Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศึกษาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู

ศึกษาภาวะผู้นำตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอำเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลำภู

Description: งานวิจัย/วิทยานิพนธ์

Search

Read the Text Version

ศกึ ษาภาวะผนู้ าตามหลักสัปปรุ สิ ธรรมของพระสังฆาธิการในเขต อาเภอนากลาง จังหวดั หนองบวั ลาภู พระมหาประยูร เขมจาโร (คาแก้ว) วทิ ยานิพนธ์นี้เป็นส่วนหน่งึ ของการศกึ ษาตามหลกั สูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ ารัฐศาสตรก์ ารปกครอง บณั ฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลัย พฤศจิกายน 2560 (ลิขสทิ ธ์เิ ปน็ ของมหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลยั )

ศกึ ษาภาวะผนู้ าตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขต อาเภอนากลาง จังหวดั หนองบวั ลาภู พระมหาประยูร เขมจาโร (คาแก้ว) วทิ ยานิพนธ์นี้เป็นสว่ นหน่งึ ของการศึกษาตามหลกั สูตรรัฐศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวชิ ารฐั ศาสตร์การปกครอง บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัย พฤศจิกายน 2560 (ลิขสทิ ธเ์ิ ปน็ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั )

SAPPURISADHAMMA-BASED LEADERSHIP OF ECCLESIASTICAL AUTHORITATIVE IN NA KLANG DISTRICT, NONG BUALAMPHU PROVINCE PHRAMAHA PRAYOON KEMMAJARO (KHAMKAE) A THESIS SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF MASTER OF POLITICAL SCIENCE DEPARTMENT OF GOVERNMENT GRADUATE SCHOOL MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY NOVEMBER 2017 (COPYRIGHT MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY)

5820850312012 : สาขาวชิ า : รฐั ศาสตร์การปกครอง ; ร.ม. (รฐั ศาสตรมหาบัณฑิต) คาสาคัญ : ภาวะผู้นา, หลกั สัปปุริสธรรมของพระสงั ฆาธกิ าร พระมหาประยูร เขมจาโร (คาแก้ว) : ศึกษาภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการ ในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู(SAPPURISADHAMMA-BASED LEADERSHIP OF ECCLESIASTICAL AUTHORITATIVE IN NA KLANG DISTRICT, NONG BUALAMPHU PROVINCE) คณะกรรมควบคุมวิทยานิพนธ์: ดร.ปดิษฐ์ คาดี อาจารย์ท่ีปรึกษาหลัก, พระนิทัศน์ ธรี ปญโฺ ญ, ดร. อาจารย์ทป่ี รกึ ษารว่ ม, 185 หน้า. ปี พ.ศ. 2560 วิทยานิพนธ์ฉบับน้ีมีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพ่ือศึกษาภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู 2) เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นาตามหลัก สัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู 3) เพ่ือศึกษาข้อเสนอ แนะเกี่ยวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู การศึกษาคร้ังน้ีเป็นการวิจัยแบบผสม โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ กาหนดรูปแบบ ในการวิจัยเชิงสารวจ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างที่ คือ พระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆ์อาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู จานวน 150 รูป โดยใช้แบบสอบถาม ลักษณะของแบบสอบถามเป็นทั้งปลายปิดและปลายเปิด ผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้โดยหา ค่าความถ่ี ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานสถิติทดสอบเอฟ (F-test) เมื่อพบความแตกต่างจะทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยรายคู่ด้วยวิธีการของเชฟเฟ่ (Scheffé) และการสมั ภาษณเ์ ชงิ ลกึ กบั ผู้ให้ข้อมูลสาคัญ จานวน 5 รูป โดยเทคนิคการวิเคราะห์เน้ือหาประกอบ บรบิ ท ผลการวิจัยพบวา่ 1) ภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลาดับค่าคะแนนเฉลี่ยภาวะผู้นาตามหลัก สัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภูจากมากไปหาน้อย ดังน้ี ด้านอัตถัญุตา ด้านปริสัญุตา ด้านอัตตัญุตา ด้านธัมมัญุตา ด้านปุคคลปโรปรัญุตา ด้านมัตตัญุตา และด้านกาลัญุตา ตามลาดบั 2) ผลการทดสอบสมมติฐานภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขต อาเภอนากลาง จงั หวดั หนองบัวลาภู จาแนกตามปจั จัยสว่ นบุคคล พระสังฆาธิการท่ีมีพรรษาต่างกัน มีภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการ ในเขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบวั ลาภู แตกต่างกนั โดยรวมไมแ่ ตกต่างกัน จึงปฏเิ สธสมมติฐาน

ข พระสังฆาธิการที่มีตาแหน่งพระสังฆาธิการต่างกัน มีภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม ของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยรวมไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธ สมมติฐาน พระสังฆาธิการท่ีมีวุฒิการศึกษาทางธรรมต่างกัน มีภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม ของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยรวมไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธ สมมตฐิ าน พระสังฆาธิการที่มีวุฒิการศึกษาแผนกบาลีต่างกัน มีภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม ของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยรวมไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธ สมมตฐิ าน พระสังฆาธกิ ารท่ีมปี ระสบการณ์การปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ตี า่ งกัน มภี าวะผ้นู าตามหลักสัปปุริสธรรม ของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยรวมไม่แตกต่างกัน จึงปฏิเสธ สมมติฐาน 3) ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู คือ พระสังฆาธิการควรเอาพระศาสนารอดโดยเฉพาะยุคปัจจุบันนี้ถือ วา่ เป็นเร่ืองใหญม่ กี ารแทรกแซงผา่ นตา่ งศาสนาเปน็ ผู้กาหนดทิศทางท่ีควรจะเป็นให้ศาสนาพุทธถ้าเรา นาหลกั การปฏิบัตติ นตามหลกั สัปปุรสิ ธรรมมาใชใ้ นการคณะสงฆใ์ ห้มากๆ จะทาให้วัดและศาสนาพุทธ เจริญรุ่งเรือง

ค 5820850312008 : MAJOR: GOVERNMENT; M.Pol.Sc. (MASTER OF POLITICAL SCIENCE) KEYWORD : LEADERSHIP/SAPPURISADHAMMA-BASED OF ECCLESIASTICAL AUTHORITATIVE PHRAMAHAPRAYOON KEMMAJARO (KHAMKAEW): SAPPURISADHAMMA-BASED LEADERSHIP OF ECCLESIASTICAL AUTHORITATIVE IN NA KLANG DISTRICT, NONG BUALAMPHU PROVINCE. ADVISORY COMMUNITY: DR.PADIT KUMDEE ADVISOR, PHRANITAT DHIRAPANYO, D.R., CO-ADVISOR, 185 PP. B.E. 2560 (2017) The objectives of the research were 1) to study Study Sappurisadhmma- based Leadership of Eccleiastical authoritative monks in Naklang district, Nong Bualamphu province, and 3) to study recommendations on Sappurisadhamma-based leadership of ecclesiastical authoritative monks in Naklang district, Nong Bualamphu province. This research was engaged in the mixed method: the quantitative researchey used to survey and collect data and in-depth interviews used to collect data from five key respondents. The rsearch samples were 150 ecclesiastcal authorative monks in Naklang distict, Nong Bualmphu province. The research instrument used for collecting data was the open-end closed-end questionnaire, and the data were analyzed by the statistcs comorised of frequency distribution, percentage, mean and standard deviation. The hypotheses were tested by the F-test. ln case paired differences were found, Scheffe’s method was utilized. ln addition,thequalitive data were analyzed through the content analysis. The research of research were found as follws: 1. Sappurisadhamma-based leadership of ecclesiastical authoritativeMonks in Naklang district, Nong Bualamphu province, was found to be overall at a high level of mean. Considered in the descending order of the mean scores, they were Attanyuta (consequence knowing), Parisanyta (assembly knowing), Attanyuta (self- knowing), Dhammanyuta (cause knowing), Puggalaparoparnyuta (individual knowing), and kalanyuta (proper time knowing), respectively. 2. The hypothesis tests on Sappurisadhamma-based leadership of ecclesiastical authoritative monks in Naklang district, Nong Bualamphu province, classified by personal factors, were found as follows:

ง Sappurisadhamma-based leadership of ecclesiastical authoritative monks with different rainy years of age in Naklang district, Nong Bualamphu province, was found not to be overall different. So, the hypothesis was not accepted. Sappurisadhamma-based leadership of ecclesiastical authoritative monks with different ecclesiastical authoritative positions in Naklang district, NongBua- lamphu province, was found not to be overall different.So, the hypothesis was not accepted. Sappurisadhamma-based leadership of ecclesiastical authoritative monks with different ecclesiastical authoritative positions in Naklang district, NongBua- lamphu province, was found not to be overall different.So, the hypothesis was not accepted. Sappurisadhamma-based leadership of ecclesiastical authoritative monks with different ecclesiastical authoritative positions in Naklang district, NongBua- lamphu province, was found not to be overall different.So, the hypothesis was not accepted. Sappurisadhamma-based leadership of ecclesiastical authoritative monks with different ecclesiastical authoritative positions in Naklang district, NongBua- lamphu province, was found not to be overall different. So, the hypothesis was not accepted. 3. The recommendations on Sappurisadhamma-based leadership of ecclesiastical authoritative monks in Naklang district, Nong Bualamphu province, Were found that ecclesiastical authoritative monks should pay more attentions to the existence or survival of Buddhism because intervention by other religious worshippers was currently found to control and authorize what the Buddhists should do in Thailand.lt was inevitably believed for monasteries and Buddhism to remain in progress if sappurisadhamma-based self-performance was increasingly accepted by ecclesiastical authoritative monks.

จ ประกาศคุณปู การ วิทยานิพนธ์ฉบับนี้สาเร็จลงได้ด้วยความกรุณาจาก อาจารย์ ดร.ปดิษฐ์ คาดี ท่ีปรึกษา พระนิทัศน์ ธีรปญฺโญ, ดร. (วงศ์วังเพ่ิม) ท่ีปรึกษาร่วมที่กรุณาให้คาปรึกษาแนะนาแนวทางท่ีถูกต้อง ตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความละเอียดถี่ถ้วนและเอาใจใส่ด้วยดีเสมอมา ผู้วิจัยรู้สึก ซาบซง้ึ เป็นอย่างยิง่ จึงขอขอบพระคณุ และอนโุ มทนาขอบคุณไว้ ณ โอกาสน้ี ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร. ศรชัย ท้าวมิตร ประธานสอบวิทยานิพนธ์ผู้ช่วย ศาสตราจารย์ ดร.บุรินทร์ ภู่สกุล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เช่ียวชาญในการตรวจสอบเครื่องมือ การวิจยั คอื รองศาสตราจารย์ ดร.ภาสกร ดอกจันทร์ ดร.ทองแพ ไชยต้นเทือก และดร.วินิจ ผาเจริญ และทกุ ทา่ น ทไี่ ดช้ ว่ ยใหค้ าแนะนาแกไ้ ขปรับปรงุ ให้วทิ ยานพิ นธ์มคี วามสมบูรณ์อยา่ งย่งิ ขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของตาราและผู้จัดทาเว็บไซต์ทุกท่านที่ผู้วิจัยได้ใช้ข้อมูลในการทา วิจัยคร้ังนี้ ขอบคุณท่านผู้มีอุปการคุณท่ีได้ให้ความอุปถัมภ์ปัจจัย 4 เพื่อใช้ในการศึกษาและอานวย ความสะดวกในการเดินทาง และเจ้าหน้าที่บัณฑิตวิทยาลัยที่อานวยความสะดวกในการค้นคว้าข้อมูล เจ้าหน้าท่ีประจาห้องสมุดทุกแห่งที่ผู้วิจัยเข้าไปใช้บริการ ได้แก่ ห้องสมุดมหาวิทยาลัยมหามกุฏราช วทิ ยาลยั วิทยาเขตศรีล้านช้าง สุดท้ายนี้ขออนุโมทนาขอบคุณเพื่อนๆสมาชิกในห้องเรียนที่มีส่วนช่วยในการศึกษาและให้ กาลังใจตลอดมา หากคุณค่าอันพึงมีจากการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และมอบบูชาเป็นกตเวทิตาคุณ แก่บิดามารดา ครูบาอาจารย์ พี่ ๆน้อง ๆ รวมท้ังคณะญาติ โยม ตลอดจนผู้มีอุปการคุณทุกท่าน ซ่ึงไม่สามารถจะออกนามได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นผู้ให้กาลังใจ ผู้ให้ กาลังสนบั สนนุ และผู้ถวายขา้ วทกุ ทพั พีตลอดเวลาทดี่ ารงเพศสมณะมาตลอด พระมหาประยรู เขมจาโร (คาแก้ว)

สารบญั หนา้ ก บทคัดยอ่ ภาษาไทย ค บทคัดย่อภาษาอังกฤษ จ ประกาศคณุ ปู การ ฉ สารบัญ ซ สารบญั ตาราง ฌ สารบญั แผนภูมิ 1 บทที่ 1 3 1 บทนา 3 1.1 ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา 4 1.2 วัตถปุ ระสงค์การวิจยั 4 1.3 ขอบเขตของการวจิ ยั 4 1.4 สมมตฐิ านการวจิ ยั 8 1.5 ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะไดร้ บั 8 1.6 คานิยามศพั ท์เฉพาะท่ีใช้ในการวิจัย 26 38 2 เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเก่ยี วขอ้ ง 42 2.1 ความหมายแนวคดิ เก่ียวกับหลักสัปปรุ ิสธรรม 43 2.2 หลักการ ทฤษฎี และแนวคดิ ภาวะผู้นา 48 2.3 แนวคิดเก่ียวกับพระสงั ฆาธิการ 49 2.4 ข้อมูลพน้ื ทีท่ ่ีทาการศึกษา 49 2.5 งานวิจัยทเ่ี ก่ยี วข้อง 50 2.6 กรอบแนวคดิ การวิจยั 51 52 3 วธิ ดี าเนินการวิจัย 53 3.1 ขน้ั ตอนการดาเนินการวจิ ัย 53 3.2 ประชากรและกลุม่ ตวั อย่าง 3.3 เครือ่ งมือที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู 3.4 การสรา้ งเครื่องมอื 3.5 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู 3.6 การวเิ คราะห์ข้อมลู

ช สารบญั (ต่อ) 3.7 สถติ ทิ ใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล หน้า 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 54 56 4.1 สัญลักษณท์ ี่ใชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มูล 56 4.2 ผลการวิเคราะห์สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม 58 4.3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 60 4.4 ข้อเสนอแนะเก่ียวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขต 117 อาเภอนากลาง จงั หวดั หนองบวั ลาภู 126 4.5 สรปุ องค์ความรูจ้ ากการวิจยั (Body of Knowledge) 127 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ 127 5.1 สรปุ ผลการวจิ ยั 128 5.2 อภปิ รายผลการวิจยั 144 5.3 ข้อเสนอแนะ 146 บรรณานกุ รม 149 ภาคผนวก 150 152 ภาคผนวก ก รายชื่อผ้เู ชย่ี วชาญตรวจสอบเครื่องมอื 158 ภาคผนวก ข หนงั สอื ขอความอนุเคราะห์เป็นผู้เชย่ี วชาญตรวจสอบเคร่อื งมอื 161 ภาคผนวก ค หนังสือขอความอนเุ คราะหเ์ กบ็ ข้อมูล 172 ภาคผนวก ง แบบสอบถาม 177 ภาคผนวก จ แบบสมั ภาษณ์ 182 ภาคผนวก ฉ ผลสรุปค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) 185 ภาคผนวก ช ความเช่ือม่นั ของเคร่ืองมือโดยใช้สูตรสมั ประสิทธอ์ิ ลั ฟา ประวตั ิผวู้ จิ ยั

สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 2.1 ภาวะผูน้ าตามแนวคดิ ทฤษฎี 3-D management Style 32 3.1 ชื่อตาบลในเขตปกครอง จานวนประชากรและจานวนกลมุ่ ตัวอยา่ ง 50 4.1 แสดงจานวน และรอ้ ยละของผตู้ อบแบบสอบถาม 58 4.2 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง 60 จังหวดั หนองบัวลาภู โดยรวม 4.3 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น 61 ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จงั หวัดหนองบวั ลาภู ดา้ นธัมมญั ญุตา 62 4.4 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง 63 จงั หวดั หนองบัวลาภู ดา้ นอตั ถญั ญตุ า 4.5 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น 64 ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู ด้านอตั ตญั ญตุ า 65 4.6 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง 66 จังหวัดหนองบวั ลาภู ดา้ นมตั ตัญุตา 4.7 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น 67 ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู ดา้ นกาลัญญตุ า 4.8 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู ด้านปริสัญญุตา 4.9 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) อันดับ และระดับความคิดเห็น ต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จงั หวัดหนองบวั ลาภู ดา้ นปุคคลปโรปรัญญุตา

ฌ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.10 แสดงคา่ เฉลย่ี ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 68 70 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 71 หนองบวั ลาภู โดยรวม จาแนกตามพรรษา 71 4.11 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 72 พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยรวม ท่ีมีพรรษา 72 ตา่ งกนั 73 4.12 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 73 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 74 หนองบวั ลาภู ด้านธัมมญั ญุตา จาแนกตามพรรษา 4.13 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านธัมมัญญุตา ท่ีมี พรรษาต่างกัน 4.14 แสดงค่าเฉลยี่ ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ดา้ นอตั ถญั ญุตา จาแนกตามพรรษา 4.15 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตถัญญุตา ที่มี พรรษาตา่ งกนั 4.16 แสดงคา่ เฉลย่ี ( ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ด้านอัตตญั ญุตา จาแนกตามพรรษา 4.17 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตตัญญุตา ท่ีมี พรรษาตา่ งกนั 4.18 แสดงค่าเฉลยี่ ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ด้านมัตตญั ญตุ า จาแนกตามพรรษา

ญ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 4.19 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 74 75 พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านมัตตัญญุตา ท่ีมี 75 พรรษาต่างกนั 76 4.20 แสดงคา่ เฉลย่ี ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 76 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 77 หนองบวั ลาภู ด้านกาลัญญุตา จาแนกตามพรรษา 77 4.21 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 78 พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านกาลัญญุตา ที่มี 79 พรรษาตา่ งกนั 4.22 แสดงค่าเฉลย่ี ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นปริสญั ญุตา จาแนกตามพรรษา 4.23 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านปริสัญญุตา ท่ีมี พรรษาตา่ งกนั 4.24 แสดงค่าเฉลีย่ ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ด้านปคุ คลปโรปรญั ญุตา จาแนกตามพรรษา 4.25 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสงั ฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบวั ลาภู ดา้ นปุคคลปโรปรัญญุตา ที่มพี รรษาตา่ งกัน 4.26 แสดงผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระ สังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านปุคคลปโรปรัญญุตา จาแนกตามพรรษา เป็นรายคตู่ ามวิธีการของ LSD (Least/significant Differern) 4.27 แสดงค่าเฉลีย่ ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู โดยรวม จาแนกตามตาแหน่งพระสงั ฆาธกิ าร

ฎ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.28 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 80 81 พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยรวม ท่ีมีตาแหน่ง 81 พระสังฆาธิการต่างกัน 82 4.29 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 82 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 83 หนองบัวลาภู ด้านธมั มัญญุตา จาแนกตาแหน่งพระสงั ฆาธกิ าร 83 4.30 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 84 พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านธัมมัญญุตา ที่มี 84 ตาแหนง่ พระสงั ฆาธิการตา่ งกัน 4.31 แสดงค่าเฉลีย่ ( ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ดา้ นอตั ถัญญุตา จาแนกตามตาแหน่งพระสงั ฆาธกิ าร 4.32 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตถัญญุตา ที่มี ตาแหนง่ พระสงั ฆาธกิ ารต่างกนั 4.33 แสดงค่าเฉลย่ี ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ด้านอตั ตัญญุตา จาแนกตามตาแหนง่ พระสงั ฆาธิการ 4.34 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตตัญญุตา ที่มี ตาแหนง่ พระสังฆาธิการตา่ งกนั 4.35 แสดงคา่ เฉล่ีย ( ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นมตั ตญั ญุตา จาแนกตามตาแหนง่ พระสงั ฆาธิการ 4.36 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านมัตตัญญุตา ท่ีมี ตาแหนง่ พระสังฆาธกิ ารต่างกนั

ฏ สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.37 แสดงค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 85 85 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 86 หนองบัวลาภู ดา้ นกาลัญญุตา จาแนกตามตาแหนง่ พระสงั ฆาธิการ 86 4.38 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 87 พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านกาลัญญุตา ที่มี 87 ตาแหนง่ พระสงั ฆาธิการต่างกัน 88 4.39 แสดงคา่ เฉล่ยี ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 89 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 90 หนองบัวลาภู ดา้ นปรสิ ญั ญุตา จาแนกตามตาแหนง่ พระสังฆาธิการ 4.40 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านปริสัญญุตา ที่มี ตาแหนง่ พระสงั ฆาธิการตา่ งกนั 4.41 แสดงค่าเฉล่ยี ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ปคุ คลปโรปรัญญตุ า จาแนกตามตาแหน่งพระสังฆาธกิ าร 4.42 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู ดา้ นปคุ คลปโรปรัญญุตา ทมี่ ตี าแหน่งพระสงั ฆาธกิ ารต่างกนั 4.43 แสดงค่าเฉลยี่ ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู โดยรวม จาแนกตามวุฒกิ ารศึกษานักธรรม 4.44 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยรวม ที่มีวุฒิการ ศกึ ษานกั ธรรมต่างกนั 4.45 แสดงคา่ เฉลีย่ ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ดา้ นธัมมัญญตุ า จาแนกตามวุฒกิ ารศึกษานกั ธรรม

ฐ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางที่ หน้า 4.46 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 90 91 พระสงั ฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านธัมมัญญุตา ที่มีวุฒิ 91 การศึกษานักธรรมต่างกัน 92 4.47 แสดงค่าเฉลย่ี ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 92 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นอตั ถญั ญุตา จาแนกตามวุฒกิ ารศกึ ษานกั ธรรม 93 4.48 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 94 พระสงั ฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตถัญญุตา ท่ีมีวุฒิ 94 การศกึ ษานักธรรมต่างกนั 95 4.49 แสดงคา่ เฉลยี่ ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นอตั ถัญญุตา จาแนกตามวฒุ ิการศกึ ษานกั ธรรม 4.50 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตตัญญุตา ที่มีวุฒิ การศกึ ษานกั ธรรมตา่ งกนั 4.51 แสดงผลการเปรียบเทียบความคิดเห็นต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระ สังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตตัญญุตา จาแนก ตามวุฒิการศึกษานักธรรม เป็นรายคู่ตามวิธีการของ LSD (Least/significant Differern) 4.52 แสดงค่าเฉลย่ี ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นมตั ตัญญตุ า จาแนกตามวุฒิการศกึ ษานักธรรม 4.53 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านมัตตัญญุตา ท่ีมีวุฒิ การศกึ ษานกั ธรรมต่างกัน 4.54 แสดงค่าเฉลย่ี ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ดา้ นกาลญั ญุตา จาแนกตามวุฒกิ ารศึกษานักธรรม

ฑ สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.55 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 95 96 พระสงั ฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านกาลัญญุตา ท่ีมีวุฒิ 96 การศึกษานกั ธรรมต่างกัน 97 4.56 แสดงค่าเฉล่ีย ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 97 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 98 หนองบัวลาภู ด้านปริสัญญุตา จาแนกตามวฒุ กิ ารศกึ ษานักธรรม 99 4.57 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 100 พระสังฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านปริสัญญุตา ที่มีวุฒิ 100 การศึกษานักธรรมต่างกนั 4.58 แสดงคา่ เฉล่ีย ( ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ปคุ คลปโรปรญั ญุตา จาแนกตามวุฒกิ ารศึกษานกั ธรรม 4.59 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จงั หวัดหนองบวั ลาภู ดา้ นปุคคลปโรปรัญญุตา ทีม่ วี ุฒกิ ารศึกษานักธรรมต่างกัน 4.60 แสดงคา่ เฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู โดยรวม จาแนกตามวฒุ ิการศึกษาแผนกบาลี 4.61 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยรวม ที่มีวุฒิการ ศึกษาแผนกบาลีต่างกัน 4.62 แสดงค่าเฉลยี่ ( ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ด้านธมั มญั ญตุ า จาแนกตามวุฒกิ ารศึกษาแผนกบาลี 4.63 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสงั ฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านธัมมัญญุตา ที่มีวุฒิ การศกึ ษาแผนกบาลีต่างกนั

ฒ สารบัญตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.64 แสดงค่าเฉล่ยี ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 101 101 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 102 หนองบวั ลาภู ดา้ นอตั ถัญญุตา จาแนกตามวฒุ กิ ารศึกษาแผนกบาลี 102 4.65 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 103 พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตถัญญุตา ที่มีวุฒิ 103 การศึกษาแผนกบาลีตา่ งกัน 104 4.66 แสดงค่าเฉลย่ี ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 104 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 105 หนองบัวลาภู ด้านอัตตญั ญตุ า จาแนกตามวฒุ ิการศกึ ษาแผนกบาลี 4.67 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตตัญญุตา ท่ีมีวุฒิ การศึกษาแผนกบาลีตา่ งกัน 4.68 แสดงคา่ เฉลย่ี ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ด้านมตั ตัญญุตา จาแนกตามวุฒกิ ารศกึ ษาแผนกบาลี 4.69 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสงั ฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านมัตตัญญุตา ท่ีมีวุฒิ การศกึ ษาแผนกบาลีต่างกนั 4.70 แสดงคา่ เฉล่ยี ( ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ดา้ นกาลัญญตุ า จาแนกตามวฒุ กิ ารศกึ ษาแผนกบาลี 4.71 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสงั ฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านกาลัญญุตา ที่มีวุฒิ การศกึ ษาแผนกบาลีต่างกนั 4.72 แสดงค่าเฉลยี่ ( ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นปริสญั ญตุ า จาแนกตามวุฒิการศกึ ษาแผนกบาลี

ณ สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.73 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 105 106 พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านปริสัญญุตา ท่ีมีวุฒิ 106 การศกึ ษาแผนกบาลีตา่ งกนั 107 4.74 แสดงคา่ เฉลย่ี ( ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 108 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 109 หนองบัวลาภู ดา้ นปุคคลปโรปรัญญตุ า จาแนกตามวฒุ กิ ารศึกษาแผนกบาลี 109 4.75 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 110 พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จงั หวัดหนองบัวลาภู ดา้ นปคุ คลปโรปรัญญุตา 110 ทม่ี วี ฒุ กิ ารศกึ ษาแผนกบาลีตา่ งกัน 4.76 แสดงค่าเฉลีย่ ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู โดยรวม จาแนกตามประสบการณ์การปฏบิ ตั ิหน้าที่ 4.77 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู โดยรวม ที่มีประสบ การณ์การปฏิบตั ิหน้าที่ต่างกัน 4.78 แสดงค่าเฉลย่ี ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ด้านธัมมัญญุตา จาแนกตามประสบการณก์ ารปฏบิ ัตหิ น้าที่ 4.79 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านธัมมัญญุตา ท่ีมี ประสบการณก์ ารปฏิบตั ิหน้าที่ตา่ งกนั 4.80 แสดงค่าเฉลย่ี ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ดา้ นอตั ถญั ญุตา จาแนกตามประสบการณ์การปฏบิ ตั ิหน้าที่ 4.81 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตถัญญุตา ท่ีมี ประสบการณก์ ารปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ีตา่ งกนั

ด สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 4.82 แสดงคา่ เฉลยี่ ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 111 111 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 112 หนองบวั ลาภู ดา้ นอตั ถัญญตุ า จาแนกตามประสบการณก์ ารปฏิบัตหิ น้าที่ 112 4.83 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 113 พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตตัญญุตา ที่มี 113 ประสบการณก์ ารปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีตา่ งกนั 114 4.84 แสดงคา่ เฉลย่ี ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ 114 ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด 115 หนองบวั ลาภู ดา้ นมตั ตัญญตุ า จาแนกตามประสบการณ์การปฏบิ ตั หิ น้าที่ 4.85 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านมัตตัญญุตา ที่มี ประสบการณก์ ารปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ตา่ งกนั 4.86 แสดงค่าเฉลยี่ ( ) สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ดา้ นกาลญั ญุตา จาแนกตามประสบการณก์ ารปฏิบตั หิ นา้ ท่ี 4.87 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านกาลัญญุตา ท่ีมี ประสบการณ์การปฏิบัตหิ นา้ ท่ีตา่ งกัน 4.88 แสดงค่าเฉลย่ี ( ) สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ด้านปรสิ ญั ญุตา จาแนกตามประสบการณ์การปฏิบตั หิ นา้ ที่ 4.89 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านปริสัญญุตา ที่มี ประสบการณก์ ารปฏบิ ตั หิ น้าที่ต่างกัน 4.90 แสดงค่าเฉล่ยี ( ) ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และระดับความคิดเห็นต่อภาวะ ผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบวั ลาภู ปุคคลปโรปรญั ญุตา จาแนกตามประสบการณ์การปฏิบตั ิหนา้ ท่ี

ต สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางท่ี หน้า 4.91 แสดงผลการวิเคราะห์ความแปรปรวนต่อภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ 115 พระสงั ฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู ดา้ นปุคคลปโรปรัญญุตา ท่มี ปี ระสบการณก์ ารปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ีตา่ งกนั 116 4.92 สรุปโดยภาพรวม การเปรียบเทียบความเห็นของพระสังฆาธิการมีภาวะผู้นาตาม 117 หลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู 117 โดยจาแนกตามปจั จัยสว่ นบคุ คล ตามสมมติฐานที่ 1-5 117 4.93 แสดงค่าความถ่ีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระ 118 สงั ฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จงั หวดั หนองบวั ลาภู ดา้ นธัมมญั ญุตา 118 4.94 แสดงค่าความถ่ีข้อเสนอแนะเก่ียวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระ 118 สังฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบวั ลาภู ด้านอัตถัญญตุ า 119 4.95 แสดงค่าความถ่ีข้อเสนอแนะเกี่ยวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระ สงั ฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ด้านอัตตญั ญุตา 4.96 แสดงค่าความถ่ีข้อเสนอแนะเก่ียวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระ สังฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ดา้ นมตั ตญั ญตุ า 4.97 แสดงค่าความถ่ีข้อเสนอแนะเก่ียวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระ สงั ฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จงั หวดั หนองบวั ลาภู ด้านกาลญั ญุตา 4.98 แสดงค่าความถี่ข้อเสนอแนะเก่ียวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระ สงั ฆาธกิ ารในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ดา้ นปริสญั ญุตา 4.99 แสดงค่าความถ่ีข้อเสนอแนะเก่ียวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระ สังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบวั ลาภู ด้านปุคคลปโรปรญั ญุตา

สารบญั แผนภมู ิ ถ แผนภมู ิที่ หน้า 2.1 แสดงปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างผูน้ า ผ้ตู าม และกระบวนการ 27 2.2 แผนทอี่ าเภอนากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู 43 2.3 แสดงสรุปกรอบแนวคดิ ทใี่ ชใ้ นการวิจยั 48 4.1 สรปุ องคค์ วามร้จู ากการวจิ ัย 126

บทที่ 1 บทนำ 1.1 ควำมเป็นมำและควำมสำคัญของปญั หำ ปัจจุบันเป็นท่ียอมรับกันแล้วว่า ในการบริหารงานขององค์การนั้นผู้นา (Leader) เป็น ปัจจัยที่สาคัญอย่างย่ิงประการหนึ่งต่อความสาเร็จขององค์การนั้น ๆ ท้ังน้ีเพราะผู้นามีภาระหนาท่ี และความรับผิดชอบโดยตรง ที่จะต้องทาการวางแผน สั่งการ ดูแลและควบคุมให้บุคลากรขององค์ การสามารถปฏิบัติงานต่าง ๆ ให้ประสบความสาเร็จ ปัญหาท่ีเป็นท่ีสนใจของนักวิชาการและบุคคล ท่ัวไปอยู่ตรงที่ว่า ผู้นาจะต้องทาอย่างไรหรือมีวิธีการนาอย่างไร จึงทาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ตาม เกิดความผูกพันกับงานแล้ว ทุมเทความสามารถและพยายามท่ีจะทาให้งานสาเร็จด้วยความเต็มใจ ในการปฏิบัติงานให้สาเร็จอย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายและวัตถุประสงค์ขององค์การ วโิ รจน์ สารรตั นะ (2539, หนา้ 533) ภาวะผู้นาหรอื ความเป็นผู้นา (leadership) นน้ั เป็นกระบวนการท่ีผู้บริหารจะให้มีอิทธิพล ต่อพฤตกิ รรมของผู้อ่ืน ปัจจัยที่สาคัญยิ่งอย่างหนึ่งแห่งความสาเร็จของการทาหน้าที่ผู้นา คือ การเป็น ผู้ประกอบด้วยคณุ สมบัติทเ่ี หมาะสม มีความสามารถในการปรบั เปล่ียนความต้องการของคน ซ่ึงความ ต้องการเป็นตัวกาหนดเป้าหมายและทิศทางในการตัดสินใจ ถ้าเปล่ียนความต้องการของคนได้ ก็ เปล่ียนตัวของคนนั้นได้ ผู้นาท่ีดีจะช่วยให้คนพัฒนาความต้องการของตน ทั้งในการปรับเปล่ียน ทัศนคติของบุคคลให้มีความต้องการท่ีถูกต้องดีงามและให้หมู่ชนมีการประสานความร่วมมือเป็น อันหน่ึงอันเดียวกัน เพราะการพัฒนาความต้องการเป็นการพัฒนาความสุขของคน เพราะความสุข เกดิ จากการสนองความต้องการ ถา้ หากเปลีย่ นความต้องการได้ ก็เปล่ียนวิธีการหาความสุขของเขาได้ ด้วย เมื่อทาอะไรตรงกับความต้องการ ก็ทาให้เขาสมใจและมีความสุขคนก็จะรวมมือทาอย่างเป็นไป เองโดยประสานกลมกลืนและเต็มใจจะหาทางทาให้สาเร็จ จึงพร้อมท่ีจะทาและทาได้ง่าย แต่ในทาง ตรงกันข้าม ถ้าผู้นากระทาการที่ฝืนความต้องการของคน ท้ังสองฝายก็จะไม่มีความสุขและสิ่งท่ีทา กย็ ากจะสาเร็จ นักบริหารต้องรู้จักความเด่นและความด้อยของตนเอง การรู้ความเด่นก็เพื่อการทางาน ท่ีเหมาะสมกับความสามารถของตน ตามปกตินักบริหารมักมองเห็นความผิดพลาดของลูกน้องได้ง่าย แต่มองข้ามความผิดพลาดของตน ดังพุทธพจน์ว่า “ความผิดพลาดของคนอ่ืนเห็นได้ง่าย แต่ความผิด พลาดของตนเองนนั้ เหน็ ไดย้ าก” เมอื่ นักบรหิ ารทางานผดิ พลาดลูกน้อง ไมก่ ล้าบอกหรือแนะนา ดังน้ัน นักบริหารต้องหัดมองตนและตักเตือนตนเอง สมดังพุทธพจน์ว่า “อตฺตนา โจทยตฺตาน จงเตือนตน

2 ด้วยตน” เช่น ถ้านักบริหารสั่งการหลาย ๆ คร้ังแต่ลูกน้อง ไม่เข้าใจ นักบริหารก็อย่าตาหนิลูกนองว่า โงเ่ งา่ เพราะบางทเี ราเองอาจส่ังการไม่ชัดเจนก็เป็นได้ ดังภาษิตอุทานธรรมทว่ี ่า “ถ้าพูดไปเขาไม่รู้อย่าขเู่ ขา ว่าโง่เงา่ งมเงอะเซอะหนกั หนา ตวั ของเราทาไมไม่โกรธา ว่าพดู จาให้เขาไมเ่ ขาใจ” การท่ีนักบริหารมองไม่เห็นความผิดพลาดของตนน้ันเป็นเร่ืองธรรมดา เพราะวันหนึ่ง ๆ ดวงตาของเรามีไว้สาหรับมองด้านนอกมันไม่ได้มองตัวเราเองเวลาคนอ่ืนทาผิดพลาด เราจะมองเห็น ทันที แต่เวลาตัวเราทาผิดพลาดเองกลับมองไม่เห็น ดังน้ัน เพ่ือสารวจตนเองนักบริหารต้องหัดมอง ด้านในคือ เจรญิ วปิ ัสสนาเป็นการมองดานในนั่นเอง วิปัสสนากรรมฐานเน้นเร่ืองการเจริญสติ พิจารณา กาย เวทนา จติ และธรรมหรอื ความดคี วามชั่วในใจของเราเอง” พระไตรปิฎกได้กล่าวถึงคุณสมบัติของ “ผู้นา” ดงั มีคาถาพุทธศาสนสุภาษิตแสดงความได้ว่า “เม่ือฝูงโควายขามน้า ถ้าโคจ่าฝูงไปคด โคหมด ทั้งฝงู นั้นกไ็ ปคดตามกัน เพราะมีผู้นาไปคิด ฉันใด ในหมู่มนุษยก็ฉันนั้น บุคคลผู้ใด ไดรับสมมติให้เป็น ใหญห่ ากบคุ คลผู้น้นั มคี วามประพฤติไม่เป็นธรรม หมู่ประชาชนนอกนั้นก็จะประพฤติซ้าเสียหาย แว่น แคว้นทงั้ หมดก็จะยากเข็ญ หากผู้ปกครองเป็นผู้ไร้ธรรม” “เม่ือฝูงโควายขามน้า ถ้าโคจาฝูงไปตรง โค หมดทง้ั ฝูงนน้ั กไ็ ปตรงตามกัน เพราะมผี ู้นาท่ีไปตรง ฉนั ใด ในหมู่มนษุ ย์ ก็ฉนั นั้น บุคคลผู้ใดได้รับสมมติ ให้เป็นใหญ่ หากบุคคล ผู้น้ันประพฤติชอบธรรม หมู่ประชาชนนอกน้ันก็จะพลอยดาเนินตาม ท้ังแวน แควนก็จะอยู่เป็นสุข หากผู้ปกครองตง้ั อยู่ในธรรม” พุทธพจน์นี้ แสดงให้เห็นถึงความสาคัญของผู้นาที่มีต่อความอยู่รอด และสวัสดิภาพเพื่อให้ การพัฒนาองค์การและการดาเนินชีวิตของกลุ่มบุคคลในสังคมมีความย่ังยืน และสันติสงบสุขของ สังคมและประเทศชาติ โดยผู้นาจะต้องมีคุณธรรมและจริยธรรมท่ีดีหากผู้นาขาดซึ่งคุณธรรมและ จริยธรรมแล้ว ย่อมทาให้ผู้น้ันขาดความชอบธรรมในการทาหน้าท่ีในองค์การนั้นต่อไป ท้ังน้ีเนื่องจาก คุณธรรมและจริยธรรม ถือเป็นคุณสมบัติท่ีสาคัญของผู้นา ที่ทาให้ได้รับการยอมรับ ความเช่ือถือ ตลอดจนการนับถอื จากบคุ คลต่าง ๆ ทัง้ ในองคก์ ารและสังคมทัว่ ๆ ไป ทั้งนี้ การขาดคุณธรรมและจริยธรรมของผู้นา ย่อมทาให้ผู้นาไม่เป็นท่ียอมรับต่อบุคคล ท่ัวไป ซึง่ ยอมส่งผลกระทบต่อหลกั การบริหารงานและภาพลักษณ์ขององค์การ ดังน้ัน ผู้วิจัยจึงมีความสนใจในการท่ีจะศึกษาภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระ สังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู มีอยู่ 7 ประการ ได้แก่ ภาวะผู้นาด้านธัมมัญ ญุตา เป็นผู้ที่รู้หลักยึดหลักการ ภาวะผู้นาด้านอัตถัญญุตา เป็นผู้ท่ีรู้จักผล ภาวะผู้นาด้านอัตตัญญุตา เป็นผู้ที่รู้จักตนอยู่เสมอ ภาวะผู้นาด้านมัตตัญญุตา ท่ีเป็นผู้ที่รู้จักประมาณ รู้จักความพอดี ภาวะผู้นา ด้านกาลัญญุตา เป็นผู้ท่ีมีความสามารถในการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ ภาวะผู้นาด้าน ปริสัญญุตา เป็นผู้ที่รู้จักชุมชน และสังคม และภาวะผู้นาปุคคลปโรปรัญญุตา เป็นผู้ที่รู้จักบุคคล เพ่ือ สามารถนาความรเู้ กย่ี วกับภาวะของผูน้ าน้นั มาประยุกต์ใช้ในสังคมไทยปัจจุบันและเป็นบรรทัดฐานใน การกาหนดคณุ สมบัตขิ องผู้นาที่ดีในอนาคตได้

3 1.2 วตั ถปุ ระสงค์ของกำรวิจยั 1.2.1 เพื่อศกึ ษาภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จงั หวดั หนองบวั ลาภู 1.2.2 เพื่อเปรียบเทียบภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบวั ลาภู 1.2.3 เพื่อศึกษาข้อเสนอแนะเก่ียวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการ ในเขตอาเภอนากลาง จงั หวดั หนองบวั ลาภู 1.3 ขอบเขตของกำรวิจยั ในการศกึ ษาวิจยั ในครัง้ น้ี ผูว้ ิจัยได้กาหนดขอบเขตของการวิจัยไว้ ดังน้ี 1.3.1 ขอบเขตดำ้ นเนือ้ หำ ในการวิจัยนี้จะศึกษาจากเอกสาร หนังสือ ตารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยท่ีมี เนื้อหาเก่ียวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัด หนองบัวลาภู ประกอบด้วย ด้านธัมมัญญุตา ด้านอัตถัญญุตา ด้านอัตตัญญุตา ด้านมัตตัญญุตา ดา้ นกาลัญญตุ า ดา้ นปริสัญญตุ า และดา้ นปุคคลปโรปรัญญุตา 1.3.2 ขอบเขตด้ำนประชำกรและกลมุ่ ตวั อย่ำง 1.3.2.1 ประชากร (Population) ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ พระสังฆาธิการ ในเขตปกครองคณะสงฆอ์ าเภอนากลาง จังหวัดหนองบวั ลาภู จานวน 256 รปู 1.3.2.2 กลุ่มตัวอย่าง (Sampling) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ี ได้แก่ พระ สังฆาธกิ ารในเขตปกครองคณะสงฆ์อาเภอนากลาง จังหวดั หนองบวั ลาภู จานวน 150 รปู 1.3.3 ขอบเขตดำ้ นตัวแปร ประกอบดว้ ย 1.3.3.1 ตัวแปรอิสระ (Independent Variable) ได้แก่ พรรษา ตาแหน่งพระสังฆาธิการ วฒุ ิการศึกษาทางธรรม วุฒกิ ารศกึ ษาแผนกบาลี และประสบการณก์ ารปฏบิ ตั ิหน้าที่ 1.3.3.2 ตัวแปรตาม(DependentVariable)ไดแ้ ก่ ดา้ นธมั มญั ญุตาด้านอัตถัญญุตา ด้านอัตตัญญุตา ดา้ นมตั ตัญญุตา ดา้ นกาลัญญตุ า ดา้ นปริสญั ญตุ า และดา้ นปุคคลปโรปรัญญุตา 1.3.4 ขอบเขตดำ้ นพนื้ ท่ี พื้นท่ีทีท่ าการวจิ ัย ได้แก่ เขตปกครองคณะสงฆ์อาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู จานวน 9 ตาบล 1.3.5 ขอบเขตดำ้ นเวลำ ในการศึกษาวิจัยในครั้งน้ีกาหนดระยะเวลาตั้งแต่เดือน กันยายน พ.ศ. 2559 ถึงเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เปน็ เวลา 9 เดือน

4 1.4 สมมตฐิ ำนของกำรวิจัย พระสังฆาธิการทมี่ ี พรรษา มตี าแหนง่ วฒุ กิ ารศกึ ษาทางธรรม วุฒิการศึกษาแผนกบาลี และ ประสบการณ์การปฏิบัติหน้าท่ี ต่างกัน มีภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขต อาเภอนากลาง จงั หวัดหนองบัวลาภู แตกต่างกัน 1.5 ประโยชน์ทค่ี ำดว่ำจะได้รบั 1.5.1 ทาให้ทราบภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จงั หวัดหนองบวั ลาภู 1.5.2 ทาให้ทราบผลการเปรียบเทียบภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการ ในเขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบวั ลาภู 1.5.3 ทาให้ทราบข้อเสนอแนะเกี่ยวกับภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของ พระสังฆาธิการ ในเขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบัวลาภู 1.5.4 ทาให้นาผลการวิจัยไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาการปกครองคณะสงฆ์ ในอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบวั ลาภแู ละวดั ต่าง ๆ 1.6 คำนิยำมศพั ท์เฉพำะทใี่ ชใ้ นกำรวิจัย ภำวะผู้นำ หมายถึง ผู้ที่ชักนา จูงใจ ชี้นา ใช้อิทธิพลหรืออานาจท่ีตนมีอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ให้เพ่อื นรว่ มงานหรอื ผู้ใตบ้ งั คบั บัญชาใหย้ ินดี เตม็ ใจ พร้อมใจ ในการกระทาการให้มีความกระตือรือร้น รว่ มดาเนนิ การอย่างใดอย่างหนึ่งตามทผี่ ู้นาตอ้ งการใหม้ ีพฤติกรรมไปในทิศทางที่เขาชักนาในการทางาน หรือดาเนินกิจกรรมที่ผู้นาน้ันรับผิดชอบหรือตามที่ผู้นาน้ันต้องการ ซ่ึงสิ่งที่ผู้นาควรมีเพ่ือเป็นฐานใน การพฒั นาภาวะผูน้ า อยา่ งนอ้ ยนา่ จะประกอบด้วยสิง่ สาคัญเหล่าน้ี คือ ความสามารถเชิงวิสัยทัศน์ การ วางแผนและการกาหนดเป้าหมายขององค์การ ผู้นำ หมายถึง พระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ที่มีความ สามารถ มีทักษะ ทั้งศาสตร์และศลิ ป์ทไี่ ดร้ บั การยอมรับจากหน่วยงานหรือองค์กร ที่มีความสามารถที่ จะจูงใจหรือนาพาให้ผู้ร่วมงานนั้นปฏิบัติภารกิจ การงานของกลุ่มหรือองค์กรให้สาเร็จลุล่วงไปตาม วัตถุประสงคห์ รือเป้าหมายทผ่ี นู้ าหรอื องคก์ รได้ตั้งไว้ ภำวะผู้นำตำมหลักสัปปุริสธรรม 7 หมายถึง ความเป็นผู้นาของพระสังฆาธิการในเขต อาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ที่ได้นาหลักธรรมสัปปุริสธรรมไปประยุกต์ใช้ในการบริหาร จัดการวัด ประกอบไปดว้ ย 7 ดา้ นดงั นี้ 1. ภาวะผู้นาด้านธัมมัญญุตา หมายถึง ความเป็นผู้นาของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภูท่ีเป็นผู้ท่ีรู้หลัก ยึดหลักการในการบริหารอย่างเป็นขั้นตอน จัดทานโยบาย

5 สอดคล้องกับการบริหารงาน แสดงภาวะผู้นาต่อสัทธิวิหาริกด้วยความเอื้อเฟ้ือ สนใจไต่ถามทุกข์สุข และใชห้ ลกั กลั ยาณมติ รเป็นแบบอยา่ งที่ดี 2. ภาวะผู้นาด้านอัตถัญญุตา หมายถึง ความเป็นผู้นาของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวดั หนองบัวลาภูท่ีเป็นผู้ที่รู้จักผล มีวิสัยทัศน์ หรือ ปรัชญา พันธกิจเป้าหมายในการพัฒนาวัด จัด ให้มีการรว่ มมือกบั พุทธศาสนิกชน และชมุ ชน เพอื่ พัฒนาวดั ใหเ้ จริญรุ่งเรอื ง 3. ภาวะผู้นาด้านอัตตัญญุตา หมายถึง ความเป็นผู้นาของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ที่เป็นผู้ท่ีรู้จักตนอยู่เสมอว่าเป็นผู้นาวิสัยทัศน์ สามารถใช้แรงจูงใจ กระจายวิสัยทัศน์ไปยังบุคคลต่าง ๆ ได้ มีจิตใจโอบอ้อมอารี เสียสละ มีความรับผิดชอบสูงและมี คุณธรรม แค่ไหน เพียงไร แล้วต้องประพฤติตนเป็นผู้นาแห่งการเปล่ียนแปลงให้สมกับภาวะนั้น ๆ และรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุงให้ดีย่ิงขน้ึ ตอ่ ไป 4. ภาวะผ้นู าด้านมัตตัญญุตา หมายถึง ความเป็นผู้นาของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จงั หวดั หนองบวั ลาภู ทเี่ ปน็ ผู้ท่ีรูจ้ กั ประมาณ รู้จกั ความพอดีสามารถวางตนวางแผนกาหนดนโยบายใน การบรหิ ารงาน ปรบั เปลี่ยนแผนการดาเนินงานตามสถานการณ์ต่าง ๆ ตามได้อย่างเหมาะสม บริหาร งบประมาณไดอ้ ยา่ งคุ้มค่าและเกดิ ประโยชนต์ อ่ วดั ในการท่ีจะบริหารงานวัดทุกอย่างให้ลุล่วงไปด้วยดี ตามเป้าหมายทีว่ างไว้ 5. ภาวะผู้นาด้านกาลัญญุตา หมายถึง ความเป็นผู้นาของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จงั หวดั หนองบัวลาภู ที่เป็นผู้ที่มีความสามารถในการบริหารเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ จัดทานโยบาย โครงการได้เหมาะสมเวลาและโอกาส จดั ลาดับความสาคัญของปญั หากอ่ นและหลังได้ดี แก้ไขปัญหาที่ เกิดขึ้นได้ทันต่อเหตุการณ์และเวลา ทั้งเป็นตัวอย่างที่ดีในการบริหารจัดการเวลาให้เกิดประโยชน์ สงู สดุ กับวดั 6. ภาวะผู้นาด้านปริสัญญุตา หมายถึง ความเป็นผู้นาของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ทเี่ ปน็ ผทู้ ี่รู้จกั ชมุ ชน และสังคม มมี นุษยสัมพันธ์เป็นนักประสานงานท่ีดีกับทุกคน ทกุ องค์กร และทุกภาคส่วน ใหค้ วามสาคญั กับประโยชน์ส่วนรวม และ การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ของเยาวชน ประชาชน อีกท้ังเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มีส่วนร่วมในการทากิจกรรมภายในวัด เพ่ือท่ีจะ เข้าใจความต้องการของสังคมนั้นได้อย่างถูกต้อง สามารถนาความสงบสุข ความก้าวหน้า มาสมู่ วลชน หม่คู ณะ และสังคมได้ 7. ภาวะผู้นาปคุ คลปโรปรญั ญุตา หมายถึง ความเป็นผู้นาของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอ นากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู ที่เป็นผู้ท่ีรู้จักบุคคล รู้ความสามารถความแตกต่างระหว่างบุคคล รู้จัก เลอื ก แต่งตงั้ จดั วางบคุ คลได้เหมาะสมกบั งาน สามารถปฏบิ ตั ิตอ่ ผใู้ ตบ้ งั คับบัญชาแต่ละบุคคลได้อย่าง ถกู ต้อง ใหโ้ อกาส สนับสนุนผู้ท่ีมีความรู้ ความสามารถให้ดารงตาแหน่งที่เหมาะสม ส่งเสริมภิกษุและ สามเณรได้มีโอกาสได้ศึกษาเพ่ิมเติมและให้ความสาคัญกับทรัพยากรมนุษย์ เพ่ือทาให้เกิดประสิทธิ ภาพและประสิทธิผลในการบริหารงานทกุ ๆ ดา้ น

6 ควำมหมำยของพระสงั ฆำธกิ ำร ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคมได้อาศัยอานาจดังกล่าวออกกฎมหาเถร สมาคมเพ่ือจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ให้มีความเรียบร้อยดีงามย่ิงขึ้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน มีกฎมหาเถรสมาคม รวมทั้งสิ้น 24 ฉบับ ในกฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี 23 (พ.ศ. 2541) ว่าด้วย ระเบยี บการปกครองคณะสงฆ์ ส่วนกฎมหาเถรสมาคม ฉบับท่ี 24 ( พ.ศ. 2541) หมวด 1 ข้อ 4 ได้ให้ความหมายพระสังฆาธิการไว้ว่า พระสังฆาธิการ, สานักงานพระพุทธ ศาสนาจงั หวัดอานาจเจรญิ (2545, หนา้ 8 ) คาว่า “พระสังฆาธิการ” มาจากคา ว่า “สังฆ” และ “อธิการ” เป็น พระสังฆาธิการ แปล ตามรูปศัพท์ได้ว่า พระภิกษุผู้ทางานโดยสิทธิขาดในทางคณะสงฆ์ หรือพระภิกษุผู้ทางานในคณะสงฆ์ โดยมอี านาจเตม็ ตามตาแหน่งจึงหมายถงึ พระภิกษผุ ดู้ ารงตาแหนง่ ปกครองคณะสงฆ์ พระสังฆาธิการ หรือพระภิกษุผู้ดารงตาแหน่งปกครองคณะสงฆ์น้ี กาหนดตามอานาจ ปกครองตามลาดบั ชัน้ คอื 1) เจ้าคณะใหญ่ 2) เจา้ คณะภาค รองเจา้ คณะภาค 3) เจ้าคณะจงั หวดั รองเจ้าคณะจงั หวดั 4) เจา้ คณะอาเภอ รองเจา้ คณะอาเภอ 5) เจา้ คณะตาบล รองเจา้ คณะตาบล 6) เจ้าอาวาส รองเจ้าอาวาส ผชู้ ่วยเจา้ อาวาส เจ้าอาวาส จึงเป็นพระสังฆาธิการในลาดับท่ี 6 ซ่ึงการตาแหน่งพระสังฆาธิการของเจ้า อาวาสดังกล่าวนี้ จะมีอานาจเต็มตามกฎหมายคณะสงฆ์ กฎ มติ คาส่ังของมหาเถรสมาคมครอบคลุม งานทกุ สว่ นในเขตปกครองหรอื ในวดั ปัจจัยส่วนบุคคล หมายถึง สถานภาพส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถามวิทยานิพนธ์ ฉบบั นี้ พรรษำ หมายถึง พรรษาของผู้ตอบแบบสอบถามวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ แบ่งออกเป็น 1) ต่า กวา่ 5 พรรษา, 2) 6 - 10 พรรษา, 3) 11 - 15 พรรษา, 4) 16 - 20 พรรษา และ 5) 21 พรรษาขนึ้ ไป ตำแหน่งพระสังฆำธิกำร หมายถึง ตาแหน่งพระสังฆาธิการของผู้ตอบแบบสอบถาม วิทยานพิ นธ์ฉบบั นี้ แบง่ ออกเปน็ 1) รองเจา้ อาวาส, 2) เจ้าอาวาส, 3) เจ้าคณะตาบล และ 4) เจ้าคณะ อาเภอ วุฒิกำศึกษำทำงธรรม หมายถึง วุฒิกาศึกษาทางธรรมของผู้ตอบแบบสอบถามวิทยา- นิพนธ์ฉบบั นี้ แบ่งออกเปน็ 1) นกั ธรรมชัน้ ตรี, 2) นักธรรมช้ันโท และ 3) นักธรรมชนั้ เอก

7 วฒุ ิกำรศึกษำแผนกบำลี หมายถึง วฒุ กิ ารศึกษาแผนกบาลีของผู้ตอบแบบสอบถามวิทยา- นิพนธ์ฉบับนี้ แบ่งออกเป็น 1) เปรียญธรรม 1 - 2 ประโยค, 2) เปรียญธรรม 3 - 6 ประโยค และ 3) เปรียญธรรม 7 - 9 ประโยค ประสบกำรณ์กำรปฏิบัติหน้ำท่ี หมายถึง ประสบการณ์การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ตอบแบบ สอบถามวทิ ยานิพนธ์ฉบบั น้ี แบง่ ออกเป็น 1) ตา่ กว่า 5 ปี, 2) 6 - 9 ปี และ 3) 10 ปีขน้ึ ไป

บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวข้อง การวิจัยเร่ือง “ศึกษาภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรมของพระสังฆาธิการในเขตอาเภอนา กลาง จังหวดั หนองบัวลาภู” ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้า แนวคิดทฤษฎีจากตารา หนังสือ เอกสาร บทความ และงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องต่าง ๆ เพื่อนามาใช้เป็นกรอบแนวความคิดในการศึกษาวิจัย ซ่ึงประกอบด้วย หัวขอ้ สาคัญ ๆ ดังตอ่ ไปน้ี 2.1 ความหมายแนวคดิ เก่ียวกบั หลักสัปปุริสธรรม 2.2 หลักการ ทฤษฎี และแนวคดิ ภาวะผ้นู า 2.3 แนวคิดเกย่ี วกบั พระสังฆาธกิ าร 2.4 พ้ืนทท่ี ่ที าการศึกษา 2.5 งานวิจัยทเี่ ก่ียวข้อง 2.6 กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั 2.1 ความหมายแนวคดิ เกีย่ วกบั หลักสัปปรุ สิ ธรรม หลักสัปปุริสธรรมนั้นเป็นข้อธรรมท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่บริษัทตามโอกาสสถานท่ี ต่าง ๆ กัน ซึ่งคุณสมบัติของผู้นาที่ดีในความหมายของพระพุทธศาสนาจะต้องเป็นผู้ประกอบด้วย หลักธรรม 7 ประการ ในชีวิตประจาวันนั้น ถ้าหากใครมีคุณธรรมของมนุษย์ท่ีแท้ 7ประการนี้ และ สามารถประพฤติได้อย่างถูกต้องตามหลักการเหล่าน้ีโดยสมบูรณ์แล้ว ผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็น ผู้ที่ พระพุทธเจ้ายกย่องว่าเป็น “สัตบุรุษ” หรือ “คนดีแท้” หรือ “มนุษย์โดยสมบูรณ์” การกระทาหรือ พฤติกรรมของเขามีความเหมาะสมถูกต้องปราศจากความผิดพลาดนาประโยชน์มาให้ท้ังแก่ตนเอง และสังคมโดยส่วนรวมย่อมเอื้ออานวยประโยชน์สันติสุขแก่สังคมนั้น ดังน้ันก่อนที่จะทาความเข้าใจ ความหมายและความเป็นมาของหลักสัปปุริสธรรม จึงควรทาความเข้าใจความหมายของสัตบุรุษก่อน เพื่อท่ีจะได้ทาความเข้าใจในหลักธรรมอื่น ๆ ซ่ึงแบ่งเป็นข้อย่อยต่าง ๆ ดังที่ปรากฏในลักขณสูตร ปาฏกิ วรรค ทฆี นกิ าย ดงั น้ี 2.1.1 ความหมายของหลักสัปปรุ สิ ธรรม สปั ปุริสธรรมเป็นธรรมของสัปปุริสชน คือ คนดี หรือ คนท่ีแท้ ซ่ึงมีคุณสมบัติความเป็นคน ที่สมบูรณ์และถือเป็นคุณธรรมท่ีสาคัญของการเป็นผู้นาท่ีสมบูรณ์ ในการนิยามความหมายของ สปั ปุรสิ ธรรม ไดม้ ีนกั วชิ าการหลายท่านไดแ้ สดงทศั นะตา่ ง ๆ ไวด้ งั น้ี

9 สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณสมเด็จพระสังฆราช (อุฏฐายี) (2509, หน้า 12) กล่าวว่า สัปปุริธรรม 7 หมายถึง คุณธรรม 7 ประการท่ีบริบูรณ์ในผู้ใดย่อมบุคคลนั้นให้เป็นสัปปุริสชนท่ีเจริญ ด้วยคุณสมบัติควรแก่ความเคารพนับถือของชนท้ังหลาย ทาให้บุคคลน้ันสามารถปฏิบัติการงานให้ บรรลผุ ลสาเร็จดว้ ยดี และเป็นหลักปฏบิ ตั เิ พอื่ ทาคนใหเ้ ปน็ ผสู้ งบสขุ และความเจริญรงุ่ เรืองกา้ วหนา้ ได้ พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) (2538, หน้า 276) ไดใ้ หค้ วามหมายวา่ สปั ปุริสธรรม หมายถึง ธรรมของสัตบุรุษ ธรรมของคนดี ธรรมท่ีทาให้ เป็นสัตบรุ ุษ มี 7 ประการ คือ 1) ธัมมัญญุตา รู้หลักหรือรู้จักเหตุ 2) อัตถัญญุตา รู้ความมุ่งหมายหรือ รู้เหตุผล 3) อัตตัญญุตา รู้จักตน 4) มัตตัญญุตา รู้จักประมาณ 5) กาลัญญุตา รู้จักกาลเวลา 6) ปริสัญญุตารู้จักชุมชน สังคม 7) ปุคคสัญญุญา รู้จักบุคคล คุณธรรม 7 ประการอันเป็นคุณสมบัติ ภายในตัวผู้นา ซง่ึ มคี ุณสมบตั ิทัง้ 7 ประการน้ี เปน็ องคป์ ระกอบและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันอย่างสมบูรณ์ ที่จะทาให้ผู้นาสามารถจัดการ สามารถปฏิบัติการในภาระงานทุกอย่างให้บรรลุผลสาเร็จได้ตาม เปา้ หมาย จ.เปรียญ กล่าวว่า หลักสัปปุริสธรรม 7 หมายถึง ธรรมของสัตบุรุษ ธรรมของคนดีบุคคล ท่ีมีคุณธรรมประจาใจ โดยยึดเอาหลักสัปปุริสธรรมเป็นหลักในการดาเนินชีวิต บุคคลท่ียึดเอา หลักสัปปุริสธรรม เป็นธรรมประจาใจยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ดี เพราะเป็นผู้มีเหตุผลมีผลในการปฏิบัติตน เมื่อบุคคลรู้จักเหตุผลแล้ว การปฏิบัติตนก็เพียบพร้อมด้วยความดี คือ รู้จักเหตุ รู้จักผลรู้จักตน รู้จัก ประมาณ รู้จักกาล รู้จักชุมชน รู้จักบุคคล แล้วบุคคลน้ันเป็นคนดี คือ สัตบุรุษในทางพระพุทธศาสนา ถอื วา่ เป็นคนดี เพราะเป็นผู้รักสงลบ รักความเท่ียงธรรม รู้จักหน้าท่ีของตน รู้จักกาลเทศะ มีเหตุมีผล ในการทางาน โดยเฉพาะผู้ทีท่ าหนา้ ทีป่ กครองคนอื่น จะสามารถบริหารงานได้อยา่ งราบรื่น ในสัปปุริสสูตร อุปริปัญญาสก์ มัชฌิมนิกาย ปรากฏพุทธโอวาทเร่ืองธรรมของคนดี (สัตบุรุษ) คนท่ีสมบูรณ์แบบ หรือมนุษย์โดยสมบูรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นสมาชิกที่ดี มีคุณค่าที่แท้จริงของ มนษุ ย์ชาติ มธี รรมะหรือคณุ สมบัติทเี่ รียกวา่ สปั ปรุ สิ ธรรม 7 ประการ คอื 1. ธัมมัญญุตา รู้หลักการ เม่ือดารงตาแหน่ง มีฐานะ หรือจะทาอะไรก็ตาม ต้องรู้หลักการ รู้งาน รู้หน้าที่ รู้กฎเกณฑ์กติกาท่ีเกี่ยวข้อง เช่น อย่างผู้ปกครองประเทศชาติก็ต้องรู้หลักรัฐศาสตร์ และรู้กฎกติกาของรัฐ คือกฎหมาย ตั้งแต่รัฐธรรมนูญลงมา แล้วก็ยืนอยู่ในหลักการ ต้ังตนอยู่ในหลัก การให้ไดช้ ุมชน สงั คม องค์กร หรือกิจการอะไรกต็ าม ก็ต้องมีหลักการ มีกฎ มีกติกาที่ผู้นาจะต้องรู้ชัด แล้วกต็ งั้ ม่ันอยใู่ นหลกั การน้ัน 2. อตั ถญั ญุตา รู้จดุ หมาย ผูน้ าถา้ ไม่รู้จุดหมายก็ไม่รู้ว่าจะนาคนและกิจการไปไหนนอกจากรู้ จุดหมาย มีความชัดเจนในจุดหมายแล้ว จะต้องมีความแน่วแน่มุ่งม่ันท่ีจะไปให้ถึงจุดหมายด้วย ข้อนี้ เป็นคุณสมบัติท่ีสาคัญมาก เม่ือใจมุ่งจุดหมาย แม้มีอะไรมากระทบกระท่ัง ก็จะไม่หว่ันไหว อะไรไม่ เก่ียวข้อง ไม่เข้าเป้า ไม่เข้าแนวทางก็ไม่ม่ัววุ่นวาย ใครจะพูดว่าด่าเหน็บแนมเมื่อไม่ตรงเร่ือง ก็ไม่มัว

10 ถือสา ไม่เก็บเป็นอารมณ์ ไม่ยุ่งกับเรื่องจุกจิกไม่เป็นเร่ือง เอาแต่เร่ืองท่ีเข้าแนวทางสู่จุดหมาย ใจมุ่งสู่ เปา้ หมาย อย่างชดั เจน และมงุ่ มัน่ แนว่ แน่ 3. อัตตัญญุตา รู้ตน คือ ต้องรู้ว่าตนเองคือใครมีภาวะเป็นอะไร อยู่ในสถานะใด มี คุณสมบัติ มีความพร้อม มีความถนัด สติปัญญา ความสามารถอย่างไร มีกาลังแค่ไหน มีข้อย่ิงข้อ หย่อน จุดอ่อนจดุ แขง็ อยา่ งไร ซงึ่ จะตอ้ งสารวจตนเอง และเตือนตนเองอยู่เสมอ ท้ังนี้เพื่อประโยชน์ใน การพัฒนาปรับปรุงตัวเอง ให้มีคุณสมบัติความสามารถยิ่ง ๆ ข้ึนไปไม่ใช่ว่าเป็นผู้นาแล้วจะเป็นคน สมบรู ณไ์ ม่ตอ้ งพัฒนาตนเอง ย่งิ เปน็ ผนู้ ากย็ งิ่ ตอ้ งพัฒนาตนเองตลอดเวลาใหน้ าได้ดีย่ิงขน้ึ ไป 4. มัตตัญญุตา รู้ประมาณ คือ รู้จักความพอดี หมายความว่าต้องรู้จักขอบเขตขีดข้ันความ พอเหมาะท่ีจะจัดทาในเร่ืองต่าง ๆ ท่านยกตัวอย่าง เช่น ผู้ปกครองบ้านเมืองรู้จักประมาณในการลง ทณั ฑอ์ าญา และการเกบ็ ภาษี เปน็ ตน้ ไม่ใชเ่ อาแต่จะใหไ้ ดอ้ ยา่ งใจ และต้องรู้จักว่าในการกระทานั้น ๆ หรือในเร่ืองราวนน้ั ๆ มอี งค์ประกอบหรอื มปี จั จยั อะไรเกี่ยวข้องบ้างทาแค่ไหนองค์ประกอบของมันจะ พอดี ไดส้ ดั ส่วนพอเหมาะ การทาการตา่ ง ๆ ทกุ อยา่ งต้องพอดถี ้าไม่พอดีก็พลาดความดีจึงจะทาให้เกิด ความสาเร็จทีแ่ ทจ้ ริง ฉะน้นั จะตอ้ งรอู้ งค์ประกอบและปจั จยั ท่ีเกย่ี วข้องและจดั ให้ลงตัวพอเหมาะพอดี 5. กาลัญญตุ า ร้กู าล คอื ร้จู กั เวลา เช่น ร้ลู าดบั ระยะ จังหวะ ปริมาณ ความเหมาะของเวลา ว่า เรื่องน้ีจะลงมือตอนไหน เวลาไหนจะทาอะไรอย่างไร จึงจะเหมาะ ดังจะเห็นว่าแม้แต่การพูดจาก็ ต้องรู้จักกาลเวลา ตลอดจนรู้จักวางแผนงานในการใช้เวลา ซ่ึงเป็นเร่ืองใหญ่ เช่น วางแผนว่าสังคมมี แนวโน้มจะเป็นอย่างน้ีในเวลาข้างหน้าเท่าน้ัน และเหตุการณ์ทานองน้ีจะเกิดขึ้น เราจะวางแผนรับมือ กบั สถานการณ์นน้ั อยา่ งไร 6. ปริสัญญุตา รู้ชุมชน คือ รู้สังคมตั้งแต่ในขอบเขตที่กว้างขวาง คือ รู้สังคมโลก รู้สังคม ของประเทศชาติวา่ อยู่ในสถานการณอ์ ย่างไร มีปัญหาอะไร มีความต้องการโดยเฉพาะถ้าจะช่วยเหลือ เขา ก็ต้องรู้ปัญหารู้ความต้องการของเขา แม้แต่ชุมชนย่อย ๆ ถ้าเราจะช่วยเหลือเขา เราต้องรู้ความ ตอ้ งการของเขา เพอ่ื สนองความตอ้ งการไดถ้ ูกต้อง หรือแกไ้ ขปัญหาได้ตรงจดุ 7. ปุคคลัญุตา รู้บุคคล คือ รู้จักบุคคลท่ีเก่ียวข้อง โดยเฉพาะคนท่ีมาร่วมงานร่วมการร่วม ไปดว้ ยกนั และคนทเี่ ราไปให้บรกิ ารตามความแตกต่างเฉพาะตัว เพื่อปฏิบัติต่อเขาได้ถูกต้องเหมาะสม และได้ผล ตลอดจนสามารถบริการให้ความช่วยเหลือได้ตรงตามความต้องการ รู้ว่าจะใช้วิธีสัมพันธ์ พูดจาแนะนาติชมหรือจะให้เขายอมรับได้อย่างไร โดยเฉพาะในการใช้คน ซ่ึงต้องรู้ว่าคนไหนเป็น อย่างไร มีความถนดั อัธยาศยั ความสามารถอย่างไรเพือ่ ใชค้ นให้เหมาะกับงานนอกจากนั้นก็รู้ประโยชน์ ที่เขาพึงได้ เพราะว่าในการทางานน้ันไม่ใช่ว่าจะเอาเขามาเป็นเพียงเคร่ืองมือทางานได้ แต่จะต้องให้ คนท่ีทางานทุกคนได้ประโยชน์ ได้พัฒนาตัวเอง ผู้นาควรรู้ว่า เขาควรจะได้ประโยชน์อะไรเพื่อความ เจรญิ งอกงามแห่งชวี ิตท่ีแท้จริงของเขาด้วย

11 ที่กล่าวมานี้ คือ หลักธรรมท่ีเรียกว่า สัปปุริสธรรม 7 ประการ ถ้ามีคุณธรรม 7 ประการนี้ แม้จะไม่มีคุณสมบัติข้ออื่นก็เป็นผู้นาได้เพราะรู้องค์ประกอบและปัจจัยต่าง ๆ ที่เก่ียวข้องอย่างเพียง พอท่ีจะจดั การให้ไดผ้ ลสามารถจัดวางวิธปี ฏบิ ัติการท่เี หมาะสมให้บรรลผุ ลสาเรจ็ ได้ สรุปในทางพระพุทธศาสนาคุณสมบัติของผู้นาท่ีดีควรจะมีลักษณะต่าง ๆ ดังน้ี คือ สติ ปญั ญา ความดงี าม ความรู้ความสามารถของบุคคลตามหลักธรรมในทางพุทธศาสนาเช่นมีพรหมวิหาร 4 มีองค์คุณของกัลยาณมิตร 7 ประการ ก็จะมีคุณสมบัติที่ดีได้ และสามารถนาไปปฏิบัติการให้งาน บรรลุความสาเรจ็ ตามวัตถปุ ระสงค์ สรปุ ความไดว้ า่ สปั ปรุ ิสธรรม 7 คือ คณุ ธรรมท่สี าคัญ สาหรับสัปปรุ ิสชน หรอื คนดีและเป็น คุณธรรมสาคัญของผู้นาที่สมบูรณ์แบบด้วย คุณธรรมทั้ง 7 ประการย่อมนาบุคคลนั้นไปสู้ความมี คณุ คา่ อยา่ งแทจ้ ริง เรียกได้วา่ เปน็ คนสมบูรณแ์ บบ 2.1.2 ผ้นู าตามหลักสัปปรุ ิสธรรม 7 ในการศึกษาภาวะผู้นาตามหลักสัปปุริสธรรม 7 นี้ ผู้วิจัยมุ่งที่จะศึกษาให้ทราบถึงองค์ ประกอบของหลักสัปปุริสธรรม ซ่ึงมี 7 ประการและในแต่ละองค์ประกอบนั้นมีการอธิบายในคัมภีร์ พระพุทธศาสนาอย่างไร ตลอดจนการศึกษาเพ่ือให้ทราบถึงหลักสัปปุริสธรรม 7 สามารถนามา ประยกุ ต์ใช้กับภาวะผ้นู าได้อยา่ งไร ดงั นนั้ ผู้วจิ ัยจงึ ไดน้ าตวั อยา่ งทปี่ รากฎในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็น ตน้ ว่า พระสูตร ชาดก มาแสดงเพื่อให้ทราบถงึ เน้อื หาท่ีสาคญั ของหลักธรรมในขอ้ น้นั ๆ ดังน้ี 1. ภาวะผ้นู าดา้ นธัมมญั ญุตา คอื เปน็ ผู้นาท่ีรู้หลักการ รู้หลักความจริง ธัมมัญญุตา ความรู้ จักธรรม รู้หลักความจริง หลักการ หลักเกณฑ์ กฎธรรมดากฏเกณฑ์แห่งเหตุผล กล่าวคือ ผู้นาน้ันจะ เป็นผู้รู้จักเหตุ รู้จักหน้าท่ี รู้งาน รู้กฎ กติกาท่ีเก่ียวข้องกับการดาเนินงาน เหล่านี้ให้ชัดเจน เพื่อที่จะ เปน็ แนวทางในการปฏิบตั งิ านให้บรรลุเปา้ หมายท่ีต้ังไว้ในทางพระพุทธศาสนา ได้กล่าวว่า ธัมมัญญุตา หมายถึง การรธู้ รรม ดังความที่ปรากฏใน ธมั มญั ญูสตู ร วา่ ภิกษุทเ่ี ป็นผูร้ ู้เหตุ รเู้ รื่องนวังสัตถุศาสน์ คือ คาสอนพระศาสดาอันเป็นศาสนธรรม มีองค์ประกอบอยู่ 9 ประการ หรือท่ีเรียกว่า รู้ธรรมคาสอนใน พระไตรปฎิ ก คอื หลกั ปริยตั ธิ รรมนั่นเอง ซง่ึ ได้แก่ การรเู้ รื่องพระสูตร พระวินัย และพระอภิธรรม เป็น ต้น อันเป็นเหตุแห่งความเจริญ หลักธรรมอันเป็นคาสั่งสอนท่ีสาคัญ คือ นวังคสัตถุศาสน์ 9 ประการ ไดแ้ ก่ 1. สุตตะ คอื พระสูตรตา่ ง ๆ 2. เคยยะ คือ พระสูตรท่ีประกอบดว้ ยคาถา 3. เวยยากรณะ คือ พระอภิธรรมทัง้ หมด 4. คาถา คอื พระธรรมบท เถรคาถา เถรคี าถา 5. อทุ าน คอื พระสตู รทพี่ ระพุทธเจ้าทรงเปล่งอทุ านด้วยความโสมนสั 6. อติ วิ ตุ ตกะ คอื พระสูตรที่ข้ึนต้นดว้ ยคาวา่ “สมจรงิ ดงั คาท่ีพระองค์ตรสั ไว้”

12 7. ชาดก คือ พระสตู รทแี่ สดงเร่ืองในอดีตชาติของพระพทุ ธเจา้ 8. อัพภูตธรรม คอื พระสตู รทีป่ ระกอบด้วยปาฏิหาริย์ 9. เวทัลละ คือ พระสูตรที่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายถามแล้วได้รับความรู้ และถาม ยง่ิ ๆ ข้นึ ไป เปน็ ต้น นวังคสัตถศุ าสน์น้ี เปน็ เหตแุ หง่ ความเจรญิ ในการปฏบิ ัติ เพื่อนาไปสู่จุดหมายสูงสุดของการ ศึกษาในหลกั ธรรมทางพระพทุ ธศาสนา ภิกษุผู้รู้ธรรมต้องเป็นผู้ท่ีมีความรอบรู้ในหลักนวังคสัตถุศาสน์ น้ี แล้วจึงได้ช่ือว่า เป็นผู้รู้ธรรม หรือเหตุแห่งความเจริญการรู้หลักการ รู้งาน รู้กติกาต่าง ๆ อย่าง ถูกต้องนี้ ถือเป็นคุณสมบัติที่สาคัญของคนดีท่ีต้องรู้หลักการ และกฎเกณฑ์ของวิธีการท้ังหลายให้ ชัดเจนในทางปฏิบัติหน้าที่ และดาเนินกิจการต่าง ๆ อย่างถูกต้อง จึงสามารถนาพามวลชน และ องคก์ รไปสจู่ ดุ หมายอย่างถกู ต้อง ผ้นู าจะต้องมีหลักธมั มัญญุตา กล่าวคือ จะต้องรู้หลักการ รู้งาน และ กฏ กติกาอย่างถูกต้อง จึงสามารถวางแผนงาน และนโยบายได้อย่างถูกต้องเพ่ือนาพามวลสมาชิกและ สังคมให้เจริญก้าวหน้าได้ตามเป้าหมายที่ต้ังไว้ ผู้นาหมู่คณะเมื่อเข้าใจหลักการกฏเกณฑ์หรือเป็นผู้รู้ เหตุผลเหลา่ นี้แลว้ ย่อมจะนาพาผู้อนื่ ไปในทิศทางที่ดี และประสบกับความสาเร็จ สามารถนาหมู่คณะ ให้รอดพ้นจากความหายนะต่าง ๆ ได้และสามารถนาพาหมู่คณะไปสู่จุดหมายท่ีถูกต้องและปลอดภัย ได้เสมอ พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสถึงเหตุแห่งความเสื่อมและความเจริญท้ังหลายของภิกษุใน พระพทุ ธศาสนา ทรงยกเปน็ อุปมาเปรยี บกบั ภกิ ษุท่จี ะเข้าถึงฝั่งพระนิพพาน มีความเจริญในพระธรรม วินัยได้น้ันว่าจะต้องประกอบด้วยลักษณะ 11 ประการ เช่นเดียวกับนายโคบาลผู้ประสบความสาเร็จ ต้องรู้จักการบรหิ ารจดั การฝูงโค ดงั ความท่ีปรากฏในโคบาลสูตร ตอนหน่ึงว่านายโคบาลประกอบด้วย องค์ 11 ประการ เป็นผู้ควรจะครอบครองฝูงโค ควรทาฝูงโคให้เจริญได้ ภิกษุทั้งหลาย นายโคบาลใน โลกนี้เป็นผู้รู้จักรูปฉลาดในลักษณะเป็นคอยเขี่ยไข่ขางปิดบังแผล สุมควันให้ รู้จักท่า รู้จักให้โคด่ืมน้า หรือยังรู้จักทางฉลาดในสถานท่ีโคเที่ยวหากิน รู้จักรีดนมให้เหลือไว้ รู้จักการบูชาโคที่เป็นพ่อฝูงเป็น ผ้นู าฝูง ดว้ ยการบูชาเป็นอดิเรก ภิกษุท้ังหลาย นายโคบาลประกอบด้วยองค์ 11 ประการน้ี เป็นผู้สมควรจะครอบครอง ฝูงโค ควนทาให้ฝูงโคเจริญได้ภิกษุท้ังหลาย นายโคบาลท่ีประกอบด้วยองค์ 11 ประการเหล่านี้แล้ว ควรจะรักษาหมูโ่ คและทาใหห้ มโู่ คเจริญได้ด้วยองค์ 11 ประการ จากพุทธพจน์นี้ มีคาอธิบายแนวทาง ของการเปน็ ผนู้ าที่ถกู ต้องตามหลักพุทธธรรมท่นี ามาประยุกต์เพื่อขยายความคุณสมบัตดิ งั นี้ 1) การรู้จักรูป คือ ผู้นาจะต้องรู้จักและเข้าใจผู้ร่วมงาน หรือผู้ใต้บังคับบัญชาในฐานะของ สมาชกิ ขององคก์ ร ความรู้นน้ี อกจากจะสร้างความสนิทสนมกันแล้ว ยังก่อให้เกิดมิตรไมตรีต่อกัน เข้า ใจความตอ้ งการของมวลสมาชกิ

13 2) ฉลาดในลกั ษณะ คอื เมื่อผู้นารู้จักตัวบุคคล ก็จะสามารถพิจาณาเพ่ือการจัดสรตาแหน่ง งานใหเ้ หมาะสมกับบุคคล การทางานภายใตก้ ารแนะนามอบหมายน้ันกส็ ัมฤทธิ์ผล 3) คอยเขย่ี ไข่ขาง คอื ผนู้ าสามารถแสดงศกั ยภาพในการแก้ไขปัญหาข้อบกพร่องต่าง ๆ ได้ อย่างถกู ต้อง 4) คอยปิดบังแผล คือ ผู้นาจะต้องมีความระมัดระวัง สารวจตรวจตรามิให้เกิดความเสีย หายอันเปน็ การทาลายช่อื เสียงของสมาชกิ ป้องกนั มิใหป้ รากฏออกมาภายนอก 5) สุมควัน คอื ผู้นาจะสามารถแสดงความสามารถของตนเองแก่ผอู้ ่ืนอยา่ งถูกต้อง 6) รู้จักท่า (น้า) คือ ผู้นาจะต้องแสวงหาความรู้ รู้จักความคิดในการทางานมีคณะทางาน ท่ดี มี ีคณะทปี่ รกึ ษาในกจิ กรรมต่าง ๆ เพอื่ ประโยชน์แกม่ วลสมาชกิ 7) รู้ว่าโคกินน้าแล้วหรือยัง คือ ผู้นาจะต้องรู้จักกระบวนการพัฒนา ให้โอกาสแก้ความคิด ริเร่ิมสร้างสรรคข์ องสมาชิกด้วยการอบรมเพ่มิ พูนความรู้ ฝึกฝนทกั ษะอาชพี 8) การรู้จักทาง คือ ผู้นาจะต้องรู้แนวทางในการบริหารจัดการ ขณะเดียวกันก็จะต้องรู้จัก จุดรว่ มของชีวิตมนษุ ย์ โดยนาพาสมาชิกของตนไปสจู้ ุดหมายของชวี ติ รว่ มกนั 9) ฉลาดในสถานท่ีโคจร คือ ผู้นาจะต้องสามารถประเมินศักยภาพของกลุ่มด้วยการ กาหนดเป้าหมาย วางแผนการทางานและแนวทางปฏิบตั จิ นกว่าจะบรรลวุ ตั ถุประสงค์ 10) รีดนมให้เหลือไว้ คือ ผู้นาจะต้องคานึงถึงประโยชน์ของมวลสมาชิก รู้จักประสาน ประโยชนด์ าเนนิ กจิ กรรมของกลุม่ ดว้ ยความพอเหมาะพอดรี ักษาสมดลุ ระหวา่ งการให้กบั การรบั 11) การบูชาโคที่เป็นพ่อฝูงหรือจ่าฝูง คือ ผู้นาจะสามารถเสริมภาวะของตนเองให้เด่นชัด ด้วยการรจู้ กั ใหบ้ าเหน็จรางวัลแก่ผู้ทางานดีมีคุณธรรม อันเป็นการสร้างเสริมความเช่ือถือต่อผู้นาและ เปน็ กาลังภายในใจ การกจิ กรรมตา่ ง ๆ ของกลุ่ม และมวลสมาชกิ จะเห็นได้ว่าผนู้ าจะตอ้ งมีหลักธัมมัญญตุ า กลา่ วคือ จะตอ้ งเป็นผู้รู้หลักการ รู้งานและกติกา อย่างถูกต้อง จึงจะสามารถวางแผนและนโยบายได้อย่างถูกต้อง เพ่ือนามามวลสมาชิกและสังคมให้ เจริญกา้ วหน้าไดต้ ามเป้าหมายท่ีตัง้ ไว้ ผู้นาหมู่คณะนั้นเม่ือเข้าใจในหลักการกฎเกณฑ์หรือเป็นผู้ท่ีมีเหตุผลเหล่าน้ีแล้วย่อมจะ นาพาผอู้ ่นื ไปในทศิ ทางที่ดีและประสบกับความสาเร็จ สามารถนาหมู่คณะให้รอดพ้นจากความหายนะ ต่าง ๆ ได้ ดังเรื่องของพระโพธิสัตว์เม่ือคร้ังเสวยพระชาติเป็นพระยานกจาบ ที่นาพาหมู่คณะรอดพ้น จากการดักจับของนายพราน ดังปรากฏเร่ืองในสัมโมทมานชาดก ว่าคร้ังนั้นพระยานกกระจาบได้ นาพาบริวารไปหากินรายราวป่าแห่งหน่ึงและได้ถูกนายพรานคอยดักจับบริวารของตนอยู่บ่อย ๆ จึง สังเกตและพิจารณาก็ทราบว่าบริวารของตนถูกนายพรานดักจับด้วยข่าย ดังน้ัน พระยานกจาบจึงได้ เรยี กบริวารประชุมกันและได้กลา่ วกับบริวารว่า พวกเรา เมื่อถูกข่ายของนายพรานแล้วจงพร้อมใจกัน ออกแรงบินยกข่ายให้ข้ึนไปบนยอดไม้ บริวารนกเหล่าน้ัน เมื่อถูกข่ายแล้วจึงได้พร้อมกัน ทาตามที่

14 ประชุมตกลงกันไว้ ในท่ีสุดพวกนกกระจาบเหล่านั้นก็รอดพ้นจากความตาน เพราะเหตุท่ีพระยานก จาบท่ีเป็นผู้นามีความรอบรู้ในเหตุ หลักการและวิธีการในอันจะนาหมู่คณะของตนให้พ้นจากภัย อันตรายได้ น่ันก็คอื การใช้ความสามัคคี พร้อมใจกันบินขึ้นเพ่ือท่ีจะยกข่ายนั้นให้ลอยขึ้นไปบนยอดไม้ และในทสี่ ุดนกเหล่านั้นกพ็ ้นจากความตายได้ เพราะผู้นามีหลักการ รู้งานอย่างถูกต้อง ดังนั้น ผู้นาท่ีดี จาเป็นจะต้องรู้หลักการ รู้งานอย่างถูกต้องตามหลักธัมมัญญุตา จึงจะสามารถนาพาหมู่คณะไปสู้ จดุ หมายทถี่ ูกต้อง และปลอดภยั ได้เสมอ จากตัวอย่างต่าง ๆ ท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ภาวะผู้นาด้านธัมมัญญุตา เป็นผู้นาท่ีจะ ต้องรู้หลักการ ยึดหลักการ รู้กฎเกณฑ์ รู้งานอย่างถูกต้อง แล้วตั้งตนอยู่ในหลักการที่เก่ียวข้องอย่าง ชดั เจนและถกู ต้องตามหลักธัมมญั ญตุ า ผู้นาน้นั ก็จะสามารถนาพาหมคู่ ณะมวลชนหรือสังคมไปสู่ความ ปลอดภัย ความสงบสุขและเจริญก้าวหน้าตามจุดหมายที่วางไว้ได้ สามารถจัดทานโยบายสอดคล้อง กับการบริหารงาน แสดงภาวะผู้นาต่อเพ่ือนร่วมงานด้วยความเอื้อเฟื้อ สนใจไต่ถามทุกข์สุข และใช้ หลกั กลั ยาณมิตรเปน็ แบบอย่างทด่ี ี 2. ภาวะผู้นาด้านอัตถัญญุตา คือ เป็นผู้นาท่ีรู้จักผล รู้เป้าหมายของหลักการท่ีตนปฏิบัติ อัตถัญญุตา ความรู้จักอรรถประโยชน์ รู้ความมุ่งหมายประโยชน์ที่ประสงค์ กล่าวว่าเป็นผู้รู้จักผล ผู้นาต้องรู้จักเป้าหมายของหลักการท่ีตนปฏิบัติ เข้าใจวัตถุประสงค์องค์กรว่าจะไปทางไหนเพ่ือ ประโยชน์อะไร เพ่ือสามารถดาเนินการไปได้อย่างถูกต้องตามเป้าหมายนั้นพระพุทธศาสนาได้กล่าว่า อัตถัญญตุ า คือความเป็นผ้รู อู้ รรถ รจู้ ักจดุ หมาย รู้ประโยชน์ ดงั พุทธพจน์ทีป่ รากฏใน ธมั มัญญสู ูตรวา่ ภิกษุท่ีรู้จักผลว่า ภิกษุในพระพุทธศาสนานี้เป็นผู้มีความรู้เรื่องเน้ือความใจความ ความมุ่ง หมาย และประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนา กล่าวถึงภิกษุท่ีเป็นผู้รู้จักผลว่า ภิกษุในธรรมวินัยเป็นผู้รู้ ความหมายแห่งภาษิต คือ ถ้อยคาท่ีเป็นประโยชน์น้ันน้ี เป็นความหมายแห่งภาษิตนี้ นี่เป็นความหมาย แห่งภาษิตนี้ หากภิกษุไม่รู้เน้ือความแห่งภาษิตน้ันเลยว่านี้ เป็นความหมายแห่งภาษิตนี้น่ีเป็นความ หมายแหง่ ภาษติ น้ี ไม่พงึ เรยี กเธอวา่ เปน็ อตั ถัญญู แต่เพราะภิกษุรู้ความหมายแห่งภาษิตน้ัน ๆ ว่าน้ีเป็น ความหมายแหง่ ภาษิตนี้ นเ้ี ป็นความหมายแหง่ ภาษิตนี้ ฉะนน้ั ควรเรยี กภกิ ษุนั้นวา่ เป็น อตั ถญั ญุตา ดังนั้น การรู้จุดหมายหรือเป้าหมายนั้นเป็นสิ่งสาคัญมากอีกประการหนึ่ง สาหรับบุคคลท่ี เป็นคนดี หากเปน็ ผรู้ ้ใู นความม่งุ หมายหรือผลที่ปรากฎเกิดข้ึนในสังคม และวางแผนในการสร้างสรรค์ หรือแกไ้ ขในเหตุการณ์นนั้ ๆ แล้ว ยอ่ มจะเป็นผู้ท่ีได้รับการยกย่องและเชื่อถือจากบุคคลในสังคม หาก บุคคลใดปฏบิ ัติตามหลักอัตถัญญตุ า ย่อมเป็นผูม้ ีวิสยั ทศั น์กว้างไกล มองทุกอย่างทะลุปรุโปร่งสามารถ นาพาหมคู่ ณะหรอื มวลชน และองคก์ รไปสคู่ วามเจริญ และประสบความสาเรจ็ ตามวัตถุประสงค์ การรู้ จุดหมายหรือเป้าหมายน้ันเป็นส่ิงสาคัญมากอีกประการหนึ่งสาหรับบุคคลที่เป็นผู้นา หากไม่เข้าใจใน จุดหมายหรือความมุ่งหมายของการกระทาแล้ว จะช่ือว่าเป็นผู้นาที่ดีไม่ได้ ดังเรื่องท่ีปรากฎในปโรส หัสสชาดก ซ่งึ พระพทุ ธเจ้าตรัสยกยอ่ งพระสารบี ตุ รและอาจารย์กบั ศิษย์มีใจความว่า

15 คร้ังน้ัน พวกเธอเล่าเรียนศิลปวิทยาในเมืองตักศิลาและออกบวชเป็นฤาษีเจริญฌาน อภิญญา มีบริวาร 500 รูป พอถึงฤดูฝน ศิษย์คนโตจึงได้พาบริวารครึ่งหน่ึงไปอยู่ในถิ่นของมนุษย์ใน ขณะน้นั พระโพธ์สิ ตั ว์กาลังจะส้ินชีวิตพอดี ลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่กับท่านจึงถามท่านว่าข้าแต่ท่านอาจารย์ ท่านได้คุณพิเศษชนิดไหน อาจารย์จึงตอบว่า ไม่มีแม้แต่น้อย แล้วท่านก็ได้เสียชีวิตลง ไปเกิดที่พรหม โลกชั้นอาภสั สระ เพราะทา่ นไดเ้ จริญสมาธิจนถึงฌาน ตามคุณธรรมท่ที ่านได้เมื่อพระองค์ทรงเป็นพระ โพธิสัตว์ เกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์เม่ือเจริญวัยแล้ว เมื่อลูกศิษย์เหล่าน้ันได้ฟังคาท่ีอาจารย์ตอบว่า คุณพเิ ศษไม่มแี มแ้ ต่น้อยจึงพากันเข้าใจในคาตอบของท่านว่า ไม่มีมีคุณธรรมพิเศษอะไร ๆ แม้แต่น้อย จึงไม่พากันทาสักการะความเคารพอาจารย์เม่ือศิษย์ผู้ใหญ่กลับมาจากท่ีอยู่ของมนุษย์จึงได้ถามศิษย์ คนรองว่า ท่านอาจารย์ไปท่ีไหนศิษย์ตอบว่า อาจารย์ของเราเสียชีวิตแล้ว ศิษย์ผู้ใหญ่จึงได้ถามอีกว่า พวกเราได้ถามถึงคุณพิเศษของอาจารย์หรือไม่ ตอบว่า ถาม และท่านตอบว่า ไม่มีแม้แต่น้อย เหตุนั้น พวกเราจึงไม่ทาความเคารพท่าน ฝ่ายศิษย์ผู้ใหญ่จึงได้กล่าวว่า พวกท่านไม่รู้ความหมายของถ้อยคา ของอาจารย์ท่านได้ฌาน อากิญจัญญายตนะสมาบัติแล้ว ศิษย์เหล่าน้ันก็ไม่เชื่อในถ้อยคาของเขา แม้ จะกล่าวซ้าแล้วซ้าเล่า พระโพธิสัตว์ทราบเหตุนั้น จึงคิดได้ว่า คนเหล่านี้เป็นคนอันธพาล ไม่เช่ือใน ถอ้ ยคาของศิษย์คนใหญ่ จากนั้นจึงได้ยืนอยู่ในอากาศด้วยอานุภาพอันใหญ่ แล้วกล่าวว่า แม้จะมีผู้มา ประชุมกันต้งั 1,000 คน พวกเหล่านน้ั ใหพ้ จิ ารณาตัง้ 100ปี ก็ไม่มีปัญญาทราบได้แต่บุรุษผู้มีปัญญารู้ แจง้ ในถ้อยคาความมงุ่ หมายของเรากลา่ วเพยี งผูเ้ ดียวเท่านน้ั ประเสริฐว่า ในชาดกนี้แสดงให้เห็นว่าบุคคลผู้รู้จักความมุ่งหมาย หรือรู้จักผลของถ้อยคา หรือการ กระทานัน้ ๆ เป็นบคุ คลทปี่ ระเสริฐควรแกก่ ารยกย่อง ดังน้ัน พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องพระสารีบุตร เถระ และแตง่ ต้ังท่านไวใ้ นฐานะอัครสาวกระดับผู้นาอันเป็นฐานะท่ีเหมาะสมกับความรู้ความสามารถ ของท่านในความเป็นผู้รู้ผล แม้แต่ในทางสังคมหรือราชอาณาจักรก็เช่นเดียวกันบุคคลที่เป็นผู้นาน้ัน หากเปน็ ผรู้ ู้ในความมงุ่ หมายหรอื ผลท่ีปรากฏเกิดข้ึนในสังคม และวางแผนในการสร้างสรรค์หรือแก้ไข ในเหตุการณน์ ั้น ๆ แลว้ ย่อมจะเป็นผู้ทไ่ี ดร้ บั การยกย่องและเชือ่ ถือจากบุคคลในสังคม ผู้นาตามหลักอัตถัญญุตานี้สามารถคาดการณ์และวางแผนในการทางานการแก้ไขการ พัฒนาตนเองและสังคมได้โดยการใช้หลักการนี้ เช่น เมื่อเวลาท่ีประสบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ อย่างใด อยา่ งหน่ึง เช่น พบเห็นบุคคลทาบาปอกุศล หรือกระทาคุณความดี ขยันศึกษาเล่าเรียนก็จะสามารถท่ี จะคาดผลล่วงหน้าได้ว่า เหตุอย่างน้ีจะต้องส่งผลอย่างนั้นอย่างน้ี เรียกว่า รู้ผลระหว่างเหตุกับผลน้ี นับว่าเป็นเรื่องเดียวกัน แต่คนละเง่ือนกัน เมื่อกล่าวถึงข้อหน่ึงก็กระเทือนถึงอีกข้อหนึ่ง เหตุกับผลจึง เป็นปัจจัยซงึ่ กนั และกัน เหตอุ ยา่ งไร ผลกอ็ ยา่ งน้ัน ด้วยเหตนุ ี้ เหตผุ ลจึงเป็นเร่ืองท่สี าคัญอย่างยงิ่ สาหรบั ความเปน็ ผนู้ า จะเป็นเร่ืองความเส่ือม หรือความเจริญขึ้นอยู่กับผู้นามีเหตุผลหรือไม่ ในเร่ืองนี้พระพุทธองค์ได้ทรงเปรียบเทียบภิกษุผู้ท่ีข้าม ถึงฝ่ัง คือ พระนิพพาน ด้วยนายโคบาลผู้ต้อนโคข้ามฝั่ง ซ่ึงนายโคบาลนั้นมีท้ังผู้ท่ีมีความฉลาด

16 ใคร่ครวญในเหตุผลและผู้ไม่มีการใคร่ครวญอย่างมีเหตุผลหรือจุดหมายดังปรากฏในพระสูตรเรื่อง จฬุ โคปาลสตู รวา่ ภิกษุทั้งหลาย เร่ืองเคยมีมาแล้ว นายโคบาลชาวมคธผู้มีปัญญาทราม ไม่คานึงถึงฤดูสารท ในเดือนท้ายฤดู ไม่ตรวจตราดูฝั่งแม่น้าคงคาข้างน้ี เร่ิมต้อนฝูงโคข้ามไปฝั่งวิเทหรัฐฟากโน้นโดยไม่ถูก ทา่ เลย ทนั ใดน้ัน ฝูงโคไดว้ ่ายเวียนวนในท่ามกลางกระแสแม่น้าคงคา ถึงความวอดวายเสียที่ตรงน้ีเอง ข้อนเ้ี ป็นเพราะเหตุไร ภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์ พวกใดพวกหน่ึงท่ีไม่ฉลาดต่อโลกน้ีและโลกหน้าไม่ ฉลาดต่อส่ิงใตอ้ านาจมาร ไม่ฉลาดตอ่ สิ่งเหนอื อานาจมาร ไม่ฉลาดต่อสิ่งใต้อานาจมฤตยูไม่ฉลาดต่อสิ่ง เหนืออานาจมฤตยู ชนเหล่าใดจะสาคัญ ส่ิงที่ควรฟังควรเช่ือต่อสมณพราหมณ์เหล่านั้นข้อนี้ไม่เป็น ประโยชน์ และใหท้ กุ ข์แกช่ นเหลา่ น้ันส้นิ กาลนานเช่นนั้นเหมือนกันภิกษุทั้งหลาย นายโคบาลชาวมคธ ผู้มีปัญญา นึกถึงฤดูสารทในเดือนท้ายฤดูฝน ได้ตรวจตราฝั่งแม่น้าคงคาข้างนี้แล้วเร่ิมต้อนฝูงโคให้เข้า ไปฝง่ั เหนือแห่งวิเทหรัฐฟากโนน้ โดยถกู ท่าทีเดียว เขาขับต้อนเหล่าโคอุสภเป็นโคพ่อฝูง เป็นโคนาหน้า ฝูงข้ามไปก่อน มันได้ว่ายตัดตรงกระแสแม่นาคงคาถึงฝ่ังโดยสวัสดีต่อน้ันจึงต้อนโคอ่ืน โคที่ใช้การได้ โคที่พอจะฝึกได้ ต้อนโคผู้เป็นโคเมียรุ่นคะนอง ต้อนลูกโคและโคท่ีซูบผอม มันก็ได้ว่ายตัดตรงกระแส แม่นา้ คงคาถึงฝงั่ โดยสวัสดี จะเห็นได้ว่า ผู้นานั้นมีความสามารถต่อความเป็นอยู่ของสมาชิกในกลุ่ม หากผู้นาเป็นผู้รู้ เหตุ รู้ผล หรือรู้จุดมุ่งหมาย จะทาอะไรต้องมีแผนการ หรือเป้าหมาย ย่อมจะทาให้หมู่คณะดาเนินไป ได้โดยสวัสดิภาพ การวางแผนงานได้ก่อนแล้วเดินตามลาดับของงาน ผลก็คือ จะไม่มีข้อผิดพลาดไม่ ติดขัดในการทางาน หรือในการทางานเป็นคณะ ทุกคนร่วมมือกันอย่างพร้อมเพรียง งานก็จะประสบ กับความสาเร็จได้ผลดี มีประสิทธิภาพ ผู้นาเกิดความสบายใจท่ีมีส่วนช่วยให้งานส่วนรวมประสบ ผลสาเรจ็ จากตัวอยา่ งตา่ ง ๆ ท่ีกลา่ วมาข้างต้น สรปุ ไดว้ ่า ภาวะผนู้ าด้านอัตถญั ญุตา จะต้องเป็นผู้นาที่ รู้จุดหมาย รู้เป้าหมาย รู้จักผลที่จะเกิดข้ึนอย่างชัดเจน แล้วมุ่งสู่จุดหมาย เป้าหมายนั้นตามหลัก อัตถัญญุตาผนู้ าน้นั ก็จะเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล หรือ ปรัชญา พันธกิจเป้าหมายในการพัฒนาสถาน ศึกษา จัดให้มีการร่วมมือกับผู้ปกครอง วัดและชุมชน เพ่ือพัฒนาผู้เรียนและชุมชน รู้ความมุ่งหมาย หรือเป้าหมายของหลักการที่ตนปฏิบัติ เข้าใจวัตถุประสงค์องค์กรว่าจะไปทางไหนเพื่อประโยชน์อะไร เพ่ือให้สามารถดาเนินการไปได้อย่างถูกต้องตามเป้าหมายท่ีกาหนดไว้ 3. ภาวะผ้นู าดา้ นอัตตัญญุตา คือ เป็นผู้นาที่รู้ตน อัตตัญญุตา ความรู้จักตน คือ รู้ว่าเรานั้น วา่ โดยฐานะ ภาวะ เพศ กาลัง ความร้คู วามสามารถ ความถนัด และคุณธรรม เป็นการรู้ที่จะประพฤติ และปรับปรุงแก้ไข กล่าวว่าเป็นผู้รู้จักตน กล่าวคือ รู้ว่าตนเองมีคุณสมบัติ มีความสามารถอย่างไร และตอ้ งรู้จักพัฒนาตนเองอยา่ งสมา่ เสมอ ผูน้ าทด่ี นี ้ันจะต้องสารวจตนเองอยู่เสมอว่า ตนเองมีจุดอ่อน

17 จุดแข็งอะไร แล้วดาเนินการปรับปรุงจุดอ่อนของคน ในขณะเดียวกัน ก็พัฒนาจุดอ่อนจุดแข็งอะไร แลว้ ดาเนินการปรับปรุงจุดออ่ นของตน ในขณะเดียวกนั ก็พัฒนาจุดแขง็ ของตนใหด้ ีขึ้นเร่ือยไป ผู้นาที่ดี ควรมีการพัฒนาตนเองอย่างสม่าเสมอและต่อเน่ือง เพ่ือให้สามารถเข้าใจถึงความเปล่ียนแปลงแห่ง โลกอย่างแท้จริงเพื่อให้สามารถนาพามวลชนและองค์กรไปสู่จุดหมายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ พระพุทธศาสนาได้กล่าวว่า อัตตัญญุตา หมายถึง การรู้จักตนเก่ียวกับ ศรัทธา ศีลจาคะ สุตะ ปัญญา เป็นตน้ ดังปรากฏใน ธัมมัญญสู ูตร วา่ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้จักตน คือ รู้ว่าตนเองน้ันมีศรัทธา ความเช่ือ มีศีล มีระเบียบวินัยมี สุตตะ คือ การศึกษาเล่าเรียน ได้ยิน ได้ฟัง มีจาคะ การสละ แบ่งปัน การปล่อยวาง มีปัญญาความรู้ ความสามารถ อยู่ประมาณเท่าใดบ้าง แล้ววางตนให้เหมาะสมกับฐานะภาวะ ความรู้ ความสามารถ ของตนเอง ไม่ทาให้เกินความรู้ความสามารถของตนเองเรียกว่า ผู้รู้จักตน การรู้ตนในแนวทางแห่ง พระพุทธศาสนา ก็คือ การรหู้ ลักความเจริญอย่างประเสริฐหลักความเจริญของอารยชนตาคุณธรรมท่ี เรียกวา่ อารยวัฒิ 5 ดังต่อไปนี้ 1) ศรัทธา ความเชื่อ ความมั่นในพระรัตนตรัย ในหลักแห่งความเจริญความดีความงาม อันมเี หตุผล 2) ศีล ความประพฤตดิ ี มวี นิ ัย เล้ยี งชพี สจุ ริต 3) สุตะ การเล่าเรยี น สดบั ฟัง ศกึ ษาหาความรู้ 4) จาคะ การเผื่อแผ่เสียสละ เอื้อเฟื้อ มีน้าใจช่วยเหลือ ใจกว้าง พร้อมที่จะรับฟังและร่วม มือ ไมค่ ับแคบเอาแตต่ ัว 5) ปญั ญา ความรอบรู้ รูค้ ดิ ร้พู จิ ารณา เข้าใจเหตผุ ล คือ รจู้ กั โลกและชวี ิตตามความเปน็ จริง จากพระสูตรนี้แสดงให้เห็นว่า คุณสมบัติของคนดี ย่อมสามารถควบคุมพฤติกรรมทางกาย ทางวาจา และทางใจ ของตนเองได้อย่างถูกต้อง ตามหลักความเจริญอย่างประเสริฐหรืออารยวัฒิ 5 กลา่ วคือ เปน็ ผ้ทู ร่ี ู้ตนเองท้ังในด้านคุณภาพทางความสามารถท่ีจะประกอบกิจการงานได้อย่างถูกต้อง และด้านคุณภาพจิตใจท่ีสามารถเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรมที่ถูกต้องสมควรแก่การยกย่องของบุคคล ทั้งหลาย คนดีจะต้องรู้ว่าตนมีภาวะอะไรอยู่ในสถานะใด มีคุณสมบัติ มีความพร้อม มีความถนัด สตปิ ญั ญา ความสามารถอยา่ งไร มีกาลังแค่ไหน มีจุดอ่อนจุดแข็งอย่างไร ซ่ึงจะต้องสารวจตนเองและ เดือนตนเองอยู่เสมอ ท้ังนี้ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาปรับปรุงตัวเองให้มีคุณสมบัติ มีความสามารถ ยงิ่ ๆ ขึ้นไป ไมใ่ ช่วา่ เป็นผู้นาแล้วจะเป็นคนสมบูรณ์ไม่ต้องพัฒนาตนยิ่งเป็นผู้นาก็ยิ่งต้องพัฒนาตนเอง ตลอดเวลา นอกจากนี้การรู้ตนนี้ นับว่ามีความสาคัญอย่างมากในการเป็นผู้นา เพราะการวางตนไม่ เหมาะสมกับฐานะย่อมนามาซึ่งความผิดพลาดเสมอดังตัวอย่างท่ีปรากฏใน สัพพาฐชาดกซึ่งเป็นเร่ือง พระโพธสิ ัตวก์ ับสนุ ัขจิง้ จอก มีใจความวา่

18 วันหนึ่งพระโพธิสัตว์คิดว่า จักสาธยายมนต์นั้นบนหินดาดที่เนินผา ปุโรหิตทาการสาธยาย มีสุนัขจ้ิงจอกตัวหน่ึงนอนอยู่ในโพรงน้ัน ได้ยินมนต์น้ันเหมือนกัน ได้ท่องจาจนคล่องแคล่ว เพราะว่า สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นในอัตภาพอดีตถัดไปได้เป็นพราหมณ์ผู้หนึ่งซ่ึงคล่องแคล่วในปฐพีวิชัยมนต์ พระ โพธิสัตว์ทากรสาธยายแล้วลุกไปกล่าวว่า มนต์ของเราน้ีแคล่วคล่องหนอสุนัขจิ้งจอกออกจากโพรง กล่าวว่า \"ท่านพราหมณ์ผู้เจริญ มนต์นั้นคล่องแคล่วแก่ข้าพเจ้าย่ิงกว่าท่านเสียอีกแล้วว่ิงหนีไป\" พระ โพธิสัตว์คดิ วา่ สนุ ขั จ้งิ จอกตวั น้ี จกั ทาอกุศลใหญห่ ลวงแน่ จึงติดตามไปได้หน่อยหนึ่ง สุนัขจิ้งจอกได้หนี เขา้ ไปในป่า สุนขั จิ้งจอกนั้นร่ายปฐวีวิชยั มนต์บังคับสุนัขจิ้งจอกเป็นร้อย ๆ ไว้ในอานาจ กระทาสัตว์ 4 เท้า มชี ้าง มา้ สิงห์ เสือ กระต่าย สุกรและเน้ือ เป็นต้นท้ังหมดไว้ในอานาจของตนได้เป็นพญาสัตว์ชื่อ ว่า สัพพทาฐะ ราชสีห์ยืนอยู่บนหลังช้างสองเชือกพญาสุนัขจ้ิงจอกน่ังบนหลังราชสีห์กับนางสุนัข จ้ิงจอก ผู้เป็นมเหสี นับเป็นยศยิ่งใหญ่พญาสุนัขจ้ิงจอกเมาด้วยยศมหันต์ เกิดความคิดชิงราชสมบัติ พระเจ้ากรงุ พาราณสแี ละมีบริวารแวดล้อม 12 โยชน์ ได้ส่งสาส์นไปถึงพระราชาว่า จงมอบราชสมบัติ ให้แก่เราหรือจะรบชาวกรุงพาราณสีต่างพากันสะดุ้งหวาดกลัว ได้ปิดประตูพระนครแล้วต้ังมั่นอยู่ พระโพธิสัตว์กลา่ วเปน็ อุบายเพอ่ื ยุให้สุนัขทาให้พญาสีหราชแผดเสียง จากนั้นราชสีห์จึงเม้มปากเปล่งสี หนาทบนหลังชา้ ง 3 ครั้ง อย่างไม่เคยเปล่งมาเลย ช้างท้ังหลายต่างสะดุ้งตกใจ สลัดสุนัขจิ้งจอกให้ตก ไปท่ีพื้นและถูกช้างเหยียบจนแหลกละเอียดไปสุนัขจิ้งจอกสัพพทาฐะถึงแก่ความตาย ณ ที่น้ีเอง ช้าง เหล่านน้ั ได้ยนิ เสยี งราชสหี แ์ ลว้ ก็กลัวภัย คือ ความตาย ต่างก็สับสนชุลมุนวุ่นวายแทงกันตาย ณ ที่น้ัน สัตว์ 4 เท้าท้ังหมดแม้ท่ีเหลือมีเน้ือและสุกร เป็นต้น มีกระต่ายและแมวเป็นท่ีสุด ยกเว้นราชสีห์ ทงั้ หลายได้ถึงแกค่ วามตาย ณ ที่น้ันเอง ชาดกนแี้ สดงให้เห็นว่า การไม่รู้จักตนเองของสุนัขจ้ิงจอกสัพพทาฐะ ว่าอยู่ในฐานะอย่างไร มีความรู้ความสามารถหรือไม่ กล่าวคือ ไม่มีการประเมินตนเองให้ดีก่อนว่ามีความสามารถเท่าใด แล้วกระทาลงไป ยอ่ มจะนาตนเองและผ้อู น่ื ใหไ้ ด้รับความลาบาก เพราะเหตุท่ีไม่รู้จักตนเอง ไม่รู้ภาวะ ของตน จากตวั อยา่ งตา่ ง ๆ ทีก่ ลา่ วมาสรุปได้วา่ ภาวะผู้นาด้านอัตตัญญุตา เป็นผู้มีคุณธรรม เป็นผู้ที่ ร้จู กั ตนอยเู่ สมอวา่ เปน็ ผู้นาวสิ ยั ทศั น์ สามารถใช้แรงจงู ใจ กระจายวสิ ยั ทัศน์ไปยังบุคคลต่าง ๆ ได้มีจิตใจ โอบอ้อมอารี เสียสละ มีความรับผิดชอบสูงและมีคุณธรรม แค่ไหน เพียงไร แล้วต้องประพฤติตนเป็น ผู้นาแห่งการเปลี่ยนแปลงให้สมกับภาวะนั้น ๆ และรู้ที่จะแก้ไขปรับปรุงให้ดีย่ิงขึ้นต่อไปย่อมทาให้ผู้นา นนั้ สามารถนาพามวลชน หมคู่ ณะ องคก์ ร และสังคมไปส่คู วามสงบสุข และเจริญก้าวหนา้ ตอ่ ไป 4. ภาวะผู้นาดา้ นมัตตญั ญตุ า คือ เปน็ ผู้นาท่ีรจู้ กั ประมาณ ความรู้จักประมาณ หมายถึงความพอดี กล่าวคือ ต้องรู้จักขอบเขตความพอเหมาะในการ ทางานในเร่ืองต่าง ๆ ดังนั้น ผู้นาท่ีดีนั้นจะต้องรู้จักความพอเหมาะพอควรในการท่ีจะทากิจการทุก อย่างให้ลุล่วงไปด้วยดีตามเป้าหมายที่วางไว้ เช่น ภิกษุรู้จักประมาณและรู้จักบริโภคปัจจัยส่ีกล่าวว่า เป็นผรู้ จู้ กั ประมาณ

19 ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าว มัตตัญญุตา หมายถึง รู้ประมาณในการรับปัจจัย 4 ดังปรากฏในธัมมัญญูสูตร ว่าภิกษุในธรรมวินัยน้ี รู้จักประมาณในการบริโภคปัจจัย 4 ในการเล้ียงชีพ เช่น การรู้จักประมาณในการรับประเคน หรือการใช้สอยจีวร การรับอาหารบิณฑบาต และบริโภค อาหารให้พอประมาณแก่อัตตภาพของตนไม่มากไม่น้อยเกินไป การใช้เสนาสนะท่ีอยู่อาศัยให้ พอสมควรเหมาะกับสมณะสารูป ยารักษาโรคและบริขารอ่ืน ๆ ที่ภิกษุเข้าไปเก่ียวข้อง ต้องให้รู้จัก ความพอดแี ก่ตนเอง หากภิกษไุ ม่รจู้ กั ประมาณในการรบั ปจั จยั 4 จึงเรยี กเธอวา่ เปน็ มัตตัญญู ดงั นัน้ การรปู้ ระมาณ ตามหลักมตั ตัญตุ า ย่อมทาให้ผปู้ ระพฤติปฏิบัติมีความสุขความเจริญ พอเหมาะ แก่ฐานะของตน โดยรู้จักความพอดีในการดาเนินชีวิตทุกอย่างได้ถูกต้องเหมาะสม ด้วยเหตุน้ีผู้นาที่ดี ผนู้ าที่ดี ตามหลักมัตตัญญุตา ย่อมนามาซ่ึงความเหมาะสมพอสมควรในการดาเนิน กิจการงานต่าง ๆ ทาให้สามารถนาพามวลชน หมู่คณะไปสู่ความสุขสงบปลอดภัย และความเจริญ อย่างแทจ้ ริง ในการใช้สอยปัจจัย 4 ด้วยการรู้จักประมาณในความเป็นอยู่เช่นท่ีอยู่อาศัย รู้จักประมาณ ในการบรโิ ภคอาหาร รู้จักประมาณให้เหมาะสมกบั รายรับรายจ่ายของตนเอง ไม่ทะเยอทะยานจนเกิน ฐานะแล้ว ย่อมจะได้รับความสุขและนาความเจริญมาสู่สังคมที่อยู่ของตนเองและรู้จักประมาณอีก ประการหนึ่ง คอื รู้จักประมาณในการรับและการให้ รู้จักประมาณตนว่า ควรรับอะไรจากใคร เพียงใด ควรให้อะไรแก่ใคร เพียงใด ควรวางตัวอย่างไร ควรปฏิบัติอย่างไร ให้พอเหมาะพอดี พอประมาณ ดังปรากฏใน มหาสุวราชชาดก เป็นเร่ืองที่พระพุทธองค์ตรัสกับภิกษุ และท้าวสักกะกับพญานกแขก เต้า ดังมีใจความวา่ ภิกษุรูปหนึ่งได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และพระพุทธองค์ ทรงตรัสถามว่า \"ดูก่อนภิกษุ เธอไม่ ลาบากด้วยบิณฑบาตหรือ? เสนาสนะเป็นที่สบายดีหรือ? ภิกษุรูปน้ันทรงกราบทูลให้ทรงทราบ พระศาสดาคร้ังทรงทราบว่าเธอมีเสนาสนะ เป็นที่สบาย จึงตรัสว่าดูก่อนภิกษุ ธรรมดาสมณะเม่ือมี เสนาสนะเป็นท่ีสบายแล้ว ก็ควรละความโลภอาหารเสีย ยินดีฉันตามที่ได้มานั่น กระทาสมณธรรมไป โบราณบัณฑิตทั้งหลาย แม้เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉานเคี้ยวผลแห้งในต้นไม้ท่ีตนอยู่อาศัย ยังละความโลภ อาหาร มีความสนั โดษไม่ทาลายมติ รธรรมไปเสียที่อ่ืนเหตุไรเธอจึงมาคิดว่าบิณฑบาตน้อย ฉันไม่อร่อย และละทิ้งเสนาสนะทีส่ บายเสยี \" แล้วไดต้ รัสอดีต นิทานมาสาธกว่า กาลคร้ังหนึ่งนานมาแล้ว ที่ป่าไม้มะเด่ือแห่งหนึ่งอยู่ริมฝั่งแม่น้าคงคา มีนกแขกเต้าหลาย แสนตวั ตอ่ มาในฤดูแล้งผลมะเด่อื หมดลง นกแขกเต้าท้ังหลายได้พากันบินหนีไปหากิน ณ ที่อื่น ยังคง เหลือแต่พญานกแขกเต้าตัวหน่ึงเท่านั้น เป็นผู้มักน้อยสันโดษไม่หนีไปท่ีอื่น เมื่อผลมะเดื่อหมดก็กิน หน่อ ใบ เปลือก และสะเก็ดของต้นมะเดื่อตามลาดับ โดยไม่คิดจะหนีไปไหนเป็นเหตุให้บัลลังก์ของ ท้าวสักกะแสดงอาการร้อน เพื่อทดสอบจิตใจของพญานกแขกเต้า ท้าวเธอจึงบันดาลให้ต้นทะเด่ือ ที่นกแขกเต้าอาศัยอยู่นั้นตายและแห้งลงมีลาต้นแตกเป็นช่องน้อยใหญ่ เวลาลมพัดจะมีเสียงดัง

20 มผี ลไม้ไหลออกมาตามชอ่ งทีแ่ ตกน้นั นกแขกเตา้ ก็ไม่หนไี ปไหนกย็ ังกินผงไม้ไหลออกมาตามช่องท่ีแตก นนั้ แหละเป็นอาหาร จนสุดท้ายต้นไม้นั้นเหลือแต่ตอ พญานกแขกเต้าก็ไม่หนีไปไหน ยังคงจับอยู่ท่ีตอ ต้นไม้น้ันท้าวสักกะเม่ือทราบว่าพญานกแขกเต้ามีความมักน้อยสันโดษจริง ๆ จึงแปลงร่างเป็นพญา หงส์ มนี างสุชาดาเปน็ นางหงส์ติดตามไปดว้ ย บินไปจับท่ีตอมะเด่ือใกล้พญานกแขกเต้านั้น แล้วเจรจา ว่า \"นกแขกเต้า ผู้มีจะงอยปากสีแดง ท่านควรไปที่อื่นได้แล้ว อย่ามาตายท่ีตรงน้ีเลย ท่านมาเยื่อใย อะไรกับต้นไม้แห้งนี้ ต้นไม้อื่นมีถมเถไป \"พญานกแขกเต้าร้องตอบว่า “ท่านพญาหงส์...ใครเป็นเพ่ือน ในยามทุกข์ยาก ผนู้ ั้นเปน็ สัตบุรุษ ย่อมไม่ทอดทงิ้ เพื่อนผู้มีทรัพยแ์ ละไร้ทรัพย์ ต้นไม้นี้เป็นท้ังเพ่ือนเป็น ทั้งญาติของเรา เราเพียงต้องการมีชีวิตอยู่เท่านั้น จึงไม่อาจทิ้งต้นไม้นี้ไปได้ เพราะเหตุเพียงไม่มีผล น่ไี มย่ ตุ ธิ รรมเลย” จากชาดกเรื่องน้ีช้ีให้เห็นว่า การท่ีบุคคลมีความพอใจยินดีในสิ่งท่ีตนมีและรู้จักกตัญญูรู้ คุณคา่ ของทีอ่ ยูอ่ าศยั ยอ่ มเป็นทีช่ ่ืนชมน่าสรรเสริญของนักปราชญ์บัณฑิต ดังน้ัน การรู้จักประมาณใน ความเป็นอยู่เช่นท่ีอยู่อาศัย รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร รู้จักประมาณให้เหมาะสมกับรายรับ รายจ่ายของตนเอง ไม่ทะเยอดทะยานจนเกินฐานะแล้ว ย่อมจะได้รับความสุขและนาความเจริญมาสู่ สังคมของตนเองและความรู้จักประมาณอีกประการหนึ่ง คือ รู้จักประมาณในการรับและการให้รู้จัก ประมาณตนว่า ควรรับอะไรจากใครเพียงใด ควรให้อะไรแก่ใครเพียงใดควรวางตีวอย่างไร ควรปฏิบัติ อย่างไรให้พอเหมาะพอดีให้พอประมาณ และทรงตรัสถึงหลักธรรมที่จะทาให้บุคคลเป็นผู้ที่รู้จัก ประมาณ น่ันคือ หลักสันโดษ คือ ความยินดีด้วยปัจจัยที่ตนมีตนได้ไม่แสวงหาในสิ่งที่ไม่สมควร มคี วามขยัน ไมเ่ กียจคร้าน ความสนั โดษนั้นแบ่งออกเป็น 3 ลกั ษณะคอื พระสามารถ อานนฺโท (2548, หนา้ 67) 1. พอดีกับสิ่งท่ีได้มาหรือมีอยู่ (ยถาลาภะ) คือ เอาส่ิงที่ได้มาหรือมีอยู่เป็นเกณฑ์แล้วทาให้ พอเหมาะพอดีกับสิ่งที่ได้มาหรือมีอยู่ ให้พอเหมาะพอดีกับความจาเป็นก่อนหลังเพ่ือให้เกิดคุณค่า แท้จริง 2. พอดกี ับกาลังความสามารถ (ยถาพละ) คือ เอากาลังความสามารถเป็นเกณฑ์วัดแล้วให้ พอเหมาะพอดกี บั ความสามารถน้ัน ไมท่ าให้เกินกาลังความรู้ความสามารถ 3. พอดีกับฐานะ (ยถาสารุปปะ) คือ เอาฐานะหรือความเหมาะความควรเป็นเกณฑ์แล้ว ทาให้เหมาะกบั ฐานะ ลักษณะ 3 อย่างน้ี ควรใช้ประกอบซึ่งกันและกัน จึงช่วยให้สามารถทากิจการงานใด ๆ กต็ าม ใหพ้ อเหมาะพอดอี ย่างไดผ้ ลเต็มท่ี ในเร่ืองการรู้จักประมาณน้ี กล่าวอีกนัยหน่ึง ก็คือ ทางสายกลาง ซ่ึงเป็นหนทางในการ ทางานของผู้นา จะต้องไม่ตงึ เกินไปและไม่หยอ่ นเกินไป เช่น พระพุทธเจ้าได้ทรงทดลองปฏิบัติเคร่งครัด ก็ไม่ประสบผลสาเร็จ ต่อเมื่อพระองค์หันมาปฏิบัติทางสายกลาง จึงประสบผลสาเร็จ ดังท่ีพระองค์ ได้ครสั ไว้ใน ธัมมจกั กปั ปวัตนสตู ร มีข้อปฏิบัติทไี่ มค่ วรดาเนนิ อยู่ 2 อยา่ งคอื

21 1) กามสขุ ัลลิกานุโยค เปน็ ข้อปฏิบัตหิ ยอ่ นยานท่ยี ดึ ตลอดในกามคณุ ความพอใจในอารมณ์ ของตน เป็นหลกั การกระทาที่ไมเ่ กดิ ประโยชน์ ไมเ่ ปน็ ไปเพือ่ การบรรลธุ รรม 2) อัตตกิลมัตถานุโยค เป็นข้อปฏิบัติที่ดึงเกินไป การทรมานตนให้ได้รับความทุกขเวทนา ดว้ ยประการตา่ ง ๆ ดังนั้น พระองค์จึงตรัสถึงทางปฏิบัติสายใหม่ขึ้นมา น้ันคือมัชฌิมาปฏิปทา ได้แก่มรรค 8 หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นทางแห่งความพอประมาณ นั่นเองความพอดี หรือหลักการรู้จัก ประมาณ ซึ่งเป็นหลกั ธรรมทเ่ี สรมิ ให้ผนู้ าทาตามหน้าท่ีที่ได้รับมอบหมาย และสามารถนามาปรับใช้ให้ เหมาะแก่การงาน เช่น ผู้ปกครองบ้านเมืองรู้จักประมาณในการใช้อานาจการปกครอง การให้คุณให้ โทษ ในการปกครอง ฯลฯ จะเห็นได้ว่า มัตตัญญุตา เป็นหลักธรรมท่ีสาคัญมาก ก่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนว พุทธขึน้ ไดจ้ ริง และเป็นธรรมท่ใี ช้แก้ปญั หาธรรมชาติแวดล้อมไดอ้ ย่างดีมาก การรู้จักประมาณเป็นการ ฝึกใหม้ ีปัญญาในการเสพบริโภค โดยเฉพาะเทคโนโลยี ร้จู ักแยกระหว่างประโยชนอ์ นั เปน็ คุณค่าแท้ ซ่ึง หมายถึงการใช้โดยเฉพาะส่ิงบริโภค เช่น ปัจจัย 4 มีคุณค่าแท้คือการหล่อเลี้ยงชีวิต เพ่ือสุขภาพท่ีดี เพ่ือประโยชน์เก้ือกูลชีวิตท่ีพอดีไม่มากเกินกว่าความต้องการของตนเองกับคุณค่าเทียมซึ่งหมายถึง ประโยชน์ที่เกินเลยกว่าความจาเป็น เช่น ความสวยงามหรูหราลุ่มหลงมัวเมาและเสียสุขภาพ เม่ือมี มัตตัญญุตารูจ้ กั ประมาณ แลว้ ย่อมเออ้ื ประโยชน์ต่อสภาพแวดล้อมในส่วนท่ีลดการเบียดเบียน จึงเป็น ประโยชน์ต่อการพัฒนาชีวิตของมนุษย์และการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมทั้งสามารถรักษาสภาพ แวดล้อมไปพรอ้ มกัน จากท่ีกล่าวมาข้างต้น พอสรุปได้ว่า ภาวะผู้นาด้านมัตตัญญุตาเป็นผู้นาจะต้องเป็นผู้นาท่ี ประกอบดว้ ยหลักธรรมแห่งมชั ฌมิ าปฏิปทา คอื ดาเนนิ ตามทางสายกลางอันประกอบด้วยมรรคมีองค์ 8 หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันจะทาให้ผู้นานั้นเป็นผู้รู้จักประมาณมีความพอเหมาะพอดีในการดาเนิน กจิ การทกุ อย่าง รูจ้ กั ความพอดี สามารถวางตนวางแผนกาหนดนโยบายในการบรหิ ารงาน ปรับเปล่ียน แผนการดาเนินงานตามสถานการณ์ต่าง ๆ ตามได้อย่างเหมาะสม บริหารงบประมาณได้อย่างคุ้มค่า และเกดิ ประโยชนต์ ่อสถานศกึ ษา ยึดหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี ง ในการที่จะบริหารงานทุกอย่างให้ ลลุ ่วงไปดว้ ยดตี ามเปา้ หมายทีว่ างไว้ เพื่อประโยชน์สุขแห่งมวลชนและหมู่คณะอย่างแท้จริงนอกจากน้ี ความพอเหมาะพอดี ความรู้จักประมาณนั้น ผู้นานั้นจะสามารถบริหารกิจการทุกอย่างด้วยความ เข้าใจวัตถุประสงค์อย่างถูกต้อง และสามารถนาพวกมวลชนและหมู่คณะไปสู่ความสงบสุข ปลอดภัย และก้าวหน้าตลอดไป 5. ภาวะผู้นาด้านกาลัญญตุ า คือ เปน็ ผูน้ าทรี่ ู้จกั เวลา ความรู้จกั กาล คือ รูจ้ ักกาลเวลาอนั เหมาะสม ประกอบกิจการงานต่าง ๆ ทาหน้าที่การงาน ตรงเวลา เป็นเวลาและทันเวลา กล่าวว่าเป็นผู้รู้จักคุณค่าของกาลเวลา ผู้นาท่ีประสบความสาเร็จน้ัน

22 จะตอ้ งเปน็ ผรู้ จู้ กั การบรหิ ารเวลาหรอื วางแผนให้เหมาะสมกบั เวลาอยา่ งถูกต้องในทางพระพุทธศาสนา กล่าวถงึ กาลัญญุตา ไวว้ ่าการรจู้ ักแนวปฏบิ ตั อิ ันเหมาะสมกบั กาลเทศะ ดังปรากฏใน ธมั มัญญสู ตู รวา่ ภิกษใุ นธรรมวินยั น้เี ป็นผ้ปู ระกอบไปดว้ ยความรู้วา่ เวลาน้ีเป็นเวลาควรศึกษา ควรถามเวลา น้ีเป็นเวลาทาความเพียร ควรหลีกเลี่ยงเว้นจากหมู่ คือรู้จักการปฏิบัติให้สอดคล้องกับกาลเทศะ ให้เหมาะสมกับสมณะ รู้คุณค่าของเวลาเมื่อภิกษุมีความรู้ความเข้าใจในการใช้เวลาย่อมจะเป็นผู้มี ความเจริญในพระพุทธศาสนา เพราะทาให้ถูกกับกาลเวลาดังน้ัน การรู้จักเวลา รู้จักคุณค่าแห่งเวลา รู้จักบริหารเวลาอย่างถูกต้องตามหลักกาลัญญุตา ถือเป็นคุณสมบัติที่สาคัญย่ิงต่อการเป็นผู้นาที่ดีใน การที่จะวางแผนงานในกิจการต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและทันต่อสถานการณ์โลกท่ีกาลังเปล่ียนแปลง อยู่ตลอดเวลา ทาให้ประสบความสาเร็จตามเป้าหมายท่ีวางไว้ได้ การดาเนินกิจการต่าง ๆ เม่ือทาให้ ถูกต้องเหมาะสม ก็ย่อมส่งผลเสียให้แก่ผู้อื่น ในเรื่องนี้พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับภิกษุท่ีละเลยกิจวัตร ปฏิบัติตนไม่เหมาะสมกบั สมณะ ดังปรากฏในอกาลราวิชาดก ซ่ึงมีเนือ้ ความวา่ ภกิ ษชุ าวพระนครสาวัตถรี ูปหนึ่ง บรรพชาในพระศาสนาแล้วไม่เรียนวัตรหรือสิกขาเธอไม่รู้ ว่าเวลานี้ควรทาวัตร ควรปรนนิบัติ ควรเล่าเรียน เวลาน้ีควรท่อง ส่งเสียงดัง ในขณะท่ีตื่นขึ้นทุก ๆ ยาม ภิกษทุ ้งั หลายไม่เปน็ อนั ได้หลบั ไดน้ อน ตา่ งพากันกลา่ วโทษของเธอในธรรมสภาพระพุทธองค์ทรง ทราบแล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย ไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่าน้ันท่ีภิกษุส่งเสียงไม่เป็นเวลา แม้ในกาล ก่อน ภิกษรุ ้นู ี้ได้เกิดเป็นไก่ ก็ส่งเสียงไม่เป็นเวลาเหมือนกับการที่เขาไม่รู้จักกาลเวลาขัน จึงเป็นเหตุให้ ถกู บิดคอจนถึงสน้ิ ชวี ิต ในอดตี กาลพระเจา้ พรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี และเม่ือพระโพธิสัตว์ บงั เกิดในสกลุ อทุ จิ จพราหมณแ์ ละเจรญิ วัยแลว้ สาเร็จการศึกษาในศิลปวิทยาทุกอย่างเป็นอาจารย์ทิศา ปาโมกข์ บอกศิลปะแก่มาณพประมาณ 500 มีไก่ขันยามอยู่ตัวหน่ึง ซ่ึงทาให้พวกเขาพากันลุกตาม เสียงขันของมัน ศึกษาศิลปะอยู่และไก่ได้ตายเสียจากพวกเขาจึงเที่ยวแสวงหาไก่อื่นมาณพผู้หน่ึง หกั ฟืนอยใู่ นปา่ ชา้ เห็นไก่ตัวหนึ่งก็จบั มาใส่กรงเล้ียงไว้ ไก้ตัวน้ันไม่รู้ว่าควรจะขันในเวลาไหน เพราะมัน เตบิ โตในป่าช้า บางคราวก็ขนั ดกึ เกินไปไม่อาจศึกษาได้มาณพกล่าวกันว่า เดี๋ยวมันขันดึกไป เดี๋ยวก็ขัน สายไป อาศยั ไก่ตัวน้ี พวกเราเรียนศิลปวทิ ยาไมส่ าเรจ็ จึงชว่ ยกันบิดคอถึงส้ินชีวิต แล้วบอกอาจารย์ว่า ไกท่ ี่ขนั ไม่เป็นเวลาพวกผมฆา่ มันเสยี แลว้ อาจารยก์ ล่าวว่า มันถงึ ความตาย เพราะเจริญเติบโตโดยมิได้ รับการส่ังสอนเลย ไก่ตัวน้ีไม่เติบโตอยู่กับพ่อแม่ ไม่ได้อยู่ในสานักของอาจารย์ ย่อมไม่รู้จักกาลท่ีควร ขยั และไมค่ วรขัน ดังนี้ ชาดกนี้ไดช้ ี้ให้เหน็ อย่างชัดเจนว่า การรู้จักเวลาในการทากิจการใด ๆ เป็นสิ่งสาคัญย่ิงหาก ว่าบุคคลใดไม่รู้จักประกอบกิจการใด ๆ ให้เหมาะสมกับเวลาแล้วย่อมก่อให้เกิดวามเสียหายหรือ หายนะแก่ตนเอง ดังเช่นที่ไก่ในชาดกไม่รู้เวลาในการขันท่ีเหมาะสม จึงทาให้ต้องถูกฆ่าตายในที่สุด ดงั นั้น การเป็นผ้นู าที่ดีควรจะต้องรู้จักเวลาที่เหมาะสมในการกระทากิจการต่าง ๆ ให้ถูกต้อง มิฉะน้ัน แล้วย่อมจะสามารถนามาซ่ึงความเสียหายแก่ตนเองและผู้อ่ืนได้

23 จากตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่าภาวะผู้นาด้านกาลัญญุตาเป็นผู้นาที่จะต้องรู้จัก เวลาเหมาะสมในการทากิจการทกุ อย่างอยา่ งถูกตอ้ ง รจู้ ักบริหารเวลาให้เหมาะสมรู้จักคุณค่าของเวลา รู้จักการวางแผนการใช้เวลาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ ตามการเปลี่ยนแปลงของโลกอย่าง ถูกต้อง ผู้นานั้นก็ย่อมจะสามารถนาพาหมู่คณะมวลชนและสังคมไปสู่ความสงบสุขและก้าวหน้าตาม ความเหมาะสมแหง่ เวลาอนั ควร 6. ภาวะผู้นาดา้ นปริสญั ญุตา คือ เป็นผนู้ าทร่ี ชู้ ุมชน ความรูจ้ ักบรษิ ัท คือ รจู้ ักชุมชน รู้กิรยิ าทจี่ ะประพฤตติ อ่ ชมุ ชนนนั้ ว่าเมื่อเข้าไปจะประพฤติ อย่างไร กล่าวว่าเป็นผู้รู้จักชุมชน รู้สังคมตั้งแต่ขอบเขตที่กว้างขวางจากสังคมโลกสังคมประเทศชาติ ว่าอยู่ในสถานการณ์อย่างไร มีปัญหาอะไร จะได้สามารถเข้าใจความต้องการของสังคมนั้นได้ถูกต้อง หรือแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด นอกจากนี้ยังต้องรู้เข้าใจระเบียบกฎเกณฑ์วัฒนธรรม ประเพณี ของสังคม น้ัน ๆ เพื่อให้สามารถเข้าใจถึงสถานการณ์ต่าง ๆ ของสังคมนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องจะได้สามารถนา ความสงบสุข สนั ตสิ ขุ ความก้าวหน้ามาส่มู วลชน หมู่คณะและสงั คมได้ ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าว ปริสัญญุตา หมายถึง การรู้จักบริษัท และแนวปฏิบัติของ บริษัท ดังปรากฏในธัมมญั ญูสตู ร ว่า ภิกษุเป็นผรู้ ้จู กั บรษิ ทั คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้จักบริษัทหรือรู้จักชุมชนเหล่าน้ีเป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นคหบดี ชนเหล่าน้ีเป็นสมณะในชุมชนน้ัน ควรไปหาอย่างน้ี ควรยืนอย่างนี้ ควรน่ัง อยา่ งนี้ ควรกล่าวอย่างน้ี หากภิกษุไม่รู้จักขุมขนเหล่านั้น และวางตนไม่เหมาะสมกับสังคมหรือชุมชน นั้นแล้ว ไม่ควรเรียกเธอว่าเป็นปริสัญญู แต่เพราะภิกษุรู้ว่าน้ี เป็นกษัตริย์ เป็นพราหมณ์ เป็นคหบดี เป็นสมณะ ในบรษิ ัทน้นั เราควรเรียกเข้าไปหาอย่างนี้ ควรยืนควร นง่ั อย่างน้ี ควรกล่าวควรสงบอย่างน้ี จึงเรียกเธอว่า เป็นปริสัญญูในพระสูตรนี้แสดงให้เห็นว่า การรู้จัก วา่ ชมุ ชนใด ๆ เป็นสังคมประเภทไหน ย่อมทาให้บุคคลนั้นสามารถวางตนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ในสังคมน้ัน ๆ อีกทั้งยังเป็นท่ียอมรับนับถือจากบุคคลในสังคมน้ัน ๆ ด้วย ดังน้ัน ผู้นาที่รู้จักชุมชนเป็น อย่างดีย่อมสามารถวางตนได้อย่างเหมาะสมในสังคมนั้น อีกทั้งสามารถบริหารจัดการกิจการต่าง ๆ ของสังคมน้ันให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ประเพณี แบบแผนทาให้เป็นท่ีเคารพนับถือ ยกย่องของหมู่คณะ หรือมวลชนตลอดจนสามารถนามาซง่ึ ความสงบสุข ความเจรญิ ก้าวหน้ามาสู่สังคมนั้น ๆ ดว้ ย ในการทคี่ นดีจะรจู้ กั ชุมชนไดด้ อี ีกประการหน่งึ น้ัน ผ้นู าจะตอ้ งเข้าใจบทบาทและหน้าท่ีของ บุคคลในสังคมซ่ึงจะปฏิบัติกันได้อย่างถูกต้อง ในข้อน้ีพระพุทธเจ้าได้ตรัสกับสิงคาลกบุตรในเรื่องทิศ ท้งั 6 ซึง่ มีสาระสาคญั ต่อการเปน็ คนดีในการบริหารชมุ ชนท่คี วรรู้ ดังตอ่ ไปน้ี 1. ทิศเบ้ืองหน้า ได้แก่ บิดามารดา จะต้องดูแลบุตรธิดาของตน มิให้ทาชั่วแนะนาให้เป็น คนดใี ห้การศกึ ษา เป็นตน้ เมอื่ บุตรธิดาได้รับการดแู ลเชน่ นัน้ แลว้ ควรปฏิบัติตนต่อท่านในทางท่ีดี เช่น เล้ยี งดูทา่ นในคราวจาเป็น ดาเนนิ กิจการ รักษาวงศ์สกุลของท่านมิใหเ้ สือ่ มเสีย

24 2. ทิศเบื้องขวา ได้แก่ ครู อาจารย์ จะต้องแนะนาศิษย์ด้วยดี ไม่ปิดบังอาพรางยกย่องใน หมู่คณะ เป็นที่พึ่งของศิษย์ได้ เป็นต้น เม่ือศิษย์ได้รับการอนุเคราะห์จากครูอาจารย์และพึงตอบแทน ท่านด้วยการรบั ใช้ทา่ น เช่ือฟงั ท่าน เคารพทา่ น และตั้งใจศกึ ษา 3. ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ ภรรยา สามี จะต้องปฏิบัติต่อกันดังนี้ ภรรยาจะต้องจัดงานบ้าน ด้วยดี สงเคราะห์ญาติของสามี ซื่อสัตย์ต่อสามี รักษาทรัพย์ท่ีสามีด้วยดี เป็นต้น และสามีควรปฏิบัติ ตอ่ ภรรยาดว้ ยการยกย่อง ไม่ดูหมิ่น ไม่นอกใจ ใหเ้ คร่อื งแต่งตวั แก่ภรรยา 4. ทศิ เบื้องซ้าย ไดแ้ ก่ มติ รหรือเพอ่ื นทจี่ ะตอ้ งปฏิบตั ิตอ่ กนั ดงั น้ี เชน่ ด้วยการกล่าวถ้อยคา ไพเราะ วางตนเสมอต้นเสมอปลายต่อเพื่อน เป็นที่พ่ึงของกันและกันได้ ไม่ท้ิงเพ่ือนในยามวิบัติ และ นบั ถอื วงศ์ตระกลู ของเพอื่ น 5. ทิศเบ้ืองล่าง ได้แก่ คนงาน คนรับใช้ หรือผู้ใต้บังคับบัญชา จะต้องปฏิบัติต่อนายจ้าง หรือเจ้านาย คือ ลุกทางานก่อนนายเลิกทีหลังนาย ถือเอาเฉพาะของท่ีนายให้ทางานให้ดียิ่งข้ึน ยก ย่องนาย เป็นต้น 6. ทิศเบือ้ งบน ไดแ้ ก่ สมณะ นกั บวช ผู้ทรงคุณธรรมอันสูง ควรอนุเคราะห์แก่คฤหัสถ์ เช่น ห้ามไม่ให้ทาช่ัว ให้ตั้งอยู่ในความดี อนุเคราะห์ด้วยน้าใจอันงาม อธิบายข้อความให้แจ่มชัด และบอก ทางสวรรค์ให้คฤหัสถ์ เมื่อได้รับการอนุเคราะห์ ด้วยตอบแทนด้วยการจะพูดจะคิด จะทาต้อง ประกอบด้วยความเมตา การตอ้ นรบั ด้วยดี และการให้ทานดว้ ยปัจจัย ดังนั้น การท่ีคนดีสามารถเข้าใจและปฏิบัติตามหลักทิศทั้ง 6 ได้อย่างถูกต้องย่อมแสดงให้ เห็นว่า ผู้นานั้นเป็นบุคคลที่มีมนุษย์สัมพันธ์ท่ีดีกับบุคคลต่าง ๆ ในสังคมนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้องจน สามารถทาให้เกดิ ความสามัคคใี นหม่คู ณะได้ ก็สามารถนามาซึง่ ความสันติสุขในสงั คมน้นั ไดต้ ลอดไป จากตัวอย่างท่ีกล่าวมา สรุปได้ว่า ภาวะผู้นาด้านปริสัญญุตาเป็นผู้นาที่จะต้องรู้ชุมชน รู้สังคม อย่างถูกต้องในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านกฎเกณฑ์ ประเพณี วัฒนธรรม เป็นต้น สังคม มีมนุษย สัมพันธ์เป็นนักประสานงานท่ีดีกับทุกคน ทุกองค์กร และทุกภาคส่วน ให้ความสาคัญกับประโยชน์ ส่วนรวม และ การพัฒนาคุณธรรม จริยธรรมของเยาวชน ประชาชน อีกทั้งเปิดโอกาสให้ชุมชนได้มี ส่วนร่วมในการทากิจกรรมภายในสถานศึกษา เพ่ือท่ีจะเข้าใจความต้องการของสังคมน้ันได้อย่าง ถกู ต้อง สามารถนาความสงบสขุ ความก้าวหน้ามาสมู่ วลชน หมคู่ ณะ และสังคมได้ 7. ภาวะผ้นู าดา้ นปุคคลญั ญุตา คือ รู้จักบุคคล ปุคคลัญญุตา หรือ ปุคคลปโรปรัญญุตา ความรู้จักบุคคล คือ ความแตกต่างแห่งบุคคลว่า โดยอัธยาศยั ความสามารถ และคณุ ธรรม รู้ว่าควรจะปฏิบัติต่อบุคคลต่าง ๆ อย่างไรควรคบ ใช้ตาหนิ ส่ังสอนแตกต่างกัน กล่าวว่าเป็นผู้จักบุคคล รู้ประเภทของบุคคลที่จะต้องเก่ียวข้องด้วย รู้ว่าควรจะ ปฏบิ ตั ิต่อเขาได้ถกู ตอ้ งเหมาะสมและไดผ้ ลอยา่ งไร ดังนน้ั คนดยี ่อมต้องรู้บุคคล รู้ประเภทของบุคคลท่ี เก่ียวข้องเป็นอย่างดี เพื่อสามารถเลือกใช้คนให้เหมาะสมกับการงาน ในการบริหารงานทุก ๆ ด้าน

25 เพื่อให้เกดิ ประโยชนแ์ ละคุณค่าแกผ่ ปู้ ฏบิ ตั งิ านทุกคนตลอดจนสามารถสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับ หมู่คณะและองค์กรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึง ปุคคลปโรปรัญญุตา คือ การรู้บุคคลและลักษณะความต้องการของบุคคล ดังปรากฏในธัมมัญญูสูตร ว่าภิกษุผู้ที่มีความรู้ เรื่องบคุ คลของภกิ ษุในธรรมวินยั นี้ รู้จกั บคุ คล 2 จาพวก ได้แก่ 1. รู้ลักษณะบุคคลผู้ที่เป็นบัณฑิต รู้บุคคลที่มีความต้องการจะพบ บุคคลผู้เป็นพระอริยะ หรือผู้ท่เี ป็นบัณฑติ เปน็ คนดมี ีศีลธรรม สนใจในคาส่งั สอน แล้วนามากระทาตามคาสอนนั้นเพ่ือให้เกิด ประโยชน์แก่ตนเองและผูอ้ ื่น 2. รู้จักลักษณะของบุคคลที่ไม่ใช่บัณฑิต ไม่ต้องการเห็นบุคคลที่เป็นบัณฑิตหรือพระอริยะ และไม่ต้องการจะฟังธรรมคาแนะนาส่งั สอนจากทา่ นผู้รู้ ในพระสูตรนี้แสดงให้เห็นว่าการรู้จักคบบุคคลผู้เป็นบัณฑิตย่อมนามาซึ่งประโยชน์แก่ตน และผู้อ่ืน แต่หากคบคนพาลย่อมนาไปสู่ความหายนะทั้งแก่ตนเองและผู้อ่ืนด้วย ดังนั้นผู้นาท่ีดีจึงควร เลือกคบบุคคลที่ดี เพอ่ื ใหส้ ามารถนาความเจริญมาสูต่ นเองและหมู่คณะได้ตลอดไป สรุปได้ว่า ภาวะผุ้นาด้านปุคคลปโรปรัญญูตานั้น ผู้นาจะต้องเป็นผู้รู้เลือกบุคคลเลือก แต่งตั้ง จัดวางบุคคลได้เหมาะสมกับงาน สามารถปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละบุคคลได้อย่างถูก ต้อง ให้โอกาส สนับสนุนผู้ท่ีมีความรู้ ความสามารถให้ดารงตาแหน่งที่เหมาะสม ส่งเสริมภิกษุและ สามเณรได้มีโอกาสได้ศึกษาเพิ่มเติมและให้ความสาคัญกับทรัพยากรมนุษย์ เพื่อทาให้เกิดประสิทธิ ภาพและประสิทธิผลในการบริหารงานทุก ๆ ด้าน ในการบริหารกิจการงานทุกด้านก็เพื่อทาให้เกิด ประโยชน์และความก้าวหน้าท้ังแก่ผู้ปฏิบัติ หมู่คณะ และองค์การตามเป้าหมายท่ีวางไว้จากท่ีกล่าว มาแล้ว สามารถวิเคราะห์ให้เห็นว่า หลักสัปปุริสธรรม เท่าที่ปรากฏในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามี จานวนมากซ่ึงล้วนแต่เป็นคุณธรรมสาหรับคนดี และในขณะเดียวกันก็เป็นคุณธรรมที่สาคัญของการ เปน็ ผูน้ าท่มี ภี าวะผนู้ าทีด่ ีอกี ด้วย ผู้วิจัยจึงสามารถสรุปได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาท่ีมุ่งเน้นในการส่งเสริมผู้นาที่เป็น คนดี มีจริยธรรม มีคุณธรรม มาปกครองหมู่คณะ สังคม และประเทศชาติ เพื่อให้เกิดความสงบสุข การพัฒนาหมู่คณะ สังคมและประเทศชาติ ให้มีศักยภาพท่ีม่ันคงและก้าวหน้าตลอดไปในโลกท่ีมี การเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลาหลักสัปปุริสธรรม 7 เท่าที่ปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนามีจานวน มาก ซ่ึงลว้ นเปน็ คุณธรรมสาหรับคนดี ขณะเดียวกันกเ็ ปน็ คณุ ธรรมสาคัญของผนู้ าด้วยเช่นกัน จึงกล่าว ได้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มุ่งเน้นการส่งเสริมผู้นาที่เป็นคนดีมีจริยธรรม มีคุณธรรม มา ปกครองสังคมและประเทศชาติ เพ่ือให้เกิดความสงบสุข เพ่ือพัฒนาศักยภาพของสังคมประเทศชาติ ไปพร้อมกัน

26 2.2 หลกั การ ทฤษฎี และแนวคิดภาวะผูน้ า 2.2.1 ความหมายของผ้นู าและภาวะผนู้ า (Leadership) ความเปน็ ผ้นู าเปน็ หนา้ ทีห่ นงึ่ ในหลาย ๆ หน้าท่ีของผู้บรหิ าร ซึ่งความเป็นผู้นากับ ผู้บริหาร จึงแตกตา่ งกนั กลา่ วคือ ผู้บริหารเป็นตาแหน่งที่กาหนดขึ้นในองค์การ มีอานาจโดยตาแหน่งและได้รับ ความคาดหวังในหน้าที่เฉพาะเจาะจง จะมุ่งเน้นท่ีการควบคุม การตัดสินใจ และผู้บริหารจะต้องมี ลักษณะของผู้นา (Leadership) ส่วนผู้นาจะไม่ได้รับมอบอานาจทางสายงานแต่มีอานาจโดยวิธีอ่ืนมี บทบาททกี่ ว้างกว่าบทบาทผูบ้ ริหารผนู้ าจะเนน้ ทกี่ ระบวนการกลมุ่ การรวบรวมข้อมูล ข่าวสาร การให้ ขอ้ มลู ย้อนกลับ และการใช้อานาจกบั บุคคลอนื่ ดังนน้ั ภาวะผนู้ าคอื ศาสตร์และศิลป์ในการบริหารงาน ของผู้นาและผบู้ รหิ าร จึงเปน็ ปัจจัยสาคัญต่อความสาเร็จขององค์การงานจะดาเนินไปด้วยดีและบรรลุ วัตถุประสงค์ย่อมขึ้นอยู่กับทักษะการบริหารงานซ่ึงบุคคลได้ให้ความหมายของผู้นาและภาวะผู้นา ดงั นี้ มาลี จุฑา (2542, หน้า 10) กล่าวว่าผู้นา หมายถึง บุคคลที่ดารงตาแหน่งเป็นหัวหน้าใน หน่วยงานโดยได้รับการแต่งตั้ง เลือกตั้ง หรือได้รับการยกย่องให้เป็นหัวหน้าและเป็นบุคลากรที่มี อิทธิพลเหนือจิตใจผอู้ ื่น ในการท่ชี ักจูงใจใหบ้ ุคคลปฏบิ ัติตามคาสัง่ วัชรินทร์ พงษ์พันธุ์อัศดร (2545, หน้า 20) กล่าวว่า ผู้นา หมายถึง บุคคลที่แสดง พฤตกิ รรมในการจูงใจทาในสงิ่ ท่ีเขาตอ้ งการ โดยมเี ปา้ หมายขององค์การเป็นจุดหมายปลายทาง เสนาะ ติเยาว์ (2535, หน้า 5-6) กล่าวว่า ภาวะผู้นา เกิดข้ึนได้จากการพัฒนาบุคคลไม่ใช่ เกิดจากคุณสมบัติส่วนตัว คือ เกิดจากพฤติกรรมของผู้นาเอง พฤติกรรมท่ีก่อให้เกิดความเป็นผู้นาคือ ความสัมพันธร์ ะหว่างผนู้ ากบั ผู้อื่น หรือในแง่ของการบริหาร คือ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับ ผู้ใตบ้ ัญชา เฮอร์เซย์ และบลานชาร์ด (Hersey and Blanchard, 1982, pp. 69 อ้างใน ประเสริฐ สมพงษ์ธรรม, 2537, หน้า 45) ให้ความหมายว่า ภาวะผู้นา คือกระบวนการที่มีอิทธิพลต่อกิจกรรม ของบคุ คลที่พยายามใหบ้ รรลุเปา้ หมายในสถานการณห์ นึ่ง สุรีย์ภรณ์ ทรรศนียากร (2541, หน้า 30) กล่าวว่า ภาวะผู้นา หมายถึง พฤติกรรมท่ีผู้นา แสดงออกในการใช้อานาจหน้าท่ีหรืออิทธิพลที่มีอยู่ต่อผู้ร่วมงานในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยการจูงใจ ผู้ร่วมงานให้เกิดแรงจูงใจภายในเพ่ือให้ผู้ร่วมงานพึงพอใจให้ความร่วมมือซึ่งกันและกันด้วยความเต็ม ใจและใช้ความพยายามของตนในการปฏิบัติงานโดยทุ่มเทกาลังความคิด กาลังกายความรู้ความ สามารถในการช่วยกันแก้ปัญหาเพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุตามวัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้อย่างมี ประสิทธิภาพ

27 การดา จันทร์แย้ม (2546, หน้า 128) กล่าวว่า ภาวะผู้นาเป็นกระบวนการที่ผู้นาใช้ อิทธิพลหรืออานาจท่ีมีอยู่ในการชักนา หรือโน้มน้าวให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างมี ประสิทธิภาพ เพือ่ ให้บรรลเุ ป้าหมายขององค์กร ผวู้ ิจยั ไดส้ รุปว่าภาวะผนู้ า เป็นความสามารถด้านอิทธิพลต่อบุคคลในกลุ่มเพื่อนาไปสู่ความ สาเร็จตามเป้าหมาย ใช้กระบวนการสั่งการตามสถานการณ์ การมีปฏิสัมพันธ์ โดยถ่ายทอดแนวคิด ไปสู่ การปฏิบตั ิ ดงั น้นั อาจกลา่ ว ได้ว่าภาวะผู้นาเป็นการมีปฏิสัมพันธ์ที่ไม่หยุดนิ่งของกระบวนการ 3 อย่าง ท่ีมีความเกี่ยวเนื่องและมีอิทธิพลต่อกัน ได้แก่ ผู้นา (Leaders) ผู้ตาม (Follows) และสถาน การณ์ (Situations) นาไปสู่ความพึงพอใจในการปฏิบัติและบรรลุผลตามเป้าหมายโดยสรุปตามแผน ภมู ิท่ี 2.1 แสดงปฏิสมั พันธร์ ะหวา่ งผ้นู า ผูต้ าม และกระบวนการ ดงั น้ี ภาวะผู้นา (LEADERSHIP) ผ้นู า (Leaders) ผู้ตาม เป้าหมาย (GOAL) สถานการณ์ (Follows) (Situations) แผนภูมิที่ 2.1 แผนภูมแิ สดงปฏิสมั พนั ธร์ ะหวา่ งผู้นา ผตู้ าม และกระบวนการ ทมี่ า : อารี เพชรผุด (2537, หนา้ 127) 2.2.2 แนวคิดและทฤษฏีภาวะผนู้ า (Leadership theory) สมัยโบราณมนุษย์มีความเช่ือว่า การเป็นเรื่องของความสามารถที่เกิดขึ้นเฉพาะตระกูล หรือ เฉพาะบุคคลและสืบเช้ือสายกันได้ บุคลิกภาพและลักษะระของการเป็นผู้นาเป็นสิ่งที่มีมาแต่ กาเนิดและเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ผู้ที่เกิดในตระกูลของผู้นาย่อม จะตอ้ งมลี ักษะผนู้ าดว้ ย แนวคิดเกี่ยวกับผู้นาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย มีการศึกษาและรวบรวมทฤษฎีเกี่ยว กบั ภาวะผู้นา โดยแบง่ ตามระยะเวลาการพัฒนา (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2533, หน้า 176- 185) ดังนี้

28 2.1.2.1 ทฤษฏีคณุ ลักษณะผู้นา (Trait theories) 2.1.2.2 ทฤษฏพี ฤติกรรมผนู้ า (Behavioral theories) 2.1.2.3 ทฤษฏีภาวะตามสถานการณ์ (Situational or contingency leadership theories) 2.1.2.4 ทฤษฏีภาวะนาการเปล่ียนแปลง (Transformational leadership theories) 2.2.2.1 ทฤษฏีคุณลกั ษณะผูน้ า (Trait theories) ระยะแรกของการศึกษาภาวะผู้นาเร่ิมในปี ค.ศ. 1930-1940 แนวคิดมาจากทฤษฏี มหาบุรษุ (Great man theory of leaderships) ของกรีกและโรมันโบราณ มคี วามเช่ือว่า ภาวะผู้นา เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติหรือโดยกาเนิด ไม่สามารถเปล่ียนแปลงได้ แต่สามารถพัฒนาข้ึนได้ลักษณะ ผู้นาท่ดี แี ละมีประสิทธิภาพสงู จะประกอบด้วย ความเฉลยี วฉลาด มีบคุ ลกิ ภาพซ่ึงแสดงถึงการเป็นผู้นา และต้องเป็นผู้ท่ีมีความสามารถสูงด้วย ผู้นาในยุคน้ีได้แก่ พระเจ้านโปเลียน ฮิตเลอร์ พ่อขุน รามคาแหงมหาราช สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช พระเจ้าตากสินมหาราช เป็นต้น ตัวอย่าง การศึกษา เกี่ยวกับ Theit Theories ของ Gardner ไดแ้ ก่ 1) The Tasks Of Leadership : กล่าวถึง งานที่ผู้นาจาเป็นต้องมี 9 อย่าง ได้แก่ มีการ กาหนดเปา้ หมายของกลมุ่ มีบรรทดั ฐาน และค่านยิ มของกลุ่ม รู้จักสร้างและใช้แรงจูงใจ มีการบริหาร จดั การ มคี วามสามารถในการปฏบิ ัติการ สามารถอธิบายได้เป็นตัวแทนของกลุ่มได้แสดงถึงสัญลักษณ์ ของกลุ่ม และมีความคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์ 2) Leader-Constituent Interaction เชื่อว่าผู้นาต้องมีพลังวิเศษเหนือบุคคลอื่นหรือมี อทิ ธิพลเหนอื บคุ คลอน่ื ๆ เพ่ือท่สี นองตอบความต้องการขั้นพื้นฐาน ความคาดหวังของบุคคลและผู้นา ต้องมคี วามเป็นตัวของตัวเอง สามารถพัฒนาตนเองและพัฒนาให้ผู้ตามมีความแข็งแกร่งและสามารถ ยนื อยดู่ ้วยตนเองอย่างอิสระทฤษฏนี ี้พบว่า ไม่มีคุณลักษณะทแี่ น่นอนหรือชี้ชัดของผู้นาเพราะผู้นาอาจ ไมแ่ สดงลักษณะเหลา่ นอ้ี อกมา ผู้วิจัยสรุปว่า ผู้นาทฤษฏีน้ีมีคุณลักษณะผู้นาที่มีความรู้ความสามารถในการบริหารจัดการ และมีอิทธิพลเหนือบุคคลอ่ืนมีความเป็นตัวของตัวเอง แสดงออกถึงลักษณะของผู้นาได้ดี มีความคิด ริเร่ิมสรา้ งสรรค์ 2.2.2.2 ทฤษฏีพฤตกิ รรมผ้นู า (Behavioral theories) เป็นการพัฒนาในช่วงปี ค.ศ.1940-1960 แนวคิดหลักของทฤษฏี คือ ให้มองในส่ิงที่ผู้นา ปฏิบัติและช้ีให้เห็นว่าท้ังผู้นาและผู้ตามต่างมีอิทธิพลซึ้งกันและกัน นักทฤษฏี ได้แก่ Kurt Lewin Rensis Likert and Mouton และ Douglas McGregor มีรายระเอยี ดดงั น้ี 1) แนวคดิ จากการศกึ ษาของเคอรท์ เลวทิ แหง่ มหาวิทยาลัยไอโอวาไดแ้ บ่งลักษณะผู้เป็น 3 แบบ คือ 1.1) ผู้นาแบบอัตถนิยมหรืออัตตาธิปไตย (Democratic leaders) จะตัดสินใจด้วย ตนเอง ไมม่ เี ปา้ หมายหรือวัตถุประสงค์แน่นอนขึ้นอยู่กับผู้นาเอง คิดถึงผลงานไม่คิดถึงคน บางคร้ังจะ