Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา

หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา

Description: หนังสือ

Keywords: พระไตรปิฏกศึกษา

Search

Read the Text Version

www.kalyanamitra.org

โอวาท พระเดชพระคุณพระมงคลเทพมุนี(สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย \"การ^กษานั้นเปลี่ยน^ตผู้^กษาให้สูงกว่าพื้นเดิม คนที่มืการดิกษาจะได้อะไรดิกว่า ประณืตกว่าผู้อื่น คนมึวิชชาเท่ากับได้สมป้ดิจักรพรรดิ ไชไม่หมด\" www.kalyanamitra.org

โอวาท พ?ะเดชพ?ะคุณหลวงฟอธมุมชโย \"ถ้าเราเรียนธรรมะ ประดุจนั่งต่อเฉพาะพระพักตร์ของพระบรมศาสดา เราจะ^กษาปรีย้ติธรรมด้วยความเคารพ จะเรียนด้วยความสุขจรีงๆ เพราะ... กว่าจะด้นพบ ๘๔,000 พระธรรมขันธ์ กว่าจะมาเปีนคำสอนอันประเสรีฐได้ พระพุทธเจ้าด้องทรงสร้างบารมีมายาวนานทีเติยว เราแค่คว้ามาเรียนธรรมะ... เปีนความรู้อันสูงสุด เปีนความรู้อันบรีสุทธ... ที่ไม่มีความรู้ใดเสมอเหมีอน เปีนความรู้ที่ทำให้รีวิตสมบูรณ์\" พิมพ์ครั้งที่ ๒0 (พ.ย.๒๕๖๒) www.kalyanamitra.org

คำ นำ องค์ประกอบของทุกศาสนาในโลกมีอผู่ ๕ ส่วนที่สำคัญ คือ ศาสนสถาน ศาสนวัตลุ ศาสนพิธี ศาสนบุคคล และคาสนธรรม ถ้าองค์ประกอบเหส่านี้ไม่เป็นหลักเป็นปีกแผ่นมนคง คาสนานั้นๆ ก็ยากที่จะดำรงอยู่ได้อย่างยาวนาน แต่อย่างไรก็ตาม ไนบรรดาองค์ประกอบ เหส่านั้น ศาสนธรรม คือ ดำ สอนไนคาสนา จัดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุด ถือเป็นรากหรือ แก่นของคาสนาที่ทำไห้ก่อเกิดองค์ประกอบอื่นๆ คือ คาสนบุคคล คาสนพิธี คาสนวัตลุ และคา- สนสถานตามมาไ'นภายหลัง ด้งนั้น คาสนธรรมจึงถือเป็น \"หัวใจของศาสนา\" ที่ทุกๆ คาสนาจะต้องพยายามเก็บ รวบรวมรักษาไว้เป็นอย่างดี รวมทั้งมีระบบการสืบทอดต่อๆ กันมาจนถืงปัจจุบัน ด้งจะเห็นได้ว่า เกือบทุกคาสนาจะมีคัมภีร์หรือตำราที่รวบรวมดำสอนทางคาสนาเอาไว้ เพื่อไห้เป็นหลักไน การคืกษา ลังสอนอบรมคาสนิกของตน ไนพระพุทธคาสนาก็เซ่นเดียวกัน มีคัมภีรํที่รวบรวม พระธรรมดำสอนของพระลัมมาลัมพุทธเจ้าเอาไว้ เราเรืยกว่า \"พระไตรปีฎก\" การที่บรรพบุรุษไทยได้ยอมรับนับถือพระพุทธคาสนาเป็นคาสนาประจำชาติ และได้ น้อมนำหลักธรรมของพระลัมมาลัมพุทธเจ้ามาเป็นหลักไนการปกครองประเทศและการดำเนิน ชีวิต ทำ ไห้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา นับเป็นมหาโซคมหาลาภอันประเสริฐของชาวไทย ที่เกิดมาภายได้ร่มเงาบวรของพระพุทธคาสนา อย่างไรก็ตาม หากเพียงแต่นับถือพุทธ ศาสนาโดยมิได้สนใจสืกษาหลักธรรมคำสอนอย่างจริงจัง ก็คงเปรียบเหมือนมหา เศรษฐืที่รํ่ารวยทรัพย์สมบัติ แต่มิความตระหนี่ จึงไม่เคยได้รับประโยชนํจากทรัพย์ สมบัตินั้นเลย ด้งนั้น การสืกษาเริยนรู่ให้เข้าใจหลักธรรมในพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะ อย่างยิ่งการสิกษาพระไตรปีฎก จึงถือเป็นหน้าที่ที่สำลัญฃองชาวพุทธทุกคน ด้วยเหตุนี้ วัดพระธรรมกายจึงไดํริเริ่มจัดตั้งหลักสูตรการคืกษาพระไตรปิฎกฃึน โดยไห้ ซื่อว่า \"โครงการพระไตรปีฎกสิกษา\" แบ'งการเรืยนการสอนเป็น ๓ ชัน คือ ชันตรื ชันโท และ ชั้นเอก เปิดการเรืยนการสอนครั้งแรกไนปีพุทธคักราช ๒๕:3:๒ โดยเนื้อหาบุ่งเน้นคืกษาพระสูตร ที่สำ คัญไนพระไตรปิฎก ซื่งสามารถนำความเที่ได้จากการคืกษาไปประยุกตไห้ไห้เกิดประโยชน์ ต่อตนเองและทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรไห้กับผู้อื่น อีกทั้งยังเป็นแนวทางไนการคืกษาค้นคว้า พระไตรปิฎกอย่างจริงจังต่อไปไนอนาคต หนังสือเรืยน\"พระไตรปีฏกสิกษา ชั้นตริ\" เล่มนี้ คณะคณาจารย์ผู้'สอนได้ด้นคว้าและ รวบรวมพระสูตรต่างๆ จากหนังสือพระไตรปิฎก จัดทำขืนเป็นรูปเล่มเพื่อไห้ประกอบการคืกษา พิมพ์ค'พั้ที่ ๒0 (พ.ย.๒๕๖๒) www.kalyanamitra.org

ตามหลักสูตร โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ทังต่อผู้เรียนและผู้สนใจ สืกษาเพิ่มเติมไม่มากก็น้อย อีกทั้งจะเป็นป็จลัยล่งเสริมหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา ให้แพร่หลายและดำรงอยู่สืบไป คณะผู้ลัดทำ โครงการพระไตรปิฎกสืกษา พิมพ์ค'พั้ที่ ๒๐ (พ.ย.๒๕๖๒) www.kalyanamitra.org

สารบัญ สารบัญ ะ ก บทที่ ๑ ความรุ้เรื่aงพระไตรริเฦท ๑ วัตถุประสงค์การเรียนรุ ๑ บทนำ ๑ พระไตรปีฎกคืออะไร? ๑ พระไตรปีฎกแบ่งออกเป็นอะไรบ้าง? ๒ ความเป็นมาของพระไตรปีฦก ๒ พระอานนท์เกี่ยวข้องกับพระไตรปีฦกอย่างไร? ๓ พระอุบาลีเกี่ยวข้องกับพระไตรปีฦกอย่างไร ? ๕ พระโสณถุฎิกัณณะเกี่ยวข้องกับพระไตรปีฎกอย่างไร? ๖ พระมหากัสสบ่ะเกี่ยวข้องกับพระไตรปีฦกอย่างไร? ๗ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ร้อยกรองพระธรรมวินัย ๗ พระสารีบุตรแนะนำให้ร้อยกรองพระธรรมวินัย ๘ พระจุนทเถระเรุ้ปรารถนาดี ๘ ๙ การสังคายนาเป็นเหตุให้เกิดพระไตรปีฦก ®o การสวดบ่าฎิโมกข์ต่างจากการสังคายนาอย่างไร? ๑® ไใฌุหาเรื่องการนับครั้งในการทำสังคายนา ๑๒ การนับครั้งสังคายนาที่รุ้กันทั่วไบ่ ๑๒ สังคายนาครั้งที่ ๑ ๑๓ สังคายนาครั้งที่ ๒ ๑๕ สังคายนาครั้งที่ ๓ www.kalyanamitra.org

สังคายนาครั้งที่ ๔ สารบัญ :ข ๑๕ การนับสังคายนาของสังกา การนับสังคายนาของพม่า ๑๗ ๑๘ การนับสังคายนาของไทย การสังคายนาของฝายมหายาน ๑๙ การสังคายนาของนิกายสัพพัตถิกวาท ๒๑ สังคายนานอกประว้ติศาสตร์ ๒๓ ๒๔ ลำดับอาจารย์ผู้ทรงจำพระไตรปีฦก ๒๔ สายวินัยปีฦก สายสฺตดันตปีฦก ๒๕ สายอภิธัมมปีฦก ๒๕ ๒b การชำระและจารึกกับการพิมพ์พระไตรปีฦกในใเระเทศไทfi สมัยที่ ๑ พระเจ้าติโลกราชเมืองเชียงใหม่ ๒b ๒ci) สมัยที่ ๒ รัชกาลที่ ๑ กรุงเทพฯ สมัยที่ ๓ในรัชกาลที่๕ กรุงเทพฯ ๒๗ สมัยที่ ๔ รัชกาลที่๗กรุงเทพฯ ๒^ ลักษณะการจัดหมวดหมุ่ของแต่ละปีฎก ๓๒ ๓๓ วินัยปีฏก ๓b สุตดันตจฎก อภิธัมมปีฏก ๔๒ ลำดับชั้นคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา www.kalyanamitra.org

คำอธิบายพระไตรปีฎก อย่างย่อ ฯ ของพระอรรถกถาจารย์. สารบัญ ะ ค ตัวอย่างพระไตรปีฎกฉบับต่าง ๆ ในประเทศไทย ๔๓ บทที่ ๒ ธรรมชาติโaณเละชีวิต ๔๕ วัตฤประสงค์การเรยนรุ้ ๔๖ ๔๖ บทนำ ๔๖ โลกและชีวิต ความหมายของโลก ๔๗ ๔๗ จุฬนิกาสุตร ๔๙ ความหมายของชีวิต ๕๒ องค์ประกอบของโลกและชีวิต ๕๓ ธาตุวิภังค์ ๕๓ ภาพรวมของโลก ๕๘ วงจรความเป็นไปของโลก ๕๘ 11 ๕๘ แผนผังวงจรความเป็นไปของโลก ๖๐ ความยาวนานของเวลา ๑ ภัป ๖๑ บัพพตสุตร สาสปสุตร ๖® ๖๒ ความยาวนานของโลก สาวกสุตร ๖๓ ๖๓ ตังคาสุตร ๖๔ www.kalyanamitra.org

การแตกทำลายของโลก สารบัญ :ง สัตตสุริยสูตร ๖๖ ภาพรวมของชีวิต ๖๖ กำเนิดมนุษยชาติ ๗๐ อัคคัญญสูตร ๗๑ ความบริสูทธึ๋แห่งวรรณะ ๔ ๗๑ ความปรากฎแห่งง้วนดิน ๗๓ ความปรากฎแห่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เป็นด้น ความปรากฎแห่งสะเก็ดดิน ๗๗ ความปรากฎแห่งเครือดิน ๗๗ ๗๘ ความปรากฎแห่งข้าวสาลีในที่ที่ไม่ด้องไถ ๗๙ ความปรากฎแห่งเพศหญิงและเพศชาย ๗๙ การประพฤติเมถุนธรรม การแปงข้าวสาลี ๘0 ๘0 มหาสมมตราช ๘๑ แวดวงพราหมณ์ ๘๑, แวดวงแพศย์ ๘๔ แวดวงสูทร ๘๕ เรื่องการประพฤติทุจริต เป็นด้น ๘๕ การเจริญโพธิปักขิยธรรม ๘๖ ความยาวนานของการเวียนว่ายตายเกิดของมนุษย์ ๘๗ อัสสูสูตร ๘๙ www.kalyanamitra.org ๙0

สารบัญ :จ ขีรสุตรุ ๙๑ ปฺคคลสุตรุ ๙๒ ทฺคคตสุตรุ ๙๓ สุขิตสุตรุ ๙๓ ติงสมัตตสุตรุ ๙๔ มาตุสุตรุ ๙๕ ความเจรุณุและความเสีอมของอายุมนุษย์ ๙๖ จักกวัตติสุตรุ ๙๗ เรื่องพรุะเจ้าจักรุพรุรุติทัฬหเนมิ ๙๘ จักรุวรุรุดิวัตรุลันปรุะเสรุจ ๙๙ การุปรุากฎของจักรุแก้ว ๑00 เรื่องพรุะเจ้าจักรุพรุรุดิองค์ที่ ๒ เป็นต้น ๑๐๒ เรื่องความเที่อมแห่งอายุและวรุรุณะ เป็นต้น ๑๐๔ สมัยที่คนมีอายุขัย ๑๐ปี ๑๑๐ เรื่องความเจรุณุด้วยอายุและวรุรุณะ เป็นต้น ๑๑๑ ความอุมัติของพรุะรุาชาพรุะนามว่าสังขะ ๑๑๓ การุเสด็จอุบัติแห่งพรุะพทธเจ้าพรุะนามว่าเมตไตรุย ๑๑๓ เรื่องความเจรุถเด้วยอายและวรุรุณะ เป็นด้น ของภิกษุ ๑๑๕ ความเข้าใจในเรื่องโลกและชีวิต ๑๑๘ สัมมาทิฎจิที่ยังมีอาสวะ ๑๐ ๑๑๘ บทสรุป ๑๑๙ www.kalyanamitra.org

บทที่๓ ทฦแห่งครุรม สารบัญ เฉ วัตฤประสงค์การเรยนรุ้ ๑๒๑ บทนำ ๑๒๑ ความหมายของกรรม ๑๒๑ กรรม คือ อะไร ๑๒๒ กรรมดีหมายถึงอะไร. ๑๒๒ กรรมชั่วหมายถึงอะไร ๑๒๒ วิบากกรรมคืออะไร ๑๒๒ เกณฑ์การจำแนกกรรมดี กรรมชั่ว ๑๒๒ วงจรของกิเลส กรรม วิบาก ๑๒๒ ผลของวิบากกรรม ๑๒(ร, วิบากกรรมาไจจฺทัน ๑๒๔ วิบากกรรมในโลกหน้า ๑๒๕ f)??3J 6)Icq ๑๒๖ ลักษณะการให้ผลของกรรม G)bDC)) กรรมให้ผลตามหน้าที่(กิจจจตุกกะา ๑๒ กรรมให้ผลตามลำดับกำลัง(ปากทานปริยายจตุกกะา ๑๒๘ กรรมให้ผลตามเวลาที่ให้ผล(ปากกาลจตกก^า ๑๒๙ หลักเหตุและผลในเรื่องกรรม ๑0)๐ จุฬกัมมวิภังคสุตร ร>0)6> เหวทูตสูตร ๑(ร,๒ www.kalyanamitra.org ๑๔0

พาลปัณฑิตลุ[ตรุ สารบัญ วณิชชสุตรุ ๑๔๘ ความซับซ้อนของการุให้ผลกรุรุม ๑๖๓ มหากัมมวิภังคสุตรุ ๑๖๕ วิธีการุล้างบาปในเชิงพรุะพุทธศาสนา ๑๖๕ โลณผลสุตรุ ๑๗๖ อปัณณกสุตรุ ๑๗๖ ๑๘๒ พรุะพุทธเจ้าเสด็จโปรุดชาวบ้านสาลา ๑๘๒ ตรัสอฟ้ณณกธรุรุม ๑๘๓ นัตถิกทิฎจิกับอัตถิกทิฎเ โทษแห่งการุปฎิปติผิด ๑๘๓ คุณแห่งการุปฎิปติชอบ ๑๘๔ ๑๘๕ อกิรุยทิฎจิกับกิรุยทิฦจิ ๑๘๗ โทษแห่งการุปฎิปติผิด ๑๘๘ คุณแห่งการุปฎิปติชอบ ๑๘๙ ๑๙๑ เหตฺกทิฎจุกับอเหตุกทิฎจิ ๑๙๒ โทษแห่งการุปฎิปติผิด ๑๙๔ คุณแห่งการุปฎิปติชอบ ๑๙๕ ความขัดแย้งกันเรุองอรุปพรุหม ๑๙๖ ความขัดแย้งเรื่องภพ ๑๙๗ บุคคล ๔ ปรุะเภท www.kalyanamitra.org

วิชชา ๓ สารบัญ ลี'วกสุตร ๑๙๘ บทสรุป ๒๐๒ บทที่๔ธรรมชาติของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า ๒๐๔ วัตถุประสงค์การเรียนรุ้ ๒๐๖ เนื้อหา ๒0๖ กำเนิดพระโพธิสัตว์. ๒๐๖ นํ้าใจของพระโพธิสัตว์ ๒๐05) อัธยาศัยพระโพธิสัตว์ ๒๐๘ ประเภทของพระโพธิสัตว์ การสร้างบารมีของพระโพธิสัตว์ ๒๐๘ ๒๐๙ บารมี ๑๐ทัศ ประกอบด้วย ๒๐๙ พระโพธิสัตว์ปรารภถึงบารมี ๑๐ ทัศ ๒๑๐ ๒๑๐ กำเนิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประเภทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๑๙ ๒๒๐ หน่วยเวลา ๒๒๑ กัปที่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบังเกิด เรุวเตุ?® พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์บัจจุบัน ๒๒๑, บทที่๕ ความรุเบื้องต้นชาวพุทธและ คุณของพระรัตนตรัท ๒๒๕ วัตถุประสงค์การเรียนรุ้ ๒๒๕ ความร้เนื้องต้นชาวพุทธ ๒๒๕ www.kalyanamitra.org

ธรรมะเบื้องต้น สารบัญ :ฌ ๒๒๕ กาย ๒๒๖ 1ปี กิเลสคืออะไร ๒๒๖ ๒๒๗ โลภะคืออะไร ๒๒๘ การละโลภะ ๒๒๙ ๒๒๙ โทสะคืออะไร ๒๓๐ การละโทสะ ๒๓๐ ๒๓® โมหะคืออะไร ๒๓๒ การละโมหะ ๒๓๓ สรุป ๒๓๔ บุญคืออะไร ๒๓๔ ทำ อย่างไรบุญจึงเกิด ๒๓๕ ๒๓๖ ทานคืออะไร ศีลคืออะไร ๒๓๗ ภาวนาคืออะไร ๒๓๘ ๒๓๙ สรุป คุณของพระรัตนตรัย ๒๓๙ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ๒๓๙ พระพุทธคุณ ๙ พระธรรมคุณ๖ www.kalyanamitra.org

พระสังฆคุณ๙ สารบัญ ะ ญ บทขยายความ ๒๔๐ คุณพระรัตนตรัย ๒๔๑ พระพุทธคุณ๙ ๒๔๑ ๑. อรหัง ๒๔๓ ความหมายของ อรหัง ในนัยที่ ๒ เป็นผุควร ๒๔๓ ๑.ระดับต้น คือ พวกจิตใจหมักหมมด้วยกิเลส ๒๔๔ ๒.ระดับที่สอง คือ พวกอริยโคตร ๒๔๖ ๒.สัมมาสัมพุทโธ ๒๔๖ ๓.วิชชาจรณสัมปันโน ๒๔๘ ๔.สฺคโต ๒๕0 ๕.โลกวิทุ ๖.อนฺตตโร ปฺริสทัมมสารลิ ๒๕๕ ๗.สัตถา เหวมนุสสานัง ๒๕๖ ๘.พุท!ธ ๒๕๙ ๒๖0 &.flfm ๒๖๑ บทสรปพระพุทธคุณ kobe) ๑.\"พระพุทธเจ้า\" คือใคร พระพุทธเจ้าในภาคปริยํติ l®)blo) koblo) พระพุทธเจ้าในภาคปฎิาโติ l®)bkD ๒.พระสัมมาส้มพุทธเจ้าเป็นที่พึ๋งแก่เราใต้อย่างไร ๒๖๒ www.kalyanamitra.org ๒๖๓

พระธรรมคุณ๖ สารบัญ :ฎ ๑.สวากขาโต ภควตา ธัมโม ๒๖๓ ๒.สันทิฎจิโก ๒๖๓ ๓. ปี เใใฟิโก ๒๖๔ ๔.เอหิปัสสิโก ๕.โอปนยิโก ๒๖๔ ๒๖๔ ๖.ปัจจัตุตัง เวทิตัพโพ วิณุณฺหิ ๒๖๔ บทสรุปพระธรรมคุณ ๒๖๔ ๑.ธรรมที่ทรงเห็นและพระธรรมที่ตรัสสอน ๒๖๕ ๒.พระธรรมเป็นที่พึ๋งให้เราได้อย่างไร ๒๖๕ พระสังฆคุณ ๒๖๕ ๑.สฺปฎิป้นโน ภควโต สาวกสังโฆ ๒๖๖ ๒.อุชฺปฎิปันโน ๒๖๖ ๓.ญายปฏิปันโน ๒๖๗ ๔ สามีจิปฎิปันโน ๒๖๗ ๒๖๗ ๑.อาหุเนยโย ๒๖๗ ๒.ปาหฺเนยโย ๒๖๘ ๓.ทักขิเณยโย ๒๖๘ ๔.อัญชลีกรณีโย ๒๖๘ ๕.อนุตตรัง ใเณุญักเขตตัง โลกัสสะ ๒๖๘ บทสรุปพระสังฆคุณ ๒๖๙ www.kalyanamitra.org

พระสงฆ์เป็นที่พงให้เราได้อย่างไร สารบัญ ะ ฏ สรุ!] ๒๖๙ ๒๗๐ www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก :๑ บฑที่ ๑ ความรู้เรื่องพระไตรปีฎก วัตถุประสงค์การเรียนรู้ ๑) เพื่อให้ทราบถึงประวติการเกิดขึ้นและความเป็นมาของคัมภีร์พระไตรปิฎก ๒)เพื่อให้ทราบถึงโครงสร้างของคัมภีร์พระไตรปิฎก บทนำ พระไตรปีฎกคืออะไร? ศาสนาทุกศาสนา ย่อมมีคัมภีร์หรือตำราทางศาสนาเป็นหลักในการสั่งสอน แม้เดิมจะ มิไดขดเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อมนุษย์รู้จักใช้ตัวหนังสือ ก็ได้มีการเขียน การจารึกคำ สอนในศาสนานัน ๆ ไว้ เมื่อโลกเจริญขึ้นถึงคับมีการพิมพ์หนังสือเป็นเล่ม ๆ ได้ คัมภีร์ศาสนา เหล่านั้นก็มีผู้พิมพ์เป็นเล่มขึ้นโดยลำตับ พระไตรปิฎก หรือที่เรียกในภาษาบาลีว่า 'ดิปิฎก' หรือ 'เตปิฎก'นัน เป็นคัมภีร์หรือตำรา ทางพระพุทธศาสนา เช่นเดียวคับไตรเวทเป็นคัมภีร์ของศาสนาพราหมณ์ ไบเบิลของศาสนา คริสต์ อัลกุรอานของศาสนาอิสลาม กล่าวโดยรูปคัพท์คำ ว่า พระไตรปิฎก แปลว่า ๓ คัมภีร์ เมื่อแยกเป็นคำ ๆ ว่า พระ+ไตร+ ปิฎก คำ ว่า พระ เป็นคำแสดงความเคารพหรือยกย่อง คำ ว่า ไตร แปลว่า ๓ คำ ว่าปิฎก แปลได้๒ อย่าง คือแปลว่าคัมภีร์หรือตำราอย่างหนง แปลว่า กระจาดหรือตะกร้าอย่างหมื่ง ที่แปลว่า กระจาดหรือตะกร้า หมายความว่าเป็นที่รวบรวมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไว้เป็นหมวดหมู่ ไม่ให้กระจัดกระจาย คล้ายกระจาดหรือตะกร้าอันเป็นภาชนะใส่ของฉะนัน www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก :๒ พระไตร!เฎกแบ่งออกเป็นอะไรบ้าง? เมื่อทราบแล้วว่า คำ ว่า พระไตรปิฎก แปลว่า ๓ คัมภีร์ หรือ ๓ ปิฎก จึงควรทราบต่อไปว่า ๓ปิฎกนั้นมีอะไรบ้าง และแต่ละปิฎกนั้นมีความหมายหรือใจความอย่างไร ปิฎก๓ นั้นแปงออกดังนี้ ๑) วินัยปิฎก ว่าด้วยวินัยหรือสืลฃองภิกษุ ภิกษุณี ๒)สุตตันตปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาทั่ว ๆ ไป ๓)อภิธัมมปิฎก ว่าด้วยสภาวธรรม(ปรมัตถธรรม)ล้วน ๆ หรือธรรมะที่สำคัญ ในที่นีจะยังไม่กล่าวถึงรายการละเอียดว่า วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก แบ่ง ส่วนออกไปเป็นอะไรอีก เพราะต้องการให้ท่านผู้อ่านได้ทราบข้อความอื่น ๆ เกี่ยวกับ พระไตรปิฎก เช่น ประวิติความเป็นมา เป็นด้น แล้วจึงจะกล่าวถึงส่วนต่าง ๆ ของแต่ละปิฎกใน ภายหลัง ความเป็นมาของพระไตร!เฎก การกล่าวถึงความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก จำ เป็นต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ยังมิได้จด จารกเปนลายลักษณอักษร รวมทังหลักฐานเรืองการท่องจำ และข้อความที่กระจัดกระจายยังมิได้ จัดเปนหมวดหมู่ จนถึงมีการสังคายนา คือจัดระเบียบหมวดหมู่ การจารึกเป็นตัวหนังสือและการ พิมพ์เป็นเล่ม ในเบืองแรกเห็นควรกล่าวถึงพระสาวก ๔ รูป ผูมส่วนเกี่ยวข้องคับประวิติความเป็นมา แห่งพระไตรปิฎก คือ ๑) พระอานนท ผู้เป็นพระอนุชา (ลูกผู้พี่ผู้น้อง) และเป็นผู้อุบืฏฐากรับใช้ใกล้ชิดของ พระนุทธเจ้าในฐานะที่ทรงจำพระทุทธวจนะไว่ได้มาก ๒)พระอุบาลี ผู้เชี่ยวชาญทางวินัย ในฐานะที่ทรงจำวินัยปิฎก ๓)พระโสณกุฏิคัณณะ ผู้เคยท่องจำบางส่วนแห่งพระสุตตันตปิฎก และกล่าวข้อความนั้นปาก เปล่า ในทีเฉพาะพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ได้รับสรรเสริญว่าทรงจำได้ดมาก ทั้งสำเนียงที่ www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก.๓ กล่าวข้อความออกมาก็ชัดเจนแจ่มใส เป็นตัวอย่างแห่งการท่องจำ ในสมัยที่ยังไม่มีการจารึก พระไตรปิฎกเป็นตัวหนังสือ ๔)พระมหากัสสปะ ในฐานะเป็น^เริ่มให้มีการสังคายนา จัดระเบียบพระทุทธวจนะให้เป็น หมวดหมู่ ในข้อนี้ย่อมเกี่ยวโยงไปถึงพระทุทธเจ้า พระสารีบุตร และพระฐนทะ น้องชาย พระสารีบุตร ซึ๋งเคยเสนอให้เห็นความสำคัญของการทำสังคายนา คือจัดระเบียบคำสอนให้ เป็นหมวดหมู่ตังจะกล่าวต่อไป พระอานนท์เกี่ยวข้องกับพระไตรปีฎกอย่างไร ? เมื่อพระบุพธเจ้าเสด็จออกบรรพชา และได้ตรัสรู้แล้วแสดงธรรมโปรดเจ้าลัทธิกับทั้ง พระราชาและมหาชนในแว่นแคว้นต่าง ๆ ในปลายปีแรกที่ตรัสรู้นั้นเอง พระบุทธบีตาก็ทรงส่ง ทูตไปเชิญเสด็จพระศาสดาให้ไปแสดงธรรมโปรด ณ กเงกบีลพัสดุ เมื่อพระบุทธเจ้าเสด็จไปถึง กรุงกบีลพัสดุแสดงธรรมโปรดพระบุทธบีดาและพระประยูรญาติแล้ว พระประยูรญาติต่างพากัน เลื่อมใสให้โอรสของตนออกบวชในสำนักของพระบุทธเจ้าเป็นอันมาก พระอานนท์เป็นโอรสของเจ้าชายอมิโตนทนศากยะ ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าสุทโธ- นนะพระบุทธบีตา เมื่อนับโดยเชือสายจึงนับเป็นพระอนุชาหรือลูกผู้น้องของพระบุทธเจ้า ท่าน ออกบวชพร้อมกับราชกุมารลื่น ๆ อีก คือ ๑ อนุรุทธะ ๒ กัคดุ ๓ กิมพิละ ๔ กัททิยะ รวมเป็น ๕ ท่านในฝ่ายศากยวงศ์ เมื่อรวมกับเทวฑัตซึ๋งเป็นราชกุมารในโกลิยวงศ์ ๑ กับ กุบาลี ซื้งเป็น พนักงานคูษามาลา มีหน้าที่เป็นช่างกัลบกอีก ๑ จึงรวมเป็น ๗ ท่านด้วยกัน ใน ๗ ท่านนีเมือออก บวชแล้วก็มีชื่อเสียงมากอยู่ ๔ ท่าน คือ พระอานนท์เป็นบุทธกุปิฎฐาก ทรงจำพระบุทธวจนะได้ มาก พระอนุรุทธะชำนาญในทิพยจักบุ พระกุบาลีทรงจำและชำนิชำนาญในทางพระวินัย กับ พระเทวทัตมีชื่อเสียงในทางก่อเรื่องยุ่งยากในสังฆมณฑล จะขอปกครองคณะสงฆ์แทน พระบุทธเจ้า กล่าวเฉพาะพระอานนท์ เป็นผู้ที่สงฆ์เลือกให้ทำหน้าที่เป็นบุทธกุป็ฎฐาก คือ ผู้รับใช้ ใกล้ชิดพระบุทธเจ้า ก่อนที่จะรับหน้าที่นี้ ท่านได้ทูลขอพรหรือนัยหนี้งเงื่อนไข ๘ ประการจาก พระบุทธเจ้า เป็นเงื่อนไขฝ่ายปฏิเสธ ๔ ข้อ เงื่อนไขฝ่ายขอร้อง ๔ ข้อ คือ www.kalyanamitra.org

ความรู้ฟองพระไตรปีฎก :๔ เงื่อนไขฝายปฏิเสธ ๑) ถ้าพระ^พระภาคจักไม่ประทานจีวรอันประณีตที่ได้แล้วแก่ข้าพระองค์ ๒)ล้าพระ^พระภาคจักไม่ประทานบิณฑบาต(คืออาหาร) อันประณีตที่ได้แล้วแก่ข้าพระองค์ ๓)ถ้าพระ^พระภาคจักไม่โปรดให้ข้าพระองค์อยู่ในที่ประทับของพระองค์ ๔)ถ้าพระ^พระภาคจักไม่ทรงพาข้าพระองค\"ไปในที่นิมนต์ เงื่อนไขฝายขอร้อง ๑) ถ้าพระองค์จักเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้ ๒)ถ้าข้าพระองค์จักนำบริษัทชงมาเด้าพระองค์แต่ที่ไกล ให้เข้าเด้าได้ไนฃณะที่มาแล้ว ๓)ล้าความสงสัยของข้าพระองค์เกิดขึ้นเมื่อใด ขอให้ได้เข้าเด้าทูลถามเมื่อนั้น ๔)ล้าพระองค์ทรงแสดงข้อความอันใดในทีสับหลังข้าพระองค์ ครันเสด็จมาแล้วจักตรัสบอก ข้อความอันนั้นแก่ข้าพระองค์ พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า ทีขอเงือนไขฝ่ายปฏิเสธนันเพื่ออะไร พระอานนท์กราบทูลว่า เพื่อฟ้องกันผู้กล่าวหาว่า ท่านอุฟ้ฎฐากพระพุทธเจ้าเพราะเห็นแก่ลาภสักการะ ส่วนเงื่อนไขฝ่าย ขอร้อง ๔ ข้อนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสถาม ท่านกึกราบทูลว่า ๓ ข้อด้น เพื่อฟ้องกันผู้กล่าวหาว่า พระอานนทจะอุป็ฎฐากพระพุทธเจ้าทำไมในเมื่อพระพุทธเจ้ๅไม่ทรงถนุเคฐๅะท์นห้ด้ๆยเรื่ ทียูง เท่านี ส่วนเงือนไขข้อธุโดท้ายกึเพือว่าถ้ามีใครถามท่านในที่ลับหลังพระพุทธเจ้าว่ๅ คาถานี้ สูตรนี้ ชาดกนี พระ^พระภาคทรงแสดงในทีไหน ถ้าพระอานนท์ตอบไม่ได้ กึจะมีผู้กล่าวว่าพระ อานนท์ตามเสด็จพระศาสดาไปดุจเงาตามตัว แม้เรื่องเทียงเท่านีกึไม่รู้ เมื่อพระอานนท์กราบทูล ชีแจงตังนันแล้ว พระศาสดากึทรงตกลงประทานพรหรือเงื่อนไขทั้ง ๘ ข้อ เฉพาะพรข้อที ๘ เป็นอุปการะแก่การที่จะรวบรวมพระพุทธวจนะเป็นหมวดหทู่อย่างยิ่ง เพราะเมือพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว พระอานนท์ได้รับหน้าที่ตอบคำถามเกี่ยวกับพระธรรม (พระอุบาลี วินัย) เพื่อจัดระเบียบคำสอนให้เป็นหมวดหมู่ในคราวสังคายนาครั้งที่ ๑ ชงกระทำ ภายหลังพุทธปรินิพพาน ๓ เดือน www.kalyanamitra.org

ความfเรืองพระไตรปีฎก :๕ ในสมัยที่วิชาหนังสือยังไม่เจ1ญพอที่จะใช้บันทึกเรื่องราวได้ดั่งในปัจจุบัน อันเป็นสมัยที่ ไม่มีการจด มนุษย์ก็ด้องอาศัยความจำเป็นเครื่องมือสำคัญในการบันทึกเรื่องราวนั้น ๆ ไว้ แล้ว บอกเล่าต่อ ๆ คันมา การทรงจำและบอกคันด้วยปากต่อ ๆ คันมานี้ เรียกในภาษาบาลีว่า 'มุฃ- ปาฐะ' พระอานนท์เป็นผู้ได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาว่ามีความทรงจำดี สดับตรับฟัง มาก นับว่าท่านได้มีส่วนสำคัญในการรวบรวมคำดั่งสอนของพระทุทธเจา แล้วจัดเป็นหมวดหมู่ ต่าง ๆ สืบมาจนทุกวันนี้ พระทุบาลีเกี่ยวข้องกับพระไตรปีฎกอย่างไร ? เรื่องของพระอุบาลี ผู้เคยเป็นพนักงานคูษามาลาในราชสำนักแห่งกเงกบิลพัสลุก็ น่าสนใจอยู่ไม่น้อย ท่านออกบวชพร้อมคับพระอานนท์และราชกุมารอื่น ๆ ดังกล่าวแล้วช้างด้น และในฐานะที่ท่านเป็นคนรับใช้มาเดิมก็ควรจะเป็นผู้บวชคนกุ[ดท้าย แต่เจ้าชายเหล่านันตกลงกัน ว่าควรให้อุบาลีบวชก่อน ตนจะได้กราบไหว้อุบาลีตามพรรษาอายุ เป็นการแก้ทิฎฐิมานะตังแต่ เรื่มแรกในการออกบวช แต่ท่านก็มีความสามารถสมคับเกียรดิที่ได้รับจากราชกุมารเหล่านัน คือ เมื่อบวชแล้วท่านมีความสนใจกำหนดจดจำทางพระวินัยเป็นพิเศษ มีเรื่องเล่าในพระวินัยปีฎก ว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่องวินัยแก่ภิกนุนั้งหลายแล้วทรงสรรเสรีญวินัย กับสรรเสรีญท่าน พระอุบาลีเป็นอันมาก ภิกนุทั้งหลายจึงพาคันไปเรียนวินัยจากพระอุบาลี นอกจากนัน ในวินัย ปิฎกมีพระพุทธภาษิตโด้ตอบคับพระอุบาลีในข้อปัญหาทางพระวินัยมากมาย เป็นการเฉลย ข้อถามของพระเถระ เรียกชื่อหมวดนี้ว่า\"อุปาลิปัญจกะ\" อุปาลิปัญจกะ มีหัวข้อสำคัญถึง ๑๔ เรื่อง ในการทำสังคายนาครั้งที่ ๑ พระอุบาลีได้รับ มอบหมายให้เป็นผู้ตอบกำถามเกี่ยวคับวินัยปิฎก จึงนับว่าท่านเป็นผู้มส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงใน การช่วยรวบรวมข้อพระวินัยต่าง ๆ ทั้งของภิกนุและภิกนุณีให้เป็นหมวดหมู่หลักฐานมาจนทุก วํนส์ www.kalyanamitra.org

ความflfองพระไตรอฎก ะ๖ พระโสณภูฎิกัฌณะเกี่ยวข้องกับพระไตรปีฎกอย่างไร ? ความจริงท่านผู้นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับพระไตรปิฎก แต่ประวํติของท่านมีส่วนเป็น หลักฐานในการท่องจำพระไตรปิฎก อันช่วยให้เกิดความเข้าใจดีในเรื่องความเป็นมาแห่ง พระไตรปิฎก จึงได้นำเรื่องของท่านมากล่าวไว้!นที่นี้ ด้วยเรื่องของท่านผู้นี้ปรากฎในพระ ลุ[ตตันตปิฎกเล่ม ๒๕ หน้า ๑๖๐ อุทาน มีใจความว่า เดิมท่านเป็นอุบาสก เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด ของพระมหากัจจายนเถระ พำ นักอยู่ใกล้ฎเขาอันทอดเชื่อมเข้าไปในนครชื่อ ภูเรฆระ ใน แคว้นอวันดี ท่านเลื่อมใสในพระมหากัจจายนเถระ และเลื่อมใสที่จะบรรพชาอุปสมบท พระเถระกล่าวว่าเป็นการยากที่จะประพฤติพรหมจรรย์ ท่านจึงแนะนำให้เป็นคฤหัสถ์ ประพฤติ ตนแบบอนาคาริกะคือผู้ไม่ครองเรือนไปก่อน แต่อุบาสกโสณกุฎิกัณณะรบเร้าปอย ๆ ท่านจึง บรรพชาให้ ต่อมาอีก ๓ ปี จึงรวบรวมพระได้ครบ ๑๐ รูป จัดการอุปสมบทให้ หมายความว่า พระโสณะด้องบรรพชาเป็นสามเณรอยู่๓ปีจึงได้อุปสมบทเป็นภิกษุ ต่อมาท่านลาพระมหากัจจายนเถระเดินทางไปเฝัาพระผู้มีพระภาค ณ เชตวนาราม กรูง- สาวัตถี เมื่อไปถึงและพระษุทธเจ้าตรัสถาม ทราบความว่าเดินทางไกลมาจากอวันดีทักขิณาบถ คืออินเดียภาคได้ จึงตรัสสั่งพระอานนท์ให้จัดที่พักให้ พระอานนท์พิจารณาว่าพระองค์คง ปรารถนาจะสอบถามอะไรกับภิกษุรูปนีเป็นแน่แท่จึงจัดที่พักใ'ห้ใบริหารเคียวกับกับพระษุพธเจ้า ในคืนวันนัน พระ^พระภาคประทับนั่งอยู่กลางแจ้งจนดึก จึงเสด็จเข้าสู่ริหาร แม้ พระโสณคุฎิกัณณะก็นั่งอยู่กลางแจ้งจนดึกจึงเข้าสู่ริหาร ครั้นเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าจึงตรัสเชิญ ให้พระโสณะกล่าวธรรม ชื่งท่านได้กล่าวสูตรถึง ๑๖ สูตร อันปรากฏในอัฏฐกวัคถ์(สูตตนิบาต พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๕) จนจบ เมื่อจบแล้วพระ^พระภาคทรงอนุโมทบาสรรเสริญความ ทรงจำ และท'วงทำนองใบการกล่าว ว่าไพเราะสละสลวย แล้วตรัสถามเรื่องส่วบตัวอย่างลื่บอีก เช่นว่ามีพรรษาเท่าไร ออกบวชด้วยมีเหตุผลอย่างไร เรองนีเป็นตัวอย่างทีคีในเรืองความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก ว่าได้มีการท่องจำกันตั้งแต่ ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ใครสามารถหรือพอใจจะท่องจำส่วบไหบ ก็ท่องจำส่วนนั้บ ถึงกับมีครูอาจารย์กันเป็นสาย ๆ เช่น สายรินัย ตังจะกล่าวต่อไป www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก:๗ พระมหากัสสปะเกี่ยวข้องกับพระไตรปีฎกอย่างไร ? พระมหากัสสปะ เป็นผู้บวชเมื่อสูงอายุ ท่านพยายามปฎิบติตนในทางเคร่งครัด แม้จะ ลำ บากบ้างก็แสดงความพอใจว่าจะได้เป็นตัวอย่างแก่ภิกษุรุ่นหลัง พระศาสดาทรงสรรเสริญท่าน ว่าเป็นตัวอย่างในการเข้าสู่สกุล ชักกายและใจห่าง ประพฤติตนเป็นคนใหม่ ไม่คะนองกายวาจา ใจในตระถูล นอกจากนั้นยังทรงสรรเสริญในเรื่องความสามารถในการเข้าฌานสมาป้ติ ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ แม่ไม่ใคร่สั่งสอนใครมาก แต่ก็สั่งสอนคนในทางปฎิบ้ติ คือทำตัว เป็นแบบอย่าง เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ท่านได้เป็นหัวหน้าชักชวนพระสงฆ์ให้ทำ สังคายนา คือร้อยกรองหรือจัดระเบียบพระธรรมวินัย นับว่าท่านเป็น^ส่วนสำคัญยิ่งในการทำ ให้เกิดพระไตรปิฎก อนงในการทำสังคายนาครั้งที่ ๑ ซงท่านชักชวนให้ทำขึ้นนั้น ท่านเองเป็นผู้ ถามทั้งพระวินัยและพระธรรม พระอุบาลีเป็นผู้ตอบเกี่ยวกับพระวินัย พระอานนท์เป็นผู้ตอบ เกี่ยวคับพระธรรม ซงจะกล่าวรายละเอียดในตอนที่ว่าด้วยสังคายนา ได้กล่าวไว้แล้วว่า ในการปรารภนามของพระเถระ ๔ รูป ประกอบความรู้เรื่องความ เป็นมาแห่งพระไตรปิฎก คือ พระอานนท์ พระอุบาลี พระโสณกุฎิคัณณะ และพระมหากัสสปะ นั้น ทำ ใหัมีความเกี่ยวโยงไปถึงพระพุทธเจ้า พระสารีบุตร และพระจุนทะ (น้องชายพระสา- รีษุตร) ตังนี้ พระพุทธเจ้าทรงแนะนำให้ร้อยกรองพระธรรมวินัย สมัยเมื่อนิครนถนาฏบุตร ผู้เป็นอาจารย์เจ้าลัทธิสำคัญคนหนี้งสินชีพ สาวกเกิดแตกคัน พระจุนทเถระผู้เป็นน้องชายพระสารีบุตร เกรงเหตุการลแช่นนั้นจะเกิดแก่พระพุทธศาสนาจึงเข้า ไปหาพระอานนท์เล่าความให้ฟัง พระอานนท์จึงชวนไปเด้าพระพุทธเจ้า เมื่อกราบพุลแล้ว พระองค์ได้ตรัสตอบด้วยข้อความเป็นอันมาก แต่มีอยู่ข้อหนี้งที่สำคัญยิ่ง (ปาสาฑิกสูตร พระ สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑) พระผูมพระภาคตรัสบอกพระจุนทะ แนะให้รวบรวมธรรมภาษิตของ พระองค์ และทำสังคายนา คือจัตระเบียบทั้งโดยอรรถและพยัญชนะเพื่อให้พรหมจรรย์ตังมั่น ยั่งยืนสืบไป www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก :๘ พระทุทธภาษิตที่แนะนำให้รวบรวมทุทธวจนะร้อยกรองจัดระเบียบหมวดหยู่นี้ ถือได้ว่า เป็นเริ่มด้นแห่งการแนะนำ เพื่อให้เกิดพระไตรปิฎกดั่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ พระสารีบุตรแนะนำให้ร้อยกรองพระธรรมวินัย ในสมัยเคียวกันนั้น จากการปรารภเรื่องเคียวกัน คือเรื่องสาวกของนิครนถนาฏบุตรแตก กัน ภายหลังที่อาจารย์สิ้นชีวิต ครวันหนี้ง เมื่อพระ^พระภาคทรงแสดงธรรมจบแล้ว เห็นว่า กิกบุทั้งหลายยังใคร่จะฟังต่อไปอีก จึงมอบหมายให้พระสารีบุตรแสดงธรรมแทน ซึ๋งท่านได้ แนะนำให้รวบรวมร้อยกรองพระธรรมวินัย โดยแสดงตัวอย่างการจัดหมวดหมู่ธรรมะเป็นข้อ ๆ ตังแต่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๑๐ ว่ามีธรรมอะไรบ้างอยู่ในหมวด ๑ หมวด ๒ หมวด ๓ จนถึงหมวด ๑๐ ซื้ง พระผูมพระภาคได้ทรงรับรองว่าข้อคิดและธรรมะที่แสดงนี้คูกต้อง (สังคีติสูต พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๑) หลักฐานในพระไตรปิฎกตอนนีมิได้แสดงว่าพระสารีบุตรเสนอขึ้นก่อน หรือ พระทุทธเจ้าตรัสแก่พระจุนทะก่อน แต่รวมความแล้วก็ด้องถึอว่าทั้งพระพุทธเจ้าและพระสารี- บุตร ได้เห็นความสำคัญของการรวบรวมพระพุทธวจนะร้อยกรองให้เป็นหมวดเป็นหมู่มาแล้ว ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำสังคายนาครั้งที่ ๑ พระจุนทเถระผู้ปรารถนาสื เมือกล่าวถึงเรืองความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก และกล่าวถึงการที่พระพุทธเจ้าทรงแนะ ให้ทำสังคายนาก็คี ล้าไม่กล่าวถึงพระจุนทเถระ ก็ลูเหมือนจะมองไม่เห็นความริเริ่ม เอาใจใส่ และความปรารถนาคีของท่าน ในเมื่อ!เห็นเหตุการณ์ที่สาวกของนิครนถนาฏบุตรแตกกัน เพราะ จากข้อความที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ท่านได้เข้าพบพระอานนท์ถึง ๒ ครั้ง ครั้งแรก พระอานนท์ชวนเข้าเด้าพระพุทธเจ้าด้วยกัน พระพุทธเจ้าก็ตรัสแนะให้ทำสังคายนาตังกล่าวแล้ว ข้างด้น ส่วนครังหลังเมือสาวกนิครนถนาฏบุตรแตกกันมากยิ่งขึน ท่านก็เข้าหาพระอานนท์อีก ขอให้กราบทุลพระพุทธเจ้าเพื่อบ้องกันมิให้เหตุการณ์ทำนองนั้น เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจึงแสดงธรรมแก่พระอานนท์ โดยแสดงโพธิบ้กขิยธรรม อันเป็นหลักของ พระพุทธศาสนา แล้วทรงแสดงมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาท ๖ ประการ อธิกรณ์ ๔ ประการ วิธี ระงับอธิกรณ์ ๗ ประการ กับประการสูดท้ายได้ทรงแสดงหลักธรรมสำหรับอยู่ร่วมกันด้วยความ www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรฃฎก:๙ ผาสุก ๖ ประการที่เรียกว่าสาราณียธรรม อันเป็นไปในทางสงเคราะห์อนุเคราะห์และมีเมตตาต่อ กัน มีความประพฤติและความเห็นในทางที่ดีงามร่วมกัน เรื่องนี้ปรากฏในสามคามสูตรพระ สุตตันตปิฎก เล่ม ๑๔ ซึ๋งควรบันทึกไว้ในที่นี้ เพื่อนุชาคุณ คือความปรารถนาดีของพระจุนท- เถระ ผู้แสดงความห่วงใยในความตั้งมั่นยั่งยืนแห่งพระสุทธศาสนา การสังคายนาเป็นเหตุให้เกิดพระไตรปีฎก แมีในตอนต้น จะไต้ระบุนามของพระเถระหลายท่าน ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพระไตรปิฎก แต่พระไตรปิฎกก็เกิดขึ้นภายหลังที่ท่านพระเถระทั้งหลายไต้ร่วมกันร้อยกรองจัดระเบียบพระ- พุทธวจนะแล้ว ในสมัยของพระพุทธเจ้าเองยังไม่มีการจัดระเบียบหมวดหยู่ ยังไม่มีการจัดเป็น วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก นอกจากมีตัวอย่างการจัดระเบียบวินัยในการสวด ปาฎิโมกข์ลำตับสิกขาบททุกกี่งเดือน ตามพระพุทธนัญญํติและการจัดระเบียบธรรมะในลังคีติ- สูตร และทสุตตรสูตรที่พระสารีบุตรเสนอไว้ กับตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แจงวิธีจัดระเบียบ พระธรรมแก่พระจุนทเถระและพระอานนท์ในปาสาทิกสูตร และสามคามสูตร ตังไต้กล่าวไว้ แล้วในเบื้องต้น พระพุทธเจ้าประทานพระพุทธโอวาทไว้มากหลายต่างกาลเวลา ต่างสถานที่กัน การที่ พระสาวกซึ๋งท่องจำกันไว้ไต้และจัดระเบียบหมวดหมู่เป็นปิฎกต่าง ๆ ในเมื่อพระศาสดานิพพาน แล้ว พอเทียบไต้ตังนี้พระพุทธเจ้าเท่ากับทรงเป็นเจ้าของสวนผลไม้ เช่น ล้มหรืออจุ่น พระเถระผู้ จัดระเบียบหมวดหมู่คำสอน เท่ากับผู้ที่จัดผลไม้เหล่านันห่อกระดาษบรรจุลังไม้ เป็นประเภท ๆ บางอย่างก็ใข้ผงไม้กันกระเทือนใส่แทนห่อกระดาษ ป็ญหาเรื่องของภาชนะที่ใส่ผลไม้เช่นลัง หรือห่อก็เกิดขึ้น คือในชันแรกคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามัน รวมเรียกว่า พระธรรมวินัย เช่นใน สมัยเมื่อใกล้จะปรินิพพาน พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า ธรรมและวินัยที่เราแสดงแล้ว นัญณูติแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของท่านทั้งหลายเมื่อเราล่วงลับไป จึงเป็นอันกำหนดลงเป็นหลักฐานไต้อย่างหนงว่า ในสมัยของพระพุทธเจ้ายังไม่มีคำว่า พระไตรปิฎก มีแต่คำว่า 'ธรรมวินัย' คำ ว่า 'พระไตรปิฎก' หรือ ติปิฎก ในภาษาบาลีมัน มา เกิดขึ้นภายหลังที่ทำสังคายนาแล้ว แต่จะภายหลังสังคายนาครั้งที่เท่าไรจะไต้กล่าวต่อไป www.kalyanamitra.org

ความรู้เรึ่องพระไตรซฎก ะ๑๐ อย่างไรก็ตาม แม้คำว่า พระไตรปิฎก จะเกิดขึ้นในสมัยหลังทุฑธปรินิพพาน ก็ไม่ทำให้สิ่ง ที่บรรจุอยู่ในพระไตรปิฎกนั้นคลายความสำคัญลงเลย เพราะคำว่าพระไตรปิฎกเป็นเพียงภาชนะ กระจาดหรือลังสำหรับใส่ผลไม้ ส่วนตัวผลไม้หรือนัยหนั้งทุทธวจนะก็มีมาแล้วในสมัยที่ พระทุทธเจ้าทรงสั่งสอนพระศาสนา การสวดปาฎิโมกข์ต่างจากการสังคายนาอย่างไร ? การสวดปาฎิโมกข์ คือการ \"ว่าปากเปล่า\" หรือการสวดข้อบัญญํติทางพระวินัย ๑๕๐ ข้อ ในเบืองแรก และ ๒๒๗ ข้อในกาลต่อมาทุก ๆ กงเดือนหรือ ๑๕ วัน เป็นข้อบัญญํติทางพระวินัย ที่ให้พระภิกทุทังหลายต้องลงฟังการกล่าวทบทวนข้อบัญญํติทางพระวินัยนี้ทุก ๑๕ วัน ล้าขาด โดยไม่มีเหตุสมควรต้องปรับอาปติ การสวดปาฎิโมกข์นี้เป็นตัวอย่างอันหนี้งของการบังคับให้ ท่องจำ ซงข้อนัญญ้ติทางพระวินัย แต่ไม่ใช่ทุกท่านสวดพร้อมคัน คงมีผู้สวดรูปเดียว รูปที่เหลือ คอยตั้งใจฟัง และช่วยทักห้วงเมื่อผิด ส่วนการสังคายนานัน แปลตามรูปศัพท์ว่าร้อยกรอง คือประชุมสงฆ์จัดระเบียบหมวดหทุ่ พระพุทธวจนะ แล้วรับทราบทั่วคันในที่ประชุมนั้นว่าตกลงคันอย่างนี้ แล้วก็มีการท่องจำ ลืบ ต่อ ๆ มา ในชั้นเดิมการสังคายนาปรารภเหตุความมั่นคงแห่งพระพุทธศๅสนๆ จึงจัดระเบียบ หมวดหยู่พระพุทธวจนะไร้ ในครั้งต่อ ๆ มาปรากฎมีการถือผิด ดีความหมายผิด ก็มีการชำระ วินิจฉัยข้อที่ถือผิด ดีความหมายผิดนั้น ชี้ขาดว่าที่ถูกควรเป็นอย่างไร แล้วก็ทำการสังคายนา โดย การทบทวนระเบียบเดิมห้าง เพิ่มเดิมของใหม่อันเป็นทำนองนันทึกเหตุการณ์ม้ๅง จัดระเบียบ ใหม่ในบางข้อบ้าง ในชั้นหลัง ๆ เพียงการจารึกลงในใบลาน การสอบทานข้อผิดในใบลาน ก็ เรียกคันว่าสังคายนา ไม่จำเป็นต้องมีเหตุการณ์ถือผิด เข้าใจผิดเกิดขึ้น แต่ความจริงเมื่อพิจารณา รูปคัพท์แล้ว การสังคายนาก็เท่าคับการจัดระเบียบ การปิดกวาดให้สะอาด ทำ ขึ้นครั้งหนี้งก็มี ประโยชน์ครั้งหนี้ง เหมือนการทำความสะอาด การจัดระเบียบที่อยู่อาศัย การสังคายนาจึงต่างจากการสวดปาฎิโมกข์ ในสาระสำคัญที่ว่าการสวดปาฎิโมกข์เป็น การทบทวนความจำของที่ประชุมสงฆ์ทุกกงเดือน เกี่ยวคับข้อปฎิปติทางพระวินัย ส่วนการ สังคายนาไม่มีกำหนดว่าต้องทำเมือไร โดยปกติเมื่อรู้สึกว่าควรจัดระเบียบชำระข้อถือผิดเข้าใจผิด ไต้แล้ว ก็ลงมือทำตามโอกาสอันสมควรแม้เมื่อรู้สึกว่าไม่มีการถือผิดเข้าใจผิด แต่เห็นสมควร www.kalyanamitra.org

ความรู้เรื่องพระไตรปีฎก ะ Q6) ตรวจสอบชำระพระไตรปีฎก แก้ตัวอักษร หรือข้อความที่วิปลาสคลาดเคลื่อน ก็ถือก้นว่าเป็นการ สังคายนา ตังจะกล่าวต่อไป ฟ้ญหาเรื่องการนับครั้งในการทำสังคายนา ในฟ้จ'§บันนี้ ทางประเทศพม่าถือว่า ตั้งแต่เรึ๋มแรกมามีการทำสังคายนารวม ๖ ครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่ ๖ พม่าจัดทำเป็นการใหญ่ ในโอกาสใกล้เคียงกับงานฉลอง ๒๕ 'ทุทธศตวรรษ แล้วฉลองพร้อมกันทีเดียวทั้งการสังคายนาครั้งที่ ๖ และงานฉลอง ๒๕ ทุทธศตวรรษ แต่ตาม หลักฐานของพระเถระฝ่ายใทย ผู้รจนาหนังสือเรื่องสังคีติยวงศ์ หรือประว่ติศาสตร์การสังคายนา กล่าวว่า สังคายนามี ๙ ครั้ง รวมทั้งครั้งที่พระบาทสมเด็จพระทุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงกระทำใน รัชสมัยของพระองศ์คือการสอบทานแก้ไขพระใตรปิฎก แล้วจารลงในใบลานเป็นหลักฐาน โดยเหลุที่ความรู้เรื่องการสังคายนา ย่อมเป็นเรื่องสำคัญในความรู้เรื่องความเป็นมาแห่ง พระไตรปิฎก เพราะฉะนั้น จะได้รวบรวมมติของประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับการทำสังคายนา และ บัญหาเรื่องการนับครั้งมารวมเป็นหลักฐานไว่ในที่นี้ รวมเป็น ๕ หัวข้อ คือ ๑) การนับครั้งสังคายนาที่รู้กันทั้วไป ๒)การนับครั้งสังคายนาของสังกา ๓)การนับครั้งสังคายนาของพม่า ๔)การนับครั้งสังคายนาของไทย ๕)การสังคายนาของฝ่ายมหายาน ในการรวบรวมเรื่องนี ผู้เขียนได้อาศัยหลักฐานจากวินัยปิฎกเล่ม ๗ พร้อมทังอรรถกถา, จากหนังสือมหาวงศ์,สังคีติยวงศ์และบทความของท่าน B.Jinananda ในหนังสือ ๒๕๐๐ Years ofBuddhism ซึ๋งพิมพ์ในโอกาสฉลอง ๒๕'ทุทธศตวรรษในอินเดียและหนังสืออื่น ๆ www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก ะ๑๒ การนับครั้งสังคายนาที่รู้กันทั่วไป การนับครั้งสังคายนาที่!กันทั่วไปก็คือ สังคายนาครั้งที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ซึ๋งทำในอินเดีย อันเป็นของฝ่ายเถรวาท กับอีกครั้งหนงในอินเดียภาคเหนือ ซึ๋งพระเจ้ากนิษกะทรงอุปถัมภ์ อัน เป็นสังคายนาผสมรวมเป็น ๔ ครั้ง แต่ฝ่ายเถรวาทมิได้รับ!ในการสังคายนาครั้งที่ ๔ นั้น เพราะ การสืบสายศาสนาแยกกันคนละทาง ตลอดจนภาษาที่รองรับคัมภีร์ทางศาสนาก็ใช้ต่างกัน คือ ของเถรวาทหรือศาสนาทุทธแบบที่ไทย พม่า สังกา เขมร ลาว นับถือ ใช้ภาษาบาลี 'ส่วนของฝ่ายมหายานหรือศาสนาทุทธแบบที่ญี่ป็น จีน ธิเบต ญวน และเกาหลีนับถือ ใช้ ภาษาสันสกฤต ในสมัยที่ตำราภาษาสันสกฤตสาบสูญก็มีเฉพาะคัมภีร์ที่แปลเป็นภาษาจีนและ ภาษาธิเบตเป็นหสัก แล้วมีผู้แปลสู่ภาษาอื่น ๆ เช่น ญี่ป๋นอีกต่อหนั้ง สังคายนาครั้งที่ ๑ กระทำทึลำสัตตบรรณคูหา ช้างเขาเวภารบรรพต ใกล้กรุงราชคฤห์ ประเทศอินเดีย พระ- มหากัสสปเถระเปีนประธาน และเป็นคู้สอบถาม พระอุบาลีเป็นคู้ตอบข้อซักถามทางวินัย พระอานนท์เป็นคู้ตอบข้อซักถามทางธรรม มีพระอรหันต์ประมกัน ๕00 รูป กระทำอยู่ ๗ เดอนจึงสำเร็จ ในการนีพระเจ้าอชาตศัตรูทรงเป็นผู้อุปถัมภ์ สังคายนาครังนีกระทำภายหลังที่ พระพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงแล้วได้ ๓ เดือน ข้อปรารภในการสังคายนา คือพระมหากัสสปะ ปรารภล้อยคำของภิกษุชือ สุกัฑทะ คู้บวชเมือแก่ เมื่อ!ข่าวปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ภิกษุ ทั้งหลายร้องไห้เศร้าโศก สูกัททะภิกษุก็ห้ามภิกษุเหล่านั้นมิให้เสียใจร้องไห้ เพราะต่อไปนี้จะทำ อะไรได้ตามใจแล้วไม่ด้องมีใครคอยมาชี้ว่านี่ผิด นี่ถูก นี่ควร นี่ไม่ควรต่อไปอีก พระมหากัสสปะ สลดใจในล้อยคำของสูกัททภิกษุ จึงนำเรื่องเสนอที่ประชุมสงฆ์ แล้วเสนอชวนให้ทำสังคายนา ร้อยกรองจัดระเบียบพระธรรมวินัย ซึ๋งก็ได้รับความเห็นชอบ 'ภาษาบาลี เป็นภาษาคล้ายกับภาษามคธในอินเดีย ใช้เมื่อ 2,500 กว่าปีที่ผ่านมา ป๋จชุบันนี้ไม่มีการใช้แล้ว เพราะภาษาบาลีถือ เป็นภาษามคธที่เก็บเฉพาะคำสอนในพระทุทธศาสนาเท่านั้น จึงเรียกว่า\"บาลี\" www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก:๑ฅ มีข้อน่าสังเกตว่า ประว้ติการทำสังคายนาครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ มีปรากฎอยูไน พระไตรปีฎก เล่ม ๘1 อุลลวรค หน้า ๓๗g ถึง ๔๒๓ อันแสดงว่าประว้ติเรื่องนี้คงเพิ่มเข้ามาใน วินัยปีฎก ในการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ นอกจากนั้น ในครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ แห่งการทำ สังคายนานี้ ไม่มีคำกล่าวถึงปีฎกเลย ใช้คำว่า วินัยวิสัชนา (ตอบเรื่องพระวินัย) และธัมมวิสัชนา (ตอบเรื่องพระธรรม) สำ หรับครั้งที่ ๑ และใช้คำว่า ทสวัตลุาJจฉาวิสัชนา (ถามตอบเรื่องวัตลุ ๑๐) สำ หรับครั้งที่ ๒ จึงน่าจะเห็นได้ว่า สังคายนาครั้งแรกและครั้งที่ ๒ ยังไม่ได้แยกเป็น ๓ ปิฎก แต่เรยกว่าธรรมวินัยรวม ๆ ไป โดยรวมสุตตันตปิฎกกับอภิธัมมปิฎกอยู่ในคำว่า ธรรม แต่ในหนังสือชั้นอรรถกถา ซงแต่งขึ้นอธิบายพระไตรปิฎก ภายหลังทุทธปรินิพพาน เกือบพันปี อธิบายเป็นเชิงว่าสุดแต่จะจัดประเภท จะว่าใ'^ทธวจนะมี ๑ ก็ได้ คือมีความหลุดพัน เป็นรสเหมือนทะเล แม้จะมีนั้ามากก็มีรสเดียว คือรสเค็ม จะว่ามี ๒ ก็ได้ คือเป็นพระธรรมกับ พระวินัย จะว่าเป็น ๓ ก็ได้คือไตรปิฎก อันแยกออกเป็นวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก จะว่าเป็น ๕ ก็ได้ โดยแน่งออกเป็น ๕ นิกาย หรือ ๕ หมวด คือ ๑. ทีฆนิกาย(หมวดยาว) ๒.มัชฌิมนิกาย(หมวดน่านกลาง) ๓.สังยุตตนิกาย (หมวดน่ระมวลเรื่องเป็นพวก ๆ) ๔.อังลุตตรนิกาย(หมวดยิ่งด้วยองค์คือจัดข้อธรรมเป็นหมวด ๑ หมวด ๒ เป็นด้น) และ ๕.ขุททกนิกาย (หมวดเล็กน้อยหรือหมวดเบ็ดเตล็ด) การจัดอย่างนิ จัดตามหลัก สุตตันตปิฎก แล้วเอาวินัยปิฎกและอภิธัมมปิฎกมาย่อรวมในาเททกนิกาย คือ หมวดเบ็ดเตล็ด นอกนันยังอธิบายถึงการแน่งพระพุทธวจนะเป็น ๙ ส่วน เป็น ๘๔.๐๐๐ ส่วน ซึงของดไว่ไม่นำมา กล่าวในที่นี้ สังคายนาครั้งที่ ๒ กระทำที่วาลิการาม เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ประเทศอินเดีย พระยสะ กากัณฑกบุตร เปีน ผู้ชักชวน พระเถระที่เป็นผู้ใหญ่ร่วมมือในการนิ ที่ปรากฎชื่อมี ๘ รูน่ คือ ๑.พระสัพพกามี www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก :๑๔ ๒.พระสาฬหะ ๓.พระฃุชชโสภิตะ ๔.พระวาสภคามิกะ ทั้ง ๔ รูปนี้ เป็นชาวปาจีนกะ (มีt?านักอยู่ทางทิศตะวันออก) ๕. พระเรวตะ ๖. พระสัมถูตะสาณวาสี ๗. พระยสะ กากัณฑก- บุตร และ ๘.พระลุ[มนะ ทั้ง ๔ รูปหลังเป็นชาวเมืองปาฐาในการนี้พระเรวตะเป็นผู้ลาม พระสัพ- พกามีเป็นผู้คอบปัญหาทางวินัยที่เกิดขึ้น มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๗๐๐ รูป กระทำอยู่ ๘ เดือนจึง แล้วเสร็จ ลังคายนาครั้งนี้ กระทำภายหลังที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วได้ ๑๐๐ ปี ข้อปรารภใน การทำสังคายนาครั้งนี้ก็คือ พระยสะกากัณฑกบุตร ปรารภข้อปฎิปติย่อหย่อน ๑๐ ประการทาง พระวินัย ของพวกภิกษุวัชชีบุตร เช่น ถือว่าควรเก็บเกลือไวิไนเขนง (เขาสัตว์) เพื่อเอาไว้ฉันได้ ตะวันชายเกินเที่ยงไปแล้ว ๒ นิ้วควรฉันอาหารได้ ควรรับเงินทองได้เป็นด้น พระยสกากัณฑก- บุตรจึงชักชวนพระเถระต่าง ๆ ให้ช่วยกันวินิจฉัย แก้ความถือผิดครั้งนี้ รายละเอียดแห่งการสังคายนาครั้งนี้ ปรากฎในวินัยปิฎก เล่ม ๗ หน้า ๓๙๖ เป็นด้นไป แต่ ไม่ได้กล่าวถึงการจัดระเปียบพระไตรปิฎก คงกล่าวเฉพาะการชำระข้อถือผิด ๑๐ ประการของ ภิกษุพวกวัชชีบุตร ทั้งไม่ได้บอกว่าทำสังคายนาอยู่นานเท่าไร ในอรรถกถา' กล่าวว่า ทำ อยู่ ๘ เดือนจึงสำเร็จ ข้าพเจ้าได้กล่าวเป็นข้อสังเกตไว้ท้ายเรื่องสังคายนาครั้งที่ ๑ แล้วว่า หลักฐานในวินัยปิฎก ทีกล่าวถึงสังคายนาครังที ๑ และครังที่ ๒ ไม่มีกล่าวถึงคำว่า ไตรปิฎกเลย แต่ล้ากล่าวตาม หลักฐานทีปรากฎในหนังสือสมันตปาสาทิกา ซึงแต่งขึนอธิบายวินัยปิฎกเมื่อพุทธปรินิพพาน ล่วงแล้วเกอบพันปี ท่านได้กล่าวไว้ชัดเจนว่า การทำสังคายนาจัดประเภทพระพุทธวจนะ เป็น รูปพระไตรปิฎกได้มีมาแล้วตั้งแต่สังคายนาครั้งที่ ๑ แม้ครั้งที่ ๒ ก็ทำ ซํ้าอีก เพราะฉะนัน ล้าถือตามหลักฐานของอรรถกถา การสังคายนาจัดระเปียบเป็นรูป พระไตรปิฎกก็มีมาแล้วตั้งแต่การสังคายนาครั้งที่ ๑ เป็นด้นมา คือคำอธิบายวินัยปิฎก มีชื่อว่าสมันตปาสาทิกา www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรขฎก:๑๕ สังคายนาครั้งที่ ๓ ได้กล่าวแล้วว่า เรื่องสังคายนาที่ปรากฏไนวินัยปีฎกมีเพียงครั้งที่ ๑ กับครั้งที่ ๒ ส่วนเรื่อง การสังคายนาครั้งที่ ๓ มีปรากฏในชั้นอรรถกถาอันพอเก็บใจความได้ดังนี้ สังคายนาครั้งที่ ๓ กระทำที่อโศการาม กรุงปาตลีบุตร ประเทศอินเดีย พระโมคคลีบุตร ติสสเถระเป็นหัวหน้า มีพระสงฆ์ประชุมกัน ๑,000 รูป ทำ อยู่ ๙ เดือนจึงแล้วเสร็จ สังคายนาครั้ง นี้ กระทำภายหลังที่พระบุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ๒๓๔ หรือ ๒๓๕ปี' ข้อปรารภในการทำสังคายนาครั้งนี้ คือพวกเดียรลีย์ หรือนักบวชศาสนาอื่นมาปลอมบวช แล้วแสดงลัทธิศาสนาและความเห็นของตนว่า เป็นพระพุทธศาสนา พระโมคคลีบุตรติสสเถระ ได้ขอความอุปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราช ชำ ระสอบสวนกำจัตเดียรถีย์เหล่านั้นจากพระ- ธรรมวินัยได้แล้ว จึงลังคายนาพระธรรมวินัย มีข้อน่าสังเกตว่า ในการทำลังคายนาครั้งนี้ พระโมคคลีบุตรได้แต่งคัมภีร์กถาวัตถุ ซึ๋งเป็น คัมภีร์ในอภิธิมมปิฎกเพิ่มขึ้นด้วย ตามประว่ติว่าบทตั้งมีอยู่เดิมแล้ว แต่ได้แต่งขยายให้พิสดาร ออกไป เรื่องกถาวัตถุเป็นเรื่องคำถามคำตอบเกี่ยวคับหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา มีคำ ถาม ๕00 คำ ตอบ ๕00 และเมื่อทำลังคายนาเสร็จแล้ว ก็ได้ส่งคณะพุตไปประกาศพระพุทธศาสนาใน ประเทศต่าง ๆ รวมตั้งพระมหินทเถระ ผู้เป็นโอรสพระเจ้าอโศก ได้นำพระพุทธศาสนาไป ประดิษฐานในลังกาเป็นครั้งแรก การส่งสมณพุตไปในทิศต่าง ๆ ครังนันถือหลักว่าให้ไปครบ ๕ รูป เพิ่อจะไดีไห้การอุปสมบทแก่ผู้เลื่อมใสได้ แต่คงไม่ได้ระบุชื่อหมดทัง ๕ โดยมากออกนาม เฉพาะท่านผู้เป็นหัวหน้า สังคายนาครั้งที่ ๔ การลังคายนาครั้งนีผสมคับฝ่ายมหายาน กระทำคันในอินเดียภาคเหนือ ด้วยความ อุปถัมภ์ของพระเจ้ากนิษกะ ได้กล่าวแล้วว่า ลังคายนาครังนีทางฝ่ายเถรวาท คือฝ่ายทีถือ พระพุทธศาสนาแบบที่ไทย ลาว เขมร พม่า ลังกานับถือ มิได้รับรองเข้าอันดับเป็นครังที่ ๔ 'เป็นเพียงข้อสันนิษฐาน คือ พระเข้าอโศกมหาราช เสวยราชย์๒๑๘ ปี หสังพุทธปรินิพพาน ต่อมาอีก ๑๖ ปี(บางฉบับว่า ๑๗ปี)จึงไข้ทำสังคายนา เมื่อเป็นเช่นนี้จึงข้องนับ ๑ ตั้งแต่ปีเสวยราชย์) www.kalyanamitra.org

ความรู้ฟองพระไตรปีฎก ะ๑๖ เพราะเป็นการสังคายนาของนิกายสัพพัตถิกวาท ชงแยกออกไปจากเถรวาททำผสมกับฝ่าย มหายาน และเพราะมีสายแห่งการสืบต่อสั่งสอนอบรมไม่ติดต่อเกี่ยวข้องกัน จึงไม่มีบันทึก หลักฐานเรื่องนี้ทางเถรวาท ทั้งภาษาที่ใข้สำหรับพระไตรปิฎกก็ไม่เหมือนกัน คือ ฝ่ายมหายานใช้ ภาษาสันสกฤต(บางครั้งก็ปนปรากฤต) ฝ่ายเถรวาทไข้ภาษาบาลี แม้สังคายนาครั้งที่ ๓ ในอินเดีย ซึ๋งกล่าวมาแล้วข้างต้น ทางฝ่ายจีนและธิเบตก็ไม่มีบันทึก รับรองไว้เพราะเป็นคนละสายเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากการสังคายนาครั้งนี้ เป็นที่รู้กันทั่วไปในวงการของ^กษาพระ'V^ทธศาสนา จึงนับว่ามีความสำคัญทางประวติศาสตร์ที่ควรนำมากล่าวไว้ต้วย และเมื่อคิตตามลำดับเวลาแล้ว ก็นับเป็นสังคายนาครั้งที่ ๔ ที่ทำ ในอินเดีย เมื่อประมาณ ค.ศ. ๑๐๐ หรือ พ.ศ. ๖๔๓ เรื่องปีที่ทำ สังคายนานี หนังสือบางเล่มก็กล่าวต่างออกไป สังคายนาครั้งนี้กระทำ ณ เมืองชาลันธร แต่บาง หลักฐานก็ว่าทำที่กาษมีระหรือแคชเมียร์ รายละเฮียตบางประการจะไต้กล่าวถึงตอนที่ว่าต้วยการ สังคายนาของนิกายสัพ'ฬัตถิกวาท มีข้อน่าสังเกต คือหนังสือประว่ติศาสตร์ของอินเดียบางเล่ม' กล่าวว่า ใน ค.ศ. ๖๓๔ (พ.ศ. ๑๑๗๗) พระเจ้าศีลาทิตย์ ไต้จัตให้มีมหาสังคายนาขึ้นในอินเดียภาคเหนือ มีกษัตริย์ ประเทศราชมาร่วมต้วยถึง ๒๑ พระองค์ ใน'พิธีนีมีพระสงฆ์ผู้คงแก่เรียน และพราหมณ์ผู้ทรง ความเมาประชุมกัน ในวันแรกทั้งพระพุทธรูปยูชาในพิธี ในวันที่ ๒ ทั้งรูปลุ[ริยเทพ ในวันที่ ๓ ตังรูปพระศิวะ การสังคายนาครังนีจึงมีลักษณะผสม คือ ทังพุทธ ทั้งพราหมณ์ภิกษุที่เข้าประชุมก็ มีทั้งฝ่ายเถรวาทและมหายาน แต่เมื่อสอบดูหนังสือประว่ติของภิกษุเฮี่ยนจัง^ ซึ๋งนันทึกเหตุการณ์ ตอนนีไว้ต้วย กลายเป็นการประชุมเพือให้มาโต้แย้งกับภิกษุเฮี่ยนจังผู้แต่งตำรายกย่อง พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานไป หาใช่การสังคายนาอย่างไรไม่ ที่นันทึกไว่ไนที่นี้ต้วยก็เ'พื่อให้ หมตนัญหาประว่ติการสังคายนาในประเทศอินเดีย ' BriefHistory ofthe Indian Peoples ของ Sir พ.พ.Hunter ห')ง้า ๘๑ ในภาษาไทยมีหนังสือชื่อประวํติพระถังซัมจั๋ง นายเคงเหลียน ลีบุญเรือง แปลจากภาษาจีน มีซัอความตอนนี้หน้า ๒๓๘ www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรอฎก:๑๗ การนับสังคายนาของลังกา ลังกาซึ๋งนับถือพระพุทธศาสนา ฝ่ายเถรวาทเช่นเดียวกับไทย คงรับรองการสังคายนาทั้ง ๓ ครั้งแรกในอินเดีย แต่ไม่รับรองสังคายนาครั้งที่ ๔ ซงเปีนของนิกายสัพพัตถิกวาทผสมกับฝ่าย มหายาน หนังสือสมันตปาสาทิกา ซื้งแต่งอธิบายวินัยปิฎกกล่าวว่า เมื่อทำสังคายนาครั้งที่ ๓ เสร็จ แล้ว พระมหินทเถระผู้เปีนโอรสของพระเจ้าอโศก พร้อมด้วยพระเถระอื่น ๆ รวมกันครบ ๕ รูป ได้เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสังกา ได้พบกับพระเจ้าเทวานัมปิย ดิสสะ แสดงธรรมให้ พระราชาเลื่อมใส และประดิษฐานพระพุทธศาสนาได้แล้ว ก็มีการประชุมสงฆ์ ให้พระอริฎฐะผู้ เปีนศิษย์ของพระมหินทเถระ สวดพระวินัยเปีนการสังคายนาวินัยปิฎก ส่วนหนังสืออื่น ๆ เช่น กังคีดิยวงศ์ กล่าวว่า มีการสังคายนาทั้งสามปิฎก สังคายนาครั้งนี้ กระทำที่ลูปาราม เมืองอนุราธ- ปีระ มีพระมหินทเถระเปีนประธาน การสังคายนาครั้งนี้ ต่อจากสังคายนาครังที่ ๓ ในอินเดียไม่กี่ปี คือการทำสังคายนาครังที่ ๓ กระทำใน พ.ศ. ๒<๓๕ พอทำสังคายนาเสร็จแล้วไม่นาน (พ.ศ. ๒๓๖) พระมหินทเถระก็ เดินทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาไนสังกา และในปี พ.ศ. ๒๓๘ ก็ได้ทำสังคายนาในสังกา เหตุผลที่อ้างในการทำสังคายนาครั้งนีก็คือ เพื่อให้พระศาสนาตังมั่น เพราะเหตุทีสังคายนาครังนี ห่างจากครั้งแรกประมาณ ๓-๔ ปี บางมติจึงไม่ยอมรับเปีนสังคายนา เช่น มติของฝ่ายพม่าตังจะ กล่าวข้างหน้า ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า สังคายนาครังนี อาจเปีนการวางรากฐานให้ชาวสังกาท่องจำ พระพุทธวจนะ จึงด้องประชุมชีแจงหรือแสดงรูปแห่งพุทธวจนะตามแนวทีได้จัดระเบียบไว่ไน การสังคายนาครั้งที่ ๓ ในอินเดีย ฉะนั้น จึงนับได้ว่าเปีนสังคายนาครังแรกในสังกา สังคายนาครังที่ ๒ ในสังกา กระทำเมื่อประมาณ พ.ศ.๔๓๓'ในรัชสมัยของพระเจ้าวัฎฏ- คามณีอกัย เรื่องที่ปรากฏเปีนเหตุทำสังคายนาครั้งนี้ คือเห็นกันว่าล้าจะใชวธีท่องจำพระพุทธ วจนะต่อไป ก็อาจมีข้อวิปริตผิดพลาดได้ง่าย เพราะปิญญาในการท่องจำของคุลนุดรเสือมถอยลง หลักฐานบางแห่งว่า พ.ศ.๔๕๐ www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก ะ๑๘ จึงตกลงจารึกพระพุทธวจนะลงในใบลาน' มีคำ กล่าวว่า ได้จารึกอรรถกถาลงไว้ด้วย สังคายนา ครั้งนี้กระทำที่ อาโลกเลณสถาน ณ มตเลชนบท ซึ๋งไทยเราเรียกว่า มลัยชนบท ประเทศ ลังกา มีพระรักขิตมหาเถระเป็นประธาน ได้กล่าวแล้วว่า บางมติไม่รับรองการสังคายนาของ พระมหินฑ์ ว่าเป็นครั้งที่ ๔ ต่อจากอินเดีย แต่สังคายนาครั้งที่ ๒ในสังกานี้ได้รับการรับรองเข้า ลำ ดับโดยทั่วไป บางมติก็จัดเข้าเป็นลำดับที่ ๕ บางมติที่ไม่รับรองลังคายนาของพระมหินท์(ครั้ง แรกในลังกา) ก็จัดสังคายนาครั้งที่ ๒ในสังกานี้ว่าเป็นครั้งที่ ๔ ต่อมาจากอินเดีย ลังคายนาครั้งที่ ๓ ในลังกา กระทำเมื่อไม่ถึง ๑๐๐ ปีมานี้เอง คือใน พ.ศ.๒๔๐๘ ^(ค.ศ. ๑๘๖๕) ที่รัตนม่ระในลังกา พระเถระชื่อหิกขทุเว สริธุ[มังคละ เป็นหัวหน้า กระทำอยู่ ๕ เดือน การลังคายนาครังนีน่าจะไม่มีใครรู้กันมากนักนอกจากเป็นบันทึกของชาวลังกาเอง การโฆษณาก็ คงไม่มากมายเหมือนลังคายนาครั้งที่ ๖ ของพม่า การนับสังคายนาของพม่า ได้กล่าวแล้วว่า พม่าไม่รับรองสังคายนาครั้งแรกในสังกา คงรับรองเฉพาะสังคายนาครั้ง ที่ ๒ ของสังกาว่าเป็นครั้งที่ ๔ ต่อจากนั้นก็นับลังคายนาครั้งที่ ๕ และที่ ๖ ซงกระทำในประเทศ พม่า ลังคายนาครั้งแรกในพม่า หรือที่พม่านับว่าเป็นครั้งที่ ๕ ต่อจากครั้งจารึกลงในใบลาน ของลังกา ลังคายนาครั้งนี้ มีการจารึกพระไตรปิฎกลงในแผ่นหินอ่อน ๗๒๙ แผ่น ณ เมือง มันฑะเล ด้วยการอุปถัมภ์ของพระเจ้ามินตง ใน พ.ศ.๒๔๑๔(ค.ศ.๑๘๗๑) พระมหาเถระ ๓ รูป คือ พระชาคราภิวังสะ พระนรึนทาภิธชะ และพระลุ[บังคลสามี ได้ผลัตเปลี่ยนกันเป็นประธาน โตยลำดับ มีพระสงฆ์และพระอาจารย์ผู้แตกฉานในพระปริย้ติธรรมร่วมประชุม ๒,๔๐๐ ท่าน กระทำอยู่ ๕ เดือนจึงสำเร็จ 'ลักษณะการสืบทอดคำสอนของพระไตรปิฎก แบ่งเป็น ๔ ยุค คือ®.ยุคบุขปาฐะ ๒.ยุคใบลาน 0).ยุคฉบับพิมพ์ ๔.ยุค ดจตอล ^ ลังกานับเป็น พ.ศ.๒๔๐๙ www.kalyanamitra.org

ความfศ่องพระไตรปีฎก:๑๙ สังคายนาครั้งที่ ๒ ในพม่า หรือที่พม่านับว่าเป็นครั้งที่ ๖ ที่เรียกว่าฉัฎฐสังคายนา เริ่ม กระทำเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ จนถึงวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นอัน ปิดงาน ในการปิดงานได้กระทำร่วมกับการฉลอง ๒๕ ทุทธศตวรรษ (การนับปีของพม่าเร็วกว่า ไทย®ปีจึงเท่ากับเริ่ม พ.ศ.๒๔๙๘ปิด พ.ศ.๒๕00 ตามที่พม่านับ) พม่าทำสังคายนาครั้งนี้มุ่ง พิมพ์พระไตรปิฎกเป็นข้อแรก แล้วจะจัดพิมพ์อรรถกถา (คำอธิบายพระไตรปิฎก) และคำแปล เป็นภาษาพม่าโดยลำดับ มีการโฆษณาและเชิญชวนทุทธศาสนิกชนหลายประเทศไปร่วมพิธีด้วย โดยเฉพาะประเทศเถรวาท คือ พม่า ลังกา ไทย ลาว เขมร ทั้งห้าประเทศนี้ ลือว่าสำคัญสำหรับ การลังคายนาครั้งนี้มาก เพราะใช้พระไตรปีฎกภาษาบาลือย่างเดียวคัน จึงได้มีสมัยประชุม ชื้ง ประบุขหรือผู้แทนประบุขของทั้งห้าประเทศนี้เป็นหัวหน้า เป็นสมัยของไทย สมัยของสังกา เป็นด้น ได้มีการก่อสร้างคูหาจำลองทำด้วยคอนกรีต ชุคนได้หลายพันคน มีที่นั่งสำหรับพระสงฆ์ ไม่น้อยกว่า ๒,๕00 ที่ บริเวณที่ก่อสร้างประมาณ ๒00 ไร่เศษ เมื่อเสร็จแล้วได้แจกจ่าย พระไตรปิฎกฉบับอักษรพม่าไปในประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศไทยด้วย การนับสังคายนาของไทย ตามหลักสูตรการศึกษาพระปริย้ติธรรมของไทยเรายอมรับรองลังคายนาครังที ๑-๒-(๓ ในอินเดียและครั้งที่ ๑-๒ ในลังกา รวมคัน ๕ ครั้ง ถือว่าเป็นประว่ติที่ควรรู้เกี่ยวกับความเป็นมา แห่งพระธรรมวินัยแต่สมเด็จพระมหาสมณเข้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงถือว่าสังคายนา ในลังกาทั้งสองครั้งเป็นเพียงสังคายนาเฉพาะประเทศ ไม่ควรจัดเป็นสังคายนาทั่วไป จึงทรง บันทึกพระมติไว่ในท้ายหนังสือทุทธประว่ติ เล่ม ๓ แต่ตามหนังสือสังคีติยวงศ์ หรือประวิติแห่งการสังคายนา ซึ๋งสมเด็จพระวันรัต วัด พระเชลุพนรจนาเป็นภาษาบาลีในรัชกาลที่ ๑ ดังแต่ครังเป็นพระพิมลธรรม ได้ลำดับความเป็นมา แห่งสังคายนาไว้๙ ครั้ง ดังต่อไปนี้ สังคายนาครั้งที่ ๑-๒-๓ ทำ ในประเทศอินเดียตรงกับที่กล่าวไว้ในเบืองด้น สังคายนาครั้งที่ ๔-๕ ทำ ในลังกา คือครั้งที่ ๑ ที่ ๒ ที่ทำ ในลังกา ดังได้กล่าวแล้วใน www.kalyanamitra.org

ความรู้เรืองพระไตรปีฎก :๒๐ ประ'!ติการสังคายนาของลังกา สังคายนาครั้งที่ ๖ ทำ ในสังกาเมื่อ พ.ศ. ๙๕๖ พระทุทธโฆสะได้แปลและเรียบเรียง อรรถกถาคือคำอธิบายพระไตรปิฎกจากภาษาสังกาเป็นภาษาบาลี ในรัชสมัยของพระเจ้ามหานาม เมื่องจากการแปลอรรถกถาเป็นภาษาบาลีครั้งนี้ มิใช่การสังคายนาพระไตรปิฎก ทางสังกาเองจึง ไม่ถือว่าเป็นการสังคายนาตามแบบแผนที่นิยมกันว่า จะด้องมีการชำระพระไตรปิฎก สังคายนาครั้งที่ ๗ ทำ ในสังกา เมื่อ พ.ศ. ๑๕๘๗ พระกัสสปเถระได้เป็นประธานมีพระ- เถระร่วมด้วยกว่า ๑,000 รูป ได้รจนาคำอธิบายอรรถกถาพระไตรปิฎก เป็นภาษาบาลี กล่าวคือ แต่งตำราอธิบายคัมภีร์อรรถกถา ซื้งพระทุทธโฆสะได้ทำเป็นภาษาบาลีไ'!ในการสังคายนาครั้งที่ ๖ คำ อธิบายอรรถกถานี กล่าวตามสำนวนนักศึกษาก็คือคัมภีร์ฎีกา ตัวพระไตรปิฎกเรียกว่าบาลี คำ อธิบายพระไตรปิฎกเรียกว่าอรรถกถา คำ อธิบายอรรถกถาเรียกว่าฎีกา การทำสังคายนาครั้งนี้ เมื่องจากมิใช่สังคายนาพระไตรปิฎก แม้ทางสังกาเองก็ไม่รับรองว่าเป็นสังคายนา อย่างไรก็ตามข้อความที่กล่าวไว่ในหนังสือสังคีติยวงศ์ ก็นับว่าได้ประโยชน์ในการรู้ ความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกา อย่างดียึ๋ง สังคายนาครั้งที่ ๘ ทำ ในประเทศไทย ประมาณ พ.ศ. ๒0๒0 พระเจ้าติโลกราชแห่ง เชียงใหม่ได้อาราธนาพระภิกชุผู้ทรงพระไตรปิฎกหลายร้อยรูป ให้ช่วยชำระอักษรพระไตรปิฎก ในวัดโพธาราม เป็นเวลา ๑ ปี จึงสำเร็จ สังคายนาครั้งนี้จัดเป็นครั้งที่ ๑ ในประเทศไทย สังคายนาครังที ๙ ทำ ในประเทศไทยเมือ พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระทุทธยอดห้า ชุฬาโลกปฐมกษัตริย์แห่งบรมราชจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงอาราธนาพระสงฆ์ให้ชำระ พระไตรปิฎก ในครังนีมีพระสงฆ์ ๒๑๘ รูป คับราชปีณฑิตาจารย์อุบาสก ๓๒ คน ช่วยคันชำระ พระไตรปิฎก แล้วจัดให้มีการจารึกลงในใบลาน สังคายนาครั้งนี้สำเร็จภายใน ๕ เดือน จัดว่าเป็น สังคายนาครั้งที่ ๒ ในประเทศไทย ประ'!ติการสังคายนา ๙ ครั้งตามที่ปรากฎในหนังสือสังคีติยวงศ์ ชงสมเด็จพระวันรัต รจนาไว้นี ภิกษุชินานันทะ ศาสตราจารย์ภาษาบาลี และทุทธศาสตร์แห่งสถาษันภาษาบาลีที่ นาสันทา ได้นำไปเล่าไว้เป็นภาษาอังกฤษ ในหนังสือ ๒๕00 ปี แห่งพระพุทธศาสนาในอินเดีย ชงพิมพ์ขึ้นในโอกาสฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ ในอินเดียด้วย www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก :๒๑ ความรู้เรื่องการชำระและการพิมพ์พระไตรปีฎกในประเทศไทย มีความาคัญเ?าหรับ ทุทธศาสนิกชนชาวไทยโดยเฉพาะ ข้าพเจ้าจึงจะกล่าวถึงเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอีกครั้งหนื้ง เมื่อ ได้กล่าวถึงเรื่องอื่น ๆ เสร็จแล้ว การสังคายนาของฝ่ายมหายาน การที่กล่าวถึงสังคายนาฝ่ายมหายาน ซื้งเป็นคนละสายกับฝ่ายเถรวาทไวในที่นี้ด้วย ก็เพื่อ เป็นแนวศึกษาและประดับความรู้ เพราะพระไดรปีฎกของฝ่ายเถรวาท โดยเฉพาะสุดดันดปิฎก ได้มีคำแปลอยู่ในภาษาจีน ชงแสดงว่าฝ่ายมหายานได้มีเอกสารของฝ่ายเถรวาทอยู่ด้วย จึงควรจะ ได้สอบสวนลูว่า ความเป็นมาแห่งพระไดรปิฎกนั้นทางฝ่ายมหายานได้กล่าวถึงไว้อย่างไร เมื่อกล่าวดามหนังสือพุทธประว่ติ และประว่ติสังฆมณฑลสมัยแรกดามฉบับของธิเบด ซึ๋งชาวต่างประเทศได้แปลไว้เป็นภาษาอังกฤษ' ได้กล่าวถึงการสังคายนา ๒ ครั้ง คือครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ไนอินเดีย ดังที่รู้กันอยู่ทั่วไป แต่จะเล่าไว้ในที่นี้ เฉพาะข้อที่น่าสังเกดคือ ในการสังคายนาครั้งที่ ๑ หลักฐานฝ่ายเถรวาท ว่า สังคายนาพระธรรมกับพระวินัย พระอานนท์เป็นผู้ดอบคำถามเกี่ยวกับพระธรรม จึงหมายถึงว่า พระอานนท์ได้วิสัชนาทัง สุดดันดปิฎก และอภิธัมมปิฎก แต่ในฉบับของธิเบดกล่าวว่าพระมหากัสสปะเป็น^สัชนา อภิธัมมปิฎก ส่วนพระอานนท์วิสัชนาสุดดันดปิฎก และพระอุบาลีวิสัชนาวินัยปิฎก กับได้กล่าว พิสดารออกไปอีกว่า สังคายนาสุดดันดปิฎกก่อน พอพระอานนท์เล่าเรื่องปฐมเทศนาจบ พระอัญญาโกณฑัญญะไดีย๊นยันว่าถูกด้องแล้ว เป็นพระสูดรที่ท่านได้สดับมาเอง แม้เมื่อกล่าว สูดรที่ ๒(อนัดดอักขณสูดร) จบ พระกัญญาโกณฑัญญะก็ไห้คำรับรองเช่นกัน รายละเอียดอย่าง อื่นที่เห็นว่าพื่นเแอ ได้งดไม่นำมากล่าวไนที่นี้ มีข้อน่าสังเกดอีกอย่างหนี้งก็คือ ในหนังสือที่อ้าง ถึงนี้ใช้คำว่า มาติกา(มาดริกา) แทนคำว่า อภิธัมมปิฎก ในการสังคายนาครั้งที่ ๒ ฉบับมหายานของธิเบดได้กล่าวคล้ายคลึงกับหลักฐานของฝ่าย เถรวาทมาก ทั้งได้ลงท้ายว่าที่ประชุมได้ลงมติตำหนิข้อถือผิด ๑๐ ประการของภิกษุชาววัชชี อัน แสดงว่าหสักฐานของฝ่ายมหายานกสับรับรองเรื่องนี้ ผู้แปล (คือ Rockhill) อ้างว่าได้สอบสวน 'The Life ofthe Buddha and the Early History of His Order translated by พ.พ. Rockhill from Tibetan พorks in the BKAH-HGYUR and BSTANHGYUR. www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก ะ๒๒ ฉบับของจีน ซึ๋งมีผู้แปลเป็นภาษาอังกฤษแล้ว ก็ไม่ปรากฏว่ากล่าวถึงอะไร นอกจากจบลงด้วย การตำหนิข้อถือผิด ๑๐ ประการใงั้น ดร. นลินักษะ แห่งมหาวิทยาลัยกัลอัตตา อินเดีย ได้พยายามรวบรวมหลักฐานฝ่าย มหายานเกี่ยวด้วยสังคายนาครั้งที่ ๒ ไว้อย่างละเอียดเป็น ๓ รุ่น คือรุ่นแรก รุ่นกลาง และรุ่นหลัง แม้รายละเอียดปลีกย่อยในหลักฐานนั้น ๆ จะมีต่างอันออกไปก็ตาม แต่ก็เป็นอันตกลงว่า ฝ่าย มหายานได้รับรองการสังคายนาครั้งที่ ๑ และครั้งที่ ๒ ร่วมอัน' โดยเหตุที่คัมภีร์พระทุทธศาสนาฝ่ายมหายานมักจะมีอะไรต่ออะไรต่างออกไปจากของ เถรวาท เมื่อเกิดป็ญหาว่าคัมภีร์เหล่านั้นมีมาอย่างไร ก็บักจะมีคำตอบว่า มีการสังคายนาของฝ่าย มหายาน คัมภีร์เหล่าบันเกิดขึ้นจากผู้ที่สังคายนา ชึ๋งเป็นผู้ทรงคุณรุฒิได้รูได้ฟังมาคนละสายอับ ฝ่ายเถรวาท เมื่อตรวจสอบจากหนังสือของฝ่ายมหายาน แม้จะพบว่าสังคายนาผสมอับฝ่ายมหายาน บัน เกิดเมือสมัยพระเจ้ากนิษกะ ประมาณ พ.ศ.๖๔๓ ก็จริง แต่ข้ออ้างต่าง ๆ มักจะพาดพิงไปถึง สังคายนาครังที ๑ และที ๒ คือมีคณะสงฆ์อีกฝ่ายหนง ทำ สังคายนาแข่งขันอีกส่วนหนงคือ ๑)สังคายนาครังแรกทีพระมหาอัสสปะเป็นประธานบัน กระทำที่ถํ้าสัตตบรรณคูหา ข้าง เขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ มีคำ กล่าวของฝ่ายมหายานว่า ภิกยุทั้งหลายผู้มิได้รับเลือกเป็น การกสงฆ์ (คือสงฆ์ผู้กระทำหน้าที่) ในปฐมสังคายนาซึ๋งมีพระมหาอัสสปะเป็นประธาน ได้ ประชุมอันทำสังคายนาขึ้นอีกส่วนหนึงเรียกว่าสังคายนานอกคํๅ และโดยเหตุที่ภิกษุผู้ทำ สังคายนานอกถํ้ามีจำนวนมาก จึงเรียกอีกอย่างหนงว่าสังคายนามหาสังฆิกะ คือของสงฆ์หมู่ใหญ่ เรืองนีปรากฏในประวิติของหลวงจีนเฮี่ยนจัง ผู้เดินทางไปลูการพระพุทธศาสนาในอินเดีย ที่นาย เคงเหลียน สีษุญเรือง แปลเป็นภาษาไทย หน้า ๑๖๙ และกล่าวด้วยว่าในการสังคายนาครั้งนี้ แบ่ง ออกเป็น ๕ ปิฎก คือ พระสูตร,วินัย,อภิธรรม,ปกิณณกะ และธารณี แต่หลักฐานของการสังคายนา \"นอกถํ้า\" ครังที่ ๑ นีน่าจะเป็นการกล่าวสับสนอับ เหตุการณ์ทีเกิดขนานอับการสังคายนาครังที่ ๒(หนังสือประวิติของหลวงจีนเฮี่ยนจัง เป็นนิพนธ์ ของภิกษุฮุยลิบศิษย์ของท่าน ส่วนบันทึกเดินทางของหลวงจีนเฮี่ยนจัง มีอีกเล่มหนี้งต่างหาก ชง 1 ผSูJตjอf งการหลักฐานละเอียดโปรดดู หนังสือ Early Monastic Buddhish เล่ม ๒ หนัา ๓๑ ถึง ๔๖ www.kalyanamitra.org

ความfเรืองพระไตรปีฎก :๒ฅ ฉบับหลังนี้ฝรั่งให้เกียรตินำไปอ้างอิงไว้!นหนังสือของตนมากมายด้วยกัน) หรือนัยหนี้งเอา เหตุการณ์ในสังคายนาครั้งที่ ๒ ไปเป็นครั้งที่ ๑ คือ ๒) การสังคายนาของมหาสังฆิกะ มีเรื่องเล่าว่า เมื่อภิกษุวัชชีบุตรถือวินัยย่อหย่อน ๑๐ ประการ และพระยสะกากัณฑกบุตร ได้ชักชวนคณะสงฆ์ในภาคต่าง ๆ มาร่วมกันทำสังคายนา ชำ ระมลทินโทษแห่งพระศาสนา วินิจฉัยชี้ว่าข้อถือผิด ๑๐ ประการนั้น มีห้ามไว้ในพระวินัย อย่างไร แล้วได้ทำสังคายนา ในขณะเดียวกัน พวกภิกษุวัชชีบุตรซึ๋งมีอยู่เป็นจำนวนมากก็ได้เรียก ประชุมสงฆ์ถึง ๑๐,๐๐๐ รูป ทำ สังคายนาของตนเองที่เมืองคุลุ[ม!Jระ (ปาตลีบุตร) ให้ชื่อว่ามหา- สังคีติ คือมหาสังคายนา เป็นเหตุให้เกิดนิกายมหาสังฆิกะ ชงแม้จะยังไม่นับว่าเป็นมหายาน โดยตรง แต่ก็นับได้ว่าเป็นเบื้องด้นแห่งการแตกแยกจากฝายเถรวาทมาเป็นมหายานในกาลต่อมา การสังคายนาครั้งนี้ ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงของเติมไปไม่น้อย หสักฐานของฝ่ายมหายานบางเล่ม ได้กล่าวถึงกำเนิดของนิกายมหาสังฆิกะ โดยไม่กล่าวถึงวัตลุ ๑๐ ประการก็มี แต่กล่าวว่าข้อเสนอ ๕ ประการของมหาเทวะเกี่ยวกับพระอรหันต์ว่ายังมิได้ดับกิเลสโดยสมบุรณ์ เป็นด้น เป็นเหตุให้ เกิดการสังคายนาครั้งที่ ๒ แล้วพวกมหาสังฆิกะก็แยกออกมาทำสังคายนาของตน การสังคายนาของนิกายสัพพัตลิกวาท การสังคายนาของพระเจ้ากนิษกะ ประมาณในปีพุทธศักราช ๖๔๓ (ค.ศ. ๑0๐) พระเจ้า- กนิษกะ ผูมอำนาจอยู่ในอินเดียภาคเหนือได้สนับสบุนให้มีการสังคายนา ชื่งอาจกล่าวได้ว่า เป็น สังคายนาแบบผสม ณ เมืองชาสันธร หรือบางแห่งกล่าวว่า เมืองกาษมีระ ในหนังสือจดหมายเหตุของหลวงจีนเฮี่ยนจังเล่าว่า พระเจ้ากนิษกะหันมาสนใจ พระพุทธศาสนาและตำรับตำราแห่งศาสนานี้ จึงให้อาราธนาพระภิกษุ ๑ รูป ไปสอนทุก ๆ วัน และเนื่องจากภิกษุแต่ละรูปที่ไปสอนก็สอนต่าง ๆ กันออกไป บางครังก็ถึงกับชัดกัน พระเจ้า- กนิษกะ ทรงลังเล ไม่รู้จะฟังว่าองค์ไหนถูกด้อง จึงปรึกษาข้อความนีกับพระเถระ^นามว่า ปารศวะ ถามว่า คำ สอนที่ถูกด้องนั้นคืออันใดกันแน่ พระเถระแนะนำให้แล้ว พระเจ้ากนิษกะจึง ตกลงพระทัยจัดให้มีการสังคายนา ชื่งมีภิกษุสงฆ์นิกายต่าง ๆ ได้รับอาราธนาให้มาเข้าประชุม พระเจ้ากนิษกะโปรดให้สร้างวัด เป็นที่พักพระสงฆ์ได้ ๕๐๐ รูป ผู้จะพึงเขียนคำอธิบาย www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรฃฎก :๒๔ พระไตรปิฎก คำ อธิบายหรืออรรถกถาสุตตันตปิฎก มี ๑๐๐,๐๐๐ โศลก อรรถกถาวินัยปิฎก ๑๐๐,๐๐๐ โศลก และอรรถกถาอภิธรรมอันมีนามว่า อภิธรรมวิภาษา ก็ได้แต่งขึ้นในสังคายนา ครั้งนี้ด้วย เมื่อทำสังคายนาเสร็จแล้ว ก็ได้จารึกลงในแผ่นทองแดง เก็บไว่ในหีบศิลา แล้วบรรธุไว้ ในเจดีย์ที่สร้างขึ้นโดยเฉพาะเพื่อการนี้อีกต่อหมื่ง มีฃ้อน่าสังเกต คือกำหนดกาลของสังคายนา ครั้งนี้ที่ปรากฎในคัมภีร์ฝ่ายธิเบตกล่าวว่า กระทำในยุคหลังกว่าที่หลวงจีนเฮี่ยนจังกล่าวไว้ แต่ เรื่อง พ.ศ. ที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ในพระสุทธศาสนาก็มีข้อโด้แย้งผิดเพี้ยนกันอยู่มิใช่แห่งเดียว จึง เป็นฃ้อที่ควรจะได้พิจารณาสอบสวนในทางที่ควรต่อไป การสังคายนาครังนี เป็นของนิกายสัพพัตภิกวาท ซงแยกสาขาออกไปจากเถรวาท แต่ก็มี พระของฝ่ายมหายานร่วมอยู่ด้วยจึงเท่ากับเป็นสังคายนาผสม สังคายนานอกประว้ติศาสตร์ ยังมีสังคายนาอีกครั้งหนงซงไม่ปรากฎในประวิติศาสตร์ และไม่ได้การรับรองทาง วิชาการจาก^กษาด้นคว้าทางพระทุทธศาสนา อาจถือได้ว่าเป็นความเชื่อถือปรัมปราของ สุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานในจีนและญี่ป่น คือสังคายนาของพระโพธิสัตว์มัญสุศรี กับพระ- โพธิสัตว์ ไมเตรยะ (พระศรีอารย์) ทังนี ปรากฎตามหลักฐาน ในหนังสือประวํติศาสตร์ย่อแห่ง พระพุทธศาสนา ๑๒ นิกายของญี่ปุน'หน้า ๕๑ ชื่งไม่ได้บอกกาลเวลา สถานที่ และรายละเอียด ไว้ ทีนำ มากล่าวไว้!นที่นี พอเป็นเครื่องประตับความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกใน ที่มาต่าง ๆ เท่าที่จะค้นหามาได้ เป็นอันว่าได้กล่าวถึงการสังคายนาทั้งของฝ่ายเถรวาท และของมหายานไว้พอเป็น แนวทางให้ทราบความเป็นมาแห่งกำสอนทางพระพุทธศๅสนๆและโดยเฉพาะคัมภีร์ พระไตรปิฎก ทั้งได้พยายามรวบรัดกล่าว เพราะไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นด้องแต่งประวิติศาสตร์ ความเป็นมาแห่งพระพุทธศาสนาขนาดใหญ่ไว่ไนที่นี้ A Short History ofTwelve Japanese Buddhist Sects by Bunyiu Nantio. www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก :๒๕ ลำ ดับอาจารยผู้ทรงจำพระไตรปีฎก ได้กล่าวไว้แล้วในสมัยที่ยังมิได้มีการจา1กพระไตรปิฎกลงในใบลานใfนใ^ท่องจำ และการท่องจำก็แบ่งหน้าที่กัน ตามแต่ใครจะสมัครเป็นผู้เชี่ยวชาญในส่วนไหนตอนไหนของ พระไตรปิฎก เช่น คำ ว่า ทีฆภาณกะ แปลว่า ผู้สวดคัมภีร์ทีฆนิกาย (พระธรรมเทศนาหมวดยาว) มัชฌิมภาณกะ ผู้สวดคัมภีร์มัชฌิมนิกาย(พระธรรมเทศนาขนาดบ่านกลาง) โดยนัยนี้จึงเป็นการ แบ่งงานคันทำในการท่องจำพระไตรปิฎก และมีผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขา มีศิษย์ของแต่ละสำนัก ท่องจำตามที่อาจารย์สั่งสอน เป็นทางให้เห็นความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎก ด้วยบ่ระการฉะนี้ ไนหนังสืออธิบายพระไตรปิฎก หรือที่เรยกว่าอรรถกถา ได้แสดงการสืบสายของอาจารย์ ในแต่ละทาง คือ วินัยปิฎก ลุ[ตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก ที่เรียกว่าอาจริยปรัมบ่รา สายแห่ง พระอาจารย์ตังนี้ สายวินัยปีฎก' ๒)พระทาสกะ ๑)พระอุบาลี ๓)พระโสณกะ ๔)พระสิคควะ ๕)พระโมคคลีบุตรติสสะ สายสุตดันฅปีฎก ไม่ได้มีระบุไว่ในอรรถกถา เป็นแต่ได้กล่าวถึงการมอบหน้าที่ในการท่องจำนำสืบ ๆ คัน 2 ๑) มอบให้พระอานนท์ท่องจำสั่งสอนทีฆนิกาย ๒)มอบให้นิสสิตที่งหลายของพระสารีบุตรท่องจำมัชฌิมนิกาย ๓)มอบให้พระมหาคัสสปะท่องจำสังยุตตนิกาย 'สมันตปาสาทิกา ภาค ® หน้า ๖® ครั้นแน้วได้กล่าวถึงชื่ออาจารย์ในรู่นหลัง ตอนที่แผ่ศาสนาไปในลังกาแลัว เกือบ ®oo เป ^ สุมังคลวิลาสินี ภาค ® หน้า ®๘ www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก :๒๖ ๔)มอบให้พระอนุรุทธ์ท่องจำอังคุตตรนิกาย ส่วนฃุททกนิกายไม่ได้กล่าวไว้ว่ามอบเป็นหน้าที่ ของใคร สายอภิธัมมปีฎก' ๒) พระภัททชิ ๑) พระสารีบุตร ๔) พระปิยชาลี ๖) พระปิยทัสสี ๓) พระโสภิตะ ๘) พระสิคควะ ๕) พระปิยปาละ ๑๐) พระโมคคลีบุตร ๗) พระโกสิยาJตตะ ๑๒) พระธัมมิยะ ๙) พระลันเทหะ ๑๑) พระติสสทัตตะ ๑๓) พระทาสกะ ๑๔) พระโสณกะ ๑๕) พระเรวตะ ตามรายนามนิ สืบต่อมาเพียงชั่ว ๒๓๕ ปีเท่านั้น ต่อจากนั้นยังมีรายนามอีกมาก ซึ๋งนับแต่ เผยแผ่ศาสนาไปในลังกาแล้ว การชำระและจารึกกับการพิมพ์พระไตรปีฎกในประเทศไทย ได้กล่าวไว้แล้วว่า ควรจะได้กล่าวเป็นพิเศษถึงการชำระการเขียนการพิมพ์พระไตรปิฎก ในประเทศไทยให้ค่อนข้างละเอียดสักเล็กน้อย เพื่อเป็นประโยชน์ในการรู้เรื่องความเกี่ยวข้อง ของประเทศไทยที่มีต่อพระไตรปิฎก ซึ๋งในที่นี้จะได้แปงเป็น ๔ สมัย ดังนี้ สมัยที่ ๑ ชำ ระและจารลงในใบลาน กระทำที่เมืองเชียงใหม่ สมัยพระเจ้าติโลกราช ประมาณ พ.ศ.๒0๒0 สมัยที ๒ ชำ ระและจารลงในใบลาน กระทำที่กรุงเทพฯ สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ ยอดพ์าจุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ พ.ศ.๒๓๓๑ ' อัฎฐสาลินี ภาค ๑ หอัา ๔รท www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก ะ ๒๗ สมัยที่ ๓ ชำ ระและพิมพ์เป็นเล่ม กระทำที่กรุงเทพฯ สมัยพระบาทสมเด็จพระ อุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พ.ศ.๒๔๓๑ ถึง พ.ศ.๒๔๓๖ สมัยที่ ๔ ชำ ระและพิมพ์เป็นเล่ม กระทำที่กรุงเทพฯ สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ พ.ศ.๒๔๖๘ ถึง พ.ศ.๒๔๗๓ สมัยที่ ๑ พระเจ้าติโลกราช เมืองเชึยงใหม่ ความจริงสมัยใงั้นเมืองเชียงใหม่เป็นอิสระ และถือได้ว่า ภูมิภาคแถบนั้น เป็นประเทศ ลานนาไทย แต่เมื่อรวมกันเป็นประเทศไทยในภายหลัง ก็ควรจะได้กล่าวถึงการชำระ พระไตรปิฎก และการจารลงในใบลาน พระเจ้าติโลกราชผู้นี้ มีเรื่องกล่าวถึงไว่ในหนังสือชินกาลมาลีปกรลเสั้น ๆ ว่าสร้าง พระพุทธรูปในอุลศักราช ๘๔๕ ในหนังสือสังคีติยวงศ์เล่าเรื่องสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ตรง กับหนังสือชินกาลมาลีปกรณ์แต่มีเล่าเรื่องสังคายนาพระไตรปิฎกด้วย พระเจ้าติโลกราชได้ อาราธนาพระภิกพุผู้ทรงพระไตรปิฎกหลายร้อยรูป มีพระธรรมทินเถระเป็นประธาน ให้ชำระ อักษรพระไตรปิฎกในวัดโพธาราม ๑ ปีจึงสำเร็จ เมื่อทำการฉลองสมโภชแล้ว ก็ได็ไห้สร้าง มณเฑียรในวัดโพธาราม เพื่อประดิษฐานพระไตรปิฎก ฃ้อที่น่าสังเกตก็คือ ตัวอักษรที่ใชีไนการจารึกพระไตรปิฎกในครั้งนั้นคงเป็นอักษรแบบ ไทยลานนา คล้ายอักษรพม่า มีผิดเพี้ยนกันบ้าง และพอเดาออกเป็นบางตัว สมัยที่ ๒ รัชกาลที่ ๑ กรุงเทพฯ เรื่องสังคายนาพระไตรปิฎกโดยพิสดาร ในสมัยรัชกาลที่ ๑ มีปรากฎในหนังสือ พงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขา และคำประกาศเทวดาครั้งสังคายนาปีวอก สัมฤทธิศก พ.ศ. ๒๓๓๑ รัชกาลที่ ๑(หนังสือประกาศการพระราชพิธี) ซึ๋งเก็บใจความได้ตังนี้ ในปี พ.ศ. ๒๓๓๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าอุฬาโลก ทรงสละพระราชทรัพย์จ้าง ช่างจารจารึกพระไตรปิฎกลงในใบลาน และให้ชำระและแปลฉบับอักษรลาว อักษรรามัญ เป็น www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก :๒๘ อักษรขอม สร้างใส่ตู้ไว้!นหอมณเฑียรธรรม และสร้างพระไตรปิฎกถวายพระสงฆ์ไว้ทุก พระอารามหลวง มีผู้กราบพูลว่า ฉบับพระไตรปิฎกและอรรถกถาฎีกาที่มีอยู่ ผิดเพี้ยนวิปลาสเป็น อันมาก ผู้ที่เพระไตรปิฎกก็มีน้อยท่าน ควรจะได้หาทางชำระให้ถูกต้อง จึงทรงอาราธนา พระสังฆราช พระราชาคณะ ฐานานุกรมเปรียญ ๑๐๐ รูปมาฉัน ตรัสถามว่า พระไตรปิฎก ผิดพลาดมากน้อยเพียงไร สมเด็จพระสังฆราชพร้อมด้วยพระราชาคณะถวายพรให้ทรงทราบว่ามี ผิดพลาดมาก แล้วเล่าประว่ติการสังคายนาพระไตรปิฎก ๘ ครั้งที่ล่วงมาแล้ว เมื่อทรงทราบดั่งนี้ จึงอาราธนาให้พระสงฆ์ดำเนินการสังคายนาชำระพระไตรปิฎก ซึ๋งเลือกได้พระสงฆ์ ๒๑๘ รูป ราชบัณฑิตอุบาสก ๓๒ คน(แต่ตามประกาศเทวดาว่า พระสงฆ์๒๑๙ รูป ราชบัณฑิตอุบาสก ๓๐ คน) กระทำ ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ (คือวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ในป็จอุบัน) แปงงาน ออกเป็น ๔ กอง สมเด็จพระสังฆราชเป็นแม่กองชำระสุตตันตปิฎก พระวันรัตเป็นแม่กองชำระ วินัยปิฎก พระพิมลธรรมเป็นแม่กองชำระอภิธัมมปิฎก พระทุฒาจารย์เป็นแม่กองชำระสัททร- วิเศษ (ตำราไวยากรณ์และอธิบายศัพท์ต่าง ๆ) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระอนุชา เสด็จไป ณ พระอารามทุกวัน ๆ ละ ๒ ครั้ง เวลาเช้าทรงประเคนสำรับอาหาร เวลาเย็นทรงถวาย นํ้าอัฐบาน (นํ้าผลไน้คั้น) และเทียนทุกวัน เป็นอย่างนี้สิ้นเวลา ๕ เดือนจึงเสร็จ แล้วได้จ้างช่าง จารจารึกลงในใบลาน ให้ปิดทองแท่งทับทังใบปกหน้าหลัง และกรอบทั้งสิ้น เรียกว่าฉบับทอง ห่อด้วยผ้ายก เชือกรัดถักด้วยไหมแพรเบญจพรรณ มีฉลากงาแกะเขียนอักษรด้วยหมึก และฉลาก ทอเป็นตัวอักษรบอกชื่อพระศัมภีร์ทุกคัมภีร์ เมื่อพิจารณาจากการที่พระมหากษัตริย์ทรงอุตสาหะ เสด็จพระราชตำเนินไปให้กำลังใจ แก่พระเถระและราชบัณฑิตผู้ชำระพระไตรปิฎก ถึงวันละ ๒ เวลาแล้ว ก็ควรจะถือได้ว่าเป็น พระราชจริยาอันดียึ๋ง มีคุณค่าในการถนอมรักษาตำราทางพระทุทธศาสนาไว้ด้วยดี แต่การสังคายนาครั้งนี ผู้ทรงความรู้รู่นหลัง มักจะพูดล้อว่าเป็นการสังคายนา \"แต้มหัว- ตะ\" เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงไว้!นพระราชวิจารณ์เทียบ ลัทธิพระพุทธศาสนาฝ่ายหีนยาน(เถรวาท) กับมหายาน หน้า ๑๓ โดยเล็งไปถึงว่าไม่ได้ทำอะไร มาก นอกจากแก้ไขตัวหนังสือที่ผิดคำว่า แต้มหัวตะ หมายความว่า อักษร ค กับอักษร ต เมื่อ เขียนด้วยอักษรขอม มีลักษณะใกล้เคียงกันล้าจะให้ชัดเจนเวลาเขียนตัว ต จะด้องมีขมวดหัว การ สอบทานเห็นตัวไหนไม่ชัดก็เติมขมวดหัวเสียให้ชัด www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก ะ ๒๙ แต่ข้าพเจ้าเองมิได้เห็นว่า การชำระพระไตรปิฎกในรัชกาลที่ ๑ เป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะ มิได้ติดใจถ้อยคำที่ว่า สังคายนา จะด้องเป็นเรื่องปราบเสี้ยนหนามทุกครั้งไป สังคายนาครั้งที่ ๑ ก็ ไม่ใช่มีเสี้ยนหนามอะไรมาก เพียงภิกษุสูงอายุรูปหนงพูดไม่ดีเท่านั้น ข้อสำคัญอยู่ที่การจัด ระเบียบหรือถนอมรักษาพระพุทธวจนะให้คำรงอยู่ก็พอแถ้ว ข้อปรารภของรัชกาลที่ ๑ ที่ว่า พระไดรปิฎกมีอักษรผิดพลาดดกหล่นมาก จึงควรชำระให้ดีนี้เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะคำเนินงาน ได้เพราะถ้าไม่ได้พระบรมราสูปถัมภ์งานนี้ก็คงสำเร็จได้โดยยาก จะเรียกว่าสังคายนาหรือไม่ ไม่ สำ คัญ สำ คัญอยู่ที่ได้แกไขฉบับพระไดรปิฎกให้ดีขึ้นก็เป็นที่พอใจแถ้ว เพราะแม้การสังคายนา ครั้งที่ ๑-๒-๓ ถ้าจะถือว่ามีการสังคายนาคนเกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง แต่ในที่สูดก็ไม่พ้นสังคายนา พระธรรมวินัย จัดระเบียบพระพุทธวจนะโดยเฉพาะการสังคายนาครั้งแรกก็เพียงปรารภถ้อยคำ ของสูภัททภิกษุเท่านั้น มิใช่สังคายนาคนหรือด้องชำระสะสางความผิดของใคร ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงขอบันทึกพระคุณของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าชุฬาโลก รัชกาลที่ ๑ แห่งกรุง- รัดนโกสินทร์ไว่ในที่นี้ด้วยคารวะอย่างยิ่ง สมัยที่ ๓ในรัชกาลที่ ๕ กรูงเทพฯ หลักฐานเรื่องการพิมพ์พระไดรปิฎก ซงเดิมเขียนเป็นตัวอักษรขอมอยู่ในคัมภีร์ใบลาน ให้เป็นเล่มหนังสือขึ้นนี้ มีในหนังสือชุมนุมกฎหมายในรัชกาลที่ ๕ (หลวงรัดนาญัปตเป็นผู้ รวบรวมพิมพ์) หน้า ๘๓๙ ว่าด้วยลักษณะบำรุงพระพุทธศาสนาในหัวข้อว่า การศาสนูปถัมภ์ คือการพิมพ์พระไดรปิฎก ประกาศการสังคายนา และ พระราชดำรัสแก่พระสงฆ์โดยพระองค์ สาระสำคัญที่ได้กระทำ คือคัดลอกตัวขอมในคัมภีร์ใบลานเป็นตัวไทยแล้วชำระแก่ไข และพิมพ์ขึ้นเป็นเล่มหนังสือรวม ๓๙ เล่ม (เติมกะว่าจะถึง ๔๐ เล่ม) มีการประกาศการสังคายนา แต่เพราะเหตุที่ถือถันว่าการสังคายนาควรจะด้องมีการชำระสะสาง หรือทำลายเสี้ยนหนามพระ ศาสนา เพียงพิมพ์หนังสือเฉย ๆ คนจึงไม่นิยมถือว่าเป็นการสังคายนา แต่ได้กล่าวไว้แล้วว่า จะ เรียกว่าสังคายนาหรือไม่ ไม่สำคัญ ขอให้ได้มีการชำระดรวจสอบ จารึกหรือจัดพิมพ์ พระไดรปิฎกให้เป็นเล่มรักษาไว้เป็นหถักฐาน ก็นับว่าเป็นภิจอันควรสรรเสริญอย่างยิ่ง เพราะ เป็นการทำให้พระพุทธวจนะดำรงอยู่เป็นหถักแห่งการสืกษาและปฎิปติดลอดไป www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก ะฅ๐ มีข้อน่าสังเกตในการจัดพิมพ์พระไตรปีฤกครั้งแรกในประเทศไทย ครั้งนี้ที่ขอเสนอไว้ เป็นข้อ ๆ คือ ๑) การชำระและจัดพิมพ์พระไตรปีฎกครั้งนี้เรึ๋มแต่ พ.ศ. ๒๔๓๑ สำ เร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ จำ นวน ๑,๐0๐ ชุด นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ได้มีการพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มด้วย อักษรไทย เป็นการฉลองการที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยราชสมปติมา ครบ ๒๕ปี ๒) เป็นการสละพระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (เทียบกับการพิมพ์ พระไตรปิฎกในรัชกาลที่ (ท) ชึ๋งเป็นการสละพระราชทรัพย์และทรัพย์ร่วมกันของพระมหา- กษัตริย์กับประชาชน) ๓)ในการพิมพ์ครังแรกนี พิมพ์ได้ ๓๙ เล่มชุด ยังขาดหายไปมิได้พิมพ์อีก ๖ เล่ม และได้พิมพ์ เพึ๋มเติมในรัชกาลที่ (ท) จนครบ ฉบับพิมพ์ในรัชกาลที่ ๗ รวม ๔๕ เล่ม จึงนับว่าสมยูรณ์เป็นการ ช่วยเพึ๋มเติมเล่มที่ขาดหายไปคือ(๑) เล่ม ๒๖ วิมานวัตลุ เปตวัตลุ เถรคาถา เถรคาถา, (๒) เล่ม ๒๗ ชาดก,(๓) เล่ม ๒๘ ชาดก,(๔)เล่ม ๓๒ อปทาน,(๕)เล่ม ๓๓ อปทาน ทุทธวงศ์ จริยา- ปิฎก,(๖) เล่ม ๔๑ อนุโลมติกปัฏฐานภาค ๒ และ,(๗)ปัจจนียติกปัฎฐาน อนุโลมปัจจนียปัฏ- ฐาน ปัจจนียานุโลมปัฏฐาน นอกจากนั้นยังได้เพึ๋มเติมท้ายเล่ม ๔๔ ที่ขาดหายไป ครั้งหมื่ง คือ อนุโลมติกปัฏฐานและอนุโลมทุกทุกปัฏฐานใท้สมนุรลโด้วย ตามจำนวนดังกล่าวนี้ เมื่อคิดเป็น เล่มจึงมีหนังสือขาดหายไป ด้องพิมพ์เพิ่มเติมใหม่ถึง ๗ เล่ม แต่เพราะเหตุที่ฉบับพิมพ์ในครั้ง รัชกาลที่ ๕ แยกคัมภีร์ยมกแห่งอภิธัมมปิฎก ออกเป็น ๓ เล่ม ส่วนในการพิมพ์ครั้งหลังรวมเป็น เพียง ๒ เล่ม จำ นวนเล่มที่ขาดจึงเป็นเพียง ๖ เล่ม คือฉบับพิมพ์ในรัชกาลที่ ๕ มี ๓๙ เล่ม ฉบับ พิมพ\"ไนรัชกาลที่ ๗ มี ๔๕ เล่ม ด้วยประการฉะนี้ อย่างไรก็ดี การพิมพ์พระไตรปิฎกเป็นเล่มหนังสือนี้ แม่ไนขั้นแรกจะไม่สมนุรณ็' แต่ก็ เป็นประโยชน์ในการศึกษาด้นคว้าทางพระทุทธศาสนาสะดวกยึ๋งฃึ้น เป็นการวางรากฐานอย่าง สำ คัญแห่งพระทุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นพระราชกรณียกิจอันควรสรรเสริญยิ่งแห่ง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว www.kalyanamitra.org

ความfฟองพระไตรปีฎก :ฅ๑ สมัยที่ ๔ รัชกาลที่ ๗กรุงเทพฯ หลักฐานเรื่องนึ้มีในหนังสือรายงานการสร้างพระไตรปีฎกสยามรัฐ ซึ๋งพิมพ์ขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แสดงรายละเอียดการจัดพิมพ์พระไตรปิฎก ระหว่าง พ.ศ.๒๔๖๘ ถึง พ.ศ.๒๔๗๓ มีข้อที่พึงกล่าวเกี่ยวกับการจัดพิมพ์พระไตรปิฎกครั้งนี้คือ ๑) ได็ใช้เครื่องหมายและอักขรวิธี ตามแบบของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณว- โรรส ซึ๋งทรงคิตขึ้นใหม่ แม้การจัดพิมพ์จะกระทำในสมัยที่พระองค์ท่านสิ้นพระชนม์แล้ว ๒)พิมพ์๑,๕00 จบ พระราชทานในพระราชอาณาจักร ๒00 จบ พระราชทานในนานาประเทศ ๔๕0 จบ เหลืออีก ๘๕0 จบ พระราชทานแก่ผู้บริจาคทรัพย์ขอรับหนังสือพระไตรปิฎก ๓)การพิมพ์พระไตรปิฎกในครั้งนี้ นับว่าได้เพึมเติมส่วนที่ยังขาดอยู่ใหัสม'ฎรณ์ โดยใช้ฉบับ ลานของหลวง (เข้าใจว่าฉบับนี้สืบเนื่องมาจากรัชกาลที่ ๑) คัดลอกแล้วพิมพ์เพิ่มเติมจาก ส่วนที่ยังขาดอยู่ ๔)ผลของการที่ส่งพระไตรปิฎกไปต่างประเทศ ทำ ใหัมีผู้พยายามอ่านอักษรไทย เพื่อสามารถ อ่านพระไตรปิฎกฉบับไทยได้ และได้มีผู้บันทึกสลุดีไว้ เช่น พระนยานติโลกเถระ ชาว เยอรมัน ผู้อุปสมบทประจำอยู่ ณ ประเทศลังกา ได้ชมเชยไว้ในหนังสือ Guide through the Abhidhamma Pitaka ว่า ฉบับพระไตรปิฎกของไทยสมบูรลไกว่าฉบับพิมพ์ด้วยอักษรโรมัน ของสมาคมบาลีปกรลเในอังกฤษเป็นอันมาก ๕)ในการพิมพ์ครั้งนี้ ได้ทำอใ4กรมต่าง ๆ ไว้ท้ายเล่มเพื่อสะดวกในการด้น แม้จะไม่สมบูรณ์แต่ ก็มีประโยชน์มาก และเป็นแนวทางใหัชำระเพิ่มเติมใหัสมบูรณ์ต่อไป เป็นอันว่าท่านผู้อ่านได้ทราบความเป็นมาแห่งพระไตรปิฎกตังแต่ด้นจนถึงพิมพ์เป็นเล่ม แล้ว ต่อไปจะได้กล่าวถึงวิธีจัดระเบียบและการจัดประเภทในแต่ละปิฎกเพื่อสะดวกในการ กำ หนดจดจำ ซงได้มีการริเริ่มมาแต่การสังคายนาครั้งที่ ๑ และได้เพิ่มเติมในการจัดระเบียบใน สมัยต่อ ๆ มา www.kalyanamitra.org

ความรู้เรีองพระไตรปีฎก ะ ๓๒ ลักษณะการจัดหมวดหมู่ของแต่ละ!เฎก ได้กล่าวแล้วว่าพระไตรปีฎกใเน แบ่งออกเป็นวินัยปิฎก สุตตันตปิฎก และอภิธัมมปิฎก โดยลำตับ พระโบราณจารย์ฝ่ายไทยได้!ชวิธีย่อหัวข้อสำคัญในแต่ละปิฎก เพื่อจำง่ายเป็นอักษร ย่อ ในการใช้อักษรย่อใเน วินัยปิฎกมี ๕ คำ สุตตันตปิฎก๕ คำ อภิธัมมปิฎก ๗ คำ ตังต่อไปนี้ อักษรย่อในปิฎกอื่น ๆ ไม่มีป็ญหา คงมีป็ญหาเฉพาะวินัยปิฎก คือ อา, บ่า, ม, ชุ, บ่ อา=อาทิกัมม์(การกระทำที่เป็นด้นบัญญติ) หมายเฉพาะรายการพระวินัย ตั้งแต่อาบ่ติปาราชิกลง มาถึงสังฆาทิเสส,ปา= ปาจิตตีย์เป็นชื่อของอาบ่ติในปาฎิโมกข์เฉพาะตั้งแต่ถัดสังฆาทิเสสลงมา ทังสองหัวข้อนีเป็นการย่ออย่างจับความมากกว่าย่อตามชื่อหมวดหมู่ จึงไม่ตรงกับชื่อที่ใข้เป็น ทางการในวินัยปิฎก ส่วนอีก ๓ ข้อท้ายตรงตามชื่อหมวดหมู่ ฉะนั้น ล้าจะจัดตามชื่อ จึงควรเป็น ด้งส์ ๑) มหาวิภังค์ หรือ ภิกขุวิภังค์ ว่าด้วยสืลของภิกษุที่มาในปาฎิโมกข์ (คำว่า ปาฎิโมกข์ คือศีลที่ เป็นใหญ่เป็นสำคัญอันจะด้องสวดทบทวนในที่ประขุมสงฆ์ทุกกึ๋งเดือน) ๒)ภิกขุนีวิภังค์ว่าด้วยศีลของนางภิกษุณี ๓)ม=มหาวัคค์แปลว่า วรรคใหญ่ แบ่งออกเป็นขันธกะ คือหมวดต่าง ๆ ๑๐ หมวด ๔)ชุ = ชุลลวัคค์แปลว่า วรรคเล็ก แบ่งออกเป็นขันธกะ คือหมวดต่าง ๆ ๑๒ หมวด ๕)บ่ = ปริวาร หมายถึงหัวข้อเบ็ดเตล็ดต่าง ๆ เป็นการย่อหัวข้อสรูบ่เนื้อความวินิจฉัยบ่ญหาใน ๔ เรื่องข้างด้น แต่ตามความเข้าใจของชาวอังกฤษที่ตังสมาคมบาลีปกรณ์ขึ้นพิมพ์พระไตรปิฎกใน ประเทศอังกฤษเขาแบ่งวินัยปิฎกออกเป็น ๓ ส่วน คือ ๑) สุตตวิภังค์หมายรวมทั้งศีลของภิกษุและภิกษุณี ๒)ขันธกะ หมายรวมทั้งมหาวัคค์และชุลลวัคค์ www.kalyanamitra.org

ความfเรื่องพระไตรปีฎก ะ ๓๓ ๓)ปริวาร คือหัวข้อเบ็ดเตล็ด ป็ญหาเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้เกิดการผิดพลาดหรือบกพร่องในวินัยปิฎกแต่ประการใด ด้นฉบับก็ตรงกัน เป็นแต่การเรยกชื่อหัวข้อ หรือวิธีแปงหัวข้อต่างกันออกไปเท่านั้น ไนหนังสืออรรถกถาวินัย (สมันตปาสาทิกาภาค ๑ หน้า ๑๗) พระอรรถกถาจารย์จัด หัวข้อย่อวินัยปิฎกไว้ว่าชื่อว่าวินัยปิฎกคือ \"ปาฎิโมกข์ ๒ (ภิกขุปาฎิโมกข์กับภิกขุนีปาฎิโมกข์) วิภังค์๒(มหาวิภังค์ หรือภิกขุวิภังค์กับภิกขุนีวิภังค์) ฃันธกะ ๒๒(รวมทั้งไนมหาวัคค์และจุลล- วัคค์) และปริวาร ๑๖\"เรื่องเหล่านี้คงเป็นป็ญหาในการเรียกชื่อหมวดหยู่ตามเคย ถ้าเความหมาย แล้วจะท่องจำหัวข้อย่อ ๆ แบบไทยว่า อา,ปา,ม,จุ,ป ก็คงได้ประโยชน์เท่ากัน อนี้งท่านผู้อ่านจะ เข้าใจยึ่งฃึ้นเมื่ออ่านถึงภาค ๓ อันว่าด้วยความย่อแห่งพระไตรปิฎก เพราะจะได้เห็นหัวข้อที่แปง ออกไปเป็นหมวดหม่รอง ๆ ลงไปจากหมวดไหญ่อย่างชัดเจน สุตดันต!เฎค หัวข้อย่อแห่งลุ[ตด้นตปิฎกมี ๕ คำ คือ ที,ม,สัง,อัง,ขุ ดังต่อไปนี ๑) ที = ทีฆนิกาย แปลว่า หมวดยาว หมายถึงหมวดทีรวบรวมพระสูตรขนาดยาวไว้ส่วนหนึง ไม่ปนกับพระสูตรประเภทอื่น ไนหมวดนีมีพระสูตรรวมทังสิน ๓๔ สูตร ๒)ม = มัชฌิมนิกาย แปลว่า หมวดปานกลาง หมายถึงหมวดที่รวบรวมพระสูตรขนาดกลาง ไม่ สั้นเกินไปไม่ยาวเกินไปไว้ส่วนหนึ่ง ในหมวดนีมีพระสูตรรวมทั้งสิ้น ๑๕๒ สูตร ๓)สัง=สังยุตตนิกาย แปลว่า หมวดประมวล คือประมวลเรื่องประเภทเดียวกันไว้เป็นหมวดหมู่ เช่น เรื่องพระมหากัสสปะ เรียกกัสสปสังยุตค์ เรื่องอินทรีย์(ธรรมะที่เป็นใหญ่ในหน้าที่ของ ตน) เรียกอินทริยสังยุตค์เรื่องมรรค(ข้อปฎิปติ) เรียกมัคคสังยุตค์ในหมวดนีมีพระสูตรรวม ทั้งสิ้น ๗,๗๖๒ สูตร(๑) ๔)อัง = อังคุตตรนิกาย แปลว่า หมวดยิ่งด้วยองค์ คือจัดลำดับธรรมะไว้เป็นหมวด ๆ ตามลำดับ ดัวเลข เช่น หมวดธรรมะข้อเดียว เรียกเอกนิบาต หมวดธรรมะ ๒ ข้อ เรียกทุกนิบาต หมวด www.kalyanamitra.org