Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore (ร่าง) แนวทางการจัดกิจกรรม ตามหลักสูตรสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษระยะแรกเริ่ม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๕๘

(ร่าง) แนวทางการจัดกิจกรรม ตามหลักสูตรสำหรับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษระยะแรกเริ่ม ของศูนย์การศึกษาพิเศษ ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช ๒๕๕๘

Published by special_lp, 2018-06-13 02:49:53

Description: ๓.เล่มแนวทางการจัดกิจกรรม

Search

Read the Text Version

๙๓ ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนาการท่ีคาดหวัง แนวการจดั กจิ กรรม๓. การปฏบิ ตั ิตน ๓.๕ การโดยสารรถ การชาระเงิน วธิ ีโดยสารรถเพื่อให้ ไปถึงจุดหมายได้อยา่ งถูกตอ้ งและปลอดภัย โดยใช้วิธีการดงั ตอ่ ไปน้ีในสังคมและ ประจาทาง* (ตอ่ ) ไปถงึ จุดหมายได้อยา่ งถกู ต้องและ ๑) การสาธติ และสอนบรู ณาการกับทกั ษะวิชาการการใชส้ อื่ทกั ษะชีวิต (ต่อ) ปลอดภัย ๒) โสตทัศนูปกรณ์ ๓) การจาลองสถานการณ์ และ การแสดงบทบาทสมมุติ๓.๕ การปรับตวั ในสงั คม ๓.๕.๑ สามารถเข้ารว่ มกิจกรรมและ ๔) การปฏบิ ัติกจิ กรรมในสถานการณ์จริง ปฏบิ ัตติ นตามศาสนาทต่ี นนบั ถอื ได้ ๕) การสารวจชมุ ชน ๖) การจัดทาโครงการและกจิ กรรมในชุมชน ๓.๕.๒ สามารถเขา้ ร่วมกิจกรรมและ ๗) การสอนแบบตัวต่อตัว กระบวนการกล่มุ ปฏบิ ตั ติ ามประเพณวี ฒั นธรรมที่ ชมุ ชนปฏิบตั ไิ ด้อย่างถกู ต้องและ ผู้สอนเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนได้ฝกึ และเลือกตัดสินใจโดยใช้ เหมาะสม ๑) การใชส้ ือ่ โสตทัศนปู กรณ์ ๒) การจาลองสถานการณ์ ๓) การแสดงบทบาทสมมุติ ๔) การปฏิบตั ิกจิ กรรมในสถานการณ์จริง ผสู้ อนเปดิ โอกาสให้ผู้เรียนได้ฝึกและเลือกตดั สินใจโดยใช้ ๑) การสาธิต ๒) การใช้ส่ือโสตทัศนปู กรณ์ ๓) การจาลองสถานการณ์ ๔) การแสดงบทบาทสมมุติ ๕) การปฏบิ ตั กิ จิ กรรมในสถานการณ์จริง

๙๔ ทักษะ ทกั ษะย่อย พัฒนาการทีค่ าดหวงั แนวการจดั กิจกรรม ๔.๑ การรจู้ กั ตนเอง* พฤติกรรมทีค่ าดหวงั๔. การเหน็ * ผูส้ อนฝึกให้ผู้เรยี นปฏิบัตใิ นเร่อื ง การบอกส่งิ ที่ตนเองชอบไดเ้ ช่นคุณคา่ ในตนเอง - ๔.๑.๑ สามารถบอกสง่ิ ทต่ี นเองชอบ สี อาหาร กีฬาสถานท่ี สตั ว์ เป็นต้น โดยใชว้ ธิ กี ารดงั ตอ่ ไปน้ี(Self - Esteem) ได้ เช่น สี อาหาร กฬี า สถานที่ สตั ว์ เปน็ ต้น* ๑) การสาธติ การให้เลือกสิ่งตา่ งๆในชีวติ ประจาวนั ๒) การใชส้ ่ือโสตทศั นูปกรณ์ ๓) การจาลองสถานการณ์ ๔) การแสดงบทบาทสมมุติ ๕) การปฏบิ ัติกจิ กรรมในสถานการณ์จรงิ ๖) การสารวจ ๗) การสอนแบบตัวต่อตวั ๘) การสอนโดยใช้หลกั 3R’sหมายเหตุ * หมายถึง เป็นกิจกรรมทกั ษะทางสังคม ท่ผี สู้ อน และผปู้ กครอง หรือผมู้ สี ่วนเกยี่ วข้อง สามารถเลอื กเนื้อหาการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน เพอ่ื ให้เกิดพฤตกิ รรมท่ีคาดหวงัตามศักยภาพของผเู้ รยี น โดยไมต่ อ้ งเรยี งตามลาดับเนือ้ หา

๙๕ ทักษะ ทักษะยอ่ ย พฒั นาการที่คาดหวงั แนวการจัดกจิ กรรม พฤตกิ รรมทค่ี าดหวงั๔. การเห็น* ผู้สอนฝึกให้ผูเ้ รยี นปฏิบตั ใิ นเรื่อง การบอกความดที ี่ตนเองกระทาคุณคา่ ในตนเอง ๔.๒ ความภาคภูมิใจใน - ๔.๒.๑ สามารถบอกความดีท่ีตนเอง ได้ เช่น ความดีทก่ี ระทาตอ่ ครอบครัว หอ้ งเรียน สถานศกึ ษา ชุมชน(Self - Esteem) ตนเอง กระทาได้ เช่น ความดีท่ีกระทาต่อ สังคม เปน็ ต้น โดยใชว้ ิธกี ารดังตอ่ ไปน้ี ครอบครัว ห้องเรียน สถานศึกษา ๑) การสาธติ และการใช้เร่อื งเล่าทางสงั คม ๒) การใช้ส่ือโสตทศั นูปกรณ์ ชมุ ชน สังคม เป็นต้น* ๓) การจาลองสถานการณ์ ๔) การแสดงบทบาทสมมุติ ๕) การปฏบิ ตั ิกิจกรรมในสถานการณ์จรงิ ๖) การจดั ทาโครงการและกิจกรรมในชมุ ชน ๗) การสอนแบบตัวต่อตัว ๘) กระบวนการกลมุ่หมายเหตุ * หมายถงึ เปน็ กจิ กรรมทกั ษะทางสังคม ที่ผสู้ อน และผปู้ กครอง หรือผมู้ สี ่วนเก่ยี วข้อง สามารถเลือกเนอ้ื หาการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน เพื่อให้เกดิ พฤตกิ รรมทีค่ าดหวังตามศักยภาพของผเู้ รยี น โดยไมต่ อ้ งเรียงตามลาดบั เนื้อหา

กลุ่มทกั ษะทางสตปิ ัญญาหรือการเตรยี มความพรอ้ มทางวิชาการ๑. คาอธิบายกล่มุ ทกั ษะทางสติปัญญาหรอื การเตรียมความพรอ้ มทางวิชาการ การพัฒนาศักยภาพทางสติปัญญาหรือการเตรียมความพร้อมทางวิชาการ เป็นการพัฒนาด้านการรับรู้ ความคิดรวบยอดด้านต่าง ๆ และการแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน การเตรียมความพร้อมทักษะพ้ืนฐานคณิตศาสตร์ ได้แก่ การนับ การรู้ค่าของตัวเลข การอ่านและการเขียนตัวเลข การจับคู่ การเปรยี บเทียบ การจาแนก การจดั หมวดหมู่ การเตรียมความพรอ้ มทักษะพ้นื ฐานภาษาไทย ไดแ้ ก่ การอา่ นและการเขยี นภาษาไทย โดยใช้กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง การสาธิต การเลียนแบบ การวิเคราะห์งานเป็นลาดับขั้นตอน ผ่านกระบวนการคิด การตัดสินใจและการเรียนรู้ แบบบรู ณาการ โดยคณะสหวิชาชีพ ผู้ปกครอง ครอบครวั ชุมชนและผ้ทู ่ีมีสว่ นเกี่ยวขอ้ งในการพัฒนาศักยภาพผู้เรยี น เพ่ือให้ผู้เรียนสนใจต่อการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัวมีความคิดรวบยอด สามารถแก้ปัญหา โดยใช้การคิด การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนพร้อมทงั้ มพี ้นื ฐาน ในการเรียนรู้ระดบั ทส่ี ูงขึน้ สามารถคดิ และแก้ปญั หาได้อยา่ งเหมาะสม๒. วัตถปุ ระสงค์ของการพฒั นากลมุ่ ทักษะทางสตปิ ัญญาหรือการเตรยี มความพรอ้ มทางวชิ าการ ๑) เพ่ือใหผ้ เู้ รียนมคี วามรู้ความเข้าใจและความคดิ รวบยอดในทกั ษะพ้นื ฐานทางวชิ าการ ๒) เพ่อื ใหผ้ ู้เรยี นมีความสามารถในการคิดและการแกป้ ัญหาไดอ้ ย่างเหมาะสม ๓) เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นมพี ืน้ ฐานในการเรยี นรรู้ ะดบั ทีส่ งู ข้ึน

๙๗๓. แนวการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลมุ่ ทกั ษะทางสติปัญญาหรือการเตรยี มความพรอ้ มทางวชิ าการ ทักษะ ทกั ษะยอ่ ย พฒั นาการที่คาดหวัง แนวการจัดกจิ กรรม๑. การรบั รู้ ๑.๑.๑ สามารถบอกส่วนตา่ ง ๆ ๑.๑ ส่วนต่าง ๆ ของ ๑) ผู้สอนอธบิ ายหรือบอกเกี่ยวกับอวยั วะภายนอกของร่างกาย เชน่ ร่างกาย ของรา่ งกายและหน้าท่ีของ ส่วน ปาก ตา จมกู ค้วิ ศรี ษะ ผม พร้อมกับใหผ้ ้เู รียนช้อี วยั วะน้ัน ตามผสู้ อน ต่าง ๆได้ ๒) ผ้สู อนใหผ้ ู้เรยี นชอ้ี วัยวะโดยการใช้เพลงประกอบท่าทาง เชน่ “จับหัว คาง หู หัวไหล่ จับไว ๆ จับจมกู ปาก ตา จบั แขน จับ ขา....” ๓) ผู้สอนใหผ้ ู้เรยี นเล่นเกมเกี่ยวกับอวัยวะ เช่น ประกอบอวยั วะให้ ตุ๊กตา ๔) ผสู้ อนให้ผูเ้ รียนดูภาพอวยั วะ จากนนั้ ให้ผเู้ รยี นชีบ้ อกอวยั วะให้ ตรงกบั ภาพ ๕) ผสู้ อนใหผ้ เู้ รียนบอกชื่ออวัยวะต่าง ๆ ของตนเอง โดยทีผ่ ู้สอน บอกหนา้ ทข่ี องอวยั วะนนั้ เช่น ตามีไวเ้ พ่ือดู จมูกมีไวเ้ พื่อดมกลิน่ และหายใจ ๖) ผู้สอนกาหนดหนา้ ที่ของอวัยวะจากนั้นให้ผ้เู รียนบอกหรือหยิบ ภาพตามหน้าที่ที่ผู้สอนกาหนด เช่น อวยั วะใดมีหน้าที่มองดู สิ่งของ ๗) ผสู้ อนกาหนดชอื่ อวยั วะ จากนัน้ ให้ผ้เู รียน บอกหน้าที่ของอวัยวะ น้นั ๘) ผูส้ อนใหผ้ ้เู รียนเรียนรู้เกยี่ วเพศชาย-หญงิ โดยการบอกถึง

๙๘ ทกั ษะ ทกั ษะย่อย พฒั นาการทค่ี าดหวัง แนวการจดั กิจกรรม๑. การรับรู้ (ต่อ) ๑.๑ ส่วนตา่ ง ๆ ของ ๑.๑.๒ สามารถดูแลส่วนตา่ ง ๆ ลกั ษณะของเพศชาย เชน่ ผู้ชายมผี มส้นั ใสก่ างเกง ลกั ษณะของเพศ ร่างกาย (ต่อ) ของร่างกายได้ หญงิ มผี มยาวใสก่ ระโปรง เป็นตน้ ๑.๒.๑ สามารถบอกชอ่ื และเพศ ๑.๒ การรูจ้ กั ตนเอง ตนเองได้ ผู้สอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เก่ียวกับวิธีการการดูแลส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกาย จากการสาธิต ภาพ วิดีทศั น์ และการปฏิบัติจริง เช่น การสระผม ๑.๓ อาหารประเภท ๑.๓.๑ สามารถบอกชื่อผกั และ การฟอกสบู่ เปน็ ต้น ต่าง ๆ ผลไมไ้ ด้ ๑.๔ รสชาตอิ าหาร ๑) ผู้สอนบอกช่ือของผู้สอน แล้วช้ีผู้เรียนพร้อมบอกชื่อของผู้เรียน แล้ว ๑.๔.๑ สามารถบอกรสชาตติ า่ ง ๆ ให้ผู้เรียนบอกช่ือตนเองตามผู้สอน ของอาหารได้ ๒) ให้ผ้เู รยี นบอกชื่อของตนเอง ๓) ใหผ้ เู้ รยี นบอกเพศของตนเอง ๑) ผู้สอนบอกช่ือผัก ผลไม้ แต่ละชนิด แล้วให้ผู้เรียนบอกช่ือผัก และ ผลไมจ้ ริง หรอื จาลอง ๒) ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนหยบิ ผัก ผลไม้ บตั รภาพตามคาทผ่ี สู้ อนกาหนด แนวการจัดกจิ กรรมการบอกรสเปรี้ยว ๑) ผู้สอนสาธิตการชิมผัก ผลไม้ ท่ีมีรสเปรี้ยวเช่น มะยม มะม่วง พรอ้ มบอกถงึ รสชาติ ๒) ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนชิมผกั ผลไม้ ทม่ี ีรสเปรย้ี ว แลว้ บอกรสชาติ ๓) ผู้สอนเปล่ียนเป็นอาหารอื่นที่มีรสเปร้ียวจากน้ันให้ผู้เรียนลองได้ชิม รสชาติ ๔) ผูส้ อนให้ผูเ้ รียนบอกอาหารทีม่ รี สชาตเิ ปร้ยี ว

๙๙ ทักษะ ทักษะย่อย พัฒนาการทค่ี าดหวัง แนวการจดั กิจกรรม๑. การรับรู้ (ต่อ) ๑.๔ รสชาติอาหาร (ตอ่ ) แนวการจัดกิจกรรมการบอกรสหวาน ๑) ผู้สอนสาธิตการชิมน้าตาลให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง พร้อมบอกถึง รสชาติของน้าตาล ๒) ผสู้ อนใหผ้ ้เู รียนชิมรสชาตนิ า้ ตาล แลว้ บอกรสชาติ ๓) ผู้สอนเปล่ียนน้าตาล เป็นอาหารอื่นที่มีรสหวาน เช่น มะม่วงสุก อ้อย นา้ หวาน จากน้ันให้ผเู้ รยี นลองได้ชิมรสชาติ ๔) ผู้สอนให้ผู้เรียนบอกอาหารท่ีมีรสชาติหวาน เช่น ขนมหวาน ผลไม้ สกุ เปน็ ต้น แนวการจดั กิจกรรมการบอกรสขม ๑) ผู้สอนสาธิตการชิมบอระเพ็ดให้ผู้เรียนดูเป็นตัวอย่าง พร้อมบอกถึง รสชาติของบอระเพด็ ๒) ผู้สอนให้ผู้เรยี นชมิ รสชาตบิ อระเพ็ด แล้วบอกรสชาติ ๓) ผู้สอนเปลี่ยนบอระเพ็ด เป็นอาหารอื่นท่ีมีรสขม เช่น สะเดา จากนน้ั ให้ผู้เรยี นลองไดช้ มิ รสชาติ ๔) ผู้สอนให้ผู้เรียนบอกอาหารท่ีมีรสชาติขม เช่น สะเดา บอระเพ็ด มะระ

๑๐๐ ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พฒั นาการท่คี าดหวัง แนวการจดั กิจกรรม๑. การรับรู้ (ต่อ) ๑.๔ รสชาตอิ าหาร (ต่อ) แนวการจดั กิจกรรมการบอกรสเค็ม ๑) ผูส้ อนสาธิตการชิมเกลอื ใหผ้ ู้เรยี นดูเป็นตัวอย่าง พร้อมบอกถึงรสชาติ ของเกลอื ๒) ผู้สอนให้ผเู้ รียนชิมรสชาตเิ กลอื แลว้ บอกรสชาติ ๓) ผู้สอนเปลี่ยนเกลือ เป็นอาหารอ่ืนที่มีรสเค็ม เช่น น้าปลา จากน้ัน ใหผ้ ู้เรยี นลองได้ชิมรสชาติ ๔) ผู้สอนใหผ้ ้เู รยี นบอกอาหารทีม่ รี สชาตเิ ค็ม เช่น เกลอื นา้ ปลา ฯลฯ แนวการจดั กิจกรรมการบอกรสเผ็ด ๑) ผู้สอนสาธิตการชมิ พริกหรอื อาหารท่ีมรี สชาตเิ ผด็ ให้ผู้เรียนดูเปน็ ตวั อยา่ งพร้อมบอกถึงรสชาติของพริก ๒) ผู้สอนให้ผเู้ รยี นชิมรสชาติเพริกหรอื อาหารท่มี ีรสชาติเผด็ แลว้ บอก รสชาติ ๓) ผสู้ อนเปล่ียนเกลือ เป็นอาหารอ่นื ทมี่ รี สเผด็ เช่น พริกไทย จากน้ัน ใหผ้ ูเ้ รียนลองได้ชมิ รสชาติ ๔) ผสู้ อนให้ผเู้ รียนบอกอาหารท่ีมรี สชาติเผด็ เชน่ พรกิ ไทย เป็นต้น

๑๐๑ ทักษะ ทักษะยอ่ ย พัฒนาการท่ีคาดหวงั แนวการจัดกจิ กรรม๑. การรับรู้ (ต่อ) ๑.๕ การรบั รูก้ ลิน่ ๑.๕.๑ สามารถบอกกลิน่ ตา่ ง ๆ ได้ ๑) ผู้สอนนาวัตถุหรือสิ่งของท่ีมีกล่ินต่าง ๆ เช่น ดอกไม้ ส้ม หอมแดง มาให้ ๑.๖ การรับรู้เร่ืองเสยี ง ๑.๖.๑ สามารถบอกเสียงท่คี ุ้นเคย ผเู้ รียนดม ได้ ๑.๗ ที่ตั้งของสงิ่ ตา่ ง ๆ ๒) ผู้สอนให้ผู้เรียนบอกกล่ินต่าง ๆ ท่ีผู้เรียนได้ดม เช่น กล่ินดอกไม้ กลิ่น รอบตวั ๑.๗.๑ สามารถชหี้ รือบอกท่ีตั้งของ ผลไม้ สิ่งของได้ ๑.๘ การรับรเู้ รอ่ื งสี ๑.๗.๒ สามารถชห้ี รือบอกช่ือ ๑) ผู้สอนจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเรยี นรู้เก่ียวกับเสียงท่ีคุ้นเคยในชีวิตประจาวัน สถานท่ตี ่าง ๆ ท่ีคนุ้ เคยได้ เชน่ เสยี งบุคคล เสียงสตั ว์ เสียงส่ิงของ เสียงยานพาหนะ ทีค่ ้นุ เคย ๑.๘.๑ สามารถชห้ี รอื บอกช่ือ สตี ่างๆ ได้ ๒) ให้ผ้เู รียนได้ฟังเสียงจากสถานการณ์จรงิ จาก หรอื เทปบันทกึ เสียง จากนั้น ให้ผู้เรียนบอกว่าเสียงน้ันคือเสียงอะไร หรือเสียงใคร หรือให้ผู้เรียนหยิบ ภาพใหต้ รงกับเสยี งนนั้ เป็นต้น ผสู้ อนนาวัตถทุ ีม่ ีสสี นั และเปน็ สง่ิ ทผี่ ูเ้ รยี นค้นุ เคยไปวางไวใ้ นตาแหน่งที่ ผเู้ รยี นมองเหน็ เช่น ขา้ งบน-ข้างล่าง ขา้ งนอก-ข้างใน และผเู้ รยี นสามารถชี้ หรอื บอก ไดโ้ ดยมีระยะห่างใกลห้ รือไกลตามสถานการณ์ ๑) ผ้สู อนใหผ้ ู้เรยี นเรียนร้สู ถานท่ใี กล้ตัว เช่น บา้ น โรงเรยี น วัด หอ้ งนา้ โรง อาหาร เป็นต้น ๒) ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนชี้หรือบอกช่อื สถานท่ที ผ่ี ้สู อนกาหนด ๑) ผสู้ อนใหผ้ ูเ้ รียนรู้จกั สที ีอ่ ยู่ใกลต้ วั เชน่ ผกั ผลไม้ เส้อื ผา้ ของใช้ โดย ผู้สอนบอกผ้เู รยี นในแตล่ ะสี แลว้ ใหผ้ ู้เรยี นพดู ตาม ๒) ผูส้ อนนาของทมี่ ีอยู่ใกล้ตวั สลี ะหนงึ่ ชิ้น โดยเร่ิมต้นจาก ๔ สี ไดแ้ ก่ สีแดง สีฟา้ สเี ขียว สเี หลือง มาคละรวมกนั แล้วถามผู้เรียนวา่ “อัน ไหนส.ี ...” หากผูเ้ รยี นรูจ้ กั สีท้งั ๔ แลว้ ให้เพิ่มจานวนสีขนึ้ เร่ือยๆ จน ครบทงั้ ๘ สี (สฟี า้ สเี ขยี ว สชี มพู สดี า สขี าว สีแดง สเี หลือง สีส้ม)

๑๐๒ ทักษะ ทกั ษะย่อย พัฒนาการที่คาดหวัง แนวการจัดกิจกรรม๑. การรับรู้ (ต่อ) ๑.๙ การรับรพู้ ืน้ ผิว ๑.๙.๑ สามารถชห้ี รือบอกลักษณะ ของพนื้ ผิวได้ ๑) ผูส้ อนใหผ้ ู้เรยี นรจู้ กั สงิ่ ของที่อยู่ใกล้ตวั ที่มีพ้นื ผิวต่างกนั ได้แก่ผัก ๑.๑๐ การรับร้ตู าแหนง่ ผลไม้ สงิ่ ของ เคร่ืองใช้ เชน่ พน้ื ผิวขรุขระจากมะระ น้อยหน่า และทิศทาง ๑.๑๐.๑ สามารถชห้ี รอื บอก พนื้ ผิวเรียบจาก ส้ม แตงโม มะมว่ ง ตาแหน่งและทิศทางบน-ล่าง ซ้าย- ขวา ขา้ งหนา้ -ข้างหลัง ได้ ๒) ผสู้ อนนาของท่มี ีพ้ืนผวิ ต่างกนั มาคละกัน ใหผ้ เู้ รียนดูและสัมผสั แลว้ ถามผูเ้ รยี นวา่ “อันไหนผวิ ....” จากนน้ั ใหผ้ เู้ รยี นชีห้ รอื บอก ๓) ผู้สอนพาผ้เู รยี นออกไปนอกห้องและใหผ้ ู้เรียนชี้หรือลกั ษณะพนื้ ผวิ ต่าง ๆ รอบบริเวณ ๑) ผสู้ อนนากล่องเปล่าหรอื อปุ กรณ์อื่นๆ มาวางบนโตะ๊ แลว้ นาของเลน่ วางในตาแหนง่ ต่างกัน เช่น บน-ลา่ ง ขา้ งซ้าย-ขา้ งขวา ๒) ผสู้ อนหยิบของเล่นข้นึ มาแล้วบอกผู้เรียนว่า “นี่อยูข่ ้างบน นอ่ี ยู่ ข้างล่าง...” จากนนั้ ผูส้ อนบอกให้หยิบของเลน่ ในตาแหน่งที่ผสู้ อน กาหนด ๓) ผู้สอนให้ผู้เรียนอยู่ในตาแหน่งที่เหมาะสม จากนั้นนาของเล่นวาง ดา้ นหน้าของ ๔) ผู้เรียนแล้วบอกว่า “...ข้างหน้า” นาของเล่นมาวางไว้ข้างหลังของ ผเู้ รียน ผู้สอนบอกผเู้ รยี นวา่ “....ขา้ งหลงั ” ๕) ผสู้ อนสร้างสถานการณข์ น้ึ และถามผ้เู รยี นถึงตาแหน่งของสิ่งต่าง ๆ

๑๐๓ ทกั ษะ ทักษะย่อย พัฒนาการทีค่ าดหวงั แนวการจัดกจิ กรรม๑. การรับรู้ (ต่อ) ๑.๑๑ การรับรรู้ ูป ๑.๑๑.๑ สามารถชห้ี รอื บอกรปู ทรง เรขาคณติ ขาคณิตได้ ๑) ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนรจู้ กั รูปเรขาคณิต ไดแ้ ก่ วงกลม ส่เี หลีย่ ม สามเหลี่ยม จากกระดานรปู เรขาคณิต ๑.๑๒ การรับรเู้ วลา ๑.๑๒.๑ สามารถบอกเวลา เช้า กลางวนั เย็น และกลางคืนได้ ๒) ผู้สอนหยบิ วงกลม ส่ีเหล่ียม สามเหลีย่ ม ออกจากกระดานรูป ๑.๑๓ การรบั ร้อู ณุ หภมู ิ เรขาคณิต พรอ้ มบอกชื่อทลี ะช้นิ จากนนั้ ให้ผู้เรยี นหยิบวงกลม ๑.๓.๑ สามารถบอกอุณหภูมิร้อน สี่เหลีย่ ม สามเหลี่ยมตามทค่ี รบู อก หรือเย็นได้ ๓) ผสู้ อนบอกชอื่ รูปเรขาคณติ ท่ีละชื่อ แลว้ ให้ผเู้ รยี นชีห้ รือบอก ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนไดเ้ รียนรู้เรื่องเวลา โดยใช้สถานการณ์จริง เช่นกลางวัน สว่าง กลางคืนมืด และอธิบายเวลาเพ่ิมว่า ตอนเช้าพระอาทิตย์ข้ึน ตอนกลางวันพระอาทติ ยต์ รงศีรษะ ตอนเย็นพระอาทิตย์ตก เป็นตน้ ๒) ผู้สอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เก่ียวกับเวลา เช้า กลางวัน เย็น และกลางคืน โดยการเรียนรู้จากเหตุการณ์ในเทปบันทึกภาพ หรือรูปภาพที่บอกชื่อ เวลาอย่างชัดเจน จากนั้นผู้สอนให้ผู้เรียนบอกช่วงเวลาจาก ภาพหรือ เหตุการณใ์ นเทปบนั ทึกภาพ ๓) ผู้สอนเตรียมภาพเหตุการณ์ที่บอกเวลากลางวันและกลางคืนมาให้ ผู้เรียนเลอื กว่าภาพใดเป็นกลางวันและกลางคนื ๑) ผสู้ อนให้ผู้เรียนเรียนรเู้ รอ่ื งอุณหภูมิร้อนเช่น โดยจับแก้วน้าท่ีใสน่ ้าร้อน บอกว่าร้อน เปน็ ตน้ ๒) ผสู้ อนให้ผู้เรียนเรียนรู้เรื่องอุณหภูมิเย็น เช่น โดยจับแก้วน้าที่ใสน่ ้าแข็ง บอกผู้เรียนว่าเย็นเปน็ ต้น ๓) ผู้สอนให้ผู้เรียนบอกอุณหภูมิร้อน หรือเย็น ตามสถานการณ์ใน ชีวิตประจาวัน

๑๐๔ ทักษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนาการทค่ี าดหวงั แนวการจัดกิจกรรม๒. การจาแนก ๒.๑ การจาแนกบุคคล ๒.๑.๑ สามารถจาแนกบุคคลท่ี คุ้นเคยได้ ๑) ผู้สอนนารูปภาพของเด็กและเพ่ือนมารวมกัน แล้วให้ผู้เรียนหยิบ ๒.๒ การจาแนกเสียง รปู ภาพตนเองออกมา พรอ้ มบอกชอื่ ของตนเอง ๒.๑.๒ สามารถแยกเพศของบุคคล ได้ ๒) ผู้สอนนาภาพครอบครัวของผู้เรียนแต่ละคนมานาเสนอและให้ เจ้าของภาพแตล่ ะครอบครัวแนะนาว่าในภาพมีใครบา้ ง ๒.๒.๑ สามารถบอกหรอื แยกแยะ เสียงบุคคลทีค่ นุ้ เคยได้ ๓) ผ้สู อนใหผ้ ู้เรียนเลือกหยิบภาพครอบครัวของตนจากภาพท่ีผู้สอนคละ ๒.๒.๒ สามารถบอกหรือแยกแยะ กัน เสียงต่างๆ ได้ ๔) ผู้สอนนารูปบุคคลอ่ืนมาวางคู่กับรูปบุคคลในครอบครัวท่ีกาหนดให้ แลว้ ให้เด็กบอก/หยิบรปู บุคคลที่คนุ้ เคยออกมา เช่น ครู เพือ่ น ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนเรียนรู้เกี่ยวการแยกเพศของบุคคล (ชาย-หญิง) พร้อมบอกถึง ลักษณะของเพศชาย เช่น ผู้ชายมีผมส้ัน ลักษณะของ เพศหญิง มีผมยาว ชอบแต่งหน้า โดยการสอนให้จากการรู้จักเพศ ของตนเองก่อน จากน้นั เปน็ บุคคลรอบข้างในครอบครวั ๒) ผู้สอนให้ผู้เรียนแยกภาพบุคคลหญิง-ชาย เช่น พ่อเป็นผู้ชาย แม่เป็น ผู้หญิง ตามลาดบั ๑) ผสู้ อนนาเทปบันทกึ เสียงพ่อ แม่ พี่ น้อง ครู มาเปิดใหผ้ เู้ รียนฟงั ๒) ผู้สอนกาหนดสถานการณ์ให้บุคคลท่ีคุ้นเคย เช่น ครู พ่อ แม่ เพ่ือน เลน่ เกมทายเสยี ง ๑) ผู้สอนนาวัตถุท่ีมีเสียงเช่น เครื่องดนตรี (กลอง ฉิ่ง )จากนั้นมาทาให้ เกดิ เสียง ๒) ผู้สอนบอกใหผ้ ู้เรียนทราบด้วย วา่ ตุม้ ตมุ้ คอื เสยี งกลอง

๑๐๕ ทกั ษะ ทักษะยอ่ ย พฒั นาการทคี่ าดหวงั แนวการจดั กิจกรรม ๒.๒ การจาแนกเสยี ง๒. การจาแนก (ต่อ) ๒.๓.๑ สามารถจาแนกสง่ิ ของได้ ๓) ผู้สอนนาภาพสัตว์ชนิดต่างๆ ให้ผู้เรียนดูแล้วให้ฟังเสียงร้องของชนิด(ตอ่ ) ต่างๆ เช่น เป็ด ร้อง ก้าบๆ ผู้สอนให้ผู้เรียนออกเสียงตามเสียงร้อง ๒.๓ การจาแนกสิง่ ของ ๒.๔.๑ สามารถจาแนกสตั ว์ได้ ของสัตว์ ๒.๕.๑ สามารถจาแนกผัก ผลไมไ้ ด้ ๒.๔ การจาแนกสัตว์ ๒.๖.๑ สามารถจาแนกสีต่างๆ ได้ ๔) ผู้สอนให้ผู้เรียนแยกแยะระหว่างเสียงสัตว์ที่ได้ยิน โดยการจับคู่ ระหวา่ งภาพสตั ว์และเสยี งรอ้ งของสัตว์ ๒.๕ การจาแนกผัก ผลไม้ ๑) ผู้สอนนาวัตถุสิ่งของท่ีเป็นของประเภทเดียวกัน เช่น อุปกรณ์การ ๒.๖ การจาแนกสี เรยี น (ดนิ สอ ยางลบ) มาวางรวมกันกบั ส่ิงของอ่ืนท่ไี ม่ใช่อุปกรณ์การ เรียนจากน้ันผู้สอนสาธิตการแยกอุปกรณ์การเรียน (ดินสอ ยางลบ) ที่เปน็ ของประเภทเดียวกันไว้ดว้ ยกันแลว้ ใหผ้ เู้ รียนปฏิบตั ิเอง ๒) ผู้สอนให้ผู้เรียนแยกสิ่งของ รูปภาพท่ีเป็นประเภทเดียวกัน เช่น ประเภทสงิ่ ของเคร่ืองใช้ไฟฟา้ ส่งิ ของเครอ่ื งใช้ในครัว ผสู้ อนนาสัตว์จาลอง ๒ ชนิดมาวางรวมกัน แล้วให้ผู้เรียนจาแนกสตั ว์ ที่แตกต่างออกมา เช่น นาสุนัขมา ๕ ตัว แล้วแมว ๑ ตัว มาวางรวมกัน แลว้ ให้นาแมวออกมาจากกอง เป็นต้น ผู้สอนนาผัก หรือผลไม้ ๒ ชนิดมาวางรวมกัน แล้วให้ผู้เรียนจาแนก ผัก หรอื ผลไม้ ทแี่ ตกตา่ งออกมา เช่น นาสม้ ๕ ผล แล้วมะมว่ ง ๑ ผล มา วางรวมกันแลว้ ให้นามะม่วงออกมาจากกอง ๑) ผู้สอนหยิบบล็อกไม้สีแดงพร้อมบอกชื่อสีและวางเรียงไว้ต่อไปหยิบ บล็อกไม้สีเหลืองพร้อมชื้อหรือบอกช่ือสีวางเรียงไว้ ต่อไป หยิบสีน้า เงินพร้อมบอกชอ่ื สี น้าเงนิ วางเรียงไว้

๑๐๖ ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนาการที่คาดหวัง แนวการจัดกิจกรรม ๒.๖ การจาแนกสี (ตอ่ )๒. การจาแนก ๒) ผู้สอนปิดกระดาษสี่เหล่ียมต่าง ๆ ไว้ในห้อง ให้ผู้เรียนช้ีหรือบอกสีท่ี(ต่อ) พบ เร่ิมด้วยสที ่ผี ู้เรยี นร้จู กั และเพม่ิ สีอืน่ ๆ ภายหลงั ใช้คาถามทีช่ ่วย ให้ผเู้ รยี นหา คาตอบได้ เช่น “นี่สีแดง หรือสีน้าเงนิ ” ๒.๗ การจาแนกรปู ๒.๗.๑ สามารถจาแนกรูป เรขาคณิต เรขาคณิต วงกลม สามเหลยี่ ม ๓) ผู้สอนให้ผู้เรียนหยิบส่ิงของตามคาสั่งท่ีมีสีกากับด้วยเช่น “หยิบ สีเ่ หล่ยี มได้ ดนิ สอสแี ดงให้ครู” “ขอแกว้ น้าสเี ขยี ว” เป็นต้น ๒.๘ การจาแนกขนาด ๒.๘.๑ สามารถจาแนกขนาดของ ผสู้ อนเตรียมรูปเรขาคณิต สามเหลี่ยม วงกลมและส่ีเหลี่ยมอย่างละ วัตถุต่าง ๆ ได้ ๓ ช้นิ แต่ละรูปมีสีแตกตา่ งกันเช่นวงกลมสีแดง วงกลมสีนา้ เงิน วงกลมสี เหลือง ให้ผู้เรียนรู้จักรูปเม่ือผเู้ รียนทาได้ใช้สีต่างกันคละกันไปในแต่ละรูป ๒.๙ การจาแนกกิจวตั ร ๒.๙.๑ สามารถบอกกิจวัตร เชน่ รปู วงกลมสีเหลอื ง สีนา้ เงนิ ใหผ้ ้เู รียนแยกรูป ประจาวันได้ ประจาวนั ได้ ๑) ผู้สอนนาวตั ถุทม่ี ขี นาดเล็ก-ใหญ่ เช่น ลูกบอลขนาดใหญ่-เลก็ ลูกเต๋า ขนาดใหญ่-เล็ก บล็อกไม้ใหญ่-เล็ก มาวางรวมกัน จากนั้นให้ผู้เรียน แยกวัตถุท่ีมีขนาดใหญ่ไว้ ๑ กลุ่ม และแยกวัตถุท่ีมีขนาดเล็กไว้ ๑ กลุม่ เป็นตน้ ๒) ผู้สอนนาวัตถุที่มีขนาด ส้ัน –ยาว เช่น ดินสอขนาดส้ัน-ยาว ไม้ บรรทัดขนาดสั้น-ยาว มาวางรวมกัน จากนั้นให้ผู้เรียนแยกวัตถุท่ีมี ขนาดสั้นไว้ ๑ กลุ่ม และแยกวัตถทุ ่มี ีขนาดยาวไว้ ๑ กลุ่มเป็นตน้ ๓) ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้เร่อื งขนาดใหญ่และเล็ก โดยการนาสิง่ ของ ๑) ผสู้ อนสนทนากับผู้เรียนเกย่ี วกับกิจกรรมท่ัวไปในชวี ิตประจาวันเวลา เช้า แล้วให้ผู้เรียนบอกกิจวัตรประจาวันเวลาเช้า เช่น ตอนเช้า ต้อง แปรงฟัน ลา้ ง หน้า เป็นตน้

๑๐๗ ทักษะ ทกั ษะย่อย พฒั นาการท่คี าดหวัง แนวการจดั กิจกรรม๒. การจาแนก(ต่อ) ๒.๙ การจาแนกกจิ วัตร ๒) ผสู้ อนสนทนากับผู้เรียนเก่ยี วกับกิจกรรมทั่วไปในชีวิตประจาวันเวลา ประจาวนั ได้ (ต่อ) กลางวัน แล้วใหผ้ ู้เรียนบอกกิจวัตรประจาวันเวลากลางวนั เชน่ ตอน๓. จัดหมวดหมู่ กลางวัน รบั ประทานอาหารกลางวนั เรียนหนังสือ เป็นตน้ ๒.๑๐ การจาแนกความ ๒.๑๐.๑ สามารถบอกความ แตกตา่ งของอุณหภมู ิ แตกต่างของอุณหภมู ิ รอ้ น หรอื ๓) ผ้สู อนสนทนากับผู้เรียนเกย่ี วกับกิจกรรมท่วั ไปในชวี ิตประจาวันเวลา เยน็ แล้วใหผ้ ู้เรียนบอกกิจวตั รประจาวันเวลาเยน็ เช่น ตอนเย็น กลับ เยน็ ได้ บา้ น รับประทานอาหารเย็น อาบนา้ ดู ทีวี เปน็ ต้น ๓.๑ การจัดหมวดหมู่ ๓.๑.๑ สามารถจดั หมวดหมู่บุคคล ๔) ผสู้ อนสนทนากับผู้เรียนเกี่ยวกับกิจกรรมทวั่ ไปในชีวิตประจาวันเวลา บุคคล ได้ กลางคืน แล้วให้ผู้เรียนบอกกิจวัตรประจาวันเวลากลางคืน เชน่ ตอน กลางคืน เชน่ นอนหลับพกั ผอ่ น เปน็ ต้น ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนจับแก้วน้าที่ใส่น้าแข็งบอกผู้เรียนว่า “เย็น” สลับให้ ผู้เรียนจับแก้วน้าท่ีใส่น้าอุ่นบอกว่า “อุ่น” สลับให้ผู้เรียนจับแก้วน้า ท่ใี สน่ า้ ร้อน บอกว่า “ร้อน” ๒) ผู้สอนให้ผู้เรียนบอกได้ว่า “แก้วไหนร้อน กว่ากัน” “แก้วไหนเย็น กวา่ กนั ” ๓) ผู้สอนสนทนากับผู้เรียนเร่ืองดิน ฟ้า อากาศ แสงแดด อธิบายเร่ือง อณุ หภูมิสภาพแวดล้อมในชวี ติ ประจาวัน ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรมการจัดหมวดหมู่บุคคล เช่น เพศ (หญิง-ชาย) เด็ก-ผู้ใหญ่ ครู-นักเรียน บุคคลในครอบครัว(พ่อ แม่ พี่ น้องปู่ ยา่ ) ฯลฯ จากรูปภาพ หรือบคุ คลในสถานการณ์จริง ๒) ผู้สอนใหผ้ ูเ้ รียนบอกและแยกบุคคลทีค่ ุ้นเคยได้

๑๐๘ ทกั ษะ ทักษะยอ่ ย พฒั นาการทีค่ าดหวงั แนวการจดั กจิ กรรม๓. จดั หมวดหมู่ ๓.๒ การจัดหมวดหมูส่ ัตว์ ๓.๒.๑ สามารถจดั หมวดหมู่สัตว์(ต่อ) ได้ ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนเรียนรู้การจัดหมวดหมู่ สัตว์ โดยแบ่งเป็น สัตว์ บก ๓.๓ การจดั หมวดหมู่ สตั ว์น้าปีก จากรูปภาพสัตวจ์ าลอง และสัตวจ์ ริงจากเทปบันทกึ ภาพ๔. การจับคู่ สิ่งของ ๓.๓.๑ สามารถจดั หมวดหมู่ส่ิงของ สถานการณ์จรงิ ได้ ๓.๔ การจดั หมวดหมู่ผกั ๒) ผู้สอนนาภาพหรือสัตว์จาลองมารวมกันให้ผู้เรียนจัดหมวดหมู่ เป็น ผลไม้ ๓.๔.๑ สามารถจัดหมวดหมูพ่ ืชได้ สัตวบ์ ก เช่น หมู สนุ ขั เป็นตน้ สัตวน์ า้ เชน่ ปลา หอย ปู ๔.๑ การจบั คู่ส่ิงของ หรือ ๔.๑.๑ สามารถจบั คสู่ ่ิงของ หรอื รปู ภาพ รปู ภาพ ทีเ่ หมอื นกันได้ ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนเรียนรู้การจัดหมวดหมู่ สิ่งของ โดยแบ่งเป็น เครื่องใช้ในครัว อุปกรณ์การเรียน เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องแต่งกาย โดยผ้สู อนอธบิ ายและสาธิตการจัดหมวดหม่ใู หผ้ ูเ้ รียนดู ๒) ผสู้ อนนาสิ่งของต่างหมวดหมู่วางรวมกันจากน้ันให้ผเู้ รียนแยกส่ิงของ ให้เป็นหมวดหมู่เดียวกัน เช่น ผู้สอนนาดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด เส้ือ กระโปรง กางเกงวางรวมกันจากนั้นให้ผู้เรียนแยกส่ิงของเป็น หมวดหมู่ (ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัดเป็นอุปกรณ์การเรียน) (เส้ือ กระโปรง กางเกง เป็นเคร่ืองแตง่ กาย) ผู้สอนให้ผู้เรียนเรียนรู้การจัดหมวดหมู่ ผลไม้ กับผัก โดยแบ่งแยก ระหวา่ งผลไม้กบั ผกั เชน่ กลว้ ย แตงโม เป็นผลไม้ แตงกวา แครอท ๑) ผู้สอนนาวัตถุเป็นสิ่งของและรูปภาพชนิดเดียวกัน ท่ีใช้ใน ชีวิตประจาวนั เช่น หวี แปรงสีฟัน ยาสีฟัน ช้อน ส้อม จาน แก้ว น้า จากน้ันสาธิตจับคู่วัตถุกับรูปภาพ ๑ ชนิด โดยนารูปภาพวัตถุ ๑ ชิน้ วางไว้เป็นรูปภาพตน้ แบบมาให้

๑๐๙ทกั ษะ ทกั ษะย่อย พัฒนาการที่คาดหวัง แนวการจดั กิจกรรม ๔.๑ การจับคู่สิ่งของ หรือ ๒) ผู้เรียนดู เช่น หวี และรูปภาพหวี ผู้สอนบอกช่ืออธิบายลักษณะ ของวตั ถุ “หวี” และ”รปู ภาพหวี” ใหผ้ ู้เรียนเขา้ ใจ รูปภาพ (ตอ่ ) ๑) ผู้สอนเตรียมสิ่งของที่ใช้คู่กัน เช่น ลกู กญุ แจกับแม่กุญแจ ถุงเทา้ กับ ๔.๑.๒ สามารถจบั คู่ ส่ิงของ รองเท้า ดินสอกับกระดาษ ยาสีฟันกับแปรงสีฟัน จานกับช้อน เปน็ ต้น รปู ภาพ ที่สมั พนั ธ์กันได้ ๒) ผู้สอนเรมิ่ สาธิตโดยใช้ของท่ีใชค้ ู่กนั ๑ ชนิด ผู้สอนช่วยให้ผเู้ รยี นจับคู่๕. การ ๕.๑ การเปรยี บเทยี บ ๕.๑.๑ สามารถเปรียบเทียบ โดยบอกหน้าท่ีของวัตถุนั้น ต่อเพ่ิมเป็น ๒ ชนิด ๓ ชนิด ๔ และ ๕เปรียบเทยี บ จานวน จานวนได้ ชนิดตามลาดบั ๓) ผู้สอนให้ผู้เรียนฝึกทักษะน้ีได้ในทุกสถานการณ์ของชีวิตประจาวัน โดยใช้คาถาม เช่นยาสีฟันใช้คู่กับอะไร ถ้าผู้เรียนบอกไม่ได้ หรือ หยิบส่งให้ ผู้สอนบอกชื่อและจับคู่ให้ดูให้ผู้เรียนจับคู่รูปภาพส่ิงของ ท่ใี ชค้ ู่กัน ๑) ผู้สอนหยิบลูกปัดสีแดงมาจานวน หนึ่ง และสีเขียวมาจานวนมา จานวนหน่ึง จากน้ันให้ผู้เรียนจับคู่ลูกปัดสีแดง ๑ เม็ดและสีเขียว ๑ เม็ด จนลกู ปัดหมด ถ้าจับคู่ได้หมดพอดีเรียกว่าเท่ากัน ถ้าลูกปัดสีใด สหี นึง่ เหลือเรยี กว่าไม่ เทา่ กัน ๒) ผู้สอนให้จับคู่ลูกปัด ๒ สี ถ้าสีใดเหลือแสดงว่าสีนั้นมีมากกว่าอีกสี หนง่ึ หรอื สหี น่ึงมนี ้อยกวา่ อีกสีหนง่ึ ๓) ผู้สอนจัดวัตถุออกเป็น ๒ กลุ่ม จานวนมาก – น้อย ไม่เท่ากัน ใหผ้ ู้เรียนเลือกแลว้ บอกว่าจานวนไหนมากกวา่ หรอื น้อยกว่า

๑๑๐ ทักษะ ทกั ษะยอ่ ย พฒั นาการท่ีคาดหวงั แนวการจัดกจิ กรรม ๕.๒.๑ สามารถเปรยี บเทยี บ๕. การ นา้ หนกั ของสง่ิ ของได้ ๔) ผสู้ อนสอนจากเหตกุ ารณ์จรงิ โดยการเปรียบเทยี บสิ่งท่ีเกดิ ข้ึนในเปรียบเทยี บ (ตอ่ ) ชีวิตประจาวัน เช่นในขณะเวลาทานข้าว ผู้สอนถามผู้เรียนว่าข้าว ๕.๓.๑ สามารถเปรียบเทยี บขนาด จานน้ี มากกว่าขา้ วจานนน้ั หนูจะเลือกจานไหน ๕.๒ การเปรยี บเทียบ ของวัตถุทีม่ ีความส้นั ยาว เล็ก- นา้ หนัก ใหญ่ กว้าง-แคบ ได้ ๑) ผู้สอนนาส้ม ๒ ลูก ขนาดเท่ากันให้ผู้เรียนดู พร้อมอธบิ ายขนาดของ ส้มว่ามีขนาดเท่ากัน น้าหนกั เท่ากันจากนั้นใหผ้ ู้เรียนจับส้มทั้ง ๒ ลูก ๕.๓ การเปรยี บเทียบ ยกขน้ึ พร้อมกนั และบอกกับผ้เู รียนวา่ ส้ม ๒ ลกู มีน้าหนักเทา่ กัน ขนาด ๒) ผ้สู อนนาแตงโม ๑ ลูก และส้ม ๑ ลูกให้ผู้เรยี นดู พร้อมอธิบายขนาด ของส้มกบั แตงโมมขี นาดไม่เทา่ กัน และมนี า้ หนกั ไมเ่ ทา่ กัน ๓) ผู้สอนใช้ถุงกระดาษขนาดเท่ากันแต่บรรจุของท่ีมีน้าหนักต่างกัน เช่น ก้อนหินกับสาลี ให้ผู้เรียนยกถุงก้อนหินและบอกว่า “หนัก” หลังจากน้ันให้ผู้เรียนยกถุงสาลีแล้วบอกว่า “เบา”ผู้สอนให้ผู้เรียนช้ี วา่ ถุงไหนหนัก ถุงไหนเบา ถ้าชไ้ี ม่ถูกให้ผู้เรียนลองยกดใู หม่แล้วบอก ซา้ ๔) ผู้สอนให้ผู้เรียนบอกน้าหนักหรือเบาและให้ผู้เรียนลองยก เปรยี บเทียบ เชน่ หนังสอื นติ ยสารกบั หนังสือพมิ พ์ กระป๋องนา้ กบั ๑) ผู้สอนเตรียมวัตถุท่ีมีความยาวไม่เท่ากัน ๒ ช้ิน ผู้สอนช้วี ัตถุทีม่ ีความ ยาว“อันไหนยาวกว่า” “อันไหนส้ันกว่า” ให้ผู้เรียนเลือกขนาดของ วัตถุตามที่ผู้สอนกาหนดหากผู้เรียนไม่สามารถเลือกได้ให้ผู้สอนช่วย จนกว่าผู้เรยี นจะสามารถเลือกขนาดได้ถกู ต้องผา้ ถบู ้าน เป็นต้น

๑๑๑ ทักษะ ทักษะย่อย พัฒนาการท่ีคาดหวงั แนวการจัดกิจกรรม๕. การ ๕.๓ การเปรยี บเทียบ ๒) ผู้สอนเตรียมวัตถุท่ีมีขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน ๒ ช้ิน ผู้สอนชี้วัตถุท่ีมีเปรียบเทยี บ (ตอ่ ) ขนาด (ต่อ) ๕.๔.๑ สามารถบอกและ เปรียบเทยี บระยะทางใกล้-ไกล ได้ ความยาว“อันไหนใหญ่กว่า” “อันไหนเล็กกว่า” ให้ผู้เรียนเลือก ๕.๔ การเปรยี บเทียบ ขนาดของวัตถุตามที่ผู้สอนกาหนดหากผู้เรียนไม่สามารถเลือกได้ให้ ระยะทาง ผู้สอนช่วยจนกว่า ผู้เรยี นจะสามารถเลือกขนาดไดถ้ กู ๓) ผู้สอนเตรียมวัตถุที่มีขนาดใหญ่ไม่เท่ากัน ๒ ชิ้น ผู้สอนชี้วัตถุที่มี ความยาว“อันไหนใหญ่กว่า” “อันไหนเล็กกว่า” ให้ผู้เรียนเลือก ขนาดของวัตถุตามที่ผู้สอนกาหนดหากผู้เรียนไม่สามารถเลือกได้ให้ ผสู้ อนชว่ ยจนกว่าผู้เรียนจะสามารถเลือกขนาดได้ถูกตอ้ ง ๑) ผู้สอนนาวัตถุ ๒ ชิน้ วางไว้ ณ ตาแหนง่ ท่ีมีระยะทางเทา่ กัน พร้อมกับ อธบิ ายให้ผ้เู รียนทราบว่า วตั ถุทง้ั ๒ ชิ้นอยใู่ นระยะที่เท่ากนั ๒) ผู้สอนนาวตั ถุ ๒ ช้ินวางไว้ ณ ตาแหน่งที่มรี ะยะทางไม่เท่ากัน พร้อม กบั อธบิ ายให้ผเู้ รียนทราบวา่ วตั ถทุ งั้ ๒ ชน้ิ อยูใ่ นระยะทไี่ มเ่ ทา่ กนั ผู้สอนนาวัตถุ ๒ ชิ้น มาวางในระยะไกลตัวและใกล้ตัวผู้เรียนแล้ว อธิบายถึงระยะความใกล้-ไกลระหว่างวัตถุ ๒ ชิ้น จากนั้นกาหนดให้ ผู้เรียนไปหยิบวัตถุที่วางไว้ในระยะใกล้หรือไกลตามสถานการณ์ของ ผู้สอน ๓) ผู้เรยี นบอกและชี้ถึงวัตถทุ ี่สามารถมองเหน็ ในระยะสายตาตามผู้สอน กาหนดว่าวัตถุน้ันอยู่ไกลกว่าหรอื ใกลก้ วา่ กัน

๑๑๒ ทักษะ ทักษะยอ่ ย พฒั นาการท่ีคาดหวัง แนวการจดั กิจกรรม๕. การ ๕.๕ การเปรียบเทยี บ ๕.๕.๑ สามารถบอกและเปรียบเทยี บ (ต่อ) ความสูง เปรียบเทียบความสงู ได้ ๑) ผู้สอนนาขวดน้า ๒ ขวด ที่มีความสูงเท่ากันพร้อมอธิบายให้ผู้เรียน ฟังว่า ขวดนา้ ๒ ขวดนม้ี ีความสงู -ตา่ เท่ากนั ๕.๖ การเปรยี บเทียบ ๕.๖.๑ สามารถเปรยี บเทยี บพื้นผิว พ้ืนผวิ ได้ ๒) ผู้สอนนากล่อง ๒ ใบที่มีความสูงต่างกัน มาอธิบายให้ผู้เรียนฟังว่า กลอ่ งทง้ั สองใบมคี วามสงู -ตา่ ไม่เท่ากัน๖. การเตรียม ๖.๑ การร้จู ักพยญั ชนะ ๖.๑.๑ สามารถบอกพยัญชนะได้ความพร้อม สระและวรรณยุกต์ ๓) ผู้สอนนาวัตถุ ๒ ชิ้น ท่ีมีความสูงที่แตกต่างกัน มาเปรียบเทียบความพนื้ ฐานภาษาไทย สงู ให้นักเรียนดู เช่น ขวดน้า สูงกวา่ แก้วน้า ๔) ให้ผู้เรยี นเปรียบเทียบความสูง-ต่าของวัตถุด้วยตัวเอง เช่น เสาไฟฟ้า สูงกว่าหลักกิโล ๑) ผู้สอนนาวตั ถุท่ีมีพื้นผวิ สัมผัสแตกต่างกัน เช่น ผิวขรขุ ระ ผิวเรียบ ผิว นุ่ม ผิวแข็ง มาใหผ้ เู้ รียนสมั ผัส และอธบิ าย ถึงผวิ ทผี่ ูเ้ รยี นสมั ผสั ๒) ผ้สู อนเปรียบเทียบความแตกต่างพื้นผิวให้ผู้เรียนเข้าใจจากนั้นผู้เรียน เลอื กวัตถทุ ี่มพี นื้ ผวิ ตามที่ผู้สอนกาหนด ๓) ผสู้ อนนาวัตถหุ ลายชนิด เนื่องจากวัตถุแตล่ ะชนิดมีความแข็ง นิ่ม ไม่ เหมือนกัน ขณะสอนควรรอให้ผู้เรียนได้สัมผัสลูบคลาวัตถุจนพอใจ แล้วจึงออกคาส่ังให้หยิบ ของแขง็ หรอื น่มิ ใส่กลอ่ ง ๑) ผสู้ อนให้ผู้เรียนชี้บอกรูปภาพและพยัญชนะไทยจากภาพ ครงั้ ละ ๕ ตวั โดยจัดกลมุ่ ตามลักษณะความยากงา่ ย จนผเู้ รียนจาได้ เปน็ ต้น ๒) เมื่อผู้เรียนจาได้แล้ว ให้ผู้เรียนเรียงลาดับพยัญชนะตามลาดับ พยญั ชนะไทย คร้ังละ ๕ ตัว เช่น ก ข ค ฆ ง เปน็ ตน้ ๓) ให้ผู้เรียนจาแนกพยัญชนะที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น ก ถ ภ พ ผ เปน็ ต้น

๑๑๓ ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พฒั นาการท่คี าดหวัง แนวการจดั กิจกรรม ๖.๑.๒ สามารถบอกสระได้ ๑) ผสู้ อนให้ผู้เรียนเรียนรู้และชี้บอกสระไทย ครั้งละ ๒ ตัว เช่น อะ-อา๖. การเตรยี ม ๖.๑ การรจู้ กั พยัญชนะความพร้อม สระและวรรณยกุ ต์ (ตอ่ ) ๖.๑.๓ สามารถบอกวรรณยกุ ตไ์ ทย อ-ิ อีพ้ืนฐานภาษาไทย ได้(ตอ่ ) ๗.๑.๑ สามารถกวาดสายตาจาก ๒) ให้ผเู้ รียนจาแนกเสยี งสน้ั เสียงยาว(เสียงส้นั เชน่ อะ อุ อิ) (เสียงยาว ซ้ายไปขวา และบนลงล่างได้๗. การเตรยี ม ๗.๑ การเตรยี มความ เชน่ อา อู อีความพร้อมดา้ น พรอ้ มดา้ นการอ่านการอา่ น ผู้สอนใหผ้ เู้ รยี นเรยี นรู้และช้บี อกวรรณยกุ ตไ์ ทย เอก โท ตรี จัตวา ๑) ผสู้ อนฝกึ ให้ผู้เรยี นกวาดสายตาจากซา้ ยไปขวา โดยนาของเลน่ มาวาง จากซ้ายไปขวา เช่น ลากรถไขลานจากซ้ายไปขวา แล้วใหผ้ เู้ รียนมอง ตาม ๒) ผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนกวาดสายตาจากซ้ายไปขวา โดยฝึกจาก แบบฝึกหัด เช่น ให้เด็กหารูปภาพท่ีผู้สอนกาหนด โดยเริ่มจากการ มองรูปภาพทางด้านซ้ายมือ แล้วค่อยเปิดรูปภาพด้านขวามือทีละ รปู ภาพ ๓) ผสู้ อนฝึกให้ผู้เรียนกวาดสายตาจากบนลงล่าง โดยนาของเล่นมาวาง ข้างบนลงล่าง เช่น ลากรถไขลานจากบนลงล่าง แล้วให้ผู้เรียนมอง ตามผู้สอนฝึกให้ผู้เรียนกวาดสายตาจากบนลงล่าง โดยฝึกจาก แบบฝึกหัด เช่น ให้ผู้เรียนหารูปภาพท่ีผู้สอนกาหนด โดยเริ่มจาก การมองรูปภาพทางด้านบน แล้วค่อยเปิดรูปภาพด้านล่างทีละ รูปภาพ

๑๑๔ ทักษะ ทกั ษะย่อย พฒั นาการที่คาดหวงั แนวการจัดกิจกรรม๘ การอา่ น ๘.๑ การอา่ นออกเสียง ๘.๑.๑ สามารถอ่านออกเสยี ง พยญั ชนะได้ ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงพยัญชนะไทย ครั้งละ ๕ ตัว เช่น พยญั ชนะ สระและ คร้ังท่ี ๑ ก.ไก่ ข.ไข่ ตามผู้สอน หรือเทปบันทึกภาพหรือเสียง ๘.๑.๒ สามารถอา่ นออกเสยี งสระ ตามสถานการณท์ ่จี ัด วรรณยุกต์ ได้ ๒) ผู้สอนให้ผู้เรียนฝึกอ่านออกเสียงพยัญชนะด้วยตัวเองจากภาพหรือ๙. การเตรยี ม ๙.๑ การเตรียมความ ๘.๑.๓ สามารถอ่านออกเสียง พยัญชนะท่กี าหนดความพร้อมดา้ น พรอ้ มการเขียน วรรณยุกต์ได้การเขยี น ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนอ่านออกเสียงสระไทยตามผู้สอน หรือเทป ๙.๑.๑ สามารถจบั ดนิ สอได้ถูกต้อง บันทึกภาพหรือเสยี งตามสถานการณ์ท่จี ัด ๒) ผู้สอนให้ผู้เรียนฝึกอ่านออกเสียงสระ ด้วยตัวเองจากภาพสระที่ กาหนด ๑) ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนอ่านออกเสียงวรรณยุกตไ์ ทย เอก โท ตรี จัตวา ตาม ผู้สอน หรือเทปบันทึกภาพหรอื เสยี งตามสถานการณ์ทีจ่ ดั ๒) ผู้สอนให้ผู้เรียนฝึกอ่านออกเสียงวรรณยุกต์ด้วยตัวเองจากภาพหรือ วรรณยกุ ตท์ ่ีกาหนด ๑) ผสู้ อนสาธิตการจับดินสอ ให้ผเู้ รียนปฏบิ ัตติ าม ๒) ผู้สอนจับมือผู้เรียนจับดินสอ หรือสีเทียน ในท่าท่ีถูกต้องโดยผู้เรียน ถือดินสอด้วยสามนิ้ว คือ น้ิวหัวแม่มือ น้ิวกลาง และน้ิวชี้ ดินสอจะ อยู่บนข้อน้ิวกลางขณะท่ีจะถูกบีบอยู่ระหว่างน้ิวหัวแม่มือและน้ิวช้ี นว้ิ กอ้ ยและ นวิ้ นางจะวางพักอยู่บนโตะ๊ ๓) ผูส้ อนจบั มือผู้เรยี นใหจ้ ับดนิ สอให้ถูกตอ้ ง

๑๑๕ ทักษะ ทกั ษะย่อย พฒั นาการที่คาดหวัง แนวการจัดกจิ กรรม๙. การเตรียม ๙.๑ การเตรียมความความพร้อมดา้ น พรอ้ มการเขียน (ตอ่ ) ๙.๑.๒ สามารถลากเสน้ อสิ ระได้ ผู้สอนให้ผู้เรียนใช้น้ิวมือลากเส้นอิสระ เช่น การลากเส้นอิสระในการเขยี น (ต่อ) ๑๐.๑ การเขยี นพยญั ชนะ กระบะทราย การใชน้ วิ้ มือจมุ่ สีแล้วลากลงในกระดาษ๑๐. การเขยี น สระและวรรณยุกต์ ๙.๑.๓ สามารถลากเส้นพนื้ ฐาน ๑๓ ๑) ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนใช้น้ิวมือลากเสน้ พ้ืนฐาน ๑๓ เส้น ตามร่อง เช่น ร่อง เส้น ได้ ทราย ร่องกระดาษ ๒) ผู้สอนใหผ้ ้เู รยี นใช้นิ้วมือเขียนบนเสน้ พ้ืนฐาน ๑๓ เส้น ๓) ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนฝึกการเขียนเส้นพืน้ ฐาน ๑๓ เส้นตามรอย ประ ๔) ผ้สู อนใหผ้ เู้ รยี นเขียนทับบนเส้นพืน้ ฐาน ๑๓ เส้น ๕) ผู้สอนให้ผเู้ รยี นเขียนเส้นพืน้ ฐาน ๑๓ เส้น ตามแบบ ๙.๑.๔ สามารถลากเสน้ รูป ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนใช้นิ้วมือลากเส้นรูปเรขาคณิต ตามร่อง เช่น ร่อง เรขาคณิตได้ ทราย ร่องกระดาษ เปน็ ต้น ๒) ผู้สอนใหผ้ ูเ้ รียนใช้นิ้วมือเขยี นบนเสน้ รปู เรขาคณติ ๓) ผู้สอนให้ผูเ้ รยี นฝึกการเขียนเส้นรปู เรขาคณิต ตามรอย ประ ๔) ผสู้ อนใหผ้ ้เู รยี นเขียนทบั บนเสน้ รูปเรขาคณิต ๕) ผสู้ อนให้ผเู้ รียนเขยี นเส้นรูปเรขาคณิต ตามแบบ ๑๐.๑.๑ สามารถเขียนพยัญชนะ ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนใช้น้ิวมือเขียน พยัญชนะไทย ตามร่อง เช่น ร่อง ไทยได้ ทราย ร่องกระดาษ ๒) ผสู้ อนใหผ้ ู้เรยี นใชน้ วิ้ มอื เขยี นบน พยญั ชนะไทย ๓) ผู้สอนให้ผเู้ รยี นฝึกการเขียนพยญั ชนะไทยตามรอย ประ ๔) ผู้สอนให้ผูเ้ รยี นเขียนทบั บนพยัญชนะไทย ๕) ผสู้ อนให้ผู้เรยี นเขยี นพยัญชนะไทยตามแบบ

๑๑๖ ทักษะ ทกั ษะย่อย พัฒนาการทค่ี าดหวัง แนวการจดั กจิ กรรม๑๐. การเขยี น(ต่อ) ๑๐.๑ การเขยี นพยญั ชนะ ๑๐.๑.๒ สามารถเขียนสระ ได้ ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนใช้นิ้วมือเขียน สระตามร่อง เช่น ร่องทราย ร่อง กระดาษ๑๑. การนบั สระและวรรณยกุ ต์ (ต่อ) ๒) ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนใชน้ ิว้ มือเขียนบน สระ ๑๐.๑.๓ สามารถเขยี นวรรณยุกต์ ๓) ผู้สอนใหผ้ ู้เรยี นฝกึ การเขียนสระตามรอย ประ ได้ ๔) ผสู้ อนใหผ้ เู้ รยี นเขียนทับบนสระ ๑๑.๑ การนบั ๑๑.๑.๑ สามารถนับจานวน ๑-๓ ๕) ผสู้ อนใหผ้ ้เู รียนเขยี นสระตามแบบ ได้ ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนใช้น้ิวมือเขียน วรรณยุกต์ ตามร่อง เช่น ร่องทราย รอ่ งกระดาษ เปน็ ตน้ ๒) ผสู้ อนใหผ้ เู้ รยี นใช้นวิ้ มอื เขียนบนวรรณยกุ ต์ ๓) ผสู้ อนให้ผู้เรียนฝกึ การเขียนวรรณยุกต์ ตามรอย ประ ๔) ผู้สอนให้ผเู้ รยี นเขียนทบั บนวรรณยกุ ต์ ๕) ผู้สอนให้ผู้เรยี นเขียนวรรณยุกต์ ตามแบบ ๑) ผสู้ อนให้ผเู้ รียนนับเลขโดยใช้นิ้วมอื จานวน ๑-๓ ๒) ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนนับเลขโดยใช้วัตถุส่งิ ของจานวน ๑-๓ เช่น ผ้สู อน นา ลูกบอลจานวน ๓ ลูกแล้วนาให้ผู้เรียนดูทีละ ๑ ลูก พร้อมนับ ๑ ไป ด้วย จนครบ ๓ ลูก จากน้ันทดลองใหน้ ักเรยี นนบั เอง เป็นต้น ๓) ผู้สอนให้ผเู้ รยี นนับเลขตามจานวนนับจานวน ๑-๓

๑๑๗ ทักษะ ทกั ษะยอ่ ย พฒั นาการท่คี าดหวัง แนวการจัดกิจกรรม๑๑. การนับ (ต่อ) ๑๑.๑ การนบั (ต่อ) ๑๑.๑.๒ สามารถนับจานวน ๑-๕ ได้ ๑) ผสู้ อนให้ผู้เรยี นนับเลขโดยใช้นว้ิ มอื จานวน ๑-๕ ๑๑.๒ ค่าของจานวนนับ ๒) ผู้สอนให้ผู้เรียนนับเลขโดยใช้วัตถุสิ่งของจานวน ๑-๕ เช่น ผู้สอน นา ๑๑.๑.๓ สามารถนบั จานวน ๑-๑๐ ได้ ลูกเต๋าจานวน ๕ ลูกแล้วนาให้ผู้เรยี นดูทีละ ๑ ลูก พร้อมนับ ๑ ไปด้วย จนครบ ๕ ลูก จากน้ันทดลองให้นักเรียนนบั เอง ๑๑.๒.๑ สามารถบอกค่าของ ๓) ผูส้ อนใหผ้ ู้เรยี นนบั เลขตามจานวนนบั จานวน ๑-๕ จานวนนับ ๑-๑๐ ได้ ๑) ผู้สอนให้ผู้เรยี นนบั เลขโดยใชน้ ว้ิ มอื จานวน ๑-๑๐ ๒) ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นนับเลขโดยใช้วัตถุสิ่งของจานวน ๑-๑๐ เช่น ผู้สอน นา ลูกปัดจานวน ๑๐ ลูกแล้วนาให้ผู้เรียนดูทีละ ๑ ลูก พร้อมนับ ๑ ไป ด้วย จนครบ ๑๐ ลูก จากนนั้ ทดลองใหน้ กั เรยี นนบั เอง ๓) ผสู้ อนใหผ้ ้เู รียนนบั เลขตามจานวนนับจานวน ๑-๑๐ ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนนับส่ิงของที่ผู้สอนเตรียมไว้ จากน้ันให้นักเรียนบอกค่า ของส่ิงของนั้น เช่น ผู้เรียนนับดินสอ จานวน ๕ แท่ง ผู้เรียนหยิบ ตัวเลข ๕ ได้ตรงกับจานวนน้ัน ๒) ผูส้ อนให้ผเู้ รียนนับสิ่งของ รปู ภาพ จานวน ๑-๓ จากน้ันให้ผู้เรียนหยิบ ตัวเลขให้ตรงกับจานวนนั้น เช่น นับลกู บอล ๓ ลูก ให้ผู้เรียนหยิบ เลข ๓ ๓) ผ้สู อนให้ผ้เู รยี นนบั ส่ิงของ รูปภาพ จานวน ๑-๕ จากนั้นให้ผู้เรียนหยิบ ตัวเลขให้ตรงกับจานวนนั้น เช่น นับลูกเต๋า ๕ ลูก ให้ผู้เรียนหยิบ เลข ๕ ๔) ผู้สอนให้ผู้เรียนนับสิ่งของ รูปภาพ จานวน ๑-๑๐ จากน้ันให้ผู้เรียน หยิบตัวเลขให้ตรงกับจานวนน้ัน เช่น นับลูกบอล ๗ ลูก ให้ผู้เรียนหยิบ เลข ๗

๑๑๘ทักษะ ทักษะยอ่ ย พัฒนาการทค่ี าดหวงั แนวการจัดกิจกรรม๑๑. การนบั (ต่อ) ๑๑.๓ การนบั เพม่ิ และการ ๑๑.๓.๑ สามารถนบั เพิ่มทีละ ๑ ๑) ผ้สู อนใหผ้ เู้ รียนนบั ลกู ปัด จานวน ๕ ลูก ทลี่ ะ ๑ ลกู ใส่กล่อง โดยครู กาหนดให้ผู้เรยี นนับเพ่ิมท่ลี ะ ๑ เชน่ เม่อื ผเู้ รียนนับลกู ท่ี ๑ แล้วให้ นับลด ไม่เกนิ ๑๐ ได้ ผู้เรยี นหยดุ จากนั้นผู้สอนให้ผ้เู รียนนับเพม่ิ อีก ๑ ลูก ผูเ้ รยี นจะนับ ตอ่ จากลูกที่ ๑ เป็น ๒ ทาเช่นนจี้ นครบ ๕ ลกู ๑๑.๓.๒ สามารถนับลดทีละ ๑ ตัง้ แต่ ๑๐ ลงมาได้ ๒) ผสู้ อนเปลี่ยนส่ิงของ และจานวนเพ่ิมข้นึ แต่ไม่เกิน ๑๐ ให้ผู้เรยี นนับ เพิ่มท่ีละ ๑๑๒. การอ่าน ๑๒.๑ อ่านสญั ลักษณ์ ๑๒.๑.๑ สามารถอ่านสัญลักษณ์สญั ลกั ษณต์ วั เลข ตวั เลข ตัวเลข ๑-๑๐ ได้ ๑) ผู้สอนนาลูกปัด ๑๐ เม็ดใส่ภาชนะแล้วสาธิตหยิบลูกปัดออกจาก ภาชนะคร้ังละ ๑ เมด็ จนกระทั่งครบ ๑๐ เม็ด ให้ผู้เรยี นดูพร้อมบอก ให้ผู้เรียนดูว่าลูกปัดท่ีเหลือในภาชนะ มี ๙ เม็ด จากนั้นให้ผู้เรียน หยบิ ลกู ปดั ออกจากภาชนะ๑ เม็ด และใหผ้ ูเ้ รียนนับลกู ปดั ท่ีเหลือ ๒) ผู้เรียนหยิบลูกปัดออกจากภาชนะครั้งละ ๑ เม็ด จนครบ ๑๐ เม็ด ตามแบบผู้สอน ๓) ผู้เรยี นหยิบลูกปดั ออกจากภาชนะคร้งั ละ ๑ เมด็ จนครบ ๑๐ เม็ด ๑) ผสู้ อนใหผ้ ู้เรยี นดรู ปู ภาพสญั ลักษณ์ พร้อมกบั ใหน้ ับและบอก สญั ลักษณต์ วั เลข ๒) ผู้สอนให้ผู้เรียนยกนิ้วมือตามจานวนท่บี อก ๑-๓ , ๑-๕ , ๑-๑๐ ๓) ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนอา่ นตวั เลข ๑-๓ , ๑-๕ , ๑-๑๐ ตามลาดับ ๔) ผู้สอนใหผ้ ู้เรียนนับจานวน ๑-๑๐ แบบทอ่ งจาตามผสู้ อนโดยแบ่ง ๑- ๓ , ๑-๕ , ๑-๑๐ ตามลาดับ ๕) ผูส้ อนใหผ้ เู้ รียนนบั ภาพหรือส่ิงของเรียงเปน็ แถวตามลาดบั ๑-๓ , ๑- ๕ , ๑-๑๐ ด้วยตนเอง

๑๑๙ ทกั ษะ ทกั ษะย่อย พัฒนาการทค่ี าดหวัง แนวการจัดกิจกรรม ๑๒.๑ อ่านสัญลกั ษณ์๑๒. การอ่าน ๑๓.๑.๑ สามารถเขยี นตัวเลข ๑- ๖) ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นเลือกบัตรตัวเลขระหวา่ ง ๑-๓ , ๑-๕ , ๑-๑๐สัญลักษณ์ตวั เลข ตัวเลข (ตอ่ ) ๑๐ ได้ ๗) ผสู้ อนให้ผูเ้ รยี นจับคภู่ าพหรือสงิ่ ของท่ีมีจานวนตรงกบั ตวั เลข ๑-๓ ,(ตอ่ ) ๑๔.๑.๑ สามารถแก้ไขปญั หาใน ๑-๕ ,๑-๑๐๑๓. การเขยี น ๑๓.๑ การเขียนตัวเลข ชีวิตประจาวนั อย่างง่ายๆได้ ๘) ผู้สอนให้ผู้เรียนบอกจานวนวัตถแุ ต่ละกลุม่ ที่มีจานวนระหว่าง ๑-๓ ,ตัวเลข ๑๔.๑.๒ สามารถใช้เงนิ ในการซ้ือ ขายได้ ๑-๕ , ๑-๑๐๑๔. ความเขา้ ใจ ๑๔.๑ การเขา้ ใจ และ ๑) ผู้สอนให้ผู้เรียนใช้นิ้วมือลากตัวเลข ๑-๑๐ ตามร่อง เช่น ร่องทรายและการแก้ปญั หา แกไ้ ขปญั หา ร่องกระดาษ เปน็ ตน้ ๒) ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนใชน้ ว้ิ มอื เขยี นบนตัวเลข ๑-๑๐ ๓) ผสู้ อนใหผ้ เู้ รยี นเขยี นทับบนตวั เลข ๑-๑๐ ๔) ผู้สอนใหผ้ ู้เรยี นเขียนตวั เลข ๑-๑๐ ในอากาศ ๕) ผสู้ อนใหผ้ ูเ้ รียนเขยี นตวั เลข ๑-๑๐ ในอากาศ ผู้สอนแสดงบทบาทสมมุติเก่ียวกับชีวิตประจาวันและแก้ไขปัญหา ตา่ งๆอย่างง่ายได้ เชน่ ถ้าผเู้ รียนปวดปัสสาวะจะต้องไปเข้าห้องนา้ เป็นต้น ถ้าเห็นก๊อกน้าเปิดน้าท้ิงไว้ให้ผู้เรียนหมุนปิดก๊อกน้า ถ้าเห็นน้าหกบนโต๊ะ ให้หาผ้ามาเชด็ โต๊ะ ๑) ผู้สอนนาเหรียญ ๑ บาท เหรียญ ๕ บาท เหรียญ ๑๐ บาท ให้ ผเู้ รียนดู พร้อมบอกค่าของเงิน เช่น นีค่ ือ เหรียญ ๑ บาท เหรยี ญ ๕ บาท เหรียญ ๑๐ บาทจากนั้นเปรียบเทียบค่าเงินให้นักเรียนดู เช่น เหรยี ญ ๕ บาท มเี หรียญ ๑ บาท ๕ เหรยี ญ

๑๒๐ ทกั ษะ ทักษะย่อย พฒั นาการท่ีคาดหวัง แนวการจดั กจิ กรรม๑๔. ความเข้าใจ ๑๔.๑ การเขา้ ใจ และ ๒) ผู้สอนให้ผู้เรียนหยิบจานวนเงินตามค่าที่ผู้สอนบอก เช่น หยิบและการแกป้ ญั หา แกไ้ ขปัญหา (ต่อ) เหรยี ญ ๑ บาท(ต่อ) ๓) ผู้สอนให้ผู้เรียนหยิบจานวนเงินตามค่าท่ีผู้สอนบอก เช่น หยิบ เหรียญ ๑ บาท เป็นต้น จากนั้นให้หยิบ ๒ เหรียญเปรียบเทียบค่า เท่ากนั มากกว่า-น้อยกวา่ ๔) ผู้สอนจัดสถานการณ์การซ้ือ ขายของในห้องเรียนด้วยราคาของไม่ เกิน ๑๐0 บาท จากนั้นใหผ้ ู้เรยี นซ้ือของท่ีผสู้ อนเตรียมไวใ้ นราคาช้ิน ละ ๑ บาท โดยให้ ๕) ผเู้ รียนหยิบเหรียญ ๑ บาทมาจ่าย จากน้ันผู้สอนเปล่ียนสถานการณ์ ราคาของเปน็ ๒ บาท ไปจนถงึ ราคา ๑๐ บาท

กลุ่มทักษะจำเป็นเฉพำะควำมพกิ ำรหรือทกั ษะจำเป็นอืน่ ๆ กลุ่มทักษะจำเป็นเฉพำะควำมพิกำรหรือทักษะจำเป็นอื่นๆ หมายถึง การพัฒนาศักยภาพของเด็กพิการที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษเฉพาะหรือทักษะจาเป็นอื่นๆ แต่ละประเภทความพิการ ครอบคลุม ๔ ประเภท ได้แก่ ทักษะจาเป็นเฉพาะสาหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น ทักษะจาเป็นเฉพาะสาหรับ เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน ทักษะจาเป็นสาหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวหรือสุขภาพ และทักษะจาเป็นเฉพ าะสาหรับเดก็ ออทิสตกิ มีรายละเอยี ดดงั นี้ - กลุ่มทักษะจำเป็นเฉพำะสำหรบั เด็กที่มีควำมบกพร่องทำงกำรเห็น - กลุ่มทกั ษะจำเปน็ เฉพำะสำหรับเด็กท่มี ีควำมบกพร่องทำงกำรได้ยนิ - กลมุ่ ทกั ษะจำเปน็ เฉพำะสำหรับเดก็ ท่ีมีควำมบกพร่องทำงสตปิ ญั ญำ - กลมุ่ ทกั ษะจำเปน็ เฉพำะสำหรับเดก็ ทีม่ ีควำมบกพร่องทำงร่ำงกำย หรือกำรเคลื่อนไหว หรือสขุ ภำพ - กลุ่มทักษะจำเปน็ เฉพำะสำหรับเด็กท่มี ีควำมบกพร่องทำงกำรพูดและภำษำ - กลมุ่ ทักษะจำเปน็ เฉพำะสำหรบั เด็กท่ีมีควำมบกพร่องทำงพฤติกรรม หรอื อำรมณ์ - กลมุ่ ทักษะจำเปน็ เฉพำะสำหรับบุคคลออทิสติก - กลุ่มทักษะจำเป็นเฉพำะสำหรบั บุคคลพิกำรซ้อน

๑๒๒ กล่มุ ทักษะจำเป็นเฉพำะสำหรับเด็กทม่ี คี วำมบกพร่องทำงกำรเห็น๑. คำอธิบำยรำยกลุ่มทกั ษะ กลุ่มทักษะจาเป็นเฉพาะเด็กท่ีมีความบกพร่องทางการเห็น เป็นการพัฒนาเกี่ยวกับ การใช้ประสาทสัมผัสทางการเห็นที่เหลืออยู่ การสร้างความคนุ้ เคยกบั สภาพแวดลอ้ มและการเคลอื่ นไหว การเดินทางของคนตาบอด การฝึกประสาทสมั ผสั การเคลื่อนที่ของมือ การเตรียมความพร้อมการเขียนอักษรเบรลล์ การอา่ นอกั ษรเบรลล์ไทย การเขียนอักษรเบรลลไ์ ทย และการใช้ลกู คิด โดยใช้กระบวนการ การปฏิบัติจริง การสาธิต การวิเคราะห์งาน และการบูรณาการ ท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ จากผู้มีความชานาญเฉพาะด้านมีทีมสหวิทยาการ ผู้ปกครอง ครอบครวั ชมุ ชน และผ้ทู ่มี ีส่วนเกี่ยวข้องในการพฒั นาศกั ยภาพผเู้ รียน เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถช่วยเหลือตนเองได้ ใช้ภาษาในการส่ือสารได้อย่างเหมาะสม สนใจต่อการเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัว เล่นและทากิจกร รมร่วมกับผู้อื่นได้ มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม มวี ินัยในตนเอง มีความรับผิดชอบ การคดิ แกป้ ญั หา ดารงชวี ติ ประจาวันไดอ้ ยา่ งอสิ ระและมคี วามสุข๒. วัตถุประสงค์ของกำรพฒั นำกลุ่มทกั ษะเฉพำะดำ้ น ๑) เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนสามารถใช้ประสาทสมั ผัสทเ่ี หลืออยไู่ ดอ้ ย่างเต็มศักยภาพ ๒) เพอื่ ใหผ้ ้เู รียนสามารถชว่ ยเหลอื ตนเอง และดารงชีวิตประจาวนั ได้อย่างอสิ ระ ๓) เพื่อใหผ้ เู้ รียนมีความพรอ้ มในการศึกษาระดบั สงู ข้นึ

๑๒๓๓. แนวกำรจดั กิจกรรมกำรเรยี นรู้กลุ่มทกั ษะจำเปน็ เฉพำะสำหรบั เดก็ ทมี่ คี วำมบกพรอ่ งทำงกำรเห็นกลมุ่ ทกั ษะกำรใช้สำยตำสำหรับบุคคลสำยตำเลอื นรำง ทักษะ ทกั ษะย่อย พฒั นำกำรที่คำดหวงั แนวกำรจัดกิจกรรม ๑.๑ การรับรูส้ ง่ิ ท่ีเหน็ ๑.๑.๑ สามารถมองหาวัตถุท่ีอยู่๑. การใชป้ ระสาท ขา้ งหนา้ เม่ือมกี ารเคลื่อนไหวหรอื ๑) ผู้สอนฉายไฟฉายช้ีไปที่ตาของผู้เรียนในทิศทางต่างๆ แล้วให้ผู้เรียนชี้สมั ผัสทางการเหน็ ๑.๒ การควบคุมการ มีเสียงได้ ว่าแสงมาจากทิศทางใดท่ีเหลอื อยู่ เคลื่อนไหวของตาโดยการ มองตามวัตถทุ ่ีเคล่อื นที่ ๑.๒.๑ สามารถมองตามวัตถุท่ี ๒) ผู้สอนเขย่ากระด่ิงหรือวัตถุท่ีมีเสียงแล้วให้ผู้เรียนหันหน้าไปตาม (Tracking) เคล่ือนท่ใี นทศิ ทางต่างๆ ได้ ทศิ ทางของเสียง และใหผ้ เู้ รียนเอ้อื มมอื ออกไปควา้ ๑.๓ การควบคุมการ เคล่ือนไหวของตาโดยการ ๑.๓.๑ สามารถบอกหรอื ชีต้ าแหน่ง ๓) ผู้สอนใช้ส่ิงของท่ีมีขนาดและสีท่ีแตกต่าง หลากหลาย มีความตัดกัน กวาดสายตา (Scanning) ของวตั ถหุ รือภาพในตาแหน่งตา่ งๆ ของสีกับพื้นโต๊ะท่ีวางแล้วให้ผู้เรียนเลือกหยิบสิ่งของตามท่ีผู้สอน ได้ กาหนด โดยไม่ใชม้ ือควานหา ๑) ผู้สอนกล้ิงลูกบอลไปตามพื้น และให้ผู้เรียนมองตามลูกบอลท่ีมีสีสัน สดใสตัดกนั กับพ้ืนที่ กลง้ิ ไปตามพืน้ แลว้ ให้ไปหยิบมาใหผ้ ูส้ อน ๒) ผู้สอนใช้กระดาษทาเป็นราง ท่ีมีความเอียงหลายระดับ เป็นรางแบบ เปิด ให้ผู้เรียนวางลูกปิงปอง หรือลูกบอล แล้วปล่อยให้กลิ้งลงมา ตามราง และใหผ้ ูเ้ รียนมองตามวัตถุหรอื ชต้ี ามวัตถุทก่ี ล้งิ ในราง ๑) ผู้สอนใช้ส่ิงของที่มีขนาดและสีท่ีแตกต่าง หลากหลาย มีความตัดกัน กับของสีกับพ้ืนโต๊ะ วางบนตาแหน่งต่างๆของโตะ๊ และใหผ้ ู้เรียนกวาด สายตาสารวจสง่ิ ของบนโต๊ะว่ามอี ะไรบ้างและอยูท่ ่ีส่วนไหนของโต๊ะ ๒) ผู้สอนวางหมุดสีต่างๆ บนกระดานแม่เหล็กสีขาว ให้ผู้เรียนใช้สีเมจิก โยงเสน้ ไปตามตาแหนง่ ของหมดุ ทกี่ าหนดให้

๑๒๔ ทกั ษะ ทักษะยอ่ ย พฒั นำกำรที่คำดหวงั แนวกำรจัดกิจกรรม๑. การใช้ประสาท ๑.๔.๑ สามารถจาแนกวัตถุสง่ิ ของ ๓) ผู้สอนวางสงิ่ ของตา่ งๆในห้องท่ีตาแหน่งต่างๆ ท่ชี ดั เจน จากนนั้ ให้สมั ผัสทางการเหน็ หรอื ภาพจากการมองได้ ผเู้ รยี นเข้ามาในห้องและกวาดสายตามองหาสง่ิ ทผี่ ูส้ อนกาหนดทเ่ี หลอื อยู่ (ตอ่ ) ๑.๕.๑ สามารถบอกกริ ยิ าท่าทาง ๔) ผู้สอนนาแผ่นภาพทีม่ ีภาพวตั ถหุ รอื สงิ่ ของต่าง ๆ มาใหผ้ ู้เรยี นดู และ ๑.๔ การจาแนกวตั ถุ จากส่ิงที่เห็นได้ ให้ผเู้ รยี นมองภาพและบอกหรือชต้ี าแหน่งวัตถหุ รือภาพที่ผู้สอนถาม ส่ิงของ หรอื ภาพ ๑.๖.๑ สามารถบอกรายละเอียด จากส่งิ ทเี่ หน็ ได้ ๑) ผู้สอนวางวัตถุบนโต๊ะ ชนิดเดียวกันประมาณ ๓-๕ ชิ้นโดยให้วัตถุ ๑.๕ การจาแนกสหี นา้ ๑ ชิ้นมีความแตกต่างไปจากที่มีอยู่ แล้วให้ผู้เรียนบอกว่า วัตถุช้ินใดมี ท่าทาง ความแตกต่างจากพวกโดยไมใ่ ช้มอื สมั ผัส ๑.๖ การรบั รู้ และบอก ๒) ฝึกผู้เรียนจับคู่ภาพเหมือนหรือภาพที่แตกต่างกันโดยการมองอย่าง รายละเอยี ดเก่ยี วกบั สิง่ ที่ เดียว เห็น ๓) ผู้สอนใหผ้ เู้ รียนมองของจรงิ แล้วใหเ้ ลอื กภาพทต่ี รงกบั สง่ิ ที่มองเหน็ ๔) ผู้สอนใหผ้ ้เู รียนบรรยายภาพอย่างหยาบๆ จากส่ิงที่เห็น ๑) ผสู้ อนทาสหี น้า ท่าทางแบบต่างๆ แลว้ ใหผ้ ู้เรยี นทาตามแบบ ๒) ผ้สู อนใหผ้ ูเ้ รยี นดูภาพแล้วบรรยายทา่ ทางจากภาพทเ่ี หน็ ๑) ผู้สอนกาหนดวัตถุของจริงหลายๆอย่างให้ผู้เรียนมองวัตถุของจริง แตล่ ะอย่างแล้วบอกรายละเอยี ดของส่งิ ท่ีเหน็ ๒) ผสู้ อนใหผ้ เู้ รยี นมองดูภาพและให้บอกรายละเอียดเท่าทมี่ องเหน็

๑๒๕กลมุ่ ทักษะกำรสร้ำงควำมคุ้นเคยกบั สภำพแวดล้อมและกำรเคลอ่ื นไหว(O&M) ทกั ษะ ทกั ษะย่อย พัฒนำกำรที่คำดหวงั แนวกำรจดั กิจกรรม ๑.๑ การใชป้ ระสาทสมั ผสั ๑.๑.๑ สามารถใชป้ ระสาทสมั ผัส๑. การสรา้ ง ทางการไดย้ ิน ทาง การได้ยินในสภาพแวดล้อมได้ ๑) ฝึกการแยกความแตกต่างของเสยี งชนิดต่างๆ โดยใช้ของทมี่ เี สยี งเขย่าความคุ้นเคยกบั ใหผ้ ู้เรยี นฟังแล้วใหผ้ ู้เรียนบอกว่าเป็นเสียงของอะไร เชน่ กระด่ิง วิทยุสภาพแวดลอ้ ม ๑.๒ การใช้ประสาทสมั ผัส ๑.๒.๑ สามารถใช้ประสาทสัมผสั กลอง กรบั ปรบมอืและการ ทางการดมกล่ิน ทาง การดมกลนิ่ ในสภาพแวดล้อมเคลอื่ นไหว ได้ ๒) ฝึกการแยกความแตกต่างของเสียงชนิดต่างๆ โดยใช้วิทยุ เทป หนังสือเสียง เปิดให้ผู้เรียนฟังแล้วให้แยกแยะเสียง สังเกต จาเสียง เช่น เสียงน้าตก (เสียงธรรมชาติต่างๆ) เช่น เสียงร้องของสัตว์ เช่น เป็ด เปน็ ตน้ ๓) ผู้สอนเคาะไม้หรือท่อนเหล็กตามตาแหน่งต่างๆแล้วให้ผู้เรียนชี้ไปยัง ตาแหน่งนั้น ๔) ผู้เรียนบอกจังหวะ ช้า- เร็ว, ดัง-เบา เสียงสูง-ต่า โดยการเคาะวัตถุ อุปกรณ์ เช่น กลอง การเปิดเพลงให้มีจังหวะช้าเร็วและให้ผู้เรียน ปรบมอื หรือเคาะตามเสยี งทีไ่ ด้ยิน ๕) ฝึกผู้เรียนนอนบนพื้นวัตถุต่างกันแล้วเคลื่อนไหว ให้ผู้เรียนฟังเสียง เช่น หนังสือพิมพ์ ถุงพลาสติก ผ้า กระสอบ กระดาษทราย พรม เปน็ ต้น ๑) ฝึกผู้เรียนใช้แป้งทาตัว ผู้สอนบอกผู้เรียนว่า กลิ่นนั้นคือกล่ินอะไร และใหผ้ เู้ รียนได้สัมผสั และดมแป้งทาตัวทีแ่ ขนหรือมอื ตนเอง ๒) ฝึกให้ ผู้เรียนรู้จัก น้านม โดยผู้สอนหยดน้านมลงบนฝ่ามือผู้เรียน เล็กน้อยในระยะการดม่ื นมครง้ั แรก แลว้ ให้ผเู้ รียนดมกล่ิน แลว้ บอก

๑๒๖ ทักษะ ทักษะย่อย พฒั นำกำรทค่ี ำดหวัง แนวกำรจัดกจิ กรรม๑. การสร้าง ๓) ผเู้ รยี นว่าสง่ิ นีค้ อื นา้ นมความคุ้นเคยกบั ๔) ฝึกผเู้ รยี นให้รับร้กู ลิ่นของพ่อและแม่ เชน่ ในขณะท่ีแม่อ้มุ ลูกเพือ่ ให้สภาพแวดลอ้ มและการ นมใหแ้ ม่พดู กบั ลูกอย่เู สมอแสดงตนวา่ ตนเปน็ ใคร เพอ่ื ให้ผ้เู รียนรับรู้เคลอื่ นไหว (ตอ่ ) ความรู้สึก ความอบอนุ่ และจดจากลิน่ ของแม่ ในกรณีของพ่อให้อ้มุ กอดแลว้ พดู คุยแสดงตนกบั ลูกเพ่ือใหเ้ กิดการรับรู้กลิ่นของพอ่ ๑.๓ การใช้ประสาทสัมผัส ๑.๓.๑ สามารถใชป้ ระสาทสมั ผสั ๕) ฝึกผู้เรียนดมกล่ินสิง่ ของ เครือ่ งใช้ เคร่ืองนงุ่ ห่ม อาหารผลไม้ และ ดอกไม้ชนดิ ต่างๆ ท่ีพบในชวี ิตประจาวันโดยผูฝ้ ึกอธบิ ายถงึ ลกั ษณะ ทางการชมิ รส ทาง การชมิ รสอาหารได้ ของกลิ่นนัน้ ๆ ๑.๔ การใช้ประสาทสมั ผสั ๑.๔.๑ สามารถใชป้ ระสาทสัมผัส ๑) ผู้สอนนาอาหารแต่ละชนิด เช่น เกลือ น้าตาล มะนาว ขนมท่ีมีรสเผ็ด เล็กนอ้ ย มาใหผ้ ู้เรยี นลองชมิ และบอกรสชาติของอาหารแต่ละชนิด ทางผวิ กาย ทางผวิ กายในสภาพแวดลอ้ มได้ ๒) ผู้สอนบอกรสชาติของอาหารให้ผู้เรยี นพูดตามทีละอยา่ ง ๓) ผู้สอนนาอาหารที่มีรสต่างกันมาให้ผู้เรียนชิม เช่น เค็ม เปร้ียว หวาน จืด เปน็ ตน้ ๔) ผู้เรียนชิมอาหารท่ีทามาจากเน้ือสัตว์ ผัก ผลไม้ และบอกว่าอาหารแต่ ละอยา่ งมีรสชาติอยา่ งไร ๑) ให้ผู้เรียนฝึกนวดกระตุ้นสัมผัสด้วย แป้งฝุ่น โลช่ัน น้ามันพืช ๑๐๐% อปุ กรณ์นวดระบบสั่น ฯลฯ ๒) ผเู้ รียนฝึกใชม้ อื สารวจสิง่ ของตา่ งๆท่ีมพี ืน้ ผวิ ท่ีแตกต่างกนั ๓) ผเู้ รยี นฝึกสารวจส่งิ ของต่างๆท่ีมีหลายๆขนาดด้วยการสมั ผสั ๔) ผู้สอนนาผู้เรียนไปสารวจสถานที่ต่างๆโดยการสัมผัสและรับรู้ถึง สภาพแวดลอ้ มโดยการรบั รูจ้ ากผวิ กาย

๑๒๗ ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนำกำรทีค่ ำดหวงั แนวกำรจดั กจิ กรรม ๑.๕.๒ สามารถบอกพนื้ ผิวที่๑. การสรา้ ง ๑๕ ภาพแวดล้อมกบั แตกต่างกันได้ ผู้สอนนาวัตถุ ส่ิงของ หรือกระดานกระตุ้นประสาทสมั ผัสท่ีประกอบด้วยความคนุ้ เคยกับ สภาพ แวดลอ้ ม ๑.๕.๓ สามารถบอกความรูส้ ึก พ้ืนผิวที่แตกต่างกันให้ผู้เรียนสัมผัส โดยครูจับมือผู้เรียนไปสัมผัสแต่ละสภาพแวดลอ้ ม เก่ยี วกับอุณหภมู ขิ องสง่ิ ตา่ งๆ ได้ พ้นื ผิว พรอ้ มท้ังบอกว่านค่ี อื พ้ืนผิวอะไร อย่างไรและการ ๑.๕.๔ สามารถเรียงลาดบั ของ ผสู้ อนให้ผ้เู รียนสัมผัสความร้สู ึกต่างๆ เช่น ร้อน เย็น โดยผู้สอนเตรียมน้าเคลอ่ื นไหว (ต่อ) สภาพแวดล้อมในชุมชนได้ ร้อน ๑ แก้ว กับน้าเย็น ๑ แก้ว และให้ผู้เรียนยื่นมือสัมผัสแก้วน้าแต่ละ แก้ว โดยเม่ือผู้เรียนแตะแก้วน้าร้อน ผู้สอนก็บอกว่าน่ีคือ ร้อน และเมื่อ ๑.๕.๕ สามารถบอกเกีย่ วกับกลนิ่ ผู้เรยี นแตะแกว้ น้าเยน็ ผ้สู อนก็บอกผ้เู รยี นว่า น่คี ือ เยน็ ของต่างๆ ได้ ผู้สอนอธิบายสภาพแวดล้อมในการจะเดินจากท่ีหน่ึงไปยังอีกที่หน่ึงให้ ๑.๕.๖ สามารถบอกเกีย่ วกับเวลา ผู้เรียนฟัง เช่น การเดินจากห้องเรียนไปยังห้องน้า จะต้องเดินผ่าน ได้ อะไรบ้าง มีอะไรวางหรือตั้งอยู่ตรงจุดไหน เป็นต้น จากนั้นให้ผู้เรียน ทบทวนสภาพแวดล้อมในการากเดินทางจากห้องเรียนไปห้องน้าตามท่ี ผ้สู อนอธิบาย ให้ผู้สอนฟังอีกครง้ั ผู้สอนนาสิ่งของต่าง ๆ ท่ีมีกลิ่น ท่ีผู้สอนต้องการให้ผู้เรียนรู้จักมาให้ นักเรียนได้สัมผสั และดมกล่ิน เชน่ ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ โดยให้ผู้เรียน ดมกล่ินทีละกลิ่น และผู้สอนบอกผู้เรียนว่ากลิ่นน้ันคือกลิ่นอะไร แล้ว ผสู้ อนค่อย ๆ ให้ผู้เรียนฝึกดมกล่ินและบอกว่ากลิ่นน้ันคือกลิ่นของอะไรด้วย ตนเอง ผู้สอนอธบิ ายให้ผเู้ รียนรูเ้ กยี่ วกับเวลาต่างๆ โดยการเชอื่ มโยงกับการทา กจิ วตั รประจาวัน เช่น ๐๖.๐๐ น. ตืน่ นอน อาบนา้ แต่งตวั ๐๗.๐๐ น. กนิ ข้าว ๐๗.๓๐ น. ไปโรงเรยี น ๐๘.๐๐ น. เขา้ แถวเคารพธงชาติ ฯลฯ

๑๒๘ ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนำกำรทคี่ ำดหวงั แนวกำรจัดกิจกรรม๑. การสรา้ ง ๒.๑ การเดนิ กบั ผนู้ าทางความคุ้นเคยกับ ๑.๕.๗ สามารถบอกทศิ ทางต่างๆ ผู้สอนฝึกใหผ้ ้เู รียนร้วู ่า แสงแดดทมี่ ากระทบใบหนา้ ในช่วงเช้า ให้สภาพแวดลอ้ มและการ ได้ ผเู้ รียนร้วู ่า ด้านหนา้ ของผเู้ รยี น คือทิศตะวนั ออก ด้านหลังของผ้เู รยี นเคลื่อนไหว (ต่อ) คือทิศตะวันตก ดา้ นซา้ ยของผเู้ รียน คือทศิ เหนือ และดา้ นขวาของผู้เรยี น๒. การเดนิ ทางของคนตาบอด คือทิศใต้ ๑.๕.๘ สามารถบอกเครื่องหมายตา ผู้สอนอธิบายให้ผู้เรียนรู้จักความหมายของคาว่าเคร่ืองหมายตา (Landmark) และรอ่ งรอย (Clues) (Landmark) และร่องรอย (Clues) โดยเคร่ืองหมายตา (Landmark) ต่างๆ ได้ หมายถึง วัตถุส่ิงของที่มักจะอยู่กับที่ ไม่เคลื่อนย้าย เช่น ต้นไม้ กาแพง ส่วน ร่องรอย (Clues) หมายถึง วัตถุส่ิงของที่มีการเคลื่อนย้ายไปท่ีต่างๆ ได้ เช่น เก้าอี้ กระถางต้นไม้ จากนั้นผู้สอนนาทางผู้เรียนไปสถานท่ีแห่ง หน่ึง เช่น จากห้องเรียนไปยังโรงอาหาร ในระหว่างการเดินทางผู้สอน อธิบายสภาพแวดล้อมตามเส้นทาง เม่ือถึงจุดหมายผู้สอนให้ผู้เรียนบอก ถึงเคร่ืองหมายตา (Landmark) และร่องรอย (Clues) ในเส้นทางท่ีเดิน มาใหผ้ ูส้ อนฟงั ๒.๑.๑ สามารถรบั ร้กู ารแตะนา ๑) ผู้สอนยืนด้านข้างของผู้เรียนจากน้ันใช้ หลังมือแตะมือของผู้เรียนเป็น และการจบั แขนผูน้ าทางได้ถูกต้อง สัญญากวา่ จะเดนิ ไปดว้ ยกัน ๒) ผู้เรยี นเลือ่ นมือขนึ้ จับแขนของผู้สอนเหนือขอ้ ศอกเลก็ น้อย ๓) ผู้สอนอาจจับมือผู้เรียนมาจับท่ีแขน โดยให้ผู้เรียนใช้มือขวา จับแขน ซ้าย หรือใช้มือซ้ายจับแขนขวาของผู้สอนบริเวณเหนือข้อศอก เล็กน้อย ใหห้ วั แมม่ ืออยูด่ า้ นนอก สว่ นอีก ๔ น้ิวทีเ่ หลอื อยู่ด้านใน การ จบั ต้องไมใ่ หแ้ นน่ หรือหลวมจนเกนิ ไปขณะท่จี บั แขน แขนชว่ งบนของ

๑๒๙ ทักษะ ทกั ษะยอ่ ย พฒั นำกำรทค่ี ำดหวัง แนวกำรจดั กจิ กรรม๒. การเดนิ ทาง ๒.๑ การเดนิ กับผนู้ าทาง ๔. ผู้เรียนอยแู่ นบลาตัวตามปกติ (ไมห่ นบี ไม่กางออก ไมโ่ ยห้ น้าและโย้ของคนตาบอด (ตอ่ ) หลงั ไปจากลาตวั ) สว่ นแขนชว่ งล่างยกต้งั ฉากกับแขนช่วงบน แตถ่ า้(ตอ่ ) เมอ่ื จับเหนือข้อศอกของผสู้ อนแลว้ ปรากฏว่า แขนช่วงบนและชว่ งลา่ ง ไม่ตง้ั ฉากกนั ผ้เู รยี นควรจะเลือ่ นมอื ขึ้นหรอื ลง เพือ่ ให้แขนอยใู่ น ๒.๑.๒ สำมำรถรบั รกู้ ำรกำ้ วเดนิ ลักษณะต้ังฉาก เม่ือจับเหนอื ขอ้ ศอกผู้สอนแลว้ ผู้เรียนจะยืนเย้อื งไป โดยมผี ู้นำทำงได้ถูกต้อง ขา้ งหลังผู้สอนประมาณครงึ่ ก้าวและต้องหันหนา้ ไปในทศิ ทางเดยี วกนั ถ้าไม่แน่ใจผ้เู รียนอาจตรวจสอบได้โดยใช้มือข้างท่จี ับข้อศอก จบั ดูว่า ไหล่ข้างท่ีใช้มอื จบั ของตนเองอยู่ตรงกับไหลข่ องผสู้ อน (ผนู้ าทาง) ขา้ ง ทจ่ี ับข้อศอกหรอื ไม่ ถ้าไม่ตรงควรขยบั ให้ตรงเสยี ก่อน เพือ่ เตรยี มพร้อมท่ีจะเดินต่อไป ผู้เรียนจับแขนผู้สอนและอยู่ในท่ำท่ีพร้อมที่จะเดินผู้สอน (ผู้นำทำง) บอกผเู้ รียนวำ่ “เรำจะเดินแล้วนะ” แล้วผ้สู อน (ผู้นำทำง) ก็กำ้ วเดินโดยมี ผู้เรียนก้ำวเดินตำม ในขณะที่เดินไปกับผู้สอน ทั้งผู้สอนและผู้เรียนควร จะเดินไปตำมสบำยอย่ำงปกติ คือตัวผู้เรียนเองจะต้องไม่เกร็ง ไม่เดินช้ำ หรือเร็วจนเกินไป โดยสังเกตจำกผู้สอน และพยำยำมรักษำตำแหน่งของ มือที่จับข้อศอกให้อยู่ในตำแหน่งเดิมตลอดเวลำส่วนผู้สอนเองก็ไม่ต้อง ห่วงหรือเป็นกังวลมำกจนตนเองไม่มีควำมสุข ควรเดินนำผู้เรียนไป เร่ือยๆ ท้ังนี้เพรำะควำมเคล่ือนไหวของผู้สอนจะส่งไป ยัง มือของ ผู้เรียนท่ีจับอยู่ แต่เพ่ือควำมสะดวกย่ิงข้ึนเมื่อถึงที่ลง เช่น ฟุตบำท ผู้สอน ควรบอกว่ำ “ลง” พร้อมกับก้ำวลงไปก่อน ผู้เรียนจะรู้ช่วงลึกของฟุตบำท จำกข้อศอกทก่ี ำลังจับอยู่ และจะกำ้ ว

๑๓๐ ทักษะ ทกั ษะยอ่ ย พฒั นำกำรทค่ี ำดหวงั แนวกำรจดั กจิ กรรม๒. การเดนิ ทาง ๒.๑ การเดินกับผ้นู าทาง ๒.๑.๓ สำมำรถรบั รู้กำรเปลยี่ นข้ำง ตำมลงไดจ้ งั หวะพอดี ในทำนองเดียวกนั เม่ือจะกำ้ วข้นึ ฟตุ บำท ผนู้ ำทำงของคนตาบอด (ตอ่ ) ไดถ้ ูกต้อง จะบอกวำ่ “ขนึ้ ” และกำ้ วไปก่อนผเู้ รียนจะรคู้ วำมสูงของฟุตบำท และก้ำว(ตอ่ ) ข้นึ ตำมได้อย่ำงถูกจงั หวะ ๒.๑.๔ สามารถรับรูก้ ารหมุนกลบั ตวั ไดถ้ ูกต้อง ๑) ผู้เรียนใช้มืออีกข้ำงจับเหนือมือข้ำงท่ีจับอยู่เลื่อนมือข้ำงท่ีจับอยู่ผ่ำน หลังของผสู้ อนไปจบั แขนอีกข้ำงหนึ่งของผสู้ อน ๒.๑.๕ สามารถรับรกู้ ารตอบรับ หรือปฏเิ สธการนาทางได้ถูกต้อง ๒) เพ่ือให้ทราบตาแหน่งใหม่ที่จะจับ เบี่ยงตัวเดินพร้อมเลื่อนมือข้างใหม่ ไปจบั เหนอื ข้อศอกหรอื บริเวณที่เหมาะสม แลว้ ปล่อยมอื ขา้ งเดิม เมื่อผู้สอนเดินนาทางผู้เรียนมาถึงจุดใดจุดหนึ่ง หากต้องการหมุนกลับ ตัว ให้ผู้เรียนใช้มืออีกข้างย่ืนไปจับแขนอีกข้างของผู้สอน และจะอยู่ใน ลักษณะยนื หันหน้าเข้าหากนั แลว้ ผูเ้ รยี นก็ปล่อยมอื ขา้ งท่จี ับแขนผู้สอนใน การเดินตามผู้สอนครง้ั ท่ีผ่านมา การตอบรบั การนาทาง ผู้สอนเดนิ เขา้ ไปทกั ทายผูเ้ รยี น ถามผเู้ รยี นวา่ ต้องการจะไปทไ่ี หน หรือไม่ หากผูเ้ รยี นตอบว่าต้องการไปน่ังที่เก้าอีแ้ ละตอ้ งการผู้นาทาง ผ้สู อนก็อาสาเป็นผู้นาทาง การใหส้ ัญญาณในการนาทาง ผสู้ อนยน่ื หลงั มอื ข้างท่ตี ้องการใหผ้ ้เู รียนจับไปแตะท่ีหลังมือของผูเ้ รยี น ๑-๒ ครงั้ ผเู้ รยี น คอ่ ยๆ เลื่อนมอื ท่โี ดนแตะขนึ้ มาจับเหนือข้อศอกของผูน้ าทางแลว้ ผู้สอนก็ เดนิ นาทาง การปฏิเสธการนาทาง ๑) กรณีที่ต้องการปฏิเสธการนาทาง สถานการณ์ในขณะนั้นอาจจะ เป็นในลกั ษณะท่ีว่า ผู้สอนเข้าไปจบั มอื หรือแขนผูเ้ รียนเพื่อพาไปยงั ท่ีใดที่

๑๓๑ ทักษะ ทกั ษะย่อย พัฒนำกำรท่ีคำดหวงั แนวกำรจดั กิจกรรม หนงึ่ หากผเู้ รยี นตอ้ งการปฏิเสธการนาทาง ให้ผู้เรยี นใช้มือข้างท่ีไมโ่ ดน๒. การเดินทาง ๒.๑ การเดนิ กับผูน้ าทาง ๒.๑.๖ สามารถรบั รกู้ ารเดนิ ทาง จับ จบั มอื ของผู้นาทางออกของคนตาบอด (ตอ่ ) แคบโดยมีคนนาทางไดถ้ ูกตอ้ ง ๒) แต่หากผ้เู รียนต้องการไปในท่ีทผี่ ู้สอนจะพาไป โดยผู้เรยี นต้องการ(ตอ่ ) จบั แขนของผสู้ อน ให้ผ้เู รียนค่อยๆ เลือ่ นมือขนึ้ ไปจับเหนือข้อศอกของ ๒.๑.๗ สามารถเดินกบั ผู้นาทางขึ้น ผู้นาทาง (ตามหลักการเดนิ โดยมีผู้นาทาง) ลงบนั ไดได้ ๑) ผู้สอนควรบอกผู้เรียนก่อนว่า “เรากาลังจะเดนิ ในทางแคบ” พร้อมกับ เอามือขา้ งที่ผู้เรียนจับไพล่ไปข้างหนึ่ง พยายามให้มืออยู่กลางหลังมาก ที่สุด ผู้เรียนจะยึดแขนที่จับข้อศอกอยู่พร้อมกับหลบ เข้าไปเดิน ตามหลังผู้สอนในลักษณะเดินเรียงหน่ึง โดยผู้เรียนเหยียดแขนให้ตรง ผู้เรียนควรก้าวเท้าให้สั้นลงกว่าปกติเล็กน้อย เพ่ือกันไม่ให้เหยียบเท้า ผสู้ อน ๒) เมื่อเดินพ้นที่แคบแล้ว ผู้สอนนาแขนกลับมาไว้ตาแหน่งเดิม ผู้เรียน จะรู้ได้ว่านั่นเป็นสัญญาณบอกให้ทราบว่าเดินพ้นทางแคบแล้วจึง กลบั มาเดินในตาแหนง่ เดิมตามปกติ ในกรณีทีผ่ สู้ อนถือของอยู่ไม่เปน็ การสะดวกทจี่ ะเอามือไพลห่ ลงั ผู้นาทางจะให้สัญญาณ โดยการขยับข้อศอกข้างที่ผู้เรียนจับอยู่ไป ทางด้านหลงั ให้ทราบ การข้นึ บันได เม่ือผู้สอนเดินนามาถึงบันได ต้องบอกว่า “จะข้ึนบันไดที่ไม่มีราวจับ” แลว้ ผสู้ อนกก็ ้าวขึน้ ผ้เู รยี นจะก้าวตามโดยอยตู่ า่ กวา่ ผูส้ อน ๑ ข้นั เม่อื

๑๓๒ ทกั ษะ ทกั ษะย่อย พฒั นำกำรทีค่ ำดหวัง แนวกำรจัดกิจกรรม๒. การเดนิ ทาง ๒.๑ การเดินกับผ้นู าทาง ผสู้ อนก้าวขึน้ ข้ันสุดท้ายไปแลว้ ตอ้ งบอกว่า “หมดแลว้ ” แลว้ ก้าวเดินของคนตาบอด (ตอ่ ) ตอ่ ไป ทง้ั นเ้ี พ่ือกันไมใ่ ห้ผเู้ รียนคดิ วา่ ขั้นบันไดยงั มีอยแู่ ละหลงยกเท้าก้าว(ตอ่ ) ข้นึ อกี การลงบันได ๑) เมื่อผู้สอนเดินนามาถึงบันได ควรหยุดและบอกว่า “จะลง บั น ได ” แ ล้ ว จึ งก้ าว ล งผู้ เรีย น จ ะ ก้ าว ต าม ล งไป โด ย อ ยู่ เห นื อ ผู้ ส อ น ๑ ขั้ น แ ล ะ เม่ื อ ผู้ ส อ น ก้ า ว ล ง ถึ ง พ้ื น แ ล้ ว ต้ อ ง บ อ ก วา่ “หมดแล้ว” พร้อมกับเดินตอ่ ไป ผ้เู รียนก็จะเดินได้อยา่ งปกติ ๒) เวลาจับราวบันได ผู้เรียนจะเหยียดแขนไปข้างหน้าเล็กน้อยจึง สามารถทราบและกะระยะได้ ๓) บันไดท่ีมีราวบันได การขึ้น – ลง บันไดชนิดท่ีมีราวบันได เม่ือผู้สอนนาไปถึงบันไดควรบอกให้ทราบแล้วจับมือผู้เรียนไปจับท่ีราว บันได พร้อมกับเดินขึ้นหรือเดินลงคู่กันไปกับผู้เรียน เพราะผู้เรียนจะรู้ได้ ว่าลงหมดแล้วหรือข้ึนหมดแล้วจากราวบันได เน่ืองจากปลายราวบันได ทง้ั ๒ ข้าง จะมีลกั ษณะงอขน้ึ หรืองมุ้ ลง กอ่ นท่จี ะกา้ วเทา้ ไป ๔) ถ้าต้องการจะเดินขึ้นหรือลงข้ันหนึ่ง ผู้นาทางจะต้องบอกให้คน พิการทางการเห็นทราบ เพื่อให้เขาจับเลาะราวบันไดต่อไป ส่วนบันได ชนิดอื่นๆ เช่น บันไดเวียน หรือบันไดพาดที่มี ๒ ขา ถ้ามีโอกาสควรสอน ด้วยหรืออย่างน้อยควรอธิบายถึงลักษณะทั่วๆ ไปให้ ผู้เรียนรับทราบให้ มากที่สุดเท่าที่จะทาได้ เพ่ือให้ผู้เรียนสามารถนาวิธีไปปรับใช้ได้ด้วย ตนเองตอ่ ไป

๑๓๓ ทักษะ ทกั ษะย่อย พฒั นำกำรทค่ี ำดหวงั แนวกำรจัดกจิ กรรม ๒.๑.๘ สามารถเดินกบั ผนู้ าทางใน๒. การเดนิ ทาง ๒.๑ การเดินกบั ผู้นาทาง การเปิดปดิ ประตไู ด้ ๑) ผู้เรียนต้องยืนอยู่ด้านเดียวกับบานพับประตูเสมอ ถ้าเป็นประตูชนิดของคนตาบอด (ตอ่ ) ผลักออกจากตัว ผู้สอนจะต้องใช้มือข้างท่ีผู้เรียนจับอยู่ จับลูกบิด(ตอ่ ) ๒.๑.๙ สามารถสารวจเก้าอ้ีก่อน แลว้ เปดิ ประตนู าหนา้ เขา้ ไป ผู้เรียนจะเดนิ ตามโดยใช้มอื ทีว่ างอยู่ การนั่งได้ ๒) เลาะขอบประตู หรือจบั ลกู บดิ เพอ่ื ปิดประตูไว้ตามเดิม ถ้าเป็นประตูชนิดดึงเข้าหาตัว ผู้สอนจะใช้มือข้างท่ีผู้เรียนจับอยู่จับ ลูกบิด ผู้เรียนจะใช้มืออีกข้างหนึ่งเลาะไปตามแขนของผู้นาทาง เดินหน้าไปก่อน ผูเ้ รยี นเดินตามและปิดประตู การนง่ั เกา้ อี้ทีไ่ มม่ โี ตะ๊ ๑) ผสู้ อนพาผู้เรียนไปยืนหลังพนักเก้าอ้ี พร้อมย่ืนมือข้างที่ผู้เรยี นจบั อยู่ไป จับพนักเก้าอี้ แล้วบอกให้เขาน่ังผู้เรียนจะค่อยๆ เลื่อนมือจากข้อศอก ของผสู้ อนไปตามแขนเพื่อจับเกา้ อี้ ๒) หลังจากน้ันผู้สอนจะยืนห่างออก ผู้เรียนจะใช้ขาเลาะเก้าอ้ีไปทาง ด้านข้าง ก้มลง ๓) ต่อจากนั้นจึงเดินเลาะไปด้านหน้าของเก้าอี้ ให้ขาด้านหน้าท้ัง ๒ ข้าง และขอบเก้าอี้เท่ากนั แล้วจงึ นัง่ พร้อมปลอ่ ยมือทจ่ี ับพนักเก้าอ้ี การน่ังเก้าอที้ ม่ี โี ตะ๊ ผเู้ รียนใช้มือข้างหน่ึงจบั พนักเก้าอ้ีอยู่ แล้วใช้มืออกี ขา้ งหนึ่งแตะขอบ โตะ๊ ไว้พร้อมดึงเก้าอี้ออกให้ห่างจากโต๊ะ พอท่จี ะแทรกตัวเขา้ น่งั ได้ เมื่อนั่ง แล้วให้ผู้เรียนใช้หลังมือทั้ง ๒ ข้างสัมผัสขอบโต๊ะ เพื่อดูว่าน่ังได้ตรง ตามปกติหรือไม่ ถ้าน่ังเฉให้ใช้มือท้ัง ๒ ข้าง จับขอบเก้าอ้ีทั้ง ๒ ข้าง แล้ว ยกตวั ข้ึนพรอ้ มเกา้ อเี้ พอื่ ปรบั ให้พอดี

๑๓๔ ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนำกำรทคี่ ำดหวงั แนวกำรจดั กิจกรรม ผู้เรียนยกแขนข้างใดข้างหน่ึงข้ึนและเหยียดตรงไปข้างหน้า แล้วงอ๒. การเดนิ ทาง ๒.๒ การเดนิ โดยอิสระใน ๒.๒.๑ สามารถเดนิ ในสถานท่ีที่ ศอกเข้ามาขนานกับลาตัว (แขนต้ังฉาก) โดยยกแขนอยู่ในระดับใบหน้าของคนตาบอด สถานทที่ ี่คนุ้ เคย คนุ้ เคย โดยการปอ้ งกันตนเอง แล้วหันฝา่ มือออกด้านนอก(ตอ่ ) ส่วนบนได้ ผู้เรียนย่ืนแขนข้างใดข้างหนึ่งไปทางด้านหน้าลาตัว ในลักษณะปลาย ๒.๒.๒ สามารถเดนิ ในสถานท่ีที่ น้ิวชลี้ งพืน้ แล้วหนั หลงั มือออกดา้ นนอก คนุ้ เคย โดยการป้องกันตนเอง สว่ นล่างได้ ผู้เรียนยื่นมือไปจับที่ราว โดยใช้มือข้างท่ีอยู่ด้านเดียวกับราว และเดิน ไปตามปกติ ๒.๒.๓ สามารถเดนิ ในสถานที่ท่ี คุ้นเคย โดยการเกาะราวได้ ผู้เรียนยื่นแขนข้างใดข้างหน่ึง (ข้างท่ีอยู่ด้านเดียวกับผนังหรือกาแพง ของสถานที่ท่ีจะเดินละเลาะ) ไปด้านหน้าและกางแขนออกไปด้านข้าง ๒.๒.๔ สามารถเดินในสถานท่ีท่ี ลาตัวเลก็ นอ้ ย ใหอ้ ยู่ในระดับเอว หันหลังมือออก เพอื่ ใช้ในการแตะสมั ผัส คุน้ เคย โดยการเดนิ ละเลาะได้

๑๓๕กลมุ่ ทกั ษะกำรเตรยี มควำมพร้อมกำรอำ่ นอักษรเบรลล์ ทกั ษะ ทกั ษะย่อย พฒั นำกำรทคี่ ำดหวงั แนวกำรจดั กิจกรรม๑. การฝกึ ๑.๑ การฝกึ ประสาท ๑.๑.๑ สามารถบอกตาแหน่งต่างๆ ๑) ผเู้ รยี นใส่หมุดขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ลงในกระดานหมดุประสาทสัมผัส สมั ผัสมอื และนิ้วมือ ของจุดอกั ษรเบรลลไ์ ด้ ๒) ผู้เรียนใส่หมุดลงในกระดานหมุดที่มี ๓ แถวๆละ ๒ รูโดยใส่ตาม ตาแหน่งจุดท่ี ๑-๒-๓-๔-๕-๖ ๓) ผู้สอนอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจสัญลักษณ์อักษรเบรลล์ว่ามีลักษณะเป็น จดุ นนู เล็ก ๆ ใน ๑ ช่องประกอบดว้ ยจุด ๖ ตาแหน่ง ดงั ภาพ ๔) ผูเ้ รียนใส่หมดุ ตามตาแหน่งทีผ่ ้สู อนบอก ๕) ผู้เรยี นบอกตาแหนง่ จดุ ที่ ๑ โดยใช้ ๖ จุดเปรียบเทียบ ๖) ผเู้ รียนบอกตาแหนง่ จุดท่ี ๑, ๓ โดยใช้ ๖ จุดเปรยี บเทยี บ ๗) ผเู้ รยี นบอกตาแหน่งจดุ ท่ี ๑, ๔ โดยใช้ ๖ จุดเปรยี บเทียบ ๘) ผเู้ รียนบอกตาแหนง่ จุดที่ ๔, ๖ โดยใช้ ๖ จุดเปรียบเทยี บ ๙) ผู้เรยี นบอกตาแหน่งจดุ ที่ ๑, ๓ และ ๔, ๖ โดยใช้ ๖ จดุ เปรียบเทียบ ๑๐) ผเู้ รียนบอกตาแหน่งจุดที่ ๑, ๒, ๓ โดยใช้ ๖ จดุ เปรียบเทยี บ ๑๑) ผู้เรยี นบอกตาแหนง่ จดุ ที่ ๑, ๒, ๓ โดยใช้ ๖ จุดเปรียบเทยี บ ๑๒) ผูเ้ รียนบอกตาแหน่งจุดท่ี ๔, ๕, ๖ โดยใช้ ๖ จุดเปรียบเทยี บ ๑๓) ผู้เรียนบอกตาแหน่งจุดที่ ๑, ๒, ๓ และ ๔, ๕, ๖ โดยใช้ ๖ จุด เปรยี บเทยี บ

๑๓๖ ทักษะ ทักษะย่อย พัฒนำกำรทคี่ ำดหวงั แนวกำรจัดกจิ กรรม๒. กำรเคลือ่ นที่ ๒.๑ กำรฝกึ กำรเคลอ่ื นท่ี ๒.๑.๑ สำมำรถเคลอื่ นท่ีมือและนิว้ ๑) ผู้เรียนเคล่ือนมือจำกซ้ำยไปขวำบนภำพนูนรูปเรขำคณิตท่ีมีพ้ืนผิวของมือ ของมือและน้ิวมือ มอื ในกำรอำ่ นอักษรเบรลลไ์ ด้อยำ่ ง แตกตำ่ งกนั เหมำะสม ๒) ผู้เรียนเคล่ือนมือจำกซ้ำยไปขวำบนเส้นขอบรูปเรขำคณิตเป็นเส้นที่ แตกต่ำง ๓) ผเู้ รียนเคลื่อนมือจำกซ้ำยไปขวำบนเส้นเชือกหรือเส้นนูนท่ีมีรูปหลำย ลักษณะ ๔) ผู้เรียนเคลอ่ื นมอื จำกซำ้ ยไปขวำบนกระดำนหมุดขนำดใหญ่-เลก็ ๕) ผู้เรียนเคล่ือนมือท้ังสองจำกซ้ำยไปขวำโดยปลำยนิ้วช้ี นิ้วกลำง นว้ิ นำง น้ิวก้อย อย่บู นเสน้ ท่ีเป็นจุดนูนอักษรเบรลล์ ผเู้ รยี นเคลื่อนมือ ข้ำงขวำนำแล้วตำมด้วยมือข้ำงซ้ำย จำกซ้ำยไปขวำโดยปลำยนิ้วชี้ นว้ิ กลำง นว้ิ นำง น้ิวกอ้ ย อยู่บนเส้นที่เปน็ จดุ นนู อักษรเบรลล์ ๖) ผ้เู รียนเคลือ่ นมอื บนเสน้ จดุ นูนอกั ษรเบรลลท์ ม่ี จี ุดหำยไป จดุ ๑๓๔๖ ๗) ผเู้ รียนเคล่ือนมือบนเส้นจุดนูนอกั ษรเบรลลท์ ีม่ จี ุดหำยไป จุด ๑๒๔๕ ๘) ผเู้ รยี นเคลือ่ นมอื บนเส้นจดุ นูนอกั ษรเบรลล์ทม่ี จี ุดหำยไป จดุ ๑๔ ๙) ผเู้ รียนเคล่ือนมอื บนเสน้ จดุ นูนอักษรเบรลลท์ ย่ี ำว-ส้ันผูเ้ รยี นเคลื่อนมือ บนเสน้ จุดนนู อักษรเบรลล์ท่ยี ำวท่ีสดุ และส้ันทส่ี ุด ๑๐) ผู้เรียนเคลื่อนมือบนเส้นจำกซ้ำยไปขวำอักษรเบรลล์ที่เว้นวรรคแนว เดียวกนั ๑๑) ผู้เรียนเคลื่อนมือบนเส้นจำกซ้ำยไปขวำอักษรเบรลล์ท่ีเว้นวรรคต่ำง แนวกัน ๑๒) ผูเ้ รยี นเคลือ่ นมอื บนเสน้ จำกบนลงลำ่ งโดยอกั ษรเบรลลต์ วั ทม่ี ี

๑๓๗ ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนำกำรทีค่ ำดหวัง แนวกำรจดั กจิ กรรม๒. กำรเคลอื่ นที่ ๒.๑ กำรฝึกกำรเคล่อื นท่ี ๑๓)ลักษณะเหมอื นกันของมือ (ตอ่ ) ของมอื และน้วิ มอื (ตอ่ ) ๑๔)ผู้เรียนเคลื่อนมือบนเสน้ จำกบนลงล่ำงโดยอกั ษรเบรลลต์ ัวทีม่ ีลกั ษณะ ตำ่ งกันกลมุ่ ทกั ษะกำรอ่ำนอักษรเบรลล์ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนำกำรท่ีคำดหวงั แนวกำรจดั กิจกรรม๑. การอา่ นอักษร ๑.๑ พยญั ชนะอกั ษร ๑.๑.๑ สามารถอ่านอกั ษรเบรลล์ ๑) ผเู้ รยี นอ่าน จดุ ๖ จุด เรยี กพยญั ชนะตัวนว้ี ่า ฮ พยัญชนะภาษาไทย กลมุ่ จดุ ๑, ๒, การสอนกลมุ่ จดุ ๑, ๒, ๔, ๕ (มี ก จ ด ห)เบรลลไ์ ทย เบรลล์ภาษาไทย ๔, ๕ (มี ก จ ด ห) ได้ ๒) ผู้เรียนอ่าน ก เปรียบเทียบ ฮ เปรียบเทียบจากกระดานหมุด หรือ ลูกบดิ ใชจ้ ดุ ๑, ๒, ๔, ๕ ๓) ผู้เรียนอ่าน ก เปรียบเทียบ ฮ จากแบบฝึก๑ ท่ีมี ฮก (ที่ผู้สอนจัดทำ ขน้ึ ) ๔) แบบฝึกที่ ๒ มี ฮกฮจ (ที่ผู้สอนจัดทำขึ้น) ให้ผู้เรียนบอกตาแหน่งจุด ทีไ่ ม่ใช่ ก และบอกตาแหน่งจุดทีเ่ ป็นอกั ษรใหม่ เปรยี บเทียบ ฮ เรยี ก พยญั ชนะนวี้ า่ จ มี จดุ ๒, ๔, ๕ ๕) แบบฝึกท่ี ๓ มี ฮกฮจ ฮด (ท่ีผู้สอนจัดทำขึ้น) ให้ผู้เรียนบอก ตาแหน่งจุดที่ไม่ใช่ ก จ และบอกตาแหน่งจุดที่เป็นอักษรใหม่ เปรยี บเทียบ ฮ เรยี กพยัญชนะนี้ว่า ด มี จุด ๑, ๔, ๕ ๖) แบบฝึกท่ี ๔ มี ฮกฮจ ฮด ฮห (ท่ีผู้สอนจัดทำขึ้น ) ให้ผู้เรียนบอก ตาแหน่งจดุ ที่ไมใ่ ช่ ก จ ด และบอกตาแหนง่ จุดท่ีเปน็ อักษรใหม่

๑๓๘ ทกั ษะ ทักษะยอ่ ย พัฒนำกำรที่คำดหวงั แนวกำรจดั กิจกรรม๑. การอ่านอักษร ๑.๑ พยญั ชนะอักษร ๗) เปรยี บเทียบ ฮ เรียกพยญั ชนะนี้วา่ ห มี จดุ ๑, ๒, ๕เบรลล์ไทย (ตอ่ ) เบรลลภ์ าษาไทย (ต่อ) ๘) แบบฝึกหดั ท่ี ๕ มี ฮ ล ค ก ม ป (ท่ีผสู้ อนจัดทำขนึ้ ) ใหผ้ ูเ้ รยี นหา ก จากรปู ตัวอักษรท่ีกาหนด ๙) แบบฝกึ หัดที่ ๖ มีพยัญชนะ ก และ ฮ (ทีผ่ ู้สอนจัดทำขนึ้ ) โดยสลับ ตัวอกั ษรไปมาโดยมีการเวน้ วรรคใหผ้ เู้ รยี นอา่ นพยัญชนะเหล่านี้ ๑๐) แบบฝึกหดั ท่ี ๗ มพี ยญั ชนะ ฮ และ ก จ ด ห (ทผ่ี สู้ อนจดั ทำขน้ึ ) ใหผ้ ู้เรยี นหาอักษรที่ไม่ใช่ ก ๑๑) แบบฝกึ หดั ท่ี ๘ มีพยัญชนะ ฮ ก ฮจ ฮด ฮห (ท่ีผ้สู อนจัดทำข้นึ ) ๑๒) แตล่ ะบรรทดั และ ใหผ้ เู้ รียนหาอักษรทต่ี ่างจากพวก ๑๓) แบบฝึกหัดท่ี ๙ มีพยัญชนะ ก โดยเว้นวรรค (ท่ีผู้สอนจดั ทำขึ้น) ให้ ผเู้ รยี นอ่านตวั อกั ษรนี้ ๑๔) แบบฝกึ หดั ท่ี ๑๐ มีพยัญชนะ จ โดยเวน้ วรรค (ท่ีผ้สู อนจัดทำข้ึน) ให้ผู้เรยี นอา่ นตัวอักษรน้ี ๑๕) แบบฝึกหัดท่ี ๑๑ มพี ยญั ชนะ ด โดยเวน้ วรรค (ท่ผี ู้สอนจดั ทำข้นึ ) ใหผ้ ู้เรยี นอ่านตัวอกั ษรน้ี ๑๖) แบบฝึกหัดท่ี ๑๒ มีพยัญชนะ จ โดยเว้นวรรค (ที่ผู้สอนจัดทำข้ึน) ให้ผู้เรียนอ่านตวั อกั ษรน้ี ๑๗) แบบฝึกหัดที่ ๑๓ มีพยัญชนะ ก และ สระอา (ที่ผู้สอนจัดทำข้ึน) ให้ผเู้ รยี นอา่ นคา ๑๘) แบบฝึกหัดที่ ๑๔ มีพยัญชนะ จ และ สระอา (ที่ผู้สอนจัดทำข้ึน) ใหผ้ ู้เรยี นอ่านคา

๑๓๙ ทกั ษะ ทกั ษะยอ่ ย พัฒนำกำรที่คำดหวงั แนวกำรจดั กจิ กรรม๑. การอ่านอักษร ๑.๑ พยัญชนะอักษร ๑.๑.๒ สามารถอ่านอกั ษรเบร แบบฝึกหัดที่ ๑๕ มีพยัญชนะ ด และ สระอา (ที่ผู้สอนจัดทำข้ึน)เบรลล์ไทย (ตอ่ ) เบรลล์ภาษาไทย (ต่อ) ลลพ์ ยญั ชนะภาษาไทย กลุม่ จุด ให้ผ้เู รียนอ่านคา ๑๒๓๔๕ (ข ฉ ถ น ม ร ล ส อ) ๑๙) แบบฝึกหัดที่ ๑๖ มีพยัญชนะ ห และ สระอา (ท่ีผู้สอนจัดทำข้ึน) ได้ ให้ผู้เรียนอา่ นคา ๑) ผู้เรียนอ่าน ข เปรียบเทียบ ฮ เปรียบเทียบจากกระดานหมุด หรือ ลกู บดิ ใชจ้ ุด ๑, ๓ ๒) ให้ผู้เรียนอ่าน ข เปรียบเทียบ ฮ จากแบบฝึก ๑ ที่มี ฮข (ท่ีผู้สอน จัดทำข้นึ ) ๓) แบบฝกึ ที่ ๒ มี ฮขฮฉ (ท่ีผ้สู อนจัดทำข้ึน) ให้ผู้เรียนบอกตาแหน่ง จุด ไม่ใช่ ข และบอกตาแหน่งจุดท่ีเป็นอักษรใหม่ เปรียบเทียบ ฮ เรียก พยัญชนะนี้ว่า ฉ มี จุด ๓, ๔ ๔) แบบฝึกท่ี ๓ มี ฮขฮฉ ฮด (ท่ีผู้สอนจัดทำขึ้น) ให้ผู้เรียนบอก ตาแหน่งจุดท่ีไม่ใช่ ข ฉ และบอกตาแหน่งจุดท่ีเป็นอักษรใหม่ เปรยี บเทียบ ฮ เรียกพยญั ชนะนว้ี า่ ถ มี จดุ ๒, ๓, ๔, ๕ ๕) ใชแ้ นวการสอน น ม ร ล ส อ เชน่ เดยี วกับ ข ฉ หรอื ถ ๖) แบบฝกึ ท่ี ๔ น (จุด ๑, ๓, ๔, ๕) (ที่ผสู้ อนจัดทำขน้ึ ) ๗) แบบฝึกที่ ๕ ม (จุด ๑, ๓, ๔) (ทผ่ี ู้สอนจดั ทำขนึ้ ) ๘) แบบฝึกท่ี ๖ ร (จดุ ๑, ๒, ๓, ๕) (ที่ผู้สอนจดั ทำขน้ึ ) ๙) แบบฝกึ ท่ี ๗ ล (จดุ ๑, ๒, ๓) (ที่ผ้สู อนจดั ทำขึน้ ) ๑๐)แบบฝึกท่ี ๘ ส (จดุ ๒, ๓, ๔) (ท่ีผู้สอนจัดทำขนึ้ ) ๑๑)แบบฝกึ ท่ี ๙ อ (จุด ๑, ๓, ๕) (ท่ีผู้สอนจดั ทำขึน้ )

๑๔๐ ทักษะ ทกั ษะย่อย พัฒนำกำรที่คำดหวัง แนวกำรจดั กิจกรรม๑. การอา่ นอักษร ๑.๑ พยัญชนะอักษร ๑๒) แบบฝึกหัดที่ ๑๐ มีอักษร ข ฉ ถ น ม ร ล ส อ (ท่ีผู้สอนจัดทำขึ้น)เบรลล์ไทย (ตอ่ ) เบรลล์ภาษาไทย (ต่อ) ใหผ้ ู้เรยี นหำอักษรผูส้ อนกำหนด ๑๓) แบบฝึกหัดที่ ๑๑ มพี ยญั ชนะ ฮ และ ข ฉ ถ น ม ร ล ส อ (ท่ผี ู้สอนจดั ทำขนึ้ ) โดยสลบั ตวั อักษรไปมำโดยมีกำรเว้นวรรคให้ ผ้เู รียนอ่ำนพยญั ชนะเหลำ่ นี้ ๑๔) แบบฝึกหัดท่ี ๑๒ มีพยัญชนะ ฮ และ ข ฉ ถ น ม ร ล ส อ (ทผ่ี ้สู อนจัดทำขึ้น) ผู้เรยี นหำอกั ษรทีไ่ ม่ใชอ่ กั ษรทผ่ี ูส้ อนกำหนด ๑๕) แบบฝึกหัดที่ ๑๓ มพี ยญั ชนะ ฮขฮฉฮถฮนฮมฮรฮลฮสฮอ (ท่ผี ้สู อน จดั ทำขึน้ ) แตล่ ะบรรทดั และให้ผเู้ รียนหำอักษรท่ีตำ่ งจำกพวก ๑๖) แบบฝึกหัดที่ ๑๔ มีพยัญชนะ ข (ที่ผู้สอนจัดทำขึ้น) โดยเว้นวรรค ให้ผู้เรียนอำ่ นตวั อักษรนี้ ๑๗) แบบฝึกหัดท่ี ๑๕ มีพยัญชนะ ฉ (ท่ีผู้สอนจัดทำข้ึน) โดยเว้นวรรค ใหผ้ เู้ รียนอำ่ นตัวอักษรนี้ ๑๘) แบบฝึกหัดที่ ๑๖ มีพยัญชนะ ถ (ที่ผู้สอนจดั ทำขน้ึ ) โดยเว้นวรรค ให้ผเู้ รยี นอำ่ นตัวอกั ษรนี้ ๑๙) แบบฝกึ หัดท่ี ๑๗ มพี ยญั ชนะ น (ทผ่ี ู้สอนจัดทำขึน้ ) โดยเวน้ วรรค ให้ผ้เู รยี นอำ่ นตัวอกั ษรนี้ ๒๐) แบบฝึกหัดที่ ๑๘ มีพยัญชนะ ม (ท่ีผู้สอนจัดทำข้ึน) โดยเว้นวรรค ให้ผู้เรียนอ่ำนตัวอักษรน้ีแบบฝึกหัดท่ี ๑๙ มีพยัญชนะ ร (ที่ผู้สอน จดั ทำข้ึน) โดยเว้นวรรค ใหผ้ ้เู รียนอ่ำนตัวอกั ษรนี้

๑๔๑ ทกั ษะ ทกั ษะย่อย พฒั นำกำรท่คี ำดหวงั แนวกำรจดั กจิ กรรม๑. การอ่านอักษร ๑.๑ พยญั ชนะอกั ษร ๒๑) แบบฝึกหดั ที่ ๒๐ มีพยัญชนะ ล (ที่ผู้สอนจัดทำข้ึน) โดยเวน้ วรรคเบรลล์ไทย (ตอ่ ) เบรลล์ภาษาไทย (ต่อ) ให้ผู้เรียนอำ่ นตัวอักษรนี้ ๒๒) แบบฝึกหดั ท่ี ๒๑ มพี ยญั ชนะ ส (ที่ผ้สู อนจัดทำขนึ้ ) โดยเว้นวรรค ให้ผูเ้ รียนอ่ำนตัวอักษรน้ี ๒๓) แบบฝกึ หัดที่ ๒๒ มพี ยญั ชนะ อ (ท่ผี สู้ อนจัดทำข้ึน) โดยเว้นวรรค ใหผ้ เู้ รยี นอำ่ นตัวอกั ษรนี้ ๒๔) แบบฝกึ หัดท่ี ๒๓ มพี ยัญชนะ ข และ สระอำ (ทผ่ี สู้ อนจัดทำขนึ้ ) ให้ผู้เรยี นอ่ำนคำ ๒๕) แบบฝกึ หัดที่ ๒๔ มพี ยัญชนะ ฉ และ สระอำ (ทีผ่ สู้ อนจัดทำขน้ึ ) ใหผ้ ู้เรียนอำ่ นคำ ๒๖) แบบฝึกหดั ท่ี ๒๕ มีพยญั ชนะ ถ และ สระอำ (ท่ผี ูส้ อนจดั ทำข้นึ ) ใหผ้ ู้เรยี นอำ่ นคำ ๒๗) แบบฝกึ หดั ท่ี ๒๖ มพี ยญั ชนะ น และ สระอำ (ทผี่ ู้สอนจดั ทำขนึ้ ) ให้ผู้เรียนอ่ำนคำ ๒๘) แบบฝกึ หดั ที่ ๒๗ มพี ยัญชนะ ม และ สระอำ (ทีผ่ ู้สอนจัดทำขึน้ ) ใหผ้ ู้เรยี นอำ่ นคำ ๒๙) แบบฝกึ หัดท่ี ๒๘ มพี ยญั ชนะ ร และ สระอำ (ท่ผี ้สู อนจดั ทำขน้ึ ) ให้ผู้เรียนอ่ำนคำ ๓๐) แบบฝกึ หัดท่ี ๒๙ มพี ยัญชนะ ล และ สระอำ *(ทีผ่ ูส้ อนจัดทำขึน้ ) ให้ผเู้ รยี นอ่ำนคำ ๓๑) แบบฝึกหัดท่ี ๓๐ มีพยัญชนะ ส และ สระอำ *(ที่ผู้สอนจดั ทำข้ึน) ให้ ผเู้ รยี นอำ่ นคำ

๑๔๒ ทกั ษะ ทักษะย่อย พัฒนำกำรที่คำดหวัง แนวกำรจดั กจิ กรรม๑. การอา่ นอักษร ๑.๑ พยญั ชนะอกั ษร ๑.๑.๓ สำมำรถอ่ำนอกั ษรเบรลลพ์ กำรสอนกลุ่มจุด ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ (มี ค ง ช ซ ต ท บ ป ผ ฝ พ ฟ วเบรลล์ไทย (ตอ่ ) เบรลลภ์ าษาไทย (ต่อ) ยัญชนะภำษำไทย กลุ่มจดุ ฮ) ๑๒๓๔๕๖ (มี ค ง ช ซ ต ท บ ป ผ ๑) ผู้เรียนอ่ำน ค เปรียบเทียบ ฮ เปรียบเทียบจำกกระดำนหมุด หรือ ฝ พ ฟ ว ฮ) ได้ ลกู บดิ ใชจ้ ุด ๑๓๖ ๒) ให้ผเู้ รียนอ่ำน ค เปรยี บเทยี บ ฮ จำกแบบฝึก ๑ ที่มี ฮค ๓) แบบฝกึ ท่ี ๒ มี ฮคฮง (ที่ผูส้ อนจัดทำข้นึ ) ใหผ้ ู้เรียนบอกตำแหนง่ จุด ที่ไม่ใช่ ค และบอกตำแหน่งจุดท่ีเป็นอักษรใหม่ เปรียบเทียบ ฮ เรียก พยญั ชนะนวี้ ำ่ ง มี จดุ ๑, ๒, ๔, ๕, ๖ ๔) ใช้แนวกำรสอน ช ซ ต ท บ ป ผ ฝ พ ฟ ว ฮ เชน่ เดยี วกับ ค ง ๕) แบบฝึกที่ ๓ ช (จุด ๓๔๖ ) (ท่ผี สู้ อนจัดทำขนึ้ ) ๖) แบบฝกึ ที่ ๔ ซ (จดุ ๒๓๔๖) (ที่ผ้สู อนจัดทำขน้ึ ) ๗) แบบฝกึ ท่ี ๕ ต (จุด ๑๒๔๕) (ท่ผี ูส้ อนจัดทำขนึ้ ) ๘) แบบฝกึ ที่ ๖ ท (จุด ๒๓๔๕๖) (ทีผ่ ู้สอนจดั ทำขนึ้ ) ๙) แบบฝึกที่ ๗ บ (จดุ ๑๒๓๖) (ท่ีผ้สู อนจัดทำขึน้ ) ๑๐) แบบฝกึ ท่ี ๘ ป (จดุ ๑๒๓๔๖) (ทผ่ี ูส้ อนจดั ทำขึน้ ) ๑๑) แบบฝึกท่ี ๙ ผ (จดุ ๑๒๓๔) (ทผี่ สู้ อนจัดทำขึน้ ) ๑๒) แบบฝกึ ท่ี ๑๐ ฝ (จดุ ๑๓๔๖) (ทผี่ สู้ อนจดั ทำข้นึ ) ๑๓) แบบฝกึ ที่ ๑๑ พ (จดุ ๑๔๕๖) (ที่ผสู้ อนจัดทำข้ึน) ๑๔) แบบฝึกท่ี ๑๒ ฟ (จดุ ๑๒๔๖) (ทผ่ี ู้สอนจัดทำข้ึน) ๑๕) แบบฝึกท่ี ๑๓ ว (จดุ ๒๔๕๖) (ท่ผี ู้สอนจัดทำข้นึ )