50 กิจกรรมการเรียนรู้ สือ่ และอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ 1. กรณีศึกษา 1. ประเมินการอธิบาย พข่าวการระบาดของไข้หวัดใหญใ่ น เก่ยี วกับระบบ ความหมายและ ร (สิ่งเรา้ ) ภูมิคุ้มกัน จำนวน เปรียบเทยี บความแตกต่าง 3 กรณี ระหว่างภมู คิ มุ้ กันแบบก่อ 2. เอกสาร เองภมู คิ ุ้มกนั แบบรับมาจาก ประกอบ การตอบคำถามลงในแบบ กรณศี ึกษา บนั ทกึ กิจกรรม 3. แบบบันทกึ 2. ประเมนิ การสร้างผงั กิจกรรม กราฟฟิกเก่ยี วกับขอ้ มูลของ 4. กระดาษ A3 ภูมิค้มุ กันแบบกอ่ เองและ 5. ปากกาสี ภูมคิ มุ้ กนั แบบรบั มาโดยใช้ 6. ใ บ ค ว า ม รู้ แบบประเมินทักษะการ เรอ่ื ง ประเภทของ สร้างผงั กราฟฟกิ ภูมคิ มุ้ กัน 3. ประเมนิ ความมงุ่ มั่นใน แสดงขา่ วการระบาดของไขห้ วัดใหญ่ใน 7. บทความ การทำงานโดยใชแ้ บบ กรุงเทพมหานคร เร่อื ง อมิ มนู - ประเมินความมงุ่ มนั่ ในการ าม ดงั น้ี (สงั เกต) ภูมคิ ุม้ กัน (อีก ทำงาน คร้ัง) พเป็นภาพแสดงสิ่งใด (ข่าวเกี่ยวกับ 8. สอ่ื พาวเวอร์ ขห้ วัดใหญ่) พอ้ ย เร่อื ง ภมู ิคุ้มกนั แบบกอ่
วัตถปุ ระสงค์การ สาระการเรยี นรู้ ก เรียนรู้ 1.2 นักเรียน 4. เป็นผมู้ ีความ ด้านทักษะกระบวนการ (P) วิธกี ารปอ้ งกันหร มงุ่ มั่นตั้งใจในการ (คำตอบตามประ ทำงาน (A) 1. ความสามารถในการในการส่ือสาร (การพดู การเขียน) 1.3 นักเรียน 2. ความสามารถในการคดิ หรือไม่ (คำตอบ (สงสัย) (การวิเคราะห)์ 3. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต 1.4 เมื่อนัก เจ็บป่วยเหล่าน (กระบวนการกลุ่ม) ประสบการณข์ อง 4. ความสามารถในการแกป้ ญั หา 2. ครูกล่าวว่า (-) เจ็บป่วยต่าง ๆ ม ในรา่ งกายมนุษย 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ครูเปิดโอกาส (สืบคน้ ขอ้ มลู ผ่านจากอินเทอร์เน็ต) ความสัมพันธ์ขอ และภูมคิ มุ้ กันในม ดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A) ในสมดุ ประจำราย ความม่งุ มน่ั ในการทำงาน คำถามสำคัญ ภ อะไรบา้ ง
51 กจิ กรรมการเรียนรู้ สื่อและอปุ กรณ์ ประเมินผลการเรียนรู้ การเรียนรู้ นคิดว่าในการแพทย์ในปัจจุบันมี เองและภูมิคมุ้ กัน รอื รักษาโรคดังกล่าวไดอ้ ย่างไร แบบรับมา สบการณ์ของนกั เรียน) นเคยมีอาการเจ็บป่วยหรือไม่สบาย บตามประสบการณ์ของนักเรียน) กเรียนมีอาการเจ็บป่วย อาการ นั้นหายไปได้อย่างไร (คำตอบตาม งนกั เรียน) (ต้ังสมมติฐาน) “นักเรียนคิดว่าวิธีการรักษาอาการ มีความเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกนั ย์หรอื ไม่ อยา่ งไร” สให้นักเรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับ องการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ มนุษย์ พรอ้ มท้งั คาดคะเนคำตอบลง ยวิชา ภูมิคุ้มกันแบ่งออกเป็นกี่ประเภท
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรียนรู้ ก เรยี นรู้ ข้ันแสวงหาสาร 1. ครูแบ่งนัก นักเรียนกลุ่มล อปุ กรณใ์ นการทำ 1.1 แบบบัน ภมู คิ มุ้ กัน 1.2 เอกสารป 1.3 กระดาษ 1.4 ปากกาส 2. จากนนั้ ครใู ห ศึกษากรณศี กึ ษา ผดิ ปกติของรา่ งก จากนั้นกำหนด เกี่ยวกับกรณีศึก กรณศี กึ ษา ดังน้ี 2.1 ความผิด 2.2 อาการทเี่ 2.3 วิธีการป ผดิ ปกติดงั กลา่ ว พร้อมทั้งตอบค เตรียมให้
52 กิจกรรมการเรยี นรู้ สือ่ และอปุ กรณ์ ประเมินผลการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ รสนเทศ กเรียนออกเป็น 3 กลุ่ม จำนวน ละ 3-4 คน จากนั้นครูให้มารับ ำกิจกรรมประกอบไปด้วย นทึกกิจกรรม เรื่อง ประเภทของ ประกอบกรณีศกึ ษา ษ A3 สี ห้นักเรยี นทำกิจกรรม โดยให้ร่วมกัน า ซงึ่ เปน็ ข้อมมูลสมมตเิ กี่ยวกับความ กายทีค่ รูเตรยี มให้ ดประเด็นให้นักเรียนสืบค้นข้อมูล กษาดังกล่าวจากเอกสารประกอบ (วางแผน) ดปกติท่เี กดิ ขึ้นคอื อะไร เกิดข้ึนเปน็ อย่างไรบ้าง ป้องกันหรือการรักษาที่ใช้กับความ คำถามลงแบบบันทึกกิจกรรมที่ครู
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ 3. ครูให้นักเรีย ผิดปกติ ในกรณีศ กระดาษ A3 ที่ค บริเวณหน้าชัน้ เร 4. จากน้ันครูใช 4.1 คว ามผ เหมือนกันหรือไม 4.2 วธิ ีการใน แตล่ ะกรณศี ึกษาเ 5. จากนั้นครูก แต่ละกรณีศึกษา วัคซีน ทอกซอยด ดงั กลา่ วมคี วามเก 6. ครูให้นักเร กจิ กรรม ดงั นี้ 6.1 ใบความร 6.2 บทความ 6.3 กระดาษ 7. ครูให้นักเรยี ระบบภูมิค้มุ กันจ
53 กิจกรรมการเรียนรู้ สือ่ และอปุ กรณ์ ประเมินผลการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ ยนสร้างผังกราฟฟิกเกี่ยวกับความ ศกึ ษาท่ีตนเองได้รับมอบหมายลงใน ครูเตรียมให้ พร้อมทั้งนำมาติดท่ี รียน ชค้ ำถาม ดงั นี้ ผิดปกติของแต่ละกรณีศึกษา ม่ อยา่ งไร นการรักษาความผิดปกติท่ีเกิดขึ้นใน เหมือนกนั หรอื ไม่ อย่างไร กล่าวว่า “การรักษาความผิดปกติใน ามีความแตกต่างกันไป มีทั้งการฉีด ด์ และซีรมั นักเรียนคิดว่าการรักษา ก่ียวข้องกับระบบภูมคิ มุ้ กนั อยา่ งไร” รียนออกมารับอุปกรณ์ในการทำ รู้ เร่อื ง ประเภทของภูมคิ ้มุ กนั ม เรือ่ ง อิมมูน-ภูมคิ มุ้ กัน (อกี คร้งั ) ษ A3 ยนสืบค้นขอ้ มูลเกี่ยวกับประเภทของ จากบทความ ใบความรู้ และอนิ เทอร์
วตั ถปุ ระสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรียนรู้ เน็ท โดยกำหนด (วางแผน) 7.1 ภูมิค้มุ กนั 7.2 ภูมิคุ้มกัน อยา่ งไร 7.3 ภูมิคุ้มก อย่างไรบ้าง พร้อมทั้งให้นั ผิดปกติที่เกิดขึ้น ข้างตน้ น้ันเป็นภมู 8. ครูให้นักเรีย แสดงความแตกต ในสมดุ บันทกึ ประ ขน้ั สรา้ งความรู้ 1. ครูให้นักเรีย ปริศนาอักษณไข ในแบบบันทึกกิจ ปริศนาอักษณไข รางวัล (ส่ือความห
54 กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่อื และอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การเรียนรู้ ดประเด็นในการสืบค้นข้อมูล ดังน้ี นมีกป่ี ระเภท นแต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน กันแต่ละประเภทมีข้อดีหรือข้อเสีย กเรียนระบุว่าวิธีการรักษาความ นในแต่ละกรณีศึกษาที่ได้ศึกษาไป มคิ ุ้มกันแบบใด (วิเคราะห)์ ยนสร้างผังกราฟฟิกสรุปความรู้และ ต่างของภูมิคุ้มกันแต่ละประเภทลง ะจำรายวชิ าของตนเอง ยนแต่ละกลุ่มแข่งขนั กนั ทำกิจกรรม ขว้ เกี่ยวกับคำศัพท์และความหมาย จกรรมที่ครูเตรียมให้ กลุ่มใดที่ทำ ขว้ ถูกต้องและเสร็จไวที่สุดจะได้รับ หมาย)
วตั ถปุ ระสงคก์ าร สาระการเรียนรู้ ก เรยี นรู้ 2. ครูนำสรุปค แต่ละประเภท โ แบบก่อเองและภ เป็นผังมโนทศั น์ใน ขน้ั สื่อสาร 1. ครูให้นักเร กราฟฟิกสรุปคว กลุ่มตนเองได้รับ หอ้ งเรียน ขน้ั ตอบแทนสงั ค 1. ครูให้นักเรีย สรปุ ขอ้ มลู เก่ยี วก แผ่นโปสเตอร์ดัง ตนเอง ห้องเรียน ดงั กล่าวในการทบ
55 กจิ กรรมการเรียนรู้ สื่อและอปุ กรณ์ ประเมินผลการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน โดยใช้สื่อพาวเวอร์พ้อย ภูมิคุ้มกัน ภูมคิ ุม้ กันแบบรับมา (สรุป) โดยแสดง นการสรปุ บทเรียน รียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผัง วามผิดปกติของแต่ละกรณีศึกษาที่ บมอบหมายด้วยวาจาที่บริเวณหน้า งคม ยนแต่ละกลุ่มร่วมกันสร้างโปสเตอร์ กับประเภทของภมู ิคมุ้ กนั จากนั้นนำ งกล่าวติดที่บริเวณห้องเรียนของ นของนักเรียนชั้น 12 เพื่อใช้ข้อมูล บทวนความรขู้ องตนเอง
โรงเรยี นสรร กลมุ่ สาระการเรยี แผนการจัดการเรียนรู้ เรือ่ ง ปจั จัยภาย ภาคการศกึ ษาตน้ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 4/พ, 4/1 และ4/2 สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว1.2 เขา้ ใจสมบตั ิของส่ิงมีชีวิต หน่วยพน้ื ฐานของส่งิ มชี วี ิต การลำเลยี งสาร ของพชื ทท่ี ำงานสัมพันธก์ นั รวมทงั้ นำความรูไ้ ปใช้ประโยชน์ ตวั ช้ีวัด ม.4/2 อธบิ ายการควบคุมดุลยภาพของนำ้ และสารในเลือดโดยการท
56 รพยาวิทยา ยนร้วู ิทยาศาสตร์ ยนอกที่มีผลตอ่ การเจริญเตบิ โตของพชื รายวชิ า วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ ว30107 ผสู้ อน นายเรวตั ร อยู่เกิด รเข้า และออกจากเซลล์ ความสมั พนั ธ์ของโครงสรา้ ง และหน้าท่ขี องอวยั วะตา่ ง ๆ ทำงานของไต
วัตถุประสงค์การ สาระการเรยี นรู้ ก เรียนรู้ นกั เรียนสามารถ ดา้ นความร้(ู K) ขนั้ ระบปุ ญั หา 1. ระบุปัจจยั ปัจจัยภายนอก คือ ปัจจัยที่พืชได้รับจาก 1. ครูให้นักเร ภายนอกทีส่ ง่ ผลตอ่ สภาพแวดล้อม ซึ่งมีอิทธิพลต่อการ Time Lapse โด การเจริญเติบโตของ เจริญเตบิ โตของพชื ดังน้ี พชื ได้ (K) 1. แสง 1.1 วีดิทัศน 2. เปรียบเทยี บ เป็นปัจจัยสำคัญต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง กระบวนการใดขอ ความแตกต่าง ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างน้ำตาลที่พืชจะ 1.2 นักเรี ระหวา่ งปจั จยั สามารถนำไปใช้ หากความเขม้ แสงมากอัตรา กระบวนการดงั ก ภายนอกท่สี ง่ ผลตอ่ การสังเคราะห์ด้วยแสงจะเพิ่ม แต่จะเพิ่มได้ 1.3 สิ่งใดบ้า การเจรญิ เตบิ โตของ ถึงจุดหนึ่งเท่านั้น จะไม่เพิ่มขึ้นอีกเนื่องจาก อย่างไร พืชแต่ละปัจจยั ได้ ปจั จยั อื่นเปน็ ปัจจยั จำกัด คำถามสำคัญ (P) 2. แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ เจริญเตบิ โตของพ 3. เป็นผู้มีความ เป็นแหล่งคาร์บอนแก่พืชเพื่อใช้ใน ขน้ั แสวงหาสาร มงุ่ มนั่ ตั้งใจในการ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง หากความ 1. ครูแบ่งนักเร ทำงาน (A) เข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์มาก อัตรา นักเรียนกลุม่ ละ การสังเคราะห์ด้วยแสงจะเพิ่มขึ้น แต่ รับอุปกรณใ์ นการ เช่นเดียวกับแสง อัตราการสังเคราะห์ด้วย 1.1 กระดาษ แสงจะเพม่ิ ข้ึนถึงจดุ หนึ่งเทา่ นั้น 1.2 ปากกาส 3. นำ้ 1.3 ใบงาน เ เกี่ยวข้องกับกระบวนการต่าง ๆ ของพืช ที่ เจรญิ เติบโตของพ ส่งผลตอ่ การเจรญิ เติบโต เช่น การสงั เคราะห์
57 กจิ กรรมการเรียนรู้ สือ่ และอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การเรียนรู้ 1. กระดาษ A3 1. ประเมินการระบุ และ รียนชมวีดิทัศน์ เรื่อง Lima Bean 2. ปากกาสี เปรยี บเทียบความแตกต่าง ดยกำหนดประเด็นในการชมวีดิทัศน์ 3. ใบงาน เร่อื ง ระหวา่ งปจั จัยภายนอกท่ี ปัจจยั ภายนอกที่มี สง่ ผลตอ่ การเจริญเติบโต น์ดังกล่าว เป็นวีดิทัศน์เกี่ยวกับ ผลตอ่ การ ของพืช โดยการใช้แบบ องพืช เจริญเตบิ โตของ ประเมนิ ชิ้นงาน ยนคิดว่าสิ่งแวดล้อมมีผลต่อ พชื 2. ประเมนิ ความมุง่ มน่ั ใน กล่าวหรือไม่ 4. ส่ือพาวเวอร์ การทำงานโดยใชแ้ บบ างมที่ส่งผลต่อกระบวนการดังกล่าว พ้อย เรื่อง ปัจจัย ประเมินความมุ่งม่นั ในการ ภายนอกที่มีผลต่อ ทำงาน ญ ปัจจัยภายนอกมีผลต่อการ การเจริญเติบโต พืช อย่างไร ของพชื รสนเทศ รียนออกเป็น 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมี 6-7 คน จากนั้นให้นักเรียนออกมา รทำกจิ กรรม ดงั น้ี ษ A3 สี เรื่อง ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อการ พชื
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรียนรู้ ก เรยี นรู้ ดว้ ยแสง การงอกของเมล็ด การหายใจระดับ 2. ครูให้นักเรีย เซลล์ เปน็ ตัวกลางในการลำเลยี งสารต่าง ๆ โดยกำหนดประเด 4. อุณหภมู ิ 2.1 ปัจจัยใด พืชแต่ละชนิดจะมีอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อ เจรญิ เตบิ โตของพ การเจริญเตบิ โตแตกต่างกัน อุณหภูมิสูงหรือ ให้เวลาในการร ต่ำเกินไปอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของ ท้ังเขยี นข้อมลู ลง พชื 3. จากนั้นครู 5. ธาตุอาหาร ข้อมูลจากอินเท แบง่ ตามปริมาณความต้องการของพืชได้ 2 ส่งผลตอ่ การดำรง กลุม่ คอื 3.1 หมายเลข ธาตอุ าหารท่ีพืชต้องการปริมาณมาก เช่น 3.2 หมายเลข N P K Ca Mg S 3.3 หมายเลข ธาตุอาหารทพี่ ชื ตอ้ งการปริมาณน้อย เช่น 3.4 หมายเลข Fe Cu Zn Mn Mo Cl B 3.5 หมายเลข 6. แกส๊ ออกซเิ จน 3.6 หมายเลข เป็นแก๊สที่ใช้ในกระบวนการหายใจระดับ 3.7 หมายเลข เซลล์เพื่อให้ได้พลังงานสำหรับใช้ในการ 3.8 หมายเลข เจรญิ เติบโต 4. ครูกำหนดป 4.1 ปัจจัยดัง พืชอย่างไร
58 กิจกรรมการเรยี นรู้ สื่อและอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การเรียนรู้ ยนแต่ละกลุ่มร่วมกันระดมความคดิ ด็นในการระดมความคิด ดังนี้ ดบ้างในสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อการ พชื ระดมความคิดทั้งสิ้น 5 นาที พร้อม งบนกระดาษ A3 ที่ครแู จกให้ ให้นักเรียนจับฉลากในการสืบค้น ทอร์เน็ต โดยในฉลากระบุปัจจัยที่ งชวี ิตของพืช ดงั นี้ ข 1 แสง ข 2 แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ข 3 นำ้ ข 4 อุณหภูมิ ข 5 ธาตุอาหาร ข 6 แก๊สออกซเิ จน ข 7 ศตั รูพชื ข 8 ไมม่ ี ประเด็นในการสบื ค้นขอ้ มูล ดงั นี้ งกล่าวส่งผลต่อการเจริญเติบโตของ
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรียนรู้ ก เรยี นรู้ 7. ศตั รูพืช 4.2 ปัจจัยดัง มักก่อให้เกิดความเสียหายต่อ ก าร ของพชื หรอื ไม่ อย เจริญเติบโตของพืช อาจทำให้ผลผลิตของพืช พรอ้ มท้ังให้นกั เ ลดลง และอาจรนุ แรงทำใหพ้ ืชถึงตายได้ ลงบนกระดาษ A ขัน้ สร้างความรู้ ด้านทกั ษะกระบวนการ (P) 1. ครูให้นักเร 1. ความสามารถในการในการสื่อสาร บันทึกลงในใบงา (การพูด การเขยี น) การเจริญเติบโตข 2. ความสามารถในการคดิ 2. ครนู ำสรปุ คว (การวเิ คราะห์) ต่อการเจริญเติบ 3. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต เรื่อง ปัจจัยภายน (กระบวนการกล่มุ ) พชื ขัน้ ส่ือสาร 4. ความสามารถในการแกป้ ัญหา 1. ครใู หน้ กั เรยี (-) การสืบค้นข้อมูล 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี บันทึกข้อมูลที่ได (สบื ค้นขอ้ มูลผา่ นจากอนิ เทอร์เนต็ ) ประจำรายวชิ า ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ (A) ความมุ่งมั่นในการทำงาน
59 กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การเรียนรู้ งกลา่ วมขี ้อจำกดั ตอ่ การเจริญเติบโต ย่างไร เรยี นบันทึกขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากการสบื ค้น A3 ท่คี รแู จกให้ รียนนำข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น าน เรื่อง ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อ ของพชื วามรทู้ ถี่ ูกต้องเก่ยี วกับปจั จัยที่ส่งผล บโตของพืช โดยใช้สื่อพาวเวอร์พ้อย นอกที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของ ยนแต่ละกลุ่มนำเสนอข้อมูลท่ีได้จาก ลนำเสนอให้เพื่อน ๆ โดยให้นักเรียน ด้จากการนำเสนอลงในสมุดบันทึก
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ ขั้นตอบแทนสังค 1. ครูให้นักเร กราฟฟิกสรุปข้อ การเจริญเติบโต รายวชิ า เพือ่ ใช้ใน
60 กิจกรรมการเรียนรู้ สือ่ และอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ คม รียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสร้างผัง อมูล เรื่อง ปัจจัยภายนอกที่มีผลต่อ ตของพืช ลงในสมุดบันทึกประจำ นการทบทวนความรู้
โรงเรยี นสรร กลมุ่ สาระการเรีย แผนการจดั การเรียน ภาคการศึกษาต้น ชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 4/พ, 4/1 และ4/2 สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมชี วี ติ หนว่ ยพ้นื ฐานของสิ่งมีชวี ิต การลำเลยี งสาร ของพชื ทีท่ ำงานสัมพนั ธก์ ัน รวมทง้ั นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ตัวชี้วัด ม.4/2 อธบิ ายการควบคุมดุลยภาพของน้ำ และสารในเลอื ดโดยการท
61 รพยาวทิ ยา ยนร้วู ิทยาศาสตร์ นรู้ เรอื่ ง ฮอร์โมนพืช รายวิชา วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ ว30107 ผู้สอน นายเรวัตร อยเู่ กดิ รเข้า และออกจากเซลล์ ความสมั พันธ์ของโครงสร้าง และหน้าท่ขี องอวยั วะต่าง ๆ ทำงานของไต
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรียนรู้ ก เรยี นรู้ นกั เรยี นสามารถ ด้านความร้(ู K) ขั้นระบุปญั หา 1. ระบุแหลง่ สร้าง นอกจากสิ่งแวดล้อมภายนอกมีผลต่อการ 1. ครูแสดงภ และหนา้ ที่ของ เจริญเติบโตของพืชแล้ว ปัจจัยภายใน สงั เคราะห์ ฮอร์โมนพชื แตล่ ะ ดังกล่าวเป็นสารควบคุมการเจริญเติบโตของ ชนดิ ได้ได้ (K) พ ื ช ( Plant growth regulator) ห ร ื อ ที่ 2. เปรยี บเทยี บ เรียกว่า ฮอรโ์ มนพชื (Plant hormone) สาร ความแตกตา่ งของ ควบคุมการเจรญิ เติบโตของพชื นี้มีอยู่ 5 กลุม่ หน้าท่ีระหวา่ ง ใหญ่ คือ ออกซิน ไซโทไคนิน จิบเบอเรลลิน ภาพที่ 1 ฮอรโ์ มนพชื แต่ละ เอทลิ ีนและกรแอบไซซิก จากนัน้ ใช้คำถาม ชนดิ ได้ (P) 1. ออกซิน (Auxin) 2.1 จากภาพ 3. เปน็ ผูม้ ีความ สร้างมากที่บริเวณเนื้อเยื่อเจริญปลายยอด ฮอรโ์ มนพืชเพื่อช มุ่งม่ันต้งั ใจในการ และใบอ่อนเมื่อสร้างแล้วจะแพร่จากปลาย 2.2 จากภาพ ทำงาน (A) ยอดไปยังเซลล์ส่วนอื่น ๆ ที่อยู่ด้านล่าง โดย จะไปกระตนุ้ เซลล์บริเวณท่ีมีการยดื ตวั ทำให้ สง่ เสริมการเจรญิ น้นั คอื อะไร (มี ฮ ขยายขนาดขึ้นทำให้พืชเจริญเติบโตสูงข้ึน และขนาดใหญ่ขึ้น การทำงานของออกซิน 2.3 นกั เรียน ข้นึ อยู่กับสง่ิ เรา้ ต่าง ๆ เชน่ แสงสว่าง แรงโนม้ และมีความสำคัญ ถ่วงของโลก อุณหภูมิ และสิ่งสัมผัสต่าง ๆ คำถามสำคัญ ฮ เปน็ ตน้ อยา่ งไร
62 กจิ กรรมการเรยี นรู้ สื่อและอปุ กรณ์ ประเมินผลการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ 1. รปู ภาพ 1. ประเมินการระบุแหล่ง ภาพข่าวการคิดค้นฮอร์โมนพืช แสดงผลของ สรา้ ง และเปรยี บเทียบ ฮอร์โมนพชื ที่มีตอ่ ความแตกต่างของหน้าท่ี พชื ระหว่างฮอร์โมนพชื แต่ละ 2. บัตรขอ้ ความ ชนดิ โดยการใชแ้ บบประเมิน ข้อมูลฮอร์โมนพชื ชน้ิ งาน แต่ละชนิด 2. ประเมนิ ความมงุ่ มัน่ ใน ภาพคดิ คน้ การผลิตฮอรโ์ มนพืช 3. สอื่ พาวเวอร์ การทำงานโดยใช้แบบ พอ้ ย เร่อื ง ประเมินความมุ่งมัน่ ในการ ม ดงั น้ี ฮอรโ์ มนพืช ทำงาน พเป็นข่าวเกี่ยวกับอะไร (การสร้าง 4. ใบงาน เรื่อง ฮอร์โมนพชื ชว่ ยให้พืชเจริญเติบโตดแี ละทนแลง้ ) พนักเรียนคิดว่ายังมีปัจจัยอื่นที่ช่วย ญเตบิ โตของพืชอยู่หรือไม่ และปัจจัย ฮอร์โมนพชื ) ทราบหรอื ไม่ว่าฮอร์โมนพืชคืออะไร ญอยา่ งไรในพืช ฮอร์โมนพืชคืออะไร มีความสำคัญ
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรียนรู้ ก เรยี นรู้ 2. ไซโทไคนนิ (Cytokinin) ขนั้ แสวงหาสาร แหลง่ สรา้ งหลักอยทู่ เ่ี นอ้ื เยอ่ื เจริญปลายราก 1. ครูแบ่งนักเร และลำเลียงไปสู่ส่วนอื่น ๆ ของพืช เป็น นักเรียนกลุม่ ละ ฮอร์โมนพืชที่มีสมบัติในการกระตุ้นการแบ่ง รับอุปกรณ์ในการ เซลล์ และการเจริญเปลี่ยนแปลงของเซลล์ 1.1 รูปภาพแ โดยจะไปกระตุ้นการเกิดหน่อใหม่ ตาใหม่ 1.2 บัตรขอ้ ค และยังได้มีการริเริ่มนำไซโทไคนินไปใช้ใน 1.3 ใบงาน เร การเกษตรด้านอื่นด้วย เช่น ใช้กระตุ้นการ เจรญิ ของกิ่งแขนง ชว่ ยยดื อายขุ องไม้ตัดดอก บางชนดิ 3. จบิ เบอเรลลนิ (Gibberellin) แหล่งสร้างจิบเบอเรลลินมีหลายบริเวณ เชน่ เมลด็ ขณะกำลังพัฒนา ปลายยอด ปลาย ภาพที่ 1 ภาพแ ราก อับเรณู และผล เปน็ ต้น เปน็ ฮอรโ์ มนพชื อีกกลุ่มหนงึ่ ที่มีสมบตั ิในการกระตนุ้ ใหเ้ ซลล์ท่ี ลำตน้ มีการยดื ตวั และแบง่ เซลล์มากขนึ้ ทำให้ ต้นไม้สูงนอกจากนี้ยังมีสมบัติในด้านอื่น ๆ อีก คือ กระตุ้นการงอกของเมลด็ ช่วยยืดช่อ ผลและปรับปรุงคุณภาพของพวงองนุ่ เปน็ ตน้ ภาพที่ 2 ภาพแส 4. เอทิลนี (Ethylene)
63 กิจกรรมการเรยี นรู้ สื่อและอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ รสนเทศ รียนออกเป็น 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมี 6-7 คน จากนั้นให้นักเรียนออกมา รทำกจิ กรรม ดังน้ี แสดงผลของฮอรโ์ มนพืชทีม่ ตี ่อพืช ความข้อมูลฮอรโ์ มนพืช แต่ละชนดิ รอ่ื ง ฮอร์โมนพืช แสดงผลของฮอรโ์ มนออกซินทม่ี ีตอ่ พชื สดงผลของฮอร์โมนไซโทไคนนิ ทมี่ ตี ่อพชื
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ มีสมบัติเป็นแก๊สและเกิดขึ้นมาใน ภาพท่ี 3 ภาพแสด กระบวนการเมแทบอลิซึมของพืช สามารถ ภาพที่ 4 ภาพแ ทำให้ผลไม้สุกได้เร็วขึ้นนอกจากนั้นทิลีนยัง กระตุ้นการร่วงของใบ กระตุ้นการเกิดราก ฝอยและรากแขนง กระตุ้นการไหลของน้ำ ยางพารา การเพิ่มปริมาณน้ำยางของ มะละกอ กระตุ้นการออกดอกของสับปะรด เปน็ ต้น 5. กรดแอบไซซกิ (Abscisic acid) เปน็ ฮอรโ์ มนทีม่ ีแหลง่ สรา้ งหลากหลาย เช่น เมลด็ ใบ ราก เป็นฮอรโ์ มนท่มี บี ทบาทในการ ยับยั้งการเจริญและการยืดตัวของเซลล์ ทำ ให้มีการพักตัวของตาและเมล็ด และเป็น สารเคมีที่เป็นสัญญาณให้พืชเข้าสู่การเสื่อม ตามอาย(ุ Senescence) ด้านทักษะกระบวนการ (P) ภาพท่ี 5 ภาพแ 1. ความสามารถในการในการสอ่ื สาร (การพูด การเขียน) 2. ความสามารถในการคดิ
64 กิจกรรมการเรียนรู้ สอ่ื และอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การเรียนรู้ ดงผลของฮอร์โมนจิบเบอเรลลนิ ทม่ี ตี อ่ พืช แสดงผลของฮอรโ์ มนเอทลิ ีนท่มี ีต่อพชื แสดงผลของกรดแอบไซซกิ ทม่ี ีตอ่ พืช
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ 2. จากนั้นครูให้น (การวเิ คราะห์) ข้อความพร้อมท 3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต ได้ แลว้ จบั ค่ภู าพ (กระบวนการกล่มุ ) 4. ความสามารถในการแก้ปัญหา ข้ันสรา้ งความรู้ (-) 1. ครูให้นักเรีย 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ลงในใบงาน เร่ือง (-) 2. ครนู ำสรปุ คว ต่อการเจริญเติบ ดา้ นคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) เร่อื ง ฮอร์โมนพืช ความมุ่งมั่นในการทำงาน ขน้ั สอ่ื สาร 1. ครใู หน้ ักเรยี การจับคู่บัตรข้อค ฉลากได้ โดยหาก เปดิ โอกาสให้มีกา ข้ันตอบแทนสงั ค 1. ครูให้นักเร กราฟฟิกสรุปข้อ ประจำรายวิชา เพ
65 กิจกรรมการเรียนรู้ สอ่ื และอปุ กรณ์ ประเมินผลการเรียนรู้ การเรยี นรู้ นักเรียนแต่ละกลุม่ ร่วมกันอ่านบัตร ทั้งสังเกตภาพที่กลุ่มตนเองจับฉลาก พ กบั บัตรขอ้ ความใหถ้ ูกตอ้ ง ยนนำข้อมูลที่ได้จากการจับคู่บันทกึ ง ฮอร์โมนพืช วามรู้ท่ีถกู ตอ้ งเก่ยี วกับปัจจัยท่ีส่งผล บโตของพืช โดยใช้สื่อพาวเวอร์พ้อย ช ยนแต่ละกลุ่มนำเสนอข้อมูลท่ีได้จาก ความ และรูปภาพที่กลุ่มตนเองจับ กมีกลุ่มใดจับคู่บัตรข้อความซ้ำกัน ารซกั ถาม หรืออภปิ รายร่วมกนั งคม รียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสร้างผัง อมูล เรื่อง ฮอร์โมน ลงในสมุดบันทกึ พื่อใช้ในการทบทวนความรู้
โรงเรียนสรร กลุ่มสาระการเรีย แผนการจดั การเรยี นรู้ เรอื่ ง ก ภาคการศกึ ษาต้น ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4/พ, 4/1 และ4/2 สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชวี ติ หน่วยพ้ืนฐานของสิง่ มีชีวติ การลำเลียงส ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กนั รวมทั้งนำความร้ไู ปใช้ประโยชน์ ตวั ช้ีวดั ม.4/2 อธิบายการควบคมุ ดลุ ยภาพของน้ำ และสารในเลือดโดยการท
66 รพยาวทิ ยา ยนรวู้ ิทยาศาสตร์ การตอบสนองตอ่ สง่ิ เร้าของพืช รายวชิ า วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ ว30107 ผู้สอน นายเรวัตร อยูเ่ กดิ สารเขา้ และออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าทีข่ องอวัยวะตา่ ง ๆ ทำงานของไต
วตั ถปุ ระสงค์การ สาระการเรียนรู้ ก เรียนรู้ นกั เรียนสามารถ ดา้ นความรู้(K) ขัน้ ระบปุ ญั หา 1. ระบุรูปแบบ การเคล่อื นไหว (Plant movement) 1. ครูแสดงภาพ การเคลื่อนไหวเพื่อ เกิดขึ้นเพ่ือตอบสนองตอ่ ส่ิงเร้า ซึ่งโดยสว่ น ตอบสนองต่อสิ่งเร้า ใหญ่เกิดขึ้นช้ามากจนไม่สามารถสังเกตเห็น ของพืชได้ (K) ได้โดยตรงในทันที การเคลื่อนไหวสามารถ 2. อธิบายลกั ษณะ แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดงั นี้ การตอบสนองของ 1. การเคลื่อนไหวแบบทรอปิก หรือการ พืชได้ (P) เบน (Tropic movement หรอื Tropism) 3. เป็นผู้มีความ เปน็ การเคลื่อนไหวของพืชท่ีมีทิศทางสัมพันธ์ มุ่งมั่นตั้งใจในการ ต่อสิ่งเร้า โดยอาจจะเคลื่อนที่เข้าหาสิ่งเร้า ภาพที่ 1 ภาพแสดง ทำงาน (A) (Positive tropism) หรือออกจากสิ่งเร้า จากนั้นครใู ชค้ ำ (Negative tropism) โดยการเคลื่อนไหว 1.1 ภาพดัง แบบดังกล่าวเกิดขึ้นได้หลายแบบตาม (แสง) ประเภทของสิง่ เรา้ ดงั น้ี 1.2 นักเรียน 1.1 แสง (Phototropism) ภาพแตกต่างกัน - ยอดพืชจะเบนเข้าหาแสง (Positive นักเรียนได้ตอบต Phototropism) เดิม) - ปลายรากจะเบนหนีแสง (Negative 2. จากนั้นครใู ห Phototropism) เกีย่ วกบั รปู แบบข คำถามสำคัญ กา ประเภท อะไรบ้า
67 กิจกรรมการเรียนรู้ ส่อื และอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การเรียนรู้ 1. ภาพตวั อย่าง 1. ประเมินการระบุแหล่ง พการตอบสนองของพชื ต่อสิง่ เร้า พชื ท่ีมกี าร สร้าง และเปรียบเทียบ เคล่ือนไหว ความแตกต่างของหน้าที่ 2. แบบบันทกึ ระหว่างฮอร์โมนพืชแต่ละ กิจกรรม เร่อื ง ชนิดโดยการใช้แบบประเมิน การเคล่อื นไหว ชิน้ งาน ของพืช 2. ประเมินความมุ่งมั่นใน 3. ส่อื พาวเวอร์ ก าร ทำง าน โ ดยใช้แบบ พอ้ ย เรอ่ื ง การ ประเมินความมุ่งมั่นในการ งการตอบสนองต่อส่ิงเร้าของพืช ตอบสนองตอ่ ส่ิง ทำงาน เรา้ ของพชื ำถาม ดังน้ี งกล่าวเป็นการตอบสนองต่อสิ่งใด นคิดว่าการตอบสนองของพืชทั้งสอง นหรือไม่ อย่างไร (เปิดโอกาสให้ ตามความคิดเห็น และพื้นเพความรู้ หน้ ักเรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเห็น ของการเคล่ือนไหวของพชื จากภาพ ารเคลื่อนไหวของพืชแบ่งออกเปน็ กี่ าง
วตั ถปุ ระสงค์การ สาระการเรยี นรู้ ก เรียนรู้ 1 . 2 แ ร ง โ น ้ ม ถ ่ ว ง ข อ ง โ ล ก ขั้นแสวงหาสาร (Gravitropism) 1. ครูจดั เตรียม - การเคลื่อนไหวต้านแรงโน้มถ่วงของโลก การเคลอื่ นไหว จ ปลายยอด (Negative gravitropism) 1.1 ตัวอย่าง - การเบนตามแรงโน้มถ่วงของปลายราก เชอ้ื แสดงการเบน (Positive gravitropism) 1.2 ตัวอย่าง 1.3 ก า ร ต อ บ ส น อ ง ต ่ อ ส า ร เ ค มี วางริมหน้าต่าง แ (Chemotropism) 1.3 ตัวอย่าง - การงอกของหลอดละอองเรณูที่มีทิศทาง แสดงการเบนของ ตามสารเคมี (Positive chemotropism) 1.4 ตัวอย่าง 1.4 การสัมผสั สิ่งเรา้ (Thigmotropism) ระดบั แสดงการเ - การเกยี่ วพันของเถาวลั ย์ ตำลึง กะทกรก 1.5 ตัวอย่าง 2. การเคลื่อนไหวที่ไม่มีทิศทางสัมพันธ์ เพศเมีย แสดงกา กับสิ่งเร้า หรือการเคลื่อนไหวแบบแนสติก ท่ีเซลล์ซินเนอรจ์ ิด (Nastic movement) 1.6 ตัวอย่าง เป็นการตอบสนองที่มีสาเหตุมาจากการ แสดงการเคลอื่ นไ เปลี่ยนแปลงขนาดของเซลล์ เช่น การบาน โดยวางบนโตะ๊ ใน ของดอกบัวในเวลากลางวัน และหุบในเวลา กลางคืนที่เกิดจากการตอบสนองของกลุ่ม เซลล์ต่อแสง และอาจเกิดจากการ เปลี่ยนแปลงของแรงดันเต่ง (Turgor
68 กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่ือและอปุ กรณ์ ประเมินผลการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ รสนเทศ มตัวอยา่ งพืชและภาพตวั อย่างพืชท่ีมี จำนวน 6 ตวั อย่าง ได้แก่ งที่ 1 ถั่วแดง ที่ปลูกอยู่ในจานเพาะ นของรากเขา้ หาความชน้ื งที่ 2 ถั่วแดง ที่ปลูกในกระถางและ แสดงการเบนของยอดเขา้ หาแสง งที่ 3 ถั่วดำ ที่ปลูกในกระถางทีเ่ อียง งลำตน้ ออกจากแรงโน้มถ่วง งที่ 4 ถั่วแดง ที่ปลูกบนเข็มในแนว เบนของรากเข้าหาแรงโน้นถ่วง งที่ 5 ภาพละอองเรณูบนยอดเกสร ารเบนของหลอดเรณูเข้าหาสารเคมี ดปลอ่ ยออกมา งที่ 6 ภาพต้นผีเสื้อราตรียามเย็น ไหวแบบแนสติก (การนอนของพืช) นหอ้ งเรยี น ดงั แผนภาพ
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ movement) เช่น การเต่งของเซลล์คุม การ สัมผสั ตน้ ไมยราพ รวมไปถงึ การหบุ ใบของต้น กาบหอยแครง ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P) 2. ครูให้แบ่งนักเ คน จากนั้นให้นัก 1. ความสามารถในการในการสอ่ื สาร (การพูด การเขียน) ดงั น้ี 2. ความสามารถในการคิด 2.1 แบบบัน (การวิเคราะห)์ ของพืช 3. ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ 3. ครูกำหนดก (กระบวนการกลุ่ม) ตัวอย่างพืชออกเ 4. ความสามารถในการแกป้ ัญหา (-) และเส้นทางสีน้ำ เดินตามเส้นทาง 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี ตวั อยา่ งละ 2 นา (-) ทีไ่ ด้ลงในแบบบัน ด้านคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) ความมุง่ มัน่ ในการทำงาน
69 กจิ กรรมการเรียนรู้ สอ่ื และอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การเรยี นรู้ เรียนออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละ 6-7 กเรียนแต่ละกลุ่มออกมารับอุปกรณ์ นทึกกิจกรรม เรื่อง การเคลื่อนไหว การเดินศึกษาตัวอย่างพืชและภาพ เป็น 2 เส้นทาง คือ เส้นทางสีชมพู ำเงิน โดยนักเรียนแต่ละกลุ่มจะต้อง งของตนเอง โดยมีเวลาในการศึกษา าที พรอ้ มท้ังใหน้ ักเรยี นบนั ทึกข้อมูล นทกึ กจิ กรรมทีค่ รแู จกให้
วตั ถปุ ระสงคก์ าร สาระการเรียนรู้ ก เรยี นรู้ ขนั้ สร้างความร 1. ครูแสดงตาร ใชค้ ำถามนำอภิป 1.1 จากตัวอ ของพืช ทมี่ กี ารเค 1.2 สิ่งเร้าท การเคล่อื นไหวคือ 1.3 ทิศทางก อย่างไร (เข้าหาส สัมพนั ธก์ ับสงิ่ เรา้ โดยนำอภปิ ราย 2. จากนั้นคร เคลือ่ นไหวของพ ข้ันสื่อสาร 1. ครูให้นักเร แบบบันทึกกิจก หากมขี อ้ ผิดพลาด
70 กจิ กรรมการเรียนรู้ สือ่ และอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรียนรู้ การเรียนรู้ รู้ รางในแบบบันทึกกิจกรรม จากนั้น ปราย ดงั น้ี อย่างที่ 1 โครงสร้างหรืออวัยวะใด คล่ือนไหว ที่กระตุ้นให้โครงสร้างหรืออวัยวะมี ออะไร การเคลื่อนไหวของโครงสร้าง เป็น สิ่งเร้า หรือ ออกจากสิ่งเร้า หรือ ไม่ า) ยจนครบทัง้ 6 ตัวอยา่ ง ูนำนักเรียนสรุปความรู้ เรื่องการ ชื โดยใช้ส่อื พาวเวอร์พอ้ ย ียนตรวจสอบข้อมูลที่บันทึกลงใน กรรม เรื่อง การตอบสนองของพืช ดใหแ้ ก้ไขให้ถูกต้อง
วตั ถปุ ระสงค์การ สาระการเรยี นรู้ ก เรียนรู้ ขั้นตอบแทนสังค 1. ครูให้นักเร กราฟฟิกสรุปข้อ ของพืช ลงในสม การทบทวนความ
71 กิจกรรมการเรียนรู้ สอ่ื และอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรียนรู้ การเรียนรู้ งคม รียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสร้างผัง อมูล เรื่อง การตอบสนองต่อสิ่งเร้า มุดบันทึกประจำรายวิชา เพื่อใช้ใน มรู้
โรงเรียนสรร กลุ่มสาระการเรีย แผนการจดั การเรยี นรู้ เรือ่ ง โครโมโซ ภาคการศกึ ษาต้น ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4/พ, 4/1 และ4/2 สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว1.3 เข้าใจกระบวนการ และความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทาง หลากหลายทางชีวภาพ และววิ ัฒนาการของสิ่งมชี วี ติ รวมทัง้ นำความ ตวั ชว้ี ดั ม.4/1 อธบิ ายความสัมพันธร์ ะหว่างยนี การสงั เคราะหโ์ ปรตีน และล
72 รพยาวทิ ยา ยนรวู้ ิทยาศาสตร์ ซม ยีน แอลลลี จโี นไทป์ และฟีโนไทป์ รายวชิ า วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ ว30107 ผู้สอน นายเรวตั ร อย่เู กดิ งพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความ มรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ลักษณะทางพนั ธกุ รรม
วัตถุประสงค์การ สาระการเรียนรู้ ก เรยี นรู้ นกั เรียนสามารถ ดา้ นความร(ู้ K) ข้ันระบปุ ัญหา 1. บอก ยีน (Gene) คือลำดับเบสนิวคลีโอไทด์ 1. ครูแสดงภาพ ความหมายของ โครโมโซม ยนี แอล ช่วงหนึ่ง ๆ บน DNA ที่มีข้อมูลสำหรับ ลีล จีโนไทป์ และฟี สังเคราะห์โปรตีนสำหรับกำหนดลกั ษณะทาง โนไทปไ์ ด้ (K) พันธุกรรม โดย DNA เป็นส่วนประกอบของ 2. จำแนกความ แตกต่างของ โครโมโซม ดังนั้นยีนจึงมีตำแหน่งอยู่บน โครโมโซม ยีน แอล โครโมโซม ลีล จีโนไทป์ และฟี โนไทปไ์ ด้ (P) ยีนที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมจะอยู่ 3. เปน็ ผู้มีความ เป็นคู่ ๆ ในตำแหน่งเดียวกันบนฮอมอโลกัส ม่งุ ม่ันต้งั ใจในการ ทำงาน (A) โครโมโซม จากนั้นครใู ช้คำถ แอลลีล (Allele) หมายถงึ รูปแบบของยีน 1.1 นักเรียน ทค่ี วบคมุ ลกั ษณะหน่ึง โดยยนี จะมแี อลลีลอยู่ เป็นคู่บนโฮโมโลกัสโครโมโซม มักจะเขียน ความสมั พนั ธก์ นั อ แทนด้วยตัวอักษรภาษอังกฤษพิมพ์ใหญ่ 1.2 นักเรียน ควบคุมลักษณะเด่น และพิมพ์เล็กควบคุม ภาพมีความคล ลักษณะดว้ ย ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมที่ปรากฎ (คลา้ ยคลงึ กนั ) จะข้ึนอย่กู บั แอลลลี ในแต่ละโครโมโซม 2. ครูกล่าวว่า “ จีโนไทป์ (Genotype) คู่ของแอลลีลท่ี ควบคุมการแสดงออกลกั ษณะต่าง ๆ โดยจโี น เป็นพอ่ แมล่ กู หร มีลักษณะเหมือ ไทป์จะถูกแบ่งออกเป็น เด่นพันธุ์แท้ ลกั ษณะทางพันธ (Homozygous dominance), ด้อยพันธุ์แท้
73 กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและอปุ กรณ์ ประเมินผลการเรยี นรู้ การเรียนรู้ 1. ปากกาสี 1. ป ร ะ เ ม ิ น ก า ร บ อ ก พครอบครัวท่เี ป็นท่รี ู้จักภายในสังคม 2. กระดาษฟ ความหมาย และจำแนก ความแตกต่างของ ลิปชาร์ทขนาด โครโมโซม ยีน แอลลีล จีโน A3 ไทป์ และฟีโนไทป์ โดยการ ใช้แบบประเมนิ ชิ้นงาน 3. ใบงาน 2. ประเมินความมุ่งมั่นใน ปริศนาอกั ษรไขว้ การทำงานโดยใช้แบบ ประเมินความมุ่งมั่นในการ 4. สือ่ พาวเวอร์ ทำงาน พ้อย เร่ือง โครโมโซม ยีน ถาม ดังน้ี แอลลีล จโี นไทป์ และฟโี นไทป์ นคิดว่าบุคคลในภาพแต่ละภาพมี อยา่ งไร (ครอบครวั , พอ่ แม่) นคิดว่าลักษณะหน้าตาของบุคคลใน ้ายคลึงกันหรือไม่ เพราะเหตุใด “สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในครอบครัวเดียวกัน รือเครอื ญาติ จะทำให้ส่ิงมีชวี ติ นั้น ๆ อนกัน ซึ่งเรียกว่า การถ่ายทอด ธกุ รรม” จากนนั้ ครูใชค้ ำถาม ดังน้ี
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรียนรู้ ก เรยี นรู้ (Gomozygous Recessive) และพันทาง 2.1 นักเรียน (Heterozygous) พนั ธกุ รรมเกิดขึ้น ฟีโนไทป์ (Phenotype) ลักษณะทีป่ รากฎ 2.2 สิ่งใดเป ข้ึนสามารถมองเห็นได้ แสดงออกลักษณ พร้อมทั้งให้นัก ดา้ นทักษะกระบวนการ (P) การถ่ายทอดลักษ 1. ความสามารถในการในการส่ือสาร คำตอบ (การพดู การเขียน) คำถามสำคัญ ย 2. ความสามารถในการคดิ โครโมโซมคอื อะไ (การวิเคราะห์) ข้นั แสวงหาสาร 3. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต 1. ครูแบ่งนัก (กระบวนการกลุ่ม) นักเรียนกลุ่มละ อุปกรณ์ในการทำ 4. ความสามารถในการแก้ปัญหา 1.1 ปากกาส (-) 1.2 กระดาษ 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี 1.3 ใบงาน ป (-) 2. ครูมอบหม ด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ (A) สืบค้นข้อมูลเพื่อ ความมุ่งมั่นในการทำงาน โดยกำหนดระยะ พร้อมทั้งให้นักเรีย ชารท์ ท่ีครแู จกให
74 กจิ กรรมการเรยี นรู้ สอ่ื และอปุ กรณ์ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การเรียนรู้ นคิดว่าการถ่ายทอดลักษณะทาง นได้อยา่ งไร ป็นตำกำหนดในการถ่ายทอด และ ณะทางพนั ธุกรรม ดังกล่าว กเรียนได้ทดลองตั้งคำถามเกี่ยวกับ ษณะทางพันธุกรรม และคาดคะเน ยีน แอลลีล จีโนไทป์ ฟีโนไทป์ และ ไร มีความสมั พันธ์กนั อยา่ งไร รสนเทศ กเรียนออกเป็น 4 กลุ่ม จำนวน ะ 6 – 7 คน จากนั้นให้ออกมารับ ำกจิ กรรม ดงั น้ี สี ษฟลิปชาร์ทขนาด A3 ปริศนาอกั ษรไขว้ มายให้นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกัน อหาคำอธิบายของคำศัพท์ต่อไปน้ี ะเวลาในการสืบค้นทั้งสิ้น 5 นาที ยนเขียนคำศัพท์ลงในกระดาษฟลิป ห้
วตั ถปุ ระสงค์การ สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ 2.1 ยีน 2.3 จโี นไทป์ 2.5 ดอ้ ยพนั ธ 2.7 ฟโี นไทป ขั้นสรา้ งความร 1. ครูให้นักเรีย ผลงานเวยี นขวาไ กลุ่มมีสัญลักษณ เพื่อนแล้ว คำศ ความหมายเหมือ เครื่องหมายประ ลปิ ชารท์ ในบรเิ วณ 2. จากนั้นคร ความหมายของค เป็นประเด็น 3. จากนั้นครู แ ใช้พาวเวอร์พ้อย ไทป์ และฟโี นไทป ขน้ั สอื่ สาร 1. ครูให้นักเรีย งาน เร่อื ง ปริศนา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278