุํมอทิ ธิพลบรบิ ททางสงั คม ปจั จยั นยิ ามของปจั จยั จากอิทธิพลบรบิ ททางสังคม นยิ ามของปัจจยั อธบิ ายการดืม่ เครอื่ งด่มืบริบท/สถานการณท์ าง ตามทฤษฎอี ทิ ธพิ ลไทรอาดกิ แอลกอฮอลแ์ บบผิดปกติสงั คม สง่ิ แวดล๎อมรอบตวั วยั รนุํ ท่วี ัยรุํนใกล๎ชดิ และ สง่ิ แวดลอ๎ มรอบตัววัยรํุนท่วี ยั รํนุ ใกล๎ชิดความผกู พันทางสงั คม คน๎ุ เคย ไดแ๎ กคํ รอบครัวและโรงเรียนท่ี และคุ๎นเคย ได๎แกคํ รอบครัวและพฤติกรรมและ สนบั สนุนหรือขัดขวางการกระทาพฤตกิ รรม โรงเรยี นทสี่ นบั สนนุ หรือขดั ขวางการดื่มทศั นคตขิ องบคุ คลอ่ืน ของวยั รุนํ เครอื่ งด่มื แอลกอฮอล์บรรทดั ฐานของ ความร๎สู กึ ผูกพนั ทางอารมณ์กับบคุ คลทใ่ี กลช๎ ดิ ความรู๎สกึ ผกู พนั ทางอารมณก์ ับบคุ คลที่สงั คม ตามการรบั รูข๎ องวยั รุนํ คุ๎นเคย และยึดถือเป็นตวั แบบ มอี ทิ ธิพลจูงใจให๎ ใกล๎ชิดค๎นุ เคย และยดึ ถือเป็นตวั แบบ ท่ีการจูงใจให๎ วยั รุํนทาตาม มีอทิ ธพิ ลสงํ เสริม/ขัดขวางการดมื่กระทาตาม เครื่องด่ืมแอลกอฮอล์ความเชื่อในบรรทดั ฐานของ พฤติกรรมและทัศนคตขิ องบคุ คลที่วัยรนํุ ใกล๎ชิด พฤตกิ รรมการดมื่ เครอ่ื งดม่ื แอลกอฮอล์สังคม คุ๎นเคย และยึดถือเปน็ ตวั แบบที่มอี ทิ ธพิ ลตอํ การ และทศั นคตติ ํอการดม่ื เครอ่ื งดม่ื แสดงพฤติกรรม แอลกอฮอลข์ องผู๎ทีว่ ัยรนุํ ใกลช๎ ิดคุ๎นเคย หรอื ยดึ เปน็ ตัวแบบที่มีอิทธิพลตอํ การดืม่ เคร่อื งดมื่ แอลกอฮอล์ การรับรคู๎ วามกดดันจากสังคม/ความเชอ่ื ของ การรบั ร๎คู วามกดดนั จากสงั คม/ความเชื่อ บคุ คลที่วัยรํุนใกล๎ชดิ คุน๎ เคย และยึดถอื เปน็ ตวั บุคคลที่วยั รุนํ ใกลช๎ ดิ คุน๎ เคย และยดึ ถือ แบบเกี่ยวกบั การแสดงพฤติกรรม เปน็ ตัวแบบเกย่ี วกบั การด่ืมเคร่ืองด่ืม แอลกอฮอล์ อทิ ธพิ ลหรอื แรงจงู ใจจากบคุ คลทีว่ ยั รนํุ ใกลช๎ ดิ อิทธพิ ลหรอื แรงจูงใจจากบคุ คลท่วี ยั รนุํ และนบั ถอื เป็นตัวแบบใหแ๎ สดงพฤติกรรม ใกลช๎ ิด คุ๎นเคยและถือเป็นตัวแบบให๎ วยั รุนํ ดมื่ หรือลดการด่มื แอลกอฮอล์ ความเชือ่ ถือในส่ิงทบ่ี คุ คลอ่นื ๆทใ่ี กล๎ชิด คุ๎นเคย ความเชอื่ ถือ/ยดึ ถือของวัยรํนุ ในเรือ่ งการ หรอื เปน็ ตวั แบบเชอื่ และปฏบิ ตั ิ ทมี่ ีผลตอํ การ ดืม่ เครือ่ งด่ืมแอลกอฮอลท์ ี่บคุ คลอ่นื ๆท่ี ตัดสินใจแสดงพฤติกรรม ใกล๎ชดิ คน๎ุ เคย หรอื เป็นตวั แบบเช่ือและ ปฏบิ ตั ิ (Flay, 1999; Flay & Petraitis, 1994)

64ตารางที่ 4 การกาหนดนิยามของปัจจัยอธิบายการด่ืมเคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์แบบผิดปกติของวัยรุํน ตามกรอบทฤษฎีไทรอาดกิ ในกลุํมอทิ ธพิ ลสงิ่ แวดล๎อมทางวัฒนธรรม ปัจจัย นิยามของปัจจยั จากอทิ ธิพลส่งิ แวดลอ้ มทาง นิยามของปจั จยั อธิบายการดื่มเครอ่ื งด่มื วัฒนธรรมตามทฤษฎีอทิ ธิพลไทรอาดกิ แอลกอฮอล์แบบผดิ ปกติสงิ่ แวดลอ๎ มทาง สิง่ แวดลอ๎ มทางสงั คมวฒั นธรรมทใ่ี หข๎ อ๎ มลู และ สง่ิ แวดล๎อมทางสังคมวัฒนธรรมทใ่ี ห๎วฒั นธรรม โอกาสในการสงํ เสริม หรอื ขดั ขวางการกระทา ข๎อมูลและโอกาสในการสํงเสรมิ หรอื- ขอ๎ มูล/โอกาส พฤตกิ รรมของวัยรํุน ได๎แกํ ศาสนาโรงเรยี น ขดั ขวางการดม่ื เคร่ืองดื่มแอลกอฮอล์- ศาสนา/ ส่ือสารมวลชน และบคุ คลที่วยั รุํนรจู๎ ักแตไํ มํได๎ ของวยั รนํุ ได๎แกํ ศาสนาโรงเรียนวฒั นธรรม ติดตํอประจา สื่อสารมวลชน และบุคคลทว่ี ยั รํนุ รูจ๎ ัก แตํไมไํ ดต๎ ิดตอํ ประจาความร๎ู การระลกึ ข๎อมลู ทว่ี ยั รํุนรับรเู๎ ก่ยี วกบั การแสดง การระลกึ ขอ๎ มลู ทว่ี ัยรนํุ รบั รเ๎ู ก่ยี วกบั พฤติกรรมและผลจากการแสดงพฤติกรรม เครอ่ื งดื่มแอลกอฮอล์ และผลจากการดม่ื เครื่องดมื่ แอลกอฮอล์คํานยิ ม การใหค๎ ุณคํา ความสาคญั การยอมรับและพรอ๎ ม การให๎คณุ คํา ความสาคัญ การยอมรับ ทจ่ี ะปฏบิ ตั ติ ามคุณคําทบ่ี คุ คลอื่นๆในสังคมมตี ํอ และพรอ๎ มท่ีจะปฏบิ ตั ติ ามคณุ คําที่บคุ คล การแสดงพฤติกรรม อืน่ ๆในสงั คมมตี ํอการดืม่ เครื่องดม่ื แอลกอฮอล์การคาดหวัง ความเชื่อ หรอื การคิดถงึ ผลทจ่ี ะเกดิ จากการ ความเชอื่ หรือการคิดถงึ ผลทเ่ี กิดจากการผลลพั ธจ์ ากการ แสดงพฤตกิ รรม ดื่มเครือ่ งดื่มแอลกอฮอล์กระทาการประเมินคําผล การตีคาํ ผลทค่ี าดวาํ จะเกดิ จากการแสดง การตีคําผลทคี่ าดวาํ จะเกิดจากการดืม่จากการกระทา พฤตกิ รรมในทางที่ ด-ี ไมํดี เคร่อื งดม่ื แอลกอฮอล์ในทางที่ ด-ี ไมํดีทศั นคตติ อํ การ ความเชอื่ และการตีคําในผลทคี่ าดวาํ จะเกดิ จาก ความเชื่อและการตคี ําในผลทค่ี าดวําจะแสดงพฤติกรรม การแสดงพฤตกิ รรมในทางให๎ประโยชน์หรือ เกดิ จากการดม่ื เครอื่ งดม่ื แอลกอฮอล์ โทษ ชอบหรือไมํชอบ ในทางใหป๎ ระโยชนห์ รอื โทษ ชอบ หรอื ไมํชอบ (Flay, 1999; Flay & Petraitis, 1994)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook