Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรหน้าที่พลเมืองตามรอยพระยุคลบาทรัชกาลที่เก้า 3 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

หลักสูตรหน้าที่พลเมืองตามรอยพระยุคลบาทรัชกาลที่เก้า 3 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

Description: หลักสูตรรายวิชา สค33108 หน้าที่พลเมืองตามรอยพระยุคลบาทรัชกาลที่เก้า 3 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

Search

Read the Text Version

191 “ ในการพฒั นาประเทศนั้น จาเป็นต๎องทาตามลาดบั ข้ัน เริ่มด๎วย การสรา๎ งพืน้ ฐาน คอื ความมีกินมใี ชข๎ องประชาชนกอํ นดว๎ ยวิธกี ารที่ประหยดั ระมดั ระวังแตถํ กู ต๎องตามหลักวิชา เมอ่ื พ้ืนฐานเกดิ ขึน้ มน่ั คง พอควรแล๎ว จงึ คํอยสร๎างเสริมความเจริญข้ันทีส่ งู ขนึ้ ตามลาดับตํอไป ก็เพอื่ ปูองกนั ความผดิ พลาดลม๎ เหลว และเพือ่ ใหบ๎ รรลุผลสาเร็จแนํนอนบรบิ รู ณ๑ ” พระบรมราโชวาทในพิธพี ระราชทานปริญญาบตั ร ของมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร๑ วันที่ 19 กรกฎาคม 2517 “พวกเราท้ังหลายจึงตอ๎ งรู๎จกั รวู๎ าํ แตํละชมุ นุมชนอยํูไดด๎ ๎วยตนเอง และถ๎า อยากอยํูใหด๎ ีข้นึ ใหม๎ คี วามเจรญิ ให๎มีความอยดูํ ีกนิ ดขี ึ้น มีรายได๎มากขน้ึ จะตอ๎ ง แลกเปลย่ี นระหวาํ งชมุ นุมชน ระหวาํ งหมบํู า๎ น ระหวาํ งจังหวดั ระหวํางประเทศ จะตอ๎ งมคี วามสามคั คี ความสามัคคปี รองดองกนั ระหวาํ งบคุ คลในประเทศ จึงเปน็ ความสาคญั เพอื่ ให๎แตํละคน ได๎สามารถทีจ่ ะทามาหากิน มคี วามก๎าวหนา๎ เครือ่ งหมายผนู๎ าเยาวชน จึงมสี ่งิ ทส่ี าคัญทส่ี ดุ คือ ธงชาติอยใํู นเครื่องหมาย และเปน็ สวํ นใหญทํ สี่ ดุ อันน้ีมไี ว๎ เพราะตอ๎ งทราบวําชาตนิ ี้ เปน็ สิ่งสาคัญ สาหรับทุกคนและตอ๎ งรวํ มกนั สร๎าง ไมใํ ชํวําแตํละคนตํางอยูํ ทุกคนได๎รับความร๎ู ในทางวชิ าการ ได๎รบั ความร๎ูในทางความสามัคคีวาํ ต๎องรวบรวมกาลัง ตอ๎ งรวํ มแรงกนั เพ่ือท่ีจะ สรา๎ งความเจริญ แกบํ ๎านเมือง” พระบรมราโชวาท พระราชทานแกํผู๎นาเยาวชนจากจังหวัดตาํ ง ๆ 36 จงั หวัด ท่ีปรกึ ษาผนู๎ าเยาวชน และเจ๎าหน๎าท่ดี าเนนิ การฝกึ อบรม ณ ศาลาดุสดิ าลัย วนั ที่ 30 สงิ หาคม 2514

192 “…การพัฒนาที่เหมาะกับประเทศไทยเรา กค็ ือจะตอ๎ งทานบุ ารุงเกษตรกรรม ทกุ สาขาให๎พัฒนาก๎าวหนา๎ เพือ่ ยกระดบั ฐานะของเกษตรกร ซง่ึ เป็น ประชาชน สํวนใหญขํ องประเทศให๎สูงขึ้น อนั จะสงํ ผลใหฐ๎ านะทางเศรษฐกจิ โดย สํวนรวม ของประเทศมีความเข๎มแขง็ มั่นคงข้นึ ดว๎ ย…” คัดตดั ตอนจากพระบรมราโชวาท ในพธิ ีพระราชทานปริญญาบัตร ของมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร๑ วันที่ 24 กรกฎาคม 2541 ก กกกกกกกก 2.4 จากพระราชดารสั ดังกลาํ วข๎างต๎น ในฐานะท่ีทุกคนเป็นสมาชิกของชุมชน ทอ๎ งถ่ิน และสงั คม เกย่ี วขอ๎ งกบั การพัฒนาบ๎านเมือง ชุมชน ท๎องถ่ิน ต๎องมที ้งั นักวชิ าการ และผ๎ูปฏิบตั ิ ท่ีมีความสมั พนั ธ๑อันดี รํวมมือกนั พัฒนา โดยการพัฒนาตอ๎ งเหมาะสมกบั บริบทของพ้ืนที่ นั้น ๆ ชมุ ชน ท๎องถ่นิ จะเขม๎ แขง็ ได๎ ต๎องมีการติดตอํ แลกเปลี่ยนกับบคุ คลหรือองคก๑ รภายนอก ภายใต๎การมี สัมพันธภาพทดี่ ี มีความรกั ใครํปรองดอง และสามัคคกี ัน ตลอดจนมีกระบวนการพัฒนาชมุ ชน ทอ๎ งถ่ิน ตามลาดับข้ัน ประหยดั ถูกหลักวิชา เพอ่ื ปอู งกันความล๎มเหลว กกกกกกกกก 2.4 กลาํ วโดยสรปุ หนา๎ ท่ีพลเมืองดี ควรนอ๎ มนาพระราชดารสั ทเ่ี ก่ยี วขอ๎ งกบั การพฒั นา ตอ๎ งอาศัยความรํวมมอื ทั้งฝุายวชิ าการและผป๎ู ฏิบตั ิ ตอ๎ งพัฒนาใหเ๎ หมาะสมกับสภาพพ้นื ทบี่ ริบท ตอ๎ งอาศัยบคุ คลภายนอก หรอื องคก๑ รภายนอกเขา๎ มามสี วํ นรวํ มแลกเปลี่ยนสร๎างความเข๎มแขง็ ใหก๎ บั ชมุ ชน ท๎องถิ่น โดยต๎องทาตามขนั้ ตอนถกู ตอ๎ งตามหลักวชิ า เพื่อปูองกันความผดิ พลาดที่เกิดข้ึน กกกกกกก3. การนอ้ มนาหลกั การทรงงานไปใช้ชีวติ ประจาวนั กกกกกกก3. 3.1 การนอ๎ มนาหลกั การทรงงานไปใช๎ในครอบครวั กกกกกกก3. 3.1 หลักการทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช รัชกาลท9ี่ ท่ีสาคัญ ทีค่ รอบครัวชาวไทย ควรนอ๎ มนาไปใช๎ในชีวิตประจาวนั ไดแ๎ กํ กกกกกกก3. 3.1 3.1.1 การมีสํวนรวํ ม และคดิ ถงึ สํวนรวม สมาชกิ ในครอบครัว ควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการเปิดโอกาสให๎ ทกุ คนในครอบครัวรํวม แสดงความคิดเห็น เปดิ ใจใหก๎ วา๎ ง รบั ฟ๓งความคดิ เหน็ แลว๎ นามาปรบั ใชใ๎ นการดารงชวี ิตของครอบครัว รํวมกันทากิจกรรม หรอื ภารกิจของครอบครัว และ เม่อื ได๎รบั มอบหมาย กร็ วํ มกันทาความตง้ั ใจให๎สาเร็จลุลํวง กกกกกกก3. 3.1 3.1.2 ประโยชน๑สํวนรวม สมาชิกในครอบครัว ควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วยการมีความ เสยี สละ ความสุขสวํ นตน เพื่อประโยชน๑สวํ นรวมของคนในครอบครัว เพอื่ ให๎ครอบครัวอยรูํ วํ มกัน อยํางมคี วามสขุ กกกกกกก3. 3.1 3.1.3 ขาดทนุ คือกาไร สมาชกิ ในครอบครัว ควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการคานงึ ถงึ ผลประโยชนข๑ องคนสํวนรวมภายในครอบครัว มากกวาํ ผลสาเรจ็ ทเี่ ปน็ ตวั เลข อนั เป็นผลประโยชน๑ ของตนเองที่เป็นสวํ นหนง่ึ ของสมาชกิ ครอบครัว

193 กกกกกกก3. 3.1 3.1.4 การพึ่งตนเอง สมาชิกในครอบครวั ควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ยการพง่ึ พาตนเอง ปฏบิ ัตภิ ารกิจสวํ นตัวให๎สาเร็จ เพราะสมาชิกในครอบครวั ตาํ งมีภารกจิ ทตี่ อ๎ งรบั ผิดชอบ กกกกกกก3. 3.1 3.1.5 พออยํู พอกนิ สมาชิกในครอบครวั ควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ยการใชข๎ องใช๎ หรือบรโิ ภคสง่ิ ของท่มี อี ยํูแล๎ว ใหค๎ ๎มุ คํา ประหยดั และเรียบงําย กกกกกกก3. 3.1 3.1.6 เศรษฐกจิ พอเพยี ง สมาชกิ ในครอบครวั ควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการดารงอยูํ และดาเนินชวี ติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งอยาํ งรเ๎ู ทําทัน ปรบั ตวั ไดต๎ ามสภาพเศรษฐกิจ และสังคมท่เี ปล่ยี นไป กกกกกกก3. 3.1 3.1.7 ความซ่ือสตั ย๑สุจรติ จริงใจตํอกัน สมาชกิ ในครอบครัว ควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการปฏิบัตติ นทง้ั ทางกาย วาจา จติ ใจ ที่ตรงไปตรงมา ไมํแสดงความคดโกงไมํหลอกลวงไมเํ อาเปรียบ สมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครวั ทัง้ ตอํ หนา๎ และลับหลงั กกกกกกก3. 3.1 3.1.8 ทางานอยํางมีความสขุ สมาชิกในครอบครวั ควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วยการ ทางาน หรอื ปฏิบตั ภิ ารกิจของครอบครัวอยาํ งมีความสขุ กกกกกกก3. 3.1 3.1.9 ความเพยี ร สมาชกิ ในครอบครวั ควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วยการเริ่มตน๎ ทางาน หรือภารกิจของครอบครวั ทไ่ี ดร๎ บั มอบหมาย ด๎วยความมุํงม่นั เพียรพยายามให๎สาเร็จลลุ ํวง กกกกกกก3. 3.1 3.1.10 ร๎ู รัก สามคั คี สมาชิกในครอบครัว ควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการต๎องมี ความรใ๎ู นงานทต่ี นเองได๎รบั มอบหมายจากครอบครัวเป็นอยาํ งดี ตอํ จากนน้ั ให๎ทางานทไ่ี ดร๎ ับ มอบหมายจากครอบครวั ดา๎ นความรูส๎ ึกท่ีดี ชอบในงานทีป่ ฏิบัติ ในกรณที ล่ี งมอื ปฏิบตั แิ ล๎ว ไมํสามารถทาไดส๎ าเรจ็ ดว๎ ยตนเองตามลาพังกต็ อ๎ งใชส๎ มาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครวั มาชวํ ยทารวํ มกนั อยํางมีความสามัคคี กกกกกกก3. 3.2 การนอ๎ มนาหลักการทรงงานมาใชก๎ ับการศึกษา กกกกกกก3. 3.2 3.2.1 ศึกษาข๎อมลู อยํางเปน็ ระบบ ผเู๎ รียนหรอื นกั ศึกษาควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ยการ มกี ารวางแผนศึกษาค๎นคว๎าข๎อมลู ทีเ่ กี่ยวขอ๎ งกับการเรยี น เรื่องนั้น ๆ ใหค๎ รอบคลุม แล๎วนามาวิเคราะห๑ ข๎อมลู จดั ลาดับความสาคญั ของข๎อมูลท่ไี ด๎ศึกษาวํา ควรปฏิบตั ิเรอื่ งใดกํอนหลัง โดยการศึกษาของตน วาํ ควรจะต๎องทาสิ่งไหนกํอน ให๎เรียงระดบั ตรวจดวู ําสงิ่ ที่ทามีผลดี หรอื ผลเสยี หากเกดิ ผลเสีย เราก็ นามาปรบั ปรงุ แกไ๎ ขให๎ดขี นึ้ กกกกกกก3. 3.2 3.2.2 ระเบิดจากขา๎ งใน ผเู๎ รยี นหรอื นกั ศึกษาควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการพจิ ารณา ถึงคณุ คาํ ความสาคัญ หรอื ประโยชน๑ของเรอ่ื งท่ีกาลังศกึ ษาอยํู ถ๎ารับรไ๎ู ดก๎ จ็ ะเกดิ แรง บนั ดาลใจ หรอื ความปรารถนาของผ๎เู รยี น หรือนกั ศกึ ษาให๎อยากเรียนร๎ู จนสาเรจ็ ลลุ ํวง กกกกกกก3. 3.2 3.2.3 แกป๎ ๓ญหาที่จุดเลก็ ผ๎เู รยี นหรือนักศกึ ษาควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการแกไ๎ ข ป๓ญหาเฉพาะหน๎าซง่ึ เปน็ ป๓ญหาใกลต๎ วั หรือป๓ญหาจดุ เลก็ ๆ ทีส่ ามารถแกไ๎ ขไดด๎ ว๎ ยตนเองกํอน ซ่ึงเม่อื ได๎แก๎ไขจดุ เลก็ ๆ ได๎แล๎ว จึงคํอย ๆ ไปแก๎ไขปญ๓ หาอน่ื ของผเ๎ู รียน หรอื นกั ศกึ ษาตามลาดับ กกกกกกก3. 3.2 3.2.4 ทาตามลาดับข้นั ผเู๎ รยี นหรือนกั ศกึ ษาควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการเรมิ่ ตน๎ ทา จากเรื่องหรืองานที่ไดร๎ ับมอบหมายตามลาดับกํอนหลงั ที่ต๎องสํงอาจารย๑ผู๎สอนกอํ น เพอ่ื ใหส๎ ามารถ ปฏิบตั ิตามท่อี าจารยก๑ าหนดไว๎

194 กกกกกกก3. 3.2 3.2.5 ภูมิสงั คม ผเู๎ รียนหรอื นักศกึ ษาควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการคานึงถงึ ความ แตกตาํ งระหวาํ งบคุ คล ของเพ่อื นนกั ศึกษา ครูบาอาจารย๑ ทมี่ สี ังคม วัฒนธรรม การหลํอหลอม ความคิด กฎระเบยี บมาแตกตาํ งกัน เคารพความแตกตาํ ง และปรบั ตวั ใหเ๎ หมาะสมตามบรบิ ท กกกกกกก3. 3.2 3.2.6 องคร๑ วม ผเู๎ รยี นหรือนักศึกษาควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วยการเช่อื มโยง องคค๑ วามร๎ู จากวิชาตําง ๆ ท่ีเรียนรู๎ ให๎เปน็ องคร๑ วมสมั พนั ธก๑ ัน จะชํวยใหก๎ ารเรียนร๎ูมมี มุ มองท่ีกวา๎ งขวาเงกดิ ความคิด ทสี่ รา๎ งสรรค๑ กกกกกกก3. 3.2 3.2.7 ไมตํ ิดตารา ผ๎ูเรยี นหรอื นักศึกษาควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการ ไมํยึดตดิ กับ วิชาการอยาํ งเดยี ว แตํควรผสมผสานกับความรป๎ู ฏบิ ตั ิท่ีมอี ยูํในชีวิตจรงิ หรือวิถีชวี ิต กกกกกกก3. 3.2 3.2.8 ประหยัด เรยี บงําย ไดป๎ ระโยชน๑สงู สุด ผเู๎ รยี นหรอื นักศึกษาควรน๎อม นา มาใช๎ ดว๎ ยการร๎ูจักใช๎วัสดุการศึกษาท่ีประหยัด เรียบงาํ ย ราคาถกู สามารถใช๎ประโยชนใ๑ นการศึกษา ไดส๎ ูงสุด กกกกกกก3. 3.2 3.2.9 ทาใหง๎ ําย ผเู๎ รียนหรอื นกั ศึกษาควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการวางแผนออกแบบ ค๎นหาวิธกี ารดาเนนิ งาน หรือภารกิจการเรยี นท่ไี ดร๎ บั มอบหมายใหเ๎ ขา๎ ใจชัดเจน ใช๎ภาษาที่อาํ นงําย พรอ๎ มท่จี ะใหอ๎ าจารยผ๑ ู๎สอนตรวจ กกกกกกก3. 3.2 3.2.10 การมสี ํวนรวม ผ๎เู รยี นหรอื นกั ศกึ ษาควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการ เปดิ โอกาส ใหเ๎ พอ่ื นนักศกึ ษาแสดงความคิดเห็น รับฟง๓ ดว๎ ยความหนักแนนํ ปราศจากอคติ แล๎วนามาประยุกตใ๑ ช๎ หรือมสี ํวนรํวมในกิจกรรมกบั เพอ่ื นนกั ศกึ ษา หรือกับสถาบนั การศึกษาตามโอกาสอันควร กกกกกกก3. 3.2 3.2.11 ประโยชน๑สวํ นรํวม ผเ๎ู รียนหรือนกั ศกึ ษาควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ยการ จะต๎องมีความเสยี สละสํวนตนเพอ่ื ผลประโยชน๑สวํ นรวม หรอื ของกลุํมเพื่อนนักศึกษาท่ที ากจิ กรรม รํวมกัน ใหส๎ าเรจ็ ลลุ วํ ง ตลอดจนชํวยกนั รักษาผลประโยชน๑ หรือภาพลักษณ๑ของสถานศึกษาที่ตนเอง ไดม๎ สี วํ นเรียนรู๎ กกกกกกก3. 3.2 3.2.12 บริการรวมท่ีจดุ เดยี ว ผ๎เู รียนหรอื นกั ศึกษาควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการ ปรบั เปลี่ยนพฤตกิ รรมในการ เรยี น จากการทีต่ าํ งคนตาํ งทา มาสูกํ ารประสานงาน กิจกรรมท่ที ากบั เพือ่ นทเี่ กี่ยวข๎อง ซงึ่ จะเห็นผลงานที่ชดั ขน้ึ กกกกกกก3. 3.2 3.2.13 ปลกู ปุาในใจคน ผูเ๎ รียนหรอื นักศึกษาควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการต๎อง ชวํ ยกันรณรงคใ๑ หท๎ ุกภาคสวํ นเหน็ ความสาคญั ของการอนรุ กั ษ๑ธรรมชาติของสง่ิ แวดลอ๎ ม กกกกกกก3. 3.2 3.2.14 ขาดทุนคือกาไร ผเู๎ รยี นหรือนกั ศกึ ษาควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วยการ คานึงถงึ ผลประโยชน๑ของสถาบันการศึกษา หรือกลมํุ เพอื่ นนกั ศึกษา สวํ นรวม มากกวําผลสาเรจ็ ทีเ่ ป็นตัวเลข หรือมีผลการเรยี นท่ดี ี แตํผลงานกลํุมไมดํ ี หรอื สถาบนั การศึกษาเสียหายจากการกระทาของนกั ศกึ ษา บางคนทมี่ ุงํ ประโยชน๑ตนเอง กกกกกกก3. 3.2 3.2.15 การพงึ่ ตนเอง ผูเ๎ รยี นหรอื นกั ศกึ ษาควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ยการพัฒนาการ เรยี นของตนเองใหส๎ าเร็จลลุ วํ งดว๎ ยตนเอง มากกวาํ รอความชวํ ยเหลือจากเพือ่ นนกั ศกึ ษา หรอื ครู บาอาจารย๑ กกกกกกก3. 3.2 3.2.16 พออยพูํ อกิน ผ๎ูเรียนหรือนกั ศกึ ษาควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการดาเนนิ ชีวติ ขณะศกึ ษาเลําเรยี นด๎วยความประหยดั เรียบงาํ ย ต๎องตระหนกั วําใช๎เงนิ ของพอํ แมํในการศึกษา

195 กกกกกกก3. 3.2 3.2.17 เศรษฐกจิ พอเพยี ง ผูเ๎ รียนหรอื นกั ศกึ ษาควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ยการเรียนรู๎ ความรูว๎ ชิ า การ ควบคํกู บั ก ารเขา๎ รํวมกิจกรรม พฒั นาคุณธรรมท่ีสถาบนั การศึกษาจัดขน้ึ ใชช๎ วี ิต การศึกษาแบบเรียบงําย ไมฟํ ุงู เฟอู มเี หตผุ ล รู๎จกั ปฏิเสธเพื่อนท่ีจะชักชวนเราไปในทางทผ่ี ิด กกกกกกก3. 3.2 3.2.18 ความซ่ือสัตย๑ สจุ ริต จริงใจตอํ กัน ผ๎ูเรียนหรอื นกั ศึกษาควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ยการปฏบิ ัตภิ ารกจิ การเรยี นดว๎ ยความซ่ือสตั ย๑ สุจริต ไมลํ อกการบา๎ นเพื่อนมาสงํ อาจารย๑ผส๎ู อน ทาขอ๎ สอบด๎วยความสามารถ ไมลํ อกขอ๎ สอบของเพ่อื น หรือพดู แตเํ รอื่ งทถี่ กู ตอ๎ ง ตรงไปตรงมา เปน็ ต๎น กกกกกกก3. 3.2 3.2.19 ทางานอยาํ งมคี วามสุข ผ๎เู รียนหรอื นักศกึ ษาควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการ ตัง้ ใจศึกษาเลาํ เรยี นอยาํ งมคี วามสุข ปฏิบัติงานที่ได๎รับมอบหมายจากเพือ่ นนกั ศกึ ษา หรอื ครู ด๎วย ความรูส๎ กึ ท่มี คี วามสุขจะชวํ ยใหก๎ ารศกึ ษาสนุก และผลการเรยี นดีขึน้ ได๎ กกกกกกก3. 3.2 3.2.20 ความเพยี ร ผู๎เรียนหรอื นักศกึ ษาควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วยการมงํุ มั่น ต้งั ใจ เพียรพยายาม ศึกษาเลําเรียนในหลักสตู รใหส๎ าเร็จ กกกกกกก3. 3.2 3.2.21 ร๎ู รกั สามัคคี ผูเ๎ รยี นหรือนกั ศกึ ษาควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการตอ๎ งมี ความรู๎ในเร่อื งที่ตนเองศึกษากอํ น ทาดว๎ ยความรัก ในเรื่องที่ศึกษา และทางานเปน็ ทมี ด๎วยความ สามคั คี กกกกกกก3. 3.3 การนอ๎ มนาหลักการทรงงานมาใช๎ในอาชพี การงาน กกกกกกก3. 3.3 3.3.1 ศกึ ษาข๎อมูลอยํางเป็นระบบ ผ๎ปู ระกอบอาชพี การงาน ควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการทางานอยาํ งมขี น้ั ตอน เชนํ มีการวางแผน การออกแบบ เมื่อเสร็จส้นิ แลว๎ มีการวิเคราะห๑ผล ประเมนิ ผลแล๎วพจิ ารณาหาวธิ กี ารแกไ๎ ขในงานที่ทา กกกกกกก3. 3.3 3.3.2 ระเบดิ จากข๎างใน ผปู๎ ระกอบอาชพี การงานควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการ ต๎อง มุํงให๎ตนเอง และเพ่ือนรํวมอาชพี เห็นคุณคํา และประโยชนข๑ องการประกอบอาชีพรํวมกนั กกกกกกก3. 3.3 3.3.3 แก๎ปญ๓ หาทจ่ี ุดเลก็ ผ๎ปู ระกอบอาชพี การงานควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการ แก๎ไขปญ๓ หาเฉพาะหนา๎ ที่เกดิ ขึน้ เรงํ ดวํ น และผป๎ู ระกอบอาชพี มคี วามสามารถในการแก๎ไขป๓ญหาน้ไี ด๎ ด๎วยตนเอง กกกกกกก3. 3.3 3.3.4 ทาตามลาดับขน้ั ผูป๎ ระกอบอาชพี การงานควรนอ๎ มนามาใชด๎ ว๎ ยการ วาง ลาดบั ขน้ั ของสง่ิ ทีจ่ ะต๎องทา แลว๎ คอํ ย ๆ ลงมือทาไปทลี ะขัน้ ระหวาํ งทีท่ าก็พจิ ารณาผลท่ีเกดิ ข้ึนวาํ เปน็ ไปตามทีค่ วรจะเปน็ หรือไมํ ถ๎าเปน็ ไปตามสง่ิ ทค่ี าดไวก๎ ็ลงมือทาขัน้ ถดั ไป ถา๎ ไมํเปน็ ดังท่ีคาดก็ตอ๎ ง พจิ ารณาหาขอ๎ ผดิ พลาด เพ่ือที่จะเรยี นรแู๎ ละหาทางแก๎ไข โดยอาจมกี ารปรับข้ันตอนได๎ การทางาน อยาํ งเปน็ ระบบยอํ มเกดิ ข้นึ ได๎จากคนทีค่ ดิ สิง่ ตําง ๆ อยํางเปน็ ระบบ กกกกกกก3. 3.3 3.3.5 ภมู ิสังคม ผป๎ู ระกอบอาชพี การงานควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการปรบั ตัวให๎เข๎า กับเพื่อนรํวมอาชพี หรอื เคารพความแตกตาํ งของเพอื่ นรํวมอาชพี และผรู๎ บั บริ การทม่ี าติดตํอด๎วย กกกกกกก3. 3.3 3.3.6 องคร๑ วม ผูป๎ ระกอบอาชพี การงานควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ย การมองอยํางครบ วงจร คอื คดิ ตั้งแตเํ รม่ิ ทางานอาชพี จนถงึ ผลผลิต ผลลัพธ๑ และผลกระทบ ที่หยง่ั คาดถงึ เหตุการณท๑ ่จี ะ เกิดขึ้น และแนวทางแก๎ไขอยํางเช่อื มโยงกนั จากนน้ั จงึ วางแผนงาน ให๎รัดกุม ความรอบคอบ ลดการ สญู เสียรายได๎ หรอื อันตรายทีอ่ าจจะเกิดข้นึ กบั ตนเอง หรอื เพ่ือนรวํ มอาชีพ

196 กกกกกกก3. 3.3 3.3.7 ไมํตดิ ตารา ผู๎ประกอบอาชีพการงานควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการทยี่ อมรับ เปดิ ใจกวา๎ ง ตอํ ความรปู๎ ฏบิ ตั ใิ นอาชพี ทีม่ ที าตํอ ๆ กันมาหลายชวํ งระยะเวลา และนาความร๎ูวชิ าการ สมัยใหมํ ผนวกเข๎าไปเสรมิ ให๎การปฏบิ ตั หิ รือผลิตผล หรอื ผลติ ภณั ฑ๑ หรอื สนิ ค๎าของอาชพี น้นั มีคุณภาพตรงกบั ความตอ๎ งการของผรู๎ ับบริการ หรอื ผู๎บริโภค กกกกกกก3. 3.3 3.3.8 ประหยดั เรียบงําย ไดป๎ ระโยชนส๑ งู สุด ผป๎ู ระกอบอาชพี การงานควรนอ๎ ม นามาใช๎ ดว๎ ยการ ต๎องรจู๎ ักใช๎ทรัพยากร วัตถดุ ิบในอาชีพ นน้ั อยํางฉลาด คอื ไมนํ ามาทุมํ เทใช๎ให๎ สน้ิ เปลอื งไปโดยไรป๎ ระโยชน๑ หรือได๎รบั ประโยชนไ๑ มํค๎ุมคาํ หากแตํระมัดระวังใช๎ดว๎ ยความประหยดั รอบคอบ กกกกกกก3. 3.3 3.3.9 ทาให๎งําย ผ๎ูประกอบอาชีพการงานควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ย การวางแผน ออกแบบ ผลิตภัณฑ๑ หรอื ผลติ สนิ ค๎า หรอื ค๎นหา วิธีการดาเนนิ งาน ผลติ สินค๎า ทม่ี ลี กั ษณะเรยี บงาํ ย ไมยํ งุํ ยากซับซอ๎ น ใช๎เทคโนโลยีทเี่ รยี บงําย แตไํ ด๎ผลผลิต หรือสินค๎าที่มีคณุ ภาพจาหนาํ ยไดร๎ าคาที่ดี กกกกกกก3. 3.3 3.3.10 การมีสวํ นรํวม ผู๎ประกอบอาชีพการงานควรน๎อมนามาใช๎ดว๎ ยการเปดิ โอกาสให๎ผ๎ูบรโิ ภค หรอื เพ่ือนรํวมงานได๎มีโอกาสแสดงความคิดเหน็ ในการผลิตสินค๎า หรอื ผลิตภณั ฑ๑ ทม่ี ีคุณภาพตรงความต๎องการของผู๎บรโิ ภคเปน็ สาคัญ นอกจากนีใ้ นการผลิตสนิ คา๎ หรือผลติ ภัณฑ๑ จานวนมาก ต๎องอาศยั การมีสวํ นรวํ มของเพอื่ นรํวมอาชพี ท่เี ราควรให๎ความสาคญั ด๎วย กกกกกกก3. 3.3 3.3.11 ประโยชนส๑ ํวนรวม ผูป๎ ระกอบอาชีพการงานควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการ คานึงถงึ ผลประโยชนข๑ องผู๎บริโภคเป็นหลกั มากกวาํ ประโยชน๑ทต่ี นเองจะไดร๎ บั กกกกกกก3. 3.3 3.3.12 บรกิ ารรวมทีจ่ ดุ เดียว ผ๎ูประกอบอาชพี การงานควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วยการ นาเสนอตง้ั แตํข้ันตอนการเตรยี มวัตถดุ บิ กระบวนผลติ การใสํบรรจภุ ัณฑ๑ ให๎ผ๎บู ริโภคไดเ๎ หน็ เพ่ือเพม่ิ ความมัน่ ใจ ในผลิตภณั ฑ๑ทสี่ ดสะอาด นาํ ซ้ือไปใช๎ หรือเพือ่ การบริโภค กกกกกกก3. 3.3 3.3.13 ใชธ๎ รรมชาติ ชวํ ยธรรมชาติ ผู๎ประกอบอาชพี การงานควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ยการใชว๎ ัตถุดิบทีม่ าจากธรรมชาติ ในการผลิตสินค๎า ใช๎สารท่มี าจากธรรมชาติในการแกไ๎ ขกล่ินสี ของผลิตภัณฑ๑ หรือสนิ คา๎ ท่ปี ระกอบอาชีพ ใช๎พืชผักสมนุ ไพร มาชวํ ยกาจัดศตั รูพชื หรอื ดับกลน่ิ ที่เกิด จากการประกอบอาชีพ กกกกกกก3. 3.3 3.3.14 ปลูกปุาในใจคน ผป๎ู ระกอบอาชพี การงานควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ยการ ชวํ ยกันดูแลทรพั ยากรปุาไมท๎ ี่เป็นตน๎ นา้ ลาธาร ใหผ๎ ป๎ู ระกอบอาชพี และประชาชนทว่ั ไปได๎ใชเ๎ พอื่ การ บริโภค และอปุ โภค กกกกกกก3. 3.3 3.3.15 ขาดทุนคือกาไร ผูป๎ ระกอบอาชพี การงานควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการ คานงึ ถงึ ผลประโยชน๑ของผ๎บู ริโภค หรือผร๎ู บั บรกิ ารสํวนรวมมากกวาํ ผลสาเร็จท่ีเปน็ ตัวเลขผลกาไรท่ีผู๎ ประกอบอาชพี จะได๎รบั กกกกกกก3. 3.3 3.3.16 การพึง่ ตนเอง ผป๎ู ระกอบอาชีพการงานควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วยการผลติ สินคา๎ ทม่ี ีวตั ถดุ บิ ท่ีตนเองผลติ ได๎มากที่สุด เพอ่ื ลดการพึง่ พาจากภายนอก หรอื ให๎บริการดว๎ ยตนเอง เพ่ือลดการพ่ึงพาเพื่อนรวํ มงานทีอ่ าจจะต๎องจํายคาํ ใชจ๎ าํ ย หรือคาํ ตอบแทนให๎ กกกกกกก3. 3.3 3.3.17 พออยูํพอกิน ผูป๎ ระกอบอาชพี การงานควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการผลิต สินคา๎ ให๎ตนเองไดใ๎ ช๎หรือบรโิ ภค เมอ่ื เหลือจงึ จาหนาํ ยใหม๎ รี ายไดเ๎ พมิ่ เพ่ือดารงชวี ติ แบบเรยี บงําย ประหยัด

197 กกกกกกก3. 3.3 3.3.18 เศรษฐกิจพอเพียง ผปู๎ ระกอบอาชพี การงานควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ย การ ดาเนนิ ชีวติ และประกอบอาชีพ ด๎วยการบรหิ ารความเสย่ี ง มกี ารออมไว๎ใชใ๎ นยามจาเป็นฉกุ เฉนิ มีคุณธรรมในอาชพี มีความพอประมาณ คดิ เปน็ มีความร๎ู และพฒั นาความรูข๎ องตนเอง เพื่อใหอ๎ าชีพ นัน้ มคี วามเข๎มแข็ง และม่ันคง กกกกกกก3. 3.3 3.3.19 ความซื่อสตั ย๑ สุจรติ จรงิ ใจตอํ กัน ผปู๎ ระกอบอาชพี การงานควรนอ๎ ม นามาใช๎ ดว๎ ยการใชว๎ ตั ถดุ บิ กระบวนการผลิตทถ่ี ูกตอ๎ ง มคี ณุ ภาพ ท่ีซอื่ สตั ย๑ตํอผูบ๎ รโิ ภค หรอื ผู๎รับบรกิ าร กกกกกกก3. 3.3 3.3.20 ทางานอยํางมีความสุข ผูป๎ ระกอบอาชพี การงานควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วย การในขณะทางานประกอบอาชีพตอ๎ งมีความสขุ ด๎วย หรอื จะทางานประกอบอาชพี โดยคานงึ ถงึ ความสขุ ที่ผ๎ูบรโิ ภค หรอื ผู๎รบั บริการไดร๎ ับมีความพงึ พอใจในสนิ คา๎ หรือบรกิ าร กกกกกกก3. 3.3 3.3.21 ความเพยี ร ผู๎ประกอบอาชีพการงานควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการมุงํ มัน่ พากเพียร ประกอบอาชีพให๎สาเร็จลลุ วํ ง เปน็ ทพี่ งึ พอใจของผู๎บริโภค หรือผูร๎ บั บรกิ าร กกกกกกก3. 3.3 3.3.22 รู๎ รกั สามคั คี ผู๎ประกอบอาชีพการงานควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วยการต๎องมี ความร๎ใู นงานอาชพี ท่ีตนเองทาเป็นอยาํ งดีกอํ น ตอํ จากนนั้ ใหท๎ างานอาชีพด๎วยความรกั และเมือ่ ลงมือ ปฏิบตั ิ ถา๎ ทาคนเดียวไมสํ าเรจ็ ก็ต๎องใช๎เพื่อนรํวมอาชพี เขา๎ มาชํวยรวํ มกนั ทาอยาํ งมีความสามัคคี กกกกกกก3. 3.4 การนอ๎ มนาหลกั การทรงงานมาใช๎ในการพัฒนาชุมชน ทอ๎ งถ่ิน และสงั คม กกกกกกก3. 3.4 3.4.1 ศึกษาขอ๎ มูลอยาํ งเป็นระบบ สมาชิกชุมชน ทอ๎ งถิน่ และสังคม ควรนอ๎ ม นามาใช๎ ด๎วยการวางแผน เกบ็ รวบรวมข๎อมลู การออกแบบเกบ็ รวบรวมขอ๎ มลู วิเคราะหข๑ ๎อมูล ประเมนิ ผลข๎อมูล แล๎วคิดหาวธิ กี ารแก๎ไขในงานท่ีทา กกกกกกก3. 3.4 3.4.2 ระเบิดจากขา๎ งใน สมาชิกชุมชน ทอ๎ งถน่ิ และสังคม ควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วย การสร๎างความเข๎มแข็งให๎คนในชุมชนทเ่ี ราเขา๎ ไปพัฒนา ใหม๎ ีสภาพพรอ๎ มทจ่ี ะรบั การพฒั นาเสียกํอน แล๎วจงึ คอํ ยออกมาสสํู ังคมภายนอก มิใชํการนาเอาความเจริญหรือบคุ คลจากสังคมภายนอกเข๎าไปหา ชุมชนหรอื หมูํบ๎านทย่ี ังไมทํ นั ไดม๎ ีโอกาสเตรยี มตัวหรือต้ังตวั กกกกกกก3. 3.4 3.4.3 แกป๎ ๓ญหาท่ีจุดเลก็ สมาชกิ ชมุ ชน ท๎องถนิ่ และสงั คม ควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการแกไ๎ ขปญ๓ หาเฉพาะหนา๎ เรงํ ดวํ นกํอน ซง่ึ เมอ่ื ได๎แกไ๎ ขจดุ เลก็ ๆ ไดแ๎ ล๎วจงึ คํอย ๆ แกไ๎ ขปญ๓ หาอื่น ตามลาดับ กกกกกกก3. 3.4 3.4.4 ทาตามลาดบั ขนั้ สมาชิกชมุ ชน ท๎องถ่ินและสงั คม ควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ย การเรม่ิ ทาจากความจาเปน็ กํอน สง่ิ ท่ขี าดคือสง่ิ ทจี่ าเป็น เชนํ ประชาชนตอ๎ งแก๎ปญ๓ หาเรื่องสขุ ภาพ กํอน จากนน้ั ก็ไปแกท๎ ่สี าธารณูปโภค แล๎วตํอดว๎ ยการประกอบอาชีพ ถา๎ ทาเป็นข้นั เป็นตอน กจ็ ะทาให๎ สาเร็จไดง๎ าํ ย เชนํ งานยาเสพติด รกั ษา สํงเสริม ฟืน้ ฟู กลับอยใํู นสังคมปกติ เป็นคนดีของ ชุมชน ทอ๎ งถิ่น และสังคม กกกกกกก3. 3.4 3.4.5 ภมู ิสังคม สมาชิกชุมชน ทอ๎ งถิ่นและสงั คม ควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการ ทางานทุกอยําง ตอ๎ งคานงึ ถงึ ภูมศิ าสตร๑วําอยํแู ถบไหน อากาศเปน็ อยาํ งไร ตดิ ชายแดน ตดิ ทะเล และ สังคมของเราเป็นอยาํ งไร นบั ถอื ศาสนาอะไร คนนสิ ัยใจคอเป็นอยาํ งไร รวมไปถงึ พวกเรากั นเองดว๎ ย ถ๎าไมรํ ู๎เขา รเู๎ ราจะรบชนะได๎อยาํ งไร สง่ั ทาโครงการท่วั ประเทศไมไํ ด๎ ตอ๎ งดูเฉพาะพนื้ ที่ กระทรวง สาธารณสขุ ออกแบบสถานีอนามยั เหมือนกนั กับชุมชน ท๎องถนิ่ และสังคม บางครงั้ กไ็ มดํ นี กั

198 กกกกกกก3. 3.4 3.4.6 องคร๑ วม สมาชกิ ชุมชน ทอ๎ งถิน่ และสังคม ควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการคดิ ความเช่ือมโยงมองเหตกุ ารณ๑ทีเ่ กิดขน้ึ และคน๎ หาวธิ ีการแก๎ไขเช่ือมโยงเป็นองค๑รวมครบวงจร กกกกกกก3. 3.4 3.4.7 ไมตํ ิดตารา สมาชกิ ชมุ ชน ทอ๎ งถิ่นและสงั คม ควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการใช๎ ป๓ญญาในการนาไปใช๎แก๎ป๓ญหา เมอ่ื เกิดปญ๓ หาก็ไมํโทษวํา หรอื เอาตาราใด ๆ มารับผิด หากแตํใช๎ สมรรถนะคดิ หาหนทางในการปรบั ตัวเพื่อรบั มือกบั ปญ๓ หา ลดผลเสยี ที่เกิดขน้ึ ใชก๎ ารรํวมมือเขา๎ มา ชํวยให๎สามารถฝุาฟ๓นกบั ปญ๓ หาตอํ ไป แลว๎ แสวงหาความร๎ู ความคดิ เหน็ คาแนะนาตําง ๆ มาใชค๎ ดิ ด๎วยศักยภาพของป๓ญญามนุษย๑จะทาให๎ไดพ๎ บคาตอบของป๓ญหาได๎ การพัฒนาจงึ มีการลงมือปฏิบัติ ดว๎ ยป๓ญญาที่มีลกั ษณะของความยดื หยนุํ ไหลลนื่ และสอดคล๎องไปกับวถิ ีทางในการบรรลเุ ปูาหมาย ของการพฒั นา คือ การพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของประชาชนเพือ่ ความผาสุกของ ชุมชน ท๎องถิน่ และ สงั คม กกกกกกก3. 3.4 3.4.8 ประหยดั เรยี บงาํ ย ได๎ประโยชน๑สงู สดุ สมาชกิ ชุมชน ทอ๎ งถน่ิ และสังคม ควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ยการตอ๎ งรจู๎ กั ใช๎ทรัพยากรนน้ั อยํางฉลาด คือไมํนามาทมํุ เท ใชใ๎ ห๎สน้ิ เปลอื งไป โดยไรป๎ ระโยชน๑ หรือได๎ประโยชน๑ไมคํ มุ๎ คํา หากแตํระมดั ระวังใชด๎ ว๎ ยความประหยดั รอบคอบ ประกอบ ดว๎ ยความคิดพจิ ารณาตามหลักวิชา เหตุผล และความถกู ต๎องเหมาะสม โดยมุํงประโยชน๑ แทจ๎ ริงทจ่ี ะเกดิ กบั ชุมชน ท๎องถ่นิ และสังคม กกกกกกก3. 3.4 3.4.9 ทาใหง๎ าํ ย สมาชิกชมุ ชน ทอ๎ งถิน่ และสังคม ควรนอ๎ มนามาใชด๎ ๎วยการ วางแผน ออกแบบ คน๎ หาวิธกี ารดาเนนิ งานทม่ี ีลกั ษณะเรยี บงาํ ย ไมํยงํุ ยากซับซอ๎ น อาศยั การมสี ํวน รํวม ไมํติดตารา ยึดภูมิป๓ญญาเดมิ ผสมเทคโนโลยใี หมํ กกกกกกก3. 3.4 3.4.10 การมีสํวนรวํ ม สมาชิกชมุ ชน ทอ๎ งถนิ่ และสงั คม ควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ย การปฏิบตั ิภารกิจสวํ นรวม ทกุ คนควรเขา๎ ไปมีสวํ นรํวม รํวมคิด รวํ มทา เพ่อื ใหภ๎ ารกจิ น้ันสาเรจ็ ลลุ ํวง ถงึ แม๎วาํ บางครั้งการคดิ ของแตํละคนอาจจะไมตํ รงกนั ก็ตาม แตํเราต๎องปฏบิ ัติตามถา๎ เป็นมติ ความคิดเห็นของสวํ นใหญํ กกกกกกก3. 3.4 3.4.11 ประโยชน๑สวํ นรวม สมาชกิ ชุมชน ท๎องถิ่นและสงั คม ควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วยการที่ทุกคนมีนา้ ใจ ยอมรับความคิดเหน็ ของผู๎อ่ืน การแนะนาในส่ิงท่ีเปน็ ประโยชน๑ โดยไมหํ วงแหน แนะนาหลกั การดาเนินชีวิต โดยอาศัยหลกั ธรรมและประสบการณ๑ ด๎วยความบริสุทธใ์ิ จ การเสยี สละ สุขและผลประโยชน๑สํวนตน เพ่อื สขุ และประโยชนส๑ วํ นรวม การเสียสละสง่ิ ทไ่ี มเํ ปน็ ประโยชน๑เลก็ นอ๎ ย เพ่อื ประโยชนท๑ ม่ี ากกวาํ การสละประโยชน๑สํวนตนเพ่อื ชํวยเหลือ และหรือทาประโยชนใ๑ หแ๎ กํบุคคล อ่นื หรือสังคม โดยการสละกาลังกาย ทรพั ย๑สิง่ ของ สติป๓ญญา เวลา และความสุขสบายสํวนตัว ซึง่ เปน็ สํวนสาคัญในการสงํ เสริมการมจี ิตสาธารณะ โดยสงํ เสริมการรวมกลํุมเพอ่ื ทากจิ กรรมตําง ๆ ที่เกิดจาก ความรกั และเออื้ อาทรตอํ กัน สํ งเสริมความคิดทจี่ ะแจกจํายแบํงป๓นให๎ผอ๎ู ่นื ซง่ึ จะทาให๎ได๎เพอื่ น และเกดิ เปน็ วัฒนธรรมทดี่ ีทจี่ ะชํวยลดความเห็นแกตํ ัวและสรา๎ งความพอเพียงให๎เกิดขนึ้ ในจติ ใจ กกกกกกก3. 3.4 3.4.12 บริการรวมที่จุดเดียว สมาชกิ ชุมชน ท๎องถิ่นและสงั คม ควรนอ๎ มนามาใช๎ ดว๎ ยการทม่ี ีพลเมอื งหลากหลายอาชีพซ่ึงมีความรแู๎ ละประสบการณ๑ทีแ่ ตกตํางกนั การรํวมกันแกไ๎ ข ปญ๓ หาหรอื การบรกิ ารรวํ มกนั ณ จุดเดยี วกัน เพ่ือใหส๎ มาชกิ ในสังคมไดร๎ บั บริการเบ็ดเสร็จ

199 กกกกกกก3. 3.4 3.4.13 ใชธ๎ รรมชาติ ชวํ ยธรรมชาติ สมาชิกชมุ ชน ท๎องถิ่นและสังคม ควรน๎อม นามาใช๎ ดว๎ ยการควรน๎อมนามาใช๎ในการดแู ล ทรพั ยากรธรรมชาตปิ ุาไม๎ ใหข๎ น้ึ เองตามธรรมชาติ ไมไํ ป บกุ รกุ ทาลายปุากจ็ ะทาใหม๎ ีปาุ ซง่ึ เป็นตน๎ น้าใหก๎ บั ชุมชน ท๎องถน่ิ และสงั คม ใช๎ในการบริโภค อปุ โภค กกกกกกก3. 3.4 3.4.14 ใช๎อธรรมปราบอธรรม สมาชิกชุมชน ทอ๎ งถ่ินและสังคม ควรนอ๎ ม นามาใช๎ในการพัฒนาสงิ่ แวดล๎อมอาจตอ๎ งใชส๎ ่งิ ที่มีอยํทู ไ่ี มํเป็นประโยชนต๑ อํ ชมุ ชน มาจัดการกบั ส่ิงทไ่ี มํ เป็นประโยชน๑ พบเห็นอยใํู นชุมชน เชํน ใช๎ผักตบชวากาจัดนา้ เสยี ในชมุ ชน กกกกกกก3. 3.4 3.4.15 ปลกู ปุาในใจคน สมาชิกชุมชน ทอ๎ งถน่ิ และสังคม ควรน๎อมนามาใช๎ดว๎ ย การปลูกจิตสานึกให๎สมาชกิ ชมุ ชน ทอ๎ งถ่ินและสงั คม รกั และหวงแหนส่ิงนน้ั กอํ นแลว๎ พวกเขาจะหนั กลับมาดูแลส่ิงนัน้ ดว๎ ยตนเอง โดยเฉพาะทรัพยากรธรรมชาติปุาไม๎ กกกกกกก3. 3.4 3.4.16 ขาดทนุ คือกาไร สมาชิกชุมชน ท๎องถนิ่ และสงั คม ควรนอ๎ มนามาใชด๎ ว๎ ย การเสียสละผลประโยชน๑ทตี่ นเองจะได๎รับให๎กับสํวนรวมแทน เพราะเมือ่ สํวนรวมไดร๎ บั ผลประโยชนน๑ ี้ เราในฐานะเป็นสวํ นหน่ึงของสมาชกิ สังคมกไ็ ดร๎ ับผลประโยชน๑ด๎วย กกกกกกก3. 3.4 3.4.17 การพ่งึ ตนเอง สมาชกิ ชมุ ชน ท๎องถิน่ และสังคม ควรนอ๎ มนามาใช๎ด๎วยการ พยายามพ่งึ ตนเองใหม๎ ากท่สี ุด ลดการพ่ึงพาภายนอกจะทาใหส๎ ามารถแกไ๎ ขป๓ญหาของชุมชน ท๎องถ่นิ และสังคมในเบอื้ งต๎นได๎ กกกกกกก3. 3.4 3.4.18 พออยพํู อกิน สมาชกิ ชุมชน ท๎องถิน่ และสงั คม ควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการ ผลิตสินค๎าทางการเกษตร ให๎พอกินในครวั เรอื นของสมาชิกชมุ ชนกํอน ทเ่ี หลอื จงึ จาหนาํ ยใหม๎ ีรายได๎ ดาเนนิ ชวี ติ ได๎ แลว๎ จงึ คํอยขยบั ขยาย ดว๎ ยการรวมกลํุมจาหนําย ตํอรอง ขายไดใ๎ นราคาท่ีสงู ขนึ้ กกกกกกก3. 3.4 3.4.19 เศรษฐกิจพอเพยี ง สมาชกิ ชมุ ชน ท๎องถน่ิ และสงั คม ควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วยการดารงอยูํ และปฏบิ ตั ิตนของประชาชนในทุกระดับ ตงั้ แตรํ ะดบั ครอบครัว ระดบั ชุมชน จนถงึ ระดบั รฐั ท้งั ในการพัฒนาและบรหิ ารประเทศให๎ดาเนนิ ไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการ พฒั นา เศรษฐกจิ เพือ่ ให๎กา๎ วทนั ตอํ โลกยุคโลกาภวิ ัฒน๑ กกกกกกก3. 3.4 3.4.20 ความซื่อสัตย๑สจุ ริต จรงิ ใจตอํ กนั สมาชกิ ชุมชน ท๎องถิน่ และสงั คม ควร น๎อมนามาใช๎ ด๎วย การปฏิบัตติ นทางกาย วาจา จิตใจท่ีตรงไปตรงมา ไมํแสดงความคดโกง ไมํหลอกลวง ไมํเอาเปรียบผอ๎ู ่นื ลัน่ วาจาวาํ จะทางานส่งิ ใดก็ต๎องทาใหส๎ าเร็จเป็นอยํางดี ไมํกลบั กลอก มีความจรงิ ใจตอํ ทุกคนจนเปน็ ทไี่ ว๎วางใจของคนทกุ คน กกกกกกก3. 3.4 3.4.21 ทางานอยํางมีความสุข สมาชกิ ชมุ ชน ทอ๎ งถิน่ และสงั คม ควรน๎อมนามาใช๎ ดว๎ ยการขณะทางานตอ๎ งมคี วามสขุ ด๎วย ถ๎าเราทาอยาํ งไมํมีความสุข เราจะแพ๎ แตํถ๎าเรามีความสขุ เรา จะชนะ สนกุ กับการทางานเพยี งเทาํ นน้ั ถือวําเราชนะแลว๎ หรอื จะทางานโดยคานึงถงึ ความสุขที่เกดิ จากการได๎ทาประโยชนใ๑ ห๎ผูอ๎ ืน่ ในชมุ ชน ท๎องถน่ิ และสงั คมก็สามารถทาได๎ กกกกกกก3. 3.4 3.4.22 ความเพยี ร สมาชิกชุมชน ทอ๎ งถนิ่ และสงั คม ควรนอ๎ มนามาใชด๎ ๎วยการ เรม่ิ ต๎นทางาน หรือทาส่ิงใดนั้นอาจ ไมํมี ความพรอ๎ ม แตํต๎องอาศัยความอดทนและความมํุงม่นั เพยี รพยายาม ให๎งานนัน้ สาเร็จลุลํวงไปได๎

200 กกกกกกก3. 3.4 3.4.23 ร๎ู รกั สามัคคี สมาชิกชมุ ชน ทอ๎ งถิน่ และสังคม ควรน๎อมนามาใช๎ ด๎วยการ ต๎องมคี วามรูใ๎ นงานที่ตนเองทาเป็นอยํางดีกํอน ตํอจากน้นั ให๎ทางานดว๎ ยความรัก และเมอื่ ลงมอื ปฏบิ ตั ิ ถา๎ ทาคนเดยี วไมํสาเร็จก็ตอ๎ งใช๎บคุ คลอืน่ ในชมุ ชน ท๎องถ่นิ และสงั คม มาชวํ ยทารํวมกนั อยํางมี ความสามัคคี กกกกกกก4. การน้อมนาพระราชจรยิ วตั รและพระราชกรณียกจิ ไปใช้ชีวิตประจาวนั กกกกกกก4. 4.1 การน๎อมนาพระราชจรยิ วตั รไปใชช๎ ีวติ ประจาวนั กกกกกกก4. 4.1 4.1.1 พระราชจริยวัตรที่เกี่ยวขอ๎ งกับครอบครวั ประชาชนชาวไทย ควรน๎อม นามาใช๎ด๎วยการ กกกกกกก4. 4.1 4.1.1 1) ในฐานะบุตร ควรเชื่อฟง๓ คาสั่งสอนของบดิ ามารดา โดยเฉพาะในเรื่อง ของความรับผดิ ชอบ ควรมีการนาไปปฏบิ ตั ิอยํางเครํงครดั นอกจากนี้ในฐานะบุตรต๎องมีความกตัญ๒ู ตํอบิดามารดา และควรแสดงความรักเคารพตํอบิดามารดาอยํางสม่าเสมอ ตวั อยําง เชนํ ดา๎ นความ กตญั ๒ตู อํ บิดามารดา บตุ รควรดูแลบิดามารดายามแกํชราหรอื เจ็บไขไ๎ ดป๎ ุวย ด๎วยความเตม็ ใจ ตั้งแตํ เร่ืองอาหาร เส้ือผา๎ ที่อยํอู าศัย และด๎านหนา๎ ที่ความรบั ผดิ ชอบ บตุ รควรศึกษาเลาํ เรียนดว๎ ยความตงั้ ใจ จนประสบความสาเรจ็ ตามที่ตัง้ เปาู หมายไว๎ เปน็ ตน๎ กกกกกกก4. 4.1 4.1.1 2) ในฐานะพอํ ต๎องอบรมสัง่ สอนบตุ รใหเ๎ ป็นคนดมี คี วาม เสยี สละรบั ผิดชอบ หน๎าท่ีทต่ี อ๎ งปฏิบัติใหด๎ ี โดยเฉพาะในวัยเยาว๑ตอ๎ งต้ังใจศึกษาเลําเรียน และทางานท่ีบิดามารดา หรอื ครู มอบหมายให๎ทาเปน็ อยาํ งดี นอกจากนี้บดิ ามารดาตอ๎ งสงํ เสริมใหบ๎ ตุ รได๎ออกกาลังกาย เพอ่ื ใหร๎ าํ งกาย แขง็ แรง ใชเ๎ วลาวํางให๎เป็นประโยชน๑ รวมถึงแนะนาสํงเสรมิ ให๎บุตรได๎เรียนร๎ู ศลิ ปะ ดนตรี เพอื่ ขัดเกลา จติ ใจให๎ออํ นโยน ตวั อยาํ ง เชํน บิดามารดา ควรพาบุตรไปเท่ียวในสถานท่ีทอํ งเท่ียวตํางๆ เชํน สวนสนกุ สวนสตั ว๑ ทะเล เพือ่ สร๎างจินตนาการใหแ๎ กํบุตร พรอ๎ มทัง้ สงํ เสรมิ สนบั สนนุ ให๎บตุ รไดเ๎ รยี นรูแ๎ ละปฏบิ ัติ ในสงิ่ ทีส่ นใจ เปน็ ต๎น กกกกกกก4. 4.1 4.1.1 3) ในฐานะสามี ตอ๎ งเปน็ สภุ าพบุรษุ ต๎องให๎เกียรตสิ ุภาพสตรี ดแู ลคํูครอง ด๎วยความรัก ใหเ๎ กียรตกิ ันและกนั เมือ่ พบปญ๓ หาต๎องรวํ มกนั ตัดสินใจแก๎ไขป๓ญหาอยาํ งตัง้ ม่ันในความ ซื่อสัตยส๑ ุจรติ และความปรารถนาดี ตัวอยําง เชนํ ผู๎ที่เป็นสามีพดู จากับภรรยาด๎วยความสุภาพ อํอนโยน มีการดูแลซ่งึ กนั และกัน พรอ๎ มทงั้ ใหเ๎ กียรติยกยํองภรรยาทั้งตํอหนา๎ และลับหลัง เป็นต๎น กกกกกกก4. 4.1 4.1.1 4) ในฐานะผ๎นู าครอบครวั ต๎องเป็นแบบอยาํ งในการปฏิบตั ิดี ปฏบิ ัติชอบ ให๎บุตรได๎เหน็ และทาตาม รวมถงึ สั่งสอนให๎บตุ รทางานทเี่ ป็นบทบาทของตัวเองให๎ดีทส่ี ุด ตวั อยําง เชํน ผูน๎ าครอบครัวประกอบอาชพี ที่มคี วามสุจริต ประพฤตติ นอยูํในศลี ธรรม ใช๎จํายอยาํ งประหยัด พอเพยี ง เป็นต๎น กกกกกกก4. 4.1 4.1.2 พระราชจรยิ วตั รทเี่ กีย่ วขอ๎ งกับความออํ นน๎อมถํอมตัว ประชาชนชาวไทย ควรนอ๎ มนามาไปใช๎กบั ผู๎อาวุโสกวํา ด๎วยการ ใหค๎ วามเคารพญาติผใ๎ู หญดํ ๎วยความออํ นนอ๎ มสภุ าพ สํวนผู๎ทอ่ี ายใุ นคราวเดยี วกนั ควรมีอธั ยาศยั สภุ าพ มคี วามสภุ าพอํอนโยน นําคบหาสมาคม และผู๎ทมี่ ี อายุน๎อยกวํา มคี วามสุภาพออํ นโยน มีความเอน็ ดหู รอื ความกรุณา ตัวอยาํ ง เชนํ แสดงความอํอนนอ๎ ม ตอํ ผใู๎ หญํด๎วยการเดนิ ผาํ นกม๎ ตวั ลง ใช๎คาพดู ท่สี ภุ าพนํมุ นวล เมื่อรับของจากผ๎ูใหญกํ ลําวคาวาํ ขอบคุณ พร๎อมกบั ยกมอื ไหว๎ เคารพผู๎อาวุโสดว๎ ยการทกั ทายทาความเคารพผูใ๎ หญํ

201 กกกกกกก4. 4.2 การนอ๎ มนาพระราชกรณยี กิจไปใช๎ชีวิตประจาวนั กกกกกกก4. 4.2 4.2.1 การนอ๎ มนาพระราชกรณียกจิ ที่เก่ียวขอ๎ งกบั โรงเรยี น หรอื การศึกษา ประชาชนชาวไทย ควรน๎อมนาดว๎ ยการถ๎าพลเมืองมีฐานะ หรอื มีเงินเหลือเกบ็ กส็ ามารถสงเคราะห๑เงิน ดงั กลาํ ว สนบั สนนุ กจิ การการศึกษาของโรงเรยี น หรอื สถาบนั การศกึ ษาในชมุ ชนทตี่ วั เองเปน็ สมาชิก อยํู ในกรณีทีไ่ มมํ เี งนิ สามารถชวํ ยเหลอื ดา๎ นแรงกายกับภารกิจท่ีโรงเรยี นต๎องการใหช๎ วํ ยเหลอื กไ็ ด๎ ตวั อยาํ ง เชํน เขา๎ รํวมกิจกรรมของโรงเรียน ไดแ๎ กํ กจิ กรรมวันแมํ วนั ครบรอบโรงเรยี น และการบรจิ าค เงินหรอื สง่ิ ของท่เี ปน็ ประโยชนต๑ ํอโรงเรยี น เปน็ ตน๎ กกกกกกก4. 4.2 4.2.2 การน๎อมนาพระราชกรณยี กิจทเ่ี กยี่ วขอ๎ งกับท๎องถิ่น ประชาชนชาวไทย ควรน๎อมนาด๎วยการต๎องมสี ํวนรวํ มในการพฒั นาทอ๎ งถ่นิ ของตวั เองทุกด๎าน ทง้ั ด๎ านแรงกายหรอื เงิน ตามโอกาส ตามความเหมาะสม ตวั อยาํ ง เชํน ใหค๎ วามรวํ มมือตํอกิจกรรมของหมูํบ๎านหรอื ชมุ ชน ด๎วยการเข๎ารํวมประชมุ หมูบํ ๎าน มสี ํวนรวํ มทาบญุ ประจาปี รวมทง้ั ชวํ ยกนั พฒั นาหมูบํ ๎านซงึ่ เป็นทีอ่ าศัยอยํู โดยการชํวยสอดสอํ งดูแลความปลอดภยั ในหมํูบ๎าน เปน็ ตน๎ กกกกกกก4. 4.2 4.2.3 การน๎อมนาพระราชกรณยี กจิ ท่ีเกย่ี วข๎องกับประเทศ ได๎แกํ ศูนย๑การศกึ ษา การพัฒนาอนั เนื่องมาจากพระราชดาริ 6 แหงํ ทว่ั ประเทศ ประชาชนชาวไทย ควรน๎อมนาด๎วยการ (1) ควรศกึ ษาเรียนร๎กู ระบวนการในการทางานของศูนยพ๑ ัฒนาทอ่ี ยูํใกลบ๎ ๎าน หรือชมุ ชนนามาปรับใช๎ ในชวี ิตประจาวันเพื่อชวํ ยพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของตนเอง หรอื ชวํ ยพัฒนาชมุ ชน สังคม ใหเ๎ ขม๎ แขง็ (2) ชํวยกนั อนรุ กั ษ๑ทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อมใหเ๎ ปน็ ประโยชน๑ตอํ สวํ นรวม (3) นาแนวทางการ ปฏบิ ัตงิ านรวํ มกันของทุกฝาุ ยในศูนย๑ศกึ ษาการพฒั นาอันเนือ่ งมาจากพระราชดาริมาปรับใช๎ในเรอ่ื ง การทางานเปน็ ทมี เป็นคณะตอ๎ งรรู๎ ักสามคั คี และ (4) ควรยดึ หลักการพ่งึ พาตนเอง ลดการพ่ึงพา ภายนอก และดาเนินชวี ติ แบบพอเพยี ง ตัวอยําง เชํน แนะนาชักชวนใหผ๎ ๎อู นื่ ได๎ไปเรียนรู๎ 6 ศนู ย๑การศกึ ษาการพัฒนาอันเน่อื งมาจากพระราชดาริ และเขา๎ รวํ มกจิ กรรมอาสาทกุ คร้งั เมื่อมีโอกาส เปน็ ต๎น กกกกกกก4. 4.2 4.2.4 การนอ๎ มนาพระราชกรณียกิจที่เกย่ี วขอ๎ งกับโลกหรอื นานาประเทศ ทไี่ ด๎ น๎อมนาพระราชดาริ หรอื กระบวนการพัฒนาตามศาสตร๑ที่พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช รชั กาลที่ 9 ทรงใช๎ในการพัฒนาประเทศไทยไปปรับประยุกตใ๑ ช๎ ประชาชนช าวไทย ควรนอ๎ มนามาใช๎ ด๎วยการคานงึ การพัฒนา หรอื การกระทา การสงิ่ ใดที่ มีความสมั พันธเ๑ ช่อื มโยงกันตงั้ แตํระดับบคุ คล ครอบครวั ชุมชน สงั คม และประเทศ รวมโลกของเราด๎วย การกระทาทุกอยาํ งจะสงํ ผลกระทบตอํ ผท๎ู ่ี อยูรํ อบขา๎ งทัง้ ทางตรงและทางออ๎ ม นอกจากนี้ควรมสี ัมพนั ธภาพท่ดี ีตอํ กนั ทงั้ เปน็ บุคคลในประเทศ ไทยหรือบุคคลตํางประเทศ ทม่ี าทํองเทีย่ วหรอื มาทาธุรกิจ ตัวอยําง เชํน การแนะนาสถานทีท่ อํ งเทย่ี ว และชํวยกันเผยแพรปํ ระเพณี วฒั นธรรมไทยใหก๎ ับชาวตํางชาติ รวมถงึ ไมํวิจารณป๑ ระเทศอนื่ ๆ ในทาง ทไ่ี มดํ ี เปน็ ต๎น การจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ กกกกกกก1. กาหนดประเด็นการศกึ ษาค๎นควา๎ รวํ มกันจากส่อื การเรยี นร๎ู ที่หลากหลาย กกกกกกก2. บันทกึ ผลการศกึ ษาคน๎ ควา๎ ลงในเอกสารการเรยี นรดู๎ ๎วยตนเอง (กรต.) กกกกกกก3. พบกลุมํ

202 กกกกกกก4. อภิปรายแลกเปล่ียนเรยี นรู๎ กกกกกกก5. วิเคราะห๑ข๎อมลู ท่ไี ด๎ และสรุปการเรยี นรู๎รวมกัน บนั ทกึ สรุปการเรียนรใู๎ นเอกสารการ เรียนร๎ูด๎วยตนเอง (กรต.) กกกกกกก6. นาสรุปผลการเรียนรูด๎ ๎วยทศพธิ ราชธรรม ตามพระราชดารสั หลักการทรงงาน และพระ ราชจรยิ วตั ร และพระราชกรณียกจิ ท่ีได๎ไปทดลองปฏบิ ัติจริงในชวี ิตประจาวนั กกกกกกก7. เขยี นเอกสารรายงานผลการปฏบิ ตั ิหนา๎ ทพี่ ลเมืองตามรอยพระยุคลบาท รชั กาลท9ี่ จริง ดว๎ ยทศพธิ ราชธรรม ตามพระราชดารัส ตามหลกั การทรงงาน และตามพระราชจริยวตั รและพระราช กรณียกจิ สือ่ และแหลง่ เรียนรู้ กกกกกกก1. สือ่ เอกสาร ไดแ๎ กํ กกกกกกก1. 1.1 ใบความรู๎ เรื่องที่ 7 พระราชจรยิ วตั ร และพระราชกรณยี กิจกบั การนาไปใชใ๎ น ชวี ติ ประจาวัน กกกกกกก1. 1.2 ใบงาน หวั เรอื่ งที่ 7 การประยกุ ต๑ใชห๎ นา๎ ทพี่ ลเมืองตามรอยพระยคุ ลบาทรชั กาล ท่ี 9 ในชีวิตประจาวนั กกกกกกก1. 1.3 หนังสือเรียน สาระการพฒั นาสังคม รายวชิ า สค33108 หนา๎ ที่พลเมอื งตามรอย พระยคุ ลบาทรัชกาลท่ีเก๎า 3 กกกกกกก1. 1.4 ชื่อหนังสือ พระราชดารัสตรสั เลาํ ผูแ๎ ตงํ พวงรตั น๑ วิเวกกานนท๑ ปที ี่พิมพ๑ ม .ป.ป. สานกั พมิ พ๑ประสานมิตร จากัด กกกกกกก1. 1.5 ช่ือหนงั สอื คาพํอสอน : ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดารัสเกย่ี วกับเด็ก และเยาวชน ผแ๎ู ตงํ มลู นธิ ิโตโยตา๎ ประเทศไทยและมูลนิธพิ ระดาบส ปที ่พี ิมพ๑ พ.ศ. 2550 สานกั พมิ พ๑ กรุงเทพ กกกกกกก1. 1.6 ชือ่ หนงั สือ คาพอํ สอน : ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดารสั เกยี่ วกับ ความสขุ ในการดาเนินชวี ิต ผ๎แู ตงํ สานกั งานกองทนุ สนับสนุนการสร๎างเสรมิ และ มลู นิธสิ ดศร–ีสฤษดิว์ งศ๑ ปีท่ีพิมพ๑ พ.ศ.2550 สานักพิมพ๑กรงุ เทพ กกกกกกก1. 1.7 ชอ่ื หนงั สอื ปรชั ญาการศึกษาพระเจ๎าอยํหู ัว ผูแ๎ ตํง อทุ มุ พร อมรธรรม ปที ีพ่ มิ พ๑ พ.ศ. 2559 สานักพิมพ๑แสงดาว กกกกกกก1. 1.8 ชือ่ หนงั สอื คดิ ดีทาดี ผ๎ูแตงํ เอกชยั จุละจารติ ต๑ ปที ีพ่ มิ พ๑ พ.ศ. 2547 สานกั พิมพ๑ บริษทั เฟอื่ งฟูา พริ้นติ้ง กกกกกกก2. สอื่ อเิ ล็กทรอนิกส๑ ไดแ๎ กํ กกกกกกก2. 2.1 ชือ่ บทความ บันทึกตามรอย 84 ตามคาสอนพํอ ผแ๎ู ตงํ สานกั พิมพ๑เนชั่นบ๏ุค สืบคน๎ จาก https://books.google.co.th/books?id=true กกกกกกก2. 2.2 ชื่อบทความ 69 พระราชดารสั ในหลวง ครองแผนํ ดนิ โดยธรรม ผ๎ูแตงํ ดร.จนิ ตนนั ท๑ ชญาตร๑ ศภุ มิตร สบื คน๎ จาก http://www.thaimonarch.org/?p=429 กกกกกกก2. 2.3 ชอ่ื บทความ “ 9 พระบรมราโชวาทและพระราชดารสั ” ผ๎ูแตํงมารตุ ชํมุ ขุนทด สบื ค๎นจาก https://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1477557926

203 กกกกกกก3. สื่อบคุ คลและภมู ปิ ญ๓ ญา ไดแ๎ กํ กกกกกกก3. 3.1 เจ๎าคณะจังหวดั ประจวบครี ขี ันธ๑ กกกกกกก3. 3.2 เจา๎ คณะตาบลตาํ ง ๆ ในอาเภอเมืองประจวบคีรีขันธ๑ กกกกกกก3. 3.3 นายกฤษฏา นตุ ะโร วิทยากรชมรมคนรกั ในหลวงจงั หวดั ประจวบคีรขี นั ธ๑ ก กกกกกกก3. 3.4 นายคงณฐั โชติภทั รศรี ภูมปิ ญ๓ ญาทอ๎ งถนิ่ กกกกกกก4. สอ่ื แหลํงเรยี นรู๎ในชุมชน ได๎แกํ กกกกกกก4. 4.1 หอ๎ งสมุดประชาชนจงั หวดั ประจวบครี ีขันธ๑ กกกกกกก4. 4.2 กศน.ตาบล/เทศบาลทกุ แหํง และศูนยก๑ ารเรียนชุมชน ในอาเภอเมอื ง ประจวบคีรขี นั ธ๑ การวัดและประเมนิ ผล กกกกกกก1. ประเมนิ ความกา๎ วหนา๎ ด๎วยวิธกี าร กกกกกกก1. 1.1 การสงั เกต กกกกกกก1. 1.2 การซกั ถาม และตอบคาถาม กกกกกกก1. 1.3 ตรวจเอกสารการเรียนร๎ดู ว๎ ยตนเอง (กรต.) กกกกกกก1. 1.4 เอกสารรายงานผลการปฏิบตั ิหน๎าทีพ่ ลเมืองตามรอยพระยคุ ลบาทรัชกาลที่ 9 จริง ด๎วยทศพิธราชธรรม ตามพระราชดารสั ตามหลักการทรงงาน และตามพระราชจรยิ วแตั ลระพระราชกรณีย กิจ กกกกกกก2. ประเมินผลรวม ดว๎ ยวธิ ีการ กกกกกกก2. 2.1 ตอบแบบทดสอบวดั ความร๎ู หวั เรอื่ งที่ 7 การประยกุ ต๑ใชห๎ นา๎ ทพ่ี ลเมืองตามรอย พระยคุ ลบาทรชั กาลที่ 9 ในชีวิตประจาวนั จานวน 10 ข๎อ กกกกกกก2. 2.2 ตอบแบบสอบถามวดั ทกั ษะการนาไปใชใ๎ นชีวิตประจาวนั กกกกกกก2. 2.3 ตอบแบบสอบถามวดั เจตคติตอํ วิชาหน๎าทีพ่ ลเมืองตามรอยพระยคุ ลบาท รัชกาลที่เกา๎ 3

204 บรรณานุกรม

205 บรรณานกุ รม กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2539). พระราชกรณยี กจิ พระบาทสมเดจ็ พระเจ๎าอยูํหัว. กกกกกกกกรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์คุรุสภาลาดพรา๎ ว. กลุํมงานผลติ เอกสาร สานกั ประชาสัมพันธ์ สานักงานเลขาธกิ ารสภาผูแ๎ ทนราษฎร. (2556). กกกกกกกสิทธิเสรภี าพ และหนา๎ ทขี่ องพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย. กรุงเทพมหานคร : กกกกกกกโรงพมิ พ์สานกั งานเลขาธกิ ารสภาผ๎แู ทนราษฎร. คณะอาจารย์ กศน. (2548). คูมํ อื การเรยี นรสู๎ าระการเรยี นรู๎หมวดวิชาพัฒนาสังคมและชุมชน กกกกกกกระดบั ประถมศกึ ษา. โรงพิมพไ์ ผํ มเี ดยี เซน็ เตอร์. คานณู สทิ ธิสมาน. (2542). ทฤษฎีใหมํในหลวง ชวี ติ ทพี่ อเพียง. กรุงเทพมหานคร : กกกกกกกโรงพมิ พ์รวํ มด๎วยชวํ ยกนั . จารุนนั ท์ อ้งึ ภาภรณ์. (ม.ป.ป.). ในหลวงกบั เดก็ และเยาวชน. กรุงเทพมหานคร : ม.ป.พ. ชสู ิทธิ์ ชชู าต.ิ (2553). โครงการหลวงพระราชกรณียกิจนวมนิ ทรมหาราชาเพื่อปวงประชาราษฎร กกกกกกกเชยี งใหมํ : โรงพมิ พ์วนิดาการพิมพ์. ชสู ทิ ธิ์ ชูชาต.ิ (2554). หลักการทรงงานตามรอยพระยุคลบาท. เชยี งใหมํ : โรงพิมพว์ นดิ าการพมิ พ์. ทองตํอ กล๎วยไม๎ ณ อยธุ ยา. (2535). ทศพธิ ราชธรรม. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์พบั ลคิ เนสพร้นิ ท.์ พรหมมาตร์ ชายสิม. (2554). 84 คาสอนของพํอ. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์คิดด.ี พระภิกษปุ รชั ญา. (2539). พระราชประวตั ิ พระราชกรณยี กิจ พระราชธรรม พระบาทสมเดจ็ พระกกก กกกกกกกเจ๎าอยํูหวั ภูมพิ ลอดุลยเดชมหาราช. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ธรรมสภา. พุทธทาส. (2559). โชคดีมโี อกาสไดต๎ ามรอยพระยุคบาทโดย ทศพิธราชธรรม. กรงุ เทพมหานคร : กกกกกก โรงพมิ พ์อมรินทร์พริ้นติง้ แอนด์พบั ลิชชง่ิ จากดั . พุทธทาสภกิ ข.ุ (ม.ป.ป.). เราจะครองแผํนดนิ โดยธรรมตามรอยพระยุคลบาทด๎วยทศพธิ ราชธรรม. กกกกกกกกรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ธรรมสภา. มลู นธิ ชิ ยั พฒั นา. (ม.ป.ป.). ตามรอยเบ้ืองพระยคุ ลบาทดว๎ ยทศพธิ ราชธรรม และหลักการทรงงาน กกกกกกกจัดพมิ พเ์ ผยแพรเํ พ่ือเฉลิมพระเกียรติเน่ืองในโอกาส มหามงคลเฉลิมพระ กกกกกกกชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธนั วาคม 2550. กรงุ เทพมหานคร : ม.ป.พ. มูลนธิ ิโตโยต๎าประเทศไทยและมลู นิธิพระดาบส. (2543). ประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชกก กกกกกกกดารัสเกี่ยวกบั เด็กและเยาวชน. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์กรงุ เทพฯ. ราชบัณฑติ ยสถาน. (2556). พจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติ กกกกกกกพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยหูํ ัวเน่ืองในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา กกกกกกก7 รอบ 5 ธันวาคม 2554. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พศ์ ิรวิ ัฒนา อินเตอร์พริ้นต์จากัด. สถาบนั บันลือธรรม. (2551). 209 คาสอนพอ เศรษฐกิจพอเพยี ง. กรุงเทพมหานคร : กกกกกกกโรงพมิ พ์ธรรมสถานศนู ย์หนงั สอื พระพทุ ธศาสนา. สมพร เทพสิทธา. (2546). การเดนิ ทางตามรอยพระยุคลบาท เศรษฐกิจพอเพียง ชวํ ยแก๎ปญั หาความ กกกกกกกยากจนและการทุจริต. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ศรีเมอื งการพิมพ.์

206 สมบัติ จาปาเงิน. (ม.ป.ป.). รชั กาลท่ี 9 พระบาทสมเดจ็ พระเจ๎าอยํูหัวภมู ิพลอดลุ ยเดชมหาราช. กกกกกกก กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์เอกพมิ พไ์ ทย. สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สวุ ฑฒฺ โน). (2550). ทศพธิ ราชธรรม ของพระบาทสมเด็จพระเจ๎าอยหูํ ัว. กกกกกกก กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กระทรวงวัฒนธรรม. สิทธา มชี อบธรรม. (2547). หนงั สอื เรยี นพฒั นาสงั คมและชมุ ชน ระดบั ประถมศึกษา. กกกกกกกกรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพป์ ยิ มิตร. สานักงานกองทุนสนับสนนุ การสรา๎ งเสรมิ สขุ ภาพ. (2549). 9 ตามยาํ งรอยเทา๎ พอํ คูํมอื สร๎างแรง กกกกกกกบันดาลใจ จากในหลวง ถงึ เยาวชน. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพส์ านกั งาน กกกกกกกกองทุนสนบั สนนุ การสร๎างเสริมสขุ ภาพ สานกั งานกองทุนสนับสนุนการสรา๎ งเสรมิ สขุ ภาพ และมลู นิธิสดศรี-สฤษดว์ิ งศ์. (2550). คาพํอสอน. กกกกกกกพมิ พ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์กรุงเทพฯ. สานกั งานพัฒนาสังคม. (2549). ชีวิตพอเพียงตามแนวพระราชดาริ. กรงุ เทพมหานคร : ม.ป.พ. สานกั งานสํงเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย. (2559). หนังสอื เรียนรายวิชา กกกกกกกศาสนาและหน๎าท่ีพลเมอื งระดบั ประถมศึกษา. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พป์ ิยมติ ร. สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกจิ และสังคมแหํงชาติ. (ม.ป.ป.). เรียนรห๎ู ลักการทรงงาน กกกกกกกในพระบาทสมเดจ็ พระเจา๎ อยหูํ วั . กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพส์ านกั งานคณะกรรมการ กกกกกกกพฒั นาการเศรษฐกิจ สานักสงํ เสริมกจิ การการศึกษา สานักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ. (ม.ป.ป.). โครงการเรยี นร๎ูตามรอย กกกกกกกพระยุคลบาท. กรุงเทพมหานคร : ม.ป.พ. อธิบดกี รมการปกครอง. (2553). เย็นศิระเพราะพระบรบิ าล. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์อาสารัก กกกกกกกดนิ แดน ความหมายของคนดี. ผ๎ูเขียน ทักษ์ดนยั สรอ๎ ยคา Retired from กกกกกกกสบื คน๎ จาก http:// www.gotoknow.org2posts2244587 กกกกกกกวันที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2560. บันทึกตามรอย 84 ตามคาสอนพํอ.สานักพิมพ์เนชั่นบค๏ุ กกกกกกกสืบคน๎ จาก https://books.google.co.th/books?id= true กกกกกกกวันท่ี 11 มิถุนายน พ.ศ. 2560. พระราชกรณียกจิ ด๎านความสัมพนั ธร์ ะหวํางประเทศ. ผเ๎ู ขียน News Chaopraya. กกกกกกกสืบค๎นจาก http://www.News Chaopraya.com กกกกกกกวันท่ี 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 พลเมือง ชื่อผู๎เขียน สานกั งานราชบัณฑติ ยสภา กกกกกกกสบื ค๎นจาก http://www.royin.go.th/?knowledges กกกกกกกวันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2560. พลเมืองดีของประเทศชาติและสงั คมโลก ผ๎เู ขียน พมิ พ์ พมิ พ์นภัทร กกกกกกกสบื คน๎ จาก https://www.academia.edu/8265830 กกกกกกกวันท่ี 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560.

207 พลเมอื งดตี ามวิถีประชาธิปไตย. ผ๎เู ขยี น ปณิตา ปตตาทานัง Retired from กกกกกกกสบื คน๎ จาก http://www.thistudyfocas.com/สังคมศึกษา/หน๎าทีพ่ ลเมือง กกกกกกกวนั ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 โครงการพัฒนาในตํางประเทศ. ผเู๎ ขยี น มลู นธิ ิแมฟํ ูาหลวง. กกกกกกกสืบคน๎ จาก http://www.maefahluang.org/indax.php กกกกกกกวันท่ี 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 โครงการในพระราชดาริ. ผ๎เู ขียน มูลนิธิแมํฟาู หลวง. กกกกกกกสบื คน๎ จาก http://www.thaisavannaket.com กกกกกกกวนั ท่ี 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 “ ศาสตรพ์ ระราชา” แผไํ พศาล ตามรอยเสน๎ ทางพัฒนาใน “ เยนนั ซอง ”. ผ๎เู ขียน ไทยรฐั . กกกกกกกสบื คน๎ จาก http://www.thairath.co.th กกกกกกกวนั ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

208 ภาคผนวก

209 ภาคผนวก ก. ใบความรู้

210 ใบความรู้ เร่ืองท่ี 1 สิทธิและหนา้ ที่พลเมือง วตั ถปุ ระสงค์ กกกกกกก1. เพอื่ ใหน๎ ักศึกษามีความรู๎ความเข๎าใจเรื่องสทิ ธิและหนา๎ ท่ีพลเมือง กกกกกกก2. เพอ่ื ใหน๎ ักศึกษามีทักษะการแสวงหาความร๎เู รอ่ื งสิทธิและหน๎าที่พลเมือง กกกกกกก3. เพือ่ ให๎นักศึกษามคี วามตระหนักถึงความสาคญั เรอื่ งสิทธิและหนา๎ ท่ีพลเมือง เนื้อหา กกกกกกก1. ความหมายของพลเมือง พลเมอื ง หมายถึง พลังหรือกาลังคนของประเทศ ซึง่ อยูํในฐานะเป็นเจา๎ ของ ประเทศ ท่ีมีสัญชาติของประเทศน้ัน ๆ มีสิทธิและหน๎าท่ี ตามกฎหมายของประเทศนั้นมีคํานิยม มีสํวนรํวม ทางการเมือง เปน็ ผ๎ูสนบั สนุนผปู๎ กครอง ในการควบคุมดูแลบคุ คลในประเทศให๎อยูํรวํ มกันอยาํ ง มคี วามสขุ พลเมืองมีความหมายตํางจากบุคคล ซึ่งหมายถึง ส่ิงซึ่งมีสิทธิและหน๎าท่ีตามกฎหมาย ซง่ึ ได๎แกํ บคุ คลธรรมดาและนติ บิ ุคคล เม่ือกลําวถึงพลเมืองของประเทศใด ยํอมหมายถึงบุคคลท้ังหลายท่ีมีสัญชาติของ ประเทศนั้น ๆ ตามกฎหมายของแตํละประเทศ เชํน เม่ือกลําวถึงพลเมืองของประเทศไทยยํอม หมายถึง คนทั้งหลายท่ีมีสัญชาติไทยตามกฎหมายไทย พลเมืองของแตํละประเทศยํอมมีสิทธิและ หน๎าท่ีตามกฎหมายของประเทศน้ัน บุคคลตํางสัญชาติท่ีเข๎าไปอยูํอาศัยซึ่งเรียกวําคนตํางด๎าว ไมํมีสิทธิเทําเทียมกับพลเมือง และมีหน๎าท่ีแตกตํางออกไป เชํน อาจมีหน๎าท่ีเสียภาษี หรือ คาํ ธรรมเนียมเพมิ่ ข้นึ ตามที่กฎหมายของแตํละประเทศบัญญัติไว๎ สิทธิและหน๎าที่เป็นสิ่งคํูกัน เม่ือมีสิทธิก็ต๎องมีหน๎าที่ พลเมืองของทุกประเทศมีท้ังสิทธิ และหน๎าที่ แตํจะมีมากน๎อยเพียงใดขึ้นอยํูกับกฎหมายของประเทศน้ัน ๆ และแนํนอนวําประเทศ ที่ปกครองด๎วยระบอบประชาธิปไตย ประชาชนมสี ทิ ธิมากกวําการปกครองในระบอบอ่ืน เพราะมีสิทธิ ทสี่ าคัญท่ีสุด คือ สิทธิในการปกครองตนเอง กกกกกกกกก พลเมืองดี หมายถึง ผ๎ูที่ปฏิบัติหน๎าที่พลเมืองได๎ครบถ๎วน ท้ังกิจที่ต๎องทา และกิจท่ีควร ทา พลเมอื งดีมหี น๎าท่ตี ๎องปฏิบตั ติ ามกฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมของชาติคาสั่ง สอนของพอํ แมํ ครู อาจารย์ มีความสามคั คี เออื้ เฟื้อเผ่ือแผํซึ่งกันและกัน ร๎ูจักรับผิดชอบช่ัวดีตามหลัก จริยธรรม และหลักธรรมของศาสนา มีความรอบร๎ู มีสติปัญญา ขยันขันแข็ง สร๎างความเจริญก๎าวหน๎า ให๎แกํตนเอง ครอบครัว สงั คม และประเทศชาติ

211 กกกกกกก2. ความหมายของคาวํา “สิทธิ” “เสรภี าพ” และ “หน๎าที่” กกกกกกก2. 2.1 สิทธิ หมายถึง อานาจหรือผลประโยชน์ของบุคคลท่ีกฎหมายให๎ความ คุ๎มครอง เชนํ สทิ ธเิ ลือกต้ัง กฎหมายกาหนดให๎บุคคลที่มีอายุ 18 ปบี รบิ ูรณม์ ีคุณสมบตั ิถูกต๎องตาม กฎหมายมสี ทิ ธิเลือกสมาชิกสภาผูแ๎ ทนราษฎร กกกกกกก2. 2.1 คาวาํ “สทิ ธิ” และ “เสรีภาพ” เปน็ คาทีม่ ักอยูํควบคํูกนั โดยรัฐธรรมนูญ ทุกฉบับท่ีผํานมาได๎กาหนดเรื่องสิทธิเสรีภาพของชนชาวไทยไว๎อยํางชัดเจน ท้ังน้ีคาวํา “สิทธิ” มีคา คูํกันอยคูํ ือ “หน๎าท่ี” ไมํวาํ เรื่องใด ๆ ก็ตาม เมื่อมี“สิทธิ” ก็ยํอมมี “หน๎าที่” คูํกันเสมอ เมื่อเราเกิดมา เป็นคนไทยมีสิทธิตามที่รัฐธรรมนูญไทยกาหนด เราก็ยํอมมีหน๎าที่ที่จะต๎องปฏิบัติในฐานะเป็น คนไทยดว๎ ยเชํนกนั ดงั น้นั เพอ่ื ใหเ๎ กดิ ความเขา๎ ใจท่ถี กู ตอ๎ ง และเห็นความสาคัญของการปฏิบัติตนเป็น พลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตย เราจึงควรมาทา ความเข๎าใจความหมายท่ีแท๎จริงของคาท่ีเกี่ยวข๎อง เหลําน้ีกันเสียกํอนในเบื้องต๎น “สิทธิ” คือ ประโยชน์หรืออานาจของบุคคลท่ีกฎหมายรับรอง และค๎ุมครองมิให๎มีการละเมิด รวมทั้งบังคับการให๎เป็นไปตามสิทธิ ในกรณีท่ีมีการละเมิดด๎วย เชํน สิทธิในครอบครัว สิทธิความเป็นอยํูสํวนตัว สิทธิในเกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในการเลือกอาชีพ ถน่ิ ที่อยูํ การเดินทาง สทิ ธใิ นทรพั ย์สิน เปน็ ต๎น กกกกกกก2. 2.2 เสรีภาพ หมายถึง ความมีอิสระในการกระทาของบุคคลที่อยูํในขอบเขตของ กฎหมาย เชนํ เสรีภาพในการพูด การเขียน เป็นต๎น กกกกกกก2. 2.2 เสรีภาพ เปน็ คาท่ถี ูกใชเ๎ คียงคํูกับคาวํา “สทิ ธิ” เสมอวํา “สทิ ธิเสรีภาพ” จนเข๎าใจวํามีความหมายอยํางเดียวกัน ท้ังท่ีแท๎จริงแล๎วคาวํา “เสรีภาพ” หมายถึง อานาจตัดสินใจ ด๎วยตนเองของมนุษย์ ท่ีจะเลือกดาเนินพฤติกรรมของตนเอง โดยไมํมีบุคคลอ่ืนใด อ๎างหรือใช๎อานาจ แทรกแซงเกี่ยวข๎องกับการตัดสินใจนั้น และเป็นการตัดสินใจด๎วยตนเองท่ีจะกระทา หรือไมํกระทา การส่ิงหน่ึงส่ิงใดอันไมํเป็นการฝุาฝืนตํอกฎหมาย แตํการที่มนุษย์ดารงชีวิตอยูํในสังคมแล๎ว แตํละคน จะตัดสินใจกระทาการ หรือไมํกระทาการส่ิงใดนอกเหนือนอกจากต๎องปฏิบัติตามกฎหมายแล๎ว ยอํ มตอ๎ งคานงึ ถงึ กฎเกณฑต์ ําง ๆ ของสงั คม ขนบธรรมเนยี ม และวฒั นธรรม กกกกกกก2. 2.3 หน๎าที่ หมายถงึ กิจที่ต๎องทา หรือควรทา เปน็ สง่ิ ที่กาหนดใหท๎ า หรือหา๎ มมิให๎ กระทา ถ๎าทาก็จะกํอให๎เกิดผลดี เกิดประโยชน์ตํอตนเอง ครอบครัว หรือสังคมสํวนรวมแล๎วแตํกรณี ถ๎าไมํทาหรือไมํละเว๎นการกระทาตามท่ีกาหนดจะได๎รับผลเสียโดยตรง คือ ได๎รับโทษ หรือถูกบังคับ เชนํ ปรับ จาคกุ หรือประหารชีวติ เป็นต๎น โดยท่วั ไปส่งิ ทรี่ ะบกุ ิจท่ตี อ๎ งทา ได๎แกํ กฎหมาย เป็นต๎น กกกกกกก2. 2.2 คาวํา “หนา๎ ท่ี” ตามพจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2544 หมายถึง กิจท่ีจะต๎องทาด๎วยความรับผิดชอบ แตํเม่ือนาคาวํา “หน๎าท่ี” รวมกับคาวํา “ชนชาวไทย” เป็น “หนา๎ ท่ีของชนชาวไทย” ดังที่ปรากฏในหมวด 4 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได๎ให๎ความหมาย วํา คือภาระและความรับผิดชอบท่ีรัฐธรรมนูญกาหนด บังคับให๎บุคคลซ่ึงเป็นชนชาวไทยต๎องปฏิบัติ หรือกระทาให๎เป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย เมื่อรัฐธรรมนูญกาหนดวําการกระทาใดเป็น หน๎าทข่ี องพลเมืองแลว๎ ถา๎ หากผูใ๎ ดไมปํ ฏบิ ัติ หรือละเว๎นการปฏิบัติถือวําเป็นการฝุาฝืนกฎหมายและ จะถูกลงโทษ อยํางไรก็ตามหน๎าท่ีของชนชาวไทยถือวําเป็นภาระและความรับผิดชอบของประชาชน ชาวไทยทุกคนที่ต๎องยึดถือปฏิบัติน่ันเอง สิทธิและหน๎าท่ีจึงเป็นสิ่งคูํกัน เมื่อมีสิทธิก็ต๎องมีหน๎าท่ี

212 ประชาชนของทุกประเทศมีทั้งสิทธิและหน๎าที่แตํจะมีมากน๎อยเพียงใดขึ้นอยํูกับกฎหมายของประเทศ น้ัน ๆ และแนํนอนวําประเทศท่ีปกครองด๎วยระบอบประชาธิปไตย ประชาชนยํอมมีสิทธิมากกวํา การปกครองในระบอบอ่ืน เพราะมสี ิทธทิ ี่สาคัญทสี่ ุด คือ สทิ ธิในการปกครองตนเอง กกกกกกก3. สิทธิและเสรภี าพของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญแหํงราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ได๎นา เร่ืองการคุ๎มครองสิทธิ และเสรีภาพของประชาชนมาบัญญัติไว๎ เป็นคร้ังแรกวํา “บุคคลยํอมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือ ศาสนาหรือลัทธิใด ๆ และมีเสรีภาพในการปฏิบัติพิธีกรรมตามความเช่ือถือของตน เมื่อไมํเป็น ปฏิปักษ์ตํอหน๎าที่ของพลเมือง และไมํเป็นการขัดตํอความสงบเรียบร๎อยหรือศีลธรรมของประชาชน” และ “ภายในบังคับแหํงกฎหมาย บุคคลยํอมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในรํางกาย เคหสถาน ทรัพย์สิน การพูด การเขียน การโฆษณา การศึกษาอบรม การประชุม โดยเปิดเผย การตั้งสมาคมการอาชีพ” แมว๎ าํ จะวางหลกั ไว๎อยาํ งกว๎าง ๆ เพือ่ เปน็ แนวทางปฏิบัติ แตใํ นเมอื่ ไมํมกี ฎหมายมารองรับ ในบางเร่ือง จึงมีการละเมิดจนเกิดผลเสียตํอการปกครองบ๎านเมือง เชํน การตั้งสมาคมคณะราษฎร ท่ีมีกิจกรรม ในทางการเมืองประหนึ่ง เป็นพรรคการเมืองท่ีมํุงเน๎นสํงผ๎ูสมัครรับเลือกต้ัง จนกระทั่งนาไปสํูความ ขัดแย๎งทางการเมืองระหวํางคณะราษฎรกับขุนนางชั้นสูง เป็นต๎น นับแตํนั้นมาในการจัดทา รัฐธรรมนูญแตํละฉบับ ผู๎ที่เกี่ยวข๎อง จะคานึงถึงการคุ๎มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเป็น ประการสาคัญเสมอ เพราะมองวําสิทธิและเสรีภาพเป็นเกียรติยศ และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และประเทศท่ีปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย หากละเลยหรอื ไมคํ ม๎ุ ครองเรือ่ งเหลํานี้ ยํอมสํงผลตํอ เกียรติภูมิของประเทศชาติอีกด๎วย ดังจะเห็นได๎จากในการจัดทารัฐธรรมนูญแหํงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 สภารํางรัฐธรรมนูญได๎กาหนด กรอบการจัดทาไว๎วํา “...มีสาระสาคัญเป็นการ สํงเสริมค๎ุมครองสิทธิ และเสรีภาพของประชาชน ให๎ประชาชนมีสํวนรํวมในการปกครองและ ตรวจสอบการใช๎อานาจรัฐเพิ่มขึ้น...” และในการจัดทารัฐธรรมนูญ แหํงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 สภารํางรัฐธรรมนูญก็ได๎ ยึดกรอบดังกลําว และได๎ขยายขอบเขตการค๎ุมครองสิทธิ เสรีภาพ ให๎กว๎างขวางขึ้น พร๎อมทั้งได๎กาหนดออกมาเป็นสํวน ๆ เพื่อความเข๎าใจของประชาชน ผไู๎ ด๎รบั การคม๎ุ ครองโดยรัฐธรรมนูญ กกกกกกก4. สทิ ธขิ องปวงชนชาวไทย 4.1 สิทธใิ นครอบครวั และความเปน็ อยํูสวํ นตัว ชาวไทยทกุ คนยํอมไดร๎ ับความคุม๎ ครอง เกยี รตยิ ศ ช่อื เสยี ง และความเป็นอยสํู วํ นตัว 4.2 สิทธอิ นรุ ักษฟ์ ื้นฟจู ารีตประเพณี บคุ คลในท๎องถ่ินและชุมชนต๎องชํวยกันอนุรักษ์ ฟนื้ ฟูจารีตประเพณี วฒั นธรรมอันดีงาม ภูมปิ ัญญาท๎องถิน่ เพือ่ รักษาไว๎ให๎คงอยูตํ ลอดไป 4.3 สิทธิในทรพั ย์สิน บคุ คลจะได๎รับการค๎ุมครองสิทธิในการครอบครองทรัพย์สินของ ตนและการสืบทอดมรดก 4.4 สทิ ธิในการรับการศึกษาอบรม บุคคลยํอมมีความเสมอภาคในการเข๎ารับ การศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน 12 ปี อยํางมีคณุ ภาพและทั่วถึง โดยไมเํ สยี คําใชจ๎ าํ ย 4.5 สิทธิในการรับบรกิ ารทางด๎านสาธารณสุขอยํางเสมอภาค และได๎มาตรฐาน สาหรบั ผ๎ยู ากไร๎จะได๎รบั สทิ ธใิ นการรักษาพยาบาลจากสถานบรกิ ารสาธารณสขุ ของรัฐ โดยไมํเสีย คําใชจ๎ าํ ย

213 4.6 สิทธิท่ีจะได๎รับการคุ๎มครองโดยรัฐ เด็ก เยาวชน สตรี และบุคคลในสังคมที่ได๎รับ การปฏิบัตอิ ยํางรุนแรง และไมเํ ป็นธรรมจะได๎รบั การค๎ุมครองโดยรัฐ 4.7 สทิ ธทิ ่ีจะได๎รบั การชวํ ยเหลือจากรัฐ เชํน บุคคลท่ีมีอายเุ กินหกสิบปี และรายได๎ไมํ พอตํอการยังชพี รัฐจะให๎ความชวํ ยเหลอื เป็นต๎น 4.8 สิทธทิ ี่จะไดส๎ ่ิงอานวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ โดยรัฐจะใหค๎ วามชํวยเหลือ และอานวยความสะดวกอนั เปน็ สาธารณะแกํบุคคลในสงั คม 4.9 สิทธิของบคุ คลท่ีจะมสี ํวนรํวมกบั รฐั และชมุ ชน ในการบารุงรักษาและการได๎ ประโยชนจ์ ากทรัพยากรธรรมชาติ 4.10 สทิ ธิทจ่ี ะได๎รับทราบข๎อมลู ขาํ วสารจากหนวํ ยงานของรฐั รัฐวสิ าหกจิ หรือราชกา สวํ นท๎องถน่ิ อยํางเปดิ เผย เว๎นแตํการเปดิ เผยข๎อมลู น้ันจะมีผลตอํ ความมั่นคงของรฐั หรอื ความ ปลอดภยั ของประชาชนสวํ นรวม หรอื เป็นสํวนไดส๎ ํวนเสียของบคุ คลซึ่งมสี ิทธิได๎รบั ความค๎มุ ครอง 4.11 สทิ ธเิ สนอเรอ่ื งราวร๎องทุกข์โดยไดร๎ บั แจ๎งผลการพจิ ารณาภายในเวลาอนั ควร ตามบทบัญญัตขิ องกฎหมาย 4.12 สทิ ธิทีบ่ ุคคลสามารถฟูองร๎องหนํวยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ ราชการ สํวนท๎องถิน่ หรือองค์กรของรัฐทเี่ ปน็ นติ ิบุคคลให๎รบั ผิดชอบการกระทาหรือละเว๎นการกระทา ตามกฎหมายของเจ๎าหน๎าที่ของรัฐภายในหนวํ ยงานนัน้ กกกกกกก5. การปฏบิ ัติตนเปน็ พลเมืองดี กกกกกกก5. บคุ คลจะเป็นพลเมืองดขี องสังคมน้นั ตอ๎ งตระหนักถึงบทบาทหน๎าท่ี ท่ีจะต๎องปฏบิ ัติ และมํงุ ม่ันเพ่ือให๎บรรลเุ ปูาหมาย ด๎วยความรับผิดชอบอยํางเต็มท่ี สอดคล๎องกับหลักธรรม วัฒนธรรม ประเพณี และรฐั ธรรมนญู ที่กาหนดไว๎ รวมทงั้ บทบาททางสังคมที่ตนดารงอยูํ เพื่อให๎เกิดประสิทธิภาพ สูงสุด และได๎ประสิทธิผลทั้งในสํวนตนและสังคม เมื่อสามารถปฏิบัติหน๎าท่ีได๎อยํางถูกต๎องสมบูรณ์ ยอํ มเกิดความภาคภูมิใจ และเกดิ ผลดีทัง้ ตอํ ตนเอง และสังคม ดว๎ ยการเปน็ พลเมอื งดที ี่เคารพกฎหมาย เคารพสิทธิเสรีภาพของผอู๎ ่นื มคี วามกระตอื รอื ร๎นทีจ่ ะเข๎ามามีสํวนรํวมในการแก๎ปัญหาของชุมชนและ สังคม มีคุณธรรมและจริยธรรมเป็นหลักในการดาเนินชีวิตอยํางผาสุก พลเมืองดี มีหน๎าท่ีต๎องปฏิบัติ ดังนี้ กกกกกกก5. 5.1 หนา๎ ทขี่ องพลเมืองดตี ํอประเทศชาติ กกกกกกก5. 5.1 5.1.1 จงรกั ภกั ดีและรกั ษาไวซ๎ ึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ สถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตรยิ ์ เป็นสถาบนั สูงสดุ ของชาติ เป็นทเี่ คารพสักการะบูชา ของประชาชน ชาวไทยทุกคนนอกจากนสี้ ถาบันดังกลําว ยงั เปน็ เอกลกั ษณ์ของชาติไทยดว๎ ย ดังน้ันตราบใดท่ีสถาบัน ทั้งสามยงั คงอยํูคนไทยกจ็ ะดารงอยไํู ด๎ กกกกกกก5. 5.1 5.1.1 1) การรกั ษาชาติ บุคคลมหี นา๎ ทร่ี ักษาไว๎ซ่ึงชาติ มหี นา๎ ท่ีรักษา กต็ อ๎ งดแู ล และปูองกนั ชาติ มใิ ห๎ผ๎ูใดใช๎ขอ๎ อ๎างใด ๆ เพ่อื แบํงแยกแผํนดินไทย ด๎วยเหตุผลทางการเมือง การปกครอง หรือศาสนา เพราะรัฐธรรมนูญกาหนดวํา “ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่ง อันเดียวจะแบํงแยกมิได๎” ดังนั้น ผ๎ูใดจะมาชักจูง โน๎มน๎าวเราด๎วยเหตุผลใด ๆ ถือวําเป็นผ๎ูทาลาย ประเทศชาติ คนไทยทุกคนมหี น๎าที่รักษาชาตใิ หม๎ เี สถยี รภาพ ม่ันคงถาวรและเปน็ เอกภาพตลอดไป

214 กกกกกกก5. 5.1 5.1.1 2) การรักษาศาสนา เนอ่ื งจากประเทศไทยให๎เสรีภาพในการนับถอื ศาสนา และสามารถประกอบพิธีกรรมตามศาสนาได๎ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภ์ คอื ทรงอุปถมั ภ์ทุกศาสนาในประเทศไทย รัฐธรรมนูญจึงกาหนดให๎เป็นหน๎าที่ที่เราทุกคนต๎องรักษาไว๎ ซึง่ ศาสนา ซึ่งนาํ จะหมายถึง การบารงุ รักษาและเสริมสร๎างศรัทธา เพ่ือให๎ศาสนาคงอยํูคํูบ๎านเมืองและ เป็นหลักยึดเหน่ียวในด๎านคุณธรรมสืบไป คนไทยทุกคนต๎องชํวยกันสอดสํองดูแล ท้ังฆราวาสและ บรรพชติ ให๎มีวตั รจรยิ าอนั เหมาะสมตํอศาสนา หรือลทั ธิของตนจะอาศัยพระวินัย หรือนักบวชแตํเพียง อยํางเดยี วไมไํ ด๎ กกกกกกก5. 5.1 5.1.1 3) การรักษาพระมหากษัตริยแ์ ละการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษตั ริยท์ รงเปน็ ประมุข ภารกจิ น้เี ปน็ หน๎าที่ยิง่ ใหญํของคนไทยทุกคน เพราะประเทศไทย ดารงอยํูได๎ และคนไทยอยูํอยํางรํมเย็นเป็นสุขยืนยงมาทุกวันน้ี ด๎วยพระบารมีของพระมหากษัตริย์ ทุกพระองค์ปกอยูํเหนือเกล๎าฯ ชาวไทยทุกคน เพราะแตํละพระองค์จะครองราชย์สมบัติ ดูแลบ๎านเมืองอยํูได๎นานกวําประมุขที่มาจากการเลือกต้ัง ทั้งมีความร๎ูสึกผูกพัน ตั้งแตํโบราณกาลถึง ปัจจุบัน ยํอมจารึกอยูํในดวงใจของชาวไทยท้ังประเทศ ฉะน้ันจึงเป็นหน๎าที่ที่คนไทยต๎องดูแลรักษา และเทิดทูนสถาบันและองค์พระมหากษัตริย์ไว๎ด๎วยชีวิต อีกท้ังต๎องปูองกันภัยพาลอันเกิดจากวาจา หรือความคดิ ท่ไี มสํ ุจรติ ทั้งปวง การปกครองของไทยจึงเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ เปน็ ประมุข แนวํ แนมํ ่ันคงเพราะพระองค์ คอื สญั ลักษณ์แหํงคณุ ธรรมและสนั ติสุข กกกกกกก5. 5.1 5.1.2 รักษาไวซ๎ ึง่ การปกครองระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยปกครองโดย ระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของ ประเทศไทย ประชาชนทุกคนจึงมีหน๎าท่ีรักษาไว๎ซ่ึงการปกครองระบอบประชาธิปไตย และ รัฐธรรมนูญของชาติก็ได๎กาหนดไว๎วํา เป็นหน๎าที่ของคนไทยทุกคนท่ีจะต๎องดารงรักษาไว๎ซึ่งการ ปกครองในระบอบประชาธปิ ไตย กกกกกกก5. 5.1 5.1.1 1) การปฏบิ ัติตามกฎหมาย บุคคลมหี น๎าทีป่ ฏบิ ตั ิตามกฎหมาย ซึง่ รัฐธรรมนญู ไดร๎ ะบุไวก๎ วา๎ ง ๆ แตํมีความหมายครอบคลุมกฎหมายทกุ ประเภท ไมํวําจะเป็นกฎหมาย เอกชน มหาชน หรือกฎหมายระหวํางประเทศ รวมทั้งกฎหมายระดับตําง ๆ เชํน พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง เป็นต๎น เมื่อเราต๎องเก่ียวข๎อง หรือสัมพันธ์กับกฎหมายใด ก็ต๎อง ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายนัน้ ๆ อยาํ งเครงํ ครดั เพราะกฎหมายแตํละฉบับน้ันได๎มีการรํางและประกาศใช๎ใน ราชกิจจานุเบกษาอยํางเปิดเผยตํอสาธารณชน จึงเป็นหน๎าที่ของชาวไทยทุกคนท่ีจะต๎องศึกษา และทาความเขา๎ ใจเร่อื งกฎหมาย เพอื่ ไมํใหเ๎ สียเปรียบ หรอื ไดร๎ ับโทษโดยรเู๎ ทําไมถํ ึงการณ์ กกกกกกก5. 5.1 5.1.1 2) การไปใช๎สทิ ธเิ ลอื กตัง้ บคุ คลมหี นา๎ ท่ีไปใช๎สทิ ธิเลือกตงั้ การใชส๎ ิทธิ เลือกต้ังมีท้ังในประเทศท่ีปกครองด๎วยระบอบประชาธิปไตย คือ ระบอบการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ที่ถือเสียงข๎างมากเป็นสาคัญ แตํก็เคารพสิทธิเสรีภาพของเสียง ขา๎ งนอ๎ ย ในระบอบประชาธิปไตยจงึ มกี ารเลือกตงั้ ผ๎แู ทนไปปฏิบัติหน๎าท่ีแทนประชาชน ซึ่งอาจจะเป็น การเลือกผู๎แทนเข๎าไปเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติ หรืออาจเป็นการเลือกผู๎แทนไปเป็นหัวหน๎าฝุาย บริหารโดยตรงก็ได๎ แล๎วแตํรูปแบบการปกครองของแตํละประเทศ ที่กาหนดไว๎ในรัฐธรรมนูญ การเลือกต้ังจึงถือเป็นกิจกรรมที่จาเป็นอยํางหน่ึงในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย การได๎มี

215 โอกาสใช๎สิทธใิ นการเลอื กตง้ั จึงเป็นความภาคภมู ใิ จของประชาชนที่อยูํในประเทศประชาธิปไตย การมี สวํ นรํวมของประชาชนทส่ี าคัญคือ การเลือกตง้ั ดังน้ัน ประชาชนควรภาคภูมิใจท่ีจะไปใช๎สิทธิเลือกตั้ง โดยเสรี ดงั น้ันการเลอื กต้งั จงึ เปน็ หนา๎ ท่ีทส่ี าคัญของคนไทย บุคคลใดท่ีไมํไปเลือกต้ังโดยไมํแจ๎งเหตุอัน สมควรท่ีทาให๎ไมํอาจไปเลือกตง้ั ได๎ยํอมเสียสิทธติ ามกฎหมาย กกกกกกก5. 5.1 5.1.3 ชวํ ยกนั ปูองกันประเทศ ประเทศชาตเิ ป็นของประชาชนไทยทุกคน ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นสํวนหน่ึงของประเทศ จึงต๎องมีหน๎าที่รักษาไว๎ซ่ึงความเป็นเอกราช และความ ม่นั คงของชาติ โดยการปูองกันประเทศชาตใิ หพ๎ น๎ จากภยั อนั ตรายตาํ ง ๆ ซ่ึงเกดิ จากศัตรูท้ังภายในและ ภายนอกประเทศ เม่ือมีเหตุร๎ายขึ้นในประเทศ ตํางก็ต๎องชํวยกันปราบปรามให๎ความรํวมมือกับ เจ๎าหน๎าที่ของบ๎านเมืองอยํางเต็มท่ี โดยเฉพาะอยํางยิ่งเป็นงานโดยตรงท่ีชายไทยทุกคนจะต๎องเข๎ารับ ราชการ 1) การปูองกนั ประเทศ เป็นหนา๎ ทขี่ องคนไทยทุกคน กกกกกกก5. 5.1 5.1.1 2) การรบั ราชการทหาร พระราชบญั ญตั กิ ารตรวจเลือกรับราชการ พ.ศ.2497 กาหนดให๎เป็นหน๎าที่ของชายไทยทุกคนต๎องไปรับการตรวจเลือก หรือท่ีเรียกวํา เกณฑ์ทหาร เม่ืออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ แตํผ๎ูอยูํในวัยศึกษาเลําเรียนสามารถผํอนผันได๎ โดยผู๎ท่ี ขอผํอนผันต๎องไปรายงานตัวทุกปี เมื่อมีการเกณฑ์ทหาร จนกวําจะสาเร็จการศึกษา และเม่ือสาเร็จ การศึกษาแล๎วก็ต๎องไปเข๎ารับการคัดเลือกตามท่ีกฎหมายกาหนดไว๎ สาหรับผู๎ฝุาฝืนไมํไปเข๎ารับการ ตรวจเลือก หรือหนีทหาร จะได๎รบั โทษทางอาญาสถานเดยี ว คอื จาคกุ ต้งั แตํ 1 เดือน ถงึ 3 ปี กกกกกกก5. 5.1 5.1.4 ปฏิบัตติ ามกฎหมายบา๎ นเมอื งอยาํ งเครํงครัด กฎหมายบา๎ นเมือง หมายถึง กติกาหรือระเบียบกฎเกณฑ์ที่วางไว๎ให๎ประชาชนทุกคนปฏิบัติ เพื่อความสงบเรียบร๎อยของ บ๎านเมืองในการปกครองระบอบประชาธิปไตย ได๎กาหนดให๎ประชาชนทุกคนมีสํวนรํวมในการ พิจารณาเห็นชอบและกาหนดกฎหมายข้ึนใช๎ในประเทศ โดยการเลือกต้ังผู๎แทนตน เพ่ือไปปฏิบัติ หน๎าท่ีออกกฎหมายในสภานิติบัญญัติจึงเทํากับวําประชาชนทุกคนรํวมกันตรากฎหมายออกมาใช๎ รํวมกนั ประชาชนทุกคนจงึ ควรปฏิบตั ิอยํางเครงํ ครดั เพื่อความสงบเรียบร๎อยและความผาสกุ รํวมกนั กกกกกกก5. 5.1 5.1.5 ให๎ความรํวมมอื ชวํ ยเหลือแกํราชการ เจา๎ หนา๎ ท่เี ปน็ ตัวแทนของรัฐบาลใน การทจ่ี ะให๎บริการแกํประชาชน และปฏิบัติงานให๎เป็นไปตามกฎหมายของบ๎านเมืองชํวยเป็นหูเป็นตา แกํเจ๎าหน๎าที่บ๎านเมือง เพ่ือชํวยปูองกันปราบปรามโจรผู๎ร๎าย หรือผู๎เป็นภัยตํอความสงบสุขของ บ๎านเมือง เมื่อประชาชนทุกคนตํางให๎ความรํวมมือกัน รักษาความสงบเรียบร๎อยของบ๎านเมือง ประเทศชาติกจ็ ะอยํอู ยํางสงบสุขและปลอดภยั จากศตั รทู ้ังภายในและภายนอก กกกกกกก5. 5.1 5.1.6 เสยี ภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติไว๎ ประเทศชาติจะรํุงเรืองและ ประชาชนจะมีความสงบสขุ อยูไํ ด๎ ก็ต๎องอาศัยการบริหารราชการแผนํ ดินของรฐั บาล เป็นหนา๎ ทีส่ าคญั ทีป่ ระชาชนชาวไทยจะต๎องชํวยกนั เสียภาษอี ากร เพื่อเราจะไดม๎ กี าลงั ทหารไว๎ปูองกนั เอกสารของชาติ มถี นนทางดี ๆ ไวใ๎ ช๎ มีโรงเรยี นใหล๎ ูกหลานได๎ศึกษาเลําเรียน มโี รงพยาบาลสาหรับรักษาเม่อื เราเจ็บไข๎ ไดป๎ ุวย โดยจะต๎องภาษี ตามทีก่ ฎหมายกาหนดไวด๎ งั น้ี กกกกกกก5. 5.1 5.1.6 1) ภาษีเงินได๎บุคคลธรรมดา เป็นภาษีที่รัฐเก็บจากประชาชนทุกคนที่มี รายได๎

216 กกกกกกก5. 5.1 5.1.6 2) ภาษีเงินได๎นิติบุคคล เปน็ ภาษีท่รี ัฐเก็บจากบรษิ ทั หา๎ งร๎านทีเ่ ปน็ นติ บิ ุคคล องคก์ ารของรฐั บาลตาํ งประเทศ กจิ การรวํ มคา๎ มลู นิธิและสมาคม กกกกกกก5. 5.1 5.1.6 3) ภาษีการค๎า เป็นภาษีที่รัฐเก็บจากผ๎ูประกอบการค๎า หรือผู๎ที่ถือวํา ประกอบการค๎าตามอัตราท่ีกาหนดไว๎ ภาษีผ๎ูประกอบการค๎าสามารถผลักภาระให๎ผู๎บริโภครับภาระ ภาษีนไ้ี ด๎ โดยรวมไว๎ในราคาสินค๎า เชนํ ภาษมี ูลคาํ เพ่มิ (VAT) กกกกกกก5. 5.1 5.1.6 4) คําอากรแสตมป์ เป็นการเก็บภาษีชนิดหนึ่ง ซ่ึงกฎหมายกาหนดให๎มี การปิดอากรแสตมป์บนตราสินค๎าบางอยําง โดยเอามูลคําของตราสารเป็นตัวต้ังในการคานวณ คาํ อากร กกกกกกก5. 5.2 หนา๎ ท่ขี องพลเมอื งดีตํอสังคม กกกกกกก5. 5.2 5.2.1 ด๎านกฎหมาย คือ เป็นกฎเกณฑ์ ข๎อบังคับที่ใช๎ควบคุมความประพฤติของ มนุษย์ในสังคม กฎหมาย มีลักษณะเป็นคาส่ัง ข๎อห๎าม ที่มาจากผู๎มีอานาจสูงสุดในสังคมใช๎บังคับได๎ ทั่วไป ใครฝุาฝืนจะต๎องได๎รับโทษ หรือสภาพบังคับอยํางใดอยํางหนึ่ง พลเมืองทุกคนต๎องปฏิบัติตาม กฎ ระเบยี บ ข๎อบงั คับของสังคม และบทบัญญตั ิของกฎหมาย เชนํ ไมํลํวงละเมิดสิทธิของผู๎อื่น หรือไมํ กระทาความผดิ ตามทกี่ ฎหมายกาหนด ก็จะทาให๎รฐั ไมํต๎องเสียงบประมาณในการปูองกัน ปราบปราม และจับกุมผ๎ูที่กระทาความผิดมาลงโทษ นอกจากน้ียังทาให๎สังคมมีความเป็นระเบียบสงบสุข ทุกคนอยูํรํวมกันอยํางสมานฉันท์ ไมํหวาดระแวงคิดร๎ายตํอกัน พลเมืองดีต๎องเคารพกฎหมายและ ทาตามกฎหมายรฐั ธรรมนญู กกกกกกก5. 5.2 5.2.2 ดา๎ นวฒั นธรรม คอื แบบแผนการกระทา หรอื ผลการกระทาท่พี ฒั นาจาก สภาพเดิมตามธรรมชาติให๎ดีงามยั่งยืนจนเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม เชํน กิริยา มารยาท การพูด การแตํงกาย การรับประทานอาหาร เป็นต๎น วัฒนธรรมการไหว๎ เป็นวัฒนธรรมภายนอกที่มักได๎รับ การตอบสนองจากผ๎ูได๎รับด๎วยการไหว๎ตอบ นอกจากน้ี ยังมีวัฒนธรรมไทยอื่น ๆ ท่ีงดงาม เชนํ การกราบ การทาบญุ ตักบาตร การแตํงกายแบบไทย เป็นต๎น กกกกกกก5. 5.2 5.2.2 1) พลเมืองดียอํ มเปน็ ทตี่ ๎องการของสงั คมทุกสงั คม สถาบัน และสถานะ ของตนเอง ดังนั้น พลเมืองดีจึงต๎องได๎รับการปลูกฝังวัฒนธรรมสิ่งท่ีดีงาม โดยเฉพาะสังคมแรก คือ ครอบครัว ต๎องอบรมให๎คนไทยมีสัมมาคารวะตํอผู๎อาวุโส มีความเสียสละ ซื่อสัตย์สุจริต ตรงตํอ เวลา เป็นตน๎ กกกกกกก5. 5.2 5.2.2 2) สอนให๎เยาวชนร๎ูจักและปฏิบัติตนตามสถานภาพและบทบาทของ ตนเองโดยมีความรับผดิ ชอบ รับฟงั ความคดิ เห็นของผ๎ูอนื่ เคารพกฎหมาย ปฏิบัตติ ามขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมการปลกู ฝังสง่ิ ที่ดีงาม กกกกกกก5. 5.2 5.2.2 3) พลเมืองดที กุ คนต๎องปฏบิ ัติตามวฒั นธรรมของสงั คมท่ีตนเองเป็น สมาชิก กกกกกกก5. 5.2 5.2.3 ดา๎ นประเพณีไทย คือ กจิ กรรมที่สืบทอดตํอกนั มายาวนานและ สงั คมยอมรับวาํ เปน็ ส่ิงท่ีดีงาม สง่ิ ที่งดงามของแตลํ ะสังคมอาจเหมือนกัน คล๎ายกัน หรือแตกตํางกันได๎ และส่งิ ท่งี ดงามของสงั คมหนงึ่ เมอื่ เวลาผาํ นไปสังคมอาจเป็นสิง่ ที่ไมํงดงามได๎ ดังนั้นประเพณีไทยอาจ

217 มีการปรับปรุงเปล่ียนแปลงไปกับสภาพสังคม พลเมืองดีจึงควรรักษาประเพณี แตํถ๎าพบวําประเพณี มีความลา๎ หลัง ไมํทันสมัยก็สามารถปรับปรุงใหเ๎ หมาะสมกับสภาพสงั คมท่ีเปลีย่ นไป กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 ดา๎ นสิทธิหน๎าท่ตี าม ระบอบประชาธิปไตย การเป็นสมาชิกท่ีดขี องสงั คม ตามสทิ ธหิ น๎าทตี่ ามระบอบประชาธิปไตย มี 4 ระดับ ดังนี้ กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) ระดบั ครอบครวั หนา๎ ที่ของครอบครวั ผลิตสมาชกิ ให๎แกํสังคม อบรม บํมเพาะคํานิยมท่ีดีงาม ปลูกฝังขนบธรรมเนียม แบบแผนทางสังคม และกลํอมเกลาให๎สมาชิกใน ครอบครัว เพ่ือเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมตํอไป ให๎ความอบอุํนแกํสมาชิกในครอบครัว เพ่ือให๎สมาชิกผ๎ู นั้นเข๎าสูํสังคม และเป็นสมาชิกท่ีดีของสังคม ให๎การศึกษาแกํสมาชิกของครอบครัว ซ่ึงหน๎าท่ีของ สมาชิกในครอบครัว หลักสาคัญตามระบอบประชาธิปไตยมี 7 ขอ๎ คือ กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (1) ให๎ความเคารพเช่ือฟังผูน๎ าในครอบครัว กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (2) ดูแลครอบครัวให๎สามารถอยไูํ ด๎ทั้งด๎านเศรษฐกจิ และความเป็นอยํู อื่น ๆ กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (3) ไมสํ ร๎างความแตกแยก แกํครอบครวั กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (4) ไมํสรา๎ งความเดือดรอ๎ นแกคํ รอบครัว กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (5) เคารพกฎเกณฑ์ของครอบครวั และแบบแผนทางสังคม กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (6) สร๎างอาชีพและรายไดใ๎ หเ๎ พยี งพอกับสมาชิกในครอบครวั กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (7) ทานบุ ารุงครอบครัว ดแู ลสมาชกิ ที่ เจ็บปวุ ย และสมาชกิ ที่ ชํวยเหลือตัวเองไมํได๎ กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 2) ระดับโรงเรียน เป็นสถานที่ทใ่ี หค๎ วามรซ๎ู ่งึ เราตอ๎ งอยํูรวํ มกับคน อืน่ ๆ อีกมากมาย ดังน้ันเราจึงจาเปน็ ตอ๎ งปฏบิ ัตติ ามกฎระเบียบของห๎องเรยี นและโรงเรยี น เพ่ือท่ีจะ ได๎อยรูํ ํวมกันอยาํ งมีความสขุ และเกดิ ความเปน็ ระเบียบเรียบรอ๎ ย บทบาทหนา๎ ที่ตามระบอบ ประชาธปิ ไตยในโรงเรียนมดี ังน้ี กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (1) เมือ่ มาโรงเรียน เราต๎องปฏิบัติตามกฎระเบียบของโรงเรียน เชนํ แตํงกายใหถ๎ ูกต๎องตามระเบียบ มาให๎ทนั เข๎าแถวเคารพธงชาติในตอนเช๎า กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (2) เมอ่ื อยูใํ นโรงเรยี น เราตอ๎ งชํวยกันรกั ษาความสะอาดในหอ๎ งเรียน และในบรเิ วณตาํ ง ๆ ของโรงเรียน ทงิ้ ขยะลงในถงั ขยะทโ่ี รงเรียนจัดให๎ กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (3) ใหค๎ วามเคารพเช่ือฟังครอู าจารย์ ตง้ั ใจเรียนหนังสือ รวมทง้ั ทางานตาํ ง ๆ ที่ครูมอบหมายดว๎ ยความตั้งใจและเอาใจใสํ กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (4) ปฏบิ ตั ใิ นการเปน็ ผ๎ูนาและผูต๎ ามท่ีดใี นห๎องเรียนและโรงเรียน ต๎องรูว๎ ําเม่ือเราเปน็ ผู๎นาในการทากิจกรรมตําง ๆ ควรปฏิบัติตนอยาํ งไร และเม่อื เป็นผ๎ูตามควรปฏิบตั ิ ตนอยํางไร กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (5) รู๎จักแสดงความคิดเหน็ ตามสิทธิของตนเองในหอ๎ งเรียนและ โรงเรียน รวมทั้งรู๎จกั รบั ฟังความคดิ เห็นของผู๎อ่ืน และเคารพข๎อตกลงของคนสวํ นใหญํ

218 กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (6) ถา๎ เกิดข๎อขดั แย๎งกนั ในหอ๎ งเรยี นและโรงเรยี น ให๎แก๎ปญั หาด๎วย หลักเหตุผล ไมใํ ชอ๎ ารมณ์หรอื พละกาลังในการแก๎ปัญหา เพราะไมํใชํวธิ แี ก๎ปญั หาท่ีถกู ต๎อง แตํกลับจะ ทาใหเ๎ กิดปัญหาอ่นื ๆ ตามมา กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (7) ในการแขํงขันทากิจกรรมตําง ๆ ของโรงเรียน เชํน การแขงํ กีฬา การประกวดในดา๎ นตาํ ง ๆ ต๎องฝึกฝนตนเองใหเ๎ ป็นผ๎ูรู๎จกั แพ๎ ชนะ และให๎อภัย รวมท้งั ยอมรบั ในคา ตดั สินของคณะกรรมการ กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 3) ระดับท๎องถนิ่ การปฏิบัติตนในฐานะสมาชิกของชุมชน บคุ คล สามารถปฏิบตั ติ นเองตามระบอบประชาธปิ ไตยได๎หลายวธิ ี ดังนี้ กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (1) ปฏิบตั ติ นตามกฎระเบียบของชมุ ชน เชํน ปฏิบตั ติ ามกฎจราจร โดยขา๎ มถนนตรงทางม๎าลาย หรอื สะพานลอย ไมวํ ิ่งข๎ามถนนตดั หนา๎ รถ ไมํทงิ้ ขยะลงในที่สาธารณะ ไมํทาลายส่งิ ของทเ่ี ปน็ ของสาธารณะ และทรพั ยส์ นิ สวํ นตวั ของผ๎ูอ่ืนให๎ได๎รับความเสยี หายเพราะความ สนกุ สนานของตนเอง กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (2) เขา๎ รํวมกิจกรรมของชุมชน เพื่อชวํ ยรักษาและเผยแพรํวฒั นธรรม ประเพณีของชุมชนไว๎ ในแตํละชุมชนจะมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา เชนํ ประเพณีการทาบุญเมอื่ ถึงวันสาคญั ทางศาสนา ประเพณีวนั สงกรานต์ ประเพณีวนั ลอยกระทง กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (3) บาเพ็ญประโยชนต์ อํ ชุมชน เชํน ชํวยเก็บเศษขยะท่ีพบเหน็ ใน บริเวณตําง ๆ ชวํ ยดแู ลต๎นไม๎ ดอกไม๎ในสวนสาธารณะของชุมชน กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (4) รํวมกันอนรุ ักษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสิ่งแวดล๎อมในชุมชน โดยให๎ทุกคนในชุมชนมีจิตสานึกในการรักษาส่ิงแวดล๎อม เชํน ชุมชนที่มีปุาชายเลน ควรจะรํวมใจกัน อนุรักษ์ปุาชายเลน เพื่อให๎เป็นที่อยูํของสัตว์ตําง ๆ รวมท้ังยังเป็นแหลํงหลบภัยของลูกสัตว์น้า และชมุ ชนที่อยตูํ ิดชายทะเล ควรรวํ มใจกนั รักษาความสะอาดของชายหาด เพื่อให๎เป็นแหลํงทํองเที่ยว ท่ีย่ังยืนของชุมชน การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล๎อมในชุมชนควรเป็นความรํวมมือกัน หลายฝุายระหวาํ งบา๎ น โรงเรยี น และชมุ ชน กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 4) ระดบั ประเทศ บุคคลปฏบิ ัตติ นในการเปน็ สมาชิกท่ีดีของประเทศตาม ระบอบประชาธิปไตย ดว๎ ยการมีสํวนรํวมในกิจกรรมทางการเมืองการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย ประชาชนสามารถมีสํวนรํวมได๎ ดงั น้ี กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (1) การใช๎สิทธิในการเลือกต้ังระดบั ตําง ๆ เมื่ออายุครบ 18 ปี บริบูรณ์ทุกคนต๎องไปใช๎สิทธิเลือกตั้งท้ังในระดับประเทศ เชํนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู๎แทนราษฎร การเลือกตัง้ สมาชิกวฒุ ิสภา และการเลอื กต้งั ระดับท๎องถิน่ เชํน การเลือกตั้งผว๎ู าํ กรงุ เทพมหานคร การเลือกตง้ั สมาชิกองค์กรสํวนท๎องถิ่น เปน็ ต๎น เพ่ือเลือกตัวแทนไปทาหน๎าทบ่ี ริหารประเทศ หรอื ท๎องถิ่นทวั่ ไป กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (2) การมสี ํวนรํวมในการตรวจสอบการใชอ๎ านาจรัฐ ในการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยน้ัน ประชาชนทุกคนต๎องมีสํวนรํวมในการชํวยกันสอดสํองดูแลการบริหาร ราชการแผํนดินของรัฐบาล หรือตรวจสอบการทางานของเจ๎าหน๎าท่ีในองค์กรตําง ๆ เพ่ือไมํให๎ใช๎ อานาจไปในทางทไ่ี มํถูกตอ๎ ง

219 กกกกกกก5. 5.2 5.2.4 1) (3) การเป็นแกนนาปลุกจิตสานกึ ให๎แกํผ๎ูอื่นในการรํวมกิจกรรม ทางการเมอื งการปกครอง ได๎แกํ การใชส๎ ทิ ธิเลือกต้ังและการมีสํวนรํวมในการตรวจสอบอานาจของรัฐ โดยการเป็นแกนนานั้น สามารถปฏบิ ัตไิ ดห๎ ลายอยําง เชํน ประกาศโฆษณาประชาสมั พันธ์ การเข๎าไป ชแี้ จงเป็นรายบุคคล การจดั ให๎มีการประชุมเพ่ือแสดงความคดิ เห็นตอํ ประเด็นที่มผี ลกระทบตอํ สงั คม กกกกกกก6. คุณธรรมของการเปน็ พลเมืองดี มี 8 ข๎อ ได๎แกํ กกกกกกก6. 6.1 ความจงรักภกั ดีตํอชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริย์ หมายถงึ การทบี่ ุคคล มีความนึกถึงความสาคัญของความเป็นคนไท ย มีจิตใจฝักใฝุศาสนา และตระหนักถึง พระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติตนในการผดุงรักษาสถาบันชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตรยิ ์ใหค๎ งอยํูคสํู งั คมไทย ตลอดไป กกกกกกก6. 6.2 การยึดมั่นในหลกั ธรรมของศาสนาที่ตนเองนบั ถือ ทุกศาสนามหี ลักศีลธรรมท่ีชวํ ย สร๎างจิตใจของคนให๎กระทาดี ไมํเบียดเบียนกัน มีใจเอ้ือเฟ้ือเผื่อแผํแกํกัน สมาชิกในสังคมสมควร ศรทั ธาในศาสนาทต่ี นนับถือ แล๎วปฏบิ ัตติ ามหลกั ศลี ธรรมของศาสนาท่ตี นนบั ถืออยาํ งสมา่ เสมอ กกกกกกก6. 6.3 ความซื่อสัตย์ หมายถงึ การกระทาทีถ่ ูกต๎องตรงไปตรงมา ไมํยดึ เอาส่ิงของผ๎ูอื่น มาเปน็ ของตน บคุ คลควรซื่อสตั ยต์ ํอตนเอง คือ กระทาตนใหเ๎ ป็นคนดี และบคุ คลควรซื่อสัตย์ตํอบุคคล อื่น ๆ หมายถงึ กระทาดี และถกู ตอ๎ งตามหนา๎ ท่ีตํอผอ๎ู ื่น กกกกกกก6. 6.4 ความเสยี สละ หมายถงึ การคานงึ ถงึ ประโยชน์ของสงั คมสํวนรวมมากกวํา ประโยชนส์ ํวนตน และยอมเสียสละประโยชน์สํวนตนเพ่อื ประโยชน์แกผํ อ๎ู ่ืนและสวํ นรวม กกกกกกก6. 6.5 ความรบั ผิดชอบ หมายถึง การยอมรับการกระทาของตนเอง หรือการทางานตาม หน๎าทีท่ ่ไี ดร๎ บั มอบหมายให๎สาเร็จลลุ วํ ง กกกกกกก6. 6.6 การมีระเบียบวินยั หมายถงึ การกระทาท่ีถกู ต๎องตามกฎเกณฑ์ที่สงั คมกาหนดไว๎ กกกกกกก6. 6.7 การตรงตอํ เวลา หมายถึง การทางานหรอื ทาหน๎าที่ทไี่ ด๎รบั มอบหมายใหส๎ าเร็จ ลุลวํ ง ทันตรงตามเวลาทีก่ าหนดโดยใชเ๎ วลาอยํางค๎มุ คาํ กกกกกกก6. 6.8 ความกลา๎ หาญทางจริยธรรม หมายถึง การกระทาที่แสดงออกในทางท่ถี กู ท่คี วร โดยไมํเกรงกลัว อิทธพิ ลใด ๆ ความกล๎านีไ้ มใํ ชกํ ารอวดดี แตเํ ปน็ การแสดงออกอยาํ งมีเหตุผล เพ่ือความถูกตอ๎ ง สรปุ กกกกกกกพลเมืองดี จึงเปน็ ผ๎ทู ี่ประพฤติปฏบิ ัติตน ตามหลกั กฎหมายทีเ่ ป็นกฎระเบียบหรือ ข๎อบังคับ ให๎พลเมืองของสังคมนั้นได๎ถือปฏิบัติรํวมกัน ตลอดจนรู๎จักบทบาทหน๎าที่ของตนเอง เคารพความคิดเห็นของผู๎อ่ืน และดารงตนเป็นประโยชน์ตํอสังคม ซึ่งพลเมืองยํอมมีสิทธิและหน๎าที่ ตามกฎหมายของประเทศนั้น บุคคลตํางสัญชาติ ที่เข๎าไปอยูํอาศัย ซ่ึงเรียกวํา คนตํางด๎าว ไมํมีสิทธิ เทําเทียมกับพลเมือง และมีหน๎าที่แตกตํางกันออกไป เชํน อาจมีหน๎าที่เสียภาษี หรือ คําธรรมเนียม เพิ่มขึ้น ตามที่กฎหมายแตํละประเทศบัญญัติไว๎ ซึ่งประชาชน ในประเทศจะต๎องฝึกฝนและพัฒนา ตนเองเพื่อความเป็นพลเมือง ซึ่งมีความเข๎าใจและตระหนักถึงบทบาทหน๎าที่ของตนในสังคมด๎วย

220 ความรับผิดชอบอยํางเตม็ ที่ รวมทง้ั มีความกระตอื รือร๎นในการรักษาสิทธิตําง ๆ ของตนและชุมชนของ ตนเองอยาํ งเข๎มแขง็ ทสี่ าคัญคอื ประชาชนควรเข๎ามามีสํวนรํวมทางการเมือง ด๎วยความเต็มใจโดยการ แสดงออกซ่ึงสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอยํางเสรี มีเหตุมีผล เพ่ือสร๎างสรรค์และ จรรโลงสังคม โดยรวม ตลอดจนยึดหลักการพ้ืนฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็น แนวทางในการดาเนินชีวิตในสังคม มีการปฏิบัติตนตามกฎหมายอยํางเครํงครัด และยึดมั่นในหลัก ศีลธรรมและคุณธรรม ของศาสนาควบคูํกันไปด๎วยพร๎อม ๆ กับดารงตนเป็นประโยชน์ ตํอสังคม สํวนรวม โดยมีการชํวยเหลือเกื้อกูลกันอยํางจริงใจ อันจะกํอให๎เกิดการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ตอํ ไป

221 ใบความรู้ เรือ่ งท่ี 2 การเรียนรูต้ ามรอยพระยุคลบาท วัตถุประสงค์ 1. เพ่ือให๎นกั ศึกษามีความรู๎ความเขา๎ ใจ เรื่อง การเรยี นรต๎ู ามรอยพระยคุ ลบาท 2. เพ่ือให๎นกั ศกึ ษามีทักษะการแสวงหาความร๎ู เรื่อง การเรียนรต๎ู ามรอยพระยุคลบาท 3. เพ่ือใหน๎ ักศึกษามีความตระหนักถึงความสาคญั เร่อื ง การเรยี นร๎ูตามรอยพระยุคลบาท เน้อื หา การเรยี นรตู๎ ามรอยพระยุคลบาท หมายถงึ การเรยี นรเ๎ู พ่ือการปฏบิ ตั ิ การปฏบิ ัติของคนใน สังคมตามพระราชปฏิญญาพระบรมราโชวาท และหลักปฏิบัติพระราชภารกิจของพระบาทสมเด็จ พระเจ๎าอยหูํ วั เพ่ือเป็นแนวทางปฏบิ ัติตน และปฏบิ ตั ภิ ารกิจหน๎าท่ี การงานอันนาไปสูํทศพิธราชธรรม หรือการบริหารกิจการบ๎านเมืองท่ีดี สํงผลให๎บังเกิดความเจริญรุํงเรือง ความสงบเรียบร๎อยของสังคม ความผาสกุ ของประชาชน และความมน่ั คงของประเทศชาติ 1. ดา๎ นหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง หมายถงึ เป็นปรัชญาชถ้ี ึงแนวทางการดารงอยูํ และปฏบิ ัตติ นของประชาชนในทุกระดบั ตั้งแตํระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการ พฒั นาและบรหิ ารประเทศให๎ดาเนนิ ไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อก๎าวทันตํอ โลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึง ความจาเป็นที่จะต๎องมีระบบภูมิคุ๎มกันในตัวที่ดีพอสมควร ผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการ เปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งน้ีจะต๎องอาศัย ความรอบรู๎ ความรอบคอบ และความ ระมัดระวัง อยํางยิ่ง ในการนาวิชาการตําง ๆ มาใช๎ในการวางแผน และการดาเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะตอ๎ งเสริมสรา๎ งพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ๎าหน๎าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนกั ธุรกิจในทุกระดับ ให๎มีสานึกในคุณธรรม ความซ่ือสัตย์สุจริต และให๎มีความรอบรู๎ ท่ีเหมาะสม ดาเนนิ ชีวติ ด๎วยความอดทน ความเพยี ร มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให๎สมดุล และพร๎อมการ รองรับการเปล่ียนแปลงอยํางรวดเร็ว และกว๎างขวางท้ังด๎านวัตถุ สังคม ส่ิงแวดล๎อม และ วัฒนธรรม จากโลกภายนอกได๎เป็นอยํางดี และได๎ทรงเน๎นย้าแนวทางการพัฒนา ที่ตั้งอยูํบนพื้นฐานของทาง สายกลาง และความไมํประมาท โดยคานึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร๎างภูมิค๎ุมกัน ในตัวท่ีดี ตลอดจนใช๎คุณธรรม ความร๎ู และดาเนินชีวิตด๎วยความเพียร เพื่อปูองกันตนเองให๎รอดพ๎น จากวิกฤต และสามารถดารงอยํูได๎อยํางม่ันคงและยั่งยืน ภายใต๎กระแสโลกาภิวัตน์แล ะการ เปลยี่ นแปลงตําง ๆ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง เปน็ แนวทางการดาเนนิ ชวี ิต และวถิ ปี ฏบิ ัตนิ าสคํู วามสมดลุ ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีตํอความจาเปน็ และเหมาะสมกบั ฐานะของตนเอง อนั สํงผลใหม๎ ีความสุขอยาํ งยั่งยืน โดยมีองค์ประกอบสาคัญ ดังนี้ สงั คมส่ิงแวดลอ๎ มรวมทั้งวัฒนธรรม ในแตํละท๎องถนิ่ ไมํมากเกินไป ไมํนอ๎ ยเกินไป และต๎องไมเํ บยี ดเบียนตนเองและผ๎ูอ่ืน

222 ความมีเหตุผล หมายถงึ การตดั สนิ ใจดาเนนิ การอยาํ งมีเหตผุ ล ตามหลักวิชาการ หลักกฎหมาย หลักคุณธรรม และวัฒนธรรมท่ีดีงาม โดยคานึงถึงปัจจัยท่ีเกี่ยวข๎องอยํางถ๎วนถ่ี “รู๎จุดอํอน จุดแข็ง โอกาส อุปสรรค” และคาดการณ์ผลท่ีจะเกิดข้ึนอยํางรอบคอบ “รู๎เขา รู๎เรา รู๎จัก เลอื กนาส่ิงท่ีดี และเหมาะสมมาประยุกต์ใช๎” การมีภูมิคุ๎มกันในตวั ที่ดี หมายถงึ การเตรยี มตัวให๎พร๎อมรับผลกระทบและการ เปลี่ยนแปลงด๎านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล๎อม และวัฒนธรรมจากทั้งในและตํางประเทศ เพื่อให๎สามารถบริหารความเสี่ยง ปรับตัว และรับมือได๎อยํางทันทํวงที การปฏิบัติเพ่ือให๎เกิดความ พอเพยี งนน้ั จะตอ๎ งเสรมิ สรา๎ งให๎คนในชาตมิ ีพืน้ ฐานจติ ใจในการปฏิบัตติ น มคี ุณธรรม ทัง้ น้ีบุคคล ครอบครวั องคก์ ร และชุมชน ท่ีจะนาปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงไปใช๎ ต๎องนาระบบคุณธรรม และความซื่อสัตย์สุจริตมาประพฤติปฏิบัติกํอน โดยเริ่มจาก การอบรมเลี้ยงดูในครอบครัว การศึกษาอบรมในโรงเรียน การสั่งสอนศีลธรรมจากศาสนา ตลอดจน การฝึกจิตขมํ ใจของตนเอง ใช๎หลักวิชา-ความร๎ู โดยนาหลักวชิ าและความรู๎เทคโนโลยที เ่ี หมาะสมมาใช๎ ทัง้ ในข้ันการ วางแผนและปฏบิ ัติ ด๎วยความดาเนนิ ชีวิตดว๎ ยความเพยี ร ความอดทน มสี ติปัญญา และความ รอบคอบ รอบรู๎ และระมัดระวังอยํางย่งิ พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปรญิ ญาบัตรของมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วนั ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2517 “การพฒั นาประเทศจาเป็นต๎องทาตามลาดับข้นั ตอน ต๎องสรา๎ งพนื้ ฐาน คอื ความพอมี พอกนิ พอใช๎ ของประชาชนสํวนใหญํเป็นเบอื้ งตน๎ กํอน เมอ่ื ไดพ๎ น้ื ฐานมั่นคงพร๎อมพอควรและปฏิบตั ิ ไดแ๎ ลว๎ จงึ คํอยสร๎าง คํอยเสริมความเจริญ และฐานะเศรษฐกจิ ชั้นท่สี ูงขึ้นโดยลาดบั ตํอไป” 2. ดา๎ นความเจรญิ หมายถงึ ความงอกงาม ความเพิ่มพูนมากขน้ึ และคาวํา “รงํุ เรือง” ก็หมายความถึงความอุดมสมบูรณ์ เม่ือรวมคาวําเจริญ และรํุงเรืองเข๎าด๎วยกันเป็น “ความ เจริญรํุงเรือง” แล๎ว ณ ท่ีน้ี จึงหมายถึง ความงอกงามไพบูลย์ ความเพิ่มพูน ความอุดมสมบูรณ์ แหํงมนุษยสมบัติ เครื่องปล้ืมใจของมนุษย์ได๎แกํ รูปสมบัติ 1 นี้รวมทั้งบุคลิกภาพ กิริยามารยาทที่ดี งาม และยศถาบรรดาศักด์ิด๎วย เป็นต๎น ทรัพย์สมบัติ 1 ได๎แกํ ทรัพย์สินเงินทอง เคร่ืองใช๎สอย เคร่ืองอานวยความสะดวกท่ีชอบใจ เป็นต๎น บริวารสมบัติ 1 ได๎แกํ พวกพ๎อง บริษัท บริวาร ญาติมิตร ท่ีดีอีกด๎วย และคุณสมบัติ 1 คือ ความร๎ู สติปัญญา ความสามารถ และคุณธรรม ให๎เจริญถึงสวรรค์ สมบัติ ที่ละเอียดประณีตกวํามนุษยสมบัติและให๎ถึงมรรคผล นิพพาน ช่ือวํานิพพานสมบัติที่สิ้นสุด แหงํ ทกุ ข์ท้ังปวง และทีเ่ ป็นบรมสุข 2. พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของวิทยาลัยเทคโนโลยีและ อาชวี ศึกษา ณ อาคารใหมํ สวนอัมพร วนั ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2530 2. “ความเจริญของบ๎านเมืองน้ัน แท๎จริงเกิดจากความเจริญของบุคคลแตํละคนประกอบ กันขึ้น เพราะฉะนั้น ผู๎ท่ีมีความร๎ูความสามารถทั้งหลายควรจะได๎ถือเป็นภาระรับผิดชอบสาคัญ ที่จะต๎องต้ังใจพยายามทางานของตนให๎ประสบผลสาเร็จและเจริญก๎าวหน๎า ความเจริญของแตํละคน จักได๎ประกอบเกื้อกูลกัน สํงให๎บ๎านเมืองมีความเจริญม่ันคงขึ้นด๎วย วันนี้จึงใครํแนะนาหลักการ ปฏิบัติงานแกํทุก ๆ คน เบื้องต๎นจะทางานสิ่งใด ไมํวําใหญํหรือเล็ก ขอให๎พิจารณาจุดมุํงหมายและ

223 ประโยชน์ของงานนั้นเห็นได๎ชัด จนเกิดความม่ันใจ และพอใจที่จะกระทา เมื่อมั่นใจแล๎วจึงกาหนด ขนั้ ตอนทางานใหเ๎ หมาะแกํการปฏิบัติ และลงมือปฏบิ ตั ิให๎ได๎ครบถ๎วนตามขั้นตอนนั้น ๆ โดยสม่าเสมอ จนกวําจะสาเร็จ ขณะที่ปฏิบัติเอาใจใสํจดจํอไมํวางมือให๎ลําช๎าเสียหายทั้งพยายามให๎ความพินิจ พิจารณา ปรับปรุงการปฏิบัติให๎เหมาะสม และก๎าวหน๎าอยํูตลอดเวลา เพื่อให๎บรรลุผลท่ีสมบูรณ์ ทํานท้ังหลายทาได๎อยํางนี้ก็จะได๎ชื่อวําเป็นนักปฏิบัติที่ดี ท่ีกระทาการงานทุกอยํางด๎วยหลักวิชาด๎วย ความสามารถ ด๎วยความพากเพียรเอาใจใสํ และด๎วยวิธีการอันแยบคายซ่ึงจะชํวยให๎ประสบ ความสาเร็จ ความเจรญิ ทุกสิ่งได๎ตามประสงค์” 3. ความดี หมายถึง การทาให๎เกดิ ผลดอี ยาํ งมคี ุณคาํ ตํอผ๎อู นื่ ตํอสํวนรวม รวมถึงตอํ ตนเอง พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปรญิ ญาบัตรแกผํ ูส๎ าเร็จการศึกษาจาก มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วนั ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2520 “ บัณฑิตทั้งหลายคงจะมีความหวังต้ังใจอยํูเต็มเป่ียมที่จะออกไปทางานด๎วยความร๎ู ความสามารถ ด๎วยความบริสุทธ์ิใจ และด๎วยความเพียรเข๎มแข็ง เพ่ือให๎บังเกิดความเจริญก๎าวหน๎าแกํ ชาติบ๎านเมอื ง แตบํ างคนกอ็ าจกาลังคิดอยํดู ๎วยวาํ ถา๎ เราทาดแี ลว๎ คนอน่ื เขาไมํทาด๎วยจะมิเสียแรงเปลํา หรอื ความรู๎ ความตัง้ ใจ ความอุตสาหะพากเพยี รของเราท้ังหมดจะมปี ระโยชน์อันใด ข๎าพเจ๎าขอให๎ทุก คนทาความเข๎าใจเสียใหมํให๎ชัดแจ๎งตั้งแตํต๎นนี้วํา การทาความดีนั้นสาคัญท่ีสุดอยูํท่ีตัวเอง ผ๎ูอื่นไมํ สาคัญและไมมํ ีความจาเป็นอันใดทจ่ี ะต๎องเปน็ หวํ ง หรือต๎องรอคอยเขาด๎วย เมื่อได๎ลงมือลงแรงกระทา แลว๎ ถึงแมจ๎ ะมีใครรํวมมอื ดว๎ ยหรือไมกํ ต็ าม ผลดที ที่ าจะต๎องเกิดขึ้นแนํนอนและยิ่งทามากเข๎า นานเข๎า ย่ังยืนเข๎า ผลดีก็ย่ิงเพิ่มพูนมากขึ้น และแผํขยายกว๎างออกไปทุกที คนที่ไมํเคยทาดี เพราะเขาไมํเคย เห็นผลกจ็ ะได๎เห็น และหันเข๎ามาอยํางเต็มหลักประกันสาคัญในการทาดีจึงอยูํที่วําแตํละคนต๎องทาใจ ให๎ม่ันคง ไมํหว่ันไหวกับส่ิงแวดล๎อมที่เห็นอยูํ ทราบอยูํมากเกินไปจนเกิดความท๎อถอย เม่ือใจมั่นคง แล๎วก็ขอให๎ต้ังอกตั้งใจสร๎างนิมิต และคํานิยมใหมํข้ึนสาหรับตัวตามที่พิจารณาเห็นดี ด๎วยเหตุผลอัน ถกู ตอ๎ งเท่ียงตรงแล๎ว แล๎วมํุงหน๎าปฏิบัติดาเนินไปให๎เต็มกาลังจนบรรลุผลสาเร็จในที่สุด ความดีความ เจริญท่ปี รารถนาก็จะเกดิ ทวีขึน้ และจะเอาชนะความเส่อื มทรามตาํ ง ๆ ได๎ไมนํ านเกินรอ” 4. ด๎านความร๎ู หมายถึง สิ่งที่ส่ังสมมาจากการศึกษาเลําเรียน การค๎นคว๎าหรือจาก ประสบการณ์ รวมทั้งความสามารถเชิงปฏิบัติ และทักษะความเข๎าใจ หรือสารสนเทศท่ีได๎รับมาจาก ประสบการณ์องค์วชิ าในแตํละสาขา พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปรญิ ญาบัตรแกํบัณฑติ มหาวิทยาลัยศรนี ครนิ รวโิ รฒ ณ สวนอมั พร วันท่ี 22 มิถุนายน พ.ศ. 2524 “ความรู๎นั้นสาคัญย่ิงใหญํ เพราะเป็นปัจจัยให๎เกิดความฉลาดสามารถ และความ เจริญก๎าวหน๎า มนุษย์จึงใฝุศึกษากันอยํางไมํรู๎จบส้ิน เม่ือพิเคราะห์ดูแล๎ว การเรียนความรู๎แม๎มากมาย เพยี งใดบางทีก็ไมํชวํ ยใหฉ๎ ลาด หรอื เจริญได๎เทาํ ใดนัก ถา๎ หากเรียนไมํถูกถ๎วน ไมํร๎ูจริงแท๎ การศึกษาหา ความรจ๎ู งึ สาคญั ตรงทว่ี าํ ตอ๎ งศึกษา ความฉลาดร๎ู คอื ร๎แู ลว๎ สามารถนามาใช๎ประโยชน์ได๎จริง ๆ โดยไมํ เป็นพิษเป็นโทษ การศึกษาเพ่ือความฉลาดร๎ู มีข๎อปฏิบัติที่นําจะยืดเป็นหลักอยํางน๎อยสองประการ ประการแรก เมื่อจะศึกษาส่ิงใดให๎รู๎จริงควรจะศึกษาให๎ตลอดครบถ๎วนทุกแงํทุกมุม ไมํใชํเรียนร๎ูแตํ เพียงบางสํวนบางตอน หรือเพํงเล็งเฉพาะแตํบางสํวนบางมุม อีกประการหนึ่งซ่ึงจะต๎องปฏิบัติ ประกอบพร๎อมกันไปด๎วยเสมอ คือ ต๎องพิจารณาศึกษาเรื่องนั้น ๆ ด๎วยความคิดจิตใจที่ตั้งม่ัน

224 เป็นปรกติ และเท่ียงตรง เป็นกลาง ไมํยอมให๎ร๎ูเห็น และเข๎าใจตามอานาจความเหนี่ยวนาของอคติ อคตฝิ ุายชอบหรือฝาุ ยชงั มฉิ ะน้นั ความร๎ูสึกท่ีเกิดขึ้นจะไมํเป็นความรู๎แท๎ หากเป็นแตํความรู๎ท่ีอาพราง ไว๎ หรือที่คลาดเคล่ือนวิปริตไปตําง ๆ จะนาไปใช๎ให๎เป็นประโยชน์จริง ๆ โดยปราศจากโทษไมํได๎ บัณฑิตท้ังหลายได๎ช่ือวําเป็นผู๎มีปัญญาเป็นนักศึกษาค๎นคว๎า ขอให๎มีหลักในการเรียนรู๎อยํางน๎อยก็ ตามท่ีได๎กลําว คือ จะศึกษาสิ่งใดก็พิจารณาศึกษาให๎หมดจดทุกแงํทุกมุมด๎วยจิตใจที่เที่ยงตรงเป็น กลางจึงจะไดร๎ บั ประโยชน์จากการศึกษาค๎นควา๎ สมบูรณบ์ รบิ ูรณ์ดงั ที่พงึ ประสงค์” 5. ด๎านความสามัคคี หมายถึง ความพร๎อมเพรียงกัน ความกลมเกลียวเป็นน้าหนึ่งใจ เดียวกัน ไมํทะเลาะเบาะแว๎ง วิวาทบาดหมางซ่ึงกันและกัน ความสามัคคี มีด๎วยกัน 2 ประการ 1) ความสามัคคีทางกาย ได๎แกํ การรํวมแรงรํวมใจกันในการทางาน 2) ความสามัคคีทางใจ ได๎แกํ การรํวมประชุมปรกึ ษาหารือกันในเมือ่ เกิดปญั หาขึน้ พระราชดารสั ในการเสด็จออกมหาสมาคม ในงานพระราชพิธีเฉลมิ พระชนมพรรษา พุทธศักราช 2535 วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2535 “คนไทย แม๎จะมีนิสัยรักความสะดวกสบาย และมักทาตามใจตัวกันเป็นปรกติ แตํในสํวน ลึก กเ็ ป็นคนมีเหตุผล มีความจริงใจ และความสานึกในชาติบ๎านเมืองอยํูด๎วยกันแทบทุกตัวตน เราจึง รวมกนั อยูํได๎เหนยี วแนนํ มชี าติ มีประเทศอันต้ังม่นั เปน็ อิสรเสรมี าชา๎ นาน ท้ังสามารถสร๎างสรรค์ความ ดีความเจริญตําง ๆ ไว๎เป็นสมบัติของชาติมากมาย ปัจจุบันนี้ร๎ูสึกวําบ๎านเมืองมีปัญหาและความ ขัดข๎องเกิดข้ึนไมํสรํางซาเกือบทุกวงการ เป็นเคร่ืองบํงบอกชัดเจนวําถึงเวลาแล๎วที่ทุกคนทุกฝุาย จะตอ๎ งลดความถอื ดี และการทาตามใจตัวเองแล๎วหันมาหาเหตุผล ความถูกต๎อง และความรับผิดชอบ ตํอสํวนรวมกันอยํางจริงจัง เพ่ือกาจัดอคติ และสร๎างเสริมความเมตตาสามัคคีในกันและกัน จักได๎ สามารถรํวมกันเรงํ รดั ปฏิบตั สิ รรพกิจการงานให๎ประสานสอดคลอ๎ ง และปรองดองเกอ้ื กูลกันให๎สัมฤทธ์ิ ประโยชนส์ งู สุดในการธารงรกั ษาอสิ รภาพอธิปไตย และความเป็นไทยใหย๎ นื ยงมน่ั คงอยูตํ ลอดไป” สรปุ กกกกกกกการเรยี นรู๎ตามรอยพระยุคลบาท คือ การเรยี นร๎เู พอ่ื การปฏบิ ัติ การปฏบิ ตั ิของคนในสังคม ตามพระราชปฏิญญาพระบรมราโชวาท และหลกั ปฏบิ ัตพิ ระราชภารกจิ ของพระบาทสมเด็จ พระเจ๎าอยํูหัวเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติตน และปฏิบัติภารกิจหน๎าที่การงานอันนาไปสูํทศพิธราชธรรม หรือการบริหารกิจการบ๎านเมืองที่ดีสํงผลให๎บังเกิดความเจริญรุํงเรือง ความสงบเรียบร๎อยของสังคม ความผาสุกของประชาชน และความม่ันคงของประเทศชาติ การเรียนร๎ูตามรอยพระยุคคลบาท สามารถนาไปปฏบิ ตั ิได๎หลายวิธี เชํน ด๎านปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด๎านความเจริญ ด๎านความดี ดา๎ นความรู๎ และด๎านความสามคั คี เป็นต๎น

225 ใบความรู้ เรือ่ งท่ี 3 ทศพธิ ราชธรรม วัตถปุ ระสงค์ กกกกกกก1. เพอ่ื ใหน๎ ักศึกษามีความรู๎ความเข๎าใจเรื่อง ทศพิธราชธรรม กกกกกกก2. เพ่อื ใหน๎ ักศึกษามีทักษะการแสวงหาความรูเ๎ ร่ือง ทศพธิ ราชธรรม กกกกกกก3. เพ่อื ใหน๎ ักศึกษามีความตระหนกั ถึงความสาคัญเรื่อง ทศพธิ ราชธรรม เนือ้ หา กกกกกกกความหมาย “ทศพิธราชธรรม” กกกกกกกทศพิธราชธรรม หรอื ราชธรรม 10 คอื จรยิ วตั ร 10 ประการท่ีพระเจ๎าแผํนดินทรงประพฤติ เป็นหลักธรรมประจาพระองค์ หรือเป็นคุณธรรมประจาตนของผ๎ูปกครองบ๎านเมือง ให๎มีความเป็นไป โดยธรรม และยังประโยชน์สุขให๎เกิดแกํประชาชน จนเกิดความชื่นชมยินดี ซ่ึงความจริงแล๎วไมํได๎ จาเพาะเจาะจง สาหรับพระเจ๎าแผํนดิน หรือผู๎ปกครองแผํนดินเทํานั้น บุคคลธรรมดาที่เป็นผู๎บริหาร ระดบั สูงในทุกองคก์ รก็พงึ ใช๎หลักธรรมเหลําน้ี กกกกกกกทศพิธราชธรรม มี 10 ประการ คือ กกกกกกก1. ทาน คอื การให๎ หมายถงึ การสละทรัพย์ สิ่งของ เพือ่ ชํวยเหลือคนทีด่ ๎อยและ ออํ นแอกวาํ กกกกกกก2. ศีล คอื การตัง้ อยํูในศลี หมายถงึ มคี วามประพฤติดีงาม เป็นตัวอยาํ งที่ดแี กํคนท่ัวไป กกกกกกก3. ปริจจาคะ คือ บรจิ าค หมายถึง การเสียสละความสุขสาราญของตนเพ่ือประโยชน์สุข ของหมูํคณะ กกกกกกก4. อาชชวะ คอื ความซอ่ื ตรง หมายถงึ มีความซอ่ื สตั ย์สุจริต มีความจริงใจ ไมกํ ลับกลอก กกกกกกก5. มัททวะ คือ ความอํอนโยน หมายถงึ มีกริ ยิ าสุภาพ มสี มั มาคารวะ วาจาอํอนหวาน มีความนํุมนวล ไมเํ ยํอหย่ิง ไมํหยาบคาย กกกกกกก6. ตบะ คือ ความเพยี ร หมายถึง การเพยี รพยายามไมํใหค๎ วามมัวเมาเข๎าครอบงาจิตใจ ไมลํ มุํ หลงกบั อบายมุขและส่งิ ช่ัวรา๎ ย ไมหํ มกมํุนกบั ความสุขสาราญ กกกกกกก7. อกั โกธะ คือ ความไมโํ กรธ หมายถึง มจี ติ ใจมั่นคง มคี วามสุขมุ เยือกเยน็ อดกลน้ั ไมแํ สดงความโกรธ หรือความไมพํ อใจใหป๎ รากฏ กกกกกกก8. อวหิ ิงสา คือ ความไมํเบียดเบยี น หมายถงึ ไมกํ ดข่ีขมํ เหง กลน่ั แกลง๎ รงั แกคนอื่น ไมํหลงในอานาจ ทาอนั ตรายตอํ รํางกาย และทรัพย์สินผูอ๎ ื่นตามอาเภอใจ กกกกกกก9. ขันติ คือ ความอดทน หมายถึง การอดทนตํอสง่ิ ทงั้ ปวง สามารถอดทนตํองานหนกั ความยากลาบาก ท้ังอดทน อดกลั้นตํอคาติฉินนินทา กกกกกกก10. อวิโรธนะ คอื ความเที่ยงธรรม หมายถึง ไมํประพฤตผิ ิด ประพฤติปฏบิ ัติตนอยํใู น ความดงี าม ไมหํ วัน่ ไหวในเรื่องดเี ร่อื งร๎าย

226 กกกกกกกทศพิธราชธรรม ของพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู ิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 กกกกกกกพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงข้ึนครองราชย์เป็นรัชกาลท่ี 9 แหํง ราชวงศ์จักรี เมื่อวันท่ี 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 ตํอมาทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเม่ือวันท่ี 5 พฤษภาคม พ.ศ.2493 และพระองค์ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการวํา “เราจะครองแผํนดิน โดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแหํงมหาชนชาวสยาม” โดยคาวํา “ครองแผํนดินโดยธรรม” หมายถึง “ครองแผํนดนิ โดยทศพิธราชธรรม” ซง่ึ “ทศพธิ ราชธรรม” มี 10 ประการคือ กกกกกกก1. ทาน คือ การให๎ การเสียสละ พระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงเสียสละพระราชทรัพย์เพ่ือบาเพ็ญสาธารณประโยชน์ ทั้งในด๎านบารุงพระพุทธ ศาสนา และบรรเทาความยากไร๎ ให๎ประชาชนอยูํเป็นกิจวัตร ทั้งยังทรงเป็นผู๎นาในการบริจาค พระราชทรัพย์เพื่อชํวยเหลือผู๎ตกทุกข์ได๎ยาก จากภัยธรรมชาติหลายตํอหลายครั้ง นอกจาก ทรัพย์แล๎ว ทาน ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ยังหมายถึง พระราชทานความร๎ู เพื่อประชาชนจะได๎ใช๎เป็นเครื่องมือเล้ียงชีพได๎อยํางย่ังยืน กกกกกกก2. ศีล คือ ความประพฤติดีงาม เป็นความดีงามของกาย วาจา ใจ ที่ประชาชนจะ เห็นได๎ในทุกพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทั้งกาย วาจา และพระราชหฤทัยของพระองค์ทํานเป็นไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน ทั้งยัง หมายถึง ศีลในการปกครองอันได๎แกํ กฎหมายและนิติราชประเพณี และในทางศาสนาท่ี พระองค์ทรงออกผนวชเพื่อศึกษาและปฏิบัติพระธรรมวินัย ทั้งอุทิศพระราชกุศลพระราชทาน แกํปวงชนชาวไทย กกกกกกก3. ปริจจาคะ คือ การเสียสละความสุขสํวนตน เพ่ือความสุขสํวนรวม เสียสละ ความสุขสํวนพระองค์ เพื่อประชาชนมีความสุข ในพระราชกรณียกิจที่เป็นไปเพื่อแก๎ปัญหา ความเดือดร๎อนของประชาชนนั้น พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ต๎องเสียสละความสุขสํวนพระองค์ ต๎องทนลาบากในการเดินทาง อดทนตํอความแปรปรวนของ อากาศ ความร๎อนหนาว ก็เพื่อสร๎างความสุขให๎ประชาชนทั้งส้ิน กกกกกกก4. อาชชวะ คือ ความซื่อตรงสุจริต ส่ิงน้ีสะท๎อนให๎เห็นผํานความแนํวแนํตํอพระราช ดารัส ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่เคยตรัสไว๎ อันเป็น ปฐมบรมราชโองการเมื่อทรงครองราชย์ เราจะครองแผํนดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแหํง มหาชนชาวสยาม ซึ่งพระองค์ทรงกระทาตามพระราชดารัสเสมอมา รวมถึงความสุจริตตํอมิตร ประเทศ พระราชวงศ์ ข๎าทูลละอองธุลีพระบาท กกกกกกก5. มัททวะ คือ ความสุภาพ อํอนโยนของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงเป็น พระมหากษัตริย์ที่ไมํถือพระองค์ โดยเฉพาะกับประชาชน ทรงมีสัมมาคารวะตํอพระสงฆ์ ตํอผู๎เจริญโดยวัยและโดยคุณ ทรงรับฟังปัญหา คาชี้แนะ และแก๎ไขด๎วยเหตุผล ด๎วยความเมตตาและอํอนโยน กกกกกกก6. ตบะ คือ ความเพียร ความอุตสาหะ พระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมิพล อดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีความอุตสาหะวิริยะในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจด๎วยความ อดทน ปราศจากความเกียจคร๎าน เพื่อประโยชน์ของประชาชนและบ๎านเมือง ไมํยํอท๎อ

227 แม๎บางขณะจะทรงพระประชวร แม๎ในบางพื้นที่บางเหตุการณ์จะเต็มไปด๎วยอันตราย ซึ่งสิ่งนี้ สะท๎อนให๎เห็นจากพระราชนิพนธ์เร่ือง พระมหาชนก ที่พระราชทานให๎ปวงชนชาวไทย กกกกกกก7. อักโกธะ คือ ความไมํโกรธ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระนิสัยที่ไมํโกรธ ทั้งทรงสามารถระงับความโกรธด๎วยมีพระเมตตาเป็นที่ตั้ง ทาให๎ทรงทอดพระเนตรเห็นปัญหา และหนทางแก๎ไขปัญหานั้นได๎โดยสงบ ทั้งยังไมํทรงใช๎ พระราชอานาจเพื่อมุํงร๎ายผ๎ูอื่น แตํทรงใช๎เพื่อพระราชทานอภัยโทษตามควรแกํเหตุ กกกกกกก8. อวิหิงสา คือ ความไมํเบียดเบียน ด๎วยพระราชอัธยาศัยของพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ที่เปี่ยมไปด๎วยพระเมตตา พระองค์จึงทรงตั้งอยํู ด๎วยการไมํเบียดเบียนทั้งราชวงศ์และข๎าพระบาท รวมถึงประชาชน ให๎ต๎องเดือดร๎อนด๎วยเหตุ อันไมํควร กกกกกกก9. ขันติ คือ ความอดทน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาล ที่ 9 ทรงมีความอดทน ตํอความทุกข์อันเกิดจากความยากลาบากในการเข๎าหาประชาชนในถิ่น ทุรกันดาร ทรงอดทนตํอความไมํสบายพระวรกาย ทรงอดทนตํอทุกข์อันเกิดจากโรคภัย ไมํให๎ เป็นอุปสรรคตํอการชํวยเหลือประชาชน กกกกกกก10. อวิโรธนะ คือ ความหนักแนํน เที่ยงธรรม พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา ภมู พิ ลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงรักษาความเที่ยงธรรม และความยุติธรรมไมํให๎เบี่ยงเบนไปจาก ความถูกต๎อง ทั้งในพระราชจริยวัตรและพระราชวินิจฉัย ไมํเอนเอียงหวั่นไหว ไมํยินดียินร๎าย ตํออคติท้ังปวง ไมํประพฤติผิดไปจากพระราชประเพณี กกกกกกกด๎วย ทศพิธราชธรรม เชํนน้ีเองที่ทาให๎ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลย เดช รัชกาลท่ี 9 มิใชํจะทรงครองแผํนดินเทําน้ัน แตํยังทรงครองหัวใจคนท้ังปวงเอาไว๎อีกด๎วย กกกกกกก“ทศพิธราชธรรม : ธรรมของพระราชา ข้อปฏิบัติที่คนธรรมดากท็ าได้” กกกกกกกเมื่อเอํยถึง ทศพธิ ราชธรรม อนั มคี วามหมายถงึ ราชธรรม หรอื ธรรมของพระราชา ซึง่ มีอยํู ดว๎ ยกนั 10 ข๎อ หลายคนอาจจะร๎ูสกึ วาํ ธรรมดงั กลําวเปน็ ของสงู หรือไกลตวั และควรจะเป็นเร่ืองของ พระราชา หรือผู๎นาในระดับสูงเทาํ นนั้ แตโํ ดยแทจ๎ รงิ แลว๎ แม๎ทศพธิ ราชธรรมจะได๎ชื่อวําเป็นหลักธรรม หรือคุณสมบัติที่ผู๎เป็นใหญํในแผํนดิน ต้ังแตํพระมหากษัตริย์ ผ๎ูปกครองรัฐ หรือผู๎นาประเทศจะพึง ปฏิบัติ แตบํ ุคคลธรรมดาก็สามารถนาไปปฏิบัติได๎ในชีวิตประจาวัน เพราะนอกจากจะเป็นหนทางไปสูํ ความเจริญก๎าวหน๎าในชีวิตแล๎ว ยังไดช๎ ่อื วําไดด๎ าเนนิ รอยตามเบื้องยคุ ลบาท ดงั ที่ ดร.สเุ มธ ตันติเวชกุล เลขาธกิ ารมลู นิธิชัยพัฒนา ไดเ๎ ชิญชวนให๎ประชาชนชาวไทยปฏิบตั ิ ตามพระราชจริยวตั รของพระบาท สมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช รัชกาลที่ 9 ซ่งึ แนวทางในการปฏิบัติตามทศพิธราชธรรมใน ระดับประชาชน มดี ังตํอไปน้ี กกกกกกก1. ทาน คือ การให๎ นอกเหนือจากการบรจิ าคเป็นทรพั ยส์ ิน หรือสงิ่ ของแกํผู๎ยากไร๎ ผ๎ูด๎อยโอกาส และผู๎ตกทุกข์ได๎ยากตามท่ีเราทาอยํูเสมอแล๎ว เราก็อาจจะให๎น้าใจแกํผ๎ูอื่นได๎ เชนํ ใหก๎ าลงั ใจแกผํ ูต๎ กอยใํู นหว๎ งทุกข์ ให๎ข๎อแนะนาทเี่ ป็นความร๎ูแกผํ ูร๎ ํวมงาน หรือผูใ๎ ต๎บังคับบัญชา ให๎ รอยยม้ิ และ ปิยวาจาแกญํ าตพิ ่นี ๎อง เพ่ือนฝูง รวมถึงบุคคลท่ีมารับบริการจากเรา เปน็ ต๎น

228 กกกกกกก2. ศีล คือ ความประพฤตทิ ีด่ ีงาม ตามหลักศาสนาของตน อยํางน๎อยก็ขอใหเ๎ ราไดป๎ ฏบิ ัติ ตามศีล 5 คอื ไมํฆาํ สัตวต์ ดั ชวี ติ ไมลํ ักขโมยของของผูอ๎ ่นื ไมลํ วํ งละเมดิ ลกู เมียเขา ไมํพูดโกหก หรือพูด สํอเสียดยุยงให๎คนเขาทะเลาะเบาะแว๎งกัน และควรทาตนให๎หํางไกลจากเหล๎า บุหร่ี หรืออบายมุข ตําง ๆ เพราะสิ่งเหลํานี้ นอกจากจะทาให๎เราเสียเงินแล๎ว ยังเสียสุขภาพกายและใจท้ังของตัวเราเอง และคนใกล๎ชิดเราดว๎ ย กกกกกกก3. ปรจิ จาคะ คือ ความเสยี สละ หมายถงึ การเสียสละความสุขสวํ นตนเพื่อความสุขหรอื ประโยชน์ของสํวนรวม ซ่ึงอาจจะเป็นครอบครัว หนํวยงาน หรือเพ่ือนรํวมงานของเราก็ได๎ เชํน ครอบครัว พํอบ๎านเสียสละความสุขสํวนตัวด๎วยการเลิกด่ืมเหล๎า ทาให๎ลูกเมียมีความสุข และ เพื่อนบา๎ นก็สุขดว๎ ย เพราะไมํต๎องฟังเสียงอาละวาด ดาํ ทอทุบตีกัน หรือเราอาจจะเสียสละเวลาอยํูเย็น ชวํ ยเพือ่ นทางาน หรือไปเขา๎ คาํ ยพัฒนาชนบท อาสาไปดูแลเด็กในสถานเลี้ยงเด็กกาพร๎าเป็นคร้ังคราว หรือเสียสละรํางกาย /อวัยวะหลังตายแล๎วเพื่อการศึกษา เป็นต๎น ซ่ึงการเสียสละดังกลําวถือวําได๎บุญ มากเพราะมใิ ชจํ ะสละกนั ได๎งําย ๆ โดยทั่วไป การเสียสละไมํวําส่ิงใดก็ตาม ถือเป็นการลดความเห็นแกํ ตวั ซึง่ ลว๎ นมสี วํ นชวํ ยให๎สังคมดีขนึ้ ทั้งสิน้ กกกกกกก4. อาชชวะ คอื ความซ่อื ตรง หมายถงึ ดาเนินชีวติ และปฏิบตั ิภารกิจ/หนา๎ ท่กี ารงานตาํ ง ๆ ด๎วยความซื่อสัตย์สุจริต ไมํคิดคดโกง หรือหลอกลวงผ๎ูอ่ืน เชํน ถ๎าเราขายของ ก็ไมํเอาของไมํดีไป หลอกขายลูกค๎า เป็นข๎าราชการ พนักงานบริษัท ห๎างร๎าน ก็ไมํคอรัปช่ันท้ังเวลา ทรัพย์สินของ หนํวยงานตน เพราะถ๎าทุกคน เอาเปรียบหรือโกงกิน นอกจากจะทาให๎หนํวยงานเราไมํเป็นที่ นาํ เชือ่ ถือของผเู๎ กยี่ วข๎องแล๎ว ในระยะยาว อาจทาให๎หนํวยงานเราล๎ม ผ๎ูที่เดือดร๎อนก็คือเรา แม๎เราจะ ได๎ทรัพย์สินไปมากมาย แตํเงินบาปที่ได๎ก็จะเป็นสิ่งอัปมงคลท่ีทาให๎เราไมํเจริญก๎าวหน๎า ถูกคนรุม สาปแชํง และแม๎คนอ่ืนจะไมํรู๎ แตํตัวเรายํอมรู๎อยํูแกํใจ และไมํมีวันจะมีความสุขกาย สบายใจ เพราะ กลัวคนอื่นจะมารู๎ความลับตลอดเวลา ผู๎ท่ีประพฤติตนด๎วยความซ่ือตรง แม๎ไมํร่ารวยเงินทอง แตํจะ มงั่ คงั่ ดว๎ ยมิตรทจ่ี รงิ ใจ ตายกต็ ายตาหลับ ลูกหลานก็ภาคภูมใิ จ เพราะไมตํ ๎องแบกรบั ความอับอายท่ีมี บรรพบุรษุ ขี้โกง กกกกกกก5. มัททวะ คือ ความสุภาพอํอนโยน มอี ัธยาศัยไมตรี กลําวคือ การทาตวั สุภาพ นมุํ นวล ไมํเยํอหยิ่ง ถอื ตัว หรือหยาบคายกบั ใคร ไมวํ ําจะเปน็ ผใู๎ หญํ ผ๎นู ๎อย หรือเพ่ือนในระดับเดียวกัน การทา ตัวเป็นผ๎ูที่มีความอํอนน๎อมถํอมตน จะทาให๎ไปท่ีไหนคนก็ต๎อนรับ เพราะอยํูใกล๎แล๎วสบายใจ ไมํรอ๎ นรมุํ หากเราหยาบคาย กา๎ วร๎าว คนก็ถอยหําง ดังนน้ั หลกั ธรรมข๎อนี้ จงึ เปน็ การสรา๎ งเสนํห์อยําง หนึ่งใหแ๎ กตํ วั เราด๎วย กกกกกกก6. ตบะ คอื ความเพียร เปน็ หลักธรรมทส่ี อนให๎เราไมยํ ํอท๎อ แตํใหป๎ ฏบิ ัติหน๎าทีก่ ารงาน ด๎วยความมุมานะ ฝุาฟันอุปสรรคตําง ๆ จนประสบความสาเร็จ ซึ่งความพากเพียรน้ีจะทาให๎เรา ภาคภูมิใจเม่ืองานสาเร็จ และจะทาให๎เรามีประสบการณ์เกํงกล๎าข้ึน นอกจากน้ี ยังสอนให๎เราส๎ูชีวิต ไมยํ อมแพ๎อะไรงําย ๆ กกกกกกก7. อักโกธะ คอื ความไมโํ กรธ แม๎ในหลาย ๆ สถานการณจ์ ะทาได๎ยาก แตํหากเราสามารถ ฝึกฝน ไมํให๎เป็นคนโมโหงําย และพยายามระงับยับย้ังความโกรธอยูํเสมอ จะเป็นประโยชน์ตํอเรา หลายอยาํ ง เชํน ทาให๎เราสุขภาพจิตดี หน๎าตาผํองใส ข๎อสาคัญ ทาให๎เรารักษามิตรไมตรีกับผู๎อ่ืนไว๎ได๎ อันมผี ลใหค๎ นรักและเกรงใจ

229 กกกกกกก8. อวหิ ิงสา คอื การไมเํ บยี ดเบียน หรอื บบี ค้ันกดข่ผี ู๎อืน่ รวมไปถงึ การไมํใช๎อานาจไปบงั คบั หรือหาเหตุกล่ันแกล๎งคนอืน่ ดว๎ ย เชํน ไมํไปขํมเหงรังแกผ๎ูด๎อยกวํา ไมํไปขํมขํูให๎เขากลัวเรา หรือไปบีบ บังคับเอาของรักของหวงมาจากเขา เป็นต๎น นอกจากไมํเบียดเบียนคนด๎วยกันแล๎ว เรายังไมํควร เบียดเบยี นธรรมชาติ ส่ิงแวดล๎อม และสตั ว์อกี ดว๎ ย เพราะมฉิ ะนนั้ ผลรา๎ ยจะย๎อนกลับมาสํเู รา และ สงั คม อยํางทเ่ี หน็ ในปจั จบุ นั จากภัยธรรมชาติตาํ ง ๆ กกกกกกก9. ขนั ติ คือ ความอดทน หมายถึง ให๎เราอดทนตํอความยากลาบาก ไมํท๎อถอย และ ไมํหมดกาลังกาย กาลังใจที่จะดาเนินชีวิต และทาหน๎าที่การงานตํอไปจนสาเร็จ รวมทั้งไมํยํอท๎อตํอ การทาคณุ งามความดี ความอดทนจะทาใหเ๎ ราชนะอุปสรรคท้ังปวงไมวํ าํ เลก็ หรือใหญํ และจะทาให๎เรา แกรํงข้ึน เข๎มแขง็ ขน้ึ กกกกกกก10. อวิโรธนะ คอื ความยุตธิ รรม หนกั แนํน ถือความถูกต๎อง เทีย่ งธรรมเป็นหลัก ไมํเอนเอียงหวั่นไหวด๎วยคาพูด อารมณ์ หรือลาภสักการะใด ๆ ทั้งในทางนิติธรรม คือ ระเบียบแบบ แผนหลกั ปกครอง หรอื ในเรือ่ งขนบธรรมเนียมประเพณที ีด่ งี าม ก็ไมปํ ระพฤติ ให๎ผิดทานองคลองธรรม กลาํ วคอื ให๎ทาอะไรด๎วยความถูกต๎อง มิใชํด๎วยความถกู ใจ กกกกกกกจะเห็นได๎วาํ หลักธรรมทงั้ 10 ข๎อ หรือทศพิธราชธรรม น้ี มิใชขํ อ๎ ปฏิบัตทิ ี่ยาก จนเกนิ ความ สามารถของคนธรรมดาสามัญที่จะทาตามได๎ หลาย ๆ ข๎อก็เป็นส่ิงที่เราปฏิบัติอยูํแล๎ว จะโดยรู๎ตัวไมํ ก็ตาม แตํหากเรามีความตั้งใจจริง หลักธรรมดังกลําวก็จะเป็นทุนที่ชํวยหนุนนาให๎เราได๎พัฒนาชีวิต ไปสคํู วามดีงาม ความมน่ั คง และความสาเร็จทเี่ ราปรารถนาทุกประการ สรุป กกกกกกกทศพิธราชธรรม เปน็ หลักธรรมสาหรับพระมหากษตั รยิ จ์ ะพงึ ถือปฏบิ ัติมาแตโํ บราณกาล ซง่ึ คนธรรมดาสามัญที่จะทาตามได๎ หลักทศพิธราชธรรม มี 10 ประการ ดงั นี้ กกกกกกก1. ทาน หมายถงึ การให๎ การเสียสละ นอกจากเสียสละทรพั ย์สงิ่ ของแลว ยังหมายถงึ การ ให๎นา้ ใจแกผํ ู๎อ่นื ดว๎ ย กกกกกกก2. ศีล หมายถงึ ความประพฤติท่ดี ีงาม ทัง้ กาย วาจา และใจ ให๎ปราศจากโทษท้ังในการ ปกครอง อนั ไดแก กฎหมายและนิตริ าชประเพณี และในทางศาสนา กกกกกกก3. ปริจจาคะ (บริจาค) หมายถึง การเสยี สละความสุขสํวนตน เพอ่ื ความสขุ สํวนรวม กกกกกกก4. อาชชวะ หมายถงึ ความซ่ือตรงในฐานะทเี่ ป็นผ๎ูปกครอง ดารงอยํูในสตั ย์สจุ ริต กกกกกกก5. มทั ทวะ หมายถึง การมีอัธยาศยั ออนโยน เคารพในเหตุผลท่คี วร มีสัมมาคารวะตอ ผูอาวโุ ส และออนโยนตอบุคคลทเ่ี สมอกัน และต่ากวา กกกกกกก6. ตบะ หมายถึง มคี วามอุตสาหะในการปฏิบตั ิงาน โดยปราศจากความเกยี จคราน กกกกกกก7. อกั โกธะ หมายถงึ ความไมแสดงความโกรธให๎ปรากฎ ไมมุงรายผูอน่ื แมจะลงโทษ ผูทาผิด ก็ทาตามเหตุผล กกกกกกก8. อวหิ ิงสา หมายถึง การไมเบียดเบียนหรือบีบค้นั ไมกอทุกขหรือเบยี ดเบียนผูอ๎ ่ืน กกกกกกก9. ขันติ หมายถึง การมีความอดทนตอสง่ิ ทั้งปวง รกั ษาอาการกาย วาจา ใจ ใหเรยี บรอย

230 กกกกกกก10. อวิโรธนะ หมายถงึ ความหนักแนน ถือความถกู ตอง เที่ยงธรรมเปนหลกั ไมเอนเอยี ง หวน่ั ไหวดวยคาพดู อารมณหรือลาภสกั การะใด ๆ

231 ใบความรู้ เร่ืองที่ 4 ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งเง่อื นไขความร้คู คู่ ณุ ธรรม วตั ถุประสงค์ 1. เพ่ือใหน๎ กั ศกึ ษามีความรู๎ความเขา๎ ใจเร่ือง ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงเงอื่ นไขความรู๎ คคูํ ณุ ธรรม 2. เพอ่ื ใหน๎ กั ศกึ ษามีทกั ษะการแสวงหาความร๎ูเร่ืองปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงเงอ่ื นไข ความรค๎ู ูคํ ุณธรรม 3. เพื่อให๎นักศึกษามีความตระหนักถึงความสาคญั เรือ่ งปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เงอ่ื นไขความร๎ูคูํคุณธรรม เนอ้ื หา กกกกกกกปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง คือ ปรชั ญาท่ีพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหา ภมู พิ ลอดลุ ยเดช รชั กาลท่ี 9 พระราชทานพระราชดารชิ แ้ี นะแนวทางการดาเนนิ ชีวิต แกํพสกนกิ ร ชาวไทยในทุกระดับ ต้ังแตํระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหาร ประเทศให๎ดาเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพ่ือให๎ก๎าวทันตํอโลกยุค โลกาภวิ ฒั น์ กกกกกกกหลกั การปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง เปน็ ปรชั ญาท่ียึดหลกั การเดนิ ทางสายกลาง ท่ีชี้แนะแนวทางการดารงอยํู และปฏิบัติของประชาชนในทุกระดับ ประกอบด๎วย 3 หํวง 2 เง่ือนไข คือ ความพอประมาณ ความมีเหตผุ ล ความมภี มู คิ ๎ุมกนั เงอื่ นไขความร๎ู และ เงอื่ นไขคุณธรรม กกกกกกกความพอประมาณ หมายถงึ ความพอดีท่ีไมนํ ๎อยเกินไป และไมมํ ากเกนิ ไป โดยไมํ เบยี ดเบยี นตนเอง และไมทํ าให๎ผอ๎ู ่ืนเดอื ดร๎อน เชํน การผลิต และการบรโิ ภคท่ีอยํใู นระดับพอประมาณ กกกกกกกความมเี หตุผล หมายถึง การตัดสนิ ใจเก่ียวกบั ระดบั ความพอเพยี งน้นั จะต๎องเปน็ ไปอยาํ ง มเี หตผุ ล โดยพจิ ารณาจากปจั จยั ทเ่ี ก่ยี วขอ๎ ง ตลอดจนคานงึ ถึงผลทีค่ าดวาํ จะเกิดขน้ึ ในอนาคตทั้งใกล๎ และไกล กกกกกกกการมีภมู คิ ุ๎มกนั ในตัว หมายถึง การเตรยี มตัวรบั ผลกระทบ และการเปล่ียนแปลง ดา๎ นตาํ ง ๆ ที่จะเกดิ ข้ึน โดยคานงึ ถึงความเปน็ ไปได๎ของสถานการณ์ตํางๆ ที่คาดวําจะเกดิ ขน้ึ ใน อนาคตท้งั ใกล๎และไกล กกกกกกกเงื่อนไขความร๎ู หมายถงึ ความร๎ูเก่ียวกบั วชิ าการตาํ ง ๆ ที่เกี่ยวข๎องอยาํ งรอบดา๎ น ความรอบคอบทจ่ี ะนาความรูเ๎ หลําน้นั มาพจิ ารณาใหเ๎ ชื่อมโยงกนั เพ่ือประกอบการวางแผน และความ ระมดั ระวงั ในข้นั ตอนการปฏิบตั ิ กกกกกกกเงื่อนไขคณุ ธรรม หมายถึง การยึดถือคณุ ธรรมตําง ๆ อาทิ ความซ่ือสัตย์สุจรติ ความ อดทน ความเพียร การมงํุ ตอํ ประโยชน์สวํ นรวมและการแบํงปัน

232 กกกกกกกพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดลุ ยเดช รชั กาลที่ 9 มพี ระบรมราโชวาท เกย่ี วกับ “เงื่อนไขความรู๎” ในปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง โดยมเี น้ือความทีส่ าคญั ตอนหนงึ่ วํา “ความร๎ู น้ันเป็น หลักของการงาน ผู๎ท่ีจะทางานอยํางใดจาต๎องมีความร๎ูในเร่ืองนั้นกํอนในเบื้องต๎น สํวนความคิดเป็นเคร่ืองชํวยความร๎ู คือ ชํวยให๎ใช๎ความรู๎ให๎ถูกต๎อง เชํน จะใช๎อยํางไร ท่ีไหน เม่ือใด เมอื่ มีความรู๎ สาหรบั งานมคี วามคิดสาหรับพิจารณาใช๎ความร๎ูให๎ถูกต๎องแล๎ว ยํอมทางานได๎ผลสมบูรณ์ ดี ยากท่ีจะผดิ พลาด ความรูก๎ ับความคดิ จึงไมคํ วรแยกจากกัน” กลาํ วไดว๎ ํา ความรู๎ที่จาเป็นสาหรับการ ดาเนนิ ชวี ติ อาจแบํงออกได๎เป็น 2 ประเภทหลกั ๆ คอื ความร๎ูสาหรบั การทางาน และความร๎สู าหรบั การจัดการทรัพยส์ ินของตนเอง กกกกกกกความรส๎ู าหรบั การทางาน นอกจากความรจ๎ู ากการศึกษาเลําเรยี นในโรงเรียน หรอื มหาวทิ ยาลัย ท่ีเราจะนามาใช๎ในการทางาน หรืออาชีพของเราแล๎ว การศึกษาหาความรู๎เพ่ิมเติมก็เป็น สิง่ สาคัญ อยํางเชํน ใครที่ทางานประจา หรือเป็นพนักงานบริษัท ประสบการณ์ความร๎ูใหมํ ๆ จะชํวย ใหเ๎ ราก๎าวหน๎าในตาแหนํงหน๎าท่ีการงานได๎ หรือใครท่ีทาธุรกิจสํวนตัว มีกิจการเป็นของตนเอง ก็ควร หาความรู๎เพิ่มเติม วําจะทาอยํางไรให๎กิจการของเราอยูํรอด หรือจะทาอยํางไรให๎กิจการเติบโตอยําง ย่ังยืน เป็นต๎น ซ่ึง การหาความรู๎เพ่ิมเติมสามารถทาได๎หลากหลายวิธีไมํวําจะเป็นการเข๎ารํวมงาน อบรมสมั มนาตําง ๆ การอาํ นหนังสอื รวมถึงการพูดคยุ แลกเปล่ยี นประสบการณ์กบั ผอู๎ นื่ ก็ชวํ ย เพมิ่ พูนความร๎ูได๎ กกกกกกกความรูส๎ าหรับการจัดการทรัพยส์ ินของตนเอง จากบทความเร่อื ง “เศรษฐกจิ พอเพยี งกบั ความพอประมาณ” ท่ีได๎แนะนาการจัดการเงินโดยการออมใช๎ มีการสารองเงินเพ่ือใช๎จํายยามจาเป็น และร๎ูจักบริหารเงินใหง๎ อกเงยขึ้น ซ่ึงวิธีการทท่ี าให๎เงนิ งอกเงยข้นึ นัน่ คอื การลงทุน การศึกษาทา ความเข๎าใจจะชวํ ยลดความเส่ียงจากการลงทนุ ได๎ กกกกกกกสาหรับเงอื่ นไขคุณธรรม นั้น พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดลุ ยเดช รัชกาล ท่ี 9 มพี ระบรมราโชวาทเก่ียวกับคณุ ธรรมโดยมีใจความสาคัญวํา “คุณธรรมท่ีทุกคนควรจะศึกษาและ น๎อมนามาปฏิบัติมีอยํู 4 ประการ ประการแรกคือ การที่ทุกคนคิด พูด ทา ด๎วยความเมตตา มุํงดี มํุงเจริญตํอกัน ประการท่ีสอง คือ การที่แตํละคนชํวยเหลือเกื้อกูลกัน ประสานงาน ประสาน ประโยชน์กัน ให๎งานท่ีสาเร็จผล ท้ังแกํตนเอง แกํผู๎อ่ืน และกับประเทศชาติ ประการที่สาม คือ การที่ ทกุ คนประพฤตปิ ฏิบตั ิตนอยํใู นความซ่ือสตั ยส์ จุ รติ ในกฎกตกิ า และในระเบยี บแบบแผน โดยเทําเทียม เสมอกนั ประการท่สี ่ี คือ การท่ีตํางคนตํางพยายาม ทาความคดิ ความเห็นของตนให๎ถูกต๎อง เที่ยงตรง และมั่นคงอยํูในเหตุในผล หากความคิด จิตใจ และการประพฤติปฏิบัติที่ลงรอยกันในทางท่ีดี ” คุณธรรมทั้งสี่ประการน้ันเป็นสิ่งที่เราทุกคนควรน๎อมนามาปฏิบัติในการดาเนินชีวิต เน่ืองจากการมี เจตนา การพูด การกระทาที่มํุงดี มีเมตตา และมํุงชํวยเหลือเกื้อกูลตํอผ๎ูที่เราติดตํอด๎วย ยํอมทาให๎ผู๎ท่ี มีปฏิสมั พันธ์กับเราน้ันรับร๎ูได๎ถึงความจริงใจท่ีเราสื่อออกไป นอกจากน้ี การท่ีเราประกอบการงานอยํู ในความสัตย์สุจริต และพยายามมีหลักการสาหรับความคิดเห็นของตนเองให๎ถูกต๎อง มีเหตุผล จะนามาซงึ่ ความไว๎วางใจจากเพื่อนรํวมงาน หัวหน๎างาน สังคม และประเทศชาติ จะทาให๎งานแตํละ อยํางสาเร็จลุลํวงไปได๎ด๎วยดี ไมํเกิดความเสียหาย ทุกคนที่เกี่ยวข๎องยํอมมีความสุขความเจริญกัน ถว๎ นหน๎า เปน็ การใช๎ความรข๎ู องตนเองยกระดบั สงั คมให๎นําอยดูํ ๎วยการมีคณุ ธรรมประจาใจ

233 กกกกกกกการมีความรูแ๎ ตํเพียงอยํางเดียว ยังไมํพอท่ีจะทาใหง๎ านสาเร็จลุลํวงไปดว๎ ยดี ต๎องมี คณุ ธรรมประกอบด๎วย เปรยี บดงั ท่วี ํา เงอื่ นไขความรูเ๎ หมือนกับเป็นแรงผลักดัน ให๎ประสบความสาเร็จ แตํเง่ือนไขคุณธรรมน้ันจะเป็นเหมอื นเข็มทิศนาทางใหม๎ ุงํ ไปสทํู างที่ถูกทีค่ วร สรุป เศรษฐกจิ พอเพียง คือ หลกั การดาเนินชวี ติ ท่ีจรงิ แทท๎ ส่ี ดุ กรอบแนวคิดของหลักปรชั ญา เศรษฐกิจพอเพียงมํงุ เน๎นความมน่ั คง และความยั่งยนื ของการพฒั นา อนั มคี ณุ ลกั ษณะทีส่ าคัญ คอื สามารถประยุกต์ใช๎ในทุกระดับ ตลอดจนให๎ความสาคัญกับคาวําพอเพยี ง ทีป่ ระกอบดว๎ ย ความ พอประมาณ ความมเี หตุ มผี ล มภี ูมิคุ๎มกันที่ดใี นตวั ภายใตเ๎ ง่อื นไขของการตัดสนิ ใจ และการดาเนิน กจิ กรรมท่ีตอ๎ งอาศัยเง่ือนไขความรู๎ และเงอ่ื นไขคณุ ธรรม

234 ใบความรู้ เรอื่ งท่ี 5 หลกั การทรงงานของรชั กาลที่ 9 วตั ถุประสงค์ 1. เพื่อใหน๎ ักศึกษามีความร๎ูความเขา๎ ใจเร่ืองหลักการทรงงานของรชั กาลท่ี 9 2. เพอื่ ให๎นกั ศกึ ษามีทักษะการแสวงหาความร๎เู รื่องหลักการทรงงานของรัชกาลท่ี 9 3. เพ่ือใหน๎ กั ศกึ ษามีความตระหนักถึงความสาคัญเรื่องหลกั การทรงงานของ รัชกาลที่ 9 เนอ้ื หา กกกกกกก1. หลักการทรงงาน 1.1 ความหมายของหลกั การทรงงาน การปฏบิ ัตหิ น๎าท่ี หรอื ภารกิจ หรอื กิจกรรมของพระมหากษัตริย์ทรงยดึ การ ดาเนินงานในลกั ษณะทางสายกลางท่สี อดคล๎องกับส่งิ ท่ีอยูรํ อบตัว และสามารถปฏิบตั ไิ ดจ๎ รงิ ทรงมีความละเอียดรอบคอบ และทรงคดิ ค๎นแนวทางพฒั นา เพ่อื มุํงสํปู ระโยชนต์ อํ ประชาชนสูงสุด ซง่ึ พระมหากษตั รยิ ใ์ นท่นี คี้ ือ พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดช รชั กาลที่ 9 ผูม๎ ีคุณูปการตํอประชาชนชาวไทย และประชาคมโลก 1.2 หลกั การทรงงานของพระบาทสมเด็จพระปรมนิ ทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช รชั กาล ท่ี 9 มี 23 ข๎อ คอื 1.2.1 ศกึ ษาขอ๎ มลู ให๎เป็นระบบ 1.2.1 การท่ีจะพระราชทานโครงการใดโครงการหนึ่ง จะทรงศึกษาข๎อมลู รายละเอียดอยํางเป็นระบบ ทั้งจากข๎อมูลเบ้ืองต๎นจากเอกสาร แผนท่ีสอบถามจากเจ๎าหน๎าที่ นักวิชาการและราษฎรในพ้ืนท่ี ให๎ได๎รายละเอียดท่ีถูกต๎อง เพ่ือที่จะพระราชทานความชํวยเหลือได๎ อยาํ งถูกตอ๎ ง รวดเร็ว ตรงตามความตอ๎ งการของประชาชน 1.2.1 การศกึ ษาข๎อมูลอยํางเป็นระบบ ด๎วยวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ ศลิ ปวัฒนธรรมของชมุ ชน ฐานขอ๎ มลู ดงั กลาํ วชํวยใหพ๎ ระราชกรณยี กิจตําง ๆ ดาเนนิ สจํู ดุ ประสงค์ “เพ่ือประโยชนส์ ขุ แหํงมหาชนชาวสยาม” 1.2.2 ระเบดิ จากภายใน 1.2.1 พระองค์ทรงมํุงเน๎น เร่ืองการพัฒนาคนให๎เกดิ ความร๎คู วามเข๎าใจ และ มองเห็นผลประโยชนข์ องการพัฒนาวาํ มีตํอตนเองและสงั คมอยาํ งไร เม่ือคนเข๎าใจเกิดความต๎องการ อยาํ งเหมาะสม คนในชุมชนก็พรอ๎ มท่ีจะรํวมดาเนินการพฒั นา

235 1.2.1 ดังนน้ั ความพร๎อมในการเตรียมชมุ ชนจงึ เปน็ สง่ิ สาคัญ ความพร๎อม การยอมรบั ของชุมชนต๎องเกดิ จากภายในชมุ ชน มใิ ชํภายนอกยัดเยยี ด หรือตอ๎ งระเบิดจากขา๎ งใน แตกํ ารระเบดิ ข๎างใน ก็ต๎องแตกตํางกันตามหลักภูมิสังคม หรือแตกตํางตามสภาพภูมิศาสตร์และสังคม วัฒนธรรม ของแตํละพื้นท่ี แตํละกลํุมคน ภูมิปัญญาเดิมมีความสาคัญในการพัฒนาจากข๎างในไมํใชํ เอาทฤษฎใี หมมํ าทาลายทฤษฎีเกาํ 1.2.3 แก๎ปญั หาจากจดุ เล็ก 1.2.1 ควรมองปญั หาภาพรวมกอํ นเสมอ แตเํ มื่อจะลงมือแก๎ปัญหาน้ัน ควรมอง ในส่งิ ท่คี นมักจะมองข๎าม แล๎วเริ่มแก๎ปญั หาจากจุดเลก็ ๆ เสียกอํ น เม่ือสาเรจ็ แล๎วจึงคํอย ๆ ขยับขยาย แก๎ไปเร่ือย ๆ ทีละจุด เราสามารถเอามาประยุกต์ใช๎กับการทางานได๎ โดยมองไปท่ีเปูาหมายใหญํของ งานแตลํ ะชน้ิ แลว๎ เร่ิมลงมือทาจากจุดเลก็ ๆ กํอน คํอย ๆ ทา คํอย ๆ แก๎ไปทีละจุด งานแตํละชิ้นก็จะ ลุลํวงไปได๎ตามเปูาหมายที่วางไว๎ “ ถา๎ ปวดหัวคดิ อะไรไมํออก กต็ ๎องแก๎ไขการปวดหัวนี้กํอน มันไมํได๎ แก๎อาการจรงิ แตํต๎องแกป๎ ัญหาที่ทาใหเ๎ ราปวดหวั ใหไ๎ ดเ๎ สยี กอํ น เพอ่ื จะให๎อยํูในสภาพท่ีดไี ด๎… ” 1.2.4 ทาตามลาดับข้นั 1.2.4 ในการทรงงาน พระองค์จะทรงเร่ิมต๎นจากส่งิ ทีจ่ าเป็นของประชาชน ที่สุดกํอน ได๎แกํ สาธารณสุข เมื่อมีรํางกายสมบูรณ์แข็งแรงแล๎ว ก็จะสามารถทาประโยชน์ด๎านอ่ืน ๆ ตํอไปได๎ จากนนั้ จะเปน็ เร่อื งสาธารณูปโภคข้ันพ้ืนฐาน และส่ิงจาเป็นในการประกอบอาชีพ อาทิ ถนน แหลํงน้าเพ่ือการเกษตร การอุปโภคบริโภค ท่ีเอ้ือประโยชน์ตํอประชาชน โดยไมํทาลาย ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการให๎ความร๎ูทางวิชาการ และเทคโนโลยีท่ีเรียบงําย เน๎นการปรับใช๎ ภูมิปญั ญาทอ๎ งถนิ่ ท่รี าษฎรสามารถนาไปปฏบิ ัติได๎ และเกิดประโยชน์สูงสุด ดังพระบรมราโชวาทความ ตอนหนง่ึ วํา 1.2.4 “...การพัฒนาประเทศจาเป็นต๎องทาตามลาดับขั้น ต๎องสร๎างพ้ืนฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช๎ของประชาชนสํวนใหญํเป็นเบ้ืองต๎นกํอน ใช๎วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัด แตํถูกตอ๎ งตามหลักวชิ าการ เม่ือได๎พ้ืนฐานที่ม่ันคงพร๎อมพอสมควรและปฏิบัติได๎แล๎ว จึงคํอยสร๎างคํอย เสริมความเจริญ และฐานะเศรษฐกิจข้ันท่ีสูงขึ้นโดยลาดับตํอไป หากมุํงแตํจะทํุมเทสร๎างความเจริญ ยกเศรษฐกิจให๎รวดเร็วแตํประการเดียว โดยไมํให๎แผนปฏิบัติการสัมพันธ์กับสภาวะของประเทศ และ ของประชาชน โดยสอดคล๎องด๎วย ก็จะเกิดความไมํสมดุลในเร่ืองตําง ๆ ข้ึน ซ่ึงอาจกลายเป็นความ ยุํงยากล๎มเหลวได๎ในท่ีสุด ดังเห็นได๎ท่ีอารยประเทศกาลังประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอยํางรุนแรงใน เวลานี้ การชํวยเหลือสนับสนุนประชาชนในการประกอบอาชีพ และตั้งตัวให๎มีความพอกิน พอใช๎ กอํ นอน่ื เป็นพนื้ ฐานน้ัน เป็นสิ่งสาคัญอยํางยิ่งยวด เพราะผ๎ูที่มีอาชีพ และฐานะเพียงพอที่จะพ่ึงตนเอง ยํอมสามารถสร๎างความเจริญก๎าวหน๎าระดับที่สูงได๎ตํอไปโดยแนํนอน สํวนการถือหลักที่จะสํงเสริม ความเจริญให๎คํอยเป็นไปตามลาดับ ด๎วยความรอบคอบระมัดระวังและประหยัดนั้น ก็เพื่อปูองกัน ความผดิ พลาดล๎มเหลวและเพื่อใหบ๎ รรลผุ ลสาเรจ็ ได๎แนํนอนบริบรู ณ์...” 1.2.5 ภูมสิ งั คม ภูมศิ าสตร์ สังคมศาสตร์ 1.2.5 ภมู ิ หมายความถึง ลกั ษณะของภูมิประเทศ ซงึ่ ก็คือสภาพแวดล๎อมท่ีอยูํ รอบ ๆ ตัวเรานนั่ เอง พดู แบบชาวบ๎านกค็ ือ ดิน นา้ ลม ไฟ นนั่ เอง เพราะสภาพภมู ิประเทศในแตํละ

236 ภมู ิภาคน้นั แตกตาํ งกนั ไปมาก ตวั อยํางเชํน อุณหภมู คิ วามหนาวรอ๎ น ความแห๎งแล๎ง และชุํมฉา่ แตกตํางกันไป อยํางในประเทศไทย ภาคเหนือสวํ นใหญํเป็นภเู ขา ทางใต๎เป็นพน้ื ที่พรุ ภาคกลางเปน็ ที่ ราบลํุม สวํ นภาคตะวันออกเฉียงเหนอื เปน็ ท่รี าบสูงแหง๎ แลง๎ ในบางสํวน เป็นต๎น 1.2.5 สงั คม คือ สภาพแวดลอ๎ มทางวัฒนธรรม จารีตประเพณี วิถชี ีวติ แนวคิด ทศั นคติ ท่ีแตกตํางกนั และอยํลู อ๎ มรอบผู๎คนที่มีชีวติ อยํูในพืน้ ที่น้นั นกั วางแผนพัฒนาจะต๎องไมํ ประเมนิ หรอื คาดการณว์ าํ ผูค๎ นในพื้นทใี่ ดพ้นื ท่ีหน่งึ จะมีวัฒนธรรม คาํ นยิ ม และการชอบ หรอื ไมํชอบ สิง่ ใดเหมือนกันไปหมดเปน็ บรรทัดฐาน เราจะต๎องไมํไปตัดสินใจแทนเขาในเร่อื งของความต๎องการและ ความพงึ พอใจตามแนวคดิ ท่ีผูกพันอยูกํ บั เรา 1.2.5 การพัฒนาใด ๆ ต๎องคานึงถงึ สภาพภมู ิประเทศของบรเิ วณนั้นวาํ เป็นอยํางไร และสังคมวิทยาเก่ียวกับลักษณะนิสัยใจคอของคน ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีแตํละ ท๎องถนิ่ ทม่ี ีความแตกตํางกนั 1.2.6 ทางานแบบองคร์ วม 1.2.5 ทรงมวี ธิ คี ดิ อยาํ งองคร์ วม (Holistic) หรอื มองอยํางครบวงจร ในการทจ่ี ะ พระราชทานพระราชดาริเก่ียวกับโครงการหน่ึงน้ัน จะทรงมองเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น และแนวทาง แกไ๎ ขอยํางเชอ่ื มโยง ดงั เชนํ กรณขี อง “ทฤษฎใี หม”ํ ท่ีพระราชทานใหแ๎ กปํ วงชนชาวไทย เป็นแนวทาง ในการประกอบอาชีพแนวทางหน่ึงท่ีพระองค์ทรงมองอยํางองค์รวม ตั้งแตํการถือครองท่ีดินโดยเฉลี่ย ของประชาชนคนไทย ประมาณ 10 - 15 ไรํ การบริหารจัดการท่ีดินและแหลํงน้า อันเป็น ปจั จัยพน้ื ฐานท่ีสาคัญในการประกอบอาชพี เมื่อมีนา้ ในการทาเกษตรแล๎ว จะสงํ ผลให๎ผลผลิตดีข้ึนและ หากมีผลผลิตเพิ่มมากข้ึน เกษตรกรจะต๎องร๎ูจักวิธีการจัดการและการตลาด รวมถึงการรวมกลุํมรวม พลังชุมชนให๎มีความเข๎มแข็ง เพื่อพร๎อมท่ีจะออกสูํการเปลี่ยนแปลงของสังคมภายนอกได๎อยํางครบ วงจรน่ัน คอื ทฤษฎีใหมํ ขัน้ ท่ี 1, 2 และ 3 1.2.7 ไมตํ ิดตารา 1.2.5 เม่ือเราจะทาการใดนั้น ควรทางานอยํางยืดหยุํนกับสภาพและสถานการณ์ น้ัน ๆ ไมใํ ชํการยึดตดิ อยกูํ บั แคํในตาราวชิ าการ เพราะบางท่ี ความรูท๎ ํวมหัว เอาตัวไมํรอด บางคร้ังเรา ยึดติดทฤษฎีมากจนเกินไปจนทาอะไรไมํได๎เลย ส่ิงที่เราทาบางคร้ังต๎องโอบอ๎อมตํอสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล๎อม สังคม และจิตวทิ ยาด๎วย 1.2.8 ประหยดั เรียบงําย ได๎ประโยชนส์ งู สุด 1.2.5 ในเรอื่ งของความประหยัดน้ี ประชาชนชาวไทยทราบกนั ดวี ําเร่ืองสํวน พระองค์ก็ทรงประหยัดมากดังท่ีเราเคยเห็นวํา หลอดยาสีพระทนต์น้ัน ทรงใช๎อยํางคุ๎มคําอยํางไร หรือฉลองพระองค์แตํละองค์ทรงใช๎อยํูเป็นเวลานาน ดังท่ีนายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัย พัฒนา เคยเลําวํา “...กองงานในพระองค์โดยทํานผ๎ูหญิงบุตรี วีระไวทยะ บอกวําปีหนึ่งพระองค์เบิก ดนิ สอ 12 แทงํ เดือนละแทํง ใชจ๎ นกระทั่งกุด ใครอยําไปท้ิงของทํานนะ จะกริ้วเลย ประหยัดทุกอยําง เป็นต๎นแบบทุกอยําง ทุกอยํางน้ีมีคําสาหรับพระองค์หมด ทุกบาททุกสตางค์จะใช๎อยํางระมัดระวัง จะสั่งให๎เราปฏิบัติงานด๎วยความรอบคอบ...” ขณะเดียวกันการพัฒนาและชํวยเหลือราษฎร ทรงใช๎ หลักในการแก๎ไขปัญหาด๎วยความเรียบงํายและประหยัด ราษฎรสามารถทาได๎เองหาได๎ในท๎องถิ่น

237 และประยุกต์ใช๎สิ่งที่มีอยูํในภูมิภาคนั้น ๆ มาแก๎ไขปัญหาโดยไมํต๎องลงทุนสูง หรือใช๎เทคโนโลยีท่ีไมํ ยํุงยากนกั 1.2.9 ทาให๎งาํ ย 1.2.5 ดว๎ ยพระอจั ฉรยิ ภาพและพระปรีชาสามารถในพระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลท่ี 9 ทาให๎การคิดค๎น ดัดแปลง ปรับปรุง และแก๎ไขงานการ พัฒนาประเทศตามแนวพระราชดาริดาเนินไปได๎โดยงําย ไมํยุํงยากซับซ๎อน และท่ีสาคัญอยํางย่ิง คอื สอดคล๎องกับสภาพความเป็นอยแูํ ละระบบนิเวศโดยสํวนรวม ตลอดจนสภาพทางสังคมของชุมชน น้ัน ๆ ทรงโปรดที่จะทาสิ่งท่ียากให๎กลายเป็นงําย ทาส่ิงที่สลับซับซ๎อนให๎เข๎าใจงําย อันเป็นการ แก๎ปัญหาด๎วยการใช๎กฎแหํงธรรมชาติเป็นแนวทางนั่นเอง แตํการทาส่ิงยาก ให๎กลายเป็นงํายนั้นเป็น ของยาก ฉะนั้นคาวํา “ทาให๎งําย” หรือ “Simplicity” จึงเป็นหลักคิดสาคัญท่ีสุดของการพัฒนา ประเทศในรูปแบบของโครงการอนั เนือ่ งมาจากพระราชดาริ 1.2.10 การมสี ํวนรวํ ม มีสวํ นรํวมและคดิ ถึงสํวนรวม 1.2.10 พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาภูมพิ ลอดุลยเดช รชั กาลที่ 9 ทรงเป็น นักประชาธปิ ไตย จงึ ทรงนา “ประชาพิจารณ์” มาใชใ๎ นการบริหารเพอื่ เปิดโอกาสใหส๎ าธารณชน ประชาชน หรอื เจ๎าหน๎าทท่ี ุกระดับได๎มารํวมกันแสดงความคิดเห็นเก่ยี วกบั เรอ่ื งท่ีจะต๎องคานงึ ถงึ ความ คดิ เห็นของประชาชน หรอื ความตอ๎ งการของสาธารณสขุ ดังพระราชดารัสตอนหนึ่งวาํ 1.2.10 “...สาคัญทีส่ ดุ จะตอ๎ งหัดทาใจใหก๎ ว๎างขวางหนกั แนนํ รจู๎ กั รับฟงั ความ คิดเห็น แม๎กระท่ังความวิพากษว์ ิจารณจ์ ากผ๎ูอื่นอยาํ งฉลาด เพราะการร๎ูจกั รบั ฟงั อยาํ งฉลาดนนั้ แทจ๎ รงิ คือ การระดมสติปัญญาและประสบการณ์อันหลากหลาย มาอานวยการปฏิบัตบิ รหิ ารงานให๎ประสบ ความสาเร็จที่สมบรู ณ์น่ันเอง...” 1.2.11 ตอ๎ งยึดประโยชน์สํวนรวม 1.2.10 การปฏิบตั ิพระราชกรณียกจิ และการพระราชทานพระราชดารใิ นการ พัฒนาและชํวยเหลือพสกนิกร พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลท่ี 9 ทรงระลึกถึงประโยชน์ของสํวนรวมเป็นสาคัญ ดังพระราชดารัสความตอนหน่ึงวํา “...ใครตํอใครบอก วําขอให๎เสียสละสํวนตัวเพื่อสํวนรวม อันน้ีฟังจนเบื่อ อาจจะราคาญด๎วยซ้าวํา ใครตํอใครมาก็บอกวํา ขอใหค๎ ิดถงึ ประโยชนส์ ํวนรวม อาจมานึกในใจวํา ให๎ ๆ อยํูเร่ือยแล๎วสํวนตัวจะได๎อะไร ขอให๎คิดวําคน ท่ีให๎เพื่อสํวนรวมนั้น มิได๎ให๎สํวนรวมแตํอยํางเดียว เป็นการให๎เพื่อตัวเองสามารถท่ีจะมีสํวนรวมที่จะ อาศัยได๎...” 1.2.12 บริการรวมทจ่ี ดุ เดยี ว 1.2.12 การบริการรวมทีจ่ ุดเดยี ว เป็นรปู แบบการบรกิ ารแบบเบ็ดเสรจ็ หรือ One Stop Services ท่ีเกิดข้ึนเป็นครั้งแรกในระบบบริหารราชการแผํนดินของประเทศไทย โดยทรงให๎ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอันเน่ืองมาจากพระราชดาริเป็นต๎นแบบในการบริการรวมที่จุด เดียว เพื่อประโยชน์ตํอประชาชนที่มาขอใช๎บริการ จะประหยัดเวลาและคําใช๎จําย โดยมีหนํวยงานราชการ ตําง ๆ มารํวมดาเนินการและให๎บริการประชาชน ณ ที่แหํงเดียว ดังพระราชดารัสความตอนหนึ่งวํา 1.2.12 “...กรม กองตําง ๆ ที่เก่ียวข๎องกับชีวิตประชาชนทุกด๎านได๎สามารถ แลกเปล่ียนความคิดเห็น ปรองดองกัน ประสานกันตามธรรมดาแตํละฝุายต๎องมีศูนย์ของตน แตํวํา

238 อาจจะมีงานถือวําเป็นศูนย์ของตัวเอง คนอื่นไมํเกี่ยวข๎อง และศูนย์ศึกษาการพัฒนาเป็นศูนย์ท่ี รวบรวมกาลังทัง้ หมดของเจา๎ หน๎าที่ทุกกรม กอง ทั้งในดา๎ นเกษตร หรือในด๎านสังคม ท้ังในด๎านหางาน การสงํ เสรมิ การศึกษามาอยูดํ ว๎ ยกัน กห็ มายความวาํ ประชาชน ซงึ่ จะตอ๎ งใช๎วิชาการทั้งหลายก็สามารถ ท่ีจะมาดู สํวนเจ๎าหน๎าที่จะให๎ความอนุเคราะห์แกํประชาชนก็มาอยํูพร๎อมกันในท่ีเดียวกัน เหมือนกัน ซ่งึ เป็นสองด๎าน กห็ มายถงึ วาํ ท่สี าคญั ปลายทางคอื ประชาชนจะไดร๎ ับประโยชน์และต๎นทางของผู๎เป็น เจ๎าหนา๎ ที่จะให๎ประโยชน์...” 1.2.13 ใช๎ธรรมชาตชิ วํ ยธรรมชาติ 1.2.13 การเขา๎ ใจถงึ ธรรมชาติ และต๎องการใหป๎ ระชาชนใกล๎ชดิ กับธรรมชาติ ทรง มองอยํางละเอียดถึงปัญหาของธรรมชาติ หากเราต๎องการแก๎ไขธรรมชาติจะต๎องใช๎ธรรมชาติเข๎า ชํวยเหลือ เชํน การแก๎ไขปัญหาปุาเสื่อมโทรม โดยพระราชทานพระราชดาริ การปลูกปุาโดยไมํต๎อง ปลูก (ต๎นไม๎) ปลํอยให๎ธรรมชาติชํวยในการฟื้นฟูธรรมชาติ และต๎องการให๎ประชาชนใกล๎ชิดกับ ธรรมชาติ ทรงมองอยํางละเอียดถึงปัญหาธรรมชาติ หากเราต๎องการแก๎ไขธรรมชาติ จะต๎องใช๎ ธรรมชาติเข๎าชํวยเหลือ อาทิ การแก๎ไขปัญหาปุาเสื่อมโทรมได๎พระราชทานพระราชดาริ การปลูกปุา โดยไมํต๎องปลูก ปลํอยให๎ธรรมชาติชํวยในการฟ้ืนฟูธรรมชาติ หรือแม๎กระทั่ง การปลูกปุา 3 อยําง ประโยชน์ 4 อยาํ ง ได๎แกํ ปลูกไม๎เศรษฐกิจ ไม๎ผล และไม๎ฟืน นอกจากได๎ประโยชน์ตามช่ือของไม๎แล๎ว ยังชวํ ยรกั ษาความชุมํ ช้ืนให๎แกํพ้ืนดินด๎วย จะเห็นได๎วําทรงเข๎าใจธรรมชาติ และมนุษย์อยํางเกื้อกูลกัน ทาให๎คนอยูํรํวมกับปุาได๎อยํางย่ังยืน เชํน การแก๎ไขปัญหาปุาเสื่อมโทรมได๎ พระราชทาน พระราชดาริ การปลกู ปุา 1.2.14 ใช๎อธรรมปราบอธรรม 1.2.14 นอกเหนือจากการ “ทาให๎งําย” แล๎ว ยังทรงนาความจริงในเรื่องความ เปน็ ไปแหงํ ธรรมชาติ และกฎเกณฑข์ องธรรมชาติมาเป็นหลักการ แนวปฏิบัติท่ีสาคัญในการแก๎ปัญหา และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาวะที่ไมํปรกติ ให๎เข๎าสํูระบบท่ีเป็นปรกติ เชํน การนาน้าดีขับไลํน้าเสีย หรือเจือจางน้าเสียให๎กลับเป็นน้าดี ตามจังหวะการข้ึนลงตามธรรมชาติของน้า การบาบัดน้าเนําเสีย โดยใชผ๎ กั ตบชวา ซ่ึงมีตามธรรมชาติให๎ดูดซับส่ิงสกปรกปนเปื้อนในน้าดังพระราชดารัสวํา “ใช๎อธรรม ปราบอธรรม” แนวพระราชดาริท่ีพระราชทานในด๎านสิ่งแวดล๎อม ซึ่งเร่ืองใกล๎ชิดประชาชนมากท่ีสุด คือ การแก๎ไขปัญหาขยะ และน้าเสีย ท่ีนับวันจะกํอตัวและทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในเขต ชุมชนเมือง ที่มีกิจกรรมการผลิตหลากหลาย เชํน อาคาร ห๎างร๎าน โรงงานอุตสาหกรรม บ๎านเรือน ภาคการเกษตร ล๎วนมีสํวนทาให๎เกิดน้าเสีย และขยะจนกลายเป็นปัญหาใหญํของหลายเมือง ท้ังใน ด๎านของสถานที่กาจัดขยะ ความร๎ูและเทคโนโลยีการจัดการ รวมถึงงบประมาณที่ใช๎ในปริมาณสูง 1.2.15 ปลกู ปุาในใจคน 1.2.15 ต๎องปลกู ปุาท่ีจติ สานึกกํอน ตอ๎ งใหเ๎ ห็นคุณคํากํอนท่ีจะลงมอื ทา การดูแลปัญหายาเสพติด ถ๎าคนทาหน๎าที่น้ียังทา เพราะเป็นหน๎าที่งานสาเร็จได๎ยาก แตํถ๎าทาด๎วย ความดีใจท่ีได๎ชํวยลูกเขาให๎กลับคืนสูํอ๎อมอกพํอแมํได๎เพียงหนึ่งคน ซ่ึงคุ๎มคํากวําได๎เงินทองเป็นล๎าน แสดงวําพลังตํอส๎ูกับยาเสพติดได๎เกิดขึ้นในใจของทํานแล๎ว จงปลุกสิงโตทองคาในหัวใจ ใหต๎ ืน่ ขนึ้ มาให๎ได๎กํอน เป็นการปลูกปุาลงบนแผํนดินด๎วย ความต๎องการอยูํรอดของมนุษย์ ทาให๎ต๎อง มีการบริโภคและใช๎ทรัพยากรธรรมชาติอยํางสิ้นเปลือง เพ่ือประโยชน์ของตนเอง และสร๎างความ

239 เสียหายให๎แกํสิ่งแวดล๎อม ปัญหา ความไมํสมดุลจึงบังเกิดข้ึน ดังน้ัน ในการที่จะฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติให๎กลับคืนมา จะต๎องปลูกจิตสานึกในการรักผืนปุาให๎แกํคนเสียกํอน ดังพระราช ดารสั ความตอนหนึ่งวาํ “...เจ๎าหนา๎ ท่ีปาุ ไม๎ควรจะปลูกต๎นไม๎ ลงในใจคนเสียกํอน แล๎วคนเหลํานั้นก็จะ พากนั ปลูกตน๎ ไมล๎ งบนแผนํ ดนิ และรักษาต๎นไม๎ดว๎ ยตนเองกํอน” 1.2.16 ขาดทุนคือกาไร 1.2.15 “...ขาดทนุ คือ กาไร Our loss is our gain...การเสียคือ การได๎ ประเทศชาตกิ จ็ ะกา๎ วหนา๎ และการท่ีคนอยูํดีมีสุขน้ันเป็นการนับท่ีเป็นมูลคําเงินไมํได๎...” จากพระราช ดารัสดังกลําว คือ หลักการในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ท่ีมีตํอ พสกนกิ รไทย “การให๎” และ “การเสียสละ” เป็นการกระทาอันมีผลเป็นกาไร คือความอยูํดีมีสุขของ ราษฎร ซึ่งสามารถสะท๎อนให๎เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนได๎ ถ๎าอยากให๎ประชาชนอยูํดี กินดี ก็ต๎องลงทุน ต๎องสร๎างโครงสร๎าง ซ่ึงต๎องใช๎เงิน เป็นร๎อย พัน หม่ืนล๎าน ถ๎าทาไปเป็นการจํายเงินของรัฐบาล แตํใน ไมํช๎าประชาชนจะได๎รับผล ราษฎรอยํูดี กินดี ราษฎรได๎กาไรไป ถ๎าราษฎรมีรายได๎ รัฐบาลก็เก็บภาษี ได๎สะดวก เพ่ือให๎รัฐบาลได๎ทาโครงการตํอไป เพ่ือความก๎าวหน๎าของประเทศชาติ ถ๎าร๎ูรัก สามัคคี ร๎ูเสียสละ คือ การได๎ประเทศชาติก็จะก๎าวหน๎า และการท่ีคนอยูํดีมีสุขน้ันเป็นการนับท่ีเป็นมูลคําเงิน ไมํได๎ 1.2.17 การพึ่งตนเอง 1.2.15 การพัฒนาตามแนวพระราชดารัส เพ่ือแกไ๎ ขปญั หาในเบ้ืองต๎นด๎วยการ แก๎ไขปญั หาเฉพาะหนา๎ เพื่อให๎มีความแข็งแรง พอที่จะดารงชวี ิตได๎ตอํ ไป แลว๎ ขนั้ ตอํ ไป ก็คือการ พัฒนาใหป๎ ระชาชนสามารถอยํูในสงั คมได๎ตามสภาพแวดลอ๎ มและสามารถ “พึง่ ตนเองได๎” ในท่สี ดุ หลักการพงึ่ ตนเองตอ๎ งมคี วามพอดี 5 ประการ 1.2.15 1. ความพอดดี ๎านจติ ใจต๎องเข๎มแข็ง พง่ึ ตนเองได๎ มจี ติ สานึกทีด่ ี เออื้ อาทรและนกึ ถงึ ประโยชน์สวํ นรวม 1.2.15 2. ความพอดีด๎านสังคมตอ๎ งชํวยเหลือเก้อื กลู กัน สรา๎ งความเขม๎ แข็งให๎ ชมุ ชนร๎จู ักผนึกกาลัง และมีกระบวนการเรยี นร๎ทู ีเ่ กิดจากรากฐานที่มน่ั คงและแขง็ แรง 1.2.15 3. ความพอดดี ๎านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล๎อม ร๎จู กั ใชแ๎ ละ จดั การอยาํ งฉลาดรอบคอบ เพอ่ื ให๎เกดิ ความยั่งยนื สูงสุด และใช๎ทรัพยากรในประเทศเพื่อพฒั นา ประเทศใหม๎ ่ันคงอยูํเป็นขนั้ เป็นตอนตํอไป 1.2.15 4. ความพอดดี ๎านเทคโนโลยี รจู๎ ักใช๎เทคโนโลยีท่ีเหมาะสมและ สอดคลอ๎ งกับความตอ๎ งการ และควรพฒั นาเทคโนโลยีจากภูมิปญั ญาชาวบ๎านของเราเอง เพือ่ สอดคล๎องและเป็นประโยชนต์ ํอสภาพแวดลอ๎ มของเราเอง 1.2.15 5. ความพอดีด๎านเศรษฐกจิ เพือ่ รายได๎ ลดรายจาํ ย ดารงชีวิตอยาํ ง พอควร 1.2.18 พออยูํพอกนิ 1.2.18 เป็นแนวทางในการดาเนินชีวติ ประจาวัน ใหส๎ ามารถอยรํู วํ มกับคนใน หนวํ ยงานไดอ๎ ยาํ งมคี วามสขุ การพออยํูพอกินจะทาให๎เรามีความสุข และประหยัดเงินเอาไว๎ใช๎ในยาม จาเป็น การใช๎เงินอยํางสุรุํยสุรํายจะทาให๎เราไมํมีเงินเก็บ การที่จะต๎องการเงินมาใช๎ก็ไมํมีจะต๎องไป

240 หยิบยืมจากผู๎อื่น ทาให๎ผู๎อื่นเดือดร๎อนไปด๎วย และถ๎าก๎ูเงินก็จะโดนดอกเบ้ียทาให๎เราต๎องหาเงินเพิ่ม มากกวําที่ตัวเองไปก๎ูเค๎ามา ทาให๎ตัวเองเป็นทุกข์ ยึดความประหยัด ตัดทอนคําใช๎จํายท่ีไมํจาเป็น ความฟุมเฟอื ย รูจ๎ กั คาวํา “พอ” 1.2.18 พออยํู คือ การที่เราปลูกปาุ ที่ใหไ๎ ม๎พืช ที่จาเป็นตํอการนามาใชท๎ าที่อยํู อาศัยตาํ ง ๆ เชํน ไม๎ทาเสา ไม๎ทาพ้นื ไม๎ทาฝา ไม๎ทาโครงสร๎างบา๎ นตําง ๆ เป็นตน๎ ครน้ั เม่ือเหลอื ใช๎ เรากแ็ บํง จาํ ย แจก ขาย เปน็ รายได๎เสรมิ ใหค๎ รอบครัวได๎ 1.2.18 พอกนิ คือ การที่เราปลูกปาุ เพื่อให๎ได๎พืชที่เราจะนามาใชก๎ นิ ได๎ อยาํ งพอเพยี ง เชํน ข๎าว ผัก ฯลฯ เมือ่ เหลือกินแล๎ว เรากแ็ บํงออกขายหารายได๎เสริมไดเ๎ ราจะต๎องใช๎ใน ชวี ิตประจาวัน เชนํ ยา ขนม ผลไม๎ เครื่องปรงุ เปน็ ตน๎ คร้ันเมือ่ เราใช๎ได๎อยาํ งพอเพยี งแล๎ว เราก็แบํง ออกขายหารายไดใ๎ ห๎แกคํ รอบครวั ได๎ 1.2.18 พอใช๎ คือ การปลกู ปุาใหม๎ พี ืชที่เราจะตอ๎ งใช๎ในชีวิตประจาวัน เชนํ ยา ขนม ผลไม๎ เคร่ืองปรุง เป็นต๎น คร้ันเมื่อเราใช๎ได๎อยํางพอเพียงแล๎ว เราก็แบํงออกขายหารายได๎ แกํครอบครัวได๎ 1.2.18 พอมพี อกิน กแ็ ปลวาํ เศรษฐกิจพอเพียงน่ันเอง ถ๎าแตํละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช๎ได๎ ยิ่งถา๎ ท้ังประเทศพอมพี อกนิ ก็ยิ่งดี 1.2.19 เศรษฐกจิ พอเพียง ยดึ แนวคดิ ประหยัด เรยี บงําย ประโยชนส์ ูงสุด 1.2.19 เศรษฐกิจพอเพยี ง คอื พระราชปรชั ญาซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดลุ ยเดช รชั กาลท่ี 9 ทรงพระกรุณาพระราชทานแกพํ สกนกิ รชาวไทย เพ่ือให๎สังคมไทยมี ชีวิตดารงอยไูํ ด๎อยาํ งม่ันคงและยั่งยืน ไมวํ าํ เมอื่ ต๎องเผชญิ กับวิกฤตการณ์ หรอื การเปลี่ยนแปลงใด ๆ บนพนื้ ฐานวถิ ชี ีวิตดง้ั เดิมของสังคมไทยนามาประยุกต์ใช๎ 1.2.19 “ความพอเพยี ง” หมายถึง ความพอประมาณอยาํ งมเี หตุผลโดยสรา๎ ง ภูมิคุ๎มกันในตัวท่ีดีพอสมควร เพ่ือท่ีจะรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว กว๎างขวาง ท้ังทางด๎านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล๎อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกไดเ๎ ปน็ อยาํ งดี โดยอาศัยความรอบรู๎ รอบคอบ และ ความระมัดระวังในการนาวิชาการตําง ๆ มาใช๎วางแผน และดาเนินการทุกขั้นตอน ควบคูํไปกับการ สร๎างพ้ืนฐานจิตใจของคนในชาติทุกระดับให๎สานึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต ดาเนินชีวิตด๎วย ความอดทน ความเพียร ความมีสติปัญญา และความรอบคอบ มีเหตุผล โดยที่ความพอประมาณน้ัน หมายถึง ความพอดีที่ไมํน๎อยเกินไป และไมํมากเกินไป ไมํเบียดเบียนตนเองและผู๎อื่น การนาหลัก เศรษฐกิจพอเพียงมาใช๎นั้นข้ันแรกต๎องยึดหลัก “พึ่งตนเอง” คือพยายามพ่ึงตนเองให๎ได๎กํอนในแตํละ ครอบครวั มกี ารบรหิ ารจัดการอยํางพอดี ประหยัด ไมํฟุมเฟือย สมาชิกในครอบครัวแตํละคนต๎องร๎ูจัก ตนเอง เชํน ข๎อมูล รายรับ-รายจําย ในครอบครัวของตนเองสามารถรักษาระดับการใช๎จํายของตน ไมํใหเ๎ ปน็ หน้ี และร๎จู ักดงึ ศักยภาพในตัวเองในเร่ืองของปจั จยั สใ่ี ห๎ไดใ๎ นระดบั หน่ึง การพัฒนาตนเองให๎ สามารถ “อยํูได๎อยํางพอเพียง” คือ ดาเนินชีวิตโดยยึดหลักทางสายกลางให๎อยํูได๎อยํางสมดุล คือ มคี วามสุขที่แท๎ ไมใํ หร๎ ๎ูสึกขาดแคลน จนตอ๎ งเบียดเบยี นตนเอง หรือดาเนินชวี ติ อยาํ งเกินพอดี