Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ

การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ

Published by yaowaluck590, 2022-05-26 01:54:06

Description: การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ

Search

Read the Text Version

37 การจัดการศกึ ษากับการประกอบอาชพี นโยบายการศึกษาของประเทศไทยเก่ียวกับการศึกษาท่ีพัฒนามนุษย์ให้เป็นมนุษย์ท่ีสมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรม และวัฒนธรรมในการดารงชีวิต ซึ่ง สอดคล้องกับเปูาหมายประการแรกของการศึกษา คือ การเตรียมผู้เรียนเพื่อการใช้ชีวิต รวมถึงชีวิต แหง่ การทางาน ซึ่งการศึกษาได้พยายามจดั ใหเ้ กิดขึ้น (Evans, Hoyt, & Mangum, 1973) หลกั สตู รและการเรียนการสอนของสถานศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐานจาเป็นท่ีจะต้องดาเนินการเพ่ือการ ประกอบอาชีพเพื่อให้ผู้เรียนได้ตระหนักถึงคุณค่า และความคิดเพื่อการประกอบอาชีพ ซึ่งจาก การศึกษาเอกสารและงานวิจัย พบว่าสามารถจัดกลุ่มของโครงสร้างเนื้อหาของการศึกษาเพ่ือการ ประกอบอาชีพ (Evans, Hoyt, & Mangum, 1973) ดังนี้ คือ 1) โลกของการประกอบอาชีพ 2) คุณค่าของการทางาน 3) นิสัยของการทางาน 4) ความพึงพอใจและการปรับตัวในอาชีพ 5) การ ตดั สินใจเกยี่ วกบั อาชีพ และ 6) การตดั สินใจในการประกอบอาชพี สถานศึกษาและผู้สอนควรให้ความสาคัญกับการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่ช่วยส่งเสริม ให้ผู้เรียนได้มี 1) การสร้างแรงจูงใจ ความตระหนักในคุณค่าและความสาคัญของการประกอบอาชีพ (Career Motivation) 2) การสร้างความเข้าใจในอาชีพ (Career Orientation) 3) การสารวจโลก แหง่ อาชพี ในยคุ ปจั จุบนั และศักยภาพและความสนใจของตนเอง (Career Exploration) และ 4) การ เตรียมสู่เส้นทางการประกอบอาชีพ (Career Preparation) ซึ่งการจัดการศึกษาเพื่อการประกอบ อาชพี นนั้ จาเปน็ ตอ้ งเน้นให้ผุ้เรียนมีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลในการทางาน สั่งสมความรู้และทักษะที่ จาเป็นสาหรับการทางาน ซึ่งจะต้องพัฒนาความคิดรวบยอดเก่ียวกับการพัฒนาเส้นทางอาชีพ (Career Development) ของผู้เรียนในช่วงอายุตั้งแต่ 9-15 ปี น่ันหมายถึงผู้เรียนท่ีกาลังศึกษาอยู่ใน ช้ันประถมศึกษาตอนปลายถึงมัธยมศึกษาตอนต้น โดยดาเนินการแบ่งน้าหนักการให้ความรู้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ 1) การแนะนา 2) การพัฒนา และ3) การเน้นย้า ดังตัวอย่างตารางท่ี 3 ดังน้ี (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2554: 6-7) ตารางที่ 3 ความคิดรวบยอดเกยี่ วกับการพัฒนาเส้นทางอาชีพจาแนกตามลาดับน้าหนักการให้ความรู้ และระดับช้นั ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับการพฒั นาเสน้ ทางอาชีพ นา้ หนกั การใหค้ วามรู้ แนะนา พัฒนา เนน้ ยา้ อุปสงค์และอุปาทานของงานและอาชีพท่ีมีผลต่อการวางแผน ประกอบอาชพี ม.1-3

38 ตารางท่ี 3 ความคดิ รวบยอดเกยี่ วกับการพัฒนาเส้นทางอาชีพจาแนกตามลาดับน้าหนักการให้ความรู้ และระดบั ช้ัน (ตอ่ ) ความคดิ รวบยอดเกี่ยวกับการพัฒนาเสน้ ทางอาชพี น้าหนกั การให้ความรู้ แนะนา พฒั นา เนน้ ย้า ความชานาญเฉพาะทางในงานทาใหเ้ กดิ พ่ึงอาศัยกนั สภาพแวดล้อมและศักยภาพส่วนบุคคลมีอิทธิพลต่อการพัฒนา ม.1-3 เสน้ ทางอาชพี ม.1-3 อาชีพและวิถีการใช้ชวี ติ มีความสมั พันธซ์ งึ่ กันและกนั บุคคลจากหลากหลายอาชีพสามารถเรียนรู้ที่จะปฏิบัติงานและใช้ ม.1-3 ชวี ิตไดอ้ ย่างพงึ พอใจ ม.1-3 การพัฒนาเส้นทางอาชีพต้องดาเนินไปอย่างต่อเนื่องและ หลากหลายทางเลอื ก ม.1-3 บุคคลและสถาบันท่ีหลากหลายมีอิทธิพลต่อนิสัยและโครงสร้าง ของการทางาน ม.1-3 บุคคลต้องมีความรับผิดชอบต่อการวางแผนอนาคตการทางาน ของตนเอง ม.1-3 ลกั ษณะของงานและบคุ คลจะต้องปรับให้เข้ากับสังคมที่เกิดความ เปล่ยี นแปลงได้ ม.1-3 ความเขา้ ใจและการยอมรับตนเองเป็นส่ิงสาคญั ของชวี ิต มนุษยม์ คี วามต้องการท่ีจะได้รับเกยี รตแิ ละเหน็ คุณค่า ม.1-3 อาชพี ต่างๆ มีทั้งทีม่ าและความมงุ่ หมายของอาชพี ม.1-3 อาชพี มคี วามหลากหลายและอาจจะจัดเป็นกลุ่มอาชีพได้แตกต่าง ม.1-3 กนั ไปไดห้ ลายแบบ ม.1-3 การทางานมคี วามหมายท่แี ตกตา่ งกันไปตามแตล่ ะบุคคลที่ต่างกัน การศึกษากับการทางานมคี วามสัมพันธ์ซึง่ กันและกัน ม.1-3 แต่ละบุคคลมีความสนใจ ความสามารถ ทัศนคติและการให้ ม.1-3 คณุ คา่ ที่แตกต่างกนั ม.1-3

39 จากตารางข้างต้น จะเห็นได้ว่าการศึกษาเพื่อการประกอบอาชีพสาหรับนักเรียนมัธยมศึกษา ไม่ได้หมายถึงการให้ผู้เรียนตัดสินใจเลือกอาชีพต้ังแต่เยาว์วัย แต่เป็นการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนได้ เรยี นรู้ ได้ฝกึ ฝน มคี วามรแู้ ละทัศนคตทิ ี่ดอี ันนาไปสกู่ ารประกอบอาชีพในอนาคต จากการศึกษาสภาพการจัดการเรียนการสอนวิชาอาชีพ และการมีงานทาของ กระทรวงศึกษาธิการ (2544 : 8-9) พบว่า โรงเรียนที่เปิดสอนแผนการเรียนวิชาอาชีพส่วนใหญ่พบ ปญั หาต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการขาดแคลนในด้านวัสดุ อุปกรณ์ โรงฝึกงาน ครูผู้สอนวิชาอาชีพ มีจานวนไม่เพียงพอ และขาดเอกสารหลักสูตร/คู่มือต่างๆ เคร่ืองมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกมี จานวนไม่เพียงพอ ซ่ึงการจัดการเรียนการสอนวิชาอาชีพที่เน้นกระบวนการเรียนการสอนจะช่วย พัฒนาให้ผู้เรียนได้รู้จักการคิดวิเคราะห์ สามารถมองเห็นช่องทางในการประกอบอาชีพ และมี คุณลักษณะท่ีจาเป็นต่อการประกอบอาชีพ นอกจากนั้นยังช่วยให้โรงเรียนได้สร้างความสัมพันธ์กับ ชุมชน โดยเปิดโอกาสให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน โดยมีแนว ทางการจดั การเรียนการสอนเพอ่ื สง่ เสรมิ การประกอบอาชพี โดยเน้นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียน การสอนวิชาชีพเพ่ือให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบิติจริงจากการทาโครงงานอาชีพ ซ่ึงในการจัดการเรียน การสอนทบี่ รู ณาการทักษะอาชีพ สาลินี อุดมผล (2558: 18) ได้กล่าวถึงการนา “อาชีพ” เป็นฐานใน การบูรณาการในการจัดการเรียนรู้ เพื่อเตรียมผู้เรียนเข้าสู่ “อาชีพ” ในอนาคต โดยจัดทาหลักสูตร ให้กับนักเรียนในสายสามัญโดยใช้อาชีพเป็นฐานในการบูรณาการ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้เรียน เพ่ือเป็น ทางเลือกให้กับนักเรียนแต่ละคนท่ีจะมุ่งไปศึกษาต่อในสาขาและคณะที่ผู้เรียนแต่ละคนต้องการ ได้ รู้จกั ตนเอง และเขา้ ใจตนเอง รู้ถงึ ความสามารถ ความถนัดของตนเอง เพื่อเป็นแนวทางไปสู่เส้นทางใน การศึกษาต่อในอนาคต ซึ่งแน่นอนผู้เรียนจะได้ตระหนักถึงคุณค่าของการประกอบอาชีพในสายต่างๆ ทีเ่ ชอื่ มโยงความรูก้ บั ทักษะกระบวนการตา่ งๆ เพ่อื ใชบ้ นโลกของความเป็นจริงและโลกแห่งการทางาน และสามารถนาความรู้ที่ได้ไปต่อยอดสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆ ได้ ตัดสินใจเป็น รู้จักแก้ปัญหา และ ประเมินสถานการณ์ อันนาไปสู่ holistic thinking ซ่ึงจะสะท้อนให้ผู้เรียนทางานนอกเหนือจากส่ิงท่ี ได้เรียนในช้ันเรียน แต่เป็นการเรียนรู้นอกห้องเรียน หรือนอกเหนือตามท่ีหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 กาหนด ตามความรู้ ความสามารถ และความถนัดของผู้เรียน แต่ละคน โดยการเชอ่ื มโยงองค์ความรูจ้ ากกล่มุ วิชาตา่ งๆ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการทางานในชีวติ จรงิ นอกจากน้ันชมพูนุท จารีบูรณภาพ (2547: 28-29) ได้กล่าวเก่ียวกับการจัดการศึกษาเพื่อ ส่งเสริมอาชีพ เป็นการจัดการศึกษาเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความสามารถ และทักษะในการประกอบ อาชพี โดยพิจารณาความต้องของผู้เรียนในแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถแบ่งการจัดการศึกษาเพ่ือส่งเสริม อาชพี ออกเป็น 2 รูปแบบ ดงั นี้

40 1. การฝึกทกั ษะอาชพี เปน็ การฝึกอบรมหลักสูตรวิชาชีพระยะส้ัน โดยคานึงถึงความต้องการ ของผู้เรียน เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ และทักษะพ้ืนฐานในการประกอบอาชีพ เพ่ือนา ความรู้ที่ได้มาใชแ้ ก้ไขปัญหาความยากจน สร้างความมนั่ คงให้กบั ผู้เรยี น และครอบครัวของผูเ้ รยี นได้ 2. การพัฒนาอาชีพ เป็นการจัดการศึกษาในลักษณะกลุ่มพัฒนาอาชีพ ท่ีมีอาชีพในลักษณะ เดียวกัน อาชีพประเภทเดียวกันมารวมกลุ่มกัน เพื่อพัฒนาอาชีพให้ดีขึ้น โดยมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแสวงความประสบการณค์ วามรรู้ ่วมกนั เพ่อื ให้การประกอบอาชพี มีประสิทธิภาพย่ิงข้ึน อัชราภรณ์ โคว้ คชาภรณ์ (2538: 39-43) ได้กล่าวเกี่ยวกับการจัดการศึกษานอกโรงเรียนสาย อาชีพ เป็นการจัดการศึกษาด้านอาชีพให้กับผู้เรียนท่ีอยู่นอกระบบโรงเรียน เพ่ือให้ผู้เรียนท่ีอยู่นอก ระบบโรงเรยี นมีช่องทางทามาหากนิ คิดเป็น แก้ปญั หาเปน็ มคี วามรู้ มที ักษะ และทัศนคติท่ีดีเก่ียวกับ การประกอบอาชีพ โดยการจัดหลักสูตรและกิจกรรมการเรียนการสอนให้ยืดหยุ่น เหมาะกับสภาพ บริบทของผู้เรียน และความต้องการของผู้เรียนในท้องถ่ินนั้นๆ และชุมชน โดยแบ่งรูปแบบการจัด การศกึ ษาวิชาชพี ระยะสั้นออกเปน็ 4 แบบ คอื 1. การฝึกอาชีพระยะสั้นแบบช้ันเรียน เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยจัดอยู่ใน สถานศึกษา หรือสถานประกอบการ ที่มีความพร้อมในด้านอุปกรณ์การเรียนการสอนและผู้สอน มาร่วมแสวงหาความรู้และประสบการณ์ร่วมกัน โดยมีวิทยากรมาให้ความรู้เป็นครั้งคราวตามความ ตอ้ งการของผูเ้ รียนในแตล่ ะท้องถิ่น 2. การฝึกอาชีพเคล่ือนที่ เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยจัดเป็นหน่วยเคลื่อนท่ี ออกไปสอนประชาชนทั่วไปในชนบท ตามหมู่บ้านห่างไกล หรือเปิดสอนโดยจัดหาวิทยากรในท้องถ่ิน นั้นๆ เปน็ ผู้สอน เป็นปราชญ์ชาวบา้ น 3. การฝึกทักษะและลงมือประกอบอาชีพไปพร้อมกับการเรียน โดยการใช้หลักสูตรระยะสั้น เปน็ เรื่องเดียวจบในตวั 4. การจัดการศกึ ษานอกโรงเรียนเพ่ือสร้างงานอาชพี ในชนบท (กศ.อช.) เป็นโครงการทดลอง จดั การศกึ ษาด้านอาชพี เพือ่ สง่ เสริมให้ชนบทมีงานทา โดยได้รับการสนับสนุนจากสานักงานโครงการ พัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ซ่ึงกาหนดยุทธศาสตร์ให้ดาเนินงานให้เหมาะสมกับสภาพการ ประกอบอาชีพในชนบท เช่น การวิเคราะห์สภาพปัญหาและความต้องการด้านอาชีพท่ีแท้จริงของ กลุ่มเปูาหมาย ความต้องการของกลุ่มเปูาหมาย การจัดฝึกอบรมวิชาชีพ การนาผู้เรียนไปเรียนใน สถานประกอบการท้ังภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ โดยมีการบูรณาการระหว่างเน้ือหาทางความรู้ และ ทกั ษะพ้ืนฐานทีจ่ าเป็นในการประกอบอาชพี จากการศึกษางานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ งกบั การจัดการศึกษาด้านอาชีพ พบว่า มีนักวิชาการได้เสนอ ขน้ั ตอนการจัดกิจกรรม ดงั นี้

41 มาเรียม นิลพันธุ์ และคณะ (2556: บทคัดย่อ) ได้เสนอขั้นตอนแนวทางการจัดกิจกรรมการ เรียนรูต้ ามกรอบแผนการจัดการศกึ ษาตลอดชีวติ มุ่งสู่ความเป็นเลิศด้านอาชีพท้องถิ่น โดยเน้นผู้เรียน เป็นสาคัญไว้ 6 ขนั้ ตอน ดังน้ี 1. ศกึ ษาความตอ้ งการของผ้เู รยี น 2. กาหนดรูปแบบการจดั การเรียนรู้ (เน้ือหา แนวทาง รปู แบบ) 2.1 รายวชิ าเพมิ่ เติม 2.2 รายวชิ าพื้นฐาน 2.3 กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น 2.4 โครงการ กจิ กรรมตามความสนใจ 3. จัดทาคาอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวชิ า 4. ออกแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ 4.1 กาหนดเปูาหมายการเรยี นรู้ 4.2 การออกแบบการเรยี นรู้ 4.3 การออกแบบวิธีการจัดการเรียนรู้ 5. สรปุ ผลการเรียนรู้ 6. ประเมินและปรับปรงุ การออกแบบการจัดการเรยี นรู้ มัทนียา ค้อมทอง, 2552: 42) ได้เสนอขั้นตอนกระบวนการของกิจกรรมท่ีส่งผลต่อการจัด กิจกรรมเพอ่ื พัฒนาคุณภาพผเู้ รียน 7 ขน้ั ตอน ดังนี้ 1. จดั บรรยากาศการเรียนรู้ร่วมกนั และกาหนดวตั ถุประสงคใ์ นการฝกึ ทักษะอาชีพ 2. จดั กล่มุ ผู้เรียน กลมุ่ ละ 5-7 คน 3. ประชุมร่วมกันเพ่ือวางแผน วินิจฉัย สร้างเปูาหมาย และกาหนดประเด็นที่จะต้องเรียนรู้ และปฏิบตั ิ 4. ดาเนนิ การฝึกทักษะอาชพี ตามความต้องการของผู้เรียน 5. ประเมนิ ความกา้ วหนา้ และวางแผนการเรียนรูใ้ นข้ันต่อไป 6. ดาเนนิ การฝกึ ทกั ษะอาชพี ซา้ ตามกระบวนการเดมิ 7. จัดทาเอกสารเพื่อสรุปกระบวนการเรียนรเู้ พื่อใชป้ ระโยชน์ต่อไป รงั ษี ทองพันธ์ุ (2551: 66-70) ไดก้ ล่าวถงึ แนวทางการจดั การศกึ ษาเพื่อพฒั นาอาชีพไว้ ดังน้ี 1. การฝึกทักษะอาชีพ : วิเคราะห์ความต้องการของผู้ร่วมกิจกรรมและความต้องการของ ผ้เู รียนโดยฝกึ ทักษะอาชีพ ในลกั ษณะการศึกษาอาชพี หลกั สตู รระยะสน้ั หรือกจิ กรรมรูปแบบการสาธิต และการปฏบิ ัติจริง ที่ตอบสนองความต้อการของผูเ้ รียน เพอ่ื ให้มีความรูแ้ ละทักษะพื้นฐานในอาชีพ

42 2. การเข้าสู่อาชีพ : จัดกิจกรรมต่อเน่ืองจากการฝึกทักษะอาชีพหรือจัดเป็นกิจกรรมเฉพาะ เพ่ือพฒั นากลมุ่ เปูาหมายใหส้ ามารถคิด วิเคราะห์ แลกเปล่ียนเรียนรู้และพัฒนาตนเองเพ่ือเข้าสู่อาชีพ โดยจดั ใหม้ กี ระบวนการแนะแนวอาชีพทม่ี ปี ระสิทธิภาพ 3. การพัฒนาอาชีพ : พัฒนาอาชีพของกลุ่มเปูาหมายในลักษณะกลุ่มพัฒนาอาชีพ โดยจัดให้ มีการรว่ มกลมุ่ ของผมู้ อี าชีพประเภทเดยี วกันเพ่ือความเปน็ เครือขา่ ยในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แสวงหา ความรแู้ ละประสบการณ์ ตลอดจนพัฒนาอาชีพของกลมุ่ โดยกระบวนการกลุ่ม (group process) 4. การพัฒนาอาชีพด้วยเทคโนโลยี : พัฒนาอาชีพของกลุ่มเปูาหมายด้วยเทคโนโลยี โดยเน้น การจัดกิจกรรมให้กับกลุ่มเปูาหมายสถานประกอบการและผู้ท่ีต้องการนาเทคโนโลยีมาใช้ในการ พัฒนากิจการและศักยภาพของตนเอง เช่น การนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ในการพาณิชย์ (E- commerce) การจัดสร้างระบบฐานข้อมูลหรือการนาเสนองานด้วยคอมพิวเตอร์ หรือการนา เครอ่ื งมอื อุปกรณท์ ันสมัยมาใชเ้ พื่อเพิ่มผลผลิต แนวทางการจดั การศึกษาอาชีพท้ัง 4 แนวทางดงั กลา่ ว เปน็ กิจกรรมท่ีมีความสมั พนั ธ์ตอ่ เน่ือง ทัง้ การเรียนร้แู ละการประกอบอาชพี ดงั แผนภูมิท่ี 3 การฝึกทักษะ การฝึกเขา้ สู่ อาชีพ อาชพี การพฒั นาอาชพี การพฒั นา ด้วยเทคโนโลยี อาชีพ แผนภูมิที่ 3 แนวทางการจดั การศึกษาอาชพี ที่มา : แนวทางการดาเนนิ งานการศกึ ษานอกโรงเรยี นตามนโยบายงบประมาณ 2546 จากแผนภูมทิ ่ี 3 ความสมั พนั ธ์ดังกลา่ ว สามารถอธิบายได้วา่ การจัดการเรียนรู้ในแต่ละ กจิ กรรมมิไดข้ าดจากกัน เชน่ 1. กลุ่มพฒั นาอาชีพ เมื่อดาเนินกิจกรรมเรียนรู้แล้วพบว่า ถ้าจะพัฒนาอาชีพกลุ่มขงตนเข้าสู่ การแขง่ ขนั จะตอ้ งเรียนรู้ทักษะบางอย่าง ผู้จัดการศึกษาจะต้องอานวยความสะดวกให้ผู้เรียนได้เข้าสู่ กจิ กรรมฝึกทกั ษะอาชีพตามความประสงค์

43 2. กลุ่มเข้าสู่อาชีพ เมื่อเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนรู้แล้วมีความม่ันใจว่ากลุ่มท่ีเรียนรู้ในอาชีพ เดียวกนั สามารถรวมกลุ่มกันได้แน่นอน ถึงแม้จะยังไม่เข้าสู่อาชีพแต่ประสงค์จะเรียนรู้กิจกรรมพัฒนา อาชีพผนวกเขา้ ไปกับการเรยี นกส็ ามารถทาได้ นอกจากนน้ั ยังไดก้ ล่าวถึงหลักการของการฝึกทักษะอาชพี ไว้ 4 ประเดน็ ดงั น้ี 1. เป็นการฝึกทกั ษะพน้ื ฐานเพื่อนาไปเปน็ เครอื่ งมอื ในการประกอบอาชีพใหก้ ับประชาชน 2. มงุ่ เนน้ สาระทักษะท่เี กยี่ วข้องกับชีวิตความเป็นอยแู่ ละสามารถนาไปใช้สร้างอาชีพได้ 3. เป็นการเรียนรู้ที่ตอบสนองปัญหาความต้องการของเอกตบุคคลหรอื กลุ่ม 4. ใชก้ ระบวนการฟ้นื ฟูองค์ความรู้ ทดลองทา ถา่ ยทอดภมู ิปญั ญาท้องถ่ินแลกเปล่ียนเรยี นรู้ ประสบการณ์กันเองภายในชุมชน เป็นหลกั ในการจัดการศึกษา จดั ทาแผนและ การติดตาม ระดมทนุ สง่ เสริม พัฒนาการ สนบั สนุนการ เรียนรู้ เรยี นรู้ ศึกษาสภาพ ออกแบบกจิ กรรม เรยี นรู้ทางาน แสดงผลงาน เศรษฐกจิ จัดทาโครงการ ตามแผนจัด ต่อสาธารณชน ทรัพยากรและ แผนการเรยี นรู้ กจิ กรรมการ ปญั หาความ รายบคุ คลและ ต้องการของผูเ้ รียน เรยี นรู้ กลมุ่ - ท่อี ยู่อาศัยสิง่ แวดล้อม ประเมินผล - การใช้พลังงาน ผ่านหลักสตู ร - การผลติ อาหาร - การหมนุ เวียนแปรรปู ผลผลิต - งานชา่ งฝมี ือ พ้ืนฐานอาชพี - การรกั ษาสุขภาพ และการพักผ่อน แผนภมู ทิ ี่ 4 กระบวนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การฝกึ ทักษะอาชีพ ที่มา : แนวทางการดาเนนิ งานการศกึ ษานอกโรงเรยี นตามนโยบายงบประมาณ 2546

44 ทฤษฎที ่เี ก่ยี วกบั การพฒั นาดา้ นอาชพี ทฤษฎขี อง Tiedeman and Hare Tiedeman and Hare, 1963 (อ้างถึงใน มาเรียม นิลพันธุ์ และคณะ, 2556) ได้กล่าวถึง แนวคิดเก่ียวกับการพัฒนาด้านอาชีพว่า เป็นกระบวนการสร้างเอกลักษณ์ในการทางานของตนเอง เพื่อให้สามารถอยู่ได้ และเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยา และสังคมวิทยาพัฒนาการด้านอาชีพ โดย เนน้ การตดั สินใจเลือกอาชีพ และการปรบั ตวั ในอาชีพ โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ดงั น้ี ระยะท่ี 1 ระยะการเตรียมเลือกอาชีพ (Period of Anticipation or Preoccupation) สามารถแบง่ ออกเป็น 4 ขัน้ คอื 1. ขั้นการสารวจ (Exploration Stage) เพ่ือค้นหาทางเลือก โดยการประเมินตนเองจาก ความสนใจ ความสามารถ ความถนดั ประสบการณแ์ ละลกั ษณะของแตล่ ะอาชพี 2. ขั้นตอนการก่อตัวของความคิด (Crystallization Stage) เป็นการนาข้อมูลท่ีได้จากการ ประเมนิ ตนเองมาพจิ ารณาร่วมกับคา่ นิยม และเปูาหมายในชวี ติ ของตนเอง 3. ข้ันตอนทดลองเลือกอาชีพ (Choice Stage) เป็นขั้นท่ีต้องตัดสินใจเลือกอาชีพ ซึ่งอาจจะ เป็นการเลือกชัว่ คราวหรือถาวรกข็ ึ้นกบั ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากข้นั ตอนการก่อตวั ของความคิด 4. ขั้นการพิจารณารายละเอียด (Clarification Stage) เป็นข้ันตอนในการตัดสินใจเลือก อาชพี ท่ถี าวร แน่นอน โดยการหาขอ้ มูลเพ่ิมเตมิ ในส่วนท่ยี ังสงสัย หรอื ไมม่ ีรายละเอียดเพยี งพอ ระยะท่ี 2 ระยะการประกอบอาชีพและการปรับตัว (Period of Implementation and Adjustment) สามารถแบง่ ออกเป็น 3 ข้นั คอื 1. ขั้นการเข้าสู่การศึกษาหรืออาชีพ (Induction Stage) เป็นการเตรียมตัวศึกษาสาขา วิชาชีพ หรือเตรียมตัวประกอบอาชีพ หรือเลือกอาชีพท่ีตัดสินใจไปแล้ว โดยทั่วไปจะยอมรับและ ปรับตัวใหเ้ ข้ากบั สภาพแวดลอ้ มใหม่ 2. ข้ันการปรับปรุง (Reformation Stage) เป็นการได้รับการยอมรับในสภาพแวดล้อมของ การศึกษาหรืออาชพี ทเี่ ลอื กแลว้ โดยมกี ารประนีประนอมระหว่างกนั จนสามารถปรับตวั ตามกลุ่มได้ 3. ขั้นความม่ันคง (Integration Stage) เป็นขั้นของการประสบความสาเร็จและความม่ันคง ในการศกึ ษาหรอื การประกอบอาชพี ทฤษฎคี วามตอ้ งการของ Hoppock Hoppock (อ้างถึงใน อุไรวรรณ จนั ทร์สกลุ ถาวร, 2540) ได้กล่าวถึงแนวคิดเกี่ยวกับ ความก้าวหนา้ อาชีพไว้วา่ การท่ีคนจะเลอื กอาชีพนัน้ จะเลือกอาชีพบนพื้นฐานของความต้องการที่ตน พึงพอใจ ถึงแม้ว่าบางคนจะสามารถระบุได้ชัดเจน บางคนไม่สามารถระบุได้ชัดเจน ซึ่งข้อมูลที่สาคัญ สาหรับการเลือกอาชีพ คือ ความต้องการส่วนตัวของแต่ละบุคคล และลักษณะของอาชีพน้ันๆ

45 ตลอดจนความรู้ความสามารถในอาชีพ โดยการเลือกอาชีพนั้นอาจมีการเปล่ียนแปลงได้ตลอด หาก การเปลยี่ นแปลงน้นั นามาซึง่ ความก้าวหนา้ และการตอบสนองความตอ้ งการบุคคลไดม้ ากกว่าเดิม ทฤษฎีพัฒนาความก้าวหนา้ ในอาชีพ Super ซุปเปอร์ (Super, 1957 : 99-108) ได้กล่าวถึงความก้าวหน้าในอาชีพ โดยพิจารณาความรู้ ทางจิตวิทยาพัฒนาการ และแนวคิดมโนทัศน์ต่อตนเอง โดยให้แนวคิดว่า คนจะแสดงพฤติกรรม ออกมาแบบใดน้ันมาจากความคิดของคนน้ัน โดยการพิจารณาเลือกตัดสินใจเลือกอาชีพน้ันเกี่ยวข้อง กับประเดน็ ตา่ งๆ ดังนี้ 1. ความแตกต่างระหว่างบคุ คล (Individual differences) เป็นทฤษฎีความแตกต่างระหว่าง บุคคล เนอ่ื งจากบคุ คลแตล่ ะบุคคล ยอ่ มมีความรู้ ความสามารถ ความสนใจ และความถนัดท่ีแตกต่าง กันไป การเลอื กอาชพี จึงมคี วามแตกตา่ งเชน่ กัน โดยควรคานึงถึงความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล 2. ความสามารถหลายๆ อย่างในตัวบุคคล (Multipotentiality) ในแต่ละบุคคลจะมีขีด ความสามารถในตัวของแต่ละบุคคล ที่ส่งผลต่อความสาเร็จในการทางาน ซ่ึงจะนาเอาอีกคนหนึ่งมา เปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะแตล่ ะคนก็มขี ีดความสามารถท่ีแตกต่างกัน 3. กระสวนของความสามารถในอาชีพ (occupational ability patterns) กระสวนของ ความสามารถในอาชีพของแต่ละอาชีพมีความแตกต่างกันไป เช่น ความสามารถความสนใจและ บคุ ลิกภาพ โดยในแต่ละอาชีพก็ตอ้ งการบคุ คลที่มคี วามสามารถความสนใจและบุคลกิ ภาพ ตา่ งกันไป 4. การเลียนแบบบทบาทของรูปแบบ (identification and role of model) การเลียนแบบ บทบาทของรูปแบบในการประกอบอาชีพ น่ันก็คือ บิดา มารดาหรือบุคคลอ่ืนมีผลต่อการเลือกอาชีพ ของเดก็ ดังนนั้ ผใู้ หญ่ควรท่ีจะเป็นแบบอยา่ งที่ดใี ห้กับเด็ก 5. ความต่อเนื่องของการตัดสินใจเลือกจะต้องจัดให้เป็นกระบวนการท่ีต่อเน่ือง (continuous process) เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่แต่ละบุคคลอาศัยอยู่หรือทางาน ตามประสบการณ์และเวลา ที่สง่ ผลต่อการเลือกอาชีพก็ตอ้ งเป็นกระบวนการท่ตี ่อเน่ือง 6. ช่วงของชีวิต (life stage) เนื่องจากกระบวนการเลือกอาชีพเป็นกระบวนการท่ีต่อเน่ือง ตามช่วงอายขุ องบคุ คล ซงึ่ สามารถแบ่งออกเป็นขั้นได้ 5 ขน้ั ดงั น้ี 6.1 ข้ันของการเจริญเติบโต (Growth Stage) เป็นช่วยอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 14 ปี เป็นชว่ งทีส่ ร้างสมทศั นคติและองค์ประกอบต่างๆ โดยในช่วงปลายของระยะน้ีจะเริ่มเรียนรู้โลก ของอาชีพ และส่ังสมประสบการณเ์ พ่อื ใชใ้ นการตัดสินใจเลือกอาชีพต่อไป 6.2 ข้ันของการสารวจและค้นหา (Exploratory Stage) อยู่ในช่วงอายุ 14-25 ปี เป็นชว่ งที่พยายามทาความเขา้ ใจตนเอง เลือกอาชพี ดว้ ยการเลยี บแบบจากผใู้ หญ่

46 6.3 ขั้นของการสร้างหลักฐาน (Establishment Stage) อยู่ในช่วงอายุ 25-45 ปี เป็นช่วงที่เร่ิมเข้าสู่โลกแห่งการทางาน มีการปรับตัว และการพัฒนาความก้าวหน้าทางอาชีพ เพ่ือ สร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว 6.4 ข้ันของชีวิตม่ันคง (Maintenance Stage) อยู่ในช่วงอายุ 45-65 ปี เป็นช่วงท่ี พยายามสร้างความก้าวหน้าในหนา้ ที่การงาน และเหน็ ความสาคัญของครอบครวั มากขนึ้ 6.5 ขั้นของความเส่ือมถอย (Decline Stage) เป็นช่วงอายุ 65 ปีข้ึนไป เป็นช่วงสุก ท้ายของการทางาน ส่วนใหญ่บุคคลในระยะนี้จะทางานตามหน้าที่ และความรับผิดชอบท่ีได้รับ มอบหมาย 7. กระสวนของอาชีพ (career patterns) ข้ึนอยู่กับระดับสังคม เศรษฐกิจและโอกาส เช่น อาชีพบางอย่างทาให้เปลีย่ นแปลงบอ่ ย แตบ่ างอาชีพก็ไม่จาเป็นตอ้ งเปลี่ยนงานบอ่ ย 8. การพฒั นาอาชีพ การพัฒนาอาชีพที่เหมาะสมควรได้รับการแนะนาแนวทางที่ถูกต้อง โดย การให้ทดลองฝกึ งานตามโอกาสสมควร 9. การพัฒนาอาชีพเป็นผลของการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างบุคคลกับสิ่งแวดล้อม (development of the result of interaction) ในท่ีน่ีหมายถึงการอบรมเล้ียงดูจะเป็นส่ิงท่ีช่วย ประเมนิ ขอ้ มูลเก่ยี วกับอาชีพและทดลองการวางแผนอาชีพ เพื่อทาให้เกิดความเข้าใจตนเองซ่ึงถือเป็น การทาความรจู้ กั ตนเอง ประเมนิ ความเปน็ ไปได้ของความรู้ ความสามารถ ความถนัด และความสนใจ ของตนเอง 10. การเปล่ียนแปลงในกระบวนการประกอบอาชีพ (the dynamics of career patterns) ขึน้ กบั ระดับสงั คม เศรษฐกิจของบิดา มารดา สติปัญญา ความสามารถและความสนใจของบุคคล ซ่ึงมี ค่าไม่คงที่ สิ่งเหล่านี้มีผลต่อความเข้าใจในกระบวนการพัฒนาอาชีพ ซ่ึงเป็นประโยชน์สาหรับ กระบวนการประกอบอาชีพ 11. ความพอใจในงานขึ้นกับความแตกต่างระหว่างบุคคลตาแหน่งและบทบาทของบุคคล (job satisfaction: individual differences, status and role) บุคคลจะพอใจในงาน หากงานนั้น ไปกบั วถิ ชี วี ติ ความสามารถ 12. งานคือวิถีทางของชีวิต (work is a way of life) งานเป็นวิถีทางแห่งชีวิตของบุคคลได้ พบทางออกท่ีใช้แสดงถึงความสามารถ ความสนใจ บุคลิกภาพ ค่านิยมของบุคคลนั้นๆ และ ความสามารถกระทาได้ตามบทบาทท่ีบุคคลนัน้ เลือกแลว้ สรปุ ได้ว่า ในการจัดการเรียนการสอนจาเป็นที่จะต้องส่งเสริมในเร่ืองของอาชีพเพ่ือให้ผู้เรียน ได้ตระหนักถึงคุณค่า และความคิดเพื่อการประกอบอาชีพ โดยสถานศึกษาและผู้สอนควรให้ ความสาคญั กับการออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู้ที่ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝน มีความรู้และทัศนคติ

47 ที่ดีอันนาไปสู่การประกอบอาชีพในอนาคต โดยการการบูรณาการในการจัดการเรียนรู้ เพ่ือเตรียม ผู้เรยี นเขา้ สู่ “อาชีพ” ในอนาคต ซึง่ อาจจะจัดทาหลกั สูตรให้กับนกั เรยี นในสายสามัญโดยใช้อาชีพเป็น ฐานในการบูรณาการ เพื่อเปิดโอกาสให้กับนักเรียนได้รู้ถึงความสามารถ ความถนัดของตนเอง เพื่อ เป็นแนวทางไปส่เู ส้นทางในการศึกษาต่อในอนาคต ด้วยการฝึกทักษะอาชีพ และพัฒนาอาชีพ เพ่ือให้ ผู้เรียนท่ีอยู่นอกระบบโรงเรียนมีช่องทางทามาหากิน คิดเป็น แก้ปัญหาเป็น มีความรู้ มีทักษะ และ ทศั นคตทิ ดี่ ีเกยี่ วกับการประกอบอาชีพ ทกั ษะอาชีพ (Career Skills) ทักษะอาชีพ เป็นทักษะที่สามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์ เป็นกิจกรรมท่ี เสริมสร้างให้บุคคลมีความเข้าใจในตนเองมากข้ึนพร้อมสาหรับการประกอบอาชีพที่ดีในอนาคต การ พัฒนาทักษะอาชีพ เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้บุคคลมีความรู้ ความเข้าใจ มีความสนใจและความถนัด ทส่ี อดคล้องกบั งาน รวมถงึ ช่วยในเรอื่ งของการวางแผนสาหรับอาชีพในอนาคต (จนั ทร์เพ็ญ สุวรรณคร , 2558 : 126) นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงการพัฒนาการใช้ทักษะอาชีพสาหรับผู้เรียนในสถานศึกษา โดยเร่ิมต้นจากการสารวจความต้องการของผู้เรียน ความสอดคล้องเหมาะสมกับชุมชน บริบทและ สภาพแวดล้อมของผู้เรียน จากน้ันทาการพัฒนาหลักสูตรเพื่อพัฒนาทักษะอาชีพให้กับผู้เรียน โดย คานึงถึงความสามารถ ความถนัด ความสนใจ แหล่งประกอบการรอบตัวผู้เรียนที่สนับสนุนการฝึก ทักษะอาชีพ ทั้งน้ีกระบวนการพัฒนาผู้เรียนมีกระบวนการควรจัดให้เป็นระบบและต่อเนื่อง โดย สามารถนาความรู้ท่ีได้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ ซ่ึงสอดคล้องกับมาเรียม นิลพันธุ์ และคณะ (2556: บทคัดย่อ) สรุปผลการศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานในการพัฒนาแนวทางการนา กรอบแผนการจัด การศึกษาตลอดชวี ิต มุ่งสคู่ วามเป็นเลศิ อาชีพท้องถิ่น พบว่า ทุกภาคในประเทศไทยมีกรอบการเรียนรู้ ท้องถิ่น ได้แก่ 1) ด้านเกษตรกรรมท้องถ่ิน 2) ด้านอุตสาหกรรมท้องถิ่น 3) ด้านการบริการท่องเท่ียว ท้องถ่ิน 4) ด้านศิลปะการแสดงท้องถ่ิน และ 5) ด้านภูมิปัญญาท้องถ่ิน โดยแต่ละภูมิภาคจะมีกรอบ เนื้อหาสาระที่แตกต่างกัน ข้ึนกับบริบทของแต่ละพ้ืนที่ แต่ไม่ว่าจะเป็นกรอบการเรียนรู้ท้องถิ่นใดก็ ล้วนสนับสนุนให้ผู้เรียนมีความรู้ และเกิดทักษะอาชีพท้องถ่ิน โดยมีการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่าง สถานศกึ ษากับชมุ ชนเข้ามามีบทบาทสว่ นร่วม นอกจากนั้น วิจารณ์ พานิช (2555: 48-58) ยังได้กล่าวถึงทักษะด้านชีวิตและอาชีพ ในการ ดารงชวี ิตและทางานในยุคปัจจุบันให้ประสบความสาเร็จ โดยผู้เรียนจะต้องพัฒนาทักษะชีวิตที่สาคัญ ดังต่อไปนี้ 1. ความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Flexibility and Adaptability) เป็นการรับมือกับการ ปรับเปลี่ยนอะไรบางอย่างในการทางานอย่างไม่คาดฝัน ทาให้การวางแผนการทางานแบบตายตัวใช้

48 ไมไ่ ด้ผล ซึง่ ต้องอาศยั การปรับตวั และการยืดหยุ่นในการเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงน้ี ซึ่งการใช้วิกฤติท่ี มีอยู่ให้เป็นโอกาส ใช้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เป็นโอกาสหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ ถือเป็นการปรับตัว ทส่ี ดุ ยอด ในการบรรลเุ ปาู หมายของงาน โดยครจู ะต้องออกแบบการเรียนรใู้ หผ้ ู้เรยี นเกิดทักษะ ดังน้ี 1.1 การปรับตัวต่อการเปลย่ี นแปลง เปน็ การปรบั ตัวเข้ากับบทบาทที่แตกต่าง งานที่ ได้รับมอบหมาย กาหนดการท่ีเปล่ียนไป และบริบทที่เปลี่ยนไป โดยสามารถทางานได้ผลดีในสภาพ ของความไมช่ ดั เจน ไมแ่ นน่ อน และในสภาพทีล่ าดับความสาคญั ของงานเปล่ียนไป 1.2 มีความยืดหยุ่น เป็นการนาผลลัพธ์ท่ีเกิดขึ้น มาใช้ประโยชน์อย่างได้ผล มีการ จดั การเชิงบวกตอ่ คาชม คาตาหนิ และความผิดพลาดท่เี กิดขน้ึ สามารถนาเอาความเห็นและความเชื่อ ทแ่ี ตกต่างหลากหลายของทมี งานจากหลากหลายวัฒนธรรม มาทาความเขา้ ใจ ทาให้งานลุลว่ ง 2. การริเร่ิมสร้างสรรค์และเป็นตัวของตัวเอง (Initiative and Self-Direction) เป็นการเน้น การพงึ่ พาตนเองในการทางาน เนอื่ งจากในการทางานร่วมกนั ที่อาศยั ความรว่ มมอื สูง ในขณะเดียวกัน ก็ต้องการการพึ่งตนเองด้วย โดยการจะพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะนี้คือการจัดการเรียนรู้แบบ PBL : Project Based Learning โดยครูจะตอ้ งออกแบบการเรียนรู้ใหผ้ เู้ รยี นเกิดทักษะ ดังนี้ 2.1 การจัดการเปูาหมายและเวลา โดยจะต้องมีการกาหนดเปูาหมายเชิงยุทธวิธี ระยะส้นั (Tactical) และเปาู หมายเชิงยุทธศาสตร์ระยะยาว (Strategic) และเวลาในการจัดการภาระ งานอย่างมปี ระสิทธิภาพ 2.2 การทางานได้ด้วยตนเอง เป็นการกาหนดตัวเอง คอยติดตามผลงานเอง และ กาหนดลาดบั ความสาคญั ของงานด้วยตนเอง 2.3 สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง (Self-directed learner) เป็นการขยายความ เชี่ยวชาญของตนเอง เพื่อพัฒนาทักษะไปสู่ระดับมืออาชีพ สามารถทบทวน ใคร่ครวญ ประสบการณ์ ในอดีต เพื่อใช้คิดหาทางพัฒนาในอนาคต และที่สาคัญคือเอาจริงเอาจังต่อการเรียนรู้ว่าเป็น กระบวนการท่ตี ้องทาตลอดชีวิต 3. ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม (Social and Cross-Cultural Skills) เป็นการ ทางานร่วมกันและดารงชีวิตร่วมกันในสภาพแวดล้อมที่ผู้คนมีความหลากหลายโดยไม่รู้สึกแบ่งแยก และสามารถทางานให้บรรลุเปูาหมายได้ โดยครูจะต้องออกแบบการเรียนรูใ้ ห้ผูเ้ รียนเกิดทักษะ ดังน้ี 3.1 การมปี ฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืนอย่างเกิดผลดี เป็นการแสดงพฤติกรรมในเชิงบวก รู้ว่า เม่อื ไหรค่ วรจะเปน็ ผู้ฟัง รู้วา่ เมอื่ ไหรค่ วรจะเปน็ ผู้พูด 3.2 การทางานในทีมท่แี ตกตา่ งหลากหลายอยา่ งได้ผลดี เป็นการเคารพ และร่วมกัน ทางานบนพ้นื ฐานความแตกตา่ งทางวฒั นธรรม เป็นการยกระดับความแตกต่างทางวัฒนธรรมไปสู่การ สร้างแนวความคิดใหม่ วธิ ีการทางานแบบใหม่ หรือคณุ ภาพของผลงาน

49 4. การมีผลงานและความรับผิดชอบตรวจสอบได้ (Productivity and Accountability) เป็นการใช้เคร่ืองมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเป็นตัวช่วยอานวยความสะดวกในการ ทางานอย่างมผี ลติ ภาพ มกี ารเก็บข้อมูลเพ่ือความโปร่งใสตรวจสอบได้ โดยอาศัยทักษะในการกาหนด เปูาหมายและบรรลุเปูาหมาย โดยจะต้องมีการวางแผน การลงมือปฏิบัติ และการประเมินผลว่า ผลงานที่ได้นั้นมีคุณภาพดีหรือไม่ กระบวนการทางานเหมาะสมหรือไม่อย่างไร โดยครูจะต้อง ออกแบบการเรยี นรูใ้ ห้ผเู้ รยี นเกิดทักษะ ดงั นี้ 4.1 การจดั การโครงการ เปน็ การกาหนดเปาู หมายและดาเนินการให้บรรลุเปูาหมาย ถึงแม้จะเจออุปสรรค หรือปัญหาต่างๆ ก็ตามก็สามารถจัดการบริหารโครงการให้บรรลุเปูาหมายได้ โดยคานงึ ถงึ การลาดับความสาคัญ การวางแผน และการบรหิ ารจดั การ 4.2 การผลิตผลงาน เป็นการแสดงความสามารถในการสร้างผลงานให้มีคุณภาพท่ีดี ไดแ้ ก่ 1) ความสามารถดา้ นการทางานอยา่ งมจี ริยธรรม และดว้ ยทา่ ทีเชิงบวก 2) การจัดการเวลาและ โครงการอย่างมีประสิทธิภาพ 3) การทางานหลายอย่างในเวลาเดียวกัน (multitasking) 4) ร่วมงาน อย่างจริงจัง เชื่อถือได้ และตรงต่อเวลา 5) นาเสนอตนเองอย่างมืออาชีพ และมีมารยาท 6) ทางาน รว่ ม และรว่ มมือเป็นทมี อยา่ งไดผ้ ลดี 7) เคารพและเหน็ คณุ ค่าของความแตกตา่ งหลากหลายในทีมงาน และ 8) รบั ผดิ ชอบต่อผลงานทเี่ กิดข้ึน 5. ภาวะผู้นาและความรับผิดชอบ (Leadership and Responsibility) มี 3 ระดับ คือ 1) รับผิดชอบต่อตนเอง 2) รับผิดชอบการทางานประสานสอดคล้องกันในทีม และ 3) ความร่วมมือ กันในทีมเพ่ือไปสู่เปูาหมายท่ีย่ิงใหญ่ร่วมกัน โดยครูจะต้องออกแบบการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดทักษะ ดังน้ี 5.1 สามารถช้ีแนะและเป็นผู้นาแก้ผู้อื่น เป็นการใช้ทักษะมนุษยสัมพันธ์และทักษะ แกป้ ญั หาในการชักนาผู้อื่นไปสู่เปูาหมาย ทาให้ผู้อ่ืนเกิดพลังในการทางาน หรือสร้างแรงบันดาลใจให้ ผอู้ ่ืนได้ใช้ศกั ยภาพหรือความสามารถออกมาสงู สุด เพอ่ื ให้บรรลผุ ลสาเร็จร่วมกัน โดยใช้อานาจอย่างมี จริยธรรมและคุณธรรม 5.2 มีความรับผิดชอบต่อผู้อ่ืน เป็นการถือเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ต้ัง มาก่อน ประโยชนส์ ว่ นตน สานักงานแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร (2560 : 32) ได้กล่าวถึง ทักษะของแรงงานที่สถาน ประกอบการมีความคาดหวงั มดี ังน้ี 1. ทักษะการใชภ้ าษาต่างประเทศ 2. ทกั ษะการใช้คอมพิวเตอร์ 3. ทกั ษะการใชค้ ณิตศาสตรแ์ ละการคานวณ

50 4. ทกั ษะในการสอ่ื สาร 5. ทักษะในการบรหิ ารจดั การ 6. ทักษะความสามารถเฉพาะในวิชาชีพ กระทรวงศึกษาธิการ (2551: 56) และ จันทร์เพ็ญ สุวรรณคร (2558 : 135) ได้กล่าวถึง ทกั ษะพน้ื ฐานทจ่ี าเปน็ สาหรบั การประกอบอาชีพ ซึง่ ประกอบด้วย 1. ทักษะกระบวนการทางาน เป็นการลงมือทางานด้วยตนเอง ท้ังรายบุคคลและรายกลุ่ม โดยเน้นการฝึกฝนวิธีการทางานอย่างสม่าเสมอเพื่อให้ทางานได้สาเร็จและบรรลุตามเปูาหมาย โดยมี ขัน้ ตอนดังนี้ 1.1 การวิเคราะห์งาน เป็นการมองภาพรวมของงานเม่ือได้รับมอบหมาย วา่ เปูาหมายของงานคอื อะไร จะมวี ิธีการอยา่ งไรใหบ้ รรลุเปาู หมาย 1.2 การวางแผนในการทางาน เป็นการกาหนดเปูาหมายของงาน วางแผน ระยะเวลาดาเนินงาน กาลังคนทใ่ี ช้ รวมถึงคา่ ใช้จา่ ยในการดาเนนิ งาน 1.3 การลงมือทางาน เป็นการดาเนินงานตามท่ีได้วางแผนไว้ ด้วยความมุ่งมั่นอดทน และรับผดิ ชอบตอ่ งานทไี่ ดร้ บั มอบหมาย 1.4 การประเมินผลการทางาน เป็นกระบวนการตรวจสอบว่าการวางแผนการ ดาเนินงาน และการดาเนินงานสามารถปฏิบัติได้ตามแผนหรือไม่ รวมถึงงานท่ีออกมามีคุณภาพ หรือไม่ 2. ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา เป็นกระบวนการท่ีให้ผู้เรียนได้ฝึกแก้ปัญหาตามข้ันตอน โดยมีขั้นตอน ดงั น้ี 2.1 การสงั เกต โดยการฝกึ ฝนนกั เรียนใหเ้ ป็นคนทีเ่ ป็นคนช่างสังเกต 2.2 วิเคราะห์ เป็นการนาปัญหาที่เกิดข้ึนมาวิเคราะห์และลาดับความสาคัญ รวมถึง วิเคราะหส์ าเหตขุ องปัญหาทเ่ี กิดขนึ้ 2.3 สร้างทางเลือก นาข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ลาดับความสาคัญ และสาเหตุ ของปญั หาทเี่ กดิ ข้ึนมาสรา้ งทางเลอื ก 2.4 ประเมินทางเลือก เป็นการประเมินเพื่อเลือกทางเลือกท่ีได้สร้างไว้ โดยเลือก ทางเลือกท่ีเหมาะสมกับการนาไปใชใ้ นการแก้ปัญหาที่ดที ่ีสุด 3. ทกั ษะการทางานร่วมกัน เปน็ การทางานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบร่ืน มีความสุข ปราศจาก ความขัดแยง้ เน้นการทางานรว่ มกนั อย่างเปน็ ระบบ โดยมีหลักการ ดังนี้ 3.1 รู้จักบทบาทหน้าที่ในกลุ่ม โดยการฝึกฝนในการทางานร่วมกันภายในกลุ่ม รู้จัก หนา้ ที่และความรบั ผดิ ชอบของตนเอง

51 3.2 มที ักษะในการฟงั พูด โดยการฝกึ ฝนให้รจู้ ักการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และฝกึ ฝนการพูดใหเ้ หมาะสม 3.3 มีคุณธรรมในการทางานร่วมกัน โดยการฝึกให้มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ท่ี ได้รบั มอบหมาย เพือ่ ให้การทางานเกิดความราบร่นื ไม่มีอุปสรรคในการทางาน 3.4 สรปุ ผลโดยการทารายงาน โดยการสรปุ ผลออกมาใหเ้ ป็นรูปธรรมในรูปแบบของ การจดั ทารายงาน 3.5 นาเสนอรายงาน โดยการฝึกฝนทกั ษะในการนาเสนอรายงานการปฏิบัติงานของ กลุม่ ในรปู แบบตา่ งๆ 4. ทกั ษะแสวงหาความรู้ เปน็ การคน้ คว้าหาความรู้ เพือ่ นาความรทู้ ่ไี ดม้ าสร้างองค์ความรู้ใหม่ โดยอาจมาจากการคดิ การศึกษา การทดลอง หรอื จากประสบการณ์ตรง โดยปฏิบัติ ดังน้ี 4.1 กาหนดปัญหา ตง้ั หวั ข้อหรอื ประเด็นในการศึกษาคน้ ควา้ 4.2 การวางแผนในการสืบค้นข้อมูล โดยการกาหนดเปูาหมายว่าจะสิบค้นข้อมูล อะไร จากทีไ่ หน ด้วยวิธีการอย่างไร 4.3 การดาเนินการ เป็นการดาเนนิ การสืบคน้ ขอ้ มูลตามแผนทไ่ี ด้วางไว้ เพ่ือให้บรรลุ ตามเปาู หมายที่ไดก้ าหนดไว้ 4.4 การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น โดยการนาข้อมูลมาพิจารณาถึง องค์ประกอบและความสัมพนั ธ์ของข้อมลู 4.5 การสรุปผลจากการสบื คน้ และจดบนั ทึก เป็นการนาข้อมูลทีได้จากการวิเคราะห์ มาสรปุ ผลและจดบนั ทกึ เก็บไว้ เพ่ือให้งา่ ยต่อการคน้ หา 5. ทักษะการจัดการ เป็นการจัดการระบบงานและระบบคนให้สามารถดาเนินงานได้บรรลุ ตามเปูาหมายท่กี าหนดอยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยสามารถแบง่ ออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 5.1 การจัดการระบบงาน (การทางานเดี่ยว) เป็นการจัดการงานที่รับผิดชอบ โดย การจดั สรรเวลาและงานใหเ้ ป็นระบบ 5.2 การจัดการระบบคน (การทางานกลุ่ม) โดยนามาใช้ในการคัดเลือกคนเข้ามา ทางาน จัดสรรคนให้เหมาะสมกับงาน มีบรรยากาศในการทางาน เพื่อสร้างทีมในการทางานร่วมกัน จนสาเร็จ รัตนศรี พรหมใจรักษ์ (2555: 8-9) ได้กล่าวถึงทักษะพ้ืนฐานท่ีจาเป็นต่อการประกอบอาชีพ ว่าเปน็ ความสามารถพื้นฐานท่ีผู้ประกอบอาชีพตอ้ งมไี ว้ ดังน้ี 1. ทักษะกระบวนการทางาน เป็นกระบวนการทางานท้ังรายบุคคล และการทางานเป็นกลุ่ม เพ่ือใหท้ างานได้สาเร็จและบรรลุตามเปาู หมาย

52 2. ทกั ษะการทางานร่วมกัน เป็นการมุ่งเน้นให้ผู้เรียนทางานอย่างมีกระบวนการตามข้ันตอน การทางาน และทางานรว่ มกันกับผอู้ ื่นได้อยา่ งมคี วามสุข 3. ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา เป็นการฝึกให้ผู้เรียนได้มีกระบวนการในการคิดแก้ปัญหา อยา่ งเป็นขัน้ ตอน และเปน็ ระบบ 4. ทักษะแสวงหาความรู้ เปน็ การเน้นใหผ้ ู้เรยี นได้แสวงหาความรู้ต่างๆ เก่ียวกับเรื่องท่ีผู้เรียน สนใจ 5. ทกั ษะการจดั การ เปน็ การจัดการระบบงาน (ทางานเปน็ รายบคุ คล) และระบบคน (ทางาน เปน็ กลุม่ ) ให้สามารถดาเนินงานได้บรรลุตามเปูาหมายไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพ นอกจากนี้ Manpower Group (2556) อ้างถึงใน จันทร์เพ็ญ สุวรรณคร (2558: 138) ยังได้ สรุปทักษะท่ีจาเป็นในการประกอบอาชีพ ดงั นี้ 1. ทักษะในการด้านการส่ือสารและมนุษยสัมพันธ์ (Communication & Relation skills) เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน เพ่ือสร้างความรักใคร่ ความนับถือ ความจงรักภักดี และความ ร่วมมือในการทางานร่วมกับผู้อื่น โดยเป็นการประสานงานกับบุคคลอื่นๆ เพื่อให้การดาเนินงาน เป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ และประสบความสาเรจ็ 2. ทักษะในการวางแผน (Organizing and Planning skills) เป็นส่ิงที่สาคัญท่ีสุดในการ ดาเนินการ เพราะการวางแผนจะทาให้การดาเนินงานบรรลุตามเปูาหมายท่ีกาหนดไว้ ทาให้งานที่ ออกมามคี ุณภาพ และประสบความสาเร็จอย่างมปี ระสิทธิภาพ 3. ทักษะในการแก้ปัญหา (Problem solving skills) เป็นความสามารถในการจัดการกับ ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ โดยการแก้ปัญหาที่เกิดข้ึนอย่างมีหลักการและวิธีการท่ีเป็นระบบ ต้งั แตส่ าเหตุของปัญหา กาหนดวิธีการดาเนนิ การแก้ไขปัญหา วิเคราะห์ผลการดาเนินการ รวมถึงการ วัดผลการดาเนนิ การแกไ้ ขปญั หา เพอ่ื สร้างมาตรฐานในการปอู งกันการเกดิ ปัญหาเดิมอีกคร้ัง 4. ทกั ษะในด้านเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ (Technology and Computer skills) เป็นส่ิง สาคัญในตลาดแรงงานปัจจุบัน ท่ีมีการนาเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทในการกาหนด ความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อให้การทางานมีความรวดเร็ว ตามยุคสมัยปัจจุบัน และมี ประสิทธิภาพมากข้ึน 5. ทักษะและความสามารถทางด้านภาษา (Linguistic skills) การสื่อสารมีความสาคัญมาก ข้ึนในการทางาน ด้วยความก้าวหน้าของการส่ือสารที่ไม่ได้มีแต่เพียงประเทศไทย แต่มีการส่ือสาร ระหวา่ งต่างประเทศ ดังน้นั ภาษาองั กฤษจึงเป็นสิ่งจาเปน็ ทีค่ วรมี จากแนวคิดของนักการศึกษาเก่ียวกบั ทกั ษะอาชีพดงั กล่าว ผู้วิจยั ไดท้ าการสังเคราะห์ทกั ษะ อาชพี ไว้ ดังตารางท่ี 4 การสังเคราะหท์ ักษะอาชพี

53 ตารางที่ 4 การสงั เคราะห์ทักษะอาชีพ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร วจิ ารณ์ พานชิ รตั นศรี พรหมใจรกั ษ์ Manpower Group สานกั งานแรงงาน ผลจากการสงั เคราะห์ (2551: 56) และ จนั ทร์ (2555: 48-58) (2555: 8-9) (2556) อ้างถึงใน จังหวัดสมุทรสาคร เพ็ญ สวุ รรณคร (2558 : จนั ทรเ์ พญ็ สุวรรณ 1. ทกั ษะการสอ่ื สารและ 1. ความยืดหยนุ่ และ 1. ทกั ษะกระบวน คร (2558: 138) (2560 : 32) มนุษยสมั พนั ธ์ 135) การปรบั ตัว การทางาน 1. ทักษะในการด้าน (Communication and 1. ทกั ษะกระบวนการ 2. ทักษะการทางาน การส่อื สารและ 1. ทกั ษะการใช้ Human Skill) ทางาน 1.1 การปรบั ตวั ตอ่ รว่ มกนั มนุษยสัมพนั ธ์ ภาษาตา่ งประเทศ การเปล่ยี นแปลง 3. ทกั ษะกระบวน 2. ทกั ษะในการ 2. ทักษะการใช้ 1.1 รจู้ ักบทบาทหนา้ ทใ่ี น 1.1 การวเิ คราะหง์ าน การแกป้ ัญหา วางแผน คอมพิวเตอร์ กลุ่ม 1.2 การวางแผนในการ 1.2 มีความยืดหยุน่ 4. ทกั ษะแสวงหา 3. ทักษะในการ 3. ทักษะการใช้ ทางาน 2. การริเรมิ่ สรา้ งสรรค์ ความรู้ แกป้ ัญหา คณติ ศาสตร์และการ 1.2 มที กั ษะในการฟัง พดู 1.3 การลงมอื ทางาน และเปน็ ตัวของตวั เอง 5. ทกั ษะการจดั การ 4. ทกั ษะในด้าน คานวณ 1.3 มีความเป็นผู้นา และ 1.4 การประเมินผล เทคโนโลยีและ 4. ทักษะในการส่ือสาร ผ้ตู าม การทางาน 2.1 การจดั การ คอมพิวเตอร์ 5. ทกั ษะในการบริหาร 2. ทกั ษะกระบวนการทางาน 2. ทกั ษะการทางานรว่ มกนั เปาู หมายและเวลา 5. ทกั ษะและความ จดั การ (Process Skill) 2.1 การสงั เกต สามารถทางด้าน 6. ทกั ษะความสามารถ 2.1 การกาหนดเปูาหมาย 2.2 วิเคราะห์ 2.2 การทางานได้ ภาษา เฉพาะในวิชาชพี 2.2 การวางแผนในการ 2.3 สรา้ งทางเลือก ดว้ ยตนเอง ทางาน 2.4 ประเมนิ ทางเลือก 2.3 สามารถเรยี นรู้ ได้ดว้ ยตนเอง 53

54 ตารางที่ 4 การสังเคราะห์ทักษะอาชีพ (ต่อ) กระทรวงศึกษาธิการ วิจารณ์ พานิช รตั นศรี พรหมใจรกั ษ์ Manpower Group สานกั งานแรงงาน ผลจากการสังเคราะห์ (2551: 56) และ จนั ทร์ (2555: 48-58) (2555: 8-9) (2556) อ้างถงึ ใน จังหวดั สมุทรสาคร เพ็ญ สุวรรณคร (2558 : จันทรเ์ พญ็ สุวรรณ 2.3 การดาเนินงาน 3. ทกั ษะสงั คมและสังคม คร (2558: 138) (2560 : 32) 2.4 การประเมินผล 135) ขา้ มวฒั นธรรม (Social การทางาน 3. ทักษะกระบวนการ and Cross-Cultural 3. ทกั ษะกระบวนการ แก้ปญั หา Skills) แกป้ ญั หา (Problem Solving Skill) 3.1 รู้จักบทบาทหนา้ ที่ใน 3.1 การมีปฏสิ มั พนั ธ์ 3.1 การสังเกต กลมุ่ กบั ผ้อู น่ื อย่างเกิดผลดี 3.2 การวิเคราะห์ 3.3 หาวิธกี าร 3.2 มที ักษะในการฟัง 3.2 การทางานในทีม 3.4 เลอื กวธิ กี ารและ พดู ทแี่ ตกตา่ งหลากหลาย ประเมิน อย่าง ไดผ้ ลดี 4. ทักษะแสวงหาความรู้ 3.3 มีคณุ ธรรมในการ 4. การมีผลงานและ (Inquiry Skill) ทางานรว่ มกัน ความรบั ผิดชอบ 4.1 กาหนดปญั หา ตรวจสอบได้ 3.4 สรุปผลโดยการทา รายงาน 3.5 นาเสนอรายงาน 4. ทกั ษะแสวงหาความรู้ 4.1 กาหนดปัญหา ตง้ั หัวขอ้ หรือประเด็นใน 54

55 ตารางที่ 4 การสังเคราะห์ทักษะอาชีพ (ต่อ) กระทรวงศึกษาธิการ วิจารณ์ พานิช รัตนศรี พรหมใจรกั ษ์ Manpower Group สานักงานแรงงาน ผลจากการสงั เคราะห์ (2551: 56) และ จันทร์ (2555: 48-58) (2555: 8-9) (2556) อ้างถงึ ใน จงั หวัดสมุทรสาคร เพญ็ สุวรรณคร (2558 : จนั ทร์เพ็ญ สุวรรณ 4.2 การวางแผน ใน 4.1 การจัดการ คร (2558: 138) (2560 : 32) การสืบคน้ ขอ้ มลู 135) โครงการ การศึกษาคน้ คว้า 4.3 การดาเนินการ 4.2 การผลิตผลงาน 4.4 การวเิ คราะห์ 4.2 การวางแผนในการ 5. ภาวะผู้นาและความ ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการสบื คน้ สืบค้นข้อมลู รับผิดชอบ 4.5 การสรุปผลและ นาไปใช้ 4.3 การดาเนินการ 5.1 สามารถชีแ้ นะ 5. ทกั ษะการจดั การ 4.4 การวเิ คราะหข์ ้อมูล และเปน็ ผนู้ าแก้ผอู้ ่ืน (Management Skill) ทไ่ี ดจ้ ากการสบื คน้ 5.1 การจัดการ 4.5 การสรปุ ผลจากการ 5.2 มคี วาม ระบบงาน (การทางาน สบื ค้นและจดบันทกึ รับผดิ ชอบต่อผู้อ่นื เด่ยี ว) 5. ทักษะการจดั การ 5.2 การจัดการระบบ 5.1 การจัดการ คน (การทางานกลุ่ม) ระบบงาน (การทางานเดยี่ ว) 5.2 การจัดการระบบคน (การทางานกลุ่ม) 55

56 จากตารางท่ี 4 การสังเคราะห์ทักษะอาชีพ เป็นแนวคิดเกี่ยวกับทักษะอาชีพดังกล่าว ผู้วิจัย สรุปได้ว่า ทักษะอาชพี เปน็ ทักษะพ้ืนฐานจาเป็นที่ใช้ในการประกอบอาชีพเบ้ืองต้น โดยประกอบด้วย ทกั ษะตา่ งๆ ดงั นี้ 1. ทักษะการส่ือสารและมนุษยสัมพันธ์ (Communication and Human Skill) เป็นการ สร้างความสัมพันธภาพที่ดีต่อกันในการทางาน สร้างสร้างความรักใคร่ ความนับถือ ความจงรักภักดี และความร่วมมือในการทางานร่วมกับผู้อ่ืน เพ่ือสร้างบรรยากาศที่ดีในการทางานระหว่างกัน การ ประสานงานกบั บุคคลอื่นๆ รจู้ กั บทบาทหน้าที่ในกลุ่ม มีทักษะในการฟัง พูด มีภาวะผู้นาและผู้ตามใน การทางาน เพ่ือให้การดาเนนิ งานเป็นไปอย่างมปี ระสิทธภิ าพ และประสบความสาเร็จ ประกอบดว้ ย 1.1 รู้จักบทบาทหน้าที่ในกลุ่ม โดยการฝึกฝนในการทางานร่วมกันภายในกลุ่ม รู้จัก หนา้ ทแี่ ละความรับผดิ ชอบของตนเอง 1.2 มีทกั ษะในการฟงั พดู โดยการฝกึ ฝนให้รจู้ กั การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และฝกึ ฝนการพูดใหเ้ หมาะสม 1.3 มีความเปน็ ผู้นา และผู้ตาม โดยการฝึกฝนให้รู้จกั การเป็นผู้นาท่ีดี สามารถนาพา กลุ่มให้บรรลุตามเปูาหมายของงานได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถเป็นผู้ตามที่ดี เพื่อให้การปฏิบัติงาน บรรลุตามเปาู หมายของงานได้ 2. ทักษะกระบวนการทางาน (Process Skill) เป็นการลงมือทางานอย่างเป็นระบบ ท้ัง รายบุคคลและรายกลุ่ม โดยการวิเคราะห์งาน เพ่ือกาหนดเปูาหมายของงาน จากนั้นร่วมกันวางแผน ในการทางานกลุ่ม กาหนดบทบาทหน้าท่ีรับผิดชอบของแต่ละคน วางแผนวิธีการดาเนินงาน ระยะเวลา งบประมาณ เพอ่ื ใหบ้ รรลุเปูาหมายของงาน โดยมขี ัน้ ตอน ดังน้ี 2.1 การกาหนดเปูาหมาย เป็นการร่วมกันวิเคราะห์ภาพรวมของงานเมื่อได้รับ มอบหมาย โดยมีการกาหนดเปาู หมายในการทางาน เพอื่ เป็นแนวทางในการทางานของกลมุ่ 2.2 การวางแผนในการทางาน เป็นการร่วมกันวางแผนในการทางานกลุ่ม กาหนด บทบาทหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละคน วางแผนวิธีการดาเนินงาน ระยะเวลา งบประมาณ เพื่อให้ บรรลเุ ปูาหมายของกลุ่มทไ่ี ด้วางไวใ้ นขั้นตน้ 2.3 การดาเนินงาน เป็นการดาเนินงานตามท่ีได้วางแผนกันไว้ ด้วยความรับผิดชอบ ความมุ่งม่ันต่องานท่ีได้รับมอบหมาย รู้จักหน้าท่ีของตนเอง เพื่อให้งานกลุ่มดาเนินการต่อไปได้ และ บรรลตุ ามเปาู หมายท่วี างไว้ 2.4 การประเมินผลการทางาน เป็นการตรวจสอบกระบวนการทางาน ว่าเป็นไป ตามแผนที่ได้วางไว้หรือไม่ อย่างไร รวมถึงประเมินผลชิ้นงานท่ีออกมาว่าตรงตามเปูาหมายที่ได้ กาหนดไวห้ รือไม่ อย่างไร ควรขอ้ ปรบั ปรุง แก้ไขข้อบกพรอ่ งอยา่ งไร

57 3. ทักษะกระบวนการแก้ปัญหา (Problem Solving Skill) เป็นความสามารถในการจัดการ กับปญั หาที่เกิดข้ึนอยา่ งเปน็ ระบบ ดว้ ยการสังเกต วิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา เพื่อหาวิธีการในการ แก้ปัญหา และประเมินการดาเนินการแก้ไขปัญหาว่าสามารถแก้ปัญหาได้จริงหรือไม่ อย่างไร เพื่อ ปูองกนั การเกิดปญั หาเดมิ อกี ครั้ง โดยมขี ั้นตอน ดังน้ี 3.1 การสังเกต โดยการฝึกฝนนกั เรียนใหเ้ ป็นคนท่ีเป็นคนช่างสงั เกต 3.2 การวิเคราะห์ เปน็ การนาปญั หาที่ไดม้ าจากการสังเกตมาวิเคราะห์หาสาเหตุของ ปญั หาที่เกิดข้นึ 3.3 หาวิธีการแก้ไข นาข้อมูลท่ีได้จากการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นมา สรา้ งทางเลือกวธิ ีการแกไ้ ข 3.4 เลอื กวิธกี ารและประเมิน เป็นการเลอื กวิธีการแก้ไขปัญหามาใช้ในการแก้ปัญหา จากนั้นประเมนิ วา่ สามารถแกป้ ัญหาไดจ้ รงิ หรอื ไม่ อย่างไร เพือ่ หาทางเลอื กวธิ กี ารแกป้ ัญหาทดี่ ที ส่ี ดุ 4. ทักษะแสวงหาความรู้ (Inquiry Skill) เป็นการค้นคว้าหาความรู้ เพื่อนาความรู้ที่ได้มา สร้างองค์ความรู้ใหม่ โดยอาจมาจากการคิด การศึกษา การทดลอง หรือจากประสบการณ์ตรง โดย ปฏิบตั ิ จากผู้รู้ ผูเ้ ชยี่ วชาญ และการนาเทคโนโลยีเขา้ มามีบทบาทในการแสวงหาความรู้ เพ่ือนาความรู้ ทไี ดม้ าใชใ้ นการดาเนินงาน เพ่อื ให้บรรลเุ ปูาหมายของงาน โดยมีขนั้ ตอน ดงั นี้ 4.1 กาหนดปญั หา ต้ังหวั ข้อหรือประเดน็ ในการศกึ ษาค้นควา้ 4.2 การวางแผนในการสืบค้นข้อมูล โดยการกาหนดเปูาหมายว่าจะสืบค้นข้อมูล อะไร จากที่ไหน ดว้ ยวธิ กี ารอย่างไร 4.3 การดาเนินการ เป็นการดาเนนิ การสบื ค้นขอ้ มลู ตามแผนท่ีได้วางไว้ เพ่ือให้บรรลุ ตามเปาู หมายทไ่ี ดก้ าหนดไว้ 4.4 การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสืบค้น โดยการนาข้อมูลมาพิจารณาถึง องค์ประกอบและความสัมพันธ์ของข้อมูล 2.5 การสรุปผลและนาไปใช้ เป็นการนาข้อมูลทีได้จากการวิเคราะห์มาสรุปผลและ นาไปใชป้ ระโยชน์ในการแกป้ ญั หา 5. ทักษะการจัดการ (Management Skill) เป็นการจัดสรรเวลาและงานให้เป็นระบบ จัดสรรคนใหเ้ หมาะสมกับงาน มีบรรยากาศในการทางาน เพื่อสร้างทีมในการทางานร่วมกันจนสาเร็จ ให้สามารถดาเนินงานไดบ้ รรลตุ ามเปาู หมายทกี่ าหนดอย่างมีประสทิ ธภิ าพ โดยแบง่ ออกเปน็ 5.1 การจัดการระบบงาน (การทางานเดย่ี ว) 5.2 การจดั การระบบคน (การทางานกลมุ่ )

58 สรปุ แนวคดิ เกี่ยวกับทักษะอาชีพ เป็นความสามารถพ้ืนฐานสาหรับการประกอบอาชีพ ซึ่งใน การวิจัยครั้งน้ี ได้พิจารณาทักษะอาชีพประกอบด้วย 5 ทักษะ ดังน้ี 1) ทักษะการส่ือสารและมนุษย สมั พนั ธ์ 2) ทักษะกระบวนการทางาน 3) ทกั ษะกระบวนการแก้ปัญหา 4) ทักษะแสวงหาความรู้ และ 5) ทักษะการจดั การ แนวคิดเก่ียวกับคณุ ลักษณะในการประกอบอาชพี เปูาหมายสาคัญของการจัดการศึกษา คือ การเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต และ สามารถนาองค์ความรู้ท่ีได้ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพ และการดารงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ แต่สิ่งหน่ึงท่ีจาให้การประกอบอาชีพมีความเจริญมั่นคง คือ นิสัยรักการทางานและจริยธรรมในการ ทางาน ซ่ึงถือเป็นส่วนสาคัญที่สุด ควบคู่ไปกับความรู้ทางวิชาการ เก่ียวกับการทางาน เช่น การ วางแผนการประกอบอาชีพ การดาเนินการประกอบอาชีพตามแผนท่ีกาหนด การตรวจสอบ ปรับปรุง และพัฒนาอย่างตอ่ เนอื่ ง ซงึ่ มีคณุ ลักษณะท่ีสาคัญ ดังต่อไปน้ี (สาลนิ ี อุดมผล, 2558: 147-148) 1. มีความซื่อสัตย์ในการทางานที่ได้รับมอบหมาย ปฏิบัติงานด้วยความจริงใจ และไม่คดโกง หรอื หลอกลวงผู้อน่ื เราจงึ จะไดร้ ับความไวว้ างใจจากเพอื่ นร่วมงาน 2. มีความเสียสละในการทางานร่วมกับผู้อื่น เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ สว่ นตน รู้จกั การแบง่ ปนั การชว่ ยเหลือผอู้ ืน่ โดยไมห่ วังผลประโยชน์ตอบแทน 3. มีความยุติธรรมในการทางาน ไม่ลาเอียงหรือถือส่ิงใดสิ่งหน่ึงตามที่เชื่อ มีความเป็นกลาง ยดึ ความถูกต้องเป็นหลัก ไม่มีอคตกิ ับเรื่องตา่ งๆ 4. มีความประหยัดในการทางาน ไม่ฟุมเฟือย คานึงถึงความคุ้มค่าในการใช้ทรัพยากร โดย การนาส่ิงท่เี หลอื ใช้หรือสงิ่ ท่ไี มม่ ีประโยชนแ์ ล้วมาดดั แปลง ปรับปรงุ และแก้ไขเพ่ือใหม้ ีคุณค่ามากขึ้น 5. มีความขยันและความอดทนในการทางาน มีความมุ่งมั่นในงานที่ได้รับผิดชอบอย่างเต็ม ความร้คู วามสามารถ ประเมนิ และปรับปรุงการทางาน 6. มีความรับผิดชอบในการทางาน มีความรับผิดชอบต่องาน ผู้ร่วมงาน ผู้บริโภค สังคมและ สง่ิ แวดล้อม 7. การประกอบอาชพี ทีส่ จุ รติ การเลอื กประกอบอาชีพท่ีสุจริต ไม่ทาให้ผู้อืน่ เดือดร้อน ไม่เป็น ภัยตอ่ สังคม สานักงานแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร (2560 : 32) ได้กล่าวถึง คุณลักษณะของแรงงานที่ สถานประกอบการตอ้ ง มดี ังนี้ 1. มคี วามซอ่ื สตั ย์ สจุ รติ 2. ความอดทน 3. ความขยัน หม่ันเพยี ร

59 4. การตรงตอ่ เวลา 5. ความรบั ผดิ ชอบหนา้ ที่ 6. ความมรี ะเบยี บวินัย 7. ความใฝเุ รยี นรู้ 8. การมจี ติ สาธารณะ จันทร์เพ็ญ สุวรรณนคร (2558: 134) และ กระทรวงศึกษาธิการ (2544) ได้กล่าวถึง คุณลกั ษณะพน้ื ฐานท่พี ึงประสงค์ต่อต่อการประกอบอาชีพทส่ี อดคล้องกนั ดงั นี้ 1. มคี วามซือ่ สตั ย์สุจริต 2. มคี วามสามคั คี 3. มคี วามรับผดิ ชอบ 4. มีระเบยี บวินัย 5. มีความขยนั 6. มีความอดทน 7. มคี วามกระตือรือร้น 8. มีความตรงต่อเวลา 9. มีความสามารถและความถนัดในงานอาชีพ 10. มีทศั นคตทิ ีด่ ีต่ออาชีพที่ทา และรักในงานที่ทา นอกจากน้นั สานักงานบริหารงานการศกึ ษานอกโรงเรียน ศนู ย์สง่ เสริมการศึกษาตามอัธยาศัย อ้างถึงใน วรรณวีร์ บุญคุ้ม และคณะ, 2558 : 30 ได้เสนอคุณลักษณะท่ีสาคัญของบุคคลในการ ประสบความสาเรจ็ ในการประกอบอาชีพ ดังนี้ 1. ความขยนั อดทน ทางานประเภทหนกั เอาเบาสู้ ไม่ทอ้ ถอยในการทางาน 2. ประหยดั 3. ฉลาด มีไหวพริบ 4. มีความคดิ ริเรม่ิ สรา้ งสรรค์ 5. รเู้ ทา่ ทนั คน เหตุการณ์ และมองเห็นการณ์ไกล 6. ซ่ือสตั ย์ มีคณุ ธรรม 7. มมี นุษยสัมพนั ธ์ 8. มสี ุขภาพดี 9. มีความสามารถและความถนดั ในงานอาชีพ 10. มที ัศนคตทิ ่ดี ีตอ่ อาชพี ที่ทา รักในงานท่ที า 11. ตรงตอ่ เวลา มคี วามรบั ผิดชอบ

60 12. ใฝุหาความรู้ แสวงหาแนวทางใหมใ่ นการทางาน จากแนวคดิ คุณลักษณะในการประกอบอาชีพดังกล่าว ผ้วู ิจยั ได้สังเคราะห์คุณลักษณะสาคัญ ในการประกอบอาชีพจากแนวคดิ ของนักการศกึ ษาไว้ ดงั ตารางที่ 5 การสังเคราะห์คุณลักษณะในการ ประกอบอาชีพ (Christine Joy BASHAM, 2011; Evans, 1973; Frederick, 1959; Glatthorn, 1986; Good, 1973; Hargerty, 1971; Hargrave, 2004; McKown, 1954; Super, 1957; กรรณกิ าร์ ภู่ระหงษ์, 2547; กระทรวงศึกษาธิการ, 2544, 2550, 2551, 2553a, 2553b, 2560; ก่งิ กมล ปยิ มาดากลุ , 2557; ฆนทั ธาตุทอง, 2551; จันทร์เพญ็ สุวรรณคร, 2558; จติ รารัตน์ โพธิมามกะ, 2523; ใจจรงิ บุญเรืองรอด, 2534; ฉววี รรณ ไตรรตั นานนท์, 2555; ชนสทิ ธ์ิ สทิ ธสิ์ งู เนนิ , 2557; ชมพูนุท จารบี รู ณภาพ, 2549; ดารง ประเสริฐกุล, 2542; ดุษฎี โยเหลา และคณะ, 2557; ธีราภรณ์ ชชู ืน่ , 2557; พชั รี สรอ้ ยสกลุ , 2559; ไพฑรู ย์ นนั ตะสุคนธ์ และวัลลภา อย่ทู อง, 2557; ไพโรจน์ นาคะ สวุ รรณ และวันนอร์ มะทา, 2528; มัทนยี า ค้อมทอง, 2552; มาเรยี ม นลิ พันธุ์, 2558; มาเรียม นิล พันธ์ุ และคณะ, 2556; เยาวเรศ ภกั ดีวจิ ติ ร, 2557; รงั สี ทองพันธุ์, 2551; รตั นศรี พรหมใจรักษ์, 2555; ราตรี เสนาปาุ , 2559; โรงเรยี นวดั หลกั สี่พพิ ัฒน์ราษฎรอ์ ุปถมั ภ์, 2559; วรรณวีร์ บุญคุม้ และ คณะ, 2558; วชั รา เล่าเรียนดี, 2548; วัชรนิ ทร์ โพธเ์ิ งนิ และคณะ, 2558; วจิ ารณ์ พานชิ , 2555, 2556; วชิ ัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล, 2558; ศนู ยบ์ ริการข้อมูลอาเภอ, 2560; สาลกิ า สาเภาทอง, 2553; สาลินี อุดมผล, 2558; สานกั งานจงั หวดั สมทุ รสาคร, 2560; สานักบริหารงานการมธั ยมศกึ ษา ตอนปลาย สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน, มปป; สานกั แรงงานจงั หวัดสมุทรสาคร, 2560; สริ พิ นั ธุ์ สวุ รรณมรรคา และคณะ, 2554; สขุ พชั รา ซมิ้ เจริญ, 2545; สนุ นั ท์ ศิริวรรณ์, 2544; สุ พจน์ วิทลัสวศนิ ุ, 2552; สภุ ัทรา จาปาเงนิ , 2548; สุวิทย์ เมษนิ ทรีย์, 2560; สุวทิ ย์ และอรทัย มลู คา, 2545; อัชราภรณ์ โวคชาภรณ์, 2539; อันธกิ า วงษ์จาปา, 2549; เอกชยั พุทธสอน, 2556)

61 ตารางที่ 5 การสังเคราะหค์ ณุ ลกั ษณะในการประกอบอาชพี ่ืซอสัต ์ย เสียสละ ุย ิตธรรม ประหยัด ขยัน อดทน รับ ิผดชอบ การประกอบอาชีพสุจริต สา ัมค ีค ระเ ีบยบวินัย กระ ืตอรือร้น ตรง ่ตอเวลา ีมความสามารถและความ ถนัดในงานอา ีชพ ทัศนค ิต ่ีท ีด ่ตออาชีพท่ีทา รักในงานอาชีพ ฉลาด ีมไหวพริบ ความ ิคดสร้างสรรค์ รู้เ ่ทา ัทนเห ุตการ ์ณ ีมมอคุงณกธารรร ์ณมไกล ีมมนุษยสัม ัพน ์ธ ีมสุขภาพ ีด ใ ่ฝหาความรู้ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร √ √√√ √√√√ √ √ √ √ √ √√√ √ √ √ (2544) √ √ ศูนย์สง่ เสริมการศกึ ษาตาม √ √√√√ √ √ อธั ยาศยั อ้างถึงใน วรรณ √ วีร์ บญุ ค้มุ และคณะ, 2558 : 30 จันทร์เพญ็ สุวรรณคร √ √√√ √√√√ (2558: 134) ส า ลิ นี อุ ด ม ผ ล ( 2558: √ √ √ √ √ √ √ √ 147-148) ส า นั ก แ ร ง ง า น จั ง ห วั ด √ √√√ √ สมทุ รสาคร (2560 : 32) ผลจากการสงั เคราะห์ √√ √√√ √√ 61

62 จากตารางที่ 5 การสังเคราะห์คุณลักษณะในการประกอบอาชีพ ผู้วิจัยได้ทาการสังเคราะห์ คุณลักษณะในการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นคุณลักษณะพ้ืนฐานสาหรับการประกอบอาชีพ สาหรับการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้ในกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เร่ือง ของดีบ้านแพ้ว เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และ คุณลักษณะในการประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา โดยมีคุณลักษณะในการประกอบ อาชพี 6 ประการ ดังนี้ 1. มีความซ่ือสัตย์ (Honest) เป็นการพูดความจริง ไม่พูดโกหก ยอมรับผิดเม่ือทาผิด ไม่ใส่ รา้ ยความผดิ ใหก้ บั ผูอ้ นื่ และไม่ลกั ขโมยของหรือปยบิ ของโดยไม่ไดร้ ับอนุญาต 2. มคี วามขยันและความอดทน (Diligent and Patient) มีความมุ่งมั่นในงานที่ได้รับผิดชอบ อย่างเตม็ ความสามารถ ไมย่ อ่ ท้อต่อปญั หาที่เกดิ ข้นึ และพร้อมเผชิญกบั ปญั หาท่เี กดิ ข้ึนทุกเมื่อ 3. มีความรับผิดชอบในการทางาน (Responsible) มีความตรงต่อเวลา ทางานเสร็จทันตาม เวลาทก่ี าหนด 4. มคี วามเสียสละ (Sacrifice) ในการทางานร่วมกับผู้อ่ืน เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมากกว่า ประโยชน์ส่วนตน รจู้ กั การแบง่ ปัน การชว่ ยเหลือผอู้ ่ืนโดยไม่หวงั ผลประโยชน์ตอบแทน 5. มีระเบียบวินัย (Discipline) รักษากติกา มารยาทในการทางานและการอยู่ร่วมกัน ไม่ทา อะไรตามใจตนเอง และไมส่ ร้างความเดอื ดรอ้ นใหก้ ับผูอ้ ืน่ 6. มีทัศนคติท่ีดีต่ออาชีพท่ีทา (Attitude) รักในงานอาชีพ มีความสุขในงานท่ีตนเองทา และ พยายามท่จี ะพัฒนาอาชีพที่ตนเองทาอยูเ่ สมอ สรุปแนวคิดเก่ียวกับคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ เป็นนิสัยรักการทางานและจริยธรรม ในการทางาน ซงึ่ ถอื เปน็ ส่วนสาคัญท่สี ุด ควบคูไ่ ปกับความรู้ทางวิชาการ เกีย่ วกับการทางาน ซ่ึงในการ วจิ ัยคร้ังนี้ ไดพ้ จิ ารณาประกอบดว้ ย 6 คุณลักษณะ ดังน้ี 1) มีความซ่ือสัตย์ 2) มีความขยันและอดทน 3) มคี วามรบั ผิดชอบ 4) มคี วามเสยี สละ 5) มีระเบียบวินัย และ 6) มที ัศนคตทิ ี่ดีต่ออาชีพที่ทา ขอ้ มูลท่ัวไปของจังหวดั สมุทรสาคร สานักงานจังหวัดสมุทรสาคร (2560 : 1-23) ได้กล่าวถึง จังหวัดสมุทรสาคร เป็นจังหวัด ชายทะเล ตั้งอยูบ่ รเิ วณปากแม่น้าท่าจีน จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ได้กล่าวไว้ว่า ในสมัยกรุงศรี อยุธยาน้ันได้มีชุมชนขนาดใหญ่ ต้ังอยู่บริเวณปากอ่าวไทยโดยมีชาวจีนเป็นจานวนมากนาเรือสาเภา เข้ามาจอดเทียบท่าเพื่อทาการค้าขาย แลกเปล่ียนสินค้า และพักอาศัยอยู่ จึงได้มีการเรียกชาวบ้าน เหล่าน้ันว่า “บ้านท่าจีน” และในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ในปี พ.ศ. 2099 ได้โปรดให้ ยกฐานะจาก “บ้านท่าจีน” ขึ้นเป็น “เมืองสาครบุรี” เพ่ือเป็นหัวเมืองสาหรับเรียกระดมพลเวลาเกิด สงคราม และเป็นเมืองด่านหน้าปูองกันข้าศึกศัตรูท่ีจะเข้ามารุกรานทางทะเล ต่อมาในสมัยกรุง รตั นโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงโปรดให้เปล่ียนชื่อ “เมืองสาคร

63 บุรี” เป็น “เมืองสมุทรสาคร” ซ่ึงมีความหมายว่า เมืองแห่งทะเลและแม่น้า จากน้ันในปี พ.ศ. 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 6โปรดเกล้า ให้ทางราชการเปล่ียนจากคาว่า “เมือง” เป็นคาว่า “จังหวัด” ทั่วทุกแห่งในพระราชอาณาจักร ดังนั้น “เมืองสมุทรสาคร” จึงได้ เปลี่ยนชื่อเปน็ “จังหวัดสมุทรสาคร” ตงั้ แต่บัดน้นั เปน็ ต้นมา ตราประจาจังหวัดสมทุ รสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ได้มีการใช้ตราประจาจังหวัดสมุทรสาคร เป็นรูปเรือสาเภาจีนแล่นอยู่ใน ทะเล ด้านหลังเป็นโรงงานและปล่องไฟ ซึ่งหมายถึง ความรุ่งเรืองที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดย ตราประจาจังหวัดสมุทรสาครน้ันได้มีการเร่ิมใช้เมื่อ พ.ศ. 2483 ในสมัยที่หลวงวิเศษภักดี (ช้ืน วิเศษ ภักดี) เปน็ ผู้ว่าราชการจังหวัดสมทุ รสาคร ธงประจาจงั หวัดสมุทรสาคร ธงประจาจงั หวัดสมทุ รสาครโดยใช้สีน้าทะเลและสีชมพูเปน็ สีพน้ื ธง ตรงการมีรูปเรอื สาเภา ตน้ ไม้ประจาจังหวดั สมทุ รสาคร ต้นไม้ประจาจังหวัดสมุทรสาคร คือ ต้นพญาสัตบรรณ หรือ ต้นตีน (Alstonia scholaris) เป็นพันธ์ุไม้มงคลพระราชทานประจาจังหวัดสมุทรสาคร รู้จักกันทั่วไปในนามของ ต้นตีนเป็ด เป็นไม้ ยืนต้น เปลอื กสเี ทาออ่ น ใบเรียงกันเป็นวงคล้ายตีนเป็ด มีดอกสีขาวอมเขียว ออกดอกเป็นกลุ่มบนช่อ ตามปลายก่ิงไม้ เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ มีความสูงประมาณ 12 - 20 เมตร มีถ่ินกาเนิดดั้งเดิมใน เอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ คาขวญั จงั หวัดสมทุ รสาคร “เมืองประมง ดงโรงงาน ลานเกษตร เขตประวัติศาสตร์” “Fishery Town, Industrial Community Agricultural Field, Historical Site” ทต่ี ้ังและอาณาเขต จงั หวดั สมุทรสาครเปน็ จังหวดั ชายทะเล ตั้งอยรู่ ิมฝ่ังแม่นา้ ท่าจนี และปากอา่ วไทย อยูใ่ นเขต พนื้ ที่ภาคกลางตอนลา่ งของประเทศไทย ประมาณเสน้ รุ้งท่ี 130 องศาเหนอื และเส้นแวงที่ 100 องศา ตะวันออก เป็นจังหวัดปริมณฑลกรุงเทพมหานคร อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครตามระยะทางหลวง แผ่นดิน หมายเลข 35 (ถนนพระราม 2) ประมาณ 30 กิโลเมตรมีพ้ืนที่ 872.347 ตารางกิโลเมตร หรอื ประมาณ 545,216 ไร่ ซึง่ มีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดใกลเ้ คยี ง ดังน้ี

64 ทิศเหนอื ติดตอ่ กับจังหวดั นครปฐม ทศิ ใต้ ติดทะเลอ่าวไทย ทศิ ตะวนั ออก ติดต่อกับกรงุ เทพมหานคร ทศิ ตะวนั ตก ตดิ ตอ่ กับจังหวดั สมทุ รสงคราม และจงั หวัดราชบรุ ี สภาพภูมิประเทศ จังหวัดสมุทรสาคร มีลักษณะภูมิประเทศเป็นท่ีราบลุ่มชายฝั่งทะเล สูงจากระดับน้าทะเล ประมาณ 1.00 - 2.00 เมตร พื้นท่ีด้านทิศตะวันตก เป็นที่ราบลุ่มในเขตน้าจืด เขตจังหวัดถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน ด้วยแม่น้าท่าจีนซึ่งไหลผ่านตอนกลางจังหวัด ไหลคดเคี้ยวตามแนวเหนือใต้ลงสู่อ่าวไทยที่ อาเภอเมืองสมุทรสาคร ระยะทางยาว 70 กิโลเมตร พื้นที่ตอนบนของจังหวัดในเขตอาเภอบ้านแพ้ว และอาเภอกระทุ่มแบนมีความอุดมสมบูรณ์ของดิน และมีโครงข่ายแม่น้าลาคลองเช่ือมโยงถึงกัน กระจายอยทู่ วั่ พ้นื ที่ กวา่ 170 สายท้งั ทเ่ี ป็นคลองธรรมชาติและคลองที่ขุดข้ึนเพื่อนาน้าจืดมาใช้ในการ เพาะปลูก และการชลประทาน ช่วยในการระบายน้าและใช้ในการคมนาคมขนส่ง สภาพพ้ืนท่ีจึง เหมาะท่ีจะทาการเพาะปลูกพืชนานาชนิด และบางส่วนเป็นย่านธุรกิจอุตสาหกรรมและท่ีอยู่อาศัย พน้ื ทตี่ อนลา่ งของจังหวัดในเขตอาเภอเมืองสมุทรสาครอยู่ติดชายฝ่ังทะเลยาว 41.8 กิโลเมตร เหมาะ แก่ทานาเกลอื การทาประมง และการเพาะเล้ยี งสตั ว์นา้ ชายฝง่ั สภาพภมู อิ ากาศ จังหวัดสมุทรสาคร มีสภาพภูมิอากาศเป็นแบบฝนเมืองร้อน (Tropical Climate) เน่ืองจาก ได้รับอิทธิพลจากลมบก ลมทะเล และมีลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ รวมท้ังพายุดีเปรสชั่นที่พัดผ่านมาจากทะเลจีนใต้ จึงทาให้มีความชื้นในอากาศสูง มีฝนตกปานกลาง ปริมาณฝนตกเฉล่ีย ทั้งปี อยู่ท่ี 988.1 มิลลิเมตร อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 27.8 องศาเซลเซียส มี ความชนื้ สัมพัทธ์ ต่าสดุ 50 สูงสุด 95 สภาพอุตุนิยมวิทยาและอุทกวทิ ยา ข้อมูลภูมิอากาศจากสถานีตรวจอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาท่ีอยู่ในพ้ืนที่ลุ่มน้าท่าจีน และ พื้นทีข่ า้ งเคยี งรวมถงึ สรุปข้อมลู ภูมอิ ากาศท่สี าคัญประกอบดว้ ย อณุ หภูมิความชื้นสัมพันธ์ เมฆปกคลุม ความเร็วลม และปริมาณการระเหยถาด รวมถึงปริมาณการคายระเหยของพืชอ้างอิงท่ีคานวณจากวิธี Modified Penman สาหรับพ้ืนทล่ี ุ่มนา้ ทา่ จนี สรุป ไดด้ ังตารางท่ี 6

65 ตารางที่ 6 แสดงข้อมูลสภาพภูมิอากาศในพน้ื ที่ลุม่ น้าท่าจีน ขอ้ มูลภูมิอากาศที่สาคญั หน่วย ช่วงพิสัยค่ารายเดือน คา่ เฉลี่ยรายปี เฉลย่ี อณุ หภมู ิ องศาเซลเซียส 27.8 24.7 – 30.1 75.9 ความชื้นสัมพันธ์ เปอรเ์ ซน็ ต์ 71.5 – 81.5 2.1 1.5 – 2.6 5.6 ความเร็วลม นอ๊ ต 3.0 – 9.0 เมฆปกคลุม 0-10 อ๊อกต้า ทมี่ า : สถานตี รวจอากาศ กรมอตุ นุ ยิ มวิทยา, 2559 การปกครอง ประชากรตามทะเบียนราษฎรของจังหวัดสมุทรสาคร ณ เดือนมกราคม 2560 มีจานวนรวม 557,512 คน เป็นเพศชาย 269,214 คน เพศหญิง 288,298 คน ความหนาแน่นเท่ากับ 636 คนต่อ ตารางกิโลเมตร อาเภอที่มีประชากรมากที่สุดคือ อาเภอเมืองสมุทรสาคร มีประชากร 286,686 คน รองลงมาคอื อาเภอกระทุ่มแบน มีประชากร 172,898 คน และอาเภอบ้านแพ้ว มีประชากร 97,928 คน โดยแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 3 อาเภอ 40 ตาบล 290 หมู่บ้าน 62 ชุมชน ดังตารางที่ 7 ตารางท่ี 7 แสดงจานวนอาเภอ ตาบล หมู่บา้ น เทศบาล อบต. ในจังหวดั สมุทรสาคร อาเภอ พื้นที่ (ตร.กม.) ตาบล หมู่บา้ น เทศบาล อบต. หมายเหตุ เมอื งสมุทรสาคร 492,040 18 116 5 12 1 เทศบาลนคร 4 เทศบาลตาบล กระทุ่มแบน 135,276 10 76 4 6 1 เทศบาลนคร 1 เทศบาลเมือง 2 เทศบาลตาบล บา้ นแพ้ว 245,031 12 98 3 7 3 เทศบาลตาบล รวม 872,347 40 290 12 25 ทม่ี า : ทที่ าการปกครองจงั หวัดสมทุ รสาคร, 2559

66 เศรษฐกจิ จังหวัดสมุทรสาครเป็นเมืองแห่งเศรษฐกิจที่มีศักยภาพท้ังทางด้านการอุตสาหกรรม การ ประมงและการเกษตรกรรม จากข้อมูลสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวม (GPP) ประจาปี 2557 ของสานักงาน คณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) พบว่า จังหวัดสมุทรสาครเป็นจังหวัด 1 ใน 10 ของประเทศที่มีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมสูงตลอด และมีผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว (GPP Per Capita) ในปี พ.ศ.2557 เปน็ อันดับท่ี 7 ของประเทศ อุตสาหกรรม จงั หวัดสมุทรสาคร เป็นจงั หวัดท่ีมีศักยภาพเอ้ือต่อการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรม เนื่องจาก อยู่ในเขตปริมณฑลกรุงเทพมหานคร มีการคมนาคมขนส่งท่ีสะดวกและรวดเร็วประกอบกับมี โครงสร้างพ้ืนฐานและปัจจัยการผลิตท่ีเหมาะสมต่อการลงทุน จึงมีผู้ประกอบการด้านธุรกิจ อุตสาหกรรมให้ความสนใจมาลงทุนต้ังโรงงานอุตสาหกรรมในเขตจังหวัดสมุทรสาครเป็นจานวนมาก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 – 2559 จังหวัดสมุทรสาคร มีโรงงานอุตสาหกรรมต้ังอยู่ในพ้ืนที่จังหวัด สมุทรสาคร จานวน 5,916 แห่ง เงินลงทุน 792,976.28 ล้านบาท ลูกจ้างในโรงงานอุตสาหกรรม จานวน 435,445 คน ซึ่งสาขาอุตสาหกรรมท่ีมีการลงทุนมากที่สุด 5 อันดับแรกของจังหวัด สมุทรสาคร ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมพลาสติก อตุ สาหกรรมสิ่งทอ และอตุ สาหกรรมกระดาษและผลติ ภณั ฑจ์ ากกระดาษ การประมง จังหวัดสมุทรสาคร มีชายฝั่งทะเลยาว 41.8 กิโลเมตร เป็นจังหวัดที่มีศักยภาพด้านการ ประมงทงั้ น้าจืด นา้ กร่อยและทะเล รวมถึงเกิดธุรกิจท่ีต่อเนื่องจากการประมง จึงทาให้เกิดอาชีพด้าน การประมง และอาชพี อืน่ ๆ ท่ีเก่ยี วข้องกบั การประมงจานวนมาก เป็นศูนย์กลางในการจาหน่ายสินค้า สัตวน์ ้า โดยมตี ลาดคา้ สนิ คา้ สตั ว์นา้ ขนาดใหญ่ ได้แก่ ตลาดทะเลไทย ตลาดกลางการค้ากุ้ง และตลาด ลีลานอกจากน้ีชาวประมงจังหวัดสมุทรสาคร ยังได้ทาการประมงนอกน่านน้าไทย โดยมีเรือประมง ทะเล ที่เป็นเรือบรรทุกห้องเย็นขนถ่ายสินค้าสัตว์น้า ที่ ไปร่วมทาการประมง ในน่านน้าต่างประเทศ ซ่ึงวัตถุดิบท่ีจับได้จะเป็นปลาชนิดต่างๆ เช่น ปลาเก๋า ปลากะพง ปลาหมึก โดยเรือบรรทุก ขนถ่าย สินค้าสัตว์น้า (เรือแม่) จะนาสินค้าสัตว์น้ากลับขึ้นฝ่ัง โดยมีท่าเทียบเรือและรถตู้คอนเทนเนอร์ ตลอดจนแพปลารองรับด้วยศักยภาพในการทาการประมงของชาวประมงสมุทรสาครดังกล่าว ส่งผล ใหจ้ ังหวดั สมทุ รสาคร เป็นแหล่งธุรกิจการประมงขนาดใหญ่ครบวงจร ซึ่งมีทั้งการทาประมงทะเล การ เพาะเลี้ยงสตั วน์ ้า รวมถึงอุตสาหกรรมต่อเนอ่ื ง

67 การเกษตร จงั หวัดสมทุ รสาครมีแม่นา้ ท่าจีนไหลผ่านตอนกลางพื้นที่ มีโครงข่ายแมน่ า้ ลาคลองที่เช่ืองโยง ถึงกันกระจายอยู่ทั่วพ้ืนที่ มีระบบชลประทานที่ดี และมีพ้ืนที่ตอนล่างติดทะเลอ่าวไทย จึงได้รับ อทิ ธพิ ลจากลมบก ลมทะเล รวมทัง้ ลมมรสมุ ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ทาใหม้ ีภมู อิ ากาศที่ไม่ร้อนมากนัก และ มีความชุ่มช้ืน เน่ืองจากมีฝนตกตามฤดูกาล และไม่มีภัยธรรมชาติท่ีรุนแรง ประกอบกับสภาพพ้ืนท่ี เป็นพื้นท่ีราบลุ่ม รวมท้ังความอุดมสมบูรณ์ของดิน เหมาะแก่การทาการเกษตร ทาให้พื้นที่ในเขต อาเภอบ้านแพ้ว และพ้ืนที่บางส่วนของอาเภอเมืองสมุทรสาคร และอาเภอกระทุ่มแบน มีความ เหมาะสมตอ่ การทาการเกษตรกรรม ข้อมูลท่ัวไปของอาเภอบา้ นแพว้ ศูนย์บริการข้อมูลอาเภอ (2560) ได้กล่าวว่า อาเภอบ้านแพ้วในอดีตนั้นมีสภาพเป็นปุาทึบ ชายทะเล อุดมสมบรู ณ์ด้วยสัตวป์ ุา ทงั้ สตั ว์บก สัตว์นา้ และไม้นานาชนิด ต่อมามีประชาชนจากชุมชน ใกล้เคยี งของ จ.นครปฐม และจากท่ีอื่นๆ เดินทางเข้ามาจับสัตว์ปุา มากันเป็นกลุ่มเกรงว่าจะหลงทาง พลัดหลงกนั จึงชักธงปกั ไว้สงู ๆ ใหม้ องเหน็ ไดช้ ดั เจนเรียกวา่ “แพ้ว” เพื่อปูองกันการหลงทางและเป็น จุดนัดพบ เช่นใชไ้ ม้เปน็ เสาธงผกู ผา้ ไวท้ ่ีปลายไม้ (เรียกวา่ แพ้วธง) จนกระท่งั ประชาชนอพยพมาอาศัย อยู่ในพื้นที่มากขึ้น จึงได้เรียกชุมชนชาวบ้านท่ีอยู่บริเวณนี้ว่า “หมู่บ้านแพ้ว” ในสมัยพระบาทสมเด็จ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 4 เม่ือปี พ.ศ. 2409 ได้มีการขุดคลองเชื่อมระหว่างแม้น้าท่าจีน และแม่น้าแม่กลอง ชื่อว่า \"คลองดาเนินสะดวก\" เพื่อประโยชน์ทางการชล-ประทาน การเกษตรและ เป็นเส้นทางคมนาคม (ทางนา้ ) สายสาคัญ เสมือนเส้นเลือดใหญ่ของพื้นที่ จนมีประชาชนเข้าอยู่อาศัย ทากินมากขึ้น จึงยกฐานะทางปกครองเป็นหมู่บ้าน ตาบล ข้ึนกับ อาเภอบ้านบ่อ จังหวัดสมุทรสาคร ปี พ.ศ. 2450 ต่อมาได้รวมพ้ืนที่บางตาบลของอาเภอต่างๆใน จังหวัดสมุทรสาคร และ อาเภอสาม พราน จังหวัดนครปฐม ยกฐานะเป็น \"อาเภอบ้านแพ้ว\" เม่ือปี 2468 โดยมี ขุนนิวาสวาปี (แจ้ง สกุล วงษ)์ เปน็ นายอาเภอคนแรก การปกครอง อาเภอบ้านแพ้ว แบ่งเขตการปกครองออกเป็นเป็น 12 ตาบล , 72 หมู่บ้าน ประกอบด้วย ตาบล บ้านแพ้ว, หลกั สาม, ยกกระบตั ร, โรงเข,้ หนองสองห้อง, หนองบัว, หลักสอง, เจ็ดริ้ว, คลองตัน , อาแพง, สวนสม้ และเกษตรพฒั นา มีจานวนประชากรชาย จานวน 44,401 คน ประชากรหญิง จานวน 46,977 คน รวมจานวน ประชากรทั้งสน้ิ 91,378 คน ความหนาแน่นของประชากร 21,418 คน/ตร.กม.

อาณาเขตตาบล 68 ทิศเหนอื ติดต่อกบั ทิศใต้ ตดิ ต่อกับ อาเภอสามพราน จงั หวดั นครปฐม ทศิ ตะวนั ออก ตดิ ตอ่ กบั อาเภอเมอื งสมทุ รสาคร และอาเภอเมอื งสมุทรสงคราม ทิศตะวันตก ติดต่อกับ อาเภอกระทุ่มแบน จังหวดั สมทุ รสาคร อาเภอดาเนินสะดวก และอาเภอบางแพ (จังหวดั ราชบุร)ี เน้ือท่ี มีพ้นื ท่ีจานวน 245.031 ตารางกโิ ลเมตร ภูมิประเทศ เปน็ พื้นทร่ี าบลมุ่ เหมาะสาหรบั ทาการเกษตร สภาพภมู อิ ากาศโดยทั่วไป แบบมรสุม มี 3 ฤดู ปริมาณน้าฝนเฉล่ีย 1,360 มม./ปี อุณหภมู เิ ฉลี่ย 28.7 องศา C. ขอ้ มูลทั่วไปของชุมชนบ้านแพว้ อาเภอบ้านแพ้ว เป็นอาเภอหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร ต้ังอยู่ในบริเวณพ้ืนท่ีราบริมฝ่ังคลอง ดาเนินสะดวกที่เชอ่ื มต่อระหว่างแมน่ า้ ท่าจีนกับแม่น้าแม่กลอง ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ ทาสวนผลไม้ ทาสวนกล้วยไม้ สวนมะพร้าว ทาสวนพืชผักนาชนิด และเลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง โดยมีผลิตผลทาง การเกษตรที่สาคัญประจาอาเภอบ้านแพ้ว ได้แก่ มะพร้าวน้าหอม ส้ม องุ่น กล้วยไม้ เป็นต้น ดังคา ขวญั ประจาอาเภอบ้านแพ้ว จงั หวดั สมุทรสาคร ท่วี ่า “แดนดินกล่ินดอกส้ม ดงองุ่นหวาน น้าตาลบริสุทธิ์ สุดสวยด้วยกล้วยไม้ หลากหลายไม้ผล นานาพนั ธ์ุ” เปน็ ดนิ แดนแห่งการเกษตร ด้วยสภาพพนื้ ท่สี ว่ นใหญ่ของบ้านแพ้ว เป็นพ้ืนท่ีท่ีเอื้อต่อการทา เกษตรกรรม เนือ่ งจากมีดินทีส่ มบรู ณ์ และมปี ริมาณน้าเพยี งพอต่อการทาเกษตร ผู้คนในบ้านแพ้วส่วน ใหญ่จึงประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นอาชีพหลัก ไม่ว่าจะเป็นสวนผลไม้ สวนมะพร้าว รวมถึง กล้วยไม้ พืชเศรษฐกจิ ทีส่ าคัญของอาเภอ ได้แก่ 1. มะพร้าวน้าหอม เป็นพืชอีกชนิดหน่ึงที่มีการปลูกกันอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมี คุณลักษณะพิเศษ คือ น้ามะพร้าวและเน้ือมะพร้าวมีรสชาติหวานกลมกล่อมและมีกลิ่นหอมชื่นใจ เนื่องจากสภาพดินของจังหวัดสมุทรสาครมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะสม และปัจจุบันเป็นพืชท่ีนิยม

69 บริโภคท้ังในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเท่ียวก็นิยม รบั ประทาน 2. มะนาว เป็นไม้ผลตระกลู สม้ ประเภทหนึง่ ท่ีปลกู กันอย่างแพร่หลาย โดยแหล่งปลูกที่สาคัญ ของจังหวัดสมุทรสาคร ได้ แก่ อาเภอบ้านแพ้ว อาเภอกระทุ่มแบน และบางส่วนของอาเภอเมือง สมทุ รสาคร จดั ได้ว่าเป็นพชื ทีม่ คี วามสาคญั ทางเศรษฐกิจ ที่ตลาดมีความตอ้ งการสงู ตลอดท้ังปี 3. มะม่วง เป็นไม้ผลขนาดใหญ่อายุยืนแข็งแรง นอกจากผลของมะม่วงแล้วยังสามารถใช้ ประโยชน์ จากต้นหรือเนื้อไม้ ได้อีกด้วย เช่น การก่อสร้างการทาฟืน ทาถ่าน เป็นต้น โดยท่ัวไปแล้ว มะม่วงเปน็ พชื ทชี่ อบลักษณะอากาศท่ีแหง้ แล้งและชมุ่ ช่ืนหรอื มฝี นตกสลบั กันเป็นชว่ ง ๆ 4. กล้วยไม้ เป็นพืชเศรษฐกิจที่สาคัญชนิดหน่ึงของจังหวัดสมุทรสาคร โดยมีพื้นที่ปลูก กล้วยไม้ ท้ังหมด 4,198 ไร่ แหล่งปลูกที่สาคัญ ได้แก่ อาเภอเมืองสมุทรสาคร อาเภอบ้านแพ้ว และ อาเภอกระท่มุ แบน แหลง่ ปลูกสว่ นใหญ่อยู่ในเขตอาเภอกระทุ่มแบน ตลาดกล้วยไม้เป็นความต้องการ ของผบู้ ริโภคทีส่ งู ขึน้ ทุกปี จงึ มโี อกาสขยายตลาดได้อกี มาก แหล่งเรียนรใู้ นชมุ ชนบา้ นแพ้ว แหลง่ เรยี นรู้ในชุมชนบ้านแพ้ว ประกอบด้วย 1) ตลาดน้าบ้านแพ้ว-หลักส่ี 2) สวนผลไม้บ้าน แพ้ว และ3) วัดหลักสี่ราษฎร์สโมสร ซ่ึงส่วนใหญ่เป็นแหล่งเรียนรู้ที่เก่ียวกับการประกอบอาชีพ ไม่มี เอกสาร ตารา ผู้ท่ีสนใจต้องศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองหากสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเบ้ืองต้นได้จาก ผูด้ ูแลแหล่งเรียนร้หู รอื ปราชญ์ชาวบา้ น 1. ตลาดน้าบา้ นแพ้ว-หลักสี่ เป็นตลาดน้าที่ชาวสวนบ้านแพ้วนาพืชผัก ผลไม้ และผลิตภัณฑ์ พ้ืนบ้านมาจาหน่าย โดยทางเรือซ่ึงสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มาก จัดเฉพาะในวันเสาร์ – อาทิตย์ นักท่องเทยี่ วมกั จะมาทีน่ ี่เสมอๆ 2. สวนผลไม้บ้านแพ้ว เน่ืองจากในเขตอาเภอบ้านแพ้ว ชาวบ้านทาสวนทั้งผลไม้ สวนผัก สวนกล้วยไม้ สวนมะพร้าว สวนองุ่น สวนฝร่ัง อาเภอบ้านแพ้วเป็นแหล่งผลไม้หลากหลายชนิด และ เป็นทย่ี อมรบั ว่าผลไมเ้ มอื งนม้ี ีรสชาติหอมหวานโดยเฉพาะ องุ่น ฝรั่ง มะพร้าวน้าหอม พุทรา และแก้ว มังกร นอกจาก จะชมสวนแล้วยังมีโอกาสชมการทาน้าตาลจากมะพร้าว การทาขนมไทย อาทิเช่ น ทองหยิบ ฝอยทอง เมด็ ขนนุ อกี ด้วย 3. วัดหลักสรี่ าษฎร์สโมสร สร้างข้นึ บนทีด่ นิ ของนางแจ่ม วาสุกรี ผู้มีจิตศรัทธายกท่ีดินให้เป็น ธรณสี งฆ์สาหรับสร้างวัด และได้ตั้งช่ือวัดตามชื่อหลักแบ่งเขตคลองว่า วัดใหม่หลักสี่ ตั้งอยู่ใน มณฑล นครไชยศรี ต่อมาเปล่ียนช่ือเป็นวัดหลักส่ีราษฎร์สโมสร ปัจจุบันต้ังอยู่เลขที่ 17 หมู่ 2 ตาบล ยกกระบัตร อาเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร เดินทางรถยนต์ส่วนตัวจากอาเภอบ้านแพ้ว ข้าม คลองดาเนินสะดวก มีทางแยกเชิงสะพานเล้ียวขวา เข้าวัดธรรมจริยาภิรมย์ ขับตรงไปผ่านวัด พอถึง

70 สามแยกขับไปตามถนนจนถึงถนนลาดยาง แล้วเล้ียวขวาก็จะถึงวัด เรือโดยสารน่ังจากท่าเรือมาลีท่ี ตลาดหลักสามไปลงที่วดั หลักสี่ ตามประวตั หิ ลวงพ่อโตวัดหลักสี่เป็นพระพุทธรูปหินทรายแดงปางมาร วชิ ัย สนั นิษฐานว่าอยใู่ นสมัยอู่ทอง พระพักตร์ค่อนข้างกลม มีพระขนงติดกันยาวเป็นปีกกา พระเนตร ปูดโปนพระโอษฐ์ยิ้มเล็กน้อย ถือเป็นพระพุทธรูปศักด์ิสิทธ์ิที่ชาวดาเนินสะดวกให้ความเคารพศรัทธา มาหลายชั่วคนงานนมัสการหลวงพ่อโต ถือเป็นงานใหญ่ของที่นี่ ประมาณเดือนมีนาคม ของทุกปี จะ เป็นเทศกาลท่ีทุกคนในแถบริมคลองดาเนินสะดวกจะรอคอยกับ \"งานปิดทองประจาปีหลวงพ่อโตวัด หลักสฯ่ี \" เป็นอีกกิจกรรมทจ่ี ัดอย่างยงิ่ ใหญ่และอลงั การมกี ารแห่ องค์หลวงพ่อโตจาลอง ทางน้าไปตาม ลานา้ คลองดาเนินสะดวก ให้ชาวบา้ นทอ่ี ยรู่ มิ คลองได้สักการบชู ากนั เพือ่ เป็นสริ ิมงคล อาเภอบ้านแพ้ว เป็น 1 ใน 3 อาเภอของจังหวัดสมุทรสาคร เป็นพื้นท่ีราบลุ่มเหมาะสาหรับ ทาการเกษตร ดว้ ยสภาพพ้นื ท่สี ่วนใหญ่ของบ้านแพ้ว เป็นพื้นที่ที่เอ้ือต่อการทาเกษตรกรรม เน่ืองจาก มีดินท่ีสมบูรณ์ และมีปริมาณน้าเพียงพอต่อการทาเกษตร เน่ืองจากต้ังอยู่ในบริเวณพื้นท่ีราบริมฝั่ง คลองดาเนนิ สะดวกทีเ่ ชื่อมต่อระหวา่ งแม่น้าท่าจีนกับแม่น้าแม่กลอง อาชีพหลักของชาวบ้านแพ้วส่วน ใหญป่ ระกอบอาชพี ทาสวนผลไม้ ทาสวนกล้วยไม้ สวนมะพร้าว ทาสวนพืชผักนาชนิด และเลี้ยงปลา เลี้ยงกุ้ง โดยมีพืชเศรษฐกิจท่ีสาคัญของอาเภอ ได้แก่ มะพร้าวน้าหอม มะนาว และมะม่วง นอกจากนั้นยังมีแหล่งเรียนรู้ภายในชุมชน ได้แก่ 1) ตลาดน้าบ้านแพ้ว-หลักสี่ 2) สวนผลไม้บ้านแพ้ว และ 3) วดั หลักสร่ี าษฎรส์ โมสร รวมถึงภมู ิปญั ญาท้องถิน่ จากปราชญช์ าวบ้าน งานวจิ ัยทเี่ กี่ยวข้อง ผวู้ จิ ัยไดศ้ กึ ษางานวิจัยที่เกย่ี วข้องกับการพัฒนาหลกั สูตรท้ังงานวิจยั ในประเทศ และงานวิจยั ต่างประเทศ ดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้ งานวิจัยในประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ (2544 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาคุณลักษณะพื้นฐานที่จาเป็นของผู้ท่ีจะเข้า ทางานในสถานประกอบการ ตลอดจนศึกษาแนวทางการจัดการเรียนการสอนด้านอาชีพ จาก ผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา จานวน 219 คน ครู จานวน 3,242 คน นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 จานวน 8,134 คน ผู้ปกครองนักเรียนจานวน 1,570 คน กรรมการโรงเรียนจานวน 469 คนและ ผู้ประกอบการจานวน 380 คน เก็บข้อมูลโดยแบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า คุณลักษณะพื้นฐานท่ี จาเปน็ ต่อการประกอบอาชีพของผู้เรียนพบว่าคุณลักษณะพื้นฐานท่ีพึงประสงค์ต่อการประกอบอาชีพ ของนักเรียนในมุมมองของผู้บริหารคือความสามัคคี สาหรับครู นักเรียน และผู้ปกครองคือความ ซื่อสัตย์ ส่วนผู้ประกอบการเห็นว่าความขยันและความอดทน นอกจากน้ันยังพบว่า แนวทางการ จัดการเรียนการสอนด้านอาชีพในชั้นเรียน สอนให้นักเรียนได้ปฏิบัติจริงโดยให้ทาโครงงาน มีการ

71 ประเมินผลการเรียนรู้จากผลงานหรือผลผลิต และจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนการสอนวิชาชีพโดย การใหท้ าโครงงานอาชีพ สาลิกา สาเภาทอง (2553 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษา เร่ือง การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนโดย ใชข้ องเลน่ พ้ืนบ้าน เพอื่ ส่งเสรมิ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานและความต้องการในการพัฒนากิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน 2) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 3) ทดลองใช้กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และ 4) ประเมินผลและปรับปรุงกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา ปีที่หน่ึงโรงเรียนบ้านสวนหลวง (รัตนวิจิตรพิทยาคาร) จานวน 40 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) การจัด กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนควรใช้รูปแบบการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงและใช้ความรู้ วทิ ยาศาสตรพ์ ้นื ฐานบนความเปน็ ไทย 2) แผนการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมี ค่าประสิทธิภาพ 80.59 / 80.63 3) ผลการเรียนรู้ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี ระดับ .05 และ4) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ีมีคะแนนสูงสุดคือทักษะการสังเกต สมรรถนะสาคัญของผู้เรียนด้านความสามารถในการคิดอยู่ในระดับดีเย่ียมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ รกั ความเปน็ ไทยอยใู่ นระดบั ดเี ย่ยี ม เจตคตทิ างวทิ ยาศาสตร์อยู่ในระดับดีเย่ียม และความพึงพอใจของ นกั เรียนทม่ี ีต่อกจิ กรรมพนาผเู้ รียนอยูใ่ นระดบั พึงพอใจมาก สิริพันธ์ุ สุวรรณมรรคา และคณะ (2554 : ค-ช) ได้ศึกษาเก่ียวกับแนวทางการจัดการศึกษา ข้นั พื้นฐาน เพ่ือการประกอบอาชีพ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือวิเคราะห์เปรียบเทียบการจัดการศึกษา ข้ันพื้นฐานเพ่ือการประกอบอาชีพของต่างประเทศกับประเทศไทย 2) เพ่ือศึกษาสภาพปัจจุบันและ ปจั จัยเง่อื นไขทีส่ ่งผลตอ่ ความสาเร็จการจดั การศึกษาขั้นพ้ืนฐานเพ่ือการประกอบอาชีพของโรงเรียนท่ี มีการปฏิบัติท่ีน่าสนใจในสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน และสังกัดอื่นๆ 3) เพื่อ ศึกษาแนวทางของความร่วมมือขององค์กรต่างๆ ที่เก่ียวข้องในการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการ จดั การศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐานเพื่อการประกอบอาชพี และ 4) เพอื่ นาเสนอทางเลือกเกี่ยวกับแนวทางการจัด การศึกษาขั้นพ้ืนฐานเพ่ือการประกอบอาชีพเพื่อการตัดสนิ ใจเชิงนโยบายของสานักงานคณะกรรมการ การศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน โดยนาเดนิ การโดยการศึกษาเอกสารและกรณศี กึ ษาทเี่ ปน็ โรงเรียนท่ีมีการปฏิบัติ ทีน่ า่ สนใจจานวน 24 โรงเรยี น 4 ภมู ิภาคและการจัดกิจกรรมสนทนากลุ่มระดับภูมิภาคท้ัง 4 ภูมิภาค 4 คร้ังและระดับประเทศ 1 คร้ัง ผลการศึกษาพบว่า แนวทางการจัดการศึกษาในสถานศึกษาขั้น พ้ืนฐานควรเน้นการจัดทาหลักสูตรสถานศึกษา และวิธีการจัดการเรียนการสอน รวมทั้งกิจกรรม พัฒนาผู้เรียนที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้มีความตระหนักและรับประสบการณ์จริงในระหว่างการศึกษา เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงและถ่ายโยงความรู้ไปสู่การปฏิบัติงานที่มีคุณภาพ และการประกอบอาชีพที่ เหมาะสมได้ในอนาคต ตามหลักการของการจัดการศึกษาเพ่ือประกอบอาชีพ โดยมีจุดประสงค์เพ่ือ ส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้เรียนได้ 1) มีความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลในการทางาน 2) สั่งสมความรู้และ

72 ทักษะท่ีจาเป็นในการทางาน 3) รู้จักการหาโอกาสและช่องว่างในการทางาน และ4) สารวจและก้าว เข้าสู่โลกแห่งการทางานตลอดระยะเวลา ฉวีวรรณ ไตรรัตนานนท์ (2555 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเกี่ยวกับ การพัฒนาทักษะชีวิตใน กจิ กรรมแนะแนวชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ด้วยโครงงาน โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลการ เรียนรู้ทักษะชีวิตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 5 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมแนะแนวด้วย โครงงาน 2) ศึกษาความสามารถในการทาโครงงานของนักเรียน 3) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการจัดกิจกรรมแนะแนวด้วยโครงงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรียนบ้านปล่องเหล่ียม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 จานวน 51 คน ผลการวิจยั พบว่า 1) ผลการเรียนรู้ทักษะชีวิตของนักเรียนก่อนและหลังเรียนแตกต่าง กนั อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .01 โดยหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียน 2) ความสามารถใน การทาโครงงานโดยภาพรวมอยูใ่ นระดับสงู และ 3) ความคิดเห็นของนักเรียนท่ีมีต่อกิจกรรมแนะแนว ด้วยโครงงานโดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก กง่ิ กมล ปิยมาดากลุ (2557 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาวิจัย เร่ือง การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เร่อื ง สร้างสรรคน์ าฏยลลี าอาเซยี น สาหรบั นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษา โดยมีวัตถปุ ระสงค์ เพ่ือ 1) ศึกษา ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 2) พัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 3) ทดลองจัด กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และ 4) ประเมินผล และปรับปรุงกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ใน การวิจัยคร้ังน้ีเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาที่ 4-6 โรงเรียนอนุบาลเดิมบางนางบวช (วัดท่าช้าง) อาเภอเดิมบางนางบวช จังหวดสุพรรณบุรี ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 จานวน 30 คน จานวน 20 ชั่วโมง ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนและผู้เก่ียวข้องเห็นความสาคัญและ ต้องการให้จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเรียน เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาความรู้เบื้องต้นเก่ียวกับนาฏศิลป์ อาเซียน นาฏศิลป์ไทย และนาฏศิลป์สร้างสรรค์ มีการสร้างสรรค์ท่าราขึ้นใหม่ โดยมีครูเป็นผู้จัดการ เรียนรู้และประเมินผล 2) ผลการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ประกอบด้วย หลักการ เป้าหมาย คุณสมบัติของผู้เรียน แนวการจัดกิจกรรม รูปแบบการจัดกิจกรรม คาอธิบายรายวิชา จุดประสงค์ โครงสร้าง การจัดกิจกรรม ส่ือการวัดและประเมินผล คาช้ีแจงและแผนการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จานวน 8 แผน จัดกิจกรรมแบบสาธิตและเน้นท่ีการปฏิบัติ โดยมีความเหมาะสมและสอดคล้อง ระหว่าง 0.80 -1.00 3) ผลการทดลองจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนแบบสาธิตและเน้นที่การปฏิบัติ 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน 2. ข้ันศึกษา /วิเคราะห์ 3. ขั้นปฏิบัติ/ฝึกหัด/ทดลอง 4. ข้ัน สรุป/เสนอผลการเรียนรู้ และ 5. ข้ันปรับปรุงการเรียนรู้/นาไปใช้ 4) ผลการเรียนรู้หลังการจัด กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนสูงกว่าก่อนจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีความสามารถในการปฏิบัติสร้างสรรค์นาฏยลีลาอาเซียนอยู่ในระดับดี นักเรียนมีความคิดเห็นต่อ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียนอยู่ในระดับเหน็ ดว้ ยมาก

73 ธีราภรณ์ ชูชื่น (2557 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษา เร่ือง การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเรื่อง นาฏศิลป์สร้างสรรค์ไทย-พม่าสัมพันธ์สาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือ 1) ศกึ ษาขอ้ มูลพน้ื ฐานในการพฒั นากจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น 2) พัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 3) ทดลอง จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และ 4) ประเมินผลและปรับปรุงกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยทดลองใช้กับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6 โรงเรียนวัดน่วมกานนท์ อาเภอเมืองจังหวัดสมุทรสาครจานวน 20 คนในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2557 เป็นเวลา 20 ชั่วโมง ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนและ ผู้เก่ียวข้องเห็นความสาคัญและต้องการให้การจัดการเรียนรู้เก่ียวกับนาฏศิลป์สร้างสรรค์ ไทย-พม่า สัมพันธ์ คาดหวังให้นักเรียนได้ศึกษาความรู้เบ้ืองต้นเก่ียวกับนาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์พม่า และมีการ สร้างสรรค์ท่าราขึ้นมาใหม่ โดยมีผู้รู้ในท้องถ่ินร่วมจัดการเรียนรู้และประเมินผล 2) ผลการพัฒนา กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี นไดก้ ิจกรรมพฒั นาผู้เรียน ประกอบดว้ ย 1. หลักการ 2. เป้าหมาย 3. แนวการจัด กิจกรรม 4. รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 5. คาอธิบายรายวิชา 6. จุดประสงค์การเรียนรู้ 7. โครงสร้างการจัดกิจกรรม 8. ส่ือ 9. การวัดและประเมินผล และ 10. หน่วยการเรียนรู้จานวน 6 หน่วย โดยจัดการเรียนรู้แบบประสบการณ์และเน้นท่ีการปฏิบัติ ซึ่งกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมีความ เหมาะสมและสอดคล้อง เท่ากับ X = 4.60 S.D. = 0.54 3) ผลการทดลองจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน พบว่า นกั เรยี นมคี วามสนใจตั้งใจปฏิบัติกิจกรรมนักเรียนร่วมกันทางานสร้างสรรค์ท่ารานาฏศิลป์ไทย และนาฏศิลป์พม่า ออกแบบเครื่องแต่งกายของการแสดงนาฏศิลป์ไทยนาฏศิลป์พม่าออกแบบการ แปรแถวไดเ้ ปน็ อย่างดีนักเรยี นไดร้ ่วมกันแสดงความคดิ เห็นในการเรยี นรู้ฝึกการทางานเป็นกลุ่มฝึกการ คิดสร้างสรรคร์ ่วมกนั ผลิตช้นิ งานตามความสนใจ 4) ผลการเรียนรู้หลังการจัดกจิ กรรมพัฒนาผู้เรียนสูง กว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นักเรียนมีความสามารถในการปฏิบัติ นาฏศลิ ป์สรา้ งสรรค์ไทยพม่าสัมพนั ธอ์ ยู่ในระดับดีมาก และนกั เรยี นมีความพึงพอใจต่อกิจกรรมพัฒนา ผ้เู รยี นอยูใ่ นระดับมาก ราตรี เสนาป่า (2559 : บทคัดย่อ) ได้ทาการศึกษา ผลการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็น ฐานที่มีต่อทักษะการเรียนรู้ข้ันพื้นฐานในศตวรรษที่ 21 เรื่อง งานและพลังงานสาหรับนักเรียนช้ัน มัธยมศกึ ษาปีที่ 5 โดยมีจุดมุ่งหมายดงั นี้ 1) เพือ่ เปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเปรียบเทียบ ทักษะการเรียนรู้ขั้นพื้นฐานในศตวรรษท่ี 21 2) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนโดยการ จัดการเรียนรู้แบบโครงงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ คือ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 2 ปี การศึกษา 2558 โรงเรียนท่าปลาประชาอุทิศ จานวน 38 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมี ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนหลงั เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ. 05 2) นักเรียนที่ ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐานมีค่าเฉลี่ยของทักษะการเรียนรู้ขั้นพ้ืนฐานในศตวรรษที่

74 21 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอยู่ในระดับดีเยี่ยม และ 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรม รปู การเรียนรแู้ บบโครงงานเป็นฐานอยใู่ นระดับมากทส่ี ุด สาลินี อุดมผล (2558 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษา เรื่อง การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการอาชีพเพื่อ ส่งเสริมทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์และคุณลักษณะด้านอาชีพ สาห รับนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษาตอนต้น โดยมีวตั ถุประสงค์เพ่ือ 1) ศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานเก่ียวกับการพัฒนาหลักสูตรบูรณา การอาชีพ 2) พัฒนาหลักสูตรบูรณาการอาชีพ 3) ทดลองใช้หลักสูตรบูรณาการอาชีพ กับโรงเรียน บ้านหนองสองหอ้ ง 4) ประเมนิ ประสิทธผิ ลหลกั สูตรบูรณาการอาชีพ และ 5) ขยายผลการใช้หลักสูตร บูรณาการอาชีพ ทดลองกับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น โรงเรียนบ้านหนองตะโก จานวน 70 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศกึ ษาข้อมูลพื้นฐานพบว่าควรมหี ลักสูตรที่มุ่งเน้นด้านอาชีพโดยใช้แนวคิด การพัฒนาหลักสูตรบูรณาการอาชีพ สาหรับนักเรียนในช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น 2) ผลการพัฒนา หลักสูตรบูรณาการอาชีพประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1. หลักสูตรบูรณาการอาชีพ ประกอบด้วย วิสัยทัศน์หลักการ วัตถุประสงค์ โครงสร้างเนื้อหา เวลาเรียน แนวทางการดาเนินกิจกรรม แนวทางการใช้สื่อ แนวทางการวัดและประเมินผล และรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรบูรณาการอาชีพ 2. คู่มือการใช้และ 3. หน่วยและแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งมีค่าประสิทธิภาพหลักสูตรเท่ากับ 82.40/92.39 3) ผลการทดลองใชห้ ลักสูตรบูรณาการอาชีพ ส่งผลให้เกดิ อาชพี ท่ีมลี กั ษณะแตกต่างกัน ไปตามเนื้อหาของหน่วยการเรียนรู้ 4) ประสิทธิผลของหลักสูตรบูรณาการอาชีพพบว่านักเรียนมี ทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์อยู่ในระดับมาก และคุณลักษณะด้านอาชีพอยู่ในระดับมาก และ 5) ผลการขยายผลหลักสูตรบูรณาการอาชีพ พบว่า ทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ และ คณุ ลกั ษณะดา้ นอาชีพ สาหรับนักเรยี นมัธยมศึกษาตอนต้น อยใู่ นระดับมาก จันทร์เพ็ญ สุวรรณคร (2559 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษากระบวนทัศน์การจัดกิจกรรมแนะแนว เพื่อเสริมสร้างการใช้ทักษะชีวิตและอาชีพของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของกระบวนทัศน์ 2) ประเมินประสิทธิผลการใช้กระบวนทัศน์ และ 3) ขยายผลกระบวนทัศน์ ผลการวิจัยพบว่า 1) ช่ือกระบวนทัศน์คือ “UNIQUE Model” มีหลัก สาคัญในการจัดกิจกรรม 5 ด้าน คือ 1. การจัดกิจกรรม แนะแนว 2. การสร้างความรู้ 3. การเรียนรู้ กลุ่มมนุษยนิยม 4. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ และ 5. การมีส่วนร่วมของชุมชน การจัดกิจกรรม บูรณาการ 5 รูปแบบการสอนเข้าด้วยกันคือ (1) การเรียนรู้แบบร่วมมือ (2)การใช้กิจกรรมเป็นฐาน (3) การใช้กรณี ศึกษาเป็นฐาน (4) การใช้ปัญหาเป็นฐาน และ (5) การมีส่วนร่วมของชุมชนมี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ หลักการวัตถุประสงค์ข้ันตอนการจัดกิจกรรม การวัดและประเมินผล และปัจจัย สนับสนุน ประสิทธิภาพของกระบวนทัศน์คือ 81.57/81.27 2) ประสิทธิผลของกระบวนทัศน์ พบว่า 2.1) หลังรว่ มกจิ กรรมแนะแนวตามกระบวนทศั น์ นักเรยี นมผี ลการใช้ทกั ษะชวี ติ และอาชีพสูงกว่าก่อน ร่วมกิจกรรมแนะแนว อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 2.2) นักเรียนกลุ่มทดลอง มีผลการใช้

75 ทักษะชีวิตและอาชีพแตกต่างกับนักเรียนกลุ่มควบคุม โดยนักเรียนกลุ่มทดลองมีผลการใช้ทักษะชีวิต และอาชีพสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสาคัญ ทางสถิติที่ระดับ .05 3) ผลการขยายผล กระบวนทัศน์ พบว่า นักเรียนมีผลการใช้ทักษะชีวิตและอาชีพหลังร่วมกิจกรรมแนะแนวสูงกว่าก่อน รว่ มกจิ กรรมแนะแนว อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ทิ ี่ระดบั .05 พัชรี สร้อยสกุล (2559 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 สาหรับนักศึกษาอาชีวศึกษาเอกชน ในเขตพัฒนาอุตสาหกรรมชายฝ่ังทะเลตะวันออก โดยมี วัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนารูปแบบการฝึกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และหาประสิทธิภาพของคู่มือ โดยกลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้ประกอบการจานวน 367 คน ครูอาชีวศึกษาเอกชนจานวน 307 คนและนักศึกษาอาชีวศึกษาเอกชนจานวน 361 คน ผลการวิจัยพบว่า ความต้องการจาเป็นใน การพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 มากที่สุดโดยเรียงลาดับตามคะแนนเฉลี่ยได้ ดังนี้ 1) ทักษะด้าน การสร้างสรรค์และนวัตกรรม 2) ทักษะด้านการส่ือสารสาระสนเทศและรู้เท่าทันสื่อ 3) ทักษะด้าน ความรว่ มมอื การทางานเป็นทีมและภาวะผู้นา 4) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสาระสนเทศ และการสื่อสาร 5) ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา 6) ทักษะด้าน ความเข้าใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ 7) ทักษะอาชีพ และ8) ทักษะการเรียนรู้ ประสิทธิภาพ ของคู่มือการพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์แห่งศตวรรษท่ี 21 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.18 / 84.60 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานท่ีกาหนดไว้ 80 / 80 และผลการฝึกทักษะความคิด สร้างสรรคก์ ่อนเรียนและหลังเรยี นพบวา่ แตกตา่ งกนั อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 งานวจิ ยั ตา่ งประเทศ Hargerty (1970 : 2401A) ได้ศึกษาเก่ียวกับการจัดกิจกรรมนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษา ตอนตน้ รฐั มิชแิ กน เพ่ือศึกษาระเบียบวิธีการจัดกิจกรรมนักเรียน และองค์ประกอบต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้อง กับโครงการการจัดกิจกรรมนักเรียน ผลการศึกษาพบว่า กิจกรรมนักเรียนในโรงเรียนมัธยมศึกษา ตอนต้น รัฐมิชิแกน เป็นท่ียอมรับ และถูกให้ความสาคัญในการเป็นเป็นส่วนหน่ึงของหลักสูตรใน โรงเรียน ถึงแม้จะยังยังมีข้อบกพร้องอยู่บ้าง แต่มีแนวโน้มที่จะนากิจกรรมนักเรียนเข้าไปในหลักสูตร ของโรงเรียนและเปดิ ช้ันเรยี นพเิ ศษ Hargrave (2004 : Abstract) ไดศ้ ึกษาเกีย่ วกบั การจดั การเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานกับนักเรียน เกรด 6 ผลการศึกษาพบว่า การจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงานจะช่วยกระตุ้นนักเรียนให้ประสบ ความสาเร็จในการทางานได้ เน่ืองจากการจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงานมีรูปแบบการเรียนรู้ท่ี หลากหลาย และพัฒนาความสามารถในการทางานของนักเรียน โดยให้นักเรียนได้เรียนรู้ร่วมกัน ทา ให้การจัดการเรียนรู้ด้วยโครงงานส่งผลให้เกิดผลสาเร็จในเชิงบวกกับผู้เรียนนักเรียน โดยผ่านการ กิจกรรมที่นักเรียนจะเรียนรู้ ได้เสนอปัญหาท่ีนักเรียนสนใจจะทา และเรียนรู้ผ่านกระบวนการการ

76 ทางาน ไดพ้ ฒั นาความคิดและการปรบั ปรุงงานทไ่ี ด้รบั มอบหมาย และสามารถเช่ือมโยงไปสู่ความเป็น จรงิ ภายนอกได้ Christine Joy BASHAM (2011 : Abstract) ได้ทาการศึกษาเกี่ยวกับการแนะแนว อาชีพในปัจจุบัน สาหรับนักเรียนเกรด 13 ว่ามีประโยชน์สาหรับนักเรียนหรือไม่ ในช่วง ระหว่างทีร่ อการตัดสินใจในการเลอื กแนวทางการศึกษาของนกั เรียน โดยมีการศึกษาหลักสูตรเก่ียวกับ การให้คาปรึกษาแนะแนวดา้ นอาชพี ซ่ึงเปน็ หลักสูตรที่กาหนดไว้ เพ่ือใช้เป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบ และพิจารณาคุณสมบัติของวิชาชีพ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนต้องการการให้คาปรึกษา คาแนะนา เพื่อที่จะทาการตัดสินใจเกี่ยวกับอาชีพ และสิ่งที่นักเรียนและผู้ปกครองควรได้รับการพิจารณาเป็น ส่วนหน่ึงของการศึกษาอาชีพใด ๆ โดยมีผู้ปกครองเป็นส่วนหน่ึงของกระบวนการอาชีพ และควรให้ ความสาคญั กบั ครูทปี่ รึกษาและการจัดการบริหารหลักสูตรอยา่ งสม่าเสมอ สรปุ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเป็นกิจกรรมที่มุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียนในด้านความรู้ ทักษะ และ ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ เพ่อื พฒั นาผเู้ รียนให้เต็มศักยภาพ ค้นพบความสามารถ ความถนัดและความ สนใจของตนเอง ได้รู้จักตนเองมากขึ้นผ่านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ได้เห็นแนวทางในการดารงชีวิตใน อนาคต เหน็ คุณค่าของตนเอง และยังส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดคุณธรรม จริยธรรม ต่อตนเอง สังคม และ ประเทศชาติ จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (Project Base Learning) 6 ข้ันตอน ดังน้ี 1) ใหค้ วามรู้พน้ื ฐาน 2) เลือกหวั ข้อทีส่ นใจ 3) วางแผน 4) ลงมอื ปฏบิ ัติ 5) นาเสนอและอภิปราย และ 6) การวัดและประเมินผล ที่พัฒนาผู้เรียนจากความสนใจ ผ่านข้ันตอน กระบวนการที่ต่อเนื่อง อย่างเป็นระบบ โดยเน้นให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริง จัดให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผู้เรยี น ด้วยการฝึกทักษะอาชีพ และพัฒนาอาชีพ เพ่ือให้ผู้เรียนมีช่องทางทามาหา กิน คิดเป็น แก้ปัญหาเป็น มีความรู้ มีทักษะ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ การพัฒนา กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เร่ือง ของดีบ้านแพ้ว สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา มีวัตถุประสงค์เพ่ือ ส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพจากรูปแบบกิจกรรมที่หลากหลาย ท้ังใน หอ้ งเรียน และนอกห้องเรียน ทั้งรายบุคคล และกระบวนการกลุ่ม การศึกษานอกสถานท่ี รวมถึงการ ลงมอื ปฏิบัติจรงิ เพอื่ กระตุน้ ใหผ้ ู้เรยี นมคี วามอยากรู้ มีความกระตือรือร้นในการศึกษา ค้นคว้า สืบค้น ข้อมูล ร่วมกันวิเคราะห์ อภิปราย และแสดงความคิดเห็นร่วมกัน โดยดาเนินการวิจัยตามขั้นตอน 4 ข้ันตอน ดังน้ี ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานและความต้องการเกี่ยวกับการพัฒนากิจกรรม พัฒนาผู้เรียน ข้ันตอนที่ 2 การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ข้ันตอนท่ี 3 การทดลองใช้กิจกรรม พัฒนาผูเ้ รยี น และขั้นตอนที่ 4 การประเมินและปรบั ปรงุ กิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น

77 บทท่ี 3 วิธีดาเนินการวิจยั การวิจัยเรื่อง การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะใน การประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ อาเภอ บ้านแพว้ จังหวัดสมทุ รสาคร เป็นลักษณะของการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R & D) วิธีการวิจัยแบบก่อนทดลอง (Pre Experimental Designs) แบบแผนการวิจัยแบบ The One-Shot Case Study ใชก้ ับนกั เรยี นโรงเรยี นวดั หลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ ช้ันมัธยมศึกษา ภาค เรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2560 สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษาเขต 10 จานวน 30 คน โดยมีขั้นตอนการดาเนินการวิจยั ไว้ 4 ขัน้ ตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี ข้ันตอนท่ี 1 การวิจัย (R1 : Research) : การศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานและความต้องการ เกี่ยวกบั การพฒั นากจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รยี น เร่ือง ของดีบา้ นแพ้ว ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนา (D1 : Development) : การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เร่ือง ของดบี ้านแพว้ ขั้นตอนที่ 3 การวิจัย (R2 : Research) : การทดลองใช้กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เรื่อง ของดี บา้ นแพ้ว ขัน้ ตอนที่ 4 การพัฒนา (D2 : Development) : การประเมินและปรับปรุงกิจกรรมพัฒนา ผู้เรยี น เร่ือง ของดีบา้ นแพ้ว การดาเนินการพฒั นากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการ ประกอบอาชีพ สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ แต่ละ ข้ันตอนผ้วู จิ ัยได้ดาเนินการวิจัย ดงั แผนภมู ทิ ี่ 5

ขนั้ ที่ 1 (วจิ ัย) ขนั้ ท่ี 2 (พฒั นา) ขั้นที่ 3 (วิจยั ) 78 การศกึ ษาข้อมลู พื้นฐาน การพัฒนากิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน การทดลองใชก้ ิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น ขน้ั ท่ี 4 (พัฒนา) 1. วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ัน พัฒนากจิ กรรมผู้เรยี น ซง่ึ ประกอบด้วย ทดลองใช้กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนกับ การประเมินผลและปรบั ปรุงกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตร 1. หลกั การ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษา โรงเรียนวัด สถานศึกษาโรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์ 2. เปาู หมาย หลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ จานวน ประเมนิ ผลและปรบั ปรงุ กจิ กรรม อุปถมั ภ์: กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น 3. แนวการจัดกจิ กรรม 30 คน ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 1. ทักษะอาชีพ 2. ศกึ ษาแนวคดิ และงานวิจยั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง 4. รปู แบบการจดั กิจกรรม 2560 2. คณุ ลกั ษณะในการประกอบอาชพี 5. คาอธิบายรายวิชา 3. ความพึงพอใจที่มีหลักสูตรกิจกรรมพัฒนา 2.1 กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน 6. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ผูเ้ รยี น 2.2 ทกั ษะอาชพี 7. โครงสรา้ งการจัดกิจกรรม 2.3 คณุ ลักษณะในการประกอบอาชพี 8. ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ ปรบั ปรงุ แก้ไข ไมผ่ า่ น 3. ศึกษาความคิดเห็นเก่ียวกับการพัฒนา 9. การวดั และประเมินผล ผลการประเมิน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะ 10. แผนการจดั กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น อาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ ผา่ น จากผ้ทู เี่ กย่ี วขอ้ ง ได้แก่ ตรวจสอบคุณภาพหลกั สตู รโดยผู้เชยี่ วชาญ กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น 3.1 ผู้อานวยการโรงเรยี น 9 คน โดยการสนทนากลุ่ม (Focus Group) 3.2 หวั หนา้ ฝาุ ยวิชาการ ฉบบั สมบูรณ์ 3.3 คณะกรรมการสถานศกึ ษา ปรบั ปรงุ แก้ไขกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน 3.4 ผู้ปกครอง 3.5 ปราชญ์ชาวบ้าน 78 3.6 สถานประกอบการ 4. ศกึ ษาความต้องการของนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษา เกยี่ วกบั รปู แบบของกจิ กรรม พฒั นาผู้เรยี น การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ การ วัดและประเมินผลกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียน แผนภมู ทิ ี่ 5 กรอบการดาเนนิ การวจิ ยั

79 ขนั้ ตอนที่ 1 การวจิ ยั (R1 : Research) : การศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความต้องการเกยี่ วกับการ พัฒนากจิ กรรมพัฒนาผเู้ รียน เพือ่ ส่งเสริมทกั ษะอาชีพ และคณุ ลกั ษณะในการประกอบอาชีพ วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพ่ือวิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตร สถานศกึ ษา โรงเรียนวดั หลกั สีพ่ พิ ฒั น์ราษฎรอ์ ุปถมั ภ์: กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น 2. เพื่อศึกษาแนวคิดและงานวิจัยท่ีเก่ียวข้องกับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ทักษะอาชีพ และ คณุ ลักษณะในการประกอบอาชีพ 3. เพอ่ื ศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลกั ษณะในการประกอบอาชีพจากผ้ทู ีเ่ ก่ียวข้อง 4. เพื่อศึกษาความต้องการของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา เก่ียวกับรูปแบบของกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จากนักเรียนชั้น มัธยมศกึ ษา กลุ่มเป้าหมาย 1. ผู้อานวยการโรงเรียน จานวน 1 คน หัวหน้าฝุายวิชาการ จานวน 1 คน คณะกรรมการ สถานศึกษา จานวน 1 คน ผู้ปกครอง จานวน 1 คน ปราชญ์ชาวบ้าน จานวน 1 คน และสถาน ประกอบการ จานวน 1 คน 2. นกั เรียนชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1-6 จานวน 30 คน โรงเรยี นวดั หลกั สีพ่ ิพฒั น์ราษฎรอ์ ุปถมั ภ์ วธิ ีการดาเนินการ 1. วิเคราะห์หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตร สถานศึกษา โรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์: กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ท่ีสอดคล้องกับการ จัดทากจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน เร่อื ง ของดีบ้านแพว้ สาหรับนกั เรยี นชนั้ มธั ยมศกึ ษา 2. ศึกษาแนวคิดและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ทักษะอาชีพ และ คุณลักษณะในการประกอบอาชีพ โดยศกึ ษาจากเอกสาร 3. ศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนากิจกรรมพัฒนาเรื่อง ของดีบ้านแพ้ว สาหรับ นักเรียนช้ันมัธยมศึกษา จากผู้ท่ีเกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้อานวยการโรงเรียน หัวหน้าฝุายวิชาการ คณะกรรมการสถานศกึ ษา ผูป้ กครอง และปราชญช์ าวบ้าน โดยใช้แบบสัมภาษณ์ ในประเด็นเกี่ยวกับ ความสาคญั และองค์ประกอบทจี่ าเปน็ ของการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เนื้อหา กิจกรรม สื่อการ เรยี นรู้ และการวดั และประเมินผลกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น

80 4. ศึกษาความต้องการของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา เก่ียวกับรูปแบบของกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จากนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษา จานวน 30 คน โดยใช้แบบสอบถาม การเก็บรวบรวมข้อมลู ผวู้ ิจัยดาเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมลู พ้นื ฐานและขอ้ มลู ทีเ่ กี่ยวข้อง โดยใช้แบบสัมภาษณ์ในการ สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการกับผู้อานวยการโรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ จานวน 1 คน หัวหน้าฝุายวิชาการ จานวน 1 คน คณะกรรมการสถานศึกษา จานวน 1 คน และการสัมภาษณ์แบบ ไม่เป็นทางการกับผู้ปกครอง จานวน 1 คน ปราชญ์ชาวบ้าน จานวน 1 คน สถานประกอบการ จานวน 1 คน และใช้แบบสอบถามกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 1-6 จานวน 30 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน โดยใช้เวลาเก็บรวบรวมข้อมลู ดงั กล่าวประมาณ 1 สัปดาห์ เครื่องมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัย เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวจิ ยั สาหรบั ศกึ ษาขอ้ มูลพื้นฐาน และความต้องการเกี่ยวกบั การพฒั นา กิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียน เพื่อส่งเสริมทกั ษะอาชพี และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ มีดงั นี้ 1. แบบสัมภาษณ์ความคิดเห็นในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (Interview Form) ซ่ึงเป็นแบบสัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง (Structured Interview) จานวน 1 ฉบับ สาหรับการ สัมภาษณ์ผู้อานวยการโรงเรียนวัดหลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ หัวหน้าฝุายวิชาการ และแบบ สัมภาษณ์ชนิดมีโครงสร้าง (Structured Interview) จานวน 1 ฉบับ สาหรับคณะกรรมการ สถานศึกษา ผู้ปกครอง ปราชญ์ชาวบ้าน และสถานประกอบการ เกี่ยวกับความคิดเห็นในการพัฒนา กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ โดยแบ่ง ออกเป็น 3 ตอน ดงั น้ี ตอนที่ 1 สถานภาพและข้อมูลทั่วไปของผู้ให้สัมภาษณ์ ได้แก่ ช่ือ เพศ อายุ ระดับการศึกษา ตาแหน่งการทางาน และประสบการณ์ในการทางาน ตอนท่ี 2 ประเด็นสัมภาษณ์ความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพ่ือส่งเสริมทักษะ อาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ 3 ประเด็น ดังน้ี 1) ความสาคัญและความจาเป็นของ การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ 2) รูปแบบและแนวทางในการพฒั นากิจกรรมผู้เรียน เพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการ ประกอบอาชพี 3) เน้ือหาของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการ ประกอบอาชีพ และ 4) รูปแบบการวัดและประเมินผลการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริม ทกั ษะอาชพี และคณุ ลกั ษณะในการประกอบอาชพี สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา

81 ตอนท่ี 3 ขอ้ เสนอแนะเพิ่มเติมในการพัฒนากิจกรรมพฒั นาผ้เู รยี น เรอ่ื ง ของดีบ้านแพ้ว การสร้างแบบสัมภาษณค์ วามคิดเห็นในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรยี น ผู้วจิ ยั ดาเนนิ การสร้างแบบสมั ภาษณค์ วามคิดเห็นในการพฒั นากิจกรรมพัฒนาผเู้ รียนโดยมี ขัน้ ตอนการสรา้ ง ดังต่อไปนี้ ขนั้ ท่ี 1 ศึกษาแนวคิด หลกั การ ทฤษฎีจากเอกสาร และงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวข้องกับความต้องการ พฒั นากจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น เพอื่ สง่ เสริมทกั ษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ ข้นั ที่ 2 นาข้อมูลที่ไดจ้ ากการศกึ ษามาประมวล เพื่อกาหนดเป็นโครงสร้างของเครื่องมือ และ ขอบเขตของเน้ือหาในพฤติกรรมบ่งชี้ โดยขอคาแนะนาจากอาจารยท์ ่ปี รึกษาวิทยานิพนธ์ ขั้นที่ 3 สร้างแบบสมั ภาษณ์ความคดิ เห็นในการพฒั นากจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียนตามขอบเขต เน้อื หาในพฤติกรรมบ่งช้ีที่กาหนด จากน้นั นาแบบสมั ภาษณค์ วามคดิ เห็นในการพฒั นากิจกรรมพัฒนา ผเู้ รียนที่สรา้ งเสร็จเสนออาจารย์ทีป่ รกึ ษาวทิ ยานิพนธ์เพื่อตรวจสอบ ให้ขอ้ เสนอแนะแลว้ นามา ปรับปรงุ แก้ไข ข้ันท่ี 4 นาแบบสัมภาษณ์ความคิดเห็นในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเสนอผู้เช่ียวชาญ ด้านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จานวน 2 คน ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตรอาชีพจานวน 2 คน และ ผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดและประเมนิ ผล จานวน 1 คน รวมท้ังหมด จานวน 5 คน ประกอบดว้ ย 1. ผูเ้ ชีย่ วชาญด้านกจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น จานวน 2 คน 2. ผเู้ ชีย่ วชาญดา้ นหลกั สตู รอาชีพ จานวน 2 คน 3. ผูเ้ ชย่ี วชาญด้านการวดั และประเมนิ ผล จานวน 1 คน เพ่ือตรวจสอบคุณภาพ ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยมีลักษณะเป็น มาตรส่วนประเมินค่า 5 ระดับ กาหนดเกณฑ์การพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ ดังนี้ (มาเรียม นิลพันธุ์, 2558: 179) ระดับ 5 หมายถงึ มีความเหมาะสมมากทส่ี ดุ ระดบั 4 หมายถึง มีความเหมาะสมมาก ระดบั 3 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมปานกลาง ระดบั 2 หมายถงึ มีความเหมาะสมนอ้ ย ระดับ 1 หมายถงึ มีความเหมาะสมนอ้ ยทสี่ ดุ การวิเคราะห์ข้อมูลแบบประเมินความเหมาะสมของแบบสัมภาษณ์ท่ีใช้ในการศึกษาข้อมูล เพื่อสังเคราะห์เป็นแนวคิดในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เรื่อง ของดีบ้านแพ้ว ผลการประเมิน พิจารณาค่าเฉลี่ยคะแนนความสอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและนามาแปลความหมาย เกณฑ์ ดังนี้ (มาเรียม นิลพนั ธ์ุ, 2558: 196)

82 คา่ เฉลยี่ คะแนนอยรู่ ะหวา่ ง 4.50-5.00 หมายถึง มีความเหมาะสมมากทสี่ ดุ คา่ เฉล่ียคะแนนอยู่ระหวา่ ง 3.50-4.49 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมมาก ค่าเฉลย่ี คะแนนอยรู่ ะหวา่ ง 2.50-3.49 หมายถงึ มีความเหมาะสมปานกลาง ค่าเฉลย่ี คะแนนอยู่ระหว่าง 1.50-2.49 หมายถงึ มคี วามเหมาะสมน้อย ค่าเฉลย่ี คะแนนอย่รู ะหว่าง 1.00-1.49 หมายถึง มีความเหมาะสมนอ้ ยทส่ี ุด พิจารณาค่าความสอดคล้องที่มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ข้ึนไป และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานน้อย กว่า 1.00 แสดงว่า แบบสัมภาษณ์ความคิดเห็นในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่พัฒนาขึ้น มีความเหมาะสม สามารถนาไปใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้ ได้ค่าเฉลี่ย ( X ) มีค่าอยู่ระหว่าง 4.60–5.00 และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) มีคา่ อยรู่ ะหวา่ ง 0.45-0.55 ข้ันที่ 5 นาแบบสัมภาษณ์ความคิดเห็นในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมาปรับปรุงแก้ไข โดยปรับข้อคาถามแบบสัมภาษณ์ให้ชัดเจน โดยใช้ภาษาท่ีเข้าใจง่าย และเหมาะสมกับผู้สัมภาษณ์ จากนัน้ ให้ผู้เช่ยี วชาญตรวจสอบอีกคร้งั เพื่อความสมบรู ณข์ องเครอ่ื งมือท่ีใชใ้ นการวจิ ัย ข้ันท่ี 6 นาแบบสัมภาษณ์ความคิดเห็นในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนไปเก็บข้อมูลจริง กับผู้ท่ีเก่ียวข้อง โดยสรุปขั้นตอนการสร้างแบบสัมภาษณ์ความคิดเห็นในการพัฒนากิจกรรมพัฒนา ผเู้ รยี น เพือ่ ส่งเสรมิ ทักษะอาชีพ และคณุ ลกั ษณะในการประกอบอาชีพได้ ดังแผนภมู ิท่ี 6 ดังนี้

83 ศกึ ษาแนวคดิ หลกั การ ทฤษฎีจากหนังสอื และงานวจิ ยั ที่ เกยี่ วข้องกับการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน นาขอ้ มลู ท่ีได้มากาหนดเปน็ โครงสรา้ งของแบบสัมภาษณ์ ความคดิ เห็นในการพฒั นากิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน สรา้ งแบบสัมภาษณ์ความคดิ เห็นในการพฒั นากจิ กรรม พฒั นาผ้เู รียน แล้วนาเสนออาจารยท์ ป่ี รึกษาวิทยานพิ นธ์ ตรวจสอบเพื่อใหข้ ้อเสนอแนะแลว้ นามาปรับปรงุ แก้ไข ปรบั ปรุงแก้ไข ไมผ่ ่าน นาแบบสัมภาษณ์ความคดิ เห็น ในการพฒั นากจิ กรรมพฒั นา ผูเ้ รียน เสนอผูเ้ ชย่ี วชาญ ผา่ น นาแบบสัมภาษณ์ความคิดเห็นในการ พฒั นากจิ กรรมพฒั นาผูเ้ รยี น ไปเกบ็ ขอ้ มลู จริง แผนภมู ิท่ี 6 แสดงขน้ั ตอนการสร้างแบบสมั ภาษณ์ความคิดเหน็ ในการพฒั นากิจกรรมพฒั นาผู้เรยี น การเก็บรวบรวมข้อมลู จากการสัมภาษณ์ ขั้นที่ 1 ทาหนังสือจากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร ถึงผู้อานวยการโรงเรียนวัด หลักสี่พิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ หัวหน้าฝุายวิชาการ คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ปราชญ์ ชาวบ้าน และสถานประกอบการ เพ่ือขออนุญาตสัมภาษณ์เกี่ยวกับ 1) ความสาคัญและความจาเป็น ในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพ่ือส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ 2) รูปแบบและแนวทางในการพฒั นากจิ กรรมผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการ

84 ประกอบอาชพี 3) เนอ้ื หาของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการ ประกอบอาชีพ และ 4) รูปแบบการวัดและประเมินผลการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เรื่อง ของดี บา้ นแพว้ ขั้นท่ี 2 ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยผู้วิจัยเดินทางไปเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเองกับ ผูอ้ านวยการโรงเรยี นวดั หลกั สพ่ี พิ ัฒนร์ าษฎรอ์ ปุ ถัมภ์ และหัวหนา้ ฝุายวชิ าการ โดยการสัมภาษณ์อย่าง เปน็ ทางการ คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ปราชญ์ชาวบ้าน และสถานประกอบการ โดยการ สมั ภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ เริ่มจากผู้วิจัยแนะนาตนเอง สร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง ใช้คาถามที่ ชัดเจน หลีกเลยี่ งคาถามทชี่ ี้นาคาตอบ หรือเป็นผลกระทบต่ออารมณ์ของผู้ให้สัมภาษณ์ จดบันทึก ขอ อนญุ าต หากมกี ารบนั ทกึ เสยี ง หรือถา่ ยรปู ในการสมั ภาษณ์คร้ังน้ี จากนั้นจัดเตรียมข้อมูลที่ได้จากการ สมั ภาษณ์ เพ่อื ใช้ในการวเิ คราะห์เน้อื หา (Content Analysis) ตอ่ ไป การวเิ คราะห์ข้อมลู ขอ้ มูลจากแบบสมั ภาษณเ์ ก่ียวกับความคิดเห็นในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เรื่อง ของ ดีบ้านแพ้ว สาหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา จานวน 1 ฉบับ โดยการวิเคราะห์สถานภาพและข้อมูล ทวั่ ไปในตอนท่ี 1 ใช้สถติ ิคา่ รอ้ ยละ (%) จากน้ันนาเสนอในรูปตารางประกอบคาบรรยาย ส่วนในตอน ท่ี 2 โดยการวเิ คราะห์เนอื้ หา (Content Analysis) และนาเสนอแบบพรรณนาความเรียง 2. แบบสอบถามความต้องการในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (Questionnaire) สาหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา โรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ จานวน 1 ฉบับ เพื่อศึกษา ความต้องการเก่ียวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รูปแบบ เนื้อหา และการวัดการประเมินผลการจัด กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ โดยแบ่ง ออกเป็น 3 ตอน ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ตอนที่ 1 สถานภาพและข้อมูลทัว่ ไปของผู้ตอบแบบสอบถาม เปน็ แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) ได้แก่ เพศ และระดับชัน้ ตอนท่ี 2 ความต้องการเกย่ี วกับเน้อื หากจิ กรรม การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ สือ่ การเรยี นรู้ การวดั และการประเมนิ ผลกจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน ซ่งึ ขอ้ คาถามมีลกั ษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) ตอนท่ี 3 ข้อเสนอแนะเพิม่ เติม

85 การสรา้ งแบบสอบถามความต้องการในการพฒั นากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ผู้วจิ ยั ดาเนินการสรา้ งแบบสอบถามความตอ้ งการในการพัฒนากิจกรรมพฒั นาผูเ้ รยี น โดยมี ขนั้ ตอนการสรา้ งดังต่อไปน้ี ขน้ั ที่ 1 ศกึ ษาแนวคิด หลกั การ ทฤษฎีจากเอกสารและงานวิจัยท่เี กย่ี วขอ้ งกบั ความต้องการ พฒั นากจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น เพื่อสง่ เสรมิ ทักษะอาชพี และคุณลักษณะในการประกอบอาชีพ ขั้นที่ 2 นาขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการศกึ ษามาวิเคราะห์ เพื่อกาหนดเปน็ โครงสรา้ งของเคร่ืองมือ และ ขอบเขตของเนื้อหาในพฤติกรรมบง่ ช้ี โดยขอคาแนะนาจากอาจารย์ทีป่ รึกษาวิทยานิพนธ์ ข้ันที่ 3 สรา้ งแบบสอบถามความต้องการในการพฒั นากจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รียนตามขอบเขต เน้อื หาในพฤติกรรมบง่ ชีท้ ่ีกาหนด จากนัน้ นาแบบสอบถามความต้องการในการพัฒนากิจกรรมพัฒนา ผเู้ รยี นที่สรา้ งเสร็จเสนออาจารย์ท่ปี รกึ ษาวทิ ยานิพนธ์เพ่ือตรวจสอบ ใหข้ อ้ เสนอแนะแลว้ นามา ปรบั ปรุงแก้ไข ขั้นที่ 4 นาแบบสอบถามความต้องการในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียนเสนอผู้เชี่ยวชาญ ด้านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จานวน 2 คน ผู้เช่ียวชาญด้านหลักสูตรอาชีพจานวน 2 คน และ ผู้เช่ียวชาญด้านการวัดและประเมินผล จานวน 1 คน รวมท้ังหมด จานวน 5 คน เพ่ือตรวจสอบ คุณภาพ ความเท่ียงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) โดยมีลักษณะเป็นมาตรส่วนประเมินค่า 5 ระดับ กาหนดเกณฑ์การพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ ดังท่ีกล่าวไว้ข้างต้น ได้ค่าเฉล่ีย ( X ) มีค่าอยู่ ระหว่าง 4.60–5.00 และสว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) มีคา่ อยู่ระหว่าง 0.45-0.55 การวเิ คราะหข์ ้อมูลแบบประเมินความเหมาะสมของแบบสอบถามท่ีใช้ในการศึกษาข้อมูลเพื่อ สังเคราะห์เป็นแนวคิดในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เรื่อง ของดีบ้านแพ้ว ผลการประเมิน พิจารณาค่าเฉลี่ยคะแนนความสอดคล้องตามความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญและนามาแปลความหมาย เกณฑ์ ดังที่กลา่ วไว้ขา้ งตน้ ขั้นท่ี 5 นาแบบสอบถามความตอ้ งการในการพัฒนากจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียนมาปรบั ปรุงแกไ้ ข โดยปรบั ขอ้ คาถามให้ใชภ้ าษาทีเ่ ข้าใจงา่ ย เหมาะสมกบั นักเรยี น และปรับข้อคาถามของความต้องการ เรียนในเนื้อหาของดบี ้านแพ้ว ใหม้ คี วามหลากหลายมากขน้ึ จากน้นั ให้ผเู้ ช่ยี วชาญตรวจสอบอีกครง้ั เพ่ือความสมบูรณ์ของเครื่องมือทีใ่ ช้ในการวิจัย ขน้ั ที่ 6 นาแบบสอบถามความต้องการในการพัฒนากจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียนไปเก็บข้อมลู จริง กับนักเรยี นกลุ่มทดลอง โดยสรุปขั้นตอนการสร้างแบบสอบถามได้ ดังแผนภมู ิที่ 7 ดังน้ี

86 ศึกษาแนวคดิ หลกั การ ทฤษฎีจากหนงั สือ และงานวิจยั ที่ เกยี่ วข้องกบั การพัฒนากิจกรรมพฒั นาผูเ้ รยี น นาขอ้ มูลท่ไี ด้มากาหนดเป็นโครงสร้างของแบบสอบถาม ความต้องการในการพัฒนากิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน สร้างแบบสอบถามความต้องการในการพัฒนากิจกรรม พัฒนาผู้เรยี น แล้วนาเสนออาจารยท์ ี่ปรึกษาวทิ ยานิพนธ์ ตรวจสอบเพ่ือใหข้ ้อเสนอแนะแลว้ นามาปรับปรงุ แก้ไข ปรบั ปรุงแก้ไข ไมผ่ า่ น นาแบบสอบถามความตอ้ งการ ในการพัฒนากิจกรรมพัฒนา ผูเ้ รียน เสนอผู้เชย่ี วชาญ ผ่าน นาแบบสอบถามความตอ้ งการในการ พฒั นากจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น ไปเก็บ ขอ้ มลู จรงิ แผนภมู ิท่ี 7 แสดงขน้ั ตอนการสรา้ งแบบสอบถามความต้องการในการพฒั นากจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี น การเก็บรวบรวมข้อมูล ขนั้ ท่ี 1 ทาหนังสือถงึ ผู้อานวยการโรงเรียนวัดหลักส่ีพิพัฒน์ราษฎร์อุปถัมภ์ เพ่ือขออนุญาตให้ นักเรียนตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ รูปแบบ เนื้อหา และการวัดการ ประเมินผลการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพ และคุณลักษณะในการประกอบ อาชีพ