กบั โครงการก้าวคนละก้าวตั้งแต่เบตง จงั หวดั ยะลา จนถงึ อำ� เภอแมส่ าย จงั หวัด เชยี งราย ก�ำกบั โดย ณฐพล บญุ ประกอบ ผลิตโดย จดี เี อช ห้าห้าเก้า และจัด จ�ำหน่ายโดยโครงการ ก้าวคนละกา้ ว โดยมบี ริษทั คิง เพาเวอร์ เปน็ ผ้สู นบั สนนุ หลกั ภาพยนตรเ์ รอ่ื งดงั กลา่ วมงี านฉายรอบสอ่ื มวลชนเมอ่ื วนั ท่ี 4 กนั ยายน พ.ศ. 2561 ณ โรงภาพยนตร์ เอสเอฟ เวิลด์ ซีเนม่า ศนู ยก์ ารค้าเซน็ ทรลั เวลิ ด์ และ กำ� หนดฉายเป็นการท่ัวไปตงั้ แตว่ ันที่ 6 เดอื นและปเี ดยี วกันเปน็ ตน้ ไป” ในการพจิ ารณาโดยอาศยั ศาสตรภ์ าพยนตรเ์ ปน็ ศนู ยก์ ลาง (film-theory- centered) อาจแบง่ ไดต้ ามกรอบทโี่ ดดเดน่ 2 ประการเบอ้ื งตน้ นนั่ คอื ความเปน็ ตระกลู (genre) และลกั ษณะประพันธกร (auteur) ด้านการจัดหมวดหมดู่ ้านตระกลู (genre) 2,215 เชื่อ บ้า กลา้ ก้าว มสี ถานะเปน็ ภาพยนตรก์ ฬี า (sport films) และยงั ถกู พจิ ารณาใหเ้ ปน็ “หนงั นกั วง่ิ ” ในฐานะ “ตระกลู ยอ่ ย” (sub-genre) อกี ดว้ ย ทงั้ นเ้ี มอ่ื จดั ตามประเภท (category) ภาพยนตร์เรื่องนี้ถือเป็น “สารคดี” (documentary) ที่ตามเก็บบันทึกภาพ เหตกุ ารณว์ งิ่ ของ อาทวิ ราห์ คงมาลยั ในโครงการ กา้ วคนละกา้ วเพอื่ 11 โรงพยาบาล ท่ัวประเทศ ด้านลักษณะของประพนั ธกร หรือความสัมพนั ธ์ของผู้ก�ำกับและผลงาน ที่สรา้ ง จะพบว่า ณฐพล บญุ ประกอบ ผกู้ ำ� กับของเรอื่ ง ไม่ไดส้ ร้างสรรคผ์ ลงาน ในแนวทางภาพยนตร์กีฬาโดยเฉพาะ โดยก่อนหน้าน้ีมีผลงานด้านการก�ำกับ มวิ สกิ วดิ โี อ ท�ำงานเบือ้ งหลังดา้ นการเขียนบทและถ่ายภาพ ขณะที่ภาพยนตรซ์ งึ่ เป็นผกู้ �ำกับนัน้ 2,215 เชื่อ บ้า กลา้ ก้าว ถอื เป็นภาพยนตร์ขนาดยาวเรือ่ งแรก และถดั จากเรื่องน้ีคือ Come and See ซึ่งเกย่ี วขอ้ งกับเรอ่ื งศาสนาและความเชอื่ ทำ� ใหม้ ติ กิ ารพจิ ารณาประพนั ธกรกบั เรอ่ื งกฬี าและการวงิ่ นน้ั ไมม่ คี วามเชอ่ื มโยง กันมากนัก ในการพจิ ารณาโดยอาศยั ประเดน็ ทางสงั คมเปน็ ศนู ยก์ ลาง (social-issue- centered) สามารถหยิบยกแนวคิดต่างๆ ท่ีพบเห็นจากภาพยนตร์มาท�ำการ วเิ คราะหไ์ ด้ เช่น ลกั ษณะของแฟนคลบั (fandom) การสร้างตัวตนของนกั วิง่ (identity) ความเปน็ ดาราของนกั วงิ่ (stardom) ทศั นะท่ีมตี อ่ รา่ งกายของตัวเอก ทเ่ี ปน็ นักวิง่ (body) เปน็ ต้น กันยายน – ธันวาคม 2 5 6 3 251
หากนำ� เอาหลกั วธิ วี เิ คราะหห์ นงั นกั วง่ิ (โปรดดเู นอื้ หาขา้ งตน้ ในสว่ นที่ 4 หนังนักวิ่ง: ความท้าทายใหม่ในฐานะศาสตร์ลูกผสม) มาปรับใช้ โดยยึดการ เลา่ เรือ่ ง (narratives) และวิเคราะหต์ ามประเด็น (issues) สารคดีที่กำ� ลังศึกษา อย่าง 2,215 เชอ่ื บา้ กลา้ กา้ ว จะไดแ้ นวทางหาคำ� ตอบดงั ต่อไปนี้ (1) พกิ ัดและนยิ าม ภาพยนตร์เร่ือง 2,215 เชอ่ื บ้า กลา้ กา้ ว มเี น้ือหาทีก่ ลา่ วถึง “การวงิ่ ระยะไกล” ในฐานะทเ่ี ปน็ ทงั้ กฬี า การออกกำ� ลงั กาย รวมไปถงึ การใชเ้ ปน็ เครอื่ งมอื รณรงค์ทางสงั คม โดยใจความหลักของเร่อื ง ม่งุ เน้นไปยังเร่อื งการวงิ่ ของบคุ คล ส�ำคัญในเร่ือง และสร้างความน่าติดตามว่าผู้ที่เล่นกีฬาหรือออกก�ำลังกายน้ัน จะสามารถประสบความส�ำเร็จในการวิ่งไปถึงเส้นชัยตามท่ีตั้งเป้าหมายหรือไม่ ซงึ่ หากนยิ ามวา่ เปน็ เรอ่ื งราวเกยี่ วกบั นกั กฬี าหรอื การแขง่ ขนั กฬี าแลว้ ภาพยนตร์ เรอ่ื งนนี้ ับเป็นภาพยนตรก์ ีฬาและหนงั นักวิ่งโดยตรง นอกจากนี้ เพ่ือให้เกิดการต้ังค�ำถามและการหาค�ำตอบที่สลับซับซ้อน ขึ้น สาเหตหุ นง่ึ ทผ่ี ูเ้ ขยี นเลอื กภาพยนตร์เรอ่ื งน้ีมาวเิ คราะห์ เนื่องจากความเป็น สารคดี (non-fiction) ทีย่ งั ไม่ไดถ้ กู กลา่ วถงึ ในบทความนนี้ กั ความโดดเด่นของ 2,215 เชอ่ื บา้ กลา้ กา้ ว ได้แก่ แมว้ ่าจะเป็นเรือ่ งจริงทเ่ี กดิ ขึ้น แตภ่ าพยนตร์ เรอ่ื งน้ีถกู บอกเลา่ ในโครงสรา้ งภาพยนตร์เลา่ เร่อื ง (fiction) ทก่ี �ำหนดใหต้ ัวเอก ตัง้ เป้าหมาย ฝ่าฟนั อุปสรรค และไปให้ถึงจุดหมาย โดยฉากการแข่งขนั กีฬาใน เรอ่ื งคอื การแขง่ ขนั กบั ตวั เองเพอ่ื ไปใหถ้ งึ จดุ หมายนน่ั เอง (ตามลกั ษณะแกน่ เรอื่ ง “มนษุ ยป์ ะทะกบั ตนเอง”) มพิ กั ตอ้ งเอย่ ถงึ สตู รในการฝา่ ฟนั ของตวั เอก (อาทวิ ราห์ คงมาลัย) ที่มีลักษณะเข้ากันได้กับแนวคิดโครงสร้างการเล่าเรื่อง A Hero’s Journey ของ Joseph Campbell3 3 แนวคดิ โครงสรา้ งการเลา่ เรอ่ื ง A Hero’s Journey ของนกั ทฤษฎวี รรณกรรมชาวอเมรกิ นั Joseph Campbell ซ่ึงเสนอไวใ้ นปี 1949 โดยกล่าวถงึ องคป์ ระกอบในเร่อื งเล่า ท่ีสะทอ้ นใหเ้ ห็นสตู รการเดนิ ทางของตัวละคร เอก จากจดุ เริ่มตน้ การผจญภัย (adventure) การเผชิญหน้ากบั การตัดสนิ ใจ (decisive crisis) การได้รับ ชัยชนะ (victory) และการเดนิ ทางกลับ (return) พร้อมความเปล่ยี นแปลงหรือการเรยี นร้คู รงั้ ใหมใ่ นชีวติ 252 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์
(2) บริบท ถัดจากท่วี เิ คราะหไ์ ปในข้อ (1) จะพบวา่ ตวั ละครหลกั ของเรือ่ ง เขา้ ไป เกย่ี วพนั กบั การวงิ่ ในหลายลกั ษณะ กลา่ วคอื มคี วามจรงิ จงั และการวดั ผลในแบบ นักกีฬา มีการส่งเสริมให้คนท่ีเกี่ยวข้องในเรื่องเข้ามีส่วนร่วมในฐานะการออก ก�ำลงั กาย และการว่งิ ยังถกู ใช้เปน็ ส่วนสำ� คัญของการรณรงค์ทางสังคม เพือ่ การ บรจิ าคเงนิ แกโ่ รงพยาบาล ดงั นนั้ หนงั นกั วงิ่ เรอื่ งนจ้ี งึ มบี รบิ ททหี่ ลากหลายหอ่ หมุ้ อยู่ (3) กรอบการวเิ คราะหจ์ ากศาสตรภ์ าพยนตร์ การสรา้ งกรอบการวเิ คราะห์ สามารถเรมิ่ ไดจ้ ากศาสตรก์ ารเลา่ เรอ่ื งและ ความเป็นภาพยนตร์ ก�ำหนดขอบเขตทง้ั จ�ำนวนและลกั ษณะของภาพยนตร์ เช่น วเิ คราะหภ์ าพยนตร์หนึง่ เรื่อง ใช้แนวคดิ การเล่าเรอื่ ง ทป่ี ระกอบไปด้วย ● โครงเร่ือง ได้แก่ การวิ่งจากใต้สุดของประเทศไปยังเหนือสุดของ ประเทศ ● ตวั ละคร ไดแ้ ก่ ตัวละครหลกั (protagonist) คอื อาทวิ ราห์ คงมาลยั มคี ณุ ลกั ษณะอยา่ งไรบา้ ง มเี ปา้ หมาย อปุ สรรค และเดมิ พนั อยา่ งไร ● ฉากและสถานที่ ไดแ้ ก่ สถานทซ่ี ง่ึ เปลย่ี นไปตง้ั แตต่ น้ จนจบเรอ่ื ง ตงั้ แต่ ภาคใต้ไปจนถึงภาคเหนือของประเทศไทย ● แกน่ เรอ่ื ง ไดแ้ ก่ สง่ิ ทส่ี อนใหเ้ รยี นรจู้ ากภาพยนตร์ เชน่ ความพยายาม เอาชนะความเจ็บปวดส่วนบคุ คล เพ่อื ผลลพั ธท์ ย่ี งิ่ ใหญ่ เป็นตน้ ● มมุ มองการเลา่ เรอื่ ง ไดแ้ ก่ เลา่ ผา่ นบคุ คลทสี่ ามทจี่ บั จอ้ งไปยงั ตวั ละคร นำ� ของเรอ่ื งเปน็ หลกั มองจากหลายระยะ ทงั้ ระยะไกล และระยะใกล้ ที่มคี วามเปน็ สว่ นตัวมากๆ (4) กรอบการวิเคราะหจ์ ากศาสตร์อ่ืนๆ การวเิ คราะหย์ งั รวมถงึ การใชป้ ระเดน็ และแนวคดิ อนื่ ๆ มาสกดั เอาหวั ใจ ของแนวคดิ นนั้ ๆ เพอ่ื ปรบั ประยกุ ตว์ เิ คราะห์ เชน่ หากตอ้ งการวเิ คราะหโ์ ดยใชห้ ลกั ของการสร้างตวั ตน (identity) อาจจะจำ� แนกออกมากอ่ นวา่ ตวั ตนนนั้ มกี ่แี บบ การสรา้ งตวั ตนมีวิธกี ารอยา่ งไร ความส�ำเรจ็ และความล้มเหลวคืออะไร เพื่อนำ� กนั ยายน – ธนั วาคม 2 5 6 3 253
มาทาบกับสิ่งท่พี บในภาพยนตร์ หรือหากสนใจลกั ษณะของความเป็นวีรบรุ ุษกบั โครงสรา้ งการเลา่ เรอื่ ง อาจนำ� แนวคดิ A Hero’s Journey ของ Joseph Campbell มาปรบั ใชว้ ิเคราะห์ได้ (5) สงั เคราะหค์ �ำตอบจากการวิเคราะห์ เม่ือผ่านการวิเคราะห์ ขั้นถัดไปคือการสรุปศาสตร์และทฤษฎีทาง ภาพยนตรแ์ ละการเล่าเรอ่ื งจาก 2,215 เช่อื บ้า กล้า กา้ ว มาตอบคำ� ถามในเชิง ประเดน็ ท่ีสัมพนั ธ์กบั แนวคิดอนื่ ๆ เช่น หากสนใจวาทกรรม (discourse) เกีย่ ว กับการวิ่งในภาพยนตร์เรือ่ งนี้ อาจจะตอบไดว้ ่า วาทกรรมการวิง่ ในเร่ืองมอี ย่าง หลากหลาย ทงั้ วาทกรรมความเชอื่ ทางศาสนา วาทกรรมเคารพผสู้ งู วยั วาทกรรม ทางวทิ ยาศาสตร์ วาทกรรมการรกั และเอน็ ดผู เู้ ยาวว์ ยั วาทกรรมความส�ำเรจ็ สว่ น บคุ คลและทมี วาทกรรมวรี บรุ ษุ ทม่ี บี ารมี โดยภาคปฏบิ ตั กิ ารวาทกรรม (discursive practices) คอื การใชเ้ ครอ่ื งมอื ทางภาพยนตรม์ าถา่ ยทอด ทงั้ ในแงข่ องการใชง้ าน ดา้ นภาพ เสียงดนตรี ถกั ทอร้อยเรยี ง ซงึ่ ทง้ั หมดอยภู่ ายใต้ภาคปฏิบัตกิ ารสงั คม (social practices) ท่เี กี่ยวข้องกบั บรบิ ทของสงั คมไทย ในยุคทนี่ กั แสดงกา้ วข้าม มาเป็นผนู้ ำ� ทางความคิดของสังคม และใชม้ ติ ขิ องการกุศลและการใชร้ ่างกายใน เกมกีฬาเพือ่ รณรงค์ทางสังคม (6) แก่นของภาพยนตร์นกั วิ่ง เนื่องจากผู้เขียนทดลองเลือกการวิเคราะห์แบบจากเล็กไปหาใหญ่ (ซึ่ง ตรงขา้ มกบั การวเิ คราะหต์ ามสำ� นกั โครงสรา้ งนยิ มทวี่ เิ คราะหภ์ าพใหญแ่ ลว้ ยอ่ ยลง มาสว่ นเลก็ ) การตอบคำ� ถามขอ้ นี้ จะตอ้ งไดค้ ำ� ตอบจากขอ้ (1) ถงึ (5) มาเสยี กอ่ น เพื่อน�ำมาสกัดองค์ความรู้ที่ได้จากภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวว่า สะท้อนอะไรใน ฐานะภาพยนตร์กีฬาหรือหนังนักวิ่งบ้าง เช่น การเปิดมิติอีกหน้าหน่ึงของหนัง นกั วิง่ ทีน่ �ำไปผูกกบั มติ ิทางสงั คมมากมาย ทัง้ แรงผลักดันจากปัจเจกบคุ คล การ หลอมรวมของความเป็นทีมและสังคม การย้�ำเตือนว่าภาพยนตร์กีฬาหรือหนัง นักวิ่งมีลักษณะท่ีคาบเกี่ยวระหว่างความเป็นภาพยนตร์ที่ว่าด้วยกีฬา การออก ก�ำลังกาย และมิติทางสังคมวัฒนธรรมอื่นๆ โดยมักจะเกิดขึ้นเป็นเฉพาะเร่ือง ไม่ใช่การถูกสร้างออกมาอย่างต่อเนื่องในฐานะผลงานของผู้ก�ำกับคนใดคนหน่ึง ตามทฤษฎีประพนั ธกร 254 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์
6. สรปุ : เสน้ ชยั คือจดุ เร่ิมตน้ ดว้ ยสถานะทแี่ ขง็ แกรง่ ในอตุ สาหกรรมภาพยนตรต์ ะวนั ตก แตย่ งั เปราะบาง ในศาสตร์วิชาการ ท�ำให้ภาพยนตร์กีฬาและหนังนักว่ิง เป็นหัวข้อท่ีน่าสนใจ คน้ ควา้ ทงั้ ในเชงิ ของแนวคดิ หลกั การและการน�ำไปประยกุ ตใ์ หเ้ กดิ โภคผลทางการ วิจัย โดยในเบื้องต้น บทความนี้ได้ช้ีให้เห็นว่าเมื่อน�ำแนวคิดและทัศนะของ นกั วชิ าการดา้ นภาพยนตรม์ าประมวล ภาพยนตรก์ ฬี าจดั วา่ พอมสี ถานะเปน็ ตระกลู ภาพยนตร์ได้ หรือในบางกรณีอาจใช้ถ้อยค�ำกล่าวถึงได้ในฐานะ “ภาพยนตร์ท่ี เกย่ี วกบั กฬี า” “ภาพยนตรป์ ระเภทกฬี า” หรอื จะใช้ “ภาพยนตรก์ ฬี า” กไ็ ดเ้ ชน่ กนั เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั ตะวนั ตก จะพบวา่ สถานะของภาพยนตรก์ ฬี าไทยยงั แตกตา่ งในดา้ นโทนอารมณ์ ลกั ษณะตวั ละคร ชนดิ ของกฬี า ไปจนถงึ การใหค้ วาม สำ� คญั จากสถาบนั ทางภาพยนตรใ์ นประเทศ ซง่ึ เปน็ ขอ้ ย�้ำเตอื นวา่ การศกึ ษาหรอื วจิ ยั เกย่ี วกบั ภาพยนตรก์ ฬี าในไทย ยงั มเี สน้ ทางใหส้ ำ� รวจและรวบรวมอกี มากมาย อนั ถือเปน็ เรอ่ื งนา่ ตน่ื เตน้ สำ� หรบั ผูอ้ ยากเลือกวง่ิ มาราธอนทางวิชาการในสายนี้ ทงั้ น้ี การศกึ ษาภาพยนตรน์ กั วงิ่ สามารถทำ� ไดท้ ง้ั การมองโดยอาศยั ศาสตร์ ภาพยนตรเ์ ปน็ ศนู ยก์ ลาง และการมองโดยอาศยั ประเดน็ ทางสงั คมเปน็ ศนู ยก์ ลาง ซึ่งแตกแขนงย่อยออกไปตามแต่ท่ีผู้ศึกษาจะสนใจ และยังน�ำมาเชื่อมร้อยกัน มากกว่าหน่ึงแนวคิด เพื่อถักทอให้เกิดระเบียบวิธีการศึกษาและการบูรณาการ ศาสตรใ์ นแบบสหสาขาวทิ ยาไดด้ ว้ ย ซง่ึ นบั วา่ เปน็ เรอ่ื งทา้ ทายสำ� หรบั ผมู้ องหาการ ผนวกเอาศาสตร์หลายแขนงมาอธบิ ายวตั ถุดิบท่ีเป็นภาพยนตร์ สุดท้ายน้ี หากจะมีอะไรสะท้อนให้เห็นส่ิงส�ำคัญท่ีสุด ในการศึกษา ภาพยนตรก์ ฬี าและหนงั นกั วงิ่ สำ� หรบั ภายภาคหนา้ อาจจะเปน็ ดงั เชน่ ทน่ี กั วงิ่ ระยะ ไกลผทู้ �ำลายก�ำแพงแห่งการวง่ิ มาราธอนภายใน 2 ชัว่ โมงคนแรกของโลกอยา่ ง เอลิอูด คิปโชเก (Eliud Kipchoge) กลา่ วเอาไวถ้ งึ วนิ ัยและความสม�่ำเสมอใน การฝึกฝน แตส่ ิง่ ท่ีสำ� คญั ก่อนหนา้ นั้น เหน็ จะไม่พ้นการเรม่ิ ตน้ ลงมือศึกษา ดงั ที่ นกั ปราชญอ์ ยา่ งเลา่ จอื๊ เคยกลา่ วเอาไวว้ า่ “การเดนิ ทางไกลนบั พนั ไมล์ ลว้ นเรมิ่ ตน้ ทกี่ า้ วแรก” กันยายน – ธันวาคม 2 5 6 3 255
บรรณานุกรม ภาษาไทย กฤษดา เกดิ ดี (2557), ภาพยนตร์: ทฤษฎี วิจยั และวจิ ารณ,์ กรงุ เทพฯ: บคุ๊ บุร.ี วิโรจน์ สุทธิสมี า (2557), การสอ่ื สารกับวาทกรรมการวิง่ ในสงั คมไทย, วทิ ยานิพนธ์นเิ ทศศาสตร- ดษุ ฎีบัณฑติ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . ภาษาอังกฤษ Bondebjerg, I. (2015), “Film: Genres and Genre Theory”, International Encyclopedia of the Social & Behavioral Sciences. Cox, R. et al. (2000), Encyclopedia of British Sport, Oxford: ABC-Clio. Gledhill, C. (2003), “Rethinking Genre”, in Christine Gledhill and Linda Williams (eds.), Reinventing Film Studies, London: Arnold. Hyland, D. (1990), Philosophy of Sport, Paragon House. Jones, G. (2008), “In Praise of an invisible Genre? An Ambivalent look at the Fictional Sports Feature Films”, Sport in Society, 11(2-3): 117-129. Whannel, G. (2008), “Winning and Losing Respect: Narratives of Identity in Sport Films”, Sport in Films, London: Routhledge. สอ่ื ออนไลน์ วกิ พิ ีเดยี สารานุกรมเสรี (2563), “2,215 เชื่อ บา้ กลา้ กา้ ว”, สบื คน้ เมอ่ื 12 มีนาคม 2563 จาก https://th.wikipedia.org/wiki/2,215_2,215_เช่อื _บ้า_กลา้ _กา้ ว สถาบนั ดา้ นสถติ แิ หง่ ยเู นสโก (2563), “Feature Films”, สบื คน้ เมอื่ 27 เมษายน 2563 จาก http:// data.uis.unesco.org/?ReportId=5538 สถาบนั ภาพยนตรอ์ เมริกัน (2563), “AFI’s 10 TOP 10”, สืบค้นเมือ่ 2 มีนาคม 2563 จาก https://www.afi.com/afis-10-top-10/ สถาบันภาพยนตร์แหง่ สหราชอาณาจกั ร (2563), “10 great British sports films”, สบื คน้ เมอ่ื 2 มีนาคม 2563 จาก https://www.bfi.org.uk/news-opinion/news-bfi/lists/10-great- british-sports-films Biggest Global Sports (2020), “A statistics-based analysis of the biggest global sports - Top Sporting Nations”, retrieved 27 April 2020 from http://www.biggestglobalsports. com/top-sporting-nations/4587465102 Opie, W. (2007), Sport Films, retrieved 6 January 2020 from www.GreenCine.com 256 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์
บรรณนิทศั น์ อัญรินทร์ อมรอิสริยาชยั 1 ช่ือหนังสอื : いつも中途半端な自分から抜け出すコツ (ภาษาญปี่ นุ่ ) เลกิ นิสัยทำ� อะไรไม่เสร็จสกั อย่าง: อยากได้ผลลพั ธท์ ีด่ ี ต้องแกท้ ี่ “วิธีการ” (ภาษาไทย) ผูแ้ ต่ง: โทโยคาซึ สรึ ตุ ะ (Toyokazu Tsuruta) ผู้แปล: กมลวรรณ เพญ็ อรา่ ม จดั พมิ พโ์ ดย: อมรนิ ทร์ พร้นิ ต้งิ แอนด์ พับลิชชิ่ง ปีทพี่ มิ พ์: ตีพิมพ์ครัง้ แรก กมุ ภาพนั ธ์ 2563 จำ� นวนหนา้ : 176 หน้า “หลายครง้ั ทเ่ี รามกั จะตงั้ เปา้ หมายอยากทำ� นน่ั นนู่ นนู่ นมี่ ากมาย แตก่ ท็ ำ� ได้ ไมค่ อ่ ยดี จนสดุ ทา้ ยกท็ ำ� ไมส่ ำ� เรจ็ และเลกิ ทำ� สง่ิ นน้ั ไป...เรอื่ งนมี้ คี ำ� ตอบทส่ี ามารถ อธิบายได้ด้วยหลักจิตวิทยาทางด้านพฤติกรรม” ส่วนหน่ึงของค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ ทก่ี ล่าวถึงเน้ือหาในหนังสอื เล่มน้ี 1 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ประจ�ำกล่มุ วิชาสอ่ื สารองคก์ ร คณะวารสารศาสตร์และสอื่ สารมวลชน มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. กนั ยายน – ธันวาคม 2 5 6 3 257
ถึงเวลาย่ืนใบลาออกจากการเป็น “คนท่ีท�ำอะไรไม่ส�ำเร็จสักอยา่ ง” แล้วหรือยงั เลิกนิสัยท�ำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง เป็นหนังสือท่ีถูกตีพิมพ์คร้ังที่ 1 โดย อมรินทร์ พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชช่ิง ซึ่งเป็นหนังสือท่ีถูกจัดอยู่ในหมวด จติ วทิ ยาประยกุ ต์ และจติ วทิ ยาพฒั นาตวั เอง เขยี นโดย โทโยคาซึ สรึ ตุ ะ แปลโดย กมลวรรณ เพญ็ อร่าม สาเหตุท่ีผู้เขียนบรรณนิทัศน์ต้องการแนะน�ำหนังสือเล่มน้ี เนื่องจาก ปัจจุบันเราใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางข่าวสารข้อมูลท่ีมากมาย จนอาจจะเรียกได้ว่า มากเกินความจ�ำเป็น จนสง่ ผลกระทบหลายๆ ดา้ น โดยทเ่ี ราเองร้ตู ัวและไม่ร้ตู วั เช่น อาการสมาธิส้ัน ความสามารถในการตัดสินใจที่แย่ลง การเผลอเปรียบ เทียบตัวเองกบั คนอืน่ ตลอดเวลา ภาวะซมึ เศรา้ หรอื แมก้ ระทั่งความมุ่งมน่ั แบบ เกนิ ประมาณ ที่มาจากการลอกเลยี นแบบคนอ่นื จนลืมความเปน็ จริงไปในบางที โทโยคาซึ สรึ ตุ ะ ผเู้ ขยี นหนงั สอื เลม่ นไ้ี ดเ้ ลา่ เรอ่ื งราวของตวั เอง กอ่ นทจี่ ะ มาเรยี บเรยี งเนอื้ หาเปน็ หนงั สอื เลม่ นไี้ วว้ า่ เขาคอื ผใู้ หค้ �ำปรกึ ษาเกย่ี วกบั จติ วทิ ยา ดา้ นพฤตกิ รรม ซงึ่ เปน็ งานทเ่ี จา้ ตวั ไดใ้ หค้ �ำนยิ ามไวแ้ บบสน้ั ๆ วา่ “เปน็ งานทหี่ าวธิ ี ชว่ ยให้ผคู้ นสามารถทำ� ส่งิ ต่างๆ ได้อย่างมคี วามสขุ รวมทงั้ ไดผ้ ลลัพธท์ ่ดี ี เพราะ เมื่อแตล่ ะคนสามารถทำ� ส่งิ ตา่ งๆ ได้อย่างสุขใจแล้ว กจ็ ะนำ� ไปส่กู ารสรา้ งผลงาน ทีย่ อดเย่ียม และไมเ่ ปน็ คนทำ� อะไรแบบคร่งึ ๆ กลางๆ อีกต่อไป” ถึงแม้ว่าผู้เขียนบรรณนิทัศน์มีความชื่นชอบหนังสือในหมวดนี้เป็นการ ส่วนตวั แต่ประมาณรอ้ ยละ 70 ผู้เขยี นไม่เคยอา่ นหนังสือแนวนี้ไดจ้ บอย่างจรงิ ๆ จังๆ สกั เลม่ สว่ นใหญ่จะอ่านไปเรอ่ื ยๆ ตามประโยชน์การใช้งาน หยิบเล่มนนั้ มาเปิดอา่ นสลับกับเล่มน้ี ขึน้ อยู่กบั ว่า ในแตล่ ะช่วงเวลาต้องการทราบเรือ่ งอะไร จงึ ทยอยศึกษารว่ มกับนำ� ไปทดลองปฏิบตั ิ สำ� หรับหนงั สือเลม่ น้ี ผู้เขียนสะดุดตา ต้ังแต่ช่ือท่ีปรากฏอยู่ท่ีหน้าปก เลิกนิสัยท�ำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง ผู้ท่ีตั้งช่ือ หนังสือคงตั้งใจส่ือสารอย่างตรงไปตรงมาเก่ียวกับเน้ือหาที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ และเช่ือว่า ชอ่ื นนี้ ่าจะโดนใจใครหลายๆ คน ทอี่ ย่ทู า่ มกลางมหาสมุทรของข้อมูล 258 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์
และแนวทาง (how to) ในการท�ำสงิ่ ต่างๆ มากมายแบบไม่รูจ้ บ หลังจากทีไ่ ด้ เห็นการประชาสัมพันธ์ของหนังสือเล่มนี้ผ่านทางเพจรีวิวหนังสือแล้ว จึงมุ่งม่ัน ท่ีจะตามหาเพ่ือหาค�ำตอบว่า หนังสือเล่มน้ีจะน�ำทางให้ผู้อ่านเลิกนิสัยท�ำอะไร ไม่เสร็จสกั อย่างไดอ้ ยา่ งไร หลงั จากท่ไี ด้เร่ิมต้นอา่ นอย่างจริงจงั หนงั สือเล่มน้ี มวี ธิ ีการเรยี บเรยี งที่ ชว่ ยใหท้ ำ� ความเขา้ ใจไดง้ า่ ย เนอ้ื หาสนั้ กระชบั และสามารถน�ำไปทดลองปฏบิ ตั ไิ ด้ ในทนั ที เพอ่ื ใหผ้ อู้ า่ นบทความไดเ้ ขา้ ใจและเหน็ ภาพอยา่ งชดั เจนขน้ึ ในบรรณนทิ ศั น์ น้ี ผู้เขียนบทความจะแบ่งหัวข้อในการน�ำเสนอออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เน้ือเรื่องของหนังสอื เล่มนี้ การด�ำเนินเรื่อง และประโยชนท์ ผี่ ้อู า่ นจะได้รับ สว่ นที่ 1 เนอ้ื เรือ่ ง หนงั สอื เล่มนม้ี เี น้ือหาอย่ดู ว้ ยกนั ทงั้ หมด 176 หน้า ขนาดเลม่ กะทดั รัด น�้ำหนักเบา สะดวกต่อการพกพา เน้ือหาในเล่มถูกแบ่งออกเป็น 6 บทใหญ่ๆ ไดแ้ ก่ บทน�ำ: ท�ำไมคณุ ถึงทำ� อะไรไมเ่ สร็จสักอยา่ ง บทนเี้ ปน็ บททเ่ี กรนิ่ นำ� ชวนใหผ้ อู้ า่ นคดิ ทบทวนปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั ตวั เอง ว่า ถึงเวลาทจ่ี ะ “ยนื่ ใบลาออกจากการเป็นคนท่ีท�ำอะไรกไ็ มส่ �ำเร็จสกั อย่าง” ได้ แลว้ หรอื ยงั กอ่ นทจ่ี ะน�ำผอู้ า่ นเขา้ สเู่ นอ้ื หาสว่ นทเี่ หลอื ทง้ั หมดภายในเลม่ เหมอื น เปน็ กระบวนการทช่ี ว่ ยใหผ้ อู้ า่ นไดเ้ รม่ิ ตน้ ตงั้ คำ� ถามกบั ตวั เอง กอ่ นทจ่ี ะอา่ นเนอ้ื หา ในบทตอ่ ไป ซง่ึ จะเป็นเทคนิคทสี่ ามารถน�ำไปปรบั ใช้ไดท้ ันทีหลังจากอา่ นจบ บทที่ 1: คนท่ีท�ำอะไรก็ไมเ่ คยสำ� เร็จ และคนท่ที �ำอะไรกม็ กั จะส�ำเร็จ สึรุตะ เริ่มต้นเปรียบเทียบคุณสมบัติท่ีแตกต่างกันของคนที่ท�ำอะไร กไ็ มส่ �ำเรจ็ สกั อย่างกบั คนทที่ ำ� อะไรกม็ ักส�ำเรจ็ วา่ คนสองกลุม่ นีม้ ีรายละเอียดใน การทำ� งานและใชช้ วี ติ ทแ่ี ตกตา่ งกนั อยา่ งไร เชน่ ถา้ เอาแตย่ ดึ ตดิ กบั แรงบนั ดาลใจ เท่านี้ก็ตัดสินได้ว่าคุณล้มเหลว...เป็นจุดเริ่มต้นท่ีน�ำทางผู้อ่านให้เห็นถึงความ สำ� คญั ของการลงมอื ท�ำอย่างตอ่ เนอื่ ง นอกจากน้ี ยังใหแ้ นวทางเรื่องของการหา ตัวช่วย ร่วมกบั การสร้างสภาพแวดลอ้ มทจี่ ะช่วยพยุงใหเ้ ราสามารถจดจอ่ อย่กู ับ กันยายน – ธนั วาคม 2 5 6 3 259
สงิ่ ทที่ ำ� อยไู่ ดไ้ ปนานๆ และเลกิ พงุ่ ความสนใจไปยงั ขอ้ มลู ทบ่ี งั เอญิ เปดิ เจอ ใหเ้ ลอื ก รบั เฉพาะข้อมลู ท่มี ีประโยชน์ตรงกบั เป้าหมายของตนแทน บทท่ี 2: นิสัยของคุณจะเปล่ียนไปอย่างน่าตกใจ วิธีใช้ “ความคิด ความรู้สกึ รา่ งกาย” ให้เปน็ “ตัวช่วย” ในบทนจ้ี ะกลา่ วถงึ วิธใี ชค้ วามคิด ความรู้สึก ร่างกายให้เปน็ ตัวชว่ ย โดย เปดิ หัวข้อย่อยดว้ ยการตัง้ ขอ้ สงั เกตวา่ จริงๆ แล้ว ความรู้สึก ร่างกาย เป็นสิ่งท่ี เราควบคมุ ไมไ่ ด้ 100% “คนท่ที ำ� อะไรไม่สำ� เร็จมกั จะมแี นวโน้ม...เช่ือว่าตนเอง สามารถควบคมุ รา่ งกายหรอื ความรสู้ กึ ได้ และตั้งใจจะควบคุมมันดว้ ยความคิด” และใหค้ ำ� แนะนำ� ในการสรา้ งสมั พนั ธภาพทด่ี ตี อ่ ความคดิ ความรสู้ กึ และรา่ งกาย ของตนเองแทน บทท่ี 3: วธิ ี “เอาชนะตวั เอง” จนค้นพบพรสวรรค์ ในบทนไี้ ดอ้ ธบิ ายอกี มมุ มองทเี่ กย่ี วกบั การคน้ หาพรสวรรคท์ อ่ี าจแตกตา่ ง จากที่อื่น สึรุตะได้กล่าวถึงแนวคิดท่ีว่า หาพรสวรรค์ของตัวเองให้เจอก่อน แลว้ จงึ ลงมอื ทำ� เปน็ แนวคดิ ทอ่ี าจใชไ้ มไ่ ดเ้ สมอไป เพราะสำ� หรบั ตวั สรึ ตุ ะเองมชี ดุ ความเชอื่ ทวี่ า่ พรสวรรคห์ รอื แรงบนั ดาลใจของแตล่ ะคน ตอ้ งเรม่ิ จากการทำ� สง่ิ ใด สง่ิ หนึง่ กอ่ น แล้วค่อยรู้ตัวว่าสง่ิ ไหนคอื พรสวรรค์ของเรา พรอ้ มกบั ให้แนวทางใน การสังเกต ทดลอง เรยี นรู้ และรับฟังตัวเองใหม้ ปี ระสิทธภิ าพมากยง่ิ ขึน้ บทท่ี 4: เคล็ดลับการเร่มิ ต้นทำ� สิ่งต่างๆ และเคลด็ ลบั ในการทำ� ต่อไป ใหไ้ ดน้ านๆ ความรสู้ กึ สนกุ และรสู้ กึ สบาย (ทไี่ มใ่ ชส่ ะดวกสบาย) ทำ� ไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ ง เร่ือยๆ คอื กญุ แจสำ� คญั ทีจ่ ะนำ� พาความต้ังใจใหเ้ ดนิ ทางสูเ่ ปา้ หมายได้สำ� เร็จ โดย ได้แนะน�ำเทคนิคต่างๆ ให้ผู้อ่านได้ลองเริ่มต้นฝึกฝนตัวเองด้วยวิธีการง่ายๆ เชน่ เดยี วกบั 3 บททผี่ า่ นมา ทส่ี ามารถนำ� เทคนคิ ทถี่ กู แนะนำ� ไปปรบั ใชไ้ ดท้ นั ที เชน่ วธิ กี าร “รวมใจ” ท่สี ึรุตะใชอ้ ธิบายวา่ คือทางออกสำ� หรบั คนท่ตี กอยสู่ ภาวะขาด เรย่ี วแรง ขาดชวี ติ ชวี าทจี่ ะทำ� อะไร “การตระหนกั ถงึ ความรกั อนั เปน็ ความรสู้ กึ ดๆี แลว้ ใชว้ ธิ รี วมใจในสถานการณ์ตา่ งๆ” เพอ่ื สร้างความรสู้ ึกมีความสุข ใหส้ ามารถ ท�ำสิง่ ต่างๆ ไดอ้ ยา่ งราบรน่ื มากยง่ิ ขึ้น 260 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์
บทส่งทา้ ย: จากคนทร่ี ้วู ่าตวั เอง “ทำ� อะไรก็ไม่ส�ำเร็จสักอยา่ ง” สกู่ าร เปน็ คนที่เพียบพร้อมมากขนึ้ ในบทนเี้ ปน็ การสรปุ สง่ ทา้ ย ทข่ี มวดแนวทางการรบั มอื กบั ความรสู้ กึ ครงึ่ ๆ กลางๆ ขาดความเช่อื ม่ันในตัวเอง “...เมอื่ คุณตอ้ งการจะลาออกจากการเปน็ คน เควง้ คว้าง เมอ่ื น้นั ก็จำ� เปน็ ต้องเรมิ่ ลงมือทำ� อะไรบางอยา่ ง...บางทีชีวติ มนุษย์เรา อาจจะตอ้ งวนเวียนกับวัฏจักรน้ตี ลอด แต่น่เี ปน็ ส่งิ ทน่ี ำ� ชว่ งเวลาอันมีคา่ มาสชู่ วี ิต เราไม่ใชห่ รอื เพราะสิง่ ที่แตง่ แต้มสีสนั ให้ชีวิตของเราสมบรู ณข์ ้นึ กค็ ือการทเ่ี รา ไดเ้ รม่ิ ตน้ ทำ� อะไรใหมๆ่ รวมถงึ ไดใ้ ชต้ ัวชว่ ยต่างๆ นัน่ เอง” สว่ นท่ี 2 การด�ำเนนิ เร่อื ง / การเรยี บเรยี ง ผเู้ ขยี นเชอ่ื วา่ ปญั หาอยา่ งหนงึ่ สำ� หรบั ผทู้ ว่ี นเวยี นอยกู่ บั การพฒั นาตวั เอง แตย่ งั ไปไมถ่ งึ ไหนสกั ที เปน็ เพราะเรายงั ไมไ่ ดเ้ รม่ิ ตน้ เอาสง่ิ ทไ่ี ดจ้ ากบรรดาหนงั สอื พัฒนาตัวเองไปใช้จริง ในหนังสือเล่มนี้มีวิธีการเรียบเรียงที่น่าสนใจท่ีผู้เขียน ชนื่ ชอบ และเหน็ วา่ แตกตา่ งจากหนงั สอื แนวพฒั นาตวั เองหลายๆ เลม่ คอื ในการ เรยี บเรยี งเนอ้ื หาแตล่ ะหวั ขอ้ ยอ่ ย จะมกี ารไฮไลตป์ ระโยคทเ่ี ปน็ ใจความส�ำคญั ให้ โดดเด่นออกมา ผู้เขียนขอเรยี กวา่ “ประโยคทอง” และมกี ารสรปุ ใจความส�ำคญั ให้ผู้อ่านในตอนท้ายและตอนต้นของบทถัดไปของแต่ละบทย่อยด้วย ท�ำให้ การสอ่ื สารเนื้อความผา่ นตวั หนงั สือไปยังผูอ้ ่านมีประสทิ ธิภาพมากยิ่งขนึ้ ภาพท่ี 1 และ 2 ตัวอย่างประโยคทอง กนั ยายน – ธนั วาคม 2 5 6 3 261
ภาพท่ี 3 และ 4 ตวั อย่างภาพสว่ นสรุปตอนตน้ ของบทถัดไป ภาพท่ี 5 ตวั อย่างภาพสว่ นสรุปทา้ ยบท ด้วยวิธีการเรียบเรียงในลักษณะนี้ ช่วยให้การอ่านในแต่ละบท ผู้อ่าน สามารถจับใจความส�ำคัญได้ง่าย และจะถูกย้�ำประเด็นส�ำคัญของแต่ละบทก่อน เริ่มต้นข้ึนบทใหม่เสมอ นอกจากนี้ หลังจากที่ผู้อ่านได้อ่านหนังสือเล่มนี้จบไป แล้ว กส็ ามารถหยบิ หนังสอื เลม่ นข้ี ้ึนมาเปดิ อ่านในหนา้ ใดก็ได้ เม่ือใดกไ็ ด้ โดย อา่ นจากประโยคทอง ส่วนสรุปท้ายบท และกอ่ นเร่มิ ต้นบทใหม่ ซึง่ จะชว่ ยรอ้ื ฟนื้ บางส่วนของเนอ้ื หาทท่ี ่านได้เคยอา่ นไปแล้ว 262 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์
สำ� หรบั ตัวผเู้ ขยี นบทความ มคี วามเชอ่ื โดยส่วนตวั ว่า การลงปฏบิ ัตคิ ือ หวั ใจสำ� คัญสำ� หรับทุกๆ เรือ่ ง โดยเฉพาะอย่างย่ิงดา้ นจิตวิทยาการพัฒนาตัวเอง หากมมุ านะอยแู่ คก่ ารสง่ั สมแนวคดิ แนวทางจากนกั จติ วทิ ยาหรอื ผเู้ ชย่ี วชาญระดบั โลกตา่ งๆ แตไ่ มเ่ คยทดลองนำ� มาปรบั ใชจ้ รงิ กค็ งจะไมม่ อี ะไรเกดิ ขนึ้ หนงั สอื เลม่ น้ี สามารถท�ำหน้าท่ีเป็นผู้น�ำทางส�ำหรับผู้ที่ต้องการเร่ิมต้นเอาชนะใจตัวเองไปสู่ การลงมือปฏบิ ัติไดเ้ ป็นอย่างดี นอกจากน้ี การใช้ภาษาทงี่ า่ ยต่อการท�ำความเขา้ ใจ ผแู้ ปลหนงั สอื เลม่ นี้ กมลวรรณ เพ็ญอร่าม ได้ใช้ถ้อยค�ำและรูปประโยคที่ง่ายต่อการท�ำความเข้าใจ ทำ� ใหส้ ามารถอา่ นแลว้ เขา้ ใจเนอื้ หาไดเ้ ลยในทนั ที เพราะโดยสว่ นใหญแ่ ลว้ หนงั สอื แนวจติ วทิ ยาการพฒั นาตวั เองทถ่ี กู แปลมาหลายเลม่ เมอื่ น�ำมาแปลเรยี บเรยี งเปน็ ไทยแล้ว บางประเดน็ การตีความของผูแ้ ปลมผี ลทำ� ให้ใจความส�ำคญั ของตน้ ฉบับ จับต้องได้ยาก หรือตีความผิดเพี้ยนไปก็มี รวมท้ังตัวผู้อ่านเองหากส�ำนวนการ แปลไมช่ ัดเจน ก็มีผลต่อการตีความ การทำ� ความเข้าใจและแรงจูงใจในการอา่ น และทดลองลงมือทำ� สว่ นที่ 3 ประโยชน์ทผ่ี ู้อ่านจะไดร้ ับ สิ่งทผี่ ู้อ่านจะได้รบั จากการอา่ นหนงั สือเล่มน้คี ือ จิตวทิ ยา ทส่ี ามารถ น�ำไปปรบั ใช้กบั ชวี ติ ประจ�ำวนั ได้จริง มกี ารอธิบายขนั้ ตอนตา่ งๆ ส�ำหรับการนำ� ไปปรับใชไ้ ดอ้ ยา่ งเป็นรปู ธรรม และทีส่ �ำคัญทผี่ ้เู ขียนบทความประทบั ใจคือ การ ทำ� ความเข้าใจกบั เนอ้ื หาในหนงั สอื ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งใชเ้ วลามาก สามารถอ่านจบได้ ในระยะเวลาส้ันๆ และน�ำไปปฏิบัติได้จริง จึงเป็นหนังสืออีกเล่มท่ีผู้เขียน บรรณนทิ ศั นต์ อ้ งการแนะนำ� สำ� หรบั ผทู้ ส่ี นใจและตอ้ งการลาออกจากนสิ ยั ทำ� อะไร ไมเ่ สร็จสกั อย่างเสียที กนั ยายน – ธันวาคม 2 5 6 3 263
“เลือกอา่ นเฉพาะหนงั สอื ที่เกีย่ วกับการนำ� ความรู้ออกมาใชไ้ ดโ้ ดยตรง หนังสอื เหลา่ นี้เป็นหนังสอื ประเภทท่ีเม่ืออ่านจบจะไมไ่ ด้จบด้วยความรสู้ กึ แค่ วา่ ...หนังสือเล่มน้ีสนกุ จงั เลย แต่ยังสามารถนำ� เนอื้ หาไปปฏิบตั ิตามในชีวิตจริง ได้อยา่ งเปน็ รปู ธรรม” (โทโยคาซึ สึรุตะ, 2563) บรรณานุกรม โทโยคาซึ สึรุตะ (2563), เลิกนิสัยท�ำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง, แปลโดย กมลวรรณ เพ็ญอร่าม, กรงุ เทพฯ: อมรินทรพ์ รนิ้ ติง้ แอนด์ พบั ลชิ ชง่ิ . 264 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์
ใบสมคั รสมาชกิ วารสารศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ขา้ พเจา้ นาย นาง นางสาว ___________________________________________________________ (ช่ือ-นามสกุล) ประสงค์จะ £ สมัครสมาชิก “วารสารศาสตร์” ต้ังแตเ่ ล่มที่___________________ £ ต่ออายุสมาชกิ เลขท่ีสมาชกิ ___________________ £ เปลีย่ นทีอ่ ยใู่ นการจดั ส่ง โดยช�ำระเงนิ ค่าสมาชกิ £ จำ� นวน 320 บาท (วารสารวิชาการ “วารสารศาสตร์” 3 เลม่ รวมคา่ จดั สง่ ) เข้าบัญช ี คณะวารสารศาสตร์และสอ่ื สารมวลชน ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาย่อยทา่ พระจนั ทร์ เลขที่บัญชี 114-2-05215-5 สถานที่จดั ส่ง £ บ้าน ท่ีอยู่_______________________________________________________________ _____________________________________________________________________ โทรศัพท_์ ________________________โทรศพั ท์มือถือ________________________ £ ที่ท�ำงาน ท่ีอยู่______________________________________________________________ ______________________________________________________________________ โทรศัพท์_________________________โทรศพั ทม์ อื ถอื ________________________ โทรสาร__________________________E-mail_______________________________ +++ กรุณากรอกรายละเอยี ดพร้อมส่งหลกั ฐานการชำ� ระเงิน สง่ กลบั มายัง ฝา่ ยสมาชิก “วารสารศาสตร”์ คณะวารสารศาสตร์และส่ือสารมวลชน มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ เลขท่ี 99 ถ.พหลโยธนิ ต.คลองหนง่ึ อ.คลองหลวง จ.ปทมุ ธานี 12121 โทรสาร 02-696-6218 อเี มล [email protected] กันยายน – ธนั วาคม 2 5 6 3 265
การส่งบทความเพอ่ื ตีพิมพใ์ นวารสารวชิ าการ “วารสารศาสตร์” วารสารศาสตร์ เปน็ วารสารวชิ าการรายสเี่ ดอื นของคณะวารสารศาสตรแ์ ละสอ่ื สารมวลชน มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ มกี ำ� หนดปดิ รบั ตน้ ฉบบั ดงั น้ี ฉบบั ที่ 1 (มกราคม – เมษายน) ปดิ รบั ตน้ ฉบบั วันท่ี 30 พฤศจกิ ายน ฉบับท่ี 2 (พฤษภาคม – สงิ หาคม) ปดิ รับตน้ ฉบับวันท่ี 28 กมุ ภาพนั ธ์ และ ฉบับท่ี 3 (กันยายน – ธนั วาคม) ปิดรับตน้ ฉบับวันท่ี 30 มิถุนายน คณุ ลกั ษณะของบทความ 1. เปน็ บทความทม่ี คี ุณลักษณะตามเกณฑข์ อง อ.ก.ม. มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ซง่ึ ได้แก่ • บทความวเิ คราะห์วจิ ัย (Research Article) • เอกสารกรณีศึกษา (Case Material) • บทความส�ำรวจวิชา (Survey Article) • บทความวิจารณ์ (Review Article) • บทความทางวิชาการ (Theoretical Article) • รายงานส�ำรวจ (Survey Report) ทงั้ น้ี ไมร่ วมงานวทิ ยานพิ นธข์ องผเู้ ขยี นบทความ บทความประเภทงานแปล และเอกสารประกอบ ค�ำบรรยาย 2. ไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ท่ใี ดมากอ่ น และไมอ่ ยูร่ ะหว่างรอการพิจารณาจากสำ� นกั พิมพอ์ น่ื 3. หากเปน็ งานวจิ ยั ดเี ดน่ ทเี่ คยตพี มิ พม์ ากอ่ นแลว้ ตอ้ งมกี ารนำ� มาวเิ คราะหด์ ว้ ยมมุ มองใหม่ นำ� เสนอ ขอ้ มูลใหมโ่ ดยได้รับอนญุ าตจากผู้เขยี น 4. ผเู้ ขียนหรอื ผู้เขยี นร่วมได้รับอนุญาตให้ตพี ิมพเ์ ผยแพรข่ ้อมูลในวารสารวิชาการ 5. ผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิอย่างน้อย 2 คน และ/หรือ การอ่านเพ่ือปรับแก้ไขจาก บรรณาธกิ าร หรอื บรรณาธกิ ารรบั เชญิ ตามก�ำหนดเวลาของกองบรรณาธกิ าร ทงั้ นี้ ผทู้ รงคณุ วฒุ ิ จะคัดเลือกตามสาขาวิชาหรือประเด็นเน้ือหาที่อยู่ในบทความนั้นๆ และหากเป็นบทความจาก ผู้เขียนภายในมหาวิทยาลัย จะต้องได้รับพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกหน่วยงาน จำ� นวน 2 คน และไมไ่ ดม้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี กบั ผเู้ ขยี น โดยชอ่ื ของผเู้ ขยี นและผปู้ ระเมนิ จะเปน็ ไปในลกั ษณะ ปกปดิ หรือ double blinded การสง่ ต้นฉบบั เน้อื หา 1. จัดพมิ พ์เน้อื หาด้วยอกั ษร Cordia New ขนาด 15 pt ในโปรแกรม Microsoft Word (ไฟล์ .doc) 2. ควรมีความยาว 15-20 หนา้ กระดาษ A4 พรอ้ มจัดเรียงภาพประกอบลงในไฟล์ Microsoft Word 3. สง่ พร้อมบทคดั ยอ่ และค�ำสำ� คญั เปน็ ภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 4. ระบุชือ่ นามสกุล ต�ำแหน่งวชิ าการ และสังกัดของผู้เขยี นเป็นภาษาไทยและภาษาองั กฤษ 266 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์
5. สง่ ตน้ ฉบบั พรอ้ มไฟลท์ เี่ กย่ี วขอ้ ง (เชน่ ภาพประกอบ ตาราง แผนภมู )ิ ลงในแผน่ ซดี ที างไปรษณยี ์ หรอื อเี มลมายงั กองบรรณาธกิ าร หรอื สง่ ผา่ นระบบออนไลนท์ าง https://tci-thaijo.org/index.php/ jcmag การสง่ ไฟล์ภาพประกอบ 1. สง่ ไฟล์ภาพประกอบ (เช่นไฟล์ .jpg) แยกจากไฟลเ์ นอื้ หาของบทความ 2. ความละเอยี ดภาพไม่ตำ่� กว่า 300 dpi/inch หรอื ไม่ต่�ำกวา่ 2 MB ตอ่ ภาพ 3. ระบุชื่อไฟล์ให้ตรงตามหมายเลขภาพในเนื้อหาบทความ จรยิ ธรรมการตีพิมพ์เผยแพรผ่ ลงานและบทความวิชาการ 1. จรยิ ธรรมของผเู้ ขยี นบทความ บทความทน่ี พิ นธข์ น้ึ และตพี มิ พใ์ นวารสารวชิ าการ วารสารศาสตร์ ตอ้ งเปน็ งานเขยี น ความคดิ หรอื งานสรา้ งสรรค์ ทม่ี ใิ ชก่ ารลอกเลยี นผลงานวชิ าการ (plagiarism) และตอ้ งจัดท�ำการอา้ งอิงผลงานในเน้อื หาหรอื บรรณานกุ รมอย่างชัดเจน 2. จริยธรรมของผู้อ่านประเมินบทความ การอ่านประเมินต้นฉบับบทความในวารสารวิชาการ วารสารศาสตร์ เป็นการประเมินแบบปิด (blind evaluation) ผปู้ ระเมนิ จักตอ้ งไมเ่ ปิดเผยผลการ ประเมินของตนตอ่ สาธารณะ และใหถ้ อื ว่าการประเมนิ ดงั กลา่ วเป็นความลับ 3. จรยิ ธรรมของกองบรรณาธกิ าร กองบรรณาธกิ ารมคี วามรบั ผดิ ชอบวารสารวชิ าการ วารสารศาสตร์ ใหต้ รงตามก�ำหนดและวาระในการตพี ิมพ์ การเขยี นเอกสารอ้างองิ และบรรณานกุ รม • การอา้ งองิ ในบทความ กรณีผเู้ ขยี นต้องระบุแหล่งท่มี าของขอ้ มูลในเนือ้ หาบทความ ให้ใช้วิธกี าร อ้างอิงในส่วนของเนือ้ เรือ่ งแบบนาม-ปี (author-date in text citation) โดยระบชุ ื่อผูแ้ ตง่ ที่อา้ งอิง (ถ้าเป็นคนไทยระบุทัง้ ชื่อและนามสกลุ ส่วนตา่ งชาตใิ ช้ระบุเพียงชอื่ สกุลเทา่ นั้น) พรอ้ มปที ่ีพิมพ์ เอกสาร และอา้ งอิงไว้ข้างหน้าหรือข้างหลังข้อความเพือ่ บอกแหล่งท่ีมาของข้อความนัน้ และควร ระบเุ ลขหนา้ ของเอกสารทอี่ า้ งองิ ไวด้ ว้ ย กรณที อี่ า้ งมาแบบค�ำตอ่ คำ� ตอ้ งระบเุ ลขหนา้ ของเอกสาร ทอี่ า้ งอิงทกุ ครั้ง • การอ้างอิงท้ายบทความ หากมีการอ้างอิงในบทความ ให้จัดท�ำรายการเอกสารอ้างอิงเป็น บรรณานุกรม (bibliography) ท้ายเรื่องไว้ด้วย โดยรวบรวมเอกสารท้ังหมดท่ีผู้เขียนอ้างอิงใน บทความ ในการเขียนบทความให้จัดเรียงรายการตามล�ำดับตัวอักษรผู้แต่งภาษาไทยและภาษา องั กฤษ โดยใช้รูปแบบการเขียนเอกสารอา้ งอิงแบบ APA (American Psychology Association) ดังตวั อย่างต่อไปน้ี กันยายน – ธนั วาคม 2 5 6 3 267
1. หนังสอื ชื่อผแู้ ตง่ , (ปที ี่พมิ พ์), ชือ่ เร่ือง, คร้ังท่พี มิ พ์ (ถ้ามี), สถานท่ีพมิ พ:์ ส�ำนกั พิมพ.์ กติ มิ า สรุ สนธิ (2548), ความรทู้ างการสอื่ สาร, พมิ พค์ รง้ั ที่ 4, กรงุ เทพฯ: คณะวารสารศาสตร์ และสื่อสารมวลชน มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์ พศิ ษิ ฐ์ ชวาลาธวชั และคณะ (2539), การรายงานข่าวชน้ั สงู , กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า. สุวรรณา สถาอานนั ท์ และเน่ืองน้อย บุณยเนตร (2537), คำ� : รอ่ งรอยความคิดความเชื่อไทย, พิมพ์ครั้งที่ 2, กรุงเทพฯ: สำ� นกั พมิ พ์จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั . McQuail, D. (2005), McQuail’s Mass Communication Theory, 5th ed., London: Sage. Sharrock, W. et al. (2003), Understanding Modern Sociology, London: Sage. Windhal, S. and Signitzer, B. (2009), Using Communication Theory: An Introduction to Planned Communication, Los Angeles: Sage. 2. บทความในวารสาร หนังสือพมิ พ์ และหนังสอื รวมเล่ม 2.1 บทความในวารสาร ชื่อผเู้ ขยี น (ปีทพ่ี มิ พ์), “ช่อื บทความ”, ชอื่ วารสาร, ปที ี(่ ฉบับท่)ี : เลขหน้า (ถา้ มี). เกศราพร ทองพุ่มพฤกษา (2561), “การน�ำเสนอภาพความเป็นแม่ในหนังสือเด็กใน ประเทศไทย”, วารสารศาสตร,์ 11(2): 113-160. 2.2 บทความ ข่าว หรือคอลัมน์จากหนงั สือพิมพ์ ชื่อผู้เขยี น (ปีทพี่ มิ พ์), “ชอ่ื บทความหรือชือ่ หวั ขอ้ ในคอลัมน์”, ชอ่ื หนังสือพมิ พ,์ วนั ท/ี่ เดือน: เลขหน้า. สจุ ติ ต์ วงษ์เทศ (2548), “กระทะปฏวิ ตั อิ าหารไทย”, มตชิ น, 22 กันยายน: 34. 2.3 บทความในหนังสอื รวมเล่ม ชอื่ ผเู้ ขยี น (ปที พี่ มิ พ์), “ชอื่ บทความ/งานเขยี น”, ใน ช่อื ผ้แู ตง่ หนงั สือ (บ.ก.), ชอื่ เรอื่ งหนงั สือ, คร้ังท่พี มิ พ์ (ถา้ มี), สถานท่พี มิ พ:์ สำ� นกั พมิ พ.์ ภัทธีรา สารากรบรริ ักษ์ (2558), “ธรุ กิจเพลง”, ใน สมสุข หินวิมาน และคณะ (บ.ก.), ธรุ กิจ ส่อื สารมวลชน, กรุงเทพฯ: สำ� นักพิมพม์ หาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. 3. รายงานการวิจัย วทิ ยานิพนธ์ หรอื สารนพิ นธ์ ช่ือผู้วิจัย (ปีท่ีพิมพ์), ชื่อรายงานวิจัย วิทยานิพนธ์ หรือสารนิพนธ์, สถาบันต้นสังกัดหรือ รายละเอยี ดของระดบั วุฒปิ รญิ ญาของรายงานวิจยั ดงั กล่าว. ไวยวุฒิ วุฒิอรรถสาร (2556), การส่ือสารกับการสร้างอัตลักษณ์ของคนหูหนวกไทย, วิทยานิพนธ์ปริญญาดษุ ฎีบัณฑิต สาขาส่ือสารมวลชน คณะวารสารศาสตรแ์ ละสอ่ื สาร มวลชน มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์. 268 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์
4. เอกสารท่ีไม่เปน็ เล่ม เชน่ เอกสารประกอบการสอน เอกสารอัดส�ำเนา แผ่นพับ ให้ผเู้ ขยี นระบุคุณลักษณะของสงิ่ พิมพด์ ังกลา่ วไวท้ า้ ยการอา้ งองิ เชน่ คณะวารสารศาสตร์และส่ือสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (2561), รายงานผลการ ดำ� เนนิ งานของหลกั สตู รวารสารศาสตรมหาบณั ฑติ สาขาวชิ าสอ่ื สารมวลชน (ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2559), เอกสารอัดสำ� เนา. 5. ข้อมลู ออนไลน์ หรอื สารสนเทศบนอินเทอรเ์ น็ต ให้ระบุขอ้ มลู จากหนงั สอื บทความ หรอื เนอื้ หาทอ่ี า้ งองิ จากน้นั ตามด้วยแหล่งท่มี าและ วันเดอื นปที สี่ ืบค้นจากฐานขอ้ มลู ออนไลน์ ดงั ตวั อยา่ ง ระพีพรรณ พฒั นาเวช และคณะทาํ งานหอ้ งสมุดไทยคดิ (มปป.), คู่มือการคัดเลอื กหนังสอื ส�ำหรับเด็กแต่ละวยั , สบื คน้ เมอ่ื 15 ตุลาคม 2560, จาก https://www.tkpark.or.th/ stocks/extra/000597.pdf Flood, A. (2011), “Study Finds Huge Gender Imbalance in Children’s Literature”, The Guardian, retrieved 24 July 2016, from https://www.theguardian.com/ books/2011/ may/06/gender-imbalance-children ส่งบทความหรือตดิ ตอ่ สอบถาม กองบรรณาธิการวารสารวิชาการ “วารสารศาสตร”์ คณะวารสารศาสตรแ์ ละสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ เลขท่ี 99 ถ.พหลโยธิน ต.คลองหนง่ึ อ.คลองหลวง จ.ปทมุ ธานี 12121 โทรศพั ท์ 0-2696-6267 อเี มล [email protected] กันยายน – ธันวาคม 2 5 6 3 269
พิมพ์ท่:ี โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, พ.ศ. 2563 โทรศัพท์ 0-2564-3104 ถงึ 6 โทรสาร 0-2564-3119 http://www.thammasatprintinghouse.com
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270