Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่ม 4 (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

เล่ม 4 (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

Published by agenda.ebook, 2022-01-21 08:47:09

Description: (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 4 ครั้งที่ 30 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566

Search

Read the Text Version

๘๒ ลาดับ หน่วยงาน รายละเอยี ด / การดาเนินการ หมายเหตุ การก่อสร้างในช่วงระยะท่ี ๒เพื่อจัดลาดับความสาคัญใหม่ อย่างเป็นระบบซึง่ ไม่ใช่ MR-MAP ทจ่ี ะสรา้ งทกุ อยา่ งพร้อมกันแต่ ต้องมีแบบจาลองที่น่าเช่ือถือมาวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบใน รูปแบบ scenarios analysis เช่น DoNothing , A, B, C, AB, AC, BC, ABC เป็นตน้ ๕ - กระทรวง พ้ืนท่ีบริเวณอาเภอปากช่องและอาเภอสีคิ้ว มีโครงการคมนาคม ควรดาเนินการ คมนาคม ขนาดใหญ่ผ่าน จึงควรมีแผนการพัฒนาเชิงพื้นท่ีรองรับอย่าง ใหแ้ ล้วเสร็จ - สานกั งาน สภาพัฒนาฯ ชัดเจน และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบ ภายใน ๕ ปี - การรถไฟ ประโยชน์ที่จะได้รับ ดังนั้น จึงควรให้หน่วยงานท่ีมีหน้าท่ี แห่งประเทศไทย- ดาเนินการเกี่ยวกับเศรษฐกิจ และสังคม เช่น สานักงาน - สานกั งาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ ดาเนนิ การ นโยบายและ สรา้ งการรับรู้แกป่ ระชาชน แผนการขนสง่ และจราจร ๖ - กระทรวง ต้องมีความชัดเจนในแผนงานของหน่วยงานท่ีจะดูแลเรื่องรถไฟ ควรดาเนนิ การ คมนาคม ความเร็วสูงต่อไป - กรมการขนสง่ ใหแ้ ล้วเสรจ็ ทางราง ภายใน ๒ ปี - การรถไฟ แห่งประเทศไทย ๗. -กรมการขนสง่ ควรมกี ารกาหนดมาตรฐานกลางทจ่ี ะใชใ้ นประเทศในอนาคต ควรดาเนนิ การ ให้แล้วเสร็จ ทางราง ภายใน ๒ ปี - การรถไฟ แหง่ ประเทศไทย ๘. -กรมการขนสง่ ช่วงบางซ่ือ - ดอนเมือง ซึ่งทับซ้อนกับโครงการรถไฟความเร็วสูง ควรดาเนินการ ทางราง เชื่อม ๓ สนามบิน ยังไม่มีความชัดเจน ควรมีการวิเคราะห์ ให้แลว้ เสร็จ - การรถไฟ แหง่ ประเทศไทย Redundant Cost จากงานโครงสร้างและงานระบบของช่วงท่ี ภายใน ๒ ปี ทับซ้อนอย่างละเอียดเพื่อเรียนรู้จากปัญหาในอดีตและป้องกัน ไม่ให้เกิดข้ึนอีกในอนาคตจากการที่สร้างเป็นสาย ๆ โดยไม่มี มาตรฐานกลาง ๙. - กระทรวง ควรมีการลงทุนร่วมกันระหวางรัฐกบั เอกชน เพอ่ื ไมใ่ ห้รฐั รบั ภาระ ควรดาเนนิ การ แต่เพียงฝ่ายเดียว โดยเฉพาะในช่วงสภาวะเศรษฐกิจท่ีมีการแพร่ ใหแ้ ลว้ เสรจ็ คมนาคม ระบาดโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เพื่อไม่ให้ ภายใน ๒ ปี - กระทรวง เปน็ ภาระของประเทศในอนาคต การคลัง



บรรณานกุ รม เอกสาร สานักงานปลัดกระทรวงคมนาคม (๒๕๖๓) รายงานโครงการศึกษาเพื่อสนับสนุนการขับเคล่ือน ติดตาม และประเมินผลการดาเนนิ โครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหวา่ งไทย-จีน ประจาปีงบประมาณ ๒๕๖๓ เอกสารการประชุม บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการการคมนาคม คร้ังที่ ๒๙ วันพฤหัสบดีที่ ๓ กันยายน พ.ศ .๒๕๖๓ ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธกิ าร (สผ.) ๔๑๒ ชน้ั ๔ อาคารรัฐสภา บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการการคมนาคม ครั้งท่ี ๓๐ วันพฤหัสบดีท่ี ๑๐ กันยายน พ.ศ .๒๕๖๓ ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) ๔๑๒ ช้นั ๔ อาคารรฐั สภา บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการการคมนาคม คร้ังที่ ๓๑ เม่ือวันพฤหัสบดีท่ี ๒๔ กันยายน พ.ศ .๒๕๖๓ ณ หอ้ งประชมุ คณะกรรมาธิการ (สผ.) ๔๑๒ ชั้น ๔ อาคารรัฐสภา บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการการคมนาคม คร้ังที่ ๓๒ เมื่อวันพฤหัสบดีท่ี ๘ ตุลาคม พ.ศ .๒๕๖๓ ณ หอ้ งประชมุ คณะกรรมาธิการ (สผ.) ๔๑๒ ชน้ั ๔ อาคารรัฐสภา บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการการคมนาคม คร้ังท่ี ๓๓ วันพฤหัสบดีที่ ๕ พฤศจิกายน พ.ศ .๒๕๖๓ ณ ห้องประชมุ คณะกรรมาธกิ าร (สผ.) ๔๑๒ ชั้น ๔ อาคารรัฐสภา บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการการคมนาคม คร้ังท่ี ๓๕ วันอังคารท่ี ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ .๒๕๖๓ ณ หอ้ งประชุม สานักงานสนามโครงการรถไฟความเร็วสงู ไทย - จนี (ปากชอ่ ง) บันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการการคมนาคม คร้ังท่ี ๔๐ วันพฤหัสบดีที่ ๒๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ณ หอ้ งประชุมคณะกรรมาธิการ (สผ.) ๔๑๒ ชน้ั ๔ อาคารรฐั สภา หนังสือราชการ การรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ รฟ ๑/๒๑๐๓/๒๕๖๓ ลงวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ เร่ือง ขอนาส่งข้อมูล โครงการรถไฟความเรว็ สูงชว่ งกรงุ เทพมหานคร - นครราขสีมา และชว่ งนครราชสีมา - หนองคาย

๘๕ ภาคผนวก

๘๖ ญตั ติเพื่อพิจารณาศกึ ษา ตรวจสอบ และตดิ ตาม การดาเนนิ โครงการรถไฟความเร็วสงู ชว่ งกรุงเทพมหานคร – นครราชสมี า และชว่ งนครราชสีมา – หนองคาย

๘๗ ญตั ตดิ ว่ น เรอ่ื ง ขอใหส้ ภาผแู้ ทนราษฎรตง้ั คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั เพอื่ ศึกษาตรวจสอบ และติดตามการดาเนินการโครงการรถไฟ ความเรว็ สูงชว่ ง กรงุ เทพ – นครราชสมี า และ ชว่ ง นครราชสีมา – หนองคาย (นายวนิ ท์ สธุ รี ชัย และนายสุรเชษฐ์ ประวีณวงศ์วุฒิ ผเู้ สนอ)

๘๘

๘๙

๙๐

๙๑ ญตั ติ เรอ่ื ง ขอใหส้ ภาผแู้ ทนราษฎรตงั้ คณะกรรมาธกิ ารวสิ ามญั ตดิ ตามการดาเนนิ งานกอ่ สร้างรถไฟความเรว็ สูง ชว่ งกรุงเทพมหานคร – นครราชสีมา และนครราชสมี า – หนองคาย (นายประเสรฐิ จนั ทรรวงทอง และนายอุบลศักด์ิ บวั หลวงงาม ผเู้ สนอ)

๙๒

๙๓

๙๔ รายชอื่ ฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ---------------------------------- กลุ่มงานคณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม สานักกรรมาธิการ ๑ ๑. นางสาวจนั ทิมา ทองชาติ ผูบ้ ังคับบัญชากล่มุ งานคณะกรรมาธกิ ารการคมนาคม ๒. นายพงศ์พนั ธ์ุ จติ รานุกิจ วิทยากรเชีย่ วชาญ ๓. นายสธุ ี เพญ็ ศศิธร นิตกิ รชานาญการพิเศษ ๔. นางปวีณา ศรีสาทร นิติกรชานาญการพิเศษ ๕. นางสาวมนี า ไพรวัลย์ วิทยากรชานาญการพิเศษ ๖. นายประเสรฐิ วงศ์ภูธร วทิ ยากรชานาญการ ๗. นายธรี พล ประดิษฐบรรจง วทิ ยากรชานาญการ ๘. พันจ่าอากาศโท ฤทธิชัย จันทา นติ ิกรชานาญการ ๙ นางฉัตรกนกวรรณ จันทา นติ กิ รชานาญการ ๑๐. นางแววตา ปะดอตา เจา้ พนักงานธรุ การชานาญงาน ๑๑. นางสาวณภัทร์ แสงสว่าง เจา้ พนกั งานธุรการชานาญงาน ๑๒. นายพงศส์ นั ต์ แซ่ลิม้ เจา้ พนักงานธรุ การชานาญงาน ๑๓. นางสาววิไลลกั ษณ์ บุญเทียน เจา้ พนกั งานธุรการปฏบิ ัติงาน ๑๔. นางสาววิรยิ ามน ลิม่ สงวน นักวิชาการสนบั สนนุ งานนติ ิบัญญตั ิ *****************************





รายงานผลการพจิ ารณาศึกษา เรอื่ ง ความคมุ้ คา่ และประสทิ ธผิ ล การสง่ เสรมิ การลงทุน ตอ่ การพัฒนาเศรษฐกจิ ของคณะกรรมาธิการการพฒั นาเศรษฐกจิ สภาผ้แู ทนราษฎร กลมุ่ งานคณะกรรมาธกิ ารการพัฒนาเศรษฐกจิ สานักกรรมาธกิ าร ๑ สานกั งานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

CJ (^nmn) n m oosig^.oc^/ <« 6lfnWl,LVl<U,3TW</wl‘3 nV13J. ©omoo ^'UellWLcl'U 9 (Jiaifaj fodrbs: DITUIIEJ'U lJ'5«5l‘Ufl/l1WUVlt!^TW{]1 30^3^0^00 nEj^ntirm^nw 1I03 mid-aLfilumiei^vi'UP'iarm^'ui <« iiuiv, G) s *» s (5n^‘^vi,U,3sie«ii?imwLm‘uii<w/]i ^vi b^ilvl ®> m^v\\ b® (^ensTajiJi^aitl^fwviw) tu^syi s)© na-*u&jiEj'u bcrbb ,niJi^e«jj?ifnw%u/ ,yi,u‘5i^/]'3 is t qj Q emi1m/ iymriwp m*jj anlvj/oidijvsi'/u<=iiviuaosiai'ui^^isn^qaj ua;^^'ur|m'iJ^^fn1w/ uvi'u^fji bcTbb ^0 g^o (b^l^nTan'as^ifiarm ^0i<jaji?i0euvtiij 0^001^ vila^nwula^ ^ vi m 01nuwa fra sviu ^0m‘3if3i‘3y5fi06U0-36fn^ 5100/10^Lan^'u iJ‘3^6(ii6y‘u aai'um'adyn^^^w^luiJisitvi^iLa^miy?^ <*9 1 <AS cd iS ^ l<ua^0ulafTM0i0?i^wan'5^yi<u(5i'0iPi'3‘W0n06u0^1vi0 niivfwlauiaua^i.m'urm^’ui dS iQlSu w*=S n'aunBmiaai^'uJi ibsnaueniSEJ <*a <*9 sa. ■ui^anmnujqji wana 0j0^50040O!^0003J05000 b. ,u00anjvi,vN0,u a^^iltSa^ 00^0j0^5004004^0000J05000 0040000^ 1 I cn. i!i000aqyi5 0‘uvnaluyii 0a-00j0^50040a!^0003J05000 004^39^ s:. ^10^00004 0Q'30j0\"5004PlfU\"0003J05000 004^3004 (T. cU00l6di0^ 5tU0a3J0‘Ua0fU 0Q^0j0^50043n4^n000J05n00 304^3 0j0£5004vi0j0fm0Pia4£n000j05n00 11 ^0j0n0!f0aa4^n000j05n00 I?i<wnaa!^n000j05n00 b. 140^00^0 ^03Ja0‘U50Pl‘U0 1 gtI. 040^3000^0^^1 l,Via,0500ijyi?1<l4 1 is d. <u00m0^0<^ a0j0(5i000 g^. 0400^^00 ivia05000jy)Vm I§j'0naai^n000j05n00 (5)0 . 040^a000000A|0 30451^0 13^004300334^10000105300 1 s W6ij00l.a'0J004300334\"3000105300 (5)(5). 040000pm/] 130^0^3005 V1 ®b. 040050400 leU003 3003405300 s 3003J05300 S)Gn. 0400000^104 ^0‘W0'U5a0 0400300^ l'U0'00004'00 3003405300 3003405300 1 G)&. 04000N'U^I 00(?ll,P100ff| ay Ji /W'U...

Is ltu^‘3i/nJisea3j€ifnmi)vitm,wf]‘3 b&\\)v\\ © flfwi © (^enajcyiJ^^iiJmwgia^) a'U'MS'n b viqpiania'u locrbb •uiEJcna^ L<ua>3a0i<u-3^ ifi’uniiniBrmu.vm ■uiauaiwa‘3 ^^fnaanainmiiiJ'UfmunBm'a maaw ^ n'uaiau fecTbio uad'UFi'aniJ'a^u s ?!/nw1/uvru<3iy/]‘3 mv<=\\j bcr d en fif&-3vdi 6)& (fiQ^Senaosj^jili^aO 'idiJ^QS^ydivdi^) f<'uunq'Woyenjd^vdi bb bdrbs: 1/ <ui<i?mu,,u,u ucuaBen ?\\mv wib^ajm'u^aijW^ 'unaviupi waiaanamrmi.fJ’un'a'aijnBni^ maa'uyi ® nin/ji^jj bcTbs: ‘upi'u ^ai^n'a'juisnTal^nm’urm^aiioji^n'wi ila^ “pmu^ajHauasiiJi^aviBwei niid^LeiBajni^viti^anii^'uiim^na” ^failaufaatm a^nii‘ULlatu3jnmaI'il<3(?i<uii)a<ua^iJ‘3S6ajj?f/n 1 rfa , wim'U‘3i‘Wf]ima^ai‘3an^ia^ntuiia^a^i,npieoa^<=ia!siniiiJi5m,5(?i'al<iJ “ua u,?i ^mau1!uaaam>3m (a^^a) pilnajan mjana «i> n (‘un^aaamnajqji mjana) 'iJ^^sn'uaai^n'aiuiBrmm^iAiKU'uiL^nyina aTunn'a'junsm^ s) nau^i'uaai^rmiJiBmifmiAi^uii^'amna 1 *9 IvilfllAIVl o bbs^lo &Gioo (?ia b©cs© liJiwmaaiarmia^na thaieconcommittee@§maiLcom arnnan^ S-l.wItfL (‘ui-iaiTiJlaia<5d umlau) wa°a,uaamia0Tunn‘3i3Ji5m'3 © v ui-aana^'a'i aa^ivia^ / in Inpia / in<miiii£u / ana anavnu an£ v<=ij si unana^pin aaavia^ b tmemiJaiqnwi Lauu^Iu anvl <m ui-iainnai

-ก- รายนามคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผูแ้ ทนราษฎร นางสาวศริ ิกญั ญา ตันสกลุ ประธานคณะกรรมาธิการ นายสัณหพจน์ สขุ ศรเี มอื ง นายจรัสฤทธ์ิ จนั ทรสุรนิ ทร์ นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทห่ี น่ึง รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทสี่ อง รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทส่ี าม นายโชตวิ ุฒิ ธนาคมานุสรณ์ นางกรณศิ งามสุคนธร์ ัตนา นางสาวจฑุ าฑัตต เหลา่ ธรรมทศั น์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนทสี่ ่ี ประธานท่ปี รึกษาคณะกรรมาธิการ ทป่ี รกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร นางสาวจิราพร สินธุไพร นายวรศิษฎ์ เลยี งประสิทธิ์ นายเท่าพิภพ ลม้ิ จติ รกร เลขานกุ ารคณะกรรมาธิการ ผูช้ ว่ ยเลขานกุ ารคณะกรรมาธกิ าร โฆษกคณะกรรมาธิการ นายเขตรฐั เหลา่ ธรรมทัศน์ นายธนกร ไชยกุล นายจิรวัฒน์ ศริ พิ านชิ ย์ โฆษกคณะกรรมาธกิ าร กรรมาธิการ กรรมาธิการ นางสาวแนน บณุ ย์ธิดา สมชยั นายสรวุฒิ เนื่องจานงค์ กรรมาธกิ าร กรรมาธิการ

-ข- รายนามทปี่ รกึ ษา และเลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ (ปจั จุบนั ) ๑. นายวรี ะยทุ ธ กาญจนช์ ฉู ัตร ที่ปรกึ ษาประจาคณะกรรมาธิการ ๒. พนั ตารวจโท สืบสกุล เขม็ ทอง ท่ปี รึกษาประจาคณะกรรมาธิการ ๓. นายจักรพงษ์ แสงมณี ที่ปรึกษาประจาคณะกรรมาธิการ ๔. นายพชร ปองเงนิ เลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ ๕. นายประวทิ ย์ พวงสมบัติ เลขานุการประจาคณะกรรมาธกิ าร ๖. นางสาวสภุ ญิ ญา จนั ทรสุรนิ ทร์ เลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ ๗. นายรฐั รตั นไตรภพ เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๘. นายคณพัฒน์ ตรีประพันธ์กิจ เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๙. ร้อยตารวจเอกจอมเดช ตรีเมฆ เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๑๐. นายกิติศักด์ิ อนิ ชูกุล เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๑๑. นายบญุ ณรงค์ รกั ษาวงศ์ เลขานุการประจาคณะกรรมาธกิ าร ๑๒. นายประทีป ลา่ รุ่งเรอื ง เลขานุการประจาคณะกรรมาธกิ าร ๑๓. นางสาวศศณิ ัฏฐ์ กติ ติสิรภิ ัทรา เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๑๔. นางสาวอมาวรินทร์ อินทรยี ส์ ุข เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธกิ าร ๑๕. นางสาวอรวรรณ สวุ รรณมณี เลขานุการประจาคณะกรรมาธกิ าร ๑๖. ร้อยตารวจตรไี ชยพงษ์ อัครกิตติจ์ ินดา เลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ ๑๗. นายนนทชัย ตรงโยธิน เลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ ๑๘. นางสาวพัชระภรณ์ กนกกุล เลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ ๑๙. นายชนิ วัฒน์ สกลุ ตง้ั ไพศ เลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ ๒๐. นางสาวสุรนยี ์ ไชยกุล เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๒๑. นางสาวอญั ชลุ ีกร ไชยกุล เลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ ๒๒. นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๒๓. นางสุรางค์ จันทรสถาพร เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๒๔. นายพลฎั ฐ์ นิติสถาพรพงศ์ เลขานุการประจาคณะกรรมาธกิ าร ๒๕. นายฉตั ร คาแสง เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ

-ค- รายนามทป่ี รึกษา และเลขานุการประจาคณะกรรมาธกิ าร (ในอดตี ) ๑. นายวรี ะยุทธ กาญจนช์ ฉู ัตร ทีป่ รกึ ษาประจาคณะกรรมาธิการ ๒. พันตารวจโท สบื สกุล เขม็ ทอง ที่ปรึกษาประจาคณะกรรมาธิการ ๓. นายจักรพงษ์ แสงมณี ทปี่ รึกษาประจาคณะกรรมาธิการ ๔. นายพชร ปองเงนิ เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๕. นายประวทิ ย์ พวงสมบตั ิ เลขานุการประจาคณะกรรมาธกิ าร ๖. นางสาวสภุ ญิ ญา จนั ทรสุรนิ ทร์ เลขานุการประจาคณะกรรมาธกิ าร ๗. นายรฐั รัตนไตรภพ เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธกิ าร ๘. นายคณพฒั น์ ตรีประพนั ธ์กิจ เลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ ๙. ร้อยตารวจเอกจอมเดช ตรีเมฆ เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๑๐. นายกติ ศิ กั ด์ิ อินชูกุล เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๑๑. นางสุเนตตา แซ่โก๊ะ เลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ ๑๒. นายบุญณรงค์ รักษาวงศ์ เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๑๓. นางสาววรี าชินันท์ ภูภ่ กั ดพี นั ธ์ เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธกิ าร ๑๔. นางสาวมทุ ิตา สขุ ศรเี มือง เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๑๕. นายประทีป ลา่ รงุ่ เรือง เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธกิ าร ๑๖. นางสาวศศิณฏั ฐ์ กติ ตสิ ริ ภิ ัทรา เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๑๗. รอ้ ยตารวจตรไี ชยพงษ์ อัครกิตตจิ์ นิ ดา เลขานุการประจาคณะกรรมาธกิ าร ๑๘. นายนนทชัย ตรงโยธิน เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๑๙. นางสาวพชั ระภรณ์ กนกกลุ เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธิการ ๒๐. นายชนิ วฒั น์ สกลุ ตงั้ ไพศาล เลขานุการประจาคณะกรรมาธกิ าร ๒๑. นางสาวสรุ นยี ์ ไชยกุล เลขานุการประจาคณะกรรมาธกิ าร ๒๒. นางสาวอัญชลุ กี ร ไชยกุล เลขานุการประจาคณะกรรมาธกิ าร ๒๓. นายชนินทร์ ร่งุ ธนเกยี รติ เลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ ๒๔. นางสรุ างค์ จันทรสถาพร เลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ ๒๕. นายพลฏั ฐ์ นติ สิ ถาพรพงศ์ เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธกิ าร ๒๖. นายฉตั ร คาแสง เลขานกุ ารประจาคณะกรรมาธกิ าร

-ง- รายนามทปี่ รึกษาประจาคณะกรรมาธิการ (ไม่มีคา่ ตอบแทน) รายนามท่ีปรึกษาประจาคณะกรรมาธกิ าร (ปัจจุบัน) ๑. นายสชุ าติ ชาติวรรณ ๒. นายไชยรตั น์ ลุสวสั ด์ิ ๓. นางสาวปรารถนา กวินวฒุ กิ ุล ๔. นายรฐั ชยตุ ม์ รุง่ จารพุ ันธ์ ๕. นายสัตตพล ดาราวุฒิ ๖. นางสาวนงลักษณ์ ทุงจนั ทรพ์ งศ์ ๗. นายครองพล อภิธนาคุณ ๘. นายณัฐพงศ์ พื้นแสน ๙. นางสาวชญาภา สนิ ธไุ พร ๑๐. พันตารวจเอก โชติวิเชียร วิเชยี รโชติ ๑๑. นายรณวติ หล่อเลิศสุนทร ๑๒. นายชัชวนันท์ สนั ธเิ ดช ๑๓. นายพริษฐ์ จติ ตโรภาส ๑๔. นายอนสุ รณ์ อาศิรเลิศสิริ ๑๕. นายสมาชกิ หาญจิตต์เกษม รายนามที่ปรกึ ษาประจาคณะกรรมาธิการ (ในอดตี ) ๑. นายศนั สนะ สรุ ิยะโยธิน ๒. นายสชุ าติ ชาติวรรณ ๓. นายไชยรัตน์ ลสุ วสั ด์ิ ๔. นางสาวปรารถนา กวินวฒุ ิกุล ๕. นายประกฤต ธัญวลัย ๖. นายบญุ ญฤทธิ์ ยอดระบา ๗. นายรฐั ชยตุ ม์ รุ่งจารุพนั ธ์ ๘. นายสตั ตพล ดาราวฒุ ิ ๙. นางสาวนงลกั ษณ์ ทุงจนั ทร์พงศ์ ๑๐. นายครองพล อภิธนาคุณ ๑๑. นายณัฐพงศ์ พนื้ แสน ๑๒. นางสาวชญาภา สนิ ธุไพร ๑๓. พันตารวจเอก โชตวิ เิ ชยี ร วเิ ชยี รโชติ ๑๔. นายรณวิต หล่อเลศิ สนุ ทร ๑๕. นายชัชวนนั ท์ สนั ธิเดช ๑๖. นายพรษิ ฐ์ จติ ตโรภาส ๑๗. นายอนสุ รณ์ อาศิรเลศิ สิริ ๑๘. นายสมาชกิ หาญจติ ตเ์ กษม

-จ- รายนามคณะอนุกรรมาธิการศึกษาความค้มุ ค่าและประสิทธิผล การสง่ เสริมการลงทุน ตอ่ การพัฒนาเศรษฐกจิ ในคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร นายพิจารณ์ เชาวพฒั นวงศ์ ประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร นางสาวจริ าพร สนิ ธุไพร นายประมวล สุธีจารวุ ัฒน นายเทา่ พิภพ ล้มิ จติ รกร รองประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ อนุกรรมาธกิ าร คนทีห่ นงึ่ คนทส่ี อง นายจิรฏั ฐ์ ทองสวุ รรณ์ นายชัชวาล ชนิ วิกัย นายเอราวณั วานิชย์หานนท์ อนกุ รรมาธิการ อนกุ รรมาธิการ อนกุ รรมาธิการ นายศภุ สิทธิ์ ศิรเิ ศรษฐ์ นายบัญญตั ิ บุญญา นายสทิ ธพิ ล วบิ ูลยธ์ นากลุ อนกุ รรมาธิการ อนกุ รรมาธกิ าร เลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธิการ

-ฉ- รายงานผลการศกึ ษา เรอ่ื ง ความคุ้มคา่ และประสทิ ธิผล การส่งเสรมิ การลงทุนต่อการพฒั นาเศรษฐกจิ ของคณะอนกุ รรมาธิการศึกษาความคมุ้ คา่ และประสทิ ธิผล การสง่ เสริมการลงทุนต่อการพัฒนาเศรษฐกจิ ในคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกจิ สภาผแู้ ทนราษฎร ------------------------------------- ตามที่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ ๒๕ ปีท่ี ๑ คร้ังท่ี ๒๑ (สมัยสามัญประจาปีครั้งที่ หนึ่ง)วันพุธท่ี ๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ ท่ีประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้ลงมติแต่งตั้งคณะกรรมาธิการการ พัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีหน้าท่ีและอานาจตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๒๕) ในการกระทากิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใด ๆ ท่ีเกี่ยวกับผลกระทบต่อการเศรษฐกิจของชาติ ธุรกิจภาคเอกชน ประชาชน สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ในประเทศและเศรษฐกิจของภูมิภาคต่าง ๆ ในสังคมโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย รวมทั้งนโยบายและแผนการพฒั นาเศรษฐกจิ ของรฐั นน้ั ซ่ึงกรรมาธกิ ารคณะนี้ ประกอบดว้ ย ๑. นางสาวศริ กิ ัญญา ตนั สกลุ ประธานคณะกรรมาธกิ าร ๒. นายสณั หพจน์ สขุ ศรีเมือง รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนที่หนงึ่ ๓. นายจรัสฤทธ์ิ จนั ทรสรุ ินทร์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนที่สอง ๔. นายพจิ ารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สาม ๕. นายโชตวิ ุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองประธานคณะกรรมาธกิ าร คนที่สี่ ๖. นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร โฆษกคณะกรรมาธกิ าร ๗. นายเขตรัฐ เหลา่ ธรรมทศั น์ โฆษกคณะกรรมาธิการ ๘. นางสาวจริ าพร สินธุไพร เลขานกุ ารคณะกรรมาธิการ ๙. นายวรศิษฎ์ เลยี งประสทิ ธิ์ ผชู้ ว่ ยเลขานกุ ารคณะกรรมาธิการ ๑๐. นางกรณิศ งามสคุ นธร์ ัตนา ประธานท่ปี รกึ ษาคณะกรรมาธกิ าร ๑๑. นางสาวจุฑาฑตั ต เหลา่ ธรรมทัศน์ ท่ีปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๑๒. นายธนกร ไชยกุล กรรมาธิการ ๑๓. นายจิรวัฒน์ ศริ พิ านชิ ย์ กรรมาธิการ ๑๔. นายสรวุฒิ เน่ืองจานงค์ กรรมาธกิ าร ๑๕. นายพนติ วกิ ิตเศรษฐ์ กรรมาธกิ าร อนึ่ง ในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 25 ปีท่ี 1 ครั้งท่ี 1 (สมัยสามัญประจาปีครั้งท่ีสอง) วันพุธที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ท่ีประชุมเห็นชอบให้ต้ัง นายสรวุฒิ เน่ืองจานงค์ เป็นกรรมาธิการแทน นายมณเฑียร สงฆ์ประชา ซึ่งลาออกจากการเป็นกรรมาธิการ และเมื่อวันท่ี 18 กันยายน 2562 ในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี 25 ปีที่ 3 ครั้งที่ 15 (สมัยสามัญประจาปีคร้ังท่ีหน่ึง) วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม 2564 ที่ประชุมเห็นชอบให้ต้ัง นายพนิต วิกิตเศรษฐ์ เป็นกรรมาธิการ แทนนางสาวแนน บุณย์ธิดา สมชัย ซึ่งลาออกจากการเป็นกรรมาธิการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 แทนตาแหนง่ ที่วา่ ง

-ช- บัดน้ี คณะกรรมาธิการได้ดาเนินการพิจารณาศึกษาเร่ือง ความคุ้มค่าและประสิทธิผล การส่งเสริมการลงทุนต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงขอรายงานผลการพิจารณาศึกษา เร่ืองดงั กลา่ วตอ่ สภาผู้แทนราษฎร ตามข้อบงั คับการประชมุ สภาผ้แู ทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๖ ดงั น้ี ๑. การดาเนินงาน ในคราวประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ ๗/๒๕๖๒ เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ อาศัยอานาจตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๖ วรรคหนึ่ง ท่ีประชุมได้มีมติแต่งต้ังคณะอนุกรรมาธิการศึกษาความคุ้มค่าและ ประสิทธิผล การส่งเสริมการลงทุนต่อการพัฒนาเศรษฐกิจให้มีหน้าที่และอานาจในการพิจารณาศึกษา สภาพปัญหาและอุปสรรค ตลอดจนวิเคราะห์ข้อมูล ข้อเท็จจริงเพื่อจัดทาแนวทางและข้อเสนอแนะ เกี่ยวกับความคุ้มค่าและประสิทธิผลของมาตรการส่งเสริมการลงทุนต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ อย่างย่ิงในด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการเกิดข้ึนของอุตสาหกรรมต่อเน่ือง เพื่อนาไปสู่การพัฒนา เศรษฐกิจของประเทศท่ียั่งยืนในระยะยาวต่อไป โดยมีเวลาดาเนินการ ๖๐ วัน ตามประกาศของ คณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ท่ี ๒/๒๕๖๒ ลงวนั ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ เรื่องต้ัง คณะอนุกรรมาธิการศึกษาความคุ้มค่าและประสิทธิผล การส่งเสริมการลงทุนต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยใหม้ ีผลต้ังแตว่ นั ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ซง่ึ คณะอนุกรรมาธกิ ารคณะน้ี ประกอบด้วย ๑) นายพิจารณ์ เชาวพฒั นวงศ์ เปน็ ประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร ๒) นางสาวจริ าพร สินธุไพร เป็นรองประธานคณะอนกุ รรมาธิการ คนท่หี นงึ่ ๓) นายประมวล สุธจี ารุวัฒน เป็นรองประธานคณะอนกุ รรมาธกิ าร คนทีส่ อง ๔) นายสทิ ธพิ ล วบิ ูลย์ธนากุล เปน็ เลขานุการคณะอนุกรรมาธิการ ๕) นายเท่าพิภพ ลม้ิ จติ รกร เป็นอนุกรรมาธกิ าร ๖) นายจิรัฏฐ์ ทองสวุ รรณ์ เปน็ อนุกรรมาธกิ าร ๗) นายศภุ สทิ ธ์ิ ศริ ิเศรษฐ์ เปน็ อนุกรรมาธิการ ๘) นายเอราวัณ วานิชยห์ านนท์ เป็นอนกุ รรมาธกิ าร ๙) นายชัชวาล ชินวกิ ยั เปน็ อนกุ รรมาธิการ ๑๐) นายบญั ญัติ บุญญา เป็นอนกุ รรมาธกิ าร อน่ึง เพ่ือให้การพิจารณาศึกษาเป็นไปด้วยความรอบคอบ คณะอนุกรรมาธิการได้ แต่งตง้ั ท่ปี รกึ ษาประจาคณะอนกุ รรมาธิการ จานวน ๑ คน คือ ผชู้ ่วยศาสตราจารยภ์ ูวนิดา คนุ ผลิน โดยมวี ัตถุประสงค์ของการศึกษา ดังนี้ ๑) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและอุปสรรค วิเคราะห์ข้อมูล ข้อเท็จจริง แนวทางและ ข้อเสนอแนะเก่ียวกับความคุ้มค่าและประสิทธิผลของมาตรการส่งเสริมการลงทุนต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างย่ิงด้านการถ่ายทอดเทคโนโลยีและการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพ่ือนาไปสู่การพัฒนา เศรษฐกิจของประเทศที่ย่ังยืนในระยะยาวต่อไป ๒) เพ่ือศึกษาการประเมินความคุ้มค่าและประสิทธิผลของการส่งเสริมการลงทุนและ ตัวชี้วัดท่ีใช้ในโครงการสง่ เสรมิ การลงทุน โดยไดแ้ บ่งกรอบการพจิ ารณาออกเป็น ๓ กลมุ่ ดงั นี้ (๑) ศึกษาเฉพาะโครงการท่ีอย่ภู ายใตก้ ารดแู ลของสานกั งานคณะกรรมการส่งเสริม การลงทุน หรอื BOI

-ซ- (๒) ศึกษาเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจ พิเศษและเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) (๓) ศึกษาโครงการท่ีเกี่ยวข้องกับการพัฒนาให้เกิดอุตสาหกรรมต่อเนื่องและ การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพ่อื นาไปสูก่ ารพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศท่ียัง่ ยนื ในระยะยาวต่อไป ทงั้ น้ี คณะอนกุ รรมาธิการได้ขอขยายระยะเวลาการพจิ ารณาศึกษา จานวน ๓ ครง้ั ดังน้ี คร้ังที่ ๑ ขอขยายระยะเวลาออกไปอีก ๖๐ วัน นับแต่วันท่ี ๕ มกราคม ๒๕๖๓ โดยเมือ่ ขยายระยะเวลาการพิจารณาศึกษาแลว้ จะครบกาหนดในวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๓ คร้ังที่ ๒ ขอขยายระยะเวลาออกไปอีก ๖๐ วัน นับแต่วนั ที่ ๕ มีนาคม ๒๕๖๓ โดยเม่ือ ขยายระยะเวลาการพิจารณาศึกษาแลว้ จะครบกาหนดในวันท่ี ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๓ ครั้งที่ ๓ ขอขยายระยะเวลาออกไปอีก ๖๐ วัน นับแต่วันท่ี ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓ โดยเมื่อขยายระยะเวลาการพิจารณาศึกษาแล้ว จะครบกาหนดในวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 ทั้งน้ี การขอขยายระยะเวลามีเหตุเกิดวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ส่งผลให้ คณะอนุกรรมาธิการไม่สามารถจัดการประชุมเพื่อพิจารณาศึกษาได้ตามปกติ ในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม ถึงเดือนพฤษภาคม 2563 ๒. วิธีการพิจารณาศึกษา ๒.๑ คณะกรรมาธิการได้จัดให้มีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ด้วยโปรแกรม Zoom Cloud Meeting ในวันองั คารท่ี ๑๔ กนั ยายน ๒๕๖๔ เพอื่ พิจารณาเรอื่ ง “รายงานการศกึ ษา ของคณะอนุกรรมาธิการศึกษาความคุ้มค่าและประสิทธิผล การส่งเสริมการลงทุนต่อการพัฒนา เศรษฐกิจ ในคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกจิ สภาผู้แทนราษฎร” จานวน ๑ ครงั้ ๒.๒ คณะกรรมาธิการได้ดาเนินการโดยเชิญผู้แทนของคณะอนุกรรมาธิการศึกษาความ คุ้มค่าและประสิทธิผล การสง่ เสรมิ การลงทุนต่อการพัฒนาเศรษฐกจิ มาให้ข้อมูลข้อเท็จจริงสภาพปัญหา อุปสรรค และการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อจัดทาแนวทางและข้อเสนอแนะเก่ียวกับความคุ้มค่า และประสิทธผิ ลของมาตรการส่งเสริมการลงทุนต่อการพฒั นาเศรษฐกิจ โดยมีรายนามดังนี้ ๑) นายพจิ ารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ประธานคณะอนกุ รรมาธิการ ๒) นายสทิ ธพิ ล วิบลู ยธ์ นากลุ เลขานกุ ารคณะอนกุ รรมาธิการ ๓) นายชัชวาล ชินวกิ ยั อนุกรรมาธิการ ๓. ผลการพิจารณาศกึ ษา คณะกรรมาธิการขอรายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่อง ความคุ้มค่าและประสิทธิผล การส่งเสริมการลงทุนต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมาธิการได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมาธิการ ศึกษาความคุ้มค่าและประสิทธิผล การส่งเสริมการลงทุนต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ดาเนินการพิจารณา ศึกษากรณีดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมาธิการได้พิจารณารายงานของคณะอนุกรรมาธิการด้วยความละเอียด รอบคอบแลว้ และได้มีมตเิ ห็นชอบกับรายงานศกึ ษาดังกล่าว โดยถือเปน็ รายงานการศกึ ษาของ จากการพิจารณาศึกษาเรื่องดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมาธิการขอเสนอรายงาน การพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการ โดยมีรายละเอียดตามรายงานท้ายน้ี เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรได้ พิจารณา หากสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบด้วยกับผลการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการ ขอใหโ้ ปรดดาเนินการตามแต่จะเห็นสมควรต่อไป ทงั้ น้ี เพ่ือประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนสบื ไป

-ฌ- บทสรุปผบู้ ริหาร การลงทุนมีบทบาทสาคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ช่วยเพิ่มการจ้างงาน เพิ่มความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ เพิ่มความสามารถในการส่งออกสินค้าและบริการ ช่วยยกระดับรายได้ และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน อย่างไรก็ตาม การลงทุนของประเทศไทยในปัจจุบันประสบปัญหา หลกั อยา่ งน้อย 4 ประการ ไดแ้ ก่ (๑) ภาพรวมการลงทนุ ยังอยใู่ นระดบั ต่า เม่ือพิจารณาภาพรวมการลงทุนของไทย พบวา่ นับแตว่ กิ ฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๔๐ การลงทุนของไทย โดยเฉพาะการลงทุนของภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนเกดิ วิกฤต ทง้ั นี้พบว่า ในบรรดาประเทศที่ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๔๐ มีไทยเพียงประเทศเดียวท่ีการลงทุนยังไม่ฟ้ืนตัว ขณะที่ประเทศอื่น เช่น อินโดนีเซยี เกาหลีใต้ และมาเลเซีย การลงทุนภาคเอกชนยกระดับกลับไปสูงกว่า ช่วงก่อนวิกฤตแล้ว เช่น หากนาข้อมูลการสะสมทุนของภาคเอกชนแต่ละประเทศ ณ ปี พ.ศ. 2539 าปรับฐานเท่ากับ 100 พบว่า ในปี พ.ศ. 2561 การลงทุนเอกชนในอินโดนีเซียเพิ่มข้ึนเป็น 225 หรือประมาณ 2 เท่าของระดับการลงทุนก่อนเกิดวิกฤต เกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเป็น 166 มาเลเซียเป็น 173 ขณะที่ประเทศไทยมีระดับการลงทุนภาคเอกชนคิดเป็นเพียงร้อยละ 94 ของระดับการลงทุน กอ่ นเกดิ วิกฤตเท่านั้น (๒) ภาคอุตสาหกรรมของไทยส่วนใหญ่ไม่พร้อมเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 หรือ ยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนโลก (Technology Disruption) ท้ังน้ี แม้ท่ีผ่านมาภาครัฐได้ทุ่มเททรัพยากรและงบประมาณ ตลอดจนออกมาตรการ จานวนมากเพื่อส่งเสรมิ ดึงดูดการลงทุน เพื่อมุ่งหวังให้เกิดการวิจัยและพัฒนา แต่พบว่าอุตสาหกรรมหลัก ของไทยยังไม่พร้อมต่อการเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นปัจจัยสาคัญต่อ การกาหนดความสามารถในการแข่งขัน อุตสาหกรรมตัวอย่างที่คณะอนุกรรมาธิการฯ ศึกษา ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซ่ึงพบวา่ ท่ีผ่านมาท้ังสองอุตสาหกรรมได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ ได้รับ การลงทุนจากต่างประเทศ ไดร้ ับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัทช้นั นาในต่างประเทศท้งั ทางตรงและ ทางอ้อม แต่ปัจจุบันเรายังคงเป็น “ผู้ตาม” มากกว่า“ผู้นา” สอดคล้องกับการประเมินความพร้อม ในการเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคตตามนโยบาย 10 S-Curve (รายงานการถ่ายทอดองค์ความรู้การ ประเมินอุตสาหกรรมตามแนวทางอุตสาหกรรม 4.0) ท่ีประเมินความพร้อมของอุตสาหกรรมยานยนต์ ณ ระดับ 2.08 จาก 4.0 เรียกว่าไม่สูงนัก ขณะที่เมื่อพิจารณาในกลุ่มบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม พบวา่ ความพร้อมอยทู่ ่ีระดับ 1.89 เท่าน้ัน เรยี กวา่ ไม่ถึงครึ่ง หรือสอบตกดว้ ยซา้ (๓) การสง่ เสริมการลงทุนของภาครฐั ท่ผี า่ นมายงั ไมค่ ุ้มค่าและไมม่ ปี ระสทิ ธภิ าพ นับจากอดีต เคร่ืองมือหลักท่ีรัฐบาลไทยใช้ดึงดูดการลงทุนเข้าประเทศ คือการให้ สิทธิประโยชนท์ างภาษี เชน่ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ลดอัตราการเก็บภาษีเงนิ ได้นิตบิ ุคคล ยกเว้น ภาษีศุลกากร อย่างไรก็ตาม จากการศึกษา เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบสิทธิประโยชน์ทางภาษี ของประเทศในกลุ่มอาเซียนที่เป็นประเทศคู่แข่ง พบว่า สิทธิประโยชน์ทางภาษีของไทยอยู่ในระดับ

-ญ- ที่ไมด่ ้อยกว่าประเทศอื่น (คานวณจากการยกเว้นภาษเี งนิ ได้นิติบุคคลไม่เกิน 8 ป)ี โดยในกระบวนการ ศึกษาไม่ได้พิจารณาจากสิทธิประโยชน์ที่ระบุตามกฎหมายเท่าน้ัน แต่คานวณอัตราค่าใช้จ่ายภาษี ที่เกิดขึ้นจริงเม่ือเทียบกับรายได้ พบว่าบริษัทเอกชนที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากรัฐบาลไทย มีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราราว 7.6% ของรายได้ ขณะท่ีบริษัทที่ลงทุนในเวียดนามหรือ มาเลเซียมคี ่าใชจ้ า่ ยภาษเี งนิ ไดน้ ิติบุคคลทีป่ ระมาณ 10% ของรายได้ (ดู อธิภทั ร (2560)) ดังนั้น การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจึงไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่เอกชนใช้พิจารณาเลือก ประเทศจุดหมายที่จะเข้าไปลงทุน รัฐบาลไม่ควรเน้นขยายสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือให้ตัวเงินเพ่ิมเติม เพื่อดึงดูดการลงทุน แต่ควรมุ่งใช้ทรัพยากรไปท่ีการลดอุปสรรคในการดาเนินงานของธุรกิจและ การปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ ของรัฐ การเตรียมความพร้อมของบุคลากรให้มีทักษะรองรับการลงทุน จากต่างประเทศ ประการสาคัญคือ การส่งเสริมการลงทุนของรัฐต้องมีการวางยุทธศาสตร์ในภาพรวมว่า ไม่ใช่เพียงเม็ดเงินลงทุนที่ประเทศต้องการ แต่ต้องให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีเป้าหมาย และสร้าง อตุ สาหกรรมต่อเน่ืองภายในประเทศได้ ทง้ั ตน้ น้าและปลายน้า (๔) ภาครัฐขาดบทบาทนาในการใช้กลไกการลงทุนของรัฐ ส่งเสริมการลงทุน ภาคเอกชนและสง่ เสรมิ การถ่ายทอดเทคโนโลยี การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรฐั ซ่ึงใช้เม็ดเงนิ จานวนมาก สามารถมี ส่วนกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนได้ เช่น กระตุ้นให้เกิดการผลิตของภาคเอกชน กระตุ้นการ บริโภคและอุปสงค์มวลรวมของภาคครัวเรือน ลดต้นทุนทางธุรกิจให้ภาคเอกชน เพ่ิมศักยภาพการ แข่งขันให้ภาคอุตสาหกรรมของประเทศ สร้างบรรยากาศและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ ตลอดจน สามารถกาหนดเง่ือนไขให้เกดิ การถ่ายทอดเทคโนโลยจี ากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเด็นการถ่ายทอดเทคโนโลยี ในฐานะที่รัฐเป็นผู้ลงทุนในโครงการ ขนาดใหญ่ เป็นผู้จัดซ้ือจัดจ้างโครงการมูลค่าสูงจากบริษัทต่างประเทศ หรือกระท่ังการจัดซ้ือจัดจ้าง ระหว่างรัฐกับรัฐ รัฐบาลสามารถออกแบบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างให้เกิดเง่ือนไขการถ่ายทอด เทคโนโลยีระหวา่ ง “ผขู้ าย” และ “ผ้ซู ื้อ” ได้งา่ ยกวา่ การจัดซื้อโดยภาคเอกชน แต่ที่ผ่านมา ภาครัฐเสียโอกาสการใช้กลไกนี้ให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี อุปสรรค สาคัญมีอย่างน้อย 2 ประการ คือ (๑) ขาดการวางแผนยุทธศาสตร์ ว่าจะพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวเนื่อง ผ่านการจัดซื้อจัดจ้างแต่ละโครงการอย่างไร เช่น อุตสาหกรรมระบบราง อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (๒) กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างที่เน้นเรื่องประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ จัดหาให้ได้ราคาต่าท่ีสุดเพียง อย่างเดยี ว แต่ละเลยการสรา้ งเงื่อนไขให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และพัฒนาอตุ สาหกรรมต่อเน่ือง ตัวอย่างการลงทุนโครงสร้างพ้ืนฐานขนาดใหญ่ของรัฐใน 3-4 ปีท่ีผ่านมา เช่น รถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ โคราช รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการสนามบินอู่ตะเภา การขยายท่าเรือน้าลึกแหลมฉบัง และมาบตาพุด และโครงการอื่นภายใต้แผนการพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออก (EEC) ท่ีส่งผลให้การลงทุนภาครัฐขยายตัวสูงเป็นประวัติการณ์ แต่กลับไม่ช่วยให้เกิด การฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนอย่างชัดเจน และไม่เห็นการระบุยุทธศาสตร์ให้เกิดการถ่ายทอด เทคโนโลยเี ปา้ หมายอยา่ งเปน็ รูปธรรม

-ฎ- จากการพิจารณารายงานการศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการศึกษาความคุ้มค่าและ ประสิทธิผล การส่งเสริมการลงทุนต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ที่ประชุมคณะกรรมาธิการสรุปสาระสาคัญ ได้ 7 ประการ ดังน้ี ประการที่หนึ่ง ปัจจุบันการส่งเสริมการลงทุนมีหลายหน่วยงานเก่ียวข้องและ รับผิดชอบ ขาดเจ้าภาพหลักในการรับผิดชอบโดยตรงในเร่ืองภาพรวมการลงทุนของประเทศ ทั้งยัง ขาดการกาหนดตัวช้ีวัดที่ชัดเจน และขาดการประเมินความคมุ้ ค่า ตัวอย่างหน่วยงานท่ีเก่ียวข้องในเรื่องการส่งเสริมการลงทุนแบบทั่วไป เช่น สานักงาน คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กรมสรรพากร กรมศุลกากร ท่ีให้สิทธิประโยชน์ผ่านมาตรการทางภาษี กับนักลงทุนเป็นหลัก สาหรับการส่งเสริมการลงทุนแบบรายพื้นท่ี เช่น สานักงานคณะกรรมการเขต พฒั นาพิเศษภาคตะวันออก ท่ดี ูแลพื้นท่ี EEC ครอบคลุมพื้นท่ี 3 จังหวัด คือ ระยอง ชลบุรแี ละฉะเชิงเทรา และสานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดูแลการส่งเสริมการลงทุนสาหรับเขตเศรษฐกิจ พิเศษชายแดน 10 แห่ง ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ท่ีเน้นการส่งเสริมการลงทุน ผ่านการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ระบบขนส่งมวลชนอย่างรถไฟความเร็วสูง หรือการ กอ่ สร้างนิคมอุตสาหกรรม การไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับภาพรวมการส่งเสริมการ ลงทุน ของประเทศทาให้ไม่มีการกาหนดเป้าหมายและตัวช้ีวัดภาพรวมการส่งเสริมการลงทุนในระดับประเทศว่า สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ระดับชาติหรือไม่ การส่งเสริมการลงทุนกาลังไปถูกทางหรือไม่ หรือกาลงั นาพาประเทศไปส่เู ป้าหมายใด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในประเด็นการประเมินผลความคุ้มค่าของโครงการต่างๆ ซึ่งระบุ ในมาตรา 22 ของพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี พ.ศ. 2546 และ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๖๒ ซ่ึงกาหนดว่า “หน่วยงานต่างๆ ของรัฐจะต้องทาการ ประเมินความคุ้มค่าของการปฏิบัติภารกิจของรัฐ” แต่ปรากฏว่า ท่ีผ่านมายังไม่มีการประเมินผลความ คมุ้ คา่ ของโครงการตา่ งๆ ว่ามปี ระสทิ ธิภาพ ประสิทธิผล และไดผ้ ลกระทบตามแผนที่กาหนดไว้หรือไม่ การกาหนดตัวชี้วัด การระบุเจ้าภาพท่ีชัดเจน และการประเมินผลความคุ้มค่ามี ความสาคญั เพราะไม่เพยี งทาใหห้ นว่ ยงานเจา้ ภาพตอ้ งมีความรบั ผิดรับชอบ (Accountability) แต่ยัง ชว่ ยให้เห็นวา่ การสง่ เสริมการลงทุนมาถกู ทางหรอื ไม่ ต้องปรับปรุงอยา่ งไร ซึ่งนับแตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จุบัน รัฐบาลขาดการติดตามและการประเมินผลอย่างจริงจัง ถึงประสิทธิผลและความคุ้มค่า โดยเฉพาะ โครงการที่เกี่ยวขอ้ งกับการส่งเสริมการลงทนุ และการลงทุนในโครงการขนาดใหญข่ องรัฐ ประการท่ีสอง เป้าหมายของการส่งเสริมการลงทุนไม่ควรจากดั ในมิติเมด็ เงินลงทุน ว่ามากน้อยเพียงใด แต่ควรเน้นพิจารณาด้วยว่า ก่อให้เกิดการลงทุนแบบท่ีประเทศชาติต้องการ หรอื สอดคลอ้ งกับยุทธศาสตร์ทกี่ าหนดไวห้ รอื ไม่ การส่งเสริมการลงทุน นอกจากนามาซึ่งเม็ดเงินแล้ว ควรจะนาไปสู่เป้าหมายที่ใหญ่กว่า ของประเทศ เช่น การพัฒนาทุนมนุษย์ การยกระดับรายได้ประชากร การพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ และการสรา้ งอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เปน็ ต้น ประการที่สาม สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นหน่วยงานเดียวที่ มีการประเมินผลเป็นระยะ แต่ขาดการประเมินผลความคุ้มค่าด้านความมีประสิทธิภาพ ไม่มีตัวช้ีวัด ด้านภาษีที่ใช้ไป หรือสัดส่วนมูลค่าการลงทุนที่ได้เม่ือเทียบกับภาษีท่ีใช้ เพ่ือสามารถเปรียบเทียบ

-ฏ- ค่าเสียโอกาสและทางเลือกต่างๆ จากการส่งเสริมการลงทุนนั้นได้ นอกจากนี้ควรมีตัวช้ีวัดว่าโครงการ ทไี ดร้ ับการสง่ เสริมจาก BOI ลงทุนจริงมากน้อยเพียงใด แตกต่างจากตัวเลขในคาขอหรอื ไม่ ลงทุนจริง ล่าช้ากว่าท่ีได้ย่ืนเอกสารขอส่งเสริมมากน้อยเพียงใด และการส่งเสริมการลงทุนของ BOI นาไปสู่ การถ่ายทอดเทคโนโลยีและสร้างอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศตามยุทธศาสตร์ชาตไิ ด้จรงิ หรือไม่ BOI เป็นหน่วยงานเดียวท่ีมีการประเมนิ ผลเป็นระยะ การประเมินผลดังกล่าวเป็นไปตาม พระราชบัญญัติส่งเสรมิ การลงทุน ฉบับแก้ไขเพมิ่ เติม แต่เป็นการประเมินผลเฉพาะหน่วยงานตนเอง และ เป็นการประเมินยุทธศาสตร์ในระยะ 2 ปีหลังจากมีการปรับปรุงยุทธศาสตร์ แม้มีการวิเคราะห์ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และผลกระทบ แต่พบว่าไม่มีการประเมินผลว่า การดาเนินภารกิ จของ โครงการสาเร็จ หรือแตกต่างจากเป้าหมายท่ีกาหนดไว้หรือไม่ มีความคุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง ตน้ ทุนและผลประโยชนท์ ่ีไดร้ ับตามที่วางแผนหรือไม่ สาหรับเป้าหมายรายปี และตัวชี้วัดของ BOI ที่มีการตกลงกันไว้กับสานักงาน คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (กพร.) และตัวชี้วัดงบประมาณที่มีกับสานักงบประมาณ ยังขาดมิติ ของความคุ้มค่าด้านความมีประสิทธิภาพ ไม่มีตัวชี้วัดด้านภาษีท่ีใช้ไป หรือสัดส่วนมูลค่าการลงทุนท่ีได้ เมื่อเทียบกบั ภาษที ี่ใช้ไป เม่ือพิจารณาตัวชี้วดั ด้านงบประมาณพบวา่ ผลการดาเนินการเกนิ กว่าเป้าหมาย หลายเท่าตัว ในแง่หนึ่ง ถือว่า BOI มีผลการดาเนินงานท่ีดี แตอ่ ีกนัยหน่ึง อาจสะท้อนว่าเป้าหมายท่ีต้ังไว้ ขาดความท้าทาย หรือทะเยอทะยาน ทาให้บรรลุเป้าหมายง่าย ยกตัวอย่างเช่น จานวนนักลงทุน เป้าหมายที่กาหนดไว้เท่าเดิมคอื 11 ราย ทั้งในปี 2561 และ 2562 นอกจากน้ี ยังมีการยกเลิกตัวช้ีวัด ที่เป็นการวัดผลว่าโครงการที่ได้รับการส่งเสริมจาก BOI นั้นลงทุนจริงมากน้อยเพียงใด แตกต่างจาก ตัวเลขในคาขอหรือไม่ ลงทุนจริงล่าช้ากว่าที่ได้ยื่นเอกสารขอส่งเสริมมากน้อยเพียงใด ซึ่งเป็นตัวชี้วัด ดา้ นประสิทธิภาพที่สาคัญ โดยเฉพาะอย่างย่ิง การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายท่ีระบุในแผน ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ไม่ได้มีการต้ังเป้าหมายเงินลงทุนเป็นรายอุตสาหกรรม ทาให้ไม่สามารถ พิจารณาได้ว่าเหมาะสมหรือไม่ ตลอดจนขาดการต้ังเป้าหมายเชงิ คุณภาพของเม็ดเงนิ ลงทุน ว่านาไปสู่ การถ่ายทอดเทคโนโลยีได้หรอื ไม่ อย่างไร มีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาที่เก่ียวข้องกับอุตสาหกรรม หรือเทคโนโลยีเป้าหมายจริงๆ คิดเป็นสัดส่วนเท่าไร การส่งเสริมการลงทุนน้ันจะนาไปสู่การสร้าง อตุ สาหกรรมตอ่ เนอื่ งภายในประเทศไดต้ ามเป้าหมายหรือไม่ ประการที่สี่ ในการส่งเสริมการลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน (SEZ) พบว่า ขาดการประเมินผล และการวางเป้าหมายหรือตัวชี้วัดท่ีชัดเจน สานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติควรประเมินผลความคุ้มค่าของโครงการต่างๆ ภายใต้การกากับดูแลว่ามีความ เหมาะสม และค้มุ ค่าหรอื ไม่ ในประเด็นการส่งเสริมการลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน พบว่า ยังขาดการ ประเมินผล ไม่มีการวางเป้าหมายหรือตัวชี้วัดท่ีชัดเจน มีเพียงผลผลิตที่คาดหวัง และความคืบหน้า การดาเนินงานเท่าน้ัน การประเมินผลยังเป็นการประเมินผลรวมตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับท่ี 12 ท้ังที่โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนได้ดาเนินการมาร่วม 5-6 ปี นับแต่ปี 2557 ได้รับการลงทุนด้านโครงสร้างพ้ืนฐานจากรัฐมูลค่าไม่ต่ากว่า 44,000 ล้านบาท แต่ผลการ ดาเนินงานพบว่า มยี อดผ้ขู อรับการสง่ เสริมการลงทุนโดย BOI ราว 10,000 ลา้ นบาทเท่าน้นั

-ฐ- สว่ นตัวเลขการขอรับการส่งเสริมไม่ใช่เม็ดเงินลงทุนจริง ไม่สามารถสะท้อนผลสัมฤทธิ์ ของโครงการได้ ท้ังยังมีการนาตัวเลขทุนจดทะเบียนของบริษัทตั้งใหม่มาเป็นผลการดาเนินงานด้าน เงินลงทุนเพิ่มอีกด้วย นอกจากน้ียังขาดการประเมินความคุ้มค่าของโครงการ ว่ามีประสิทธิภาพ ประสทิ ธิผล และผลกระทบตอ่ เศรษฐกิจและสังคมอย่างไร มากน้อยเพยี งไร สานักงานสภาพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบต่อการประเมินโครงการจากหน่วยงาน อื่นๆ ควรมีการประเมินผลความคุ้มค่าของโครงการต่างๆ ภายใต้การกากับดูแลว่ามีความเหมาะสม ค้มุ คา่ หรอื ไม่ สาหรับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนท่ีเน้นส่งเสริมการลงทุนประเภทใช้แรงงาน เข้มข้นในพื้นท่ีติดชายแดนในประเทศไทย ทั้งท่ีในความเป็นจริง บริษัทต่างๆ สามารถเข้าไปลงทุนใน ประเทศท่ีพรมแดนติดกับไทย อาทิ พม่า ลาว กัมพูชาได้ โดยจ่ายค่าแรงที่ถูกกว่า การวางยุทธศาสตร์การ พัฒนาเศรษฐกิจเช่นน้ีเหมาะสม ถูกต้องเพียงไร นอกจากน้ี ยังมีข้อสังเกตต่อการต้ังเป้าหมายอัตราการ เติบโตของมูลค่าการลงทุน ท่ีกาหนดไว้เพ่ิมข้ึนเพียงร้อยละ 5 ต่อปี ถือว่าเหมาะสมหรือต่าเกินไปหรือไม่ ประกอบกับการกาหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนถึง 10 แหง่ โดยกระจายในหลายจังหวดั กลับไม่มีการ ประเมินความคุ้มค่า ทั้งในแง่ประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและผลกระทบ ของแต่ละแห่ง ทาให้ยากที่จะ ประเมินว่าโครงการลงทุนขนาดใหญ่เช่นน้ี มีความคุ้มค่า เหมาะสมเพียงไร ควรดาเนินการต่อหรือไม่ เขตเศรษฐกจิ พเิ ศษชายแดนใดควรถกู ยกเลิกหรือแหง่ ใดควรไดร้ บั การปรบั ปรุง ประการท่ีห้า สาหรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) แม้มีการ ต้ังเป้าหมายในมิติของพื้นที่และเวลา แต่ยังไม่มีการติดตามประเมินผล ทาให้ไม่สามารถประเมิน ว่าบรรลุผลตามเป้าหมายที่กาหนดหรือไม่ นอกจากน้ีในแง่ตัวช้ีวัดการประเมินความคมุ้ ค่าของแต่ ละโครงการที่มีการลงทุนใน EEC น้ัน สานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาค ตะวันออกมีเพียงตัวช้ีวัดพ้ืนฐานในการจัดทาโครงการ ทว่าตัวช้ีวัดอ่ืนๆ ของแต่ละโครงการ หน่วยงานเจ้าของโครงการแต่ละส่วนเป็นผู้ดาเนินการจัดทาและประเมินโครงการเอง ปัจจุบันยัง ไม่มีการจัดทาตัวช้ีวัดเพ่ือประเมินความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของแผนการพัฒนา เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกในภาพรวม และประการสาคัญคือ สานักงานคณะกรรมการ นโยบายเขตพฒั นาพิเศษภาคตะวนั ออก ไมม่ ีการประเมินผลในระดับองคก์ รด้วย โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) แม้ถูกดาเนินการมาเป็นเวลากว่า 3 ปี แต่เพ่ิงมีการบรรจุแผนการประเมินผลกระทบของโครงการในปีงบประมาณ 2563 และแม้มีการ ต้ังเป้าหมายท้ังในมิติของพื้นท่ี (ระดับประเทศ ระดับเขต และระดับจังหวัด) และมิติของเวลา (ระยะ เร่งด่วน 1 ปี ระยะปานกลาง 2 - 5 ปี และระยะถัดไป 10 - 15 ปี) แต่ขาดการติดตามประเมินผล ทาให้ไม่สามารถติดตามไดว้ ่าสามารถบรรลผุ ลตามเป้าหมายที่กาหนดไว้ในทั้ง 2 มิตหิ รือไม่ นอกจากนี้ จากการช้ีแจงของตัวแทนจากสานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พบว่า ไม่มกี ารประเมินผลแมแ้ ต่ในระดับองค์กร ใน ส่ วน ป ระเด็ น ตั วชี้ วั ด การป ระเมิ น ความคุ้ มค่ าของแต่ ละโครงการที่ มี การล งทุ น ใน EEC นั้น ทางหน่วยงานดาเนินการจัดทาเพียงตัวช้ีวัดพื้นฐานในการจัดทาโครงการเท่านั้น แต่ตัวช้ีวัดอ่ืนๆ ในแต่ละโครงการเป็นหน้าที่ของเจ้าของโครงการแต่ละส่วนเป็นผู้ดาเนินการจัดทาตัวช้ีวัด และประเมินโครงการของตนเอง ไม่มีการจัดทาตัวชี้วัดเพื่อประเมินความคุ้มค่าในเชิงประสิทธิภาพ และประสิทธผิ ลของแผนการพฒั นาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวนั ออกในภาพรวม

-ฑ- จากรายงานผลการศึกษาพบว่า โครงการ EEC ซ่ึงประกอบด้วยการลงทุนโครงสร้าง พ้ืนฐานหลายโครงการ ใช้เม็ดเงินไม่ต่ากว่า 1,061,471.325 ล้านบาท งบประมาณที่ใช้ใน การลงทุนท้ังหมดควรได้รับการติดตามและประเมินผล นอกจากจะเกิดประโยชน์ต่อการประเมิน แต่ละโครงการท่ีได้รับงบประมาณ ยังเกิดประโยชน์ต่อการประเมินภาพรวมโครงการ EEC ทงั้ โครงการ ซ่ึงเป็นปจั จัยสาคญั ในการขับเคล่ือนโครงการ EEC ทัง้ โครงการใหป้ ระสบผลสาเรจ็ นอกจากนี้ ยังควรให้ความสาคัญกับการประเมินผลระหว่างโครงการ ที่จะช่วยให้ สามารถจัดลาดับความสาคัญการใช้งบประมาณและบริหารจัดการได้ดีย่ิงข้ึน ยกตัวอย่างเช่น บางโครงการ หากเกิดความล่าช้า เป็นเร่อื งทไ่ี ม่สามารถยอมให้เกิดข้นึ ได้ ถ้าโครงการนั้นเป็นโครงการ หลักที่จะนาไปสู่เป้าหมายหลักของท้ังโครงการ EEC ท้ังนี้พบว่าวิธีการแก้ปัญหาในปัจจุบัน เม่ือมี ปัญหาหรืออุปสรรคเกิดขึ้น จะอาศัยการพิจารณาแก้ไขโดยคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ ภาคตะวันออกเป็นผู้ดาเนินการ ไม่ได้มีการวางแผนการดาเนินงาน เป้าหมาย และติดตามประเมินผล อย่างเปน็ ระบบ ประการท่ีหก รัฐบาลควรพจิ ารณาสนับสนุนนโยบายการจัดซ้ือจดั จ้างแบบชดเชยหรือ นโยบายออฟเซ็ต (Offset Policy) อย่างจริงจัง โดยเฉพาะในการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น โครงสร้าง พื้นฐาน ยุทโธปกรณ์ป้องกันประเทศ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี และพัฒนา อตุ สาหกรรมต่อเน่ือง ซงึ่ สง่ ผลดีตอ่ การพฒั นาเศรษฐกิจในระยะยาว การใช้จ่ายของภาครัฐ โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ ท่ีใช้งบประมาณจานวนมาก นอกจากเพ่ือให้ได้สินค้าตามคุณภาพท่ีกาหนดและราคาต่าสุด ควรพิจารณาสิทธิประโยชน์อ่ืน ท่ีประเทศควรได้รับ เช่น ส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี หรือพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ซ่ึงเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ตัวอย่างเช่น การลงทุนด้าน ขนส่งระบบรางของรัฐบาล ควรส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้เรื่องการต่อรถไฟ หรือพัฒนากระบวนการผลิต ชิ้นส่วนประกอบ เพอ่ื ต่อยอดสอู่ ุตสาหกรรมภายในประเทศ ใหป้ ระเทศสามารถผลิตเองได้ ท้ังนี้ จากประสบการณ์ในต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 130 ประเทศท่ีใช้นโยบาย จัดซื้อจัดจ้างแบบชดเชย พบว่าประเทศที่นาเอานโยบายจัดซ้ือจัดจ้างแบบชดเชยไปปรับใช้ มีแนวโน้ม ประสบความสาเร็จสูงในการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างอุตสาหกรรมต่อเน่ือง หลายประเทศใช้นโยบาย จัดซ้ือจัดจ้างแบบชดเชย ช่วยยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขัน จนรุดหน้า ใกล้เคียงประเทศพัฒนาแล้ว ท้ังยังช่วยส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐาน ของประเทศอีกดว้ ย ประการท่ีเจ็ด เพ่ือให้การส่งเสริมการลงทุนและการใช้งบประมาณของรัฐบาล ในโครงการต่าง ๆ มีความคุ้มค่าและเกิดประสิทธิผล การจัดทาตัวช้ีวัดเพ่ือใช้ประเมินตลอด ระยะเวลาของโครงการเป็นหัวใจสาคัญ ตัวช้ีวัดท่ีดีควรมีอย่างน้อย 5 องค์ประกอบ คือ มีความ เฉพาะเจาะจงและชัดเจน (Specific) ระบุเป็นตัวเลขชัดเจน เพื่อวัดผลได้ (Measurable) สามารถดาเนินการให้บรรลุผลได้ (Achievable) สมเหตุสมผล สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ (Realistic) และ กาหนดช่วงระยะเวลาในการวัดผลที่ชัดเจน (Timely) ตัวช้ีวัดท่ีดีควรมีอย่างน้อย 5 องค์ประกอบคือ มีความเฉพาะเจาะจงและชัดเจน (Specific) ระบุเป็นตัวเลขชัดเจน เพ่ือวัดผลได้ (Measurable) สามารถดาเนินการให้บรรลุผลได้ (Achievable) สมเหตุสมผล สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ (Realistic) และ กาหนดช่วงระยะเวลาในการ

-ฒ- วัดผลท่ีชัดเจน (Timely) นอกจากน้ีสาหรับโครงการที่เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ควรจัดทา “ดัชน้ีชี้วัด ร่วมกันระหว่างองค์กรที่มีเป้าหมายร่วมกัน หรือ Joint KPIs” เพื่อเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการดาเนินงาน แบบบูรณาการ ซ่ึงจะช่วยให้การประเมินความคุ้มค่ามีประสิทธิภาพ ลดความสูญเปล่าในการประเมินผล ของโครงการจากการกาหนดตัวช้ีวัดท่ีซ้าซ้อน ต่างคนต่างทา ทั้งช่วยให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจเร่ืองการ ใช้งบประมาณว่ามีคุ้มค่าเพียงใดได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องตามเจตนารมณ์ของมาตรา 22 ของพระราช กฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีดี พ.ศ. 2546 และ ฉบับท่ี ๒ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่แต่ละหน่วยงานซ่ึงกากับโครงการต่างๆ ต้องประเมินการปฏิบัติภารกิจว่ามีประสิทธิภาพ และประสทิ ธิผลเพียงใด

-ณ- สารบัญ หนา้ รายนามคณะกรรมาธิการ ก รายนามคณะอนุกรรมาธกิ าร จ รายงานผลการศึกษาความคุ้มค่าและประสิทธผิ ล การส่งเสรมิ การลงทนุ ต่อ ฉ การพัฒนาเศรษฐกิจ ฌ บทสรุปผู้บรหิ าร ๑ บทที่ ๑ การสง่ เสรมิ การลงทนุ ของประเทศไทยและต่างประเทศ ๑ ๑.๑ ภาพรวมการลงทนุ ของประเทศไทย ๕ ๑.๒ การสง่ เสริมการลงทุนของประเทศไทย ๕ ๑.๒.๑ ววิ ฒั นาการของนโยบายการสง่ เสริมการลงทนุ ๖ ๑.๒.๒ ยุทธศาสตร์การสง่ เสรมิ การลงทนุ ในระยะ ๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๔) ๘ ๑.๒.๓ นโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทนุ ในปัจจบุ ัน ๑๐ ๑.๒.๔ บรกิ ารดา้ นตา่ ง ๆ ๑๑ ๑.๒.๕ การประเมนิ ผลการส่งเสรมิ การลงทุน ๑๕ ๑.๓ กรณีศึกษาการส่งเสรมิ การลงทนุ ของประเทศไทย ๑๕ ๑.๓.๑ กรณีศึกษา : อตุ สาหกรรมต่อเรือ ๑๖ ๑.๓.๒ กรณศี กึ ษา : อุตสาหกรรมระบบราง ๑๙ ๑.๔ กรณศี กึ ษาจากต่างประเทศ ๑๙ ๑.๔.๑ สาธารณรัฐเกาหลี ๑๙ ๑.๔.๒ สหพันธรฐั มาเลเซีย ๒๐ ๑.๔.๓ สาธารณรัฐประชาชนจีน ๒๑ ๑.๕ บทบาทภาครัฐในการส่งเสริมการลงทุนและการดงึ ดูดการลงทนุ ของภาคเอกชน ๒๑ ๑.๕.๑ บทบาทภาครัฐในการส่งเสริมการลงทนุ ๒๒ ๑.๕.๒ บทบาทการลงทุนภาครัฐในการดึงดูดการลงทนุ ภาคเอกชน ๒๔ บทที่ ๒ เรื่องทีพ่ ิจารณาศึกษา ๒๔ ๒.๑ เรื่อง การศกึ ษาตัวชีว้ ัดและเกณฑ์การประเมินความคุ้มค่าและประสทิ ธิผลของ การส่งเสริมการลงทนุ ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ๒๙ ๒.๒ เรอื่ ง การประเมนิ ความค้มุ ค่าและประสทิ ธผิ ลของการส่งเสรมิ การลงทนุ ต่อ การพัฒนาเศรษฐกจิ ๓๑ ๒.๓ เร่อื ง การศกึ ษาตวั ชว้ี ัดและเกณฑก์ ารประเมนิ ความคุ้มค่าและประสทิ ธิผล ของการส่งเสรมิ การลงทนุ ในโครงการพัฒนาระเบยี งเศรษฐกจิ พเิ ศษ ภาคตะวันออก (EEC) ต่อการพฒั นาเศรษฐกจิ

-ด- สารบญั (ต่อ) หนา้ ๒.๔ เรื่อง การส่งเสริมการลงทนุ ในพนื้ ท่เี ขตเศรษฐกิจพเิ ศษและเขตเศรษฐกิจ ๓๖ พเิ ศษชายแดน ๔๑ ๒.๕ เรื่อง แนวทางการสง่ เสริมใหเ้ กดิ การพัฒนาขดี ความสามารถด้านเทคโนโลยี ผ่านการลงทนุ ในโครงสรา้ งพืน้ ฐานด้านขนส่งระบบราง ๕๐ ๖๐ ๒.๖ เร่อื ง แนวทางการส่งเสรมิ นโยบายการจัดซื้อแบบชดเชย (Offset Policy) ๖๕ ๒.๗ เรือ่ ง ความค้มุ ค่าในการลงทุนและความสามารถด้านการแข่งขนั ทางเศรษฐกิจ ๒.๘ เร่ือง ความคมุ้ คา่ ของการลงทนุ ในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชอ่ื มสามสนามบนิ ๗๐ แบบไร้รอยต่อ (ดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา) ๗๕ ๒.๙ เร่อื ง แนวทางปฏิรูปหน่วยงานราชการเพ่อื เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพการลงทนุ ของภาครัฐ ๗๕ ๗๕ บทท่ี ๓ สรุปผลการศึกษา ขอ้ สงั เกตคณะกรรมาธกิ าร ๗๗ ๓.๑ สรปุ ผลการพิจารณาศึกษา ๗๗ ๓.๑.๑ ประสทิ ธิภาพ ประสิทธผิ ล ความคมุ้ ค่า และการประเมนิ ความคมุ้ ค่า ๘๐ ๓.๑.๒ ตวั ชว้ี ดั ของมาตรการส่งเสรมิ การลงทุน ๑๐๐ ๓.๑.๓ ความเชอื่ มโยงการประเมนิ ผลความคุ้มคา่ และตัวช้ีวัดของการปฏิบตั ิภารกจิ ๑๐๐ ๓.๑.๔ แนวทางการกาหนดตัวชว้ี ดั เพื่อประเมนิ ความคุ้มคา่ แบบ SMART ๑๐๒ ๓.๒ ข้อสงั เกตของคณะกรรมาธิการ ๑๐๔ ๓.๒.๑ ขอ้ สงั เกตโดยรวมเกี่ยวกบั ตัวช้ีวดั ของโครงการตา่ ง ๆ ๓.๒.๒ ขอ้ สงั เกตเรอ่ื งการพฒั นาดัชนีช้วี ัดระหว่างองค์กร ๑๒๖ ๓.๒.๓ ขอ้ สังเกตเรือ่ งนโยบายชดเชย (Offset Policy) เพ่อื เพม่ิ คุณคา่ ในการจดั ซอ้ื จดั จา้ งของภาครฐั ๓.๒.๔ ข้อสงั เกตเร่ืองแนวทางการสนับสนนุ การพัฒนาผู้ประกอบการภายในประเทศ และการยกร่างพระราชบญั ญัตเิ พื่อเพิม่ คุณค่าในการจัดซ้ือของภาครัฐ ดว้ ยนโยบายชดเชย ภาคผนวก ภาคผนวก ก ประกาศแตง่ ต้ังคณะอนุกรรมาธิการความค้มุ ค่าและประสิทธผิ ล การสง่ เสริมการลงทุนต่อการพัฒนาเศรษฐกจิ ในคณะกรรมาธิการ การพัฒนาเศรษฐกจิ สภาผ้แู ทนราษฎร ภาคผนวก ข ภาพกจิ กรรมการจดั สมั มนา และศึกษาดูงานของคณะอนุกรรมาธิการ ภาคผนวก ค รายนามเจ้าหน้าทปี่ ระจาคณะอนุกรรมาธกิ าร

-ต- สารบญั แผนภาพ หนา้ แผนภาพท่ี ๑ การลงทุนภาคเอกชนในประเทศทผี่ ่านวิกฤตเศรษฐกจิ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ๑ แผนภาพที่ ๒ สว่ นแบง่ ตลาดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิ (FDI Net Inflows) ๒ แผนภาพท่ี ๓ การลงทนุ ดา้ นการวจิ ัยและพัฒนาของไทย ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ – ๒๕๖๐ ๓ แผนภาพที่ ๔ ความพรอ้ มของอตุ สาหกรรม ๔.๐ ในไทย กรณีศกึ ษาของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ๔ แผนภาพท่ี ๕ ความพร้อมของอุตสาหกรรม ๔.๐ ในไทย กรณีศกึ ษาของกลุ่มอตุ สาหกรรม ๔ ไฟฟา้ และอิเลก็ ทรอนิกส์ แผนภาพท่ี ๖ แรงจูงใจทางภาษีของไทยในปัจจบุ นั อยู่ในระดบั ทที่ ัดเทียมกนั กับประเทศคแู่ ข่ง ASEAN5 ๒๒ แผนภาพท่ี ๗ ประเทศไทยได้อะไร ๓๓ แผนภาพท่ี ๘ ปญั หาทเี่ ก่ยี วขอ้ งและแนวทางแกไ้ ข ๕๑ แผนภาพท่ี ๙ รายละเอียดการคานวณ Multipliers ๕๒ แผนภาพที่ ๑๐ แนวทางการกาหนดตัวคูณทางเศรษฐศาสตรข์ องโครงการออฟเซตอินโดนเี ซยี ๕๓ แผนภาพที่ ๑๑ ข้อกาหนดต่าง ๆ ของนโยบายออฟเซต ๕๔ แผนภาพที่ ๑๒ สตู รการคานวณ Multipliers ของ Malaysia ๕๗ แผนภาพท่ี ๑๓ แนวทางการประเมินความคมุ้ ค่าการปฏบิ ัตภิ ารกิจของรฐั ๗๗ แผนภาพท่ี ๑๔ ความเชือ่ มโยงของการประเมินความคุ้มคา่ และตวั ชีวดั การปฏิบัตภิ ารกจิ ของรฐั ๗๘ แผนภาพที่ ๑๕ กรอบแนวทางการกาหนด Joint KPls ๑๐๔ แผนภาพท่ี ๑๖ แนวคิดและผลลัพธ์ทคี่ าดหวังจากการดาเนนิ งานภายใตโ้ ปรแกรม ICP ๑๑๘ แผนภาพท่ี ๑๗ รูปแบบเครือ่ งมอื การจัดซื้อจดั จ้างภายในโปรแกรม ICP ๑๑๙ แผนภาพที่ ๑๘ แนวคดิ การวเิ คราะหผ์ ู้มีส่วนได้เสยี ภายใต้กลไกการพัฒนาอตุ สาหกรรม ๑๒๐

-ถ- สารบญั ตาราง หน้า ๓๔ ตารางท่ี ๑ การประเมินความเหมาะสมของโครงการ ๔๓ ตารางท่ี ๒ เปา้ หมายและตัวชว้ี ดั ๘๒ ตารางท่ี ๓ การวิเคราะห์ความเชอื่ มโยงระหวา่ งตัวชวี้ ดั ของการประเมินความคุม้ ค่า ๙๔ ตามกรอบแนวทางตัวชีวดั SMART ของโครงการ EEC ตารางท่ี ๔ การวเิ คราะหค์ วามเชอื่ มโยงระหวา่ งตัวชีว้ ัดของการประเมนิ ความคุ้มค่าตามกรอบ ๙๖ ๑๒๕ แนวทางตัวช้วี ัด SMART ของโครงการรถไฟความเรว็ สงู สามสนามบนิ ตารางที่ ๕ วเิ คราะหก์ รณีศึกษา ๓ โครงการ คอื EEC, SEZ และรถไฟความเร็วสูงสาม สนามบิน ตารางที่ ๖ ตวั อย่างการกาหนดตวั คูณของรัฐบาลมาเลเซียในบางรายการ

บทที่ ๑ การสง่ เสรมิ การลงทนุ ของประเทศไทยและต่างประเทศ ๑.๑ ภาพรวมการลงทุนของประเทศไทย การลงทุนไทยยังไม่ฟื้นตัวจากวิกฤตปี พ.ศ. ๒๕๔๐ นับตั้งแต่ประเทศไทยเผชิญ กับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เมื่อกว่า 20 ปีท่ีแล้ว พบว่าการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชนนั้น ยังไม่กลับไปสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤต โดยในบรรดาประเทศท่ีผ่านวิกฤตเศรษฐกิจต้มยากุ้ง มีประเทศไทย ประเทศเดียวท่ีการลงทุนยังไม่ฟ้ืน ขณะที่ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศเกาหลีใต้ และประเทศมาเลเซีย ต่างสามารถยกระดับการลงทุนภาคเอกชนให้สงู ขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดวิกฤต เมื่อพิจารณาข้อมูลการสะสมทุน ของภาคเอกชน หากนาระดับการลงทุนของแต่ละประเทศมาปรับฐานให้เท่ากับ 100 ในปี พ.ศ. 2539 จะพบว่าในปี พ.ศ. 2561 การลงทุนเอกชนในอินโดนีเซียเพิ่มข้ึนเป็น 225 หรือประมาณกว่า 2 เท่าของ ระดับการลงทุนก่อนเกิดวิกฤต เกาหลีใต้เพิ่มขึ้นเป็น 166 มาเลเซียเป็น 173 ขณะที่ประเทศไทยมีระดับ การลงทนุ ภาคเอกชนคิดเปน็ เพียงร้อยละ 94 ของระดบั การลงทุนก่อนเกิดวิกฤตเท่านน้ั แผนภาพท่ี ๑ การลงทุนภาคเอกชนในประเทศท่ผี ่านวิกฤตเศรษฐกจิ ปี พ.ศ. ๒๕40 ความน่าดึงดูดการลงทุนต่างชาติของไทยน้อยลงเมือ่ เทียบกับประเทศอาเซียน ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า มูลค่าเงินลงทุนสุทธิจากต่างประเทศ (Net Foreign Direct Investment: Net FDI) แทบไม่เพ่ิมขึ้นเลย พบว่าจนกระท่ังในปี พ.ศ. 2561 ประเทศไทยกลายเป็นประเทศเดียว ในอาเซียนที่ได้รับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศจากทั้งโลกในสัดส่วนที่ลดลงจากร้อยละ 0.51 ของเงินลงทุนท้ังโลกระหว่างปี พ.ศ. 2552 - 2556 เหลือร้อยละ 0.45 ในปี พ.ศ. 2557 - 2561 ถ้าเปรียบประเทศไทยเป็นตลาดสินค้าเท่ากับไทยกาลังเสียส่วนแบ่งในตลาดในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ภูมิภาคอาเซียนเป็นภูมิภาคที่ดึงดูดเงินลงทุนทั่วโลกได้เพ่ิมขึ้นมากท่ีสุดในเอเชีย ประเทศท่ีเคย ไดร้ ับส่วนแบ่งเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศต่ากว่าไทย อย่างประเทศอินโดนีเซีย ประเทศเวียดนาม และประเทศมาเลเซีย กลับมีความน่าดึงดูดมากข้ึนและได้เพ่ิมส่วนแบ่งเงินลงทุนจากท้ังโลกเพ่ิมข้ึน เป็น 0.98% 0.68% และ 0.52% ตามลาดับ

-๒- แผนภาพที่ ๒ สว่ นแบง่ ตลาดเงนิ ลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสทุ ธิ (FDI Net Inflows) ท่มี า: World Bank หมายเหต:ุ 1/ สงิ คโปรม์ สี ดั สว่ นเงนิ ลงทนุ สุทธิของโลกเพ่มิ ข้นึ มากทีส่ ดุ โดยระหวา่ ง 2014-2018 เพม่ิ ข้ึนจาก 1.5% เป็น 4.15% 2/ สาเหตทุ ใี่ ชค้ า่ เฉลย่ี 5 ปี เนื่องจากขอ้ มูลมีความผนั ผวนระหว่างปสี งู การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาของประเทศไทยต่ามานานถึงแม้ดีข้ึนเรื่อย ๆ โดยค่าใช้จ่ายในการวิจัยและพัฒนาเม่ือเทียบเป็นสัดส่วนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อยู่ใน ระดับไม่ถึงร้อยละ 0.5 มาเป็นระยะเวลานาน ซ่ึงเพิ่งมาเร่งตัวขึ้นในช่วงหลังปี พ.ศ. 2558 จนเพ่ิมข้ึน เป็นร้อยละ 1 ในปี พ.ศ. 2560 โดยส่วนที่เพ่ิมขึ้นมาในระยะหลังมาจากการลงทุนด้านการวิจัย และพัฒนาโดยเอกชน ทาให้สัดส่วนล่าสุดระหว่างการลงทุนโดยรัฐกับเอกชนอยู่ท่ี 20 : 80 ถึงแม้สถานการณ์การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาจะมีแนวโน้มดีขึ้นมาก แต่ยังถือว่าช้ากว่าประเทศท่ีอยู่ ในกลุ่มรายได้ปานกลาง จากการวิจัยของธนาคารเพ่ือการพัฒนาแห่งเอเชียได้กล่าวถึงปัญหาการติด กับดักประเทศรายได้ปานกลาง โดยมีข้อค้นพบหนึ่งว่าไม่มีประเทศใดที่สามารถหลุดพ้นจากกับดักน้ีไป ได้หากปราศจากการลงทุนในการวิจัยและพัฒนา เท่ากับว่าประเทศไทยกาลังไล่ตามหลังประเทศอ่ืน อยใู่ นการยกระดับรายได้ของประเทศ

-๓- แผนภาพท่ี ๓ การลงทนุ ดา้ นการวิจยั และพฒั นาของไทย ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ – ๒๕๖๐ แม้จะมีพัฒนาการในการทุ่มเททรัพยากรด้านการวิจัย แต่อุตสาหกรรมหลักของประเทศ ท้ังยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ยังไม่มีความพร้อมต่อการเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 จากรายงาน การถ่ายทอดองค์ความรู้การประเมินอุตสาหกรรมตามแนวทางอุตสาหกรรม 4.0 เมื่อพิจารณาถึงความพร้อม ในด้านต่างๆ ทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิต ทรัพยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์การกาหนดทิศทาง (Leadership Strategy) ระบบนิเวศที่เอ้ือต่อการยกระดับเทคโนโลยี การบริหารจัดการกระบวนการ รวมไปถึงปัจจัย สนับสนุนด้านอ่ืนๆ ยกตัวอย่างกรณีศึกษาของกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ท่ีเรียกได้ว่าเป็นโมเดลของการ พัฒนาอุตสาหกรรมท่ีประสบความสาเร็จสูงสุด และยังเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายท่ีจะเป็นอุตสาหกรรม แห่งอนาคตเป็น 1 ในอุตสาหกรรมตามนโยบาย 10 S-Curve ที่เรียกว่า อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ แต่ความพร้อมของอุตสาหกรรมยานยนต์น้ันถูกประเมินอยู่ท่ีระดับ 2.08 จาก 4.0 และหากพิจารณาจาก กลุ่มบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อมพบว่ามีความพร้อมอยู่ในระดับ 1.89 เท่าน้ัน โดยจากการประเมิน ท้ัง 6 มิติ ด้านท่ีบริษัทเอกชนมีความพร้อมน้อยท่ีสุด คือ ปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ทั้งกระบวนการแปลงให้ เป็นระบบดิจิทัล (digitalization process) การประมวลผลข้อมูล อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ก็เช่นเดียวกันระดับความพร้อมของทั้งอุตสาหกรรมอยู่ท่ี 1.99 จาก 4.0 และพบว่ากลุ่มบริษัทขนาด กลางและขนาดย่อมมีความพร้อมอยใู่ นระดับ 1.88 ขณะทบ่ี ริษัทขนาดใหญม่ ีความพร้อมที่ระดับ 2.38 จาก 4.0 ด้านท่ีได้คะแนนต่าท่ีสุดก็เป็นด้านเดียวกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ส่วนบริษัทขนาดกลางและ ขนาดย่อมในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ยังประสบปัญหาด้านเทคโนโลยีการผลิตอย่าง เคร่อื งจักรและอุปกรณอ์ ีกดว้ ย

-๔- ปฏิเสธไม่ได้ว่าท้ัง 2 อุตสาหกรรมของไทยมีการพัฒนาท่ีโดดเด่นในบรรดาอุตสาหกรรม ทั้งหมด เป็นอุตสาหกรรมหลักท่ีได้รับเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี จากบริษัทชั้นนาในต่างประเทศทั้งโดยตรงและโดยอ้อม แต่ด้วยการรับจ้างผลิตแบบ OEM ทาให้ปัญหา ของเทคโนโลยีท่ีได้รับการถ่ายทอดคือ เราเป็น “ผู้ตาม” มากกว่าจะเป็น “ผู้นา” ซ่ึงกลายเป็นอุปสรรค สาคัญในเชงิ ยุทธศาสตร์การพฒั นาอตุ สาหกรรมและเทคโนโลยขี องประเทศ แผนภาพที่ ๔ ความพรอ้ มของอุตสาหกรรม ๔.๐ ในไทย กรณีศึกษาของกลมุ่ อุตสาหกรรมยานยนต์ ทมี่ า: สถาบนั เพม่ิ ผลผลติ แห่งชาติ แผนภาพที่ ๕ ความพรอ้ มของอุตสาหกรรม ๔.๐ ในไทย กรณีศกึ ษาของกลมุ่ อตุ สาหกรรมไฟฟา้ และอเิ ล็กทรอนิกส์ ทม่ี า: สถาบันเพ่ิมผลผลติ แห่งชาติ

-๕- ๑.๒ การสง่ เสรมิ การลงทนุ ของประเทศไทย๑ ๑.๒.๑ ววิ ฒั นาการของนโยบายการส่งเสริมการลงทนุ ๑.๒.๑.๑ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๗ - พ.ศ. ๒๕๐๐ ช่วงสงครามโลกคร้ังท่ี ๒ ประเทศไทย ต้องประสบปัญหาภาวะขาดแคลนสินค้าอุตสาหกรรมเกือบทุกชนิดเป็นอย่างมากภายหลังสงครามโลก ครั้งท่ี ๒ ส้ินสุดลง รัฐบาลในสมัยนั้นมีนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพื่อทดแทน การนาเข้าสินค้าจากต่างประเทศ และได้มีกฎหมายส่งเสริมอุตสาหกรรมฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติ ส่งเสริมอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๔๙๗ ในข้ันแรกรัฐบาลไดด้ าเนินการในรูปแบบของรัฐวิสาหกิจ มกี ารก่อตั้ง องค์การทอผ้า องค์การฟอกหนัง และองค์การแบตเตอร่ี ๑.๒.๑.๒ ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๕๐๑ - พ.ศ. ๒๕๑๔ รัฐบาลมีแนวคดิ สนับสนนุ ให้ภาคเอกชน เข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นประกาศใช้กฎหมายส่งเสริมการลงทุนเพ่ือกิจการ อุตสาหกรรมข้ึนหรือที่เรียกว่า พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนเพ่ือกิจการอุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๐๕ ซ่ึงกฎหมายดังกล่าวในระยะแรกเป็นการกากับ บังคับและควบคุมมากกว่าส่งเสริม ทาให้ภาคเอกชน นาเสนอโครงการเข้ามาเป็นจานวนน้อย จึงมีการแก้ไขเพ่ิมเติมพระราชบัญญัติดังกล่าวเร่ือยมา เพื่อให้มี ความเหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจและสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงไป ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ สานักงาน คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้รับการจัดตั้งข้ึน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนเพื่อกิจการ อุตสาหกรรม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๐๘ จนถงึ ปจั จบุ ันก่อตั้งมาแล้วเป็นเวลา ๕๓ ปี ๑.๒.๑.๓ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๕ - พ.ศ. ๒๕๓๔ นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรม ภายในประเทศเพื่อทดแทนการนาเข้าสินค้านั้น ไม่เพียงพอต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ตลาดในประเทศ ค่อนข้างเล็ก การจ้างงานที่ไม่สูง ปัญหาดังกล่าวนาไปสู่นโยบายการส่งเสริมการลงทุนผลิตสินค้า เพ่ือส่งออกไปต่างประเทศ อีกท้ังในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้มีโครงการพัฒนาพื้นท่ีบริเวณชายฝั่งทะเล ตะวันออก (Eastern Seaboard Development Program: ESB) ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือ อตุ สาหกรรมมาบตาพุด ถือไดว้ า่ เป็นจดุ เรม่ิ ต้นของการพฒั นาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ภายในประเทศ ๑.๒.๑.๔ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๕ - พ.ศ. ๒๕๓๙ รัฐบาลมีนโยบายเปิดเสรีสินค้า อตุ สาหกรรมโดยให้กลไกตลาดทาหน้าท่ี นอกจากน้ีรัฐบาลมีนโยบายกระจายการลงทนุ สู่ภูมิภาค เพื่อให้ เกิดการพัฒนาในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ ท้ังน้ี สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนมีนโยบาย ระยะแรกเพ่ือกาหนดพื้นที่การลงทุน โดยแบ่งเป็น ๓ เขต คือ เขต ๑ เขต ๒ และเขต ๓ (กาหนดเขต ตามระยะทาง) ๑.๒.๑.๕ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๐ - พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ (วิกฤติการณ์ ต้มยาก้งุ ) สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนไดม้ ีนโยบายที่ผ่อนปรน ส่งเสริมให้มีการร่วมลงทุน มากย่ิงขน้ึ เพื่อให้ภาคเอกชนยงั คงดาเนินกจิ การได้ต่อไป ๑.๒.๑.๖ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๓ - พ.ศ. ๒๕๕๒ เน้นการเพิ่มขีดความสามารถในการ แข่งขัน โดยออกมาตรการด้านสทิ ธปิ ระโยชนส์ าหรบั การวิจัยและการพฒั นาเทคโนโลยี ๑.๒.๑.๗ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๒๕๕๗ เน้นการสร้างสมดุลและสร้างความ ย่ังยืนทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยพิจารณาถึงหลักเกณฑ์การพัฒนาโครงการต่าง ๆ และส่งเสริม กิจการทีม่ ีการดูแลสิ่งแวดล้อม ๑ การให้ข้อมูลของผู้แทนจากสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน บันทึกการประชุม คณะอนุกรรมาธกิ ารฯ คร้งั ท่ี ๒ วนั ศุกรท์ ่ี ๑๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๒

-๖- ๑.๒.๑.๘ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๕๘ - พ.ศ. ๒๕๖๔ มุ่งเน้นการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ในอดีต ประเทศไทยมีกาลังแรงงานจานวนมากและอตั ราคา่ จา้ งท่ียงั ไมส่ งู โดยแรงงานทางานภาคอุตสาหกรรม ที่มีการผลิตสินค้าต่าง ๆ เช่น เส้ือผ้าสาเร็จรูป เคร่ืองหนัง รองเท้าและกระเป๋าเดินทาง เป็นต้น แต่ปัจจุบัน พบว่า ประเทศไทยขาดแคลนแรงงานในทุกระดบั การศึกษา และพนื้ ทกี่ ารพัฒนาอุตสาหกรรมมีค่อนข้างจากัด ก่อให้เกิดการปรับนโยบายการส่งเสริมการลงทุนใหม่ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นต้นมา ท่ีมุ่งเน้นการพัฒนา บุคคลและการพัฒนาเทคโนโลยี เพ่ือให้สอดคล้องกับโครงสร้างเศรษฐกิจในอนาคตมากย่ิงข้ึน โดยเมื่อมี นโยบายการสง่ เสริมการลงทนุ แล้ว ลาดับตอ่ ไปคือ ตอ้ งมเี คร่อื งมือที่ใช้วัดผลการดาเนนิ งานด้วย ท่ีจากเดิมวัด จากการจ้างงาน การส่งออกและการลงทุนในเขตพื้นทีก่ ารลงทนุ แตต่ อ่ มาได้มุ่งเนน้ การวดั ผลการดาเนนิ งานใน เชงิ คณุ ภาพ เชงิ คุณคา่ เชงิ เทคโนโลยแี ละการวิจยั พัฒนามากยิ่งข้ึน ๑.๒.๒ ยุทธศาสตร์การสง่ เสริมการลงทุนในระยะ ๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๔) ๑.๒.๒.๑ ยทุ ธศาสตรก์ ารส่งเสริมการลงทุนในระยะ ๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๔) สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้มีการเตรียมความพร้อม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยตั้งคณะทางานเพื่อศึกษาแนวโน้มและทิศทางการส่งเสริมการลงทุนในอนาคต และได้ดาเนินการศึกษาแล้วเสร็จเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๕๘ นาไปสู่การประกาศใช้ยุทธศาสตร์การส่งเสริม การลงทุนในระยะ ๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๔) โดยมนี โยบายหลัก ๖ ประการ ดงั น้ี ๑) การส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศโดยสง่ เสริมการวิจัยและพฒั นา (R&D) การสรา้ งนวัตกรรม การสร้างมูลค่าเพิ่ม และการสง่ เสริม วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ๒) การส่งเสริมกิจการท่ีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน ใช้พลงั งานทดแทน เพือ่ การเตบิ โตอย่างสมดุลและยัง่ ยืน ๓) การส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มของการลงทุน (Cluster) ท่ีสอดคล้อง กบั ศักยภาพของพนื้ ท่ี และสร้างความเข้มแข็งของหว่ งโซ่มลู ค่า ๔) การลงทุนในพ้ืนที่ชายแดนภาคใต้เพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจท้องถ่ิน ทเ่ี กอ้ื กลู ต่อความมน่ั คงในพ้นื ท่ี ๕) การส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน เพอ่ื ให้เกดิ การเช่ือมโยงทางเศรษฐกิจกับประเทศเพ่ือนบา้ น และรองรบั การรวมกลุม่ ประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน (AEC) ๖) การส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศเพื่อพัฒนาความสามารถ ในการแข่งขันของธุรกิจไทย และเพ่ิมบทบาทของไทยในเวทีโลกมากย่ิงขึ้น (เดิมเป็นการส่งเสริม การลงทุนในประเทศและการสง่ เสรมิ การลงทนุ โดยตรงจากตา่ งประเทศ) ๑.๒.๒.๒ การเปล่ียนแปลงนโยบายภายใต้ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุน ในระยะ ๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๔) มีนโยบาย ๕ ประการ ดงั น้ี ๑) จากเดิมท่ีส่งเสริมแบบครอบคลุมเกือบทุกกิจการ เปลี่ยนเป็นแนวใหม่ คือ ส่งเสริมแบบมีเป้าหมายชัดเจน และจัดลาดับความสาคัญมากขึ้น ๒) จากเดิมท่ีให้สิทธิประโยชน์ตามประเภทกิจการเป็นหลัก เปลี่ยนเป็น แนวใหม่ คือ ให้สิทธิประโยชน์พ้ืนฐานตามความสาคัญของกิจการและให้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติม ตามคุณคา่ ของโครงการ (กระตุน้ ให้ภาคเอกชนดาเนนิ การในส่ิงที่เปน็ ประโยชนต์ ่อสว่ นรวมมากยิง่ ขึ้น)

-๗- ๓) จากเดิมทส่ี ่งเสรมิ ตามเขตพืน้ ท่ี (เขต ๑ - ๓) เปลย่ี นเป็นแนวใหม่ คือ ส่งเสริม ใหเ้ กิด Cluster การลงทุนในแต่ละภมู ภิ าค หรอื พนื้ ที่เขตเศรษฐกิจพเิ ศษทีเ่ ป็นเปา้ หมายของรัฐบาล ๔) จากเดิมที่ส่งเสริมท่ีเน้นการให้สิทธิประโยชน์ภาษี เปล่ียนเป็นแนวใหม่ คือ ปรับสิทธปิ ระโยชน์ทางภาษีใหเ้ หมาะสม เน้นพัฒนาความพร้อมของปัจจัย และอานวยความสะดวก ให้เกิดการลงทุนมากยิ่งข้ึน เช่น SMART Visa เพ่ือดึงดูดบุคลากรทักษะสูงและนักลงทุนที่ประสงค์ จะเขา้ มาทางานหรือลงทนุ ในประเทศไทย ๕) จากเดิมท่ีส่งเสริมการลงทุนในประเทศเป็นหลัก เปล่ียนเป็นแนวใหม่ คือ เพม่ิ บทบาทสง่ เสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ ๑.๒.๒.๓ ตัวอย่างการปรับเปล่ียนทิศทางการส่งเสริมการลงทุนกิจการเดิม ๆ โดยเน้นคุณค่า ใช้เทคโนโลยีข้ันสูง กระบวนการผลิตมีความซับซ้อน เช่น ๑) อาหารแปรรูปทั่วไป - อาหารทางการแพทย์ และสารออกฤทธ์ิต่าง ๆ ๒) ผลิตภัณฑ์ยางทั่วไป – ยางอากาศยาน และยางรถยนต์ ๓) ผลติ ภัณฑเ์ หล็ก - เหล็กทนแรงสูง เหล็กถลงุ เหล็กพรนุ เปน็ ต้น ๑.๒.๒.๔ การปรับเปล่ียนหลักเกณฑ์การใช้เคร่ืองจักรในโครงการท่ีได้รับ การส่งเสรมิ มหี ลักเกณฑ์ ๗ ประการ ดังน้ี ๑) ประเภทเครื่องจักรใหม่จะได้รับการอนุญาตในโครงการและให้นับเป็น Cap วงเงนิ สาหรบั การยกเวน้ ภาษี และได้รบั ยกเว้นอากรขาเขา้ (เฉพาะเครอื่ งจกั รใหม่เท่านน้ั ) ๒) ประเภทเคร่ืองจักรใชแ้ ล้วจากต่างประเทศอายุไม่เกิน ๕ ปีนับตั้งแต่ปีท่ี ผลิตถึงปีที่นาเข้าทุกกรณีจะได้รับการอนุญาตให้ใช้ในโครงการได้ และให้นับเป็น Cap วงเงินสาหรับ การยกเว้นภาษีได้ แตจ่ ะไมไ่ ด้รับยกเวน้ อากรขาเข้า ๓) ประเภทเครื่องจักรใช้แล้วจากต่างประเทศอายุเกิน ๕ ปี แต่ไม่เกิน ๑๐ ปี ในกรณีทั่วไป จะได้รับการอนุญาตให้ใช้ในโครงการได้ แต่ไม่สามารถนับเป็น Cap วงเงินสาหรับการ ยกเวน้ ภาษไี ด้ และจะไม่ได้รับยกเว้นอากรขาเข้า ๔) ประเภทเคร่ืองจักรใช้แล้วจากต่างประเทศอายุเกิน ๕ ปี แต่ไม่เกิน ๑๐ ปี ในกรณีย้ายฐานการผลิตจะได้รับการอนุญาตให้ใช้ในโครงการได้ และให้นับเป็น Cap วงเงินสาหรับ การยกเวน้ ภาษไี ดเ้ พียงรอ้ ยละหา้ สิบ แต่จะไม่ได้รบั ยกเวน้ อากรขาเขา้ ๕) ประเภทเครื่องจักรใช้แล้วจากต่างประเทศอายุเกิน ๑๐ ปี กรณีทั่วไป จะไม่ได้รับอนุญาตให้ใชใ้ นโครงการได้ และไมไ่ ดร้ บั สทิ ธิประโยชนท์ างภาษี ๖) ประเภทเคร่ืองจักรใช้แล้วจากต่างประเทศอายุเกิน ๑๐ ปี กรณีย้าย ฐานการผลิต จะได้รบั อนญุ าตให้ใชใ้ นโครงการได้ แตจ่ ะไมไ่ ดร้ ับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ๗) กิจการขนส่งทางเรือ ทางอากาศ และแม่พิมพ์ (จะพิจารณาตาม เหมาะสม) หากได้รับการอนุญาตให้ใช้ในโครงการให้นับเป็น Cap วงเงินสาหรับการยกเว้นภาษี และได้รับ ยกเว้นอากรขาเข้า ทั้งน้ี ข้อ ๒) – ๖) ต้องมีใบรับรองจากสถาบันท่ีเช่ือถือได้ในด้าน ประสิทธิภาพของเคร่ืองจักร ผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อมและการใช้พลังงาน และเฉพาะกรณีท่ีนับเป็น (Cap) วงเงินต้องมกี ารประเมินราคาท่ีเหมาะสมดว้ ย ๑.๒.๒.๕ การปรับโครงสรา้ งภายในองค์กรของสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน มผี ลตัง้ แต่วนั ที่ ๒๒ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ มที ั้งการจดั ต้ังหน่วยงานใหม่ พัฒนากองเดมิ และมีการจัดตั้ง สานักงานในต่างประเทศ ประกอบด้วย

-๘- ๑) กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กองความร่วมมือการลงทุนต่างประเทศ กองส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ กองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ กองประสานและ พฒั นาปจั จัยการลงทุน กองพัฒนาและเชอ่ื มโยงการลงทุน ๒) กองบรหิ ารการลงทุนแบ่งออกเป็น ๕ กอง ไดแ้ ก่ กองบริหารการลงทุน ๑ กองบริหารการลงทุน ๒ กองบริหารการลงทุน ๓ กองบริหารการลงทุน ๔ และกองบริหารการ ลงทุน ๕ (ในอดีตจะกาหนดช่ือต่าง ๆ ของกลุ่มอุตสาหกรรมดังเดิม เช่น เหมืองแร่ เซรามิก โลหะข้ันมูล ฐาน เคมภี ัณฑ์ กระดาษ พลาสตกิ เปน็ ต้น) ๓) สานักงานเลขาธิการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร กลุ่ม พัฒนาระบบบรหิ าร กลมุ่ ตรวจสอบภายใน ๔) สานักงานต่างประเทศ ๑๖๖ แห่ง ใน ๑๒ ประเทศ (ล่าสุดมีการจัดตั้ง สานกั งานต่างประเทศในประเทศเวยี ดนามและประเทศอนิ โดนเี ซยี ) ๕) สานกั งานภมู ิภาค ๗ แห่ง ๑.๒.๒.๖ การแบ่งกลุม่ อุตสาหกรรมรายสาขา มดี ังนี้ ๑) กองบริหารการลงทุน ๑ (BIO AND MEDICAL INDUSTRIES) ดูแล กลมุ่ อตุ สาหกรรม เช่น เกษตร อาหาร ยา เครอ่ื งมือแพทย์ เป็นต้น ๒ ) ก อ ง บ ริ ห า ร ก า ร ล ง ทุ น ๒ (ADVANCED MANUFACTURING INDUSTRIES) ดแู ลกลุ่มอตุ สาหกรรม เช่น ยานยนต์ ผลิตภณั ฑ์อเิ ล็กทรอนิกส์ อากาศยาน เป็นตน้ ๓) กองบริหารการลงทุน ๓ (BASIC AND SUPPORTING INDUSTRIES) ดูแลกลุ่มอตุ สาหกรรม เชน่ ปโิ ตรเคมี ผลติ ภัณฑเ์ คมี เป็นต้น ๔) กองบริหารการลงทุน ๔ (HIGH VALUE SERVICES) ดูแลกลุ่มอุตสาหกรรม เชน่ การศกึ ษา การทอ่ งเท่ยี ว การขนส่ง การบริการทางการแพทย์และสขุ ภาพ เปน็ ตน้ ๕) กองบริหารหารลงทุน ๕ (CREATIVE AND DIGITAL INDUSTRIES) ดแู ลกลมุ่ อุตสาหกรรม เช่น ส่ิงทอ ซอฟต์แวร์ โครงสร้างพืน้ ฐานดิจทิ ลั เปน็ ตน้ ท้งั นี้ ได้มีการส่งเสรมิ การพฒั นาบุคลากรให้มีความพรอ้ มดูแลกลุ่มอุตสาหกรรม ดงั กลา่ วข้างต้นดว้ ย ๑.๒.๓. นโยบายและมาตรการส่งเสรมิ การลงทนุ ในปัจจบุ นั ๑.๒.๓.๑ นโยบายดา้ นเศรษฐกิจของรัฐบาล Thailand ๔.๐ มีดังนี้ ๑) อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ การยกระดับ ๕ อุตสาหกรรมเดิม และ สรา้ งฐาน ๗ อุตสาหกรรมใหม่ ๒) เทคโนโลยีเป้าหมาย ได้แก่ (๑) Biotechnology (๒) Nanotechnology (๓) Advanced Material Technology และ (๔) Digital Technology (เป็นการทางานร่วมกันระหว่าง สานักงานคณะกรรมการสง่ เสริมการลงทุน กับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจยั และนวตั กรรม) ๓) พื้ นที่ เป้ าหมาย ได้ แก่ เขตพั ฒ นาพิ เศษภาคตะวันออก (EEC) เมืองอัจฉริยะ (Smart City) เมืองนวัตกรรมอาหาร (Food Innopolis) เขตวิทยาศาสตร์และเขตเศรษฐกิจ พิเศษชายแดน

-๙- ๑.๒.๓.๒ มาตรการส่งเสริมการลงทุนในปัจจุบนั แบง่ ออกเป็น ๕ กลมุ่ มาตรการ ดงั น้ี ๑) Industry based ได้แก่ (๑) Bio & Medical Industries (๒) Advanced Industries (๓ ) Basic & Supporting Industries (๔ )High Value Services (๕ ) Creative & Digital Industries โดยจะได้รบั การยกเวน้ ภาษีเงินได้นิติบุคคลน้อยกว่าหรือเท่ากับ ๘ ปี ๒) Technology based ได้แก่ (๑) Biotechnology (๒) Nanotechnology (๓) Advanced Material Technology (๔) Digital Technology โดยจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ นิติบคุ คล ๑๐ ปี ทั้งน้ี ๑) และ ๒) ได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานที่จะได้รับการส่งเสริมการ ลงทุนตามประเภทธุรกจิ และตามโครงการท่ีมีการพฒั นา ๓) Merit based เช่น (๑) การวิจัยและพัฒนา (๒) สนับสนุนสถาบัน การศึกษา/วิจัย หรือกองทุนพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากร ออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เป็นต้น ท้ังนี้ จะได้รับสิทธิประโยชน์การลงทุนตามคุณค่าของโครงการ โดยจะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ นติ บิ คุ คลเพมิ่ เติม ระยะเวลา ๑ ปี ถงึ ๓ ปี ๔) Area based เช่น (๑) โครงการพัฒนาระเบยี งเศรษฐกิจพเิ ศษภาคตะวนั ออก (EEC) (๒) จังหวัดชายแดนภาคใต้ (๔ จังหวัด ๔ อาเภอ) เป็นต้น ทั้งนี้ จะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม โดย ไดร้ ับการยกเว้นภาษีเงนิ ได้นติ ิบคุ คลเพิ่มเติม เพ่ือกระตุ้นใหเ้ กิดการดาเนินกิจการในพ้ืนทเ่ี ป้าหมาย ๕) Agenda based เช่น (๑ ) มาตรการพิเศษ “ปีแห่งการลงทุน ” (๒) มาตรการเร่งรัดการลงทุน (๓) มาตรการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SMEs (ได้รับ การส่งเสริมแล้วกว่า ๒,๐๐๐ โครงการ) (๔) มาตรการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก (๕) มาตรการปรับปรุง ประสทิ ธิภาพการผลติ ๑.๒.๓.๓ สทิ ธปิ ระโยชนพ์ ้ืนฐานตามประเภทกิจการ (Industry based Incentives) ดังนี้ ๑) ประเภทกิจการ A1: อุตสาหกรรมฐานความรู้เน้น R&D / Design ซึ่งสาคัญมากต่อการพัฒนาขีดความสามารถของประเทศ ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ ยกเว้นภาษีเงินได้ นิตบิ ุคคล ระยะเวลา ๘ ปี ๒) ประเภทกิจการ A2: โครงสร้างพื้นฐานเพ่ือพัฒนาประเทศ กิจการที่ใช้ เทคโนโลยีขั้นสูงเพ่ือสร้างมูลค่าเพิ่มและกิจการด้านส่ิงแวดล้อม และยังมีการลงทุนน้อยหรือยังไม่มี จะไดร้ ับสิทธปิ ระโยชน์ ยกเว้นภาษีเงนิ ได้นิตบิ ุคคล ระยะเวลา ๘ ปี ๓) ประเภทกิจการ A3: กิจการใช้เทคโนโลยีสูงที่สาคัญต่อการพัฒนา ประเทศมฐี านผลติ อยูบ่ า้ งแล้ว ซ่ึงจะได้รบั สิทธปิ ระโยชน์ยกเวน้ ภาษเี งินไดน้ ติ ิบคุ คล ระยะเวลา ๕ ปี ๔) ประเภทกิจการ A4: กิจการที่มีระดับเทคโนโลยีไม่เท่า A1 และ A3 แต่ช่วยสร้างมูลค่าเพ่ิมแก่วัตถุดิบในประเทศ และเสริม Value Chain จะได้รับสิทธิประโยชน์ ยกเว้น ภาษเี งนิ ได้นิติบุคคล ระยะเวลา ๓ ปี ทั้งน้ี ประเภทกิจการ A1 – A4 จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากร เครื่องจกั ร และยกเว้นอากรวตั ถดุ ิบผลิตเพ่ือสง่ ออก และ Non tax ดว้ ย สาหรับประเภทกิจการ B๑ - B ๒: อุตสาหกรรมสนับสนุนที่ใช้เทคโนโลยีไม่สูง แต่ยังสาคัญต่อ Value Chain จะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล และเฉพาะประเภทกิจการ B๑ จะได้รับการยกเว้นอากรเคร่ืองจักร อีกทั้ง ประเภทกิจการ B๑ - B๒ ได้รับการยกเว้นอากรวัตถุดิบผลิต

- ๑๐ - เพื่อส่งออก ประเภทกิจการท่ีให้การส่งเสริมที่มีการแบ่งกลุม่ ต่าง ๆ ทางสานักงานคณะกรรมการส่งเสริม การลงทนุ ได้มกี ารปรึกษาหารือกบั ฝ่ายนโยบาย ภาคเอกชนและสมาคมภาควิชาการ เพือ่ ให้การแบง่ กลุ่ม มีความเหมาะสมมากย่ิงขึ้น เช่น ประเภท A๑ ได้แก่ การวิจัยพัฒนา การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ด้าน การออกแบบ รวมท้งั กจิ การท่สี ง่ เสรมิ วทิ ยาศาสตร์และดิจิทัล เปน็ ต้น ๑.๒.๓.๔ สรุปวนั ส้นิ สดุ ของมาตรการสง่ เสริมการลงทนุ ต่าง ๆ มีดังนี้ ส้ินสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้แก่ (๑) มาตรการพิเศษ “ปีแห่งการลงทุน” (๒) มาตรการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) (๓) มาตรการส่งเสริม SMEs และ (๔) มาตรการ ปรับปรุงคุณภาพนา้ มันตามมาตรฐานยูโร ๕ และสนิ้ สุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ไดแ้ ก่ (๑) มาตรการเร่งรัดการ ลงทุน (Thailand Plus) (๒) มาตรการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ (๓) มาตรการชายแดนภาคใต้ (๔) มาตรการส่งเสริมให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (๕) มาตรการปรับปรุง ประสิทธิภาพการผลิต และ (๖) มาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก และส้ินสุดในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้แก่ (๑) ยุทธศาสตรส์ ่งเสริมการลงทุนในระยะ ๗ ปี (พ.ศ.๒๕๕๘ - ๒๕๖๔) และ (๒) มาตรการ ส่งเสรมิ อุตสาหกรรมระบบราง ๑.๒.๓.๕ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้มุ่งเน้นทรัพยากรมนุษย์ โดยการ พัฒนาบุคลากรไทย ดึงดูดบุคลากรศักยภาพสูงจากต่างประเทศและมุ่งเน้นเทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายและการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมาย รวมทงั้ การปรบั ปรุงประสทิ ธิภาพ โดยการส่งเสริมให้กจิ การเดมิ ลงทนุ เพ่ือปรบั ปรงุ ประสิทธภิ าพการผลิต และการพัฒนาพื้นทเี่ ปา้ หมายศกั ยภาพในเขตพฒั นาพเิ ศษภาคตะวันออก (EEC) ๑.๒.๓.๖ กระจายความเจริญสู่ภูมิภาคและลดความเหล่ือมล้า โดยการส่งเสริมการลงทุน ในจังหวัดท่ีมีรายได้ต่อหัวต่า ๒๐ จังหวัด ส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ส่งเสริม การลงทุนในพ้ืนทช่ี ายแดนภาคใต้ สง่ เสริมการลงทุนของ SMEs และสง่ เสริมการลงทนุ เศรษฐกิจฐานราก ๑.๒.๓.๗ มาตรการเพ่ือเร่งรัดการลงทุนท่ีมีคุณภาพและรองรับการย้ายฐานการผลิต สืบเน่ืองจากผลกระทบของสงครามการค้าหรือ Thailand Plus Package มีมาตรการ ๗ ด้าน ดังนี้ (๑) ด้านสิทธิประโยชน์ (๒) ด้านบุคลากร (๓) ด้านกระบวนการตัดสินใจ (๔) ด้านความสะดวกในการ ประกอบธุรกจิ (๕) ดา้ นพ้ืนที่ (๖) ด้านตลาด (๗) ด้านหว่ งโซอ่ ปุ ทาน ๑.๒.๔ บรกิ ารด้านตา่ ง ๆ ๑.๒.๔.๑ One Stop Service เป็นการให้บริการด้านคาปรึกษา และการให้ข้อมูล การลงทนุ ๑.๒.๔.๒ SMART Visa เป็นการทางานร่วมกันระหว่างสานักงานคณะกรรมการ ส่งเสริมการลงทุนกับสานักงานตรวจคนเข้าเมือง กระทรวงแรงงานและหน่วยงานอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งมีการให้บริการแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) อีกด้วยเพ่ือสร้างโอกาสทางธุรกิจ โดยจัดกิจกรรมผู้ซ้ือพบผู้ขาย กิจกรรมตลาดกลางซ้ือขายชิ้นส่วน นาผู้ประกอบการ SMEs ร่วมงาน แสดงสินค้าและพบผู้ซื้อในต่างประเทศ กิจกรรมจัดงานแสดงสินค้าในประเทศ กิจกรรมสร้างเครือข่าย ระหวา่ งภูมภิ าค และจัดทาฐานข้อมลู ผู้ผลติ ชน้ิ สว่ นในอตุ สาหกรรมสนบั สนนุ เผยแพร่ผา่ นเวบ็ ไซต์ ๑.๒.๔.๓ การส่งเสริมการลงทนุ ไทยในตา่ งประเทศจะเป็นการให้บริการขอ้ มลู และจัด คณะศึกษาลู่ทางการลงทุน จัดฝึกอบรมเพื่อสร้างผู้ประกอบการไทยไปต่างประเทศ รวมทั้งจ้างบริษัท ท่ปี รึกษาประจาในตา่ งประเทศ เช่น ประเทศเวยี ดนาม ประเทศเมียนมาร์ เป็นต้น

- ๑๑ - ๑.๒.๕ การประเมินผลการส่งเสรมิ การลงทนุ การประเมินผลการส่งเสริมการลงทุน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน พ.ศ. ๒๕๒๐ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบญั ญัติส่งเสริมการลงทุน (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๑/๑ “เพื่อประโยชน์ในการติดตามและประเมินผลการส่งเสริมการลงทุนให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตามพระราชบัญญัติน้ี และเพ่ือให้การให้สิทธิและประโยชน์แก่ผู้ได้รบั การส่งเสริมเป็นไปอย่างเหมาะสม ชัดเจนและโปร่งใส ให้คณะกรรมการจัดให้มีการประเมินผลการส่งเสริมการลงทุนอย่างน้อยทุกสองปี โดยให้บุคคลภายนอกเป็นผู้ดาเนินการ แล้วให้สานักงานรายงานผลการประเมินต่อคณะกรรมการและ เปดิ เผยให้ประชาชนทราบต่อไป การประเมินผลการส่งเสริมการลงทุนตามวรรคหนึ่ง ต้องแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ ในทางเศรษฐกิจและสังคมที่ประเทศได้รับ รวมทั้งความคุ้มค่าของการส่งเสริมการลงทุนท้ังน้ี ตามหลักเกณฑ์ที่ คณะกรรมการกาหนด” มาตราดังกล่าว ถือได้ว่ามีความสอดคล้องกับเร่ืองที่คณะอนุกรรมาธิการได้พิจารณา อยู่ในขณะนี้ การกาหนดหลกั เกณฑก์ ารประเมนิ ผล แบ่งออกเป็น ๒ มติ ิดงั นี้ ๑) ประเมินผลประโยชนต์ ่อเศรษฐกจิ สงั คม และความค้มุ ค่าของการส่งเสรมิ การลงทนุ ๒) ประเมินผลนโยบายการส่งเสริมการลงทุนภายใต้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน ระยะ ๗ ปี ซ่ึงคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเห็นชอบให้มีการประเมินใน ๒ มิติ โดยบริษัทที่ เป็นผู้เช่ียวชาญด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรม การค้าและการลงทุน ได้ดาเนินการประเมินผลนโยบาย ส่งเสริมการลงทุนตามตัวช้ีวัดด้านต่าง ๆ ที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกาหนด ทั้งน้ี สานักงานได้ นาเสนอผลการประเมินต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เม่ือวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑ และไดน้ าผลการประเมนิ ดงั กล่าวขึน้ เผยแพร่ด้วย โดยการประเมนิ มี ๒ มติ ิ ดงั นี้ มิติท่ี ๑ คือ “การประเมินผลประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ สังคมและความคุ้มค่าจากการ ส่งเสริมการลงทุน” ประกอบด้วย ๕ ตัวชี้วัด ดังน้ี (๑) การประเมินผลต่อเศรษฐกิจและสังคมด้วย แบบจาลองทางเศรษฐศาสตร์ (๒) ค่าจ้างเฉลี่ยแรงงานไทย (๓) ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่รัฐจัดเก็บได้และ ท่ีรฐั สูญเสยี (๔) มลู คา่ การส่งออก และ (๕) มลู คา่ การใช้วัตถุดิบในประเทศ การประเมินผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และความคุ้มค่าจากการส่งเสริมการ ลงทุน แสดงถงึ มลู คา่ การเปลยี่ นแปลงจากการสง่ เสรมิ การลงทุนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และ พ.ศ. ๒๕๕๙ มดี ังน้ี ๑) การประเมินผลต่อเศรษฐกิจและสังคมด้วยแบบจาลองทางเศรษฐศาสตร์ พบว่า มูลค่าการเปลี่ยนแปลงจากการส่งเสริมการลงทุนส่งผลให้ GDP เพิ่มข้ึนร้อยละ ๓.๓๐ การบริโภค ภาคเอกชนเพ่ิมขึ้นร้อยละ ๑.๖๐ การส่งออกสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๓๐ และการนาเข้า สนิ คา้ และบรกิ ารเพิ่มข้นึ รอ้ ยละ ๒.๕๐ ๒) ผลประโยชนท์ างเศรษฐกิจและสงั คม มีดงั น้ี ๒.๑) ค่าจ้างเฉลี่ย บริษัทท่ีได้รับการส่งเสริมจ่ายค่าจ้างสูงกว่าค่าจา้ งเฉล่ียแรงงาน ไทยในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ เท่ากับ ๒๙๘,๐๖๐ บาทต่อคนต่อปี เพ่ิมขึ้นจากปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นมูลค่า ๑๘,๖๓๔ บาท ตอ่ คนต่อปี ๒.๒) มูลค่าการส่งออกของบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมมีสัดส่วนร้อยละ ๘๔ ของมูลค่า สง่ ออกของประเทศ เชน่ สนิ คา้ เกษตร ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ เปน็ ตน้ ๒.๓) สัดส่วนการใช้วัตถุดิบภายในประเทศของบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมคิดเป็น รอ้ ยละ ๖๒ ของการใชว้ ตั ถดุ บิ ทั้งหมด โดยสาขาเกษตรแปรรูปมีสดั สว่ นสูงสุด

- ๑๒ - ๓) ความคมุ้ ค่าของการสง่ เสริมการลงทุนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และ พ.ศ. ๒๕๕๙ ๓.๑) ภาษีเงินได้นิติบุคคลที่รัฐจัดเก็บได้ (จากการรายงานผลการดาเนินงาน ประจาปีของบริษทั ที่ไดร้ ับการส่งเสรมิ การลงทุน) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จานวน ๗๘,๘๘๒ ล้านบาท ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ จานวน ๘๘,๖๘๒ ล้านบาท ๓.๒) ภาษีเงินได้นิติบุคคลท่ีรัฐสูญเสีย (จากการย่ืนขอใช้สิทธิ์ยกเวน้ ภาษีเงินได้นิติ บุคคลผ่านสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ จานวน ๕๑,๕๘๗ ล้านบาท ปี พ.ศ. ๒๕๕๙ จานวน ๗๒,๑๖๖ ล้านบาท มิติที่ ๒ คือ ประเมินผลนโยบายการส่งเสริมการลงทุนภายใต้ยุทธศาสตร์ส่งเสริม การลงทุนระยะ ๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๔) ประกอบด้วย ๖ นโยบายใหม่ ดังน้ี (๑) ส่งเสริมการลงทุน เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน (๒) ส่งเสริมกิจการท่ีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดพลังงาน หรือใช้พลังงานทดแทน (๓) ส่งเสริม Cluster และสร้างความเข้มแข็งของห่วงโซ่มูลค่า (๔) ส่งเสริมการ ลงทุนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (๕) ส่งเสริมการลงทุนในเขตพฒั นาเศรษฐกิจพิเศษ และ (๖) ส่งเสริมการลงทุน ไทยในตา่ งประเทศ โดยแตล่ ะนโยบายมีสาระสาคัญ ดงั น้ี นโยบายที่ ๑ สง่ เสริมการลงทุน เพื่อพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน ประกอบด้วย (๑) มูลค่าการลงทุนโครงการพัฒนาเทคโนโลยีเป้าหมายและอุตสาหกรรมเป้าหมาย (๒) ค่าใช้จ่าย การวิจัยและพัฒนา R&D (๓) มูลค่าเพ่ิมต่อรายได้ของการส่งเสริมการลงทุนหมวดอุตสาหกรรม การเกษตร การผลิต และบริการ (๔) จานวนการขอรับการส่งเสริมลงทุนในพ้ืนที่ ๒๐ จังหวัดที่มีรายได้ ต่อหัวต่าต่อจานวนโครงการท้ังสิ้น (๕) จานวนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ขอรับ การส่งเสริมการลงทุน นโยบายท่ี ๒ ส่งเสริมกิจการท่ีเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมประหยัดพลังงานหรือใช้ พลังงานทดแทน ประกอบด้วย (๑) การผลิตพลังงานทดแทน และการประหยัดพลังงานหรือใช้พลังงาน ทดแทนของโครงการที่ขอรับการส่งเสริม (๒) ความสามารถในการลดปริมาณของเสียของโครงการ ทขี่ อรบั การสง่ เสริม นโยบายท่ี ๓ ส่งเสรมิ Cluster และสรา้ งความเขม้ แข็งของห่วงโซ่มูลค่า ประกอบด้วย (๑) การกระจุกตัวของอตุ สาหกรรมที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน (๒) มลู คา่ การเชือ่ มโยงอตุ สาหกรรม นโยบายท่ี ๔ ส่งเสริมการลงทุนในพื้นท่ีจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีมูลค่า และจานวนโครงการการขอรับการส่งเสริมการลงทุนตามนโยบายที่เก่ียวข้องกับการส่งเสริมการลงทุน ในจงั หวัดชายแดนภาคใต้ นโยบายท่ี ๕ ส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยมีมูลค่าและจานวน โครงการขอรบั การสง่ เสรมิ การลงทุนตามนโยบายสง่ เสริมการลงทนุ ในเขตพัฒนาเศรษฐกจิ พเิ ศษ นโยบายที่ ๖ ส่งเสริมการลงทุนของไทยในต่างประเทศ รายงานการเสริมสร้าง ศกั ยภาพนกั ลงทนุ ไทยให้พรอ้ มสาหรบั การลงทนุ ในต่างประเทศ สาหรับการประเมินผลตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนภายใต้ยุทธศาสตร์ส่งเสริม การลงทนุ ระยะ ๗ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๔) มีดังน้ี ๑) การขอรับการส่งเสริมการลงทุนใน ๑๐ อุตสาหกรรมเป้าหมาย ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ – พ.ศ. ๒๕๖๐ มีมูลค่ารวม ๗๑๐,๓๖๖ ล้านบาท คิดเป็นรอ้ ยละ ๕๒ ของมูลค่าขอรับการส่งเสริมทั้งหมด อุตสาหกรรมเดิมท่ีเป็นเป้าหมาย เช่น เคร่ืองใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และช้ินส่วน การเกษตร

- ๑๓ - แปรรูปอาหาร การท่องเที่ยว และปิโตรเคมีและเคมีภณั ฑ์ เป็นต้น ส่วนอุตสาหกรรมใหม่ที่เป็นเปา้ หมาย เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ การแพทย์ ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ อากาศยาน เป็นต้น อุตสาหกรรมอ่ืน ๆ เชน่ สาธารณปู โภค บริการพื้นฐาน ขนสง่ คิดเปน็ รอ้ ยละ ๔๘ ของมูลค่าขอรับการสง่ เสริมทั้งหมด ๒) การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ – ๒๕๖๐ มีจานวน ๕๕๖ โครงการ มีการวิจัยและพัฒนา (คิดเป็นร้อยละ ๑๔ ของโครงการทั้งหมด) โดย สัดส่วนผลรวมเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายเพ่ือวิจัยและพัฒนาต่อรายได้ท้ังหมดอยู่ที่ร้อยละ ๑.๐๒ ของ รายได้ทัง้ หมด ส่วนเป้าหมายประเทศไทยภายในสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๖๑ มสี ัดส่วนของค่าใช้จ่ายดา้ น R&D ต่อ GDP อยู่ทีร่ ้อยละ ๑ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และ พ.ศ. ๒๕๕๙ ประเทศไทยมีคา่ ใช้จ่ายดา้ น R&D ตอ่ GDP ท่ี ร้อยละ ๐.๖๒ และ ๐.๗๘ ตามลาดับ ตัวอย่างโครงการวิจัยและพัฒนาที่ได้ส่งเสริมการลงทุน เช่น การ วิจัยและพัฒนาระดับนาร่องสาหรับการผลิตจากผลผลิตทางการเกษตร การวิจัยและพัฒนาสร้างรถ ตน้ แบบ รวมถึงผลติ ภณั ฑ์และระบบตา่ ง ๆ ๓) การสร้างมูลค่าเพิ่มต่อรายได้โดยเฉล่ียในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ – พ.ศ. ๒๕๖๐ พบว่า เกษตรและเกษตรแปรรูปรอ้ ยละ ๒๖.๗ บริการรอ้ ยละ ๖๔.๕ และอตุ สาหกรรมร้อยละ ๓๖.๑ ๔) การขอรับการส่งเสริมการลงทุน SMEs ไทย ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ – พ.ศ. ๒๕๖๐ จานวน ๑,๓๑๘ โครงการ หรอื รอ้ ยละ ๓๒ ของโครงการท้ังหมด ในวงเงนิ ลงทุนรวม ๕๘,๑๗๑ ลา้ นบาท หรือร้อยละ ๔ ของมูลค่าลงทุนท้ังสิ้น ส่วนใหญ่อยู่ในธุรกิจเกษตรแปรรูป ผลิตไฟฟ้าจากพลังงาน หมุนเวียนและอุตสาหกรรมสนบั สนุน ๕) การกระจุกตัวของอุตสาหกรรมในแต่ละภาค ในปีพ.ศ. ๒๕๕๘ – พ.ศ. ๒๕๖๐ ภาคกลาง มีจานวนโครงการสูงสุด ๑,๙๓๖ โครงการ หรือร้อยละ ๕๐ ของโครงการทั้งหมด ภาค ตะวันออก มีมูลค่าลงทนุ สูงสุด ๖๐๕,๖๐๔ ลา้ นบาท (รอ้ ยละ ๔๔ ของมลู คา่ ทง้ั หมด) ๖) การขอรบั การส่งเสรมิ การลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC: Eastern Economic Corridor) ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ – พ.ศ. ๒๕๖๐ มูลค่าขอรับการส่งเสริมใน EEC คิดเป็นร้อยละ ๔๐ ของมูลคา่ ขอรับการส่งเสริมทั้งหมด ๗) การส่งเสริมการลงทุนในพนื้ ท่ีพเิ ศษอ่ืน ๆ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ – พ.ศ. ๒๕๖๐ มีดังน้ี (๑) ใน ๒๐ จังหวัดมีรายได้ต่อหัวต่า จานวน ๑๕๖ โครงการ โดยมีกิจการหลักคือผลิตไฟฟ้า จากแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงชีวมวล รองลงมาเป็นกิจการในอุตสาหกรรมเกษตรและเกษตรแปรรูป (๒) เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน มีจานวน ๕๒ โครงการ โดยมีกจิ การหลกั คือผลิตเสื้อผ้าสาเรจ็ รูป ผลิตภัณฑ์พลาสตกิ และอาหารสัตว์ (๓) พน้ื ที่จังหวดั ชายแดนภาคใต้ จานวน ๒๐ โครงการ กิจการหลัก คือผลติ ไฟฟ้าจากเชอ้ื เพลิงชวี มวล แปรรูปยางขั้นตน้ ๘) การสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ปัจจุบันมีโครงการที่ได้รับ การส่งเสริมท่ีเก่ียวข้อง จานวน ๔๐๔ โครงการ เงินลงทุน ๑๙๐,๘๙๓ ล้านบาท สามารถลดปริมาณของเสีย ไดไ้ มน่ อ้ ยกว่า ๑๗ ลา้ นตนั ต่อปี และลดปรมิ าณน้าเสยี ได้ไมน่ ้อยกว่า ๔๙ ลา้ นลกู บาศกเ์ มตรต่อปี ๙) การส่งเสริมการผลิตและใช้พลังงานทดแทน ได้แก่ (๑) โครงการผลิตไฟฟ้า จากพลังงานทดแทน รวม ๑,๑๗๑ โครงการ หรือร้อยละ ๙๐ ของโครงการผลิตไฟฟ้าท้ังหมดมีกาลัง ผลิตไฟฟ้ารวมกว่า ๘,๙๐๐ เมกะวัตต์ หรือร้อยละ ๔๓ ของกาลังผลิตไฟฟ้ารวมที่ได้รับการส่งเสริม หรือร้อยละ ๔๕ ของเป้าหมายประเทศ และ (๒) โครงการผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร รวม ๖๙ โครงการ มกี าลงั ผลติ เอทานอล ๑๐.๒๑ ลา้ นลิตรตอ่ วัน และไบโอดเี ซล ๑๐.๕๑ ลา้ นลิตรตอ่ วนั


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook