Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เล่ม 4 (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

เล่ม 4 (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว

Published by agenda.ebook, 2022-01-21 08:47:09

Description: (4) เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 4 ครั้งที่ 30 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2566

Search

Read the Text Version

- ๑๑๔ - (4) ตรวจสอบได้ โดยมีการเก็บข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหาร พสั ดอุ ยา่ งเปน็ ระบบเพ่ือประโยชน์ในการตรวจสอบ…” “มาตรา 9 การกาหนดคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุท่ีจะทาการจัดซื้อจัด จ้าง ให้หน่วยงานของรัฐคานึ่งถึงคุณภาพ เทคนิค และวัตถุประสงค์ของการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุนั้น และ ห้ามมิให้กาหนดคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุให้ใกล้เคียงกับย่ีห้อใดย่ีห้อหนึ่ง หรือของผู้ขายรายใดราย หน่ึงโดยเฉพาะ เว้นแต่พัสดุท่ีจะทาการจัดซ้ือจัดจ้างตามวัตถุประสงค์น้ันมียี่ห้อเดียวหรือจะต้องใช้ อะไหล่ของยี่หอ้ ใด กใ็ ห้ระบยุ ่หี ้อน้นั ได”้ นอกจากน้ียังต้องเป็นไปตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการ จดั ซอ้ื จดั จ้างและการบริหารพัสดุภาครฐั พ.ศ. 2560 ดว้ ย เจตนารมณ์ของกฎหมายท้ังสองฉบับ มุ่งให้การจัดซื้อจัดจ้างมีความ โปร่งใสเป็นสาคัญ ไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องอ่ืนเช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาต่อยอดอุตสาหกรรม ต่อเน่ือง โดยในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างท่ีผ่านมา บางโครงการมีข้อกาหนดเรื่องการถ่ายทอด เทคโนโลยี เช่น การจัดซื้อระบบเรดาร์ของกองทัพอากาศ แต่เป็นการกาหนดให้มีการถ่ายทอด เทคโนโลยีเพื่อใช้ประโยชน์ในการทางานเท่าน้ัน ไม่ได้มุ่งเน้นเพ่ือต่อยอดสู่การพัฒนาสู่ระดับ อุตสาหกรรมให้สามารถผลิตเองได้ ท้ังนี้ หากต้องการปรับใช้นโยบายจัดซื้อจัดจ้างแบบชดเชยภายใต้ กฎหมายปัจจุบัน ผู้แทนจากกรมบัญชีกลางให้ความเห็นว่าสามารถดาเนินการได้ทันที เพียงกาหนด เงื่อนไขเร่ืองการถ่ายทอดเทคโนโลยี และเง่ือนไขท่ีช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมภายในประเทศในสัญญา จัดซื้อจัดจ้าง โดยหากรัฐบาลถือกาหนดเป็นนโยบาย และหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องมีความพร้อมรองรับการ ถ่ายทอดเทคโนโลยี ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ไม่มีข้อจากัดใดๆ ท้ังหมดน้ีขึ้นกับแต่ละหน่วยงานว่าจะ กาหนดเงื่อนไขดังกล่าวใน TOR อย่างไร และเอาจริงเอาจังกับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแค่ไหน ขอเพียง ให้สอดคล้องกับข้อกฎหมาย การกาหนดเงื่อนไขใน TOR เอ้ือให้เอกชนหลายรายสามารถแข่งขันได้ ไม่ เอ้ือรายใดรายหนึ่งมากเกินไป โดยสรุป ภายใต้กฎหมายปัจจุบันหน่วยงานรัฐสามารถใช้นโยบายการจัดซื้อ จัดจ้างแบบชดเชยได้ทันที 6.2 ประเดน็ ท่ีเก่ียวข้องกบั การจัดการภาครัฐ ภาครัฐจาเป็นต้องเปล่ียนแนวคิดและกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง จาก เดิมที่พิจารณาโดยคานงึ ถึงราคาถูกสุดเป็นหลัก ต้องเปลี่ยนเป็นพิจารณาจากคุณภาพและมาตรฐานของ ผลิตภัณฑ์ก่อน เมื่อได้ข้อสรุปและเป็นไปตามมาตรฐานท่ีรัฐกาหนด จึงค่อยมาสู่ข้ันตอนการเสนอราคา การจัดซ้ือไม่จาเป็นต้องได้ผลิตภัณฑ์ท่ีราคาถูกท่ีสุดเสมอไป แต่ต้องได้ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาสมเหตุสมผล กับคุณภาพมาตรฐานของสินค้า โดยสิ่งท่ีรัฐบาลควรคานึงได้แก่ การถ่ายทอดเทคโนโลยี การสร้าง อตุ สาหกรรมตอ่ เนอ่ื ง และเอ้อื ต่อการเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ อย่างย่ังยนื ในระดับนโยบาย รัฐบาลควรประกาศให้นโยบายการจัดซื้อจัดจ้างแบบ ชดเชยเป็นนโยบายที่หน่วยงานราชการทุกแห่งท่ีมีการจัดซ้ือจัดจ้างขนาดใหญ่จากต่างประเทศหรือ เก่ียวข้องกับเทคโนโลยตี ้องนาไปปฏิบัติ อาจกาหนดเป็นระดับมลู ค่าโครงการข้นั ต่า เช่น หากโครงการมี มูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป หน่วยราชการนั้นต้องใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างแบบชดเชย และมีการ

- ๑๑๕ - รายงานความคืบหนา้ แสดงมูลคา่ หรือประโยชน์การชดเชยท่ีประเทศได้รับจากการจดั ซื้อจัดจา้ งน้ัน หาก ทาได้เชน่ นี้ นอกจากเป็นจุดเริ่มตน้ ท่ีดีให้หน่วยงานรัฐเร่ิมใช้นโยบายจัดซ้ือแบบชดเชย ยังเป็นตัวอย่างท่ี ดีให้แก่หน่วยงานอ่ืนๆ ปฏิบัติตามและเรียนรู้ไปด้วย เม่ือเวลาผ่านไป หน่วยงานราชการมีความคุ้นเคย กับการจัดซื้อจัดจ้างแบบชดเชยมากขึ้น รัฐบาลก็สามารถลดระดับมูลค่าโครงการลง เพ่ือเพิ่มจานวน โครงการที่ใชว้ ิธจี ดั ซอื้ จดั จ้างแบบชดเชยมากขน้ึ สาหรับประเด็นบุคลากร ภาครัฐต้องเตรียมความพร้อมบุคลากรให้มี ความรู้ความเข้าใจเรื่องนโยบายจัดซื้อจัดจ้างแบบชดเชย ควรส่งบุคลากรจากแต่ละหน่วยงานที่มีภารกิจ เก่ียวข้องกับการลงทุน จัดซ้ือจัดจ้างขนาดใหญ่ เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีไปฝึกอบรม หรือศึกษาดูงานเร่ือง นโยบายการจัดซื้อแบบชดเชยอย่างจริงจัง ปัจจุบันมีองค์กรหรือหน่วยงานในต่างประเทศท่ีมีประสบการณ์ เปิดหลักสูตรฝึกอบรม ให้ความรู้เร่ืองนโยบายจัดซื้อจัดจ้างแบบชดเชย ตัวอย่างหน่วยงาน เช่น TDA ของ มาเลเซีย หรืออาจผ่านบริษัทเอกชนในต่างประเทศท่ีรัฐบาลมีแนวโน้มจัดซื้อจัดจ้างก็ได้ หากสามารถทาได้ เช่นน้ี บุคลากรภาครัฐก็จะมีความเข้าใจเรื่องจัดซื้อแบบชดเชยมากข้ึน สามารถกลับมาดาเนินการ ประยุกต์ใช้ในประเทศไทย โดยเจ้าหน้าท่ีเหล่านี้ต้องจัดทารายงานเสนอแนวทางการใช้นโยบายจัดซ้ือแบบ ชดเชยตามหน้าท่ีท่ีหน่วยงานท่ีตนสังกัดรับผิดชอบ เพ่ือเสนอต่อรัฐบาลให้ดาเนินการผลักดัน การคัดเลือก บคุ ลากรของแต่ละหน่วยงาน อาจคัดเลือกจากผู้ที่มีความรู้พ้ืนฐานเก่ียวกับนโยบายการจัดซือ้ แบบชดเชย มี ความชานาญภาษาอังกฤษ และมีความรู้เก่ียวกับอุตสาหกรรมน้ัน ๆ นอกจากนี้ภาครัฐยังต้องจัดเตรียม หน่วยงานท่ีทาหน้าท่ีรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทั้งนี้ข้ึนกับชนิดหรือประเภทเทคโนโลยี ถ้าเป็น เทคโนโลยีด้านการป้องกันประเทศ อาจกาหนดให้สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศเป็นหน่วยงานหลัก ในการรับผิดชอบ หากเป็นเทคโนโลยอี ื่น ๆ เช่น ระบบราง อาจให้หน่วยงานทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับระบบรางเป็น ผู้รับผิดชอบ นอกจากน้ีเทคโนโลยีบางส่วน อาจให้ภาคเอกชนเป็นผู้รับไปดาเนินการ เช่นเทคโนโลยี ระดับรองหรือไม่สาคัญนัก โดยรัฐบาลอาจรับผิดชอบเฉพาะเทคโนโลยีสาคัญ หรือเทคโนโลยีหลัก หรือ เทคโนโลยีที่ซับซ้อนเท่านั้น การใช้แนวทางนี้ช่วยให้รัฐบาลยังสามารถครอบครองเทคโนโลยีหลักอยู่ ไม่ ต้องกังวลวา่ เอกชนจะมีเทคโนโลยีทีล่ า้ หน้ากว่ารัฐบาล ในแง่การบริหารจัดการโครงการ เพ่ือให้โครงการภายใต้นโยบายจัดซ้ือ แบบชดเชยมีความต่อเน่ือง หน่วยงานราชการหรือภาครัฐต้องมีความเข้มแข็ง ดาเนินโครงการให้ ต่อเน่ือง แม้รัฐบาลหรือฝ่ายการเมืองจะเปลี่ยนหน้าไป ภาครัฐต้องปฏิบัติตามสัญญาเพ่ือให้บรรลุ เปา้ หมาย ใหป้ ระเทศได้สง่ิ ทร่ี ะบุไวแ้ ละรฐั บาลไมต่ ้องเสียค่าปรับ สาหรับสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ซึ่งดาเนินการภายใต้ พระราชบัญญัติเทคโนโลยีป้องกันประเทศ พ.ศ. 2562 กฎหมายอนุญาตให้สถาบันเทคโนโลยีป้องกัน ประเทศสามารถทาการร่วมทุนเพื่อผลิตและดาเนินกิจกรรมกับเอกชนในด้านอุตสาหกรรมป้องกัน ประเทศได้ ปัจจุบันคณะทางานของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศอยู่ระหว่างการร่างระเบียบการ ร่วมทุนหรือกิจการร่วมค้า โดยในการจัดทาร่างระเบียบและร่างนโยบายได้บรรจุเร่ืองนโยบายจัดซื้อ แบบชดเชยไว้ด้วย

- ๑๑๖ - 6.3 ประเด็นทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั ภาคเอกชน ประเด็นท่ีเกี่ยวข้องกับภาคเอกชน จากประสบการณ์ในต่างประเทศพบว่า การจับคู่ภาคเอกชนที่ไม่เหมาะสมกันส่งผลต่อความสาเร็จของนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างแบบชดเชย ดังน้ันในการดาเนินนโยบาย การเลือกคู่สัญญาจึงเป็นสิ่งสาคัญ ต้องเลือกบริษัทต่างชาติและบริษัทใน ประเทศให้เหมาะสมกัน สามารถทางานร่วมกันได้ มีศักยภาพ วิสัยทัศน์และวัฒนธรรมองค์กรท่ีไม่ แตกต่างกันเกินไป ในมุมมองภาคเอกชน หากประเทศไทยจะนานโยบายการจัดซื้อแบบชดเชยมาใช้ สิ่งที่ ควรเตรียมการได้แก่ ความพร้อมของภาครัฐ ท่ีต้องทาหน้าท่ีรวบรวมหน่วยงานและผู้ประกอบการท่ีมีความ พร้อมในการปรับใช้นโยบายดังกล่าว ยกตัวอย่างเช่น มาเลเซีย ท่ีมีหน่วยงานกลาง MIGHT ดูแลเรื่องนี้ ทา หน้าท่ีคล้ายกับกระทรวงอุตสาหกรรมที่รวบรวมผู้ประกอบการท่ีเกี่ยวข้องและเหมาะสม นาเสนอข้อมูล เหล่านี้เสนอให้บริษัทต่างชาติที่ ทาหน้าที่เลือกว่าจะให้บริษัทในประเทศรายใดร่วมดาเนินการในโครงการ และร่วมในส่วนใด นอกจากน้ีเพ่ือให้การดาเนินนโยบายมีความจริงจังและต่อเนื่อง บุคคลท่ีภาครัฐกาหนดให้ รับผิดชอบโครงการควรรับผิดชอบตั้งแต่ต้นจนจบโครงการ ไม่ควรเปล่ียนบุคคลผู้รับผิดชอบระหว่างดาเนิน โครงการ นอกจากน้ีรัฐบาลไทยควรระบุให้ชัดเจนเหมือนในต่างประเทศ เช่น ในกรณีมาเลเซียที่รัฐบาล มาเลเซียระบุว่าหากมูลค่าโครงการมากกว่า 50 ล้านริงกิต ต้องดาเนินการภายใต้นโยบายจัดซื้อแบบชดเชย และมีมลู ค่าชดเชยเป็นเท่าไร ในประเด็นการถ่ายทอดเทคโนโลยี ภาคเอกชนที่ให้ข้อมูลระบุว่า มีความ พร้อมทั้งในการถ่ายทอดเทคโนโลยีและรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพราะมีการศึกษาและพัฒนาด้านน้ี มาโดยตลอด อย่างไรก็ตามจากประสบการณ์ของภาคเอกชน การทาสัญญาจัดซ้ือแบบชดเชยท่ัวโลกไม่ ว่าในประเทศใด พบว่าผู้ขายไม่ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ทั้งหมด ผู้ขายย่อมรักษาบางส่วนเป็นความลับ เป็นหน้าที่ของภาครฐั ในการระบุส่ิงท่ีผู้ขายต้องปฏิบัติ และตดิ ตามตรวจสอบอย่างจรงิ จังเพ่ือให้ประเทศ ไทยได้ประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ประเทศไทยอาจต้องให้เวลาผู้ประกอบในเร่ืองการเตรียมตัว การ พัฒนาต่าง ๆ รัฐบาลอาจเลือกดาเนินการนโยบายจัดซื้อแบบชดเชยในลักษณะข้ันบันได เช่น เริ่มจาก งานหรือระบบท่ีไมย่ ุ่งยาก นอกจากน้ี ควรระบุใหใ้ นทา้ ยทส่ี ุด การพัฒนาสินคา้ และบรกิ ารต่างๆ สามารถ ส่งออกต่างประเทศได้ หากทาได้เช่นน้ี การเติบโตจึงเห็นผลชัดเจน คุ้มค่า และรัฐยังควรมีแผนว่าจะให้ ความชว่ ยเหลอื แก่ภาคเอกชนอยา่ งไร หากภาคเอกชนไมส่ ามารถดาเนนิ การไดต้ ามท่รี ะบุในข้อสัญญา (๗) การประยุกต์นโยบายจัดซ้ือแบบชดเชยเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม ในประเทศไทย เม่ือต้องการประยุกต์ใช้การจัดซื้อแบบชดเชย หรือออฟเซ็ต เพื่อการพัฒนา อุตสาหกรรมภายในประเทศไทย ต้องทาความเข้าใจก่อนว่าในต่างประเทศมีวิธีการประยุกต์ ท่ีหลากหลาย เน่ืองจากแต่ละประเทศมีเง่ือนไขของการพัฒนาอุตสาหกรรมท่ีแตกต่างกัน ไม่มีสูตรสาเร็จ สาหรับการประยุกต์ใช้ บางประเทศอาจมีการกาหนดเป็นกฎหมายที่ชัดเจน ในขณะที่บางประเทศก็กาหนด ไว้เป็นแนวปฏิบัติหลวมๆ กรณีศึกษาที่น่าสนใจกรณีหนึ่งสาหรับประเทศไทย คือ กรณีของประเทศ สหพันธรัฐมาเลเซีย เน่ืองจากตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีที่มีการพัฒนาแนวนโยบายก็ได้ผ่านกระบวนการ ลองผิดลองถูกและปรับปรุงวิธีการใช้งานมาอย่างต่อเนื่อง มีบริบทหลายประการที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย

- ๑๑๗ - สาหรับประเทศสหพันธรัฐมาเลเซียการจัดซ้ือแบบชดเชยเป็นส่วนหน่ึงของโปรแกรมความร่วมมือ ภาคอุตสาหกรรม หรือ ICP (Industrial Collaboration Program) ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของแผนการพัฒนา อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ (Strategic Industries) มีการริเร่ิมแนวความคิดที่การค้าต่างตอบแทน (countertrade) สาหรับการจัดซ้ือโดยภาครัฐในช่วงปี ค.ศ.1987 โดยมหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้น ในระยะแรกดาเนินการในลักษณะหนังสือเวียนภายในสานักนายกรัฐมนตรี (คาดว่ามีลักษณะ เดียวกันกับการใช้ระเบียบจัดซื้อของสานักนายกรัฐมนตรี) ก่อนจะกาหนดให้มีการศึกษาวิจัยแนวทางการ จัดซ้ือแบบชดเชยในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในช่วงปี ค.ศ.2001-2002 และพัฒนาออกมาเป็น โปรแกรมการจัดซ้ือแบบชดเชย ฉบับแรก ใช้ในกระทรวงกลาโหมก่อนหน่วยงานอ่ืนในปี ค.ศ.2005 ใน เวลาต่อมาได้มีการขยายผลนโยบายการจัดซื้อแบบชดเชย ฉบับปรบั ปรุงครั้งท่ี 2 ไปใช้ครอบคลุมในทุกการ จดั ซ้ือของภาครัฐในปี ค.ศ.2011 และพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นโปรแกรมความร่วมมือภาคอุตสาหกรรม หรือ ICP (ซง่ึ นบั เป็นฉบบั ปรบั ปรงุ คร้งั ท่ี 3) ในปี ค.ศ.2014 ซึง่ ใช้อยใู่ นปจั จุบนั ผลจากการพัฒนาโปรแกรม ICP ทาให้มีการจัดตั้ง TDA (Technology Depository Agency) ซ่ึงมีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงการคลังข้ึนมาดูแลกระบวนการจัดซ้ือของภาครัฐท่ีเข้า กับเงื่อนไขในปี ค.ศ.2015 กล่าวได้ว่าสหพนั ธรฐั มาเลเซียใช้เวลาพัฒนาความคิด ปรบั รายละเอียดกันมากว่า 30 ปี ในการประชุมนานาชาติ GOCA APAC 2017 “คุณไซลานิ ซาฟารี” (Zailani Safari) ซ่ึงมีตาแหน่ง เป็น CEO ของ TDA ได้กล่าวว่าสาหรับสหพันธรัฐมาเลเซียแล้ว “TDA คือประตูของการนาเข้าการถ่ายทอด เทคโนโลยีใหม่สมัยใหม่จากต่างประเทศสู่มาเลเซีย” กล่าวคือ สหพันธรัฐมาเลเซียมีนโยบายการปฏิรูประบบ เศรษฐกิจ (ETP, Economic Transformation Program) เพื่อทาให้สหพันธรัฐมาเลเซียกลายเป็นประเทศ พัฒนาแล้วภายในปี ค.ศ.2020 โดยมีการผูกแผนการพัฒนา “อุตสาหกรรมเป้าหมาย” หรือ “อุตสาหกรรม ยุทธศาสตร์” (ซ่ึงมีการปรับเป็นระยะ) เข้ากับการประเมินความต้องการในอนาคตของประเทศผ่านโปรแกรม MyForesight เช่น ผูกการพัฒนาอุตสาหกรรมระบบราง เครื่องบิน เรือ และรถบรรทุกสินค้าสมรรถนะสูง เข้ากับการปฏิรูปการคมนาคม การพัฒนาโลจิสติกส์ ผูกการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตยุทธภัณฑ์เข้ากับ กิจการกลาโหม ผูกการพัฒนาความม่ันคงด้านระบบสารสนเทศ (Cyber Security) และการพัฒนา อุตสาหกรรม IT เข้ากับยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัล มีการสร้าง “Cyberjaya” ทางตอนใต้ของกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งเป็นเมืองสาหรับกิจกรรมวิจัยและพัฒนา มีมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง และสานักงานของบริษัทด้าน IT จากประเทศต่างๆ เชน่ CISCO และ HP เป็นต้น ประเด็นการผูกความต้องการใช้ภายในประเทศจากการจัดซื้อของภาครัฐเข้ากับการ พัฒนาอุตสาหกรรมของสหพันธรัฐมาเลเซียนี้ มีลักษณะคล้ายคลึงกับแผนการพัฒนานโยบายออฟเซ็ตของ อินโดนีเซียซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ.1982 โดยอดีตประธานาธิบดี “ฮาบีบ้ี” ซึ่งเริ่มต้นที่อุตสาหกรรมการ ผลิตยุทธภัณฑ์เช่นเดียวกันกับสหพันธรัฐมาเลเซีย ผลจากการพัฒนานโยบายออฟเซ็ต ทาให้ปัจจุบัน อินโดนีเซียสามารถผลิตอาวุธได้หลายรายการ ซึ่งรวมถึงเฮลิคอปเตอร์รุ่น CN 235-220 M ที่สานักงาน ตารวจแห่งชาติ๑๑ และกองทัพเรือ๑๒ ของประเทศไทยซ้ือจากโรงงานในบันดุงของอนิ โดนีเซยี ๑๑ https://mgronline.com/indochina/detail/9590000016061

- ๑๑๘ - แผนภาพท่ี ๑๖ แนวคดิ และผลลพั ธ์ท่ีคาดหวงั จากการดาเนินงานภายใต้โปรแกรม ICP ที่มา: Policy and Guidelines on Industrial Collaboration Program (ICP) in Government Procurement, 2014 หัวใจสาคัญของความสาเร็จในการพัฒนาโปรแกรมความร่วมมือภาคอุตสาหกรรม หรือ ICP ของสหพันธรัฐมาเลเซีย อยู่ที่การมีกระบวนทัศน์ท่ีชัดเจน ซ่ึงมีรากฐานสาคัญ หรือหัวใจอยู่ที่การ พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศ ผ่านการสร้างความเข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศด้วยการ พยายามผลักดันให้มีการใช้ชิ้นส่วนท่ีผลิตในประเทศมากทีส่ ุด ซึ่งตั้งอยบู่ นยุทธศาสตรส์ าคัญ 3 ประการ คือ ๑) ยุทธศาสตร์การรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนาเทคโนโลยี และการบ่ม เพาะเทคโนโลยี (technology transfer, development, and nurturing) ๒) ยทุ ธศาสตรก์ ารเข้าถงึ ตลาด การเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก และการ พัฒนาสู่การขาย (market access, global supply chain, and commercialization) ๓) ยุทธศาสตร์การสนับสนุนการใช้สินทรัพย์ของรัฐแบบตลอดอายุการใช้งาน (‘Thru-life-support’ for Government strategic asset) กระบวนทัศน์นี้ มีเป้าหมายเพ่ือส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม สร้างความ เข้มแข็งให้กับอุตสาหกรรมภายในประเทศ เพ่ิมขีดความสามารถให้กับประเทศ เพ่ิมความคุ้มค่าในตัวเงิน ผ่านกระบวนการจัดซ้ือของภาครัฐกรณีของโปรแกรม ICP ของสหพันธรัฐมาเลเซีย เคร่ืองมือหรือกลไกการ ทางานที่สาคัญมี 3 ประการ คือ โปรแกรมสนับสนุนเศรษฐกิจ หรือ EEP (Economic Enhancement Program) นโยบายออฟเซ็ต (Offset) และการคา้ ตา่ งตอบแทน (Countertrade) หากประเทศไทยต้องการประยุกต์ใช้โปรแกรม ICP และนโยบายการจัดซื้อแบบ ชดเชยจึงจาเปน็ อยา่ งยิง่ ทจ่ี ะตอ้ งทาความเขา้ ใจกบั กระบวนทัศน์ และเครื่องมอื ทง้ั 3 รายการนี้กอ่ น ๑๒ https://aagth1.blogspot.com/2018/02/cn-235-220-mpa.html

- ๑๑๙ - แผนภาพท่ี ๑๗ รูปแบบเคร่ืองมอื การจัดซอ้ื จดั จ้างภายในโปรแกรม ICP ที่มา: Policy and Guidelines on Industrial Collaboration Program (ICP) in Government Procurement, 2014 (๗) แนวทางการปรับใช้นโยบายจัดซ้ือจดั จ้างแบบชดเชยส่าหรับประเทศไทย ในระยะยาว ๗.1 การก่าหนดกรอบนโยบายในระยะยาว นโยบายจัดซื้อจัดจ้างแบบชดเชยจาเป็นต้องอาศัยความต่อเน่ืองของ นโยบาย จึงจาเป็นอย่างย่ิงในการวางรากฐานอย่างเป็นระบบและมีการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่ เก่ียวของอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้พื้นฐานความเข้าใจร่วมต่อแนวทางปฏิบัติเพ่ือผลลัพธ์อันก่อให้เกิด ประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติ โดยรัฐต้องระบุถึงกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ประเทศต้องการพัฒนา และใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเน่ืองสอดคล้องกับ กลุ่มอตุ สาหกรรมท่กี าหนด โดยอตุ สาหกรรมเป้าหมายไมจ่ าเป็นต้องมีหลายอุตสาหกรรม แตต่ ้องมีความ ต่อเน่ือง และมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เม่ือสถานการณ์เปล่ียน ตัวอย่างการวางแผน ระยะยาวในต่างประเทศท่ีน่าสนใจคือ การกาหนดกลไกสาหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ในประเทศ มาเลเซียซึ่งครอบคลุมในหลายอุตสาหกรรมของประเทศ โดยไม่จากัดเพียงอุตสาหกรรมการป้องกัน ประเทศ เช่น อุตสาหกรรมขนส่งระบบราง อุตสาหกรรมเคร่ืองบิน เป็นต้น ทั้งน้ีกลไกดังกล่าวเกิดขึ้น จาก 3 องค์ประกอบ ได้แก่ (1) ความต้องการและโอกาส (Needs and Opportunities) (2) การจดั ต้ัง หน่วยงานขับเคลื่อนอุตสาหกรรม (MIGHT) และ (3) การกาหนดแนวทางการบริหารการจัดซื้อจัดจ้าง ภาครฐั (ICP) โดยท้งั สามองค์ประกอบมรี ายละเอียดท่ีน่าสนใจ ดงั น้ี (1) ความตอ้ งการและโอกาส (Needs and Opportunities) องค์ประกอบที่สาคัญในส่วนแรกคือความต้องการและโอกาสในการ พัฒนาอุตสาหกรรม โดยผ่านการลงทุนภาครัฐ อาทิ ระบบขนส่งทางราง ซ่ึงนอกจากจะมีประโยชน์ในมิติ พน้ื ฐานตามหนา้ ท่ีของอุตสาหกรรม คือ ใช้เพ่ือการขนสินค้าและผู้โดยสาร แต่จะถูกพิจารณาเป็นกลไกสาคัญ ในการกระตุ้นการเจริญเติบโตของประเทศในมิติอ่ืนๆ ด้วย ท้ังน้ีกระบวนการดังกล่าวถูกกาหนดให้ถูก

- ๑๒๐ - ดาเนินการสอดคล้องกันใน (ก) แผนการปฏิรูปเศรษฐกิจ (ETP, Economic Transformation Programme) (ข) แผนการปฏิรูประบบราชการ (GTP, Government Transformation Programme) ค) แผนพัฒนา มาเลเซีย (ปัจจุบันคือ ฉบับท่ี 11 Eleventh Malaysia Plan 2016-2020 และกาลังเข้าสู่แผนฉบับท่ี 12 ช่วงปี 2021 - 2025) และ (ง) แผนแม่บทอุตสาหกรรม (ปัจจุบัน คือ IMP3, Third Industrial Master Plan 2006 - 2020) อย่างไรก็ตามกระบวนการพัฒนาต้องคานึงถึงความคุ้มค่าของการ ลงทุนในโครงสร้างพ้ืนฐานต่างๆของภาครัฐด้วย ท้ังน้ีเพื่อรองรับการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวไป ตลอดอายุขัย (Through Life Support) ซ่ึงครอบคลุมทั้งในด้านการออกแบบ (design) การพัฒนา (development) การผลิต (manufacture) การบูรณาการระบบ (integration) การประกอบ (assembly) การดาเนินงาน (operations) การซ่อมบารุง (maintenance) ท้ังระดับการซ่อมแซมตลอดจนการยกเครื่อง หรือซ่อมบารุงหนักตามรอบเวลา (repair & overhaul) นอกจากในมิติของความต้องการพัฒนา ภายในประเทศแล้ว การพิจารณาในมิติของโอกาสทั้งในระดับโลกและระดับภูมิภาคยังเป็นอีกองค์ประกอบ ยอ่ ยที่สาคัญผ่านการพิจารณาโอกาสในการพัฒนาอุตสาหกรรมใหม่ภายในประเทศ อาทิ กรณีอุตสาหกรรม ระบบขนส่งทางราง มีรายงานที่กล่าวถึงการพิจารณามูลค่าของตลาดอุตสาหกรรมสนับสนุน (rail supply industry) ซงึ่ มมี ูลค่าเฉล่ียกวา่ 167 พันล้านดอลลารส์ หรัฐในช่วงปี ค.ศ.2011 - 2013 และเฉพาะตลาด เอเชียแปซิฟกิ กม็ ีสัดส่วนกว่า 32% ของตลาดโลก ซึ่งแม้วา่ อตุ สาหกรรมระบบรางของทางยุโรปเปน็ เจา้ ของ ส่วนแบ่งในตลาดงานล้อเล่ือน (global rolling stock contracts) กว่า 65% แต่โอกาสของอุตสาหกรรม ฝั่งเอเชีย คือ การผลิตชิ้นส่วน อะไหล่ งานประกอบ ตลอดจนงานบูรณาการระบบ ประกอบกับมาเลเซีย กาลังมีการลงทุนขนาดใหญ่ในโครงสร้างพ้ืนฐานระบบราง ซ่ึงเคยคาดการณ์กันว่าอาจมีขนาดถึง 160 พันล้านริงกิต RM จนถึงปี ค.ศ. 2020 และคาดว่าการขนส่งสินค้าทางระบบรางจะมีขนาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเม่ือโครงการปรับปรุงทางคู่ของมาเลเซยี แล้วเสร็จท้ังน้ี กิจกรรมขนส่งระบบรางทางฝ่ังตะวันออก ของมาเลเซีย บนเกาะบอร์เนียว (ซาบะห์และซาราวัค) มีแนวโน้มสูงที่จะเป็นตัวเร่งการใช้ระบบรางเพื่อ ขนส่งสินค้าและการท่องเท่ียว จากความต้องการดังกล่าวน้ีถูกนาไปพิจารณาโอกาสในการพัฒนา อตุ สาหกรรมสนับสนุนต่างๆ แผนภาพท่ี ๑๘ แนวคิดการวเิ คราะห์ผมู้ ีสว่ นไดเ้ สียภายใตก้ ลไกการพัฒนาอตุ สาหกรรม ที่มา: TDA, 2016

- ๑๒๑ - ดังนั้น จากตัวอย่างการกาหนดกลไกในระยะยาวของประเทศไทย จึงควรมี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการกากบั นโยบายและแผนการพัฒนาประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการพิจารณา กลไกสาหรับประเทศไทย อาทิ สานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงอุตสาหกรรม รวมทั้งกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นต้น โดยการเข้าร่วมควรให้ความสาคัญกับการพิจารณากาหนด กรอบทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรม เพ่ือให้การส่งเสริมและสนับสนุนเป็นไปในทิศทางเดียวกันและ ระบบนิเวศสาหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ในกรณีดังกล่าวผลของการปรับใช้ นโยบายจดั ซ้อื จัดจา้ งแบบชดเชยในทกุ อตุ สาหกรรมไมจ่ ากัดเพยี งอตุ สาหกรรมป้องกนั ประเทศ (2) การจดั ตั้งหน่วยงานขบั เคลื่อนอุตสาหกรรม (MIGHT) หน่วยงาน Malaysian Industry - Government Group for High Technology หรอื ท่ีเรียกว่า MIGHT เป็นหน่วยงานอิสระ ไม่แสวงผลกาไร และขับเคลื่อนโดยภาคอุตสาหกรรม ก่อต้ังข้ึน ในปี ค.ศ.1993 ภายใต้การริเริ่มโดยสานักนายกรัฐมนตรี ซ่ึงในขณะนั้นมีท่านมหาเธร์ บิน โมฮัมหมัด (Mahathir bin Mohamad) ดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเน่ืองจากการมองเห็นช่องทางการพัฒนา โอกาสให้กับกลุ่มธุรกิจของมาเลเซียผ่านการกาหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีเพ่ือการบรรลุสู่ วิสัยทัศน์ 2020 ในระยะแรกได้รับการจดทะเบียนเป็นรูปบริษัทจากัด (company limited by guarantee) ก่อนจะถูกปรับมาดาเนินการภายใต้กระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (Ministry of Science, Technology and Innovation) ในช่วงปี 2004-2010 และในปี 2011 จึงถูก โอนมาสังกัดสานกั นายกรฐั มนตรี ภายใตก้ ารกากับของ ฯพณฯ นายกรฐั มนตรีแห่งมาเลเซีย โดยมีท่ีปรึกษา ด้านวิทยาศาสตร์ของนายกรัฐมนตรี (Science Advisor to the Prime Minister) เป็นผู้รับผิดชอบ MIGHT ดาเนินการงานโดยคณะกรรมการบริหาร โดยมีประธานคณะกรรมการร่วม (joint chairmanship) ระหวา่ งภาคเอกชนและทป่ี รึกษาด้านวทิ ยาศาสตร์ของนายกรฐั มนตรี การจัดต้ังหน่วยงานน้ีข้ึนมามีเป้าหมายหลัก คือ การตอบสนองต่อกระแส โลกาภิวัตน์ (globalization) และการค้าเสรี (trade liberalization) ซึ่งส่งผลต่อการเติบโตทาง เศรษฐกิจของประเทศมาเลเซีย อาศัยการเร่งพัฒนาขีดความสามารถของประเทศด้านเทคโนโลยีชั้นสูง (high technology) โดยกลุ่มสมาชิกซึ่งมาจากท้ังภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีทั้งภาคอุตสาหกรรมและภาค การศึกษา ซึง่ ทาหน้าที่ร่วมกันพิจารณา กาหนดนโยบาย ตลอดจนแนวทางการบ่มเพาะเทคโนโลยีชั้นสูง ของประเทศ ในปจั จุบันกิจกรรมท่ี MIGHT ดาเนนิ การเพอ่ื พัฒนาเทคโนโลยชี ้นั สงู มี 3 กิจกรรม ไดแ้ ก่ 1. กิจกรรมในลักษณะคลังสมองของประเทศ (think tank) เพ่ือเร่งการ เติบโตของอุตสาหกรรมช้ันสูงอันเป็นท่ีต้องการของประเทศ โดยมีการจัดให้มีศูนย์ข้อมูลเชิงลึก ด้านอุตสาหกรรม (Industry Intelligence) เพ่ือเป็นฐานข้อมูลสาหรับการอ้างอิง ปัจจุบัน MIGHT ให้ความสาคัญกับอุตสาหกรรม 3 กลุ่ม คือ อุตสาหกรรมการบินและยุทโธปกรณ์ (Aerospace & Defence Industries) อุตสาหกรรมต่อและซ่อมเรือ (Maritime - Shipbuilding & Ship Repair Industry) และ อุตสาหกรรมรถไฟ (Rail Industry) โดยจัดให้มีการจัดทาแผนท่ีนาทางอุตสาหกรรม (industry roadmap) รายงานอุตสาหกรรมชั้นสูง (High-Technology industry reports) ฐานข้อมูล

- ๑๒๒ - อตุ สาหกรรม (industry database) โครงการพัฒนาผู้เช่ียวชาญและทกั ษะฝมี ือ (technology domain expert / industry skills enhancement projects) โครงการร่วมภาครัฐเอกชนที่มีผลกระทบสูง (high impact private-public partnership projects) โครงการถ่ายทอดและจัดหาเทคโนโลยี (technology transfer and acquisition projects) ตลอดจนการให้คาแนะนาเชิงนโยบายกับภาครัฐ นอกจากน้ียังมีโปรแกรมเพิ่มเติมในกลุ่มเทคโนโลยีแห่งอนาคต (Emerging Technology) เช่น ชีวมวล (Biomass) และพลงั งานแสงอาทติ ย์ (Solar) เป็นตน้ MIGHT ยังจัดให้มีสถาบันคาดการณ์อนาคตแห่งมาเลเซีย myForesight ® (Malaysia Foresight Institute) ดูแลกิจกรรมต่างๆ เพื่อการคาดการณ์อนาคตของประเทศในระยะไม่ต่า กว่า 10 ปี ในระยะแรกของการดาเนินการ MIGHT ใช้กระบวนการจัดซ้ือแบบชดเชยหรือออฟเซ็ตเป็น เคร่ืองมือ ต่อมาจึงมีการพัฒนาแนวคิดและขั้นตอนการจัดหาจนกระท่ังประกาศใช้เป็นระเบียบข้ันตอนตาม โปรแกรมการจัดซื้อของรัฐเพ่ือการพัฒนาอุตสาหกรรม หรือ ICP (Industrial Collaboration Program) ฉบับล่าสุดปรับปรุงเม่ือปี ค.ศ. 2014 และมีการจัดต้ังหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลังเพ่ือทาหน้าที่ บริหารโครงการจัดซื้อต่างๆ ของภาครัฐที่ถูกกาหนดให้อยู่ในโครงการ ICP เรียกว่า TDA (Technology Depository Agency Berhad) เมื่อปี ค.ศ. 2015 2. กิจกรรมประสานความร่วมมือเพ่ือยกระดับการยอมรับในด้าน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมาเลเซียในระดับนานาชาติ ด้วยการจัดให้มีสภาท่ีปรึกษาด้าน วิทยาศาสตร์และนวัตกรรม GSIAC (The Global Science and Innovation Advisory Council) ซ่ึงมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีสมาชิกเป็นผู้มีช่ือเสียงท่ีประสบความสาเร็จจากภาคอุตสาหกรรม นักวิชาการซ่ึงมีผลงานเป็นท่ียอมรับ และสมาชิกจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งนิวยอร์ค (New York Academy of Sciences) มีท่ีปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของนายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซียและ CEO ของสถาบนั วทิ ยาศาสตร์แหง่ นวิ ยอร์คทาหนา้ ท่เี ป็นเลขาธิการรว่ ม 3. กิจกรรมเผยแพร่และพัฒนาองค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านโปรแกรม S2A (Science to Action) เช่น มีการจัดนิทรรศการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เช่น KLESF (Kuala Lumpur Engineering & Science Fair) การให้ทุนศึกษาวิจัย NUOF (The Newton Ungku Omar Fund) ซ่ึงเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลสหราชอาณาจักรและรัฐบาลมาเลเซีย โดยให้ทุน สนบั สนุนการวจิ ัยและพัฒนานวตั กรรม มเี งนิ ทุนร่วมประมาณปีละ 8 ลา้ นปอนด์ เปน็ ตน้ (3) การกา่ หนดแนวทางการบรหิ ารการจดั ซื้อจัดจ้างภาครฐั (ICP) การกาหนดแนวทางการบริหารการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (ICP) คือ แนวทางการบริหารจัดการกระบวนการจัดซื้อของภาครัฐ โดยให้ความสาคัญและสอดคล้องกับ อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศ ซึ่ง MIGHT กาหนดขึ้น มีกระทรวงการคลังของมาเลเซีย เปน็ ผ้รู ับผดิ ชอบ โดยมีวตั ถปุ ระสงค์หลกั 6 ประการ คอื (1) เพื่อเป็นตัวเร่งให้เกิดยุทธศาสตร์ความร่วมมือระดับนานาชาติ (global strategic cooperation) เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศมาเลเซีย อันนาไปสู่การ พฒั นาทักษะ ขดี ความสามารถ การตลาด และศักยภาพในการส่งออก

- ๑๒๓ - (2) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ผลิตภัณฑ์ท่ีผลิตภายในประเทศมาเลเซีย ลดการพึ่งพาต่างชาติ และลดการไหลออกนอกประเทศของเงินงบประมาณ (3) เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการเป็นฐานอุตสาหกรรม มีเทคโนโลยีท่ีประหยัดค่าใช้จ่าย มียุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมในประเทศ ให้เป็นส่วนหนงึ่ หว่ งโซอ่ ปุ ทานของโลก เพือ่ สรา้ งใหเ้ กิดความยัง่ ยืนและสามารถแข่งขนั ได้ (4) สง่ เสริมกระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยี และยุทธศาสตรก์ ารพัฒนา องคค์ วามรู้ (strategic knowledge development) (5) พัฒนาความร่วมมือในเรื่องโครงการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) ตลอดจนสง่ เสริมใหเ้ กดิ ผลลพั ธ์ในเชิงพาณชิ ย์ (Commercialization) – R&D&C (6) อานวยความสะดวกให้เกิดการลงทุนตรงจากต่างชาติ (Foreign Direct Investment) ซึ่งจะนาไปสู่การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นยุทธศาสตร์ ซ่ึงนามาสู่โอกาสการสร้างงาน การเพ่ิมความเชี่ยวชาญ ตลอดจนขีดความสามารถของอุตสาหกรรม ภายในประเทศ แนวความคิด ICP เกิดขึ้นจากการพิจารณากระบวนการจัดซื้อของภาครัฐ (Procurement by the Government) ซ่ึงไม่ว่าอย่างไรต้องจ่ายเงินงบประมาณเพื่อได้มาซ่ึงผลิตภัณฑ์ท่ี ต้ องการให้ กั บ ผู้ ส่ งมอบ (Suppliers) ซ่ึ งจะท าห น้ าท่ี ส่ งม อบ สิ น ค้ าให้ ตาม ความ ต้ องการ ด้วยกระบวนการนี้ หากพบว่าสนิ ค้าท่ีตอ้ งการอยใู่ นกลุ่มท่ีสามารถสง่ เสรมิ อตุ สาหกรรมภายในประเทศเพือ่ การ พัฒนาตามยุทธศาสตร์ของประเทศ (Targeted Local Industry) ผู้ส่งมอบก็จะต้องดาเนินการตามโปรแกรม ICP ซ่ึงมีการกาหนดรายละเอียดข้ันตอนต่างๆ อย่างละเอียด หากผู้ส่งมอบไม่สามารถดาเนินการได้ ก็จะไม่ สามารถจาหน่ายสินค้าดังกล่าวน้ันให้กับภาครัฐ (ซ่ึงอาจเป็นหน่วยงานใดก็ได้ อาทิ ระบบรถไฟฟ้าของ กระทรวงคมนาคม เครื่องมือของกระทรวงวิทยาศาสตร์ หรืออุปกรณ์ต่างๆ ของกระทรวงศึกษา เป็นต้น) ดว้ ยแนวความคิดข้างต้นเป็นการเปิดโอกาสให้เกดิ กระบวนการ “จับคู่หุ้นสว่ นทางธุรกิจ” อย่างเป็นธรรมชาติ เพอ่ื รว่ มกันพฒั นาอุตสาหกรรมการผลติ ภายในประเทศมาเลเซยี กระบวนการนีใ้ นท่ีสดุ นาไปสกู่ ารเป็นหนุ้ สว่ น ของภาคธุรกจิ อตุ สาหกรรม (ICP Recipients) ซง่ึ ครอบคลมุ ไปทงั้ กลุ่มอุตสาหกรรมยทุ ธศาสตรข์ องประเทศ ๗.2 การจัดตั้งหน่วยงานทเี่ กี่ยวข้อง จากการถอดบทเรียนด้านนโยบายจัดซ้ือจัดจ้างแบบชดเชยในต่างประเทศ พบว่า การต้ังหน่วยงานเพ่ือรับผิดชอบหน้าท่ีในการดาเนินการอันเกี่ยวเนื่องกับการจัดซื้อจัดจ้างทั้งหมดเป็น การสร้างความชัดเจนต่อระบบการจัดการโครงการของภาครัฐ ลดความซ้าซ้อนในการปฏิบัติหน้าที่ของ หน่วยงานภาครัฐ อีกทั้งยังลดภาระงานของเจ้าหน้าท่ีผู้เกี่ยวข้อง ก่อให้เกิดการบูรณาการอย่างเป็นระบบโดย อาศัยโครงสร้างระบบงานจากหน่วยงานเฉพาะด้านเพียงหน่ึง และสร้างความชัดเจนในบทบาทหน้าที่ผู้รับ ถ่ายทอดเทคโนโลยี หน่วยงานกลาง TDA (Technology Depository Agency) ของประเทศมาเลเซีย เป็น ตัวอย่างที่สาคัญ โดยหน่วยงานดังกล่าวเป็นผู้ทาหน้าท่ีพิจารณาการจัดซื้อจัดจ้างแบบชดเชยท้ังหมด และ เมื่อผ่านขั้นตอนการเจรจา จะทาการสง่ ผา่ นการถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคเอกชนผู้มีความพร้อมในการรับองค์ ความรู้และเทคโนโลยี ทั้งนี้หน่วยงาน TDA ดาเนินการจัดการฐานข้อมูลรายช่ือผู้ประกอบการในแต่ละ

- ๑๒๔ - อุตสาหกรรมท่ีมีสมรรถภาพเพียงพอไว้เพื่อรองรับการจัดซ้ือจัดจ้างแบบชดเชยท่ีเกิดขึ้น โดยสถานะของ หน่วยงานดังกล่าวสามารถเป็นได้ทั้งกรมหรือรัฐวิสาหกิจ ในส่วนของประเทศมาเลเซีย หน่วยงานดังกล่าว เป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงการคลัง หากแต่ในประเทศเกาหลีใต้ เนื่องด้วยมีการกาหนดอุตสาหกรรม เป้าหมายเป็นยุทโธปกรณ์ จึงเป็นหน่วยงานสานักงานโครงการจัดหากลาโหมหรือท่ีเรียกว่า DAPA ภายใต้ การกากบั ของกระทรวงกลาโหม ๗.3 การออกกฎหมายโดยเฉพาะ สืบเนื่องจากในข้อ ๗.1 การกาหนดแนวการจัดซ้ือจัดจ้างแบบชดเชยหาก ต้ องการความเป็ น เอกภ าพ ใน ระดั บ ป ระเท ศไป จ น ถึ งระดั บห น่ วยงาน จึ งมี ความจ าเป็ น ใน การตรา พระราชบัญญัติจัดชื้อจัดจ้างแบบชดเชย หรือกาหนดให้เป็นมาตราหนึ่งในพระราชบัญญัติการจัดซ้ือจัดจ้าง และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 เพ่ือก่อให้เกิดแนวปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน โดยมีการระบุลาดับ ข้ันตอนต้ังแต่ต้นน้าจนถึงปลายน้า อุตสาหกรรมที่ต้องผ่านการจัดซื้อจัดจ้างแบบชดเชย มูลค่าของโครงการที่ จาเป็นต้องผ่านการพิจารณาด้วยพระราชบัญญัติจัดซ้ือจัดจ้างแบบชดเชยหรือท่ีเกี่ยวข้อง รวมถึงการให้ อานาจแกห่ น่วยงานผูร้ บั ผิดชอบอย่างชัดเจน ๗.๔ กระบวนการประเมินมลู คา่ ของโครงการ สื บ เน่ื อ งจ าก ก ระบ วน ก ารป ระเมิ น มู ล ค่ าก ารช ด เช ย ห รื อค่ าตั ว คู ณ (Multipliers) ท่ีภาครัฐต้องมีการจัดทาทุกครั้งเมื่อมีการประมูลผ่านการจัดช้ือแบบชดเชย กระบวนการ ดังกล่าวเป็นกระบวนการท่ีมีความสาคัญอย่างย่ิงเนื่องจากส่งผลต่อการคัดเลือกภาคเอกชน เข้ามาเป็ น คู่สัญญากับภาครัฐ โดยข้อเท็จจริงที่ปรากฏลักษณะของข้อเสนอภาคเอกชนในประเภทการชดเชยโดยตรง (Direct Offset) และการชดเชยโดยอ้อม (Indirect Offset) จะมีความแตกต่างและหลากหลาย ดังนั้น ภาครัฐ จึงควรออกระเบียบเพ่ิมเติมเกี่ยวกับกระบวนการประเมินมูลค่าการชดเชยที่ชัดเจนและเป็นระบบ พร้อมท้ัง สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาในภาพรวม ท้ังน้ีเพื่อให้เกิดความโปร่งใสในกระบวนการประมูล และประเทศชาติได้รบั ผลประโยชน์มากที่สุด ตัวอย่างกระบวนการประเมินมูลค่าการชดเชยอย่างเป็นรูปธรรมคือ การ กาหนดค่าตัวคูณ (multiplier) ซึ่งเป็นค่าท่ีกาหนดขึ้นเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ที่ทาสัญญาจัดซ้ือจัดจ้างแบบ ชดเชยกับรัฐมีพฤติกรรม หรือก่อกิจกรรมและผลลพั ธ์ทางเศรษฐกิจไปในทิศทางท่ีรัฐต้องการ กจิ กรรมใดที่รัฐ ต้องการให้เกิดข้ึนหรือสนับสนุนมาก กิจกรรมนั้นรัฐก็กาหนดค่าตัวคูณให้สูง กิจกรรมใดที่รัฐต้องการให้ เกิดขึ้นหรือสนับสนุนต่า กิจกรรมนั้นก็มีค่าตัวคูณต่า เช่น หากรัฐกาหนดให้ค่าตัวคูณอยู่ระหว่าง 0 ถึง 5 และในการจัดซ้ือจัดจ้างน้ัน รัฐเห็นว่าการถ่ายทอดข้อมูลด้านเทคโนโลยีเป็นกิจกรรมสาคัญท่ีรัฐต้องการ สนับสนุนให้เกิดขึ้น รัฐก็กาหนดตัวคูณให้มีค่าท่ีสูง เช่น 4 ดังน้ัน หากบริษัทเอกชนดาเนินการถ่ายทอด ข้อมูลด้านเทคโนโลยี โดยมีมูลค่าจริงที่ 1 ล้านบาท รัฐจะมีการตีมูลค่า (โดยนาไปคูณกับตัวคูณที่กาหนด) ให้เท่ากับ 4 ล้านบาท และนาผลดังกล่าวไปคิดคานวณเป็นส่วนประกอบในมูลค่าชดเชย (offset) ท่ีกาหนด ไว้ในสัญญาแต่ต้น ในทางตรงข้าม หากเป็นกิจกรรมท่ีรัฐไม่ได้สนับสนุนนักก็ให้ค่าตัวคูณต่า จากกระบวนการ กาหนดมูลค่าตัวคูณข้างต้นจึงสะท้อนความสาคัญของรัฐว่ามีมุมมองหรือยุทธศาสตร์ต่อการพัฒนาประเทศ อย่างไร ให้ความสาคัญต่อเรื่องใด และจะใช้สัญญาการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐฉบับน้ันสร้างประโยชน์ต่อ เศรษฐกิจอย่างไร เช่น หากรัฐให้ความสาคัญต่อการถ่ายทอดเทคโนโลยี ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมใน ประเทศ ต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเน่ือง รัฐก็จะกาหนดมูลค่าตัวคูณในกิจกรรมประเภทน้ันสูง เพ่ือเป็น

- ๑๒๕ - แรงจูงใจให้บริษัทท่ีค้าขายกับรัฐพยายามสร้างกิจกรรมประเภทนั้นให้ประสบความสาเร็จ ตัวอย่างกิจกรรม อื่นท่ีรัฐอาจให้ความสาคัญ เช่น การพัฒนาทักษะแรงงานในอุตสาหกรรมประเภทน้ัน การผลิตช้ินส่วน ประกอบให้ได้ภายในประเทศ ความสามารถในการเปิดตลาดต่างประเทศ เป็นต้น การกาหนดมูลค่าตัวคูณ จึงเป็นประเด็นสาคัญในกระบวนการจัดซ้ือจัดจ้างแบบชดเชย และเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการใช้ประโยชน์ จากสัญญาจัดซื้อจัดจ้างหน่ึงๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า คือการใช้โอกาส จากการลงทุนจัดซื้อจัดจ้างใหญ่ๆ ของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการกาหนดตัวคูณที่ดี ควรเอื้อให้ เกิดการพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศในระยะยาว สนับสนุนยุทธศาสตร์การพัฒนา ประเทศ และเอ้ือให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ตัวคูณในแต่ละประเทศไม่จาเป็นต้องเหมือนกัน ตัว คูณของแต่ละประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ตามความเหมาะสมของการพัฒนาประเทศและยุทธศาสตร์ การพฒั นาประเทศในแต่ละชว่ งเวลา ตารางท่ี ๖ ตวั อยา่ งการกาหนดตวั คณู ของรัฐบาลมาเลเซยี ในบางรายการ รายการออฟเซต็ ประเภทวิจัย พฒั นา และน่าไปใช้ประโยชนเ์ ชิงพาณิชย์ อ อ ฟ เซ็ ต อ อ ฟ เ ซ็ ต ทางตรง ทางอ้อม การน่าไปใช้ปฏิบัติจริงและท่าให้เกิดความแพร่หลายผ่านโครงการ Training of Trainers (TOT) ตอ่ ภาคอุตสาหกรรมในประเทศ - การถ่ายทอด/อนุญาตให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาลงทุน หรือ รว่ มหุ้นกับบรษิ ทั ในประเทศ โดยต้องมรี ะดับความพร้อมของเทคโนโลยี 4 5 ระดับ (TRL 7 และ 8)* - การค้าเทคโนโลยี และเปิดสินค้าใหม่ต่อสาธารณชน หรือสร้างธุรกิจใหม่ 4 5 โดยตอ้ งมรี ะดับความพร้อมของเทคโนโลยีระดับ (TRL 7 และ 8) * - การจดั ใหม้ หี อ้ งปฏบิ ัติการ หรือตดิ ต้ังเครื่องมอื 44 - การจัดคอร์สฝึกอบรม พัฒนาทักษะ (ด้านการออกแบบวิศวกรรม 4 4 และการพฒั นา - การพฒั นาและการอนุญาตให้ใช้สทิ ธิในทรัพย์สินทางปัญญาทั่วไป 4 4 - การดดู ซบั เทคโนโลยเี พอ่ื ใชใ้ นการพัฒนาสิ่งแวดล้อมในประเทศ 3 3 - โครงการ Training of Trainers (TOT) แก่ OEMs ในประเทศ 3 3 - สรา้ งผูเ้ ช่ียวชาญในประเทศเพื่อรบั การถ่ายทอดเทคโนโลยี 33 - คู่มอื เอกสารการฝึกอบรมสาหรบั ผรู้ ับการถ่ายทอดเทคโนโลยี 3 3 - โครงการฝึกอบรมและพัฒนาทกั ษะท่ัวไป 22 การระบุความต้องการของเทคโนโลยีและวิเคราะห์ชอ่ งโหว่ - การมอบหมายผู้เช่ียวชาญด้านเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญด้าน 3 3 อตุ สาหกรรมการวเิ คราะห์ผลกระทบ - การมอบหมายผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและผู้เชี่ยวชาญด้าน 3 3 อตุ สาหกรรม หมายเหตุ: * อ้างอิงถึงคาจากัดความของ TRL โดย NASA ท่ีมา: เอกสารแนบ 3, Policy And Guidelines on Industrial Collaboration Programme (ICP) In Government Procurement

- ๑๒๖ - จากตารางข้างต้นจะเห็นว่าหากเป็นรายการเก่ียวกับการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะทั่วไป จะได้ค่าตัวคูณค่อนข้างต่าเม่ือเทียบกับรายการอ่ืน เช่น การถ่ายทอดหรืออนุญาตให้ใช้สิทธิในทรัพย์สินทาง ปัญญา ลงทุนหรอื ร่วมหุ้นกับบริษัทในประเทศ หรือการสร้างธุรกิจใหม่ ที่มีคา่ ตัวคูณสูง ดังนั้นการกาหนดตัว คูณจึงสะท้อนมุมมองและความต้องการของประเทศในแต่ละช่วงเวลาว่าต้องการต่อยอดการลงทุนในมิติใด สาหรับประเทศไทย หากจะมีการดาเนินนโยบายจัดซื้อจัดจ้างแบบชดเชย รัฐต้องมีการกาหนดค่าตัวคูณให้ เหมาะสม เพื่อให้ประเทศได้ประโยชน์จากการลงทุนและจัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้ง ตลอดจนสอดคล้องกับ ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามข้อเสนอข้างต้นต้องได้รับการตอบสนองจากฝ่ายบริหารของ ประเทศท่ีจาเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจ รวมท้ังมีวิสัยทัศน์และมุมมองต่อเรื่องดังกล่าวอย่าเป็นระบบ ดังน้ันการให้ความรู้ต่อผู้เก่ียวข้องและผู้กาหนดนโยบายเพ่ือก่อให้เกิดความเข้าใจในสาระสาคัญต่อนโยบาย ดงั กล่าวจงึ ควรไดร้ บั การดาเนนิ การเป็นอนั ดับแรก ๓.๒.๔ ข้อสังเกตเร่ืองแนวทางการสนับสนุนการพัฒนาผู้ประกอบการภายในประเทศ และ การยกร่างพระราชบัญญัตเิ พื่อเพิ่มคุณค่าในการจดั ซื้อของภาครัฐด้วยนโยบายชดเชย จากการศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการท่ีได้อธิบายไว้แล้วว่า แบ่งออกเป็น 2 มิติ คือ มิติการลดความสูญเปล่า (Minimize Loss) ของการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งสามารถปรับปรุงได้ด้วยการพัฒนา กลุ่มของตัวชี้วัดและการพัฒนากลไกการควบคุมท่ีเหมาะสม และมิติของการเพ่ิมคุณค่า (Maximize Value) ของการส่งเสริมการลงทุนเพื่อนาไปสู่การใช้เงินงบประมาณอย่างคุ้มค่า ซ่ึงต้องการการพัฒนา “หน้าท่ีการ ทางาน” (Function) ของการใช้เงินลงทุนของภาครัฐในมิติที่ซับซ้อนมากข้ึน ซึ่งในที่นี้คณะอนุกรรมาธิการ พบว่าจากกรณีศึกษาในต่างประเทศ โดยเฉพาะเรื่องการใช้นโยบายการจัดซ้ือแบบชดเชย (Offset Policy) มี การใช้กลไกบริหารการจัดซื้อภาครัฐเพื่อเอื้อให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศ อย่างไรก็ดี นโยบายการจัดซ้ือแบบชดเชย แม้จะมิใช่เป็นของใหม่ในระดับนานาชาติแต่ก็เป็นนโยบายท่ีประเทศไทยยัง มิได้เคยดาเนินการอย่างเป็นรูปธรรม คงมีแต่เพียงการปรับใช้อยู่บ้างภายในบางกิจกรรมการจัดซ้ือของ กองทัพ และไม่ได้เป็นเงื่อนไขท่ีต้องกระทาเป็นประจา การประยุกต์นโยบายการจัดซื้อแบบชดเชยโดยไม่มี ระเบียบที่ชัดเจนอาจสุ่มเสี่ยงต่อการกระทาผิดตามพระราชบัญญัติการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุ ภาครัฐ พ.ศ.2560 ได้ เน่ืองจากมีประเด็นที่จะต้องศึกษาต่อในหลายมิติ เช่น อานาจและหน้าที่ของ หน่วยงานที่จะต้องทาหน้าท่ีบริหารการจัดซื้อตามนโยบายชดเชยโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานรัฐที่ ต้องการจัดซื้อ อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของประเทศที่เป็นเป้าหมายและสอดคล้องกับนโยบายจัดซื้อแบบ ชดเชยของรฐั วงเงินขั้นต่าท่ีรัฐต้องกาหนดข้ึนเพ่ือใช้นโยบายจัดซื้อแบบชดเชย (Minimum Threshold) การ กาหนดตัวคูณสาหรับกาหนดน้าหนักการชดเชยท่ีเหมาะสมกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจน กลไกการทางานที่จะสามารถกากับดูแลกระบวนการจัดซื้อแบบชดเชยให้สามารถนาไปสู่การพัฒนา อตุ สาหกรรมภายในประเทศได้ดว้ ยความเทา่ เทียม โปร่งใส ไมเ่ ลือกปฏิบตั ิ คณ ะกรรมาธิการมี ข้อสั งเกตเสนอต่ อคณ ะกรรมาธิการการพั ฒ นาเศรษฐกิ จ สภาผู้แทนราษฎร เพ่ือนาเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร เพ่ือพิจารณาให้มีการศึกษาการปรับปรุง พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 หรือเพ่ิมเตมิ กฎกระทรวง หรือ พัฒนากฎหมายข้ึนใหม่เพ่ือให้มีความครอบคลุมการใช้นโยบายการจัดซ้ือแบบชดเชยเพ่ือเพ่ิมคุณค่าใน การใชเ้ งินลงทุนของรัฐผา่ นกลไกการจดั ซอื้ ตอ่ ไป ในประเด็นการจัดซื้อจดั จา้ งโดยรัฐ ดังน้ี

- Gikid - (®)) i,'ua^^in^WTUUTiJi^ivifsilvi^^vljj5ul£JU'i&j^^au,uu6a(>iL^8j (Offset Policy) OlS 1 (Offset Policy) Hwtau nu^nivi'u^nsiasinfn^aiLiJ'ul'umi'UTulEJinaaMauD'u^^wa (Offset Policy) uiHmarm^mamfnvini'au/iialuiJisiivi^ (k))Hn?5Jtjaj^nan^^nwn{]Viuna n/ji^maum^a^aa^an^af^a^lvia urn* nfjWjjia'Mia^a'u^^uat! ^ wti 'uaj^'u^nnu rmnivnj^wa'uWM'una^vi'u (Performance Requirements) ^\\Ji^LviPilviaFma^'iJfuuJnl^H?ia^^aa^mjm^L‘iJaa‘uiitla^t!i^uu^'3'W5naIfin FiaiKniijjiBrmmi^'uiw^na a/nwuvm'nwp ‘uaiauana^i'uwarm^anan ^nwii,1a^ pmu^jjmuasiJ^aviBwa mia^Lalumia^wwami^'unLmwna uastiaa^mtnnja^ aoj^rnijjnBm'a jjn^aliJ'a^ai'aan ua^'unauapia^tJ^jja/nwLmtmyfj^a'nanirialiJ (f^|K (■ui^ananvn ausl^i) LatiTumiaajsn^uiBmim^aj'uiLmyfna

- ๑๒๘ - บรรณานกุ รม เอกสารทางวชิ าการ วัฒนา วงศ์เกียรติรตั น์ และคณะ,โครงการประเมนิ ความคุ้มคา่ ในการปฏิบัตภิ ารกิจของรัฐและการจดั ทา รายงานการดาเนินงานของรัฐต่อสาธารณะ, (กรุงเทพมหานคร : สถาบันพัฒนานโยบายและ การจัดการ, คณะรัฐศาสตร์, จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2551) หน้า 3 – 7. รายงานสรุปผู้บริหาร “แผนภาพรวมเพ่ือการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๕ สานักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๑. รายงานผลการศึกษาและวิเคราะห์โครงการ (ฉบับสมบูรณ์) ”โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสาม สนามบิน” บริษัท เอเช่ียน เอ็นจิเนียร่ิง คอนซัลแต้นส์ จากัด บริษัท ทีน คอนซัลต้ิง เอนจิเนียน่ิง แอนด์ แมเนจเมนท์ จากัด และสถาบนั บัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย มนี าคม ๒๕๖๑. รายงานความก้าวหน้า “การพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” กองยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่/ สศช. พฤศจกิ ายน ๒๕๖๒. เอกสารข้อมูลเพ่ิมเติมเสนอคณะอนุกรรมาธิการศึกษาความคุ้มค่าและประสิทธผิ ลการส่งเสริมการลงทุนต่อ การพัฒนาเศรษฐกิจ สานกั งานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๒. สอื่ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ เอกสารนาเสนอ การประชุมร่วมกับคณะอนุกรรมาธิการศึกษาความคุ้มค่าและประสิทธิผลการส่งเสริม การลงทุนตอ่ การพัฒนาเศรษฐกจิ การนคิ มแหง่ ประเทศไทย ๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๖๒. http://www.myrekatech.com/main/medias/NTP_AR2017_ENG.pdf

- ๑๒๙ - ภาคผนวก

ภาคผนวก ก ประกาศแตง่ ตั้งคณะอนุกรรมาธิการความคมุ้ คา่ และประสทิ ธิผล การส่งเสริมการลงทนุ ตอ่ การพฒั นาเศรษฐกจิ ในคณะกรรมาธกิ ารการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผแู้ ทนราษฎร









ภาคผนวก ข ภาพกิจกรรมการจัดสัมมนา และการศกึ ษาดงู าน

ประมวลภาพกจิ กรรม การประชมุ และการศกึ ษาดูงาน

ประมวลภาพกจิ กรรม การประชมุ และการศกึ ษาดุงาน

ประมวลภาพกจิ กรรม การสัมมนาเร่ือง Offset Policy

ภาคผนวก ค รายนามเจา้ หนา้ ทปี่ ระจาคณะอนกุ รรมาธกิ าร

รายนามเจา้ หนา้ ท่ปี ระจา คณะอนกุ รรมาธกิ ารศกึ ษาความค้มุ คา่ และประสิทธิผล การสง่ เสริมการลงทุน ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ในคณะกรรมาธกิ ารการพฒั นาเศรษฐกิจ สภาผูแ้ ทนราษฎร 1. นางจารวุ รรณ สขุ ุมาลพงษ์ ผ้บู งั คับบัญชากล่มุ งานฯ 2. นางสาวปุณญาพร เอมมะโน วิทยากรชานาญการพิเศษ 3. นายมิตร โพตยิ ะ นิตกิ รชานาญการ 4. นางสาวอิศรา ยอดทอง นติ กิ รชานาญการ 5. นายนธิ วิ ิทย์ ไชยเหมวงศ์ นติ ิกรปฏิบัติการ 6. นายสเุ มธ นาโค เจ้าพนักงานธรุ การชานาญงาน 7. นางสาวมณฑติ า โกศล เจ้าพนักงานธุรการชานาญงาน





รายงานการศกึ ษา เร่อื ง การบรหิ ารราชการรูปแบบจังหวดั จดั การตนเอง (Self-governing Province) ของ คณะกรรมาธิการการกระจายอานาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบรหิ ารราชการรูปแบบพิเศษ สภาผแู้ ทนราษฎร กลุ่มงานคณะกรรมาธกิ ารการกระจายอานาจ การปกครองสว่ นท้องถ่ิน และการบรหิ าร ราชการรูปแบบพิเศษ สานกั กรรมาธิการ ๒ สานักงานเลขาธิการสภาผแู้ ทนราษฎร





สารบัญ หนา้ ก รายนามคณะกรรมาธิการ ข รายนามคณะอนกุ รรมาธิการการปกครองท้องถิน่ และการกระจายอานาจ ค รายนามคณะอนกุ รรมาธิการการปกครองสว่ นท้องถ่ิน ง รายนามคณะทางาน จ บทสรปุ ผบู้ ริหาร สารบญั ๒ ๓ ๑. การดาเนินการ ๓ ๒. วธิ ีการพจิ ารณาศึกษา ๓ ๓. หนว่ ยงานและเอกสารทีเ่ ก่ียวข้อง ๕ ๕ ๓.๑ หนว่ ยงานท่เี ก่ยี วข้อง ๕ ๓.๒ เอกสารทเ่ี ก่ียวข้อง ๙ ๔. ผลการพิจารณา ๙ ๔.๑ ทม่ี าของแนวคดิ จงั หวัดจัดการตนเอง และความสาคญั ของปัญหา ๑๐ ๔.๒ วัตถุประสงค์ของการพจิ ารณาศกึ ษา ๑๔ ๔.๓ ขอบเขตการศึกษา ๑๗ ๔.๔ สรปุ แนวคดิ และหลักการเรอื่ งจังหวัดจดั การตนเอง ๑๗ ๔.๕ ผลการพจิ ารณาศกึ ษา ๒๔ ๔.๖ ประโยชนจ์ ากการยกฐานะจงั หวัด เป็นจังหวดั จดั การตนเอง ๒๖ ๔.๗ ขอ้ เสนอแนะในการจดั ทากฎหมาย ๕. บทสรุปและข้อเสนอแนะ ๖. ข้อสงั เกต เสนอแนะของคณะกรรมาธกิ าร ภาคผนวก ภาคผนวก ก ร่างพระราชบญั ญตั ริ ะเบียบบริหารราชการจงั หวดั จดั การตนเอง พ.ศ. .... ภาคผนวก ข รปู ภาพประกอบการพิจารณา

ก คณะกรรมาธิการการกระจายอานาจ การปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ และการบรหิ ารราชการรูปแบบพเิ ศษ

ข คณะอนุกรรมาธิการการปกครองส่วนทอ้ งถิ่นและการกระจายอานาจ

ค คณะอนุกรรมาธิการการปกครองสว่ นทอ้ งถ่นิ

ง คณะทำงำนศกึ ษำแนวคิดจังหวดั จดั กำรตนเองและจัดทำร่ำงพระรำชบัญญตั ิ ระเบียบบริหำรรำชกำรจงั หวดั จดั กำรตนเอง พ.ศ. .... ศาสตราจารยโ์ กวทิ ย์ พวงงาม ท่ปี รกึ ษาคณะทางาน นายพรเทพ วสิ ทุ ธิ์วฒั นศกั ดิ์ นายนภดล แกว้ สุพัฒน์ ท่ปี รกึ ษาคณะทางาน ทป่ี รึกษาคณะทางาน นายทศกัณฐ์ เสรมิ สาราญ ประธานคณะทางาน นายนรศักดิ์ สุขสมบรู ณ์ นายเจษฎา ศรตุ สิ ตุ นายบรรณ แก้วฉา่ คณะทางาน คณะทางาน คณะทางาน

จ บทสรปุ ผบู้ รหิ าร คณะกรรมาธิการการกระจายอานาจ การปกครองส่วนท้องถ่ิน และการบริหารราชการ รูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร มีหน้าท่ีและอานาจตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๑๙) กระทากจิ การ พจิ ารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรอื ศึกษาเรื่องใดๆท่ีเก่ียวกบั การบริหารราชการและ การปฏิบัติของเจ้าหน้าท่ีขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน รวมทั้งส่งเสริมการกระจายอานาจให้แก่องค์กร ปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน และการบริหารราชการรปู แบบพเิ ศษ ดังน้ัน การพิจารณาศึกษาการบริหารราชการรูปแบบจังหวัดจัดการตนเอง (Self-governing Province) จึงเป็นเร่ืองสาคัญท่ีมีความเกี่ยวข้องกับการศึกษาเร่ืองใดๆท่ีเก่ียวกับการบริหารราชการขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ซง่ึ ถือเปน็ ภารกจิ สาคญั และอยใู่ นหนา้ ทแ่ี ละอานาจของคณะกรรมาธกิ าร คณะกรรมาธิการการกระจายอานาจ การปกครองส่วนท้องถ่ิน และการบริหารราชการ รูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร จึงได้มีมติต้ังคณะอนุกรรมาธิการการปกครองท้องถ่ินและการกระจายอานาจ คณะอนุกรรมาธิการการปกครองส่วนท้องถ่ิน รวมทั้งคณะทางานเพ่ือศึกษาแนวคิดจังหวัดจัดการตนเองและ จัดทาร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการจังหวัดจัดการตนเอง พ.ศ. .... โดยเชิญหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง มารว่ มประชุม ศึกษาขอ้ มลู ข้อเทจ็ จริง ข้อกฎหมาย ตลอดจนแสดงความคิดเห็น คณะกรรมาธิการจึงมีข้อสรุป ดังนี้ ๑. การจดั ตั้งจงั หวดั จดั การตนเอง ๒. การกาหนดใหย้ กเลกิ ราชการส่วนภูมิภาคในจงั หวดั ท่ีได้จดั ตั้งเปน็ จงั หวัดจดั การตนเอง ๓. การกาหนดหลกั การพืน้ ฐานของการปกครองสว่ นท้องถิน่ ๔. การกาหนดให้การบริหารจังหวัดจัดการตนเอง ประกอบด้วยโครงสร้าง ๓ ส่วน (สภา จังหวัดจดั การตนเอง ผ้วู ่าราชการจงั หวดั และสภาพลเมอื งจงั หวดั จดั การตนเอง) ๕. การกาหนดให้การบริหารเทศบาลหรอื องค์การบริหารส่วนตาบล ประกอบด้วยโครงสรา้ ง ๓ ส่วน เช่นเดยี วกันกับโครงสรา้ งการบรหิ ารจงั หวดั จัดการตนเอง ๖. การกาหนดอานาจหน้าท่ีของจังหวดั จัดการตนเอง เทศบาลและองค์การบรหิ ารสว่ นตาบล ๗. การกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และระหว่าง องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถิน่ ดว้ ยกนั เอง ๘. การกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดจัดการตนเอง กับเทศบาลและองค์การบริหาร สว่ นตาบล ๙. การกาหนดหลกั การในเรือ่ งการคลังและรายได้ขององคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ่ ๑๐.การกาหนดภาษีและรายได้อื่นขององค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน ๑๑.การกาหนดหลกั การมีส่วนร่วมของประชาชน ๑๒.การกาหนดให้มี “คณะกรรมการตรวจสอบ” ข้นึ ในจงั หวัดจัดการตนเอง ๑๓. การกาหนดใหม้ ี “คณะกรรมการสง่ เสรมิ การบรหิ ารจงั หวัดจัดการตนเอง”

รายงานผลการพิจารณาศึกษา เรอื่ ง การบรหิ ารราชการในรูปแบบจังหวดั จดั การตนเอง (Self-governing Province) ของ คณะกรรมาธกิ ารการกระจายอานาจ การปกครองสว่ นท้องถิ่น และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ สภาผแู้ ทนราษฎร ตามทท่ี ปี่ ระชุมสภาผู้แทนราษฎร ชดุ ที่ ๒๕ ปีที่ ๑ คร้งั ที่ ๒๑ (สมยั สามญั ประจาปีคร้ังท่ีหนึ่ง) วันพุธที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๖๒ ที่ประชุมได้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการการกระจายอานาจ การปกครอง ส่วนท้องถ่ิน และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีหน้าท่ีและอานาจตามข้อบังคับ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๒ ข้อ ๙๐ (๑๙) กระทากิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใดๆ ท่ีเก่ียวกับการบริหารราชการและการปฏิบัตขิ องเจ้าหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน รวมทั้งส่งเสริมการกระจายอานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษนั้น คณะกรรมาธิการคณะนี้ ประกอบด้วย ๑. นายซูการ์โน มะทา ประธานคณะกรรมาธกิ าร ๒. ศาสตราจารยโ์ กวทิ ย์ พวงงาม รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทห่ี นึ่ง ๓. นายพัฒนา สัพโส รองประธานคณะกรรมาธิการ คนที่สอง ๔. นายชานาญ จันทร์เรือง รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทีส่ าม ๕. นางพรรณสิริ กลุ นาถศิริ รองประธานคณะกรรมาธิการ คนทสี่ ่ี ๖. นายอนุรักษ์ จรุ มี าศ ประธานทป่ี รึกษาคณะกรรมาธิการ ๗. นางทัศนาพร เกษเมธีการณุ ท่ีปรึกษาคณะกรรมาธิการ ๘. นายสินิตย์ เลิศไกร ทปี่ รึกษาคณะกรรมาธิการ ๙. นายสมชาย ฝั่งชลจติ ร โฆษกคณะกรรมาธกิ าร ๑๐. นายพรเทพ วสิ ุทธิว์ ฒั นศกั ดิ์ โฆษกคณะกรรมาธกิ าร ๑๑. นายวันชยั ปรญิ ญาศริ ิ โฆษกคณะกรรมาธกิ าร ๑๒. นายพรชัย ตระกลู วรานนท์ กรรมาธกิ าร ๑๓. นางเทียบจุฑา ขาวขา เลขานกุ ารคณะกรรมาธกิ าร ๑๔. นางสาวทศั นีย์ บูรณุปกรณ์ ผชู้ ว่ ยเลขานุการคณะกรรมาธิการ ๑๕. นายยศวัฒน์ มาไพศาลสนิ ผชู้ ว่ ยเลขานกุ ารคณะกรรมาธิการ อน่ึง นายชานาญ จันทร์เรือง ส้ินสุดสมาชิกภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เน่ืองจากคาวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญ เม่ือวันท่ี ๒ มีนาคม ๒๕๖๓ และในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดท่ี ๒๕ ปีที่ ๒ ครั้งที่ ๖ (สมัยสามัญประจาปีครั้งที่หนึ่ง) วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๖๓ ที่ประชุมเห็นชอบให้ต้ังนายสฤษฏ์พงษ์ เก่ียวข้อง เป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการการกระจายอานาจ การปกครองส่วนท้องถ่ิน และการบริหาร ราชการรปู แบบพิเศษ สภาผ้แู ทนราษฎร และนายสินิตย์ เลิศไกร ได้ขอลาออกจากการเป็นกรรมาธิการ ต้ังแต่วันท่ี ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๔ และในคราวประชุมผู้แทนราษฎร ชุดท่ี ๒๕ ปีท่ี ๓ ครั้งที่ ๖ (สมัยสามัญประจาปีคร้ังที่หน่ึง) วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๔ ที่ประชุมเห็นชอบให้ตั้งนายภานุ ศรีบุศยกาญจน์ เป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการ การกระจายอานาจ การปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ และการบรหิ ารราชการรปู แบบพิเศษ สภาผูแ้ ทนราษฎร

๒ บัดนี้ คณะกรรมาธิการการกระจายอานาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการ รูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร ได้ดาเนินการพิจารณาศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงขอรายงานผลการศึกษา ดงั กลา่ ว ต่อสภาผ้แู ทนราษฎร ดงั นี้ ๑. การดาเนินการ คณะกรรมาธิการการกระจายอานาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และการบริหารราชการ รปู แบบพิเศษ ได้มีมตแิ ต่งต้ังคณะอนกุ รรมาธิการ จานวน ๒ คณะ เพอ่ื พจิ ารณาศึกษาเร่ืองการบรหิ ารราชการ รูปแบบจังหวดั จัดการตนเอง ได้แก่ คณะอนกุ รรมาธิการการปกครองท้องถ่นิ และการกระจายอานาจ ประกอบด้วย 1. นายชานาญ จนั ทรเ์ รือง ประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร 2. นายพรเทพ วิสุทธ์ิวัฒนศกั ด์ิ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ 3. ศาสตราจารยอ์ ดุ ม ทมุ โฆสิต อนกุ รรมาธิการ 4. นายสุวิชชา เพ็งไพบูลย์ อนกุ รรมาธิการ 5. นางสาวสุกลภัทร ใจจรญู อนุกรรมาธิการ 6. นายวทิ ยา ศรีชมภู อนุกรรมาธิการ 7. นายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ อนุกรรมาธิการ 8. ศาสตราจารยธ์ เนศวร์ เจรญิ เมอื ง อนุกรรมาธิการ 9. นายบรรณ แก้วฉา่ อนกุ รรมาธิการและเลขานุการ ตอ่ มานายชัชวาลย์ ทองดีเลศิ และ ศาสตราจารย์ธเนศวร์ เจรญิ เมือง อนุกรรมาธิการ ได้ขอ ลาออกจากการเป็นอนุกรรมาธิการ และคณะกรรมาธิการการกระจายอานาจ การปกครองส่วนท้องถิ่น และ การบริหารราชการรูปแบบพิเศษ ได้มีมติเห็นชอบให้ต้ัง นายศักด์ิณรงค์ มงคล และนายสรัล มารู เป็นอนุกรรมาธิการแทนตาแหน่งท่ีว่าง โดยคณะอนุกรรมาธิการการปกครองส่วนท้องถ่ินและการกระจาย อานาจได้ปฏิบัติหน้าท่ีในการพิจารณาศึกษาเร่ืองการบริหารราชการในรูปแบบจังหวัดจัดการตนเองต้ังแต่ เดือนพฤศจกิ ายน ๒๕๖๒ ถงึ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ คณะอนุกรรมาธกิ ารการปกครองสว่ นทอ้ งถิ่น ประกอบด้วย ๑. นายพฒั นา สัพโส ประธานคณะอนุกรรมาธกิ าร ๒. นางสาวทศั นีย์ บรู ณุปกรณ์ รองประธานคณะอนุกรรมาธิการ ๓. นายขจรพงศ์ คาดี อนกุ รรมาธิการ ๔. ว่าทร่ี อ้ ยตรี สมรักษ์ กลับสง่ อนกุ รรมาธิการ ๕. วา่ ทรี่ ้อยตรี อติโรจ บุญใย อนุกรรมาธิการ ๖. นายศตพล วรปญั ญาตระกลู อนุกรรมาธิการ ๗. นางสายฝน ทองแถม อนุกรรมาธิการ ๘. นายบุญมี ภทั รธารง อนกุ รรมาธิการ ๙. นายนรศกั ดิ์ สขุ สมบรู ณ์ อนกุ รรมาธิการ ๑๐.นายบรรณ แกว้ ฉ่า อนกุ รรมาธิการ

๓ คณะอนุกรรมาธิการการปกครองส่วนท้องถ่ิน ได้ปฏิบัติหน้าท่ีในการพิจารณาศึกษาเรื่องการ บริหารราชการรูปแบบจังหวัดจัดการตนเอง ต่อเนื่องจากการพิจารณาของคณะอนุกรรมาธิการชุดแรก ต้ังแต่ เดือนมีนาคม ๒๕๖๓ พร้อมทั้งได้มีมติเสนอต่อคณะกรรมาธิการการกระจายอานาจ การปกครองส่วนท้องถ่ิน และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ แต่งต้ังคณะทางานศึกษาแนวคิดจังหวัดจัดการตนเองและจัดทาร่าง พระราชบัญญัตริ ะเบียบบริหารราชการจังหวัดจัดการตนเอง พ.ศ. .... ประกอบด้วย (๑) นายโกวทิ ย์ พวงงาม ทป่ี รกึ ษาคณะทางาน (๒) นายพรเทพ วสิ ุทธว์ิ ฒั นศักด์ิ ทีป่ รึกษาคณะทางาน (๓) นายนภดล แก้วสุพฒั น์ ท่ีปรกึ ษาคณะทางาน (๔) นายทศกัณฐ์ เสรมิ สาราญ ประธานคณะทางาน (๕) นายนรศักด์ิ สขุ สมบรู ณ์ คณะทางาน (๖) นายเจษฎา ศรุติสตุ คณะทางาน (๗) นายบรรณ แกว้ ฉา่ คณะทางาน คณะทางาน ได้รวบรวมผลการพิจารณาศึกษาที่คณะอนุกรรมาธกิ ารการปกครองท้องถ่ินและ การกระจายอานาจ ซึ่งเป็นคณะอนุกรรมาธิการ ชุดแรกได้จัดทาไว้ก่อนพ้นตาแหน่ง เพื่อนาเสนอต่อคณะอนุ กรรมาธิการการปกครองทอ้ งถิน่ พิจารณา และได้จัดทาเป็นรายงานผลการศกึ ษาเลม่ น้ี บัดนี้คณะกรรมาธิการการกระจายอานาจ การปกครองส่วนท้องถ่ิน และการบริหารราชการ รูปแบบพิเศษ โดยคณะอนุกรรมาธกิ ารการปกครองส่วนท้องถ่ิน และคณะทางาน ได้ดาเนินการพิจารณาศกึ ษา เรื่องการบรหิ ารราชการรปู แบบจงั หวัดจดั การตนเอง เพอื่ เสนอต่อสภาผ้แู ทนราษฎรเพ่ือพจิ ารณา ๒. วธิ ีพจิ ารณาศึกษา (๑) แต่งต้ังคณะอนุกรรมาธิการการปกครองส่วนท้องถิ่นและการกระจายอานาจ และที่ ปรึกษาประจาคณะอนกุ รรมาธกิ าร ประชุมจานวน ๑๑ ครั้ง (๒) แต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการการปกครองส่วนท้องถิ่น และที่ปรึกษาประจาคณะอนุ กรรมาธกิ าร ประชุมจานวน ๕ ครั้ง (๓) แต่งตั้งคณะทางานศึกษาแนวคิดจังหวัดจัดการตนเองและจัดทาร่างพระราชบัญญัติ ระเบยี บบรหิ ารราชการจงั หวดั จดั การตนเอง พ.ศ. .... (๔) การเชญิ หน่วยงานและผู้ท่ีเก่ยี วข้องให้ข้อมลู ความเหน็ ขอ้ เสนอแนะต่อคณะอนุกรรมาธิการ ๓. หนว่ ยงานและเอกสารทเี่ กี่ยวข้อง คณะอนุกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่นและการกระจายอานาจ ได้เชิญหน่วยงาน องค์กร ตา่ ง ๆ มาใหข้ ้อมูล ข้อเท็จจริง และขอ้ เสนอแนะตลอดทัง้ เอกสารงานวิจัยเพอ่ื ประกอบการพจิ ารณา ดังน้ี ๓.๑ หน่วยงานท่ีเกีย่ วขอ้ ง ๑) คณะกรรมการรณรงค์เพอื่ ประชาธิปไตย (ครป.) นายศกั ด์ิณรงค์ มงคล

๔ . ๒) สานกั งานเลขาธกิ ารสภาความม่ันคงแหง่ ชาติ ๑.นายนพิ จน์ อษั ญคุณ ผู้เชยี่ วชาญเฉพาะด้านความมั่นคง ภายในประเทศ ๒.นางสาวอัญชลี ดวงแกว้ นักวเิ คราะห์นโยบายและแผนชานาญ การพเิ ศษ ๓. นางสาวสมปรารถนา ชว่ ยเก้อื นกั วเิ คราะห์นโยบายและแผนชานาญการ ๔. นางสาวโศรภิฐา จันทรศร นักวิเคราะหน์ โยบายและแผนปฏบิ ตั กิ าร ๓) สมาคมองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั แห่งประเทศไทย ๑. นายกติ ตชิ ัย เอง่ ฉ้วน รองนายกองค์การบรหิ ารส่วนจังหวัด กระบี่ ในฐานะรองเลขาธิการสมาคม องค์การบริหารส่วนจงั หวัดแห่ง ประเทศไทย ๒. นายศริ ิศกั ด์ิ ประทปี รัศมกี ลุ กองเลขาธิการสมาคมองค์การบรหิ าร ส่วนจงั หวัดแหง่ ประเทศไทย ๓. นางสาวอรดี พรหมดา นติ กิ รสมาคมองค์การบริหารสว่ นจงั หวดั แหง่ ประเทศไทย ๔) กองอานวยการรักษาความมนั่ คงภายในราชอาณาจกั ร ๑. พลตรี สุรพงษ์ อยู่พร้อม รองผอู้ านวยการสานกั นโยบายและ ยุทธศาสตรค์ วามม่นั คง ๒. พนั เอกพเิ ศษ มนตรี สพุ ิเพชร ผู้ชว่ ยผอู้ านวยการสานักนโยบายและ ยทุ ธศาสตร์ความมัน่ คง ๓. พนั เอกพเิ ศษ นิธนิ นั ท์ ฤทธ์ชิ ัยทพิ ย์ ผู้อานวยการสว่ นความมั่นคง พเิ ศษสานักนโยบายและยุทธศาสตร์ ความมั่นคง ๔. พันเอกพิเศษ อภริ เดช หมนั่ วิชาชัย ผอู้ านวยการสว่ นแผนและ งบประมาณ สานักกิจการมวลชนและ สารนเิ ทศ ๕. พันเอก ศนั สนัย เถ่ือนศิริ นิตกิ รเชี่ยวชาญ ๖. พนั เอก ไพโรจน์ โตตามวงศ์ ผู้แทนผู้อานวยการศูนย์ประสานการ ปฏิบตั ิ ๑ ๗. พนั โท ศิรวฒั น์ ศีลสังวาล ผู้แทนศนู ยป์ ระสานการปฏบิ ัติ ๑ ๕) สมาคมนกั ปกครองแห่งประเทศไทย ๑. นายปานชยั บวรรัตนปราณ กรรมการสมาคมนักปกครอง แห่งประเทศไทย ๒. นายนเรศ จิตสจุ รติ วงศ์ กรรมการสมาคมนักปกครอง แหง่ ประเทศไทย ๓. นายพนม เหล็กเพชร เจ้าหนา้ ท่ีสมาคมนักปกครอง แหง่ ประเทศไทย

๕ ๖) สมาคมกานนั ผ้ใู หญ่บ้านแหง่ ประเทศไทย ๑. นายยงยศ แกว้ เขียว นายกสมาคมกานันผใู้ หญ่บ้าน แห่งประเทศไทย ๒. นายบดินทรภ์ ัทร ศรีอินทรส์ ุทธิ์ กานัน ๓. นายพัฒนา รัตนพันธ์ กานัน ๔. นายพิษณุ สนั ติเมธี กานัน ๕. นายสวุ ฒั น์ ทวีศักด์ิศรี กานัน ๖. นายสุรสหี ์ ศรีอนิ ทร์สุทธ์ิ กานัน ๗. นายกริษฐา ช่วยเกลด็ ผู้ใหญบ่ ้าน ๘. นายพยุงศักดิ์ สุจริต ๙. นายสชุ าติ สิทธแิ กว้ ๓.๒ เอกสารท่เี กีย่ วขอ้ ง ข้อมูลจากเอกสารงานวิจัย แหล่งวิชาการต่างๆ ที่สาคัญ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติการบรหิ าร ราชการจังหวัดจัดการตนเอง พ.ศ. .... ฉบับท่ียกร่าง โดยคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.คณิต ณ นคร ประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมาย,ร่างพระราชบัญญัติเชียงใหม่จัดการตนเอง (ร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเชียงใหม่มหานคร พ.ศ. ....) และเอกสารทางวิชาการเร่ือง \"ก้าว ข้ามกับดัก Hamiltion Paradox \" โดย ศาสตราจารย์ ดร.จรัส สุวรรณมาลา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั ๔. ผลการพจิ ารณา การพิจารณาปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการ ไม่ว่าจะเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค หรือส่วน ท้องถ่ิน จะต้องถือเอาประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ และประสิทธิภาพในการจัดบริการสาธารณะจากการ ปฏิรูปดังกล่าวเป็นสาคัญ มิใช่เพ่ือพยายามจะปกป้องประโยชน์หรือบทบาทอานาจของฝ่ายข้าราชการประจา การบริหารราชการในรูปแบบจังหวัดจัดการตนเอง (Self-governing Province) เป็นแนวคิดการปฏิรูป โครงสร้างระบบราชการโดยหลักการดังกล่าว ซึ่งคณะกรรมาธิการการกระจายอานาจ การปกครองท้องถ่ิน และการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาให้ความสาคัญจึงได้มอบหมายให้คณะอนุ กรรมาธิการ พิจารณาศึกษาเป็นแนวทางปฏิรูปการกระจายอานาจ ในรูปแบบจังหวัดจัดการตนเองและได้ข้อ สรุปผลการพิจารณาศึกษา ดังน้ี ๔.๑ ที่มาของแนวคดิ จังหวัดจัดการตนเอง และความสาคัญของปญั หา ช่วงเวลาก่อนร้อยปี ที่ผ่านมาการรวมศูนย์อานาจทางการเมืองการปกครองของประเทศไทย สามารถสร้างรัฐชาติและพลเมืองให้เป็นปึกแผ่น เข้มแข็ง และรอดพ้นจากการถูกยึดครองโดยประเทศเจ้าลัทธิ ล่าอาณานิคมมาได้ แต่ต่อมาในช่วง 50 ปีท่ีผ่านมา ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็ว จัดอยู่ในลาดับแถวหน้าของโลก สั่งสมความม่ังค่ังทางเศรษฐกิจไว้มากพอสมควร ในขณะเดียวกันสภาพสังคม การเมือง เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชนไปอย่างรวดเร็ว มีปัญหาที่ท้าทายใหม่ๆ เช่นการเกิดโรคระบาด ภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะโครงสร้าง ทางเศรษฐกจิ มคี วามซับซอ้ นมากขึ้น

๖ ตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.๒๕๔๐ ฉบับ พ.ศ.๒๕๕๐ และฉบับปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๖๐ ทุกฉบับ ได้บัญญัติให้จัดการปกครองส่วนท้องถ่ินตามหลักแห่งการปกครองตนเอง ตามเจตนารมณ์ของประชาชน ในทอ้ งถ่ิน และให้มคี วามเป็นอสิ ระในการกาหนดนโยบาย การบริหาร การจัดบรกิ ารสาธารณะ การบรหิ ารงาน บคุ คล การเงนิ และการคลงั และมีอานาจหนา้ ท่ีของตนเองโดยเฉพาะ ตามความในมาตรา ๒๔๙ วรรคสองรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ บัญญัติไว้ว่า การจัดต้ังองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินในรูปแบบใดให้คานึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชน ในท้องถิ่นและความสามารถในการปกครองตนเองในด้านรายได้ จานวนและความหนาแนน่ ของประชากร และพน้ื ทที่ ต่ี อ้ งรับผิดชอบประกอบกนั โดยเฉพาะ ตามความในมาตรา ๗๘ (๓) รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ บัญญัติไว้ว่า รัฐต้องดาเนินการตามแนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ดังต่อไปน้ี \"กระจาย อานาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการของท้องถ่ินได้เอง ส่งเสริมให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ินมีส่วนร่วมในการดาเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ พัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่น และระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถ่ิน ให้ทั่วถึงและเท่า เทียมกันท่ัวประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ โดยคานึงถงึ เจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนัน้ \" ดังนนั้ การจัดทากฎหมายพระราชบญั ญัตริ ะเบยี บบริหารราชการจงั หวัดจดั การตนเอง จงึ เปน็ หลกั การตามบทบญั ญัติของรฐั ธรรมนูญดงั กล่าว เพ่อื เปิดโอกาสให้ประชาชนในจังหวัดทม่ี ีความพรอ้ ม ไดแ้ สดง เจตนารมณ์ โดยผ่านการทาประชามติในเขตจังหวัดน้ันๆ เพ่ือยกฐานะเป็นการปกครองท้องถ่ินในรูปแบบ จังหวัดจัดการตนเอง ซ่ึงปัจจุบันนี้มีหลักฐานงานวจิ ัยต่างๆมากมายที่แสดงถึงความพร้อมของจังหวดั ที่สามารถ จะยกฐานะเปน็ การปกครองในรปู แบบจงั หวัดจัดการตนเองได้ โดยพิจารณาจากความโดดเด่นในดา้ นต่างๆ เชน่ (๑) จังหวัดท่ีมีลักษณะโดดเด่นทางด้านเศรษฐกิจ หรือเป็นพื้นที่เขตอุตสาหกรรม เช่น จังหวัดระยอง จังหวัดชลบุรี จังหวัดนนทบุรี จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดปทุมธานี เป็นตน้ (๒) จังหวัดที่เป็นเมืองขนาดใหญ่และมีภาคประชาสังคมเข้มแข็ง ได้มีการพิจารณาร่างจังหวัด จัดการตนเองไว้อย่างพร้อมเพรียงแลว้ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ จงั หวดั ขอนแกน่ รวมทั้งจังหวดั อานาจเจริญ เปน็ ต้น (๓) จังหวัดท่ีมีลักษณะโดดเด่นเกี่ยวกับภูมิประเทศ ท่ีมีลักษณะพิเศษและมีความเป็นเมือง เจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ และการท่องเทย่ี ว เชน่ จงั หวดั ภเู กต็ (๔) จังหวัดท่ีมีลักษณะพิเศษทางด้านวัฒนธรรม หรือทางด้านสังคม ท่ีมีความจาเป็นจะต้อง จัดความสัมพันธ์ทางอานาจเพ่ือลดความเหลื่อมล้า ลดความขัดแย้ง และสร้างความเป็นธรรม หรือดารง อัตลักษณ์ความเป็นชาติพันธุ์ของพ้ืนท่ี เช่น จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส โดยเฉพาะจังหวัด ปตั ตานีซ่ึงมหี ลายภาคสว่ นจัดทาข้อเสนอ \"ปัตตานีมหานคร\" และได้มกี ารนาเสนอโดยภาคประชาชน ในการยกร่าง พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการปัตตานีมหานคร ซ่ึงเป็นรูปแบบเดียวกับจังหวัดจัดการตนเอง (๕) จังหวัดทมี่ ีลกั ษณะโดดเด่นในลักษณะที่มภี าคประชาสังคมเคลื่อนไหวและมีความต้องการ จดั การตนเอง เชน่ จงั หวัดอานาจเจรญิ ท้ังนี้ ปัจจัยท่ีแสดงถึงความพร้อมที่สาคัญที่สุดในการยกฐานะเป็นจังหวัดจัดการตนเอง คือ เจตนารมณ์ของประชาชน ซึ่งเป็นไปตามหลักการเรื่องเจตนารมณ์ของประชาชนในมาตรา ๒๔๙ วรรคสอง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ซ่ึงปัจจุบันแม้จะมีบทบัญญัติดังกล่าว แต่ยังไม่มี กฎหมายรองรบั ท่ีจะเปิดโอกาสใหป้ ระชาชนไดแ้ สดงเจตนารมณ์ ยกฐานะใหเ้ ปน็ จังหวัดจดั การตนเอง

๗ ประเทศญ่ีปุนถือไดวาเปนประเทศหนึ่งในเอเชียที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยซ่ึงมี พระมหากษัตริยเปนประมุขและเป็นรัฐเดี่ยว เชนเดียวกับประเทศไทย ที่มีรูปแบบการปกครองระดับพื้นที่ จังหวัดในแบบจังหวัดจัดการตนเอง โดยรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. ๑๙๔๗ ที่รางโดยคณะยึดครองสหรัฐถือไดวา เปนรัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศญ่ีปุ่นท่ีไดระบุหลักการความเป็นอิสระของท้องถิ่น (Local Autonomy) ไวในหมวด 8 จากมาตรา 92 – 95 นอกจากรัฐธรรมนูญแลวยังมีการออกกฎหมายสาคัญในการปกครอง ทองถ่ิน คือกฎหมายปกครองตนเองของท องถ่ิน (Local Autonomy Law) กฎหมายฉบับน้ีได กาหนด โครงสรางใหมของการบริหารสวนทองถ่ิน และไดกระจายอานาจของรัฐบาลกลางไปใหกับหนวยการปกครอง ทองถนิ่ อยางมาก พรอมกันน้นั ไดยกเลิกกระทรวงมหาดไทย ซง่ึ เคยเปน็ กระทรวงที่ดูแลกิจการเกี่ยวกับ ทองถ่ิน และเปล่ยี นไปเปนกระทรวงกิจการภายในแทน กระจายกจิ การต่างๆ ใหแกทองถ่ิน จดั ต้ังเจาหนาท่ีของทองถ่ิน และปฏิรูประบบการคลังของท องถ่ิน รวมทั้งกาหนดความสัมพันธ ระหวาง รัฐบาลกลางและท องถ่ิน ตามหลักการวาดวยการปกครองตนเองของทองถิ่น มีการจัดโครงสรางการบริหารราชการแผนดินออกเปน 2 สวน คือ การบริหารราชการสวนกลาง และการบริหารราชการสวนทองถ่ิน ญ่ีปุ่นไม่มีส่วนภูมิภาคเหมือน ดังประเทศไทย โครงสรางของรูปแบบทั่วไปสามารถแบงออกเปน 2 ระดับ คือระดับบน ไดแกจังหวัด (Prefectures) และระดับลางไดแก เทศบาล (Municipal) ท้ังจังหวัดและเทศบาลมีสถานะเปนหนวยการ ปกครองทองถ่ินท่ีเทาเทียมกัน จะแตกตางกันก็เฉพาะในดานขนาดพื้นที่รับผิดชอบและศักยภาพในการ ใหบริการแกประชาชนกลา่ วคือ (1) ระดับบนหรือจังหวัด จะทาหนาท่ีเปนหนวยงานกลางท่ีเช่ือมการติดตอระหวางรัฐบาล กลางกบั เทศบาลและเปนหนวยงานท่ีดาเนินกจิ การครอบคลุมพื้นที่กวางขวางดาเนินกิจการที่ตองการมาตรฐาน เดียวกัน และ ดาเนินกิจการที่ใหญเกินกวาศักยภาพของเทศบาลจะกระทาไดรวมทั้งปฏิบัติหนาท่ีเปนตัวแทน ของ รัฐบาลกลาง ในปจจุบันมีจังหวัดทั้งส้ิน 47 แหง ซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาญ่ีปุนแตกตางกันไป คือ 1. โทะ (To) มี 1 จังหวัด คือกรุงโตเกียวและดวยความที่มีสถานะเปนเมืองหลวงของประเทศก็ทาใหโตเกียวมีลักษณะ โครงสรางท่ีแตกตางจากจังหวัดอื่นๆ คือ มีการจัดต้ัง หนวยการปกครองทองถิ่นที่เรียกวา เขตพิเศษ (Special Ward/Ku) จานวน 23 แหง 2. โด (Do) มี 1 จังหวัด คือฮอกไกโด 3. ฟุ (Fu) มี 2 จังหวัด คือโอซากาและ เกียวโต 4. เคง (Ken) มี 43 จังหวัด สาหรับการเรียกช่อื ที่แตกตางกันนี้ เปนเพียงเหตุผลทางประวัติศาสตรไม ไดสงผลตอความแตกตางในดานโครงสรางและการบริหารงานแตอยางใด ยกเวนแตจังหวัดโตเกียวเทาน้ันที่มี ลกั ษณะท่แี ตกตางจากจงั หวัดอืน่ อยางเดนชดั (2) ระดับลางหรือเทศบาล เปนหนวยการปกครองทองถิ่นระดับลางสุดท่ใี หบริการข้ันพ้ืนฐาน ท่ัวไปแกประชาชน ใน ปจจุบันมีเทศบาลท้ังสิ้นจานวน 3,218 แหงแบงออกเปน 3 ประเภท คือเทศบาลนคร (Cities/Shi) เทศบาลเมือง (Towns/Cho or Machi) และเทศบาลหมูบาน (Villages/Son or Mura) ซึ่งใน สวนของ เทศบาลนครก็ยังมีเทศบาลมหานคร (Designate Cities) ซ่ึงเปนเทศบาลนครท่ีมีขนาดใหญ คือ มีประชากรเกนิ 500,000 คนขึ้นไป ตามมตขิ องคณะรัฐมนตรซี ่งึ เทศบาลนครพเิ ศษนี้มีอยูดวย 12 แหง ไดแก Osaka, Kyoto, Nagoya, Yokohama, Kobe, Kitakyusyu, Sapporo, Kawasaki, Fukuoka, Hiroshima, Sendai และ Chiba โดยเทศบาลนครพิเศษเหลาน้ีจะมีสถานะที่พิเศษกวาเทศบาลนคร ทั่วไปคือ จะไดรับ อานาจหนาที่ในการดาเนินกิจการตางๆ อยางกวางขวางเทาเทียมกับในระดับจังหวัด และ ในป ค.ศ. 1994 รัฐบาลไดริเร่ิมจัดตั้งเทศบาลนครขนาดใหญท่ีมีพื้นที่เกินกวา 100 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรเกิน 300,000 คนข้ึนไป ข้ึนเปนเทศบาลนครศูนยกลาง (Core Cities) มีอานาจหนาท่ีกวางขวาง เชนเดียวกับ เทศบาลนครพิเศษขน้ึ อีกดวย

๘ ประเทศญี่ปุ่น เป็นตัวอย่างของประเทศท่ีประสบความสาเร็จในการปฏิรูประบบราชการด้วย การกระจายอานาจ ในลักษณะเดียวกับจังหวัดจัดการตนเอง โดยเฉพาะในด้านความคุ้มค่าและก่อให้เกิด การบรกิ ารสาธารณะที่มีคุณภาพ จากผลงานการวิจัยของศาตราจารย์ ดร.จรสั สวุ รรณมาลา ไดพ้ บว่า ขดี จากัด ของการกระจายอานาจในปัจจุบันน้ี ประเทศไทยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ จานวนมาก แตส่ ว่ นใหญม่ ีขนาด เล็กมีฐานเศรษฐกิจขนาดเล็ก ไม่สามารถสร้างรายได้ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินได้เพียงพอ อีกทั้งมี ข้อจากัดในด้านการบริหารจัดการ ทั้ง ในด้านบุคลากรและงบประมาณ จึงทาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนใหญ่ ไม่สามารถรับการถ่ายโอนภารกิจ ขนาดใหญ่ๆ ที่เกินเขตพื้นที่การปกครองได้ หรือแม้จะเป็นภารกิจ ขนาดเล็กๆ ถ้ามีเพียงไม่ก่ีเร่ืองก็พอรับได้ แต่เมื่อรับถ่ายโอนภารกิจจานวนมากขึ้น ก็อาจรับไว้ไม่หมดเช่นกัน นักการเมือง ข้าราชการ และหน่วยงานของรัฐ ที่ไม่ต้องการถ่ายโอนภารกิจให้ท้องถิ่น ก็ใช้ข้อจากัดนี้เป็น เหตุผลในการระงับหรือชะลอการถ่ายโอน ในขณะเดียวกัน ผู้บริหารท้องถ่ินและข้าราชการในท้องถิ่นก็ลังเลใจ ไม่มั่นใจ และปฏิเสธท่ีจะรับการถ่ายโอนภารกิจจากหน่วยราชการ ท้ายที่สุดแล้วการกระจายอานาจสู่ท้องถ่ิน ภายใต้ โครงสร้างเช่นนี้ จึงทาได้เฉพาะกิจกรรมขนาดเล็กๆ จานวนไม่กี่ประเภทดังที่เป็นอยู่ทุกวันน้ี ดังนั้น ถ้าจะเดินหน้าต่อไปให้กว้างขวางกว่าน้ีได้ ก็ต้องก้าวข้ามข้อจากัดนี้ไปให้ได้เสียก่อน นอกจากน้ัน จาก ผลการวิจัยยังพบว่า รูปแบบจังหวัดจัดการตนเอง ยังสามารถเพ่ิมประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี โดยจังหวัด มีฐานเศรษฐกิจขนาดใหญ่ สามารถพึ่งตนเองได้ในระยะยาว โดยปัจจุบันน้ีจังหวัดส่วนใหญ่มีรายได้จากภาษี สรรพากรไมม่ าก และไมเ่ พียงพอกับรายจา่ ยภาครัฐในจงั หวัด ก็เพราะจงั หวดั ตา่ งๆ ยังไมไ่ ด้พัฒนาฐานภาษีและ ความพยายามในการจัดเก็บภาษีอย่างจริงจัง แต่ถ้ารัฐบาลปรับเปลี่ยนนโยบายการกระจายอานาจ ให้จังหวัด จัดการตัวเอง และต้องพึ่งตัวเองทางการคลงั ให้มีรายได้หลักจากภาษีสรรพากรในจังหวัด จะทาให้จังหวัดที่ยก ฐานะเป็นจังหวัดจัดการตนเองจะต้องเริ่มต้นพัฒนาฐานเศรษฐกิจและ ฐานรายได้ของตนเอง แทนท่ีจะพึ่งพา งบประมาณจากสว่ นกลางดงั ท่ีเปน็ อย่ใู นปัจจบุ นั นอกจากน้ัน จากสถานการณ์เกิดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙) ระบาดขึ้น ในประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมีนาคม ๒๕๖๓ เป็นต้นมา ซ่ึงเป็นเหตุการณ์สาคัญอย่างหน่ึงของประเทศไทย ท่ีแสดงให้เห็นว่า ระบบราชการไม่สามารถที่จะรับมือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที มีความจาเป็นที่จะต้องปฏิรูป อยา่ งเรง่ ด่วน กรณีโรคตดิ เช้อื ไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙) ทาใหป้ ระชาชนทกุ สาขาอาชพี ได้รบั ผลกระทบ โดยเฉพาะกล่มุ ผใู้ ช้แรงงานที่เดินทางจากตา่ งจงั หวดั มาทางานในเมอื งเปน็ กลมุ่ แรกท่ีไดร้ บั ผลกระทบทนั ที และ จานวนมากมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจเดินทางกลับต่างจังหวัด เพ่ือกลับไปพึ่งชุมชนเหมือนวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 แต่สภาพชุมชนท้องถ่ินเกือบทุกพื้นท่ีส่วนมากกาลังอยู่ในความเส่ียง เน่ืองจากเกษตรกรรมเชิงเดี่ยว ที่พ่ึงพาตลาดส่งออกต่างประเทศโดยเฉพาะพืชผักผลไม้ไม่มีตลาด เศรษฐกิจชุมชนไม่สามารถขับเคล่ือนได้ นอกจากนั้นการผลิตในภาคเกษตรยังเจอภาวะภัยแล้ง การขาดแคลนน้าอย่างรุนแรง ทาให้ท้ังเกษตรเชิงเดี่ยว และเกษตรกรรมย่ังยืนก็จะประสบปัญหา ดังนั้นถึงแม้ว่า สินค้าเกษตรบางชนิด เช่น ข้าว มันสาปะหลัง จะมี ราคาสูงขึ้น แต่พวกเขาก็ผลิตไม่ได้ เม่ือตลาดขนาดใหญ่ซบเซาลง ตลาดสินค้าอาหารออนไลน์เติบโตข้ึน แต่ลักษณะของตลาดออนไลน์ดังกล่าวไม่ใช่สิ่งท่ีชาวบ้านสามารถเข้าถึงและสร้างโอกาสให้กับตนเองได้มาก เท่ากับธุรกิจอาหารขนาดใหญ่ โดยเฉพาะระบบตลาดออนไลน์ท่ีเรียกร้องการผลิตจานวนมาก สม่าเสมอ แน่นอน และตอ้ งมีเงินทนุ สารองพอเพียง ชุมชนไม่ได้มีศักยภาพท่ีจะเข้าถึงและต่อรองผ่านกลไกตลาดออนไลน์ หลัก ยังไม่นับรวมถึงระบบการขนส่งอาหาร เช่น Grab, Lineman, Panda Food ฯลฯ ที่เหมาะสาหรับสังคม เมอื ง แตไ่ มส่ ามารถเช่อื มระหวา่ งสนิ ค้าชุมชนสู่ผบู้ ริโภค น่นั เทา่ กบั ความเหลือ่ มล้าในโครงสร้างเศรษฐกจิ อาหาร จะขยายตัวมากย่ิงข้นึ

๙ การเกิดโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙) ระบาดขึ้นในประเทศ ได้สะท้อนถึง สถานะของชุมชนท้องถ่ินอันเป็นฐานรากของประเทศท่ียังอ่อนแอ และความพยายามพ่ึงพาจัดการตนเองเม่ือ เจอวกิ ฤตปิ ญั หา แต่โครงสรา้ งอานาจโดยเฉพาะในสว่ นภมู ิภาค และสว่ นทอ้ งถิน่ ไม่เออ้ื ต่อการเปิดโอกาส หรือ สนับสนุนให้ประชาชนพึ่งพาตนเอง และให้รัฐบาลจาเป็นต้องใช้มาตรการแจกเงินเพ่ือเยียวยาแก้ปัญหา ซ่ึงมี ขอ้ จากัดเก่ยี วกับงบประมาณไม่สามารถทจ่ี ะนามาใช้เปน็ มาตรการในระยะยาวได้ นอกจากน้นั ยงั สะท้อนให้เห็น ถึงปัญหาของระบบราชการที่มีอยู่กับการรับมือกับปัญหาวิกฤติดังกล่าว ซึ่งส่วนกลางไม่อาจแก้ไขปัญหาได้โดย ลาพัง และจาเป็นจะต้องให้ในแต่ละจังหวัดมีอานาจจัดการกับปัญหาในแต่ละพื้นท่ี แต่ปัญหาในเชิงโครงสรา้ ง และอานาจหน้าท่ี ซ่ึงแต่ละหน่วยงานท่ีตั้งอยู่ในพ้ืนท่ีแต่ละจังหวัดมีสภาพต่างคนต่างทาโดยเฉพาะราชการ สว่ นภมู ภิ าคซึ่งรบั นโยบายมาจากกระทรวง ทบวง กรมที่สงั กัด ไม่ได้รับนโยบายจากผวู้ ่าราชการจังหวัดโดยตรง ตลอดทั้ง ปัญหาความซ้าซ้อนของอานาจหน้าท่ีท้ังในระหว่างราชการส่วนภูมิภาคด้วยกันเอง และระหว่าง ราชการส่วนภูมิภาคกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน รวมทั้งในระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินด้วยกันเอง จึงทาใหก้ ฎหมายที่มีอยู่ไม่เพยี งพอที่จะทาให้เกิดการบูรณาการในการแก้ไขปัญหาโดยแตล่ ะจงั หวัดได้ กรณีการ แก้ปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-๑๙) รัฐบาลจึงต้องประกาศใช้ พระราชกาหนดการบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉนิ พ.ศ.๒๕๔๘ เพือ่ สนับสนุนให้ผวู้ า่ ราชการจังหวดั มอี านาจเพยี งพอทจี่ ะส่ังการและ บูรณาการในการแก้ปัญหาจากทุกภาคส่วนในพ้ืนท่ีจังหวดั ของตนเองได้ ซ่ึงแสดงให้เห็นถึงความจาเป็นในการ มกี ฎหมายสาหรับการบูรณาการในแต่ละจังหวดั ๔.๒ วัตถปุ ระสงคข์ องการพจิ ารณาศกึ ษา (๑) เพ่ือพิจารณาแนวทางในการจัดตั้งจังหวัดจัดการตนเอง เพ่ือนาไปสู่การปฏิรูปประเทศ ด้วยการปฏิรูปโครงสร้างระบบการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะบทบาท อานาจหน้าท่ีของราชการ ส่วนภูมิภาคและสว่ นท้องถ่ิน เพื่อกระจายอานาจใหเ้ หมาะสมกบั สภาวการณท์ างการเมือง เศรษฐกิจ และสงั คม ของประเทศไทยปัจจุบนั (๒) เพ่ือนาเสนอแนวทางในการยกร่างพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการจังหวัดจัดการ ตนเอง พ.ศ. .... ท่ีเป็นร่างกฎหมายกลางเพื่อเป็นแนวทางเบ้ืองต้นสาหรับ นาไปใช้พิจารณาในกระบวนการนิติ บัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร ๔.๓ ขอบเขตการศกึ ษา พิจารณาศึกษา รูปแบบโครงสร้าง และเน้ือหาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเต็มพ้ืนท่ี จงั หวัดรูปแบบจงั หวัดจดั การตนเอง ในประเด็นดงั น้ี (๑) พิจารณาศกึ ษาแนวทางการยกเลิกและบูรณาการสว่ นราชการในพืน้ ที่จังหวดั (๒) หลักการพน้ื ฐาน และหลักการทวั่ ไป (๓) โครงสร้างจังหวัดจัดการตนเอง ๓ ส่วน คือสภาจังหวัดจัดการตนเอง ผู้ว่าราชการจังหวัด และสภาพลเมือง (๔) โครงสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินอ่ืน ในเขตจังหวัด ประกอบด้วยโครงสร้าง ๓ ส่วน คือสภาทอ้ งถิ่น ผบู้ รหิ ารท้องถิน่ และสภาพลเมือง (๕) การกาหนดอานาจหน้าท่ีของจังหวัดจัดการตนเอง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอ่ืน ในเขตจังหวดั

๑๐ (๖) การกาหนดความสัมพันธ์ ระหว่างรัฐบาลกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน และระหว่าง องค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ินดว้ ยกนั เอง (๗) การกาหนดความสัมพันธ์ระหว่างจังหวัดจดั การตนเอง กบั องคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่นอ่ืน ในเขตจังหวัด (๘) หลักการในเร่ืองการคลัง และรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและมาตรการในการ บังคบั การจัดเกบ็ ภาษี การยดึ อายดั ทรพั ย์สนิ ของผคู้ ้างชาระภาษี หรอื คา่ ธรรมเนียม (๙) หลกั การมสี ่วนรว่ มของประชาชน โดยคานึงถึงเทคโนโลยี และธรรมาภิบาลผ่านระบบดจิ ิตอล (๑๐) การบริหารทรัพยากรบุคคลของจังหวดั จัดการตนเอง (๑๑) รูปแบบการตรวจสอบโดย คณะกรรมการตรวจสอบ (๑๒) คณะกรรมการสง่ เสริมการบริหารจงั หวดั จดั การตนเอง (๑๓) แนวทางบรหิ ารจัดการในการยบุ เลกิ และบูรณาการ (บทเฉพาะกาล) (๑๔) ขอ้ พิจารณา ความสอดคลอ้ งกับยุทธศาสตร์ชาติและการปฏริ ูปประเทศ (๑๕) ข้อพิจารณาปัจจัยอื่นๆ อันควรกาหนดไว้ เช่น ด้านการรองรับความเป็นประเทศ ผู้สูงอายุ ด้านส่ิงแวดล้อม และการจัดการมลพิษ การใช้ฐานข้อมูลดิจิตอลในการบริหารจัดการ การรองรับ ความเป็นเมืองหรือเขตเศรษฐกิจในพื้นที่จังหวดั จัดการตนเอง การค้าขายและเคล่ือนย้ายของผู้คนของจังหวัด จัดการตนเอง หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตแนวชายแดน ๔.๔ สรปุ แนวคิดและหลกั การเรือ่ งจงั หวดั จดั การตนเอง ตามพระราชบญั ญตั ิระเบียบบรหิ ารราชการแผน่ ดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ไดก้ าหนดให้การจัดระเบียบ การบรหิ ารราชการแผ่นดนิ ของประเทศไทยออกเป็น ๓ ส่วน ดังนี้ (๑) ราชการบริหารส่วนกลาง เป็นการใช้หลักการรวมอานาจไว้ที่ส่วนกลาง โดยแบ่งส่วน ราชการออกเป็นสานักนายกรัฐมนตรี กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการอื่นและมีฐานะเป็นกรมที่สังกัด หรือไม่สังกัดสานักนายกรัฐมนตรี กระทรวง หรือทบวง สานักนายกรัฐมนตรีและส่วนราชการดังกล่าวมีฐานะ เป็นนติ บิ คุ คล (๒) ราชการบริหารส่วนภูมิภาค เป็นการใช้หลักการแบ่งอานาจ โดยราชการส่วนกลางเป็น เจา้ ของอานาจแลว้ แบ่งอานาจการบังคบั บัญชาและการวินจิ ฉยั สงั่ การให้แก่ภมู ิภาคนาไปปฏบิ ตั ใิ ห้เกดิ ประโยชน์ สูงสุดแก่ประชาชน และการปฏิบัติของภูมิภาคน้ันจะต้องให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและ ขนบธรรมเนียมประเพณีของแต่ละพน้ื ท่ี ทั้งนี้ จะต้องไม่ขัดตอ่ นโยบายของสว่ นกลางหรือของคณะรัฐมนตรีหรือ ตวั บทกฎหมายของประเทศ ราชการบรหิ ารสว่ นภูมิภาค มี ๒ ระดับ คือ จงั หวัด และอาเภอ (๓) ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ใช้หลักการกระจายอานาจที่ส่วนกลางได้มอบอานาจระดับ หนึ่งให้ประชาชนในท้องถิ่นไปดาเนินการบริหารจัดการอย่างอิสระ โดยที่ต้องไม่ขัดต่อกฎหมายของประเทศ หรือความสงบเรียบร้อยของประชาชน กิจกรรมที่ทาได้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการพัฒนา มีอิสระในการตัดสินใจ ในการแก้ปัญหาหรือการสนับสนุนกิจกรรมของท้องถิ่น ออกข้อบังคับหรือระเบียบต่าง ๆ มาบังคับในเขตการ ปกครองของตนได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ท้ังน้ี รูปแบบของการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นในปัจจุบัน ได้แก่ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นจังหวัด (อบจ.) เทศบาล องค์การบริหารส่วนตาบล (อบต.) และราชการบรหิ ารส่วนทอ้ งถน่ิ รปู แบบพิเศษตามที่กฎหมายกาหนด ได้แก่ เมืองพัทยา และกรงุ เทพมหานคร ประเทศไทยได้มกี ารปฏริ ปู ระบบ ราชการมาแล้วหลายคร้ังในหลายรัฐบาล โดยมีการปฏิรูประบบราชการคร้ังใหญ่เมื่อปี ๒๕๔๕ มีการตรา พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ส่งผลให้เกิดโครงสร้างใหม่ของระบบราชการ และตามพระราชบญั ญัตปิ รบั ปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ไดแ้ บ่งสว่ นราชการออกเปน็ ๒๐ กระทรวง

๑๑ ๑๕๔ กรม และมีการปรับปรุงเพิ่มเติมหน่วยงานที่ต่ากว่ากรมและหน่วยงานของรัฐรูปแบบอ่ืนอีกจานวนมาก แต่ยังคงรวมศูนย์อานาจไว้ในส่วนกลาง ในช่วงเวลาท่ีผ่านมา การกระจายอานาจให้แก่ประชาชนผ่านองค์กร ปกครองสว่ นทอ้ งถ่ิน ยงั นับวา่ ลา่ ช้ามากเม่อื เปรยี บเทียบกับความรุนแรงของปัญหาทางสังคมการเมืองทเี่ กิดจาก การรวมศูนย์อานาจรัฐ นอกจากล่าช้าไม่ทันการณ์แลว้ รูปแบบการกระจายอานาจที่เป็นอยู่ก็อาจกล่าวไดว้ ่า ใกลถ้ ึงทางตันและจาเป็นต้องปรับเปลี่ยนรปู แบบและโครงสรา้ งองค์กรปกครองสว่ นท้องถ่นิ ให้สามารถกระจาย อานาจได้มากขึ้น ที่ผา่ นมากระแสของนักวชิ าการท้ังนักวิชาการมหาวิทยาลัย และนกั วิชาการอสิ ระ เสนอเรื่อง การกระจายอานาจมากมาย ยกตัวอย่างเช่น กระแสการเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมาจากการเลือกตั้งโดย ในปี พ.ศ. 2536 มีการตีพิมพ์หนังสือรวมบทความช่ือ “เลือกตั้งผู้ว่าฯ” โดย โครงการศึกษาการปกครอง ท้องถ่ิน คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซ่ึงก่อต้ังเม่ือปี พ.ศ. 2534 ที่สาคัญคือ ในหนังสือเล่มนี้มี บทความของนักวิชาการมากมาย อาทิ ธเนศวร์ เจริญเมือง, จุมพล หนิมพานิช, นิธิ เอียวศรีวงศ์, บวรศักด์ิ อุวรรณโณ, พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต, อัษฎางค์ ปาณิกบุตร, ถวิล ไพรสณฑ์ และอมร รักษาสัตย์ เน้ือหา ในหนังสือจะเกี่ยวกับการกระจายอานาจใหท้ ้องถ่ิน โดยมุ่งประเด็นข้อเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผบู้ รหิ าร องคก์ ารปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ มาจากการเลือกตง้ั ท้ังหมด ในปี พ.ศ. 2541 นายแพทย์ประเวศ วะสี ได้นาเสนอปาฐกถาเรื่อง “การปกครองท้องถิ่น ท่ีประชาสังคมมีส่วนร่วม\" โดยข้อเสนอต่อ \"ศูนย์ศึกษาและพัฒนาการปกครองท้องถิ่นและมูลนิธิส่งเสริมการ ปกครองทอ้ งถน่ิ ”ในงานสัมมนาวชิ าการ “การปกครองท้องถิ่นที่ประชาสงั คมมสี ว่ นร่วม” ได้นาเสนอให้ประชา สังคมเป็นตัวแสดงหลักในการพัฒนาท้องถ่ินมากกว่าที่จะเป็นองค์การปกครองส่วนท้องถ่ิน เพราะแค่การ เลอื กต้ังไม่เพยี งพอ ชาวบ้านในท้องถ่นิ ต้องรวมตวั เป็นประชาสังคมและต้องเอาองค์การปกครองส่วนท้องถ่ินมา เช่ือมโยงกับประชาสังคมให้ได้ หลังจากน้ันก็เกิดกระแสเรียกร้องให้มีการกระจายอานาจให้ท้องถิ่น และเกิด งานเขียนของ นักวิชาการกลุ่มต่างๆ ท้ังในช่วงก่อนและหลังการประกาศรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.2540 และในช่วงปี พ.ศ.2552 ก็เกิดการเคลื่อนไหวเร่ืองการกระจายอานาจอีกกระแสหนึ่ง คือกลุ่มจังหวัดจัดการ ตนเอง กลุ่มจังหวัดจัดการตนเอง (Self-governing Province) มีจุดประสงค์เพื่อเรียกคืนอานาจ ในการปกครองกลับสู่ท้องถิ่น และให้คงเหลือรูปแบบการปกครองเพียงสองรูปแบบ คือ การปกครองรวมศูนย์ อานาจท่ีให้รัฐบาลกลางจัดการปกครองประเทศ และการปกครองแบบกระจายอานาจที่ให้ท้องถ่ินมีอานาจ ในการบริหารชุมชนเพ่ือให้รูปแบบการปกครองที่ใช้อยู่ในได้เป็นการกระจายอานาจการปกครองให้ท้องถิ่นอย่าง แท้จริง แนวคิดเก่ียวกับจังหวัดจัดการตนเอง ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงจากนโยบายของภาครัฐ มาเป็นการเสนอกฎหมายด้วยตนเองจากการรวมตัวของกลุ่มประชาสังคมภายในแต่ละจังหวัดและร่วมมือกับ องค์กรภาคประชาสังคมต่างๆซึ่งเริ่ม เคล่ือนไหวอย่างเป็นรูปธรรมในปี พ.ศ.2552 โดยมีองค์กรที่เข้าร่วม อย่างเช่น สถาบันการจัดการทางสังคม (สจส.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (พอช.) และคณะกรรมการ ประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน ภาคเหนือ (กป.อพช) (ชานาญ จันทร์เรือง, 2555) จากงานศึกษาของ พลศักด์ิ ชัยศรีเรื่อง“จังหวัดจัดการตนเอง” ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมรูปแบบใหม่ สู่การปฏิรูปประเทศ ไทย (พลศักด์ิ ชัยศรี, 2555) พบว่า การเคล่ือนไหวเร่ิมต้นมาจากการสนับสนุนของสององค์กรคือ คณะกรรมการ ประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคเหนือ (กป.อพช ภาคเหนือ) และสถาบันการจัดการทาง สังคม (สจส.) โดยการนาเสนอแนวคิดการจัดการตนเองข้ึนมาเป็นประเด็นแลกเปล่ียนในเวที โดยเฉพาะพื้นท่ี จังหวัดทางภาคเหนือการเคลื่อนไหวของกลุ่มจังหวัดจัดการตนเองท่ีได้เร่ิมขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่นี้ ได้เกิดผล สาเร็จระดับหนึง่ ในเดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2554 จากการร่างพระราชบัญญัติระเบียบบรหิ ารราชการเชียงใหม่ มหานครซ่ึงถือเป็นพระราชบัญญัติฉบับแรกที่เกิดขึ้นจากเครือข่ายองค์กรต่างๆ โดยมี นายชานาญ จันทร์เรือง

๑๒ เป็นประธานร่างพระราชบัญญัติและการนาเสนอร่างเพื่อนาไปเข้าช่ือเสนอผลักดันเป็นกฎหมาย หลังจากนั้น จงั หวัดอน่ื ๆ รวมตวั กนั ก่อตง้ั คณะทางานจังหวัดจัดการตนเองดว้ ยเชน่ กนั ยกตวั อย่างเช่น จงั หวัดภเู ก็ต, จังหวดั ปตั ตานี, จังหวัดอานาจเจริญ, จังหวดั ขอนแกน่ , จงั หวัดอุบลราชธานี เป็นต้น หนึ่งในจุดประสงค์ของการเคลื่อนไหว นายสวิง ตันอุด หน่ึงในแกนนาการเคลื่อนไหวอธิบาย ว่า จังหวัดจัดการตนเองเป็นวิธีการหนึ่งในการแก้ไขปัญหาการเมืองระดับชาติท่ีเกิดขึ้นมาในช่วงเวลาขณะน้ัน นน่ั คอื การเมอื งเร่ืองสเี สอื้ ท่ีมีการแบง่ ฝกั แบง่ ฝ่ายทางการเมอื งเปน็ กลุม่ สีเหลอื ง-แดง-น้าเงิน เพื่อลดระดับความ ขัดแย้งจะต้องทาให้ศูนย์กลางทางการเมืองย่อมาสู่ท้องถิ่น ซึ่งเป็นพ้ืนที่ท่ีสามารถ ปรึกษาหารือและทาความ เขา้ ใจกันไดม้ ากกวา่ โดยสร้างความเปน็ ทอ้ งถนิ่ นิยมขึน้ มา นอกจากนี้ยงั เปน็ การชว่ ยคานอานาจระหว่างรัฐบาล กับท้องถ่ินในการกาหนดนโยบายการพัฒนา และโครงการของรัฐ ให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมเข้าไปตัดสินใจด้วย ในการริเร่ิมก่อตั้งจงั หวัดจดั การตนเอง นายสวิง ตันอดุ กล่าวว่า การจดั ตัง้ จงั หวดั จดั การตนเองคอื การรวมศูนย์ อานาจใหม่จะทาให้ส่วนกลางมีอานาจจัดการพื้นที่น้อยลง และอานาจดังกล่าวจะลงมายังภายในจังหวัดให้ ตัดสินใจด้วยตนเอง และเพื่อเปลี่ยนความขัดแย้งทางการเมืองในระดับชาติมา ให้ความสนใจในปัญหาท้องถ่ิน ดงั ทสี่ วิง ตันอดุ เขียนไวว้ ่า “ทา้ ทายเลยวา่ ถา้ สังคมไม่หนีออกจากกรอบคิดนี้กรอบโครงสรา้ งอานาจเดิมที่ทาให้ สังคมแตกแยกปะทุไปสู่ความรุนแรงแล้วจะนาไปสู่สงครามการเมืองได้ในอนาคต ดังนั้นต้อง กล้าท่ีจะคิดนอก กรอบ ทาอย่างไรถึงจะทาให้ศูนย์กลางอานาจมันเล็กลงแล้วไปสร้างอานาจให้ประชาชนในท้องถ่ิน ก่อนท่ี สถานการณ์จะจัดการตัวมันเองความรุนแรงจะน้อยจะมากก็ขึ้นอยู่กับการจัดการ ถ้าไม่จัดการถึงท่ีสุดความ ขัดแย้งบานปลาย สังคมเราลาบากแน่ น่ีคือ ความจาเป็นท่ีจะมาคิดนอกกรอบจากที่เราเคยคิด” (สวิง ตันอุด และชัชวาลย์ ทองดเี ลศิ , 2553) ดังน้ันนายสวิง ตนั อดุ จึงเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในการเมือง ระดบั ชาติทป่ี ญั หา ลุกลามออกไปในพนื้ ที่ที่กฎหมายไมส่ ามารถควบคุมได้ ด้วยการเคล่ือนไหวเร่ืองการกระจาย อานาจซง่ึ เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมอื งท่ีอยภู่ ายใต้กรอบของกฎหมาย และไม่ใชค้ วามรนุ แรง “เหตุท่ีเราต้องคิดเร่ืองท้องถิ่นจัดการตนเองหรือจังหวัดจัดการตัวเอง เพราะถ้าปล่อยให้ สถานการณ์แบบนี้สร้างความรุนแรงต่อไป เกิดการต่อสู้กันนอกกติกา เกิดการปะทะกันระหว่างประชาชน กับประชาชน พอกระทบกระทั่งกันแรงข้ึนๆ กฎหมายจะคุมไม่อยู่ และนาไปสู่การสู้กันนอกกฎหมายมากข้ึน แบบน้ีมนั ลุกเป็นไฟ พฒั นาไปสกู่ ารสะสมอาวธุ เกิดการแบ่งพวกแบง่ ข้างมากขึน้ โฆษณาเอาคนมาเป็นพวกของ ตัวเองมากขึ้นก็จะเกิดความรุนแรง ถ้าเป็นแบบน้ีจะแก้ยากที่สุด และถึงที่สุดมันจะนาไปสู่การแบ่งประเทศ” (สวิง ตันอดุ , 2557) วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553 มีการเสนอเรื่องกระจายอานาจข้ึนในที่ประชุมคณะทางาน เครือข่ายวิชาการเพ่ือการปฏิรูป มีนายชัชวาลย์ ทองดีเลิศ เป็นผู้นาเสนอ โดยใช้คาว่า “จังหวัดจัดการตนเอง” เพอ่ื ใหท้ ุกภาคสว่ นภายในจังหวดั มอี านาจในการบริหารจดั การตนเอง ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาดังกล่าวเกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองอย่างรุนแรงจากการ ชุมนุมต่อต้านการรัฐประหารต่อเน่ือง จนถึงการประท้วงของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รัฐบาลจึงพยายามลดความขัดแย้งทางการเมือง โดยนาเสนอเรื่องการปฏิรูปการเมืองผ่านการออก ระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิรูป พ.ศ. 2553 มีการจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการเมืองขึ้นมา สองชุด คือ ชุดที่หน่ึงมีนายอานันท์ ปันยารชุนเป็นประธาน และชุดท่ีสองมีนายแพทย์ประเวศ วะสี เปน็ ประธาน คณะกรรมการปฏิรูปถูกต้ังขึ้นโดยมีจุดประสงค์ว่า เพื่อแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองและ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดข้ึนอีก พร้อมท้ังยังสร้างระบบการเมืองให้มีความเข้มแข็งเพื่อไม่ให้นาไปสู่ความขัดแย้งอีก โดยคณะกรรมการปฏิรปู มหี น้าทใ่ี นการรับฟังข้อคดิ เห็นจากประชาชนผา่ นการจดั เวที รับฟงั ความคดิ เหน็ จาก


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook