ชุดฝกึ อบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสร้างและพัฒนาเคร่อื งมือวดั และประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ กิจกรรมที่ ๒ : การสร้างและพัฒนาเครอ่ื งมอื วัดและประเมนิ ผลการเรียนร ู้ จดุ ประสงค ์ เพอ่ื ใหผ้ เู้ ข้ารบั การฝกึ อบรมมคี วามรู้ และสามารถสร้างเครอ่ื งมอื วดั และประเมนิ ผลในระดับ ชัน้ เรียนท่สี ะท้อนความรู้ ทกั ษะ และคณุ ลกั ษณะที่กำหนดในตัวชว้ี ัด วธิ ีดำเนนิ กิจกรรม ๑. ฟงั การบรรยายเรือ่ ง การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรรู้ ะดับช้นั เรียน ๒. แบ่งกลมุ่ ตามกลุ่มสาระการเรยี นรู้ กลมุ่ ละประมาณ ๘ คน หรอื ตามความเหมาะสม ๓. นำผลงานการกำหนดหลักฐานการเรียนรู้จากแบบบันทึกกิจกรรมท่ี ๑.๒ มาสร้าง เคร่ืองมอื วัดและประเมินผล และบันทึกลงในใบกิจกรรมท่ี ๒ โดยศึกษาใบความรตู้ ่าง ๆ ดังน้ ี - ใบความรูท้ ี่ ๒.๑ วธิ ีการและเครอ่ื งมอื วัดและประเมินผลการเรยี นรู้ - ใบความรทู้ ี่ ๒.๒ แนวคดิ การจดั ระดบั พฤติกรรมด้านความรู้ ความคิด - ใบความรู้ที่ ๒.๓ เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics) - ใบความรทู้ ่ี ๒.๔ วธิ กี ารหาคุณภาพเคร่อื งมือ - เอกสารประกอบการปฏิบัติกิจกรรมท่ี ๒ การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือวัดและ ประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ๔. นำเสนอผลงานกลมุ่ และแลกเปลย่ี นเรยี นร้ ู ๕. วทิ ยากรและผู้เข้ารับการอบรมสรปุ ความรจู้ ากการปฏิบัตกิ ิจกรรม สอื่ /อปุ กรณ ์ ๑. Power Point ๒. ใบความรทู้ ่ี ๒.๑ วิธีการและเครื่องมอื วัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๓. ใบความร้ทู ่ี ๒.๒ แนวคิดการจดั ระดบั พฤตกิ รรมด้านความรู้ ความคิด ๔. ใบความรทู้ ี่ ๒.๓ เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics) ๕. วธิ กี ารหาคุณภาพเครอื่ งมือ ๖. แบบบนั ทกึ กิจกรรมที่ ๒ การสรา้ งเคร่อื งมอื วดั และประเมนิ ผลระหว่างเรียน และชิน้ งาน/ ภาระงานรวบยอด เวลาที่ใช้ในการปฏิบัตกิ จิ กรรม ๔ ชั่วโมง สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน 95
ชุดฝกึ อบรมการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพัฒนาเคร่ืองมือวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ ใบกจิ กรรมที่ ๒ การสร้างและพัฒนาเครือ่ งมือวดั และประเมนิ ผลการเรียนร ู้ คำช้ีแจง การสร้างเครื่องมือประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ในการวัดและประเมินผลระหว่างเรียน และการประเมินช้ินงาน/ภาระงานรวบยอด ให้ความสำคัญกับการร่วมกันวิพากษ์วิจารณ์เคร่ืองมือ ประเมินท่ีร่วมกันสร้างข้นึ ๑. นำผลงานการกำหนดหลักฐานการเรียนรู้จากแบบบันทึกกิจกรรมที่ ๑.๒ มาสร้าง เครื่องมือวัดและประเมินผล โดยมีท้ังเคร่ืองมือวัดและประเมินผลระหว่างเรียน และเครื่องมือวัด และประเมินผลชนิ้ งาน/ภาระงานรวบยอด ไม่น้อยกว่า ๓ ชนดิ (โดยเปน็ เครื่องมอื ประเมนิ ประเภท ทีต่ ้องใช้ Rubric ๑ ชน้ิ ) แล้วบนั ทึกลงในแบบบันทึกกิจกรรมที่ ๒ ๒. ศึกษาแนวการสร้างเคร่อื งมอื จาก ๒.๑ ใบความรทู้ ่ี ๒.๑ วธิ ีการและเครือ่ งมือวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๒.๒ ใบความรทู้ ่ี ๒.๒ แนวคดิ การจัดระดับพฤตกิ รรมดา้ นความรู้ ความคดิ ๒.๓ ใบความรู้ที่ ๒.๓ เกณฑ์การประเมิน (Rubrics) ๒.๔ ใบความรทู้ ่ี ๒.๔ วิธีการหาคุณภาพเครอื่ งมือ ๒.๕ เอกสารประกอบการปฏิบัติกิจกรรมท่ี ๒ การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือวัดและ ประเมนิ ผลการเรียนรู้ โดยศกึ ษาและทำความเขา้ ใจการประเมินผ้เู รยี นในแต่ละกิจกรรมการเรยี นรู้ ๓. นำเสนอผลการปฏบิ ตั ติ ามใบกิจกรรมที่ ๒ ๔. เลอื กตัวแทนนำเสนอผลงานกลุ่ม ๕. วทิ ยากรและผู้เข้ารับการอบรมรว่ มกนั สรปุ ผลการปฏิบัตกิ จิ กรรมท่ี ๒ 96 สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน
ชุดฝึกอบรมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครื่องมือวดั และประเมินผลการเรยี นร ู้ ใบความรูท้ ่ี ๒.๑ วิธกี ารและเครอ่ื งมือวัดและประเมินผลการเรียนรู ้ วธิ กี ารและเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนร้ ู วิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ หมายถึง รูปแบบ ยุทธวิธีและเคร่ืองมือ ประเภทต่าง ๆ ท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ โดยท่ัวไปมีจุดมุ่งหมาย ๓ ประการ คอื เพ่ือร้จู กั ผู้เรียน เพอ่ื ประเมินวธิ เี รียนของผ้เู รียน และเพอ่ื ประเมนิ พฒั นาการของผู้เรยี น ผู้สอนสามารถเลือกใช้หรือคิดค้นวิธีการวัดและประเมินผลให้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายของการนำผล การประเมนิ ไปใช้ เพ่ือตอบสนองความต้องการ ๓ ประการดงั กลา่ วขา้ งต้น วิธีการวัดและประเมินผล อาจแบ่งออกตามรูปแบบหรอื ลักษณะการวัดและประเมนิ ได้เปน็ ๒ แบบใหญ่ ๆ ดงั นี้ ๑. วิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผลแบบเป็นทางการ (Formal Assessment) เป็นการได้มาซ่ึงข้อมูลผลการเรียนรู้ที่นิยมใช้กันมาแต่ด้ังเดิม เช่น วัดและประเมินโดยการจัดสอบ และใชแ้ บบทดสอบ (test) ทคี่ รสู รา้ งขึ้น การเกบ็ ขอ้ มลู ดังกลา่ วสว่ นใหญ่ใช้การวดั และประเมินทไี่ ด้ผล เป็นคะแนน และนำผลการประเมินไปใช้ในการเปรียบเทียบ เช่น เปรียบเทียบระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียนเพ่ือดูพัฒนาการ หรือใช้เพ่ือประเมินผลสัมฤทธิ์เม่ือสิ้นสุดการสอนในแต่ละหน่วย หรือรายวิชา วิธีการและเคร่ืองมือวัดและประเมินผลแบบเป็นทางการเหมาะสำหรับการประเมิน เพื่อตัดสินมากกว่าท่ีจะใช้เพ่ือประเมินพัฒนาการผู้เรียน หรือเพ่ือหาจุดบกพร่องสำหรับนำไป ปรับปรุงการจัดการเรียนการสอน อย่างไรก็ตามวิธีการและเครื่องมือท่ีใช้เก็บรวบรวมข้อมูลผล การเรียนรู้แบบเป็นทางการ ซึ่งให้ข้อมูลสารสนเทศในเชิงปริมาณ มีข้อสังเกตที่ผู้สอนต้องระมัดระวัง ในการนำไปใช้เพ่ือให้ได้ผลการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ เป็นตัวแทนของระดับความสามารถที่แท้จริงของ ผู้เรียน ต้องได้มาจากวิธีการวัดท่ีถูกต้องเหมาะสมกับลักษณะข้อมูล เครื่องมือวัดและประเมิน มีความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง สามารถวัดได้ตรงตามส่ิงท่ีต้องการวัด และมีความเช่ือมั่น (Reliability) หมายถึง ผลการวัดมีความคงเส้นคงวาเม่ือมีการวัดซ้ำ โดยใช้เครื่องมือคู่ขนาน เมื่อวัดในระยะเวลาใกล้เคียงกัน และวิธีการวัดมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบและเชื่อถือได้ (Acceptable) สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน 97
ชุดฝกึ อบรมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพัฒนาเครื่องมือวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ ๒. วธิ ีการและเคร่อื งมือวดั และประเมินผลแบบไม่เปน็ ทางการ (Informal Assessment) เป็นการได้มาซ่ึงข้อมูลผลการเรียนรู้ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นรายบุคคล จากแหล่งข้อมูลหลากหลายที่ผู้สอน เก็บรวบรวมตลอดเวลา วิเคราะห์ข้อมูล ศึกษาความพร้อมและพัฒนาการของผู้เรียน ปรับการเรียน การสอนให้เหมาะสม และแก้ไขปัญหาการเรียนรู้ของผู้เรียน ลักษณะของข้อมูลที่ได้ นอกเหนือจาก ตัวเลขหรือข้อมูลเชิงปริมาณแล้ว อาจเป็นข้อมูลบรรยายลักษณะพฤติกรรมท่ีผู้สอนเฝ้าสังเกต หรือ ผลการเรยี นรู้ในลักษณะคำอธบิ ายระดับพัฒนาการ จดุ แข็ง จุดอ่อน หรอื ปญั หาของผูเ้ รยี น ทพี่ บจาก การสงั เกต สัมภาษณ์ หรอื วิธีการอ่ืน ๆ วิธีการประเมนิ แบบตา่ ง ๆ ท่ผี ้สู อนสามารถเลือกใช้ในการประเมินในชั้นเรียนมดี ังตอ่ ไปน ี้ ๑. การสังเกตพฤติกรรม เป็นการเก็บข้อมูลจากการสังเกตการปฏิบัติกิจกรรมของผู้เรียน โดยไม่ขัดจังหวะการทำงานหรือการคิดของผู้เรียน การสังเกตพฤติกรรมเป็นส่ิงที่ทำได้ตลอดเวลา แต่ควรมีกระบวนการและมีจุดประสงค์ท่ีชัดเจนว่าต้องการประเมินอะไร โดยอาจใช้เครื่องมือ เช่น แบบประเมินค่า แบบตรวจสอบรายการ สมุดจดบันทึกเพ่ือประเมินผู้เรียนตามตัวชี้วัด และ ควรสังเกตหลายครั้งเพอ่ื ขจัดความลำเอียง ๒. การสอบปากเปล่า เป็นการให้ผู้เรียนได้แสดงออกด้วยการพูด ตอบประเด็นเก่ียวกับ การเรียนรู้ตามมาตรฐาน แล้วผู้สอนเก็บข้อมูลโดยจดบันทึก การประเมินรูปแบบนี้ผู้สอนและผู้เรียน มีปฏิสัมพันธ์กนั สามารถมกี ารอภิปราย โต้แย้ง ขยายความ ปรบั แกไ้ ขความคดิ กนั ได้ มีข้อท่ีพงึ ระวัง คือ อย่าเพิง่ ขดั ความคิดขณะที่ผเู้ รียนกำลงั พูด ๓. การพูดคุย เป็นการสื่อสาร ๒ ทางอีกประเภทหนึ่งระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน สามารถ ดำเนินการเป็นกลุ่มหรือรายบุคคลก็ได้ โดยทั่วไปมักใช้เพ่ือติดตามตรวจสอบว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เพียงใด เป็นข้อมูลสำหรับพัฒนา วิธีการนี้อาจใช้เวลาแต่มีประโยชน์ต่อการค้นหา วินิจฉัยข้อปัญหา ตลอดจนเรอื่ งอน่ื ๆ ท่ีอาจเปน็ ปญั หา อุปสรรคต่อการเรยี นรู้ เชน่ วิธีการเรยี นรทู้ แ่ี ตกต่างกนั เปน็ ตน้ ๔. การใช้คำถาม การใช้คำถามเป็นเร่ืองปกติมากในการจัดการเรียนรู้ แต่ข้อมูลงานวิจัย บ่งช้ีว่าคำถามที่ครูใช้ส่วนใหญ่เป็นด้านความจำ และเป็นเชิงการจัดการท่ัว ๆ ไป เพราะถามง่าย แต่ไมท่ ้าทายใหผ้ เู้ รียนตอ้ งทำความเขา้ ใจและเรียนรู้ให้ลึกซ้ึง การพฒั นาการใช้คำถามให้มีประสทิ ธิภาพ แม้จะเป็นเร่ืองท่ียากแต่สามารถทำให้ได้ผลรวดเร็วข้ึน หากผู้สอนมีการเปล่ียนแปลงวิธีการถาม เพ่ือให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิดอย่างสม่ำเสมอ (Clarke, ๒๐๐๕) Clarke ได้นำเสนอวิธีการฝึกถาม ให้มปี ระสิทธภิ าพ ๕ วิธี ดังน้ี 98 สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน
ชดุ ฝกึ อบรมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การสร้างและพัฒนาเครอ่ื งมอื วัดและประเมนิ ผลการเรียนร ู้ วิธีที่ ๑ ให้คำตอบท่ีเป็นไปได้หลากหลาย เป็นวิธีท่ีง่ายท่ีสุดในการเริ่มต้นเปลี่ยนการถาม แบบความจำให้เป็นคำถามท่ีต้องใช้การคิดบ้าง เพราะมีคำตอบที่เป็นไปได้หลายคำตอบ (แต่พึงระวัง ว่าการใช้คำถามแบบน้ีหมายความว่าผู้เรียนต้องผ่านการเรียนรู้ มีความเข้าใจพื้นฐานตามตัวช้ีวัด ที่กำหนดใหเ้ รียนรูม้ าแล้ว) คำถามแบบนท้ี ำให้ผเู้ รยี นตอ้ งตัดสินใจวา่ คำตอบใดถูกหรือใกลเ้ คียงท่ีสุด เพราะเหตุใด และท่ีไม่ถูกเพราะเหตุใด นอกจากนี้การใช้คำถามแบบนี้จะทำให้ผู้เรียนเรียนรู้ย่ิงขึ้นอีก หากมกี ิจกรรมให้ผูเ้ รยี นทำเพ่อื พิสูจนค์ ำตอบ เชน่ ตัวอย่าง ตัวอย่าง คำถามจำ : การออกกำลงั กายแบบใดทำให้ คำถามคดิ : การออกกำลังกายแบบใดตอ่ ไปน้ี หวั ใจทำงานดีขึ้น ช่วยใหห้ วั ใจทำงานได้ดีขนึ้ - การขี่จกั รยาน - การเดนิ - การเล่นกอล์ฟ - การว่ายนำ้ - การกระโดดรม่ - การพุง่ แหลน วธิ ีท่ี ๒ เปลย่ี นคำถามจำใหเ้ ป็นประโยคบอกเลา่ เพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นระบุวา่ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย พร้อมเหตุผล การใช้วิธีนี้จะต้องให้ผู้เรียนได้อภิปราย ผู้เรียนต้องใช้การคิดที่สูงขึ้นกว่าวิธีแรก เพราะ ผู้เรียนจะต้องยกตัวอย่างเพ่ือสนับสนุนความเห็นของตน เม่ือให้ประโยคท่ีผู้เรียนจะต้องสะท้อน ความคดิ เหน็ ผู้เรียนจะต้องปกป้องหรอื อธบิ ายทัศนะของตน การฝึกด้วยวิธกี ารนี้บอ่ ย ๆ จะเปน็ การ พัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ฟังท่ีดี มีจิตใจเปิดกว้าง พร้อมรับฟังและเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นผ่าน กระบวนการอภิปราย ครูใช้วิธีการน้ีกดดันให้เกิดการอภิปรายอย่างมีคุณภาพระหว่างเด็กต่อเด็ก และใหข้ อ้ มูลเพ่ือการพัฒนาแกท่ ุกคนในช้ันเรยี น เช่น ห คำัวถใจาทมำจงำาน: ไกดา้ดรขี อึ้นอ กกำลังกายแบบใดทำให้ ค ำถามคดิ : “การออกกำลงั กายแบบตา่ ง ๆ นัน้ ทำใหห้ วั ใจทำงานได้ดขี ้ึน” ท่านเห็นด้วย หรือไม่ เพราะเหตุใด สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน 99
ชุดฝกึ อบรมการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ การสร้างและพฒั นาเครอื่ งมือวัดและประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ วธิ ีที่ ๓ หาสง่ิ ตรงกนั ข้าม หรอื สิง่ ทใ่ี ช/่ ถูก สงิ่ ที่ไม่ใช่/ผิด และถามเหตผุ ล วิธีการนีใ้ ช้ไดด้ กี บั เน้ือหาท่ีเป็นข้อเท็จจริง เช่น จำนวนในวิชาคณิตศาสตร์ การสะกดคำ โครงสร้างไวยากรณ์ในวิชา ภาษา เป็นต้น เมื่อได้รับคำถามว่าทำไมทำเช่นน้ีถูก แต่ทำเช่นนั้นผิด หรือทำไมผลบวกนี้ถูก แต่ผลบวกนี้ผิด หรือทำไมประโยคนี้ถูกไวยากรณ์แต่ประโยคน้ันผิดไวยากรณ์ เป็นต้น จะเป็นโอกาส ให้ผู้เรียนคิดและอภิปราย มากกว่าเพียงการถามว่าทำไมโดยไม่มีการเปรียบเทียบกัน และวิธีการน ี้ จะใช้กบั การทำงานเป็นคมู่ ากกวา่ ถามทงั้ ห้องแล้วใหย้ กมือตอบ ตัวอย่าง ตวั อย่าง คำถามจำ : พชื ต้องการอะไรเพื่อการ คำถามคิด : ทำไมตน้ ไมต้ น้ น้จี ึงสมบรู ณ ์ เจรญิ เติบโต แขง็ แรง แตอ่ กี ตน้ หนง่ึ กำลงั จะตาย คำถามจำ : อะไรทท่ี ำใหอ้ าหารม้อื นัน้ ๆ คำถามคดิ : จากภาพ เหตุใดภาพที่ ๑ มปี ระโยชนต์ อ่ รา่ งกาย จึงเป็นอาหารสุขภาพ แตภ่ าพท่ี ๒ ไมใ่ ช่ อาหารสขุ ภาพ วิธีท่ี ๔ ให้คำตอบเป็นประเด็นสรุปแล้วตามด้วยคำถามให้คิด เป็นการให้ผู้เรียนต้อง อธบิ ายเพิ่มเติม ตัวอย่าง ตัวอย่าง คำถามจำ : จงบอกคำทเี่ ป็นคำเชือ่ ม คำถามคดิ : ทำไมเราจึงเรียกคำว่า “แต”่ และ “ดังนั้น” วา่ เปน็ คำเชอื่ ม คำถามจำ : การพรรณนาความทีด่ ี คำถามคดิ : ทำไมขอ้ ความนจ้ี ึงเปน็ การ ประกอบด้วยอะไรบา้ ง พรรณนาความท่ดี ี วิธีท่ี ๕ ต้ังคำถามจากจุดยืนท่ีเห็นต่าง เป็นวิธีที่ต้องใช้ความสามารถมากทั้งผู้สอนและ ผู้เรียน เพราะมีประเด็นท่ีต้องอภิปรายโต้แย้งเชิงลึก เหมาะท่ีจะใช้อภิปรายในประเด็นท่ีเก่ียวกับ สภาพเศรษฐกิจ สงั คม ปญั หาสุขภาพ ปญั หาเชงิ จริยธรรม เปน็ ตน้ ตัวอย่าง ตัวอย่าง คำถามจำ : การรีไซเคิลดีอยา่ งไร คำถามคดิ : เหตใุ ดโรงงานผลิตพลาสตกิ จงึ ชปู ระเดน็ การรไี ซเคลิ คำถามจำ : การสบู บุหรีม่ อี นั ตรายอยา่ งไร คำถามคิด : การสบู บหุ ร่ีควรเป็นสงิ่ ทเี่ ลือก กระทำหรือไม่ 100 สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน
ชุดฝกึ อบรมการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ การสร้างและพัฒนาเครือ่ งมอื วดั และประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ นอกจากน้ี การใช้ Bloom’s Taxonomy เปน็ กรอบแนวคิดในการตัง้ คำถามกเ็ ปน็ วธิ ีการท่ดี ี ในการเก็บข้อมูลการเรียนรู้จากผู้เรียน ซ่ึงผู้เข้ารับการอบรมสามารถศึกษาเพ่ิมเติมเก่ียวกับคำสำคัญ ทใี่ ชใ้ นการสร้างคำถามไดจ้ ากใบความรู้ท่ี ๒.๒ ๕. การเขียนสะท้อนการเรียนรู้ (Journals) เป็นรูปแบบการบันทกึ การเขียนอีกรปู แบบหนึ่ง ทใี่ หผ้ เู้ รียนเขียนตอบกระทหู้ รอื คำถามของครู ซ่งึ จะต้องสอดคลอ้ งกบั ความรู้ ทักษะท่ีกำหนดในตวั ชีว้ ดั การเขียนสะท้อนการเรียนรู้นี้นอกจากทำให้ผู้สอนทราบความก้าวหน้าในผลการเรียนรู้แล้ว ยังใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื ประเมินพัฒนาการดา้ นทกั ษะการเขียนไดอ้ ีกดว้ ย ๖. การประเมนิ การปฏบิ ัติ (Performance assessment) เป็นวธิ ีการประเมินงานหรอื กิจกรรมทีผ่ สู้ อนมอบหมายให้ผเู้ รียนปฏบิ ัติงาน เพ่ือให้ทราบถึงผลการพัฒนาของผ้เู รยี น การประเมนิ ลักษณะนีผ้ ้สู อนต้องเตรยี มสง่ิ สำคญั ๒ ประการ คือ ภาระงาน (Tasks) หรอื กจิ กรรมที่จะให้ผูเ้ รยี น ปฏบิ ตั ิ เชน่ การทำโครงการ/โครงงาน การสำรวจ การนำเสนอ การสรา้ งแบบจำลอง การท่องปากเปลา่ การสาธิต การทดลองวิทยาศาสตร์ การจัดนิทรรศการ การแสดงละคร เป็นต้น และเกณฑ์การ ให้คะแนน (Scoring Rubrics) ท่ีใช้ประเมินการปฏิบัติอาจจะปรับเปลี่ยนไปตามลักษณะงาน หรอื ประเภทกจิ กรรม ดังนี ้ ● ภาระงานหรือกิจกรรมที่เน้นขั้นตอนการปฏิบัติและผลงาน เช่น การทดลอง วิทยาศาสตร์ การจัดนิทรรศการ การแสดงละคร การแสดงเคลื่อนไหว การประกอบอาหาร การประดิษฐ์ การสำรวจ การนำเสนอ การจัดทำแบบจำลอง เป็นต้น ผู้สอนจะต้องสังเกตและ ประเมินวิธีการทำงานท่เี ป็นขัน้ ตอนและผลงานของผ้เู รียน ● ภาระงานหรือกิจกรรมที่มุ่งเน้นการสร้างลักษณะนิสัย เช่น การรักษาความสะอาด การรักษาสาธารณสมบัติ/สิ่งแวดล้อม กิจกรรมหน้าเสาธง เป็นต้น ผู้สอนจะประเมินด้วย วธิ ีการสงั เกต จดบนั ทึกเหตุการณเ์ กย่ี วกบั ผเู้ รยี น ● ภาระงานทม่ี ลี ักษณะเปน็ โครงการ/โครงงาน เป็นกิจกรรมที่เนน้ ข้นั ตอนการปฏิบตั ิ และผลงานท่ีต้องใช้เวลาในการดำเนินการ จึงควรมีการประเมินเป็นระยะ ๆ เช่น ระยะก่อนดำเนิน โครงการ/โครงงาน โดยประเมินความพร้อม การเตรียมการและความเป็นไปได้ในการปฏิบัติงาน ระยะระหว่างดำเนินโครงการ/โครงงาน จะประเมินการปฏิบัติจริงตามแผน วิธีการและข้ันตอน ท่ีกำหนดไว้ และการปรับปรุงระหว่างการปฏิบัติ สำหรับระยะสิ้นสุดการดำเนินโครงการ/โครงงาน จะประเมินผลงาน ผลกระทบและวธิ กี ารนำเสนอผลการดำเนนิ โครงการ/โครงงาน ● ภาระงานท่เี นน้ ผลผลติ มากกว่ากระบวนการขั้นตอนการทำงาน เช่น การจัดทำแผนผงั แผนท่ี แผนภูมิ กราฟ ตาราง ภาพ แผนผงั ความคดิ เปน็ ตน้ อาจประเมนิ เฉพาะคุณภาพของผลงาน ก็ได้ ในการประเมินการปฏิบัติงาน ผู้สอนต้องสร้างเคร่ืองมือเพ่ือใช้ประกอบการประเมิน เช่น แบบมาตรประมาณค่า แบบบนั ทกึ พฤตกิ รรม แบบตรวจสอบรายการ แบบบนั ทกึ ผลการปฏิบตั ิ เป็นต้น สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน 101
ชุดฝกึ อบรมการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ การสร้างและพัฒนาเครอ่ื งมอื วดั และประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ ๗. การประเมินด้วยแฟม้ สะสมงาน (Portfolio assessment) แฟ้มสะสมงานเปน็ การ เกบ็ รวบรวมช้นิ งานของผเู้ รยี น เพอ่ื สะท้อนความก้าวหนา้ และความสำเร็จของผูเ้ รียน เช่น แฟ้มสะสมงาน ทีแ่ สดงความกา้ วหนา้ ของผ้เู รยี น ตอ้ งมีผลงานในชว่ งเวลาตา่ ง ๆ ท่แี สดงถงึ ความกา้ วหน้าของผูเ้ รียน หากเป็นแฟ้มสะสมงานดีเด่นต้องแสดงผลงานที่สะท้อนความสามารถของผู้เรียน โดยผู้เรียน ต้องแสดงความคิดเห็น หรือเหตุผลท่ีเลือกผลงานน้ันเก็บไว้ตามวัตถุประสงค์ของแฟ้มสะสมงาน แนวทางในการจัดทำแฟม้ สะสมงาน มีดังน้ ี ● กำหนดวัตถุประสงค์ของแฟ้มสะสมงาน ว่าต้องการสะท้อนเกี่ยวกับความก้าวหน้า และความสำเร็จของผเู้ รียนในเร่ืองใดดา้ นใด ท้งั น้ีอาจพิจารณาจากตัวชี้วัด/มาตรฐานการเรียนร ู้ ● วางแผนการจัดทำแฟ้มสะสมงานที่เน้นการจัดทำชิ้นงาน กำหนดเวลาของการ จดั ทำแฟม้ สะสมงาน และเกณฑก์ ารประเมิน ● จดั ทำแผนการจดั ทำแฟ้มสะสมงาน และดำเนนิ การตามแผนที่กำหนด ● ใหผ้ ้เู รยี นเก็บรวบรวมชิน้ งาน ● ให้มีการประเมนิ ชนิ้ งานเพอ่ื พฒั นาช้นิ งาน ควรประเมนิ แบบมสี ่วนร่วม โดยผปู้ ระเมนิ ได้แก่ ตนเอง เพือ่ น ผูส้ อน ผู้ปกครอง บุคคลทเี่ กี่ยวขอ้ ง ● ให้ผู้เรียนคัดเลือกชิ้นงาน ประเมินชิ้นงานตามเงื่อนไขที่ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกัน กำหนด เช่น ชิ้นงานที่ยากท่ีสุด ชิ้นงานท่ีชอบท่ีสุด เป็นต้น โดยดำเนินการเป็นระยะ อาจจะเป็น เดอื นละครงั้ หรอื บทเรยี นละครั้งกไ็ ด้ ● ให้ผู้เรียนนำช้ินงานที่คัดเลือกแล้วจัดทำเป็นแฟ้มท่ีสมบูรณ์ ซึ่งควรประกอบด้วย หน้าปก คำนำ สารบญั ช้ินงาน แบบประเมินแฟ้มสะสมงาน และอ่ืน ๆ ตามความเหมาะสม ● ผูเ้ รยี นต้องสะท้อนความรสู้ กึ และความคิดเหน็ ตอ่ ช้ินงาน หรือแฟ้มสะสมงาน ● สถานศึกษาควรจัดให้ผู้เรียนแสดงแฟ้มสะสมงานและช้ินงานเม่ือสิ้นภาคเรียน/ ปีการศกึ ษาตามความเหมาะสม ๘. การวัดและประเมนิ ดว้ ยแบบทดสอบ เปน็ การประเมนิ ตวั ชว้ี ดั ดา้ นการรับรูข้ อ้ เทจ็ จรงิ (Knowledge) ผู้สอนควรเลือกใช้แบบทดสอบให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของการวัดและประเมินนั้น ๆ เช่น แบบทดสอบเลือกตอบ แบบทดสอบถูก-ผิด แบบทดสอบจับคู่ แบบทดสอบเตมิ คำ แบบทดสอบ ความเรียง เป็นต้น ท้ังน้ี แบบทดสอบที่จะใช้ต้องเป็นแบบทดสอบที่มีคุณภาพ มีความเท่ียงตรง (Validity) และเชือ่ มน่ั ได้ (Reliability) ๙. การประเมินด้านความรู้สึกนึกคิด (Attitude) เป็นการประเมินคุณธรรม จริยธรรม คุณลักษณะและเจตคติท่ีควรปลูกฝังในการจัดการเรียนรู้ ซึ่งการวัดและประเมินผลจะเป็นลำดับข้ัน จากตำ่ สุดไปสูงสดุ ดงั น้ ี 102 สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน
ชุดฝกึ อบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพัฒนาเครอ่ื งมอื วดั และประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ ● ข้ันรับรู้ เป็นการประเมนิ พฤติกรรมท่แี สดงออกว่าร้จู กั เต็มใจ สนใจ ● ขั้นตอบสนอง เป็นการประเมินพฤติกรรมที่แสดงว่าเช่ือฟัง ทำตาม อาสาทำ พอใจทีจ่ ะทำ ● ข้นั เห็นคุณค่า (ค่านิยม) เป็นการประเมนิ พฤตกิ รรมที่แสดงความเชอ่ื ซึ่งแสดงออก โดยการกระทำหรือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ยกย่องชมเชย สนับสนุนช่วยเหลือ หรือทำกิจกรรมที่ตรง กับความเชื่อของตน ทำด้วยความเชื่อม่ัน ศรัทธา และปฏิเสธท่ีจะกระทำในสิ่งที่ขัดแย้งกับความเชื่อ ของตน ● ข้ันจัดระบบคุณค่า เป็นการประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรม อภิปราย เปรยี บเทยี บ จนเกิดอดุ มการณใ์ นความคิดของตนเอง ● ข้ันสร้างคุณลักษณะ เป็นการประเมินพฤติกรรมท่ีมีแนวโน้มว่าจะประพฤติปฏิบัติ เช่นนั้นอยู่เสมอในสถานการณ์เดียวกันหรือเกิดเป็นอุปนิสัย การวัดและประเมินผลด้านจิตพิสัย ควรใช้การสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัติเป็นหลัก และสังเกตอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่งโดยมีการ บันทึกผลการสังเกต ท้ังนอ้ี าจใช้เครือ่ งมือการวดั และประเมนิ ผล เชน่ แบบประเมินค่า แบบตรวจสอบ รายการ แบบบนั ทึกพฤตกิ รรม แบบรายงานพฤตกิ รรมตนเอง เปน็ ต้น นอกจากนีอ้ าจใช้แบบวัดความรู้ และความรู้สึกเพ่ือรวบรวมข้อมูลเพ่ิมเติม เช่น แบบวัดความรู้โดยสร้างสถานการณ์เชิงจริยธรรม แบบวดั เจตคติ แบบวดั เหตุผลเชิงจรยิ ธรรม แบบวัดพฤติกรรมเชิงจรยิ ธรรม เป็นตน้ ๑๐. การประเมินตามสภาพจริง (Authentic assessment) เป็นการประเมินด้วยวิธี การท่ีหลากหลายดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่สะท้อนความสามารถที่แท้จริง ของผู้เรียน จึงควรใช้การประเมินการปฏิบัติ (Performance assessment) ร่วมกับการประเมิน ดว้ ยวธิ ีการอนื่ ภาระงาน (Tasks) ควรสะท้อนสภาพความเป็นจริง หรอื ใกล้เคยี งกบั ชวี ิตจรงิ มากกวา่ เป็นการปฏิบัติกิจกรรมทว่ั ๆ ไป ดงั นัน้ การประเมินสภาพจรงิ จะตอ้ งออกแบบการจดั การเรยี นรู้และ การประเมินผลไปด้วยกัน และกำหนดเกณฑ์การประเมิน (Rubrics) ให้สอดคล้องหรือใกล้เคียงกับ ชีวิตจรงิ สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน 103
ชดุ ฝึกอบรมการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครื่องมอื วดั และประเมินผลการเรียนรู้ ๑๑. การประเมินตนเองของผู้เรียน (Student self-assessment) การประเมินตนเอง นับเป็นทั้งเคร่ืองมือประเมินและเครื่องมือพัฒนาการเรียนรู้ เพราะทำให้ผู้เรียนได้คิดใคร่ครวญว่า ได้เรียนรู้อะไร เรียนรู้อย่างไร และผลงานที่ทำน้ันดีแล้วหรือยัง การประเมินตนเองจึงเป็นวิธีหน่ึง ที่จะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ท่ีสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง การประเมินตนเองของผู้เรียนที่ประสบ ความสำเรจ็ จะตอ้ งมเี ป้าหมายการเรยี นร้ทู ชี่ ัดเจน มเี กณฑท์ ีบ่ ง่ บอกความสำเร็จของชิน้ งาน/ภาระงาน และมาตรการการปรับปรุงแก้ไขตนเอง เป้าหมายการเรียนรู้ที่กำหนดชัดเจนและผู้เรียนได้รับทราบ หรือร่วมกำหนดด้วย จะทำให้ผู้เรียนทราบว่าตนถูกคาดหวังให้รู้อะไรทำอะไร มีหลักฐานใดที่แสดง การเรียนรู้ตามความคาดหวังนั้น หลักฐานที่มีคุณภาพควรมีเกณฑ์เช่นไร เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เรียน พิจารณาประเมิน ซ่ึงหากเป้าหมายและเกณฑ์การประเมินเกิดจากการทำงานร่วมกันระหว่างผู้เรียน กับผู้สอนด้วยแล้ว จะเป็นการเพ่ิมแรงจูงใจในการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น การที่ผู้เรียนได้ใช้การประเมิน ตนเองบ่อย ๆ โดยมีกรอบแนวทางการประเมินที่ชัดเจนนี้ จะช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนประเมินได ้ ค่อนขา้ งตรงและซอื่ สัตย์ คำวิจารณ์ คำแนะนำของผ้เู รียนมกั จะจรงิ จังมากกวา่ ของครู การประเมนิ ตนเอง จะเกิดประโยชน์ย่ิงข้ึน หากผู้เรียนทราบส่ิงท่ีต้องปรับปรุงแก้ไขและต้ังเป้าหมายการปรับปรุงแก้ไข ของตนแลว้ ฝกึ ฝนพฒั นา โดยการดแู ลสนับสนนุ จากผสู้ อนและความร่วมมอื ของครอบครวั ๑๒. การประเมินโดยเพ่อื น (Peer Assessment) เป็นเทคนคิ การประเมนิ อกี รูปแบบหน่ึง ทนี่ ่าจะนำมาใช้เพ่ือพฒั นาผเู้ รียนให้เขา้ ถึงคณุ ลกั ษณะของงานที่มคี ุณภาพ เพราะการท่ีผู้เรียนจะบอก ไดว้ ่าชิ้นงานน้ันเปน็ เช่นไร ผู้เรยี นตอ้ งมคี วามเขา้ ใจอยา่ งชัดเจนกอ่ นว่าเขากำลังตรวจสอบอะไรในงาน ของเพ่อื น ฉะน้ันผ้สู อนต้องอธบิ ายผลทค่ี าดหวังให้ผเู้ รยี นทราบกอ่ นทจ่ี ะลงมอื ประเมิน การท่จี ะสรา้ ง ความมั่นใจว่าผู้เรียนเข้าใจการประเมินรูปแบบน้ีควรมีการฝึก โดยผู้สอนอาจหาตัวอย่าง เช่น งานเขียนให้กลุ่มผู้เรียนตัดสินใจว่าควรประเมินอะไร และควรให้คำอธิบายเกณฑ์ที่บ่งบอกความสำเร็จ ของภาระงานน้ัน จากน้ันให้ผู้เรียนประเมินภาระงานเขียนท่ีเป็นตัวอย่างน้ันโดยใช้เกณฑ์ที่ช่วยกัน สร้างขึ้น หลังจากน้ันผู้สอนตรวจสอบการประเมินของผู้เรียน และให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เรียน ท่ีประเมินเกินจริง การประเมินโดยเพ่ือนที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องสร้างสิ่งแวดล้อม การเรียนร ้ ู ท่ีสนับสนุนให้เกิดการประเมินรูปแบบน้ี กล่าวคือ ผู้เรียนต้องรู้สึกผ่อนคลาย เชื่อใจกันและไม่อคติ เพ่ือการให้ข้อมูลย้อนกลับจะได้ซ่ือตรงเป็นเชิงบวกที่ให้ประโยชน์ ผู้สอนท่ีให้ผู้เรียนทำงานกลุ่มตลอด ภาคเรียน แล้วใช้เทคนิคเพื่อนประเมินเพื่อนเป็นประจำจะสามารถพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความเข้าใจ ซึ่งกันและกัน อันจะนำไปส่กู ารใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลบั ทเี่ กง่ ขึน้ ได้ 104 สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน
ชุดฝึกอบรมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนร ู้ เครอื่ งมือวดั และประเมนิ ผลการเรียนร้ ู วิธีการประเมินแบบต่าง ๆ ท่ีผู้สอนนำไปใช้ในการประเมินเพ่ือพัฒนาผู้เรียนน้ัน มีหลากหลายแบบ เครอื่ งมือทใี่ ช้ในการเกบ็ ข้อมูลของผเู้ รยี นกม็ หี ลากหลายเช่นกนั บางกรณีวธิ ีประเมนิ อาจใช้เคร่ืองมือเพียงอย่างเดียว บางกรณีอาจใช้เคร่ืองมือหลายอย่าง ผู้สอนสามารถเลือกใช้ได ้ ตามวัตถปุ ระสงคแ์ ละความเหมาะสม ดงั ตวั อยา่ งต่อไปนี้ ๑. แบบสัมภาษณ์ เป็นเคร่ืองมือท่ีใช้ในการพูดคุยซักถามระหว่างครูกับผู้เรียนเพื่อ รวบรวมขอ้ มลู ต่าง ๆ ทำให้ครสู ามารถสังเกตกิริยาท่าทาง ลกั ษณะทางรา่ งกาย การแสดงพฤตกิ รรม ท่วงทีการพูดโต้ตอบ การสัมภาษณ์ท่ีใช้ในโรงเรียนมักเป็นการสัมภาษณ์เพื่อหาข้อเท็จจริงและ การสัมภาษณ์เพ่ือปรึกษาปัญหา การสัมภาษณ์อาจทำในหรือนอกห้องเรียน ในหรือนอกเวลาเรียน หรอื มีการนัดหมายกนั ก็ได้ การสัมภาษณ์ท่ีดีต้องมีจุดมุ่งหมายท่ีชัดเจนว่าครูต้องการจะได้ข้อมูลอะไร เช่น สัมภาษณ ์ ผู้เรียนเพ่ือหาข้อมูลในการแก้ปัญหาการมาโรงเรียนสายบ่อย ๆ ข้อมูลในการจัดหาหนังสือ เข้าหอ้ งสมุด เปน็ ตน้ ตวั อย่างแบบสัมภาษณ ์ คำถาม ผูเ้ รียนชอบอา่ นหนงั สือประเภทใดมากทสี่ ุด..................................................................... คำถาม เพราะเหตุใดถงึ ชอบหนังสอื เล่มนนั้ .................................................................................. คำถาม ผเู้ รยี นใช้เวลาชว่ งใดในการอา่ นหนังสอื ............................................................................ ๒. แบบสังเกต เขปึน้็นอเคยรูก่ ื่อับงวมตั ือถรุปวรบะรสวงมคข์ใน้อกม าูลรทสี่ผังเู้สกอตนขใอชง้ใคนรกู ากราสรัสงเังกเกตตผทู้เรี่ใียหน้ผแลตเช่ล่ือะถคอื นไดหน้รั้นือ เปน็ กล่มุ ในเวลาใดเวลาหนงึ่ ผู้สอนต้องสังเกตผู้เรียนทีละคน ระบุพฤติกรรมท่ีสังเกตได้ชัด จัดเวลาสังเกตให้เป็นระบบ สังเกต ซ้ำ ๆ กันหลายช่วงเวลา ถ้าจะให้เชื่อถือได้สูงควรมีผู้สังเกต ๒ คน สังเกตผู้เรียนคนเดียวกันในเวลา เดียวกัน หรือผู้สอนสงั เกตผู้เรยี นทีละคนแลว้ บนั ทึกการสังเกตไว้ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ ี ตวั อยา่ งแบบบนั ทึกการสังเกตพฤตกิ รรม (๑) วัน...........เดือน....................ป.ี .................ท่สี ังเกต ผู้สอน............................................................. วชิ าใด................................................................... เวลา............................................................... ชื่อผู้เรยี น.......................................................................................................................................... ผเู้ รยี นกำลังทำอะไร.......................................................................................................................... มใี ครอยู่กับผู้เรยี นขณะท่สี งั เกตบา้ ง.................................................................................................. พฤตกิ รรมของผ้เู รยี นทสี่ ังเกตพบบอ่ ย ๆ คือ..................................................................................... ผู้บนั ทกึ .......................................................... สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน 105
ชุดฝึกอบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครื่องมอื วดั และประเมินผลการเรยี นร ู้ ตวั อย่างแบบบันทกึ การสังเกตพฤติกรรม (๒) รายการพฤติกรรม บ่อยคร้ัง บางครง้ั ไม่เคยเลย ๑. เข้าเรยี นตรงเวลา ๒. ทำงานตามทีไ่ ดร้ ับมอบหมาย ๓. ทำการบา้ นและแบบฝกึ หัดตามทไี่ ดร้ บั มอบหมาย ๔. ส่งการบ้านและแบบฝึกหัดตามท่ีไดร้ ับมอบหมาย ๕. นำอปุ กรณก์ ารเรียนมาเรยี นครบ ๖. จดงานหรือบนั ทึกขณะทำกิจกรรมการเรียน ๗. ตัง้ ใจเรียนและรว่ มกิจกรรมการเรียนในห้อง ๘. ระวังรักษาอุปกรณข์ องสว่ นรวมและของตนเอง ผปู้ ระเมิน..................................... ๓. แบบสอบถาม เป็นเครื่องมือรวบรวมข้อมูลเก่ียวกับความคิดเห็นที่ให้ผู้ตอบเขียนตอบเอง ซ่ึงมีหลายประเภท เช่น ให้ผู้ตอบทำเคร่ืองหมายเพื่อตอบ เขียนตอบส้ัน ๆ หรือให้ทำเครื่องหมาย เป็นมาตรประมาณค่า ผู้ตอบแบบสอบถามอาจเป็นผู้เรียน ผู้ปกครอง หรือผู้เกี่ยวข้องกับประเด็น ที่ตอ้ งการคำตอบ ดงั นั้นแบบสอบถามจงึ ต้องมีคำชแ้ี จงในประเด็นที่ตอ้ งการ เพ่ือให้ผูต้ อบเขา้ ใจตรงกัน ดังตวั อยา่ งต่อไปนี ้ ตวั อย่างแบบสอบถามสภาพครอบครัว ท่ีอยู.่ .................................................................................................................................................. อาชีพบิดา.....................................................อาชพี มารดา................................................................ ปจั จุบันอาศยั อยกู่ บั ❑ บิดา-มารดา ❑ บดิ า ❑ มารดา ❑ ผอู้ ่ืน ระบ.ุ ......................................................................................... ท่านเป็นบุตรคนท่.ี .................................. จำนวนพ่ีน้อง รวมตวั ท่าน..............คน ชาย..............คน หญงิ ..............คน จำนวนคนในครอบครวั ..............คน 106 สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน
ชดุ ฝกึ อบรมการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสร้างและพฒั นาเครอ่ื งมอื วัดและประเมนิ ผลการเรียนร ู้ ตัวอย่างแบบสอบถามเกีย่ วกับกจิ กรรม งานอดิเรกที่ผเู้ รยี นชอบทำคือ........................................................................................................... ผเู้ รียนชอบอ่านหนังสอื เก่ียวกับ........................................................................................................ กฬี าทช่ี อบมากทีส่ ดุ .......................................................................................................................... ๔. แบบสำรวจรายการ เป็นเคร่ืองมือท่ีใช้เก็บข้อมูลซึ่งเป็นข้อเท็จจริง โดยจัดทำเป็น รายการสำรวจเอาไว้ เม่ือเก็บข้อมูลก็ตรวจสอบไปทีละรายการว่ามีหรือไม่ มักใช้ประกอบการ เกบ็ ข้อมลู โดยวิธกี ารสงั เกตหรือการวัดทักษะการปฏิบัติ ตวั อย่างแบบสำรวจปัญหาของผูเ้ รียน (๑) เมื่อมปี ัญหาหรือความคบั ขอ้ งใจ ผเู้ รยี นปรกึ ษาใคร ............... ครูประจำชั้น ............... พอ่ /แม ่ ............... เพ่ือนสนทิ ............... ญาติ ............... อืน่ ๆ โปรดระบุ.................................................................................. ตวั อยา่ งแบบสำรวจปัญหาของผู้เรียน (๒) ข้อความ ใช ่ ไมใ่ ช่ ผู้เรยี นไม่เขา้ ใจบทเรียน ผเู้ รียนร้สู กึ เบ่ือการเรียน ผู้เรียนไม่อยากไปโรงเรียน ผเู้ รียนไม่ชอบครบู างคน ผ้เู รยี นรสู้ ึกประหมา่ เม่ืออยู่ต่อหนา้ คนจำนวนมาก สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน 107
ชุดฝกึ อบรมการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสรา้ งและพัฒนาเคร่ืองมอื วดั และประเมินผลการเรยี นร ู้ ๕. แบบทดสอบ (Test) แบบทดสอบ หมายถงึ ชุดของคำถาม (items) ท่สี ร้างขึน้ เพือ่ ให้ ผู้สอบแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาให้ผู้สอนสังเกตและวัดได้ แบบทดสอบเป็นเครื่องมือ วัดพฤติกรรมด้านพุทธิพิสัย ซึ่งถือว่าเป็นสติปัญญาของมนุษย์ที่ซ่อนแฝงอยู่ในตัวบุคคลว่ามีความรู้ หรือไม่เพียงใด ทั้งในด้านพฤติกรรมความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ และอ่ืน ๆ หากแบ่ง ประเภทแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนโดยใช้เกณฑ์ลักษณะการตอบแล้ว สามารถแบ่งออก ได้เป็น ๒ ประเภท ดังน ้ี ๕.๑ แบบทดสอบอัตนัยหรือแบบความเรียง มีลักษณะเด่นท่ีให้อิสระแก่ผู้ตอบ ผู้ตอบจะต้องหาหรือสร้างคำตอบเองแทนท่ีจะมีคำตอบให้เลือก เหมือนกับข้อสอบแบบกำหนด คำตอบให้ ข้อสอบแบบน้ีจะใช้ในการวัดผลการเรียนรู้ที่ไม่สามารถวัดโดยใช้ข้อสอบแบบกำหนด คำตอบได้ เชน่ วัดความสามารถในการจดั การ ความสามารถในการบรู ณาการ ความสามารถในการ สังเคราะห์ความรู้ ความสามารถในการแก้ปัญหา ตลอดจนความสามารถในการประเมิน เป็นต้น เหมาะทจ่ี ะนำมาใช้เมอ่ื ตอ้ งการวดั ความสามารถในการใช้เหตุผล การวางแผน การแสดงความคิดเหน็ สรา้ งสรรค์หรือจินตนาการ ผ้ตู อบจะต้องรูล้ ึกในเรือ่ งทจ่ี ะตอบจึงจะเขียนตอบได้ดี ข้อสอบแบบความเรียงแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ คำถามแบบจำกัดคำตอบ (restricted response questions) และคำถามแบบขยายคำตอบ (extended response questions) ซงึ่ มีรายละเอียด ดงั น ้ี ๕.๑.๑ คำถามแบบจำกัดคำตอบ เป็นคำถามที่จำกัดเน้ือหาคือกำหนดขอบเขต ทจ่ี ะให้ตอบ ดังตวั อย่าง ๑) ให้ผเู้ รยี นอธิบายเร่ืองยาเสพติดให้ครอบคลุมหวั ข้อต่อไปนี้ ก. ความหมายของยาเสพติด ข. ประเภทของยาเสพติด ๒) ใหผ้ ู้เรยี นเปรยี บเทียบความแตกตา่ งระหวา่ งพชื ใบเลยี้ งคู่กับพชื ใบเล้ยี งเดย่ี ว ๕.๑.๒ คำถามแบบขยายคำตอบ เป็นคำถามที่ไม่จำกัดขอบเขตให้ตอบ ผู้ตอบ สามารถเลือกข้อความรู้และนำความรู้เหล่าน้ันมาจัดระบบให้ดีแล้วนำมาเขียนเป็นคำตอบ จึงเป็น ข้อสอบที่ใช้วัดความสามารถในการรวบรวมความรู้ สังเคราะห์ความรู้เหล่านั้นแล้วนำมาเรียบเรียง และเขียนเป็นคำตอบไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ดงั ตัวอยา่ ง ๑) ใหผ้ ู้เรียนอธิบายโครงสรา้ งของสังคมไทยปัจจุบนั 108 สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน
ชุดฝึกอบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสรา้ งและพัฒนาเคร่ืองมอื วดั และประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ ข้อสอบแบบความเรียงน้ีเป็นการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักรวบรวมความรู้หรือข้อมูลต่าง ๆ นำมาประมวลเป็นเรื่องเดียวกัน จัดระบบความรู้เหล่าน้ัน แล้วเรียบเรียงถ่ายทอดสิ่งเหล่าน้ันออกมา ด้วยภาษาของตนเองเพื่อส่ือให้ผู้อื่นเข้าใจ ซ่ึงเป็นกระบวนการของการฝึกความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนของผู้เรียน และสอดคล้องกับแนวคิดใหม่ของบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy) ทีก่ ล่าวถงึ การประเมนิ ดา้ นสติปญั ญาว่า เปน็ การประเมนิ ไดท้ ั้งทกั ษะการคิดข้ันพื้นฐาน จนถึงขน้ั สูง โดยผ้สู อบจะตอ้ งมีความรู้ข้ันพื้นฐาน คอื จำได้ (remember) และเข้าใจ (understand) เน้ือหาความรู้เหล่านั้น แล้วนำไปปรับใช้ (apply) โดยอาจจะวิเคราะห์ (analyze) ประเมิน (evaluate) แลว้ สร้างสรรคส์ ิง่ ใหม่ (create) โดยเขียนสือ่ สง่ิ ที่เกดิ ข้ึนตามกระบวนการทางการคิดน้นั ออกมาเป็นคำตอบ ในขณะเดียวกันผู้สอนต้องคำนึงถึงการตรวจให้คะแนนด้วย เนื่องจากการตรวจ ให้คะแนนต้องใช้เวลามาก ต้องกำหนดเกณฑ์การให้คะแนน (rubrics) เพ่ือตรวจให้คะแนนได้อย่าง ยุติธรรม หลักการเขยี นขอ้ สอบแบบอัตนัย ๑. กำหนดใหช้ ดั เจนวา่ ต้องการวัดพฤติกรรมดา้ นใดของผูส้ อบ ๒. เขียนคำถามให้ชัดเจน จำเพาะเจาะจง ว่าต้องการให้ผู้สอบทำอย่างไร เช่น อธิบาย วเิ คราะห์ แสดงความคดิ เห็น ฯลฯ รวมทงั้ มีคะแนนข้อละก่ีคะแนน ๓. เขยี นคำถามโดยใชส้ ถานการณใ์ หม่ ๆ ไม่ควรถามตามตำรา หรอื ถามในส่งิ ท่ี เรียนมาแลว้ ๔. ตอ้ งถามเฉพาะส่ิงทเี่ ปน็ ประเด็นสำคัญของเรือ่ ง ๕. กำหนดเวลาในการสอบให้เหมาะสม เพ่ือผู้ตอบจะได้วางแผนการตอบได้ถูกต้อง โดยเอาจำนวนขอ้ ไปหารจำนวนเวลาท้ังหมด ก็จะทราบวา่ แตล่ ะข้อควรใช้เวลาเท่าไร ๖. ถ้าไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยงการให้ผู้ตอบเลือกตอบเป็นบางข้อได้ ควรให้ทำ ทุกข้อ ๗. พยายามใช้คำถามหลาย ๆ แบบโดยเน้นการอธิบาย ควรเป็นคำถาม ประเภททำไม อย่างไร หรือให้อธิบาย บรรยาย เปรียบเทียบ หาความสัมพันธ์ หาความขัดแย้ง ตีความ วเิ คราะหเ์ หตุผล วจิ ารณ์ และประเมนิ ผล เปน็ ตน้ ๘. เมื่อเขียนคำถามแล้ว ควรเขียนคำตอบหรือแนวคำตอบที่ต้องการไว้ด้วย หรอื อาจจะเขยี นในลกั ษณะคำหรอื ขอ้ ความสำคญั (Key Words) ของคำตอบข้อน้นั ๆ เอาไว้ด้วย ๙. ควรกำหนดความยาวและความซับซ้อนของข้อสอบให้พอเหมาะกับ ความสามารถของผู้สอบ ๑๐. ถ้าข้อสอบมีหลายข้อควรจัดเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก เพ่ือยั่วยุให้อยากตอบ มากย่ิงขึน้ สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 109
ชดุ ฝึกอบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสร้างและพฒั นาเคร่อื งมือวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ๕.๒ แบบทดสอบปรนัย เป็นขอ้ สอบทมี่ ีคำถามเฉพาะเจาะจง ตรวจใหค้ ะแนนไดต้ รงกัน มีคำสั่ง วิธีการปฏิบัติและวิธีการตรวจให้คะแนนที่ชัดเจน แบบทดสอบปรนัยท่ีนิยมใช้กัน คือ แบบถูก-ผิด (true-false) แบบจับคู่ (matching) และแบบเลือกตอบ (multiple choices) ซึง่ แตล่ ะประเภทมรี ายละเอยี ด ดังน ้ี ๕.๒.๑ ข้อสอบแบบถูกผิด เป็นข้อคำถามที่กำหนดข้อความให้ผู้เรียนพิจารณา เลือกตอบสองทางเลือก เช่น ถูก-ผิด ใช่-ไม่ใช่ จริง-ไม่จริง เหมือนกัน-ต่างกัน ฯลฯ โดยใช้ความร้ ู ตามหลักวิชาเป็นเกณฑ์พิจารณา ตัวคำถามมักจะเขียนในรูปประโยคบอกเล่าธรรมดา หรืออาจจะ เปน็ ประโยคคำถาม โดยมขี ้อความถูกบา้ งผดิ บ้างคละเคล้ากนั ไป หลกั การเขียนขอ้ สอบแบบถกู ผิด ๑) ข้อความจะต้องมีความหมายชัดเจน ไม่กำกวม และไม่ควรใช้คำที่แสดง คณุ ภาพ เชน่ มาก นอ้ ย บอ่ ย ๆ บางครง้ั ส่วนมาก ส่วนนอ้ ย ไม่ค่อยจะ เปน็ ต้น ควรเลือกคำทแ่ี สดง ปริมาณจะมีความหมายชัดเจนกวา่ เช่น ไมด่ ี - พม่ายกกองทัพมาตีไทยบ่อยคร้ังในสมัยกรงุ ธนบรุ ี ดขี นึ้ - พม่ายกกองทัพมาตีไทย ๔ ครง้ั ในสมัยกรุงธนบุรี ๒) ข้อความท่กี ำหนดใหต้ ้องตดั สนิ ไดว้ า่ ถูกจริงหรือผิดจริงและเป็นสากล เช่น ไม่ดี - นำ้ เดอื ดทอี่ ุณหภูมิ ๑๐๐ องศาเซลเซยี ส ดขี ้ึน - ณ ระดบั น้ำทะเล นำ้ จะเดอื ดท่อี ณุ หภูมิ ๑๐๐ องศาเซลเซียส ๓) แต่ละข้อคำถาม ควรถามจุดสำคัญเพียงเรอ่ื งเดยี ว เชน่ ไม่ด ี - อำเภอแมส่ ายอยู่ในจงั หวัดเชียงราย และอยเู่ หนอื สดุ ของประเทศไทย ดีข้ึน - อำเภอแมส่ ายอยใู่ นจงั หวัดเชียงราย ดีข้นึ - อำเภอแมส่ ายอยเู่ หนือสดุ ของประเทศไทย ๔) ไมค่ วรสรา้ งขอ้ คำถามเชิงปฏเิ สธหรอื ปฏิเสธซ้อน เพราะจะทำให้ผูส้ อบเข้าใจผิด ไมด่ ี - ถา้ ผูเ้ รยี นไมอ่ อกไปตากนำ้ คา้ ง ผูเ้ รียนจะไม่เป็นหวดั ดขี ้นึ - การออกไปตากนำ้ คา้ งทำให้ผู้เรียนเปน็ หวดั ๕) ควรหลีกเลี่ยงการลอกข้อความจากหนังสือหรือตำราเรียนโดยตรง เพราะจะ ส่งเสรมิ การเรียนแบบท่องจำ ๖) ให้ขอ้ สอบแต่ละข้อเปน็ อสิ ระแก่กนั ๗) ขอ้ ความแตล่ ะข้อควรมีความยาวใกลเ้ คยี งกัน ๘) ข้อสอบควรเรียงลำดับตามเนอ้ื หา ๙) ควรให้มีจำนวนข้อถกู และข้อผดิ ใกล้เคียงกัน และอยู่กระจายคละกัน 110 สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน
ชดุ ฝึกอบรมการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมอื วัดและประเมนิ ผลการเรียนร ู้ ๕.๒.๒ ข้อสอบแบบจับคู่ เป็นข้อคำถามที่กำหนดข้อความที่สัมพันธ์กันให้ ๒ รายการ รายการทางด้านซ้ายเรียกว่าตัวยืนหรือคำถาม รายการทางด้านขวาเรียกว่าตัวเลือกหรือ คำตอบ ให้ผตู้ อบพิจารณาความสัมพันธข์ องรายการทงั้ สองดา้ น รายการท่ีนำมาออกขอ้ สอบแบบจับคู่ ได้แก่ คำศัพท์กับความหมาย เหตุการณ์กับเวลา เวลากับสถานท่ี ชื่อบุคคลกับผลงาน ชื่อ กระบวนการกับการผลติ กฎกบั การใชเ้ หตกุ ับผล เครื่องมือกบั ประโยชน์ใช้สอย เป็นตน้ หลกั การเขียนข้อสอบแบบจบั คู่ ๑) เขียนคำช้ีแจงให้ชัดเจนว่าจะให้จับคู่ได้เพียงตัวเลือกเดียว หรืออาจจับคู่ได้ หลายตัวเลือก ๒) เนอื้ หาวิชาท่ีนำมาออกขอ้ สอบจะตอ้ งเปน็ เรอ่ื งหรอื เน้ือหาเดยี วกัน เช่น ตวั อย่างแบบทดสอบแบบจับค ู่ คำช้ีแจง : รายการทางด้านซ้ายเป็นคำถาม รายการทางด้านขวาเป็นคำตอบ ให้ท่านนำเอาหัวข้อ ของคำตอบทางขวามือมาใส่ในวงเล็บหน้าคำถามทางซ้ายมือ คำตอบทางขวามือนั้น สามารถใช้ไดเ้ พยี งครัง้ เดียวหรอื ไม่ใช้เลยกไ็ ด ้ (.........) ๑. ใครเปน็ คนแต่งหนังสอื จินดามณี ก. พระโหราธบิ ด ี (.........) ๒. ใครเป็นนายกรฐั มนตรีคนแรกของไทย ข. พอ่ ขุนรามคำแหง (.........) ๓. ใครเปน็ ผู้คดิ ประดิษฐ์อกั ษรไทยขึน้ เป็นคนแรก ค. พระยาโกษาธิบดี ง. พระยาพหลพลพยหุ เสนา จ. พระยามโนปกรณ์นติ ธิ าดา ๓) ควรให้คำตอบมมี ากกวา่ คำถาม ๓-๔ ตวั ๔) ข้อสอบแบบจับคู่ชุดหน่ึงไม่ควรมีมากข้อเกินไป ควรอยู่ระหว่าง ๕-๑๒ คู่ และควรให้อยูใ่ นหน้าเดยี วกันทงั้ หมด ๕) คำหรอื ข้อความทเี่ ปน็ ค่กู ันไม่ควรจัดให้อยตู่ รงกนั ๕.๒.๓ ข้อสอบแบบเลือกตอบ เป็นข้อสอบท่ีประกอบด้วยคำถามและคำตอบ ใหเ้ ลือกหลาย ๆ คำตอบ ข้อสอบประเภทนี้มี ๒ ส่วน คือ ๑) ตัวนำหรือตวั คำถาม (stem) เป็นข้อความที่เป็นตัวเรา้ ใหผ้ ู้สอบคิด ๒) ตัวเลือก (choices) เป็นคำตอบหลาย ๆ คำตอบ เพ่ือให้ผู้สอบเลือกตอบ อย่างใดอย่างหน่งึ มีท้งั ตัวถกู (key) และตัวลวง (distracters) สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พื้นฐาน 111
ชุดฝึกอบรมการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครื่องมอื วดั และประเมินผลการเรียนร้ ู ข้อสอบแบบเลือกตอบที่ดีนั้นตัวเลือกทุกตัวจะมีน้ำหนักพอ ๆ กัน ถ้าดูผิวเผิน หรือไม่มีความรู้ในข้อนั้นจริง ๆ จะเห็นว่าถูกหมดทุกข้อ และในการสอบแต่ละคร้ังตัวเลือกแต่ละตัว จะมีโอกาสถกู เลือกพอ ๆ กนั นั่นคอื หากมีข้อสอบ ๒๐ ขอ้ และมี ๔ ตัวเลือก โอกาสทตี่ วั เลือก ก ข ค หรือ ง จะถกู เลือกจะเท่ากนั และคำตอบถูกควรจะกระจายกันไปทกุ ตัวเลอื ก ไมใ่ ช่อยู่ทีต่ วั ใดตัวหนึ่ง หลักการเขียนขอ้ สอบแบบเลอื กตอบ ด้านตัวคำถาม ๑) เขียนคำถามให้เปน็ ประโยคคำถามท่สี มบรู ณ ์ ๒) เขียนคำถามให้กะทัดรดั ชัดเจน ตรงจุด ไม่ใชค้ ำฟมุ่ เฟือย ๓) ใชภ้ าษาใหเ้ หมาะสมกบั ระดับผ้สู อบ ๔) คำถามควรเรา้ ให้ผ้สู อบไดใ้ ช้ความคดิ ๕) หลีกเลยี่ งการใชค้ ำถามปฏิเสธซอ้ น ๖) ไม่ควรถามในส่งิ ทีเ่ ดก็ ท่องจำจนคลอ่ งปาก ๗) คำถามแตล่ ะขอ้ ควรเป็นอิสระขาดจากกนั ๘) อาจใช้รูปภาพช่วยเพ่อื ลดความเครยี ดของผูส้ อบ หรือทำใหเ้ ขา้ ใจคำถามดขี ึ้น ด้านตวั เลอื ก ๑) คำถามข้อหนง่ึ ๆ ตอ้ งมีคำตอบท่ีถูกตอ้ งที่สุดเพียงตวั เลอื กเดียวเทา่ นนั้ ๒) เขียนให้ทั้งตัวถกู และตวั ผิด ถกู ผิดตามหลักวิชา ๓) เขยี นให้ตัวเลือกเป็นอิสระจากกนั ๔) เขียนตวั เลือกให้กะทดั รัด ไม่ยดื ยาว หรอื เพิ่มคำทไ่ี มจ่ ำเปน็ ๕) ตวั เลือกต้องเป็นเอกพันธ ์ ๖) ตวั เลอื กทีถ่ กู ไมค่ วรยาวเกินไป ๗) จัดตัวเลอื กใหเ้ ป็นระบบ เชน่ เรียงตาม พ.ศ. เรียงจากน้อยไปมาก เป็นต้น ๘) หลกี เล่ียงการเขยี นตัวถกู ใหพ้ อ้ งเสียง หรือมีคำ/ข้อความทีซ่ ำ้ กับตัวคำถาม ๙) ตำแหนง่ ของตวั ถูกควรกระจายในลักษณะสุ่ม ๑๐) ตัวลวงตอ้ งมีโอกาสเป็นไปได้ ๑๑) ไมค่ วรมตี วั เลอื กประเภท “ถกู หมดทกุ ขอ้ ” หรอื “ไม่มีขอ้ ใดถูก” แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนอาจเป็นแบบปรนัยหรืออัตนัยอย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจเป็นท้ังแบบปรนัยและอัตนัยรวมกันในแบบทดสอบฉบับเดียวกันก็ได้ ทั้งน้ีขึ้นอยู่กับ วัตถุประสงค์ในการวัด ระดับพฤติกรรมการเรียนรู้ท่ีต้องการวัด จำนวนผู้เข้าสอบ ระยะเวลาในการ สร้างขอ้ สอบ การดำเนินการสอบและการตรวจข้อสอบ 112 สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน
ชุดฝึกอบรมการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพฒั นาเคร่อื งมอื วดั และประเมินผลการเรียนร ู้ ใบความรูท้ ี่ ๒.๒ แนวคดิ การจัดระดับพฤตกิ รรมด้านความรู้ ความคดิ การตรวจสอบความรู้ ทักษะ ความสามารถของผู้เรียนจะดูจากพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนกับ ผู้เรียน อันเป็นผลมาจากประสบการณ์การศึกษา พฤติกรรมเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการแสดงออกทาง ปัญญาและการคิด นักคิดชั้นนำทางการศึกษาได้นำพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่าน้ันมาจัดประเภทอย่าง เป็นระบบ เรียกว่า Taxonomy of Educational Objectives เพื่อช่วยในการเขียนจุดประสงค์ ทางการศึกษา และเอ้ือใหเ้ กดิ ความเช่ือมโยงสอดคลอ้ งระหวา่ งหลักสตู ร การสอน และการประเมินผล สำหรับในด้านการวัดผลประเมินผล คำท่ีบ่งบอกพฤติกรรมระดับต่าง ๆ เหล่านี้เป็นโครงสร้าง ท่ีใช้อ้างอิงในการสร้างคำถาม และจัดประเภทของคำถามว่าวัดกระบวนการทางปัญญาที่อยู่ในระดับ พ้นื ฐานหรือระดับสงู ระบบทร่ี ูจ้ ักกันดีทางการศึกษา และเปน็ กรอบแนวคิดท่มี ีทฤษฎแี ละการปฏิบัติ ทหี่ ยัง่ รากลกึ คอื Bloom’s Taxonomy (๑๙๕๖) และ Bloom’s Revised Taxonomy (๒๐๐๑) ซ่ึงเปน็ ฉบบั ปรบั ปรุงโดย Anderson และ Krathwohl นอกจากนี้ ในปัจจุบัน Wiggins และ McTighe ได้กล่าวถึงการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความ เข้าใจอย่างแท้จริงในสิ่งท่ีเรียน ผ่านการปฏิบัติจริงเพราะมีคุณค่า เน่ืองจากทำให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ และทักษะที่ได้รับในช้ันเรียนมาแก้ปัญหา ผลิตและสร้างสรรค์ Wiggins และ McTighe ได้จำแนก ความเข้าใจอย่างแท้จริงเป็น ๖ มิติ เรียกว่า The Six Facets of Understanding โดยระบุว่า เม่ือผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแท้จริง ผู้เรียนจะสามารถอธิบายได้ ตีความได้ ใช้ความร ู้ ได้ประเมินมุมมองต่าง ๆ ได้ มคี วามเข้าใจผู้อืน่ และมคี วามเข้าใจตนเอง สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาได้รวบรวมความหมายและคำสำคัญท่ีบ่งบอก การปฏิบัติ ท้ังท่ีเป็น Bloom’s Taxonomy, Bloom’s Revised Taxonomy และ The Six Facets of Understanding ไว้ในใบความรู้นี้ เพ่ือให้ครูผู้สอนนำไปใช้ในการวิเคราะห์ตัวชี้วัด และสรา้ งเครอ่ื งมือวัดและประเมนิ ผลการเรียนรขู้ องผู้เรียน สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน 113
ชดุ ฝกึ อบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครอ่ื งมอื วดั และประเมนิ ผลการเรียนรู ้ Bloom’s Taxonomy of Educational Objectives Bloom (๑๙๕๖) จำแนกการเรียนรู้เป็น ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านปัญญาหรือทักษะการคิด (cognitive domain) ดา้ นอารมณ์ (affective domain) และดา้ นทกั ษะทางกาย (psychomotor domain) ทั้ง ๓ ด้าน มิได้แยกออกจากกันโดยเด็ดขาด แต่มีความเหล่ือมซ้อนกัน ด้านปัญญาหรือ ทักษะการคิดเป็นด้านที่มีการนำไปใช้มากท่ีสุด ทั้งในการออกแบบหลักสูตร จัดกิจกรรมการเรียน การสอนและการวัดผลประเมินผล ซึ่ง Bloom จัดการเรียนรู้ทางปัญญาไว้เป็น ๖ ระดับ เรียงจาก ระดบั พื้นฐานถึงระดับสงู ได้แก่ ความรู้ ความเขา้ ใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ และ การประเมินค่า โดยระดับความรู้ ความเข้าใจ และการนำไปใช้ จัดเป็นทักษะการคิดระดับพื้นฐาน สำหรับการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า เป็นทักษะการคิดระดับสูง แต่ละระดับ มีคำกริยาสำคัญท่ีบ่งชี้พฤติกรรมกำกับไว้ทำให้ครูผู้สอนพอใจเพราะใช้ง่าย นอกจากนี้ยังมีการจัดทำ เป็นตารางหรือแผนภูมิแบบต่าง ๆ ที่จะช่วยให้ครูผู้สอนสามารถเชื่อมโยงเป้าหมายสู่การทำกิจกรรม ในชั้นเรียน ดงั นี ้ ตาราง Bloom’s Taxonomy และคำสำคัญท่ใี ช้ในการสร้างคำถาม ระดบั ของ ทกั ษะที่แสดงออก คำสำคัญทใ่ี ชใ้ นการสรา้ งคำถาม กระบวนการ (ตวั อย่าง) ทางปญั ญา ความร ู้ - สังเกตแล้วจำข้อมลู จัดทำรายการ (list) แสดง (show) - ความรู้ข้อมูล วนั ท่ี เหตุการณ์ สถานที่ ระบุ (define) ติดป้ายบอก (label) - ความรูเ้ กย่ี วกับแนวคิดสำคัญ - ความรู้ในเน้อื หาวิชา บอก (tell) รวบรวม (collect) พรรณนา (describe) ตรวจ (examine) ระบุ (identify) จดั ทำตาราง (tabulate) ระบคุ ำพดู จดบนั ทกึ (record) บอกชื่อ เลือก (select) การใชค้ ำถามประเภท ใคร เม่อื ไร ท่ไี หน 114 สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน
ชุดฝึกอบรมการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมอื วัดและประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ ระดบั ของ ทกั ษะท่แี สดงออก คำสำคัญทใี่ ช้ในการสรา้ งคำถาม กระบวนการ (ตัวอยา่ ง) ทางปญั ญา ความเข้าใจ - เข้าใจขอ้ มลู สรุป (summarize) พรรณนา (describe) - จับความได้ - ถา่ ยโอนความรู้เปน็ บริบทใหม ่ อภิปราย (discuss) ตคี วาม (interpret) - ตคี วาม เปรียบเทยี บความเหมือน ความแตกต่าง อธิบาย (explain) บอกความแตกต่าง - ทำนายผลพวงทตี่ ามมา (contrast) การนำไปใช ้ - ใชข้ ้อมูลสารสนเทศ - ใชว้ ธิ กี าร กรอบความคดิ ทฤษฎ ี เช่อื มโยง (associate) จำแนก (distinguish) ในสถานการณใ์ หม่ - แก้ปัญหาโดยใช้ทกั ษะหรือความรู ้ ประมาณ (estimate) ที่จำเป็นนนั้ ๆ ทำนาย พยากรณ์ (predict) ใช้ (apply) เชอื่ มโยง (relate) สาธิต (demonstrate) เปลย่ี นแปลง (change) การวเิ คราะห ์ - การเห็นรปู แบบ คำนวณ (calculate) จัดประเภท (classify) - การจัดส่วนย่อยต่าง ๆ เขา้ ด้วยกนั - การเข้าใจนัยของความหมายแฝง ทดลอง (experiment) คน้ หา (discover) - การระบสุ ว่ นประกอบต่าง ๆ แสดงให้ดู (show) ตดิ ตั้ง (establish) แกป้ ญั หา (solve) ถ่ายโอน (transfer) ตรวจสอบ (examine) สรา้ ง (construct) ปรบั (modify) บรหิ ารจัดการ (administer) ทำให้สมบรู ณ์ (complete) ขยายความประกอบ (illustrate) วเิ คราะห์ (analyze) จดั ประเภท (classify) แยก (separate) จัดเรยี ง (arrange) จัดลำดบั (order) แบ่ง (divide) อธบิ าย (explain) เปรยี บเทยี บ (compare) เชอื่ มโยง (connect) เลอื ก (select) พาดพิง (infer) สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน 115
ชุดฝึกอบรมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครือ่ งมือวดั และประเมนิ ผลการเรียนร ู้ ระดับของ ทกั ษะทีแ่ สดงออก คำสำคัญท่ีใช้ในการสร้างคำถาม กระบวนการ (ตัวอยา่ ง) ทางปัญญา การสงั เคราะห ์ - ใชค้ วามคิดในการสร้างสรรค์สิง่ ใหม ่ ผนวก (combine) แต่ง เขยี น (write) - สรุปกฎจากข้อเท็จจริงทใี่ ห้ บรู ณาการ (integrate) สรา้ งสตู ร (formulate) - เชือ่ มโยงความร้จู ากสาขาวิชาตา่ ง ๆ ตอ่ รอง (negotiate) แนะนำ (devise) - พยากรณ์ ลงสรุป จดั เรียงใหม่ (rearrange) สรปุ เปน็ กฎ (generalize) แทนที่ (substitute) แกไ้ ขเขยี นใหม่ (rewrite) วางแผน (plan) ออกแบบ (design) ประดิษฐ์ (invent) สรา้ งสรรค์ (create) การประเมินค่า - เปรียบเทียบแลว้ จำแนกระหวา่ ง ประเมนิ (assess) วิจารณ์ (criticize) ตัดสินใจ (decide) ชักจูง (convince) ผลความคดิ ต่าง ๆ จัดอนั ดับ (rank) ปกป้อง (defend) - ประเมินคุณค่าของทฤษฎี ใหร้ ะดับ (grade) ตัดสิน (judge) การนำเสนอ ทดสอบ (test) อธิบาย (explain) - เลือกโดยใชเ้ หตผุ ลที่โตแ้ ย้งกนั แลว้ วัด (measure) แบง่ แยก (discriminate) พสิ จู นค์ ุณค่าของหลกั ฐาน สรุป (summarize) เปรียบเทยี บ (compare) Bloom’s Revised Taxonomy เพ่ือตอบสนองความรู้ใหม่ ๆ ที่พัฒนาอย่างมาก ท้ังในเรื่องจิตวิทยา สมองกับการเรียนรู้ ตลอดจนการศึกษาทอี่ งิ มาตรฐาน และการประกันคณุ ภาพการศึกษาวา่ ผู้เรียนได้เรยี นรู้ตามมาตรฐาน Anderson และ Krathwohl จึงได้ปรับปรุง Bloom’s Taxonomy และจัดพิมพ์ฉบับปรับปรุง ในปี ๒๐๐๑ ซง่ึ มกี ารเปล่ยี นแปลงในเร่ืองคำศัพทแ์ ละโครงสรา้ งของกรอบความคดิ ดังนี ้ ๑. Bloom’s Revised Taxonomy ได้เพ่ิมมิติความรู้อีกมิติหน่ึง นอกเหนือจาก กระบวนการทางปัญญา ๖ ระดับ ประกอบด้วยความรู้ ๔ ประเภท ได้แก่ ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริง ความรู้ท่ีเป็นความคิดรวบยอด ความรู้ท่ีเป็นกระบวนการ และความรู้ท่ีเป็นการรู้คิดในตนหรือ อภปิ ญั ญา ซง่ึ จัดทำเปน็ ตารางมติ ิสัมพันธ์ ๒ ด้าน ดงั นี้ 116 สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน
ชุดฝึกอบรมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การสร้างและพัฒนาเครือ่ งมอื วดั และประเมินผลการเรยี นร ู้ มติ คิ วามร้ ู มิตกิ ระบวนการทางปัญญา (The Cognitive Process Dimension) (The Knowledge จำ เข้าใจ ใช้ วิเคราะห์ ประเมนิ ค่า สร้างสรรค ์ Dimension) (Remember) (Understand) (Apply) (Analyze) (Evaluate) (Create) ก. ความรู้ทีเ่ ป็น ข้อเท็จจริง ข. ความรู้ทเี่ ปน็ ความคดิ รวบยอด ค. ความรูท้ ี่เปน็ กระบวนการ ง. ความรทู้ ี่เป็น การรู้คิดในตน หรืออภิปญั ญา ๒. กระบวนการทางปัญญา มี ๖ ระดับเช่นเดิม แต่มีการสลับลำดับขั้นการสังเคราะห ์ และ การประเมินค่า มาเป็นประเมินค่าและสร้างสรรค์ นอกจากนี้ ได้เปลี่ยนจากการใช้คำนาม มาเปน็ คำกริยาในการระบกุ ระบวนการทางปัญญา ท้ังน้ี เพ่อื ให้สอดคล้องกับการศกึ ษาท่ีอิงมาตรฐาน ซงึ่ ระบวุ ่าผู้เรียนร้อู ะไร ทำอะไรได้ ดงั น้ ี Bloom’s Taxonomy Bloom’s Revised Taxonomy ความรู้ (Knowledge) จำ (Remember) ความเขา้ ใจ (Comprehension) เขา้ ใจ (Understand) การนำไปใช้ (Application) ใช้ (Apply) การวเิ คราะห์ (Analysis) วเิ คราะห์ (Analyze) การสงั เคราะห์ (Synthesis) ประเมนิ ค่า (Evaluate) การประเมินคา่ (Evaluation) สรา้ งสรรค์ (Create) สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน 117
ชดุ ฝึกอบรมการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครือ่ งมือวดั และประเมินผลการเรยี นร้ ู ๓. Bloom’s Taxonomy แสดงการพัฒนาตามลำดับข้ันจากพื้นฐานถึงระดับสูง เช่น เม่ือใช้ความเข้าใจ หมายความว่าจะต้องผ่านขั้นความรู้มาแล้ว หรือหากจะประเมินค่าได้ต้องผ่าน ๕ ลำดบั ขน้ั ต้น ๆ มากอ่ น จึงมขี ้อวิพากษไ์ ม่เหน็ ด้วยกบั การเรียนรู้ที่ตอ้ งเป็นลำดบั อยา่ งเขม้ งวดเชน่ น้ี เพราะกระบวนการทางปญั ญาบางอยา่ งเหล่ือมซอ้ นกนั เช่น เข้าใจ และใช้ ท่บี อกวา่ ต้องพัฒนาตาม ลำดับจึงไม่จริงเสมอไป แต่เห็นด้วยว่าการพัฒนากระบวนการทางปัญญาหรือการคิดเป็นการเพ่ิม ระดับความซบั ซ้อนยิ่งขน้ึ ๔. ใช้ตารางมิติสัมพันธ์ ๒ ด้าน ในการออกแบบจัดการเรียนรู้และการประเมินผล ใหส้ อดคลอ้ งกัน น่นั คือท้งั จดุ ประสงค์การเรียนรู้และสง่ิ ทจ่ี ะประเมินจะลงอย่ใู นชอ่ งเดยี วกันในตาราง มิติสัมพันธ์นี้ ตัวอย่างเช่น ผู้เรียนสามารถจำรูปทรงเรขาคณิตได้ ๕ รูปทรง จุดประสงค์น ี ้ มิติกระบวนการทางปัญญาจะลงในช่องจำ และมิติความรู้จะเป็นข้อเท็จจริง วิธีการประเมินอาจ เป็นการสอบ โดยให้บอกชื่อและบรรยายรปู ทรงเรขาคณิต ๕ รูปทรง เป็นต้น ความหมายของมติ ิความรู้และมิตกิ ระบวนการทางปญั ญาโดยสงั เขป มติ คิ วามรู ้ Anderson และ Krathwohl ไดย้ กขน้ั ความรู้ (Knowledge) ของ Bloom มาเป็นมิติความรู้ อีก ๑ มติ ิ เพ่ิมจากของเดมิ ความรู้ ๔ ประเภทน้ี จำแนกเป็น ๑๑ ประเภทยอ่ ย ดังน ้ี ๑. ความรู้ท่ีเป็นข้อเท็จจริง เป็นข้อเท็จจริงพื้นฐาน นิยามศัพท์ หรือรายละเอียดของ วชิ า/สาขา/เนอื้ หาทศี่ ึกษา ความร้ทู ี่เปน็ ข้อเทจ็ จรงิ นี้ แบง่ เป็น ๒ ประเภทยอ่ ย คือ - ความรู้เกี่ยวกบั นยิ ามศพั ท์ (Knowledge of terminology) - ความรู้ในรายละเอียดและองค์ประกอบ (Knowledge of details and elements) ๒. ความรู้ท่ีเป็นความคิดรวบยอด เป็นความรู้เก่ียวกับวิธีในการจำแนกประเภทแนวคิด หรอื สิง่ ของ การจัดกล่มุ แนวคดิ หรือสงิ่ ของ หรือพัฒนาให้เป็นหลกั การ รปู แบบ หรอื ทฤษฎี หรอื เป็น ความรู้เก่ียวกับความสัมพันธ์ของสิ่งของ หรือความคิดรวบยอด เช่น จัดประเภทวัตถุในระบบสุริยะ เป็นดาวนพเคราะห์ ดวงจันทร์ ดาวเคราะห์ และดาวหาง หรือจัดประเภทความรู้ที่เป็นหลักการ ทางวิทยาศาสตร์ เช่น ผลกระทบของแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ท่ีมีต่อกระแสน้ำในมหาสมุทร หรือเกยี่ วกบั ทฤษฎี เช่น ทฤษฎสี มั พนั ธภาพ ความรทู้ ี่เป็นความคิดรวบยอด แบง่ เป็น ๓ ประเภทย่อย คือ - การจำแนกประเภทและจัดเขา้ กลุ่ม (Classifications and Categories) - หลกั การและการสรุปเป็นกฎ (Principle and Generalizations) - ทฤษฎี รปู แบบ และโครงสร้าง (Theories, Models and Structures) 118 สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน
ชดุ ฝึกอบรมการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสรา้ งและพัฒนาเครอื่ งมือวัดและประเมินผลการเรียนร ู้ ๓. ความรู้ที่เป็นวิธีการ/กระบวนการ เป็นกระบวนการหรือข้ันตอนในการปฏิบัติ กิจกรรม วธิ กี ารทำ ทักษะเฉพาะต่าง ๆ เช่น ความรู้ในวิธกี ารเขียนรายงาน ความรู้ในดา้ นนี้แบง่ เป็น ๓ ประเภทยอ่ ย คือ - ทักษะเฉพาะของวชิ า (Subject specific skills) - วธิ ีการเฉพาะของวิชา (Subject specific techniques) - ความร้วู า่ จะใช้กระบวนการ/วิธีการทเ่ี หมาะสมเมอื่ ใด (Knowledge of when to use appropriate procedures) ๔. ความรู้เก่ียวกับการรู้คิดในตน (อภิปัญญา) เป็นความรู้เก่ียวกับทักษะการคิดและ กระบวนการคิดของตนเอง ความรู้เก่ียวกับยุทธวิธีการจำ ยุทธวิธีการแสวงหาความรู้ และความรู้ เกี่ยวกับการสำรวจตนเอง ซ่ึงจะช่วยในการเรียนรู้ เช่น การตระหนักรู้ในเป้าหมาย ความสามารถ และความสนใจของตนเอง แบง่ เปน็ ๓ ประเภทยอ่ ย คือ - ความรทู้ ่เี ปน็ ยุทธวิธี - การร้เู หมาะรูค้ วร - การรจู้ ักตนเอง มติ กิ ระบวนการทางปัญญา มิติกระบวนการทางปัญญา ประกอบด้วย การคิด ๖ ประเภท ได้แก่ จำ เข้าใจ ใช้ วิเคราะห์ ประเมินค่า และสร้างสรรค์ โดยท่ีกระบวนการทางปัญญาจะระบุเป็นคำกริยา เพ่ือให้ สะดวกต่อการใช้เขียนจุดประสงค์การเรียนรู้และการประเมิน การเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้จะนำ คำกริยาจากมิติกระบวนการทางปัญญา และคำนามจากด้านความรู้มาเขียนคู่กัน เช่น ใช้/ความรู้ กระบวนการ คำอธบิ ายกระบวนการทางปัญญา กระบวนการทางปัญญาท้งั ๖ ประเภท ประกอบดว้ ยการคดิ ยอ่ ย ๆ ๑๙ ประเภท โดยสรุป ดังนี้ กระบวนการทางปญั ญา ความหมาย/ตวั อย่าง ๑. จำ (Remember) การผลิตสารสนเทศทีถ่ ูกต้องจากการจำ กระบวนการคิดนี้เกี่ยวข้องกบั การเรยี กใชค้ วามรู้ จากความจำระยะยาว แบ่งเป็น ๒ ดา้ น คือ ระบุได้ (Recognizing) - เปน็ กระบวนการทีเ่ ก่ียวข้องกับการระบุการกระทำหรือเหตกุ ารณ์ โดยมีตัวเรา้ ภายนอกชว่ ย เชน่ ใหผ้ ู้เรียนบอกคำท่มี คี วามหมายเหมือนกนั โดยมรี ายการคำ มาใหจ้ ำนวนหนึ่ง การจำ/หวนคดิ ได้ - เปน็ ขั้นท่สี งู กวา่ recognizing กลา่ วคอื ไม่มตี ัวเรา้ ภายนอกช่วยในการเรยี ก (Recalling) ความจำ เชน่ ให้ผเู้ รียนบอกชื่อนายกรฐั มนตรี ภาระงานเชน่ นเ้ี ปน็ ภาระงานจำ (recall task) อยา่ งแท้จรงิ สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน 119
ชดุ ฝึกอบรมการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครอื่ งมอื วัดและประเมินผลการเรียนร ู้ กระบวนการทางปัญญา ความหมาย/ตัวอย่าง ๒. เข้าใจ (Understand) เปน็ กระบวนทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ความสามารถในการรูค้ วามหมาย โดยใช้กิจกรรมการสอน หลากหลาย ประเภทของเข้าใจประกอบดว้ ยกระบวนการคดิ ย่อย ๗ ประเภท ไดแ้ ก ่ การตีความ (Interpreting) - การจดั ประเภท การแปลความหมาย การทำใหเ้ กดิ ความกระจา่ งชดั การยกตัวอยา่ ง (Exemplifying) - แสดงตวั อย่างประกอบ เชน่ วาดรปู ประกอบ ระบรุ ายการส่ิงของประกอบ การจำแนกประเภท - การจัดกลุ่มความสมั พนั ธ์ เช่น บอกจำนวนเลขคี่ เลขคู่ (Classifying) การสรปุ (Summarizing) - การจบั ใจความสำคัญจากส่งิ ทอ่ี า่ นหรือฟัง การอนุมาน (Inferring) - การลงสรปุ จากส่ิงที่อา่ น การค้นหาความหมายจากบรบิ ทในส่งิ ท่อี า่ น การเปรียบเทยี บ (Comparing) - การอธบิ ายรายละเอียด เชน่ อธบิ ายวา่ การทำงานของหวั ใจเหมือนปม๊ั น้ำ อยา่ งไร หรอื นำเสนอด้วยตารางเปรียบเทยี บวรรณกรรม ๒ เรอื่ งวา่ เหมอื นหรือ ต่างกนั อยา่ งไร การอธบิ าย (Explaining) - การระบุผลลพั ธ์ นำเสนอข้อคิดเห็นด้วยเหตผุ ล หรือขอ้ พิสจู น์ การบอกวธิ ีการ ขน้ั ตอนการปฏบิ ัต ิ ๓. ใช้ (Apply) กระบวนการคิดนี้เกย่ี วขอ้ งกับการใช้ข้นั ตอน วธิ กี าร วธิ กี ารปฏบิ ัติ กระบวนการเพ่ือปฏบิ ตั ิภาระงาน แบ่งเปน็ กระบวนการคดิ ยอ่ ย ๆ ๒ ประเภท คอื การปฏิบัติ (Executing) - ใชก้ ับภาระงานที่ผเู้ รยี นคุ้นเคย เชน่ ปฏบิ ัติภาระงานในหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร เคมี การดำเนนิ การ - ใชก้ บั ภาระงานที่ใหมส่ ำหรับผู้เรียน เชน่ ผู้เรยี นตดั สินใจเลือกวธิ ีท่ดี ีทสี่ ดุ (Implementing) ในการจ่ายค่าบ้านหลังใหม่ ในการดำเนินการ ผ้เู รียนต้องเลือกจากทางเลอื ก ท่ีหลากหลาย ซ่ึงไมม่ คี ำตอบทนั ที หรอื คำตอบท่ีชดั แจ้ง หรอื ถกู -ผิด ชัดเจน ๔. วิเคราะห์ (Analyze) กระบวนการคิดนีเ้ ปน็ ท้งั การแยกประเด็นปญั หาหรือโครงสรา้ งให้เป็นองค์ประกอบย่อย และการไดข้ ้อสรุปว่าสว่ นย่อยตา่ ง ๆ ประกอบเข้าดว้ ยกันไดอ้ ย่างไร ไดข้ อ้ สรปุ วา่ โครงสรา้ งท้งั หมดได้มาอยา่ งไร กระบวนการคิดน้ปี ระกอบดว้ ยกระบวนการคิดยอ่ ย ๆ ๓ ประเภท คือ การบอกความแตกตา่ ง - เปน็ การวนิ ิจฉัยส่วนตา่ ง ๆ ทอี่ ยูแ่ ยก ๆ กัน ให้เห็นความแตกต่างอยา่ งเด่นชัด (Differentiating) เชน่ การแยกระหวา่ งตวั ละครเอกและตวั ละครรองในการเล่นละคร การสร้าง จัดระบบ จัดตั้ง - เปน็ การตัดสินใจวา่ ส่วนยอ่ ยตา่ ง ๆ ประกอบเขา้ ดว้ ยกันเป็นท้งั หมดได้อย่างไร รวบรวม (Organizing) การวเิ คราะหส์ าเหตุ - เปน็ การวเิ คราะหห์ าสาเหตุ หรอื ค้นหาเจตนารมณ์แฝงในการสื่อสาร (Attributing) 120 สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน
ชุดฝกึ อบรมการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครือ่ งมือวัดและประเมินผลการเรยี นร ู้ กระบวนการทางปัญญา ความหมาย/ตวั อย่าง ๕. ประเมินค่า (Evaluate) กระบวนการคิดน้ีเปน็ การใหผ้ ู้เรียนตดั สนิ โดยพจิ ารณาจากมาตรฐานหรอื เกณฑ ์ ที่กำหนด กระบวนการคดิ นี้ประกอบไปดว้ ยกระบวนการคดิ ยอ่ ย ๆ ๒ ประเภท คือ การตรวจสอบ (Checking) - เปน็ การให้ผู้เรยี นตรวจค้น สืบหาสิง่ ทีซ่ อ่ นเร้นอยู่ (Detect) ขอ้ สรุป ที่ไมส่ อดคล้องหรือไม่เปน็ ผลจากชุดขอ้ มูล เช่น ให้ตรวจสอบข้อสรุปเกี่ยวกบั โลกร้อน เพ่อื หาว่าเปน็ การสรุปตามข้อมลู อยา่ งสมเหตุสมผลหรอื ไม่ การวพิ ากษว์ จิ ารณ์ (Critiquing) - เก่ยี วข้องกับการพจิ ารณาตัดสิน (Judging) ผลงานหรอื กระบวนการ โดยยึด เกณฑท์ ก่ี ำหนดไว้ลว่ งหน้า หรอื การจัดทำรายการคณุ สมบตั ิท้ังเชงิ บวกและลบ ๖. สรา้ งสรรค์ (Create) กระบวนการคิดนเ้ี ป็นการพัฒนาผลงาน หรือความคดิ ทเ่ี ป็นเอกลักษณ์ (Unique) ตลอดจนสังเคราะห์ขอ้ มลู ที่มปี รากฏอยแู่ ลว้ Anderson และ Krathwohl ไดใ้ ห้ขอ้ สังเกตวา่ “นกั การศึกษา ตอ้ งระบุว่าอะไรคืองานตน้ ฉบบั (Original) และอะไรคืองานเอกลกั ษณ์ (Unique) ... และสิ่งสำคญั ทตี่ ้องทราบ คอื จุดประสงค์หลายอย่างในขนั้ สร้างสรรค์ ไมม่ ที ้ังความเปน็ ตน้ ฉบบั หรือความเป็นเอกลกั ษณ์” ดังนัน้ เกณฑข์ องกระบวนการคดิ สร้างสรรค์จงึ มตี ้ังแต่การนำส่ิงท่ีมีอยู่แล้วมาประดษิ ฐใ์ หม่ (Devising) จนถึงผลงาน ทส่ี ร้างสรรคใ์ หมจ่ รงิ ๆ กระบวนการคดิ นี้แบง่ เปน็ ๓ ประเภท คือ การระดมสมอง/สรา้ ง - เป็นการใหไ้ ดแ้ นวทางทหี่ ลากหลายในการแกป้ ญั หา (Generation) การวางแผน (Planning) - เปน็ การพัฒนาแผนปฏิบัติการ เพอ่ื ดำเนินงานใหไ้ ด้แนวทางทหี่ ลากหลาย ในการแก้ไขปญั หา การผลิต (Producing) - เป็นการทำแผนให้สำเร็จ โดยได้ขอ้ ยุติสุดท้ายของแนวทางแก้ไขปญั หา สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน 121
ชดุ ฝึกอบรมการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ การสรา้ งและพฒั นาเคร่ืองมอื วัดและประเมนิ ผลการเรียนร ู้ The Six Facets of Understanding ในหนังสือ Understanding by Design ยกตัวอย่างเสียงสะท้อนจากครูคนหนึ่งว่า “ผู้เรียนเก่ง (เพราะมีคะแนนสูง) ใช่ว่าจะได้แสดงความเข้าใจอย่างแท้จริงในส่ิงท่ีเรียน เพราะการ วดั ผลใช้การทดสอบที่วัดความจำจากหนงั สือเรยี นเสยี เป็นสว่ นมากกบั การรายงานในช้ันเรียน” การวดั ผลมกั ถูกกล่าวหาว่าวัดแต่ขอ้ เทจ็ จรงิ ความรู้และทกั ษะจากหนังสือ ทำใหว้ ดั ได้เพียง ทักษะการคิดพ้ืนฐานขั้นจำและเข้าใจ (comprehension) เป็นส่วนใหญ่ แต่ความเข้าใจที่แท้จริง (real understanding) เป็นเรื่องท่ีเกี่ยวข้องกับการรู้ชัดแจ้ง และความสามารถท่ีจะสะท้อนออกมา จากการปฏิบัติ การประเมินความเข้าใจจึงต้องดูจากหลักฐานท่ีไม่ใช่การทดสอบอย่างเดียว Wiggins และ McTighe ซ่ึงนำเสนอกรอบความคิดการออกแบบหน่วยการเรียนรู้แบบย้อนกลับ ได้ให้ความ สำคัญกับงานรวบยอดของหน่วยการเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนทำ ว่าต้องเป็นงานที่ผู้เรียนนำความรู้ ทักษะ ท่ีเรียนมาใช้ในสถานการณ์ใหม่ การที่จะให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ทักษะมิใช่สิ่งที่เกิดข้ึนได้ในฉับพลัน และจากการบอกของครู แต่ต้องเป็นผลจากการท่ีผู้เรียนได้รับผิดชอบการเรียนรู้ของตน ฉะน้ัน ตลอดช่วงของการพัฒนาในแต่ละหน่วย ต้องให้ผู้เรียนได้แสดงออกถึงการแสวงหาความรู้และ คิดทบทวนปรับปรุง ครูผู้สอนเก็บหลักฐานที่บ่งบอกว่าเกิดการเรียนรู้แล้วหรือไม่ ในระดับใด อย่างต่อเนื่อง ด้วยการประเมินหลาย ๆ วิธี หลาย ๆ คร้ัง ท้ังอย่างไม่เป็นทางการและเป็นทางการ Wiggins และ McTighe ใหข้ อ้ เสนอแนะว่า ในการวางแผนเกบ็ หลกั ฐานท่ีแสดงรอ่ งรอยความเขา้ ใจนน้ั ครูควรใช้วิธีการประเมินหลายวิธีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีวัตถุประสงค์ ระดับ ความซบั ซอ้ นของการประเมนิ กรอบเวลา บรบิ ท และโครงสรา้ งแตกตา่ งกนั ดงั น้ ี 122 สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน
ชุดฝึกอบรมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพฒั นาเคร่ืองมือวัดและประเมนิ ผลการเรียนร ู้ ภาระงานที่เป็นชิน้ : เปน็ การเผชญิ ประเด็นและปัญหาทเ่ี หมอื นการทำงานของผู้ใหญ่ งาน/โครงการ เป็นสภาพจรงิ เป็นไดท้ ้งั เร่ืองที่ใชเ้ วลาสั้น ๆ หรอื ยาว หรอื เปน็ (Performance โครงการทมี่ หี ลายขน้ั ตอน กำหนดใหผ้ ้เู รียนผลิตหรอื ปฏบิ ัติ task/project) ใชบ้ รบิ ทจริงหรอื จำลอง ผูเ้ รียนรบั ทราบลักษณะงาน เกณฑท์ ใี่ ช้ ในการประเมนิ ล่วงหน้า ซึง่ สิ่งเหล่านี้ยังใชเ้ ป็นแนวทางในการทำงาน ของผเู้ รยี นดว้ ยการปฏิบัติ/โครงงาน ประเด็นวิชาการ : เปน็ คำถามปลายเปิด หรอื ปญั หาที่กำหนดให้ผเู้ รยี นคดิ อยา่ งมี (Academic วจิ ารณญาณ แล้วจงึ เตรียมหาคำตอบ ผลิตหรือปฏิบัติ บรบิ ทเป็น prompt) ภายในโรงเรียนหรอื สภาวะของการสอบ เป็นแบบเปดิ คอื ไมม่ คี ำตอบเดยี วทด่ี ที ่ีสดุ หรอื วิธีเดียวสำหรับการตอบหรอื แกป้ ญั หา ไมก่ ำหนดวิธกี ารมาให้ ผูเ้ รยี นตอ้ งพัฒนาหาวิธีการ ต้องใช้ การวเิ คราะห์ สังเคราะห์ และประเมนิ ค่า มักกำหนดให้อธบิ าย หรือใหเ้ หตุผล แสดงจุดยนื ในคำตอบหรือวธิ กี ารทีเ่ ลือกใช้ การให้ คะแนนพิจารณาจากเกณฑ์หรือมาตรฐานผลการปฏบิ ตั ิ ขอ้ สอบ : ขอ้ คำถามเนน้ การวดั เน้อื หา ข้อเท็จจริง concept และทกั ษะ (Quiz/test) ย่อย รปู แบบข้อสอบเปน็ แบบเลอื กตอบ หรือแบบตอบสนั้ ซ่ึงมกั จะมีคำตอบถกู คำตอบเดยี ว หรอื คำตอบดที ่สี ุด การสังเกต/พูดคยุ (Observation/ dialogue) การตรวจสอบ ความเข้าใจอย่าง : ดำเนินการเป็นปกติ ตอ่ เนอื่ งในระหวา่ งการเรยี นการสอน ไม่เปน็ ทางการ (Informal checks for understanding) สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน 123
ชดุ ฝึกอบรมการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ การสร้างและพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ Wiggins และ McTighe กลา่ วว่าเมอื่ เกดิ ความเขา้ ใจอยา่ งแทจ้ รงิ เราจะสามารถอธิบายได้ ตีความได้ ใช้ความร้ไู ด้ ประเมินมมุ มองได้ สามารถเข้าใจผอู้ ื่น และเขา้ ใจรจู้ ักตัวเอง สำนักวชิ าการ และมาตรฐานการศึกษาได้รวบรวมความหมายของความเข้าใจแต่ละมิติ คำสำคัญที่บ่งบอก การปฏิบัติในแต่ละมิติ และเกณฑ์ท่ีใช้ในการประเมินจากหนังสือ Understanding by Design ดงั รายละเอยี ดในตารางตอ่ ไปนี้ ตารางแสดงความหมายและตัวอย่างการปฏบิ ัตขิ องมิตคิ วามเขา้ ใจ มิต ิ ความหมายและตัวอยา่ งการปฏิบตั ิ คำสำคญั เกณฑ ์ ความเขา้ ใจ (ทใี่ ช้ในการตั้ง การประเมนิ คำถาม) อธบิ าย ผูเ้ รยี นทม่ี คี วามเข้าใจอยา่ งแท้จริงจะสามารถอธบิ ายได้ สาธิต บรรยาย ถกู ตอ้ ง ซง่ึ คำอธิบายนั้นมีขอ้ มูลสนับสนุน มีนำ้ หนัก มีความชัดเจน สอน ออกแบบ สมเหตุสมผล ผู้เรียนมีการแสดงออกโดย แนะ ปรับ เปน็ ระบบ - ให้เหตผุ ลที่ซับซ้อน โดยมที ฤษฎีและหลักการสนบั สนนุ ทำนาย พยากรณ์ คาดคะเนได้ คำอธบิ ายทชี่ ัดแจ้งและเชื่อถอื ได้ สามารถฉายภาพ เหตุการณ์ พสิ ูจน์ แสดง ข้อเทจ็ จรงิ สงิ่ ท่ีอ่าน หรือความคิด มรี ูปแบบการคดิ ทีเ่ ปน็ สังเคราะห ์ ระบบ ช่วยใหเ้ หน็ ภาพ วธิ คี ดิ ชัดเจน แสดงรปู แบบ - ปอ้ งกันหรือแก้ไขความเขา้ ใจผดิ ความคดิ เห็นที่ยงั ไมไ่ ด้ จดั นิทรรศการ วิเคราะห์ ทฤษฎี หรือคำอธบิ าย ทไี่ มถ่ กู ต้อง ถ่ายทอด - บอกกลา่ วความเขา้ ใจในวชิ าน้นั ด้วยภาษาของตนเอง ความรู้สกึ โดยผา่ นการไตร่ตรองและมีความสมเหตสุ มผลได้ 124 สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน
ชุดฝกึ อบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพัฒนาเคร่อื งมือวดั และประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ มติ ิ ความหมายและตวั อย่างการปฏบิ ัต ิ คำสำคัญ เกณฑ ์ ความเข้าใจ (ที่ใชใ้ นการตง้ั การประเมนิ คำถาม) ตคี วาม ผ้เู รยี นทม่ี ีความเขา้ ใจอยา่ งแทจ้ ริงจะสามารถตีความได้ สร้างคำอุปมา มคี วามหมาย สิง่ ทตี่ ีความ แปลความ หรอื บรรยายความนัน้ มนี ้ำหนกั อปุ มยั วิพากษ์ ชดั แจ้ง มคี วามหมาย ผ้เู รียนมีการแสดงออกโดย จดั ทำเปน็ เอกสาร เห็นภาพ - ตีความหมายทแ่ี ฝงอยู่ หรอื สง่ิ ทอี่ ยู่ระหวา่ งบรรทดั ในสง่ิ ท่ีอา่ น ประเมนิ คา่ ในภาษา หรือสถานการณ์ ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ บรรยายภาพ สามารถเสนอนัยทเ่ี ปน็ ไปไดใ้ น “สาร” นนั้ ๆ ซึง่ อาจเปน็ ได้ ตดั สนิ ท้ังหนังสือ สถานการณ์ หรือพฤติกรรมของมนุษย์ เปรียบเปรย - เสนอภาพของสถานการณ์ ความคิด เหตุการณ์ หรอื บคุ คล บอกเลา่ ทมี่ คี วามซบั ซอ้ นไดช้ ัดเจน ทำใหเ้ ข้าถงึ ความคดิ ได้งา่ ยขนึ้ เหตกุ ารณ์ และตรงประเดน็ ขึ้น แปล ทำใหเ้ ข้าใจ บอกนัย ใช้ ผู้เรยี นทีม่ ีความเข้าใจอย่างแท้จริงจะสามารถใชค้ วามร้ ู ปรับ สร้าง ประสิทธิภาพ และมีความรใู้ นวธิ กี าร (know-how) ซงึ่ ผ้เู รยี นมีการ ทดสอบ ตัดสิน ประสทิ ธผิ ล แสดงออกโดย ออกแบบ คลอ่ ง - ใชค้ วามร้อู ยา่ งมปี ระสิทธิภาพในบรบิ ทตา่ ง ๆ ท่ีเปน็ สภาพจรงิ แสดงนทิ รรศการ ปรบั ตวั ได้ - ใช้ความรู้ประดษิ ฐ์ส่งิ ใหม่ ๆ ประดิษฐ์ ปฏบิ ตั ิ สง่างาม - ปรบั เปลีย่ นไดต้ ามสถานการณข์ ณะปฏบิ ัติ ผลติ นำเสนอ แก้ปัญหา เห็นอก ผเู้ รยี นทม่ี ีความเข้าใจอยา่ งแท้จริงจะเห็นอกเห็นใจผู้อ่นื ได้ เปิดเผย เช่อื ไวตอ่ การรบั รู้ เห็นใจผู้อน่ื เข้าถึงความรู้สกึ และทศั นะของผอู้ ืน่ ซงึ่ ผูเ้ รียนมีการ พิจารณา เปดิ เผย แสดงออกโดย จินตนาการ รบั ร ู้ - เห็นคุณค่าในสิง่ ทีผ่ ูอ้ ่นื อาจมองวา่ แปลกประหลาด ไมน่ า่ เชื่อมโยง มองไกล เปน็ ไปได้ โดยนำตัวเองไปสัมผัสความรสู้ กึ ความช่นื ชม บทบาทสมมตุ ิ ในสถานการณข์ องผ้อู ่ืนทีส่ ง่ ผลตอ่ ทัศนคตินนั้ สมมตวิ า่ - รบั รคู้ วามรู้สกึ ได้ไว โดยอาศยั ประสบการณท์ พ่ี บมากอ่ น เป็น.................. - สามารถระบุ บอกความรู้สกึ และทศั นะของผ้อู ื่น สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน 125
ชุดฝึกอบรมการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมอื วัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ มติ ิ ความหมายและตวั อยา่ งการปฏิบัติ คำสำคัญ เกณฑ์ ความเขา้ ใจ (ท่ใี ชใ้ นการตั้ง การประเมิน ขอ้ คำถาม) ร้จู กั ตวั เอง ผ้เู รียนท่มี ีความเขา้ ใจอย่างแท้จริงจะรู้จกั ตัวเอง รูค้ ิด สะท้อน รู้ตนเอง ซง่ึ ผู้เรยี นมีการแสดงออกโดย ประเมนิ ตนเอง อภปิ ญั ญา - รูจ้ ุดเดน่ จุดดอ้ ยของตัวเอง ปรับตวั - มองเห็นว่าบุคลกิ และอปุ นิสยั แบบใดบ้างท่สี นับสนุน สะทอ้ น และเปน็ อปุ สรรคตอ่ ความเข้าใจของบคุ คลนนั้ ๆ เอง ข้อมูลกลบั - รู้ว่าอะไรคือสงิ่ ทย่ี งั ไม่เขา้ ใจ และทำไมการทำความเขา้ ใจ เฉลยี วฉลาด ส่งิ นน้ั จึงเปน็ เรื่องยาก - มีความรคู้ วามเข้าใจว่า แบบแผนความคดิ และการกระทำ ทำให้เกดิ ความเขา้ ใจและความเปน็ ตนเอง 126 สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน
ชดุ ฝึกอบรมการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ การสร้างและพฒั นาเคร่อื งมอื วัดและประเมนิ ผลการเรียนร ู้ ใบความรู้ท่ี ๒.๓ เกณฑ์การประเมิน (Rubric) เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubric) คืออะไร เกณฑ์การประเมนิ (Rubric) คอื แนวการให้คะแนนเพ่อื ประเมินผลงานหรอื การปฏิบตั ิงาน ของผู้เรียน หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า Rubric เป็นเครื่องมือให้คะแนนชนิดหน่ึง ใช้ในการประเมิน การปฏิบัตงิ านหรอื ผลงานของผเู้ รยี น องค์ประกอบของเกณฑ์การประเมนิ (Rubric) เกณฑ์การประเมิน (Rubric) ประกอบด้วย ๒ ส่วน คือ เกณฑ์ (Criteria) ที่ใช้ประเมิน การปฏิบัติหรือผลผลิตของผู้เรียน และระดับคุณภาพหรือระดับคะแนน เกณฑ์จะบอกผู้สอนหรือ ผู้ประเมินว่าการปฏิบัติงานหรือผลงานนั้น ๆ จะต้องพิจารณาส่ิงใดบ้าง ระดับคุณภาพหรือระดับ คะแนนจะบอกว่าการปฏิบัติหรือผลงานที่สมควรจะได้ระดับคุณภาพหรือระดับคะแนนน้ัน ๆ ของ เกณฑ์แต่ละตัว มีลักษณะอย่างไร เกณฑ์การประเมิน (Rubric) จึงเป็นเหมือนการกำหนดลักษณะ เฉพาะของการปฏิบัติหรือผลงานน้ัน ๆ ในเชิงคุณภาพหรือเชิงปริมาณ หรือท้ัง ๒ ประการรวมกัน ท้ังนี้ขึ้นอยู่กับเปา้ หมายของการประเมนิ ชนิดของเกณฑ์การประเมิน (Rubric) เกณฑ์การประเมิน (Rubric) มี ๒ ชนิด คือ เกณฑ์การประเมินแบบภาพรวม (Holistic Rubric) และเกณฑ์การประเมินแบบแยกส่วน (Analytic Rubric) เกณฑ์การประเมินแบบภาพรวม (Holistic Rubric) ครูจะให้คะแนนโดยดูภาพรวม ของกระบวนการหรือผลงาน ไม่แยกพิจารณาเป็นส่วน ๆ เกณฑ์การประเมิน (Rubric) แบบน้ีจะใช้ เมื่อต้องการดูภาพโดยรวมมากกว่าจะดูข้อบกพร่องส่วนย่อย ๆ เกณฑ์การประเมินแบบภาพรวม จะเหมาะกับการปฏิบตั ิทตี่ ้องการใหผ้ เู้ รียนสร้างสรรค์และไม่มคี ำตอบทถ่ี กู ตอ้ งชัดเจนแน่นอน เกณฑ์การประเมนิ แบบแยกสว่ น (Analytic Rubric) ใช้เมอ่ื ตอ้ งการเน้นการตอบสนอง ทีม่ ลี ักษณะเฉพาะ และไม่ไดเ้ นน้ ความคดิ สร้างสรรค์ ใช้เปน็ ตวั แทนของการประเมนิ หลายมติ ิ การใช้ เกณฑ์การประเมินแบบแยกส่วนจึงได้ผลสะท้อนกลับค่อนข้างสมบูรณ์ เป็นประโยชน์สำหรับผู้เรียน และผู้สอนมาก ผู้สอนที่ใช้เกณฑ์การประเมินแบบแยกส่วนจึงสามารถสร้างเส้นภาพ (Profile) จดุ เดน่ -จดุ ดอ้ ยของผเู้ รียนแตล่ ะคนได้ สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน 127
ชุดฝึกอบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครอ่ื งมือวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ประโยชน์ของเกณฑก์ ารประเมิน (Rubric) ๑. เกณฑ์การประเมิน เป็นเครื่องมือท่ีมีประสิทธิภาพมาก ท้ังในการเรียนการสอนและ การประเมิน ช่วยปรับปรุงพัฒนาการปฏิบัติหรือการแสดงออกของผู้เรียน ในขณะเดียวกันก็ช่วย ควบคมุ การปฏิบัตินัน้ ๆ ด้วย ๒. เกณฑ์การประเมิน ช่วยให้ผู้เรียนตัดสินคุณภาพผลงานของตนเองและของคนอื่น อยา่ งมเี หตุผล ๓. เกณฑก์ ารประเมนิ ช่วยลดเวลาผสู้ อนในการประเมินงานของผู้เรยี น ๔. เกณฑก์ ารประเมิน สามารถยดื หยนุ่ ตามสภาพของผ้เู รียน ๕. เกณฑก์ ารประเมนิ ใช้ง่ายและอธิบายไดง้ า่ ย ขน้ั ตอนการออกแบบเกณฑ์การประเมิน (Rubric) ข้ันที่ ๑ วิเคราะห์และระบุตัวชี้วัดที่ใช้เกณฑ์การประเมินเป็นเครื่องมือในการวัดและ ประเมนิ ผล ขัน้ ที่ ๒ อธิบายคณุ ลกั ษณะ ทักษะ หรอื พฤติกรรมที่ผสู้ อนตอ้ งการเห็น รวมทง้ั ขอ้ ผิดพลาด ท่วั ๆ ไปท่ีไม่ต้องการให้เกดิ ข้ันที่ ๓ อธิบายลกั ษณะการปฏบิ ัตทิ ่ีสูงกวา่ ระดับคา่ เฉลีย่ ระดบั ค่าเฉลย่ี และตำ่ กวา่ ระดับ ค่าเฉลยี่ สำหรบั แตล่ ะคุณลักษณะทีส่ ังเกตจากขัน้ ที่ ๒ ขั้นท่ี ๔ สำหรับเกณฑ์การประเมินแบบภาพรวม เขียนคำบรรยายลักษณะงานท่ีดีและ งานทไ่ี ม่ดี โดยรวมทุกเกณฑห์ รือทกุ คุณลกั ษณะเข้าดว้ ยกนั เป็นข้อความเดียว สำหรบั เกณฑก์ ารประเมนิ แบบแยกส่วน เขียนคำบรรยายลักษณะงานที่ดีและงานที่ไม่ดี โดยแยกแต่ละเกณฑ์หรือแต่ละ คณุ ลกั ษณะ ขัน้ ท่ี ๕ สำหรับเกณฑก์ ารประเมนิ แบบภาพรวม เขยี นรายละเอยี ดการปฏิบตั ิท่ีอยรู่ ะหว่าง กลางของระดับสูงกว่าค่าเฉลี่ย ระดับค่าเฉลี่ย และระดับต่ำกว่าค่าเฉล่ีย เพื่อให้เกณฑ์การประเมิน สมบูรณ์ สำหรับเกณฑ์การประเมินแบบแยกส่วน เขียนรายละเอียดสำหรับการปฏิบัติท่ีอยู่ระหว่าง กลางของทกุ เกณฑห์ รอื ทุกคุณลักษณะ ข้ันที่ ๖ รวบรวมตัวอยา่ งผลงานของผู้เรียนซงึ่ เป็นตัวแทนของแตล่ ะระดับ ซง่ึ จะชว่ ยการให้ คะแนนในอนาคตของครู ขนั้ ท่ี ๗ ทบทวนเกณฑ์การประเมนิ ท่ีทำแล้ว 128 สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน
ชดุ ฝกึ อบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสร้างและพฒั นาเคร่อื งมอื วัดและประเมินผลการเรียนร ู้ ตวั อย่าง Rubric สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน 129
ชุดฝึกอบรมการวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพัฒนาเครอ่ื งมือวดั และประเมินผลการเรียนรู้ เรอื่ ง การพดู ชกั ชวน ตวั ช้วี ัด ม.๒/๔ พดู ในโอกาสตา่ ง ๆ ไดต้ รงตามวตั ถปุ ระสงค ์ ภาระงาน ให้ผ้เู รียนพดู ชกั ชวนให้เพอื่ น ๆ เขา้ รว่ มนทิ รรศการวิชาการของโรงเรียน คะแนน ระดับดีมาก ระดับดี ระดับพอใช ้ ระดบั ปรับปรงุ ประเด็น (๔ คะแนน) (๓ คะแนน) (๒ คะแนน) (๑ คะแนน) การเกร่ินนำและ พดู เปิดประเด็น พูดเปดิ ประเด็น พดู เปดิ ประเดน็ ไม่มกี ารเปิดประเด็น การสรปุ ไดน้ า่ สนใจ ได้นา่ สนใจ ไม่น่าสนใจ หรือไม่มกี ารสรปุ เนอื้ หา และสรุปประเดน็ แต่สรุปประเด็น และสรปุ ประเดน็ ประเดน็ ไดช้ ัดเจนครอบคลมุ ไม่ชัดเจน ไม่ชดั เจน จงั หวะการพูด เนือ้ หาสาระครบถ้วน เนอ้ื หาสาระครบถว้ น เน้อื หาสาระครบถว้ น เน้อื หาสาระและ มีรายละเอยี ดชัดเจน มีรายละเอียด แตใ่ ห้รายละเอยี ด รายละเอยี ด ภาษาทา่ ทาง กระชบั ตรงตาม ตรงตามวัตถุประสงค ์ ไมค่ รบถ้วน ไม่ครบถ้วน (ภาษากาย) วัตถุประสงค ์ แต่ไม่กระชับ การพดู ถูกตอ้ ง การพดู ถกู ตอ้ ง การพูดเกดิ ข้นึ การพูดไมเ่ ร็วไป การประสาน สายตา ตามรูปแบบและรจู้ กั ตามรปู แบบ อยา่ งฉับพลนั และ ก็ชา้ ไป แบง่ ชว่ ง การแบ่งชว่ งเวลา แตแ่ บง่ ชว่ งเวลา แบ่งช่วงเวลาไมด่ ี เวลาไมด่ ี ไมด่ ี การเคล่ือนไหว การเคล่อื นไหว มีการเคล่ือนไหว ไมม่ กี ารเคลอื่ นไหว เป็นไปอยา่ ง หรือกิริยาทีแ่ สดง นอ้ ยมาก ล่ืนไหลและ ช่วยเพมิ่ ความชัดเจน ชว่ ยให้ผฟู้ งั มองเห็นภาพ ตรึงความสนใจ สบตาผฟู้ งั สบตาผฟู้ งั บ้าง ไมม่ ีการสบตาผฟู้ ัง ของผู้ฟังดว้ ยการ ตลอดเวลา สบตาผู้ฟัง 130 สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน
ชุดฝกึ อบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครอื่ งมือวัดและประเมนิ ผลการเรียนร ู้ คะแนน ระดับดีมาก ระดบั ดี ระดบั พอใช้ ระดับปรับปรุง ประเด็น (๔ คะแนน) (๓ คะแนน) (๒ คะแนน) (๑ คะแนน) ความมั่นใจ มที ่าทางผอ่ นคลาย มีข้อผิดพลาดน้อย มคี วามตึงเครยี ด มีความตงึ เครียด มีความเชื่อมนั่ แตก่ ็แก้ไขได้รวดเรว็ ปานกลาง และวิตกกงั วล นำ้ เสียง เป็นตัวของตัวเอง มคี วามตึงเครยี ดนอ้ ย มีปัญหาในการ มีปัญหาในการ ไม่มขี ้อผิดพลาด หรอื ไมม่ ีเลย แก้ข้อผิดพลาด แกข้ อ้ ผดิ พลาด พูดอย่างล่นื ไหล การเปลีย่ นแปลง มกี ารเปลี่ยนแปลง ใช้น้ำเสียง มีการเปลีย่ นแปลง ระดับเสยี งใหผ้ ล ระดบั เสยี งตลอดเวลา ระดบั เดียว ระดบั เสยี งทำใหผ้ ฟู้ ัง นา่ พอใจ แตก่ ารพดู ตลอดการพูด สนใจ บางชว่ งไม่ลื่นไหล เกณฑ์การตัดสนิ คะแนนรวม ๗-๑๓ ระดบั คณุ ภาพ ปรบั ปรงุ ๑๔-๑๘ ระดบั คุณภาพ พอใช ้ ๑๙-๒๓ ระดับคุณภาพ ดี ๒๔-๒๘ ระดับคุณภาพ ดมี าก สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน 131
ชดุ ฝกึ อบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครอื่ งมอื วัดและประเมนิ ผลการเรียนร ู้ ตวั อยา่ ง เกณฑ์การใหค้ ะแนนการเขยี น กล่มุ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี ๒ (LAS) ของสำนักทดสอบทางการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน (สำนกั ทดสอบทางการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน, ๒๕๕๓) คะแนน ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ ประเดน็ จุดเนน้ ของเรอ่ื ง - กำหนด - เขยี นภาพรวม - นำเสนอภาพ - เขยี นเรอ่ื ง - เร่ืองทเี่ ขียน ทนี่ ำเสนอ จุดมุ่งหมาย ของเรอื่ งครบ รวมของเรอ่ื งเกิน สอดคล้องกับ เปน็ การเล่า ในบทนำ ตามประเดน็ หรอื นอ้ ยกว่า บางส่วนของ เรือ่ งไปเรอ่ื ย ๆ ไม่แสดง ด้วยวธิ กี าร ทน่ี ำเสนอ ประเด็นที ่ ประเด็นที่ จุดเนน้ ของเร่ือง - เร่อื งท่ีเขียนไม่ ทเ่ี หมาะสม ในบทนำ นำเสนอในบทนำ กำหนด เป็นไปตามโจทย์ ทก่ี ำหนด เชน่ การใช้ - นำเสนอ - มกี ารระบุ - เขยี นเรือ่ งราว เกร็ดความรู้ ประโยคที่เป็น ประเดน็ สำคัญ ซ้ำไปซ้ำมา อา้ งคำพดู ของ ใจความสำคัญ ของเรือ่ งไว้ - ลักษณะ คนอืน่ ของเรือ่ งใน ในบทนำ การเขยี นไม่ใช่ - เขยี นเร่อื งได้ บทนำของเรอ่ื ง - เขียนเรอื่ งซ้ำไป การเชิญชวน สอดคลอ้ งกับ - เขยี นเร่ือง ซ้ำมา และไม่จบ - ไมม่ ขี อ้ ความ ประเดน็ ท่ีโจทย์ ส่วนใหญไ่ ด้ สมบูรณ์ ท่ีแสดงการ กำหนด สอดคล้องกับ - เขียนเรอ่ื งเปน็ จบเรอ่ื ง ตลอดเรอ่ื ง ประเด็นทีโ่ จทย์ ไปตามโจทย ์ - ประเดน็ ทนี่ ำ - ย่อหนา้ สุดทา้ ย กำหนด ทกี่ ำหนด เสนอไมช่ ดั เจน เสนอภาพสรปุ - ยอ่ หน้าสุดท้าย แต่มกี ารเขยี น รวมท่ีสำคัญ สอดคล้องกบั ออกนอก ของเรอ่ื ง บทนำและ ประเดน็ เป็น - เขียนประเด็น เน้อื เรอื่ ง บางจดุ ท่ีตอ้ งการ - จบการเขยี น นำเสนอ เร่อื งดว้ ยประโยค ไดช้ ัดเจน สัน้ ๆ 132 สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน
ชุดฝกึ อบรมการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมอื วัดและประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ คะแนน ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ ประเดน็ รายละเอยี ด - การเขียน - มกี ารเขยี น - มกี ารเขยี น - มีการเขยี น - เขียนข้อความ เน้อื หาสาระ ท่ีนำเสนอ รายละเอยี ดเพื่อ รายละเอียด รายละเอยี ด รายละเอียด เปน็ ประเดน็ ๆ ขยายความ เพอ่ื ขยายความ เพ่ือขยาย เพื่อขยาย โดยไม่ม ี ทุกประเด็น ประเดน็ ใจความสำคญั ใจความสำคัญ รายละเอียด ของเรื่องด้วย สว่ นใหญข่ อง และรายละเอยี ด บางประเด็นและ ขยาย ข้อมูลท่ถี กู ตอ้ ง เรอื่ งดว้ ยข้อมูล มีใจความ มีรายละเอยี ด - มกี ารเขียน และมคี วาม ทสี่ อดคล้องกัน สมบรู ณ์ นอ้ ยหรือมี รายละเอียด สมดุล - ปรมิ าณขอ้ มูล - รายละเอียด ใจความไม่ ในบางประเด็น - มีการใช้คำหรือ ทีใ่ ชข้ ยายแตล่ ะ ท่ีนำมาขยาย สมบูรณ์ แตม่ ีความสบั สน วลีทน่ี ่าสนใจใน ประเด็น ใจความสำคญั - เขยี นราย วกวน การเขียนขยาย ไมส่ มดลุ กนั ยงั ขาดความ ละเอยี ดทัว่ ๆ ไป - เน้ือหาสาระ ความประเด็น - มีการใชค้ ำหรอื ลึกซง้ึ ไมต่ รงประเดน็ ที่เขยี นต่ำกว่า สำคัญของเร่ือง วลที ด่ี ึงดูด - ใชค้ ำงา่ ย ๆ ทก่ี ำหนด หนึ่งหนา้ กระดาษ - สำนวนการ ความสนใจผู้อา่ น หรอื ซำ้ ๆ หรอื เขยี นซ้ำไป เขยี นมีความ - สำนวนการ - สำนวน ซ้ำมา เหมาะสมกับ เขียนนา่ สนใจ การเขยี นไม่ ช่อื เรอ่ื ง แต่ขาดความ เหมาะสมกับ จุดมุ่งหมาย คงเส้นคงวา เรอื่ งและผู้อ่าน และผอู้ า่ น สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน 133
ชุดฝึกอบรมการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสร้างและพัฒนาเครอ่ื งมือวดั และประเมินผลการเรียนรู ้ คะแนน ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ ประเด็น การจดั องค์ - การเรยี บเรยี ง - การจดั เรียง - การนำเสนอ - การนำเสนอ - การเรยี บเรียง ประกอบของ สาระที่นำเสนอ เน้อื หาสาระ เรื่องราวมกี าร เนื้อหาแบ่ง เน้ือหาสับสน เรอ่ื งทีน่ ำเสนอ เหมาะสม และ แตล่ ะย่อหนา้ แบง่ ยอ่ หนา้ ย่อหนา้ ไม ่ หรอื ไมป่ รากฏ ประเดน็ ท ่ี มคี วามเหมาะสม ไดเ้ หมาะสม เหมาะสม หลักฐานวา่ มกี าร นำเสนอมคี วาม ท้งั ในสว่ นของ แตโ่ ครงสร้างของ - การนำเสนอ วางแผนกอ่ น สมเหตุสมผล บทนำ เน้ือหา เรอ่ื งยงั ไมป่ รากฏ เรื่องไมล่ ่ืนไหล การเขียนเรือ่ ง - เรื่องที่เขียน และบทสรปุ ส่วนนำ เน้อื หา ประเดน็ ท่นี ำ - การดำเนนิ นำเสนอบทนำ - สาระท่ีนำเสนอ และส่วนสรุป เสนอในแต่ละตอน เรือ่ งราวไม่ เนื้อหา และบท สว่ นใหญม่ ีความ อยา่ งชัดเจน ไมเ่ ช่ือมโยงกัน จบอย่างสมบรู ณ์ สรปุ อย่างชดั เจน สมเหตุสมผล - การเช่อื มโยง - การเรียง ตามหลกั และเสนอความ - สาระท่นี ำเสนอ เรอ่ื งราวในแตล่ ะ ประโยคยงั ไมม่ ี การเขียน คดิ เป็นลำดบั ส่วนใหญ่มีความ ยอ่ หน้า สรา้ ง จุดมงุ่ หมาย เรยี งความ - ข้อความในทกุ เชอื่ มโยงระหวา่ ง ความสบั สนหรือ ท่ีแนน่ อน ยอ่ หนา้ มปี ระโยค ประเดน็ เสนอซ้ำ ๆ ท่ีเปน็ ใจความ - ขอ้ ความใน - การเรยี บเรียง สำคญั และมกี าร แต่ละย่อหนา้ ประโยคไม่ สรุปในตอนท้าย สว่ นใหญ่มี สอดคลอ้ งกบั ของยอ่ หนา้ ประโยคท่ีเปน็ ประโยคท่ีเป็น - นำเสนอ ใจความสำคญั ใจความสำคญั โครงสรา้ งของ - การเรยี บเรียง ประโยคและ ประโยคและ สำนวน ข้อความในแต่ละ ท่หี ลากหลาย ยอ่ หน้าม ี - การเรียบเรยี ง ความเหมาะสม เร่อื งราวในแตล่ ะ เข้าใจงา่ ย ยอ่ หน้ามีการ แตย่ ังใชซ้ ้ำ ๆ กัน ร้อยรดั กันด ี หลายจุด 134 สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน
ชุดฝกึ อบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือวัดและประเมินผลการเรยี นร ู้ คะแนน ๕ ๔ ๓ ๒ ๑ ประเดน็ ความสอดคลอ้ ง - มกี ารวาง - มีการวาง - มกี ารวาง - งานเขยี น - เขยี นเรอ่ื งวกวน และเชอ่ื มโยง โครงสร้าง โครงสร้าง โครงสรา้ ง ปรากฏหลกั ฐาน สับสนตลอดเร่อื ง ของเร่อื ง รปู แบบการเขียน รูปแบบการเขยี น รูปแบบการเขยี น การใช้รปู แบบ - ความเชื่อมโยง ชดั เจนและใช้ ชัดเจนและใช ้ ชดั เจนและใช ้ การเขียน ของเร่อื งขาดเปน็ รปู แบบการเขียน รปู แบบการเขียน รูปแบบการเขียน เรยี งความเพ่ือ ตอน ๆ เรียงความเพอ่ื เรียงความเพือ่ เรยี งความเพอ่ื เชญิ ชวน เชญิ ชวน เชญิ ชวน เชิญชวน - เรื่องทีเ่ ขียน - เรื่องท่ีเขยี น - เร่อื งทเี่ ขียน - เรือ่ งท่เี ขยี น ยงั มคี วามสบั สน มีความยาก มีความยาก มคี วามยาก วกวน เหมาะสมกบั เหมาะสมกบั เหมาะสมกับ ระดับชัน้ ที่เรียน ระดับชน้ั ท่เี รียน ระดับชัน้ ทีเ่ รยี น - งานเขยี นมีการ - เรอ่ื งที่เขยี นใช้ - ผู้อา่ นจำเป็น ระบุรายละเอียด โครงสร้างทงี่ ่าย ต้องอาศัยการนกึ สำคัญมากและ และเหมาะสม ภาพเพิม่ เตมิ เพ่ือ สมดุลช่วยให ้ - งานทเ่ี ขียน ทำความเขา้ ใจ ผ้อู ่านเขา้ ใจ มีการระบุ เรอ่ื งที่ผู้เขียน เรือ่ งราวอยา่ ง รายละเอียด นำเสนอ ชดั เจน ทชี่ ่วยใหผ้ อู้ า่ น เนอ่ื งจากม ี - การเรียบเรียง เข้าใจเรื่องราวได ้ บางสว่ นเขียน ประโยคและ ไม่สมบูรณ ์ เร่ืองราวมคี วาม กลมกลืน สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน 135
ชุดฝกึ อบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ การสรา้ งและพฒั นาเคร่ืองมอื วดั และประเมินผลการเรียนรู้ คะแนน ๓ ๒ ๑ ประเดน็ หลกั ภาษา - ใชป้ ระโยคทม่ี ีโครงสร้าง - ใชป้ ระโยคท่ีมโี ครงสร้าง - ใช้ประโยคทงี่ ่าย ๆ และ ท่ีหลากหลาย และไมม่ ีขอ้ ทหี่ ลากหลาย และมีขอ้ มขี ้อผิดพลาดมากทำให้ผอู้ า่ น ผดิ พลาด หรือมคี วามผดิ บ้าง ผิดพลาดบ้าง แตไ่ มท่ ำใหผ้ ู้อ่าน มีความสบั สน ในส่วนทไี่ มส่ ำคัญ มคี วามสับสน - สะกดคำผดิ มากกวา่ ๘๐% - มีการสะกดผิดประมาณ - มีการสะกดผดิ ประมาณ - ใชค้ ำสว่ นใหญไ่ มเ่ หมาะสม ๓๐% ๖๐% กับความหมาย หนา้ ที่ และ - ใชค้ ำได้เหมาะสมกับ - ใชค้ ำส่วนใหญ่ไดเ้ หมาะสม บริบทของเรื่อง ความหมาย หนา้ ที่ และบรบิ ท กบั ความหมาย หนา้ ท่ี และ ของเรื่อง บริบทของเรื่อง เกณฑ์การตัดสนิ ให้คะแนน ๑. ได้คะแนนระหวา่ ง ๐-๓ คิดเป็น ๑ คะแนน ๒. ได้คะแนนระหวา่ ง ๔-๘ คิดเปน็ ๒ คะแนน ๓. ได้คะแนนระหว่าง ๙-๑๓ คดิ เป็น ๓ คะแนน ๔. ได้คะแนนระหวา่ ง ๑๔-๑๘ คดิ เปน็ ๔ คะแนน ๕. ได้คะแนนระหว่าง ๑๙-๒๓ คดิ เปน็ ๕ คะแนน นยิ ามคำหรอื ขอ้ ความท่ีใช้ในเกณฑ์การให้คะแนนการเขยี น การเขยี นเรียงความเพอ่ื เชิญชวน (persuasive composition) หมายถงึ งานเขยี นเพอ่ื แสดงความคิดเห็นสนับสนุนหรือโต้แย้งประเด็นท่ีกำหนด โดยใช้ข้อมูลท่ีเป็นข้อเท็จจริงพร้อมเสนอ ตัวอย่างเพ่ือสนับสนุนจุดยืนของตนเองท่ีมีต่อประเด็นน้ัน ตลอดจนชักชวน เชิญชวนผู้อ่านให้มีความ คดิ เห็นคล้อยตามตนเอง จุดเน้นของเรื่อง (focus) หมายถึง เทคนิควิธีที่ใช้ในการนำเสนอเรื่องหรือประเด็นสำคัญ ของเร่อื งให้มคี วามชัดเจน สอดคล้องกับส่งิ ท่ีกำหนดให้เขยี นและเปา้ หมายของการเขยี น ทง้ั ในส่วนนำ สว่ นเนอ้ื หา และส่วนสรปุ รายละเอียดเน้ือหาสาระท่ีนำเสนอ (support/elaboration) หมายถึง ปริมาณของ เน้ือหาท่ีเขียนตามเกณฑ์ท่ีกำหนด ปริมาณข้อมูลและคุณภาพของข้อมูลที่ใช้ในการขยายใจความ สำคัญของเร่ือง และประเด็นสำคัญของเรื่องในแต่ละย่อหน้า ซ่ึงคุณภาพของข้อมูลพิจารณา จากความถกู ต้อง ความสอดคลอ้ งและความลกึ ซง้ึ 136 สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน
ชดุ ฝึกอบรมการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสรา้ งและพัฒนาเคร่อื งมอื วัดและประเมินผลการเรยี นร ู้ การจัดองค์ประกอบของเร่อื งทนี่ ำเสนอ (organization) หมายถงึ การจดั องค์ประกอบ ของการเขียนเรียงความเพื่อเชิญชวน โดยพิจารณาจากความครบถ้วนขององค์ประกอบของการเขียน เรียงความท่ีประกอบด้วยส่วนนำ ส่วนเนื้อหาและส่วนสรุป ความเหมาะสมของการเรียบเรียง องค์ประกอบการเขียนเรียงความ และคุณภาพของรายละเอียดที่นำเสนอในแต่ละองค์ประกอบ เช่น การเรียงลำดบั เรือ่ งราว ความชดั เจน ความสมเหตสุ มผลของการเรยี งลำดับเร่อื งราว เปน็ ต้น ความสอดคลอ้ งและเชอ่ื มโยงของเรอ่ื ง (integration) หมายถึง ความกลมกลนื และเปน็ เอกภาพของเร่ืองราวท่ีนำเสนอ โดยพิจารณาจากการวางโครงเรื่อง การเช่ือมโยงความคดิ ทัง้ ระหว่าง ประโยคและย่อหน้า ความสอดคล้องของเรื่องราวกับระดับชั้นท่ีเรียน ตลอดจนการใช้รายละเอียด เพอื่ สรา้ งความเข้าใจใหก้ ับผ้อู ่าน หลักภาษา (conventions) หมายถึง การเขียนเร่ืองราวได้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ ์ ทางภาษา พิจารณาจากความถูกต้องและความหลากหลายของประโยค การสะกดคำและการใช้คำ หรอื วลี ไดถ้ ูกต้องตามหนา้ ทแ่ี ละบรบิ ท การเขียนเชิญชวน (persuasive writing) หมายถึง การเขียนเร่ืองเพื่อสนับสนุนความ คดิ เห็น หรอื โตแ้ ยง้ ความคดิ เหน็ หรือประเด็นที่กำหนด โดยมกี ารนำเสนอขอ้ เทจ็ จรงิ และใช้เทคนคิ วิธี เพ่ือดึงดูดหรือโน้มน้าวให้คนอ่ืนเห็นด้วย หรือยอมรับกับความคิดเห็นของตนเอง หรือทำตาม แนวทางของตนเอง ประเด็นสำคัญของเร่ือง (topic) หมายถึง ใจความสำคัญหรือสาระสำคัญท่ีใช้เป็นกรอบ หรือโครงสร้างของเรื่องราวท่นี ำเสนอ ใจความสำคัญของเรื่อง (main idea) หมายถึง สาระสำคัญของเรื่องราวที่นำเสนอ ในแต่ละส่วนหรือแต่ละย่อหน้า เพ่ือใช้เป็นหลักฐานสำคัญย่อย ๆ ในการสนับสนุนประเด็นสำคัญ ของเร่อื ง ภาพรวมของเรื่อง (preview) หมายถึง การกล่าวนำเพ่ืออธิบายภาพรวมของเรื่องราว ทง้ั หมดท่ีเขยี น ว่าประกอบไปด้วยประเด็นหรือหัวขอ้ อะไรบา้ ง ซ่ึงจะเขียนไวใ้ นส่วนบทนำ สว่ นบทนำ (introduction) หมายถึง การเขยี นเสนอประเดน็ สำคญั ของเรื่องราวทจ่ี ะนำ ไปสู่การนำเสนอสาระท้ังหมด มีลักษณะของการเบิกทางเพ่ือนำเข้าสู่เร่ือง ซ่ึงอาจใช้คำ ข้อความ สำนวนหรอื อนื่ ๆ เพือ่ เรา้ หรือดงึ ดูดความสนใจของผูอ้ า่ นใหต้ ดิ ตามสาระตา่ ง ๆ ในเร่ืองราวท่จี ะนำเสนอ ต่อไปตัง้ แตต่ น้ จนจบ ส่วนเนื้อหา (content) หมายถงึ เนือ้ หาสาระหรอื รายละเอียดท่ีนำเสนอในแตล่ ะใจความ สำคัญเพื่อใช้สนับสนุนประเด็นสำคัญของเรื่อง ซึ่งประกอบไปด้วยใจความสำคัญของเรื่อง และข้อมูล สนับสนุนใจความสำคัญ ซ่ึงอาจจะเป็นการอธิบาย การขยายความหรือการใหต้ วั อย่างประกอบ สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน 137
ชดุ ฝกึ อบรมการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ การสร้างและพัฒนาเครื่องมอื วัดและประเมินผลการเรียนร ู้ ส่วนสรุป (conclusion) หมายถึง การนำเสนอสาระที่เป็นแก่นหรือข้อสรุปของเร่ืองราว ที่นำเสนอทั้งหมด และปดิ ท้ายด้วยการใหข้ อ้ เสนอแนะ การขอความรว่ มมอื การเชญิ ชวน การโน้มน้าว หรือการทง้ิ ประเดน็ ให้ผู้อ่านคดิ ขยายความตอ่ เปน็ ต้น ความเชื่อมโยง (idea connection) หมายถึง การเช่ือมต่อความคิดหรือใจความสำคัญ ที่นำเสนอท้ังในระหว่างประโยค ระหว่างบรรทัดหรือระหว่างย่อหน้าตลอดแนวทั้งในระหว่างย่อหน้า และตลอดท้ังเรื่อง ท้ังนี้อาจใช้คำ วลี ประโยค หรือข้อความที่เขียนในรูปของย่อหน้าในการเชื่อม ประสาน ความสอดคล้อง (congruence) หมายถึง การนำเสนอเร่ืองราวหรือความคิดภายใต้ ประเด็นสำคัญหรือใจความสำคัญของเร่อื ง ความสมบูรณ์ของเรื่องท่ีเขียน (comprehensive) หมายถึง การนำเสนอเน้ือหาสาระ ได้ครบถว้ นสมบรู ณ์ตามหลักการเขยี นเรียงความ โดยพจิ ารณาทงั้ ปรมิ าณเน้อื หาท่เี ขยี น องค์ประกอบ ของรูปแบบการเขียน และความสมบูรณ์ของเรื่องท่ีเขียน (เขียนเร่ืองได้จบอย่างสมบูรณ์ตามประเด็น ทต่ี นเองเสนอ หรือตามสภาพความเป็นจริง) ความกลมกลืนหรือความร้อยรัด หมายถึง ความสมบูรณ์ของการใช้คำ ประโยคหรือ ขอ้ ความทีส่ อดรบั กันตลอดท้ังย่อหน้าและตลอดทั้งเรอ่ื ง โครงสร้างรูปแบบการเขยี น หมายถงึ ลกั ษณะการเขียนทเ่ี ปน็ ไปตามหลกั การเขยี นเรยี งความ ได้แก่ มกี ารเขยี นบทนำ เน้ือหาและบทสรปุ โดยทำนองของการเขยี นเป็นไปในลกั ษณะของการเชญิ ชวน โน้มนา้ ว หรือให้เหตผุ ล เพ่อื ใหค้ นอนื่ คล้อยตามในลกั ษณะของการเห็นดว้ ย การยอมรบั การมอี ารมณร์ ว่ ม ตลอดจนการปฏบิ ัติตาม ความยากเหมาะสมกับระดับชั้นท่ีเรียน หมายถึง ลักษณะของการเขียนเรียงความเพื่อ เชิญชวนตามเกณฑ์การเขียนเรียงความ การใช้ภาษา และการนำเสนอเนื้อหาสาระตามสาระการเรียนรู้ เร่ืองการเขียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ หรือช่วงช้ันท่ี ๓ ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔ ความลึกซ้ึง หมายถึง ระดับของข้อมูลที่เป็นรายละเอียด ตัวอย่างหรือหลักฐานท่ีผู้เขียน ใชใ้ นการเขียนขยายความใจความสำคัญให้มคี วามชดั เจน และง่ายต่อความเข้าใจของผู้อา่ น ความสมดุล หมายถึง การนำเสนอรายละเอียดหรือข้อมูลขยายแต่ละใจความสำคัญ (ในแตล่ ะยอ่ หน้า) มีปริมาณและความลึกซ้งึ ใกล้เคยี งกัน ความสมเหตุสมผล หมายถึง ความสอดคล้องของส่ิงที่นำเสนอที่มีความเป็นเหตุและผล ซงึ่ กนั และกัน ตามความเป็นจริง หรือตั้งอยู่บนพ้นื ฐานของขอ้ เท็จจรงิ กฎหรอื แนวคดิ ทฤษฎ ี โครงสร้างท่ีหลากหลายของประโยค หมายถึง การเลือกใช้ประโยคในการเขียนเร่ืองราว ผสมผสานกนั ทัง้ ประโยคความเดียว ประโยคความรวม ประโยคความซอ้ น ประโยคปฏเิ สธ ประโยค บอกเล่า และประโยคคำถาม 138 สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน
ชดุ ฝึกอบรมการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การสร้างและพัฒนาเคร่ืองมือวดั และประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ Rubrics สำหรบั ประเมนิ คุณภาพการเขา้ ใจขอ้ มลู คณุ ภาพการปฏิบัตงิ าน และคุณภาพการคิดประเภทต่าง ๆ ของผูเ้ รียน ในการประเมินสภาพจริงทั้งครูและนักเรียนมักสงสัยว่าต้องทำได้ดีเพียงใดจึงจะยอมรับได้ การใช้เกณฑ์การประเมิน (Rubrics) จะช่วยให้เห็นภาพความสำเร็จของภาระงานท่ีมอบหมาย Marzano (๒๐๐๐) ไดเ้ สนอ Rubrics เพื่อใช้ในการประเมินคุณภาพการเรยี นร้ปู ระเภทต่าง ๆ ทค่ี ร ู ผู้สอนสามารถนำไปปรบั ใช้ใหเ้ หมาะสมกบั บรบิ ทการจัดการเรียนรู้ Rubrics เหลา่ นีม้ ี ๕ ระดบั ดังน้ ี คุณภาพการเข้าใจข้อมูล มีองค์ประกอบสำคัญท่ีใช้ในการพิจารณา คือ ความถูกต้องและ ความครบถว้ นของขอ้ มลู คะแนน ๔ ๓ ๒ ๑ ๐ ประเด็น คณุ ภาพ ผเู้ รยี นเข้าใจขอ้ มูล ผู้เรยี นเขา้ ใจข้อมูล ผ้เู รยี นมคี วามเข้าใจ ผเู้ รยี นมีความเขา้ ใจ ไ ่ม ีมข้อ ูมลเ ่ืพอการประเ ิมน การเขา้ ใจขอ้ มลู สำคัญพร้อม สำคญั ของเร่ืองนน้ั ขอ้ มลู พ้นื ฐานของ ผิดมากจนทำให้ไม่ แตร่ ายละเอียด เร่อื งนัน้ แต่ยังมี เข้าใจแม้แต่ขอ้ มลู รายละเอียด บางสว่ นยงั สับสน บางสว่ นที่เข้าใจผิด พ้นื ฐานของเร่ืองน้ัน ของเรื่องนั้น หรือขาดหายไป หรอื ยงั ไม่เขา้ ใจ อยา่ งถูกต้อง และครบถว้ น สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพน้ื ฐาน 139
ชุดฝกึ อบรมการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ การสร้างและพัฒนาเครือ่ งมอื วดั และประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ คุณภาพการปฏิบัติงาน ใช้ในการพิจารณาคุณภาพการปฏิบัติ ทักษะหรือขั้นตอน กระบวนการ มีองค์ประกอบสำคัญที่ใช้ในการพิจารณา คือ ความถูกต้อง ความคล่องแคล่ว ความเขา้ ใจคุณลกั ษณะสำคัญของกระบวนการ คะแนน ๔ ๓ ๒ ๑ ๐ ประเดน็ คุณภาพ ผเู้ รยี นปฏบิ ัตทิ กั ษะ ผู้เรียนปฏบิ ตั ิทักษะ ผเู้ รียนปฏบิ ตั ิทักษะ ผเู้ รยี นปฏิบตั ิ การปฏิบตั งิ าน หรอื กระบวนการ หรอื กระบวนการ หรอื กระบวนการ ผิดพลาดมาก ท่สี ำคญั ของเร่อื งนน้ั ท่สี ำคัญของเรื่องนัน้ ท่สี ำคญั ของเรือ่ งนนั้ จนไมส่ ามารถ ดว้ ยความ โดยไมม่ ีข้อผดิ พลาด ไดเ้ สร็จแบบหยาบ ๆ ทำเรอ่ื งนัน้ ได้เสร็จ ไ ่ม ีมข้อ ูมลเ ่ืพอการประเ ิมน คล่องแคล่ว และ ในเร่อื งทส่ี ำคญั และมีขอ้ ผิดพลาด ไมม่ ขี อ้ ผิดพลาด ในเรอื่ งทีส่ ำคัญ ในเรือ่ งท่ีสำคัญ นอกจากน้ี ยังมคี วามเข้าใจ ลักษณะสำคญั ของกระบวนการ ทางทักษะน้ัน ๆ คณุ ภาพการคดิ สถาบนั Mc REL ได้ศกึ ษาทกั ษะการคิดทีป่ รากฏในทุกกลุ่มสาระ จนกลา่ วไดว้ า่ เปน็ ทกั ษะ การคดิ ทวั่ ไปท่ีกำหนดในการพฒั นาผเู้ รยี น ประกอบด้วย ๑๐ ทักษะ และได้จัดประเภททกั ษะเหล่านี้ เปน็ ๒ กลุ่มใหญ่ ไดแ้ ก่ ทกั ษะการประมวลผลขอ้ มูล และทักษะการใชค้ วามรู้ (Marzano, ๒๐๐๐) ดงั น ี้ 140 สำนักวชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน
ชุดฝกึ อบรมการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสร้างและพฒั นาเคร่อื งมือวดั และประเมนิ ผลการเรียนร ู้ ทักษะการประมวลผลข้อมลู (General Information Processing Skills) ประกอบด้วย ๖ ทกั ษะย่อยต่อไปน้ี ๑. การเปรยี บเทยี บความเหมอื นความแตกตา่ ง (Comparing and Contrasting) ๒. การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ (Analyzing Relationships) ๓. การจดั ประเภท (Classifying) ๔. การใหเ้ หตผุ ลสนบั สนนุ หรือโตแ้ ย้ง (Argumentation) ๕. การอปุ นยั (Making Induction) ๖. การนิรนัย (Making Deduction) ทักษะการใช้ความรู้ (Knowledge Utilization Skills) ประกอบด้วย ๔ ทักษะย่อย ต่อไปนี ้ ๗. การสืบเสาะ (Experimental Inquiry) ๘. การสำรวจตรวจสอบ (Investigation) ๙. การแกป้ ัญหา (Problem Solving) ๑๐. การตดั สนิ ใจ (Decision Making) คะแนน ๔ ๓ ๒ ๑ ๐ ประเด็น การเปรยี บเทยี บ ผ้เู รียนนำคุณสมบัติ ผ้เู รียนนำคณุ สมบัติ ผ้เู รียนเปรียบเทยี บ ผู้เรียนเปรียบเทียบ ไ ่ม ีมข้อ ูมลเ ่ืพอการประเ ิมน ไ ่ม ีมข้อ ูมลเ ่ืพอการประเ ิมน สำคญั ท้ังหมดของ สำคัญท่ีสุดมา โดยขาดประเด็น ในส่ิงทไ่ี ม่สำคัญ/ สง่ิ นน้ั มา เปรยี บเทยี บ สำคญั /จำเปน็ จำเป็น เปรยี บเทยี บได้ครบ แต่ไมค่ รอบคลมุ บางข้อ ท้งั ประเดน็ และ ท้ังหมด รายละเอยี ด การวิเคราะห์ ในบริบทของ ในบรบิ ทของ ในบรบิ ทของ ในบรบิ ทของ ความสัมพันธ์ ขอ้ มูลน้นั ผเู้ รียน ข้อมลู นั้น ผูเ้ รยี น ข้อมลู น้ันผู้เรียน ขอ้ มลู นัน้ ผ้เู รยี น สามารถระบุความ สามารถระบ ุ บอกคณุ ลกั ษณะ ไม่สามารถระบ ุ สัมพนั ธห์ ลักและ รปู แบบความ บางอยา่ งของรปู แบบ รปู แบบความ ความสัมพันธร์ อง สมั พันธ์หลกั ได ้ ความสมั พันธ์หลกั ได้ สมั พันธห์ ลกั ได ้ ทส่ี นบั สนนุ แต่ขาดสว่ นทส่ี ำคญั ขอ้ มูลหลกั ได ้ จำเปน็ สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน 141
ชุดฝึกอบรมการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ การสร้างและพฒั นาเครอื่ งมือวัดและประเมินผลการเรียนรู ้ คะแนน ๔ ๓ ๒ ๑ ๐ ประเด็น การจดั ประเภท ผู้เรียนสามารถจัด ผูเ้ รยี นสามารถ ผูเ้ รียนจำแนก ผเู้ รียนจำแนก ไ ่มมีข้อมูลเพ่ือการประเมิน ระบบของรายการ จดั ระบบของ ประเภทของ ประเภทรายการ ตา่ ง ๆ จำแนก รายการต่าง ๆ รายการตา่ ง ๆ ตา่ ง ๆ ไมเ่ ป็นระบบ ตามประเภท จำแนกตามประเภท ยงั ไมเ่ ป็นระบบ และอธิบาย แตอ่ ธบิ าย ท่ชี ดั เจน แตอ่ ธบิ าย คณุ ลักษณะของ คณุ ลักษณะของ คุณลักษณะท่ีเด่น ๆ แตล่ ะประเภทได้ แตล่ ะประเภทได ้ ของบางรายการได ้ ไมค่ รบถ้วน การอุปนัย จากองคป์ ระกอบ จากองค์ประกอบ จากองค์ประกอบ จากองคป์ ระกอบ ท่ีพิจารณา ผ้เู รยี น ที่พจิ ารณา ผเู้ รยี น ทพี่ ิจารณา ผ้เู รียน ทพี่ จิ ารณา ผ้เู รียน สามารถสร้าง สามารถสรุปผลได้ สามารถลงสรปุ ผล ไม่สามารถ ไ ่ม ีมข้อ ูมลเ ่ืพอการประเ ิมน กฎเกณฑ์หรอื ลง ถกู ต้อง แตย่ ัง ท่เี ช่อื มโยงกบั สาระ ลงสรุปผล หรอื สรุปผลไดช้ ัดเจน อธิบายความสมเหตุ ทีพ่ ิจารณานน้ั ได้ สรุปผิด ไมเ่ ชอื่ มโยง ถกู ต้อง และ สมผลของการ แตย่ งั ไมส่ มเหตสุ มผล กบั สาระท่ีพจิ ารณา สามารถอธิบาย สรุปน้นั ไมช่ ดั เจน นน้ั ความสมเหตุสมผล ของการสรุปน้ันได้ ชดั เจน การนิรนัย จากหลกั การ/ จากหลักเณฑ์/ จากหลกั การ/ ผู้เรยี นไมส่ ามารถ ข้อกำหนดน้นั ๆ ข้อกำหนดนนั้ ๆ ขอ้ กำหนด ผูเ้ รยี น นำหลกั การ/ ผู้เรียนสามารถนำ ผเู้ รียนสามารถนำ สามารถนำมาใช้ ขอ้ กำหนดมาใช ้ มาใชค้ าดการณผ์ ล มาใชค้ าดการณ์ผล คาดการณ์ผลหรือ คาดการณ์หรอื ไม่มี ้ขอ ูมลเ ่ืพอการประเมิน หรือหาผลสรปุ ได้ หรือหาผลสรปุ ได้ หาผลสรุปที่ หาผลสรุปได้/หรอื ถูกต้อง ตลอดจน ถูกต้อง แต่การ สนับสนุนหลักการ/ คาดการณห์ รอื สามารถอธิบาย อธบิ ายความ ข้อกำหนดท่ใี ชเ้ พยี ง หาผลสรปุ ท่ไี มต่ รง ความสมั พนั ธ์ สัมพนั ธ์ระหวา่ งผล บางส่วน กับหลักการ/ ระหวา่ งผลที่ ท่ีคาดการณ์กับ ข้อกำหนดที่ใช้ คาดการณ์ หรือ หลักการ/ ขอ้ สรปุ กับหลักการ/ ขอ้ กำหนดทีใ่ ช้ ขอ้ กำหนดทใ่ี ช ้ ไม่สมบูรณ์ 142 สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน
ชุดฝกึ อบรมการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสรา้ งและพฒั นาเครือ่ งมอื วดั และประเมนิ ผลการเรยี นร ู้ การสืบเสาะและการสำรวจตรวจสอบ เป็นการมอบหมายงานที่ผู้เรียนต้องวางแผน และ ดำเนนิ การหาแนวทางแก้ไขปัญหาที่เปน็ สภาพจริง การสบื เสาะ มีขั้นตอนในการจดั การเรียนรู้ ๕ ข้นั ตอนสำคัญ ได้แก่ (Steven, ๒๐๐๕) ๑. ระบุปญั หา ๒. ต้งั สมมติฐาน ๓. เกบ็ รวบรวมข้อมลู ๔. วิเคราะหข์ อ้ มลู ๕. สรปุ ผลขอ้ มูล คะแนน ๔ ๓ ๒ ๑ ๐ ประเดน็ การสืบเสาะ ผู้เรียนออกแบบ ผูเ้ รียนออกแบบ ผูเ้ รยี นออกแบบ ผู้เรียนไม่ได้ และดำเนนิ การ และดำเนนิ การ และดำเนนิ การ ออกแบบและ ทดลองโดยมกี าร ทดลองโดยมีการ ทดลองตามข้อ ดำเนินการทดลอง ทดสอบขอ้ ทดสอบข้อสมมติฐาน สมมตฐิ าน แตข่ าด หรอื ออกแบบ ไ ่ม ีมข้อ ูมลเ ่ืพอการประเ ิมน สมมติฐาน อย่างเพยี งพอ การทดสอบ การทดลอง อย่างเพียงพอ ขอ้ สมมติฐานเขียน ข้อสมมตฐิ าน ที่ไม่เชื่อมโยงกับ ขอ้ สมมตฐิ านเขียน อยา่ งชัดเจน ทเี่ พียงพอ ข้อสมมตฐิ าน อยา่ งชัดเจน เม่ือ แตผ่ ู้เรียนไมไ่ ด้ การทดลองเสรจ็ อธบิ ายผลทเี่ กิด สมบูรณ์ ผ้เู รียน อย่างเพียงพอ สามารถอธิบายผล ไดอ้ ย่างละเอยี ด และถกู ตอ้ ง สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน 143
ชุดฝกึ อบรมการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ การสร้างและพฒั นาเครอ่ื งมือวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ การสำรวจตรวจสอบ มขี ั้นตอนในการจดั การเรียนรู้ ๔ ขน้ั ตอนสำคัญ ได้แก่ (Stever, ๒๐๐๕) ๑. ระบุปญั หา ๒. สรปุ สภาพปญั หาใหเ้ ป็นขอ้ ความ ๓. วางแผนการสำรวจตรวจสอบ ๔. ประเมนิ ผลลพั ธ์การสำรวจตรวจสอบ พรอ้ มนำแผนปฏบิ ตั กิ ารสำหรบั การดำเนนิ การต่อไป คะแนน ๔ ๓ ๒ ๑ ๐ ประเด็น การสำรวจ ผูเ้ รยี นระบสุ ่งิ ทีร่ ู้ ผู้เรียนระบุสง่ิ ทีร่ ู้ ผู้เรียนนำเสนอ การนำเสนอสง่ิ ท ่ี ตรวจสอบ เกย่ี วกับเรื่องท่จี ะ เก่ียวกบั เรอ่ื งท่จี ะ ส่งิ ท่รี เู้ กยี่ วกบั เร่ือง ผเู้ รียนรู้เก่ียวกบั ตรวจสอบไดอ้ ยา่ ง ตรวจสอบได้อย่าง ทจ่ี ะตรวจสอบ เรือ่ งท่ีจะตรวจสอบ ไ ่ม ีมข้อ ูมลเ ่ืพอการประเ ิมน ครบถ้วนและ ครบถว้ นและ ได้บางสว่ น ยังไมถ่ กู ตอ้ ง ถกู ตอ้ ง และนำเสนอ ถกู ต้อง แตแ่ นวทาง แนวทางแก้ไข แก้ไขยงั ไมต่ อบสนอง ความย่งุ ยาก หรือ ความยุ่งยากหรอื ขอ้ ข้อขัดแยง้ ของ ขัดแย้งของสถานการณ์ สถานการณ์นน้ั ได้ นน้ั มากนกั อย่างเปน็ ระบบ 144 สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288