วัตถปุ ระสงค์การ สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ นักเรียนสามารถ ดา้ นความร(ู้ K) ขั้นระบปุ ัญหา 1. บอกช่ือและ ระบบโครงกระดูก (Skeletal system) 1.ครูนำเขา้ สบู่ ท ประเภทของกระดกู โครงสรา้ งของกระดกู เคลื่อนท่ีของมนษุ และขอ้ ตอ่ ได้ (K) กระดูกเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เป็นโครงสร้าง 2. สร้างชนิ้ งานท่มี ี ที่มีการเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา ความเก่ียวข้องกับ (Dynamic structure) มีเยื่อหุ้มก ร ะดูก ระบบโครงกระดกู (Periosteum) ห่อหุ้มอยู่ ซึ่งประกอบด้วย และข้อต่อได้ (P) เสน้ ประสาท และหลอดเลือด ภาพท่ี 1 ภา 3. ทำงานรว่ มกนั กระดูกประกอบด้วยเกลือแร่สะสมเป็น วงกลมล้อมรอบท่อ เรียกว่า ท่อฮาร์เวอร์ จากน้ันครูใชค้ ำ เปน็ กลุ่มได้ (A) เชียน (Haversian canal) เซลล์กระดูกที่อยู่ 1.1 นักเร รอบท่อได้รับสารอาหารและออกซิเจนจาก การเคล่ือนท่ี (กร หลอดเลือด เนื้อกระดูกจะมีรูพรุนเล็ก ๆ 1.2 นักเรียน มากมายเป็นช่องให้เส้นประสาทและหลอด เชื่อมต่อกันเป็นช เลือดผ่านเข้าไปข้างใน กระดูกชั้นในคล้าย เกิดขึ้นหรือไม่อ รวงผึ้ง หรือ ฟองน้ำ มีลักษณะเป็นร่างแห สามารถเกิดขนึ้ ได เรียกกระดูกส่วนนี้ว่า กระดูกพรุน (spongy ครูเปิดโอกา bone) ซง่ึ มคี วามแข็งแรงเชน่ เดยี วกบั กระดูก บทเรียนและให้น ทึบภายใน แกนกลางของกระดูกมไี ขกระดกู สี ดังกล่าว เขียนลง แดง (red bone marrow) ซ่ึงเป็นแหล่งผลิต ตนเอง (สงสัยแล เม็ดเลือดแดงที่สำคญั ของร่างกาย นอกจาก
49 กิจกรรมการเรยี นรู้ สอ่ื /แหล่งการ ประเมินผลการเรยี นรู้ เรยี นรู้ 1. กระดาษ 1. ประเมนิ การบอกชือ่ ทเรยี นโดยการแสดงรูปภาพการ ขนาด A3 และประเภทของกระดกู ษย์ (ส่งิ เร้า) และขอ้ ต่อ และการสร้าง 2. รปู ภาพโครง ชนิ้ งานทีม่ คี วามเกย่ี วขอ้ ง กระดูกของมนษุ ย์ กับระบบโครงกระดูกและ ขอ้ ต่อโดยใชแ้ บบประเมิน 3. รปู ภาพข้อ ช้นิ งาน าพแสดงการเคลื่อนทขี่ องมนษุ ย์ ตอ่ ของมนุษย์ 2. ประเมนิ ทกั ษะการ ำถาม ดงั น้ี (สังเกต) ทำงานกลุ่มโดยแบบ รยี นคิดว่ามนุษยอ์ าศยั โครงสร้างใดใน 4. บัตรคำระบุ ประเมนิ ทักษะการทำงาน ระดูกและกล้ามเนอ้ื ) ช่ือกระดูกและขอ้ เปน็ กลุม่ นคิดว่าถ้าหากกระดูกของมนุษย์ ตอ่ ของมนุษย์ ชิ้นเดียวทั้งร่างกายการเคลื่อนที่จะ อย่างไร (การเคลื่อนที่อาจจะไม่ ด้) าสให้นักเรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับ นกั เรยี นคาดคะเนคำตอบของคำถาม งในสมุดบันทึกประจำรายวิชาของ ละสมมตฐิ าน)
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ ไขกระดูกสแี ดง ในส่วนแกนกลางของกระดูก คำถามสำคัญ ร ชนิ้ ยาวจะมไี ขกระดูกสีเหลอื ง(yellow bone มนุษย์ประกอบไป marrow) ซึ่งมีไขมันเป็นองค์ประกอบหลัก บรรจุอยู่ภายใน ถ้าเกิดภาวะฉุกเฉินของ ขั้นแสวงหาสาร ร่างกาย ไขกระดูกสีเหลืองปลี่ยนเป็นไข 1. ครูแบ่งนัก กระดูกสแี ดง เพือ่ ทำหนา้ ทผี่ ลิตเม็ดเลือดแดง นักเรียนกลุ่มล ในส่วนของเกลือแร่ เช่น แคลเซีย ม อปุ กรณใ์ นการทำ ฟอสฟอรัส ที่เก็บสะสมไว้ในกระดูกสามารถ 1.1 กระดาษ สลายเข้าสู่เนื้อเยื่อต่าง ๆ ของร่างกาย โดย 1.2 รปู ภาพโ เคลื่อนที่ผ่านทางกระแสเลือดซึ่งมีฮอร์โมน 1.3 รปู ภาพข เป็นตัวควบคุมการเปลีย่ นแปลง 1.4 บัตรคำร โดยการแจกอุป กระดูกแข็งทั้งหมด 206 ชิ้นในร่างกาย กำหนดให้อยู่ใ แบง่ เป็น (walk rally) เพื่ กระดกู แกนกลาง (Axial skeleton) ภายในบริเวณโรง จำนวน 80 ชนิ้ - กระดกู กะโหลกศีรษะ (Skull) 29 ชน้ิ ได้แก่ กระดกู กะโหลกศรี ษะ ใบหนา้ ขากรรไกร
50 กจิ กรรมการเรียนรู้ ส่อื /แหล่งการ ประเมนิ ผลการเรียนรู้ เรียนรู้ ระบบโครงกระดูกและข้อต่อของ ปด้วยอะไรบา้ ง รสนเทศ กเรียนออกเป็น 3 กลุ่ม จำนวน ละ 3-4 คน จากนั้นครูให้มารับ ำกิจกรรมประกอบไปดว้ ย ษขนาด A3 โครงกระดกู ของมนุษย์ ข้อต่อของมนษุ ย์ ระบุชอ่ื กระดกู และข้อต่อของมนษุ ย์ ปกรณ์ในการทำกิจกรรมครั้งนี้ครู ใ น ล ั ก ษ ณ ะ ข อ ง ก า ร ว อ ล ์ ค แ ร ล ล่ี อค้นหาอุปกรณ์ในการทำกิจกรรม งเรยี น
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ - กระดกู สนั หลัง (Vertebra) 26 ชิน้ ได้แก่ แนวกระดูกดา้ นหลงั ของรา่ งกาย แต่ละขอ้ เชือ่ มต่อกันดว้ ยกล้ามเน้อื และเอ็น ระหวา่ ง กระดูกสนั หลงั แต่ละข้อจะมีหมอนรอง กระดูก (Intervertebral disc) ซึ่งเปน็ แผน่ กระดูกออ่ น ทำหน้าทร่ี องและเชื่อมกระดูก สนั หลังแต่ละข้อ ป้องกันการเสียดสี - กระดูกซโ่ี ครง (Rib) 12 คู่ ตอ่ กับด้านข้าง ของกระดกู สันหลังส่วนทรวงอก ดา้ นหนา้ โคง้ มาต่อเช่ือมกับกระดกู หน้าอกยกเวน้ คทู่ ่ี 11 และ 12 - กระดูกหน้าอก (sternum) เป็นท่ียึดของ กระดกู ซ่ีโครงคู่ท่ี 1-10 กระดูกรยางค์ (Appendicular skeleton) 126 ชิ้น (แขนขา เชิงกราน (pelvic girdle) สะบัก (scapula) ไหปลาร้า (clavicle) ฝ่า มือ ฝา่ เท้า และกระดูกนวิ้ ) ข้อต่อแบ่งตามลักษณะการเคลื่อนไหวไดด้ งั นี้
51 กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่อื /แหล่งการ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เรียนรู้
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ 1. ข้อต่อเคลื่อนไหวไม่ได้ (Synarthoses) ไดแ้ กข่ ้อต่อระหวา่ งกะโหลกศีรษะ 2. ข ้ อ ต ่ อ เ ค ล ื ่ อ น ไ ห ว ไ ด ้ บ ้ า ง (Amphiarthoses) เรียกว่า ข้อต่อกระดูก อ่อน (Cartilage joint) ได้แก่ข้อต่อที่อยู่ ระหว่างกระดูกเชิงกราน และข้อต่อระหว่าง ขอ้ ตอ่ กระดูกสนั หลงั 3. ข้อต่อเคล่ือนไหวได้มาก (Diarthrosis) มี ช่องว่างอยู่ภายใน (Synovial joint) และมี แผน่ เยื่อทที่ ำหนา้ ท่สี ร้างของเหลวท่เี รยี กวา่ น้ำไขข้อ (Synovial fluid) ไดแ้ ก่ - ขอ้ ต่อรปู เดือย (Pivot joint) - ข้อตอ่ แบบอานม้า (Saddle joint) - ข้อตอ่ แบบสไลด์ (Gliding joint) - ข้อต่อแบบลูกกลมในเบ้า (Ball and socket joint) - ข้อต่อแบบบานพับ (hinge joint) - ขอ้ ตอ่ แบบวงรี ดา้ นทกั ษะกระบวนการ (P)
52 กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่อื /แหล่งการ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เรียนรู้
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ ภาพท่ี 2 ภา 1. ความสามารถในการในการส่ือสาร (การพูด การเขียน) 2. หลังจากได้ร 2. ความสามารถในการคดิ รูปภาพและบัตร (การวิเคราะห์) มนุษย์มาจับคู่กัน 3. ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวติ บัตรคำอาจมีสิ่งม (กระบวนการกล่มุ ) โครงสร้างดังกล 4. ความสามารถในการแก้ปัญหา กระดาษ A3 ท่ีค (-) 3. ครูเดินตรว 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี ระหว่างรูปภาพข (สบื ค้นขอ้ มูลผ่านจากอนิ เทอรเ์ นต็ ) บัตรข้อความ พร A3 (วิเคราะห)์ ด้านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A) ความมงุ่ มนั่ ในการทำงาน
53 กิจกรรมการเรียนรู้ สอื่ /แหลง่ การ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เรียนรู้ าพแสดงรูปภาพทใ่ี ชใ้ นชดุ กจิ กรรม รับชุดอุปกรณ์แล้วครูให้นักเรียนนำ รคำที่ระบุชื่อกระดูกและข้อต่อของ นตามความคิดเห็นของกลุ่มโดย 1 มีชีวิตมากกว่า 1 ชนิดที่ใช้อวัยวะ/ ล่าวในการขับถ่าย แล้วติดลงบน ครแู จกให้ วจสอบความถูกต้องของการจับคู่ ของระบบโครงกระดูกและข้อต่อกบั ร้อมกับติดข้อมูลนั้นลงบนกระดาษ
วตั ถปุ ระสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ ขนั้ สร้างความร 1. ครูให้นักเรีย ข้อมูลแสดงรายล ข้อต่อที่ใช้ในก ห้องเรียนจากนั้น และลงความเห็น กลุ่มอื่น ถ้าหาก อนุญาตให้โต้แยง้ เปน็ ข้อมูลสนับสน 2. ครูนำนักเรีย พาวเวอร์พ้อย เ (สรปุ ) ข้นั ส่ือสาร 1. ครูให้นักเร กล่มุ ตัวเองท่หี น้า และข้อต่อ ขน้ั ตอบแทนสัง 1. ครูให้นักเรีย เพื่อนที่คิดว่าถูก ชิน้ งานดงั กลา่ วไป ใชใ้ นการทบทวน
54 กจิ กรรมการเรยี นรู้ สื่อ/แหล่งการ ประเมินผลการเรยี นรู้ เรียนรู้ รู้ ยนนำกระดาษ A3 ที่มีรูปภาพและ ละเอียดของระบบโครงกระดูกและ การเคลื่อนที่ มาติดบริเวณหน้า นครูเปิดโอกาสให้ร่วมกันอภิปราย นเกี่ยวกับผลงานตนเองและเพื่อน กมีประเด็นที่ต้องการจะโต้แย้งครู งได้ แตจ่ ะต้องมกี ารหาหลักฐานเพื่อ นนุ ในการโต้แยง้ นน้ั ยนสรุปความรู้ที่ถูกต้องโดยใช้ ส่ือ รื่อง ระบบโครงกระดูกและข้อต่อ รียนออกมานำเสนอข้อผลงานของ าชัน้ เรียนเกีย่ วกับระบบโครงกระดูก งคม ยนทุกคนร่วมกันติดสินชิ้นงานของ กต้องและครบถ้วนที่สุด จากนั้นนำ ปติดท่ีบริเวณผนังของห้องเรียนเพี่อ นความรู้
โรงเรยี นสรร กลุ่มสาระการเรยี นรูว้ ทิ ย แผนการจดั การเรยี นร ภาคการศึกษาตน้ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6/พ และ 6/1 สาระชวี วิทยา 4. เขา้ ใจการยอ่ ยอาหารของสตั ว์ และมนุษย์ การหายใจ และการแล ถ่าย การรบั รู้ และการตอบสนอง การเคลือ่ นที่ การสบื พันธ์ุ และกา ไปใช้ประโยชน์ ผลการเรยี นรู้ ม.6/10 สบื คน้ ขอ้ มูล และอธบิ ายโครงสร้างและหนา้ ท่ขี องกระดกู แ
55 รพยาวทิ ยา ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รู้ เรือ่ ง ระบบกล้ามเนือ้ รายวชิ า ชวี วิทยา5 ว30255 ผู้สอน นายเรวัตร อยู่เกิด ลกเปลี่ยนแก๊ส การลำเลยี งสาร และการหมนุ เวียนเลือด ภูมคิ มุ้ กันของรา่ งกาย การขัย ารเจรญิ เติบโต ฮอร์โมน การรกั ษาดลุ ยภาพ และพฤติกรรมของสตั ว์ รวมทั้งนำความรู้ และกลา้ มเนื้อทเี่ กย่ี วข้องกบั การเคล่อื นไหว และเคลอ่ื นท่ีของมนุษย์
วตั ถปุ ระสงค์การ สาระการเรยี นรู้ ก เรียนรู้ นักเรยี นสามารถ ดา้ นความร(ู้ K) ขัน้ ระบปุ ัญหา 1. บอกประเภท กล้ามเนือ้ แบ่งออกเป็น 3 ชนดิ คอื 1.ครนู ำเขา้ สบู่ ท ของกลา้ มเนอ้ื และ 1. กลา้ มเนื้อโครงร่าง ( skeletal muscle เคลือ่ นทขี่ องมนุษ การจัดเรยี งของ ) เป็นกล้ามเนื้อชนิดเดียวที่ยึดเกาะกับ หน่วยทำงานใน กระดูก ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะเป็น ระบบกล้ามเนื้อได้ ทรงกระบอกยาว เรียกวา่ เสน้ ใยกล้ามเนื้อ (K) ( muscle fiber ) ถ้าดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ 2. สร้างช้ินงานท่มี ี จะมองเห็น เป็นแถบลาย สีเข้ม สีอ่อน ภาพที่ 1 ภา ความเกย่ี วข้องกับ สลับกันเห็นเป็นลายตามขวาง แต่ละเซลล์มี ประเภทของ หลายนิวเคลียส การทำงานอยู่ภายใต้การ จากน้นั ครูใช้คำ กล้ามเน้อื และการ ควบคุมของจิตใจ ระบบประสาทโซมาติก 1.1 นัก จัดเรยี งของหน่วย (voluntary muscle) เช่น กล้ามเนื้อที่ แขน กระดูกและข้อตอ่ ทำงานในระบบ ขา หน้า ลำตวั เป็นต้น การเคลื่อนที่ (ระ กล้ามเนอื้ ได้ (P) กล้ามเนื้อโครงร่าง ประกอบด้วยเซลล์ที่มี 1.2 นักเรียน 3. ทำงานรว่ มกนั ลักษณะยาวเหมือนเส้นใย เรียกว่า เส้นใย กล้ามเนื้อแบ่งอ เปน็ กลมุ่ ได้ (A) กล้ามเนื้อ ( muscle fiber ) อยู่รวมกัน กล้ามเน้อื มีการจดั เป็น เซลล์แต่ละเซลล์ในเส้นใยกล้ามเนือ้ จะ ครูเปิดโอกา มีหลายนิวเคลียสในเส้นใยกล้ามเนื้อแต่ละ บทเรียนและใหน้ เส้นจะประกอบด้วยมัดของ เส้นใยฝอย ดังกล่าว เขียนลง หรือเส้นใยกล้ามเนื้อเล็ก ( myofibrils ) ที่มี ตนเอง (สงสัยแล ลักษณะเป็นท่อนยาวเรียงตัวตามแนวยาว
56 กจิ กรรมการเรยี นรู้ สื่อ/แหล่งการ ประเมินผลการเรยี นรู้ เรียนรู้ 1. กระดาษ 1. ประเมนิ การบอกบอก ทเรียนโดยการแสดงรูปภาพการ ขนาด A3 ประเภทของกล้ามเน้ือและ ษย์ (ส่ิงเรา้ ) การจัดเรยี งของหนว่ ย 2. รปู ภาพโครง ทำงานในระบบกล้ามเนือ้ กระดูกของมนุษย์ รวมถงึ การสรา้ งช้ินงานทม่ี ี ความเกี่ยวข้องกับประเภท 3. รูปภาพการ ของกลา้ มเนือ้ และการ าพแสดงการเคลอื่ นทข่ี องมนุษย์ จัดเรียงตัวของ จดั เรยี งของหนว่ ยทำงานใน ำถาม ดังน้ี (สงั เกต) ระบบกลา้ มเนื้อ ระบบกล้ามเนอื้ โดยใช้แบบ กเรยี นทราบหรือไม่ว่านอกจากระบบ ประเมินชนิ้ งาน อแลว้ มนษุ ยย์ งั อาศยั ระบบใดชว่ ยใน 4. บัตรคำระบุ ะบบกลา้ มเนือ้ ) ช่อื ประเภทของ 2. ประเมนิ ทักษะการ นทราบหรือไม่ว่ากล้ามเนื้อในระบบ กล้ามเนอื้ ทำงานกลุ่มโดยแบบ ออกเป็นกี่ประเภท และภายใน ประเมนิ ทักษะการทำงาน ดเรยี งตัวอย่างไร 5. วดี ทิ ศั น์ เรื่อง เปน็ กลุ่ม าสให้นักเรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับ Muscular นักเรยี นคาดคะเนคำตอบของคำถาม System, Sliding งในสมุดบันทึกประจำรายวิชาของ Filament ละสมมติฐาน) Theory
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ ภายในเส้นใยฝอยจะประกอบด้วยเส้นใย คำถามสำคัญ ก เลก็ ๆเรียกว่า ไมโอฟิลาเมนท์ ออกเป็นกป่ี ระเภ (myofilament) ข้นั แสวงหาสาร ไมโอฟิลาเมนต์ ประกอบด้วยโปรตนี 2 ชนิด 1. ครูแบ่งนัก คือ ไมโอซิน( myosin ) และแอกทนิ ( actin นักเรียนกลุ่มล ) ไมโอซินมีลักษณะเป็นเส้นใยหนาส่วนแอก อุปกรณใ์ นการทำ ทินเป็นเส้นใยที่บางกว่า การเรียงตัวของไม 1.1 กระดาษ โอซนิ และแอกทนิ อย่ใู นแนวขนานกัน ทำให้ 1.2 รปู ภาพโ เห็นกล้ามเนื้อเป็นลายขาวดำสลบั กนั 1.3 รปู ภาพก 2. กล้ามเนื้อเรียบ ( smooth muscle ) 1.4 บตั รคำร เ ป ็ น ก ล ้ า ม เ น ื ้ อ ท ี ่ ไ ม ่ ม ี ล า ย ต า ม 2. ครูให้นักเรีย ขวาง ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะแบน ของระบบกล้ามเน ยาว แหลมหัวแหลมท้าย ภายในเซลล์มี นิวเคลียสอันเดยี วตรงกลาง ทำงานอยู่นอก อำนาจจิตใจ ระบบประสาทอัตโนวัติ ( involuntary muscle ) เช่น กล้ามเนื้อของ อวัยวะภายในต่างๆ 3. กล้ามเนื้อหัวใจ ( cardiac muscle ) เป็นกล้ามเนื้อของหัวใจโดยเฉพาะรูปร่าง ภาพท่ี 2 ภาพแสดง เซลล์ จะมีลายตามขวางและมีนิวเคลียส หลายอันเหมือนกล้ามเนื้อโครงร่าง แต่แยก
57 กิจกรรมการเรียนรู้ สอ่ื /แหลง่ การ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เรียนรู้ กล้ามเนื้อในระบบกล้ามเนื้อแบ่ง ภทและมีการจัดเรียงตวั อยา่ งไร รสนเทศ กเรียนออกเป็น 3 กลุ่ม จำนวน ละ 3-4 คน จากนั้นครูให้มารับ ำกจิ กรรมประกอบไปดว้ ย ษขนาด A3 โครงกระดกู ของมนุษย์ การจดั เรยี งตวั ของระบบกล้ามเนื้อ ระบชุ ่ือประเภทของกลา้ มเนื้อ ยนพิจารณารูปภาพการจัดเรียงตัว น้ือ งการจดั เรยี งตัวของระบบกล้ามเน้ือ
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรียนรู้ เป็นแขนงและเชื่อมโยงติดต่อกันกับเซลล์ 3. ครูให้นักเร ข้างเคียงการทำงานอยู่นอกอำนาจจิตใจ System, Sliding เชน่ เดียวกับกลา้ มเนอ้ื เรยี บ ประเด็นในการชม ด้านทักษะกระบวนการ (P) 3.1 การจัดเ กล้ามเน้อื ประกอ 1. ความสามารถในการในการสื่อสาร 4. ครูให้นักเร (การพดู การเขยี น) ประเภททและ 2. ความสามารถในการคดิ กล้ามเนื้อในมนุษ (การวิเคราะห์) แล้วตดิ ลงบนกระ 3. ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ 5. จากนั้นครูใ (กระบวนการกลุ่ม) เกี่ยวกับกล้ามเ 4. ความสามารถในการแก้ปัญหา ประเด็นในการสบื (-) 5.1 ลักษณะ จำนวนนิวเคลยี ส 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 5.2 บริเวณ (สบื ค้นขอ้ มลู ผา่ นจากอินเทอร์เนต็ ) รา่ งกาย 5.3 การควบ ด้านคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ (A) ดงั กลา่ ว ความมุ่งมน่ั ในการทำงาน โดยบันทกึ ขอ้ มูล เตรียมให้
58 กจิ กรรมการเรียนรู้ สือ่ /แหล่งการ ประเมินผลการเรยี นรู้ เรียนรู้ รียนชมวีดิทัศน์ เรื่อง Muscular g Filament Theory โดย ก ำหนด มวีดทิ ศั น์ ดงั นี้ (วางแผน) เรียงตัวของหน่วยการทำงานใน อบไปดว้ ยอะไรบ้าง รียนนำรูปภาพกล้ามเนื้อแต่ละ ะบัตรคำที่ระบุชื่อประเภทของ ษย์มาจับคู่กันตามความคิดเห็นของ ะดาษ A3 ทค่ี รูแจกให้ ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มสืบค้นข้อมูล เนื้อแต่ละประเภท โดยกำหนด บค้น ดังนี้ (วางแผน) ะสำคัญของเซลล์กล้ามเนื้อ เช่น ส รปู รา่ งเซลล์ ที่พบกล้ามเนื้อชนิดดังกล่าวใน บ ค ุ ม ก า ร ท ำ ง า น ข อ ง ก ล ้ า ม เ น้ื อ ลท่ีสืบคน้ ได้ลงบนกระดาษ A3 ท่คี รู
วตั ถปุ ระสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรียนรู้ 6. ครูให้นัก เปรียบเทียบควา ประเภทลงบน (วิเคราะห)์ ขน้ั สรา้ งความร 1. ครูให้นักเรีย ข้อมลู แสดงรายล จัดเรียงของหน่ว บรเิ วณหน้าหอ้ งเ อภปิ รายและลงค เพื่อนกลุ่มอื่น ถ้า ครูอนุญาตให้โต้แ เพือ่ เป็นขอ้ มลู สน 2. ครูนำนักเรีย พาวเวอรพ์ ้อย เร ข้นั ส่อื สาร 1. ครูให้นักเร กลุ่มตัวเองที่หน โดยให้ 1 กลุ่มเ ประเภทโดยไม่ซ้ำ
59 กิจกรรมการเรยี นรู้ สอื่ /แหลง่ การ ประเมินผลการเรียนรู้ เรยี นรู้ เรียนแต่ละกลุ่มสร้างตาราง ามแตกต่างระหว่างกล้ามเนื้อแต่ละ นก ระดาษ A3 ที่ครูเตรีย ม ให้ รู้ ยนนำกระดาษ A3 ที่มีรูปภาพและ ละเอยี ดของระบบกลา้ มเนือ้ และการ วยทำงานในระบบกล้ามเนื้อ มาติด เรียนจากน้ันครูเปิดโอกาสให้ร่วมกัน ความเห็นเก่ยี วกบั ผลงานตนเองและ าหากมีประเด็นที่ต้องการจะโต้แย้ง แย้งได้ แต่จะต้องมีการหาหลักฐาน นับสนุนในการโต้แย้งนั้น ยนสรุปความรู้ที่ถูกต้องโดยใช้ ส่ือ รื่อง ระบบกล้ามเนื้อ (สรปุ ) รียนออกมานำเสนอข้อผลงานของ น้าชั้นเรียนเกี่ยวกับระบบกล้ามเนื้อ เลือกนำเสนอกล้ามเนื้อเพียง 1 ำกนั
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรียนรู้ ข้นั ตอบแทนสัง 1. ครูให้นักเรีย เพื่อนที่คิดว่าถูก ชิน้ งานดงั กล่าวไป ใชใ้ นการทบทวน
60 กจิ กรรมการเรียนรู้ ส่อื /แหลง่ การ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เรียนรู้ งคม ยนทุกคนร่วมกันติดสินชิ้นงานของ กต้องและครบถ้วนที่สุด จากนั้นนำ ปติดที่บริเวณผนังของห้องเรียนเพี่อ นความรู้
โรงเรยี นสรร กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ย แผนการจดั การเรียนรู้ เร่อื ง โครงสรา้ ง ภาคการศกึ ษาตน้ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6/พ และ 6/1 สาระชีววิทยา 4. เขา้ ใจการยอ่ ยอาหารของสตั ว์ และมนุษย์ การหายใจ และการแล ถา่ ย การรับรู้ และการตอบสนอง การเคลอ่ื นท่ี การสืบพันธุ์ และกา ไปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรยี นรู้ ม.6/10 สบื ค้นข้อมลู และอธิบายโครงสร้างและหน้าทขี่ องกระดูก แ ม.6/11 สังเกต และอธบิ ายการทำงานของข้อตอ่ ชนิดต่าง ๆ และก มนุษย์
61 รพยาวิทยา ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี งและการทำงานของกลา้ มเนอ้ื โครงรา่ ง รายวชิ า ชวี วิทยา5 ว30255 ผู้สอน นายเรวตั ร อยูเ่ กดิ ลกเปลี่ยนแกส๊ การลำเลยี งสาร และการหมนุ เวียนเลอื ด ภมู ิคุม้ กนั ของรา่ งกาย การขยั ารเจริญเตบิ โต ฮอร์โมน การรกั ษาดลุ ยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์ รวมท้ังนำความรู้ และกลา้ มเน้อื ที่เกีย่ วขอ้ งกับการเคลอ่ื นไหว และเคลื่อนท่ขี องมนุษย์ การทำงานของกลา้ มเน้ือโครงร่างที่เกยี่ วข้องกับการเคล่อื นไหว และการเคลื่อนท่ีของ
วัตถปุ ระสงค์การ สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ นกั เรียนสามารถ ด้านความรู้(K) ข้ันระบปุ ญั หา 1. บอก เส้นใยกล้ามเนื้อแต่ละเส้น คือ เซลล์ 1.ครูนำเข้าสู่บท องคป์ ระกอบภายใน กล้ามเนื้อหนึ่งเซลล์มีเยื่อหุ้มเซลล์เรียก จัดเรียงตวั ของหน โครงสรา้ งของ Sacrolemmaของเหลวที่อยู่ภายในเซลล์ กลา้ มเนื้อโครงรา่ ง เรียกว่า Sarcoplasm ซึ่งจะมี Myofibrils ได้ (K) (ประกอบด้วยหน่วยย่อยซึ่งเป็นโปรตีน 2. อธบิ าย เรียกว่า Myofilament) ลอยอยู่และมีไมโต กระบวนการทำงาน คอนเดรียแทรกอยู่และมีSacroplasmic ของกล้ามเนื้อโครง reticulumซึ่งเป็นท่อยาววิ่งขนานไปกับ รา่ งได้ (K) Myofibrils 3. สรา้ งชนิ้ งานท่มี ี Myofilament มี 2 ชนิด คอื thin filament ความเกยี่ วข้องกบั (ประกอบด้วยโปรตีน Actin) และ thick โครงสร้างและการ filament (ประกอบดว้ ยโปรตนี Myosin) ภาพท่ี 1 ภาพแสด ทำงานของ กล้ามเนอ้ื โครงรา่ ง บรเิ วณภายในซาร์โคเมียร์ (Sarcomere จากนั้นครใู ช้คำ ได้ (P) - บริเวณ Z line เป็นบริเวณที่แยกระหว่าง 1.1 จากภาพ 4. ทำงานร่วมกนั แตล่ ะ Sarcomere ออกจากกนั กล้ามเนือ้ ท้งั มัดห เปน็ กลุม่ ได้ (A) 1.2 นักเรียน - บริเวณ I band เปน็ บริเวณท่ีพบเฉพาะแอก นัน้ แบง่ ออกเป็นก ทนิ เป็นอย่างเดียว เห็นเป็นเส้นใยบาง
62 กิจกรรมการเรียนรู้ สือ่ /แหลง่ การ ประเมินผลการเรยี นรู้ เรียนรู้ 1. กระดาษ 1. ประเมนิ การบอก ทเรยี นโดยการแสดงรูปภาพการ ขนาด A องค์ประกอบภายใน น่วยการทำงานในกล้ามเนือ้ (ส่ิงเรา้ ) 2. รปู ภาพ โครงสรา้ งของกล้ามเนอื้ โครงสรา้ งภายใน โครงรา่ ง, การอธบิ าย ซาโครเมยี ร์ กระบวนการทำงานของ 3. รปู ภาพวฏั กลา้ มเนอื้ โครงรา่ ง และการ จกั รแสดง สรา้ งชนิ้ งานที่มีความ ความสัมพนั ธ์ เก่ยี วขอ้ งกับโครงสร้างและ ระหวา่ งแอกติน การทำงานของกลา้ มเนือ้ และไมโอซนิ เม่ือ โครงรา่ ง โดยใช้แบบ มีการหดตัวของ ประเมนิ ช้นิ งาน กล้ามเนอื้ ดงการจดั เรยี งตัวของหน่วยการทำงานใน 4. วีดทิ ัศน์ เร่อื ง 2. ประเมนิ ทกั ษะการ กล้ามเน้อื Muscle ทำงานกล่มุ โดยแบบ ำถาม ดังน้ี (สงั เกต) Contraction ประเมนิ ทักษะการทำงาน พโครงสรา้ งท่ีเกดิ การหดตวั แล้วทำให้ Part 3 The หดตวั คอื อะไร (ซาโครเมยี ร)์ Cross Bridge เป็นกลุ่ม นทราบหรือไม่ว่าภายในซาโครเมียร์ Cycle 5. วดี ทิ ศั น์ เร่อื ง กส่ี ่วน Muscular System, Sliding
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ - บริเวณ A band เป็นบริเวณของโปรตีนไม 1.3 นักเรียน โอซินทัง้ หมด ซึ่งมแี อกทนิ เหลอ่ื มอยู่ ตัวได้นั้นเกิดจาก - บริเวณ H Zone เป็นบริเวณที่พบเฉพาะ ซาโครเมยี รบ์ า้ ง โปรตนี ไมโอซนิ เทา่ นัน้ ครูเปิดโอกา - บริเวณ M Line เป็นบริเวณกึ่งกลาง บทเรียนและให้น Sarcomere ดังกล่าว เขียนลง การหดตัวของกล้ามเนื้อ I Band และ H ตนเอง (สงสัยแล Zone จะหดสั้นลง ส่วน A Band จะอยู่กับ คำถามสำคัญ ภ ที่ โครงร่างประกอบ หน้าที่อยา่ งไรเมอ่ื ขน้ั ตอนการหดตวั ของกลา้ มเน้อื ขนั้ แสวงหาสาร 1. Myosin head จับกับ ATP อยู่ในรูป 1. ครูแบ่งนัก Low energy จึง Hydrolyze ATP ให้เป็น นักเรียนกลุ่มล ADP และ Pi เพ่ือให้อยู่ในรปู high energy อปุ กรณ์ในการทำ 2. Myosin head จ ั บ ก ั บ Actin เ ป็ น 1.1 กระดาษ Crossbridge 1.2 รปู ภาพโ 1.3 รูปภาพว 3. ปลอ่ ย ADP และPi ทำให้ Myosin อยู่ แอกตินและไมโอ ในรูป Low energy ดงึ Thin filament เขา้ 1.4 บัตรคำร สสู่ ว่ นกลางของsarcomere เมียร์ 4. Myosin head หลดุ ออกจาก
63 กิจกรรมการเรียนรู้ สอ่ื /แหล่งการ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เรยี นรู้ นทราบหรือไม่ว่าการที่กล้ามเนื้อหด Filament กการทำงานของโครงสร้างใดภายใน Theory าสให้นักเรียนตั้งคำถามเกี่ยวกับ นกั เรยี นคาดคะเนคำตอบของคำถาม งในสมุดบันทึกประจำรายวิชาของ ละสมมติฐาน) ภายในหน่วยทำงานของกล้ามเนื้อ บไปด้วยอะไรบ้างและแต่ละส่วนทำ อมีการหดตัวของกล้ามเนอ้ื รสนเทศ กเรียนออกเป็น 3 กลุ่ม จำนวน ละ 3-4 คน จากนั้นครูให้มารับ ำกจิ กรรมประกอบไปด้วย ษขนาด A3 โครงสร้างภายในซาโครเมยี ร์ วัฏจักรแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง อซนิ เมอ่ื มีการหดตัวของกลา้ มเนอื้ ระบุชื่อบริเวณต่าง ๆ ภายในซาโคร
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ Crossbridge จบั กบั ATP ตัวใหม่ ดงั นน้ั เม่อื Myosin head hydrolyze ATP กจ็ ะกลับ เข้าสู่รปู high energy อกี คร้ัง เพื่อเรม่ิ ตน้ การทำงานใหม่อีก ด้านทกั ษะกระบวนการ (P) 1. ความสามารถในการในการสอ่ื สาร ภาพท่ี 2 ภาพ (การพูด การเขียน) 2. ความสามารถในการคดิ ภาพที่ 2 ภาพแสด (การวิเคราะห)์ ตินและไมโอ 3. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต (กระบวนการกลุ่ม) 2. ครูใหน้ ักเรยี 4. ความสามารถในการแก้ปัญหา System, Sliding (-) ประเด็นในการชม 5. ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี (สบื คน้ ขอ้ มลู ผา่ นจากอินเทอรเ์ นต็ ) ด้านคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ (A) ความม่งุ มัน่ ในการทำงาน
64 กิจกรรมการเรียนรู้ สือ่ /แหลง่ การ ประเมินผลการเรียนรู้ เรยี นรู้ พแสดงโครงสร้างภายในซาโครเมียร์ ดงวัฏจกั รแสดงความสัมพนั ธ์ระหว่างแอก อซิน เมอ่ื มีการหดตวั ของกลา้ มเน้ือ ยนชมวดี ิทัศน์ เรือ่ ง เรอื่ ง Muscular g Filament Theory โดย ก ำหนด มวดี ิทศั น์ ดงั นี้ (วางแผน)
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรยี นรู้ 3.1 ภายในซ อะไรบา้ ง จากนั้นให้นักเร ๆ ภายในซาโครเม 4. ครูให้นักเร แสดงความสมั พัน มีการหดตัวของก ว่าแต่ละขั้นต เปลย่ี นแปลงไปอ ลงในกระดาษA3 5. ครูให้นักเ Contraction Pa กำหนดประเดน็ ใน 5.1 เมื่อเกดิ ก ทนิ มีการเปลีย่ นแ 5.2 เมื่อเกิด โอซนิ มีการเปล่ยี น 6. ครูให้นักเรีย ที่เกิดจากการสัง การชทวีดิทัศน์ว
65 กจิ กรรมการเรยี นรู้ ส่อื /แหล่งการ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เรียนรู้ ซ า โ ค ร เ ม ี ย ร ์ แ บ ่ ง อ อ ก เ ป ็ น ก ี ่ ส่ ว น รียนติดบัตรคำที่ระบุชื่อบริเวณต่าง มียร์ใหถ้ ูกต้อง รียนสังเกตรูปภาพรูปภาพวัฏจักร นธ์ระหว่างแอกตินและไมโอซิน เมื่อ กล้ามเนื้อ จากนั้นร่วมกันคาดคะเน ตอนแอกทินและไมโอซิ นมีการ อย่างไรบ้าง บันทึกข้อความท่ีสรุปได้ 3 ที่ครเู ตรยี มให้ รียนชมวีดิทัศน์ เรื่อง Muscle art 3 The Cross Bridge Cycle โดย นการชมวดี ทิ ศั น์ ดงั นี้ (วางแผน) การหดตัวของกล้ามเน่ือบริเวณแอก แปลงไปอย่างไร ดการหดตัวของกล้ามเนื่อบริเวณไม นแปลงไปอย่างไร ยนแต่ละกลุ่มเปรียบเทยี บข้อความรู้ งเกตรูปภาพและข้อความรู้ที่ได้จาก ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรียนรู้ อย่างไรพร้อมทั้ง A3 ทค่ี รเู ตรียมให ขน้ั สร้างความร 1. ครูให้นักเรีย ข้อมูลแสดงราย ทำงานของกล้า ห้องเรียนจากนั้น และลงความเห็น กลุ่มอื่น ถ้าหาก อนญุ าตใหโ้ ต้แยง้ เป็นข้อมูลสนบั สน 2. ครูนำนักเรีย พาวเวอร์พ้อย เร กล้ามเน้อื โครงร่า ข้นั ส่ือสาร 1. ครูให้นักเร กลุม่ ตัวเองที่หนา้ ทำงานของกล้าม
66 กิจกรรมการเรยี นรู้ ส่อื /แหล่งการ ประเมนิ ผลการเรียนรู้ เรยี นรู้ งบันทึกข้อมูลเพิ่มเติมลงในกระดาษ ห้ (วเิ คราะห)์ รู้ ยนนำกระดาษ A3 ที่มีรูปภาพและ ยละเอียดของโครงสร้างและการ ามเนื้อโครงร่างมาติดบริเวณหน้า นครูเปิดโอกาสให้ร่วมกันอภิปราย นเกี่ยวกับผลงานตนเองและเพื่อน กมีประเด็นที่ต้องการจะโต้แย้งครู งได้ แตจ่ ะตอ้ งมกี ารหาหลักฐานเพื่อ นนุ ในการโตแ้ ยง้ นนั้ ยนสรุปความรู้ที่ถูกต้องโดยใช้ ส่ือ รื่อง โครงสร้างและการทำงานของ าง(สรปุ ) รียนออกมานำเสนอข้อผลงานของ าชั้นเรียนเกยี่ วกบั โครงสร้างและการ มเนื้อโครงร่าง
วตั ถุประสงคก์ าร สาระการเรยี นรู้ ก เรียนรู้ ขัน้ ตอบแทนสัง 1. ครูให้นักเรีย เพื่อนที่คิดว่าถูก ชิน้ งานดงั กล่าวไป ใชใ้ นการทบทวน
67 กจิ กรรมการเรียนรู้ สอ่ื /แหล่งการ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ เรียนรู้ งคม ยนทุกคนร่วมกันติดสินชิ้นงานของ กต้องและครบถ้วนที่สุด จากนั้นนำ ปติดที่บริเวณผนังของห้องเรียนเพี่อ นความรู้
โรงเรยี นสรร กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทย แผนการจดั การเรียนรู้ เร่ือง ระบบส ภาคการศกึ ษาตน้ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6/พ และ 6/1 สาระชีววิทยา 4. เขา้ ใจการยอ่ ยอาหารของสตั ว์ และมนษุ ย์ การหายใจ และการแล ถา่ ย การรับรู้ และการตอบสนอง การเคลื่อนที่ การสืบพันธุ์ และกา ไปใชป้ ระโยชน์ ผลการเรยี นรู้ ม.6/12 สืบค้นข้อมลู อธบิ าย และยกตัวอยา่ งการสบื พนั ธุ์แบบไม่อา
68 รพยาวทิ ยา ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สบื พันธุข์ องสตั ว์และมนุษยเ์ พศชาย รายวชิ า ชีววิทยา5 ว30255 ผสู้ อน นายเรวตั ร อยูเ่ กิด ลกเปลยี่ นแกส๊ การลำเลยี งสาร และการหมุนเวียนเลอื ด ภมู ิค้มุ กันของรา่ งกาย การขัย ารเจริญเตบิ โต ฮอรโ์ มน การรกั ษาดลุ ยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์ รวมท้ังนำความรู้ าศัยเพศและการสบื พันธุแ์ บบอาศยั เพศในสัตว์
วัตถุประสงค์การ เนื้อหาสาระ กิจ เรียนรู้ นักเรยี นสามารถ ระบบสืบพันธุ์ เป็นระบบที่ทำหน้าที่ใน ข้นั นำ (10 นา 1. แบง่ ประเภทของ การดำรงเผ่าพันธุ์ของสัตว์เอาไว้ โดย 1. เปิดวีดิทัศน ระบบสบื พันธุ์ได้ หน้าที่ของระบบสืบพันธุ์ ได้แก่ การสร้าง จำนวน ให้นกั เรีย 2. ระบตุ ัวอย่างของ เซลล์สืบพันธุ์ การปฏิสนธิ และการเจริญ 1.1 หลังจาก การสืบพนั ธุ์แบบไม่ ของตัวออ่ น ดังกล่าวแล้ว ทิ้งไ อาศัยเพศได้ การสืบพันธุ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท อย่างไร (สิ่งมีชีว 3. ระบุกระบวนการ คือ การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและการ ตามชน้ิ ท่ถี ูกตดั ) ในการสรา้ งเซลล์ สืบพันธุ์แบบไมอ่ าศัยเพศ 1.2 เหตุใดส สืบพนั ธเุ์ พศชายได้ การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เป็นการ จำนวนได้ (มีการ 4. ระบอุ วยั วะท่ี สืบพันธุ์ที่ไม่ต้องมีการรวมกันของเซลล์ 1.3 นักเรีย เกย่ี วข้องกับระบบ สบื พันธุ์ สิ่งมีชีวิตดังก สืบพันธ์ุเพศชายได้ 1. การแบ่งออกเป็น 2 สว่ น (ระบบสืบพันธ์)ุ 5. บอกโครงสรา้ งของ (Binary fission) เป็นการแบ่งนิวเคลยี ส 1.4 นักเรียน เซลลอ์ สจุ ทิ ี่พฒั นาอยา่ ง ของสิ่งมีชีวิตก่อนแล้วจึงเกิดการแบ่ง ความสำคัญต่อส เต็มท่แี ลว้ ได้ ไซโทพลาสซึมตามมา มักพบในสิ่งมีชีวิต หรือไม่ว่าระบบส เซลลเ์ ดียว สิ่งมชี ีวิตแตล่ ะชน สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิดก็มีการ สืบพันธแ์ุ ตกต่างก สืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เช่น พารามีเซียม มีที่มีการเข้าคู่กันระหว่างพารามีเซียม 2 ตวั แล้วแลกเปลยี่ นนิวเคลยี สกัน 2. การงอกใหม่ (Regeneration) เกดิ ขึ้นจากสว่ นของรา่ งกายท่ีหลุดออกไป
69 จกรรมการเรยี นรู้ สอ่ื และอปุ กรณ์การ การวดั และการประเมินผล เรียนรู้ การวดั การประเมนิ าท)ี 1. งานนำเสนอ 1. การมี 1. การ น์ เรื่อง สัตว์สยองยิ่งฆ่ายิ่งเพิ่ม เรื่อง ระบบสบื พนั ธุ์ ส่วนรว่ ม ประเมินการ ยนชม จากนัน้ ใช้คำถาม ดังน้ี ของสตั ว์และมนษุ ย์ และตอบ ตอบคำถาม กที่ใช้มีดตัดไปที่ตัวสิ่งมีชีวิต เพศชาย คำถามใน ในชัน้ เรยี น ไว้ระยะหนึ่งเกดิ การปลี่ยนแปลง 2. ใบงาน เรื่อง ชนั้ เรยี น 2. การ วิตดังกล่าวมีการเพิ่มจำนวนข้ึน ระบบสืบพนั ธ์ขุ อง 2. การ ประเมนิ การ สตั วแ์ ละมนษุ ย์เพศ ตอบคำถาม ตอบคำถาม สิ่งมีชีวิตดังกล่าวจึงสามารถเพิ่ม ชาย ลงในใบงาน ลงในใบงาน รแบ่งเซลล)์ 3. วีดทิ ศั น์ เร่ือง เรือ่ ง ระบบ เรื่อง ระบบ นคิดว่าการเพิ่มจำนวนของ สตั ว์สยองย่งิ ฆา่ ย่งิ สืบพนั ธุข์ อง สบื พนั ธข์ุ อง กล่าวเกี่ยวข้องกับระบบใด เพิม่ จำนวน สตั วแ์ ละ สตั วแ์ ละ มนษุ ย์เพศ มนุษย์เพศ นทราบหรือไม่ว่าระบบสืบพันธุ์มี ชาย ชาย ถูกตอ้ ง สิ่งมีชีวิตอย่างไร นักเรียนทราบ อยา่ งนอ้ ย สืบพันธุ์แบ่งออกเป็นกี่ประเภท รอ้ ยละ 80 นดิ บนโลกมีการทำงานของระบบ กนั หรอื ไม่
วตั ถุประสงคก์ าร เนือ้ หาสาระ กจิ เรยี นรู้ หรือสูญเสยี ไปไม่ว่าด้วยเหตุใดกต็ าม แล้ว ขัน้ สอน (80 น สามารถเจริญเป็นตัวใหม่ได้ พบใน 1. ครูทบทวนค สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ เช่น ดาวทะเล พลา โดยใชค้ ำถาม ดงั นาเรีย 1.1 นักเรียน 3. การขาดออกเป็นท่อน ออกเปน็ กี่ประเภ (Fragmentation) เป็นการหักหรือขาด การสบื พนั ธุ์แบบไ ออกเป็นท่อน ๆ โดยแต่ละท่อนจะเจริญ 1.2 การสืบพ เปน็ ตวั ใหม่ที่สมบรู ณ์ อยา่ งไร (นักเรยี น 4. การแตกหน่อ (Budding) เป็น 1.3 นักเรียน การสร้างเนื้อเย่ือหรือกลุ่มเซลล์ใหม่เจรญิ ไม่อาศัยเพศมีอะ ออกมาข้าง ๆ ร่างกายเดิม เรียกว่าหน่อ อาศัยเพศแตล่ ะช จนกระทั่งหน่อจะเจริญเป็นสิ่งมีชีวิตชนดิ 2. ครูแสดงภาพ เดิมแต่มีขนาดเล็กกว่าและหลุดออกมา พารามเี ซยี ม เชน่ ไฮดรา การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เป็นการ ภาพที่ 1 ภาพแ สืบพันธุ์ที่ต้องอาศัยเซลล์สืบพันธุ์ แต่ไม่ จำเป็นต้องมีการปฏสิ นธกิ ไ็ ด้ จากนั้นครูใช้คำ พารท์ โี นเจเนซิส (Parthenogenesis) 2.1 จากภาพ คือ การที่ไข่ของสิ่งมีชีวิตพวกแมลง
70 จกรรมการเรียนรู้ ส่ือและอุปกรณก์ าร การวดั และการประเมินผล เรียนรู้ การวัด การประเมนิ นาท)ี ความรู้เดิมเกี่ยวกับระบบสืบพันธ์ุ งนี้ นทราบหรือไม่ว่าการสืบพันธุ์แบง่ ภท อะไรบ้าง (2 ประเภท ได้แก่ ไม่อาศยั เพศ และอาศยั เพศ) พันธุ์แต่ละประเภทแตกต่างกัน นอาจจะยังตอบไม่ได้) นทราบหรือไม่วา่ การสืบพันธ์แุ บบ ะไรบ้าง และการสืบพันธุ์แบบไม่ ชนิดพบในสง่ิ มชี ีวติ ใดบ้าง พการแบ่งออกเปน็ 2 ส่วน ของ แสดงการแบง่ ออกเปน็ 2 สว่ นของ พารามีเซียม ำถาม ดังน้ี พสิ่งมีชวี ติ ดังกลา่ วคืออะไร
วตั ถุประสงคก์ าร เนื้อหาสาระ กจิ เรยี นรู้ สามารถฟักออกมาเป็นตัวอ่นได้โดยไม่ (พารามเี ซียม) ตอ้ งอาศัยการปฏิสนธิ 2.2 จากภาพ การสบื พนั ธขุ์ องมนุษย์ ลูกศรพารามีเซีย ระบบสืบพันธเ์ุ พศชาย (มกี ารแบ่งออกเป 2.3 นักเรียน (Male reproductive system) นี้คืออะไร สามาร การสรา้ งเซลล์สบื พันธ์ุ – ภายในอณั ฑะ ครูให้ความรู้เก ป ร ะ ก อ บ ไ ป ด้ ว ยห ลอ ดส ร ้ างอ สุจิ โดยใช้งานนำเสน (Seminiferous tubule) ทม่ี ีลกั ษณะเป็น และเพศชาย ท่อยาวขดไปมา โดยภายในท่อดังกล่าว 3. ครูแสดงภ บริเวณชิดผนังท่อจะมีกลุ่มเซลล์ที่ชื่อว่า สิ่งมีชวี ิต สเปอรม์ าโทโกเนยี ม(Spermatogonium) เมื่อเข้าสู่วยั หนุม่ เสปอร์มาโทโกเนียมจะมี การแบง่ เซลล์แบบไมโทซิสให้ได้เสปอร์มา โทโกเนียมจำนวนมาก โดยจะมีเสปอร์มา โทโกเนยี มบางเซลล์พัฒนาให้มีขนาดใหญ่ กลายเป็นสเปอร์มาโทไซต์ระยะแรก ภาพที่ 2 ภาพแส (Primary Spermatocyte) จากนั้นเส ปอร์มาโทไซต์ระยะแรกจะเข้าสู่การแบ่ง จากนน้ั ครใู ชค้ ำถ เซลล์แบบไมโอซิส เมื่อผ่านการแบ่งเซลล์ 3.1 จากภาพ แบบไมโอซิสคร้ังที่ 1 จะไดเ้ ซลล์ 2 เซลล์ ,ไฮดรา,ดาวทะเล เรียกว่า สเปอร์มาโทไซต์ระยะที่ 2
71 จกรรมการเรียนรู้ ส่อื และอปุ กรณก์ าร การวดั และการประเมินผล เรยี นรู้ การวดั การประเมนิ พถา้ หากพิจารณาตามทิศทางของ ยมมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ป็นพารามเี ซยี ม 2 ตวั ) นทราบหรือไม่วา่ การสืบพันธ์แุ บบ รถพบไดใ้ นสิง่ มชี วี ติ ชนดิ ใด กี่ยวกับ การแบ่งออกเป็น 2 ส่วน นอ เรื่อง ระบบสืบพันธุ์ของสัตว์ าพการเกิดการงอกใหม่ของ สดงการเกิดการงอกใหมข่ องสงิ่ มีชวี ติ ถาม ดังนี้ พมสี งิ่ มชี วี ติ อะไรบา้ ง (พลานาเรีย ล)
วตั ถุประสงคก์ าร เนื้อหาสาระ กจิ เรยี นรู้ ( Secondary Spermatocyte) จ า ก 3.2 จากภาพ นน้ั สเปอรม์ าโทไซตร์ ะยะที่ 2 จะผ่านการ ลูกศรสิ่งมีชีวิตเ แบ่งเซลล์แบบไมโอซิส 2 เกิดเซลล์ อย่างไร (มกี ารแบ ทั้งหมด 4 เซลล์ เรียกว่า สเปอร์มาทิด 3.3 นักเรียน (Spermatid) สเปอร์มาทิดจะมีการ เพศแบบนี้ต่าง เปลี่ยนแปลงไปเ ป็นอสุจิโดย ส ลัด อย่างไร ไซโทพลาสซึมทิ้งไปและส่วนหัวขะเป็นท่ี ครูให้ความรู้เก อยู่ของนิวเคลียส โดยส่วนปลายสุดของ นำเสนอ เร่ือง ระ หัวจะเป็นถุงอะโครโซม(Acrosomal 4. ครแู สดงภาพ cap) ซง่ึ ภายในบรรจเุ อนไซม์สำหรับเจาะ พลานาเรีย เยื่อหุ้มเซลล์ไข่ ส่วนตัวมีออร์แกเนลล์ท่ี สำคัญคือไมโทคอนเดรีย และส่วนหาง แฟลกเจลลัม ทางเดินอสุจิ อสุจิที่สร้างจากหลอดสร้างอสุจิจะ ภาพที่ 3 ภาพ เคลอ่ื นทมี่ ายังหลอดเก็บอสุจิ (Epididymis) และพัฒนาต่ออย่างเต็มที่ จากนนั้ ครใู ชค้ ำ จากนั้นเคลื่อนที่ไปยังหลอดนำอสุจิ 4.1 จากภาพ (Vas deferens) ซึ่งมีปลายเปิดมาสู่ท่อ 4.2 จากภาพ ปัสสาวะ(Urethra) ระหว่างทางเดินอสุจิ ลูกศรพลานาเรีย จะมีต่อมสร้างสารต่าง ๆ มากมาย ได้แก่ (แต่ละสว่ นจะเกดิ ตอ่ มสรา้ งนำ้ เล้ยี งอสจุ ิ
72 จกรรมการเรยี นรู้ สอ่ื และอุปกรณ์การ การวดั และการประเมินผล เรียนรู้ การวดั การประเมนิ พถา้ หากพิจารณาตามทศิ ทางของ เหล่านั้นมีการเปลี่ยนแปลงไป บง่ ออกเปน็ พารามเี ซยี ม 2 ตัว) นคิดว่าการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัย จากการแบ่งออกเป็น 2 ส่วน กี่ยวกับการงอกใหม่ โดยใช้งาน ะบบสบื พันธุข์ องสัตว์และเพศชาย พการออกเปน็ ทอ่ นของ พแสดงภาพการออกเปน็ ท่อนของ พลานาเรีย ำถาม ดังนี้ พคอื สิง่ มีชีวติ ชนดิ ใด (พลานาเรีย) พถ้าหากพจิ ารณาตามทิศทางของ ยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ดเป็นสง่ิ มชี ีวติ ตัวใหม่)
วตั ถุประสงคก์ าร เนื้อหาสาระ กจิ เรยี นรู้ ( Seminal vesicle) ท ำ ห น ้ า ท ี ่ ห ลั่ ง 4.3 นักเรียน ของเหลวที่มีสีเหลืองอ่อนประกอบด้วย เพศแบบน้ตี า่ งจา เมอื ก กรดอะมโิ น นำ้ ตาลฟรักโทส ซึง่ เป็น ครูให้ความรู้เก แหล่งพลังงานของอสุจิ ต่อมลูกหมาก นำเสนอ เรื่อง ระ (Prostate gland) หลั่งของเหลวที่มี 5. ครแู สดงภาพ คุณสมบัติเป็นเบส เพื่อที่จะทำให้ช่อง คลอดของเพศหญิงที่มีสภาพเป็นกรด เปลี่ยนเป็นสภาพเป็นกลาง อสุจิจะได้มี ชวี ิตอยู่รอด ตอ่ มคาวเปอร์ ( Cowper’s gland) ท ำ ห น ้ า ท ี ่ ห ล่ั ง ของเหลวเพือ่ หลอ่ ล่นื ทอ่ ปสั สาวะ โดยเมอื่ ภาพท่ี 4 ภาพ ของเหลวเหล่านี้มารวมกับอสุจิ จะ เรยี กวา่ น้ำอสุจิ(Semens) จากนั้นครใู ชค้ ำ 5.1 จากภาพ 5.2 จากภาพ ลูกศรไฮดรามีก (เกดิ สงิ่ มีชวี ติ ตัวใ 5.3 นักเรียน เพศแบบนี้เรยี กว ครูให้ความรู้เก นำเสนอ เรอ่ื ง ระ 6. ครใู ช้คำถาม
73 จกรรมการเรียนรู้ สื่อและอปุ กรณ์การ การวดั และการประเมินผล เรยี นรู้ การวัด การประเมิน นคิดว่าการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัย ากการงอกใหม่อย่างไรอยา่ งไร กี่ยวกับการแตกหน่อ โดยใช้งาน ะบบสบื พนั ธุ์ของสัตวแ์ ละเพศชาย พการแตกหน่อของไฮดรา พแสดงการแตกหนอ่ ของไฮดรา ำถาม ดังน้ี พคอื สิง่ มชี วี ติ ชนิดใด (ไฮดรา) พถ้าหากพจิ ารณาตามทศิ ทางของ การเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ใหมข่ ึน้ ) นคิดว่าการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัย ว่าอะไร กี่ยวกับการแตกหน่อ โดยใช้งาน ะบบสบื พนั ธขุ์ องสตั ว์และเพศชาย ม ดงั นี้
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299