Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนจัดการเรียนรู้วิชาสังคม ป.๑

แผนจัดการเรียนรู้วิชาสังคม ป.๑

Published by Jeerawan Patiwong, 2020-04-01 00:13:06

Description: แผนจัดการเรียนรู้วิชาสังคม ป.๑ แก้ไข

Search

Read the Text Version

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 7 ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1 กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ วชิ า สังคมศึกษาฯ เวลา 5 ช่ัวโมง หน่วยที่ 3 เรื่อง หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา เวลา 1 ชั่วโมง เรื่อง โอวาท 3 : การทาจิตใจให้ผ่องใส สาระสาคญั การทาจิตใจให้ผ่องใส เป็ นหลักธรรมในโอวาท 3 ที่พุทธศาสนิกชนควรนาไปปฏิบตั ิเพื่อให้เกิด ความสุขในชีวติ ตัวชี้วดั ส 1.1 ป.1/3 บอกความหมาย ความสาคญั และเคารพพระรตั นตรัย ปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมโอวาท 3 ในพระพทุ ธศาสนา หรือหลกั ธรรมของศาสนาท่ีตนนบั ถือตามท่ีกาหนด จดุ ประสงค์การเรียนรู้สู่ตัวชี้วัด 1. สรุปความรู้เก่ียวกบั การทาจติ ใจใหผ้ อ่ งใส (K) 2. ปฏิบตั ิตนเพอ่ื ใหจ้ ติ ใจผอ่ งใส (P) 3. เห็นประโยชนข์ องการทาจติ ใจใหผ้ อ่ งใส (A) สาระการเรียนรู้ หลกั ธรรมโอวาท 3 : การทาจิตใจใหผ้ อ่ งใส สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ความสามารถในการแกป้ ัญหา คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ มุ่งมนั่ ในการทางาน ตวั ช้ีวดั ที่ 6.2 ทางานดว้ ยความเพยี รพยายามและอดทนเพอื่ ใหง้ านสาเร็จตามเป้าหมาย

การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ครูเลือกผแู้ ทนนกั เรียน 2 คน ออกมาหนา้ หอ้ งเรียน โดยให้ผแู้ ทนนกั เรียนคนท่ี 1 ทาหนา้ บ้ึง ให้ ผแู้ ทนนกั เรียนคนที่ 2 ทาหนา้ ยมิ้ แยม้ แจม่ ใส จากน้นั ครูใหน้ กั เรียนยกมือแสดงวา่ นกั เรียนชอบและอยากคุย กบั ผแู้ ทนนกั เรียนคนใด ครูและนกั เรียนช่วยกนั นบั จานวนในการยกมือ โดยครูเขียนบนั ทึกลงบนกระดาน ดงั ตวั อยา่ ง คนที่ 1 คนท่ี 2 0 คน 28 คน จากน้นั ครูใหผ้ แู้ ทนนกั เรียนคนท่ี 1 ทาหนา้ ยมิ้ แยม้ แจ่มใส คนที่ 2 ทาหนา้ บ้งึ แลว้ นบั จานวนนกั เรียน ในหอ้ งเรียนบนั ทกึ ลงบนกระดาน ดงั ตวั อยา่ ง คนท่ี 1 คนที่ 2 28 คน 0 คน ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปวา่ คนทม่ี ีหนา้ ตายม้ิ แยม้ แจ่มใสจะมีคนชอบและอยากคุย อยากเล่นดว้ ย 2. ครูใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั การทาจติ ใจใหผ้ อ่ งใส โดยครูใชค้ าถามดงั น้ี นกั เรียนเคยโกรธเพอ่ื นหรือไม่ เพราะเหตใุ ด (ตัวอย่างคาตอบ เคยโกรธ เพราะถูกเพื่อนแกล้ง) เม่ือโกรธแลว้ นักเรียนรู้สึกหรือมีท่าทางอยา่ งไร (ตัวอย่างคาตอบ ไม่พูดกับเพื่อน ทาหน้า บงึ้ ) นกั เรียนคดิ วา่ การมีจิตใจผอ่ งใสเป็นอยา่ งไร (ตวั อย่างคาตอบ ไม่โกรธผู้อ่ืน จติ ใจสงบ) 3. ครูอธิบายให้นกั เรียนฟังว่า การทาจิตใจให้ผ่องใสเป็ นการปฏิบตั ิตนตามหลกั ธรรมโอวาท 3 คอื การละเวน้ ความชวั่ การทาความดี การทาจิตใจใหผ้ ่องใส การทาจิตใจให้ผอ่ งใสทาไดโ้ ดยการไม่คิดร้ายตอ่ ผอู้ ่ืน ไม่โกรธง่าย โมโหง่าย ไม่คดิ แคน้ คนที่ทาไม่ดีต่อเรา

จากน้นั ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั วธิ ีการทาจิตใจให้ผอ่ งใสท่ีจะนาไปปฏิบตั ิใน ชีวติ ประจาวนั โดยครูนาคาตอบของนกั เรียนมาเขยี นสรุปเป็นแผนภาพบนกระดาน ดงั ตวั อยา่ ง วิธีการทาจติ ใจให้ผ่องใส 4. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั การทาจิตใจใหผ้ อ่ งใสโดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี การทาจิตใจให้ผ่องใสปฏิบัติได้อย่างไร (ตัวอย่างคาตอบ ไม่โกรธง่าย ไม่คิดร้ าย ต่อผู้อื่น) การทาจติ ใจใหผ้ อ่ งใสมีประโยชน์อยา่ งไร (ตวั อย่างคาตอบ ทาให้จิตใจเบกิ บาน มคี วามสุข) 5. ใหน้ กั เรียนและครูร่วมกนั สรุปความรู้ ดงั น้ี การทาจิตใจใหผ้ อ่ งใส คอื หลกั ธรรมในโอวาท 3 ทพี่ ทุ ธศาสนิกชนควรนาไปปฏิบตั ิเพอ่ื ให้เกิด ความสุขในชีวติ 6. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็น โดยครูใชค้ าถามทา้ ทาย ดงั น้ี นกั เรียนจะแนะนาผอู้ ื่นใหป้ ฏบิ ตั ิตนตามแบบหลกั โอวาท 3 อยา่ งไร 7. ใหน้ กั เรียนทาช้ินงานที่ 6 เรื่อง โอวาท 3 การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. วธิ ีการวดั และประเมนิ ผล 1.1 สงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในการเขา้ ร่วมกิจกรรม 1.2 ตรวจช้ินงานท่ี 6 2. เครื่องมือ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรม 3. เกณฑ์การประเมิน การประเมินพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรม ผา่ นต้งั แต่ 2 รายการ ถือวา่ ผ่าน

ผา่ น 1 รายการ ถือวา่ ไม่ผ่าน การประเมนิ ชิ้นงานที่ 6 ใหผ้ สู้ อนพจิ ารณาจากเกณฑก์ ารประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics) เร่ือง โอวาท 3 เกณฑ์การ ระดับคะแนน ประเมนิ 4321 ยกตวั อยา่ ง การปฏิบตั ติ น ยกตวั อยา่ ง ยกตวั อยา่ ง ยกตวั อยา่ ง ยกตวั อยา่ ง ตามหลกั ธรรม โอวาท 3 การปฏบิ ตั ิตน การปฏิบตั ติ น การปฏบิ ตั ติ น การปฏบิ ตั ิตน ตามหลกั ธรรม ตามหลกั ธรรม ตามหลกั ธรรม ตามหลกั ธรรม โอวาท 3 โอวาท 3 ได้ โอวาท 3 โอวาท 3 ได้ ไดส้ มั พนั ธก์ นั มีการจาแนก ไดส้ อดคลอ้ งกบั แตไ่ ม่สอดคลอ้ ง มีการเช่ือมโยง ขอ้ มูลหรือ ขอ้ มูล มีการเขียน กบั ขอ้ มูล เขียน ใหเ้ ห็นเป็น อธิบาย ขยายความ และมี ตามขอ้ มูลท่อี ่าน ภาพรวมแสดง ใหเ้ ห็นถึง การยกตวั อยา่ ง ใหเ้ ห็นถึง ความสมั พนั ธก์ บั เพมิ่ เติม ความสมั พนั ธก์ บั ตนเองอยา่ ง ใหเ้ ขา้ ใจง่าย ตนเองและผอู้ ่ืน เป็นเหตุเป็นผล สื่อการเรียนรู้ ช้ินงานที่ 6 เร่ือง โอวาท 3

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 8 ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1 กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ วชิ า สังคมศึกษาฯ เวลา 5 ช่ัวโมง หน่วยท่ี 3 เรื่อง หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา เวลา 1 ช่ัวโมง เร่ือง พทุ ธศาสนสุภาษติ สาระสาคญั พทุ ธศาสนสุภาษิตเป็นขอ้ คิดทางศาสนาท่ีใชส้ าหรบั เตือนใจศาสนิกชน ตวั ชี้วดั ส 1.1 ป.1/3 บอกความหมาย ความสาคญั และเคารพพระรัตนตรัย ปฏิบตั ิตามหลกั ธรรมโอวาท 3 ในพระพทุ ธศาสนา หรือหลกั ธรรมของศาสนาท่ตี นนบั ถือตามทกี่ าหนด จดุ ประสงค์การเรียนรู้สู่ตัวชี้วัด 1. ยกตวั อยา่ งการปฏบิ ตั ติ นท่สี อดคลอ้ งกบั พทุ ธศาสนสุภาษิต (K) 2. นาขอ้ คิดทไ่ี ดจ้ ากพทุ ธศาสนสุภาษติ ไปปฏบิ ตั ใิ นชีวติ ประจาวนั (P) 3. เห็นประโยชนข์ องการนาพทุ ธศาสนสุภาษติ ไปปฏบิ ตั ิในชีวติ ประจาวนั (A) สาระการเรียนรู้ พทุ ธศาสนสุภาษติ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ความสามารถในการแกป้ ัญหา คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ มุ่งมน่ั ในการทางาน ตวั ช้ีวดั ที่ 6.2 ทางานดว้ ยความเพียรพยายามและอดทนเพอื่ ใหง้ านสาเร็จตามเป้าหมาย

การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ครูคดั เลือกผแู้ ทนนกั เรียน 1 คน ใหอ้ อกมาแสดงทา่ ทางการปฏิบตั ิของตนเองต้งั แต่ ต่ืนนอน จนถึงเดินทางมาโรงเรียน โดยไม่ส่งเสียงบอกเพอื่ น จากน้ันครูให้เพือ่ นร่วมกนั ทายว่า ผูแ้ ทนนกั เรียนทา กิจวตั รประจาวนั อะไรบา้ ง (ตวั อย่างคาตอบ แปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้า แต่งตัว รับประทานอาหาร) ให้นักเรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นว่า มีส่ิงใดท่ีตนเองทาเหมือนกบั ผแู้ ทนนกั เรียนและมีส่ิงใดที่ แตกตา่ งกนั บา้ ง จากน้นั ครูใชค้ าถาม ดงั น้ี ถา้ นักเรียนสามารถทาสิ่งต่าง ๆ เหล่าน้ีไดเ้ อง โดยไม่ตอ้ งให้ผูอ้ ่ืนช่วยเหลือจะรู้สึกอยา่ งไร (ตวั อย่างคาตอบ ภูมใิ จ ดใี จ) 2. ครูแนะนานกั เรียนวา่ การท่ีเราสามารถทาส่ิงต่าง ๆ ไดเ้ อง สอดคลอ้ งกบั พทุ ธศาสนสุภาษิต อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแลเป็ นท่ีพ่ึงแห่งตน ครูติดแถบประโยคบนกระดานและอ่านนาใหน้ ักเรียนฝึ กอ่านตาม 2-3 คร้ัง จากน้นั ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นวา่ ส่ิงใดบา้ งที่เราสามารถทาดว้ ยตนเองได้ ครูบนั ทกึ คาตอบ ของนกั เรียนเป็นแผนภาพลงบนกระดาน ดงั น้ี สิ่งท่ีเราทาเองได้ 3. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั จาแนกวา่ สิ่งทน่ี กั เรียนทาไดเ้ อง ส่ิงใดทาเองท่ีบา้ น สิ่งใดทาเอง ท่โี รงเรียน โดยครูบนั ทึกคาตอบของนกั เรียนเป็นแผนภาพบนกระดาน ดงั น้ี สิ่งที่ทาไดเ้ อง ส่ิงท่ีทาเองท่บี า้ น สิ่งท่ีทาเองท่โี รงเรียน

จากน้นั ครูเลือกผแู้ ทนนกั เรียนออกมาปฏิบตั ิส่ิงท่นี กั เรียนทาเองทโี่ รงเรียน เช่น ผกู เชือกรองเทา้ เก็บ กระเป๋ านกั เรียน เมื่อผแู้ ทนนกั เรียนปฏิบตั ิเสร็จเรียบร้อยแลว้ ใหน้ กั เรียนในหอ้ งปรบมือ 4. ครูใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั พทุ ธศาสนสุภาษิต อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนแล เป็นทพ่ี ่งึ แห่งตน โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี ถา้ นกั เรียนสามารถทากิจกรรมตา่ ง ๆ ไดด้ ว้ ยตนเองจะรู้สึกอยา่ งไร (ดีใจ ภาคภูมใิ จ) ถา้ นักเรียนสามารถทากิจกรรมต่าง ๆ ไดด้ ว้ ยตนเองจะก่อใหเ้ กิดประโยชน์อยา่ งไร (ตัวอย่าง คาตอบ ช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ ครูอาจารย์) การศกึ ษาความหมายของพทุ ธศาสนสุภาษิตมีประโยชน์ต่อนกั เรียนอยา่ งไร (ตวั อย่างคาตอบ ทาให้ได้ข้อคดิ เตือนสติที่จะนาไปปฏบิ ตั ใิ นชีวติ ประจาวัน) 5. ครูเล่าใหน้ กั เรียนฟังวา่ ครูไปโรงพยาบาลเพราะไม่สบาย ครูพบกบั ผหู้ ญิงหลายคน สวมชุดคลุม ทอ้ งไปโรงพยาบาลเช่นกนั แลว้ ให้นักเรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นว่า ผูห้ ญิงเหล่าน้นั ไปโรงพยาบาล เพราะอะไร (ตัวอย่างคาตอบ ไปตรวจสุขภาพเพราะกาลงั ต้งั ครรภ์ จงึ ต้องดูแลตนเองและลูกก่อนคลอด) ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปวา่ ผหู้ ญงิ ท่ตี ้งั ครรภจ์ ะตอ้ งไปพบหมอเพอื่ ตรวจสุขภาพของตนเองและ ลูก เม่ือคลอดแลว้ ก็จะดูแลลูกจนโต 6. ครูแนะนานักเรียนว่า การที่แม่ดูแลลูกดว้ ยความรัก เอาใจใส่ สอดคลอ้ งกบั พุทธศาสน-สุภาษิต มาตา มิตฺต สเก ฆเร มารดาเป็ นมิตรในเรือนตน ครูติดแถบประโยคบนกระดานและอ่านนาให้นกั เรียนฝึก อ่านตาม 2-3 คร้ัง จากน้นั ใหน้ ักเรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นวา่ มารดา เปรียบเหมือนมิตรของเรา อยา่ งไรบา้ ง ครูบนั ทึกคาตอบของนกั เรียนเป็ นแผนภาพลงบนกระดาน ดงั น้ี มารดาเป็ นมติ รของเรา 7. ให้นกั เรียนแบ่งกลุ่มออกเป็ น 3 กลุ่ม ใหแ้ ต่ละกลุ่มเสนอแนวทางการปฏิบตั ิตนเพอ่ื แสดงความ กตญั ญูตอ่ มารดาและใหผ้ แู้ ทนออกมานาเสนอหนา้ ช้นั เรียน 8. ให้นักเรียนวาดภาพแม่ของตนเองและออกมานาเสนอหน้าช้นั เรียนว่า แม่คอยดูแลนักเรียน อยา่ งไร จากน้นั ใหน้ กั เรียนร่วมกนั สนทนา โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี การ ท่ีแม่ตกั เตือนหรือทาโทษเมื่อลูกทาความผดิ แสดงวา่ แม่รกั ลูกหรือไม่ เพราะอะไร (รักลูก เพราะต้องการให้ลกู ยอมรับความผิด และทาในสิ่งทีถ่ ูกต้องจงึ ต้องตักเตือน หรือทาโทษ)

9. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั พุทธศาสนสุภาษิต โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ีนักเรียน สามารถนาพุทธศาสนสุภาษิตไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งไร (ช่วยเหลือตนเองในการทา กจิ วัตรประจาวันให้มากที่สุดเท่าทจี่ ะทาได้ รู้สานึกในบุญคุณของแม่และหาโอกาสตอบแทนบุญคุณ) 10. ใหน้ กั เรียนและครูร่วมกนั สรุปความรู้ ดงั น้ี พทุ ธศาสนสุภาษติ เป็ นขอ้ คดิ เตือนใจให้เราปฏิบตั ติ นอยา่ งถูกตอ้ งตามหลกั ธรรมทางศาสนา 11. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็น โดยครูใชค้ าถามทา้ ทาย ดงั น้ี ถา้ นกั เรียนอยคู่ นเดียวบนโลก นกั เรียนจะพ่งึ พาตนเองอยา่ งไร การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 1. วิธีการวดั และประเมนิ ผล 1.1 สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในการเขา้ ร่วมกิจกรรม 1.2 สังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม 2. เครื่องมือ 2.1 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรม 2.2 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม 3. เกณฑ์การประเมนิ 3.1 การประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรม ผา่ นต้งั แต่ 2 รายการ ถือวา่ ผ่าน ผา่ น 1 รายการ ถือวา่ ไม่ผ่าน 3.2 การประเมินพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม คะแนน 9-10 ระดบั ดีมาก คะแนน 7-8 ระดบั ดี คะแนน 5-6 ระดบั พอใช้ คะแนน 0-4 ระดบั ควรปรบั ปรุง สื่อการเรียนรู้ แถบประโยค

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ วิชา สังคมศึกษาฯ เวลา 5 ช่ัวโมง หน่วยที่ 3 เร่ือง หลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนา เวลา 1 ช่ัวโมง เร่ือง หลกั คาสอนของศาสนาอสิ ลามและศาสนาคริสต์ สาระสาคญั ศาสนาอิสลามมีหลกั คาสอนที่เป็ นหลกั ศรัทธา 6 ประการ และหลกั ปฏิบตั ิ 5 ประการ ซ่ึงเป็ น แนวทางท่มี ุสลิมนาไปปฏบิ ตั ิ ศาสนาคริสตม์ ีหลกั คาสอนทเี่ ป็นหลกั แห่งความรัก ซ่ึงเป็นแนวทางใหค้ ริสตศ์ าสนิกชนปฏบิ ตั ิตาม ตวั ชี้วัด ส 1.1 ป.1/3 บอกความหมาย ความสาคญั และเคารพพระรัตนตรัย ปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมโอวาท 3 ในพระพทุ ธศาสนา หรือหลกั ธรรมของศาสนาทต่ี นนบั ถือตามท่ีกาหนด จุดประสงค์การเรียนรู้สู่ตัวชี้วัด 1. สรุปความรูเ้ ก่ียวกบั หลกั คาสอน (K) 2. เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างระหวา่ งหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาและ หลกั คาสอนของศาสนาอน่ื ๆ (P) 1. เห็นประโยชน์ของการศกึ ษาหลกั คาสอนของตนเอง (A) สาระการเรียนรู้ หลกั คาสอนของศาสนาอิสลาม และศาสนาคริสต์ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ความสามารถในการแกป้ ัญหา คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ มุ่งมน่ั ในการทางาน ตวั ช้ีวดั ท่ี 6.2 ทางานดว้ ยความเพยี รพยายามและอดทนเพอื่ ใหง้ านสาเร็จตามเป้าหมาย

การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูเลือกตวั แทนนกั เรียนทนี่ บั ถือศาสนาอิสลามออกมาเล่าเก่ียวกบั การปฏบิ ตั ิตนตามหลกั คาสอน ของศาสนาอิสลาม ใหเ้ พอื่ นฟังหนา้ ช้นั เรียน 2. ครูนาภาพการทาละหมาด และการประกอบพธิ ีฮจั ญม์ าใหน้ กั เรียนดู แลว้ ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดง ความคดิ เห็น โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี นกั เรียนเคยเห็นการประกอบพธิ ีกรรมในภาพหรือไม่ (เคย/ไม่เคย) ครูอธิบายใหน้ ักเรียนฟังเพิ่มเติมวา่ การทาละหมาดเป็ นส่ิงท่ีชาวมุสลิมทุกคนตอ้ งปฏบิ ตั ิเป็น ประจาทุกวนั วนั ละ 5 เวลา เพื่อแสดงความเคารพต่อพระเจ้า และการประกอบพิธีฮัจญท์ ี่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็ นส่ิงท่ีชาวมุสลิมที่พอจะมีกาลงั แรงกายและกาลงั ทรัพยค์ วรปฏิบตั ิอยา่ งน้อย 1 คร้งั ในชีวติ 3. ครูอ่านเกี่ยวกบั หลกั คาสอนของศาสนาอิสลามใหน้ กั เรียนฟัง แลว้ ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความ คิดเห็น โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี คมั ภรี ์ท่รี วบรวมหลกั คาสอนของศาสนาอิสลามคือคมั ภรี ์ใด (คมั ภรี ์อลั กรุ อาน) หลกั คาสอนที่เป็นสาระสาคญั ของศาสนาอิสลามมีอะไรบา้ ง (หลักศรัทธา 6 ประการ และหลักปฏิบัติ 5 ประการ) 4. ใหน้ กั เรียนวเิ คราะห์ความเหมือนและความแตกต่างระหวา่ งหลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาและหลกั คาสอนของศาสนาอิสลาม จากน้นั ครูนาคาตอบของนกั เรียนมาเขยี นเป็ นแผนภาพความคิดบนกระดาน ดงั น้ี หลกั ธรรมของ ความเหมือน หลกั คาสอนของ พระพทุ ธศาสนา ________ ศาสนาอิสลาม ความแตกตา่ ง ความแตกต่าง ___________________ 5. ให้นกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั ความสาคญั ของหลกั คาสอนของศาสนาอิสลาม โดยครูนาคาตอบของนกั เรียนมาเขียนเป็ นแผนภาพความคดิ บนกระดาน ดงั ตวั อยา่ ง

ความสาคญั ของ หลักคาสอนของ ศาสนาอสิ ลาม 6. ใหน้ กั เรียนและครูร่วมกนั สรุปความรู้ ดงั น้ี คมั ภรี ์อลั กุรอานเป็นคมั ภรี ์ทร่ี วบรวมหลกั คาสอนของศาสนาอิสลามไว้ เพอื่ เป็นแนวทางในการ ดาเนินชีวติ ของชาวมุสลิม 7. ครูนาภาพการประกอบพิธีรับศีลศกั ด์ิสิทธ์ิมาใหน้ กั เรียนดู แลว้ ใหน้ ักเรียนร่วมกนั แสดงความ คิดเห็น โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี บคุ คลในภาพนบั ถือศาสนาใด (ศาสนาคริสต์) บุคคลในภาพประกอบพธิ ีการใด (พิธีรับศีลศักด์ิสิทธ์ิ) 8. ครูอ่านเกี่ยวกบั หลกั คาสอนของศาสนาคริสตใ์ ห้นกั เรียนฟัง จากน้ันให้นักเรียนร่วมกนั แสดง ความคิดเห็น โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี คมั ภรี ์ทร่ี วบรวมหลกั คาสอนของศาสนาคริสต์ คอื คมั ภีร์ใด (คมั ภีร์ไบเบิล) หลกั คาสอนท่เี ป็นสาระสาคญั ของศาสนาคริสตม์ ีอะไรบา้ ง (ตวั อย่างคาตอบ หลักแห่งความรัก) 9. ให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์เกี่ยวกับการนาหลกั คาสอนของศาสนาคริสต์ไปปฏิบตั ิและผลที่ เกิดข้ึนถา้ ปฏิบตั ิและผลท่ีเกิดข้ึนถา้ ไม่ปฏิบตั ิ โดยครูนาคาตอบของนกั เรียนมาเขียนเป็ นแผนภาพความคิด บนกระดาน ถา้ ปฏบิ ตั ิ ผลที่เกดิ ขนึ้ ______________________ หลกั คาสอนของศาสนาคริสต์ ______________________ ________________ _ห_ล_ก_ั _แ_ห_่ง_ค_ว_า_ม__ร_ัก___________ _________________________ ผลทเ่ี กิดขนึ้ ______________________ ถา้ ไม่ปฏิบตั ิ ______________________ ________________

10. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ความสาคญั ของหลกั คาสอนของศาสนาคริสต์ โดยครู นาคาตอบของนกั เรียนมาเขียนเป็นแผนภาพความคิดบนกระดาน ดงั ตวั อยา่ ง ดงั น้ี ความสาคญั ของ หลักคาสอนของ ศาสนาคริสต์ 11. ใหน้ กั เรียนและครูร่วมกนั สรุปความรู้ ดงั น้ี ศาสนาทุกศาสนาลว้ นมีหลกั คาสอนทีใ่ หท้ กุ คนปฏบิ ตั ิตนเป็นคนดี การปฏบิ ตั ติ นตาม หลกั ธรรมคาสอนของศาสนาที่ตนนบั ถือจะทาใหส้ งั คมเกิดความสงบสุข การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. วธิ ีการวัดและประเมินผล สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในการเขา้ ร่วมกิจกรรม 2. เครื่องมือ แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรม 3. เกณฑ์การประเมนิ การประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรม ผา่ นต้งั แต่ 2 รายการ ถือวา่ ผ่าน ผา่ น 1 รายการ ถือวา่ ไม่ผ่าน สื่อการเรียนรู้ ภาพการทาละหมาด และการประกอบพธิ ีฮจั ญ์

บันทึกหลังการสอน  ผลการจดั การเรียนการสอน ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________  ปัญหา/อุปสรรค ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________  แนวทางแกไ้ ข ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ลงชื่อ_____________________________ (ผบู้ นั ทกึ ) ( นางสาวจีรวรรณ ปฏวิ งศ์ ) _________/__________/________

กล่มุ สาระการเรยี นรูส้ ังคมศึกษาฯ หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 4 ช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 1 หนว่ ยท่ี 4 เรือ่ ง หนา้ ที่ชาวพุทธ วชิ า สังคมศกึ ษาฯ เวลา 1 ช่วั โมง มาตรฐานการเรียนรู้ ส 1.2 เขา้ ใจ ตระหนกั และปฏบิ ตั ิตนเป็นศาสนกิ ชนที่ดี และธารงรักษาพระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาท่ี ตนนบั ถือ ตัวช้วี ัด ป.1/1 บาเพ็ญประโยชน์ต่อวดั หรือศาสนสถานของศาสนาที่ตนนบั ถอื ป.1/2 แสดงตนเป็นพทุ ธมามกะหรือแสดงตนเปน็ ศาสนกิ ชนของศาสนาท่ีตนนับถือสาระสาคญั วัดหรือศาสนสถานเป็นสถานที่ในการประกอบพิธีในทางพระพุทธศาสนา ชาวพุทธควรช่วยกัน บารุงรักษา การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ เป็นหน้าที่ชาวพุทธพึงปฏิบัติตน เพ่ือประกาศตนเป็นผู้นับถือ พระพทุ ธศาสนา สาระการเรยี นรู้ 9. หนา้ ท่ชี าวพุทธ : การบาเพญ็ ประโยชนต์ อ่ วัดหรือศาสนสถาน 10.หน้าทชี่ าวพุทธ : วธิ ีการแสดงตนเปน็ พุทธมามกะ สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ มวี นิ ัย ตัวชวี้ ัดท่ี 3.1 ปฏิบตั ิตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ขอ้ บังคับของครอบครัว โรงเรียนและสงั คม ชน้ิ งานหรอื ภาระงาน 6. ช้นิ งานที่ 7 เรื่อง การบาเพญ็ ประโยชนต์ อ่ วดั หรอื ศาสนสถาน 7. ชิ้นงานท่ี 8 เรือ่ ง การแสดงตนเปน็ พทุ ธมามกะ การประเมนิ ผล

1. การประเมินผลตวั ชี้วดั 1.1 ชน้ิ งานท่ี 7 เรื่อง การบาเพญ็ ประโยชนต์ ่อวัดหรือศาสนสถาน เกณฑ์การประเมนิ 4 ระดบั คะแนน 1 32 เขยี นเครื่องหมาย เขยี นเครอ่ื งหมาย เขียนเคร่อื งหมาย เขียนเครอ่ื งหมาย เขยี นเคร่อื งหมาย  ลงในตารางการ ลงในตารางการ ลงในตารางการ ลงในตารางการ ลงในตารางการ บาเพญ็ ประโยชน์ บาเพ็ญประโยชน์ของ บาเพ็ญประโยชนข์ อง บาเพญ็ ประโยชน์ของ บาเพญ็ ประโยชนข์ อง ของชาวพทุ ธและ ชาวพทุ ธและเขยี น ชาวพทุ ธและเขยี น ชาวพุทธและเขียน ชาวพทุ ธและเขียน เขียนอธบิ ายหรอื อธิบายหรอื อธิบายหรือ อธิบายหรือ อธิบายหรอื สรปุ การปฏบิ ตั ิ-ตน สรปุ การปฏบิ ตั ิ-ตนตอ่ สรปุ การปฏบิ ัติ-ตน สรุปการปฏบิ ัติ-ตน สรุปการปฏบิ ตั ิ-ตน ตอ่ วัดหรอื วดั หรอื ศาสนสถาน ตอ่ วดั หรอื ต่อวดั หรอื ตอ่ วัดหรือ ศาสนสถาน ไดส้ มั พันธ์เชือ่ มโยงให้ ศาสนสถาน ศาสนสถาน ศาสนสถานได้ เห็นเป็นภาพรวมแสดง ไดส้ ัมพนั ธก์ ันมกี าร ไดส้ ัมพนั ธ์สอดคลอ้ ง แตย่ งั ไม่สอดคล้องกับ ให้เหน็ ความสมั พันธ์ จาแนกแสดงให้เห็น กบั ขอ้ มลู และ ขอ้ มลู และเขยี นตาม กบั ตนเองและบคุ คล ถงึ ความสมั พันธ์กับ มีการเขียนอธบิ าย ขอ้ มลู ที่อา่ นไมม่ ีการ อื่น ตนเองอย่าง เพมิ่ เติมใหเ้ ขา้ ใจง่าย อธิบายเพ่ิมเตมิ เปน็ เหตุเป็นผล 1.2 ช้ินงานท่ี 8 เรือ่ ง การแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ เกณฑ์การ ระดบั คะแนน ประเมนิ 4321 ฝึกปฏบิ ตั ิ การแสดงตน ฝึกปฏบิ ัติ ฝกึ ปฏบิ ตั ิ ฝึกปฏบิ ัติ ฝกึ ปฏบิ ตั ิ เป็นพุทธมามกะ การแสดงตน การแสดงตน การแสดงตน การแสดงตน เปน็ พุทธมามกะ เป็นพทุ ธมามกะ เปน็ พทุ ธมามกะ เป็นพทุ ธมามกะ ร่วมกับผูอ้ ่นื มีความรบั ผดิ ชอบ ปฏบิ ตั ิตาม ไดต้ ามแบบอย่าง ในการพัฒนา ต่อการปฏบิ ัติ แบบอย่าง หรอื ทาตามท่ีครู ให้เกิดประโยชน์ รว่ มปฏิบัติกบั ไดถ้ ูกตอ้ ง แนะนาเท่าน้ัน ต่อสว่ นรวมและ บคุ คลอน่ื ไดด้ ี มีความพยายาม สามารถแกป้ ญั หา โดยมคี รแู ละผ้อู ่ืน เรยี นรู้ ระหวา่ ง คอยให้การ ในการปฏิบัติ การปฏบิ ัติได้และ แนะนาบ้าง ให้เหมาะสมกับ เปน็ แบบอย่าง ตนเอง โดยมีครู ให้กับผู้อน่ื คอยใหก้ ารแนะนา 2. การประเมินผลคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์

มีวนิ ัย ตวั ช้ีวดั ที่ 3.1 ปฏิบัติตามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ขอ้ บังคบั ของครอบครัว โรงเรียนและสงั คม พฤตกิ รรมบ่งช้ี ไม่ผา่ น (0) ผ่าน (1) ดี (2) ดีเยยี่ ม (3) 3.1.1 ปฏบิ ัติตนตามขอ้ ตกลง ไมป่ ฏิบตั ิตนตาม ปฏิบัติตามข้อตกลง ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ัตติ ามข้อตกลง กฎเกณฑ์ ระเบยี บ ขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์ ระเบียบ กฎเกณฑ์ ระเบยี บ กฎเกณฑร์ ะเบยี บ ขอ้ บงั คับของครอบครัว ระเบียบ ข้อบังคับ โรงเรียน และสังคม ของครอบครวั ข้อบงั คบั ของ ข้อบงั คบั ของ ข้อบังคับของ ไม่ละเมดิ สิทธขิ องผอู้ น่ื และโรงเรียน ครอบครวั และ ครอบครวั และ ครอบครัวและ 3.1.2 ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ัติ โรงเรียนโดยตอ้ งมี โรงเรียนโดยต้องมี โรงเรยี นได้ด้วย กจิ กรรมต่าง ๆ ในชีวิต การเตือนเป็น การเตอื นเปน็ ตนเอง ประจาวัน และ รับผดิ ชอบ ในการทางาน ส่วนใหญ่ บางคร้ัง การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 1. รว่ มกันนาเสนอการบาเพญ็ ประโยชนต์ ่อวดั และการปฏบิ ัติตนตอ่ ศาสนสถานและสรุปความรู้ หนา้ ทขี่ องชาวพทุ ธทป่ี ฏิบัตติ นตอ่ วัดหรือศาสนสถาน 2. รว่ มกันฝกึ วธิ ีการปฏบิ ตั ติ นในการแสดงตนเปน็ พุทธมามกะ ฝึกการท่องคา อ่านคาปฏญิ าณตนเป็น พุทธมามกะ และนาเสนอแนวทางการปฏบิ ัตติ นในฐานะพทุ ธมามกะ 3. สรปุ ความรเู้ ก่ียวกบั หน้าท่ีของชาวพทุ ธ 4. นกั เรียนและครูร่วมกนั สรุปความรู้ ดังนี้ วัดหรือศาสนสถานเปน็ สถานท่ีในการประกอบพธิ ีกรรมทางพระพุทธศาสนาในฐานะชาวพทุ ธ ควรช่วยกนั บารงุ รกั ษา และพงึ ปฏิบตั ิตนให้เหมาะสมกับการเป็นพทุ ธมามกะท่ีดี สอื่ การเรียนรู้ 6. ชดุ ธปู เทยี น ดอกไม้ สาหรับทาพธิ ีแสดงตนเป็นพุทธมามกะ 7. ชน้ิ งานท่ี 7 เรอ่ื ง การบาเพ็ญประโยชน์ตอ่ วดั หรอื ศาสนสถาน 8. ช้ินงานท่ี 8 เรือ่ ง การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 10 ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ วชิ า สังคมศึกษาฯ เวลา 1 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง หน้าทช่ี าวพทุ ธ เวลา 1 ชั่วโมง เร่ือง หน้าทชี่ าวพทุ ธ มาตรฐานการเรียนรู้ ส 1.2 เขา้ ใจ ตระหนกั และปฏิบตั ติ นเป็ นศาสนิกชนที่ดี และธารงรกั ษาพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนา ที่ตนนบั ถือ ตวั ชี้วัด ป.1/1 บาเพญ็ ประโยชนต์ ่อวดั หรือศาสนสถานของศาสนาท่ีตนนบั ถือ ป.1/2 แสดงตนเป็นพทุ ธมามกะหรือแสดงตนเป็นศาสนิกชนของศาสนาทตี่ นนบั ถือ จดุ ประสงค์การเรียนรู้สู่ตัวชี้วดั 1. เสนอแนวทางการบาเพญ็ ประโยชน์และการปฏิบตั ติ นเป็นพทุ ธมามกะ (K) 2. สรุปความรู้เกี่ยวกบั การบาเพญ็ ประโยชน์และการปฏิบตั ติ นในฐานะพทุ ธมามกะ (P) 3. เห็นความสาคญั ของการบาเพญ็ ประโยชน์และการปฏิบตั ิตนในฐานะพทุ ธมามกะ (A) สาระสาคญั การบาเพ็ญประโยชนต์ ่อวดั หรือศาสนสถานเป็นหน้าท่ที ีช่ าวพุทธพงึ ปฏบิ ัติ พุทธศาสนกิ ชนพงึ ปฏบิ ัติ ตนใหถ้ กู ต้องโดยการแสดงตนเปน็ พทุ ธมามกะ สาระการเรียนรู้ 1. การบาเพญ็ ประโยชนต์ อ่ วดั หรือศาสนสถาน 2. การแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ มีวนิ ยั ตวั ช้ีวดั ที่ 3.1 ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ ระเบียบ ขอ้ บงั คบั ของครอบครวั โรงเรียนและสงั คม สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ

ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. แผนภาพการบาเพญ็ ประโยชน์ตอ่ วดั หรือศาสนสถาน 2. ชิ้นงานที่ 7 เรื่อง การบาเพญ็ ประโยชน์ต่อวดั หรือศาสนสถาน 3. แผนภาพการปฏิบตั ติ นในฐานะพทุ ธมามกะ 4. ช้ินงานท่ี 8 เรื่อง การแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ครูเล่าประสบการณ์การไปวดั ให้นกั เรียนฟังดงั น้ี วนั อาทิตยท์ ี่ผา่ นมา ครูไปทาบุญท่ีวดั เห็นเด็ก หลายคนกาลงั ช่วยกนั กวาดลานวดั จนสะอาด ทาใหว้ ดั น่าอยมู่ ากข้ึนและเด็ก ๆ เหล่าน้ันก็ไดร้ ับคาชมจาก ผใู้ หญ่ที่พบเห็นวา่ เป็ นเด็กดี แลว้ ครูใชค้ าถามเพ่ือให้นักเรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั เรื่องดงั กล่าว ดงั น้ี นกั เรียนเคยไปวดั หรือไม่ อยา่ งไร (ตัวอย่างคาตอบ เคย โดยไปทาบุญในวนั เกิด) เมื่อนกั เรียนไปวดั แลว้ ทาอะไรบา้ ง (ตวั อย่างคาตอบ บริจาคเงิน ถวายสังฆทาน) นกั เรียนเคยเห็นคนท่ีไปวดั ทาอะไรบา้ ง (ตัวอย่างคาตอบ กวาดศาลา ล้างถ้วยชาม บริจาคเงนิ ) นกั เรียนคิดวา่ การกระทาดงั กล่าวควรปฏบิ ตั หิ รือไม่ (ควรปฏิบัต)ิ นอกจากการกระทาดงั กล่าวแลว้ นักเรียนคิดว่ายงั มีการกระทาใดอีกบา้ งท่ีเป็ นการบาเพญ็ ประโยชนต์ ่อวดั (ตวั อย่างคาตอบ รักษาศีล ฟังธรรม บริจาคส่ิงของ ปลูกต้นไม้ เป็ นต้น) 2. ครูและนกั เรียนร่วมกนั ตรวจสอบคาตอบ จากน้นั ครูนาคาตอบมาเขียนสรุปลงในแผนภาพบน กระดาน ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี กวาดลานวดั ไม่ทาลายทรัพยส์ ินของวดั ฟังธรรม การบาเพญ็ บริจาคเงิน รักษาศลี ประโยชน์ บริจาคสิ่งของ ลา้ งถว้ ยชาม ต่อวัด ปลูกตน้ ไม้ ถวายสงั ฆทาน

3. ใหน้ กั เรียนดูแผนภาพแลว้ ครูอธิบายเพมิ่ เติม ดงั น้ี วดั เป็ นที่อยอู่ าศยั ของพระ เป็นสถานที่ประกอบพธิ ีกรรมและหาความสงบสุข ของชาวพทุ ธ ดงั น้นั ชาวพทุ ธตอ้ งช่วยกนั บารุงรักษาวดั โดยการหมน่ั ไปทาบุญ รกั ษาศลี ฟังธรรม บริจาคเงินและสิ่งของ ร่วมบาเพญ็ ประโยชนใ์ หก้ บั วดั ไม่ทาลายทรพั ยส์ ินของ วดั เพอื่ ให้วดั ยงั คงใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ีกนาน 4. ครูและนักเรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั ผลของการบาเพญ็ ประโยชน์ต่อวดั โดยครูใช้ คาถามกระตนุ้ ความคดิ ดงั น้ี การบาเพญ็ ประโยชน์ต่อวดั มีประโยชน์อยา่ งไร (ตัวอย่างคาตอบ วัดไม่ทรุดโทรม พระสงฆ์ สามารถดารงสืบทอดพระพทุ ธศาสนาต่อไปได้) ถา้ ชาวพทุ ธไม่บาเพญ็ ประโยชน์ต่อวดั จะเกิดผลอยา่ งไร (ตัวอย่างคาตอบ วัดทรุดโทรม คน ไปวัดน้อยลง พระสงฆ์ไม่สามารถดารงหรือสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไปได้) 5. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั สรุปความรู้ ดงั น้ี การบาเพญ็ ประโยชน์ต่อวดั หรือศาสนสถาน เป็นหนา้ ที่ของชาวพทุ ธทีพ่ งึ ปฏิบตั ิตน 7. ใหน้ กั เรียนทาช้ินงานท่ี 7 เร่ือง การบาเพญ็ ประโยชนต์ ่อวดั หรือศาสนสถาน การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูนาดอกไมธ้ ูปเทียนข้ึนมาวางไวบ้ นโต๊ะ แลว้ เล่าใหน้ ักเรียนฟังวา่ ครูเตรียมดอกไม้ ธูปเทียน มาเพอ่ื ที่จะนาไปเขา้ ร่วมพธิ ีแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะท่ีวดั แลว้ ใชค้ าถามเพอื่ ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกบั เร่ืองดงั กล่าว ดงั น้ี นกั เรียนเคยนาดอกไม้ ธูปเทยี นไปทาอะไรบา้ ง (ตวั อย่างคาตอบ เวยี นเทียน ไหว้พระพทุ ธรูป เป็ นต้น) นกั เรียนเคยเขา้ ร่วมพธิ ีแสดงตนเป็ นพทุ ธมามกะหรือไม่ (เคย/ไม่เคย)

2. ครูอธิบายใหน้ กั เรียนฟังวา่ การเขา้ ร่วมพิธีแสดงตนเป็ นพุทธมามกะเป็ นการประกาศว่าตนเป็ นผนู้ ับถือ พระพทุ ธศาสนา โดยตอ้ งเป็ นผทู้ ่ีมีอายตุ ้งั แต่ 7 ปี ข้นึ ไป มีลาดบั ข้นั ตอนของพธิ ีการคือ นาดอกไม้ ธูปเทยี นไปบชู าพระรตั นตรัยพร้อมกล่าวคาบูชา แลว้ นาเครื่องสกั การะ เขา้ ถวายพระสงฆแ์ ละกล่าวคาปฏิญาณตนเป็ นพทุ ธมามกะตอ่ หนา้ พระสงฆ์ เม่ือพระสงฆ์ ให้โอวาทจบให้รับว่า สาธุและกล่าวคาอาราธนาศีลและสมาทานศีลตามพระสงฆ์ สุดทา้ ยคอื การถวายเครื่องไทยธรรม กรวดน้า รับพรแลว้ กราบพระสงฆ์ 3 คร้งั เทา่ น้ี ก็เสร็จพธิ ี 3. ครูนานกั เรียนฝึกกล่าวคาปฏิญาณตนเป็นพทุ ธมามกะท้งั ภาษาบาลีและคาแปล โดยครูกล่าวนาให้ นกั เรียนกล่าวตาม 2-3 คร้งั 4. ใหน้ กั เรียนนาดอกไม้ ธูปเทยี นท่ีเตรียมมาข้นึ วางไวบ้ นโตะ๊ แลว้ ครูใชค้ าถามเพอื่ ตรวจสอบความ พรอ้ มของนกั เรียน ดงั น้ี นกั เรียนเตรียมดอกไม้ ธูปเทียนมาครบหรือไม่ (ครบ/ไม่ครบ) ถา้ นกั เรียนเตรียมมาไม่ครบใหค้ รูจดั เตรียมเพมิ่ เตมิ ใหน้ กั เรียนจนครบทุกคน 5. ใหน้ กั เรียนประกอบพธิ ีแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ โดยครูสมมุติตนเป็นพระสงฆ์ ตามข้นั ตอน ที่ไดศ้ กึ ษามาแลว้ และครูคอยช่วยเหลือจนเสร็จพธิ ี 6. ครูและนักเรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั พธิ ีการแสดงตนเป็ นพทุ ธมามกะ โดยครูใช้ คาถาม ดงั น้ี นกั เรียนรู้สึกอยา่ งไรทไ่ี ดท้ าพธิ ีกรรมน้ี (ดีใจ) ถา้ ตอ้ งการใหพ้ ธิ ีกรรมน้ีสมบูรณ์ถูกตอ้ งเราจะตอ้ งไปทาท่ีไหน (ท่วี ัดต่อหน้าพระสงฆ์หรือท่ี อ่ืนที่มีพระพุทธรูปและนิมนต์พระสงฆ์มาประกอบพิธี) ถา้ มีโอกาสนกั เรียนจะไปเขา้ ร่วมพธิ ีกรรมน้ีหรือไม่ (ไป) พธิ ีแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะมีประโยชน์อยา่ งไร (ตวั อย่างคาตอบ ทาให้ตระหนักว่า ต้อง ปฏบิ ัติตนเป็ นชาวพุทธทด่ี )ี

7. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั เสนอแนวทางการปฏบิ ตั ิตนในฐานะพทุ ธมามกะ จากน้นั ใหค้ รูบนั ทกึ คาตอบ ของนกั เรียนเป็นแผนภาพ บนกระดาน ดงั น้ี 2. ไม่ขโมยของผอู้ ื่น 3. เคารพสิทธิของเพอ่ื น ชาย-หญงิ การปฏิบัตติ นในฐานะ พุทธมามกะ 4. พดู จาดว้ ยถอ้ ยคาทสี่ ุภาพ 1. มีความเมตตาไม่รังแก ผอู้ ื่น 5. ปฏิบตั ติ นใหห้ ่างไกลจาก อบายมุข หรือสารเสพติด 8. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั สรุปความรู้ ดงั น้ี การแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ แสดงถึงการยอมรบั นบั ถือพระรตั นตรัยเป็นทพ่ี ่งึ ตลอดชีวติ 9. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็น โดยครูใชค้ าถามทา้ ทาย ดงั น้ี ผทู้ ีผ่ า่ นการแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ พงึ ประพฤตปิ ฏิบตั ิตนต่อตนเองและบุคคลอ่ืนอยา่ งไร 10. ใหน้ กั เรียนทาชิ้นงานท่ี 8 เร่ือง การแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ ส่ือการเรียนรู้ 1. ชิ้นงานท่ี 7 เรื่อง การบาเพญ็ ประโยชนต์ ่อวดั หรือศาสนสถาน 2. ชุด ธูปเทียน ดอกไม้ 3. ช้ินงานท่ี 8 เรื่อง การแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1.1 สังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในการเขา้ ร่วมกิจกรรม 1.2 ตรวจชิ้นงานท่ี 8 2. เครื่องมือ แบบสงั เกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรม

3. เกณฑ์การประเมนิ การประเมินพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรม ผา่ นต้งั แต่ 2 รายการ ถือวา่ ผ่าน ผา่ น 1 รายการ ถือวา่ ไม่ผ่าน การประเมนิ ชิ้นงานท่ี 7 ใหผ้ สู้ อนพจิ ารณาจากเกณฑก์ ารประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics) เร่ือง การบาเพญ็ ประโยชนต์ ่อวดั หรือศาสนสถาน เกณฑ์การประเมนิ 4 ระดบั คะแนน 2 1 3 เขียนเคร่ืองหมาย เขียนเคร่ืองหมาย  เขียนเคร่ืองหมาย ลง เขยี นเคร่ืองหมาย ลง เขียนเคร่ืองหมาย ลงในตารางการ ในตารางการบาเพญ็ ในตารางการบาเพญ็ ลงในตารางการ ลงในตารางการ บาเพญ็ ประโยชน์ ประโยชน์ของชาวพทุ ธ ประโยชน์ของชาวพทุ ธ บาเพญ็ ประโยชน์ บาเพญ็ ประโยชน์ของ ของชาวพทุ ธและ และเขียนอธิบายหรือ และเขียนอธิบายหรือ ของชาวพทุ ธและ ชาวพทุ ธและเขียน เขียนอธิบายหรือ สรุปการปฏิบตั ิ-ตนตอ่ สรุปการปฏบิ ตั ิ-ตนตอ่ เขยี นอธิบายหรือ อธิบายหรือ สรุปการปฏิบตั ิ-ตน วดั หรือศาสนสถาน วดั หรือศาสนสถาน สรุปการปฏบิ ตั ิ-ตน สรุปการปฏบิ ตั ิ-ตนต่อ ต่อวดั หรือ ไดส้ มั พนั ธเ์ ชื่อมโยงให้ ไดส้ มั พนั ธก์ นั ต่อวดั หรือ วดั หรือ ศาสนสถาน เห็นเป็นภาพรวมแสดง มีการจาแนกแสดงให้ ศาสนสถาน ศาสนสถานได้ ใหเ้ ห็นความสมั พนั ธ์ เห็นถึงความสมั พนั ธก์ บั ไดส้ มั พนั ธส์ อดคลอ้ ง แตย่ งั ไม่สอดคลอ้ งกบั กบั ตนเองและบคุ คลอ่ืน ตนเองอยา่ ง กบั ขอ้ มลู และ ขอ้ มูลและเขยี นตาม เป็ นเหตุเป็ นผล มีการเขียนอธิบาย ขอ้ มูลทอ่ี ่านไมม่ ีการ เพม่ิ เตมิ ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย อธิบายเพม่ิ เติม

การประเมินชิ้นงานท่ี 8 ใหผ้ สู้ อนพจิ ารณาจากเกณฑก์ ารประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics) เรื่อง การ แสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ เกณฑ์การ ระดับคะแนน ประเมนิ ฝึกปฏบิ ตั ิ 4 3 21 การแสดงตน เป็นพทุ ธมามกะ ฝึกปฏิบตั ิการแสดง ฝึกปฏบิ ตั ิ ฝึกปฏิบตั ิ ฝึกปฏิบตั ิ ตนเป็นพทุ ธมามกะ การแสดงตน การแสดงตนเป็น การแสดงตน ร่วมกบั ผอู้ ื่นในการ เป็นพทุ ธมามกะ พทุ ธมามกะปฏิบตั ิ เป็นพทุ ธมามกะ พฒั นาใหเ้ กิ มีความรบั ผดิ ชอบ ตามแบบอยา่ งได้ ไดต้ ามแบบอยา่ ง ประโยชน์ตส่ ่วนรวม ต่อการปฏบิ ตั ิ ถูกตอ้ งมีความ หรือทาตามที่ครู และสามารแกป้ ัญหา ร่วมปฏิบตั กิ บั พยายามเรียนรู้ แนะนาเทา่ น้นั ระหวา่ ง การปฏิบตั ิได้ บุคคลอื่นไดด้ ี โดย ในการปฏบิ ตั ิ และเป็นแบบอยา่ ง มีครูและผอู้ ่ืนคอย ใหเ้ หมาะสมกบั ใหก้ บั ผอู้ ื่น ใหก้ ารแนะนาบา้ ง ตนเอง โดยมีครูคอย ใหก้ ารแนะนา

บันทึกหลงั การสอน  ผลการจดั การเรียนการสอน ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________  ปัญหา/อุปสรรค ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________  แนวทางแกไ้ ข ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ลงช่ือ_____________________________ (ผบู้ นั ทกึ ) ( นางสาวจีรวรรณ ปฏวิ งศ์ ) _________/__________/________

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 5 กลุ่มสาระการเรยี นร้สู ังคมศึกษาฯ วิชา สงั คมศึกษาฯ ชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1 เวลา 2 ช่ัวโมง หน่วยท่ี 5 เรือ่ ง การบรหิ ารจิตและเจริญปญั ญา มาตรฐานการเรยี นรู้ ส 1.1 รูแ้ ละเข้าใจประวตั ิ ความสาคญั ศาสดา หลักธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรอื ศาสนาท่ีตนนับถือ และศาสนาอน่ื มศี รัทธาท่ถี ูกตอ้ ง ยดึ มั่น และปฏบิ ตั ิตามหลกั ธรรมเพอ่ื อยู่รว่ มกัน อยา่ งสนั ติสุข ตวั ช้วี ัด ป.1/4 เห็นคุณค่าและสวดมนต์ แผเ่ มตตา มีสติท่ีเป็นพ้นื ฐานของสมาธใิ นพระพุทธศาสนาหรือการพฒั นา จิตตามแนวทางของศาสนาทต่ี นนบั ถอื ตามที่กาหนด สาระสาคัญ การสวดมนต์และแผ่เมตตา การฝึกให้มีสติในการฟัง การคิด การถาม การอ่าน และการเขียนเป็นการ บริหารจิตและเจรญิ ปัญญาทางพระพทุ ธศาสนา สาระการเรยี นรู้ 11.การฝึกสวดมนตแ์ ละแผ่เมตตา 12.ความหมายของสติ สมาธิ และปัญญา 13.การฝึกให้มีสติในการฟัง การคดิ การถาม การอ่าน และการเขยี น สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ใฝ่เรยี นรู้ ตวั ช้วี ดั ที่ 4.1 ตัง้ ใจ เพยี รพยายามในการเรียนและเขา้ รว่ มกจิ กรรมการเรยี นรู้ ชนิ้ งานหรอื ภาระงาน 8. ชน้ิ งานที่ 9 เร่อื ง การสวดมนต์และแผเ่ มตตา 9. ชิ้นงานท่ี 10 เรือ่ ง การฝกึ ให้มีสตใิ นการฟัง การคดิ การถาม การอา่ น และการเขียน การประเมินผล 1. การประเมนิ ผลตวั ชีว้ ดั 1.1 ชนิ้ งานท่ี 9 เรอื่ ง การสวดมนต์และแผเ่ มตตา

เกณฑ์การ ระดับคะแนน ประเมนิ 4 3 2 1 ฝกึ ปฏบิ ัติ ฝกึ ปฏบิ ตั ิ ฝกึ ปฏบิ ัติ ฝึกปฏิบัติ ฝึกปฏิบตั ิ การสวดมนตแ์ ละ การสวดมนต์ การสวดมนต์ การสวดมนต์ การสวดมนต์ แผ่เมตตา และแผเ่ มตตา และแผเ่ มตตา และแผ่เมตตา และแผ่เมตตา พร้อมทง้ั เขยี น พรอ้ มทง้ั เขียน พรอ้ มทง้ั เขยี น พร้อมทงั้ เขียน พร้อมทั้งเขียน อธิบายหรอื สรุป อธิบายหรือ อธิบายหรอื อธบิ ายหรอื สรปุ อธิบายหรือสรุป ประโยชนข์ องการ สรุปประโยชน์ สรปุ ประโยชน์ ประโยชนข์ องการ ประโยชน์ ปฏบิ ตั ิ ของการปฏบิ ัติ ของการปฏบิ ตั ิ ปฏบิ ัติ ของการปฏิบัติ ร่วมกบั ผู้อ่นื ได้ ได้สัมพันธก์ นั ตามแบบได้ ไดต้ ามแบบอยา่ ง สมั พันธเ์ ชอ่ื มโยง โดยมีครแู ละ ถกู ตอ้ งเหมาะสม ที่ครูแนะนา กบั การปฏิบตั ิและ ผอู้ ืน่ ให้การ กบั ตนเอง โดยมี เทา่ นน้ั และเขยี น เปน็ แบบอยา่ ง แนะนาบ้างและ ครูและผ้อู ื่น อธบิ ายหรือสรปุ ให้ผูอ้ ื่นได้ เขยี นสรุปการ ให้การแนะนาบ้าง ตามข้อมูลท่ีอ่าน ปฏบิ ัติได้ และมกี ารเขียน ไม่มกี ารอธิบาย สอดคลอ้ งกัน อธบิ ายสรุปให้ เพม่ิ เติม เข้าใจงา่ ย 1.2 ชิ้นงานท่ี 10 เรอ่ื ง การฝึกให้มสี ตใิ นการฟัง การคิด การถาม การอา่ น และการเขียน เกณฑ์การ ระดับคะแนน ประเมิน 4 3 2 1 ฝกึ ปฏบิ ตั ใิ หม้ สี ติ ฝึกปฏิบัตใิ หม้ ีสติ ฝึกปฏิบตั ิใหม้ ีสติ ฝกึ ปฏบิ ตั ใิ ห้มสี ติ ฝกึ ปฏบิ ัติใหม้ ีสติ ในการฟงั การคิด ในการฟงั การคดิ ในการฟงั การคดิ ในการฟงั การคิด ในการฟงั การคิด การถาม การอา่ น การถาม การอ่าน การถาม การอ่าน การถาม การอา่ น การถาม การอา่ น และการเขยี น และการเขยี น และการเขยี นได้ และการเขยี น และการเขียนได้ ร่วมกับผู้อ่นื ไดใ้ น ตามทตี่ นเอง ตามแบบได้ ตามแบบอยา่ ง การพฒั นา คดิ ข้นึ มาเอง ถกู ต้อง มกี าร ท่ีครูยกตวั อย่าง ใหเ้ กิดประโยชน์ เพอ่ื ให้มี ปรบั ตวั ได้ ท่ีครแู นะนา ตอ่ สว่ นรวม ประสทิ ธิภาพ เหมาะสมกับ เท่านน้ั และสามารถแก้ไข ท่ดี ขี ้ึนกว่า ตนเอง โดยมีครู ปัญหาในระหวา่ ง แบบอยา่ ง และผ้อู ื่น ปฏบิ ัตไิ ด้ โดยมีครหู รอื ผอู้ ื่น แนะนาบา้ ง แนะนาบา้ ง

2. การประเมินผลคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ ตัวช้ีวัดท่ี 4.1 ตงั้ ใจ เพียรพยายามในการเรยี นและเขา้ รว่ มกจิ กรรมการเรียนรู้ พฤตกิ รรมบง่ ชี้ ไมผ่ า่ น (0) ผ่าน (1) ดี (2) ดีเยีย่ ม (3) 4.1.1 ตง้ั ใจเรียน ไม่ตัง้ ใจเรียน ต้ังใจ เอาใจใส่ ตง้ั ใจเรียน เอาใจใส่ ตัง้ ใจเรยี น เอาใจใส่ ในการเรียน และมคี วาม 4.1.2 เอาใจใสแ่ ละมคี วาม เพียรพยายาม และมีความเพยี ร- เพียรพยายาม ในการเรียน พยายามในการ ในการเรียนรู้ เรียนรู้ เขา้ รว่ ม 4.1.3 สนใจเข้าร่วมกจิ กรรม กจิ กรรมการเรยี นรู้ ต่าง ๆ การเรียนรู้ตา่ ง ๆ การจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ 1. การร่วมกันศกึ ษาความหมายและประโยชน์ของการสวดมนตไ์ หว้พระและแผเ่ มตตา 2. ฝึกปฏิบัติการสวดมนต์ไหว้พระ การท่องบทสวดมนต์ การอ่าน และการร่วมกันฝึกปฏิบัติการท่อง คาแผ่เมตตา 3. การศึกษาความหมายและประโยชน์ของสติ โดยการจดั แบง่ กลุ่มร้องเพลงเกย่ี วกับความหมายของ สติ 4. ร่วมกันฝึกปฏิบัติ โดยการฝกึ สมาธดิ ้วยการนับลมหายใจ และการฝึกสมาธิในการฟงั การคิด การ อ่าน การถาม และการเขียน 5. สรปุ ประโยชน์ของการเป็นผมู้ สี ติ โดยการบนั ทึกคาตอบของนกั เรียนเปน็ แผนภาพ 6. สรุปความรเู้ กย่ี วกบั การบรหิ ารจิตและเจรญิ ปัญญา 7. นกั เรียนและครรู ว่ มกันสรุปความรู้ ดังน้ี การสวดมนต์และแผ่เมตตา เปน็ การบรหิ ารจติ และเจรญิ ปัญญาทางพระพุทธศาสนา สอื่ การเรียนรู้ 9. แถบประโยคบทสวดมนต์ และบทแผ่เมตตา 10.นทิ านเรอ่ื ง หมู่บา้ นแผเ่ มตตา 11.เพลง “ข้ามถนน” 12.ช้ินงานท่ี 9 เรอ่ื ง การสวดมนตแ์ ละแผเ่ มตตา 13.ชน้ิ งานที่ 10 เรื่อง การฝึกให้มีสติในการฟงั การคดิ การถาม การอา่ น และการเขียน

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 11 ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ วชิ า สังคมศึกษาฯ เวลา 2 ช่ัวโมง หน่วยที่ 5 เร่ือง การบริหารจติ และเจริญปญั ญา เวลา 1 ช่ัวโมง เร่ือง การฝึ กสวดมนต์และแผ่เมตตา มาตรฐานการเรียนรู้ ส 1.1 รู้และเขา้ ใจประวตั ิ ความสาคญั ศาสดา หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาท่ตี นนบั ถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาท่ีถูกตอ้ ง ยดึ มน่ั และปฏิบตั ติ ามหลกั ธรรมเพอื่ อยรู่ ่วมกนั อยา่ งสนั ตสิ ุข ตวั ชี้วัด ส 1.1 ป.1/4 เห็นคุณคา่ และสวดมนต์ แผเ่ มตตา มีสติทเ่ี ป็ นพ้นื ฐานของสมาธิในพระพทุ ธศาสนาหรือการ พฒั นาจติ ตามแนวทางของศาสนาท่ีตนนบั ถือตามทก่ี าหนด จดุ ประสงค์การเรียนรู้สู่ตวั ชี้วัด 1. เสนอแนวทางวิธีการปฏิบตั ิตนโดยการสวดมนตแ์ ละแผ่เมตตา (K) 2. ฝึกการปฏบิ ตั ติ นโดยการสวดมนตแ์ ละแผเ่ มตตา (P) 3. เห็นความสาคญั ของการสวดมนตแ์ ละแผเ่ มตตา (A) สาระสาคญั การฝึกสวดมนตแ์ ละแผเ่ มตตาเป็นแนวทางการบริหารจิตและเจริญปัญญาในทางพระพทุ ธศาสนา สาระการเรียนรู้ 1. การฝึกสวดมนต์ 2. การแผเ่ มตตา คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ใฝ่ เรียนรู้ ตวั ช้ีวดั ที่ 4.1 ต้งั ใจ เพยี รพยายามในการเรียนและเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. แผนภาพประโยชนข์ องการสวดมนตไ์ หวพ้ ระและแผเ่ มตตา 2. ชิ้นงานท่ี 9 เรื่อง การสวดมนตแ์ ละแผเ่ มตตา

การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั การสวดมนตไ์ หวพ้ ระ โดยครูใชค้ าถามเพ่ือ กระตุน้ ความคิด ดงั น้ี ทุกเชา้ หลงั เคารพธงชาตแิ ลว้ นกั เรียนตอ้ งทาอยา่ งไร (สวดมนต์ แผ่เมตตา) นกั เรียนกล่าวบทสวดมนตไ์ หวพ้ ระไดจ้ บหรือไม่ (จบ) หลงั เคารพธงชาตินกั เรียนตอ้ งสวดมนตด์ ว้ ยเพราะอะไร (เพื่อทาให้จิตใจสงบ มีสมาธิ พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ) นกั เรียนคิดวา่ การสวดมนตไ์ หวพ้ ระมีประโยชน์อยา่ งไร (ทาให้จิตใจผ่องใส อนั นาไปสู่ การมีปัญญา) จากน้ันครูสรุปให้นกั เรียนฟังวา่ การสวดมนตไ์ หวพ้ ระถือเป็ นการน้อมระลึกถึงพระคุณของพระ รัตนตรัยอนั ประกอบด้วยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถา้ เราทาเป็ นประจาจะทาให้จิตใจผ่องใสและ เกิดปัญญา 2. ครูสาธิตการสวดมนตไ์ หวพ้ ระใหน้ กั เรียนสวดมนตต์ ามทีละวรรค แลว้ ฝึ กท่อง บทสวด มนตใ์ ห้ถูกตอ้ ง โดยครูใหน้ กั เรียนที่นั่งแต่ละแถวออกมากล่าวบทสวดมนตใ์ หค้ รูและเพื่อนแถวอื่นฟังและ ตรวจสอบความถูกตอ้ งทีละแถวจนครบทุกกลุ่ม ถา้ นักเรียนแถวใดยงั มีขอ้ ผิดพลาดให้ครูแนะแนว ทางแก้ไขจนสามารถกล่าวบทสวดมนต์ได้ถูกตอ้ ง 3. ใหน้ กั เรียนเล่นเกมเรียงลาดบั หรรษา โดยมีวธิ ีการเล่น ดงั น้ี แบง่ นกั เรียนออกเป็น 2 กลุ่ม ครูนาแถบประโยคบทสวดมนตม์ าวางสลบั ทกี่ นั บนร่องกระดานดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี สะหวากขาโต ภะคะวะตา ธมั โม อะระหงั สมั มาสมั พทุ โธ ภะคะวา สุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สาวะกะสงั โฆ ธมั มงั นะมสั สามิ พทุ ธงั ภะคะวนั ตงั อะภิวาเทมิ

สงั ฆงั นะมามิ ใหน้ กั เรียนแต่ละกลุ่มคดั เลือกผูแ้ ทนกลุ่ม 6 คน เพื่อออกมาเล่นเกม โดยผแู้ ทนกลุ่มแตล่ ะคน จะถือแถบประโยคคนละ 1 แถบ สมาชิกคนอ่ืนในกลุ่มจะเป็ นผบู้ อกว่าผูแ้ ทนกลุ่มคนใดจะตอ้ งยนื อย่เู ป็ น อนั ดบั แรก อนั ดบั ที่ 2 และอนั ดบั ต่อ ๆ มาจนครบท้งั 6 อนั ดบั เพอื่ เรียงลาดบั บทสวดมนตใ์ หถ้ ูกตอ้ ง ครู และนกั เรียนอีก 1 กลุ่ม ร่วมกนั ตรวจสอบความถูกตอ้ ง จากน้ันทากิจกรรมน้ีอีกคร้ังโดยใหน้ กั เรียนกลุ่มที่ เหลือร่วมกนั ทากิจกรรม 4. ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเกี่ยวกบั การสวดมนตไ์ หวพ้ ระ โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี การกล่าวบทสวดมนตใ์ ห้ถูกตอ้ งมีประโยชน์อยา่ งไร (ได้รับอานิสงส์ของการ สวดมนต์ ได้รับการช่ืนชมว่าเป็ นชาวพทุ ธทด่ี )ี 5. ครูเล่านิทานเรื่อง หมู่บา้ นแผเ่ มตตา ใหน้ กั เรียนฟัง ดงั น้ี นิทานเร่ือง หมู่บ้านแผ่เมตตา หมู่บ้านแห่งหน่ึงอยู่ติดกับป่ ารกทึบซ่ึงมีสัตวป์ ่ าหลายชนิดอาศยั อยู่ เมื่อมี สตั วป์ ่ าหลงเขา้ มาในหมู่บา้ น ชาวบา้ นจะฆ่าสตั วป์ ่ าน้นั แลว้ นามาทาอาหารรับประทาน ต่อมาสตั วป์ ่ าจานวนมากไดล้ อ้ มหมู่บา้ นเอาไวด้ ว้ ยความโกรธแคน้ ผูใ้ หญ่บา้ นจึงให้ ทกุ คนร่วมกนั แผเ่ มตตาใหส้ ตั วป์ ่ า สตั วป์ ่ าจึงกลบั เขา้ ป่ าไป จากน้นั ชาวบา้ นจึงไม่ทารา้ ย สตั วป์ ่ าและแผเ่ มตตาอยา่ งสม่าเสมอ หมู่บา้ นแห่งน้ีจงึ มีความสงบสุขอีกคร้งั หน่ึง ครูใหน้ กั เรียนร่วมกนั อภปิ รายเก่ียวกบั นิทานทฟี่ ัง โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี การที่ชาวบา้ นแผ่เมตตาจะทาให้สัตวป์ ่ ากลับเขา้ ป่ าไดจ้ ริงหรือไม่ เพราะอะไร (ตัวอย่าง คาตอบ ได้ เพราะสัตว์ป่ าได้รับรู้ถงึ ความเมตตาท่ีชาวบ้านมีให้จงึ หายโกรธแค้น) 6. ครูอธิบายใหน้ กั เรียนฟังวา่ การแผเ่ มตตา คือ การต้งั จิตปรารถนาดีขอใหผ้ อู้ ่ืนมีความสุข เป็นการ อุทศิ ส่วนบุญส่วนกศุ ลใหส้ รรพสิ่งท้งั หลายดว้ ยจิตใจบริสุทธ์ิ จากน้นั ครูใชค้ าถาม ดงั น้ี นกั เรียนรูจ้ กั การแผเ่ มตตาหรือไม่ (รู้จัก/ไม่รู้จัก)

การแผเ่ มตตาเป็ นการอุทิศส่วนบุญส่วนกศุ ลให้กบั ส่ิงใด (อุทิศส่วนบุญส่วนกศุ ลให้กับสรรพ ส่ิงท้งั หลาย) นกั เรียนแผเ่ มตตาเป็ นหรือไม่ (เป็ น) นกั เรียนแผเ่ มตตาตอนไหนบา้ ง (หลงั สวดมนต์ไหว้พระตอนเช้า ก่อนนอน) เม่ือนกั เรียนแผเ่ มตตาแลว้ รู้สึกอยา่ งไร (สบายใจ มีความสุข) 7. ครูสาธิตการแผเ่ มตตาใหน้ กั เรียนทอ่ งบทแผเ่ มตตาตามทีละวรรคและใหน้ กั เรียนลองฝึกท่องเอง โดยครูเลือกผูแ้ ทนนักเรียนให้ออกมากล่าวบทแผ่เมตตาคร้ังละ 5 คน โดยมีครูและเพื่อน ในห้องเรียน ร่วมกนั ตรวจสอบความถูกตอ้ งจนครบทุกกลุ่ม 8. ใหน้ ักเรียนแบง่ กลุ่มออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มละเท่า ๆ กนั แลว้ ร่วมกนั เล่นเกมแปลไวไดแ้ ตม้ โดยมี วธิ ีการเล่น ดงั น้ี ครูนาแถบประโยคบทแผเ่ มตตามาติดบนกระดาน ดงั ตวั อยา่ ง ตอ่ ไปน้ี สพั เพ สตั ตา อะเวรา โหนตุ อพั พะยาปัชฌา โหนตุ อะนีฆา โหนตุ สุขี อตั ตานงั ปะริหะรันตุ ใหน้ กั เรียนร่วมกนั อ่านแถบประโยคบทแผเ่ มตตาดงั กล่าวพรอ้ มกนั ครูอธิบายวธิ ีการเล่นเกมใหน้ กั เรียนฟังวา่ ถา้ ครูช้ีไปท่แี ถบประโยคใดแลว้ กลุ่มใด รูค้ าแปล ใหร้ ีบยกมือตอบคาแปลน้นั กลุ่มใดยกก่อนและตอบถูกจะได้ 1 คะแนน จนครบ แถบประโยค ท้งั 5 ใบ จานวน 3 รอบ กลุ่มทไี่ ดค้ ะแนนมากท่ีสุดเป็นกลุ่มชนะ ดาเนินการเล่นเกมจนไดก้ ลุ่มที่ชนะ ครูเรียงแถบประโยคบทแผเ่ มตตาบนกระดานใหถ้ ูกตอ้ งตามลาดบั แลว้ นานกั เรียนอ่านพร้อม บอกคาแปลใหท้ อ่ งตามจานวน 2 รอบ 9. ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเก่ียวกบั การแผเ่ มตตา โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี การกล่าวคาแปลของบทแผ่เมตตามีประโยชน์อย่างไร (ทาให้มีความเข้าใจเก่ียวกับ ความหมายของบทแผ่เมตตา รู้จักเป็ นผู้มเี มตตา อยากช่วยเหลือผู้อื่น)

10. ครูและนักเรียนร่วมกนั สรุปประโยชน์เก่ียวกบั การสวดมนตไ์ หวพ้ ระและแผ่เมตตา เป็ น แผนภาพ ดงั น้ี 3. จติ ใจเบิกบาน อารมณ์ดี 2. ทาใหก้ ารเรียนดีข้ึน 4. เป็นคนมีระเบยี บวนิ ยั 1. เป็นการฝึกจิตใหม้ ีสติ ประโยชน์ของ 5. รู้ความหมายทาใหเ้ กิดปัญญา สมาธิ การสวดมนต์ไหว้พระ 6. มีจิตใจที่โอบออ้ มอารี และแผ่เมตตา มีเมตตา 8. เป็นคนทม่ี ีความประพฤติดี 7. มีความรอบคอบในการ ดาเนินชีวติ 11. ใหน้ กั เรียนและครูร่วมกนั สรุปความรู้ ดงั น้ี การสวดมนตแ์ ละแผเ่ มตตาเป็นการบริหารจติ และเจริญปัญญาเพอื่ ฝึกจิตใจใหเ้ กิดความสงบ มี สมาธิ เกิดปัญญาสามารถนาไปใชแ้ กป้ ัญหาต่าง ๆ ในการดาเนินชีวติ ประจาวนั 12. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็น โดยครูใชค้ าถามทา้ ทาย ดงั น้ี การสวดมนตไ์ หวพ้ ระและแผเ่ มตตาอยา่ งไร จึงจะเกิดประโยชน์ตอ่ นกั เรียน ส่ือการเรียนรู้ 1. แถบประโยคบทสวดมนตแ์ ละบทแผเ่ มตตา 2. นิทานเร่ือง หมู่บา้ นแผเ่ มตตา 3. ช้ินงานท่ี 9 เรื่อง การสวดมนตแ์ ละแผเ่ มตตา การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ 1. วิธีการวัดและประเมนิ ผล

1.1 สงั เกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในการเขา้ ร่วมกิจกรรม 1.2 สังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม 1.3 ตรวจช้ินงานท่ี 9 2. เคร่ืองมือ 2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรม 2.2 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม 3. เกณฑ์การประเมิน 3.1 การประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรม ผา่ นต้งั แต่ 2 รายการ ถือวา่ ผ่าน ผา่ น 1 รายการ ถือวา่ ไม่ผ่าน 3.2 การประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม คะแนน 9-10 ระดบั ดีมาก คะแนน 7-8 ระดบั ดี คะแนน 5-6 ระดบั พอใช้ คะแนน 0-4 ระดบั ควรปรับปรุง การประเมินชิ้นงานท่ี 9 ใหผ้ สู้ อนพจิ ารณาจากเกณฑก์ ารประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics) เร่ือง การ สวดมนตแ์ ละแผเ่ มตตา เกณฑ์การ ระดับคะแนน ประเมนิ ฝึกปฏิบตั ิ 4 32 1 ฝึกปฏิบตั ิ ฝึกปฏบิ ตั ิ ฝึกปฏิบตั ิ ฝึกปฏบิ ตั ิ การสวดมนตแ์ ละ การสวดมนต์ การสวดมนต์ การสวดมนต์ การสวดมนต์ แผเ่ มตตา และแผเ่ มตตา และแผเ่ มตตา และแผเ่ มตตา และแผเ่ มตตา พร้อมท้งั เขียน พรอ้ มท้งั เขยี น พรอ้ มท้งั เขยี น พร้อมท้งั เขยี น พร้อมท้งั เขยี น อธิบายหรือสรุป อธิบายหรือ อธิบายหรือ อธิบายหรือสรุป อธิบายหรือสรุป ประโยชนข์ อง สรุปประโยชน์ สรุปประโยชน์ ประโยชน์ของการ ประโยชน์ การปฏบิ ตั ิ ของการปฏิบตั ิ ของการปฏิบตั ิ ปฏบิ ตั ิ ของการปฏบิ ตั ิ

ร่วมกบั ผอู้ ่ืนได้ ไดส้ มั พนั ธก์ นั ตามแบบได้ ไดต้ ามแบบอยา่ ง ถูกตอ้ งเหมาะสม ทคี่ รูแนะนา สมั พนั ธเ์ ช่ือมโยง โดยมีครูและ กบั ตนเอง โดยมี เท่าน้นั และเขยี น ครูและผอู้ ื่น อธิบายหรือสรุป กบั การปฏิบตั ิและ ผอู้ ื่นใหก้ าร ใหก้ ารแนะนา ตามขอ้ มูลท่ีอา่ น บา้ งและมีการ ไม่มกี ารอธิบาย เป็นแบบอยา่ ง แนะนาบา้ งและ เขยี นอธิบายสรุป เพม่ิ เตมิ ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ย ใหผ้ อู้ ่ืนได้ เขยี นสรุปการ ปฏบิ ตั ไิ ด้ สอดคลอ้ งกนั

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 12 ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ วิชา สังคมศึกษาฯ เวลา 2 ชั่วโมง หน่วยท่ี 5 เร่ือง การบริหารจิตและเจริญปญั ญา เวลา 1 ช่ัวโมง เรื่อง การฝึ กสติท่ีเป็ นพืน้ ฐานของสมาธิเพื่อเจริญปัญญา มาตรฐานการเรียนรู้ ส 1.1 รู้และเขา้ ใจประวตั ิ ความสาคญั ศาสดา หลกั ธรรมของพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนาทีต่ นนบั ถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกตอ้ ง ยดึ มน่ั และปฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมเพอ่ื อยรู่ ่วมกนั อยา่ งสนั ติสุข ตัวชี้วัด ส 1.1 ป.1/4 เห็นคุณค่าและสวดมนต์ แผ่เมตตา มีสตทิ ี่เป็ นพ้ืนฐานของสมาธิในพระพทุ ธศาสนาหรือการ พฒั นาจิตตามแนวทางของศาสนาทตี่ นนบั ถือตามท่ีกาหนด จดุ ประสงค์การเรียนรู้สู่ตวั ชี้วดั 1. อธิบายหรือนาเสนอแนวทางการปฏิบตั ิใหม้ ีสติ (K) 2. แสดงวธิ ีการปฏิบตั ิตนใหม้ ีสตใิ นการดาเนินชีวติ ประจาวนั (P) 3. เห็นคุณคา่ และความสาคญั ของการฝึกสติ (A) สาระสาคญั สติเป็นพน้ื ฐานใหเ้ กิดสมาธิและปัญญา ผมู้ ีสติอยเู่ สมอไม่ประมาทในการดาเนินชีวติ สาระการเรียนรู้ การฝึกสติทเ่ี ป็ นพน้ื ฐานของสมาธิเพอ่ื เจริญปัญญา คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ใฝ่ เรียนรู้ ตวั ช้ีวดั ท่ี 4.1 ต้งั ใจ เพยี รพยายามในการเรียนและเขา้ ร่วมกิจกรรมการเรียนรู้ สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวติ ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. แผนภาพประโยชนข์ องการเป็นผมู้ ีสติ 2. แผนภาพการฝึกใหม้ ีสติในการเรียน

3. ชิ้นงานที่ 10 เร่ือง การฝึกใหม้ ีสตใิ นการฟัง การคิด การถาม การอ่าน และการเขียน การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1. ใหน้ กั เรียนนง่ั หลบั ตาทาสมาธิโดยการนบั ลมหายใจเขา้ -ออกเป็นเวลา 5 นาที จากน้นั ใหน้ กั เรียน ร่วมกนั แสดงความคิดเห็น โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี เม่ือนง่ั สมาธิแลว้ นกั เรียนรูส้ ึกอยา่ งไร (จิตใจสงบ มสี มาธิ) 2. ครูและนักเรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นเก่ียวกบั การดาเนินชีวติ ประจาวนั ของนักเรียน โดยครู ใชค้ าถาม ดงั น้ี ในแต่ละวนั นกั เรียนทาอะไรบา้ ง (รับประทานข้าว ทาการบ้าน เล่น) ก่อนที่จะทาสิ่งเหล่าน้ีนกั เรียนคิดก่อนทาหรือไม่ (คดิ /ไม่คดิ ) นกั เรียนเคยลืมทาการบา้ นหรือไม่ (เคย/ไม่เคย) ถา้ นกั เรียนลืมทาการบา้ นจะเกิดผลอยา่ งไร (ไม่มีการบ้านส่งครู) ถา้ นกั เรียนไม่ลืมทาการบา้ นจะเกิดผลอยา่ งไร (มีการบ้านส่งครู) 3. ครูอธิบายเกี่ยวกบั สติและประโยชน์ของสติให้นักเรียนฟังดงั น้ี สติคือ ความระลึกได้ สานึกอยู่ เสมอ ไม่ประมาท ทาส่ิงทด่ี ีอยตู่ ลอด ถา้ คนเรามีสติจะทาใหส้ ามารถควบคุมตนเองใหท้ าแต่ส่ิงที่ดี เรียนรู้ได้ เร็ว ความจาดี มีจติ ใจสงบ มนั่ คง ไม่ตน่ื ตกใจง่ายและเป็ นคนรอบคอบ 4. ครูนาเน้ือเพลงขา้ มถนน มาตดิ บนกระดาน แลว้ อ่านเน้ือเพลงใหน้ กั เรียนอ่านตามทีละบรรทดั จนจบ เพลง เพลงข้ามถนน เน้ือรอ้ ง คุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลง ทานอง แสงดาว อยา่ เหม่อมอง ตอ้ งดูขา้ งหนา้ อีกซา้ ยและขวา เมื่อจะขา้ มถนน ถา้ ยวดยานหลาย ตอ้ งอดใจทน อยา่ ตดั หนา้ รถยนต์ ทุกคนจงระวงั เอย (มงแซะมงแซะ แซะมงตะลุ่มตุม้ มง มงแซะมงแซะ แซะมงตะลุ่มตมุ้ มง)

จากน้นั ครูพานกั เรียนร้องทีละบรรทดั โดยให้ปรบมือประกอบจงั หวะขณะร้องจนจบเพลงแลว้ ให้ นกั เรียนรอ้ งเอง 1 รอบ และครูอธิบายเกี่ยวกบั เน้ือหาของเพลงวา่ เวลาขา้ มถนนใหร้ ู้จกั สงั เกตและระมดั ระวงั รถที่วิ่งบนถนน ไม่ควรวิ่งตดั หน้ารถเป็ นการขา้ มถนนอย่างไม่ประมาท ซ่ึงตรงกับหลกั ธรรมทาง พระพทุ ธศาสนาเรื่อง การใชช้ ีวติ อยา่ งมีสตจิ ะทาใหช้ ีวติ ปลอดภยั และมีความสุข 5. ครูและนักเรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั การเล่นและการทาการบา้ นของนักเรียน โดย ครูใชค้ าถาม ดงั น้ี ช่วงเชา้ ก่อนเขา้ แถวนกั เรียนทาอะไร (เล่นกบั เพ่ือน) เวลาเล่นกบั เพอ่ื นนกั เรียนเคยไดร้ บั บาดเจบ็ หรือไม่ อยา่ งไร (เคย หกล้มหัวเข่าถลอก) ถา้ นกั เรียนเล่นอยา่ งระมดั ระวงั จะไดร้ ับบาดเจบ็ หรือไม่ (ไม่) การเล่นอยา่ งระมดั ระวงั เกิดผลดีต่อตนเองอยา่ งไร (ไม่ได้รับอบุ ัติเหตุจากการเล่น) นกั เรียนทาการบา้ นเวลาใด (เวลาเยน็ หลงั เลกิ เรียน) ขณะที่ทาการบา้ นนกั เรียนดูโทรทศั น์ดว้ ยหรือไม่ (ไม่ดู/ดู) นกั เรียนคดิ วา่ ทาการบา้ นแลว้ ดูโทรทศั นไ์ ปดว้ ยกบั ทาการบา้ นแลว้ ไม่ดูโทรทศั น์ แบบไหนจะทาการบา้ นเสร็จก่อน (ไม่ดูโทรทศั น์) จากน้นั ครูสรุปใหน้ กั เรียนฟังวา่ เวลาเราเล่นหรือทางานจะตอ้ งมีสตจิ ดจ่ออยกู่ บั ส่ิงทที่ าแลว้ จะทาให้ เราปลอดภยั และไดร้ ับความสาเร็จจากการทากิจกรรมน้นั ๆ 6. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั สนทนาการฝึ กใหม้ ีสติในการฟัง การคิด การถาม การอ่านและ การเขียน โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี การฝึกสมาธิก่อใหเ้ กิดประโยชน์ตอ่ นกั เรียนอยา่ งไร (ตัวอย่างคาตอบ จติ ใจสงบ แจ่มใส) การฝึกใหเ้ กิดปัญญาในการเรียนหนงั สือ นกั เรียนจะตอ้ งมีสติในเรื่องใดบา้ ง (ตวั อย่างคาตอบ การเขียนหนังสือในห้องเรียน การอ่านหนังสือ การคดิ พิจารณา มีสมาธิในการฟัง ถามเม่ือเกิดข้อสงสัยและ เขียนจดบนั ทกึ สาระทสี่ าคญั ) 7. ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปเป็ นแผนภาพเก่ียวกบั การฝึกใหม้ ีสตใิ นการเรียนลงบนกระดาน ดงั น้ี

คดิ คิดทบทวนเร่ืองที่ฟัง ถาม เม่ือเกิดความสงสยั การฝึ กให้มี อยา่ เกบ็ ไว้ ฟัง มีความ สติในการเรียน อ่าน รูจ้ กั จบั ใจความ สนใจ สาคญั เขยี น จดบนั ทกึ สาระท่ี สาคญั มา 8. ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปประโยชน์ของการเป็ นผูม้ ีสติโดยครูบนั ทึกคาถามของนกั เรียนเป็น แผนภาพลงบนกระดาน ดงั น้ี รู้จกั รบั ผดิ ชอบต่อการเรียน รูจ้ กั คิดก่อนลงมอื ทาส่ิงตา่ ง ๆ มีความต้งั ใจเรียนหนงั สือ ประโยชน์ของ มีความรับผดิ ชอบตนเอง ใชส้ ตดิ าเนินชีวติ ประจาวนั การเป็ นผู้มสี ติ รู้จกั หนา้ ทข่ี องตนเอง 9. ใหน้ กั เรียนและครูร่วมกนั สรุปความรู้ ดงั น้ี สติเป็นพน้ื ฐานเบ้อื งตน้ ทาใหบ้ ุคคลมีสมาธิและเกิดปัญญา รูจ้ กั แกไ้ ขปัญหาตา่ ง ๆ ในการ ดาเนินชีวติ ประจาวนั 10. ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็น โดยครูใชค้ าถามทา้ ทาย ดงั น้ี สติมีคุณค่าตอ่ การศึกษาเล่าเรียนของนกั เรียนอยา่ งไร 11. ใหน้ กั เรียนทาช้ินงานที่ 10 เรื่อง การฝึกใหม้ ีสตใิ นการฟัง การคดิ การถาม การอ่าน และการเขยี น ส่ือการเรียนรู้ 1. เพลง “ขา้ มถนน” 2. ชิ้นงานท่ี 10 เรื่อง การฝึกใหม้ ีสติในการฟัง การคิด การถาม การอ่าน และการเขียน การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้

1. วธิ ีการวัดและประเมนิ ผล 1.1 สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในการเขา้ ร่วมกิจกรรม 1.2 สังเกตพฤตกิ รรมของนกั เรียนในการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม 1.3 ตรวจช้ินงานท่ี 10 2. เครื่องมือ 2.1 แบบสงั เกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรม 2.2 แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม 3. เกณฑ์การประเมิน 3.1 การประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรม ผา่ นต้งั แต่ 2 รายการ ถือวา่ ผ่าน ผา่ น 1 รายการ ถือวา่ ไม่ผ่าน 3.2 การประเมินพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกิจกรรมกลุ่ม คะแนน 9-10 ระดบั ดีมาก คะแนน 7-8 ระดบั ดี คะแนน 5-6 ระดบั พอใช้ คะแนน 0-4 ระดบั ควรปรับปรุง การประเมนิ ชิ้นงานท่ี 10 ใหผ้ สู้ อนพจิ ารณาจากเกณฑก์ ารประเมินผลตามสภาพจริง (Rubrics) เรื่อง การฝึกใหม้ ีสตใิ นการฟัง การคดิ การถาม การอ่าน และการเขียน เกณฑ์การ ระดับคะแนน ประเมิน 4 3 2 1 ฝึกปฏบิ ตั ใิ หม้ ีสติ ฝึกปฏิบตั ิใหม้ ีสติ ฝึกปฏิบตั ิใหม้ ีสติ ฝึกปฏบิ ตั ใิ หม้ ีสติ ฝึกปฏิบตั ิใหม้ ีสติ ในการฟัง การคดิ ในการฟัง การคดิ ในการฟัง การคิด ในการฟัง การคดิ ในการฟัง การคิด การถาม การอ่าน การถาม การอ่าน การถาม การอ่าน การถาม การอ่าน การถาม การอ่าน และการเขียน และการเขยี น และการเขียนได้ และการเขียน และการเขียนได้ ร่วมกบั ผอู้ ื่นได้ ตามทต่ี นเอง ตามแบบได้ ตามแบบอยา่ ง ในการพฒั นา คดิ ข้ึนมาเอง ถูกตอ้ ง มีการ

ใหเ้ กิดประโยชน์ เพอ่ื ใหม้ ี ปรบั ตวั ได้ ทคี่ รูยกตวั อยา่ ง ตอ่ ส่วนรวม ประสิทธิภาพ เหมาะสมกบั ท่คี รูแนะนา และสามารถ ที่ดีข้ึนกวา่ ตนเอง โดยมีครู เท่าน้นั แกไ้ ขปัญหาใน แบบอยา่ ง และผอู้ ื่น ระหวา่ งปฏิบตั ไิ ด้ โดยมีครูหรือ แนะนาบา้ ง ผอู้ ื่นแนะนาบา้ ง

บนั ทกึ หลังการสอน  ผลการจดั การเรียนการสอน ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________  ปัญหา/อุปสรรค ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________  แนวทางแกไ้ ข ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ______________________________________________________________________________ ลงช่ือ_____________________________ (ผบู้ นั ทึก) ( นางสาวจีรวรรณ ปฏวิ งศ์ ) _________/__________/________

หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ วิชา สังคมศึกษาฯ ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 1 หน่วยท่ี 6 เร่ือง วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา เวลา 2 ช่ัวโมง มาตรฐานการเรียนรู้ ส 1.2 เขา้ ใจ ตระหนกั และปฏิบตั ติ นเป็ นศาสนิกชนทีด่ ี และธารงรกั ษาพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนา ที่ตนนบั ถือ ตัวชี้วัด ป.1/3 ปฏบิ ตั ติ นในศาสนพธิ ี พธิ ีกรรม และวนั สาคญั ทางศาสนาตามทก่ี าหนดไดถ้ ูกตอ้ ง สาระสาคญั วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาเป็นวนั ท่ีชาวพทุ ธนึกถึงเหตกุ ารณ์สาคญั ท่เี กิดข้ึน ในพระพทุ ธศาสนา ศาสนพธิ ีเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีปฏิบตั ทิ ่ีเป็นระเบียบแบบแผนทางพระพทุ ธศาสนา สาระการเรียนรู้ 1. วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา : วนั มาฆบชู า วนั วสิ าขบชู า วนั อาสาฬหบูชา และวนั อฐั มีบูชา 2. ศาสนพธิ ี : การบชู าพระรตั นตรยั คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ ตวั ช้ีวดั ท่ี 1.3 ศรทั ธา ยดึ มนั่ และปฏบิ ตั ิตนตามหลกั ของศาสนา สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน ความสามารถในการคิด ชิ้นงานหรือภาระงาน ช้ินงานท่ี 11 เรื่อง วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1. การร่วมกนั ศึกษาความหมาย ความสาคญั เหตกุ ารณ์ท่ีเกิดข้นึ ในวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา และการปฏบิ ตั ติ นในวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา 1.1 วนั มาฆบูชา 1.2 วนั วสิ าขบชู า 1.3 วนั อาสาฬหบูชา 1.4 วนั อฐั มีบชู า

2. การใหน้ ักเรียนฝึกการสวดมนต์ บูชาพระรัตนตรัย และจาแนกวิธีการปฏิบตั ิตน ต่อพระ รตั นตรัย และประโยชนข์ องการบูชาพระรตั นตรัย 3. สรุปความรูเ้ ก่ียวกบั วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา และศาสนพธิ ี 4. นกั เรียนและครูร่วมกนั สรุปความรู้ ดงั น้ี วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาเป็นวนั ทีม่ ีเหตกุ ารณ์สาคญั เกิดข้ึนในพระพทุ ธศาสนา ศาสนพธิ ี เป็นประเพณีปฏบิ ตั ิทางพระพทุ ธศาสนา สื่อการเรียนรู้ 1. พระพทุ ธรูป 2. ภาพพระพทุ ธเจา้ แสดงโอวาทปาติโมกข์ 3. ภาพวนั วสิ าขบชู า 4. ภาพพระพทุ ธเจา้ แสดงธรรมโปรดปัญจวคั คีย์ 5. บทสวดมนต์ บชู าพระรตั นตรัย 6. ช้ินงานที่ 11 เร่ือง วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา การประเมินผล 1. การประเมินผลตัวชี้วดั ชิ้นงานที่ 11 เรื่อง วนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนา เกณฑ์การประเมนิ 4 ระดับคะแนน 1 32 สารวจตนเอง สารวจตนเอง สารวจตนเอง สารวจตนเอง สารวจตนเอง ในการเขา้ ร่วม กิจกรรมใน ในการเขา้ ร่วม ในการเขา้ ร่วม ในการเขา้ ร่วม ในการเขา้ ร่วม วนั สาคญั ทาง พระพทุ ธศาสนาและ กิจกรรมใน กิจกรรมใน กิจกรรมใน กิจกรรมใน เขยี นอธิบายหรือ สรุปการปฏบิ ตั ิตน วนั สาคญั ทาง วนั สาคญั ทาง วนั สาคญั ทาง วนั สาคญั ทาง ได้ แตย่ งั ไม่ สอดคลอ้ งกบั ขอ้ มูล พระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนาและ พระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนา เขยี นตามขอ้ มูลที่ อ่าน ไม่มีการอธิบาย และเขยี นอธิบาย เขยี นอธิบายหรือ และเขยี นอธิบาย และเขียนอธิบาย เพม่ิ เตมิ หรือสรุปการ สรุปการปฏิบตั ติ นได้ หรือสรุปการปฏิบตั ิ หรือสรุปการ ปฏิบตั ติ น สมั พนั ธเ์ ช่ือมโยงกนั ตนได้ ปฏบิ ตั ิตนได้ แสดงให้เห็น มีการจาแนก สอดคลอ้ งกบั ภาพรวมท่ีแสดงถึง สมั พนั ธข์ อ้ มูล ขอ้ มูล มกี ารเขยี น ความสมั พนั ธก์ บั แสดงให้เห็นถึง อธิบายยกตวั อยา่ ง ตนเองและผอู้ ่ืน เพมิ่ เติม

ความสมั พนั ธก์ บั ใหเ้ ขา้ ใจง่าย ตนเองอยา่ ง เป็ นเหตุเป็ นผล 2. การประเมนิ ผลคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ ตัวชี้วัดท่ี 1.3 ศรัทธา ยดึ ม่นั และปฏบิ ตั ติ นตามหลักของศาสนา พฤตกิ รรมบ่งชี้ ไม่ผ่าน (0) ผ่าน (1) ดี (2) ดเี ยีย่ ม (3) 1.3.1 เขา้ ร่วมกิจกรรมทาง ไม่เขา้ ร่วมกิจกรรม เขา้ ร่วมกิจกรรมทาง เขา้ ร่วมกิจกรรมทาง เขา้ ร่วมกิจกรรม ศาสนาทต่ี นนบั ถือ ทางศาสนาที่ตนนบั ถือ ศาสนาทต่ี นนบั ถือ ทางศาสนาทีต่ นนบั ถือ ศาสนาท่ีตนนบั ถือ ปฏิบตั ติ นตาม ปฏบิ ตั ติ นตาม หลกั ของศาสนา หลกั ของศาสนา 1.3.2 ปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ของ ปฏบิ ตั ิตนตามหลกั อยา่ งสม่าเสมอ อยา่ งสม่าเสมอ เป็ นตวั อยา่ งที่ดีของ ศาสนาทต่ี นนบั ถือ ของศาสนาตาม ศาสนิกชน 1.3.3 เป็นแบบอยา่ งท่ีดีของ โอกาส ศาสนิกชน

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 13 ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 1 กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษาฯ วิชา สังคมศึกษาฯ เวลา 1 ช่ัวโมง หน่วยท่ี 6 เรื่อง วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา เวลา 1 ช่ัวโมง เร่ือง วนั สาคญั ทางศาสนา มาตรฐานการเรียนรู้ ส 1.2 เขา้ ใจ ตระหนกั และปฏบิ ตั ิตนเป็ นศาสนิกชนทีด่ ี และธารงรักษาพระพทุ ธศาสนาหรือศาสนา ทีต่ นนบั ถือ ตัวชี้วดั ส 1.2 ป.1/3 ปฏบิ ตั ติ นในศาสนพธิ ี พธิ ีกรรม และวนั สาคญั ทางศาสนาตามทก่ี าหนดไดถ้ ูกตอ้ ง จดุ ประสงค์การเรียนรู้สู่ตัวชี้วดั 1. อธิบายวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา (K) 2. แสดงวธิ ีการปฏิบตั ใิ นวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา (P) 3. เห็นคุณค่าและความสาคญั ในการปฏบิ ตั ิตนในวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา (A) สาระสาคญั วนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนาเป็ นวนั ท่ีมีเหตุการณ์สาคญั เกิดข้ึน ซ่ึงเกี่ยวขอ้ งกับพระพุทธเจา้ และ พระพุทธศาสนา พุทธศาสนิกชนท้งั หลายควรระลึกถึงวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาดว้ ยการ ไปทาบุญ ฟัง ธรรมและบาเพญ็ ประโยชน์ท่วี ดั สาระการเรียนรู้ 1. วนั มาฆบชู า 2. วนั วสิ าขบชู า 3. วนั อาสาฬหบูชา 4. วนั อฐั มีบชู า คุณลักษณะอันพึงประสงค์ รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ ตวั ช้ีวดั ที่ 1.3 ศรทั ธา ยดึ มน่ั และปฏิบตั ิตนตามหลกั ของศาสนา สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน

ความสามารถในความคิด ชิ้นงานหรือภาระงาน 1. แผนภาพเหตุการณ์วนั มาฆบูชาและวนั วสิ าขบชู า 2. แผนภาพเหตกุ ารณ์วนั อาสาฬหบชู า 3. แผนภาพวนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา 4. ช้ินงานท่ี 11 เร่ือง วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 1. ครูและนกั เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั วนั ที่นักเรียนถือวา่ เป็ นวนั สาคญั ของตนเอง โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี วนั ใดบา้ งทนี่ กั เรียนถือวา่ เป็นวนั สาคญั ของตนเอง (ตัวอย่างคาตอบ วนั เกดิ ) เพราะเหตุใดนกั เรียนจึงคิดว่า วนั น้นั เป็ นวนั สาคญั (ตัวอย่างคาตอบ เป็ นวันที่มีอายุเพ่ิมขึน้ เป็ นวนั ที่พ่อแม่ให้ของขวัญ) นกั เรียนรูจ้ กั วนั สาคญั ใดอีกบา้ ง (ตัวอย่างคาตอบ วนั พ่อแห่งชาติ วันแม่แห่งชาติ) จากน้นั ครูอธิบายใหน้ กั เรียนฟังวา่ ในพระพุทธศาสนาก็มีวันสาคัญต่าง ๆ หลายวัน ซ่ึงวนั สาคัญเหล่าน้ีจะ เกี่ยวขอ้ งกับพระพุทธเจ้าและพระพุทธศาสนา เป็ นวนั ที่มีเหตุการณ์สาคัญเกิดข้ึน พุทธศาสนิกชนท้งั หลายควรไปทาบุญ ฟังเทศน์ ฟังธรรม และบาเพญ็ ประโยชน์ที่วดั วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนาทีน่ กั เรียนควรศกึ ษามีหลายวนั เช่น วนั วสิ าขบูชา วนั อาสาฬหบชู า วนั มาฆบชู า วนั อฐั มีบชู า วนั มาฆบูชา 2. ครูนาภาพพระพทุ ธเจา้ แสดงโอวาทปาติโมกข์ ใหน้ กั เรียนร่วมกนั ศึกษา จากน้ันครูเล่าประวตั ิ ความเป็นมาของวนั มาฆบชู าใหน้ กั เรียนฟัง ดงั น้ี วนั มาฆบูชาตรงกบั วนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 3 ซ่ึงเป็ นวนั ที่พระอรหันตท์ ี่พระพทุ ธเจา้ บวชใหจ้ านวน 1,250 องค์ มาประชุมกนั โดยมิไดน้ ัดหมาย ในวนั พระจนั ทร์เต็มดวงและพระพุทธเจา้ ทรงแสดงธรรม โอวาทปาติโมกข์ คือ ละเวน้ ความชวั่ ทาความดีและทาจิตใจใหผ้ อ่ งใส

จากน้นั ครูใหน้ กั เรียนร่วมกนั สนทนา โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี วนั มาฆบชู าตรงกบั วนั ข้ึนก่ีค่า เดือนใด (วันขนึ้ 15 คา่ เดือน 3 ของทกุ ปี ) วนั มาฆบูชามีเหตุการณ์ใดเกิดข้ึนบา้ ง (พระอรหันต์จานวน 1,250 องค์มาประชุมกนั โดยมไิ ด้ นัดหมายในวันพระจนั ทร์เต็มดวง และพระพทุ ธเจ้าเป็ นผู้บวชให้พระสงฆ์ท้ัง 1,250 องค์และพระพุทธเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์แก่พระอรหันต์เหล่าน้ัน) โอวาทปาติโมกข์ หมายถึงอะไร (ละเว้นความชั่ว ทาความดี ทาจติ ใจให้ผ่องใส) ในวนั มาฆบูชานักเรียนเคยทากิจกรรมใดบา้ ง (ทาบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม รักษาศีล เวยี นเทียนและบาเพ็ญประโยชน์ที่วัด) 3. ครูอธิบายเพิม่ เติมว่า วนั มาฆบูชา เรียกอีกอยา่ งวา่ วนั จาตุรงคสนั นิบาต คือวนั ท่ีมีเหตุการณ์ 4 อยา่ งมาบรรจบในวนั เดียวกนั โดยครูสรุปเป็ นแผนภาพลงบนกระดาน ดงั น้ี พระอรหนั ตท์ ้งั หมดลว้ นเป็นผทู้ ่ีพระพทุ ธเจา้ บวชให้ 2 พระพุทธเจา้ ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ คือสอนให้ละเวน้ จากความชว่ั ทาความดี และทาจิตใจใหบ้ ริสุทธ์ิ เหตกุ ารณ์ 1 วันมาฆบูชา 3 พระอรหนั ต์ 1,250 องค์ มาประชุมกนั โดยมิได้ นดั หมาย 4 เหตุการณ์ตรงกบั วนั เพญ็ ข้ึน 15 ค่า เดือน 3 วนั วสิ าขบชู า 4. ครูนาภาพเก่ียวกบั วนั วิสาขบูชาใหน้ ักเรียนร่วมกนั ศึกษาแลว้ ให้ครูเล่าให้นกั เรียนฟังเก่ียวกบั วนั วิ สาขบูชา ดงั น้ี

วนั วสิ าขบูชาเป็นวนั ทมี่ ีเหตุการณ์สาคญั เกิดข้นึ ในพระพทุ ธศาสนา คอื เป็ นวนั ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ประสูติ ตรัสรูแ้ ละปรินิพพาน ซ่ึงตรงกบั วนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 6 เหมือนกนั แตต่ า่ งปี กนั จากน้นั ครูและนกั เรียนร่วมกนั สนทนา โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี วนั วสิ าขบูชาตรงกบั วนั ข้นึ ก่ีค่า เดือนใด (วนั ขนึ้ 15 คา่ เดือน 6 ของทกุ ปี ) วนั วสิ าขบชู ามีความสาคญั อยา่ งไร (เป็ นวนั ท่ีพระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน) คาวา่ ประสูติ หมายถึงอะไร (เกดิ ) คาวา่ ตรัสรู้ หมายถึงอะไร (รู้แจ้งในธรรม สาเร็จเป็ นพระพทุ ธเจ้า) คาวา่ ปรินิพพาน หมายถึงอะไร (ตาย) ในวนั วสิ าขบูชานกั เรียนเคยทากิจกรรมใดบา้ ง (ทาบญุ ตกั บาตร เวียนเทยี น เป็ นต้น) 5. ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปวนั วสิ าขบูชาเป็นแผนภาพลงบนกระดาน ณ ตน้ ศรีมหาโพธ์ิ ตรัสรู้ พทุ ธคยา ประเทศอินเดีย ตอนพระชนมายุ 35 พรรษา ระยะเวลา 45 พรรษา ที่เผยแผ่ พระพทุ ธศาสนา ประสูติ เหตุการณ์ ปรินิพพาน วันวสิ าขบูชา ณ เมืองกสุ ินารา ณ สวนลุมพนิ ีวนั ประเทศเนปาล (สารนาถ) ประเทศอินเดีย ตอนพระชนมายุ 80 พรรษา เหตุการณ์ท้งั 3 วนั ตรงกบั วนั เพญ็ 6. ครูนาภาพพระพทุ ธเจา้ แสดงธขร้นึ ร1ม5โปค่ราดเดปือัญนจ6วคั คียใ์ หน้ กั เรียนร่วมกนั ศกึ ษา จากน้นั ครูเล่าประวตั ิ ความเป็นมาของวนั อาสาฬหบูชา ใหน้ กั เรียนฟัง ดงั น้ี วนั อาสาฬหบูชาเป็ นวนั ที่พระพุทธเจา้ แสดงธรรมเทศนากณั ฑ์แรก เรียกว่า ธมั มจกั กปั ปวตั นสูตร แก่ปัญจวคั คยี ท์ ้งั 5 มีพระอญั ญาโกณฑญั ญะไดด้ วงตาเห็นธรรม และทูลขออุปสมบทเป็ นพระภิกษุรูปแรกในพระพทุ ธศาสนา และมีปัญจวคั คียท์ ่ีเหลือ ได้ดวงตาเห็นธรรมทูลขออุปสมบทจนเกิดมีพระรัตนตรัยครบองค์ 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในวนั เพญ็ ข้นึ 15 ค่า เดือน 8

จากน้นั ครูและนกั เรียนร่วมกนั สนทนา โดยครูใชค้ าถาม ดงั น้ี วนั อาสาฬหบชู าตรงกบั วนั ข้ึนก่ีค่า เดือนใด (วนั ขนึ้ 15 คา่ เดือน 8 ของทุกปี ) วนั อาสาฬหบูชามีความสาคญั ต่อพระพุทธศาสนาอยา่ งไร (เป็ นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ธรรมคร้ังแรกช่ือ ธัมมจกั กปั ปวัตนสูตร พระอัญญาโกณฑญั ญะได้ดวงตาเห็นธรรมและทูลขออุปสมบทเป็ น พระภิกษุรูปแรกและปัญจวัคคีย์ที่เหลือทูลขออปุ สมบทตามจึงทาให้เกิดพระสงฆ์ครบองค์ประชุม ทาให้มี พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกดิ ครบสมบูรณ์) ในวนั อาสาฬหบูชาพทุ ธศาสนิกชนควรทากิจกรรมใดบา้ ง (ทาบญุ ตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม รักษาศีลและบาเพญ็ ประโยชน์ทีว่ ดั ) 7. ครูและนกั เรียนร่วมกนั สรุปวนั อาสาฬหบชู าเป็ นแผนภาพลงบนกระดาน ดงั น้ี มีพระสงฆเ์ กิดข้นึ ในพระพทุ ธศาสนาเป็นคร้งั แรก 2 1 เหตกุ ารณ์ มีพระรัตนตรัยครบสมบูรณ์ คือ พระพทุ ธ พระพทุ ธเจา้ แสดง วนั อาสาฬหบูชา พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมเทศนา ธมั มจกั - กปั ปวตั นสูตรกณั ฑแ์ รก 3 4 เหตกุ ารณ์ตรงกบั วนั เพญ็ ข้นึ 15 ค่า เดือน 8 8. ครูอธิบายเกี่ยวกบั วนั อฐั มีบูชา จากน้นั ครูใชค้ าถามเพอื่ ใหน้ กั เรียนร่วมกนั แสดงความคดิ เห็น ดงั น้ี วนั อฐั มีบูชาตรงกบั วนั ใด (วนั แรม 8 คา่ เดือน 6 หลังจากท่ีพระพทุ ธเจ้าปรินิพพานได้ 8 วัน) วนั อฐั มีบูชามีความสาคญั ต่อพระพุทธศาสนาอยา่ งไร (เป็ นวันที่พระสงฆ์ กษัตริย์และประชาชนทัว่ ไป ร่วมกนั ถวายพระเพลงิ พระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า) การถวายพระเพลิงพระพทุ ธสรีระหรือร่างกายของพระพทุ ธเจา้ ทาข้นึ ที่ใด

(เมืองกสุ ินารา) วนั อัฐมีบูชาพุทธศาสนิกชนควรปฏิบตั ิตนอย่างไร (ทาบุญตักบาตร ฟังธรรม บาเพ็ญ สาธารณประโยชน์ เป็ นต้น) 9. ครูและนกั เรียนร่วมกันสรุปวนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนาจากชว่ั โมงท่ี 1 และชว่ั โมงท่ี 2 เป็ น แผนภาพลงบนกระดาน ดงั น้ี วนั พระพทุ ธเจา้ ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานวนั เพญ็ 15 ค่า เดือน 6 วนั วสิ าขบูชา วนั พระพทุ ธเจา้ แสดง วันสาคญั ทาง วนั อฐั มีบูชา โอวาทปาตโิ มกข์ แก่พระอรหนั ต์ พระพทุ ธศาสนา วนั ถวายพระเพลิงพระพทุ ธสรีระ 1,250 องค์ วนั เพญ็ 15 ค่า เดือน 3 พระพทุ ธเจา้ วนั แรม 8 ค่า เดือน 6 วนั มาฆบูชา วนั อาสาฬหบชู า วนั ทีม่ ีพระรัตนตรยั เกิดข้ึนครบสมบูรณ์ วนั เพญ็ ข้ึน 15 ค่า เดือน 8 10 . ใหน้ กั เรียนร่วมกนั สรุปความรู้ ดงั น้ี วนั อาสาฬหบูชาและวนั อฐั มีบูชาเป็ นวนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนา ท่ีพุทธศาสนิกชนควร ระลึกถึง โดยการปฏบิ ตั ิตนบาเพญ็ บุญและทาประโยชนต์ อ่ พระพทุ ธศาสนา 11. ใหน้ กั เรียนทาช้ินงานที่ 11 เรื่อง วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา ส่ือการเรียนรู้ 1.ภาพพระพทุ ธเจา้ แสดงโอวาทปาติโมกข์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook