ฑ ท่ีเกี่ยวข้องและมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydracannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ ๐.๓ โดยนาํ้ หนกั ๒) ให้พิจารณาระบุตามกฎหมายประกอบการใช้ประโยชน์ของสารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol CBD) รวมทั้งสารสกัดอ่ืน ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้อง เป็นต้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเคร่ืองดื่ม หรือเครื่องสําอาง ตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครอื่ งดื่ม หรอื เครื่องสาํ อาง (๔) เสนอให้กรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการนํากัญชงพันธุ์ พื้นเมืองหรือพันธ์ุพ้ืนบ้านดั้งเดิมมาข้ึนทะเบียนพันธ์ุพืชตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม และส่งเสริมให้มีการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ที่ให้ผลผลิตเส้นใย เปลือก แกนลําต้น เมล็ดพันธุ์ ช่อดอกท่ีมีสาร CBD สูง มีสาร THC ต่ํา และให้ผลผลิตเมล็ดที่มีคุณค่าสูงทางโภชนาการ และส่งเสริมให้มีการจดทะเบียนคุ้มครองพันธ์ุพืชใหม่ ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพันธ์ุพืช พ.ศ. ๒๕๔๒ ท้ังน้ี สายพันธุ์พ้ืนเมืองหรือสายพันธ์ุพื้นบ้านดั้งเดิม ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตอัต ลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธ์ุม้งในประเทศไทย ขอให้เร่งดําเนินการข้ึนทะเบียนและจดทะเบียนให้เป็น ส่ิงบ่งชี้ทางภมู ศิ าสตร์ (GI) รวมทงั้ ให้ไดร้ ับการคุ้มครองทางกฎหมายด้านต่าง ๆ โดยเรว็ (๕) เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลดข้ันตอนการขออนุญาตผลติ จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง กัญชง (Hemp) รวมท้ังปรับปรุงแกไ้ ข ประกาศ กฎกระทรวงฯ ประกาศคณะกรรมการฯ และคาํ ส่ังอน่ื ๆ ทางกฎหมายที่เก่ียวขอ้ ง (๖) เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง สร้างทัศนคติที่ดีต่อพืชกัญชง (Hemp) อย่างกว้างขวางในการเป็น พืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบ แนวปฏิบัติ อย่างครอบคลุม และทัว่ ถงึ ทกุ กล่มุ เป้าหมาย (๗) เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อม ระบุพืชกัญชง (Hemp) เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของไทย ให้มีการส่งเสริมและสนับสนุน ภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ในด้านองค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต และการแปรรูป กญั ชง (Hemp) การรบั รองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ การผลกั ดันการจัดตั้งสมาคม วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ องค์กรอื่น ๆ ตลอดจนสนับสนุนด้านนวัตกรรม และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ รวมทั้ง รบั การสง่ เสรมิ และสนบั สนุนจาก BOI ในระดับสูงสุด ๘.๔ ข้อสังเกตของคณะกรรมาธกิ ารวิสามญั เกยี่ วกับกระทอ่ ม (๑) ควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายยาเสพติดโดยยกเลิกพืชกระท่อมออกจากการเป็น ยาเสพติด เพ่ือให้สามารถศึกษาวิจัยพืชกระท่อมเพื่อใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์และพัฒนาเป็น พืชเศรษฐกิจของประเทศ และลดปัญหาคดีอาญาเก่ียวกับพืชกระท่อมในกระบวนการยุติธรรมเพ่ือให้ การพิจารณาคดีอื่นรวดเร็วข้ึน รวมทั้งเพ่ือให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศซ่ึงมิได้ กําหนดให้พชื กระท่อมเปน็ ยาเสพตดิ
ฒ (๒) ควรแก้ไขเพ่ิมเติมกฎกระทรวงฉบับที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกตามความ ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เร่ืองใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออกหรือครอบครอง พืชกระท่อมและการต่อใบอนุญาตให้มีหลักเกณฑ์ท่ีแน่นอนและชัดเจน ไม่ควรให้อยู่ในดุลพินิจ ของกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง และควรอนุญาตตามระยะเวลาที่สมควร ท้ังโดยคํานึงถึงความต่อเนื่อง ในการศกึ ษาวจิ ัยพืชกระท่อม (๓) ควรบัญญัติในร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. .... ให้ยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติหรือ การออกกฎ ระเบียบหรือประกาศกําหนดใหพ้ ืชกระท่อมเปน็ ยาเสพติดในภายหลงั (๔) กฎหมายยาเสพติดของประเทศไทยอาจจะมีการตีความเกินขอบข่าย ของอนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติด เนื่องจากอนุสัญญาดังกล่าวไม่ได้ระบุว่ากระท่อม เปน็ ยาเสพตดิ (๕) สํานักงานตํารวจแห่งชาติควรกําหนดนโยบายผ่อนผันการจับกุมประชาชน ผู้บริโภคหรือครอบครองพืชกระท่อมในปริมาณสมควรท่ีใช้ในครัวเรือน ซ่ึงสามารถทําได้สะดวกกว่า การออกประกาศกําหนดท้องที่ที่ตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๘/๒ ซ่งึ มขี ้ันตอนยุง่ ยากและตอ้ งใชร้ ะยะเวลาในการดําเนนิ การ
ด บทสรปุ ผบู้ รหิ าร ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณาญัตติด่วน เรื่อง “ขอให้สภาผู้แทนราษฎรต้ัง คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้และตรวจสอบผลกระทบของการใช้กัญชา ในรูปแบบต่าง ๆ ในประเทศไทย” ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีที่ ๑ คร้ังที่ ๑๕ (สมัยสามัญประจําปีครั้งที่สอง) วันพุธท่ี ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ และคร้ังท่ี ๑๖ (สมัยสามัญประจําปี ครั้งท่ีสอง) วันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ และได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญมีการประชุมและพิจารณากําหนดกรอบการศึกษา รวมทั้งคณะกรรมาธิการ วิสามัญได้กําหนดกรอบการศึกษา โดยแบ่งเป็นประเภทของพืช ได้แก่ กัญชา กัญชง และกระท่อม และแยกตามการใช้ประโยชน์ประกอบด้วย ๑) การแพทย์ และ ๒) เศรษฐกิจ เพ่ือการนําไปใช้ ประโยชน์ในทางการแพทย์ และการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ตลอดจนคณะกรรมาธิการวิสามญั ได้ตง้ั คณะอนุกรรมาธิการข้ึน ๓ คณะ ประกอบด้วย ๑) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาการใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ ๒) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาการใช้กัญชงอย่างเป็นระบบ และ ๓) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาการใช้กระท่อมอย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ เพ่ือให้ผลการพิจารณา ของคณะกรรมาธิการวิสามัญและคณะอนุกรรมาธิการได้มีการรวบรวมและนําไปสังเคราะห์อย่างเป็น ระบบ และนํามาจัดทํารายงานผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญอย่างเป็นรูปธรรม คณะกรรมาธิการวิสามัญจึงได้ตั้งคณะทํางานจัดทํารายงานด้านกฎหมาย ในคณะกรรมาธิการวิสามัญ ขึ้น โดยเม่ือคณะอนุกรรมาธิการแต่ละคณะพิจารณาแล้วเสร็จ คณะทํางานจัดทํารายงานฯ จึงจัดทํา รายงานของคณะกรรมาธิการวสิ ามัญ สรุปได้ดังนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบจากการนํา กัญชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์อย่างเป็นระบบ และเพื่อเสนอแนะแนวทางต่อการกําหนด นโยบายและการดําเนินงานของรัฐบาลเกี่ยวกับกัญชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์ได้อย่าง เหมาะสม ซึ่งมีเน้ือหาที่ศึกษาเกี่ยวกับกัญชา กัญชง และกระท่อมในมิติการนําไปใช้ประโยชน์ในทาง การแพทย์ รวมทั้งมิติการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญได้เชิญหน่วยงาน องค์กร บุคคล มาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงต่าง ๆ เมื่อมีการศึกษาแล้วปัญหาต่าง ๆ ประกอบด้วย ๑) ปัญหา ผลกระทบต่อประชาชน อาทิ ข้อกังวลเก่ียวกับอันตรายต่อร่างกายจากการใช้ และการก่อให้เกิดการ เสพติด ๒) ปัญหาในทางปฏิบัติ อาทิ ปัญหาการจัดหาแหล่งเมล็ดพันธ์ุท่ีจํากัดโดยเฉพาะเมล็ดพันธ์ุ ของประเทศไทยค่อนข้างมีน้อย และกัญชาสามารถสร้างโครโมโซมเองได้จึงเป็นสาเหตุให้เกิดยีนด้อย และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาพันธ์ุ รวมท้ังการยื่นขออนุญาตเก่ียวกับกัญชา กัญชง และกระท่อม ตอ่ หน่วยงานทเี่ กีย่ วขอ้ งมขี ้ันตอนจาํ นวนมากและลา่ ช้า และ ๓) ปัญหาในทางกฎหมาย อาทิ กฎหมาย ว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทยมีการควบคุมต้ังแต่ การปลูก การผลิต การนําเข้า การส่งออก การครอบครอง กัญชา กัญชง และกระท่อม ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายนํ้า เพราะกฎหมาย อนุญาตอย่างแคบเพียงให้ใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยเท่านั้น และต้องได้รับ อนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาโดยความเห็นชอบจากคณะกรรมการควบคุม
ต ยาเสพติด รวมท้ังกฎหมายภายในประเทศไทยอาจจะมีการตีความเกินขอบข่ายของอนุสัญญา ของสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติด เน่ืองจากอนุสัญญาไม่ได้ระบุว่ากระท่อมเป็นยาเสพติด ตลอดจน กฎกระทรวงสาธารณสุขที่อนุญาตให้นํากัญชงไปใช้ประโยชน์ได้บางกรณี เช่น การนําไปผลิตเป็น เครื่องอุปโภค และบริโภค เป็นต้น ซึ่งเป็นการอนุญาตให้นําไปใช้ในบริบทอย่างแคบ จึงไม่สามารถ นําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากกัญชงสามารถนําไปใช้ประโยชน์อื่น ๆ ได้มาก เช่น ใบและช่อดอกผลิตเป็นยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องสําอาง ส่วนเปลือก ลําต้น เส้นใยใช้ผลิตส่ิงทอ และเสื้อเกราะกันกระสุน และแกนลําต้นผลิตพลังงานชีวมวล วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ส่วนเมล็ด และนํ้ามันจากเมล็ดใช้เป็นอาหาร เครื่องสําอาง ตลอดจนเนื้อลําต้นผลิตเป็นกระดาษและฉนวน กันความร้อน นอกจากน้ี ข้อจํากัดทางกฎหมายอ่ืน เช่น การเคล่ือนย้ายกัญชาเพื่อไปใช้ประโยชน์ จากจุดหน่ึงไปยังจุดหนึ่งมีข้ันตอนและการขออนุญาตท่ียุ่งยาก และการจดทะเบียนการคุ้มครอง พันธ์ุพืชและคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องกับกัญชา กัญชง และกระท่อม มขี อ้ จาํ กดั เปน็ ต้น ดังนั้น แนวทางการแก้ไขปัญหาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ คือ การยกเลิกกัญชา กัญชง และกระท่อมออกจากกฎหมายยาเสพติดให้โทษ แต่เพ่ือให้สอดคล้องกับอนุสญั ญาเด่ียวว่าด้วยยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ค.ศ. 1961 และพิธสี ารแกไ้ ขฯ ค.ศ. 1972 (Single Convention on Narcotic Drugs, 1961, as Amended by The 1972 Protocol Amending The Single Convention on Narcotic Drugs, 1961) อนสุ ัญญาว่าดว้ ยวตั ถทุ อี่ อกฤทธิ์ตอ่ จิตและประสาท ค.ศ. 1971 (Convention on Psychotropic Substances, 1971) และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด และวัตถุที่ออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988 (United Nations Convention against Illicit Trafficking in Narcotic Drugs and Psychotropic Substances, 1 9 8 8 ) ท่ี ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย เ ป็น ภาคีของอนุสัญญาดังกล่าว ยังคงมีการควบคุมการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอยู่ในระดับหนึ่ง แต่การควบคุมน้ันจะไม่ได้ควบคุมในระดับพระราชบัญญัติอาจจะควบคุมในกฎหมายลําดับรอง เช่น ประกาศหรอื ระเบียบของกระทรวงสาธารณสุขแทน เปน็ ต้น คณะกรรมาธิการวสิ ามญั จึงมขี ้อเสนอแนะ และขอ้ สังเกต ดงั น้ี ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั ๑. การยกร่างกฎหมายที่เก่ียวข้องกับกัญชา กัญชง จะต้องระบุไว้ในกฎหมายว่า ต้องชะลอ การขอจดทะเบียนคุ้มครองพันธุ์ภายในประเทศออกไปก่อน เพ่ือเป็นประโยชน์ในการศึกษาและวิจัย ทเ่ี กย่ี วข้อง ๒. จัดต้ังสถาบันพืชควบคุมเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์แห่งชาติเข้ามาบริหารจัดการ และกระจายอํานาจการตัดสนิ ใจและควบคมุ ในท้องถ่ินแทนการรวมศนู ยจ์ ากสว่ นกลาง ๓. ให้ยกเลิกมาตรา ๒๑ ของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ เพ่อื ลดการผกู ขาดโดยรัฐ รวมท้งั ควรมกี ารทบทวนบทเฉพาะกาลของพระราชบญั ญตั ิยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ท่ีกําหนดให้ผลิตสาร CBD เฉพาะภายในประเทศเท่าน้ัน เพ่ือเพ่ิมโอกาส ในการสง่ ออกและอตุ สาหกรรม
ถ ๔. ควรเปิดโอกาสให้มีการนิรโทษกรรมสําหรับผู้ครอบครองกัญชาเพื่อใช้รักษาโรครอบใหม่ เพื่อการตรวจสอบคัดกรอง วิจัย และเก็บข้อมูล เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและเปิดโอกาสพัฒนาความรู้ ในการรกั ษาตนเอง ๕. เสนอให้มีการเปิดกว้างในการศึกษาวิจัยสายพันธุ์พืชเสพติดเพ่ือการแพทย์และอ่ืน ๆ เพ่อื การพัฒนาสายพนั ธแุ์ ละองคค์ วามรู้ทเ่ี กีย่ วเนอื่ ง ขอ้ สังเกตในภาพรวมของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั ๑. ให้ยกเลิกพืชเสพติด ได้แก่ กัญชา กัญชงและกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติด ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายอืน่ ๆ ท่เี กย่ี วขอ้ ง ๒. ถ้าจะมีการส่งออกกัญชา กัญชง และกระท่อมภายหลังท่ีกฎหมายในประเทศอนุญาต หรืออนุสัญญาของสหประชาชาติว่าด้วยยาเสพติด ได้เปิดช่องให้ทําได้ทั้งในทางการแพทย์ และเศรษฐกิจจะต้องมีการประมาณการ ปริมาณการผลิต ความต้องการของตลาด ผลตอบแทน และมี ระบบติดตามตรวจสอบทดี่ ี ๓. การอนุวัติการ (Implementation) กฎหมายภายในประเทศ เพ่ือส่งเสริมให้มี การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของนักปรับปรุงพันธ์ุพืชและบริษัทเมล็ดพันธุ์ท่ีผลักดัน หน่วยงาน ที่เกยี่ วขอ้ งจาํ เป็นจะตอ้ งพจิ ารณาศกึ ษาอยา่ งรอบคอบ โดยคาํ นึงถึงประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ๔. อนุสัญญาของสหประชาชาตวิ ่าด้วยยาเสพติดได้กาํ หนดให้การควบคุมกัญชาให้เทียบเคยี ง กับการควบคุมฝิ่น ตามข้อบทที่ ๒๘ ข้อ ๒ ซ่ึงไม่รวมถึงอุตสาหกรรมเส้นใยและเมล็ด แต่กฎหมาย ว่าด้วยยาเสพติดภายในประเทศระบุว่า กัญชงเป็นยาเสพติด ซ่ึงเป็นวัตถุดิบสําคัญในอุตสาหกรรม ของเสน้ ใยและเมลด็ จงึ ถูกตีความวา่ เป็นยาเสพตดิ ไปดว้ ย ข้อสงั เกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญเกย่ี วกับกัญชา ๑. คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ควรตั้งคณะอนุกรรมการในระดับจังหวัด ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ ทําหน้าที่ให้ความเห็นชอบในการ อนุญาตแทนคณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกําหนด และเลขาธิการคณะกรรมการ อาหารและยาควรมอบอํานาจในการอนุญาตให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด ในเรื่องการเพาะปลูกกัญชา และการครอบครองให้เป็นไปตามเงื่อนไขของคณะกรรมการอาหารและยา เฉพาะในพื้นท่ีจังหวัด ท่ีรบั ผดิ ชอบ ๒. กระทรวงสาธารณสุขควรจัดการฝึกอบรมและสอบวัดความรู้ผ่านระบบออนไลน์ให้กับ ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์ แผนไทยประยุกต์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และหมอพ้ืนบ้านให้สามารถส่ังจ่ายยากัญชาได้ โดยให้ได้รับ การขึ้นทะเบียนจากสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาหลงั สาํ เร็จการฝึกอบรม ๓. รัฐบาลควรดําเนินการให้มีกฎหมายข้ึนมาใหม่เป็นการเฉพาะ คือ กฎหมายว่าด้วย พชื ควบคุมเพ่อื ประโยชนท์ างการแพทย์ โดยศึกษาแนวทางตามรายงานในภาคผนวกของกรรมาธกิ าร
ท ข้อสงั เกตของคณะกรรมาธกิ ารวิสามัญเกี่ยวกับกญั ชง ๑. เสนอให้เพิกถอนกัญชง (Hemp) ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ที่ระบุไว้ใน พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายอนื่ ๆ ท่เี กยี่ วขอ้ ง สกู่ ารเป็นพชื เศรษฐกจิ ใหม่ของไทย ๒. เสนอให้แก้ไข (ร่าง) กฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้าส่งออก จําหนา่ ยหรือมไี วใ้ นครอบครอง ซึ่งยาเสพตดิ ให้โทษประเภท ๕ เฉพาะกญั ชง (Hemp) พ.ศ. .... ดงั น้ี (๑) ให้เพิ่มเติม คํานิยามพืชกัญชง (Hemp) ในพฤกษศาสตร์ (Botany) ด้วยวิธีจําแนก ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Classification) ว่า Cannabis sativa L., และในกฎหมาย (Law) ด้วยวิธีกําหนดค่าทางชีวเคมี (Biochemistry) ของสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ในช่อดอกแห้ง ไม่เกนิ ร้อยละ ๑.๐๐ โดยนา้ํ หนกั แห้ง เพ่อื จําแนกกญั ชงออกจากกญั ชาอย่างชดั เจน (๒) ให้แก้ไข คํานิยามในบทท่ัวไป คําว่า “ประโยชน์ครัวเรือน” หมายความว่า การใช้ ประโยชน์จากเส้นใย แก้ไขเป็น การใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของพืช ตามประเพณี วัฒนธรรม ตามวิถีชีวิต และใช้ในครอบครัว และ “กําหนดจํานวนพ้ืนที่ให้สามารถปลูกได้ ครัวเรือนละไม่เกิน ๑ ไร่” แก้ไขเป็น ครัวเรือนละไม่เกิน ๒๐ ไร่ แต่การอนุญาตให้ผู้ปลูกเอาช่อดอก ดอก ให้เป็นไปตาม ใบอนญุ าตปลกู เทา่ นั้น ๓. เสนอให้แก้ไข ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ในการกาํ หนดปรมิ าณสารสําคัญในพืชกัญชง (Hemp) ดงั นี้ (๑) จากสารสกัดหรือผลิตภัณฑ์จากสารสกัด ท่ีมีสารแคนนาบิไดออล (cannabidiol, CBD) เป็นส่วนประกอบหลัก และมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ไมเ่ กินร้อยละ ๐.๒ โดยน้ําหนัก แกไ้ ขเปน็ สารสกดั หรือผลิตภัณฑ์จากสารสกดั ที่มีสารแคนนาบไิ ดออล (Cannabidiol, CBD) รวมท้ังสารสกัดอื่น ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้องและมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydracannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ ๐.๓ โดยนา้ํ หนกั (๒) ให้พิจารณาระบุตามกฎหมายประกอบการใช้ประโยชน์ของสารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol CBD) รวมทั้งสารสกัดอ่ืน ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องดื่ม หรือเคร่ืองสําอาง ตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครอื่ งด่ืม หรือเคร่ืองสาํ อาง ๔. เสนอให้กรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง ดําเนินการนํากัญชงพันธุ์พ้ืนเมือง หรือพันธ์ุพื้นบ้านด้ังเดิมมาขึ้นทะเบียนพันธุ์พืชตามพระราชบัญญัติพันธ์ุพืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และท่ีแก้ไข เพิ่มเติม และส่งเสริมให้มีการพัฒนาสายพันธ์ุใหม่ที่ให้ผลผลิตเส้นใย เปลือก แกนลําต้น เมล็ดพันธุ์ ช่อดอกที่มีสาร CBD สูง มีสาร THC ต่ํา และให้ผลผลิตเมล็ดที่มีคุณค่าสูงทางโภชนาการ และส่งเสริม ใหม้ ีการจดทะเบียนค้มุ ครองพนั ธุพ์ ืชใหม่ ตามพระราชบัญญัตคิ ุ้มครองพนั ธุ์พชื พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งน้ี สายพันธุ์พ้ืนเมืองหรือสายพันธุ์พ้ืนบ้านด้ังเดิม ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตอัตลักษณ์ ของกลุ่มชาตพิ ันธ์มุ ้งในประเทศไทย ขอใหเ้ รง่ ดาํ เนนิ การขึน้ ทะเบียนและจดทะเบียนให้เปน็ สงิ่ บง่ ช้ีทาง ภมู ศิ าสตร์ (GI) รวมทง้ั ให้ไดร้ บั การค้มุ ครองทางกฎหมายดา้ นต่าง ๆ โดยเรว็
ธ ๕. เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และหน่วยงานที่เก่ียวข้อง ลดขั้นตอน การขออนุญาตผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง กัญชง (Hemp) รวมท้ังปรับปรุงแก้ไขประกาศ กฎกระทรวงฯ ประกาศคณะกรรมการฯ และคาํ ส่ังอ่นื ๆ ทางกฎหมายทีเ่ กีย่ วข้อง ๖. เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และหน่วยงานที่เก่ียวข้อง สร้างทัศนคติท่ีดีต่อพืชกัญชง (Hemp) อย่างกว้างขวางในการเป็น พืชเศรษฐกิจมูลค่าสูง ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบ แนวปฏิบัติ อย่างครอบคลุม และทัว่ ถึงทุกกลุ่มเปา้ หมาย ๗. เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ระบุพืชกัญชง (Hemp) เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของไทย ให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ในด้านองค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต และการแปรรูปกัญชง (Hemp) การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ การผลักดันการจัดตั้งสมาคม วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ องค์กรอื่น ๆ ตลอดจนสนับสนุนด้านนวัตกรรม และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ รวมทั้งรับการส่งเสริม และสนบั สนนุ จาก BOI ในระดับสูงสุด ขอ้ สงั เกตของคณะกรรมาธิการวสิ ามญั เกยี่ วกบั กระทอ่ ม ๑. ควรแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายยาเสพติดโดยยกเลิกพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติด เพ่ือให้สามารถศึกษาวิจัยพืชกระท่อมเพ่ือใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์และพัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจ ของประเทศ และลดปัญหาคดีอาญาเกี่ยวกับพืชกระท่อมในกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้การพิจารณา คดีอ่ืนรวดเร็วขึ้น รวมท้ังเพื่อให้สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งมิได้กําหนดให้ พืชกระทอ่ มเปน็ ยาเสพติด ๒. ควรแก้ไขเพมิ่ เติมกฎกระทรวงฉบับท่ี ๔ พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกตามความในพระราชบัญญตั ยิ า เสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เร่ืองใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออกหรือครอบครองพืชกระท่อมและการ ต่อใบอนญุ าตใหม้ หี ลกั เกณฑท์ ่แี นน่ อนและชัดเจน ไมค่ วรให้อยู่ในดุลพินิจของกลมุ่ บคุ คลใดบุคคลหนึ่ง และควรอนญุ าตตามระยะเวลาทสี่ มควร ท้ังโดยคํานึงถึงความตอ่ เน่ืองในการศกึ ษาวิจัยพชื กระท่อม ๓. ควรบัญญัติในร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. .... ให้ยกเลิก พืชกระทอ่ มจากการเปน็ ยาเสพติดอย่างชัดเจน เพ่อื ป้องกันมิใหเ้ กิดปญั หาในทางปฏิบัติหรอื การออกกฎ ระเบยี บหรือประกาศกําหนดให้พืชกระทอ่ มเปน็ ยาเสพตดิ ในภายหลัง ๔. กฎหมายยาเสพติดของประเทศไทยอาจจะมีการตีความเกินขอบข่ายของอนุสัญญาของ สหประชาชาติวา่ ด้วยยาเสพติด เนื่องจากอนุสัญญาดังกล่าวไมไ่ ด้ระบุว่ากระท่อมเปน็ ยาเสพตดิ ๕. สํานักงานตํารวจแห่งชาติควรกําหนดนโยบายผ่อนผันการจับกุมประชาชนผู้บริโภค หรือครอบครองพืชกระท่อมในปริมาณสมควรท่ีใช้ในครัวเรือน ซ่ึงสามารถทําได้สะดวกกว่า การออกประกาศกําหนดท้องท่ีที่ตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๘/๒ ซึง่ มีขน้ั ตอนยุ่งยากและตอ้ งใช้ระยะเวลาในการดําเนินการ
บ สารบญั หน้า รายนามคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญพิจารณาศกึ ษาหาแนวทางการแกไ้ ขปญั หา ก เกยี่ วกับการใชก้ ญั ชา กัญชง และกระทอ่ มอยา่ งเปน็ ระบบ สภาผ้แู ทนราษฎร (ชุดท่ี ๒๕).................................................................................... จ ด รายงานของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั พจิ ารณาศกึ ษาหาแนวทางการแกไ้ ขปัญหา บ เก่ียวกบั การใช้กญั ชา กญั ชง และกระทอ่ มอยา่ งเปน็ ระบบ สภาผูแ้ ทนราษฎร............ ๑ ๑ บทสรปุ ผบู้ ริหาร ........................................................................................................ ๒ ๒ สารบญั ..................................................................................................................... ๒ ๒ บทที่ ๑ บทนาํ ........................................................................................................... ๓ ๑.๑ ความเปน็ มาและความสาํ คญั ของปญั หา ..................................................... ๓ ๑.๒ วตั ถุประสงค์ของการศึกษา ......................................................................... ๑๒ ๑.๓ ขอบเขตของการศกึ ษา................................................................................ ๑๗ ๑.๔ วธิ กี ารศึกษา................................................................................................ ๒๓ ๑.๕ ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะไดร้ ับ.......................................................................... ๒๕ ๔๓ บทที่ ๒ การรวบรวมและการทบทวนข้อมลู พน้ื ฐานทเ่ี กยี่ วข้อง.................................. ๔๓ ๒.๑ ขอ้ มลู จากหนว่ ยงานหรอื บคุ คลต่าง ๆ นาํ เสนอตอ่ คณะกรรมาธิการ .......... ๔๓ ๒.๒ สรปุ ผลการดาํ เนินงานของคณะอนุกรรมาธกิ าร.......................................... ๔๔ ๒.๓ ข้อมูลดา้ นกฎหมาย..................................................................................... บทท่ี ๓ ปญั หาในการนาํ กญั ชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์ .......................... บทที่ ๔ ผลการพิจารณา ........................................................................................... บทที่ ๕ บทสรปุ ข้อเสนอแนะ และข้อสงั เกตของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั ................ ๕.๑ บทสรปุ ........................................................................................................ ๕.๒ ข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญ.................................................. ๕.๓ ขอ้ สังเกตของคณะกรรมาธิการวสิ ามญั .......................................................
ป สารบัญ (ตอ่ ) หน้า ๔๙ ภาคผนวก ................................................................................................................. ผนวก ก รายงานของคณะอนุกรรมาธกิ ารพจิ ารณาศกึ ษาหาแนวทาง การแกไ้ ขปัญหาเกีย่ วกับการใช้กญั ชาอยา่ งเป็นระบบ ในคณะกรรมาธิการวสิ ามัญพจิ ารณาศกึ ษาหาแนวทางการแก้ไข ปัญหาเกย่ี วกบั การใชก้ ัญชา กัญชง และกระท่อมอยา่ งเป็นระบบ สภาผู้แทนราษฎร ผนวก ข รายงานของคณะอนกุ รรมาธกิ ารพจิ ารณาศึกษาหาแนวทาง การแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กญั ชงอย่างเปน็ ระบบ ในคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแกไ้ ข ปัญหาเกย่ี วกบั การใชก้ ญั ชา กัญชง และกระทอ่ มอย่างเป็นระบบ สภาผ้แู ทนราษฎร ผนวก ค รายงานของคณะอนกุ รรมาธิการพจิ ารณาศึกษาหาแนวทาง การแกไ้ ขปญั หาเกี่ยวกบั การใชก้ ระท่อมอยา่ งเป็นระบบ ในคณะกรรมาธิการวสิ ามญั พิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไข ปญั หาเกย่ี วกับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ สภาผ้แู ทนราษฎร ผนวก ง ญัตติที่เกย่ี วขอ้ ง ผนวก จ การขอขยายระยะเวลาการพิจารณาของคณะกรรมาธกิ ารวสิ ามัญฯ ผนวก ฉ ความเห็นสว่ นบุคคลของกรรมาธิการ
บทที่ ๑ บทนาํ ๑.๑ ความเป็นมาและความสาํ คัญของปญั หา ตามท่ีสภาผู้แทนราษฎรได้มีการพิจารณาญัตติด่วน เรื่อง “ขอให้สภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาความเป็นไปได้และตรวจสอบผลกระทบของการใช้กัญชา ในรูปแบบต่าง ๆ ในประเทศไทย” ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี ๒๕ ปีที่ ๑ ครั้งที่ ๑๕ (สมัยสามัญประจําปีครั้งท่ีสอง) วันพุธที่ ๒๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ และคร้ังที่ ๑๖ (สมัยสามัญประจําปี คร้ังที่สอง) วันพฤหัสบดีท่ี ๒๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ และได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๔๙ และ ข้อ ๕๐ ซ่ึงองค์คณะดังกล่าว ได้ทําการพิจารณาศึกษาตามที่สภาผู้แทนราษฎรมอบหมายมา โดยมีการประชุมเชิญหน่วยงาน องค์กร และบุคคลที่เก่ียวข้องมาให้ข้อมูลข้อเท็จจริง รวมท้ังพิจารณาศึกษาจากเอกสารท่ีเก่ียวข้อง เพื่อวิเคราะห์สภาพปัญหาและอุปสรรคในการนํากัญชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์ และเพ่ือ การแกป้ ัญหาอยา่ งเปน็ ระบบและย่งั ยืน ดงั น้นั การพิจารณาศกึ ษานี้เป็นการทบทวน วิเคราะห์ สงั เคราะหห์ าแนวทางการแกไ้ ขปัญหา การนํากัญชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์ในมิติการนําไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมทั้งการใช้ประโยชน์ที่คํานึงถึงมิติทางสังคมและวัฒนธรรมพ้ืนถิ่น ของประเทศไทยอย่างเหมาะสม อีกทั้งเป็นการศึกษาของฝ่ายนิติบัญญัติท่ีคู่ขนานไปกับแนวนโยบาย ของรัฐบาลท่ีจะนําพืชเสพติดไปใช้ทางการแพทย์เข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิต เพื่อการสร้างศักยภาพ ในการแขง่ ขนั ของประเทศ ตลอดจนลดการพึ่งพายาและเวชภัณฑ์ หรอื ผลติ ภัณฑท์ สี่ บื เนอ่ื งจากกัญชา กัญชง และกระทอ่ ม จากต่างประเทศเพอื่ ประโยชนท์ างเศรษฐกิจและสังคม นอกจากนี้ การพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญนี้ เป็นการสร้างความตระหนักรู้ และเพื่อให้เกิดความรอบคอบ รัดกุมเชิงนโยบายมากย่ิงข้ึน หากรัฐบาลจะกําหนดทิศทางในการนําพืช เสพติดดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ รวมท้ังเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจ และส่งเสริมบทบาท การดําเนินงานของฝ่ายนิติบัญญัติ เนื่องด้วยคณะกรรมาธิการวิสามัญนี้ มีองค์คณะที่มีที่มาอย่าง หลากหลาย ประกอบด้วย สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้แทนหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง นักวิชาการ และบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ซ่ึงมีความสนใจ ทําการศึกษา วิจัย เกี่ยวกับการนํากัญชา กัญชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์ภายใต้กรอบของกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องทั้งกฎหมายภายในประเทศ และระหวา่ งประเทศ อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาเป็นที่รับรู้ท่ัวไปว่า กัญชา กัญชง และกระท่อมเป็นยาเสพติด ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทย แต่ในอีกมิติหนึ่ง กัญชา กัญชง และกระท่อมเข้ามา มีบทบาทในชีวิตประจําวัน และท่ีมาของกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทยเป็นการตรา กฎหมายให้สอดคล้องกับพันธกรณีที่ประเทศไทยเป็นภาคีภายใต้อนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และพิธีสารแก้ไขฯ ค.ศ. 1972 (Single Convention on Narcotic Drugs, 1961, as Amended by The 1972 Protocol Amending The Single Convention on Narcotic Drugs, 1961)
-๒- อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุท่ีออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 (Convention on Psychotropic Substances, 1971) อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุ ที่ออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988 (United Nations Convention against Illicit Trafficking in Narcotic Drugs and Psychotropic Substances, 1988) สําหรับการเก่ียวข้องกับยาเสพติด ในทุกรูปแบบ (criminalization) ซึ่งเป็นอิทธิพลภายนอกท่ีมีผลต่อการตรากฎหมายและการกําหนด นโยบายดา้ นควบคุมยาเสพตดิ ของประเทศไทย ๑.๒ วัตถปุ ระสงคข์ องการศึกษา ๑. เพอื่ ศึกษา วเิ คราะห์ผลกระทบจากการนํากัญชา กญั ชง และกระท่อมไปใช้ประโยชน์อย่าง เปน็ ระบบ ๒. เพื่อเสนอแนะแนวทางต่อการกําหนดนโยบายและการดําเนินงานของรัฐบาลเก่ียวกับ กญั ชา กัญชง และกระทอ่ มไปใช้ประโยชน์ได้อยา่ งเหมาะสม ๑.๓ ขอบเขตของการศึกษา ๑. ขอบเขตด้านเน้ือหา การศึกษาน้ีมีเน้ือหาท่ีศึกษาเก่ียวกับกัญชา กัญชง และกระท่อม ในมติ กิ ารนาํ ไปใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ การศึกษาวจิ ัย รวมทั้งในมิติการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ ตลอดจนในกรณขี องกัญชงมีการศึกษาในมติ ิของวฒั นธรรมและชนเผา่ ๒. ขอบเขตด้านเวลา การศึกษาน้ีมีระยะเวลาในการศึกษาต้ังแต่วันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ - ๒๒ กันยายน ๒๕๖๓ ๑.๔ วิธีการศึกษา การศึกษาของคณะกรรมาธิการใช้วิธีการศึกษาจากเอกสาร และการรับฟังข้อมูลข้อเท็จจริง จากหน่วยงาน องค์กร และบุคคลของภาครัฐและเอกชน โดยการรวบรวมข้อมูลทั้งสองด้านนํามา วิเคราะห์ เปรียบเทยี บ ซึ่งยึดโยงกบั บรบิ ทภายในประเทศและกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศทเ่ี กีย่ วขอ้ ง ๑.๕ ประโยชน์ท่คี าดว่าจะไดร้ บั ๑. เป็นข้อมูลข้อเท็จจริงเก่ียวกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการนํากัญชา กัญชง และกระท่อม ไปใชป้ ระโยชน์ในมติ ทิ างการแพทย์ และการสร้างมลู ค่าทางเศรษฐกจิ ๒. เปน็ เอกสารเสนอแนะด้านนโยบายและการดําเนินการเก่ียวกับกัญชา กญั ชง และกระท่อม
บทที่ ๒ การรวบรวมและการทบทวนขอ้ มูลพน้ื ฐานทเี่ ก่ยี วข้อง ๒.๑ ข้อมลู จากหนว่ ยงาน องคก์ ร และบุคคลตา่ ง ๆ นําเสนอต่อคณะกรรมาธิการ คณะกรรมาธิการวิสามญั ไดเ้ ชญิ หน่วยงาน องค์กร บุคคล มาใหข้ ้อมลู ข้อเทจ็ จรงิ ซึ่งสามารถ รวบรวมและสรปุ ไดด้ ังน้ี ๑. สาํ นักงานคณะกรรมการอาหารและยา ตามพระราชบญั ญัติยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ จาํ แนกตามประเภทยาเสพตดิ ได้ดงั น้ี (๑) ยาเสพติดประเภท ๑ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง จะกระทําได้เฉพาะท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอนุญาต ไม่สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ แต่สามารถใช้ทางวิทยาศาสตร์ได้ ไมอ่ นญุ าตใหเ้ สพ แต่สามารถใชใ้ นการศึกษาวิจยั ได้ (๒) ยาเสพติดประเภท ๒ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครองจะ กระทําได้เฉพาะท่ีเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาต สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ อนุญาตให้เสพได้ตามคําสั่งแพทย์ภายใต้หลักเกณฑ์ท่ีกฎหมายกําหนด ตลอดจน สามารถใช้ในการศกึ ษาวิจยั ได้ (๓) ยาเสพติดประเภท ๓ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง จะกระทําได้เฉพาะที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาต สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ อนุญาตให้เสพได้ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกําหนด ตลอดจนสามารถใช้ ในการศึกษาวจิ ยั ได้ (๔) ยาเสพติดประเภท ๔ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง จะกระทําได้เฉพาะท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพตดิ ใหโ้ ทษเป็นราย ๆ ไป ท้ังน้ี สามารถนําไปใชใ้ นทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ อตุ สาหกรรม และใช้ในการศกึ ษาวิจัยได้ (๕) ยาเสพติดประเภท ๕ การผลิต นําเข้า และส่งออกจะกระทําได้เฉพาะท่ีเลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยาอนุญาตภายใต้ความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ส่วนการจําหน่ายหรือมีไว้ครอบครองจะกระทําได้เฉพาะท่ีเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา อนญุ าต สามารถนาํ ไปใช้ในทางการแพทย์ วทิ ยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม อนุญาตให้เสพได้ตามคําส่ัง แพทย์ภายใต้หลักเกณฑ์ทก่ี ฎหมายกําหนด ตลอดจนสามารถใชใ้ นการศึกษาวจิ ัยได้ โดยกัญชา กัญชง และกระท่อมจัดเป็นยาเสพติดประเภท ๕ ตามคํานิยามในพระราชบญั ญตั ิ ยาเสพติดใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึง่ กรณี “กญั ชา” เปน็ ยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบญั ญตั ิ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ น้ัน พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้กําหนดเกี่ยวกับการควบคุมกัญชาไว้ ๔ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบ ของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ๒) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่าย หรือครอบครอง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ๓) มาตรา ๒๖/๒ (๑)
-๔- กําหนดให้สามารถนํากัญชามาใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และการศึกษาวิจัย และ ๔) มาตรา ๕๘ วรรคสอง กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดประเภท ๕ เว้นแต่เสพเพื่อรักษาโรค ตามคําสั่งของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นการเสพเพื่อศึกษาวิจัย ทง้ั น้ี ตาํ รบั ยาท่ีเสพได้ให้เป็นตามทรี่ ัฐมนตรีวา่ การกระทรวงสาธารณสุขประกาศกาํ หนด มาตรการควบคุมทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยท่ีหน่วยงานรับผดิ ชอบดําเนนิ การ อาทิ ๑) การออกกฎหมายลําดับรอง ๒) กระบวนการพิจารณาอนุญาต ๓) การตรวจสถานที่ก่อนอนุญาต ให้ปลูก และ ๔) ระบบการรายงาน ซ่ึงเป็นการติดตามตรวจสอบภายหลังท่ีได้มีการอนุญาต โดยพิจารณาจากการรายงานต่าง ๆ ได้แก่ ๔.๑) บัญชีรายงานรับจ่าย ๔.๒) รายงานประสิทธิผล ๔.๓) รายงานอาการไม่พึงประสงค์ตามหลักเกณฑ์ SAS กับ AUR และ ๔.๔) ระบบติดตามและ ตรวจสอบ (Track & Trace) ทั้งนี้ ปัญหาและอุปสรรคในการดําเนินการเกี่ยวกับกัญชา ได้แก่ ๑) การคัดเลือกและพัฒนา สายพันธ์ุกัญชายังไม่เพียงพอต่อการนําไปใช้ ๒) คลินิกท่ีให้บริการกัญชายังไม่เพียงพอ จึงมีผลต่อ การเข้าถึงยาของผู้ป่วย ๓) ตํารับผลิตภัณฑ์ไม่มีความหลากหลาย อาทิ สูตรส่วนประกอบ ยังไม่หลากหลายและสูตรที่ยังมีสาร CBD เด่นไม่เพียงพอ ตลอดจนห้องปฏิบัติการท่ีมีมาตรฐาน ยังไม่เพียงพอต่อการวิเคราะห์และค่าตรวจวิเคราะห์มรี าคาแพง และ ๔) ผู้ป่วยไม่มีความรู้และความเขา้ ใจ ในการใชก้ ัญชาทถ่ี ูกตอ้ ง การควบคุมกัญชงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ปรากฏรายละเอียดใน ๓ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ (๒) ได้กําหนดว่า กัญชง เป็นพืชท่ีมีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. subsp. sativa มีลักษณะตามท่ีคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษกําหนดประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ให้นําไปใช้ประโยชน์ได้ตามท่ี กําหนดในกฎกระทรวง ๒) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ได้รับ อนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุม ยาเสพติดให้โทษ และ ๓) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่ ไดร้ บั อนุญาตจากเลขาธกิ ารคณะกรรมการอาหารและยา ข้อมูลเก่ียวกับการอนุญาตกัญชง โดยการออกหนังสือสําคัญการแสดงการอนุญาตผลิต จําหน่าย และครอบครองกัญชง ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ จําแนกตามจังหวัดที่ต้ังของสถานที่ที่มีการปลูก จําหน่ายหรือครอบครอง ได้แก่ ๑) จังหวัดแม่ฮ่องสอนใช้ประโยชน์ในครัวเรือนเพื่อการศึกษาวิจัย เปน็ พื้นที่จํานวน ๑๐ ไร่ ๒) จงั หวดั เชยี งใหม่ มกี ารผลิตเมลด็ พนั ธรุ์ ับรองและใชป้ ระโยชนใ์ นครวั เรอื น และเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพื้นที่ จํานวน ๔๙ ไร่ ๓) จังหวัดตาก ใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและเพื่อ ศึกษาวิจัย เป็นพ้ืนท่ี จํานวน ๒๓๗ ไร่ ๒ งาน ๔) จังหวัดเชียงราย มีการปลูกเพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ รับรอง เป็นพื้นท่ี จํานวน ๑๑๘ ไร่ ๕) จังหวัดพิษณุโลก มีการปลูกเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพื้นท่ี จํานวน ๒๕๘ ตารางเมตร ๖) จังหวัดปทุมธานี มีการปลูกเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพื้นที่ จํานวน ๑๕๓.๖ ตารางเมตร และ ๗) กรงุ เทพมหานคร มกี ารปลกู เพื่อศึกษาวิจัย เปน็ พนื้ ท่ี จาํ นวน ๒๕ ตารางเมตร นอกจากนี้ หน่วยงานได้ดําเนินงานเกี่ยวกับกัญชงในหลายประการ ได้แก่ ๑) เม่ือวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ เพ่ือให้สามารถนํากัญชงและสารสกัดจากกัญชงมาใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นได้ อาทิ
-๕- ยา อาหาร เคร่ืองสําอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ๒) เมื่อวันท่ี ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศ คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เร่ือง กําหนดลักษณะกัญชง (Hemp) พ.ศ. ๒๕๖๒ กําหนด ต้นกัญชงและเมล็ดพันธ์ุรับรองท่ีมีปริมาณสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ท่ีใบและช่อดอก ไม่เกินร้อยละหนึ่ง และ ๓) ปรับปรุงกฎกระทรวงเกี่ยวกับกัญชง เพ่ือเปิดกว้างให้สามารถพัฒนาการ ปลูกกัญชงไปใช้ในอุตสาหกรรมอ่ืน นอกเหนือจากการใช้ประโยชน์จากเส้นใยเท่านั้น ซ่ึงในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ จะได้เสนอเร่ืองดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ทั้งน้ี จะได้ ดําเนินการออกกฎระเบียบสําหรับผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหาร เครื่องสาํ อาง เพ่ือรองรบั การนํากัญชงไปใชใ้ นผลิตภัณฑต์ ่อไป ๒. สาํ นักงานคณะกรรมการปอ้ งกันและปราบปรามยาเสพติด กัญชา กัญชง และกระท่อมถูกกําหนดเป็นยาเสพติดประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีหน้าท่ี ดําเนินการเก่ียวกับการป้องกัน การปราบปราม การบําบัดและรักษา ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะต่อ การบังคับใช้กฎหมายและบังคับกฎหมายที่เก่ียวข้อง ซึ่งได้มีการสํารวจของกลางกัญชายาเสพติด ทั่วประเทศและขออนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุขเพ่ือใช้ประโยชน์ รวมท้ังสิ้น ๑๗,๙๓๗ กิโลกรัม และเม่ือนําไปวิเคราะห์หาสารปนเปื้อน ปรากฏผลการตรวจวิเคราะห์จําแนกได้ ๔ กลุ่ม ได้แก่ ๑) กลุ่มท่ีมีการปนเป้ือนทั้งสารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชและโลหะหนักปนเปื้อนไม่เกินค่ามาตรฐาน จํานวน ๗ กิโลกรัม ๒) กลุ่มที่มีการปนเป้ือนสารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่มี การปนเปื้อนโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน จํานวน ๒,๐๙๗ กิโลกรัม ๓) กลุ่มที่มีการปนเป้ือนสารเคมี ปอ้ งกนั กาํ จัดศัตรูพืชเกนิ ค่ามาตรฐาน แตม่ กี ารปนเปอ้ื นโลหะหนกั ไมเ่ กนิ ค่ามาตรฐาน จํานวน ๓,๑๒๔ กิโลกรัม และ ๔) กลุ่มท่ีมีการปนเปื้อนสารเคมีป้องกันกําจัดศัตรูพืชและโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน จาํ นวน ๑๒,๗๐๙ กิโลกรัม ท้ังนี้ กญั ชา กัญชง และกระทอ่ มถูกกาํ หนดเป็นยาเสพติดประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ น้ัน หน่วยงานมีหน้าที่ดําเนินการเก่ียวกับการป้องกัน การปราบปราม การบําบัดและรักษา ตลอดจนเสนอกฎหมายท่ีเก่ียวข้อง เพื่อเป็นการง่ายต่อการบังคับใช้กฎหมาย เกี่ยวกับยาเสพติดที่กระจัดกระจายหลายฉบับ หน่วยงานจึงได้เสนอและยกร่างประมวลกฎหมาย ยาเสพติด ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในรายละเอียด และได้นําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา โดยคณะรฐั มนตรใี ห้ความเหน็ ชอบในหลกั การแลว้ ส่วนการดําเนนิ การเกยี่ วกับพืชกระทอ่ มนัน้ สํานักงานฯ อยู่ระหวา่ งการเสนอร่างกฎหมาย เพื่อยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดประเภท ๕ แต่การควบคุมพืชกระท่อมตามกฎหมาย ระหว่างประเทศ จากการศึกษาในรายละเอียดพบว่า อนุสัญญาของสหประชาชาติเก่ียวกับยาเสพติด ไม่ได้มีการประกาศควบคุมพืชกระท่อมในบัญชีรายช่ือยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาทไว้ แต่อย่างใด ซ่ึงประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกฎหมายภายในควบคุมพืชกระท่อม และในอาเซียนพบว่า ประเทศท่ีไม่ได้ควบคุมพืชกระท่อม หรือกําหนดให้พืชดังกล่าวเป็นยาเสพติด ได้แก่ ประเทศ อินโดนีเซีย ประเทศกัมพูชา ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศลาว และประเทศเวียดนาม จึงเห็นควรให้มี
-๖- การแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมาย ตลอดจนเสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติเป็นการเฉพาะสําหรับ พชื กระท่อมขนึ้ ในการเสนอร่างกฎหมายเพื่อยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดประเภท ๕ จึงได้ ยกร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. .... และรับฟังความคิดเห็นผ่านเว็บไซต์ของ สํานักงานฯ ระหว่างวันที่ ๓ - ๑๗ มกราคม ๒๕๖๓ และจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากผู้ทรงคุณวุฒิ หน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชนท่ัวไป เมื่อวันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพมหานคร ซ่ึงผลจากการรับฟังความคดิ เห็นไดข้ ้อสรุปว่า มีผู้แสดงความคิดเห็นทงั้ หมด ๓,๑๘๓ คน มีผู้เห็นด้วย ร้อยละ ๙๕ และผู้ไม่เห็นด้วย ร้อยละ ๕ ซ่ึงผู้ไม่เห็นด้วยมีข้อห่วงใย ๓ ประการ ได้แก่ ๑) เห็นว่าควรกําหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดเช่นเดิม เนื่องจากมีฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ๒) มคี วามเป็นห่วงและวติ กกังวลต่อการใช้พืชกระทอ่ มของเดก็ และเยาวชน รวมถึงการใช้พชื กระท่อม ในลักษณะผสมกับส่ิงอื่นในลักษณะส่ีคูณร้อยที่อาจเป็นผลให้เกิดการมึนเมานําไปสู่การก่อ อาชญากรรมอ่ืน และ ๓) มาตรการอน่ื ในการควบคุมเพอ่ื มิใหม้ กี ารนําพชื กระทอ่ มไปใช้ในทางทผ่ี ดิ จากข้อมูลทางสถิติภาพรวมการควบคุมพืชกระท่อมในต่างประเทศ จํานวน ๓๓ ประเทศ พบว่า ประเทศท่ีมีกฎหมายภายในควบคุมพืชกระท่อมมี ๑๘ ประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๕๔ จําแนกได้ เป็น ๓ กลุ่ม ประกอบด้วย ๑) ควบคุมโดยกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ได้แก่ ประเทศไทย ประเทศ เมียนมาร์ ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศอินเดีย ๒) ควบคุมโดยกฎหมายอ่ืน ได้แก่ ๒.๑) กฎหมายเก่ียวกับ ยาและการรักษาพยาบาล จํานวน ๔ ประเทศ ๒.๒) กฎหมายว่าด้วยสารพิษหรือสารออกฤทธิ์ต่อ ระบบประสาท จํานวน ๒ ประเทศ ๒.๓) กฎหมายว่าด้วยการใช้ยาในทางที่ผิด จํานวน ๒ ประเทศ และ ๓) ควบคุมโดยไม่ระบุกฎหมาย จํานวน ๖ ประเทศ ส่วนประเทศที่ไม่ได้ควบคุมพืชกระท่อม โดยไม่มีกฎหมายกําหนดว่าเป็นยาเสพติดมี ๑๕ ประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๔๖ หากพิจารณาเฉพาะ ภูมิภาคอาเซียนกับทวีปเอเชีย พบว่า ประเทศท่ีไม่ได้ควบคุมพืชกระท่อมหรือกําหนดให้พืชดังกล่าว เป็นยาเสพติด ได้แก่ ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศกัมพูชา ประเทศฟิลิปปินส์ ประเทศลาว และประเทศเวียดนาม อย่างไรก็ดี ประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซียเคยหารือร่วมกันในการนําเสนอ ใหพ้ ืชกระทอ่ มเปน็ พชื เศรษฐกจิ ๓. กรมวชิ าการเกษตร กรมวิชาการเกษตรมีหน้าที่กํากับมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices : GAP) มีกฎหมายอยู่ในความรับผิดชอบจํานวน ๖ ฉบับ เช่น กฎหมาย ว่าด้วยการกักพืช และกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืช เป็นต้น ส่วนหน้าที่และอํานาจของ หนว่ ยงานที่เก่ยี วข้องกบั กญั ชา กัญชง และกระทอ่ ม ซึ่งจําแนกไดเ้ ป็น ๒ สว่ น ดงั น้ี (๑) ภาคบังคับ ต้องดําเนินการพืชท้ังสามชนดิ ตามหลกั เกณฑ์ของกฎหมาย ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑) พระราชบญั ญัตกิ กั พชื พ.ศ. ๒๕๐๗ และ ๑.๒) พระราชบัญญัติคมุ้ ครองพันธ์พุ ืช พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒) ภาคสมัครใจ เป็นการเปดิ โอกาสใหส้ ามารถนาํ พนั ธุพ์ ชื มาขอให้หน่วยงานรับรองพนั ธพ์ุ ชื โดยการข้ึนทะเบียนและทาํ บัตรประจําตัวพันธ์ุพืชของประเทศไทย เปน็ การคมุ้ ครองเชิงปกป้องและให้มี มาตรฐานการผลิต โดยปัจจุบันมีการนํารอ่ งแล้ว ๑ สายพนั ธุ์ คอื กัญชาอสิ ระ ๐๑
-๗- ๔. กรมการแพทย์ กรมการแพทย์มีหน้าท่ีในการศึกษาและพัฒนาองค์ความรู้ทางการแพทย์ ภายหลัง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มีผลใช้บังคับ ซึ่งมีการเปิดให้นํากัญชาไปใช้ ประโยชน์ทางการแพทย์และการวิจัย สังคมบางส่วนยังเกิดความสับสนว่ากัญชาน้ันเป็นคุณหรือเป็นโทษ อย่างไรก็ตาม หลังจากกฎหมายฉบับดังกล่าวมีผลใช้บังคับมาเป็นระยะเวลา ๑ ปี มีประชาชนป่วย จากพิษของกัญชาแล้ว ประมาณ ๑,๐๐๐ คน โดย ๓ เดือนแรกมีอัตราการป่วยเพ่ิม ๕ เท่า ดังน้ัน กรมการแพทยจ์ ึงจัดฝึกอบรมบุคลากรทางการแพทย์ สง่ ผลให้อตั ราการนาํ กญั ชาไปใชจ้ นเกิดพิษลดลง และประชาชนมคี วามเข้าใจมากข้ึน (๑) สารสกัดกัญชาซ่ึงนํามาใช้ประโยชน์ในการรักษา ซ่ึงมีข้อมูลทางวิชาการที่สนับสนุน ชัดเจน อาทิ ภาวะคล่ืนไส้อาเจียนในผู้ป่วยท่ีไดร้ ับยาเคมีบาํ บัด ภาวะกล้ามเนอื้ หดเกร็งในผูป้ ่วยปลอก ประสาทเส่ือมแข็ง ภาวการณ์ปวดประสาทที่ใช้วิธีการรักษาอ่ืนแล้วไม่ได้ผล รวมถึงโรคลมชักท่ีรักษา ยากในเด็กและโรคลมชักท่ีดื้อยา ทั้งน้ี มีข้อมูลทางสถิติพบว่า ผู้ป่วยลมชัก ๑๓ คน มีคนอาการชัก ดีขนึ้ ๑๐ คน และที่เหลือมีคนอาการดขี ึ้นจนเกือบหยุดชัก (๒) สารสกัดกัญชาได้ประโยชน์ในการรักษา ซ่ึงมีข้อมูลทางวิชาการท้ังสนับสนุน และไมส่ นับสนุนให้ใช้รกั ษาอาการปว่ ย อาทิ โรคพากินสันและโรคอัลไซเมอร์ (๓) สารสกัดกัญชานํามาใช้ประโยชน์ในการรักษาแบบประคับประคอง ได้แก่ ผู้ป่วยมะเร็ง ระยะสุดท้ายที่มีอาการเบ่ืออาหารนั้น ให้มีความอยากอาหารมากขึ้น และช่วยผ่อนคลาย สามารถ หลบั พักผ่อนได้ดขี ึน้ นอกจากน้ี ปัจจุบันมีการวิจัยเก่ียวกับการนําสารสกัดกัญชามาใช้รักษามะเร็ง จํานวน ๘ ชนิด เพ่อื หาปรมิ าณขนาดยาท่เี หมาะสมและไมเ่ ป็นพิษ รวมทัง้ เกดิ ผลลพั ธใ์ นการรักษาโรคไดจ้ ริง ซ่ึงคาดว่า จะวิจยั แล้วเสรจ็ ในเดอื นกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ อย่างไรก็ตาม พบปญั หาและขอ้ จํากัดในบางกรณี คือ การผลติ ยากัญชาทีม่ สี าร Cannabidiol (CBD) สูงทํายาได้จํานวนไม่มาก จึงไม่เพียงพอต่อการนําไปรักษาผู้ป่วย โดยเฉพาะผู้ป่วยอาการลมชัก ในวงกวา้ ง เนอื่ งจากผปู้ ว่ ยลมชกั เมือ่ รับยากญั ชาแล้ว จะไมส่ ามารถหยดุ รบั ยาดังกลา่ วได้ ดงั นน้ั จงึ มี ความเห็นว่า หากใช้กัญชาสายพันธ์ุไทยมากกว่าสายพันธ์ุนําเข้าในการผลิตน่าจะเป็นผลดีกว่า เพราะสามารถผลิตไดเ้ ป็นจาํ นวนมากซงึ่ เพยี งพอต่อความต้องการ ๕. องค์การเภสัชกรรม จากการศึกษาดูงานในต่างประเทศได้รับทราบข้อมูลว่า ประเทศแคนาดามีการปลูกกญั ชา ในอาคาร (Indoor) มีการควบคุมสารอาหาร เน่ืองจากกัญชาเป็นพืชอ่อนไหว เน้นการปลูกตัวเมีย เพื่อให้ได้ดอก มีการผึ่งแห้ง นิยมการผลิตและจําหน่ายดอกแห้ง โดยสารสําคัญในพืชกัญชามีสาร Tetrahydrocannabinolic Acid (THCA) ซึ่งในแคนาดามีร้านขายยากัญชาที่มีคู่มือการใช้งาน มีมาตรฐานด้านความปลอดภัยและม่ันคง และสารสําคัญมคี วามแปรปรวนน้อย ส่วนประเทศอิสราเอล มีการดําเนินการเกี่ยวกับกัญชาทางการแพทย์อย่างจริงจัง ผลจากการศึกษาดูงาน จึงมีข้อเสนอหลาย ประการ ได้แก่ ๑) ควรดําเนินงานกัญชาเพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์เท่านั้น ๒) ควรมีการจัดตั้ง หน่วยงานเฉพาะ เพื่อดูแลการใช้กัญชาทางการแพทย์ท้ังระบบ ๓) ควรมีการกําหนดแนวทาง
-๘- เป้าหมาย และการดําเนินการท่ีชัดเจน ๔) ควรมีการกําหนดมาตรฐานทุกขั้นตอน (Medical Grade Cannabis) ๕) ควรมีการให้ความรู้กับสังคมและบุคลากรทางการแพทย์เพื่อผลักดันและมีส่วนร่วม ในการใชก้ ัญชาทางการแพทย์อย่างเหมาะสม ๖) ควรมีระบบจัดเก็บและสอบกลบั ข้อมูลการใช้กัญชา ทางการแพทย์ ๗) ควรมีการวิจัยและพัฒนาด้านสายพันธุ์ เทคโนโลยีการปลูก การสกัด และ การศกึ ษาวิจยั ทางคลินิก และ ๘) ควรสง่ เสริมนวัตกรรมทงั้ ด้านสายพนั ธ์แุ ละรูปแบบการนําส่งยา องค์การเภสัชกรรมมีโครงการวิจัยและพัฒนาสารต้นแบบกัญชาทางการแพทย์ โดยมี วัตถุประสงค์ เพ่ือให้ได้สายพันธ์ุกัญชาไทยที่สมบูรณ์ แข็งแรง มีปริมาณสารสําคัญที่ใช้เป็นยาสูง เน้นการผลิตยาจากกัญชาเพ่ือทดแทนการนําเข้ายาแผนปัจจุบัน และเพ่ือใช้ในการรักษาโรคที่ยาแผน ปัจจุบันรักษาไม่ได้ผล โดยแผนการดําเนินงานจําแนกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ๑) ระยะที่ ๑ การวิจัย และพัฒนา โดยได้ของกลางกัญชา ๑๐๐ กิโลกรัม เพ่ือใช้ฝึกสกัดและส่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ หาสารปนเปื้อน เน่ืองจากหากมีการปนเป้ือนของยาฆ่าแมลงและโลหะหนักจะไม่สามารถนําไปทํายา ได้ ดังนั้น จึงมีการดําเนินงานเร่งด่วนในการปลูกกัญชาในพ้ืนท่ีอาคารผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ โดยปลูกใน ระบบปิด (Indoor) พ้ืนที่ จํานวน ๑๐๐ ตารางเมตร เพื่อใช้เมล็ดจากสายพันธ์ุลูกผสมท่ีมีคุณภาพสูง ตามมาตรฐานทางการแพทย์ (Medical Grade Cannabis) เพ่ือใช้ในการศึกษาและวิจัยทางคลินิก ต่อไป ๒) ระยะที่ ๒ ขยายการผลติ เป็นระดับกึ่งอตุ สาหกรรม (Pilot Phase) มีการขยายพื้นที่สาํ หรบั การเพาะปลูก จํานวน ๑,๐๐๐ ตารางเมตร ปลูกในอาคาร (Indoor) และโรงเรือนปลูกพืช (Greenhouse) เพ่ือลดต้นทุน วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ท่ีให้สารสําคัญสูง การขยายกําลังการผลิต และสกัด รวมถึงการศึกษาด้านคลินิกในผู้ป่วยจํานวนมากข้ึน ๓) ระยะที่ ๓ ขยายการผลิตในระดับ อุตสาหกรรม (Industrial Phase) โดยขยายพื้นที่สําหรับการเพาะปลูกในพื้นท่ี ๑,๕๐๐ ไร่ ซ่ึงต้องมี การคัดเลือกสายพันธ์ุ การขยายกําลังการผลิตและสกัด เน้นการผลิตและจําหน่ายสารสกัดต้นแบบ กัญชาทางการแพทย์และผลิตภณั ฑ์ยา ท้ังนี้ องค์การเภสัชกรรมได้มีการผลิตและจําหน่ายผลิตภัณฑ์นํ้ามันกัญชา ซ่ึงผลิตภัณฑ์ ต้นแบบของ Sublingual drop จํานวน ๑๐,๐๐๐ ขวดแรกมาจากการปลูกกัญชาของหน่วยงาน เพื่อใช้ในการศึกษาจําแนกเป็นประเด็น ได้แก่ ๑) ความคงสภาพของผลิตภัณฑ์ และ ๒) การศึกษา ทางคลินิกนาํ ร่องในผู้ปว่ ยซงึ่ เป็นโรคบางชนิด ๖. สาํ นักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มตคิ ณะรฐั มนตรเี มื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ ไดอ้ นมุ ัติหลักการทจี่ ะอนุญาตผลติ นําเข้า ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภทท่ี ๕ เฉพาะกัญชง (Hemp) โดยให้มี ลักษณะเปิดกว้างมากขึ้น เดิมทีกฎกระทรวงว่าด้วยกัญชงผู้ท่ีจะสามารถขออนุญาตตามกฎหมายได้ คือ หน่วยงานของรัฐเท่าน้ัน แต่ร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับใหม่จะให้นิติบุคคลสามารถดําเนินการได้ และมีการกําหนดเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการขออนุญาตและวิธีการต่างๆ ให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วย ยาเสพติดฉบับท่ี ๗ ซ่ึงกระบวนการต่าง ๆ ต้ังแต่ต้นนํ้าจนถึงปลายนํ้าต้องได้รับการอนุญาตจาก คณะกรรมการอาหารและยา และได้รับทราบข้อมลู เกี่ยวกบั นโยบายจากรัฐบาลระดบั หนง่ึ
-๙- ๗. สถาบันการศึกษาที่วิจัยเก่ียวกับกัญชา กัญชง และกระทอ่ ม สถาบันการแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้แทนคณะ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ผู้แทนผู้อํานวยการสถาบันวิจัย วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลยั เชียงใหม่ และผ้อู าํ นวยการศูนยว์ ิจยั และนวัตกรรมพืชกัญชา และพืชเสพติด สมุนไพรทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนครให้ข้อมูลว่า ในทางการแพทย์ทั่วโลก กัญชายับย้ังมะเร็งแต่ไม่ได้รักษาโรคโดยตรง ในมหาวิทยาลัยรังสิต ทดลองใช้สาร THC ในหลอดทดลองฆ่ามะเร็งน้ําดีได้ มหาวิทยาลัยทําการวิจัย ท้ังท่ีเป็นยาเสพติดอยู่ ซ่ึงระหว่างการวิจัยพบว่า CBN เป็นสารท่ีกลายสภาพจาก THC ทําให้ไม่เมาได้ และสามารถยังยั้งเซลล์มะเร็งปอดในหนูทดลองได้ ใช้ THC CBD CBN จะพบว่า THC CBN ยังยั้ง เซลล์มะเร็งปอดในหนทู ดลองได้ มสี ารอย่างอื่นที่ไมเ่ มาและใช้ได้จาํ นวนมากข้ึน แต่มหาวิทยาลัยรงั สติ ยังไม่ได้มีการทดลองในมนุษย์และมีการศึกษาในมนุษย์อย่างเพียงพอ แต่ท่ีผ่านมามีการต่อต้านการจด สิทธิบัตรจากต่างชาติในระดับหนึ่งโดยเฉพาะบริษัทข้ามชาติท่ีจดสิทธิบัตรยารักษามะเร็งจากกัญชา และถ้าใช้วธิ แี บบ SAS แพทยผ์ ูร้ ักษาท่ใี ช้ยาดงั กล่าวตอ้ งรบั ผิดชอบเอง ในรายงานการใช้ CBD ในระยะ ๑๑ เดือน พบว่า มะเร็งมีจํานวนลดลง และมีการเก็บข้อมลู ท่ีอิสราเอลในผู้ป่วยประมาณ ๒,๐๐๐ คน พบว่า แม้ว่ากัญชาไม่ได้รักษามะเร็งโดยตรงแต่ทําให้ คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีข้ึน ลดการอาเจียน เบื่ออาหารและลดการใช้ยาแก้ปวดลง และการวิจัย โรคพาร์กนิ สนั ในสหรฐั ฯ กรณกี ารหยอดกัญชาแล้วสามารถลดอาการของโรคได้ ในการแพทย์แผนไทยควรจะต้องปลูกกัญชาสายพันธ์ุไทย โดยเฉพาะที่สกลนครสามารถ ให้ผลผลิตท่ีค่อนข้างดีนับว่าเป็นโอกาส ซึ่งต้นหน่ึงเฉล่ียให้ผลผลิตประมาณ ๑.๒ - ๓ กิโลกรัมต่อดอก ถ้าจะรอแบบสารสกัดเป็นยาก็ต้องทดลองและใช้เวลานาน แต่ถ้ารัฐบาลจะลดขั้นตอนต้องปล่อยเสรี ทางการแพทย์เพราะจะเกิดเสรีสําหรับผู้ใช้ โดยเฉพาะแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ และหมอพ้ืนบา้ น ในระยะยาว ใช้สมุนไพรให้ฤทธ์ิร้อน เช่น พริกไทย ดีปลี ขิงแห้ง เป็นต้น ผสมในตัวยา เพ่ือถ่วงข้อเสียของกัญชา เพื่อการแก้เมากัญชาหรือลดการออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทตามตํารา เภสัชกรรมไทย ส่วนพิษโลหิตใช้นํ้ามันมะพร้าวผสมกับกัญชาเป็นสูตรครีมใช้ทารักษาโรคสะเก็ดเงิน และมีกรณีศึกษาใช้กัญชาในโรคลูคีเมียในระยะสองสัปดาห์ค่ามะเร็งลูคีเมียลดลงแต่ให้ผลข้างเคียงได้ อาจกล่าวได้ว่า การใช้กัญชาระยะยาวท่ีเป็นสารเด่ียวอาจมีผลต่อระบบทางเดินอาหารได้ และมีรายงานว่า หลายคนใช้กญั ชาแลว้ ท้องอืด แตช่ ่วยลดการอกั เสบได้ นอกจากนี้ การใช้กัญชาในระยะยาว จะลดคุณภาพอสุจิ ซึ่งพบว่าในกลุ่มผู้สูงวัยและเด็ก ถ้าใช้กัญชาแล้วฮอร์โมนเพศจะลดลง โดยเฉพาะกลุ่มอายุ ๓๐ ปีข้ึนไป แต่การแพทย์แผนไทยปรุงยา เป็นเฉพาะรายบุคคล โดยใช้พริกไทย ดีปลี ขิงแห้ง สามารถเพ่ิมความสามารถในการดูดซึมยา และองค์ความรู้ใหม่ พบว่า สารประกอบในกัญชาหลายชนิดทํางานร่วมกันทําให้การรักษา มีผลตอบสนองท่ีดีขึ้น การสกัดเต็มส่วนหรือเหมาะกับการผสมยาสมัยใหม่อย่างไร รวมทั้งกัญชาจะพบสารหอม ที่อยู่ในใบด้วย ท้ังน้ี แพทย์แผนไทยจะใช้วิธีที่เรียกว่า ธาตุวินิจฉัย ดูตามถ่ินอาศัย จนสามารถระบุได้ว่า คนคนน้ันธาตุอะไร ดูสถานท่ีท่ีเกิด ฤดูกาลปัจจุบัน อายุ เวลาใช้ และมีการเก็บข้อมูล เพ่ือแก้ปัญหา
- ๑๐ - หลายเร่ืองที่แพทย์แผนปัจจุบันไม่ทราบ โดยใช้มาตรฐานของวิชาชีพการประกอบโรคศิลปะ กล่าวได้ว่า ภูมิปัญญาไทยมีอะไรหลายอย่างที่น่าสนใจ และอาจจะมาจากอายุรเวทของอินเดีย อาจจะไม่ใช่ การแพทย์แบบตํารับแต่เป็นการปรุงยาเฉพาะรายแต่ละคนไม่เหมือนกัน จึงไม่สามารถใช้กรอบ ความคดิ แบบเภสชั ยคุ ใหมม่ าใช้วิเคราะห์ได้โดยเบด็ เสร็จ ๘. คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยรี าชมงคลพระนคร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ได้เสนอว่า คณะวิทยาศาสตร์ ดําเนินการตามโครงการเก่ียวกับกัญชา โดยร่วมกับวิสาหกิจชุมชน และดําเนินการ ที่โรงพยาบาลสูงเนิน เน้นไปที่การวิจัยเกี่ยวกับส่ิงแวดล้อมที่ส่งผลต่อกัญชา และการปลูกอย่างไร ให้สารสําคัญในปริมาณสูง เพื่อเป็นฐานข้อมูลในการใช้ประโยชน์จากกัญชาในอนาคต แต่การดําเนินการ พบปัญหาจัดแหล่งเมล็ดพันธุ์ โดยเฉพาะเมล็ดพันธุ์ของประเทศไทยเองค่อนข้างน้อย รวมท้ังการย่ืน ขออนุญาตมีข้ันตอนจํานวนมาก ซึ่งต้องอ้างอิงข้อมูลจากต่างประเทศเป็นหลักจึงมีข้อจํากัดต่อการ ขออนุญาตจากหน่วยงานอนุญาต จากประเด็นนี้ กรรมาธิการท่านหนึ่งให้ข้อมูลเพิ่มว่า กัญชามีการ ผสมพันธุ์ค่อนข้างมากจึงยากที่จะเป็นสายพันธ์ุของไทยแท้ และต้องพิจารณาว่าการปลูกฤดูกาลไหน ท่ีเหมาะสม และตอ้ งใชช้ ่วงแสง และวิธกี ารใหแ้ สงท่เี หมาะสมถงึ จะไดผ้ ลผลิตทด่ี ี ๙. สถาบนั วิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่ การวิจัยกัญชงได้ดําเนินการตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ เป็นพันธ์ุท่ใี ห้ไฟเบอร์และใช้ทําผลิตภัณฑ์ตา่ ง ๆ ให้กับโครงการหลวง และร่วมมือกับบริษัทเอกชนด้วย ท่ีผ่านมาอําเภอแม่แจ่มสามารถปลูกกัญชงได้ เพ่ือการใช้เส้นใย แต่ยังไม่สามารถดําเนินการได้ และบริษัท ออโรล่า มีการปลูกเพ่ือการพัฒนาสายพันธ์ุ ให้มหาวทิ ยาลยั เป็นผนู้ าํ เขา้ และพฒั นาใหม้ มี าตรฐานสงู และสถาบนั วจิ ยั ทาํ MOU กับแอตแลนตา เมดกิ แคร์ ท่จี ะวิจัยเพื่อการผลติ ยากัญชาออกจาํ หน่ายในอนาคต และมหาวทิ ยาลัยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ที่ให้การสนับสนุนการวิจัย อาทิ สํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ฯลฯ ที่จะวิจัยเพื่อการทําเป็นผลิตภัณฑ์เคร่ืองสําอางของภาคเหนือ และวิธีการสกัดสาร CBD ทําตามแบบ เทคโนโลยีขององค์การเภสัชกรรมและสกัดแบบได้มาตรฐาน โดยมีแอตแลนตา เมดิก แคร์ เป็นผู้ดําเนินการและแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน และใช้วิธีสกัดโดยใช้เอทานอล ส่วนเมล็ดพันธุ์กัญชง เป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีการจดทะเบียนคุ้มครองภายในประเทศ และมีพันธ์ุกัญชงดั้งเดิมอยู่ในข้ันตอน ขอจดทะเบยี น ๑๐. ศนู ยว์ จิ ัยและนวตั กรรมพืชกญั ชาและพชื เสพตดิ สมุนไพรทางการแพทย์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมพืชกัญชาและพืชเสพติด สมุนไพรทางการแพทย์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร เสนอว่า การวิจัย จะมีการร่วมมือกัน ระหว่างอาจารย์ทุกศาสตร์ทั้งด้านเกษตรวิทยาศาสตร์ และนักเศรษฐศาสตร์สังคม รวมทั้งเภสัชกร โดยได้งบประมาณจากมหาวิทยาลัย และได้ใบอนุญาต เมื่อวันท่ี ๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ และจะส่ง ผลิตภัณฑ์ให้กรมการแพทย์แผนไทยฯ โดยมีเป้าหมายในการผลิตท่ีมคี ุณภาพ และจะต้องเป็นต้นแบบ
- ๑๑ - ในการเกษตรและการเก็บเก่ียว โดยจัดทําเป็นคู่มือให้กับเกษตรกร รวมทั้งให้ความรู้กับผู้ที่สนใจด้วย ท้ังนี้ การปลกู จะต้องมีมาตรฐานทั้งในเรื่องโรงเรือนและมาตรฐานความปลอดภยั ต่อผู้บริโภค กัญชาที่ดีจะต้องมีความต่อเน่ืองของผลผลิตท่ีให้สาร THC และ CBD ตามที่กําหนด และให้เมล็ดพันธุท์ ี่ดี ซึ่งมาจากการออกแบบโรงเรอื นและวธิ กี ารปลูกทีม่ มี าตรการควบคุม ขนาดโรงเรอื น มีพ้ืนที่ปลูกประมาณ ๒๔๐ ตารางเมตร การปลูกแบบกระถางใช้สายพันธุ์ไทย เนื่องจากเป็นตํารับยา แผนไทย คือ ใช้กัญชาสายพันธ์ุหางกระรอก รวมท้ังมีการใหแ้ สงหลอกด้วยหลอดแอลอีดีเพ่ือให้กญั ชา ออกดอกตามท่ีกําหนด มีระบบควบคุมอากาศและน้ําเพ่ือจะได้โตเร็ว คาดว่าใช้ระยะเวลาประมาณ ๑๒๓ วัน จึงสามารถเก็บเก่ียวได้หมด หรือใช้ระยะเวลาประมาณ ๔ เดือน กล่าวได้ว่า กัญชาสามารถ ปลูกได้ดีในสภาพอากาศของประเทศไทย การเก็บเก่ียวในช่วงแรกได้ ๓๐.๘๕ กิโลกรัม และเก็บเก่ียว รอบทสี่ อง รอบท่สี ามตามทก่ี าํ หนดเพอื่ นําไปผลิตเปน็ ยา เชน่ ยาศขุ ไสยาศน์ ยาแก้โรคผิวหนงั เปน็ ต้น การสังเกตไตรโคมว่าจะสามารถเก็บเก่ียวได้ตามหลักตํารับแพทย์แผนไทย และนําไป ตรวจหาสารสําคัญ เช่น ตรวจหาสาร THC เป็นต้น และผลผลิตเฉลี่ย ๑ ต้น ได้นํ้าหนักดอกประมาณ ๓ กิโลกรัม และถ้าพิจารณาจากสัณฐานวิทยาแบ่งออกเป็นสองสายพันธุ์คือ พันธุ์หางเสือและพันธุ์ หางกระรอก มีพ้นื ทเ่ี พาะปลกู ประมาณ ๔๘๐ ตารางเมตร หรอื ประมาณ ๔๐๐ ตน้ รวมท้งั คัดแยกเปน็ ต้นตัวเมียร้อยละ ๕๒ สามารถผลิตได้ประมาณ ๔๘๐ กรัมต่อตารางเมตร โดยเป้าหมายสูงสุดคือ ให้ จังหวัดสกลนครเป็นเมืองสมุนไพร นอกจากนี้ มีข้อเสนอแนะว่า ควรมีหน่วยงานควบคุมกัญชา กัญชงให้ได้คุณภาพให้มีมาตรฐานและปลอดภัยต่อผู้บริโภค และควรมีหน่วยงานกลางในการขับเคลื่อน การวิจัยตั้งแตต่ น้ นาํ้ จนถงึ ปลายนํ้า โดยชว่ งเหมาะสมในการปลูกประมาณเดือนมถิ ุนายน ถงึ กรกฎาคม และค่าหลอดไฟแอลอีดีประมาณ ๔๐,๐๐๐ บาท แต่ถ้าปลูกกลางแจ้งจะมีปัญหาศัตรูและโรคพืช ส่วนการสกัดเอาสารสําคัญน้ันใช้กัญชาแห้งประมาณ ๑ กิโลกรัม มาผ่านกระบวนการต่าง ๆ จะได้ สารสาํ คัญประมาณ ๙๓ ซี.ซี. ๑๑. ขอ้ มลู จากบุคคลอื่นทเี่ ก่ยี วขอ้ ง (๑) นายเดชา ศิรภิ ัทร (หมอเดชา) นายเดชา ศิริภัทร มีอาชีพเป็นเกษตรกรและเป็นผู้ก่อต้ังมูลนิธิข้าวขวัญสุพรรณบุรี ส่วนเร่ืองกัญชาเป็นการดําเนินการส่วนตัว โดยเริ่มจากใช้ทดลองรักษาตนเอง ญาติ และเพื่อน จนขยายต่อไปยังกลุ่มลูกศิษย์ ซึ่งมีการปรับปรุงและค้นคว้ามาตลอด โดยเริ่มมาจากการทดลอง ตามแนวทางของริก ซิมสัน (Rick Simpson) และได้นําหลักนั้นมารักษาผู้ป่วย ในระยะแรกทําให้เกิด อาการเมา จึงมีการปรับเปล่ียนสูตร โดยใช้วิธีแบบไทย ๆ แทน ท้ังน้ี ผู้ท่ีใช้กัญชาในการรกั ษาจะต้องมี ข้อปฏิบัติ คือ จะต้องไม่กินของแสลงตามที่กําหนด กล่าวได้ว่า การใช้นํ้ามันกัญชาเพื่อการรักษาโรค เกิดจากการทดลองใช้จริงและปรับปรุงให้เหมาะสมด้วยการผสมกับนํ้ามันมะพร้าวสกัดเย็น และใช้ รักษาโรคหลายชนิดทแี่ พทย์แผนปัจจุบนั ยงั ไม่พบวิธีการรักษาทแ่ี นช่ ัด ซ่ึงเปน็ การรกั ษาแบบก่งึ ทดลอง จนได้รับการยอมรับในเวลาต่อมา และได้รับการฝึกอบรมจนเป็นหมอพ้ืนบ้านท่ีรักษาได้ตามท่ีกฎหมาย กําหนด ซ่ึงที่ผ่านมามีปัญหาด้านการรักษาเพราะไม่ใช่แพทย์จึงขัดกับกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพ ต่อมา ได้บริจาคสูตรน้ํามันกัญชาให้กับกระทรวงสาธารณสุขเพ่ือนําไปใช้ในสถานพยาบาลของรัฐท่วั ประเทศ
- ๑๒ - กว่า ๒๒ แห่ง และเม่ือครบจํานวนในการทดลองนําไปใช้แล้วกว่าหน่ึงหม่ืนราย ก็จะสามารถนําเข้าสู่ บัญชยี าหลกั แหง่ ชาติ ซ่งึ จะอยู่ในระบบการเบกิ จา่ ยค่ารักษาพยาบาลของรฐั ตามกฎหมาย นอกจากนี้ ในการใช้นา้ํ มันกญั ชาดงั กล่าวจะต้องมลี กั ษณะ ๔ ขอ ประกอบด้วย ขอท่หี น่ึง ไม่เหม็นเขียว ขอท่ีสองไม่ขม/ไม่ขุ่น ขอที่สามไม่ขาย และขอที่สี่เก็บข้อมูลโดยละเอียด ส่วนราคา จะไม่สงู มาก โดยเฉล่ยี ๑ ซีซี ราคา ๑ บาท หรอื ๑ ขวด ราคาประมาณ ๑๐ บาท ทงั้ นี้สตู รยากัญชานี้ เปน็ สตู รของพระและมกี ารกลา่ วอา้ งถงึ หลักอจินไตย (๒) นายบณั ฑูร นยิ มาภา (หมอต)ู้ การใช้กัญชารักษาโรคมีข้อโต้แย้งและข้อถกเถียงจํานวนมาก และมีมานานเก่ียวกับ ผลกระทบของการใช้กัญชา แต่พบว่ามนุษย์มีการใช้กัญชามานานแล้ว เน่ืองจากกัญชาอยู่ในวัฒนธรรม หลายประเทศ แต่กัญชามีผลกระทบอยู่ ๓ อย่าง คือ ๑) หัวใจเต้นดีไม่เป็นอันตรายแบบรวดเร็ว แต่จะคอ่ ย ๆ หายไปเมือ่ สรา่ งเมา ๒) น้าํ ตาลในเลอื ดจะลดลง และ ๓) ลดความดัน ทงั้ ความดนั โลหิต และความดนั ตา การใช้กัญชารักษาโรคจึงมีการหยดใต้ล้ิน ผลกระทบเหล่าน้ีอาจจะลดลงซ่ึงเป็นเหตุผล ทางวิทยาศาสตร์ เน่ืองจากส่วนประกอบของต้นกัญชาในแต่ละส่วนจะให้สรรพคุณ ประโยชน์ ท่ีแตกต่างกัน กล่าวคือ จะให้สารออกฤทธิ์ทางเคมีท่ีต่างกัน โดยเฉพาะในดอกจะพบสารที่ทําให้เมา อยา่ งไรกด็ ีพบวา่ คนตดิ กญั ชามีจาํ นวนน้อยกวา่ คนติดสรุ าหรอื บหุ รี่ และยํ้าว่ากัญชามีอยู่ในวัฒนธรรมไทย นานมาแล้ว แต่เกิดปัญหาทางกฎหมายจึงไม่สามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้เต็มท่ี ซึ่งในทางวิทยาศาสตร์ สามารถแยกสารออกฤทธิ์จากกัญชาได้คอื สาร THC CBN และสาร CBD ซง่ึ จะส่งผลต่อรา่ งกายมนุษย์ เนื่องจากมนุษย์จะมีรีเซฟเตอร์คานาบินอยด์และสามารถระงับความเจ็บป่วยได้ นอกจากนี้ กัญชา ยังให้ผลผลิตต่างกันได้ถ้ามีการปลูกในระดับความสูง สภาพอากาศ ระยะเวลาท่ีต่างกันก็ให้สารออก ฤทธติ์ า่ งกัน อันจะสง่ ผลตอ่ สาร THC และ CBD ในตน้ กัญชา นอกจากน้ี ได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายกัญชาเพื่อประชาชนพร้อมแนวร่วม ได้รวบรวม รายชื่อประชาชน ๑๐,๐๐๐ กว่ารายช่ือ เพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติพืชยาเสพติดให้คุณทาง การแพทย์ พ.ศ. … โดยมีวัตถุประสงค์ให้ใช้พืชยาเสพติดบางประเภท เช่น กัญชา กัญชง ใช้ประโยชน์ เพ่ือการรักษา การบริการด้านสุขภาพ การปรับใช้ในครัวเรือน ทําอาหาร เป็นส่วนผสมของเคร่ือง อุปโภคบริโภค ตลอดจนเป็นพืชเศรษฐกิจ โดยเสนอให้มีองค์กรระดับชาติขึ้นมากํากับดูแล ต้ังแต่การ เลือกพ้ืนท่ี การคัดเมล็ดพนั ธ์ุ และการสนับสนนุ ระหวา่ งภาครัฐกับประชาชนก่อให้เกิดประโยชน์ ท้งั นี้ ร่างกฎหมายฉบับน้ีได้มีการบรรจุการแพทย์แบบบูรณาการ รวมทั้งมีการศึกษาจากงานวิจัยของ ตา่ งประเทศเขา้ มาเสรมิ เป็นขอ้ มลู วชิ าการกอ่ นทีจ่ ะเขียนเปน็ รา่ งกฎหมาย ๒.๒ สรปุ ผลการดาํ เนนิ งานของคณะอนกุ รรมาธิการ ในคราวประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างเป็นระบบ คร้ังที่ ๓ วันพุธท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓ ที่ประชุม คณะกรรมาธิการได้มีมติต้ังคณะอนุกรรมาธิการ ๓ คณะ ประกอบด้วย ๑) คณะอนุกรรมาธิการ พิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชาอย่างเป็นระบบ ๒) คณะอนุ กรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กัญชงอย่างเป็นระบบ
- ๑๓ - และ ๓) คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้กระท่อมอย่าง เปน็ ระบบ ซ่งึ ผลการดําเนนิ งานท่ีผา่ นมาของคณะอนุกรรมาธกิ ารสรุปได้ ดงั น้ี ๑. คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชา อยา่ งเป็นระบบ จากการศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการ มีข้อเสนอในการแกไ้ ขปัญหากญั ชาทางการแพทย์ อยา่ งเปน็ ระบบ ดงั น้ี ระยะเรง่ ด่วน (๑) ขอให้คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ แต่งตั้งอนุกรรมการในระดับจังหวัด ตามมาตรา ๑๔ แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ทําหน้าท่ีให้ความเห็นชอบในการ อนญุ าตแทน คณะกรรมการตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกําหนด และขอให้เลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยามอบอํานาจในการอนุญาตให้กับผู้ว่าราชการจังหวัด ในเร่ืองการ เพาะปลูกกัญชาและการครอบครองให้เป็นไปตามเง่ือนไขของคณะกรรมการอาหารและยา เฉพาะใน พนื้ ทจี่ ังหวัดท่ีรับผดิ ชอบ เหตผุ ล เพ่ือลดปัญหา ระยะเวลาในการรอคอย ลดค่าใช้จ่าย ของผู้ขออนุญาต ซ่ึงส่วนใหญ่ใน ระยะเวลาภายใน ๕ ปี นับแต่พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ.๒๕๖๒ บังคับใช้เป็น หน่วยงานภาครัฐแต่เพียงอย่างเดียว หรือวิสาหกิจชุมชนร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐท่ีเก่ียวข้อง และเป็นการลดภาระงานและงบประมาณของหน่วยงานท่ีรับผิดชอบ คือ สํานักงานคณะกรรมการ อาหารและยาจะสามารถไปทําหน้าที่อื่นในการดูแลประชาชนได้เพ่ิมข้ึนตามอํานาจหน้าท่ีในกฎหมาย เพราะตามแนวทางของสํานักงานคณะกรรมการ อาหารและยาในกรณีพ้ืนที่เพาะปลูกอยู่ในต่างจังหวัด ต้องผ่านการพิจารณาจากผู้ว่าราชการจังหวัด โดยความเห็นจากคณะกรรมการที่ผู้ว่าราชการจังหวัด แต่งต้ังหรือมอบหมายให้พิจารณา หรือคณะทํางาน จากศูนย์อํานวยการป้องกันและปราบปราม ยาเสพตดิ ระดบั จังหวดั (ศอ. ปส. (จ)) (๒) ขอให้กระทรวงสาธารณสุขจัดการฝึกอบรมและสอบวัดความรู้ผ่านระบบออนไลน์ ให้กับผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์ แผนไทยประยุกต์ ทันตแพทย์ เภสัชกร และหมอพื้นบ้านให้สามารถสั่งจ่ายยากัญชาได้ โดยให้ได้รับ การข้นึ ทะเบียนจากสาํ นักงานคณะกรรมการอาหารและยาหลงั สําเรจ็ การฝกึ อบรม เหตผุ ล ผู้มีสิทธิส่ังจ่ายยากัญชามีจํานวนน้อยไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ป่วยท่ีมีความ ประสงค์จะใชย้ ากญั ชาทมี่ ีอยทู่ ั่วประเทศ เพราะกัญชาสามารถใชใ้ นทางการแพทย์ได้อย่างหลากหลาย และสามารถใช้ทดแทนยาบางประเภทท่ีนําเข้าจากต่างประเทศได้ หากมีใช้ทางการแพทย์ได้อย่าง แพร่หลายจะส่งผลให้ เกิดการสร้างงานสร้างรายได้แก่ประชาชนอีกจํานวนหน่ึงได้ หรือช่วยลดปัญหา ทางสังคมจากยาเสพติดชนิดอ่ืนได้ เนื่องจากกัญชานั้นมีสารเสพติดที่มีอันตรายน้อยกว่ากาแฟเม่ือ
- ๑๔ - เทียบกันแล้ว หรือน้อยกว่าสุราหลายเท่า และสามารถนํามาใช้ในการบําบัดผู้ติดยาเสพติดให้โทษอีก ดว้ ย ระยะยาว - เสนอให้มีกฎหมายเฉพาะ คือ ร่างพระราชบัญญัติพืชควบคุมเพื่อประโยชน์ทาง การแพทย์ พ.ศ. .... โดยเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรต้ังคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาคณะหน่ึง เพือ่ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว เหตผุ ล เน่ืองจากกัญชา มีสารเสพติดคือสาร THC เพียงชนิดเดียว ที่หากเลิกใช้ยาแล้วจะมี อาการถอนพิษยาหรือลงแดงท่ีรุนแรงน้อยกว่ายาเสพติดชนิดอ่ืน คือมีอาการนอนไม่หลับ ปวดเม่ือย ตามตัวหรือปวดศีรษะเล็กน้อย และมีอันตรายต่อสุขภาพน้อยกว่าสุรา บุหรี่ หรือกาแฟ ท่ีกฎหมายให้ สามารถจําหน่ายได้อย่างเสรี และพบว่าส่วนอื่น หรือแม้กระท่ังสารชนิดอื่นในกัญชาอีกมากมาย มี ประโยชน์สามารถใช้ในการ ผลิต อาหารเสริม เครื่องสําอาง หรือยารักษาโรค ใบสดยังสามารถใช้ปรุง เปน็ ยาแผนไทย สาํ หรับรกั ษาผู้ปว่ ยได้ หรือปรุงอาหารใหอ้ ร่อยได้ แต่ประเทศไทยเป็นภาคีประเทศของอนุสัญญาเด่ียวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 และพิธีแก้ไขอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961, ค.ศ. 1972 ซ่ึงมีผลบังคับใช้หาก ประเทศไทยจะให้มีการปลูกพืชกัญชา จะต้องดําเนินการเง่ือนไขของกฎหมายระหว่างประเทศฉบับน้ี ซึ่งกําหนดให้มีหน่วยงานระดับชาติขึ้นมาดําเนินการผูกขาดการรับซื้อผลิตภัณฑ์กัญชาทั้งประเทศ และให้มีการกําหนดพื้นท่ีเพาะปลูกท่ีชัดเจน และรายงานผลการผลิตไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบของ องค์การสหประชาชาติเป็นประจําทุกปี และกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษของประเทศไทย กําหนดให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นหน่วยงานท่ีรับผิดชอบ ซึ่งมีภาระงานจํานวน มากไม่มีประสบการณ์และความรู้ความสามารถท่ีเพียงพอในด้านการเกษตรท่ีจะดูแลควบคุมได้อย่าง ทั่วถึง จําเป็นต้องมีหน่วยงานเฉพาะมาควบคุม กํากับดูแล ศึกษา วิจัยและพัฒนา และรับซื้อผลผลิต ทั้งประเทศ ถือเป็นภารกิจที่สําคญั ท่ีมีปริมาณงานมาก และมีความสลบั ซบั ซ้อนและยากลาํ บากในการ ปฏิบัติงาน หน่วยงานเดิมที่มีอยู่ไม่อาจสามารถดําเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากประเทศไทย จะใช้พืชกัญชาอีกชนิดหนึ่ง ในการสร้างเศรษฐกิจ สร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนภายในประเทศ เช่นเดียวกับ ข้าว อ้อยหรือยางพารา จึงจําเป็นต้องมีกฎหมายว่าด้วยพืชกัญชาและพืชอ่ืนที่มีสารเสพติด ข้ึนมาเปน็ การเฉพาะ โดยกาํ หนดให้มชี ือ่ ว่า กฎหมายว่าด้วยพชื ควบคมุ เพ่อื ประโยชนท์ างการแพทย์ ๒. คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเก่ียวกับการใช้กัญชง อย่างเป็นระบบ ท้ังน้ีคณะอนุกรรมาธิการฯ ได้พิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้ กัญชงอย่างเป็นระบบเป็นท่ีเรียบร้อยแล้ว เพ่ือนําไปสู่การเพิกถอนกัญชงจากบัญชียาเสพติดให้โทษ ประเภท ๕ สกู่ ารเป็นพืชเศรษฐกิจมลู คา่ สูงของไทยในอนาคตต่อไป จงึ ได้สรปุ ข้อคดิ เห็นและขอ้ เสนอแนะ ดงั น้ี
- ๑๕ - (๑) เสนอให้เพิกถอนกัญชง (Hemp) ออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ท่ีระบุไว้ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบบั ที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายอืน่ ๆ ทเี่ กีย่ วข้อง สกู่ ารเป็นพชื เศรษฐกิจใหมข่ องไทย (๒) เสนอให้แก้ไข (ร่าง) กฎกระทรวง การขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นําเข้าส่งออก จาํ หนา่ ยหรือมไี วใ้ นครอบครอง ซ่งึ ยาเสพติดใหโ้ ทษประเภท ๕ เฉพาะกญั ชง (Hemp) พ.ศ. .... ดงั น้ี ๑) ให้เพ่ิมเติม คํานยิ ามพชื กญั ชง (Hemp) ในพฤกษศาสตร์ (Botany) ดว้ ยวธิ ีจําแนก ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Classification) วา่ Cannabis sativa L., และในกฎหมาย (Law) ด้วยวิธี กําหนดค่าทางชีวเคมี (Biochemistry) ของสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ในช่อดอกแห้ง ไม่เกินร้อยละ ๑.๐๐ โดยนํ้าหนกั แห้ง เพื่อจําแนกกัญชงออกจากกัญชาอย่างชัดเจน ๒) ให้แก้ไข คํานิยามในบทท่ัวไป คําว่า “ประโยชน์ครัวเรือน” หมายความว่า การใช้ ประโยชน์จากเส้นใย แก้ไขเป็น การใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของพืช ตามประเพณี วัฒนธรรม ตามวิถีชีวิต และใช้ในครอบครัว และ “กําหนดจํานวนพื้นท่ีให้สามารถปลูกได้ ครัวเรือนละไม่เกิน ๑ ไร่” แก้ไขเป็น ครัวเรือนละไม่เกิน ๒๐ ไร่ แต่การอนุญาตให้ผู้ปลูกเอาช่อดอก ดอก ให้เป็นไปตาม ใบอนญุ าตปลกู เทา่ นน้ั (๓) เสนอให้แก้ไข ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ในประเภท ๕ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ในการกําหนดปริมาณสารสําคัญในพืชกัญชง (Hemp) ดงั น้ี ๑) จากสารสกัดหรือผลิตภัณฑ์จากสารสกัด ที่มีสารแคนนาบิไดออล (cannabidiol, CBD) เป็นส่วนประกอบหลัก และมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (tetrahydrocannabinol, THC) ไม่เกินรอ้ ยละ ๐.๒ โดยนาํ้ หนกั แก้ไขเปน็ สารสกัดหรือผลติ ภัณฑจ์ ากสารสกัดทมี่ สี ารแคนนาบไิ ดออล (Cannabidiol, CBD) รวมท้ังสารสกัดอ่ืน ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอ่ืน ๆ ที่เก่ียวข้องและมีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอล (Tetrahydracannabinol, THC) ไม่เกินร้อยละ ๐.๓ โดยนาํ้ หนกั ๒) ให้พิจารณาระบุตามกฎหมายประกอบการใช้ประโยชน์ของสารแคนนาบิไดออล (Cannabidiol CBD) รวมทั้งสารสกัดอ่ืน ๆ เช่น CBC CBN CBG Terpene หรือสารอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ซ่ึงเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเคร่ืองด่ืม หรือเครื่องสําอาง ตามกฎหมายว่าด้วยผลิตภัณฑ์สมุนไพร หรืออาหาร หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเคร่ืองดืม่ หรือเคร่ืองสาํ อาง (๔) เสนอให้กรมวิชาการเกษตรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดําเนินการนํากัญชง พันธุ์พ้ืนเมืองหรือพันธุ์พื้นบ้านด้ังเดิมมาข้ึนทะเบียนพันธุ์พืชตามพระราชบัญญัติพันธ์ุพืช พ.ศ. ๒๕๑๘ และที่แก้ไขเพ่ิมเติม และส่งเสริมให้มีการพัฒนาสายพันธ์ุใหม่ท่ีให้ผลผลิตเส้นใย เปลือก แกนลําต้น เมล็ดพันธุ์ ช่อดอกที่มีสาร CBD สูง มีสาร THC ต่ํา และให้ผลผลิตเมล็ดท่ีมีคุณค่าสูงทางโภชนาการ และส่งเสริมให้มกี ารจดทะเบยี นคมุ้ ครองพนั ธุ์พชื ใหม่ ตามพระราชบญั ญัตคิ ุม้ ครองพันธพุ์ ชื พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งนี้ สายพันธ์ุพ้ืนเมืองหรือสายพันธ์ุพ้ืนบ้านด้ังเดิม ท่ีสอดคล้องกับวิถีชีวิตอัตลักษณ์ ของกลุ่มชาติพันธ์ุม้งในประเทศไทย ขอให้เร่งดําเนินการข้ึนทะเบียนและจดทะเบียนให้เป็น ส่ิงบ่งชีท้ างภูมศิ าสตร์ (GI) รวมทัง้ ให้ไดร้ บั การคมุ้ ครองทางกฎหมายด้านตา่ ง ๆ โดยเรว็
- ๑๖ - (๕) เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา และหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ลดขั้นตอนการขออนุญาตผลติ จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง กัญชง (Hemp) รวมท้ังปรับปรุงแกไ้ ข ประกาศ กฎกระทรวงฯ ประกาศคณะกรรมการฯ และคาํ ส่งั อื่น ๆ ทางกฎหมายท่เี กย่ี วข้อง (๖) เสนอให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และ หน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง สร้างทัศนคติที่ดีต่อพืชกัญชง (Hemp) อย่างกว้างขวางในการเป็นพืชเศรษฐกิจ มูลค่าสูง ตลอดจนสร้างความรู้ความเข้าใจในกฎระเบียบ แนวปฏิบัติ อย่างครอบคลุมและทั่วถึง ทกุ กล่มุ เปา้ หมาย (๗) เสนอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุพืชกัญชง (Hemp) เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ของไทย ให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนภาคเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และพาณิชยกรรม ในด้านองค์ความรู้ ปัจจัยการผลิต และการแปรรูปกัญชง (Hemp) การรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ การผลักดันการจัดตั้งสมาคม วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์ องค์กรอื่น ๆ ตลอดจนสนับสนุนด้านนวัตกรรม และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนต่าง ๆ รวมทั้งรับการส่งเสริมและ สนบั สนุนจาก BOI ในระดบั สูงสุด ๓. คณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้ กระท่อมอย่างเป็นระบบ ในประเทศไทยกระท่อมมีสถานะทางกฎหมายเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญตั ิยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๗ (๕) และมาตรา ๗๕ ไดก้ าํ หนดบทลงโทษ ทางอาญาไว้ชัดเจนสําหรับผูท้ ่ีผลติ นําเข้า ส่งออกกระท่อม ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี และปรับ ไม่เกินห้าแสนบาท ส่วนกรณีจําหน่ายกระท่อมต้องระวางโทษจําคุกต้ังแต่หน่ึงปีถึงสิบห้าปี และปรับ ตั้งแต่หน่ึงแสนบาทถึงหนึ่งล้านห้าแสนบาท ซ่ึงการท่ีพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวบัญญัติให้ พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ส่งผลให้เกิดข้อจํากัดในการศึกษาและวิจัยพัฒนา พืชกระท่อม เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ท้ังด้านการสาธารณสุขและส่งเสริมเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ เน่ืองจากการครอบครองกระท่อมเป็นความผิดตามกฎหมายและมีการกําหนดบทลงโทษทางอาญาไว้ อย่างชัดเจน ดังน้ัน คณะอนุกรรมาธิการจึงมีความเห็นว่าเพื่อให้ปัญหาดังกล่าวได้รับการแก้ไขอย่างมี ประสิทธิภาพจึงควรแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ และกฎหมายที่เก่ียวข้องโดย ยกเลกิ พืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพตดิ ให้โทษประเภท ๕ เพอ่ื ให้สามารถศึกษาและวจิ ัยพืชกระทอ่ ม ได้อย่างเป็นระบบ เพ่ือนําไปใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์และอุตสาหกรรมยา รวมทั้งพัฒนาให้เป็น พืชเศรษฐกิจของประเทศต่อไป และเพ่ือให้การแก้ไขปญั หาดังกล่าวได้รับการแก้ไขอย่างมปี ระสิทธิภาพ คณะอนุกรรมาธกิ ารมีขอ้ แสนอเสนอแนะ ดังน้ี (๑) ควรแก้ไขเพ่ิมเติมพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ และกฎหมายท่ี เกี่ยวข้องโดยระบุให้ชัดเจนว่าพืชกระท่อมไม่ใช่ยาเสพติดเพื่อป้องกันการออกกฎ ระเบียบ คําสั่งหรือ ประกาศกําหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดในภายหลัง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาและวิจัย พืชกระท่อมเพื่อใช้ประโยชน์ด้านการแพทย์และพัฒนาเป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ และลดปัญหา
- ๑๗ - คดีอาญาเก่ียวกับพืชกระท่อมในกระบวนการยุติธรรมซ่ึงมีเป็นจํานวนมากเพื่อให้การพิจารณาคดีอ่ืน รวดเรว็ ข้ึน (๒) ควรแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ กฎกระทรวงฉบบั ท่ี ๔ พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งออกตามความในพระราชบญั ญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ เรื่องใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออกหรือครอบครองพืชกระท่อม และการต่อใบอนุญาตให้มีหลักเกณฑ์ท่ีแน่นอนและชัดเจน ไม่ควรให้อยู่ในดุลพินิจของกลุ่มบุคคลใด บุคคลหนึ่ง และควรอนุญาตตามระยะเวลาท่ีสมควร ทั้งน้ี โดยคํานึงถึงความต่อเนื่องในการศึกษา และวิจยั พืชกระทอ่ ม (๓) สํานักงานตํารวจแห่งชาติควรกําหนดนโยบายผ่อนผันการจับกุมประชาชนผู้บริโภค หรือครอบครองพืชกระท่อมในปริมาณที่เหมาะสมใช้ในครัวเรือน ซ่ึงสามารถทําได้สะดวกกว่า การออกประกาศกําหนดท้องที่ ตามความในพระราชบัญญตั ิยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๘/๒ ซ่ึงมขี ้ันตอนยุง่ ยากและต้องใชร้ ะยะเวลาในการดาํ เนินการ นอกจากนี้ คณะอนุกรรมาธกิ ารมขี อ้ สังเกต ดงั น้ี (๑) การใช้คําว่า “การใช้พืชกระท่อมอย่างถูกต้องตามกฎหมาย” ในกฎหมายด้านยาเสพตดิ มีความเหมาะสมมากกว่า การใช้คําว่า “การเสพพืชกระท่อม” ซึ่งมีความหมายไม่เหมาะสมเน่ืองจาก ประชาชนท่วั ไปอาจจะเขา้ ใจว่าพืชกระท่อมเป็นยาเสพตดิ (๒) การยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ย่อมส่งผลให้ ประชาชนเข้าถงึ พชื กระท่อมไดส้ ะดวกมากขึน้ ดังนั้น หนว่ ยงานทมี่ หี นา้ ท่แี ละอาํ นาจเกย่ี วขอ้ งกับเรื่อง ดังกล่าวจึงต้องกําหนดมาตรการป้องกันมิให้เด็กและเยาวชนนําพืชกระท่อมไปใช้ในในทางที่ ไม่เหมาะสม มาตรการควบคุมการนําพืชกระท่อมมาใช้ผลิตยาหรือเครื่องสําอางและมาตรการป้องกัน อุบัติเหตอุ ันเกิดจากการบรโิ ภคพชื กระทอ่ ม (๓) การกําหนดพ้ืนที่ซ่ึงสามารถครอบครองและใช้ประโยชน์จากพืชกระท่อมได้โดยไม่ เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๘/๒ ต้องมี หลักเกณฑ์การตรวจสอบพ้ืนที่ท่ีมีประสิทธิภาพสามารถสํารวจได้ครอบคลุมทุกพ้ืนที่ท่ีมีประชาชน บริโภคพืชกระท่อมเพือ่ มิใหพ้ ืน้ ท่ีใดตกสํารวจ (๔) การแก้ไขกฎหมายด้านยาเสพติดต้องบัญญัติข้อกําหนดท้ายกฎหมายเก่ียวกับการใช้ พืชกระท่อม เช่น อนุญาตให้แต่ละครอบครัวครอบครองพืชกระท่อมได้ไม่เกิน ๑ ต้นและจะต้องติด QR CODE ทุกต้นเพ่ือตรวจสอบและติดตาม การนําพืชกระท่อมมาใช้ในเชิงธุรกิจต้องทําในลักษณะ วิสาหกิจชุมชนและการปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ เพ่ือประกอบเป็นยารักษาโรค หรือเคร่ืองด่ืมบํารุงกําลัง ต้องขออนุญาตต่อหน่วยงานของรัฐ การนําพืชกระท่อมมาบริโภคใบสดไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย เวน้ แต่การนําพชื กระท่อมมาแปรรปู ผสมกบั ยาเสพติดในลกั ษณะ ๔ คณู ๑๐๐ ๒.๓ ขอ้ มูลด้านกฎหมาย การใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชง และกระท่อม ท้ังในมิติของการแพทย์ เศรษฐกิจ มีกระบวนการควบคมุ ที่เหมาะสม โดยการใช้กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดระหว่างประเทศ และกฎหมาย ภายในประเทศ รวมทงั้ กฎหมายลําดบั รองทเี่ กี่ยวขอ้ ง มรี ายละเอยี ด ดังนี้
- ๑๘ - ๑. ข้อมลู กฎหมายเกย่ี วกับกญั ชา ตามข้อกฎหมายในประเทศไทย กัญชาถูกระบุในกฎหมายให้เป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท ๕ ตามมาตรา ๗ (๕) แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ถือเป็นยาเสพติดให้ โทษที่มิได้เข้าข่ายอยู่ในประเภท ๑ ถึงประเภท ๔ การอนุญาตให้มีการผลิต นําเข้าหรือส่งออกของ กัญชา จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการยาเสพติดให้โทษตามมาตรา ๖/๒ ก่อน เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาจึงจะสามารถอนุญาตได้ สําหรับการอนุญาตครอบครอง และจําหนา่ ยน้นั เลขาธกิ ารคณะกรรมการอาหารและยาหรอื ผู้ได้รบั มอบหมายสามารถอนุญาตได้ กัญชาสามารถใช้เสพเพ่ือการรักษาโรคตามคําสั่งของแพทย์ ทันตแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์และหมอพื้นบ้าน ที่ได้รับใบอนุญาต หรือใช้เสพเพ่ือการศึกษาวิจัยได้เท่านั้น ตามมาตรา ๕๘ วรรคสองแห่งพระราชบัญญตั ิยาเสพติดให้โทษ แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ ๗) พ.ศ.๒๕๖๒ โดยตํารับท่ีเสพได้ต้องเป็นไปตามท่ีรัฐมนตรีประกาศกําหนด ไว้ดังน้ี ๑) ยาที่ได้รับการรับรองจาก สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ๒) ตํารับยาแผนไทยที่มีกัญชาปรุงผสมอยู่ จํานวน ๑๖ ตํารับ ๓) ตํารับท่ีได้รับอนุญาตให้ผลิตในประเทศ ภายใต้การรักษาโรคกรณีจําเป็นสําหรับผู้ป่วยเฉพาะราย ๔) ตํารับที่ได้รับอนุญาตภายใต้โครงการศกึ ษาวิจยั ท่ีได้รับอนุญาตจากสํานักงานคณะกรรมการอาหาร และยา ๕) ตํารับยาท่ีหมอพื้นบ้านปรุงขึ้นจากองค์ความรู้และภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยที่ชัดเจน ท่ีได้รับรองจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โดยที่วัตถุดิบต้องไม่สามารถแยกเป็น ชอ่ ดอก ใบ เพ่อื นําไปใช้ในทางทีผ่ ิดได้ ในระยะ ๕ ปแี รก ตั้งแต่ ๑๙ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๒ จนถึง ๑๙ กุมภาพนั ธ์ ๒๕๖๗ อนญุ าตให้ เฉพาะหน่วยงานรัฐ ผลิต นําเข้า หรือส่งออกได้ หรือหน่วยงานรัฐที่มีหน้าท่ีเก่ียวข้องตามกฎหมาย ร่วมมือกับแพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ สัตวแพทย์ แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ หรือหมอ พ้ืนบ้านตามกฎหมายหน่วยงานรัฐร่วมกับ สถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่มีหน้าท่ีศึกษาวิจัยและจัดการ เรียนทางการแพทย์หรือเภสัชศาสตร์ หรือหน่วยงานรัฐร่วมมือกับวิสาหกิจชุมชนหรือสหกรณ์ การเกษตรตามมาตรา ๒๑ แห่งพระราชบญั ญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบบั ท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ซ่งึ ภาคเอกชน ไมส่ ามารถดําเนินการไดต้ ามลาํ พงั กล่าวได้ว่า กัญชาเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้กําหนดเกี่ยวกับ การควบคุมกัญชาไว้ ๔ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษ ๒) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่าย หรือครอบครอง เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ๓) มาตรา ๒๖/๒ (๑) กําหนดให้สามารถ นํากัญชามาใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์เพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย ๔) มาตรา ๕๘ วรรคสอง กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดประเภท ๕ เว้นแต่เสพเพ่ือรักษาโรค ตามคําส่ังของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นการเสพเพื่อศึกษาวิจัย ทั้งน้ี ตํารับยาท่ีเสพได้ ใหเ้ ปน็ ตามทร่ี ฐั มนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสขุ ประกาศกาํ หนด
- ๑๙ - ๒. ข้อมลู กฎหมายเกย่ี วกบั กญั ชง กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาต ผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง ซ่ึงยาเสพติด ให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ กาํ หนดอนญุ าตใหน้ าํ กัญชงไปใชป้ ระโยชน์ได้บางกรณี ได้แก่ การใช้เส้นใยหรือแกนทําเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์ ซ่ึงเป็นการอนุญาตให้ใช้ได้ในบริบทอย่างแคบ ทั้งที่กัญชงสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ได้แก่ ๑) ใบและช่อดอกผลิตเป็นยา ผลิตภัณฑ์ สมุนไพร และเคร่ืองสําอาง ๒) เปลือก ลําต้น เส้นใย ใช้ผลิตสิ่งทอและเสื้อเกราะกันกระสุน ๓) แกนลํา ต้นผลิตพลังงานชีวมวล วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ๔) เมล็ดและนํ้ามันจากเมล็ดใช้เป็นอาหาร เครอื่ งสาํ อาง และ ๕) เน้ือลาํ ตน้ ผลิตเปน็ กระดาษและฉนวนกนั ความรอ้ น ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุช่ือยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ ระบุเพื่อให้สามารถนํากัญชงและสารสกัดจากกัญชงมาใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นได้ อาทิ ยา อาหาร เครื่องสําอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ๒) เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศ คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เรื่อง กําหนดลักษณะกัญชง (Hemp) พ.ศ. ๒๕๖๒ กําหนด ต้นกัญชงและเมล็ดพันธุ์รับรองที่มีปริมาณสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ท่ีใบและช่อดอก ไมเ่ กินร้อยละ ๑ ๓. ขอ้ มลู ด้านกฎหมายเกย่ี วกบั พืชกระทอ่ ม (๑) พระราชบญั ญตั ิยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ “มาตรา ๗ ยาเสพติดให้โทษแบ่งออกเป็น ๕ ประเภท คือ ประเภท ๑ ยาเสพติดให้ โทษชนดิ ร้ายแรง เช่น เฮโรอีน (Heroin) ประเภท ๒ ยาเสพตดิ ให้โทษทัว่ ไป เช่น มอรฟ์ นี (Morphine) โคคาอีน (Cocaine) โคเดอีน (Codeine) ฝิ่นยา (Medicinal Opium) ประเภท ๓ ยาเสพติดให้โทษ ท่ีมีลักษณะเป็นต้นตํารับยาและมียาเสพติดให้โทษ ในประเภท ๒ ผสมอยู่ด้วย ตามหลักเกณฑ์ที่รฐั มนตรี ประกาศกําหนดในราชกิจจานุเบกษา ประเภท ๔ สารเคมีที่ใช้ในการผลิตยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ หรือประเภท ๒ เช่น อาเซติค แอนไฮไดรด์ (Acetic Anhydride) อาเซตลิ คลอไรด์ (Acetyl Chloride) ประเภท ๕ ยาเสพติดให้โทษที่มไิ ด้เขา้ อย่ใู นประเภท ๑ ถงึ ประเภท ๔ เชน่ กัญชา พชื กระทอ่ ม ท้งั น้ี ตามทีร่ ฐั มนตรีประกาศระบชุ ือ่ ยาเสพติดให้โทษตามมาตรา ๘ (๑) เพอ่ื ประโยชน์ แห่งมาตรานี้ คําว่า ฝิ่นยา (Medicinal Opium) หมายถึง ฝิ่นท่ีได้ผ่านกรรมวิธีปรุงแต่งโดยมี ความมงุ่ หมายเพอ่ื ใชใ้ นทางยา” สรุปสาระสําคัญ บทบัญญัติมาตรา ๗ (๕) ได้กําหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ซึ่งการครอบครองและการบริโภคเป็นความผิดตามกฎหมาย เจ้าพนักงานซ่ึงมีหน้าท่ีและอํานาจตาม กฎหมายต้องดําเนินการจับกุมผู้ครอบครองและบริโภคพืชกระท่อม หากเจ้าพนักงานไม่ดําเนินการ จับกุมจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ฐานเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติ หนา้ ท่ีโดยมชิ อบ “มาตรา ๗๕ ผู้ใดผลิต นําเข้า หรือส่งออกซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ อันเป็น การฝ่าฝนื มาตรา ๒๖/๒ ต้องระวางโทษจาํ คกุ ไม่เกนิ ห้าปี และปรับไม่เกินห้าแสนบาท
- ๒๐ - ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหน่ึงเป็นการกระทําเพ่ือจําหน่ายต้องระวางโทษ จําคกุ ตง้ั แต่หนึง่ ปถี งึ สิบหา้ ปี และปรับตั้งแต่หนง่ึ แสนบาทถงึ หนึ่งลา้ นห้าแสนบาท ถ้ายาเสพติดให้โทษซ่ึงเป็นวัตถุแห่งการกระทําความผิดตามวรรคหน่ึงหรือวรรคสอง น้ันเปน็ พืชกระท่อม ผู้นน้ั ต้องระวางโทษจาํ คกุ ไมเ่ กนิ สองปี และปรับไมเ่ กินสองแสนบาท” สรุปสาระสาํ คญั บทบัญญัติมาตรา ๗๕ ได้กําหนดบทลงโทษทางอาญาไว้อย่างชัดเจนสําหรับผู้ท่ีผลิต นําเข้า ส่งออกพืชกระท่อม ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน ๕ ปี และปรับไม่เกิน ๕๐๐,๐๐๐ บาท กรณี จําหน่ายพืชกระท่อมต้องระวางโทษจําคุกต้ังแต่ ๑ ปีถึง ๑๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ถึง ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท (๒) พระราชบญั ญตั ยิ าเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ “มาตรา ๒๖/๓ ห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ ในประเภท ๕ เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากผู้อนุญาต ซ่ึงการมียาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ ไว้ ในครอบครองมปี รมิ าณต้งั แต่สิบกิโลกรัมขึ้นไป ใหส้ ันนษิ ฐานวา่ มีไวใ้ นครอบครองเพ่อื จําหนา่ ย การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงอื่ นไขทก่ี ําหนดในกฎกระทรวง” สรปุ สาระสาํ คญั บทบัญญัติมาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซ่ึง ยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เชน่ กัญชา พชื กระทอ่ ม เป็นต้น เวน้ แต่ไดร้ ับใบอนุญาตจากเลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยาหรือผู้ซ่ึงเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามอบหมาย ซึ่งหากผู้ใด มียาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ปริมาณต้ังแต่ ๑๐ กิโลกรัมขึ้นไป กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีไว้ ในครอบครองเพื่อจําหน่าย ท้ังน้ี การขอรับใบอนุญาตและการออกใบอนุญาต ให้เป็นไปตาม หลกั เกณฑ์ วิธกี าร และเงอ่ื นไขที่ กําหนดในกฎกระทรวง “มาตรา ๕๘/๒ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดตามกฎหมายว่าดว้ ย การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด อาจมีมติให้รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ประกาศให้ท้องท่ีใดเป็นท้องท่ีที่ทําการเสพพืชกระท่อมได้โดยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติน้ี การเสพและการครอบครองพืชกระท่อมท่ีกระทําตามวรรคหน่ึง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขทก่ี ําหนดในกฎกระทรวง” สรุปสาระสาํ คัญ บทบัญญัติมาตรา ๕๘/๒ กําหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยความ เห็นชอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอํานาจออกประกาศกําหนดท้องที่ ที่สามารถครอบครองและบริโภคพืชกระท่อมได้ไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย ปัจจุบันมีการประกาศ ให้พื้นท่ีในเขตตําบลนํ้าพุ อําเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นพื้นที่ที่สามารถครอบครอง และบริโภคพืชกระท่อมได้โดยไม่เป็นความผิดตามกฎหมายซ่ึงการควบคุมพืชกระท่อมเป็นไปตาม ธรรมนูญชุมชนท่ีได้กําหนดให้แต่ละครัวเรือนสามารถครอบครองพืชกระท่อมได้ไม่เกิน ๓ ต้น นอกจากนี้ยังมีการกําหนดแผนเฝ้าระวังด้านสุขภาพโดยให้ผู้ใช้พืชกระท่อมเข้ารับการตรวจสุขภาพ เพ่อื เก็บขอ้ มลู ดา้ นสขุ ภาวะตามระยะเวลาท่ีกาํ หนด
- ๒๑ - (๓) กฎกระทรวงฉบับท่ี ๔ พ.ศ. ๒๕๒๒ ออกตามความในพระราชบัญญัติยาเสพติด ให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ “ข้อ ๑ ผู้ใดประสงค์จะขออนุญาตผลติ จําหน่าย นําเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง ซ่ึงยาเสพติดให้โทษในประเภท ๔ หรือในประเภท ๕ ให้ย่ืนคําขอตามแบบ ย.ส. ๒๑ ท้ายกฎกระทรวงน้ี พรอ้ มด้วยหลกั ฐานตามทร่ี ะบุไวใ้ นแบบ ย.ส. ๒๑ ข้อ ๒ ใบอนุญาตผลิต จําหน่าย นําเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติด ให้โทษในประเภท ๔ หรอื ในประเภท ๕ ให้เปน็ ไปตามแบบ ย.ส. ๒๒ ทา้ ยกฎกระทรวงน้ี การอนุญาตตามวรรคหน่ึง ให้เป็นอํานาจของรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบ ของคณะกรรมการเป็นราย ๆ ไป” สรปุ สาระสําคัญ กฎกระทรวงฉบับดังกล่าวได้กําหนดเก่ียวกับเรื่องใบอนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออกหรือ ครอบครองพืชกระท่อมซ่ึงในทางปฏิบัติจะอนุญาตเพียงคร้ังละ ๑ ปีและเม่ือใบอนุญาตสิ้นสุดลง จะต้องยื่นขอต่อใบอนุญาตต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษพิจารณาทุกกรณีแม้ว่าจะเคยได้รับอนุญาตมาแล้ว ซึ่งการขอต่อใบอนุญาต ดังกล่าวข้ึนอยู่กับดุลพินิจของคณะกรรมการฯ ทําให้การขอต่อใบอนุญาตขาดหลักเกณฑ์ที่มีความ แน่นอนและชัดเจน ส่งผลให้การศึกษาวิจัยพืชกระท่อมขาดความต่อเน่ืองเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา พืชกระทอ่ มเพอื่ นาํ ไปใช้ประโยชน์ดา้ นการแพทย์และด้านอ่นื ๆ
บทที่ ๓ ปัญหาในการนํากัญชา กัญชง และกระทอ่ มไปใช้ประโยชน์ จากการศึกษาของคณะกรรมาธิการเก่ียวกับปัญหาและอุปสรรคในการนํากัญชา กัญชง และกระทอ่ มไปใช้ประโยชน์ คณะกรรมาธกิ ารพบปัญหาและอุปสรรค ดงั นี้ ๓.๑ ปัญหาผลกระทบต่อประชาชน ๑. มีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อร่างกายของผู้ใช้กัญชาในการรักษาโรคบ้าง แม้ว่าจะมี หลักฐานว่ามีการใช้กัญชามานาน แต่ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับอันตรายต่อร่างกายจากการใช้ และการกอ่ ใหเ้ กดิ การเสพติด เช่น อาการปากแหง้ คอแห้ง ท้องอืด ปวดแสบทางเดินอาหาร บ้านหมุน ปวดทา้ ยทอย และงว่ ง เปน็ ตน้ ๒. ระยะเวลาการออกฤทธ์ิและผลการรักษาท่ีไม่แน่ชัด เนื่องจากการใช้กัญชารักษาโรค มปี จั จยั หลายอย่างเขา้ มาเกย่ี วข้อง รวมทัง้ ข้นึ อย่กู บั ความสนใจของผู้ประกอบวชิ าชพี ประกอบกัน ๓. การรกั ษาโรคโดยกัญชายงั มคี าํ ถามวา่ ถา้ การดําเนินการแบบ SAS ของแพทย์มีความเสย่ี ง สําหรบั ผู้ประกอบวิชาชพี และตํารับยาโบราณน้นั มีท้ังผลกระทบเชงิ บวกและเชงิ ลบผสมกัน ๓.๒ ปัญหาในทางปฏบิ ตั ิ ๑. การดําเนินการเพ่ือปลูกกัญชาและกัญชงในการศึกษาวิจัยพบปัญหาการจัดหาแหล่ง เมลด็ พนั ธุ์มีจํากัด โดยเฉพาะเมลด็ พนั ธข์ุ องประเทศไทยเองคอ่ นข้างมีน้อย ๒. การย่ืนขออนุญาตเกี่ยวกับกัญชา กัญชง และกระท่อมต่อหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องมีข้ันตอน จํานวนมาก ซ่ึงต้องอ้างอิงข้อมูลจากต่างประเทศเป็นหลัก จึงเป็นข้อจํากัดต่อการศึกษา วิจัย พัฒนา เพ่ือการนาํ มาใชป้ ระโยชน์ รวมทัง้ ใชร้ ะยะเวลาในการพิจารณาค่อนขา้ งนาน ๓. กัญชาสามารถสร้างโครโมโซมเองได้ จึงเป็นสาเหตุให้เกิดยีนด้อยและเป็นอุปสรรคต่อ การพฒั นาพันธ์ุ จงึ จําเป็นจะตอ้ งไปคน้ หาตน้ พันธุ์ท่ยี งั ไมม่ ีการผสมข้ามสายพันธอุ์ ืน่ ๆ ๓.๓ ปญั หาในทางกฎหมาย ๑. กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทยมีการควบคุม การปลูก การผลิต การนําเข้า การส่งออก การครอบครอง กัญชา กัญชง และกระท่อม ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายนํ้า ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ จึงยากต่อการนําไปใช้ประโยชน์ เพราะกฎหมาย อนุญาตอย่างแคบ เพียงใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยเท่านั้น รวมท้ัง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้กําหนดการควบคุมกัญชาไว้ ๔ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ ๒) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่าย หรือครอบครอง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยา ๓) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดให้สามารถนํากัญชามาใช้ประโยชน์ได้ ตามวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย และ ๔) มาตรา ๕๘ วรรคสอง
- ๒๔ - กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดประเภท ๕ เว้นแต่เสพเพ่ือรักษาโรค ตามคําสั่งของผู้ประกอบ วิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นการเสพเพื่อศึกษาวิจัย ทั้งน้ี ตํารับยาท่ีเสพได้ให้เป็นตามที่รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสขุ ประกาศกําหนด ๒. กฎหมายภายในประเทศไทยอาจจะมีการตีความเกินขอบเขตของอนุสัญญา เนื่องจาก อนสุ ญั ญาไมไ่ ดร้ ะบุว่ากระท่อมเป็นยาเสพติด แต่กฎหมายวา่ ด้วยยาเสพติดของประเทศไทยกําหนดให้ กระทอ่ มเป็นยาเสพติดประเภทที่ ๕ ๓. กฎกระทรวงสาธารณสุขที่อนุญาตให้นํากัญชงไปใช้ประโยชน์ได้บางกรณี ได้แก่ การใช้ เส้นใยหรือแกนทําเส้ือผ้าและเฟอร์นิเจอร์ ซ่ึงเป็นการอนุญาตให้ใช้ได้ในบริบทอย่างแคบ ไม่สามารถ นําไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ เนื่องจากกัญชงสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ อาทิ ใบ และช่อดอกผลิตเป็นยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และเคร่ืองสําอาง เปลือก ลําต้น เส้นใย ใช้ผลิตส่ิงทอ และเส้ือเกราะกันกระสุน และแกนลําต้นผลติ พลังงานชีวมวล วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ รวมท้ังเมลด็ และน้ํามันจากเมล็ดใช้เป็นอาหาร เคร่ืองสําอาง ตลอดจนเนื้อลําต้นผลิตเป็นกระดาษและฉนวน กันความร้อน ๔. ข้อจํากัดทางกฎหมายเก่ียวกับการเคลื่อนย้ายกัญชาเพ่ือไปใช้ประโยชน์จากจุดหนึ่งไปยัง จดุ หน่งึ เปน็ ไปอย่างจํากัด ๕. การจดทะเบียนการคุ้มครองพันธุ์พืช และคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของผลิตภัณฑ์ เกี่ยวขอ้ งกับกญั ชา กญั ชง และกระท่อมมขี อ้ จํากัดและใช้ระยะเวลานานในการดาํ เนินการ
บทที่ ๔ ผลการพจิ ารณา จากการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพบว่า กัญชา กัญชง และกระท่อม เป็นพืช สมุนไพรมีคุณค่าและมีมูลค่ามหาศาล ซึ่งสามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย อาทิ การแพทย์ และเศรษฐกิจ อย่างไรกต็ าม พชื ท้งั สามชนิดยงั คงเปน็ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษตามกฎหมาย ถึงแม้ จะมีการยกเว้นให้นําไปใช้ประโยชน์ได้ในทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย ซึ่งเป็นการยกเว้นให้ใช้ได้ ในบริบทอย่างแคบไม่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเท่าท่ีควร ดังนั้น หากมีการแก้ไขข้อจํากัดดังกล่าวได้ อย่างเหมาะสม โดยคํานึงถึงข้อดีและข้อเสียอย่างเป็นระบบให้สอดคล้องกับสถานการณ์อยู่เสมอ ทําให้การนําพืชทั้งสามชนิดดังกล่าวไปใช้ได้เต็มศักยภาพอันจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจ อยา่ งยงั่ ยนื นอกจากน้ี จากการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญ โดยได้เชิญหน่วยงาน องค์กร และบุคคลมาใหข้ ้อมลู ข้อเทจ็ จริง ซงึ่ มรี ายละเอยี ดพอสังเขป ดังนี้ กัญชา กัญชา เป็นพืชในวงศ์ Cannabidaceae มีสายพันธุ์ที่พบบ่อย คือ Cannabis sativa, Cannabis indica และ Cannabis ruderalis สําหรับสายพันธุ์ท่ีพบมากในประเทศเทศไทยจะเป็น สายพันธุ์ Cannabis sativa ซงึ่ สามารถเจริญเติบโตได้ดใี นอากาศแบบรอ้ นช้ืน ในปี ค.ศ. ๑๘๙๙ มนุษย์สามารถสกัดสารสําคัญจากกัญชาได้ แต่ยังสกัดเป็นสารบรสิ ทุ ธิไ์ มไ่ ด้ เน่ืองจากข้อจํากัดด้านเทคโนโลยี จนกระท่ังมีการค้นพบวิธีวิเคราะห์แบบใหม่ คือ High Performance Liquid Chromatography (HPLC) และ Spectrometric method ในปี ค.ศ. ๑๙๖๔ ทําให้แยก สารบริสุทธ์ชนิดต่าง ๆ จากกัญชาออกมาได้ รวมทั้งเกิดองค์ความรู้ในการวิเคราะห์สูตรโครงสร้าง โมเลกลุ ของสารแต่ละชนิดได้ ด้วยเหตดุ ังกล่าว จากการศกึ ษาพบว่า กัญชามีองคป์ ระกอบของสารเคมี มากกว่า ๔๕๐ ชนิด และเป็นสารกลุ่มแคนนาบินอยด์ (Cannabinoids) มากกว่า ๖๐ ชนิด โดยมีสาร หลัก คือ THC และสารชนิดอื่นในกลุ่มเดียวกัน เช่น Cannabinol (CBN), Cannabidiol (CBD), Cannabichtomme (CBC), Cannabigerol (CBG) เป็นต้น นอกจากน้ัน CBD สามารถจับตัวกับ CB1 และ CB2 receptors โดยตรงได้เล็กน้อย แต่มีลักษณะเป็น negative allosteric modulator กับ CB1 receptor ซ่ึงส่งผลต่อ Receptors อื่น ๆ ทําให้สามารถลดอาการปวด อาการอักเสบ และลดความกังวลได้ เม่ือมีความต้องการใช้กัญชาจํานวนมาก มีพ้ืนท่ีเพาะปลูกขนาดใหญ่ ก็ต้องมีการวิจัยพัฒนา ต่อยอด พัฒนาต่อยอดในท่ีนี้ หมายความถึง เมล็ดพันธุ์กัญชา และคุณสมบัติ คือ แต่ละสายพันธ์ุ มีคุณสมบัติใดบ้างในพื้นที่ต่าง ๆ กัน เพราะสายพันธ์ุเดียวกันหากปลูกในพ้ืนที่ต่างกันก็อาจจะได้ ส่วนประกอบไม่เท่ากัน ดังนั้น เม่ือมีการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์แล้วจะทําให้เรารู้ถึงที่มา และสารประกอบของน้ํามันกญั ชาในแต่ละขวดเพอ่ื เพ่มิ ประสิทธิภาพในการรกั ษา อกี ประการหนึง่ คือ วิธีการสกัด โดยการสกัดกัญชานั้นมีหลายวิธี เช่น ใช้แนฟทา (Naphtha) ใช้แอลกอฮอล์ (Alcohol)
- ๒๖ - ซ่ึงวิธีการสกัดแต่ละวิธีจะได้สารประกอบที่ไม่เหมือนกันอีกประการหน่ึง คือ เม่ือสกัดไปแล้วอาจมี กระบวนการอ่ืน เช่น การนําไปต้ม ซึ่งพอต้มแล้ว จากทําให้เมาก็จะเปล่ียนเป็นไม่เมา ท้ังนี้ การวิจัย และพัฒนาต้ังแต่เมล็ดพันธ์ุ สายพันธ์ุ การเพาะปลูก การสกัด และกระบวนการภายหลังการสกัด ความรู้เหล่าน้ีจะช่วยรักษาผู้ป่วยในประเทศไทยได้และสามารถส่งออกได้ด้วย โดยเฉพาะอย่างย่ิงในปี นี้ได้มีตําราทางวิชาการระบุว่า กัญชามีคุณสมบัติเสริมฤทธ์ิของยาเคมีบําบัดในการรักษาโรคมะเร็ง ชนิดต่าง ๆ ได้แก่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว เน้ืองอกในสมอง เน้ืองอกเต้านม มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งตับ ได้อีกด้วย ดังน้ัน หากจะผลิตกัญชาเพื่อการส่งออกก็สามารถขายได้ต้ังแต่เมล็ด ใบ ดอก นํ้ามัน หรือแบบเป็นยาก็ได้ นอกจากน้ี จะต้องศึกษาวิธีการใช้กัญชาอย่างถูกวิธี และที่สําคัญควรให้เป็นวิจารณญาณ ของแพทย์แต่ละท่าน ในการวินิจฉัยว่า สมควรมีการใช้กัญชาในผู้ป่วยรายน้ันหรือไม่ โดยไม่จําเป็น จะต้องมีการกําหนดชนิดของโรค เพราะหากแพทย์มีความชํานาญมากเพียงพอก็จะสามารถวินิจฉัย เองได้ เช่น โรคเอสแอลอี ซึ่งเป็นโรคเร้ือรังที่เกิดจากภูมิต้านทานทําร้ายตนเอง ทําให้มีผลกระทบกับ อวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย ซึ่งสามารถใช้กัญชาในการรักษาโรคเอสแอลอีน้ีได้และสามารถช่วยลด ค่าใช้จ่ายเก่ียวกับยากดต้านภูมิคุ้มกันไปได้อย่างมาก นอกจากน้ี ยังมีโรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสัน ที่สามารถใชก้ ัญชารว่ มกับยาแผนปจั จบุ นั ในการรักษาได้ กัญชาเป็นพืชที่มีสารออกฤทธ์ิต่อจิตประสาทและที่ก่อให้เกิดการเสพติดซ่ึงมีท้ังประโยชน์ และโทษหลายประการ กัญชา ถูกจัดไว้ในรายการยาเสพติดตามกฎหมายของหลาย ๆ ประเทศ รวมถึงประเทศไทย “กัญชา” ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติด ใหโ้ ทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ นัน้ พระราชบัญญตั ิยาเสพติดใหโ้ ทษ (ฉบบั ท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ไดก้ ําหนดเก่ยี วกบั การควบคุมกัญชาไว้ ๔ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ไดร้ ับอนญุ าตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษ ๒) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่าย หรือครอบครอง เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ๓) มาตรา ๒๖/๒ (๑) กําหนดให้สามารถ นํากัญชามาใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย ๔) มาตรา ๕๘ วรรคสอง กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดประเภท ๕ เว้นแต่เสพเพื่อรักษาโรค ตามคําส่ังของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นการเสพเพ่ือศึกษาวิจัย ทั้งน้ี ตํารับยาท่ีเสพได้ ให้เปน็ ตามทรี่ ัฐมนตรวี า่ การกระทรวงสาธารณสขุ ประกาศกาํ หนด ทั้งน้ี มาตรการควบคุมทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยที่หน่วยงานรับผิดชอบดําเนินการ อาทิ ๑) การออกกฎหมายลําดับรอง ๒) กระบวนการพิจารณาอนุญาต ๓) การตรวจสถานท่ีก่อน อนุญาตให้ปลูก ๔) ระบบการรายงาน ซึ่งเป็นการติดตามตรวจสอบภายหลังที่ได้มีการอนุญาต โดยพิจารณาจากการรายงานต่าง ๆ ได้แก่ ๔.๑) บัญชีรายงานรับจ่าย ๔.๒) รายงานประสิทธิผล ๔.๓) รายงานอาการไม่พึงประสงค์ตามหลักเกณฑ์ SAS กับ AUR ๔.๔) ระบบติดตามและตรวจสอบ (Track & Trace) สําหรบั ข้ันตอนการควบคมุ มรี ายละเอียดโดยสังเขป ดังน้ี ๑. ขั้นตอนการปลูกผู้ขอรับอนุญาตปลูกท่ีคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เห็นชอบ ให้ปลูกตอ้ งมกี ารรายงานการปลูกและจําหน่ายไปยงั สาํ นักงานคณะกรรมการอาหารและยา
- ๒๗ - ๒. ขน้ั ตอนการผลติ ผู้รับอนุญาตแปรรูปหรือสกดั และผรู้ บั อนุญาตผลิตผลิตภณั ฑ์ อาทิ น้ํามนั กัญชา ยาแผนไทย หรืออื่น ๆ ต้องมีการรายงานการผลิตไปยังสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา ท้ังนี้ ได้กําหนดให้มีการจัดทํา Barcode ไว้ที่ฉลากบนขวดผลิตภัณฑ์ เมื่อสแกนแล้วจะทราบ รายละเอยี ดตา่ ง ๆ อาทิ ผู้ผลิต วนั หมดอายุ รวมถงึ ใบอนญุ าตใหม้ ีการผลิต ๓. ข้ันตอนส่งผลิตภัณฑ์ยาไปยังสถานพยาบาลท่ีได้รับอนุญาต สถานพยาบาลน้ันต้องมี ใบอนุญาตให้จําหน่ายจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และต้องมีรายงานการรับและจ่าย ผลิตภณั ฑ์ รวมถงึ ประสิทธผิ ลการรกั ษาและอาการไม่พงึ ประสงค์ ๔. ข้ันตอนการรักษาจําแนกเป็น ๒ กรณี ได้แก่ (๑) กรณีแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งแพทย์ผู้ทํา การรักษาต้องผ่านการอบรมหลักสูตรที่กระทรวงสาธารณสุขรับรอง หากวินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยต้องใช้ ยากัญชาและก่อนการสั่งจ่ายยาดังกล่าวแล้วต้องให้ผู้ป่วยแจ้งการยินยอม (Informed Consent) และรายงานอาการไม่พึงประสงค์ระบบ SAS แต่หากไม่ต้องใช้ยากัญชาก็ให้รักษาด้วยวิธีอื่น (๒) กรณี แพทย์แผนไทยหรือหมอพ้ืนบ้าน ซ่ึงแพทย์ผู้ทําการรักษาต้องผ่านการอบรมหลักสูตรที่กระทรวง สาธารณสุขรับรอง หากวินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยต้องใช้ยากัญชา ให้สั่งจ่ายตํารับยาแผนไทยและรายงาน อาการไม่พงึ ประสงคร์ ะบบ AUR ข้อมูลจากการสํารวจเมื่อวันท่ี ๑๔ มกราคม ๒๕๖๓ พบว่า มีใบอนุญาตเกี่ยวกับกัญชา ทั้งหมด ๕๐๓ ฉบับ จําแนกได้ ๕ ประเภท ได้แก่ ๑) ใบอนุญาตปลูก จํานวน ๑๗ ฉบับ ๒) ใบอนุญาต ผลิต (สกัดหรือตํารับยา) จํานวน ๑๕ ฉบับ ๓) ใบอนุญาตให้ครอบครอง จํานวน ๕๒ ฉบับ ตัวอย่าง หน่วยงานท่ีได้รับอนุญาตให้ครอบครอง คือ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ๔) ใบอนุญาตนําเข้า จํานวน ๒ ฉบับ โดยออกให้องค์การเภสัชกรรมและมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ๕) ใบอนญุ าตให้จําหนา่ ย จาํ นวน ๔๑๗ ฉบบั นอกจากน้ี กัญชามีถ่ินกําเนิดในเอเชีย ซึ่งมีสารสกัดกว่า ๔๐๐ ชนิด มีสารออกฤทธ์ิหลักคือ CBD และ THC โดยใช้เป็นยารักษาผู้ป่วยโรคลมชักในเด็ก และผู้ป่วยที่ด้ือยา และในเมล็ดมีสาร โอเมกา-3 รวมท้งั กระทอ่ มมสี รรพคุณ แกท้ อ้ งเสีย แก้ปวด และระงับประสาท ซึง่ เปน็ ประโยชนใ์ นทาง การแพทย์ แต่กฎหมายว่าดว้ ยยาเสพตดิ ทาํ ให้ กัญชา กัญชง และกระทอ่ มเกดิ ปัญหาในการนําไปสรา้ ง มูลค่าเพราะไม่สามารถนําไปใช้ได้ในมิติของการเกษตร และอุตสาหกรรม แต่ใช้ได้เฉพาะในทาง การแพทย์เท่านั้น รวมทั้งการนําไปใช้ทางการแพทย์จะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมอีก ตลอดจนขณะน้ี มีการเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้องเข้ามาสู่กระบวนการนิติบัญญัติ โดยอยู่ในขั้นของการตรวจสอบ ของสภาผ้แู ทนราษฎร อย่างไรก็ดี ในทางเภสัชวิทยา THC มีฤทธิ์ต่อประสาทและทําให้เสพติด สาร CBD ใช้รักษา อาการเจ็บป่วย เช่น โรคมะเร็ง โรคลมชัก อาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น แต่ไม่มีข้อกําหนดแน่ชัดว่า ต้องใช้อัตราส่วนเท่าไหร่ ระหว่างสาร CBD และ THC รวมทั้งพบผลข้างเคียงต่อจิตและประสาท ซึ่งอาจทําให้เสพติดและซึมเศร้า สมองฝ่อ สมาธิส้ัน มะเร็งอัณฑะ และเพ่ิมความเสี่ยงต่อสมรรถภาพ ทางเพศ ตลอดจนมีผลต่อพัฒนาการของสมองเด็กในครรภ์หากแม่มีการเสพสารเหล่าน้ีเข้าไป ท้ังน้ี ในทางปฏิบตั กิ ญั ชา กัญชง มีข้อกังวลและปัญหาในทางกฎหมายซึง่ กาํ ลังมกี ารดําเนินการ จากประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยข้อยกเว้นให้กัญชาเป็นส่วนผสมของยา และเป็น ตํารับยาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ไม่ใช่ยาเสพติดให้โทษ โดยเฉพาะการเอ้ือให้การประกอบวิชาชีพ
- ๒๘ - ด้านแพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ และหมอพ้ืนบ้านที่ผ่านการรับรองจากกระทรวง สาธารณสุขท่ีมีตํารับและส่วนผสมของยาเป็นสารสกัดจากกัญชาสามารถประกอบวิชาชีพได้ รวมทั้ง เพื่อประโยชน์ต่อการรักษาโรคจึงจําเป็นต้องมีหน่วยงานท่ีทําการศึกษา พัฒนา และตรวจสอบกัญชา อย่างมีคุณภาพ แต่ในอดีตสมัยรัชกาลที่ ๕ กัญชาเป็นยาเสพติด แต่ในขณะเดียวกันกัญชาก็เป็น ส่วนผสมในตํารับยากว่า ๔๐๐ ชนิด และย้อนกลับไปกัญชาเป็นยาเสพติดเนื่องจากไปขดั ผลประโยชน์ ของบรรษทั ขา้ มชาตขิ องต่างประเทศทเ่ี ขา้ มาในประเทศไทย โดยการผลติ รถยนต์ย่ีหอ้ หน่งึ มีการนาํ กัญชง ไปใช้ในการผลิตส่วนประกอบภายนอกและสําคัญต่อธุรกิจดังกล่าว อีกทั้งสารออกฤทธ์ิในกัญชา เช่น CBD พบในร่างกายมนุษย์เม่ือมีการออกกําลังกาย แต่จะลดลงเม่ืออายุเพิ่มขึ้น ส่วนสาร THC ทําให้ เจริญอาหาร นอนหลับ รวมทั้งเป็นสารออกฤทธิ์ที่ผสมอยู่ในตํารับยาต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ มีการศึกษาเกย่ี วกับกญั ชากับผลทางจิตวทิ ยา กมุ ารแพทย์ และวสิ ญั ญแี พทย์ อยู่บา้ ง นอกจากน้ี การอนุญาตให้กัญชาสามารถนําไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ส่งผลดีต่อผู้ป่วย หรือว่ามีบุคคลใดได้ประโยชน์ยังเป็นข้อกังวลอยู่ เพราะตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ กัญชา ใชไ้ ด้เฉพาะทางการแพทย์เทา่ นนั้ แตถ่ ้ามกี ารนาํ ไปใชโ้ ดยไมม่ ีการควบคมุ จะเกิดผลเสยี อย่างไร รวมทงั้ การควบคุมการปลูก การนําไปรักษาโรคด้วยวิธีใด จึงจะก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนําไปใช้ได้ เฉพาะสารสกัดหรือไม่ ตลอดจนมีข้อกังวลว่า หากมีการศึกษาวิจัยล่าช้าและไม่มีมาตรการต่อ การดาํ เนนิ การเพยี งพอจะสง่ ผลต่อการมีสทิ ธิบตั รในเรือ่ งดังกล่าวของประเทศไทย ทั้งนี้ การใช้กัญชาเพ่ือการแพทย์จะต้องมีบุคลากร และหน่วยงานท่ีพร้อมในการดําเนินการ เรื่องน้ี และการใช้กัญชาเพื่อการแพทย์เป็นการเปิดโอกาสในการรักษาโรคท่ีหลากหลายข้ึน เช่น การรักษาโรคมะเร็ง การบํารุงร่างกาย ทําให้นอนหลับ เป็นต้น แต่มีผลข้างเคียงต่อจิตและประสาท และมีผลการศึกษาว่า การรักษามะเร็งโดยใช้กัญชาอาจจะทําให้เซลล์มะเร็งหยุดการเจริญเติบโต หรอื ตายได้ แต่การรักษาโรคมะเร็งยงั ใช้วธิ ีการรักษาแบบแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั อยู่ กญั ชง “กัญชง (Hemp)” ซึ่งเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น การควบคุมกัญชงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ปรากฏรายละเอียดใน ๓ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ (๒) ได้กําหนดว่า กัญชงเป็นพืชท่ีมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. subsp. sativa มีลักษณะตามที่คณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษกําหนดประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ ให้นําไปใช้ประโยชน์ได้ตามท่ี กําหนดในกฎกระทรวง ๒) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษ ๓) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่ ได้รบั อนญุ าตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ข้อมูลเกี่ยวกับการอนุญาตกัญชง โดยการออกหนังสือสําคัญการแสดงการอนุญาตผลิต จําหน่าย และครอบครองกัญชง ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ จําแนกตามจังหวัดที่ต้ังของสถานที่ที่มีการปลูก จําหน่ายหรือครอบครอง ได้แก่ ๑) จังหวัดแม่ฮ่องสอนใช้ประโยชน์ในครัวเรือนเพื่อการศึกษาวิจัย เป็นพื้นท่ีจํานวน ๑๐ ไร่ ๒) จงั หวัดเชยี งใหม่ มีการผลติ เมล็ดพันธ์รุ บั รองและใชป้ ระโยชน์ในครวั เรอื น
- ๒๙ - และเพื่อศึกษาวิจัย เป็นพื้นที่จํานวน ๔๙ ไร่ ๓) จังหวัดตาก ใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและเพ่ือ ศกึ ษาวจิ ยั เปน็ พ้ืนทจ่ี าํ นวน ๒๓๗ ไร่ ๒ งาน ๔) จังหวดั เชยี งราย มกี ารปลกู เพื่อผลติ เมล็ดพันธรุ์ ับรอง เป็นพื้นท่ี จํานวน ๑๑๘ ไร่ ๕) จังหวัดพิษณุโลก มีการปลูกเพื่อศึกษาวิจัย เป็นพื้นที่จํานวน ๒๕๘ ตารางเมตร ๖) จังหวัดปทุมธานี มีการปลูกเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพ้ืนที่จํานวน ๑๕๓.๖ ตารางเมตร และ ๗) กรุงเทพมหานคร มีการปลกู เพือ่ ศกึ ษาวิจัย เปน็ พนื้ ทจ่ี าํ นวน ๒๕ ตารางเมตร กฎกระทรวงการขออนญุ าตและการอนุญาต ผลติ จาํ หน่าย หรือมไี ว้ครอบครอง ซึง่ ยาเสพติด ใหโ้ ทษในประเภท ๕ เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ กําหนดอนุญาตให้นํากญั ชงไปใชป้ ระโยชน์ได้บางกรณี ได้แก่ การใช้เส้นใยหรือแกนทําเส้ือผ้าและเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นการอนุญาตให้ใช้ได้ในบริบทอย่างแคบ ท้ังท่ีกัญชงสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ได้แก่ ๑) ใบและช่อดอกผลิตเป็นยา ผลิตภัณฑ์ สมุนไพร และเครื่องสําอาง ๒) เปลอื ก ลาํ ตน้ เส้นใย ใชผ้ ลิตส่ิงทอและเส้อื เกราะกันกระสุน ๓) แกนลําต้น ผลิตพลังงานชีวมวล วัสดุก่อสรา้ ง เฟอร์นิเจอร์ ๔) เมล็ดและนํา้ มันจากเมลด็ ใช้เป็นอาหาร เครื่องสาํ อาง และ ๕) เนือ้ ลาํ ต้นผลติ เปน็ กระดาษและฉนวนกนั ความร้อน จากประโยชน์ของกัญชงที่หลากหลาย หน่วยงานได้ดําเนินงานเก่ียวกับกัญชงในหลาย ประการ ได้แก่ ๑) เมื่อวันท่ี ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อ ยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ เพ่ือให้สามารถนํากัญชงและสารสกัดจากกัญชง มาใช้ในผลิตภัณฑ์อื่นได้ อาทิ ยา อาหาร เครื่องสําอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ๒) เมื่อวันท่ี ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เรื่อง กําหนดลักษณะกัญชง (Hemp) พ.ศ. ๒๕๖๒ กําหนดต้นกัญชงและเมล็ดพันธ์ุรับรองท่ีมีปริมาณสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ทใ่ี บและชอ่ ดอกไมเ่ กินรอ้ ยละ ๑ และ ๓) ปรับปรงุ กฎกระทรวงเก่ยี วกับกัญชง เพ่อื เปิดกวา้ งให้ สามารถพัฒนาการปลูกกัญชงไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่น นอกเหนือจากการใช้ประโยชน์จากเส้นใย เท่าน้ัน ซ่ึงในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ ได้เสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ท้ังน้ี จะได้ดําเนินการออกกฎระเบียบสําหรับผลิตภัณฑ์ที่เก่ียวข้อง ได้แก่ ยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหาร เครอ่ื งสําอาง เพ่ือรองรบั การนํากญั ชงไปใชใ้ นผลิตภณั ฑน์ ัน้ ๆ ต่อไป นอกจากนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเม่ือวันท่ี ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ ได้อนุมัติหลักการท่ีจะ อนุญาตผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่ายหรือมีไว้ครอบครองซ่ึงยาเสพติดให้โทษประเภทท่ี ๕ เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... โดยให้มีลักษณะเปิดกว้างมากข้ึน เดิมทีกฎกระทรวงว่าด้วยกัญชงผู้ท่ีจะสามารถ ขออนุญาตตามกฎหมายได้ คือ หน่วยงานของรัฐเท่าน้ัน แต่ร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับใหม่นี้จะให้ นิติบุคคลสามารถดําเนินการได้ และมีการกําหนดเพ่ิมเติมเก่ียวกับการขออนุญาตและวิธีการต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ซ่ึงกระบวนการต่าง ๆ ตั้งแต่ตน้ น้าํ จนถงึ ปลายนํ้าต้องไดร้ บั การอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา ประเด็นกฎหมายเก่ียวกับกัญชง หน่วยงานท่ีรับผิดชอบได้เสนอแก้ไขกฎหมาย เป็นร่างประกาศกระทรวงว่าด้วยกัญชงซ่ึงคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการแล้ว และอยู่ในขั้นตอน การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากนี้ควรจะมีการศึกษากฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ฉบับอ่ืน ท่ีเกี่ยวกับการให้คํานิยามเร่ืององค์ประกอบของสาร THC และ CBD อาจจะมีการปรับ ถ้อยคํา ภาษา ทเี่ ก่ียวขอ้ งกับองค์ประกอบทางเคมีของสารออกฤทธิ์
- ๓๐ - ส่วนผลการพิจารณาในภาพรวมพบว่า การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา กรมทรัพย์สิน ทางปัญญามีหน้าที่จดทะเบียนคุ้มครอง และใช้ประโยชน์ทางพาณิชย์ ซ่ึงเก่ียวข้องกับกฎหมาย ทรัพย์สินทางปัญญาของมนุษย์คิดค้นข้ึนมา อาทิ เคร่ืองหมายการค้า สิทธิบัตร สิทธิการจัดการ ออกแบบ และสิทธิบัตร โดยวันนี้คงจะมีกรอบการนําเสนอเก่ียวเนื่องเฉพาะกัญชา กัญชง และกระท่อม และการผลิต การคิดค้นจะมีกระบวนการได้มา การประดิษฐ์ และกรรมวิธีการผลิตสาร THC และ CBD เป็นต้น ถ้าหากเข้าข่ายการจดทะเบียนก็จะได้รับการค้มุ ครอง และผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ต้องไม่ขัดต่อความสงบของสังคม ทั้งน้ี หลักเกณฑ์การพิจารณาในการจดทะเบียนคุ้มครองในการ เอาไปใช้ประโยชน์จากกระบวนการขั้นตอน กรรมวิธีการผลิตเพื่อจําหน่าย โดยมีหลักการอยู่ ๓ประการด้วยกัน คือ ๑) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ และไม่เคยปรากฏว่ามีใครผลิตและไม่เคยแพร่มาก่อน ท่ัวโลก มีขั้นตอนซับซ้อน ต่อมาเม่ือผ่านเกณฑ์ที่หนึ่งก็จะพิจารณาในข้ันต่อไป ๒) ขั้นการประดิษฐ์ ท่ีสูงขึ้น มากกว่าข้ันธรรมดาสามัญ และ ๓) ประยุกต์ใช้อุตสาหกรรมหรือเป็นสารสกัดต่าง ๆ แต่ตัวสาร ไม่สามารถขอจดทะเบยี นคุ้มครองได้ การคุ้มครองพันธุ์พืชประเทศไทยมีพระราชบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองพันธ์ุพืช พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยอย่ภู ายใต้กรอบของอนุสัญญาว่าด้วยสหภาพระหว่างประเทศเพอื่ คุ้มครองพันธพุ์ ืชใหม่ ค.ศ. 1991 และในปัจจุบันมีความพยายามจะให้ประเทศไทยอนุวัติการ (Implementation) กฎหมายภายใน ประเทศเพื่อให้การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของนักปรับปรุงพันธ์ุพืชและบริษัทเมล็ดพันธ์ุ (Plant breeder’s right หรือ Plant varieties protection) โดยมีการผลักดันร่างกฎหมายคุ้มครองพันธ์ุพืช เสนอต่อรัฐบาลและรัฐสภา ซ่ึงมีสาระสําคัญตามแนวทางของสหภาพเพื่อคุ้มครองพันธ์ุพืชใหม่ (UPOV) ซ่ึงให้การคุ้มครองสิทธิของนักปรับปรุงพันธ์ุเฉพาะพันธุ์พืชใหม่ ซ่ึงถ้ารับหลักการดังกล่าว เข้ามาจากเดิมให้ระยะเวลาคุ้มครองประมาณ ๑๒ ปี จะทําให้ขยายระยะเวลาคุ้มครองไปอีกประมาณ ๒๐ ปี ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายและปรับปรุงพันธ์ุพืชในประเทศ และส่งผลต่อการจดสิทธิบัตร ทําให้ เมล็ดพนั ธพ์ุ นื้ เมืองสญู หายได้ อย่างไรก็ดี ท่ีผ่านมาเป็นที่รับรู้เป็นการทั่วไปว่า กัญชา กัญชง และกระท่อมเป็นยาเสพติด ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดของประเทศไทย แต่ในอีกมิติหนึ่ง กัญชา กัญชง และกระท่อมเข้ามา มบี ทบาทในชวี ติ ประจําวัน ประเทศไทยในฐานะเป็นภาคีกับอนุสัญญาว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 อนุสัญญา ว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1988 ทําให้ ประเทศไทยจะต้องมีหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการระหว่างประเทศเพ่ือการแก้ไขกฎหมาย ภายในประเทศท่ีเก่ียวข้อง ซึ่งมีผลผูกพันระหว่างประเทศท่ีส่งผลต่อประเทศไทย รวมท้ังประชาชน ควรได้ใช้สารสกัดจากพืชเสพติดเพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์ที่ไม่มีการปนเป้ือน ตลอดจนไม่เกิด ปัญหาทางสังคมข้ึนจากการนําพืชเสพติดไปใช้โดยไม่มีการศึกษา ควบคุมที่เหมาะสม และเป็น ประโยชน์ต่อวิสาหกิจชุมชนต่อไป มากกว่านี้ประเด็นพืชเสพติดน้ีเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน เช่น กระทรวงสาธารณสขุ กระทรวงยุติธรรม เป็นตน้ ท้ังนี้ กัญชงสามารถนําไปใช้ได้หลายอย่างยกเว้นเสพติด กล่าวคือ ถ้ากัญชงมีสาร THC ร้อยละ ๐.๓ - ๑ แทบจะไม่มีฤทธิ์มึนเมา แต่มีสาร CBD เพื่อการระงับปวด ที่สําคัญต้ังแต่รากจรดใบ สามารถนํามาใช้ประโยชน์ได้รวมท้ังกัญชงนําไปใช้ผลิตเสื้อผ้า ซึ่งค่อนข้างเสียดายศักยภาพของกัญชง
- ๓๑ - ที่ไม่ได้นํามาใช้ประโยชน์มากนัก เพราะความเป็นจริงแล้วลําต้นกัญชงยังสามารถทําเป็นกระดาษ ฉนวน แผ่นไฟเบอร์ รากสามารถทําเป็นยาและปุ๋ยอินทรีย์ เมล็ดสามารถนํามาทํานํ้ามันปรุงอาหาร เครื่องสําอาง โปรตีนกัญชง นม ส่วนใบและดอกสามารถทําเป็นพืชคลุมดิน และนํ้ามัน สิ่งเหล่าน้ีเพ่ิม มูลค้าสินค้าได้มาก โดยตีราคาต่อไร่โดยประมาณ ถ้าปลูกกัญชงจะมีมูลค่าไร่ละ ๒๘,๐๐๐ บาท ในขณะที่ข้าวโพดมีรายได้เพียง ๘,๐๐๐ บาทต่อไร่ อีกทั้งเรื่องบล็อกเชน (blockchain) โดยการใช้ เทคโนโลยีในการเก็บข้อมูลในการปลูกกัญชาจะทําให้การควบคุมการปลูกและการจัดเก็บข้อมูลที่มี ประสิทธิภาพ โดยการใช้บล็อกเชนในแบบ QR code และพิกัด GPS มาใช้ได้ เพ่ือป้องกันการผูกขาด และการลกั ลอบการผลติ จําหน่ายกญั ชา กัญชง และกระทอ่ ม กระท่อม ประชาชนใช้ใบกระท่อมเป็นจํานวนมากเพื่อสร้างความสดชื่นและความตื่นตัว และเช่ือว่า มีประโยชน์เป็นยาชูกําลัง แก้โรคเบาหวาน แก้โรคกระเพาะ แก้ไอ ถือเป็นพืชท่ีมีประโยชน์ ดังนั้น ควรแก้ไขปัญหาพืชกระท่อมอย่างเป็นระบบ โดยการนําพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดประเภท ๕ และพัฒนาให้เป็นพืชส่งออกต่อไป รวมทั้งแนวทางท่ีควรพิจารณา คือ การลดความเดือดร้อน ของประชาชนท่ถี กู เจา้ หนา้ ทด่ี ําเนนิ คดเี พราะครอบครองใบกระท่อมประมาณ ๕ - ๑๐ ใบ แตต่ ้องจา่ ย ค่าปรับถึง ๑๐,๐๐๐ บาท ทั้งน้ี ประชาชนท่ีถูกดําเนินคดีเป็นบุคคลผู้มีรายได้น้อย กล่าวได้ว่า การดําเนินการตามกฎหมายท่ีผ่านมาส่งผลกระทบต่อประชาชน แม้ว่าประชาชนจะใช้กระท่อมเป็น สมุนไพร บริโภคแล้วเกิดประโยชน์และเป็นที่นิยม ซ่ึงประชาชนนํามาใช้เป็นเวลานาน ทั้งน้ี กระท่อม แบ่งได้ ๒ ประเภท คือ กระท่อมก้านแดงและกระท่อมก้านเขียว โดยใช้เป็นสมุนไพรตามท่ีกล่าวมา รวมทง้ั เปน็ ภมู ปิ ญั ญาชาวบา้ น ในอดีตกระทอ่ มมกี ารปลกู ไว้หลงั บ้านเพอื่ เป็นยาสมุนไพร โดยอย่ใู นวิถชี วี ิตกอ่ นจะไปกรดี ยาง กินใบกระท่อมกับน้ําร้อนหรือนํ้าชา ซึ่งข้ึนอยู่กับพ้ืนที่น้ัน ถิ่นกําเนิดของกระท่อมอยู่บริเวณลุ่มน้ํา ปากพนังบริเวณสี่จังหวัดภาคใต้ โดยกระท่อมจะข้ึนในท่ดี ินร่วนและดินดี ส่วนสรรพคุณสามารถรักษา โรคเบาหวาน ลดนํ้าตาลในเลือด และมีประโยชน์ในกลุ่มผู้ใช้แรงงาน ปัจจุบันกระท่อมเป็นยาเสพติด ประเภท ๕ ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ โดยมีการลักลอบนําเข้ามาจากประเทศเพ่ือนบ้าน เพื่อมาขายภายในประเทศ ซ่ึงเกิดเป็นธุรกิจการค้าใบกระท่อมที่ผิดกฎหมายเกิดขึ้น อีกท้ังเกิดผลเสีย จากการนํากระท่อมไปเป็นส่วนผสมหลักในสารกระตุ้นอื่นจนเป็นยาเสพติดให้โทษ และถูกนําไป เชือ่ มโยงกับการก่อเหตุความไม่สงบ ส่วนอนาคตกระท่อมจะเปน็ พืชสมนุ ไพร เน่ืองจากกระท่อมถูกกําหนดเป็นยาเสพติดประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ น้ัน สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีหน้าที่ดําเนินการ เก่ียวกับการป้องกันการปราบปรามการบําบัดและรักษา ตลอดจนเสนอกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ท้ังนี้ เพ่ือเป็นการง่ายต่อการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดที่กระจัดกระจายหลายฉบับ หน่วยงาน จึงได้เสนอและยกร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยเฉพาะการยกเลิกให้กระท่อมไม่เป็นยาเสพติด ซ่ึงร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และอยู่ในชั้นการพิจารณา ของคณะกรรมการกฤษฎกี า กล่าวได้ว่า การดําเนินการเกีย่ วกับกระทอ่ มน้ัน สํานักงานคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอยู่ระหว่างการเสนอร่างกฎหมายเพื่อยกเลิกพืชกระท่อมจากการ
- ๓๒ - เป็นยาเสพติดประเภท ๕ ซ่ึงเป็นผลมาจากเม่ือวันท่ี ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการดําเนินการ เพ่ือยกเลิกพืชกระท่อมจากยาเสพติดให้โทษ สํานักงานฯ จึงได้ยกร่างพระราชบัญญัติยาเสพติด ให้โทษ (ฉบับท่ี..) พ.ศ. .... ยกเลิกพืชกระท่อมจากยาเสพติดในประเภท ๕ และรับฟังความคิดเห็น ผ่านเว็บไซต์ของสํานักงานฯ ระหว่างวันที่ ๓ - ๑๗ มกราคม ๒๕๖๓ และจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น จากผู้ทรงคุณวุฒิ หน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป ซ่ึงผลจากการรับฟังความคิดเห็นได้ข้อ สรุปว่า มีผู้แสดงความคิดเหน็ ท้ังหมด ๓,๑๘๓ คน มีผู้เห็นด้วย ร้อยละ ๙๕ และผู้ไม่เห็นด้วย ร้อยละ ๕ ซ่ึงผู้ไม่เห็นด้วยมีข้อห่วงใย ๓ ประการ ได้แก่ ๑) เห็นว่าควรกําหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติด เช่นเดิม เนื่องจากมีฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ๒) มีความเป็นห่วงและวิตกกังวลต่อการใช้พืชกระท่อม ของเดก็ และเยาวชน รวมถงึ การใชพ้ ชื กระทอ่ มในลักษณะผสมกบั ส่ิงอนื่ ในลักษณะส่คี ูณร้อยท่อี าจเป็นผล ให้เกิดอาการมึนเมานําไปสู่การก่ออาชญากรรมอ่ืน ๓) มาตรการอื่นในการควบคุมเพ่ือมิให้มีการนํา พชื กระทอ่ มไปใชใ้ นทางทผี่ ดิ สําหรับประเด็นเกี่ยวกับการควบคุมพืชกระท่อมตามกฎหมายระหว่างประเทศจากการศึกษา ในรายละเอียดพบว่า อนุสัญญาของสหประชาชาติเกี่ยวกับยาเสพติดไม่ได้มีการประกาศควบคุม พืชกระท่อม ในบัญชีรายช่ือยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาทไว้แต่อย่างใด และจากข้อมูล ทางสถิติ ภาพรวมการควบคุมพืชกระท่อมในต่างประเทศ จํานวน ๓๓ ประเทศพบว่า ประเทศท่ีมี กฎหมายภายในควบคุมพืชกระท่อมมี ๑๘ ประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๕๔ จําแนกได้เป็น ๓ กลุ่ม ประกอบด้วย ๑) ควบคุมโดยกฎหมายว่าด้วยยาเสพติด ได้แก่ ไทย พม่า เกาหลีใต้ และอินเดีย ๒) ควบคุมโดยกฎหมายอ่ืน ได้แก่ ๒.๑) กฎหมายเกี่ยวกับยา และการรักษาพยาบาล จํานวน ๔ ประเทศ ๒.๒) กฎหมายว่าด้วยสารพิษหรือสารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท จํานวน ๒ ประเทศ ๒.๓) กฎหมายว่าด้วยการใช้ยาในทางท่ีผิด จํานวน ๒ ประเทศ และ ๓) ควบคุมโดยไม่ระบุกฎหมาย จาํ นวน ๖ ประเทศ สว่ นประเทศที่ไม่ได้ควบคุมพืชกระท่อม โดยไมม่ กี ฎหมายกําหนดวา่ เป็นยาเสพติด มี ๑๕ ประเทศ คิดเป็นร้อยละ ๔๖ หากพิจารณาเฉพาะภูมิภาคอาเซียนกับทวีปเอเชีย พบว่า ประเทศท่ีไมไ่ ดค้ วบคมุ พชื กระทอ่ มหรือกําหนดให้พืชดงั กลา่ วเปน็ ยาเสพติด ไดแ้ ก่ อินโดนีเซีย กมั พูชา ฟิลปิ ปนิ ส์ ลาว และเวยี ดนาม อยา่ งไรกด็ ี ประเทศไทยและประเทศอนิ โดนีเซียเคยหารือร่วมกันในการ นําเสนอให้พืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจ นอกจากนี้ จากการสืบค้นเอกสารทางวิชาการพบว่า มีรายงานศึกษาเกี่ยวกับพืชกระท่อมจํานวน ๗ ฉบับ ซ่ึงส่วนใหญ่เสนอแนะให้ยกเลิกพืชกระท่อม จากการเป็นยาเสพติด โดยการแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมาย ตลอดจนเสนอให้มีการตราพระราชบัญญัติ เปน็ การเฉพาะ จากการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับ การใช้กัญชา กัญชง และกระท่อมอย่างระบบ สภาผู้แทนราษฎร โดยได้เชิญหน่วยงาน องค์กร และบุคคลมาให้ข้อมูล ข้อเท็จจริง ซึ่งจากการประชุมสามารถสรุปเป็นประเด็นด้านกฎหมาย โดยมีรายละเอียดพอสังเขป ดงั นี้
- ๓๓ - ประเดน็ กฎหมายภายในประเทศ การใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชง และกระท่อม ท้ังในมิติของการแพทย์ และเศรษฐกิจ จะต้องมีกระบวนการควบคุมท่ีเหมาะสม โดยการใช้กฎหมาย และต้องสนับสนุนผู้ประกอบการควบคู่ กันไป รวมท้ังถ้ามีการอนุญาตให้มีการปลูกได้จะปลูกประเภทใดได้บ้างการนําไปใช้ประโยชน์จึงต้อง ผลักดันให้รัฐออกกฎหมายเพื่อการพัฒนาการใช้พืชเสพติดเพื่อประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น ใช้ในทาง การแพทย์ และรกั ษาตนเอง เป็นตน้ การดําเนินการควบคุมตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ จําแนกตาม ประเภทยาเสพติด ได้ดงั น้ี ๑. ยาเสพติดประเภท ๑ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครองจะกระทําได้ เฉพาะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสขุ อนุญาต ไม่สามารถนาํ ไปใชใ้ นทางการแพทย์ แตส่ ามารถ ใชท้ างวิทยาศาสตร์ได้ ไม่อนญุ าตให้เสพ แต่สามารถใช้ในการศึกษาวิจัยได้ ๒. ยาเสพติดประเภท ๒ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครองจะกระทําได้ เฉพาะท่ีเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาต สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ อนุญาตให้เสพได้ตามคําสั่งแพทย์ภายใต้หลักเกณฑ์ท่ีกฎหมายกําหนด ตลอดจน สามารถใช้ในการศกึ ษาวิจัยได้ ๓. ยาเสพติดประเภท ๓ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครองจะกระทําได้ เฉพาะท่ีเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาอนุญาต สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ อนุญาตให้เสพได้ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกําหนด ตลอดจนสามารถใช้ ในการศึกษาวจิ ยั ได้ ๔. ยาเสพติดประเภท ๔ การผลิต นําเข้า ส่งออก จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครองจะกระทําได้ เฉพาะท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุม ยาเสพติดให้โทษเป็นราย ๆ ไป ทั้งนี้ สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ อุตสาหกรรม และใช้ในการศกึ ษาวจิ ัยได้ ๕. ยาเสพติดประเภท ๕ การผลิต นําเข้า และส่งออกจะกระทําได้เฉพาะที่เลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยาอนุญาตภายใต้ความเหน็ ชอบของคณะกรรมการควบคมุ ยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ส่วนการจําหน่ายหรือมีไว้ครอบครองจะกระทําได้เฉพาะที่เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา อนุญาต สามารถนําไปใช้ในทางการแพทย์ วทิ ยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม อนุญาตให้เสพไดต้ ามคาํ สั่ง แพทย์ภายใตห้ ลกั เกณฑ์ที่กฎหมายกาํ หนด ตลอดจนสามารถใชใ้ นการศกึ ษาวิจยั ได้ ท้ังน้ี กัญชา กัญชง และกระท่อมถูกกําหนดเป็นยาเสพติดประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีหน้าท่ี ดําเนินการเก่ียวกับการป้องกันการปราบปรามการบําบัดและรักษา ตลอดจนเสนอกฎหมายที่ เก่ียวข้อง ทั้งน้ี เพื่อเป็นการง่ายต่อการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดท่ีกระจัดกระจายหลาย ฉบับ หน่วยงานจึงได้เสนอและยกร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยเฉพาะการยกเลิกให้กระท่อม ไม่เป็นยาเสพติด ซ่ึงร่างกฎหมายดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี และอยู่ในขั้น การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา กล่าวได้ว่า การดําเนินการเกี่ยวกับกระท่อมนั้น สํานักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอยู่ระหว่างการเสนอร่างกฎหมายเพ่ือยกเลิกพืชกระท่อม
- ๓๔ - จากการเป็นยาเสพติดประเภท ๕ ซึ่งเป็นผลมาจากเมื่อวันท่ี ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๒ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วย การดําเนินการเพ่ือยกเลิกพืชกระท่อมจากยาเสพติดให้โทษ สํานักงานฯ จึงได้ยกร่างพระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ยกเลิกพืชจากยาเสพติดในประเภท ๕ และรับฟังความคิดเห็น ผ่านเว็บไซต์ของสํานักงานฯ ระหว่างวันที่ ๓ – ๑๗ มกราคม ๒๕๖๓ และจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น จากผู้ทรงคุณวุฒิ หน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป เมื่อวันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๖๓ ณ โรงแรมเซ็นจูร่ี พาร์ค กรุงเทพมหานคร ซ่ึงผลจากการรับฟังความคิดเห็นได้ข้อสรุปว่า มีผู้แสดง ความคดิ เหน็ ท้งั หมด ๓,๑๘๓ คน มผี ้เู หน็ ด้วย รอ้ ยละ ๙๕ และผู้ไมเ่ ห็นด้วย รอ้ ยละ ๕ ซงึ่ ผู้ไม่เหน็ ดว้ ย มีข้อห่วงใย ๓ ประการ ได้แก่ ๑) เห็นว่าควรกําหนดให้พืชกระท่อมเป็นยาเสพติดเช่นเดิม เนื่องจาก มีฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ๒) มีความเป็นห่วงและวิตกกังวลต่อการใช้พืชกระท่อมของเด็กและเยาวชน รวมถึงการใช้พืชกระท่อมในลักษณะผสมกับส่ิงอ่ืนในลักษณะสี่คูณร้อยท่ีอาจเป็นผลให้เกิดการมึนเมา นําไปสู่การก่ออาชญากรรมอื่น และ ๓) มาตรการอ่ืนในการควบคุมเพ่ือมิให้มีการนําพืชกระท่อมไปใช้ ในทางท่ผี ิด สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้ดําเนินงานของหน่วยงานเกี่ยวกับกัญชา กัญชง และกระทอ่ ม มรี ายละเอยี ด ดงั นี้ ๑. “กัญชา” ซ่ึงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ น้ัน พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้กําหนดเก่ียวกับ การควบคุมกัญชาไว้ ๔ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแตไ่ ดร้ บั อนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษ ๒) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่าย หรือครอบครอง เว้นแต่ ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ๓) มาตรา ๒๖/๒ (๑) กําหนดให้สามารถ นํากัญชามาใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์เพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย ๔) มาตรา ๕๘ วรรคสอง กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดเสพยาเสพติดประเภท ๕ เว้นแต่เสพเพ่ือรักษาโรค ตามคําส่ังของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นการเสพเพ่ือศึกษาวิจัย ท้ังนี้ ตํารับยาที่เสพได้ ให้เปน็ ตามทร่ี ัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกําหนด มาตรการควบคุมทางการแพทย์และการศึกษาวิจัยที่หน่วยงานรับผิดชอบดําเนินการ อาทิ ๑) การออกกฎหมายลําดับรอง ๒) กระบวนการพิจารณาอนุญาต ๓) การตรวจสถานท่ีก่อนอนุญาต ให้ปลูก และ ๔) ระบบการรายงาน ซ่ึงเป็นการติดตามตรวจสอบภายหลังท่ีได้มีการอนุญาต โดยพิจารณาจากการรายงานต่าง ๆ ได้แก่ ๔.๑) บัญชีรายงานรับจ่าย ๔.๒) รายงานประสิทธิผล ๔.๓) รายงานอาการไม่พึงประสงค์ตามหลักเกณฑ์ SAS กับ AUR และ ๔.๔) ระบบติดตาม และตรวจสอบ (Track & Trace) สาํ หรับขน้ั ตอนการควบคุมมีรายละเอียดโดยสังเขป ดงั นี้ (๑) ขั้นตอนการปลูกผู้ขอรับอนุญาตปลูกที่คณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เห็นชอบให้ปลูกต้องมีการรายงานการปลูกและจําหนา่ ยไปยงั สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (๒) ข้ันตอนการผลิต ผู้รับอนุญาตแปรรูปหรือสกัดและผู้รับอนุญาตผลิตผลิตภัณฑ์ อาทิ น้ํามันกัญชา ยาแผนไทย หรืออื่น ๆ ต้องมีการรายงานการผลิตไปยังสํานักงานคณะกรรมการอาหาร
- ๓๕ - และยา ทั้งน้ี ได้กําหนดให้มีการจัดทํา Barcode ไว้ที่ฉลากบนขวดผลิตภัณฑ์ เม่ือสแกนแล้วจะทราบ รายละเอียดตา่ ง ๆ อาทิ ผผู้ ลติ วันหมดอายุ รวมถึงใบอนุญาตใหม้ ีการผลติ (๓) ขั้นตอนส่งผลิตภัณฑ์ยาไปยังสถานพยาบาลท่ีได้รับอนุญาต สถานพยาบาลนั้นต้องมี ใบอนุญาตให้จําหน่ายจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา และต้องมีรายงานการรับและจ่าย ผลติ ภณั ฑ์ รวมถึงประสทิ ธผิ ลการรักษาและอาการไมพ่ งึ ประสงค์ (๔) ขั้นตอนการรักษา จําแนกเป็น ๒ กรณี ได้แก่ (๑) กรณีแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งแพทย์ ผู้ทําการรักษาต้องผา่ นการอบรมหลักสูตรที่กระทรวงสาธารณสขุ รับรอง หากวินิจฉัยแล้วว่าผูป้ ่วยตอ้ ง ใช้ยากัญชาและก่อนการส่ังจ่ายยาดังกล่าวแล้วต้องให้ผู้ป่วยแจ้งการยินยอม (Informed Consent) และรายงานอาการไม่พึงประสงค์ระบบ SAS แต่หากไม่ต้องใช้ยากัญชาก็ให้รักษาด้วยวิธีอื่น (๒) กรณี แพทย์แผนไทยหรือหมอพ้ืนบ้าน ซึ่งแพทย์ผู้ทําการรักษาต้องผ่านการอบรมหลักสูตรท่ีกระทรวง สาธารณสุขรับรอง หากวินิจฉัยแล้วว่าผู้ป่วยต้องใช้ยากัญชา ให้ส่ังจ่ายตํารับยาแผนไทยและรายงาน อาการไม่พึงประสงค์ระบบ AUR ข้อมูลจากการสํารวจเมื่อวันท่ี ๑๔ มกราคม ๒๕๖๓ พบว่า มีใบอนุญาตเก่ียวกับกัญชา ทั้งหมด ๕๐๓ ฉบับ จําแนกได้ ๕ ประเภท ได้แก่ ๑) ใบอนุญาตปลูก จํานวน ๑๗ ฉบับ ๒) ใบอนุญาต ผลิต (สกัดหรือตํารับยา) จํานวน ๑๕ ฉบับ ๓) ใบอนุญาตให้ครอบครอง จํานวน ๕๒ ฉบับ ตัวอย่าง หน่วยงานท่ีได้รับอนุญาตให้ครอบครอง คือ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปราม ยาเสพติด ๔) ใบอนญุ าตนําเข้า จาํ นวน ๒ ฉบบั โดยออกให้องคก์ ารเภสชั กรรมและมหาวิทยาลัยแม่โจ้ ๕) ใบอนุญาตให้จําหนา่ ย จํานวน ๔๑๗ ฉบับ ๒. “กัญชง (Hemp)” ซ่ึงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น การควบคุมกัญชงเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ปรากฏรายละเอียดใน ๓ มาตรา ได้แก่ ๑) มาตรา ๒๖/๒ (๒) ได้กําหนดว่า กัญชงเป็นพืชที่มีช่ือวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. subsp. Sativa มีลักษณะตามที่คณะกรรมการ ควบคุมยาเสพติดให้โทษกําหนดประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งน้ี ให้นําไปใช้ประโยชน์ได้ตามท่ี กําหนดในกฎกระทรวง ๒) มาตรา ๒๖/๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ได้รับ อนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุม ยาเสพติดให้โทษ ๓) มาตรา ๒๖/๓ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดจําหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับ อนญุ าตจากเลขาธกิ ารคณะกรรมการอาหารและยา ข้อมูลเก่ียวกับการอนุญาตกัญชง โดยการออกหนังสือสําคัญการแสดงการอนุญาตผลิต จําหน่าย และครอบครองกัญชง ปี พ.ศ. ๒๕๖๒ จําแนกตามจังหวัดที่ตั้งของสถานที่ท่ีมีการปลูก จําหน่ายหรือครอบครอง ได้แก่ ๑) จังหวัดแม่ฮ่องสอนใช้ประโยชน์ในครัวเรือนเพื่อการศึกษาวิจัย เป็นพื้นที่ จํานวน ๑๐ ไร่ ๒) จังหวดั เชยี งใหม่ มกี ารผลิตเมลด็ พนั ธรุ์ บั รองและใชป้ ระโยชน์ในครัวเรือน และเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพ้ืนท่ี จํานวน ๔๙ ไร่ ๓) จังหวัดตาก ใช้ประโยชน์ในครัวเรือนและเพ่ือ ศกึ ษาวจิ ัย เป็นพน้ื ท่ี จํานวน ๒๓๗ ไร่ ๒ งาน ๔) จงั หวัดเชยี งราย มีการปลกู เพ่ือผลิตเมล็ดพนั ธ์รุ บั รอง เป็นพ้ืนท่ี จํานวน ๑๑๘ ไร่ ๕) จังหวัดพิษณุโลก มีการปลูกเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพื้นที่ จํานวน ๒๕๘ ตารางเมตร ๖) จังหวัดปทุมธานี มีการปลูกเพ่ือศึกษาวิจัย เป็นพ้ืนที่ จํานวน ๑๕๓.๖ ตารางเมตร และ ๗) กรุงเทพมหานคร มีการปลกู เพือ่ ศกึ ษาวจิ ัย เปน็ พนื้ ที่ จาํ นวน ๒๕ ตารางเมตร
- ๓๖ - กฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาต ผลิต จําหน่าย หรือมีไว้ครอบครอง ซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท ๕ เฉพาะเฮมพ์ พ.ศ. ๒๕๕๙ กําหนดอนุญาตให้นํากัญชงไปใช้ ประโยชน์ได้บางกรณี ได้แก่ การใช้เส้นใยหรือแกนทําเส้ือผ้าและเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นการอนุญาต ให้ใช้ได้ในบริบทอย่างแคบ ทั้งที่กัญชงสามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ได้แก่ ๑) ใบและช่อดอก ผลิตเป็นยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และเครื่องสําอาง ๒) เปลือก ลําต้น เส้นใย ใช้ผลิตส่ิงทอและเส้ือเกราะ กันกระสุน ๓) แกนลําต้นผลติ พลงั งานชีวมวล วัสดุก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ ๔) เมล็ดและน้าํ มันจากเมล็ด ใช้เปน็ อาหาร เคร่ืองสําอาง ๕) เน้ือลาํ ต้นผลติ เปน็ กระดาษและฉนวนกนั ความร้อน จากประโยชน์ของกัญชงที่หลากหลาย หน่วยงานได้ดําเนินงานเก่ียวกับกัญชงในหลาย ประการ ได้แก่ ๑) เม่ือวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เร่ือง ระบุชื่อ ยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๒ เพ่ือให้สามารถนํากัญชงและสารสกัดจากกัญชง มาใช้ในผลิตภัณฑ์อ่ืนได้ อาทิ ยา อาหาร เคร่ืองสําอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ๒) เมื่อวันท่ี ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ ได้ออกประกาศคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ เรื่อง กําหนดลักษณะกัญชง (Hemp) พ.ศ. ๒๕๖๒ กําหนดต้นกัญชงและเมล็ดพันธ์ุรับรองที่มีปริมาณสาร Tetrahydrocannabinol (THC) ทใ่ี บและช่อดอกไมเ่ กนิ รอ้ ยละ ๑ และ ๓) ปรับปรุงกฎกระทรวงเก่ยี วกบั กญั ชง เพอื่ เปดิ กวา้ งให้ สามารถพัฒนาการปลูกกัญชงไปใช้ในอุตสาหกรรมอ่ืน นอกเหนือจากการใช้ประโยชน์จากเส้นใย เท่าน้ัน ซึ่งในวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ จะได้เสนอเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ทั้งน้ี จะได้ดําเนินการออกกฎระเบียบสําหรับผลิตภัณฑ์ท่ีเก่ียวข้อง ได้แก่ ยา ผลิตภัณฑ์สมุนไพร อาหาร เครอ่ื งสาํ อาง เพือ่ รองรบั การนํากญั ชงไปใชใ้ นผลิตภัณฑ์น้ัน ๆ ต่อไป นอกจากน้ี ตามมติคณะรัฐมนตรีเม่ือวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๖๓ ได้อนุมัติหลักการที่จะ อนุญาตผลติ นําเข้า สง่ ออก จาํ หน่ายหรอื มีไวค้ รอบครองซง่ึ ยาเสพติดให้โทษประเภทท่ี ๕ เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. .... โดยให้มีลักษณะเปิดกว้างมากข้ึน เดิมทีกฎกระทรวงว่าด้วยกัญชงผู้ท่ีจะสามารถ ขออนุญาตตามกฎหมายได้คือหน่วยงานของรัฐเท่านั้น แต่ร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับใหม่น้ีจะให้ นิติบุคคลสามารถดําเนินการได้ และมีการกําหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขออนุญาตและวิธีการต่าง ๆ ใหส้ อดคลอ้ งกับกฎหมายว่าดว้ ยยาเสพติดฉบับที่ ๗ ซ่ึงกระบวนการตา่ ง ๆ ตั้งแต่ต้นนาํ้ จนถึงปลายนํ้า ตอ้ งได้รับการอนุญาตจากคณะกรรมการอาหารและยา ประเด็นกฎหมายเกี่ยวกับกัญชง หน่วยงานที่รับผิดชอบได้เสนอแก้ไขกฎหมาย เป็นร่าง ประกาศกระทรวงว่าด้วยกัญชง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบในหลักการแล้ว และอยู่ในข้ันการ พจิ ารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากนี้ ควรจะมีการศึกษากฎหมายวา่ ดว้ ยยาเสพตดิ ฉบับอ่ืน ท่ีเกี่ยวกับการให้คํานิยามเรื่ององค์ประกอบของสาร THC และ CBD อาจจะมีการปรับถ้อยคํา ภาษา ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั องค์ประกอบทางเคมีของสารออกฤทธ์ิ อย่างไรก็ดี กัญชา กัญชงมีข้อดีข้อเสียต่างกันแต่มีประโยชน์และการนํากัญชามาเพ่ือ การใช้ศึกษาวิจัยนั้นมีข้อจํากัดมากและได้รับทราบจากสถาบันการศึกษาบางแห่งว่า ติดขัดกับ กฎหมายซึ่งไม่เอ้ือต่อการนําเข้ากัญชามาศึกษาเพื่อการพัฒนาสายพันธุ์ภายในประเทศ ในกรณีแบบน้ี นา่ จะมีการผ่อนปรน แตถ่ ้าพิจารณาในประเดน็ กฎหมายทเี่ กี่ยวข้อง กฎหมายว่าด้วยยาเสพตดิ มไี ว้เพ่ือ การควบคุมผลท่ีจะเกิดขึ้นกับประชาชนและสังคม เช่น อันตรายจากการใช้ การก่อให้เกิดการเสพติด รวมท้ังป้องกันการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ กฎหมายจึงออกข้อกําหนดต่าง ๆ ต้ังแต่ต้นนํ้า
- ๓๗ - จนกระท่ังปลายนํ้า และในรายละเอียดได้กําหนดได้กําหนดปริมาณสารสกัดในกัญชา กัญชง ว่าจะต้องมีปริมาณสารที่ก่อให้เกิดการเมาและเสพติดที่ตํ่ากว่ากฎหมายกําหนดจึงจะสามารถนํามาใช้ หรือเข้าข่ายการใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย และต้องได้รับการอนุมัติ อนุญาต จากคณะกรรมการอาหารและยาด้วย อีกทั้งประเด็นเก่ียวเนื่องต่อร่างพระราชบัญญัติพืชยาเสพติด ให้คณุ ทางการแพทย์ พ.ศ. … ว่า ในบทกาํ หนดโทษหลักการควรจะมคี วามคลา้ ยคลึงหรือใหค้ งไว้ตามท่ี กฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ฉบับท่ี ๗ น่าจะเหมาะสมกว่า และการผลักดันและการ รา่ งกฎหมายนนั้ จะต้องยดึ ความต้องการประชาชนเป็นส่วนใหญ่ ซ่ึงจะตอ้ งเป็นประโยชน์ต่อการแพทย์ เศรษฐกิจ รวมท้ังกฎหมายท่ีจะออกมาบังคับใช้ต้องทนั ต่อสภาพการณ์ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ ในมาตรา ๒๑ เป็น บทเฉพาะกาลที่กําหนดให้ระยะห้าปีแรกท่ีประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว อนุญาตเฉพาะหน่วยงานรัฐ หรือหน่วยงานท่ีร่วมดําเนินการกับรัฐเท่านั้นที่สามารถขอใบอนุญาตผลิต นําเข้า หรือส่งออก เฉพาะ เพ่ือประโยชน์ทางการแพทย์ ซึ่งเกิดข้อจํากัดต่อการพัฒนาและส่งผลต่อเกษตรกรท่ีต้องการปลูก นอกจากนี้ องค์การสหประชาชาติโดยผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกทําหนังสือขอเปิดช่องให้ CBD บรสิ ุทธิ์ ทมี่ ี THC ไม่เกินรอ้ ยละ ๐.๒ ออกจากบญั ชียาเสพติดทัว่ โลกในช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๖๓ แต่การดําเนินการดังกล่าวมีข้อสังเกตว่า เอ้ือต่อประเทศบางประเทศที่มีเทคโนโลยีสกัดสารดังกล่าว ตามที่กําหนดไว้ของสหประชาชาติ ๓. “กระท่อม” ซ่ึงเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น จากการดําเนินการในกรณีนี้พบว่า กฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี ไม่มีฉบับใดที่กําหนดว่า พืชดังกล่าวเป็นยาเสพติด ซ่ึงพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ กําหนดห้ามมิให้ผู้ใดผลิต นําเข้า ส่งออก เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการ อาหารและยา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ และห้ามมิให้ผู้ใด จําหน่าย หรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา อย่างไรก็ตาม มีการกําหนดให้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ตามวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ ทางการแพทย์และการศึกษาวิจัย และห้ามมิให้ผู้ใดเสพ เว้นแต่เสพเพื่อรักษาโรคตามคําสั่ง ของผูป้ ระกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นการเสพเพื่อการวิจัยตามหลักเกณฑ์วิธีการทกี่ ฎหมายกําหนด ในขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขให้เสพ และครอบครองในพื้นทีไ่ ด้โดยไม่เปน็ ความผดิ ทั้งนี้ ปรากฏรายละเอียดว่า มีผู้ได้รับอนุญาตให้ผลิต นําเข้า และครอบครองจํานวน ๑๗ ราย อาทิ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้ขออนุญาตครอบครอง ต้นกระท่อม จํานวน ๑,๕๔๐ ต้น มีโครงการศึกษาท่ีอําเภอนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ส่วนงานวิจัย ได้รับอนุญาตให้ครอบครอง ได้แก่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และโรงพยาบาลรามาธิบดี ดังน้ัน เพื่อให้เกิดการนํากระท่อมไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง ในบริบทท่ีเหมาะสม หน่วยงานจึงเสนอให้ถอดพืชกระท่อมออกจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณากฎหมายรองรับการนําพืชกระท่อมไปใช้ประโยชน์ แต่ต้องพิจารณา ควบคุมเพ่ือมิให้มกี ารนําไปใช้ในทางที่ผดิ
- ๓๘ - ดังนั้น กระทรวงยุติธรรมจึงได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับท่ี ..) พ.ศ. .... โดยมีเหตุผลในการร่าง ๓ ประการ ได้แก่ ๑) อนุสัญญาเด่ียวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961 อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุท่ีออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 และอนุสัญญาว่าด้วย การต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติดและวัตถุออกฤทธ์ิต่อจิตประสาท ค.ศ. 1988 ไม่ได้กําหนดให้พืช กระทอ่ มเป็นยาเสพตดิ หรือวัตถุออกฤทธแิ์ ต่อย่างใด ๒) ประเทศส่วนใหญ่ไมไ่ ด้กาํ หนดให้พชื กระท่อม เป็นยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ และ ๓) ประเทศไทยมกี ารศึกษาวิเคราะห์แนวทางการใชป้ ระโยชน์จากพืชกระทอ่ ม อย่างต่อเนื่อง พบว่าพืชกระท่อมส่งผลต่อร่างกายเพียงเล็กน้อยและสามารถควบคุมได้ มีประโยชน์ ทางการแพทย์ สามารถนํามาใช้ในเชิงเศรษฐกิจได้ จึงมีข้อเสนอให้ยกเลิกพืชกระท่อมออกจากยาเสพตดิ ให้โทษ หลกั การสาํ คญั ของรา่ งพระราชบญั ญัตดิ งั กลา่ วเปน็ การแก้ไขเพิ่มเตมิ พระราชบัญญตั ยิ าเสพติด ให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ โดยให้ยกเลิกพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดให้โทษประเภท ๕ (แก้ไขเพ่ิมเติม มาตรา ๗ (๕)) และใหย้ กเลิกบทกาํ หนดโทษในความผิดเกี่ยวกับกระทอ่ ม (ยกเลกิ ความในมาตรา ๕๘/๒ มาตรา ๗๕ วรรคสาม มาตรา ๗๖ วรรคสอง มาตรา ๗๖/๑ วรรคสาม และวรรคส่ี และมาตรา ๙๒ วรรคสอง) ทั้งน้ี คาดหมายว่า จะสามารถดําเนินการตามข้ันตอนต่าง ๆ ให้ร่างพระราชบัญญัติฯ มผี ลใชบ้ งั คับประมาณในอนาคต นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรมีการกํากับมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (Good Agricultural Practices : GAP) และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ กฎหมายว่าด้วยการกักพืช และกฎหมาย ว่าด้วยการคุ้มครองพันธ์ุพืช เป็นต้น ส่วนหน้าท่ีและอํานาจของหน่วยงานที่เก่ียวข้องกับกัญชา กัญชง และกระท่อม ซึ่งจําแนกได้เปน็ ๒ ส่วน ดังน้ี ๑. ภาคบังคับ ต้องดําเนินการพืชท้ังสามชนิดตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย ๒ ฉบับ ได้แก่ ๑.๑) พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. ๒๕๐๗ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูพืชเข้าประเทศ โดยพืชท้ังสามไม่ใช่พืชต้องห้ามหรือกํากับตามกฎหมายฉบับดังกล่าว เพราะไม่ใช่สิ่งท่ีนําศัตรูพืช เข้าประเทศ อย่างไรก็ตาม หากจะมีการนําเข้าต้องมีใบรับรองว่าปลอดศัตรูพืชและในกรณีการนําเข้า เพื่อการขยายพันธ์ุต้องมีใบรับรองว่าไม่ใช่พืชที่ตัดต่อพันธุกรรม ซึ่งถ้าไม่ดําเนินการจะมีโทษปรับ และ ๑.๒) พระราชบัญญัติคุ้มครองพันธ์ุพืช พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงเป็นกฎหมายเก่ียวกับการส่งเสริม และสร้างแรงจูงใจให้มีการพัฒนา และปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่ ๆ ภายใต้หลักความปลอดภัยทางชีวภาพ โดยหากมีการนาํ พืชท้งั สามชนิดไปใชศ้ ึกษาตอ้ งขออนญุ าต เพือ่ ออกหนังสือรบั รองพันธพ์ุ ชื ๒. ภาคสมัครใจ เป็นการเปิดโอกาสให้สามารถนําพันธ์ุพืชมาขอให้หน่วยงานรับรองพันธุ์พืช โดยการขึ้นทะเบียนและทําบัตรประจําตัวพันธุ์พืชของประเทศไทย เป็นการคุ้มครองเชิงปกป้อง และให้มีมาตรฐานการผลิต ในขณะน้ีมีการศึกษาวิจัยในเรื่องน้ี โดยมีระยะเวลาตามแผน การดําเนินงาน ๓ ปี มุ่งเน้น เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ได้แก่ การศึกษาเทคโนโลยีการผลิต การใส่ปุ๋ย ระบบการจัดการ และการอารักขาพืช ตลอดจนการสร้างมาตรฐานการผลิต อย่างไรก็ตาม ปัจจบุ นั การนําร่องแล้ว ๑ สายพันธ์ุ คือ กญั ชาอิสระ ๐๑ ส่วนการคุ้มครอง กรมทรัพย์สินทางปัญญามีหน้าที่จดทะเบียนคุ้มครอง และใช้ประโยชน์ ทางพาณิชย์ ซงึ่ เก่ยี วข้องกบั กฎหมายทรัพยส์ ินทางปญั ญาของมนษุ ยค์ ิดค้นข้ึนมา อาทิ เคร่ืองหมายการค้า สิทธิ สิทธิการจัดการออกแบบ และสิทธิบัตร โดยวันน้ีคงจะมีกรอบการนําเสนอเก่ียวเน่ืองเฉพาะ กัญชา กัญชง และกระท่อม และการผลิต การคิดค้นจะมีกระบวนการได้มา การประดิษฐ์
- ๓๙ - และกรรมวิธีการผลิตสาร THC และ CBD เป็นต้น ถ้าหากเข้าข่ายการจดทะเบียนก็จะได้รับ การคุ้มครอง และผลิตภัณฑ์ดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อความสงบของสังคม ท้ังน้ี หลักเกณฑ์การพิจารณา ในการจดทะเบียนคุ้มครองในการเอาไปใช้ประโยชน์จากกระบวนการขั้นตอน กรรมวิธีการผลิต เพ่ือจําหน่าย โดยมีหลักการอยู่ ๓ ประการด้วยกัน คือ ๑) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ และไม่เคยปรากฏว่า มีใครผลิตและไม่เคยแพร่มาก่อนทั่วโลก มีข้ันตอนซับซ้อน ต่อมาเม่ือผ่านเกณฑ์ที่หนึ่งก็จะพิจารณา ในข้ันต่อไป ๒) ขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น มากกว่าขั้นธรรมดาสามัญ และ ๓) ประยุกต์ใช้อุตสาหกรรม หรอื เปน็ สารสกัดต่าง ๆ แตต่ วั สารไมส่ ามารถขอจดทะเบียนคมุ้ ครองได้ การจดทะเบียนเกี่ยวกับกัญชาจากต่างประเทศ โดยการจดทะเบียนคุ้มครองท่ีผ่านมา เก่ียวข้องกับคําส่ังคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ เม่ือ พ.ศ. ๒๕๖๒ จึงไม่สามารถรับจดทะเบียน ได้ตามคําส่ังของ คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ แต่หลังจากมีกฎหมายปลดล็อคให้แล้ว กรมทรัพย์สินทางปัญญาก็จะพิจารณาตามเกณฑ์ท่ีกล่าวมาแล้ว และในขณะนี้มีการยื่นขอมาบ้างแล้ว แต่กฎหมายกําหนดให้ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลได้จนกว่าจะมีการประกาศโฆษณา ยกเว้นส่วนท่ี จะเปิดเผยได้ ซ่ึงจะมีการพิจารณาว่าย่ืนขอจดทะเบียนในลักษณะไหน เน่ืองด้วยการจดสิทธิบัตรมีผล ต่อการพัฒนาและสร้างศักยภาพและโอกาสของประเทศ อาทิ น้ําพริกศรีราชา ที่มีต่างประเทศนําไป จดสิทธิบัตรจนส่งผลต่อประเทศไทย หรือกรณีของกระท่อมจะมีผลต่อประเทศไทย เช่น อาจจะมีคน นําคาํ วา่ Katom หรอื Thai Stick ไปจดสทิ ธบิ ัตร ซ่ึงกรมทรพั ยส์ ินทางปัญญาเสนอว่า การใช้กฎหมาย คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญามีหลายข้ันตอน ถ้าไม่มีความใหม่และมีระดับนวัตกรรมท่ีสูงข้ึนก็จะ ไม่เข้าเกณฑ์การขอจดทะเบียน แต่ประเด็นน้ี น่าจะเป็นการจดการคุ้มครองเครื่องหมายการค้า ส่วนช่ือ Katom ยังไม่มีข้อมูล แต่ถ้าเป็นช่ือหรือที่เรียกว่าชื่อสามัญทางการค้าไม่สามารถขอจดทะเบียน คุ้มครองได้ อาทิ ไทย สาย ขาว เป็นต้น ไม่มีบุคคลใดท่ีสามารถเก็บไว้ใช้แต่เพียงผู้เดียวได้ เพราะคํา ไมส่ ามารถจดทะเบียนคุ้มครองได้ ยกเวน้ นาํ ไปดัดแปลงเป็นรปู หรือสญั ลักษณอ์ ่นื กรณีการคุ้มครองพันธ์ุพืชประเทศไทยมีพระราชบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืช โดยอยู่ ภายใต้กรอบของอนุสัญญาว่าด้วยสหภาพระหว่างประเทศเพ่ือคุ้มครองพันธ์ุพืชใหม่ ค.ศ. 1991 และในปัจจุบันมีความพยายามจะให้ประเทศไทยอนุวัติการ (Implementation) กฎหมายภายใน ประเทศเพ่ือให้การคุ้มครองสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาของนักปรับปรุงพันธ์ุพืชและบริษัทเมล็ดพันธ์ุ (Plant breeder’s right หรือ Plant varieties protection) โดยมีการผลักดันร่างกฎหมายคุ้มครอง พันธพ์ุ ืชเสนอต่อรฐั บาลและรฐั สภา ซ่ึงมีสาระสําคญั ตามแนวทางของสหภาพเพ่ือคุ้มครองพันธ์ุพืชใหม่ (UPOV) ซ่ึงให้การคุ้มครองสิทธิของนักปรับปรุงพันธ์ุเฉพาะพันธุ์พืชใหม่ ซึ่งถ้ารับหลักการดังกล่าว เข้ามาจากเดิมให้ระยะเวลาคุ้มครองประมาณ ๑๒ ปี จะทําให้ขยายระยะเวลาคุ้มครองไปอีกประมาณ ๒๐ ปี ซ่ึงจะส่งผลต่อการขยายและปรับปรุงพันธุ์พืชในประเทศ และส่งผลต่อการจดสิทธิบัตร จนเมล็ดพนั ธุพ์ ้นื เมืองสญู หายได้ ประเด็นกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ ได้แก่ อนุสัญญาเดยี่ ววา่ ดว้ ยยาเสพติดใหโ้ ทษ ค.ศ. 1961 และพธิ สี าร แก้ไขอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ. 1961, ค.ศ. 1972 อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุออกฤทธิ์ ต่อจิตและประสาท ค.ศ. 1971 และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบค้ายาเสพติด
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399