การพัฒนาทกั ษะชวี ติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ของนักศึกษาวทิ ยาลัยอาชีวศึกษา DEVELOPMENT OF LIFE SKILLS BASED ON SUFFICIENCY ECONOMY PHILOSOPHY OF VOCATIONAL COLLEGE STUDENTS ทองดี ศรตี ระการ พระศรีรตั น์ สริ ริ ตโน (ศรีสงา่ ) ดษุ ฎีนพิ นธน์ เี้ ป็นส่วนหนงึ่ ของการศกึ ษา ตามหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ สาขาวิชาพุทธบริหารการศึกษา บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐
การพฒั นาทกั ษะชีวิตตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง ของนักศึกษาวทิ ยาลัยอาชวี ศกึ ษา พระศรีรัตน์ สริ ริ ตโน (ศรสี ง่า) ทองดี ศรีตระการ ดษุ ฎีนิพนธน์ ี้เปน็ ส่วนหนง่ึ ของการศกึ ษา ตามหลกั สูตรปรญิ ญาพทุ ธศาสตรดุษฎบี ัณฑิต สาขาวิชาพุทธบรหิ ารการศกึ ษา บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ (ลขิ สิทธ์ิเป็นของมหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย)
Development of Life Skills Based on Sufficiency Economy Philosophy of Vocational College Students ทองดี ศรตี ระการ Phra Srirat Siriratano (Srisa-nga) A Dissertation Submitted in Partial Fulfillment of The Requirement for the Degree of Doctor of Philosophy (Buddhist Educational Administration) Graduate School Mahachulalongkornrajavidyalaya University C.E. 2017 (Copyright by Mahachulalongkornrajavidyalaya University)
ฆ ช่ือดษุ ฎีนพิ นธ์ : การพัฒนาทักษะชวี ิตตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของนักศึกษาวิทยาลยั อาชวี ศึกษา ผูว้ ิจยั : พระศรีรัตน์ สริ ริ ตโน (ศรีสงา่ ) ปรญิ ญา : พทุ ธศาสตรดุษฎบี ัณฑิต (พทุ ธบริหารการศึกษา) คณะกรรมการควบคุมดุษฎีนิพนธ์ : ผศ.ดร.สิน งามประโคน, พธ.บ. (การบรหิ ารการศกึ ษา), M.A. (Educational Administration), Ph.D. (Educational Administration) : รศ.ดร.อินถา ศริ วิ รรณ, พธ.บ. (การบรหิ ารการศึกษา), M.Ed. (Educational Administration), Ph.D. (Educational Administration) วนั สาเร็จการศึกษา : ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๑ บทคดั ยอ่ การศึกษาวิจัยเรื่องนี้ เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี ได้แก่ การวิจัยเชิงปริมาณ และการ วิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์ ๑) เพ่ือศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาทักษะชีวิตของนักศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษา ๒) เพ่ือพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษา วิทยาลัยอาชีวศึกษา ๓) เพื่อเสนอกระบวนการพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงของนักศกึ ษาวิทยาลัยอาชีวศึกษา เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ สอบถามนักศึกษา จานวน ๓๙๒ คน และสมั ภาษณ์ผ้บู รหิ าร ครู อาจารย์ และผู้ปกครองของวิทยาลัยอาชีวศึกษาในจังหวัดศรีสะ เกษจานวน ๑๐ รูป/คน และการสนทนากลุ่ม ผู้ทรงคุณวุฒิ จานวน ๑๐ รูป/คนการวิเคราะห์โดยใช้ สถิตเิ ชิงพรรณนา ได้แก่ รอ้ ยละ คา่ ความถี่ ค่าเฉล่ยี ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และวเิ คราะห์เน้อื หา ผลการวจิ ัย พบวา่ ๑. สภาพปัจจุบันและปัญหาทักษะชีวิตของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษา ได้แก่ ขาดการตระหนักรู้และเหน็ คุณค่าในตนเองและผู้อื่น ๑) การตระหนักรู้และเหน็ คณุ ค่าในตนเองและผอู้ ่ืน พบว่า นักศกึ ษาให้ความสนใจ ตนเองคอ่ นข้างน้อย และสนใจคนอนื่ มากกวา่ ตนเอง อาจแสดงจากการบริโภคสื่อมากเกินไปทาให้การ ดาเนินชีวิตขาดเป้าหมายที่ชัดเจน และบางคนขาดความรับผิดชอบต่อหน้าที่ในการรับผิดชอบ ตอ่ สังคมส่วนรวม ๒) การคดิ วิเคราะห์ ตดั สนิ ใจ และแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ พบว่า ขาดหลักการ คิดแบบโยนิโสมนสิการด้วยเหตุและผลในการตัดสินใจต่อการแก้ปัญหาในสถานการณ์ต่างๆ อย่าง เพยี งพอ ๓) การจัดการกับอารมณ์และความเครียด พบว่า นักศึกษาบางคนขาดความ เข้าใจตนเองและสังคมท่ีมีผลกระทบต่อการบริโภค คือ จึงเกิดความเครียด ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ ไม่ดพี อ ๔) การสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อ่ืน พบว่า นักศึกษาขาดการเรียนรู้การใช้ภาษา กายและใจในการสื่อสารอยู่ร่วมกบั คนอ่นื ความสัมพันธ์รว่ มกับคนอื่นอย่างสรา้ งสรรค์น้อย
ข ๒. การพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษาวิทยาลัย อาชีวศึกษา โดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก และเม่ือพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าอยู่ในระดับมากทุก ดา้ น คือ ด้านเงอื่ นไขคณุ ธรรม ส่งเสริมให้นักศึกษาปฏิบัติ ศลี ๕ และหิริ โอตตัปปะ จัดกิจกรรมอบรม คุณธรรมสอดแทรกหลักเศรษฐกิจพอเพียง ด้านเง่ือนไขความรู้โดยนาหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ ในชีวิตประจาวัน ด้านความพอประมาณ เห็นประโยชน์และตระหนักในความสาคัญของการดาเนิน ชีวิตตามหลักความพอประมาณ ด้านความมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องในการ ดาเนนิ ชีวติ และ ดา้ นความมภี ูมิคุม้ กัน จัดทารายรบั รายจา่ ยในครัวเรือน ๓. กระบวนการพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ นักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาประกอบด้วยทักษะชีวิตของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษา ๕ ด้าน ๑) ตระหนักรู้และเห็นคุณค่าในตนเองและผู้อื่น รู้จักความถนัดความสามารถ ของตนเอง ๒) คิด วิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ แยกแยะข้อมูลข่าวสาร ๓) จัดการกับอารมณ์และ ความเครียด เข้าใจและรู้เท่าทันภาวะอารมณ์ของบุคคล ๔) สร้างสัมพันธภาพท่ีดีกับผู้อื่น เข้าใจ มุมมอง อารมณ์ ความรสู้ ึกของผู้อ่ืน ใช้ภาษาพูดและภาษากายในการส่ือสารและสามารถประยุกต์เข้า กับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ๓ ห่วง ๒ เงื่อนไข ได้แก่ ๑) ด้านความพอประมาณ สร้างความเข้าใจ ๒) ดา้ นความมีเหตุผล จัดทารายรบั รายจา่ ยในครัวเรือน ๓) ดา้ นความมีภูมิคุ้มกัน จัดทาบัญชีธนาคาร ขยะ ๔) ด้านเง่ือนไขความรู้ วางแผนองค์ความรู้ ๕) ด้านเงื่อนไขคุณธรรม ส่งเสริมให้นักศึกษาปฏิบัติ ตามหลกั โยนิโสมนสิการและ อิทธิบาท ๔
ฆ Dissertation Title : Development of Life Skills Based on Sufficiency Economy Philosophy of Vocational College Students Researcher : Phra Srirat Siriratano (Srisa-nga) Degree : Doctor of Philosophy (Buddhist Educational Administration) Dissertation Supervisory Committee : Assoc. Prof. Dr. Sin Ngamprakhon, B.A. (Educational Administration), M.A. (Educational Administration), Ph.D. (Educational Administration) : Assoc. Prof. Dr. Intha Siriwan, B.A. (Educational Administration), M.Ed. (Educational Administration), Ph.D. (Educational Administration) Date of Graduation : March 10, 2018 Abstract The objectives of this research were; 1) to study the state of life skills of vocational college students, 2) to develop life skills of vocational college students based on Sufficiency Economy philosophy, and 3) to propose a life skills development process of vocational college students based on Sufficiency Economy philosophy. The data were collected by questionnaires from 392 vocational college students, in-depth interviews with 10 key-informants consisting of administrators, teachers, and students’ parents of vocational colleges in Sisaket province, and focus group discussions with 10 experts, and then analyzed by percentage, mean, frequency, standard deviation and content analysis. The research results found that: 1. The current situation and problems in life skills of vocational college students were as follows; 1. In self-value and other’s value recognition, students paid less attention to oneself than to the others, had dim target of life, and lacked of responsibility to oneself and society. 2. In analytical thinking, making decision and creative problem solving, students lacked of critical reflection before making decision in situations. 3. In emotion and stress management, students lacked of comprehension in oneself and surrounding society resulting to their stress and emotion control.
ฆ 4. In good relation building, students had little knowledge on physical language and mental language in communicating with others. 2. The development in life skills of vocational college students based on Sufficiency Economy philosophy was at the high level in total and in aspect. In virtue, students should be encouraged in observing the Five Precepts and follow Hiri and Ottappa principles together with sufficiency economy philosophy. In knowledge condition, students should be enhanced to apply sufficiency economy philosophy in living a life. In economy condition, students should be initiated to realize the significance and value of living a life on sufficiency economy philosophy. In causality, students should consider causes and effects concerning to their lives, and in immunity, students should make daily pay record. 3. The life skills development process of vocational college students based on Sufficiency Economy philosophy consisted of 5 aspects; 1) To recognize self-value and the others’ value, and to be able to identify one’s own skills and capability, 2) To have critical thinking, creative thinking, creative problem solving, and information analysis ability, 3) To be able to manage emotion and emotional factors and stress of oneself and the others, and 4) to create a good relationship with others through physical and mental languages and apply to 3 circles and 2 conditions of Sufficiency Economy philosophy; 1) In contentment; understanding, 2) In causality; daily pay record, 3) In immunity, recycle bank, 4) In knowledge , plan for body of knowledge, 5) In virtue, to promote the practice of critical reflection and Iddhipada.
จ กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยเรอ่ื ง การพัฒนาทกั ษะชีวติ ตามหลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษา วทิ ยาลัยอาชีวศึกษา สาเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ก็เน่ืองด้วยได้รับการช่วยเหลือสนับสนุน เอ้ือเฟื้อเกื้อกูล เมตตานุเคราะห์ จากท่านผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ ผู้วิจัยขอขอบคุณและอนุโมทนาขอบคุณทุก ท่านมา ณ โอกาสนี้ ขอเจริญพรขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.สิน งามประโคน รองศาสตราจารย์ พิเศษ ดร.อินถา ศิริวรรณ ที่ได้เมตตา กรุณาเสียสละเวลาอันมีค่าช่วยตรวจสอบความถูกต้องท้ังด้านภาษา เนื้อหา ระเบียบวิธี และเคร่ืองมือท่ีใช้ในการดาเนินการวิจัยทั้งให้ข้อเสนอแนะ และให้การแนะนา ต้ังแตเ่ ร่มิ ต้นจนสาเร็จลุลว่ งไปได้ดว้ ยดี ขออนุโมทนาขอบคุณคณาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้คาแนะนาเกี่ยวกับเคร่ืองมือและ ผู้ทรงคุณวุฒิในการให้คาแนะนาสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) ประชาพิจารณ์ (Public Hearing) และสอบปอ้ งกนั วิทยานิพนธ์ อนึ่ง ผู้วิจัยขออนุโมทนาขอบคุณผู้บริหาร ครู วิทยาลัยอาชีวศึกษา ทั้ง ๑๙ แห่ง ท่ีได้ อนุเคราะหใ์ ห้ขอ้ มูลในการแจกแบบสอบถามและสัมภาษณ์ ขอกราบขอบคุณพระอาจารย์ทุกรูป และเจริญพรคณาจารย์คณะครุศาสตร์ทุกท่าน ตลอดจนเจ้าหน้าท่ีทุกท่าน ท่ีได้ให้ความรู้ประสิทธิ์ประสาทวิทยาการ และประสบการณ์ รวมถึงให้ ความเมตตาเอื้อเฟ้ือ ถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ และเป็นกาลังใจให้แก่ผู้วิจัยตลอดมา คุณความดี การทาประโยชน์ใดๆ อันเกิดจากวิทยานิพนธ์นี้ ผู้วิจัยขอมอบบูชาเป็นกตเวทิตาคุณแด่มารดา บิดา ญาติกาสายโลหิต มิตรสหายผู้เป็นท่ีรัก เพื่อนสหธรรมิกร่วมช้ันเรียนทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ที่เป็น กาลังใจและใหก้ ารสนบั สนุนในทุกๆเรอื่ งรวมทัง้ ผู้มีอุปการคุณทุกทา่ น พระศรีรตั น์ สริ ิรตโน (ศรสี ง่า) ๑ มกราคม ๒๕๖๑
สารบญั ฉ เรอื่ ง หน้า บทคดั ย่อภาษาไทย ก บทคดั ยอ่ ภาษาองั กฤษ ค กิตติกรรมประกาศ จ สารบัญ ฉ สารบญั ตาราง ซ สารบัญภาพ ฌ บทที่ ๑ บทนา ๑ ๑.๑ ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา ๑ ๑.๒ วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ัย ๓ ๑.๓ ปญั หาทตี่ อ้ งการทราบ ๓ ๑.๔ ขอบเขตการวจิ ยั ๔ ๑.๕ นิยามศัพท์เฉพาะท่ใี ชใ้ นการวิจัย ๗ ๑.๖ ประโยชนท์ ไ่ี ด้รับ ๗ บทท่ี ๒ เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ กย่ี วขอ้ ง ๘ ๒.๑ แนวคดิ เกย่ี วกบั การจดั การเรียนรู้ ๘ ๒.๒ ทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ ๑๒ ๒.๓ แนวคดิ และทฤษฎีเกี่ยวกับทักษะชีวิต ๓๔ ๒.๔ แนวคิด ทฤษฎเี กีย่ วกบั หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง ๓๗ ๒.๕ หลกั พุทธธรรม : หลักอิทธิบาท ๔ ๗๐ ๒.๖ บริบทของวทิ ยาลัยอาชวี ศกึ ษา ๘๑ ๒.๗ งานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้อง ๘๑ ๒.๘ กรอบแนวคิดในการวิจยั ๘๗ บทท่ี ๓ วธิ ีดาเนนิ การวิจยั ๘๘ ๓.๑ รูปแบบการวจิ ัย ๙๐ ๓.๒ ประชากร / ผู้ให้ขอ้ มลู สาคญั ๙๐ ๓.๓ เครือ่ งมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั ๙๒ ๓.๔ วิธกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูล ๙๓ ๓.๕ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ๙๔
ช เร่อื ง หน้า ๓.๖ การวิเคราะห์ขอ้ มลู ๙๔ ๓.๗ ขน้ั ตอนในการวิจยั ๙๗ บทท่ี ๔ ผลการวิจัย ๙๙ ๔.๑ ผลการศึกษาสภาพปัจจุบัน และปัญหาการจัดการความรู้ของวิทยาลัย ๑๐๐ อาชวี ศกึ ษา ๔.๒ พัฒนาการจัดการความรู้และทักษะชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงสาหรับ ๑๐๔ นกั ศึกษาอาชีวศึกษาด้วยหลักพทุ ธวิธี ๔.๓ เสนอแบบจาลองการจัดความรู้และทักษะชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงด้วย ๑๓๘ หลกั พุทธวธิ สี าหรบั นักศกึ ษาอาชีวศกึ ษา ๔.๔ องคค์ วามร้ทู ่ีได้จากการวิจัย ๑๔๐ บทที่ ๕ สรุป อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ ๑๔๓ ๕.๑ สรปุ ผลการวจิ ยั ๑๔๓ ๕.๒ อภิปรายผล ๑๔๘ ๕.๓ ขอ้ เสนอแนะ ๑๕๔ บรรณานุกรม ๑๕๖ ภาคผนวก ๑๖๑ ภาคผนวก ก แบบสอบถามเพื่อการวิจัย ๑๖๒ ภาคผนวก ข แบบสมั ภาษณ์เพือ่ การวิจยั ๑๖๘ ภาคผนวก ค หนงั สอื ขอความอนุเคราะห์เปน็ ผ้เู ชีย่ วชาญตรวจแก้ไขเคร่อื งมือ ๑๗๕ ภาคผนวก ง หนังสือขอความอนเุ คราะหแ์ จกแบบสอบถามเพ่ือการวิจัย ๑๗๖ ภาคผนวก จ หนงั สอื ขอความอนุเคราะหส์ มั ภาษณ์เพื่อการวจิ ยั ๑๗๗ ภาคผนวก ฉ ผู้ทรงคุณวุฒิในการสนทนากล่มุ ๑๗๘ ภาคผนวก ช รปู ภาพลงพนื้ ที่สัมภาษณ์ ๑๗๙ ประวตั ิผู้วจิ ัย ๑๘๐
ญ สารบัญตาราง ตารางท่ี หน้า ๒.๑ วิเคราะห์ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ ๒๔ ๓.๒ วิเคราะห์ปัจจยั สง่ เสริมการเรียนรู้ ๓.๒ ๒.๑ หลักปฏิบัติ และตัวอยา่ งกจิ กรรมเศรษฐกิจพอเพยี งในสถานศึกษา ๖๘ ๒.๔ สรุปความหมายของโยนโิ สมนสกิ าร ๘๒ ๒.๕ สรปุ ความสาคัญของโยนิโสมนสกิ าร ๘๔ ๓.๑ ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ๘๙ 3.๒ จานวนองคป์ ระกอบหลกั องคป์ ระกอบหลกั และตัวบ่งชี้ยอ่ ย ๙๐ 3.7 ข้นั ตอนในการวจิ ยั เรอ่ื ง “การพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ๙๕ ของนักศกึ ษาวิทยาลยั อาชวี ศกึ ษา” ๔.๑ แสดงจานวนและค่าร้อยละของนักเรียน ครู และผู้ปกครอง จานวน ๓๙๒ คน จาแนก ๑๐๐ ตามสถานภาพ ๔.๒ แสดงจานวนและคา่ ร้อยละของนกั เรยี น ครู และผู้ปกครอง จานวน ๓๙๒ คน ๑๐๐ จาแนกตามอายุ ๔.๓ แสดงจานวนและค่าร้อยละของนักเรยี น ครู และผ้ปู กครอง จานวน ๓๙๒ คน ๑๐๑ จาแนกตามระดับการศกึ ษา ๔.๑.๒ ผลการวจิ ัยเก่ยี วกับสภาพปัจจบุ นั และปญั หาการจดั การความรู้ของวทิ ยาลัยอาชีวศึกษา ๑๐๒ ๔.๕ ค่าเฉล่ีย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐานพัฒนาทักษะชีวิตตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ ๑๐๔ นักศึกษาวิทยาลัยอาชวี ศึกษา โดยภาพรวม ๔.๖ ค่าเฉล่ยี และสว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐานทักษะชีวิตตามหลกั เศรษฐกิจพอเพยี ง ด้านความ ๑๐๕ พอประมาณ ๔.๗ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานทักษะชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ๑๐๖ ด้านความมีเหตุผล ๔.๘ ค่าเฉล่ีย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทักษะชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ๑๐๗ ดา้ นความมภี ูมิคมุ้ กัน ๔.๙ คา่ เฉล่ยี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานทักษะชีวติ ตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพียง ๑๐๘ ดา้ นเงื่อนไขความรู้ ๔.๑๐ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทักษะชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ๑๐๙ ด้านเงอ่ื นไขคณุ ธรรม
ฎ ตารางที่ หนา้ ๔.๑๑ จานวนองค์ประกอบค่าไอเกน (Eigen value) ร้อยละของความแปรปรวน ร้อยละของ ๑๑๐ ความแปรปรวนสะสมขององค์ประกอบการพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพยี งของนักศึกษาวิทยาลยั อาชวี ศึกษา ๑๑๒ ๔.๑๒ ค่านาหนกั องค์ประกอบที่ ๑ ทักษะชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงด้านความพอประมาณ ๑๑๓ ๔.๑๓ ค่านาหนกั องคป์ ระกอบที่ ๑ ทกั ษะชีวติ ตามหลักเศรษฐกจิ พอเพียงด้านความมีเหตุผล ๑๑๔ ๔.๑๔ คา่ นาหนกั องค์ประกอบท่ี ๑ ทักษะชวี ติ ตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียงด้านความมีภูมิคุม้ กนั ๑๑๕ ๔.๑๕ ค่านาหนกั องค์ประกอบที่ ๑ ทกั ษะชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงด้านเงื่อนไขคุณธรรม ๑๑๗ ๔.๑๖ วิเคราะหท์ กั ษะชวี ิตตามหลักเศรษฐกจิ พอเพยี งดา้ นความพอประมาณ ๑๑๙ ๔.๑๗ วิเคราะห์ทักษะชวี ติ ตามหลักเศรษฐกจิ พอเพยี งด้านการมีเหตผุ ล ๑๒๑ ๔.๑๘ วิเคราะห์ทักษะชีวิตตามหลกั เศรษฐกิจพอเพียงดา้ นภมู ิคมุ้ กัน ๑๒๓ ๔.๑๙ วิเคราะหท์ กั ษะชวี ิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพยี งด้านเงอ่ื นไขความรู้ ๑๒๖ ๔.๒๐ วเิ คราะห์ทกั ษะชวี ิตตามหลักเศรษฐกจิ พอเพยี งดา้ นเง่ือนไขคุณธรรม
ญ สารบัญภาพ แผนภาพที่ หนา้ ๑.๑ หลักการปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง (มาจากวารสารมูลนธิ ิชยั พฒั นา, ๒๕๕๓, หน้า ๑๖) ๖ ๓.๙ สรปุ ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ ๑๓ ๓.๑๐รูปแบบการเรียนรู้จากทฤษฎีสู่การปฏิบัติ๒.๔ แสดงร่างหลักสูตรเศรษฐกิจพอเพียง ๒๖ ช่วงชัน้ ที่ ๓ (มาจากปรียานชุ พบิ ูลสราวธุ ดร., ๒๕๕๐, หน้า ๕๐) ๒.๒ รูปแบบการเรียนรู้ ๓๓ ๒.๑ กระบวนการของโยนิโสมนสิการ ๙๐ ๒.๒ กรอบแนวคดิ ในการวิจยั ๙๗ ๑๓๓ ๔.๑ การพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษาวิทยาลัย อาชีวศกึ ษา (ฉบบั รา่ งที่ ๑) ๑๓๘ ๔.๓ การพฒั นาทักษะชีวิตตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ๑๓๙ ของนักศึกษาวทิ ยาลัยอาชีวศึกษา ๑๔๘ ๔.๔ พุทธวิธกี ารจดั การความรสู้ ู่ทกั ษะชีวิตตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพียงของนกั ศกึ ษาวทิ ยาลัยอาชวี ศกึ ษา “BKM MODEL” ๕.๑ การพัฒนาทักษะชีวิตตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียงของนักศึกษาวทิ ยาลยั อาชวี ศึกษา
บทที่ ๑ บทนา ๑.๑ ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา การจดั การความรูค้ ือการผสมผสานขององค์ประกอบของความรู้ได้แก่ประสบการณ์ของ คนในการตัดสินข้อเท็จจริงพื้นฐานความซับซ้อนการเรียนรู้ผิดถูกด้วยตนเองค่านิยมและความเชื่อ รวมทั้งคณุ ค่าความรอบรใู้ นเน้ือหาสาระสารสนเทศและความเช่ียวชาญที่ทาให้กรอบการทางานมีการ ประเมินและเกิดการรวมเข้ากับประสบการณ์และสารสนเทศใหม่เพ่ือนาไปสนับสนุนทาให้ศักยภาพ ความสามารถในการป ฏิบัติงานของบุคคลเพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพราะการ จัดการน้ันเป็นกระบวนการสาคัญท่ีจะทาให้การแสวงหาความรู้ทั้งที่เป็นความรู้ชัดเจน (Explicit Knowledge) และความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล (Tacit Knowledge) แล้วนาความรู้น้ันไปใช้ในการ ดาเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพการจัดการความรู้จาเป็นต้องมีการเรียนรู้อย่างเป็นระบบ เป็น กระบวนการท่ีชัดเจนและมีความต่อเนื่อง เพื่อส่งผลให้เกิดพัฒนาคน การพัฒนางาน และการพัฒนา องค์การ จากบทเรียนและประสบการณ์ที่ได้รับจากผลของการพัฒนาประเทศในสี่ทศวรรษที่ผ่านมา ทาให้มีการปรับเปล่ียนกลยุทธและวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศกันอย่างขนานใหญ่ โดยมีการอัญเชิญ พระราชกระแส เร่ือง ปรัชญาและแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาเป็น ปรัชญาและวิสัยทัศน์นาในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ฉบับที่ ๙ โดยนายสิปนนท์ เกตุทัต ประธาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้มีหนังสือลงวันท่ี ๒๒ ตุลาคม ๒๕๔๒ กราบ บังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมอัญเชิญ “ปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง” มาเป็นแนวทางในการกาหนดนโยบายวางแผน และทาแผนปฏิบัติการในทุกระดับเพ่ือให้ ประเทศชาติรอดพ้นจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจตลอดจนเป็นแนวทางในการดารงชีวิตที่ดี ของคนใน ชาติได้อย่างยั่งยืนและมั่นคงต่อไปและในการน้ีได้ระบุไว้ในความนาของแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๙ (พ.ศ.๒๕๔๕ - ๒๕๔๙) ด้วยว่าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๙ เป็นแผนท่ีได้อัญเชิญแนว ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดารัส ของพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว มาเป็น ปรัชญานาทาง ในการพัฒนาและบริการประเทศ โดยยึดหลัก ทางสายกลาง เพื่อให้ ประเทศรอดพ้นจากวิกฤตสามารถดารงอยู่ได้อย่างม่ันคงและนาไปสู่การพัฒนาท่ีสมดุลมีคุณภาพและ ยั่งยนื ภายใตก้ ระแสโลกาภิวัตน์และสถานการณ์ทเ่ี ปลยี่ นแปลงตา่ ง ๆ๑ เหตุผลสาคัญท่ีได้มีการอัญเชิญ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ในพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวมาเป็นหลักและวิสัยทัศน์ ในการแก้ไขปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจและเป็นแนวทางพัฒนา ประเทศในช่วงหัวเล้ียวหัวต่อและเป็นจุดหักเหที่สาคัญในประวัติศาสตร์การพัฒนาประเทศไทย ก็ ๑สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ ๙ (พ.ศ.๒๕๔๕ - ๒๕๔๙), (กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ครุ ุสภา), หนา้ ก.
๒ เน่ืองมาจากมีการยอมรับว่า ทฤษฎีและกรอบแนวคิดของการพัฒนาประเทศโดยการอาศัยแนวคิดและ ทฤษฎีทุนนิยมตามแบบตะวันตกน้ัน ไม่สามารถทาให้ประเทศชาติและประชาชน ก้าวหน้าอย่างม่ันคง และอยู่ดีมีสุขได้ดังท่ีแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๘ ก็ได้ย้าถึงผลสรุปของการพัฒนาท่ีผ่านมาว่า“เศรษฐกิจดี สังคมมีปัญหา การพัฒนาไม่ยั่งยืน” และในแผนพัฒนาฉบับที่ ๙ ก็ได้วิเคราะห์และระบุไว้ในแผนฯ เชน่ เดยี วกันว่า “.จากการประเมนิ ผลการพัฒนาในช่วง ๔ ทศวรรษ ท่ีผ่านมาชี้ให้เห็นอย่างชัดเจน ถึงการ พัฒนาที่ขาดสมดุลโดยประสบความสาเร็จเฉพาะใน เชิงปริมาณ แต่ขาดความสมดุลในด้าน คุณภาพ “จุดอ่อน” ของการบริหาร ทางเศรษฐกิจ การเมือง และราชการ ยังเป็นการรวมศูนย์อานาจ และขาด ประสิทธิภาพ..”๒ดังน้ันวิสัยทัศน์ของการพัฒนาประเทศไทยในอนาคต ๒๐ ปี ข้างหน้า จึงมีจุดมุ่งหมาย เนน้ …การแก้ปญั หาความยากจน และยกระดับคุณภาพชีวิตของคน ส่วนใหญ่ ของประเทศ ให้เกิด “การพัฒนาท่ียั่งยืนและความอยู่ดีมีสุขของคนไทย ”และ สร้างค่านิยมร่วมให้คน ไทยตระหนักถึงความจาเป็นและการปรับเปลี่ยนกระบวนการคิดทัศนคติและกระบวนการ ทางาน โดยยึด “ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นปรัชญานาทางให้เอ้ือต่อการ เปลีย่ นแปลงระบบการบริหารจัดการประเทศแนวใหม่ที่มุ่งสู่ประสิทธิภาพและคุณภาพและ ก้าวตามโลกได้อย่างรู้ทนั …๓ วิสัยทัศน์ของการพัฒนาประเทศไทย ในระยะ ๒๐ ปีในอนาคตจึงสามารถสรุปเนื้อหาสาระ โดยย่อว่า วิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศในสองทศวรรษข้างหน้า จะมีปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นปรัชญานาโดยจะพัฒนาประเทศไปในทางสายกลาง เพื่อให้เกิดมีความ สมดุลและมีดุลยภาพของการพัฒนาไม่สุดโต่งไปด้านใดด้านหน่ึง พร้อมกับการสร้างภูมิคุ้มกันและรู้เท่า ทันความเปล่ียนแปลงของโลก มีอิสรภาพในการที่จะไม่ตกอยู่ในความครอบงาของกระแสวัตถุนิยม และ กระแสโลกาภิวัตน์บางด้านที่ไม่พึงปรารถนา และไม่สอดคล้องกับสังคมและวัฒนธรรมไทย ทั้งน้ีเพื่อ สรา้ งสรรค์สังคมที่พงึ ประสงค์ คือ การเปน็ สังคมคุณภาพ สังคมภูมิปัญญา และสังคมสมานฉันท์ และเอื้อ อาทร ทเ่ี ขม้ แขง็ และมีดุลยภาพ การปฏิรูปการศึกษาระดับอาชีวศึกษาระยะ๒๐ปี (พ.ศ.๒๕๕๘-๒๕๗๗) ในประเด็นที่ เกยี่ วกบั การจดั การเรยี นการสอน เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและสามารถจัดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองตลอด ชีวิต และสร้างคุณลักษณะแห่งความพอเพียงในการดาเนินชีวิต ซ่ึงสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสงั คมแห่งชาตฉิ บับท่ี ๑๒ (พ.ศ.๒๕๕๙-๒๕๖๓) และแผนพัฒนา ๒๐ ปี ของประเทศไทย โดย ยังคง ยดึ หลักการสรา้ งทักษะของมนุษย์ในศตวรรษท่ี ๒๑ เป็นพื้นฐานอยู่การจัดการศึกษาในระดับอาชีวศึกษา มีความสาคัญกับเยาวชนมาก เพราะส่วนใหญ่ของผู้จบการศึกษา จะมุ่งไปประกอบอาชีพ ดังน้ัน การ จัดการเรียนการงานและอาชีพ เพื่อสร้างความรู้ ให้สมบูรณ์ตามระดับ การฝึกฝนทักษะให้มีความ เช่ียวชาญ การสร้างเจตคติที่ดีต่ออาชีพและการดาเนินชีวิตท่ีจะต้องพัฒนาให้สมบูรณ์ขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับเป็นเร่ืองที่สาคัญย่ิงสาหรับนักศึกษาอาชีวศึกษาทุกคน ท่ีจะเป็นกาลังสาคัญในการมีส่วนร่วมเพ่ือ พัฒนาประเทศให้เจริญย่ังยืนต่อไปและคุณลักษณะที่สาคัญย่ิงประการหน่ึง ที่รัฐบาลได้กาหนดให้เป็น นโยบายในการพัฒนาประเทศ คือ การส่งเสริมให้ประชาชนดาเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ตาม ๒เรือ่ งเดียวกนั ,หนา้ ข. ๓แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบับที่ ๙ , หน้า ๙.
๓ แนวพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลท่ี ๙ แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ ได้นามาบรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ต้ังแต่ฉบับท่ี ๘ และ ๙ สืบเน่ืองมาจนถึง แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๒ ซ่ึงหน่วยงานของรัฐ ทุกกระทรวง ทบวง กรม ได้นามา ประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับ แผนงานที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของประชาชนโดยกระทรวงศึกษาธิการ ใน ส่วนของคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้ส่งเสริมนโยบายการจัดการเรียนการสอนให้นักศึกษา อาชวี ศึกษา ได้ ฝึกฝนทกั ษะชวี ติ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงไว้ในทุกหลักสูตร ดังน้ัน การพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษาวิทยาลัย อาชีวศึกษานั้น ได้เน้นการนาหลักพุทธธรรมมาประยุกต์ใช้ในระบบการจัดการความรู้นั้นจึงเป็น กระบวนการสาคญั ทจี่ ะทาให้การแสวงหาความรู้ท้ังที่เป็นความรู้ชัดเจน (Explicit Knowledge) ที่อยู่ ในรูปของหนังสือ เอกสาร รายงานต่างๆ และความรู้ท่ีอยู่ในตัวบุคคล (Tacit Knowledge) แล้วนา ความรู้นั้นไปใช้ในการดาเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพการจัดการความรู้จาเป็นต้องมีการเรียนรู้ อยา่ งเป็นระบบ ผสานกับการนาหลักพุทธธรมและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักการในการ พัฒนาทักษะชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาอันเป็นกระบวนการท่ี ชัดเจนและมีความต่อเน่ือง เพื่อส่งผลให้เกิดพัฒนาคน การพัฒนางาน และการพัฒนาองค์การ ของ วิทยาลัยอาชีวศึกษาผู้วิจัยจึงสนใจท่ีจะทาการศึกษาวิจัยเพ่ือเสนอกระบวนการพัฒนาทักษะชีวิตตาม หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษา เพ่ือให้วิทยาลัยอาชีวศึกษา ทง้ั หลายได้ศกึ ษานาไปเปน็ แนวทางสาหรับใช้ในการจัดการเรียนการสอนใหแ้ ก่นักศกึ ษาต่อไป ๑.๒ วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ยั การวิจยั เรื่องการพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษา วิทยาลัยอาชีวศกึ ษา คร้ังน้มี วี ตั ถปุ ระสงคก์ ารวจิ ยั ๓ ประการ คือ ๑.๒.๑เพ่ือศึกษาสภาพปจั จบุ ันและปญั หาทักษะชวี ติ ของนักศึกษาวทิ ยาลัยอาชวี ศึกษา ๑ . ๒ . ๒ เพื่ อพัฒ น าทักษะชีวิตตามห ลั กปรั ช ญาของเศร ษฐ กิจ พอเพีย ง ของนั กศึกษา วิทยาลัยอาชีวศกึ ษา ๑.๒.๓ เพ่ือเสนอกระบวนการพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของนกั ศกึ ษาวทิ ยาลยั อาชวี ศึกษา ๑.๓ปัญหาที่ต้องการทราบ ๑.๓.๑ สภาพปัจจุบันและปัญหาทักษะชีวิตของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาเป็น อยา่ งไร ๑.๓.๒ การพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษา วทิ ยาลยั อาชวี ศึกษาเป็นอยา่ งไร
๔ ๑.๓.๓ กระบวนการพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ นักศกึ ษาวทิ ยาลัยอาชีวศกึ ษาเป็นอย่างไร ๑.๔ ขอบเขตของการวิจัย ผู้วิจัยได้กาหนดขอบเขตของการศึกษา การพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพยี งของนักศึกษาวทิ ยาลยั อาชวี ศึกษาดงั น้ี ๑.๔.๑ ขอบเขตด้านเน้ือหา ผู้วิจัยได้กาหนดเน้ือหาของการวิจัย ประกอบด้วย แนวคิด ทฤษฎี และผลงานวิจัยที่ เกี่ยวข้อง ดงั นี้ ๑) หลกั พทุ ธธรรม ๑.อิทธิบาท๔ ๔แปลว่า บาทฐานแห่งความสาเร็จ หมายถึง สิ่งซ่ึงมีคุณธรรม เครื่องให้ลุถึงความสาเร็จตามท่ีตนประสงค์ ผู้หวังความสาเร็จในสิ่งใด ต้องทาตนให้สมบูรณ์ด้วยส่ิงที่ เรียกว่า อทิ ธบิ าท ซ่งึ จาแนกไวเ้ ป็น ๔ คือ ๑. ฉันทะ ความพอใจรักใคร่ในส่ิงนนั้ ๒. วิริยะ ความพากเพยี รในสิ่งน้นั ๓. จติ ตะ ความเอาใจใสฝ่ ักใฝ่ในส่งิ นั้น ๔. วิมังสา ความหมั่นสอดสอ่ งในเหตผุ ลของสงิ่ น้ัน ๒. โยนิโสมนสิการ คือ การรู้จักวิธีคิดในการพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพยี งของนักศึกษาวิทยาลยั อาชวี ศกึ ษา ๒)แนวคดิ ทฤษฎีปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียง พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อย่หู วั ทรงพระราชทานพระราชดารัสเก่ียวกับหลักการของ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไว้ดังนี้ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางการดารงอยู่ และปฏิบัติตน ในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตด้ังเดิมของสังคมไทย สามารถนามาประยุกต์ใช้ได้ ตลอดเวลา และการเป็นการมองโลกเชิงระบบที่มีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยคุณลักษณะ สาคัญคือ สามารถนามาประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติตนได้ในทุกระดับ โดยเน้นการปฏิบัติบนทางสาย กลาง และการพัฒนาอย่างเป็นขั้นตอน โดยท่ีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงต้องประกอบด้วย ๓ คุณลักษณะพรอ้ ม ๆ กัน คือ ๑) ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป ไม่ เบียดเบยี นตนเองและผูอ้ ่นื ๔ท.ี ปา.(ไทย) ๑๑/๒๓๑/๒๓๓ ; อภิ.ว.ิ (ไทย) ๓๕/๕๐๕/๒๙๒.
๕ ๒) ความมเี หตุผล หมายถึง การตัดสินใจเก่ียวกับระดับของความพอเพียงนั้นจะต้อง เป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เก่ียวข้อง ตลอดจนคานึงถึงผลท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้น จากการกระทานน้ั อย่างรอบคอบ ๓) การมีภูมคิ ้มุ กนั ทีด่ ใี นตัวเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และ การเปล่ยี นแปลงดา้ นต่าง ๆ ท่คี าดว่าจะเกิดขึน้ ในอนาคตท้งั ใกล้และไกล นอกจากน้ีหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงยังต้องอาศัยเงื่อนไขการตัดสินใจ และการ ดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ต้องอาศัยทั้งความรู้ และคุณธรรมเป็นพ้ืนฐาน เม่ือ ปฏิบตั ิได้เช่นนี้ผลที่จะได้รับคือ การพัฒนาท่ีสมดุลและย่ังยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม ส่ิงแวดล้อม ความรู้และเทคโนโลยี๕ ๓)การจดั การทกั ษะชีวติ เชิงคณุ ธรรมของนกั ศึกษา ด้านความซ่อื สตั ย์ ความอดทด และความประหยัดอดออม ๔) ชุดความร้ดู า้ นเศรษฐกจิ พอเพียง ตามหลักการ ๓ หว่ ง ๒ เง่ือนไข พอประมาณ มเี หตผุ ล มภี มู คิ ้มุ กนั ในตัวท่ีดี เงอ่ื นไขความรู้ เงอื่ นไขคุณธรรม (รอบรู้ รอบคอบ ระมดั ระวัง) (ซือ่ สัตย์สุจรติ สติปัญญา ขยันอดทน แบง่ ปัน) ชีวิต / เศรษฐกิจ / สงั คม / สิ่งแวดล้อม สมดุล / ม่นั คง / ย่งั ยนื ๕พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง, วารมูลนิธิชัยพัฒนา, ฉบับประจาเดือน สงิ หาคม ๒๕๕๓, (สานักงานมลู นิธชิ ยั พฒั นา : บริษทั อมรินทร์พร้ินต้ิงแอนด์พลับลิชชิ่ง จากัด, ๒๕๕๓), หน้า ๑๔ – ๑๖.
๖ แผนภาพท่ี ๑.๑ หลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง (มาจากวารสารมูลนิธิชัยพัฒนา, ๒๕๕๓, หนา้ ๑๖) ๑.๔.๒ ขอบเขตด้านประชากร ๑.๔.๒.๑ประชากร คือ ประชากรที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครง้ั นส้ี ว่ นหนึง่ เปน็ กลมุ่ ประชากร ของวิทยาลัยอาชีวศึกษาในจังหวัดศรีสะเกษจานวน ๑๙ แห่ง ได้แก่ ผู้บริหาร ครู อาจารย์ นักศึกษา อาชีวศึกษา และผู้ปกครองนกั ศกึ ษา รวมทง้ั หมด ๒๑,๕๘๐ คน๖ ๑.๔.๒.๒กลุ่มตวั อยา่ ง กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหาร ครู อาจารย์ นักศึกษาอาชีวศึกษา และ ผู้ปกครองนักศึกษาของวิทยาลัยอาชีวศึกษาในจังหวัดศรีสะเกษในปีงบประมาณ 2560โดยผู้ตอบ แบบสอบถามเป็นตัวแทนผู้บริหาร ครู อาจารย์ นักศึกษาอาชีวศึกษา และผู้ปกครองนักศึกษา มี ข้ันตอนการกาหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างและการสุ่มวิธีการกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างมีด้วยกัน หลากหลายวิธี ในท่ีน้ีจะเสนอการกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากการกาหนดเกณฑ์ การใช้สูตร คานวณและการใช้ตารางสาเร็จรูป ซึง่ แต่ละวิธีสามารถอธบิ ายไดต้ ่อไปน้ี 1. การกาหนดเกณฑ์ ข้อมูลเกี่ยวกับพุทธวิธีการจัดการความรู้สู่ทักษะชีวิตตามหลัก เศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษา ซึ่งครอบคลุมใน ๑๙ แห่ง โดยเป็นผู้บริหาร ครู อาจารย์ นักศกึ ษาอาชวี ศกึ ษา และผปู้ กครองนกั ศกึ ษา จานวน ๒๑,๕๘๐ รูป/คน 2. การใช้ตารางสาเร็จรูปการกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างด้วยตารางสาเร็จรูป มีอยู่ หลายประเภท ขึ้นอยู่กับ ความต้องการของผู้วิจัย ตารางสาเร็จรูปที่นิยมใช้กันในงานวิจัยเชิง สารวจ ได้แก่ สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) ใช้ระดับค่าความเชื่อม่ัน ๙๕% มีระดับค่า ความคาดเคล่ือน ๕% ได้กลุ่มตัวอย่างด้วยการกาหนดขนาดตัวอย่างคานวณจากสูตร Taro Yamane๗โดยคาดว่าสัดส่วนของลักษณะที่สนใจในประชากร เท่ากับ ๐.๕และระดับความเช่ือม่ัน 95%ไดก้ ลมุ่ ตัวอยา่ งจานวน ๓๙๒คน ๑.๔.๒.๓ ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ ได้แก่ ผู้บริหาร ครู อาจารย์ และผู้ปกครองของวิทยาลัย อาชีวศึกษาในจังหวัดศรีสะเกษจานวน ๑๐ รูป/คน ด้วยวิธีการสัมภาษณ์การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก (Depth Interview) แบบเจาะลึกรายบุคคล (Individual depth interview) เป็นการ ซักถามพูดคุย ๖สถิติจานวนนักเรียนนักศึกษาอาชีวศึกษา ปีการศึกษา ๒๕๕๙ จาแนกสถานศึกษา และระดับช้ัน ศูนยเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศและกาลงั คนอาชีวศึกษา, กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย,์ www.m- society.go.th [ออนไลนว์ ันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๐] ๗ขนาดของกลุ่มตัวอย่างที่เหมาะสม, https://sites.google.com[ออนไลน์วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๐]
๗ กันระหว่างผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์ ได้แก่ ผู้บริหาร ครู อาจารย์ และผู้ปกครองเป็นการถาม เจาะลึกล้วงคาตอบ อย่างละเอียดถ่ีถ้วนเก่ียวกับสภาพปัจจุบัน และปัญหาการจัดการความรู้ของ วทิ ยาลยั อาชีวศกึ ษา ๑.๔.๓ ขอบเขตด้านพืน้ ที่ พ้นื ที่ที่ใชใ้ นการวจิ ัยในครงั้ น้ี วทิ ยาลยั การอาชีวศกึ ษาในจังหวดั ศรีสะเกษ จานวน ๑๙ แห่ง ๑.๔.๔ ขอบเขตดา้ นระยะเวลา ระยะเวลาในการดาเนินการวจิ ยั ต้ังแต่ เดือนกมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๐ ถึงเดือน มนี าคม พ.ศ. ๒๕๖๑ รวมระยะเวลาทาการวจิ ัย ๑๒ เดือน ๑.๕ นิยามศัพทเ์ ฉพาะท่ีใชใ้ นการวิจยั ๑.๕.๑ การพัฒนาทักษะ หมายถึง ความชัดเจนและความชานิชานาญท่ีสร้างขึ้นและได้ จากการเรยี นรู้ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษาวิทยาลยั อาชีวศกึ ษา ๑.๕.๒ หลักปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง หมายถึง แนวทางการดารงอยู่และปฏิบัติตนของ ประชาชนในทุกระดบั ตัง้ แตร่ ะดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหาร ประเทศให้ดาเนินไปใน”ทางสายกลาง” มีหลักการสาคัญ ๓ ห่วง ๒ เง่ือนไขซึ่งประกอบด้วยความ \"พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน\" บนเงื่อนไข \"ความรู้\" และ \"คุณธรรม\" ภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี พอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงท้ังภายนอกและภายในของวิทยาลัย อาชวี ศึกษาทงั้ ๕ ด้าน ได้แก่ ๑) ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีท่ีไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป ไม่ เบียดเบยี นตนเองและผอู้ น่ื ๒) ความมีเหตุผล หมายถงึ การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับของความพอเพียงนั้นจะต้อง เป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยท่ีเก่ียวข้อง ตลอดจนคานึงถึงผลท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้น จากการกระทาน้ันอย่างรอบคอบ ๓) การมภี มู ิค้มุ กนั ทีด่ ใี นตัวเอง หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และ การเปล่ียนแปลงดา้ นต่าง ๆ ทีค่ าดว่าจะเกดิ ขน้ึ ในอนาคตทงั้ ใกล้และไกล ๔) เงอื่ นไขความรู้ หมายถงึ ความรอบรู้ รอบคอบ ระมัดระวังในการนาหลักปรัชญา เศรษฐกจิ พอเพยี งไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ของนักศึกษาวทิ ยาลยั อาชีวศกึ ษา
๘ ๕) เงื่อนไขคุณธรรม หมายถึง ความซ่ือสัตย์สุจริต มีสติปัญญา ขยันอดทน แบ่งปัน ตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใชใ้ นชีวิตประจาวันของนักศึกษาวทิ ยาลัยอาชีวศึกษา ๑.๕.๓ วทิ ยาลยั อาชวี ศึกษา หมายถึง สถานที่จัดการศึกษาระดับอาชีวศึกษาในจังหวัดศรี สะเกษ ทง้ั ๑๙ แห่ง ๑.๖ ประโยชนท์ ่ไี ดร้ ับ ๑.๖.๑ ทราบสภาพปจั จุบนั และปญั หาทกั ษะชวี ิตของนกั ศกึ ษาวทิ ยาลยั อาชวี ศึกษา ๑.๖.๒ ได้การพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษา วิทยาลัยอาชวี ศกึ ษา ๑.๖.๓เสนอกระบวนการพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ นกั ศึกษาวิทยาลยั อาชีวศึกษา ๑.๖.๔ วิทยาลัยอาชีวศึกษาสามารถนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงของนกั ศกึ ษาวิทยาลัยอาชวี ศึกษาไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้
บทที่ ๒ เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วขอ้ ง การศึกษาเร่ือง “การพัฒนาทักษะชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของ นักศกึ ษาวิทยาลยั อาชีวศกึ ษา” ซงึ่ ผูวจิ ยั ไดทําการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เก่ียวกับการพัฒนาทักษะชีวิต ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาจากเอกสาร ตํารา วารสาร และงานวิจัยทเี่ กีย่ วของ และนาํ เสนอขนั้ ตอนในการดาํ เนนิ การศกึ ษา ในประเดน็ ดงั ตอ ไปน้ี ๒.๑ แนวคดิ เกย่ี วกบั การจดั การเรยี นรู้ ๒.๒ทฤษฎเี กีย่ วกบั การเรียนรู้ ๒.๓ แนวคิดและทฤษฎีเก่ียวกบั ทกั ษะชวี ติ ๒.๔ แนวคิด ทฤษฎีเก่ยี วกับหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี ง ๒.๕ หลักพุทธธรรม : หลกั อิทธบิ าท ๔ ๒.๖ บรบิ ทของวิทยาลยั อาชวี ศึกษา ๒.๗ งานวิจยั ทเ่ี กีย่ วข้อง ๒.๘ กรอบแนวคิดในการวิจัย ๒.๑ แนวคิดเก่ียวกับการจัดการเรยี นรู้ การศึกษาหรือการเรียนรูเป็นเรื่องที่สําคัญของมนุษย์ทุกคนและเป็นเครื่องมือในการ พัฒนาศักยภาพของตนท้ังดานความรูความสามารถคุณธรรมจริยธรรมสุขภาพและการดําเนินชีวิตใน สังคมอยางมีความสุข และเป็นกระบวนการที่ทําใหมนุษย์เจริญงอกงามข้ึน อริสโตเติล (Aristotle) เป็นนักปรัชญาการศึกษาไดใหความหมายของการศึกษาหรือการเรียนรูวามีจุดมุงหมายเพ่ือการสราง คุณธรรมและคุณธรรมเกิดจากความรูและการฝึกจิตใจใหมีศีลธรรมเรียกวา Character Development วิชัย ตันศิริ กลาววา การฝึกจิตใหมีศีลธรรมตองฝึกภาคปฏิบัติมิใชเพียงสอน คณุ ธรรมในภาคทฤษฎี๑ สอดคลองกบั แนวคิดของพระราชวรมุนี (ป.อ.ปยุตโฺ ต) ที่ไดใหนิยามการศึกษา หรอื การเรียนรวู าเปน็ การพฒั นาคนใหเป็นมนุษย์ที่สมบรู ณ์๒นอกจากน้ันทานยังไดกลาวอีกวาหมายถึง การเรียนรกู ารฝกึ ฝนการพัฒนาตนการพัฒนาคนใหมีปัญญาที่จะทํากรรมไดถูกตองจึงตองมีการศึกษา ท่ีเรียกวาสิกขาคือตองศึกษาตองเรียนรูตองพัฒนาตนโดยไมประมาทการฝึกฝนแกไขปรับปรุงตนเอง อยูเสมอดังนัน้ การเรยี นรจู งึ เปน็ การกระทําเพ่อื ทําใหเกิดการพัฒนาภายในตัวตนท้ังดานจิตใจ รางกาย สงั คมและสติปัญญาเพื่อใหเป็นบุคลากรที่ดีในองค์การเป็นประชาชนท่ีดีของสังคมทั้งนี้ตลอดชีวิตของ ๑วิชัยตันศิริ, อุดมการณ์ทางการศึกษาทฤษฎีและภาคปฏิบัติ, พิมพ์ครั้งท่ี๒, (กรุงเทพมหานคร : สาํ นกั พิมพแ์ หง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๐), หนา๘. ๒พระราชวรมุนี (ป.อ. ปยุทธ์ปยุตฺโต), ทางสายกลางของการศึกษาไทย, (กรุงเทพมหานคร: อมรนิ ทร์ พรินติง้ กรฟ฿ุ ,๒๕๓๐),หนา๗๐.
๙ มนุษยจ์ ําเปน็ ตองเรยี นรทู ั้งจากธรรมชาติ ภูเขา ตนไม ส่ิงแวดลอม เหตุการณ์ บุคคลรอบขางหรือ แมแตความรูสึกนึกคิดภายในใจของตนเพื่อใหเกิดการพัฒนาใหรูเทาทันและปฏิบัติตนตอโลกธรรม (โลกธรรม๘คือมีลาภสูญเสียมียศเส่ือมยศติเตียนสรรเสริญความสุขและความทุกข์) ไดโดยไมตกเป็น ทาสของโลกธรรม ๘๓ ๒.๑.๑ ความหมายของการเรยี นรู้ การเรียนรูเป็นกระบวนการท่ีซับซอนทั้งนักจิตวิทยาและนักการศึกษา ไดทําการศึกษา คนควาเก่ียวกับคุณลักษณะและธรรมชาติของการเรียนรูแลวทําการนิยามความหมายของการเรียนรู เอาไวม ากมายในท่นี ีจ้ ะขอยกตัวอยางมาเป็นสงั เขปเพ่ือเปน็ แนวทางการหาขอ สรปุ ดงั น้ี โดนัลด์คลาร์ก (Donald Clark) ไดใหความหมายของการเรียนรูไววา การเรียนรู คือ กระบวนการเพ่ิมพูนและปรับแตงศักยภาพของพฤติกรรมท่ีคอนขางถาวร ซ่ึงสามารถวัดได อันเป็น ผลมาจากการไดรับการฝึกฝน การไดรับความรู การฝึกทักษะ การเรียนการสอนและการมี ประสบการณ์มากอน๔ เบอร์ตัน (Burton) ไดใหความหมายของการเรียนรูไววา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึน ในตัวบุคคลและเป็นปฏิสัมพันธ์ (Interaction) เกิดขึ้นจากส่ิงแวดลอม (environment) ซ่ึงจะทําให บุคคลไดตอบสนองความตองการของตนและทําใหสามารถตอสูกับสภาพแวดลอมไดอยางเหมาะสม ตอไป๕ ครอว์และครอว์ (Crow and Crow) ไดใหความหมายของการเรียนรูไววา การเรียนรู เกี่ยวของกับการเปลี่ยนแปลง (change) การไดรับลักษณะนิสัย ความรู และทัศนคติท้ังหลาย การ เรียนรูจึงทําใหบุคคลมีการปรับตัวท้ังในดานสวนตัว และทางดานสังคม การเปล่ียนแปลงใดๆ จึง ยอมจะมีการเรียนรูเกิดขึ้นเสมอ การเปล่ียนแปลงดังกลาวจึงอยูในกระบวนการเรียนรู (Learning Process)๖ แฮร์ริสและชวานส์ (Harris and Schawahn) ไดกลาวถึงความหมายของการเรียนรูไว วา การเรียนรู เปน็ การเปลยี่ นแปลงอนั เนอ่ื งมาจากประสบการณ์ และไดแยกใหเ ห็นถึงประเด็นสําคัญ ๓ ประการที่เกย่ี วขอ งกับการเรียนรู ดงั นี้๗ ๑) การเรียนรูในลักษณะผลผลิต (Learning as Product) โดยเนนใหเห็น ความสาํ คญั ของผลลัพธข์ นั้ สดุ ทา ย นั่นคือผลของการเรียนรู (Outcome of Learning) ซ่ึงไดมาจาก ประสบการณ์ ๓พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม, พมิ พ์คร้ังท๑ี่ ๐, (กรุงเทพมหานคร : บรษิ ัทเอส. อาร์. พรนิ้ ติง้ แมสโปรดกั ส์จํากดั , ๒๕๔๘), หนา๒๙๕-๒๙๗. ๔โดนัลด์คลาร์ก (Donald Clark), อางใน พรพิมล พรพีระชนม์,ดร.การจัดกระบวนการเรียนรู้, (สงขลา :เทมการพมิ พ์สงขลา, ๒๕๕๐), หนา ๓. ๕Burton, อางใน เร่ืองเดียวกัน, หนา ๔. ๖Crow and Crow, อางใน เรื่องเดียวกนั ,หนา ๕. ๗Harris and Schawahn, อา งใน เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา ๕.
๑๐ ๒) การเรยี นรใู นลักษณะกระบวนการ (Learning as Process) โดยเนนความสําคัญ เก่ยี วกบั เหตุการณ์ และกระบวนการท่ีทําใหบุคคลเกิดการเรียนรู หรือสิ่งท่ีเกิดขึ้นระหวางการเรียนรู จนทํากระทั่งทําใหบ ุคคลเกดิ การเรียนรู ๓) ส่งิ ทีก่ อใหเกิดการเรียนรู (Learning as Function) เป็นการศึกษาคนควาเพ่ือหา สาเหตุสําคัญท่ีกอใหเกิดการเรียนรู เชน แรงจูงใจ ความตั้งใจในการเรียนรู หรือการถายโยงการ เรียนรู (Transformation of Learning) สิ่งเหลา น้ีลวนมอี ทิ ธพิ ลตอพฤติกรรมการเรียนรขู องมนุษย์ โรเจอร์ (Roger) ไดกลาวถึงการเรียนรูไววา หมายถึง การเปล่ียนแปลงที่ทําใหไดรับ ความรู ความเขาใจ ท่ีขึ้นอยูกับความสามารถในการจํา และสามารถพิจารณาการเปลี่ยนแปลง ดังกลาวไดใ น ๒ ลกั ษณะ คือ๘ ๑) เป็นการเปลย่ี นแปลงทม่ี ีลกั ษณะเป็นไปโดยอัตโนมัติ (Automatic) ในการเรียนรู ส่ิงใหม โดยเฉพาะการเรียนรูตามอัธยาศัย หรือการเรียนรูอยางไมเป็นทางการซ่ึงเกิดขึ้น โดยท่ี ผูเรียนไมไดต ง้ั ใจ (Unintended Learning) ๒) เป็นการเปล่ียนแปลงโดยตั้งใจและตองใชความพยายาม (Purpose and Effort)ตองมีการวางแผนในการเรียน ทั้งนก้ี ารเปลี่ยนแปลงของการเรียนรูท้ังสองลักษณะจะตองเป็น การเปล่ยี นแปลงท่คี อนขา งถาวร (Permanence changes) วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ไดใหความหมายของการเรียนรูเอาไววา หมายถึง การไดรับ ความรูพฤติกรรมทักษะคุณคา หรือความพึงใจ ท่ีเป็นส่ิงแปลกใหมหรือปรับปรุงส่ิงท่ีมีอยู และอาจ เกยี่ วของกบั การสังเคราะห์สารสนเทศชนดิ ตาง ๆ ผปู ระมวลทักษะของการเรียนรูเป็นไดทั้งมนุษย์สัตว์ และเครื่องจักรบางชนิด ความกาวหนาในการเรียนรูเมื่อเทียบกับเวลามีแนวโนมเป็นเสนโคงแหงการ เรียนรู (learning curve) การเรียนรูของมนุษย์อาจเกิดขึ้นจากสวนหนึ่งของการ ศึกษาการพัฒนา สวนบุคคล การเรียนการสอน หรือการฝึกฝน การเรียนรูอาจมีการยึดเปูาหมายและอาจมีความจูงใจ เป็นตัวชวย การศึกษาวาการเรียนรูเกิดข้ึนไดอยางไรเป็นสวนหน่ึงของสาขาวิชาประสาทจิตวิทยา (neuropsychology)จิตวิทยาการศึกษา (educational psychology)ทฤษฎีการเรียนรู (learning theory) และศกึ ษาศาสตร์(pedagogy) การเรียนรูอาจทําใหเกิดพฤติกรรมการเรียนรู (habituation) หรือการวางเงื่อนไขแบบด้ังเดิม (classical conditioning) ซึ่งพบในสัตว์หลายชนิด หรือทําใหเกิด กิจกรรมท่ีซับซอนมากข้ึนอยางเชนการเลน ซ่ึงพบไดเฉพาะในสัตว์ที่มีเชาวน์ปัญญา การเรียนรูอาจ กอ ใหเกดิ ความตระหนกั อยางมสี าํ นึกหรือไมมีสํานกึ กไ็ ด๙ ในสวนของนักการศกึ ษาในประเทศไทยก็ไดใ หความหมายไวในทาํ นองเดยี วกัน ดังน้ี อารี พันธ์มณี ไดสรุปความหมายของการเรียนเรียนรูไววา การเรียนรู หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิมสูพฤติกรรมใหมท่ีคอนขางถาวร และเป็นผลมาจาก ๘โรเจอร์ (Roger), อางในศิริบูรณ์ สายโกสุม,รศ.ดร., จิตวิทยาการศึกษา, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร : สาํ นักพิมพ์มหาวทิ ยาลยั ราคําแหง, ๒๕๔๒), หนา ๑๒๙. ๙อาสาสมัครผูเขียนวิกิพีเดีย,ทฤษฎีการเรียนรู้. [ออนไลน์],แหลงท่ีมา; http://th.wikipedia.org/wiki/ [๒ พ.ย.๒๕๕๗].
๑๑ ประสบการณ์ หรือการฝึกฝน มิใชเป็นผลจากการตอบสนองตามธรรมชาติ สัญชาตญาณ วุฒิภาวะ พิษยาตาง ๆ อุบตั ิเหตหุ รอื ความบังเอิญ๑๐ พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข ไดกลาวถึงการเรียนรูไววา หมายถึงการมี ความรูความสามารถ ทักษะและความประพฤติชอบของผูเรียน ซ่ึงเป็นการเปล่ียนแปลงพฤติกรรม ผูเรียนโดยใชก ระบวนการเรียนรูท่ีมคี รูเป็นผจู ัดประสบการณเ์ รยี นรใู ห๑๑ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ไดใหความหมายของการเรียนรูไววา หมายถึง กระบวนการเรยี นรูเพื่อความเจรญิ งอกงามของบคุ คลและสังคมโดยการถายทอดความรูการ ฝกึ การอบรม การสบื สานทางวฒั นธรรม การสรางสรรค์จรรโลงความกาวหนาทางวิชาการ การสราง องค์ความรูอันเกิดจากการจัดสภาพแวดลอม สังคม การเรียนรูและปัจจัยเกื้อหนุนใหบุคคลเรียนรู อยางตอ เนอ่ื งตลอดชีวติ ๑๒ พิมล พรพีระชนม์ ไดใหความหมายของการเรียนรูไววา การเรียนรูเป็นกระบวนการ อันซับซอนท่ีทําใหพฤติกรรมของบุคคลเปลี่ยนแปลงไปอันเนื่องมาจากประสบการณ์ที่ไดรับผาน ประสาทสัมผัส สามารถเกิดข้ึนไดโดยต้ังใจและไมต้ังใจ ท้ังน้ีผลของการเรียนรูจะกอใหเกิดการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมใน ๓ ดาน คือ ดานความรู (Knowledge) ดานทักษะหรือกระบวนการ (Skill Process) และดา นความรสู กึ (Affective)๑๓ กลาวโดยสรุป การเรียนรู หมายถึง กระบวนการที่ทําใหคนเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ความคิด ซึ่งเกิดจากการดู ไดยิน ดมกล่ิน ล้ิมรส สัมผัส การอาน การนึกคิด การใชเทคโนโลยี การเรียนรูของเด็กและผูใหญจะตางกัน เด็กจะเรียนรูดวยการเรียนในหอง การซักถาม ผูใหญมัก เรียนรูดวยประสบการณ์ท่ีมีอยู แตการเรียนรูจะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ท่ีผูสอนนําเสนอ โดยการ ปฏิสัมพันธ์ระหวางผูสอนและผูเรียน ผูสอนจะเป็นผูท่ีสรางบรรยากาศทางจิตวิทยาท่ีเอื้ออํานวยตอ การเรียนรทู จี่ ะใหเ กดิ ข้ึนเป็นรูปแบบใดก็ได เชน ความเป็นกันเอง ความเขมงวดกวดขันหรือความไม มีระเบียบวินัย สิ่งเหลาน้ีผูสอนจะเป็นผูสรางเง่ือนไขและสถานการณ์การเรียนรูใหกับผูเรียน ดังนั้น ผูสอนจะตองพิจารณาเลือกรปู แบบการสอน รวมทั้งการสรา งปฏสิ ัมพันธ์กบั ผูเรยี น ๑๐อารี พันธม์ ณ,ี จิตวทิ ยาการเรียนการสอน, พิมพ์คร้ังที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร : สํานักพิมพ์ตนออ, ๒๕๔๔), หนา ๑๙. ๑๑พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์และพเยาว์ ยินดีสุข,ทักษะ ๕ C เพ่ือการพัฒนาหน่วยการเรียนรู้และการ จัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการ,พิมพ์คร้ังที่ ๓,(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แหงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๙),หนา ๗๕. ๑๒สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหงชาติ สํานักนายกรัฐมนตรี,พระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ และทแ่ี ก้ไขเพม่ิ เติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๕,(กรุงเทพมหานคร: บริษัท พริกหวานกราฟฟิค จาํ กดั ,๒๕๔๕),หนา ๒. ๑๓พรพิมล พรพีระชนม์, การจัดกระบวนการเรียนรู้, (สงขลา :เทมการพิมพ์สงขลา, ๒๕๕๐), หนา ๓๓.
๑๒ ๒.๒ ทฤษฎเี กี่ยวกบั การเรียนรู้ ทฤษฎีการเรยี นรู (Learning theory) เปน็ กรอบงานวิจยั ที่จัดระบบของความรูหรือขอมูล และเหตุการณ์เรียนรูท่ีซับซอน ซ่ึงเป็นการจัดระบบใหมของประสบการณ์เดิมท่ีมีมากอน หรือเป็น หลักการของการเกิดการเรียนรูสามารถทําการทดสอบได สามารถนําอางอิงถึงเหตุการณ์และ ประยกุ ต์ใหเขากับสภาพแวดลอมตาง ๆ ที่กอใหเกิดการเรียนรู ทฤษฎีการเรียนรูมีพัฒนาการมาจาก ทฤษฎีจิตวทิ ยา ซงึ่ มกี ารศึกษาทดลองเริ่มตัง้ แตตน ศตวรรษท่ี ๒๐ เป็นตน มา ในชว งครสิ ตส์ ตวรรษที่ ๒๐ มีนกั คดิ และนกั จิตวทิ ยาเกิดขึน้ จํานวนมาก และแนวคิดเริ่ม มีความหลากหลายขึ้น ทฤษฎีการเรียนรูในจุดน้ีเริ่มมีลักษณะของความเป็น วิทยาศาสตร์มากขึ้นมี การนําแนวทางการทดลองตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มาใชมากขึ้นเป็นลําดับ สามารถ จัดเปน็ กลมุ ทฤษฎีการเรยี นรใู นยุคน้ี ออกเป็น ๔ กลมุ ใหญ ๆ ดงั น้ี ๑. ทฤษฎีการเรียนรูกลุมพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) นักคิดในกลุมนี้มอง ธรรมชาติมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลางคือ ไมดี ไมเลว (Neutral-active) การกระทําตาง ๆ ของ มนษุ ยเ์ กิดจากอทิ ธิพลของส่งิ แวดลอมภายนอก พฤตกิ รรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองตอส่ิงเรา (Stimulus-Response) การเรียนรูเกิดจากการเช่ือมโยงระหวางสิ่งเราและการตอบสนองกลุม พฤตกิ รรมนิยมใหความสนใจกับ”พฤติกรรม” มากเพราะพฤติกรรมเป็นสิงท่ีเห็นไดชัดเจน สามารถ วัดไดและทดสอบได เปูาหมายหลักของนักพฤติกรรมนิยม คือ การคนหาและระบุถึงกฎท่ีสามารถ ควบคุมการเรียนรู โดยใหความสุขใจตอความสัมพันธ์ระหวาง ส่ิงเราและการตอบสนอง ซึ่งส่ิงเรา (Stimulus) หมายถงึ เหตกุ ารณห์ รอื สง่ิ ใด ๆ ท่ีสามารถรับรูไดโดยผานอวัยวะรับสัมผัสของบุคคลสวน การตอบสนอง (Response) หมายถึงการทบี่ คุ คลแสดงอาการโตต อบตอสง่ิ เราท่รี ับรู๑๔ ๒. ทฤษฎีการเรียนรูของกลุมพุทธินิยม (Cognitive) นักคิดในกลุมพุทธินิยม หรือ กลุมความรูความเขาใจ หรือกลุมที่เนนกระบวนการทางปัญญา หรือความคิด นักคิดกลุมนี้เร่ิม ขยายขอบเขตของความคิดที่เนนทางดานพฤติกรรมออกไปสูกระบวนการทางความคิด ซ่ึงเป็น กระบวนการภายในของสมอง โดยเช่ือวาการเรียนรูของมนุษย์ไมใชเร่ืองของพฤติกรรมท่ีเกิดจาก กระบวนการตอบสนองตอส่ิงเราเพียงเทานั้น การเรียนรูของมนุษย์ มีความซับซอนย่ิงไปกวาน้ัน การเรียนรูเป็นกระบวนการทางความคิดท่ีเกิดจากการสะสมขอมูล การสรางความหมาย สราง ความสัมพนั ธข์ องขอมลู และการดึงขอมลู ออกมาใชในการกระทําและการแกปัญหาตางๆ การเรียนรู เป็นกระบวนการทางสติปัญญา ของมนษุ ยใ์ นการที่จะสรางความรคู วามเขาใจใหแกต นเอง๑๕ ๓. ทฤษฎีการเรียนรูกลุมมนุษยนิยม(Humanism) นักคิดกลุมมนุษยนิยมให ความสําคัญของความเป็นมนุษย์ และมองมนุษย์วามีคุณคามีความดีงาม มีความสามารถ มีความ ตองการและมีแรงจูงใจภายในท่ีจะพัฒนาศักยภาพของตนหากบุคคลไดรับอิสรภาพและเสรีภ าพ มนษุ ยจ์ ะพยายามพฒั นาตนเองไปสูความเปน็ มนุษย์ทสี่ มบูรณ์๑๖ ๑๔ศรเี รือน แกวกงั วาล,ดร. จิตวิทยาพัฒนาการชีวิตทุกช่วงวัย, พิมพ์ครั้งท่ี ๗, (กรุงเทพมหานคร: สํานกั พมิ พม์ หาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์ ๒๕๔๐), หนา ๔๗. ๑๕ศริ ิบรู ณ์ สายโกสุม,รศ.ดร. จิตวิทยาการศกึ ษา, หนา ๘๙. ๑๖เร่ืองเดยี วกัน, หนา ๑๒๙.
๑๓ ๔. ทฤษฎีการเรียนรูกลุมผสมผสาน (Eclecticism) กลุมนี้จะผสมผสานแนวคิด ระหวางพฤติกรรมนิยมและพุทธินิยม (Behavior Cognitive) โดยอาศัยทฤษฎีและหลักการที่ หลากหลายของท้ังสองแนวคิด เชน แนวคิดของกานเย เป็นตน โดยกานเย เช่ือวาความรูสึกมีส่ิง หลายประเภท บางประเภทสามารถเขาใจ ไดอยางรวดเร็ว โดยไมตองใชความคิดท่ีลึกซ้ึงบางประเภท มีความซบั ซอ นมากจาํ เปน็ ตอ งใชค วามสามารถในช้ันสูง กานเย ไดจัดลําดับขั้นการเรียนรูซ่ึงเร่ิมจาก งายไปหายาก โดยผสมผสานทฤษฎกี ารเรยี นรูของกลุมพฤตกิ รรมนิยม และพทุ ธินยิ มเขาดว ยกนั ๑๗ โดยสรุปแลวนักจิตวิทยาทั้ง ๔ กลุมตางมีจุดมุงหมายเดียวกันคือการพัฒนามนุษย์ ซึ่ง สอดคลองหลักการศึกษาในพระพุทธศาสนา คือ ไตรสิกขา กลาวคือการจัดการส่ิงแวดลอมใหเอ้ือตอ การจัดการเรียนการสอน ฝึกฝนอบรมจิตใจใหสงบเหมาะควรแกการใชงานและพัฒนาใหเกิดปัญญา รูเ ทา ทนั ปญั หา สามารถเผชญิ ปัญหาไดอยางมสี ติและเป็นสุข สรปุ ทฤษฎีการเรยี นรู้ กลุม พฤติกรรมนยิ ม ความรเู กิดจากสง่ิ แวดลอ ม ภายนอกและตอบสนองสงิ่ เรา กลมุ พุทธินยิ ม เนนความรคู วามเขาใจและ กระบวนการทางปญั ญา ทฤษฎกี ารเรียนรู้ กลมุ มนษุ ยนิยม มนุษย์มคี ุณคามีความดี ความสามารถและความตองการในการพัฒนา ตนเอง กลมุ ผสมผสานท้งั ๓ ทฤษฎี ดังกลา วแลว ในการ เรยี นรู ภาพท่ี ๓.๙ สรปุ ทฤษฎกี ารเรียนรู ๒.๓.๑ ทฤษฎกี ารเรยี นรแู้ ละหลกั การจัดการการเรยี นรู้ แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรูท่ีเกิดขึ้นตั้งแตอดีตถึงปัจจุบันลวนเป็นการเสนอมุมมอง เก่ียวกับการเรียนรูท่ีสามารถอางอิง ตรวจสอบไดดวยหลักการและเหตุผล และสามารถประยุกต์ใช ๑๗รังสรรค์ บุษยะมา,ผศ. การจัดการการเรียนรู้,(กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยราชภัฎธนบุรี, ๒๕๕๐),หนา ๓๖.
๑๔ ไดไมยากนักผูเขียนไดรวบรวมทฤษฎีการเรียนรูที่เกิดขึ้นในชวงคริสต์ศตวรรษท่ี ๒๐ และเห็นวา สามารถนําแนวคิดจากทฤษฎีไปประยุกต์สูหลักการจัดการการเรียนรูไดอยางมีความหมายท้ัง ตอ ผเู รียนและผูส อน ดังน้ี ๑. ทฤษฎีการเช่ือมโยงของธอร์นไดค์(Thorndike’s Connectionism Theory)๑๘ ธอร์นไดค์ (Thorndike) เป็นนักจิตวิทยาในกลุมพฤติกรรมนิยมมีความเชื่อวาการ เรียนรูเกิดจากการเช่ือมโยงระหวางสิ่งเรากับการตอบสนอง ซึ่งมีหลายรูปแบบ บุคคลมีการลองผิด ลองถูก (Trial and Error) ปรับเปล่ียนไปเร่ือย ๆ จนกวาจะพบวิธีท่ีดี และเหมาะสมท่ีสุดในการ แกปัญหาและเป็นการตอบสนองท่ีสามารถใหผลที่พึงพอใจมากที่สุด เมื่อเกิดการเรียนรูแลวบุคคลจะ ใชรูปแบบการตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปเดียวและจะพยายามใชรูปแบบนั้นเชื่อมโยงกับส่ิงเราใน การเรียนรูต อ ไปเร่ือย ๆ กฎการเรียนของธอรน์ ไดค์ (Thorndike) สรุปไดดังน้ี ๑) กฎแหงผลลัพธ์ (Law of Effect) ระบวุ า การรูผลของการกระทําที่ไดปฏิบัติ ไปแลวจะกอใหเกิดผลดีตอการเรียนรู โดยเฉพาะการเรียนโดยวิธีการลองผิดลองถูก เมื่อบุคคลไดรับผล จากการกระทําของตนในลักษณะที่ตนเองพึงพอใจ โดยเฉพาะการไดรับรางวัล ยอมอยากจะเรียนรูตอไป แตถา ไดรับผลท่ีไมพ งึ พอใจกจ็ ะทาํ ใหไ มอยากเรยี นรูอกี ดงั นน้ั การไดรับผลท่ีพึงพอใจจึงเป็นปัจจัยสําคัญ ในการเรยี นรู ๒) กฎแหงความพรอม (Law of Readiness) เป็นส่ิงท่ีเกี่ยวของสัมพันธ์กับ สภาพแวดลอมท่ีจะทําใหผูเรียนมีความพึงพอใจ การเรียนรูจะเกิดข้ึนไดดีถาผูเรียนมีความพรอมทั้ง ทางรา งกายและจติ ใจ ๓) กฎแหงการฝึกหัด (Law of Exercise) การกระทําและการปฏิบัติจริง ของผูเรียนเป็นกระบวนการที่จะทําใหเกิดความเขมแข็ง การฝึกหัดหรือกระทําบอย ๆ ดวยความ เขา ใจจะทําใหการเรียนรูน้ันคงทนถาวร ถาไมไดฝึกหรือกระทําซํ้าบอย ๆ การเรียนรูนั้นจะไมคงทน ถาวร และในท่สี ดุ อาจลมื ได จากแนวคิดทฤษฎีการเช่ือมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike) สามารถสรุปหลักการ จดั การการเรียนรไู ดดังน้ี ๑) การเรียนรูเกิดข้ึนไดตองอาศัยท้ังการฝึกหัดและการไดรับรางวัลการเปิด โอกาสใหผูเรียนไดเรียนแบบลองผิดลองถูกบาง (ในสถานการณ์ท่ีเหมาะสม) จะชวยใหผูเรียนเกิดการ เรียนรูวิธีการแกปัญหา จดจําการเรียนรูไดดี และเกิดความภาคภูมิใจในการที่ไดทําส่ิงตาง ๆ ดวย ตนเอง ๒) การสํารวจความพรอ มหรอื การเตรยี มความพรอมใหกับผูเรียนเป็นส่ิงจําเป็นที่ ตอ งกระทํากอนการสอนบทเรียน เชน การสํารวจความรูพื้นฐานเพื่อดูวาผูเรียนมีความพรอมที่จะเรียน บทเรียนตอ ไปหรือไม ๑๘ธอร์นไดค์ (Thorndike) อางใน พรพิมล พรพีระชนม์,ดร.การจัดกระบวนการเรียนรู้, หนา ๓๖.
๑๕ ๔) หากตองการใหผูเรียนมีทักษะในเรื่องใดจะตองชวยใหผูเรียนเกิดความเขาใจ ในเรือ่ งนนั้ อยา งแทจ รงิ กอน แลวจึงใหฝึกฝนโดยการกระทําส่ิงนั้นบอย ๆ แตไมควรใหกระทําในลักษณะ ซ้ําซากเพราะจําทําใหผเู รียนเกดิ ความเบื่อหนา ยได ๕) การใหผูเรียนไดรับรูผลของการกระทําท่ีไดปฏิบัติไปแลว โดยเฉพาะผลท่ีตน พึงพอใจจะชวยใหก ารเรยี นรปู ระสบผลสําเร็จ การศึกษาวาสงิ่ ใดเป็นส่ิงเราหรือรางวัล ท่ีผูเรียนพึงพอใจ จึงเป็นส่ิงสาํ คญั ทจ่ี ะชว ยใหผ เู รียนเกิดการเรยี นรูอยางมีความหมาย ๒. ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของสกินเนอร์ (Skinner’s Operant Conditioning theory) สกินเนอร์( Skinner ) เป็นนักจิตวิทยากลุมพฤติกรรมนิยมไดทําการทดลองเก่ียวกับ การเสริมแรงโดยนําหนูทีหิวจัดใสกลอง ภายในมีคานบังคับใหอาหารตกลงไปในกลองได ตอนแรกหนู จะว่ิงชนตามจุดตาง ๆ ในกลอง เม่ือชนถูกคานจะมีอาหารตกมาใหกิน ทําหลาย ๆ คร้ัง พบวาหนูจะ กดคานทาํ ใหอ าหารตกลงไปไดเรว็ ข้ึน๑๙ แนวคิด ทฤษฎีการเรยี นรขู้ องสกนิ เนอร์ ( Skinner ) ๑) พฤติกรรมหรือการกระทําใด ถาไดระบบการเสริมแรงจะมีแนวโนมท่ีจะ เกิดข้นึ อกี สว นการกระทาํ ทไ่ี มม ีการเสริมแรง แนวโนม ความถ่ีของการกระทํานั้นจะลดลงและหายไป ๒) การเสริมแรงท่ีแปรเปล่ียนทําใหเกิดการตอบสนองคงทนกวาการเสริมแรงที่ ตายตัว(จากการทดลองโดยเปรียบเทียบหนูท่ีหิวจัด ๒ ตัว ตัวหน่ึงกดคานจะไดอาหารทุกครั้ง อีกตัว หนง่ึ เม่ือกดคานบางทกี ไ็ ดอาหาร บางทกี ไ็ มไ ดอาหารแลวหยุดใหอาหารตัวแรกจะเลิกกดคานทันที่ ตัวท่ี ๒ จะยังกดตอไปอีกนานกวาตวั แรก) ๓) การลงโทษทําใหเรียนรูไดเร็วและลืมเร็ว (จากการทดลองโดยนําหนูท่ีหิวจัด ใสกรงแลวใชไฟฟูาช฿อตหนูจะวิ่งพลานจนออกมาได เม่ือจับหนูใสเขาไปใหมมันจะวิ่งพลานอีก จําไมได วา ทางไหนคือทางออก) ๔) การใหแรงเสริมหรือใหรางวัลเม่ืออินทรีย์การะทําพฤติกรรมท่ีตองการ สามารถชวยปรับปรือปลูกฝังนิสัยท่ีตองการได (จากการทดลองโดยสอนใหหนูเลนบาสเกตบอลเร่ิมจาก การใหอาหารเม่ือหนูจับลูกบาสเกตบอล จากนั้นเมื่อมันโยนจึงใหอาหาร ตอมาเม่ือโยนสูงข้ึนจึงให อาหารในท่ีสุดตองโยนเขาหวงจึงใหอาหาร การทดลองน้ีเป็นการกําหนดใหหนูแสดงพฤติกรรมตารมท่ี ตอ งการ กอนจงึ ใหแรงเสริมวธิ นี ้สี ามารถดัดนสิ ยั หรือปรบั เปล่ยี นพฤติกรรมได) หลักการจัดการการเรยี นรู้ตามแนวคิด ทฤษฎีการเรียนรขู้ องสกนิ เนอร์ ( Skinner ) ๑) ในการจัดการการเรียนรูการใหการเสริมแรงภายหลังการตอบสนองท่ี เหมาะสมของผเู รยี นจะชวยเพิม่ อัตราการตอบสนองที่เหมาะสมน้ัน ๒) การเวนระยะการเสริมแรงอยางไมเป็นระบบ หรือเปล่ียนรูปแบบการ เสริมแรงจะชวยใหการตอบสนองของผูเรียนคงทนถาวร เชน ถาผูสอนชมวา “ดีมาก” ทุกคร้ังที่ ผูเรียนตอบถูกอยางสมา่ํ เสมอ ผเู รยี นจะเห็นความสําคัญของแรงเสริมนอยลง ผูสอนควรเปล่ียนเป็นแรง เสริมแบบอ่นื บาง เชน ยิ้ม พยกั หนา หรอื บางคร้งั อาจไมใ หแรงเสริม ๑๙สกินเนอร์( Skinner ) อางใน ศิริบูรณ์ สายโกสุม,รศ.ดร. จิตวิทยาการศึกษา, หนา ๑๐๗ – ๑๑๕.
๑๖ ๓) การลงโทษที่รุนแรงเกินไปผลเสียมาก ผูเรียนอาจไมไดเรียนรูหรือจําส่ิงท่ี เรียนไดเลยควรใชวิธีการงดการเสริมแรงเม่ือผูเรียนมีพฤติกรรมไมพึงประสงค์ เชน การใชถอยคําไม สุภาพของผูเรียน แมไดบอกและตักเตือนแลวก็ยังใชอีก ผูสอนควรงดการตอบสนองตอพฤติกรรมนั้น เมื่อไมมีใครตอบสอนง ผูเ รียนจะหยุดพฤตกิ รรมน้ันไปในทส่ี ุด ๓. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ทางสังคม (Social learning Theory) แนวคดิ ทฤษฎกี ารเรียนรูทางสังคม บุคคลท่ีไดชื่อวาเป็นผูศึกษาคนควาเกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนรูทางสังคมในระยะแรก คือ มิลเลอร์และ ดอลาร์ด (Miller and Dillard) ทั้งสองทานไดเขียนหนังสือชื่อ “Social Learning and Lmitation” ในปี ๑๙๔๑ โดยช้ีใหเห็นวามีความจําเป็นเสมอไปท่ีจะตองเสริมแรงพฤติกรรม เพอ่ื ใหเ ด็กแสดงพฤติกรรมท่ีเหมาะสม โดยแนะนําวา การเสริมแรงและการเรียนรูสามารถเกิดข้ึนในตัว เด็กเองได เมือ่ พฤติกรรมของเดก็ สอดคลอ งกับพฤตกิ รรมของคนอื่น แบนดูรา (Bandura) เป็นอีกผูหนึ่งท่ีสนับสนุนแนวคิด ทฤษฎีการเรียนรูทางสังคม ไดเสนอนิยามของทฤษฎีในหนังสือ “Social Foundations of Thought and Action” ในปี ๑๙๖๘ โดยไดอธิบายการสังเกตและการเปลี่ยนแบบพฤติกรรมของตัวแบบดวย ๔ การะบวนการ คือ ความใสใจ (Attention) การจดจํา (Motivation) ซ่ึงเป็นแรงเสริมท่ีมาจากบุคคลใดบุคคลหน่ึง โดยตรงหรอื จากการคาดหวังวา จะไดร ะบบรางวลั เหมือนตวั แบบ๒๐ หลักการจัดการการเรียนรูต้ ามแนวคดิ ทฤษฎีการเรยี นรทู้ างสังคม ๑) เนื่องจากการเรียนรูโดยการสังเกตของผูเรียนอาจเกิดขึ้นไดตลอดเวลาใน ชีวิตประจําวันดังน้ัน ผูเก่ียวของและผูสอนควรพยายามสงเสริมใหมีตัวแบบที่ดี รวมทั้งการเป็นตัว แบบทด่ี ีดวย ๒) ผสู อนสามารถนาํ แนวคิดการเรียนรูโดยการเรียนแบบมาประยุกต์ใชในการ จัดกิจกรรมการเรียนรูได โดยยึดหลักการเรียนรูท่ีสําคัญ ๒ ขั้นคือ (๑) ข้ันการไดมาซ่ึงความรูใน ข้ันนี้ผูเรียนจะตองใสใจ (Attention) รับรูสิ่งที่สังเกตและประมวลเขารหัส(Coding) และมีความ จดจํา (Retention) และ (๒) ข้ันการการะทํา ในขั้นน้ีผูเรียนตองลงมือการะทําดวยตนเอง ดังน้ันกอนท่ีผูสอนจะเริ่มสอนตองเตือนใหผูเรียนมีความใสใจ สังเกตทุกข้ันตอนการสอน เพ่ือให ผูเรียนสามารถเลียนแบบไดถ กู ตอ ง ๓) ตัวแบบที่ใชไมควรจํากัดอยูเฉพาะผูสอน สมารถใชตัวแบบจากแหลงอ่ืน ๆ เชนผูเรียน ปราชญ์ชาวบาน บุคคลในภาพยนตร์ โทรทัศน์ หนังสือ หรืออื่น ๆ ท่ีมีความ เหมาะสม ๔. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์(Piage’s Cognitive Development Theory) เพียเจต์ (Piaget) เป็นนักจิตวิทยากลุมพุทธินิยม ไดศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการ ทางดา นความคิดของเด็กวามีข้ันตอนหรือกระบวนการอยางไร โดยไดอธิบายวา การเรียนรูของเด็ก ๒๐แบนดูรา (Bandura) อางในพรรณีช.เจนจิต,จิตวิทยาการเรียนการสอน,พิมพ์คร้ังที่๔, (กรงุ เทพมหานคร : ตน ออ แกรมม่ี, ๒๕๓๘), หนา ๓๓๖.
๑๗ เป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซ่ึงจะพัฒนาการไปตามวัยตาง ๆ เป็นลําดับข้ัน พัฒนาการ เปน็ ส่งิ ทีเ่ ปน็ ไปตามธรรมชาติ ไมควรทีจ่ ะเรงเดก็ แตการจัดประสบการณ์สงเสริมพัฒนาการของเด็ก ในชวงท่ีเด็กในชวงที่เด็กกําลังพัฒนาไปสูข้ันที่สูงกวา สามารถชวยใหเด็กพัฒนาไปอยางรวดเร็วได อยางไรก็ตาม เพียเจต์ (Piaget)เนนความสําคัญของการเขาใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็ก มากกวากระตุนเดก็ ใหมพี ัฒนาการที่เร็วข้ึน๒๑ แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) มี สาระสําคญั ท่สี รุปไดดงั นี้ ๑) พัฒนาการทางสตปิ ัญญาของบคุ คลเป็นไปตามวยั ตา ง ๆ เป็นลาํ ดับขัน้ ดังนี้ (๑) ข้ันรับรูดวยประสาทสัมผัส (Sensor motor Period) เป็นลําดับ ขั้นพฒั นาการในชวงอายุ ๐-๒ ปี ความคิดของเด็กจะขึ้นกับการรับรูการกระทํา เด็กยึดตัวเองเป็น ศูนย์กลางและยังไมสามารถเขาใจความคิดเห็นของผูอ่ืน (๒) ขั้นกอนปฏิบัติการคิด (Preoperational Period) เป็นข้ันพัฒนาการ ในชวงอายุ ๒-๗ ปี ความคิดของเด็กวัยนี้ยังขึ้นอยูกับการรับรูเป็นสวนใหญยังไมสามารถที่จะใช เหตผุ ลอยา งลกึ ซ่ึงแตสามารถเรียนรูและใชสัญลักษณ์ได การใชภาษาแบงเป็นขั้นยอม ๆ ๒ ข้ัน คือ ขนั้ กอนเกดิ ความคิดรอบยอด (Pre-Conceptual Intellectual ) เป็นขน้ั พฒั นาการในชวงอายุ ๒- ๔ ปี และขั้นการคิด ดวยความเขาใจของตนเอง (Intuitive Thinking Period) เป็นพัฒนาการ ในชว งอายุ ๔-๗ ปี (๓) ขั้นการคิดแบบรูปธรรม (Concrete Operational Period)เป็นขั้น พัฒนาการในชวงอายุ ๗-๑๑ ปี เป็นขั้นท่ีการคิดของเด็กไมขึ้นกับการรับรูจากรูปรางเทาน้ันเด็ก สามารถสรางภาพในใจและสามารถคิดยอนกลับได และมีความเขาใจเก่ียวกับความสัมพันธ์ของ ตัวเลขและสงิ่ ตาง ๆ ไดมากขึน้ (๔) ข้ันการคิดแบบนามธรรม (Formal Operational Period ) เป็นข้ัน พัฒนาการในชวงอายุ ๑๑-๑๕ ปี เด็กสามารถคิดส่ิงท่ีเป็นนามธรรมไดและสามารถคิดตั้งสมติฐาน และใชก ระบวนการทางวิทยาศาสตรไ์ ด ๒) ภาษาและกระบวนการการคดิ ของเด็กแตกตา งจากผูใหญ ๓) กระบวนการทางสติปัญญามีลักษณะดังน้ี (๑) การซึมซับหรือการดูดซึม (Assimilation) เป็นกระบวนการทาง สมองในการรบั ประสบการณ์ เรือ่ งราว และขอ มูลตาง ๆ เขา มาสะสมเกบ็ ไวเ พอ่ื ใชประโยชนต์ อ ไป (๒) การปรับและจัดระบบ (Accommodation) คือ กระบวนการทาง สมองในการปรบั ประสบการณ์เดมิ และระสบการณ์ใหมใหเขากันเป็นระบบ หรือเครือขายทางปัญญา ทต่ี นสามารถ เขา ใจได เกิดเป็นโครงสรา งทางปัญญาข้ึนใหม (๓) การเกดิ ความสมดุล (Equilibration) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจาก ขั้นของการปรับหากการปรับเป็นไปอยางผสมผสานกลมกลืนก็จะกอใหเกิดสภาพที่มีความสมดุลขึ้น ๒๑เพียเจต์ (Piaget) อางในทิศนาแขมมณี,ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการ เรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ,พิมพ์ครั้งที่๓,(กรุงเทพมหานคร: สํานักพิมพ์แหงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๔๗), หนา ๖๔.
๑๘ หากบุคคลไมสามารถปรับประสบการณ์ใหมและประสบการณ์เดิมใหเขากันได ก็จะกอใหเกิดภาวะ ความไมส มดลุ ข้นึ ซ่งึ จะกอใหเ กดิ ความขดั แยงทางปญั ญาขึ้นในตัวบุคคล หลักการจัดการการเรียนรู้ตามแนวคิดพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget) ๑) ในการพัฒนาผูเรียน ควรคํานึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญา และจัด ประสบการณ์ใหผูเรียนอยางเหมาะสมกับพัฒนาการน้ัน ไมควรบังคับใหเรียนในสิ่งที่ยังไมพรอมหรือ ยากเกนิ พฒั นาการตามวัย เพราะจะกอใหเกิดเจตคตทิ ไี่ มด ีได ๒) การจัดสภาพแวดลอมที่เอ้ือใหผูเรียนเกิดการเรียนรูตามวัยสามารถชวยให เด็กพฒั นาไปสพู ฒั นาการข้นั สูงได ๓) ผูเรียนแตละคนมีพัฒนาการแตกตางกัน ถึงแมอายุจะเทากัน แตระดับ พัฒนาการอาจไมเทากัน ดังน้ันจึงไมควรเปรียบเทียบผูเรียนควรใหมีอิสระท่ีจะเรียนรูและพัฒนา ความสามารถไปตามระดบั พฒั นาการ ๔) ในการจัดการการเรียนรูควรใชสิ่งท่ีเป็นรูปธรรม เพื่อชวยใหเด็กเขาใจ ลักษณะตา ง ๆ ไดดีข้ึน แมในพัฒนาการชวงการคิดแบบรูปธรรม ผูเรียนจะสามารถสรางภาพในใจ ได แตการสอนทใี่ ชอปุ กรณ์ ท่ีเป็นรปู ธรรมจะชว ยใหผเู รยี นเขา ใจชัดเจนข้นึ ๕) การใหความสนใจและสังเกตผูเรียนอยางใกลชิด จะชวยใหไดทราบ ลกั ษณะเฉพาะตวั ของผเู รียนแตล ะคน ๖) ในการสอนผูเรียนท่ีเป็นเด็กเล็ก ๆ ควรตระหนักวาเด็กจะรับรูสวนรวม (Whole) ไดด ีกวาสว นยอ ย (Part) ดังน้ันผสู อนจึงควรสอนภาพรวมกอนแลว จงึ แยกสอนทีละสวน ๗) ในการสอนส่ิงใด ๆ ควรเร่ิมจากสิ่งท่ีผูเรียนคุนเคยหรือมีประสบการณ์มา กอนแลวจึงเสนอส่ิงใหมที่มีความสัมพันธ์กับส่ิงเกา การทําเชนน้ีจะชวยใหกระบวนการซึมซับและ จดั ระบบความรขู องเด็กเป็นไปดวยดี ๘) การเปิดโอกาสใหผูเรียนไดรับประสบการณ์ และมีปฏิสัมพันธ์กับ ส่ิงแวดลอมมาก ๆ ชวยใหเด็กดูดซึมขอมูลเขาสูโครงสรางทางสติปัญญาของเด็กอันเป็นการสงเสริม พัฒนาทางสติปัญญาของเดก็ ๕. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์ (Bruner’s Cognitive Development Theory) บรุนเนอร์ (Bruner) เป็นนักจิตวิทยากลุมพุทธินิยมท่ีสนใจและศึกษาเรื่องของ พัฒนาการทางสติปัญญาตอเน่ืองจากเพียเจต์และบรุนเนอร์เช่ือวามนุษย์เลือกท่ีจะรับรูสิ่งที่ตนเอง สนใจและการเรียนรูเกดิ จากกระบวนการคนพบดวยตนเอง (Discovery Learning) แนวคิดที่สําคัญ ๆ ของ บรนุ เนอร์มีดังนี้ ๒๒ แนวคิด ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์(Bruner ‘ s Theory of Development) ๒๒บรุนเนอร์ (Bruner) , อางใน เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา ๖๖.
๑๙ ๑) การจัดโครงสรางของความรูใหมีความสัมพันธ์ และสอดคลองกับ พฒั นาการทางสติปญั ญาของผเู รยี น มผี ลตอ การเรยี นรูข องผเู รียน ๒) การจัดหลักสูตรและการเรียนการสอนใหเหมาะสมกับระดับความพรอม ของผูเรียนและสอดคลองกับพัฒนาการทางสติปัญญาของผูเรียนจะชวยใหการเรียนรูเกิด ประสิทธภิ าพ ๓) การคิดแบบหยั่งรู (Intuition) เป็นการคิดหาเหตุผลอยางอิสระที่สามารถ ชว ยพฒั นาความคิดรเิ รมิ่ สรางสรรคไ์ ด ๔) แรงจูงใจภายในเป็นปัจจัยสําคัญท่ีจะชวยใหผูเรียนประสบผลสําเร็จในการ เรียนรู ๕) ทฤษฎีพฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของมนุษย์แบง ได เปน็ ๓ ขนั้ ใหญ ๆ คอื (๑) ทฤษฎีการเรียนรูจากการกระทํา (Enactive Stage) คือ ขั้นของ การเรียนรจู ากการใชประสาทสมั ผสั รบั รูสิ่งตาง ๆ การลงมือกระทําชวยใหผูเรยี นเกิดการเรียนรูไ ดดี (๒) ขั้นการเรียนรูจากความคิด (Iconic Stage) เป็นข้ันที่ผูเรียน สามารถ สรางมโนภาพในใจได และสามารถเรียนรจู ากภาพแทนของจริงได (๓) ขนั้ การเรียนรูสัญลักษณ์และนามธรรม (Symbolic Stage) เป็นขั้น การเรยี นรู สง่ิ ท่ีซับซอนและเปน็ นามธรรมได (๔) การเรียนรูเกิดขึ้นไดจากการที่ผูเรียนสามารถสรางความคิดรวบยอด หรือสามารถจดั ประเภทของสิ่งตาง ๆ ไดอยางเหมาะสม (๕) การเรียนรูท่ีไดผลดีที่สุด คือการใหผูเรียนคนพบการเรียนรูดวย ตนเอง (Discovery Learning) หลักการจดั การการเรียนรู หลักการจัดการการเรียนรู้ตามแนวคิดพัฒนาการทางสติปัญญาของบรุนเนอร์ (Bruner) ๑) กระบวนการคนพบการเรียนรูดวยตนเองเป็นกระบวนการเรียนรูท่ีดีมี ความหมายสําหรับผูเรียนการวิเคราะห์และจัดโครงสรางเนื้อหาสาระกา รเรียนรูใหเหมาะสมเป็น สิง่ จาํ เปน็ ทต่ี อ งทาํ กอ นการสอน ๒) การจดั หลักสูตรแบบเกลียว (Spiral Curriculum) ชวยใหสามารถสอน เน้ือหา หรือความคดิ รวบยอดเดียวกันแกผ เู รียนทุกวยั ได โดยตองจัดเนื้อหาความคิดรวบยอดและวิธี สอนใหเ หมาะสมกับขั้นพัฒนาการของผูเรียน ๓) ในการเรยี นการสอนควรสงเสริมใหผูเรียนไดคิดอยางอิสระใหมาก เพื่อชวย สง เสรมิ ความคดิ สรางสรรคข์ องผูเ รยี น ๔) การสรางแรงจูงใจภายในใหเกิดขึ้นกับผูเรียน เป็นสิ่งจําเป็นในการจัด ประสบการณก์ ารเรียนรูแกผูเรยี น ๕) การจดั กระบวนการเรียนรูใหเหมาะสมกับข้ันพัฒนาการทางสติปัญญาของ ผูเ รยี นจะชวยใหผ ูเรยี นเกดิ การเรยี นรไู ดด ี ๖) การสอนความคิดรวบยอดใหแ กผ ูเรียนเปน็ สง่ิ จําเป็น
๒๐ ๗) การจดั ประสบการณ์ใหผูเรียนไดคนพบการเรียนรูดวยตนเอง สามารถชวย ใหผ ูเรยี นเกดิ การเรยี นรไู ดด ี ๖. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (A Theory of Meaning Verbal Learning) เดวิคออซูเบล (David Ausubel) เป็นนักจิตวิทยากลุมพุทธินิยมเชื่อวาการ เรียนรจู ะมคี วามหมายแกผเู รยี น หากการเรียนรสู ่งิ ใหมน ้ัน ผูเรียนเคยมีพื้นฐานความรูเดิมท่ีสามารถ เช่ือมโยงเขากับความรูใหมไ ด๒๓ หลักการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดการเรยี นร้อู ยา่ งมคี วามหมาย ๑) กอนจะสอนเร่ืองใหม ผูสอนควรสํารวจความรูความเขาใจของผูเรียนกอน วา มเี พยี งพอท่จี ะทาํ ความเขาใจความรใู หมหรือไม ถา ยังไมมหี รือมีไมเพียงพอจะตองจัดประสบการณ์ ให ๒) การนําเสนอความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์ หรือกรอบความคิด (Advance Organizer) ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแกผูเรียนกอนการสอนเนื้อหาสาระน้ัน ๆ จะชวยให ผูเรียนสามารถเรยี นเน้อื หาสาระน้นั อยางมคี วามหมาย ๓) หลักในการจัดเตรียม Advance Organizer คือ การจัดเรียงขอมูลที่ ตองการ ใหผูเรียนรูเรื่องใหม หรือแบงบทเรียนออกเป็นหัวขอสําคัญ ๆ ถามีความคิดรวบยอดที่ เก่ยี วกบั หวั ขอ ทจ่ี ะเรยี นรใู หม ควรอธบิ ายใหผเู รยี นทราบกอ น ๗. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ของมาสโลว์ (Maslow) แนวคดิ ทฤษฎีการเรียนรูของมาสโลว์ (Maslow) มาสโลว์ (Maslow) เป็นนักจิตวิทยากลุมมนุษยนิยม มีความเชื่อเกี่ยวกับการ เรยี นรขู องมนษุ ย์ ดงั น้ี๒๔ ๑) มนุษย์ทุกคนมีความตองการพ้ืนฐานตามธรรมชาติเป็นลําดับขั้น ซึ่งในแต ละข้นั มนษุ ยจ์ ะสามารถพัฒนาตนไปสขู น้ั ที่สูงขนึ้ คือ (๑) ข้ันความตอ งการทางรา งกาย (Physical Need) (๒) ขน้ั ความตองการความมน่ั คงปลอดภัย (Safety Need) (๓) ข้ันความตองการความรัก (Lover Need) (๔) ขั้นความตองการยอมรับและการยกยองจากสังคม (Esteem Need) (๕) ขั้นความตองการที่จะพัฒนาศักยภาพของตนอยางเต็มที่ (Self- Actualization) หากความตอ งการขัน้ พนื้ ฐานไดรับการตอบสนองอยา งพอเพยี งสาํ หรับตน ๒) มนุษย์มีความตอ งการท่จี ะรจู ักตนเองและพัฒนาตนเองจากประสบการณ์ท่ี เรียกวา “Peak Experience” เป็นประสบการณ์ของบุคคลท่ีอยูในภาวะดื่มด่ําจากการรูจักตนเอง ตามสภาพความเปน็ จริง มีลักษณะนาต่ืนเตน เป็นความรูสึกปีติเป็นชวงเวลาท่ีบุคคล เขาใจเรื่องใด เรื่องหนึ่งอยางถองแท เป็นสภาพที่สมบูรณ์ มีลักษณะผสมผสานกลมกลืน เป็นชวงเวลาแหงการ ๒๓เดวิคออซูเบล (David Ausubel), อางในพรรณีช.เจนจิต,จิตวิทยาการเรียนการสอน,หนา ๓๙๗. ๒๔มาสโลว์ (Maslow), อางใน เรือ่ งเดยี วกัน, หนา ๒๙๙.
๒๑ รูจักตนเองอยางแทจริงบุคคลท่ีมีประสบการณ์เชนน้ีบอย ๆ จะสามารถพัฒนาตนไปสูความเป็น มนุษย์ทีสมบูรณ์ หลักการจัดการการเรียนรู้ตามแนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู้ของมาสโลว์ (Maslow) ๑) การเขาถึงความตองการพ้ืนฐานของมนุษย์ สามารถชวยใหเขาใจ พฤตกิ รรมของบคุ คลได เน่อื งจากพฤตกิ รรมเป็นกรแสดงออกของความตอ งการของบุคคล ๒) การชวยใหผูเรียนเกิดการเรียนรูไดดี จําเป็นตองตอบสนองความตองการ พืน้ ฐานกอ น ๓) ในกระบวนการจัดการการเรียนรู หากผูสอนสามารถทราบไดวาผูเรียนแต ละคนมีความตองการอยูในระดับใดข้ันใด ก็จะสามารถใชความตองการพื้นฐานของผูเรียนน้ันเป็น แรงจงู ใจชวยใหผเู รียนเกิดการเรยี นรไู ด ๔) การชวยใหผูเรียนไดรับการตอบสนองความตองการพ้ืนฐานของตนอยาง เพียงพอ การใหอิสรภาพและเสรีภาพแกผูเรียนในการเรียนรู การจัดบรรยากาศที่เอื้อตอการเรียนรู จะชว ยสงเสริมใหผ ูเรยี นเกิดประสบการณใ์ นการรูจักตนเองตรงตามสภาพความเปน็ จริง ๘. ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ของรอเจอร์ส (Rogers) รอเจอร์ส (Rogers) เป็นนักจิตวิทยามนุษยนิยม มีความเช่ือเก่ียวกับการเรียนรู ของมนษุ ย์ ดังน้ี๒๕ แนวคิด ทฤษฎีการเรียนรู (supportive Atmosphere) และเนนใหผูเรียนเป็น ศูนย์กลาง (Student-centered Teaching) โดยผูสอนใชวิธีการสอนแบบชี้แนะ(Non – directive) และทําหนาที่อํานวยความสะดวกในการเรียนรูใหแกผูเรียน (facilitator) และการเรียนรูจะเนน กระบวนการ (Process Learning) เปน็ สาํ คัญ หลกั การจัดการการเรยี นรูต้ ามทฤษฎีการเรียนรขู้ องรอเจอรส์ (Rogers) ๑) การจัดสภาพแวดลอมทางการเรียนใหอบอุน ปลอดภัย ไมนาหวาดกลัว นาไววางใจจะชวยใหผูเรยี นเกดิ การเรียนรดู ี ๒) ผเู รียนแตละคนมีศักยภาพและแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองอยูแลว ผูสอนจึง ควรสอนแบบช้ีแนะ (Non-directive) โดยใหผูเรียนเป็นผูนําทางในการเรียนรูของตน(self – directed) และคอยชวยเหลือผูเรียนใหเ รียนอยา งสะดวกจนบรรลุผล ๓) ในการจัดการเรียนการสอนควรเนนการเรียนรูกระบวนการ (Process Learning) เป็นสําคัญ เนื่องจากกระบวนการเรียนรูเป็นเครื่องมือสําคัญที่บุคคลใชในการดํารงชีวิต และแสวงหาความรตู อ ไป ๙. ทฤษฎีการเรยี นรู้ของกานเย่(Gagne’s Learning Theory) กานเย่ (Gagne) เป็นนักจิตวิทยาในกลุมผสมผสาน ไดเสนอแนวคิดหลักการที่ สําคญั ของทฤษฎีการเรยี นรดู งั นี้๒๖ ๒๕รอเจอร์ส (Rogers) , อางใน เรอื่ งเดียวกัน, หนา ๑๘. ๒๖กานเย (Gagne), อางในทิศนาแขมมณี,ศาสตร์การสอน: องค์ความรู้เพ่ือการจัดกระบวนการ เรียนรู้ท่ีมีประสิทธิ ภาพ, หนา ๗๒.
๒๒ ๑) กานเย(Gagne) ไดจัดประเภทของการเรียนรู เป็นสําคัญขั้นจากงายไปหา ยากไว ๘ ประเภทดงั นี้ (๑) การเรียนรูสัญญาณ (Signal – Learning) เป็นการเรียนรูที่เกิดจาก การตอบสนองตอส่ิงเราที่เป็นไปโดยอัตโนมัติอยูนอกเหนืออํานาจจิตใจ ผูเรียนไมสามารถบังคับ พฤติกรรมไมใหเกดิ ข้ึนไดการเรียนรูแบบน้ีเกิดอาการท่ีคนเรานําเอาลักษณะการตอบสนองที่มีอยูแลว มาสมั พันธ์กบั สิง่ เรา ใหมท ่ีมคี วามใกลชดิ กบั สิง่ เรา เดิม การเรียนรูสัญญาณเปน็ ลักษณะการเรียนรูแบบ การวางเงือ่ นไขของพาฟลอฟ (๒) การเรียนรูสิ่งเรา – การตอบสนอง (Stimulus – Response Learning) เป็นการเรียนรูตอเนื่องจากการเชื่อมโยงระหวางสิ่งเราและการตอบสนอง แตกตางจาก การเรยี นรสู ัญญาณเพราะผูเรียนสามารถควบคมุ พฤตกิ รรมตนเองได ผเู รยี นแสดงพฤติกรรมเนื่องจาก ไดร ับการเสริมแรง การเรียนรูแบบนเ้ี ป็นการเรียนรูตามทฤษฎีการเรียนรูแบบเช่ือมโยงของธอร์นไดค์ และการเรียนรูแบบวางเง่ือนไข (Operant Conditioning) ของสกินเนอร์ ซึ่งเชื่อวา การเรียนรู เป็นสิ่งเรา ภายในของผูเ รียนเองมิใชรอใหสิ่งเราภายนอกมากระทํา พฤติกรรมท่ีแสดงออกเกิดจอกส่ิง เรา ภายในของผเู รยี นเอง (๓) การเรียนรูการเชื่อมโยงแบบตอเน่ือง (Chaining) เป็นการเรียนรูที่ เชื่อมโยงระหวางส่ิงเราและการตอบสนองที่ตอเน่ืองกันตามลําดับ เป็นพฤติกรรมท่ีเกี่ยวของกับการ กระทําการเคล่อื นไหว (๔) การเชื่อมโยงทางภาษา (Verbal Association) เป็นการเรียนรูใน ลักษณะคลายกับการเรียนรูการเชื่อมโยงแบบตอเน่ือง แตเป็นการเรียนรูเก่ียวกับการใชภาษา การ เรียนรแู บบการรบั สิ่งเราการตอบสนองเปน็ พน้ื ฐานของการเรียนรูแบบตอเน่ือง และการเชื่อมโยงทาง ภาษา (๕) การเรียนรูความแตกตาง (DiscriminationLearning) เป็นการ เรียนรูที่ผูเรียนสามารถจัดกลุมส่ิงเราที่ความเหมือนกันหรือแตกตางของส่ิงตาง ๆ โดยเฉพาะความ แตกตา งตามลักษณะของวตั ถุ การเรียนรูความคิดรวบยอด (Concept Leaning) เป็นการเรียนรูที่ ผูเรียนสามารถจัดกลุมสิ่งเราที่ความเหมือนกันหรือแตกตางกันโดยสามารถระบุลักษณะท่ีเหมือนกัน หรือแตกตา งกนั ได พรอมทง้ั สามารถขยายความรูไปยงั ส่งิ อืน่ ท่ีนอกเหนือจากที่เคยเหน็ มากอ นได (๖) การเรียนรูกฎ (Rule Learning) เป็นการเรียนรูท่ีเกิดจากการรวม หรือเช่ือมโยงความคิดรวบยอดตั้งแตสองอยางข้ึนไป และตั้งเป็นกฎเกณฑ์ขึ้น การที่ผูเรียนสามารถ เรยี นรูกฎเกณฑ์จะชวยใหผ ูเรียนสามารถนาํ การเรยี นรูน ้นั ไปใชในสถานการณต์ า ง ๆ กนั ได (๗) การเรียนรูการแกปัญหา (Problem Solving) เป็นการเรียนรูท่ีจะ แกปัญหาโดยการนํากฎเกณฑ์ตาง ๆ มาใชการเรียนแบบนี้เป็นกระบวนการท่ีเกิดภายในตัวผูเรียน เป็นการใชกฎเกณฑ์ในข้ันสูงเพ่ือการแกปัญหาที่คอนขางซับซอน และสามารถนํากฎเกณฑ์ในการ แกปญั หานไี้ ปใชก ับสถานการณ์ท่ีคลา ยคลึงกนั ได ๒) กานเย(Gagne) ไดแบงสมรรถภาพหรือองค์ประกอบการเรียนรูของมนุษย์ไว ๕ ประการ ซ่ึงประกอบดว ย
๒๓ (๑) ทกั ษะการเคลือ่ นไหว (๒) การเรียนรูทางดานภาษา (๓) ทกั ษะเชาวป์ ญั ญา (๔) ยุทธศาสตรท์ างการศึกษา (๕) เจตคติ สมรรถภาพทั้ง ๕ นมี้ ีคุณลกั ษณะเฉพาะท่ีสามารถปฏิบตั ไิ ดในตัวเอง หลักการจัดการการเรียนรตู้ ามแนวคิดทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ องกานเย่(Gagne) ๑) กานเย(Gagne) ไดเสนอรูปแบบการสอนอยางเป็นระบบโดยพยายาม เช่ือมโยงการจัดสภาพการเรียนการสอนอันเป็นสภาวะภายนอกตัวผูเรียน ใหสอดคลองกับ กระบวนการเรียนรูภายใน ซึ่งเป็นกระบวนการท่ีเกิดขึ้นภายในสมองของคนเรา กานเย(Gagne) อธิบายวา การทาํ งานของสมองคลา ยกนั การทํางานของคอมพวิ เตอร์ ๒) ในระบบการจัดการเรียนการสอน เพ่ือใหสอดคลองกับกระบวนการเรียนรู นน้ั กานเย(Gagne)ไดเ สนอระบบการสอน ๙ ข้ัน ดงั น้ี (Kevein Kruse,๒๐๐๖) ขั้นที่ ๑ สรางความสนใจ (Gain Attention) เป็นขั้นท่ีทําใหผูเรียน เกิดความสนใจในบทเรียน เป็นแรงจูงใจท่ีเกิดข้ึนทั้งจากส่ิงจูงใจภายนอกและภายในตัวผูเรียนเอง ผูสอนอาจใชวิธีการสนทนา ซักถาม ทายปัญหาหรือมีวัสดุอุปกรณ์ตาง ๆ ที่กระตุนใหผูเรียนต่ืนตัว และมคี วามสนใจท่จี ะเรยี กรู ขัน้ ที่ ๒ แจง จุดประสงค์(Inform Learner of Objectives) เป็นการบอก ใหผ เู รียนทราบถงึ เปาู หมายหรอื ผลท่จี ะไดรบั จากการเรยี นบทเรียนน้ัน เพอ่ื ใหผเู รียนเหน็ ประโยชน์ใน การเรยี น เห็นแนวทางของการจัดกิจกรรมการเรียน ทําใหผเู รียนวางแผนการเรียนของตนได ข้ันที่ ๓ กระตุนระลึกถึงความรูเดิมที่จําเป็น (Stimulate Recall of Prior Learning) เป็นการทบทวนความรูเดิมที่จําเป็นตอการเชื่อมโยงใหเกิดการเรียนรูความรูใหม เน่อื งจากการเรียนรเู ปน็ กระบวนการตอเน่อื ง การเรียนรูความรูใหมตองอาศัยความรูเดมิ เปน็ พืน้ ฐาน ข้ันท่ี ๔ เสนอบทเรียนใหม (Present the Content) เป็นการเร่ิม กจิ กรรมบทเรียนใหม โดยใชส ่ือตา ง ๆ ที่เหมาะสมประกอบการสอน ข้ันที่ ๕ จัดเตรียมและใหแนวทางการเรียนรู (Provide ๔ “learning” Guidance) ข้ันท่ี ๖ ใหลงมือปฏิบัติ (Elicit the Performance (practice) เป็น การใหผเู รยี นลงมอื ปฏบิ ัติ เพ่ือชวยใหผูเรียนสามารถแสดงพฤติกรรมตามจุดประสงค์ของบทท่ี ๑ ข้ันท่ี ๗ ใหขอมูลปูอนกลับ (Provide Feedback) เป็นขั้นที่ผูสอนให ขอ มูลเกี่ยวกบั ผลการปฏิบัตกิ จิ กรรมหรอื พฤติกรรมท่ผี ูเรียนแสดงออก ข้ันท่ี ๘ ประเมินพฤติกรรมการเรียนรูตามจุดประสงค์ (Assess Performance) เป็นขั้นการวัดประเมินวาผูเรียนสามารถเรียนรูตามจุดประสงค์ของบทเรียนเพียงใด ซ่ึงอาจทําการวัดโดยการใชขอสอบ แบบสังเกต การตรวจผลงาน หรือการสัมภาษณ์ แลวแตวา จดุ ประสงคน์ นั้ ตอ งการวัดพฤตกิ รรมดา นใด โดยเครอื่ งท่ใี ชว ัดจะตอ งมีคณุ ภาพ มีความเทีย่ งตรง
๒๔ ขั้นท่ี ๙ สงเสริมความแมนยําและถายโอนการเรียนรูสูการปฏิบัติภาระงาน (Enhance Retention and Transfer to the job) เป็นการสรุปการยํ้าทบทวนการเรียนที่ผานมา เพอื่ ใหผ เู รียน มีพฤติกรรมการเรียนรูที่ฝังแนน กิจกรรมในข้ันน้ีอาจเป็นแบบฝึกหัด การใหทํากิจกรรม เพม่ิ พนู ความรูร วมทั้งการใหทําการบาน การทํารายงาน หรือความรูเพิม่ เติมจากความรทู ่ีไดในชัน้ เรียน สรปุ ไดวาในชวงครสิ ตศ์ ตวรรษที่ ๒๐ เปน็ ชวงที่มีการเปล่ียนแปลง โดยเฉพาะการ เปลยี่ นแปลงอันเนอื่ งมาจากการแสความคดิ ทางวิทยาศาสตร์ทําใหมีนักคิด นักจิตวิทยา และนักการ ศึกษาที่สนใจ ศึกษาเก่ียวกับการเรียนรูเกิดข้ึนเป็นจํานวนมาก โดยเริ่มต้ังแตทฤษฎีการเรียนรูกลุม พฤติกรรมนิยม (Behaviorism) ซ่ึงใหความสําคัญเกี่ยวกับส่ิงเรา การตอบสอนงและการเสริมแรง ตอ มานักจติ วทิ ยา และนกั การศึกษา เริ่มหันมาใหความสนใจเก่ียวกับกระบวนการทางความคิดหรือ ทางสมองในฐานะ ท่ีเป็นสวนสําคัญในการทําใหเกิดการเรียนรู จึงเกิดทฤษฎีการเรียนรูกลุมพุทธิ นิยม หรือปัญญานิยม (Cognitive) ข้ึน ทฤษฎีที่สําคัญ คือ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา ของเพียเจต์และบรุนเนอร์ทฤษฎีการเรียนรูอยางมีความหมาย ซึ่งเป็นฐานสําคัญของทฤษฎีการ เรียนรูท่ียังไดรับการกลาวถึงกันในปัจจุบัน ตอมานักจิตวิทยา และนักการศึกษาไดหันมาใหความ สนใจในเร่ืองของจิตใจและความรูสึกของมนุษย์ ทําใหเกิดทฤษฎีการเรียนรูกลุมมนุษยนิยม (Humanism) ขึ้น แมว า ในแตละชว งเวลาจะมที ฤษฎีและแนวคดิ ใหม ๆ เกิดขน้ึ อยางตอเน่ือง แตใน ความเป็นจริง แนวคิดเกา ๆ ก็มิไดสูญสิ้นไปอยางส้ินเชิงทฤษฎีแตละทฤษฎีตางก็มีจุดเดนและ จุดออนในตัวเอง จึงเกิดการผสมผสานแนวคิด หลายแนวเขาดวยกันดังตัวอยางการผสมผสาน ระหวางแนวคิดทางดานพฤติกรรมนิยมและพุทธินิยมของกานเย เป็นตน การศึกษาแนวคิดที่กลาว มาสามารถชวยผูสอนให เกดิ ความตระหนัก ในการวางแผนการจดั การเรียนรูอยางมีประสิทธิภาพได ตอไป ตารางที่ ๒.๑วเิ คราะหท์ ฤษฎีการเรยี นรู ที่ ทฤษฎี ปัจจยการแหง่ การเรียนรู้ ๑ ทฤษฎีการเรียนรูของธอร์นไดค์ ๑. การเรยี นรูเกิดจากการฝกึ หัด ๒ ทฤษฎกี ารเรียนรูของสกินเนอร์ ๒. การเรยี นรเู กิดจากการเตรียมความพรอม ๓. เกดิ ทกั ษะความรูความเขา ใจ ๓ ทฤษฎีการเรียนรูทางสังคม ๔. ยอมรบั ผลการกระทาํ ๑.มีระบบการเสริมแรง ๒. มกี ารตอบสนองการเรยี นรู ๓. มีการลงโทษและใหร างวัล ๔. ใหแ รงเสริมกระตุน พฤติกรรมการเรยี นรู ๑. เรยี นรจู ากการสงั เกต ๒. การจดั กิจกรรมการเรยี นรูเชงิ ประยกุ ต์ ๓. มแี หลง เรียนรทู ่ีดีทง้ั บุคคลและสือ่ การเรียนรทู ี่ เหมาะสม
๒๕ ๔ ทฤษฎกี ารเรียนรูของเพยี เจต์ ๑. พัฒนาสตปิ ัญญาของบคุ คลตามวยั ๒. ใชภาษาและกระบวนการคดิ แตกตางกนั ๓. กระบวนการคดิ ทางปัญญา ๕ ทฤษฎกี ารเรยี นรูของบรนุ เนอร์ ๑. การเรยี นรทู ี่เกิดจากการกระทาํ ๒. การเรียนรูทเ่ี กิดจากการคิด ๓. การเรยี นรทู เ่ี กิดจากสัญลักษณแ์ ละนามธรรม ๔. การเรียนรูทีเ่ กดิ จากความคิดรวบยอด ๕. การเรยี นรูดว ยตนเอง ๖ ทฤษฎกี ารเรียนรูของเดวดิ ออซเู บล ๑. เตรยี มความพรอ มของผูเ รียน ๒. สรา งมโนทัศน์ ๓. เรยี งลาํ ดบั ความคิด ๗ ทฤษฎกี ารเรยี นรูของมาสโลว์ ๑. จัดการเรียนรูใหตรงตามความตองการ ๒. พฒั นาตนเองจากประสบการณ์ ๓. ชว ยใหผเู รียนเกดิ การเรยี นรูตามความตองการ ๔. ใหความอสิ รภาพและเสรีภาพในการเรยี นรู ๘ ทฤษฎกี ารเรยี นรูของรอเจอร์ส ๑. จัดสภาพแวดลอ มการเรียนใหนาเรยี น ๒. ผเู รยี นตอ งมศี ักยภาพและแรงจูงใจในการ พฒั นาตน ๓. มเี ครอ่ื งมือที่สาํ คัญในการเรียนรู ๙ ทฤษฎกี ารเรยี นรูของกานเย ๑. การเรียนรูสัญญาณ ๒. การเรียนรูสิ่งเรา -การตอบสนอง ๓. การเรยี นรูเชอ่ื มโยงแบบตอเนอื่ ง ๔. การเชื่อมโยงทางภาษา ๕. การเรียนรูความแตกตา ง ๖. การเรยี นรกู ฎ ๗. การเรยี นรแู กปญั หา รูปแบบการเรียนรู้จากทฤษฎีสกู่ ารปฏิบตั ิ
๒๖ ทฤษฎกี ารเรยี นรู ผูเ รยี น แรงจูงใจ ปัญญา การพัฒนาตนเอง การเปล่ียนแปลง พฤติกรรม ภาพที่ ๓.๑๐รปู แบบการเรียนรูจากทฤษฎีสกู ารปฏบิ ัติ ๒.๒.๒ปจั จยั ส่งเสรมิ การเรียนรู้ การเรยี นรจู ะเกดิ ขึ้นไดด ตี องอาศยั ปัจจยั สง เสริมหลายดา น ในทน่ี ้ีขอเสนอ ๕ ดา น คือ ๑. ตวั ผเู รยี น ปัจจัยสาํ คัญดานผเู รยี นท่สี ง ผลตอการเรียนรู ไดแก ๑) วุฒิภาวะ เป็นการคํานึงถึงการเจริญเติบโตสูงสุดในระยะเวลาใดเวลาหน่ึง ทีบ่ ุคคลมีความพรอมท่ีจะกระทําส่ิงใดส่ิงหนึ่งไดเหมาะสมกับวัย วุฒิภาวะจึงเป็นองค์ประกอบหน่ึงท่ี สง เสรมิ ใหผเู รยี นเกดิ การเรียนรู ๒) ความพรอ ม เปน็ คณุ ลักษณะทเ่ี กย่ี วขอ งกับวฒุ ิภาวะ เม่ือสภาพของบุคคล มีวฒุ ภิ าวะ มคี วามสนใจและประสบการณ์เดิมเพยี งพอท่ีจะเอ้อื ตอ การเรียนรูสิ่งตาง ๆ ไดดี จึงเรียก ไดว า มีความพรอมทจ่ี ะเรยี นรู
๒๗ ๓) ประสบการณ์เดิม บุคคลท่ีมีประสบการณ์มากจะชวยทําใหเกิดการเรียนรู สง่ิ ตา ง ๆ ไดเร็วและดีกวาผูทีม่ ีประสบการณน์ อย ๔) อายุ นักจิตวิทยาพบวา ย่ิงอายุมากขึ้นความสามารถในการเรียนรูของ บุคคลจะยงิ่ ลดลงความสามารถในการเรียนรูของบุคคลมีไดถึงขีดสูงสุด เม่ืออายุ ๒๐ – ๓๕ ปี หลัง อายุ ๓๕ ปีไปแลว ความสามารถในการเรยี นรูจะลดลงเรอื่ ย ๆ ๕) ระดับสติปัญญาผูท่ีมีระดับสติปัญญาสูงจะมีความสามารถในการเรียนรูได ดกี วาผทู ี่มีระดับสตปิ ัญญาตาํ่ ๖) อารมณ์ ผทู ่ีมอี ารมณ์ปกติจะสามารถเรียนรูส่ิงตาง ๆ ไดดีกวาผูท่ีมีอารมณ์ ไมม น่ั คง หรอื มีความวติ กกังวล เชาว์ปญั ญาทางอารมณจ์ งึ มสี ว นสาํ คัญในการสงเสรมิ การเรยี นรู ๗) สภาพรางกาย ผูท่ีมีสภาพรางกายปกติก็จะเรียนรูส่ิงตาง ๆ ไดดีกวาผูท่ีมี ความบกพรองทางรางกาย เชน หูหนวก ตาบอด บกพรองทางการพูด หรือมีโรคประจําตัวตาง ๆ เป็นตน ถาผูเรียนมีความบกพรองทางรางกายมากเทาใด ความสามารถในการเรียนรูก็จะยิ่งนอยลง มากเทานน้ั ๘) แรงจูงใจ ตัวกระตุนใหเกิดพฤติกรรมการเรียนรูที่ดีอีกองค์ประกอบหน่ึง คือ แรงจูงใจ การเรียนรูจะประสบผลดีถาบุคคลมีแรงจูงใจในการเรียนรู และจะไมประสบผลเทาท่ีควรถา บุคคลขาดแรงจูงใจในการเรียนการใหแรงเสริมเพ่ือใหผูเรียนเกิดแรงจูงใจจึงเป็นปัจจัยที่ชวยสงเสริมการ เรยี นรู ๙) ความถนัด ผเู รียนแตละคนมีความถนัดและมีรูปแบบการเรียนรูท่ีแตกตาง กนั ถา ผูเรยี นไดเรียนรูท ีด่ ีขึน้ และเรว็ ขึ้นแตถาผูเ รียนไดเรยี นในส่ิงท่ีตนไมถนัดก็อาจทําใหการเรียนรู เกิดข้ึนชา ลงได ๒. บทเรียน คณุ ลกั ษณะของบทเรยี นมอี ทิ ธพิ ลตอการเรียนรู ดงั น้ี ๑) ความยากงายของบทเรียน บทเรียนที่งายจะชวยใหผูเรียนเกิดการเรียนรู ไดเร็วกวาบทเรียนที่ยาก การจัดลําดับความยากงายของบทเรียนจึงเป็นองค์ประกอบสําคัญในการ วางแผนการจัดการการเรียนรู ๒) ความสนั้ ยาวของบทเรียน บทเรียนที่มีความยาวมาก ๆ ยอมทําใหผูเรียน เกิดการเรียนรไู ดช ากวา บทเรยี นสั้น ๆ ๓) การมีความหมายของบทเรียน บทเรยี นที่มีความหมายตอผูเรียนจะชวยให ผูเรียนเกิดการเรียนรูไดดีกวาบทเรียนที่ไมมีความหมาย เพราะจะชวยทําใหผูเรียนจดจําเขาใจองค์ ความรูไดเ ปน็ อยา งดีและสามารถเชือ่ มโยงสตู ัวผเู รยี นไดน ําไปใชไ ดจ ริงตอไป ๓. วิธีการจดั การการเรยี นรู ในเร่ืองน้ี อาภรณ์ ใจเที่ยง๒๗ ไดเสนอแนวคดิ ไววา ๑) การจดั กิจกรรมการเรยี นการสอน ผูเรยี นจะเกิดการเรียนรไู ดด ีและรวดเร็ว ๒) การใชเครื่องลอใจ (Incentive) เชน การใหรางวัล การแขงขัน เป็นตน จะชว ยกระตนุ ใหผ เู รยี นมคี วามปรารถนาที่จะเรยี นและสนใจในการเรยี นดีขึ้น ๒๗เรือ่ งเดยี วกนั , หนา ๑๘.
๒๘ ๓) การแนะแนวในการเรียน จะชวยใหผูเรียนเรียนไดดีข้ึน ถาไดรับการแนะ แนวท่ถี ูกตองเหมาะสม ไมมากเกนิ ไป เพราะจะทาํ ใหผเู รียนไมเป็นตัวของตัวเอง และไมนอยเกินไป เพราะจะทาํ ใหผ เู รียนปฏิบัติไมถกู ตอ งได ๔) การสงเสริมใหผูเรียนเกิดการถายโอนการเรียนรู เชน การโยง ความสมั พนั ธ์ของประสบการณ์เดมิ กบั ประสบการณใ์ หม หรอื การใหน ําความรูไ ปใชในสถานการณ์อื่น จะทาํ ใหการเรียนรูคงทนถาวรยิ่งขนึ้ ๕) ชวงเวลาในการเรียน ถา จดั ใหผ เู รียนไดเ รียนในชวงกอ นพักกลางวันจะชวย ใหเ รยี นรไู ดด กี วาเรยี กในตอนบาย ๖) การฝึกฝน เมื่อผูเรียนไดเรียนรูแลว มีโอกาสฝึกฝนหรือกระทําซํ้า ๆ อยู เสมอจะทําใหก ารเรยี นรสู ่ิงน้นั มคี วามมั่นคงถาวรข้ึน ๔. สภาพแวดลอมทางการเรียนรู สามารถแบงสภาพแวดลอมทางการเรียนรูได ๒ ประเภท ดงั นี้ ๑) สภาพแวดลอมทางกายภาพ ไดแก ส่ิงตาง ๆ ท่ีสามารถรับรูสัมผัสจับ ตอ งไดท่อี ยรู อบตวั ผูเรยี น เชน กระดานดํา โต฿ะ เกาอ้ี แสงสวาง ความสะอาด เป็นระเบียบของ หอ งเรยี นเปน็ ตน สภาพแวดลอ มท่ีดีทาํ ใหผเู รยี นรสู ึกผอนคลาย สบายใจกาย จะชวยใหการเรียนรูดี ข้นึ ๒) สภาพแวดลอมทางจิตวิทยา ไดแก บรรยากาศในหองเรียนหรือแหลง เรียนรูความสัมพันธ์ระหวาผูสอนกับผูเรียน ความสัมพันธ์ระหวางผูเยนดวยกัน เป็นตน ถาเป็น สภาพแวดลอมท่ีดีจะสงเสริมใหผูเยนเกิดการเรียนรูไดดี แตถาบรรยากาศ หรือสภาพแวดลอมมี ลักษณะของความขดั แยง ไมเขา ใจกนั จะเป็นการบั่นทอน การเรียนรูข องผูเรยี นดวย ๕. ตัวผูสอน ผูสอนจัดวาเป็นองค์ประกอบที่สําคัญท่ีสุดในการสงเสริมให ผูเรียน เกิดการเรียนรู เพราะผูสอนถูกจัดวาเป็นผูอํานวยความสะดวก (Facilitator) เป็นผูวางแผนให ผูเรียนเกิดการเรียนรูผานประสบการณ์ตาง ท่ีผูสอนเป็นผูจัดเตรียม ดังนั้น ผูสอนจงเป็นผูท่ีตองมี ความรูท้ังเรื่องตัวผูเรียน การจัดเตรียมบทเรียน วิธีการจัดการการเรียนรู ตลอดจนการจัด สภาพแวดลอม เพ่ือเอื้อใหผูเรียนมีพฤติกรรมการเรียนรูที่พึงประสงค์ ตามผลการเรียนรูที่คาดหวัง ของหลักสูตร การตระหนักถึงองค์ประกอบทั้ง ๕ ดาน ดังกลาวขางตน จะเป็นประโยชน์สําหรับ ผูสอนทุกระดับช้ัน ถาผูสอนไดคํานึงถึงองค์ประกอบเหลาน้ี ก็จะชวยใหการเรียนการสอนบรรลุผล ตามท่ีตงั้ เปูาหมายไว ๑)หลกั การจดั การการเรียนรู้ นักจิตวิทยาที่สนใจเก่ียวกับพฤติกรรมของมนุษย์ ท่ีแสดงออกในรูปความสัมพันธ์ของส่ิง เรา (Stimulus) ตอบสนอง (Responses) ไดทําวิจัยถึงเรื่ององค์ประกอบของการเรียนรูและได นํามาประยุกต์ใชในการวางแผนการสอน นักจิตวิทยาสวนใหญเห็นดวยในหลักการเรียนรูพอสรุปได ๑๐ ประการ ดังนี้
๒๙ ๑. การเตรียมตัวกอนเรียน (Pre-learning preparation) นักเรียนจะมีผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรยี นอยา งนา พึงพอใจ ถา เขามพี น้ื ความรูในเร่ืองท่ีจะเรียนน้ันมากอน (Prerequisite) แตถา นักเรยี นไมเคยมพี ืน้ ความรูเดมิ มากอน การเรยี นรูทเี่ กิดขน้ึ ใหมอาจเกิดจากการทองจํา ซึ่งนักเรียนจะ ไมสามารถจดั ความสัมพนั ธ์ระหวางความรูในเรื่องทีเ่ รียนกบั บทเรียนไดโ ดยงาย ๒. การเรา ความสนใจ (Motivation) หากนักเรยี นทราบผลลัพธ์หรือคุณคาท่ีตนจะ ไดรับจากการเรียนรูหรือไดรับการกระตุนใหเกิดความตองการเรียนรู เขาจะเกิดความสนใจตอการ เรยี น มคี วามรับผิดชอบตอ การเรยี น และเกดิ การเรียนรไู ดดี ๓. ความแตกตางระหวางบุคคล (Individual Differences) นักเรียนแตละคนมี ความสามารถในการเรียนรูไมเทากันทั้งในกลุม หองเรียน และระดับอายุเดียวกัน ครูจึงควรคํานึง แตกตางกันระหวางบุคคล โดยการเตรียมบทเรียนและประสบการณ์การเรียนรู เพ่ือใหนักเรียน บรรลุผลการเรียนรตู ามความสามารถของตน ๔. เงอื่ นไขการสอน (Instructional Conditions) นักเรียนจะประสบผลสําเร็จใน การเรียนรูไดครบถวน เมื่อครูผูสอนระบุจุดประสงค์การเรียนรูไวอยางชัดเจน และการจัดกิจกรรม การเรียนการสอนใหสอดคลองสัมพันธ์กับจุดประสงค์การเรียนรูจะทําใหนักเรียนเรียนรูไดมากขึ้น ดังนน้ั ครูจงึ ควรจัดลําดบั เนือ้ หาวิชาใหเรียนจากงา ยไปยากจากความจริงเดี่ยว (facts) ไปสูความคิด รวบยอด/หลกั การ (concepts/principles) กฎและทฤษฎีท่ีสูงข้ึน โดยใชรูปแบบการสอน วิธีสอน และกระบวนการเรยี นรทู เ่ี หมาะสม ๕. การมีสว นรวมในกิจกรรม (Active Participation) การเรียนรูเป็นบทบาทของ นักเรียน การท่ีนักเรียนจะประสบผลสําเร็จในการเรียนรูจึงควรใหนักเรียนไดมีสวนรวมในการทํา กิจกรรมตาง ๆ สวนครูนั้นจะมีบทบาทเพียงการเลือกจัดกิจกรรมและประสบการณ์ที่เป็นประโยชน์ ใหมากทสี่ ดุ ใหกับนกั เรียนเทานัน้ ๖. การเกิดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน (Successful Achievement) นกั เรียนจะเกิด การเรียนรูไดดี หากเขาเห็นวาตนเองไดรับผลสําเร็จในการเรียน ซึ่งจะทําใหเขาเกิดความพึงพอใจ และมแี รงกระตุนใหเ กิดความพยายามตอไป ๗. การทราบผลการเรียน (Knowledge of Results) การแจงผลการเรียนให นักเรียนทราบความกาวหนาเป็นระยะ ๆ โดยเฉพาะผลการเรียนในทางที่ดี (Positive) จะเป็นการ เสรมิ แรง (reinforcement) ใหน ักเรียนมคี วามพยายามในการเรียนมากย่ิงขน้ึ ๘. การฝึกฝน (Practice) นักเรียนจะบรรลุผลสําเร็จในการเรียนอีกประการหนึ่งก็ คอื การใหโ อกาสนกั เรยี นไดช้คี วามรแู ละทักษะใหมท ่ไี ดร บั ทง้ั ในดานหลักการ (Principles) และการ สรุปรวบยอด (Generalizations) ในสถานการณ์ใหม นักเรียนจึงจําเป็นตองทําแบบฝึกหัดและฝึก ปฏิบตั อิ ยเู สมอ ๙. ชวงเวลาในการใชสื่อ (Rate of presenting Material) ระยะเวลาและ จํานวนของสื่อการเรียนการสอนท่ีใชในบทเรียนหน่ึง ๆ ตองสัมพันธ์กับบทเรียนและระดับ ความสามารถของนักเรียน การสอนเนื้อหาใด ๆ ครูจึงตองใหโอกาสแกนักเรียนโดยคํานึงถึงความ แตกตางระหวางบุคคลในการเรียนรู การมีสวนรวมในการเรียน การฝึกฝนและการทดสอบตนเอง เป็นตน
๓๐ ๑๐. เจตคตขิ องครู (Instructor’s) การจัดการเรียนรู การสอนเจตคติของนักเรียน จะมีอิทธิพลตอเจตคติของนักเรียน ในการยอมรับวิธีสอนและกระบวนการเรียนรูใหม เทคนิคและ วิทยาการจัดการการเรียนรูเป็นกระบวนการส่ือสารและปฏิสัมพันธ์ระหวางนักเรียนกับครู ซ่ึงเป็นคน ที่มีชีวิตจิตใจมีอารมณ์มีวิญญาณ มีความรูสึกนึกคิดครูจึงตองอาศัยทั้งศาสตร์และศิลปที่จะเขาถึง จิตใจของนักเรียน เพื่อใหนักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงค์ การจัดการการ เรียนรูมีพื้นฐานมาจากความเชื่อในปรัชญาทฤษฎีทางการศึกษา ความตองการและสภาพที่เป็นจริง ของสถานศึกษา สังคมและประเทศชาติเชื่อในปรัชญา/ทฤษฎีใดมีความตองการแบบใดครูยอมตอง จัดการเรยี นรตู ามแบบทีไ่ ดอ อกแบบใหส อดคลองกับความเช่ือและความตองการดังกลาว ประเทศไทยมีการเปล่ียนแปลงการจัดการศึกษาของชาติใหเป็นสากลและทันกับความ เจริญทางวิทยาการมาหลายยุค นับเริ่มต้ังแตรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัวเป็น ตนมา กลไกลสําคัญในกระบวนการเปล่ียนแปลงเพ่ือพัฒนาการศึกษาของชาติไดแก การพัฒนา หลักสูตรและการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนซ่ึงในทุกครั้งของการเปล่ียนแปลงจะอางถึงผล การศึกษาประกอบคําสําคัญคือ การจัดการเรียนการสอนท่ีผานมานักเรียนยังไมบรรลุความตองการ จําเป็นตองปฏิรูปการศึกษาโดยเนนท่ีการปฏิรูปการเรียนรูเป็นสําคัญ ในดานการจัดกระบวนการ เรียนรูของไทยสวนใหญมีพัฒนาการตามความกาวหนาของวิทยาการดานการเรียนการสอนท่ีรับมา จากตางประเทศเปน็ หลัก แตก็มีนักการศกึ ษาไทยในยุคหลงั ๆ ไดปรับเป็นแบบการสอนใหเหมาะกับ ลักษณะการเรยี นรขู องไทยบางแตก ็มไี มมากนัก ๒) รปู แบบการเรยี นรู้ การจัดการเรียนรูตองยึดหลักวา นักเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรูและพัฒนาตนเอง ได และถือวานักเรียนมีความสําคัญที่สุด กระบวนการจัดการเรียนรูตองสงเสริมใหนักเรียนสามารถ พัฒนาตามธรรมชาติและเติมเต็มศักยภาพ ดังน้ัน วิธีการท่ีจะทําใหการจัดการเรียนรูดําเนินไปตาม แนวทางท่พี ระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแหง ชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ไดก ําหนดไว คือ การทคี่ รูไดมีโอกาสรูจัก นักเรยี นเป็นรายบคุ คล เพ่ือจะไดใหการสงเสริมนักเรียนไดอยางเหมาะสมองค์ประกอบหน่ึงท่ีชวยให ผูครูสามารถสงเสริมพัฒนาการกระบวนการเรียนรู ของนักเรียนไดอยางเกิดประสิทธิภาพสูงสุดคือ การรับรูรูปแบบการเรียนรู (Learning Style) ของนักเรียนเพื่อนําไปใชเป็นขอมูลในการออกแบบ จดั การเรยี นรู เพอ่ื พฒั นานกั เรียนใหบ รรลุตามศกั ยภาพสูงสดุ ๓) กระบวนการเรยี นรู้ กระบวนการเรียนรูโดยท่วั ไปมี ๒ แบบ คอื การเรยี นรูที่เนน ผูสอนเปน็ ศูนย์กลาง และ การเรยี นรูท่ีเนนนกั เรยี นเป็นศนู ย์กลาง แตล ะแบบมีลักษณะสาํ คัญพอสรปุ ได ดังนี้ ๑. การเรียนรูที่เนนครู/ผูสอนเป็นศูนย์กลาง (Teacher Center) จัดเป็นการสอน แบบบอกความรู (Instruction) มลี ักษณะดังนี้ ๑) ครเู ป็นผูใหความรแู กนักเรยี น โดยการอธบิ าย/บอกใหจ ดบนั ทึก ๒) นักเรียนรับความรูจากครู โดยการฟัง หรือจดบันทึกแลวจึงฝึก โดยการ ทดสอบ/พิสจู นค์ วามรทู ี่ได หรอื ทาํ แบบฝกึ หดั ๓) ความรูทีน่ กั เรียนไดรับมักจะลมื ไดงา ย เนอื่ งจากไดรับความรโู ดยออม
๓๑ ๔) นักเรียนจะมีพฤติกรรมการเรียนรูท่ีเฉ่ียวชา ไมกระตือรือรน (Passive Learning) ๕) ครูแสดงบทบาทมากกวานักเรียน เพราะครูตองบอก / อธิบายมาก นกั เรยี นเพียงคอยฟัง จดบนั ทกึ ทาํ แบบฝกึ หดั ทอ งจําและทดสอบ ๒. การเรียนรูท่ีเนนเด็ก / นักเรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center) เป็นการสอน แบบสรางองคค์ วามรู (Construction) มีลักษณะดังน้ี ๑) ครูจัดสถานการณ์ใหนกั เรียนศึกษา คนควา ทดลอง หรือปฏิบัติกิจกรรม เพ่อื ใหเกดิ การเรยี นรดู วยตนเอง ๒) ครูจัดสถานการณ์ใหนักเรียนศึกษา คนควา ทดลอง ภายใตการจัด สถานการณก์ ารเรียนรูของครูท่ีกระตุนใหสงสัยใครรู คิดหาคําตอบ ลงมือปฏิบัติ และคนพบคําตอบ ดว ยตนเอง ๓) ความรูทน่ี ักเรียนไดรับมกั จะลอื ไดย าก เนื่องจากไดรับความรโู ดยตรง ๔) นกั เรยี นจะมพี ฤติกรรมการเรียนรทู ่ีกระตือรือรน (Active : earning) ๕) นักเรียนแสดงบทบาทมากกวาครู เพราะนักเรียนตองศึกษา คนควา คิด หาคําตอบแสดงความคิดเหน็ ทดลอง พสิ ูจน์ จดบันทกึ ทําแบบฝึก และปฏบิ ัตกิ ิจกรรมอน่ื ๆ ๔) กระบวนการเกิดการเรยี นรู้ ในสภาพการณ์ของการเรียนการสอนน้ัน การเรยี นรูเ กดิ ข้ึนไดต ามลําดับ ดังน้ี ๑. การรับรู (Perception) หมายถึง การท่ีผูเรียน “รับ” ขอมูลขาวสารและองค์ ความรูตาง ๆ จากแหลงความรูที่หลากหลาย รวมท้ังจากผูสอน โดยผานประสาทสัมผัสทั้งหา ไดแก ตา หู จมูก ปากและผิวหนัง ซ่ึงการรับรูของบุคคลจากประสาทสัมผัสทั้งหา พบวามี ประสิทธิผลในการเรียนรูตางกันจากนอยไปมาก ซึ่งสุวิทย์ มูลคํา และอรทัย มูลคํา ไดสรุปไว ดังนี้๒๘ การเรียนรูจากการอาน เกิดประสิทธิผลในการเรยี นรู ๑๐ % การเรียนรจู ากการไดยนิ เกิดประสทิ ธผิ ลในการเรียนรู ๒๐ % การเรยี นรูจ ากการไดเหน็ เกดิ ประสทิ ธผิ ลในการเรยี นรู ๓๐ % การเรียนรจู ากการไดเ ห็นและไดยิน เกดิ ประสิทธผิ ลในการเรียนรู ๕๐ % การเรยี นรจู ากการไดพูดและไดยิน เกิดประสิทธิผลในการเรยี นรู ๗๐ % การเรียนรจู ากการไดพูดและไดทาํ เกดิ ประสทิ ธผิ ลในการเรยี นรู ๙๐ % จงึ กลา วไวว า การจดั การการเรียนรใู หผ ูเ รยี นเกดิ การเรยี นรูอ ยา งมีประสิทธิผลสูงสุด ควรเป็นการจัดใหผูเรียนไดลงมือปฏิบัติจริง สอดคลองกับแนวคิดการเรียนรูจากการปฏิบัติ (Learning by Doing) ของ จอนหน์ ดิวอ้ี (John Dewey) ๒. การเขาใจ (Comprehension) หมายถึง การท่ีผูเรียนสามารถแปลความหมาย ตีความ หรือสรุปความสําคัญในส่ิงที่รับรูไดโดยเกิดการเช่ือมโยงประสบการณ์ หรือความรูใหมกับ ๒๘สวุ ิทย์ มลู คําและอรทัย มลู คาํ อางใน อาภรณ์ ใจเทย่ี ง,หลักการสอน ฉบับปรับปรุง, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส.พร้นิ ตงิ้ เฮา ส์, ๒๕๔๖), หนา ๑๖.
๓๒ ความรูเดิมสามารถเช่ือมโยงความสัมพันธ์ของสิ่งตาง ๆ ท่ีตนเองรับรู และสามารถอธิบายโดยให เหตผุ ล ๓. การปรบั เปลี่ยน (Transformation) หมายถึง การที่ผูเรียนนําความเขาใจที่เกิด จากการรับรูมาสรางแบบแผนพฤติกรรมของตนข้ึน เชน ผูเรียนรับรูวาหนูเป็นพาหะนําโรค ก็จะไม กลาเขาใกลถ ึงแมผเู รยี นบางคนจะเปน็ วาลูกหนเู ปน็ สตั ว์ท่ีนารกั ก็ตาม การเรียนรูจึงเป็นการะบวนการท่ีเกิดข้ึนตามลําดับต้ังแตการรับรู สรางสรรค์ความ เขาใจตอจากนั้นจึงนํามาปรับเปล่ียนพฤติกรรมท่ีจะกระทําหรือไมกระทําเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนรูมานั้น ตอ ไป ตารางท่ี ๓.๒วเิ คราะหป์ ัจจัยสง เสรมิ การเรยี นรู ที่ แนวคิดการเรียนรู้ ปัจจัยการเรียนรู้ ๑ หลักการจดั การการเรียนรู ๑. การเตรยี มตวั กอนเรยี น ๒ รปู แบบการเรยี นรู ๒. การเราความสนใจ ๓ กระบวนการเรยี นรู ๓. ความแตกตางระหวางบุคคล ๔. เงือ่ นไขการสอน ๕. การมสี วนรว มในกจิ กรรม ๖. การเกดิ ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ๗. การทราบผลการเรียน ๘. การฝกึ ฝน ๙. ชว งเวลาในการใชส่ือ ๑๐. เจตคตขิ องครู ๑.ตามแนวทางพระราชบัญญัติการศึกษาแหง ชาติ ๒๕๔๒ ๑. ครเู ปน็ ศนู ยก์ ลาง ๑) ครเู ปน็ ผูใ หความรูแ กนกั เรยี น ๒) นกั เรียนรับความรจู ากครู ๓) ความรทู นี่ กั เรยี นไดรบั มักจะลมื ไดงาย ๔) นกั เรยี นจะมีพฤติกรรมการเรียนรทู เี่ ฉี่ยวชา ๕) ครูแสดงบทบาทมากกวานักเรยี น ๒. นักเรยี นเป็นศนู ย์กลาง ๑) ครจู ัดสถานการณ์ใหน ักเรียนศึกษา ๒) ครูจัดสถานการณ์ใหน กั เรียนศกึ ษา ๓) ความรูทนี่ ักเรียนไดรับมักจะลอื ไดยาก ๔) นกั เรียนจะมีพฤติกรรมการเรียนรูท่ี กระตือรอื รน
๓๓ ๔ กระบวนการเกดิ การเรียนรู ๕) นกั เรยี นแสดงบทบาทมากกวา ครู รปู แบบการเรยี นรู้ ๑. การรบั รู ๒. การเขา ใจ ๓. การปรบั เปลี่ยน หลกั การจัดการเรยี นรู้ ปจั จัยภายนอก ปจั จัยภายใน รปู แบบการ แหลง เรยี นรู เปลยี่ นเจตคติ การรบั รูเขา ใจ เรยี นรู กระบวนการ วิเคราะห์ เรยี นรู สังเคราะห์ ครู/นักเรียน ภาพที่ ๒.๒รูปแบบการเรียนรู
๓๔ ๒.๓ แนวคิดและทฤษฎีเกย่ี วกบั ทกั ษะชีวติ ๒.๓.๑ ความหมายของทักษะชวี ิต คําวา ทักษะ (Skill) หมาย ถงึ ความชดั เจนและความชํานิชํานาญในเรื่องใดเร่ืองหนึ่งซ่ึง บุคคลสามารถสรางข้นึ ไดจ ากการเรยี นรไู ดแ กทักษะอาชีพ การกฬี า การทํางานรวมกับผูอ่ืน การอาน การสอน การจัดการ ทักษะทางคณิตศาสตร์ทักษะ ทางภาษาทกั ษะทางการใชเ ทคโนโลยฯี ลฯซ่ึงเป็นทักษะภาย นอกที่สามารถมองเห็นไดชัดเจนจากการ กระทําหรือจากการปฏิบัติซึ่งทักษะดัง กลาว น้ันเป็นทักษะที่จําเป็นตอการดํารงชีวิตที่จะทําใหผูมี ทักษะเหลานั้นมี ชีวิตที่ดีสามารถดํารงชีพอยูในสังคมไดโดยมีโอกาสท่ีดีกวาผูไมมีทักษะ(ประเสริฐตัน สกุล)ทักษะชีวิตLife skillหมายถึงคุณลักษณะหรือความสามารถเชิงสังคมจิตวิทยา (Psychosocial competence)ที่ เป็นทักษะภายในที่จะชวยใหบุคคลสามารถเผชิญสถานการณ์ตางๆท่ีเกิดขึ้นใน ชวี ติ ประจําวนั ไดอยา งมีประสทิ ธภิ าพและเตรียมพรอมสําหรับการปรับตัวในอนาคต ไมวาจะเป็นเร่ือง การดแู ลสขุ ภาพเอดส์ ยาเสพตดิ ความปลอดภยั ส่ิงแวดลอม คุณธรรมจริยธรรมฯลฯเพื่อใหสามารถมี ชีวิตอยูใ นสงั คมไดอยางมีความสขุ หรือ จะกลาวงายๆทักษะ ชีวิตก็คือความสามารถในการแกปัญหาท่ี ตอ งเผชิญในชวี ิตประจําวนั เพอ่ื ใหอยู รอดปลอดภัยและสามารถอยรู ว มกบั ผูอ นื่ ไดอยา งมีความสขุ ทักษะชีวิต(Life Skills)เริ่มตนการนํามาเผยแพรโดยองค์การอนามัยโลกWHOโดย มี วัตถปุ ระสงคเ์ พื่อใหคนรูจักดูแลตนเองทั้งทางดานรางกายอารมณ์และจิตใจ ซึ่งจะสงผลใหคนมีสภาพ การดํารงชีวติ ท่ีมคี วามสุขและสามารถดาํ รงตนอยใู นสังคม โดยไมเ ป็นภาระของสังคมเพื่อใหสอดคลอง กับการปฏิบัติตนในการรักษาสุขภาพโดย เนนความสําคัญของบุคคลใหรูจักการปรับตัวพรอมการ เผชิญในการเปลีย่ นแปลงทาง สังคมดงั น้นั องค์การอนามยั โลก(WHO)จึง ใหความหมายทักษะชีวิตเป็น ความสามารถอันประกอบดวยความรูเจตคติและทักษะ ซึ่งสามารถจัดการกับปัญหารอบๆตัวใหอยู รอดในสภาพสังคมและวัฒนธรรมยุค ปัจจุบันไดอยางมีความสุขและเตรียมพรอมสําหรับการปรับตัว ในอนาคตคํานยิ ามของทกั ษะชีวิต (LifeSkills )ขององค์การอนามยั โลกเนน ความสําคัญในการดํารงตน ของบคุ คลท่มี ีความเหมาะสมและทันกบั การเปลี่ยนแปลงทางสังคมซ่ึงปัญหาของสังคมในยุคปัจจุบันมี ความซํ้าซอน บางปัญหามีความรุนแรงดังท่ีปรากฏในปัญหาเรื่องยาเสพติด โรคเอดส์บทบาท ชาย หญงิ ชีวติ ครอบครัวสขุ ภาพอิทธิพลสื่อส่ิงแวดลอมฯลฯซ่ึงคํานิยามดังกลาว ไดชี้ใหเห็นแลววาจะตองมี การเรียนรูดวยตนเองและรูจักปรับตัวการฝึกฝน เป็นการเปิดโอกาสใหคนเกิดการพรอมของตนเอง และดํารงชีวิตไดอยางมีความสุขนอกจากคํานิยามทักษะชีวิตจากองค์การอนามัยโลก (WHO)ดังท่ี กลาวแลว ในเวลาตอมาไดมีการเผยแพรการศึกษาเรื่องทักษะชีวิตไปยังหนวย งานตางๆท่ัวโลก โดยเฉพาะองค์การชวยเหลือเด็กแหงสหประชาชาติ (UNICEF) ไดนําทักษะชีวิตไปใชในการปูองกัน โรคเอดส์โดยใหความสําคัญในการพัฒนาคนมิใหติดเชื้อHIVดวย เหตุนี้คํานิยามของทักษะชีวิตมี จุดเนนความสําคัญทางดานจิตวิทยาสังคมและความ สําคัญของบุคคลในดานความสามารถในการ ปฏิบัติตนโดยอาศัยพื้นฐานทางดานความคิด การตัดสินใจและการปฏิบัติตนท่ีเหมาะสมสอดคลองกับ วัฒนธรรมทองถิ่นและสังคม โลกจะเห็นไดวา “ทักษะชีวิต”ได นําไปใชเพ่ือการพัฒนาทรัพยากร มนุษย์ในสังคมโลกทงั้ นเี้ พื่อการพัฒนาใหคน เกิดการพัฒนาตนเองโดยการใชความคิดการปรับตัวการ
๓๕ ตัดสินใจการส่ือสารการ จัดการกับอารมณ์และความเครียดในการแกไขปัญหาใหกับตนเองไดอยาง ฉลาดดวย เหตุนี้ทักษะชีวิตจึงประกอบดวยทักษะตางๆที่สงผลใหคนฉลาดรูเลือกและ ปฏิบัติรวมทั้ง การรูจักยับย้ังชั่งใจบุคคลที่มีทักษะชีวิตจะเป็นคนท่ีมีเหตุผลรูจักเลือกการดํารงชีวิตที่เหมาะสมสังคม บุคคลท่ีมีทักษะชีวิตสงั คมเป็นสังคมทมี่ คี วามสุขอยางย่ังยนื ๒๙ กรมสุขภาพจติ กระทรวงสาธารณสขุ ใหค วามหมาย ทักษะชีวิต วาเป็นความสามารถ ของบุคคล ซึ่งประกอบดวยความรูและเจตคติในการจัดการกับปัญหาตางๆรอบตัวในสังคมปัจจุบัน และเตรยี มความพรอมสําหรับการปรับตวั ในอนาคต ทง้ั ในเร่อื งบทบาทหญิงชาย เพศสัมพันธ์ สารเสพ ตดิ สุขภาพ จริยธรรม อิทธพิ ลของสอื่ สง่ิ แวดลอ ม ชีวิตครอบครัว ตลอดจนปัญหาสังคมดวยความคิด เชิงเหตุผล ซึง่ นาํ ไปสกู ารตัดสนิ ใจแกป ญั หาไดอ ยา งสรางสรรค์๓๐ กระทรวงศึกษาธิการ หมายถึง คุณลักษณะหรือความสามารถเชิงสังคม จิตวิทยา (Phychosocial Competence) ที่เป็นทักษะภายในที่จะชวยใหบุคคลสามารถเผชิญสถานการณ์ ตางๆ ท่ีเกิดขึ้นในชีวิตประจําวันไดอยางมีประสิทธิภาพ และเตรียมความพรอมสําหรับการปรับตัวใน อนาคต ไมวาจะเป็นเร่ืองการดูแลสุขภาพ เอดส์ ยาเสพติด ความปลอดภัย ส่ิงแวดลอม คุณธรรม จริยธรรม ฯลฯ เพื่อใหสามารถมีชีวิตอยูในสังคมไดอยางมีความสุข หรือจะกลาวงายๆ ทักษะชีวิต ก็ คือ ความสามารถในการแกปัญหาที่ตองเผชิญในชีวิตประจําวันเพื่อใหอยูรอดปลอดภัย สามารถอยู รว มกบั ผอู ื่นไดอยางมีความสุขและเตรียมพรอมสําหรบั การปรบั ตัวในอนาคต๓๑ กสุ ุมาวดี คาเกลี้ยงและคณะ ไดใหความหมายวา ทักษะชีวิต หมายถึง ความสามารถ ของบุคคลในการแกป ญั หาตา งๆท่ีเกิดขึ้นกับตนเอง ครอบครัวและสังคมดวยความรู ความเขาใจ และ รเู ทาทันการเปล่ียนแปลงในสังคมเลือกแนวทางการแกปัญหาดวยเหตุผลท่ีเหมาะสมเพ่ือใหบังเกิดผล ในดา นสรางสรรค์ ทําใหการดํารงชวี ติ ดาํ เนินตอ ไปไดอ ยางเปน็ สุข๓๒ ๒.๓.๒ องคป์ ระกอบของทกั ษะชีวติ องค์การอนามัยโลก(WHO) ไดกลาวถึงองค์ประกอบของทักษะชีวิตไว๑๐องค์ประกอบ จัดเป็น ๓ ดาน ดังนี้ องคป์ ระกอบของทกั ษะชีวิตดา นพุทธพิ ิสยั (ทักษะดา นความคิด) หมายถงึ การรูจกั ใช เหตุ และ ผล โดยรูสาเหตุของสิ่งท่ีเกิดขึ้นผล ยอมมาจาก เหตุเม่ืออยากให ผลของการกระทําออกมาดีเป็นที่พึง ประสงค์แกทั้งของตนเองและสวนรวมก็ควรคิด กระทํา เหตุที่จะทําใหเกิดผลที่ดีเพื่อจุดประสงค์ท่ีจะ พฒั นาชวี ติ ใหม ีความเจริญ กาวหนา สามารถอยรู ว มกนั อยา งสงบสขุ ในสงั คมของมนุษย์ ๑) ทักษะการคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking) เป็น ความสามารถในการคิดที่จะ เป็นสว นชวยในการตัดสนิ ใจและแกไ ขปัญหาโดยการคดิ สรา งสรรค์ เพือ่ คน หาทางเลอื กตาง ๆ รวมทั้ง ๒๙กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุข. คู่มือส่งเสริมสุขภาพจิตนักเรียนระดับ มธั ยมศึกษาสาหรบั ครูกรุงเทพ, ๒๕๔๑. ๓๐ สานักพฒั นาสุขภาพจิต, ๒๕๔๒. ๓๑ กระทรวงศึกษาธิการ, ทักษะชีวิตเพ่ือพัฒนาทักษะชีวิต, http://photalenfe.blogspot.com [ออนไลน์วันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๖๑] ๓๒ กุสุมาวดี คาเกล้ียงและคณะ. หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานสุขศึกษา 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6. กรุงเทพฯ : บรษิ ัท สานักพิมพ์เอมพันธ์ จากดั , 2554.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209