Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารวิชาการ "วารสารศาสตร์" คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

วารสารวิชาการ "วารสารศาสตร์" คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

Description: วารสารศาสตร์ ฉบับ "รักก็คือรัก หลงก็คือหลง ถ้าถามประชาสังคม...ก็คงไม่เข้าใจ"
ปีที่ 23 ฉบับที่ 3 กันยายน-ธันวาคม 2563

Keywords: การโกหก

Search

Read the Text Version

ประชาสัมพันธ์ข้อมูล และการวางแผนกิจกรรม/โครงการ โดยเร่ิมต้นจากการ สำ� รวจความต้องการส่ือของชมุ ชน ซึ่งมเี ปา้ หมายหลกั คือ เพอื่ ผลิตสอ่ื ภายใต้ รปู แบบทช่ี มุ ชนตอ้ งการ สอดคลอ้ งกบั บรบิ ทของชมุ ชน ชมุ ชนสามารถเขา้ ถงึ และ ใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่างแท้จรงิ (เจริญเนตร แสงดวงแข และสนิ ี กิตตชิ นมว์ รกุล, 2558) (3) ทฤษฎีการสอ่ื สารเพือ่ โนม้ นา้ วใจ การโนม้ น้าวใจคือ การสอื่ สารที่ ตง้ั ใจจะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การเลอื ก (communication intended to influence choice) โดยการส่ือสารโน้มน้าวใจเป็นการแสดงให้เห็นถึงปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึน มีการ ใช้สัญลักษณ์ และมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร โดยมีความ ต้ังใจโน้มน้าวเพื่อให้เกิดผลตามวัตถุประสงค์ และมีอิทธิพลต่อความมุ่งหมาย ท่จี ะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (กรรณิการ์ อศั วดรเดชา, 2550) การสือ่ สารให้ ผู้รับสารเกิดความเช่ือถือ คล้อยตาม และเห็นด้วยกับส่ิงที่ผู้ส่งสารต้องการ นำ� เสนอจนนำ� ไปสกู่ ารเปลย่ี นแปลงทศั นคตแิ ละพฤตกิ รรม จงึ จ�ำเปน็ อยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะ ต้องใช้วิธีการสื่อสารเพื่อโน้มน้าวใจ เพื่อให้การสื่อสารเกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยผสู้ ง่ สารจะตอ้ งเป็นผ้มู คี วามน่าเชื่อถือ มลี ักษณะของการเป็นผ้นู ำ� ทางความ คดิ (opinion leader) และต้องค�ำนึงถงึ ทัศนคตแิ ละความเชื่อของผรู้ ับสารผ่าน การวเิ คราะห์คุณลกั ษณะของผู้รับสาร ทฤษฎีการสื่อสารเพ่ือโน้มนา้ วใจน�ำมาใช้ วิเคราะห์ศักยภาพของนักส่ือสารชุมชนท้องถ่ินด้านความรู้ความสามารถในการ สอ่ื สารเพอ่ื โนม้ นา้ วใจ ไดแ้ ก่ การออกแบบเนอื้ หา การเลอื กใชส้ อื่ การสรา้ งความ นา่ เชือ่ ถือ ศรทั ธาในตัวนกั สือ่ สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ การกระตนุ้ ให้คนในชมุ ชนเห็น ความสำ� คัญของการเขา้ ร่วมกจิ กรรม การสร้างจิตสำ� นกึ ใหค้ นในชมุ ชนด้านการ อนุรกั ษ์ การสรา้ งความรคู้ วามเขา้ ใจใหค้ นในชุมชนคล้อยตามและนำ� ไปปฏบิ ัติ (4) แนวคิดเร่ืองการส่ือสารแบบมีส่วนร่วม (Participatory Communication Theory) การสอ่ื สารแบบมสี ว่ นรว่ มเปน็ รปู แบบหนง่ึ ทส่ี ำ� คญั ของ การสื่อสารชุมชน โดยมีเป้าหมายในการกระตุ้นให้ชุมชนมองเห็นคุณค่าของ ตนเอง สรา้ งความมนั่ ใจใหก้ บั ชาวบา้ นทเ่ี ขา้ มามสี ว่ นรว่ ม สรา้ งทกั ษะในการสรา้ ง สอื่ ให้กบั ชุมชน เพ่ือเป็นช่องทางท่ชี มุ ชนจะส่งขา่ วสารออกไปจากจดุ ยืน มุมมอง กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   51

ทศั นะของตนเอง ชมุ ชนไดแ้ สดงความรสู้ กึ ปญั หา วธิ กี ารวเิ คราะหป์ ญั หา รวมทง้ั วิธีการแก้ปัญหาจากทัศนะของชุมชน ซึ่งผลของการสื่อสารจะสามารถร่วมแก้ ปัญหาทเี่ กดิ ขึ้นในชุมชน (กาญจนา แกว้ เทพ และคณะ, 2543) การมสี ว่ นรว่ ม จะท�ำให้ผู้รับสารมีความรู้สึกเป็นเจ้าของประเด็นร่วม และผูกพันกับเรื่องราวที่ นำ� เสนอ (นษิ ฐา หรนุ่ เกษม, 2561) เปน็ แนวคดิ ทใ่ี ชส้ ะทอ้ นศกั ยภาพดา้ นความร/ู้ ความสามารถในการสร้างการมีสว่ นร่วมของนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถ่ิน ได้แก่ การ สื่อสารเพ่ือระดมความร่วมมือจากคนในชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในระดับต่างๆ การสอื่ สารเพื่อขอรบั การสนับสนนุ จากหนว่ ยงานภายนอก (5) ทฤษฎีการใช้ประโยชน์และความพึงพอใจของผู้รับสาร (Uses and Gratifications) เปน็ ทฤษฎีทางสังคมและจิตวทิ ยาทีศ่ ึกษาการกระทำ� ดา้ น การสอื่ สารของมนษุ ย์ ซ่ึงถูกขับเคล่อื นโดยความตอ้ งการและส่ิงจงู ใจ มนษุ ยใ์ ช้ การตดิ ตอ่ สอ่ื สารและใชส้ อ่ื เพอ่ื เตมิ เตม็ ความตอ้ งการ โดยแสวงหาสอ่ื และเนอื้ หา อยา่ งเฉพาะเจาะจงเพอื่ นำ� ไปสคู่ วามพงึ พอใจของตนเอง ผรู้ บั สารจะเปน็ ผกู้ ำ� หนด และเป็นศนู ย์กลางของการศึกษาเกี่ยวกบั อิทธพิ ลของสอ่ื มวลชน ท้งั นี้ จะเหน็ ได้ วา่ ข้อมูลข่าวสารท่ีถูกส่งออกไปน้ัน ผู้รบั สารเปน็ ผู้กำ� หนดอทิ ธิพลของข่าวสาร เนื่องจากเป็นผู้เปิดรับและเลือกใช้ส่ือเพ่ือตอบสนองความต้องการของตนเอง ดังน้ัน การประเมินความพึงพอใจของผู้รับสารจึงมีความส�ำคัญต่อการน�ำข้อมูล ท่ีได้มาใช้พัฒนาคุณภาพการสื่อสารของนักสื่อสารชุมชนท้องถิ่น ในด้านความ พึงพอใจต่อการเผยแพร่แผนชุมชน ความพึงพอใจต่อศักยภาพด้านการท�ำงาน ของนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ และความพงึ พอใจตอ่ สอ่ื ความรดู้ งั กลา่ วจะเปน็ การ สะท้อนศกั ยภาพดา้ นการสอื่ สารของนกั สื่อสารชมุ ชนทอ้ งถ่ิน และการออกแบบ สื่อท่เี หมาะสมสอดคล้องกับความต้องการของชมุ ชน (6) แนวคดิ เรอื่ งการสอื่ สารชมุ ชน กาญจนา แกว้ เทพ และคณะ (2543) ไดก้ ลา่ วถงึ คณุ ลกั ษณะสำ� คญั ของการสอื่ สารชมุ ชนไว้ คอื (1) เปน็ การสอ่ื สารแบบ สองทาง (two-way communication) ทผี่ สู้ ง่ สารและผรู้ บั สารสามารถมปี ฏกิ ริ ยิ า โต้ตอบกันอยู่ตลอดเวลา ทั้งในลักษณะเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้ (2) ทศิ ทางการไหลของขา่ วสาร (flow of information) จะมที ศิ ทางทหี่ ลากหลาย 52 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

มาจากทกุ ทิศทาง ทงั้ จากบนลงล่าง (top-down) แบบล่างสู่บน (bottom-up) และแบบแนวนอน (horizontal) (3) เป้าหมายของการสื่อสารชมุ ชน มวี ธิ ีการ และแงม่ ุมหลายแง่มมุ ท่ีจะก�ำหนดเปา้ หมายของการสื่อสารเพอื่ ชุมชน (4) เปน็ การสื่อสารที่เกิดข้ึนเพ่ือตอบสนองความต้องการของประชาชน ซ่ึงสอดคล้อง กับคุณลักษณะประการส�ำคัญของกระบวนทัศน์การพัฒนาแนวใหม่ แทนการ พัฒนาที่แตเ่ ดมิ เคยตอบสนองความต้องการของรฐั เปน็ หลกั (5) หน้าทข่ี องการ สื่อสาร ประกอบด้วย หน้าท่ใี นการแสดงออก หน้าทที่ างสังคม หนา้ ทใ่ี นการให้ ข้อมลู ขา่ วสาร หนา้ ที่ในการควบคมุ การปฏบิ ัติการ เนื่องจากการสอ่ื สารชมุ ชนมี ลกั ษณะการสอ่ื สารแบบสองทางท่มี ีขั้นตอนของปฏิกิรยิ าปอ้ นกลบั (6) สือ่ ของ ชุมชนเน้นการปรับปรุงสื่อให้เหมาะสมส�ำหรับประโยชน์การใช้งานของชุมชน ไมว่ า่ ชมุ ชนจะตง้ั วตั ถปุ ระสงคก์ ารใชเ้ อาไวเ้ ชน่ ใดกต็ าม (7) สอ่ื ชมุ ชนตอ้ งเปน็ สอื่ ท่ี คนในชมุ ชนสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา เพือ่ นำ� ไปใช้เพือ่ หาข่าวสาร เพ่ือความรู้ หรอื เพอ่ื ความบนั เทงิ (8) สอ่ื ชมุ ชนเปน็ สอ่ื ทชี่ มุ ชนตอ้ งเขา้ มามสี ว่ นรว่ มในหลายๆ บทบาท ไม่วา่ จะเปน็ ผู้วางแผนการใชส้ ื่อ ผผู้ ลติ ผู้แสดง ฯลฯ (9) สื่อชุมชนต้อง เป็นส่ือที่ชมุ ชนสามารถแสดงออกได้ มใิ ชเ่ ปน็ สื่อเพอื่ ชมุ ชน ตวั ตนของชุมชนท่ี จะแสดงออกไปนน้ั ตอ้ งมาจากการกำ� หนดของชมุ ชนเอง มใิ ชผ่ อู้ น่ื มาทำ� ใหช้ มุ ชน (10) สอื่ ชมุ ชนจะปรบั เปลย่ี นลกั ษณะของการเปน็ เครอ่ื งมอื ถา่ ยทอดขา่ วสารจาก ท่หี นึ่งไปยงั อีกท่ีหน่งึ เปน็ เวทสี ำ� หรบั แลกเปลยี่ นขา่ วสารและทัศนะของทุกคน ระเบยี บวิธวี จิ ัย ผวู้ ิจยั ใช้การวิจยั แบบผสานวธิ ี (mixed method) ประกอบด้วยการวจิ ัย เชิงคุณภาพ (qualitative research) และการวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative research) โดยใช้เคร่ืองมือในการวิจัย คือ การสัมภาษณ์ (interview) การ สังเกตการณแ์ บบมสี ว่ นรว่ ม (participant observation) และการเกบ็ รวบรวม ข้อมลู จากแบบสอบถาม (questionnaire) เพ่ือประเมินศักยภาพดา้ นการสื่อสาร ของนักส่ือสารชุมชนท้องถ่ินก่อนและหลังอบรม และประเมินผลความพึงพอใจ ของชุมชนตอ่ การส่ือสารของนักส่อื สารชมุ ชนทอ้ งถิน่ โดยมีรายละเอยี ดดงั น้ี กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   53

● การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ผ้วู จิ ยั ใชว้ ธิ กี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู ประกอบดว้ ย (1) การสมั ภาษณ์ (Interview) สำ� หรบั สมั ภาษณน์ กั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ เพื่อสะท้อนภาพในมิติบทบาทหน้าที่ในชุมชน การนำ� ความรู้ที่ได้จากการอบรม ไปใช้ประโยชน์ รวมถงึ ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชนอ์ ื่นๆ (2) การสงั เกตการณแ์ บบมีส่วนรว่ ม (Participant Observation) เพือ่ สงั เกตพฤตกิ รรมและพฒั นาการดา้ นการสอื่ สารของแกนนำ� ชมุ ชน รวมทง้ั สงั เกต การมีสว่ นรว่ มของคนในชุมชนในกิจกรรมต่างๆ (3) การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม (Questionnaire) เพ่ือ ประเมนิ ศกั ยภาพดา้ นการสอื่ สารของนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ กอ่ นและหลงั อบรม และประเมนิ ผลความพงึ พอใจของชุมชนตอ่ การส่ือสารของนกั สอ่ื สารชุมชน โดยมีกลุ่มตัวอย่างคือ นักสื่อสารชุมชนท้องถ่ิน ประกอบด้วยตัวแทน คณะกรรมการจัดการป่าชายเลนและทรัพยากรชายฝั่งชุมชนตำ� บลหัวเขา ผู้น�ำ ทางศาสนา ตวั แทนเยาวชน และตวั แทนกลมุ่ สตรี จ�ำนวน 9 คน และกลุ่มผู้รับ สาร ซงึ่ เป็นคนที่เปิดรับและใช้ส่ือในชุมชน จำ� นวน 30 คน โดยผวู้ จิ ยั ใชว้ ธิ กี าร เลือกกลุ่มตัวอยา่ งแบบจำ� เพาะเจาะจง (purposive sampling) ● การวิเคราะหข์ อ้ มูล ผู้วิจัยใช้วิธีการวิเคราะห์ข้อมูลและน�ำเสนอข้อมูลในรูปแบบของการ วเิ คราะห์สถิตเิ ชงิ พรรณนา โดยใช้สถิตจิ �ำนวน รอ้ ยละ ค่าเฉลีย่ (means) และ คา่ เบยี่ งเบนมาตรฐาน (standard deviation) รวมท้งั การบรรยาย การพรรณนา วเิ คราะห์ (analytical description) 54 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

กรอบแนวคดิ การวจิ ัย ภภาพพทที่ 1ี่ ก1ร อบกแนรวอคบดิ กแานรววจิ ยัคิดการวจิ ยั แนวทางการสรา้ งนกั สื่อสารชมุ ชน (Smart Communicator) การประเมินศกั ยภาพ ความพงึ พอใจของ ของนักส่ือสารชมุ ชนท้องถ่ิน ผรู้ บั สาร ความสามารถของนกั ส่อื สารชมุ ชนท้องถ่ินหลงั การอบรม หลกั การประเมิน กระบวนการออกแบบวิธีการ หลกั การประเมิน สรา้ งนักสอ่ื สารชุมชนท้องถิ่น 1. ความร/ู้ ความสามารถในฐานะผรู้ บั สาร 1. ความพงึ พอใจต่อการเผยแพรแ่ ผน 2. ความร/ู้ ความสามารถในฐานะผสู้ ง่ สาร (ผลลพั ธจ์ ากงานวิจยั เดิม) ชุมชน 2. ความพงึ พอใจต่อศกั ยภาพด้านการ - ความร/ู้ ความสามารถด้านการวเิ คราะห์ ทางานของนกั สอ่ื สารชุมชน ผรู้ บั สาร 3. ความพงึ พอใจตอ่ ส่อื (สอ่ื บคุ คล หอกระจายข่าว ส่อื กจิ กรรม สอ่ื ใหม่ สอ่ื ป้าย - ความรเู้ รอ่ื งประเภทสอ่ื และความสามารถ กจิ กรรมทางศาสนา) ในการใช้ส่อื - ความร/ู้ ความสามารถดา้ นการ ประชาสมั พนั ธ์ และการส่อื สารเพ่อื โนม้ น้าวใจ - ความรู้/ความสามารถดา้ นการวางแผน กจิ กรรม/โครงการ - ความรู้/ความสามารถด้านการสรา้ งการมี ส่วนรว่ ม ความสามารถของนักสื่อสารชมุ ชนท้องถิ่นกอ่ นการอบรม ความสามารถในฐานะผรู้ บั สาร ความสามารถในฐานะผ้สู ่งสาร (Receiver) (Sender) ลกั ษณะของนักสอ่ื สารชมุ ชนท้องถ่ิน ทุนเดิมของบคุ คล (การศึกษา ความรู้ บทบาททางสงั คม ฯลฯ) 12 กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   55

ผลการวิจยั ศกั ยภาพทางการสอ่ื สารของนกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ กอ่ นและหลงั กระบวนการ ฝกึ อบรม ศักยภาพทางการสื่อสารของนักส่ือสารชุมชนท้องถ่ิน เกิดจาก กระบวนการเสรมิ สร้างศกั ยภาพดา้ นการส่ือสารของแกนน�ำชมุ ชน จากงานวิจัย เรอื่ ง การสรา้ งนกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ในการเผยแพรแ่ ผนชมุ ชน เพอ่ื ธำ� รงรกั ษา ป่าชายเลน ต�ำบลหัวเขา จังหวัดสงขลา (เจริญเนตร แสงดวงแข และสินี กติ ตชิ นม์วรกลุ , 2559) แสดงให้เหน็ ขน้ั ตอนการด�ำเนินงาน ดังนี้ 1. วิเคราะห์ปัญหาและความต้องการของชุมชน เม่ือปี พ.ศ. 2559 ผู้วิจัยได้ระดมความคิดแบบมีส่วนร่วมกับแกนน�ำชุมชน เพ่ือสะท้อนปัญหา ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่เกิดข้ึนในพื้นท่ี และร่วมกันค้นหาแนวทางการ แก้ปัญหา ซ่ึงพบว่า ส่วนหนึ่งมาจากการขาดการสื่อสารแผนด้านการอนุรักษ์ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างเป็นระบบ จึงน�ำไปสู่การสร้างนักส่ือสาร ชุมชนท้องถ่ิน ท่ีมีความสามารถในการใช้การส่ือสารเป็นเคร่ืองมือในการขับ เคล่อื นงานภายในชุมชน หลังจากน้ัน ในปี พ.ศ. 2562 ผู้วจิ ัยจึงได้ระดมความ คิดแบบมีส่วนร่วมกับนักส่ือสารชุมชนท้องถ่ินที่ได้รับการพัฒนาองค์ความรู้ด้าน การส่ือสารอีกครั้ง และเกิดความสนใจร่วมกันถึงการประเมินผลลัพธ์ท่ีเกิดข้ึน จากการนำ� องคค์ วามรดู้ า้ นการสอ่ื สารไปใชใ้ นพนื้ ที่ โดยค�ำนงึ ถงึ การใชก้ ารสอื่ สาร ท่ีสอดคลอ้ งเหมาะสมกบั กลมุ่ เป้าหมายและบริบทชมุ ชน 2. การวิเคราะห์ลักษณะของนักสื่อสารชุมชนท้องถ่ินและการสำ� รวจ ทุนเดมิ ของบุคคล ในการประเมนิ ผลลัพธข์ องการสร้างนกั ส่ือสารชุมชนทอ้ งถนิ่ น้ัน ผูว้ ิจยั ได้สำ� รวจทนุ เดิมของบุคคล เพอื่ พิจารณาวา่ ตน้ ทนุ ดังกล่าวเปน็ ปัจจัย สนับสนุนการด�ำเนินงานของนักส่ือสารชุมชนท้องถิ่นอย่างไร โดยนักส่ือสาร ชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ซงึ่ ประกอบดว้ ยตวั แทนคณะกรรมการปา่ ชายเลน ผนู้ ำ� ทางศาสนา ตัวแทนเยาวชน และตัวแทนกลุ่มสตรี มีทุนเดิมของบุคคลท่ีหลากหลาย โดย เฉพาะบทบาทของการเปน็ ผูน้ ำ� ชมุ ชนในลักษณะต่างๆ ได้แก่ 56 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

2.1 ตัวแทนคณะกรรมการป่าชายเลน ที่มีบทบาทหน้าท่ีในการ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารทั้งภายในและภายนอกชุมชน ซึ่งเป็นตัวแทนท่ี สะท้อนความเป็นพหุวัฒนธรรม ประกอบด้วยแกนน�ำหลัก ซ่ึงเป็นแกนน�ำที่ นกั วจิ ยั เลอื กไวร้ ว่ มกบั ชมุ ชนในชว่ งแรก คอื นายยทุ ธนา จติ ตโ์ ตะ๊ หลำ� นายเฉลยี ว พมิ พาชะโร และนายสนั ติ บรุ ันวิจติ ร และแกนน�ำทเ่ี กดิ จากการขยายผลความรู้ ซงึ่ เปน็ แกนนำ� ทีต่ วั แทนชมุ ชนเปน็ ผเู้ ลือก คือ นายอดี หดั สะหลิม โดยตวั แทน คณะกรรมการปา่ ชายเลนมบี ทบาทท่แี ตกตา่ งกนั ดงั น้ี - นายยุทธนา จติ ตโ์ ต๊ะหลำ� เป็นผู้นำ� ชมุ ชน ประธานชมรมอนรุ กั ษ์ ปา่ ชายเลน ประธานเกษตรตำ� บลหัวเขา กรรมการมัสยดิ กรรมการสถานศกึ ษา โรงเรียนวัดบ่อทรัพย์ อาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หม่บู า้ น (ทสม.) ต�ำบลหวั เขา - นายเฉลยี ว พิมพาชะโร เป็นประธานชมุ ชน เป็นวทิ ยากรบรรยาย ป่าชายเลนประวัติศาสตร์ รองประธานสภาองค์กรชุมชน ประธานอาสาสมัคร พทิ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ มหมบู่ า้ น (ทสม.) ตำ� บลหวั เขา ประธาน กองทุนแม่ของแผ่นดิน ประธานกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิต กรรมการวัด สุวรรณคีรี กรรมการสถานศึกษา คณะกรรมการป่าชายเลน ประธานกองทุน หมบู่ า้ น ประธานประปาชมุ ชน ประธานกลมุ่ ประมงชมุ ชนบา้ นบอ่ สวน กองอาสา รกั ษาดินแดนประเภทส�ำรอง อาสาสมคั รป้องกนั ภยั ฝา่ ยพลเรอื น (อปพร.) - นายสนั ติ บรุ นั วจิ ติ ร เปน็ แกนนำ� ชมุ ชน วทิ ยากรชมุ ชน ผนู้ ำ� ชมุ ชน ชมรมคนรักษ์หัวเขา - นายอีด หัดสะหลมิ เปน็ กรรมการมสั ยิด อาสาสมคั รชุมชนบา้ น หัวเขา กรรมการสถานศกึ ษาโรงเรียนวัดบ่อทรพั ย์ (ภาพที่ 2) กันยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   57

ภาพท่ี 2 ตัวแทนคณะกรรมการป่าชายเลน ท้ังน้ี การมีบทบาทหน้าท่ีที่หลากหลายในชุมชนสะท้อนประสบการณ์ การทำ� งานในมติ ติ ่างๆ การสงั่ สมประสบการณ์การเรียนรู้วฒั นธรรมชุมชน นำ� ไปสคู่ วามรู้/ความสามารถในการวเิ คราะห์ผู้รับสาร และการสรา้ งการมสี ่วนร่วม ของกล่มุ คนในชมุ ชน 2.2 ผู้น�ำทางศาสนา มีบทบาทในชุมชนในฐานะผู้น�ำทางศาสนา ท่ีสะท้อนความเป็นพหุวัฒนธรรมในพ้ืนท่ี ประกอบด้วยผู้น�ำทางศาสนาพุทธ (เจ้าอาวาสวดั สุวรรณครี )ี และผูน้ ำ� ทางศาสนาอิสลาม (โตะ๊ อหิ มา่ ม) การเป็น ผู้น�ำทางศาสนาที่มีความรู้ มีวิสัยทัศน์ท่ีดี ทั้งด้านสติปัญญาและจิตวิญญาณ มคี วามซอ่ื สตั ย์ มคี ณุ ธรรม นบั เปน็ ทนุ เดมิ ของบคุ คลทสี่ ามารถสรา้ งความเชอื่ ถอื 58 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ศรทั ธาให้กับคนในชมุ ชน และสามารถสรา้ งแรงบันดาลใจแกค่ นในชุมชนในการ ดำ� เนนิ งานดา้ นตา่ งๆ (ภาพที่ 3) ภาพท่ี 3 ตัวแทนผนู้ ำ� ทางศาสนา 2.3 ตวั แทนเยาวชน มบี ทบาทในฐานะเยาวชนผดู้ แู ลรกั ษาปา่ ชายเลน ต�ำบลหัวเขา อ�ำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา โดยมีคุณลักษณะของการเป็น ผ้นู �ำกล่มุ มคี วามสนใจในการท�ำกิจกรรมตา่ งๆ ร่วมกับชมุ ชนอย่างตอ่ เน่อื ง เป็น ผทู้ ำ� หนา้ ทส่ี นบั สนนุ งานดา้ นการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรทางทะเลและชายฝง่ั ของชมุ ชน ตวั แทนเยาวชนนบั เปน็ กลมุ่ คนรนุ่ ใหมท่ ส่ี ามารถสอ่ื สารเพอ่ื สรา้ งการมสี ว่ นรว่ มไป ยังกลุม่ เยาวชน ซงึ่ เปน็ กลมุ่ ผู้รับสารทีอ่ ยู่ในช่วงวยั ทใ่ี กล้เคยี งกนั (ภาพที่ 4) กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   59

ภาพท่ี 4 ตวั แทนเยาวชน นายอุรพุ งศ์ บลิ โต๊ะหมดุ 2.4 ตวั แทนกลมุ่ สตรี ทเี่ ปน็ ตวั แทนแบบพหวุ ฒั นธรรม ประกอบดว้ ย - นางนริสา หวังอารี เป็นคณะกรรมการสถานศึกษาโรงเรียน บ้านหัวเขา อาสาสมัครคุมประพฤติ (อสค.) อาสาสมัครสาธารณสุขประจ�ำ หม่บู า้ น (อสม.) คณะกรรมการมสั ยิด อาสาสมคั รพิทกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อมหมบู่ า้ น (ทสม.) - นางนทั ธมน บญุ ยงั เปน็ อาสาสมคั รสาธารณสขุ ประจำ� หมบู่ า้ น (อสม.) ประธานกลุ่มแม่บ้าน กรรมการสถานศกึ ษาโรงเรยี นวดั บ่อทรัพย์ (ภาพท่ี 5) ภาพที่ 5 ตวั แทนกลุ่มสตรี 60 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ทนุ เดมิ ของกลมุ่ สตรสี ามารถสง่ เสรมิ การขยายผลความร/ู้ ความสามารถ ด้านการวิเคราะห์ผรู้ บั สาร และการสรา้ งการมีสว่ นรว่ มของกลุม่ ตา่ งๆ ในชมุ ชน จากการวิเคราะห์ทุนเดิมนักสื่อสารชุมชนท้องถิ่นทุกกลุ่ม ผู้วิจัยพบว่า แกนน�ำชมุ ชนมตี น้ ทุนท่หี ลากหลาย ไดแ้ ก่ (1) ต้นทุนด้านความรู้ ในประเด็นท่ีเก่ียวข้องกับป่าชายเลน รวมท้ัง ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อันเป็นต้นทุนความรู้ท่ีเกิดจากการศึกษาข้อมูล ชุมชน และเกิดจากประสบการณก์ ารท�ำงาน ซ่ึงเปรยี บเสมือนแขนขวาของการ ท�ำงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากร แต่ยังขาดความรู้ด้านการสื่อสาร ซ่ึงเปรียบ เสมือนแขนซ้ายในการขับเคล่ือนงาน โดยเฉพาะความรู้เรื่องประเภทส่ือ การ เลอื กใช้สอื่ การวางแผนประชาสมั พนั ธ์ และการสือ่ สารเพอื่ สร้างการมีสว่ นร่วม (2) ตน้ ทนุ ดา้ นการเปน็ ผถู้ า่ ยทอดความรู้ เกดิ จากการสง่ั สมความรแู้ ละ ประสบการณใ์ นการเปน็ วทิ ยากรชมุ ชน ซงึ่ มคี วามสามารถดา้ นการสอ่ื สารเปน็ ทนุ เดมิ แต่ยังขาดองคค์ วามร้เู รือ่ งการคดั เลอื กสอ่ื และการประชาสัมพันธแ์ ผน (3) ต้นทุนดา้ นศาสนาและวัฒนธรรม เกิดจากการท�ำบทบาทหน้าทใี่ น ฐานะการเปน็ กรรมการวดั กรรมการมัสยดิ (4) ต้นทุนด้านเครือข่าย เกิดจากการท�ำหน้าที่เป็นแกนน�ำขับเคลื่อน งานในชมุ ชน 3. กระบวนการเสริมสร้างศักยภาพด้านการสื่อสารของนักสื่อสาร ชุมชนท้องถิ่น ในข้ันตอนน้ี เป็นการคัดเลือกแกนน�ำชุมชนท่ีจะพัฒนาให้เป็น sender/smart communicator ซึ่งคัดเลือกจากผู้ที่มีบทบาทหน้าที่หลักในการ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลไปยังชุมชน และเป็นตัวแทนของความเป็นพหุวัฒนธรรม หลงั จากนน้ั จงึ เปน็ กระบวนการคน้ หาศกั ยภาพดา้ นการสอ่ื สารของแกนน�ำชมุ ชน กอ่ นจะนำ� ไปสกู่ ารจดั อบรมความรใู้ นสว่ นทย่ี งั ขาดหาย กจิ กรรมพบปะผมู้ สี ว่ นได้ สว่ นเสยี เพอื่ สรา้ งการมสี ว่ นรว่ มในการขบั เคลอ่ื นแผนชมุ ชน การยกระดบั แกนนำ� ใหเ้ ปน็ ผถู้ า่ ยทอดความรเู้ รอ่ื งการผลติ สอื่ รวมทง้ั มกี จิ กรรมศกึ ษาดงู านเพอื่ เสรมิ ศกั ยภาพ (empowerment) ด้านความรู้ในการบรหิ ารจดั การป่าชายเลน การจดั กจิ กรรม “รวมพลงั ชุมชน คนรักป่าชายเลน” (ปกั ป้ายเขตอนุรักษ์) ซึ่งเปน็ การ กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   61

ลดทอนขอ้ จำ� กดั ของสอ่ื ปา้ ย ซง่ึ เปน็ สอื่ ทผี่ คู้ นมกั ไมค่ อ่ ยใหค้ วามสนใจ ใหก้ ลายมา เปน็ สอ่ื ทค่ี นในชมุ ชนรสู้ กึ เปน็ เจา้ ของ ผา่ นการระดมการมสี ว่ นรว่ มในการดำ� เนนิ กจิ กรรมของคนในชมุ ชน และการประเมนิ ผลการดำ� เนนิ กจิ กรรมทขี่ บั เคลอ่ื นโดย นักสื่อสารชมุ ชน กระบวนการเสรมิ สรา้ งศกั ยภาพดา้ นการสอ่ื สาร มรี ายละเอยี ดภาพท่ี 6 ภาพที่ 6 กระบวนการสร้างนกั สื่อสารชุมชนท้องถิน่ อสารชุมชนท้องถ่ิน การเสริมศกั ยภาพนักสือ่ สาร ชุมชนท้องถ่ิน - การคดั เลอื กแกนนาชุมชนทจ่ี ะ พฒั นาให้เป็น Sender/Smart ความรเู้ รอ่ื งการผลติ สอ่ื (สอ่ื ป้าย) การจดั ประชมุ ระดมความคดิ แบบ Communicator มสี ว่ นร่วมสาหรบั เตรยี มขบั เคลอ่ื น - การค้นหาศกั ยภาพด้านการส่อื สาร ความรเู้ รอ่ื งแผนชมุ ชนและแนวทาง ของแกนนาชุมชน ส่อื สารแผนชุมชน แผนชมุ ชนฯ - จดั ประชุมทบทวนแผนชมุ ชน ความรเู้ ร่อื งสอ่ื และการสอ่ื สาร กจิกากรรพรบมปพะบผปมู้ ะสี ผ่วนมู้ ไีสด่วส้ นว่ ไนดเ้สยีว่ เนพเอ่สื ีย สร้างการมสี ว่ นรว่ มในการดาเนนิ กจิ กรรม กจิ กรรมศกึ ษาดูงาน การจดั ประชุมเตรยี มความพร้อมการ ชายเลน” (ปักป้ายฯ) การจดั ประชมุ ระดมความคดิ เหน็ เพ่อื ประเมนิ ผลโครงการ (ความรู้ จดั กจิ กรรม “รวมพลงั ชมุ ชนคนรกั ป่าชายเลน” (ปักป้ายฯ) เร่อื งการประเมนิ ผล) ประเมนิ ผลโครงการ ความรเู้ ร่อื งการประชาสมั พนั ธ์ กจิ กรรม/โครงการ/แผนชมุ ชน ถอดบทเรยี นการพฒั นา ศกั ยภาพของแกนนาชุมชน ทที่ม่ีมาา: :เจ รเจญิ รเนิญตรเนแสตงรดวงแแสขงแดละวสงนิ แี กขติ ตแชิ ลนมะ์วสรกินลุ ี (ก25ิต5ต9)ิชนมว์ รกุล (2559) 62 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์ กระบวนการสรา้ งนกั สอ่ื สารชุมชนทอ้ งถนิ่ ประกอบดว้ ย 3 กระบวนการหลกั คอื

กระบวนการสรา้ งนกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ประกอบดว้ ย 3 กระบวนการ หลกั คือ (1) การเตรียมความพร้อมก่อนเสริมสร้างศักยภาพนักสื่อสารชุมชน ท้องถิน่ เป็นขน้ั ตอนของการสำ� รวจสิง่ ทข่ี าดหายก่อนขยายสกู่ ารเตมิ องค์ความรู้ (empowerment) ประกอบด้วยการคัดเลือกแกนน�ำชุมชนที่จะพัฒนาให้เป็น sender/smart communicator การค้นหาศักยภาพด้านการสื่อสารของแกนน�ำ ชุมชน และการจดั ประชุมทบทวนแผนชุมชน (2) กระบวนการเสริมศักยภาพนักสื่อสารชุมชนท้องถ่ิน เป็นขั้นตอน ของการจดั อบรมความรใู้ นประเดน็ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การสอื่ สาร ประกอบดว้ ยความรู้ เรื่องแผนชุมชนและแนวทางส่ือสารแผนชุมชน ความรู้เรื่องการประชาสัมพันธ์ กิจกรรม/โครงการ/แผนชุมชน ความรเู้ รอื่ งการผลิตส่อื (ส่อื ป้าย) ความร้ทู ี่ได้ จากการเขา้ รว่ มกิจกรรมศึกษาดูงาน และความรู้เร่ืองการประเมนิ ผล (3) กระบวนการทดสอบศกั ยภาพนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ เปน็ ขน้ั ตอน ของการนำ� ความรูท้ ีไ่ ด้จากการอบรมไปขับเคล่อื นด�ำเนนิ กจิ กรรม ประกอบด้วย การจดั ประชมุ ระดมความคดิ แบบมสี ว่ นรว่ มสำ� หรบั เตรยี มขบั เคลอ่ื นแผนชมุ ชนฯ การจดั ประชมุ ระดมความคดิ แบบมสี ว่ นรว่ มสำ� หรบั เตรยี มขบั เคลอ่ื นแผนชมุ ชนฯ และการพบปะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพ่ือสร้างการมีส่วนร่วมในการดำ� เนินกิจกรรม โดยการขอรับการสนับสนุนงบประมาณและบุคลากรจากหน่วยงานภายนอก การจัดประชุมเตรียมความพร้อมการจัดกิจกรรม “รวมพลังชุมชนคนรักป่า ชายเลน” (ปกั ปา้ ยเขตอนรุ ักษฯ์ ) และการประเมินผลโครงการท้ังในเชงิ ปริมาณ และเชิงคณุ ภาพ ทัง้ นี้ นกั สอ่ื สารชมุ ชนท้องถน่ิ ได้น�ำความรู้ทัง้ หมดทไี่ ด้จากกระบวนการ เสริมศักยภาพนักส่ือสารชุมชนท้องถิ่น มาปรับประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรม “รวมพลงั ชมุ ชนคนรกั ปา่ ชายเลน” (ปกั ปา้ ยเขตอนรุ กั ษฯ์ ) โดยเฉพาะความรดู้ า้ น การเลอื กใช้ส่ือและการระดมการมสี ว่ นรว่ มของคนในชมุ ชน (ภาพท่ี 7) กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   63

ภาพที่ 7 การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรทู้ ไี่ ดจ้ ากการอบรมในกจิ กรรม “รวมพลงั ชมุ ชนคนรกั ป่าชายเลน” (ปักปา้ ยเขตอนุรกั ษ์ฯ) จากกระบวนการพฒั นาศกั ยภาพของนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ซงึ่ เรมิ่ ตน้ จากการคัดเลือกแกนน�ำชุมชน ที่มีบทบาทหน้าท่ีด้านการประชาสัมพันธ์ข้อมูล ขา่ วสาร การพัฒนาศกั ยภาพแกนนำ� ผา่ นจัดการอบรมใหค้ วามรู้ การทดลองใช้ ความรู้เร่ืองการส่ือสาร และการประเมินผลการท�ำงานของแกนน�ำท่ียกระดับ เป็นนักส่ือสารชุมชนท้องถิ่น พบว่า นักสื่อสารชุมชนท้องถิ่นมีระดับศักยภาพ ทางการสอื่ สารหลงั กระบวนการฝกึ อบรมเพมิ่ ขน้ึ ทกุ ดา้ น ซง่ึ มคี วามคลา้ ยคลงึ กบั กระบวนการพัฒนาศักยภาพภาคีเครือข่ายระบบสุขภาพระดับอ�ำเภอของ เรวดี เพชรศิราสัณห์ และคณะ (2561) ที่ประกอบด้วยการแต่งต้ังคณะกรรมการ ระบบสุขภาพอ�ำเภอ ขยายแกนน�ำผ่านกระบวนการถ่ายทอดความรู้ของ แกนนำ� หลกั และมรี ะบบการสอ่ื สารในเครอื ขา่ ย โดยผลการประเมนิ คา่ เฉลยี่ ของ คะแนนสมรรถนะการท�ำงานของแกนน�ำของภาคีเครือข่ายเพ่ิมข้ึนเมื่อเทียบกับ กอ่ นด�ำเนินการ 64 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

4. การวเิ คราะหศ์ กั ยภาพของนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ผวู้ จิ ยั วเิ คราะห์ ศักยภาพของนักสื่อสารชุมชนท้องถ่ินโดยใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์ และมีกลุ่มตัวอย่างแบบจ�ำเพาะเจาะจง (purposive sampling) (ปาริชาติ สถาปิตานนท์, 2549) คือ นักส่ือสารชุมชนท้องถิ่น ซึ่งประกอบด้วยตัวแทน คณะกรรมการจดั การปา่ ชายเลนและทรพั ยากรชายฝง่ั ชมุ ชนตำ� บลหวั เขา ผนู้ ำ� ทาง ศาสนา ตวั แทนเยาวชน และตวั แทนกลุ่มสตรี โดยมผี ลการวิเคราะห์ศักยภาพ ของนกั สื่อสารชุมชนทอ้ งถนิ่ ดงั น้ี ตารางท่ี 1 เปรียบเทียบความแตกตา่ งของความร/ู้ ความสามารถในฐานะผู้รบั สาร ตัวแปร NX S.D. t P การรจู้ ักแผนชมุ ชนพหุวฒั นธรรม กอ่ นการอบรม 9 2.67 0.71 -4.27** 0.001 0.83 หลงั การอบรม 9 4.22 การเข้าใจเนือ้ หาแผนชมุ ชน พหวุ ัฒนธรรม ก่อนการอบรม 9 2.89 0.93 2.626** 0.018 0.87 หลังการอบรม 9 4.00 ** P <.01 มนี ยั ส�ำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 * P <.05 มนี ัยส�ำคญั ทางสถิติทรี่ ะดบั .05 จากตารางท่ี 1 พบวา่ นกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ มคี วามแตกตา่ งของความร/ู้ ความสามารถในฐานะผู้รับสารก่อนอบรมและหลังอบรมต่างกัน จะมีการรู้จัก แผนชุมชนพหุวัฒนธรรมและการเข้าใจเน้ือหาแผนชุมชนพหุวัฒนธรรมต่างกัน อย่างมีนัยส�ำคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .01 กนั ยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   65

ผู้วิจัยประเมินระดับความรู้/ความสามารถของนักสื่อสารชุมชนท้องถิ่น ในฐานะผู้รับสาร ในประเด็นการรู้จัก และการเข้าใจแผนชุมชนพหุวัฒนธรรม ในการบรหิ ารจดั การการใชป้ ระโยชนจ์ ากระบบนเิ วศบรกิ ารปา่ ชายเลน โดยกอ่ น กระบวนการฝึกอบรมนักสื่อสารชุมชนท้องถิ่นมีความรู้/ความสามารถในด้าน ดังกล่าวอยู่ในระดับปานกลาง หลังการฝึกอบรมมีความรู้/ความสามารถท้ังสอง ด้านอยใู่ นระดับมาก ตารางท่ี 2 เปรยี บเทยี บความแตกต่างของความร้/ู ความสามารถในฐานะผสู้ ่งสาร ตวั แปร N X S.D. t P ความร/ู้ ความสามารถดา้ นการวิเคราะหผ์ รู้ ับสาร กอ่ นการอบรม 9 2.64 0.44 -5.59** 0.000 หลงั การอบรม 9 4.03 0.61 ความรู้เรอื่ งประเภทสื่อ และความสามารถในการใช้สอื่ กอ่ นการอบรม 9 2.80 0.70 -4.116** 0.001 หลงั การอบรม 9 4.07 0.62 ความร/ู้ ความสามารถด้านการประชาสัมพันธ์ และการสอ่ื สารเพือ่ โน้มน้าวใจ กอ่ นการอบรม 9 2.78 0.45 -7.467** 0.000 หลังการอบรม 9 4.42 0.45 ความร/ู้ ความสามารถด้านการวางแผนกิจกรรม/โครงการ ก่อนการอบรม 9 2.67 0.88 -3.256** 0.006 หลังการอบรม 9 4.13 0.95 ความรู้/ความสามารถด้านการสรา้ งการมีส่วนรว่ ม กอ่ นการอบรม 9 2.67 0.54 -4.801** 0.000 หลงั การอบรม 9 4.13 0.74 ** P <.01 มีนยั สำ� คญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .01 * P <.05 มีนยั สำ� คญั ทางสถติ ิท่รี ะดับ .05 66 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

จากตารางท่ี 2 พบว่า นักสื่อสารชุมชนท้องถิ่นมีความแตกต่างของ ความรู้/ความสามารถในฐานะผู้ส่งสารก่อนอบรมและหลังอบรมต่างกัน จะมี ความรู้/ความสามารถด้านการวิเคราะห์ผู้รับสาร ความรู้เร่ืองประเภทส่ือ และ ความสามารถในการใชส้ อื่ ความร/ู้ ความสามารถดา้ นการประชาสมั พนั ธ์ และการ สอ่ื สารเพือ่ โนม้ นา้ วใจ ความร/ู้ ความสามารถด้านการวางแผนกจิ กรรม/โครงการ และความร้/ู ความสามารถดา้ นการสร้างการมสี ว่ นร่วม ตา่ งกนั อยา่ งมีนัยส�ำคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดับ .01 ผวู้ จิ ยั ประเมนิ ระดบั ความร/ู้ ความสามารถของนกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ใน ฐานะผสู้ ง่ สาร ในประเดน็ ความร/ู้ ความสามารถดา้ นการวเิ คราะหผ์ รู้ บั สาร ความรู้ เรื่องประเภทสื่อและความสามารถในการใช้สื่อ ด้านความรู้/ความสามารถด้าน การประชาสัมพันธ์ และการสื่อสารเพ่ือโน้มน้าวใจ ความรู้/ความสามารถด้าน การวางแผนกิจกรรม/โครงการ และความรู้/ความสามารถด้านการสร้างการมี สว่ นร่วม โดยกอ่ นกระบวนการฝึกอบรมนักส่ือสารชมุ ชนท้องถิน่ มคี วามรู้/ความ สามารถทกุ ด้านอยู่ในระดับปานกลาง หลังการฝกึ อบรมมีความร/ู้ ความสามารถ ทกุ ด้านอยู่ในระดับมาก เม่ือแสดงตารางเปรียบเทียบพ้ืนฐานศักยภาพของนักส่ือสารชุมชน ท้องถ่ินในฐานะผู้รับสารและผู้ส่งสารก่อนเข้าสู่กระบวนการอบรมอยู่ในระดับ ปานกลางคอ่ นขา้ งตำ่� ซงึ่ มคี า่ เฉลยี่ อยใู่ นชว่ งระหวา่ ง 2.67-2.89 คะแนน ศกั ยภาพ ของนกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ในฐานะผรู้ บั สารและผสู้ ง่ สารหลงั กระบวนการอบรม อยใู่ นระดบั มาก ซงึ่ มคี ่าเฉลีย่ อยู่ในช่วงระหว่าง 4.00-4.42 คะแนน จากคะแนน เต็ม 5.00 คะแนน (ภาพท่ี 8) กนั ยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   67

มอยูใ่ นระดบั มาก ซง่ึ มคี ่าเฉลย่ี อยใู่ นช่วงระหว่าง 4.00-4.42 คะแนน จากคะแนนเตม็ 5.00 คะแ พท่ี 8) ภาพที่ 8 เปรียบเทียบความรู้ ความสามารถในฐานะผู้รับสารและผู้ส่งสารก่อนและ ที่ 8 เปรยี บเ ทยี บความรหู้ ลคังวกาามรสอาบมรามรถในฐานะผูร้ บั สารและผสู้ ่งสารกอ่ นและหลงั การอบรม 6 5 4 3 2 1 0 การรจู้ ักแผนการเขา้ ใจเนอ้ื หาแผนการวเิ คราะหผ์ รู้ บั สคาวรามรูเ้ รอื่ งประเภทดสา้อ่ื นการประชาสมั พด้าันนธก์ ารวางแผนกิจกรรม ด้านการมสี ว่ นรว่ ม Before After ความพึงพอใจของคนในชุมชนที่มีต่อสื่อและช่องทางการสื่อสารที่ มพึงพอใน จกัขสอ่ืองสคาในนรชใกนมุารชชปนุมรทชะ้อเนมงทินถคี่่ินมวเีตาล่มออื พสกึงื่ใอพชแอ้ ลใจะขชอ่องชงุมทชานงตก่อากราสร่ือสส่ือสาารรทข่ีนองักนสักื่อสสื่อสารารชุมชนท้อง กใช้ ชุมชนท้องถ่ิน ผู้วิจัยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบจ�ำเพาะเจาะจง โดยเลือก ในการกปลรมุ่ ะตเมวั อนิ ยคา่ วงทามเี่ คพยงึเขพา้ อรว่ใจมขกจิอกงรชรุมมชทนเ่ี กตย่ี ่อวกขาอ้ รงกสบั่อื ปสา่ ชราขยอเลงนักเพสอื่ สสะาทรอ้ชนุมมชมุ นมทอ้องงถิ่น ผูว้ จิ ยั ารเลอื กกลดุม่ ้าตนวั ศอักยย่างภแาบพบกจาารเสพื่อาสะาเจรขาะอจงงนักโดสื่ยอสเลาอื รกชกุมลชมุ่ นตทวั้อองยถา่ิ่นงทแเ่ี คลยะเใขชา้้แรบว่ บมสกอจิ บกถรารมมที่เกย่ี วข้อง ชายเลน เ(พq่ือueสsะtiทon้อnนaiมreุม) มเอปง็นดเค้ารนื่อศงมักือยในภกาาพรวกัดาครวสา่ือมพสึงาพรอขใอจงขอนงักคสน่ือในสชาุมรชชนุมตช่อนกาทร้องถิ่น และ มถอสนผ่ิีสอลาเบลรกถอืชาากมุรมใปชชรคดสน(ร้qับะื่งัอนดทuนเแสงใัอ้มeนลี้นางsนิะรช้ีถtขใคiุมoนชิ่ อวชnส้ งานnจ่อืนมaทาใักiพนก่ีมrสeชกงึีตื่อ)ุมพล่อสเช่มุอสปานตใ่ือร็นจชแวั เขจุมลอค�ำอะยชรนงชน่อ่าื วค่องงทนซนงม้อทง่ใึอืง3นาเถใ0ปงนช่ินก็นุมกคาคาชรนจนรสานวกใื่อโทนดัดสกีม่คยชาลตีมรวมุุ่มท่าอีผชตมี่นสลนัวพัก่อกือทสแายงึ เี่รพ่ือลป่าปงสะิดอซรชาใระ่ึงรจ่อบัเเชมขปงแุมทอนิ็นลชงาคคะนคงวในกทชนาใมา้อนส้ใรนพง่อชื ถสชงึใุมน่ิ่นพอื ุมชสเชอนชลาใุมทนือจรชี่กเขตทปนอใ่อ่ีนิดชงกกัจ้ าาสรน่อื สวส่อื นาสรา3ชร0ุมข กลุ่มตวั อย่างประกอบดว้ ย เพศชายร้อยละ 50 และเพศหญงิ ร้อยละ 50 ผู้รับสารส่วนใหญ วงอายุ 41-50 ปี รอ้ ยละ 36.70 รองลงมา คอื ช่วงอายุ 51 ปีขน้ึ ไป รอ้ ยละ 30.00 ชว่ งอายุ 31-40 ละ 16.70 ช่วงอายุ 21-30 ปี รอ้ ยละ 13.30 และชว่ งอายุ 10-20 ปี รอ้ ยละ 3.30 68 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

กลมุ่ ตวั อยา่ งประกอบดว้ ย เพศชายรอ้ ยละ 50 และเพศหญงิ รอ้ ยละ 50 ผูร้ ับสารส่วนใหญ่อยูใ่ นช่วงอายุ 41-50 ปี ร้อยละ 36.70 รองลงมา คือ ชว่ งอายุ 51 ปขี น้ึ ไป ร้อยละ 30.00 ชว่ งอายุ 31-40 ปี ร้อยละ 16.70 ชว่ งอายุ 21-30 ปี รอ้ ยละ 13.30 และชว่ งอายุ 10-20 ปี ร้อยละ 3.30 ด้านการศึกษา ผู้รับสารส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับประถมศึกษา รอ้ ยละ 36.70 รองลงมา คอื จบการศกึ ษาระดบั ชัน้ มัธยมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 23.30 ระดับอนปุ ริญญาหรอื เทียบเทา่ รอ้ ยละ 23.30 ระดับมธั ยมศึกษาตอน ปลายหรอื เทยี บเท่า รอ้ ยละ 13.30 และระดบั ปริญญาตรี ร้อยละ 3.30 ด้านอาชีพ ผู้รับสารส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง ร้อยละ 20.00 รองลงมา คอื ธรุ กจิ สว่ นตวั รอ้ ยละ 16.70 คา้ ขาย รอ้ ยละ 13.30 นกั เรยี นนกั ศกึ ษา รอ้ ยละ 13.30 แมบ่ า้ น รอ้ ยละ 10.00 ครอู ตั ราจา้ ง รอ้ ยละ 10.00 รบั จา้ ง รอ้ ยละ 10.00 รบั ราชการ รอ้ ยละ 3.30 และพนกั งานรกั ษาความปลอดภยั รอ้ ยละ 3.30 ในส่วนของความพึงพอใจของผู้รับสารต่อการด�ำเนินงานของนักส่ือสาร ชุมชนท้องถ่ิน พบว่า ระดับความพึงพอใจของคนในชุมชนต่อการสื่อสารของ นักสื่อสารชุมชนท้องถ่ินทุกข้ออยู่ในระดับมาก โดยข้อท่ีมีคะแนนสูงท่ีสุด คือ ความสามารถสอื่ สารเพอ่ื สรา้ งการมสี ว่ นรว่ มของคนในชมุ ชนได้ ในสว่ นของความ พึงพอใจต่อการใช้ส่ือของนักสื่อสารชุมชนนั้น คนในชุมชนมีความพึงพอใจต่อ การใช้สื่อกิจกรรมของนักส่ือสารชุมชนสำ� หรับการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร รองลงมาได้แก่ ส่ือบคุ คลและสอื่ พิธกี รรมทางศาสนา หอกระจายขา่ ว/เสยี งตาม สาย สอ่ื ปา้ ย และส่ือใหม่ (ได้แก่ Facebook และ Line) ดงั ตารางต่อไปนี้ กันยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   69

ตารางที่ 3 ข้อมูลความพึงพอใจของคนในชุมชนต่อการส่ือสารของนักสื่อสารชุมชน ทอ้ งถิ่น ที่ รายการ X S.D. ระดับ มาก ความพงึ พอใจต่อศกั ยภาพดา้ นการสื่อสารแผนชุมชน มาก 1 นักสื่อสารชุมชนสามารถสร้างความรู้/ 4.00 0.830 มาก ความเข้าใจให้คนในชุมชนตระหนักถึง มาก มาก ความส�ำคัญของแผนชุมชนพหุวัฒนธรรม มาก ในการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์จาก ระบบนเิ วศบริการปา่ ชายเลน ต�ำบลหวั เขา จงั หวดั สงขลา ความพงึ พอใจต่อศักยภาพดา้ นการสื่อสารเพ่อื โน้มนา้ วใจ 2 นักส่ือสารชุมชนสามารถกระตุ้นให้คนใน 4.10 0.845 ชุมชนเห็นความส�ำคัญของกิจกรรมด้าน การอนรุ กั ษท์ รพั ยากร รวมถงึ กจิ กรรมอน่ื ๆ 3 นักสื่อสารชุมชนสามารถปลุกใจให้คนใน 3.77 0.817 ชุมชนเกิดจิตส�ำนึก และเข้าร่วมกิจกรรม ดา้ นการอนรุ กั ษท์ รพั ยากร รวมถงึ กจิ กรรม อ่ืนๆ ความพึงพอใจต่อศักยภาพด้านการสอื่ สารเพอ่ื สรา้ งการมีสว่ นร่วม 4 นักส่ือสารชุมชนสามารถของบประมาณ 3.77 0.774 สนบั สนนุ การดำ� เนนิ กจิ กรรม/โครงการจาก หน่วยงานภายนอก 5 นักส่ือสารชุมชนสามารถขอสนับสนุน 3.90 0.759 บุคลากรในการด�ำเนินกิจกรรม/โครงการ จากหน่วยงานภายนอก 6 นักสื่อสารชุมชนสามารถส่ือสารเพ่ือสร้าง 4.20 0.805 การมสี ว่ นรว่ มของคนในชุมชนได้ 70 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ตารางที่ 3 ข้อมูลความพึงพอใจของคนในชุมชนต่อการส่ือสารของนักส่ือสารชุมชน ทอ้ งถิ่น (ต่อ) ท่ี รายการ X S.D. ระดบั ความพึงพอใจต่อศกั ยภาพดา้ นการเลือกใช้ส่อื 7 ท่านมีความพึงพอใจต่อสื่อบุคคลที่นัก 4.10 0.803 มาก สอื่ สารชมุ ชนใชใ้ นการประชาสมั พนั ธข์ อ้ มลู ขา่ วสาร 8 ท่านมีความพึงพอใจต่อการใช้หอกระจาย 3.97 0.765 มาก ข่าว/เสียงตามสายท่ีนักสื่อสารชุมชนใช้ใน การประชาสมั พันธข์ ้อมลู ขา่ วสาร 9 ท่านมีความพึงพอใจต่อการใช้สื่อใหม่ท่ี 3.70 1.055 มาก นักสื่อสารชุมชนใช้ในการประชาสัมพันธ์ ขอ้ มูลข่าวสาร 10 ท่านมีความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือป้ายท่ี 3.83 0.791 มาก นักสื่อสารชุมชนใช้ในการประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสาร 11 ท่านมีความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือกิจกรรม 4.17 0.747 มาก ที่นักส่ือสารชุมชนใช้ในการประชาสัมพันธ์ ข้อมลู ขา่ วสาร 12 ท่านมีความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือพิธีกรรม 4.10 0.803 มาก ทางศาสนาท่ีนักส่ือสารชุมชนใช้ในการ ประชาสมั พนั ธข์ อ้ มูลขา่ วสาร รวม 3.97 0.539 มาก กันยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   71

ขอ้ มลู ความพงึ พอใจของคนในชมุ ชนตอ่ การสอ่ื สารของนกั สอ่ื สารชมุ ชน ทอ้ งถนิ่ สะทอ้ นการเปลี่ยนแปลงทเ่ี กดิ ข้นึ คอื นักสือ่ สารชมุ ชนท้องถ่นิ สามารถ ระดมการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนได้ โดยใช้การสื่อสารเป็นเครื่องมือในการ ประชาสมั พนั ธข์ ่าวสารขอ้ มูลต่างๆ มีการออกแบบวธิ ีการสอ่ื สารอย่างเหมาะสม ผา่ นการวิเคราะหผ์ ูร้ บั สาร โดยพิจารณาจากลักษณะทางประชากรศาสตร์ และ มีการเลือกใช้ส่ือที่เหมาะสมกับผู้รับสาร เกิดการส่งต่อข้อมูลข่าวสารให้กับส่ือ บคุ คล โดยเฉพาะแกนนำ� แตล่ ะชมุ ชน เพอ่ื ใหก้ ระจายขอ้ มลู ขา่ วสารตอ่ ทำ� ใหเ้ กดิ การสอ่ื สารในวงกวา้ งและมปี ระสทิ ธภิ าพมากขน้ึ การรบั รขู้ า่ วสารมคี วามรวดเรว็ มากขึน้ มีการจดั กจิ กรรมอย่างต่อเน่ืองโดยใชค้ วามรู้เรอ่ื งการประชาสมั พันธใ์ น การวางแผนการดำ� เนนิ กจิ กรรมตา่ งๆ เปน็ การสง่ เสรมิ ใหค้ นในชมุ ชนและคนนอก ชมุ ชน ซง่ึ ไดแ้ ก่ กลมุ่ สถาบนั การศกึ ษาท่เี ขา้ มาศกึ ษาดูงาน หนว่ ยงานภายนอก ท่ีให้การสนบั สนนุ กิจกรรมชุมชน เขา้ มามสี ่วนรว่ มกับกิจกรรมของชุมชน มีการ ประชาสมั พนั ธข์ อ้ มลู ผา่ นกจิ กรรมทางศาสนา เชน่ การน�ำเสนอขา่ วสารในงานบญุ และมกี ารใชส้ อื่ ใหม่ เชน่ Facebook และ Line เปน็ ชอ่ งทางในการประชาสมั พนั ธ์ ข้อมลู ข่าวสาร เช่น การจัดกจิ กรรมดา้ นการอนุรกั ษ์ เปน็ ตน้ จากขอ้ มลู ความพงึ พอใจตอ่ การใชส้ อื่ ของนกั สอ่ื สารชมุ ชนทพี่ บวา่ คนใน ชุมชนมีความพึงพอใจต่อการใช้ส่ือกิจกรรมของนักส่ือสารชุมชนส�ำหรับการ ประชาสมั พนั ธข์ อ้ มลู ขา่ วสารเปน็ อนั ดบั แรกนั้น เนอื่ งจากเหตผุ ลวา่ สื่อกิจกรรม เปน็ สอ่ื ทม่ี คี วามยดื หยนุ่ สงู สามารถปรบั ใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั พน้ื ทแี่ ละสถานการณ์ เปน็ สอื่ ที่สามารถระดมการมสี ว่ นรว่ มไดเ้ ป็นอยา่ งดี และสามารถสรา้ งจติ ส�ำนึก ดา้ นการอนรุ ักษ์ได้ เช่นเดียวกับงานวจิ ัยของ ชณิตา ประดษิ ฐส์ ถาพร และคณะ (2562) ทพ่ี บวา่ การจดั กจิ กรรมอนรุ กั ษผ์ กั พนื้ บา้ นใหเ้ ดก็ เยาวชน คนในชมุ ชน ท�ำให้เยาวชนส่วนใหญ่มีระดับจิตสำ� นึกพัฒนาชุมชนด้านการเห็นคุณค่าเพิ่มขึ้น นอกจากน้ี คนในชุมชนยังเสนอแนะให้มีการใช้สื่อแบบผสมผสาน โดยใช้ทั้งสือ่ บคุ คล สอื่ กระจายเสยี ง และสอื่ ใหม่ ซงึ่ สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ เรอื่ งการสรา้ งสรรค์ และผลติ สอื่ ชมุ ชนเพอื่ การประชาสมั พนั ธโ์ ดยคนภายในชมุ ชน (กำ� จร หลยุ ยะพงศ,์ 2555) ในประเด็นการสร้างสรรค์และผลิตส่ือชุมชนโดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วม 72 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

และการใชส้ อ่ื แบบผสมผสาน โดยหากมกี ารใชส้ อื่ แบบผสมผสาน ทงั้ สอื่ กจิ กรรม สื่อบุคคล สื่อพธิ ีกรรมทางศาสนา หอกระจายข่าว/เสียงตามสาย สอ่ื ป้าย และ สอ่ื ใหม่ จะทำ� ใหก้ ารส่อื สารมีประสทิ ธภิ าพมากขึ้น ปัจจยั ที่ส่งผลตอ่ การพัฒนาศักยภาพของนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถ่ิน จากการสัมภาษณ์ (interview) การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม (participant observation) และข้อมูลจากแบบสอบถาม (questionnaire) ได้ ข้อสรุปปัจจัยที่ส่งผลต่อการเสริมศักยภาพนักสื่อสารชุมชนท้องถิ่นที่ส�ำคัญ 3 ประการ คือ 1. ทุนเดิมของบุคคล การประเมินผลลัพธ์การสร้างนักสื่อสารชุมชน ท้องถิ่นสอดคล้องกับแนวคิดเร่ืองทุน (capital) ซึ่งเป็นแนวคิดหลักข้อแรกของ ปแิ อร์ บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu) (กาญจนา แกว้ เทพ และสมสุข หินวิมาน, 2551) โดยผลการวจิ ยั สะทอ้ นถงึ “ทุน” เดิมของนกั สื่อสารชุมชนทอ้ งถนิ่ ทเี่ ป็น ปัจจัยเชื่อมโยงกับศักยภาพการท�ำงาน หากนักส่ือสารชุมชนท้องถิ่นมีทุนทาง สงั คม (social capital) อันหมายถึง เครอื ขา่ ย (network) การทำ� งานหรอื การ ระดมการมีส่วนร่วมจะเป็นไปได้โดยง่าย ซึ่งสอดคล้องกับผลการประเมินระดับ ความพงึ พอใจของคนในชมุ ชนตอ่ การสอื่ สารของนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ทพี่ บวา่ ขอ้ ทม่ี รี ะดบั ความพงึ พอใจมากทสี่ ดุ คอื นกั สอื่ สารชมุ ชนสามารถสอ่ื สารเพอ่ื สรา้ ง การมีสว่ นรว่ มของคนในชมุ ชนได้ นอกจากนี้ หากนักส่ือสารชุมชนท้องถิ่นมตี ้นทนุ การท�ำงานกบั บคุ คลที่ มีความแตกต่างหลากหลาย จะท�ำให้มีความรู้/ความสามารถด้านการวิเคราะห์ ผรู้ บั สารเปน็ ทนุ เดมิ โดยสามารถวเิ คราะหผ์ รู้ บั สารตามเกณฑก์ ลมุ่ เปา้ หมายของ การสอ่ื สาร ลกั ษณะทางประชากรศาสตร์ ลกั ษณะการดำ� เนนิ ชวี ติ และวเิ คราะห์ ผู้รับสารด้วยระบบวัฒนธรรมได้ อีกท้ังยังมีความสามารถด้านการสร้างการมี สว่ นรว่ มโดยสามารถสอื่ สารเพอ่ื ของบประมาณ รวมทงั้ บคุ ลากรสนบั สนนุ การดำ� เนนิ กจิ กรรม/โครงการจากหนว่ ยงานภายนอก สามารถสอื่ สารเพอ่ื ระดมความรว่ มมอื จากคนในชมุ ชนให้เข้ามามสี ว่ นร่วมในการดำ� เนนิ กิจกรรม/โครงการ ท้งั ในระดับ กนั ยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   73

ของการเปน็ ผู้วางแผน การเปน็ ผู้ดำ� เนนิ กจิ กรรม และการเปน็ ผูเ้ ข้ารว่ มกิจกรรม เชิงรุก (active participants) ได้ เช่น กรณีทน่ี ักสอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ มบี ทบาท เป็นประธานชมุ ชน กรรมการสถานศึกษา อาสาสมัครชมุ ชน เป็นต้น 2. สถานภาพทางสงั คม นกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ทม่ี สี ถานภาพทางสงั คม เปน็ ผนู้ �ำทางศาสนา จะไมป่ ระเมนิ ความรู/้ ความสามารถของผ้สู ง่ สาร ด้านการ วางแผนกิจกรรม/โครงการ ในประเด็นของการวางแผนงบประมาณ เนื่องจาก การรับเงินทองจะไม่เกี่ยวข้องกับผู้น�ำทางศาสนา โดยประเด็นของการวางแผน งบประมาณน้ัน จะเชื่อมโยงไปสู่การส่ือสารเพื่อระดมทุนหรือของบประมาณ สนับสนุนจากหน่วยงานภายนอกในการดำ� เนินกิจกรรม/โครงการของนักส่ือสาร ชมุ ชน ทง้ั นี้ สถานภาพทางสงั คมทสี่ ง่ ผลในเชงิ บวกตอ่ การสรา้ งนกั สอ่ื สารชมุ ชน ท้องถ่ิน คือ การมีต�ำแหน่งในชุมชน ซ่ึงจะสามารถเช่ือมโยงไปสู่การสร้างการ มสี ่วนร่วมได้ 3. ความถใ่ี นการเขา้ รบั การอบรม หากแกนนำ� ชมุ ชนเขา้ สกู่ ระบวนการ สรา้ งนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ครบทกุ ขนั้ ตอน โดยเขา้ รบั การอบรมความรดู้ า้ นการ ส่ือสารอย่างต่อเน่ืองทุกคร้ัง จะเกิดความรู้/ความสามารถด้านการสื่อสารในมิติ ตา่ งๆ ซง่ึ สะท้อนการเปลย่ี นแปลงศกั ยภาพการสื่อสารได้อย่างชดั เจนเม่ือเปรยี บ เทียบระหว่างก่อนและหลังการอบรม โดยนักส่ือสารชุมชนท้องถิ่นจะมีความรู้ ความสามารถ ทั้งด้านการวิเคราะหผ์ ูร้ บั สาร การคัดเลอื กสื่อ การออกแบบสาร การวางแผนกจิ กรรม และการสรา้ งการมสี ว่ นรว่ ม อกี ทงั้ นกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ยังสามารถน�ำความรดู้ งั กลา่ วไปปรับใชไ้ ดอ้ ยา่ งหลากหลาย อภิปรายผล ผลทเี่ กดิ ขนึ้ จากการสรา้ งนกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ท�ำใหเ้ กดิ สถานการณ์ ใหมท่ เี่ ปลยี่ นแปลงไปจากเดมิ โดยเฉพาะการเปลยี่ นแปลงทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการพฒั นา ศกั ยภาพของตวั บคุ คล จนขยายผลไปยงั กลมุ่ และนำ� ไปสกู่ ารสรา้ งความตระหนกั รู้ ในเร่ืองของการอนุรักษ์ทรัพยากรของคนในชุมชน โดยมีการเปลี่ยนแปลงท่ีเกิด ขึ้นจากผลการดำ� เนนิ งาน ดังนี้ 74 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

1. การเปลย่ี นแปลงในระดบั บคุ คล เปน็ การเปลยี่ นแปลงศกั ยภาพดา้ น การสอื่ สารของนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ สงิ่ ทป่ี รากฏเปน็ รปู ธรรมจากกระบวนการ เสรมิ สรา้ งศกั ยภาพดา้ นการสอื่ สารใหก้ บั แกนนำ� ชมุ ชน คอื เกดิ นกั สอ่ื สารชมุ ชน ทอ้ งถน่ิ ทมี่ คี วามร/ู้ ความสามารถในการใชก้ ารสอื่ สารเพอ่ื ขบั เคลอื่ นงานใหเ้ ปน็ ไป ตามแผนชมุ ชนฯ ซง่ึ เปน็ การเปลีย่ นแปลงศกั ยภาพด้านการส่ือสารในตัวบุคคล 2. การเปล่ียนแปลงในระดับกลุ่ม ก่อนกระบวนการสร้างนักสื่อสาร ชมุ ชนท้องถน่ิ ชมุ ชนยงั ขาดการรวมกลุ่มคณะท�ำงานทีข่ ับเคลือ่ นการด�ำเนินงาน ด้านทรพั ยากรอยา่ งเปน็ ระบบ เช่น ขาดคณะกรรมการทมี่ ีความกระตอื รอื รน้ ใน การด�ำเนนิ งาน ขาดการจัดประชุมเพื่อขบั เคล่อื นงานอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ผลจากการ วิจัยก่อให้เกิดการรวมกลุ่มของคณะกรรมการป่าชายเลนจากการเข้าร่วมอบรม และการจัดประชุมเพ่ือขับเคล่ือนกิจกรรมในชุมชน ท�ำให้คณะกรรมการได้มี โอกาสพดู คยุ แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ กนั มากขน้ึ เกดิ การรวมกลมุ่ ทเี่ ปน็ รปู ธรรม 3. การเปล่ียนแปลงกลไกการจัดการการขับเคล่ือนแผนงานด้าน อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ผลจากกระบวนการวิจัยก่อให้เกิด การบริหารจัดการงานด้านทรัพยากรอย่างเป็นระบบ คือ มีการจัดลำ� ดับความ สำ� คญั ของกจิ กรรมทต่ี อ้ งดำ� เนนิ การกอ่ น-หลงั มกี ารวางแผนการดำ� เนนิ งาน/การ ประชาสมั พันธ์ และมกี ารประเมนิ ผลการดำ� เนินกิจกรรม โดยใชก้ ารส่อื สารเป็น เครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลและกิจกรรม ใช้การส่ือสารเพ่ือสร้างการ มีส่วนร่วมและสร้างจิตส�ำนึกด้านการอนุรักษ์ให้กับคนในชุมชน โดยนักส่ือสาร ชุมชนทอ้ งถิ่นมีการส�ำรวจสอ่ื ที่มอี ยูใ่ นชมุ ชน สอื่ ท่คี นในชุมชนเปิดรับสาร มีการ ออกแบบเน้ือหาในการส่ือสาร ใช้ความรู้เรื่องการส่ือสารต่อยอดไปยังกลุ่มอื่นๆ ในชุมชน เช่น กลุ่มผนู้ �ำทางศาสนา กลุ่มสตรี กลุ่มเยาวชน มีการมุ่งเน้นการมี สว่ นร่วมและการใช้สื่อแบบผสมผสาน โดยในประเดน็ เดยี วกันนกั ส่ือสารชมุ ชน ท้องถิ่นใช้รูปแบบการส่ือสารที่หลากหลาย ได้แก่ การสื่อสารผ่านส่ือบุคคล หอกระจายขา่ ว สอ่ื ใหม่ และสอื่ กจิ กรรม รวมทงั้ มกี ารวางแผนการประชาสมั พนั ธ์ ผา่ นสอ่ื ตามชว่ งเวลาทเี่ หมาะสม ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ เรอื่ งการสรา้ งสรรคแ์ ละ ผลติ สอ่ื ชมุ ชนเพอ่ื การประชาสมั พนั ธโ์ ดยคนภายในชมุ ชนทกี่ ลา่ ววา่ การผลติ สอ่ื กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   75

ชมุ ชน “โดย” และ “ของ” คนในชมุ ชน นอกจากคนในชมุ ชนจะเขา้ ใจเนอื้ หาความ ตอ้ งการแลว้ ยงั สรา้ งความรสู้ กึ รว่ มกนั ของชมุ ชน เพราะสรา้ งผา่ นวฒั นธรรมหรอื วธิ ีคิดของคนในชุมชน โดยมีกระบวนการคือ การวเิ คราะห์และส�ำรวจทรัพยากร ในชมุ ชน การวเิ คราะหแ์ ละสำ� รวจสอื่ ชมุ ชน การวเิ คราะหเ์ นอ้ื หาหรอื ประเดน็ ทจี่ ะ ส่ือสาร การเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนในสว่ นทีข่ าดหาย การบรหิ ารจัดการ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความยงั่ ยนื การสรา้ งสรรคแ์ ละผลติ สอ่ื ชมุ ชนโดยมงุ่ เนน้ การมสี ว่ นรว่ ม และการประสมส่ือ (mixed media) การเผยแพร่สื่อโดยค�ำนึงถึงระยะเวลา ในการเผยแพร่ สถานที่ การมีสว่ นรว่ มในการเผยแพร่ และมีการประเมนิ ผล ซึ่ง เป็นไปตามแนวคดิ เร่ืองการสรา้ งสรรคแ์ ละผลติ สอ่ื ชุมชนเพอื่ การประชาสมั พนั ธ์ โดยคนภายในชุมชน (ก�ำจร หลยุ ยะพงศ์, 2555) ผลกระทบท่เี กิดขน้ึ จากการเปล่ยี นแปลง หลงั กระบวนการสรา้ งนกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ และการประเมนิ ผลลพั ธ์ ของการสร้างนกั สื่อสารชมุ ชน ก่อใหเ้ กิดการเปลยี่ นแปลงใน 4 มติ ิ คอื 1. เกิดการขยายผลการสอ่ื สารส่กู ารขบั เคล่ือนงานดา้ นอนื่ ๆ จากการ ยกระดับแกนนำ� ชมุ ชน ซึ่งประกอบด้วยตวั แทนคณะกรรมการป่าชายเลน ผนู้ �ำ ทางศาสนา ตัวแทนกลุ่มสตรี ตวั แทนเยาวชน ใหเ้ ปน็ นกั ส่อื สารชมุ ชนท้องถนิ่ ท่ี สามารถใชอ้ งคค์ วามรู้ด้านการสือ่ สารเปน็ ฐานทุนขบั เคล่ือนงานดา้ นการอนรุ ักษ์ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง น�ำไปสู่การลดปัญหาท่ีเกิดข้ึนในพ้ืนท่ี เกิดการ สรา้ งจติ สำ� นกึ ดา้ นการอนรุ กั ษใ์ หก้ บั คนภายในชมุ ชนและภายนอกชมุ ชน นอกจากน้ี ยงั พบวา่ นกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ สามารถนำ� ศกั ยภาพดา้ นการสอ่ื สารไปขยายผล ขับเคล่ือนงานดา้ นอน่ื ๆ เช่น กจิ กรรมของอาสาสมัครชมุ ชน การประชาสมั พันธ์ ชุมชนให้คนภายนอกรจู้ กั มากยิง่ ขน้ึ เป็นต้น (ภาพท่ี 9) 76 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ภาพท่ี 9 การนำ� ความรเู้ รอื่ งการสอื่ สารไปใชป้ ระชาสมั พนั ธข์ อ้ มลู ของชมุ ชน ผา่ นทาง สถานีวทิ ยกุ ระจายเสยี งแห่งประเทศไทย “ได้น�ำความรู้ท่ีได้จากการอบรมไปสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน ในการจัดกิจกรรมต่างๆ มีความสามัคคีของคนในชุมชนมากขึ้น น�ำมาปรับใช้ ในการประชาสัมพันธข์ อ้ มูลผา่ นเสยี งตามสายหมู่ 2 เราเป็นทง้ั ผู้ให้ขอ้ มูล และ ผู้พูดประชาสัมพนั ธ”์ (นทั ธมน บญุ ยงั , ตวั แทนกลมุ่ สตรี, สมั ภาษณ์ 30 เมษายน 2562) “ได้รับรู้และมีความเข้าใจมากย่ิงข้ึนเกี่ยวกับการส่ือสาร เราสามารถ สือ่ สารกบั ผคู้ นในชุมชนมากยิง่ ขนึ้ ใหไ้ ดร้ ับรขู้ ่าวสาร” (อุรุพงศ์ บลิ โต๊ะหมดุ , ตัวแทนเยาวชน, สัมภาษณ์ 28 มถิ ุนายน 2562) “เราไดช้ กั ชวนชาวบา้ นในชมุ ชนมารว่ มกจิ กรรม ไดส้ อ่ื สารใหค้ นมาเขา้ รว่ ม กิจกรรมในชุมชนไม่ต่�ำกว่า 500 คนต่อเดือน ได้ใช้ความรู้เร่ืองการท�ำส่ือ ประชาสัมพนั ธใ์ ห้กบั หน่วยงาน สถาบันการศึกษาได้รูจ้ กั ต�ำบลหัวเขามากขน้ึ ” (ยทุ ธนา จติ ตโ์ ตะ๊ หลำ� , คณะกรรมการปา่ ชายเลน, สมั ภาษณ์ 30 เมษายน 2562) กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   77

จากผลการวิจัยสะท้อนว่า กระบวนการฝึกอบรมสามารถเพ่ิมเติม ศักยภาพท่ีขาดหายของบุคคลในมิติต่างๆ น�ำไปสู่การขับเคลื่อนงานอย่างมี ประสทิ ธภิ าพยง่ิ ขนึ้ เชน่ เดยี วกบั งานวจิ ยั ของ วนั ชยั เลศิ ฤทธิ์ และคณะ (2556) ทพ่ี บวา่ ผเู้ ขา้ รบั การฝกึ อบรมสามารถน�ำความรทู้ ไ่ี ดไ้ ปใชใ้ นการบรหิ ารจดั การใน กิจกรรมของกลุม่ ตนเองไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพ และเปน็ ระบบมากยิ่งขน้ึ 2. เกิดการขยายผลสู่การสร้างการมีส่วนร่วมทั้งภายในและภายนอก ชมุ ชน นอกเหนอื จากเกดิ การรวมกลมุ่ ของคณะกรรมการปา่ ชายเลนแลว้ ผลการ ด�ำเนินงานยังขยายผลสู่การสร้างการมีส่วนร่วมของกลุ่มต่างๆ ทั้งภายในและ ภายนอกชุมชน เช่น กลุ่มผู้น�ำทางศาสนา กลุ่มสตรี กลุ่มเยาวชน สถาบัน การศึกษา กลุ่มอาสาสมัครชุมชน หน่วยงานภายนอกท่ีเข้ามาศึกษาดูงานหรือ สนบั สนนุ การด�ำเนนิ กจิ กรรมของชมุ ชน ฯลฯ ซง่ึ เปน็ สว่ นส�ำคญั ในการขบั เคลอ่ื น งานดา้ นอนรุ กั ษ์ โดยในการจดั กจิ กรรมกลมุ่ แกนนำ� มงุ่ เนน้ การใชก้ ารสอ่ื สารเพอ่ื สร้างการมีส่วนร่วม เช่น การเปิดโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายได้ซักถาม ร่วมแลก เปลี่ยนเรยี นรู้ แสดงความคิดเหน็ เป็นต้น (ภาพที่ 10) ภาพท่ี 10 การน�ำความรู้ที่ได้จากการอบรมไปใช้ในการจัดกิจกรรมด้านอนุรักษ์ ทรัพยากรของคณะกรรมการป่าชายเลน 78 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

3. เกิดการขับเคลื่อนแผนงานด้านอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและ ชายฝง่ั อยา่ งเปน็ ระบบ กลา่ วคอื มกี ารรวมกลมุ่ ทช่ี ดั เจนมากขน้ึ มกี ารจดั ประชมุ คณะกรรมการด�ำเนินงาน โดยใช้การสื่อสารเป็นเคร่ืองมือในการบริหารจัดการ งาน จากการเติมเตม็ องคค์ วามรูด้ า้ นการส่อื สาร พบวา่ นักส่อื สารชุมชนทอ้ งถิน่ สามารถเลอื กใชร้ ปู แบบการสอื่ สารไดอ้ ยา่ งเหมาะสม โดยเฉพาะการใชก้ ารสอื่ สาร เพอื่ สรา้ งการมสี ว่ นรว่ มทง้ั จากคนภายในชมุ ชนและภายนอกชมุ ชน มกี ารวางแผน การด�ำเนินงานโดยมุ่งเน้นการร่วมคิด ร่วมท�ำ และร่วมขับเคล่ือนงานจากผู้ที่มี สว่ นเกี่ยวข้อง (stakeholders) “ผลจากการได้ประโยชน์หลังจากการอบรม มีการของบประมาณจาก หนว่ ยงานภายนอกมากยิ่งขน้ึ เพราะได้จากส่ือและการทอ่ งเท่ียวในชมุ ชน การ ประชาสมั พนั ธ์ การเขยี นโครงการตา่ งๆ และรจู้ กั การระดมชมุ ชนเพอื่ ทำ� กจิ กรรม ตา่ งๆ มากข้ึนกวา่ เดิม และชมุ ชนทีไ่ ม่เคยร่วมกิจกรรมกไ็ ดม้ าอบรมมากข้นึ ใน ชุมชน เพราะการใชส้ ่ือด้านต่างๆ” (เฉลยี ว พมิ พาชะโร, คณะกรรมการปา่ ชายเลน, สมั ภาษณ์ 30 เมษายน 2562) 4. เกิดการแก้ปัญหาการด�ำเนินงานด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรทาง ทะเลและชายฝั่ง จากการใช้การสื่อสารเพ่ือสร้างการมีส่วนร่วมในการร่วมคุย ร่วมคิด ร่วมด�ำเนินกิจกรรม รวมท้ังใช้การส่ือสารในการปลูกฝังจิตสำ� นึกด้าน การอนรุ กั ษใ์ ห้กบั กลุม่ ผู้รับสารทีห่ ลากหลาย โดยเฉพาะเยาวชนคนรนุ่ ใหมผ่ ่าน การใชส้ อ่ื กจิ กรรมปลกู ปา่ ปลอ่ ยปู และกจิ กรรมอนื่ ๆ สง่ ผลใหก้ ลมุ่ เปา้ หมายเกดิ ความตระหนกั รเู้ รอ่ื งการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรทางทะเลและชายฝง่ั เชน่ การอนรุ กั ษ์ ทรัพยากรปา่ ชายเลน การอนรุ ักษ์พันธ์สุ ตั ว์นำ�้ ซ่งึ นำ� ไปส่กู ารรว่ มกันดแู ลรกั ษา ทรพั ยากรใหเ้ กดิ ความยงั่ ยนื ในอนาคต นอกจากน้ี นกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ยงั ได้ ใชก้ ารสอ่ื สารขบั เคลอื่ นงานอนื่ ๆ ในชมุ ชน ไดแ้ ก่ การจดั กจิ กรรมสำ� หรบั เยาวชน การจดั การปัญหาขยะในชุมชน เปน็ ตน้ (ภาพท่ี 11) กันยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   79

ภาพที่ 11 การนำ� ความรทู้ ไ่ี ดจ้ ากการอบรมไปใชใ้ นการจดั กจิ กรรมรณรงคแ์ ละกจิ กรรม ดา้ นการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรทางทะเลและชายฝง่ั ของตวั แทนสตรแี ละตวั แทน เยาวชน ผลลัพธ์ที่เกิดข้ึนจากงานวิจัย ท�ำให้ชุมชนสามารถใช้องค์ความรู้ขับ เคลือ่ นการด�ำเนินงาน ขยายผลสู่การสรา้ งการมีส่วนรว่ มโดยใชอ้ งคค์ วามรูด้ ้าน การสื่อสารในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลไปยังกลุ่มคนในชุมชนและหน่วยงาน ภายนอก เป็นการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดข้ึนจากพลังความรู้ สู่การระดมความคิด และพลังของกลุ่มคน จนผลักดันสู่การแก้ปัญหาเร่ืองการอนุรักษ์ทรัพยากรทาง ทะเลและชายฝ่งั อย่างเปน็ ระบบ ทม่ี ีความครบถว้ นทงั้ กระบวนการวางแผน การ ด�ำเนินงาน และการประเมินผล การน�ำไปใชป้ ระโยชน์ในมิตติ า่ งๆ 1. การน�ำไปใช้ประโยชน์ในมิติของชุมชน นักส่ือสารชุมชนท้องถิ่น สามารถน�ำความรู้เร่ืองการส่ือสารไปปรับใช้ในการออกแบบการส่ือสาร โดย คำ� นงึ ถงึ ความต้องการของผูร้ ับสาร กลา่ วคือ สามารถเลือกใชส้ ื่อและออกแบบ สารได้เหมาะสมกับผู้รับสาร และค�ำนึงถึงการสื่อสารที่มีความสอดคล้องกับ บริบทชุมชน โดยเลือกใช้สื่อที่คนในชุมชนเปิดรับหรือส่ือที่มีอยู่ในชุมชน เช่น สื่อบคุ คล สื่อกจิ กรรม สือ่ พธิ ีกรรมทางศาสนา ส่ือปา้ ย และสื่อใหม่ (Facebook 80 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

และ Line) รวมทง้ั การใชส้ ือ่ แบบผสมผสาน (mixed media) เพอ่ื ให้การสื่อสาร เกดิ ประสิทธิผลสงู สุด นอกจากน้ี ชุมชนยังได้เรียนรู้การจดั ท�ำสอ่ื ปา้ ย ซง่ึ มขี อ้ จำ� กดั เรอื่ งความ สนใจของคนในชมุ ชน ใหก้ ลายเปน็ สอื่ มชี วี ติ ทค่ี นในชมุ ชนใหค้ วามสนใจ รสู้ กึ เปน็ เจา้ ของ ผา่ นการจดั กจิ กรรมทรี่ ะดมการมสี ว่ นรว่ มของคนหลากหลายกลมุ่ สง่ ผล ต่อการสร้างความรู้สึกผูกพันและเป็นเจ้าของส่ือ ทำ� ให้สื่อดังกล่าวมีอิทธิพลต่อ คนในชุมชน 2. การน�ำไปใช้ประโยชนใ์ นมติ ขิ องพน้ื ท่ีอื่นๆ สามารถโยกองคค์ วามรู้ ดา้ นการสอื่ สารจากกระบวนการสรา้ งนกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถนิ่ ตำ� บลหวั เขา อำ� เภอ สิงหนคร จังหวัดสงขลา ซึ่งประกอบด้วยองค์ความรู้เรื่องสื่อและการสื่อสาร แนวทางการสอ่ื สาร แผนการประชาสัมพนั ธก์ จิ กรรม/โครงการ/แผนชมุ ชน และ การผลิตสอ่ื ไปปรบั ประยกุ ต์ใช้ในพื้นท่อี น่ื ๆ ได้ โดยสามารถคดั เลือกหรอื เพิม่ เติมประเด็นที่มีความเหมาะสมกับบริบทพื้นทีข่ องตนเอง ข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งน้ีสามารถสะท้อนปัจจัยความสำ� เร็จของกระบวนการสร้าง นักส่ือสารชุมชนท้องถ่ิน ทุนบุคคลอันเป็นทรัพยากรสำ� คัญของชุมชน โดยชี้ให้ เห็นว่า หากแกนน�ำชุมชนมีศักยภาพด้านการส่ือสารจะสามารถขับเคลื่อนงาน ได้อย่างมีประสทิ ธิภาพย่ิงขน้ึ โดยใช้การส่ือสารเป็นเครอ่ื งมือ ดังนัน้ การสร้าง นกั สอื่ สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ใหเ้ ปน็ ผฉู้ ลาดใชก้ ารสอ่ื สารจงึ สามารถเออ้ื ประโยชนต์ อ่ ชุมชนไดห้ ลากหลาย และสำ� หรับการประเมนิ ผลลัพธก์ ารสร้างนักส่อื สารชุมชน ท้องถ่ินน้ัน ท�ำให้ทราบจุดเด่นและข้อควรปรับปรุงในด้านศักยภาพการส่ือสาร ของทนุ บคุ คล อนั จะนำ� ไปสกู่ ารขบั เคลอื่ นงานดา้ นการอนรุ กั ษท์ รพั ยากรในชมุ ชน ตลอดจนงานด้านอ่นื ๆ ต่อไป ท้ังนี้ การประเมินผลลัพธ์ของการสร้างนักสื่อสารชุมชนท้องถิ่น ควร มีการเก็บข้อมูลจากกลุ่มคนภายนอกชุมชนร่วมด้วย เช่น สถาบันการศึกษา หรอื หน่วยงานต่างๆ ทีเ่ ขา้ มาศึกษาดูงาน หน่วยงานภายนอกที่ใหก้ ารสนบั สนุน กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   81

การด�ำเนินกิจกรรมของชุมชน ฯลฯ เน่ืองจากกลุ่มเป้าหมายในการสื่อสารของ นกั สอ่ื สารชมุ ชนทอ้ งถน่ิ ประกอบดว้ ยกลมุ่ คนภายในชมุ ชน และกลมุ่ คนภายนอก ชุมชนที่เข้ามาศึกษาดูงานหรือร่วมกิจกรรมต่างๆ ของชุมชน เพ่ือน�ำผลการ ประเมนิ ท่ไี ดไ้ ปพฒั นาศกั ยภาพดา้ นอื่นๆ ของนักสื่อสารชุมชนทอ้ งถิน่ ต่อไป บรรณานุกรม ภาษาไทย กรรณิการ์ อัศวดรเดชา (2550), การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ, กรุงเทพฯ: ส�ำนักพิมพ์แห่ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . กาญจนา แก้วเทพ (2551), การจัดการความรู้เบื้องต้นเร่ือง “การส่ือสารชุมชน”, กรุงเทพฯ: ส�ำนักงานกองทนุ สนับสนนุ การวิจยั (สกว.). กาญจนา แกว้ เทพ และคณะ (2543), สอ่ื สารชมุ ชน: การประมวลองคค์ วามร,ู้ กรงุ เทพฯ: สำ� นกั งาน กองทนุ สนบั สนุนการวิจัย (สกว.). กาญจนา แก้วเทพ และสมสขุ หนิ วมิ าน (2551), สายธารแห่งนักคดิ ทฤษฎเี ศรษฐศาสตร์การเมือง และสือ่ สารศกึ ษา, กรุงเทพฯ: ภาพพมิ พ.์ ก�ำจร หลุยยะพงศ์ (2555), การสร้างสรรค์และผลิตสื่อชุมชนเพ่ือการประชาสัมพันธ์, นนทบุรี: สำ� นกั พมิ พ์มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช. เจรญิ เนตร แสงดวงแข และสนิ ี กิตติชนม์วรกุล (2558), โครงการการสื่อสารคณุ คา่ ของงานความรู้ เพ่ือการพัฒนาพน้ื ท:ี่ “การใช้สอื่ เพ่อื การพัฒนาชุมชนต�ำบลเกาะสาหร่าย จงั หวัดสตลู ”, กรงุ เทพฯ: ส�ำนกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ัย (สกว.). _________. (2559), การสร้างนักส่ือสารชุมชนทอ้ งถิ่นในการเผยแพรแ่ ผนชุมชน เพื่อธำ� รงรกั ษา ป่าชายเลนชุมชนต�ำบลหัวเขา จังหวัดสงขลา, ใน ชดุ โครงการ “การใช้ประโยชน์จากงาน วจิ ยั ดว้ ยเคร่อื งมอื การส่ือสาร” สำ� นกั งานกองทนุ สนับสนุนการวิจยั (สกว.). ชณิตา ประดิษฐ์สถาพร และคณะ (2562), “การพัฒนาจิตส�ำนึกคนในท้องถ่ินต่อการอนุรักษ์ ผักพ้ืนบ้าน ต�ำบลแม่ใส จังหวัดพะเยา”, วารสารวิจัยเพ่ือการพัฒนาเชิงพื้นท่ี, 11(3): 205-217. นษิ ฐา หรนุ่ เกษม (2561), “การบรู ณาการการเรยี นการสอนกบั การสอื่ สารเพอื่ ใชป้ ระโยชนง์ านวจิ ยั : “ส้มโอโมเดล””, วารสารวิจัยเพ่อื การพฒั นาเชงิ พ้นื ที,่ 10(3): 200-213. ปารชิ าติ สถาปติ านนท์ (2549), ระเบยี บวธิ วี จิ ยั การสอื่ สาร, กรงุ เทพฯ: ส�ำนกั พมิ พแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั . พไิ ลวรรณ ประพฤติ และคณะ (2557), การศกึ ษาการทำ� แผนชุมชนพหุวฒั นธรรมในการบรหิ าร จัดการการใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศบริการป่าชายเลน ตำ� บลหัวเขา จังหวัดสงขลา, กรุงเทพฯ: สำ� นกั งานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ยั (สกว.). 82 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ไพบูลย์ เติมสมเกตุ และคณะ (2560), “การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชายฝั่งอ่าวไทย: กรณีศึกษา จังหวัดระยอง และจังหวดั จนั ทบุร”ี , วารสารเกษมบณั ฑิต, 18(1): 97-105. เรวดี เพชรศิราสณั ห์ และคณะ (2561), “กระบวนการพัฒนาศกั ยภาพภาคีเครอื ขา่ ยสุขภาพระดบั ต�ำบลต่อการจัดระบบดูแลผู้สูงอายุระยะยาว ต�ำบลท่าข้ึน จังหวัดนครศรีธรรมราช”, วารสารวจิ ัยเพือ่ การพัฒนาเชิงพ้นื ท,ี่ 10(6): 483-494. วันชัย เลิศฤทธิ์ และคณะ (2556), โครงการสร้างกระบวนการเรียนรู้เพื่อเพ่ิมประสิทธิภาพงาน วสิ าหกจิ ชมุ ชน จงั หวดั ชยั นาท, ใน ชดุ โครงการ “ความรว่ มมอื เพอื่ แกป้ ญั หาความยากจน การพฒั นา สังคมและสขุ ภาวะ” ส�ำนักงานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ัย (สกว.). ศุภศิลป์ กุลจิตต์เจือวงศ์ (2560), “การวิเคราะห์ผู้รับสารในยุคดิจิทัล”, วารสารมนุษยศาสตร์ สงั คมศาสตร,์ 34(1): 168-187. สมนึก หงส์วเิ ศษ และคณะ (2556), รปู แบบการจดั การทรัพยากรทางทะเลและพืน้ ทช่ี ายฝง่ั โดย การมสี ่วนร่วมของชุมชนและองคก์ ารบรหิ ารสว่ นต�ำบลแหลมกลัด อ�ำเภอเมอื ง จงั หวดั ตราด, กรงุ เทพฯ: ส�ำนักงานกองทุนสนับสนนุ การวจิ ัย (สกว.) ฝา่ ยวจิ ัยเพือ่ ท้องถ่ิน. ภาษาอังกฤษ Fiedler, F. (1967), A Theory of Leadership Effectiveness, New York: Mcgraw-Hill. Wood, M. and Fowlie, J. (2013), “Using Community Communicators to Build Trust and Understanding between Local Councils and Residents in the United Kingdom”, Local Economy, 28(6): 527-538. สอ่ื ออนไลน์ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (2562), ข้อมูลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจังหวัดสงขลา, สบื ค้นเมื่อ 1 ตุลาคม 2562 จาก https://www.dmcr.go.th/detailLib/3756 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝง่ั (2562), พระราชบัญญัติสง่ เสรมิ การบรหิ ารจัดการทรัพยากร ทางทะเลและชายฝัง่ พ.ศ. 2558, สืบค้นเมอ่ื 1 ตุลาคม 2562 จาก https://www.dmcr. go.th/detailAll/11145/doc/81/ แผนแมบ่ ทการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2560-2579 (2562), สบื ค้น เม่อื 1 ตลุ าคม 2562 จาก http://www.oic.go.th/FILEWEB/CABINFOCENTER15/ DRAWER056/GENERAL/DATA ศศิพรรณ บิลมาโนช (มปป.), เอกสารประกอบการสอนวิชา การวิเคราะห์ผู้รับสาร Audience Analysis, สบื คน้ เมอ่ื 17 พฤศจกิ ายน 2562 จาก http://www.mac.ru.ac.th/wp-content/ uploads/2018/05/mcs2361.pdf กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   83

การน�ำเสนอเน้ือหาเกีย่ วกบั ผู้สมคั รเลือกตั้ง สมาชกิ สภาผู้แทนราษฎร ในการเลือกตัง้ ทัว่ ไป พ.ศ. 2562 ของหนังสือพิมพ์ท้องถิน่ ล�ำปางและสงขลา1 รจุ น์ โกมลบตุ ร2 และคณะ3 บทคดั ยอ่ บทความเรื่อง “การน�ำเสนอเน้ือหาเกี่ยวกับผู้สมัครเลือกต้ังสมาชิก สภาผแู้ ทนราษฎร ในการเลอื กต้ังท่ัวไป พ.ศ. 2562 ของหนังสือพมิ พท์ ้องถน่ิ ลำ� ปางและสงขลา” เปน็ ผลมาจากการศึกษาในหวั ขอ้ เดียวกนั มีจุดประสงค์เพอ่ื ศึกษาการน�ำเสนอเน้ือหาเกี่ยวกับผู้สมัครเลือกต้ังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของ หนังสอื พิมพท์ ้องถ่นิ ลำ� ปางและสงขลาวา่ มกี ารนำ� เสนอเปน็ อย่างไร การศึกษา ในครั้งน้ีเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ และใช้แนวคิดเก่ียวกับบทบาทหน้าท่ี และ จรยิ ธรรมของส่ือมวลชน วธิ กี ารศกึ ษาคือ ศึกษาหนังสือพมิ พท์ ้องถ่นิ ช้นั นำ� 2 ช่อื ฉบับในจงั หวัด ล�ำปาง ได้แก่ แมงมมุ (รายสัปดาห์ เน้นข่าวอาชญากรรม) ลานนาโพสต์ (ราย สปั ดาห์ เนน้ ข่าวเศรษฐกิจ การเมอื ง สังคม และอาชญากรรม) และ 1 ชอ่ื ฉบบั ในจงั หวดั สงขลา คอื ภาคใตโ้ ฟกสั (รายสัปดาห์ เน้นขา่ วเศรษฐกิจ การเมือง * วนั ที่รบั บทความ 19 เมษายน 2563; วนั ท่แี ก้ไขบทความ 22 พฤษภาคม 2563; วันท่ีตอบรับบทความ 30 มิถนุ ายน 2563. 1 พัฒนาจากการศึกษาเรื่องเดียวกัน ดำ� เนินการโดย โครงการวารสารศาสตร์ฯ ศึกษาหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ปีท่ี 7 คณะวารสารศาสตรแ์ ละสือ่ สารมวลชน มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ระหว่างวันที่ 16-24 พฤศจิกายน 2562 ทีจ่ งั หวัดล�ำปาง สนบั สนนุ โดยคณะวารสารศาสตรแ์ ละสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ 2 รองศาสตราจารย์ ประจ�ำกลุ่มวิชาวารสารศาสตร์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และผรู้ บั ผิดชอบโครงการวารสารศาสตร์ฯ ศกึ ษาหนังสือพมิ พ์ท้องถนิ่ ปีที่ 7 3 สมาชิกของโครงการวารสารศาสตร์ฯ ศกึ ษาหนงั สอื พมิ พ์ท้องถิ่น ปที ่ี 7 ท่ีรว่ มท�ำการศึกษามี 7 คน ไดแ้ ก่ ชตุ กิ าญจน์ ออ่ นเอม ณฎั ฐ์ พว่ งแสง ณฐั ชา ชงิ โชคชยั มารยาท บญุ รตั น์ วรทั ยา ปทั มวทิ รู ศริ กิ ร เออ้ื ไพจติ ร และรุจน์ โกมลบตุ ร 84 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

สงั คม) ออกจำ� หนา่ ยในชว่ งทพี่ ระราชกฤษฎกี ากำ� หนดใหม้ กี ารเลอื กตงั้ (ระหวา่ ง 23 มกราคม ถงึ 24 มนี าคม 2562) รวม 2 เดอื น ทงั้ นจ้ี ะพจิ ารณาขา่ ว บทความ และภาพข่าวท่ีปรากฏในทุกหน้าว่า มีเนอ้ื หาเก่ยี วกับผ้สู มคั รเลือกตัง้ ส.ส. ของ พรรคการเมืองตา่ งๆ ในปรมิ าณเทา่ ใด รูปแบบใด และหนังสือพมิ พม์ จี ดุ ยืนต่อ ผูส้ มัครอยา่ งไร โดยมีหนว่ ยเปน็ ช้ินและตารางนิ้ว ผลการศึกษาพบว่า หนังสือพมิ พท์ ้องถนิ่ ทง้ั 3 ชอื่ ฉบับน�ำเสนอเน้ือหาที่ เกยี่ วขอ้ งกบั ผสู้ มคั รเลอื กตง้ั ส.ส. จำ� นวน 188 ชนิ้ ในพน้ื ที่ 5,786.37 ตารางนวิ้ หรือคิดเป็นร้อยละ 4.59 ของพื้นท่ีการน�ำเสนอทั้งหมด โดยหนังสือพิมพ์ ภาคใตโ้ ฟกสั มสี ดั สว่ นการน�ำเสนอมากทส่ี ดุ (รอ้ ยละ 5.47 ของพนื้ ท)ี่ ตามดว้ ย หนังสอื พมิ พ์ ลานนาโพสต์ (รอ้ ยละ 5.31) และหนงั สือพมิ พ์ แมงมุม (ร้อยละ 3.21) กลุ่มตัวอย่างมีพื้นท่ีที่น�ำเสนอเน้ือหาเก่ียวกับพรรคเพื่อไทยมากที่สุด (รอ้ ยละ 32.98) ตามดว้ ยพรรคการเมอื งอน่ื ๆ (รอ้ ยละ 18.29) พรรคพลงั ประชารฐั (รอ้ ยละ 15.68) พรรคประชาธิปัตย์ (รอ้ ยละ 16.13) พรรคภูมใิ จไทย (รอ้ ยละ 10.16) และพรรคอนาคตใหม่ (ร้อยละ 6.76) หนังสือพิมพ์ แมงมุม ใช้พ้ืนท่ีจ�ำนวนมาก (ร้อยละ 82.14) ในการ น�ำเสนอเกยี่ วกับพรรคเพ่อื ไทยในจุดยืนบวก ขณะทีห่ นังสือพมิ พ์ ลานนาโพสต์ ใชพ้ น้ื ทจ่ี ำ� นวนมากนำ� เสนอเกย่ี วกบั พรรคเพอ่ื ไทยในจดุ ยนื บวก (รอ้ ยละ 33.51) และพรรคพลังประชารัฐในจดุ ยนื ลบ (รอ้ ยละ 29.61) ส่วนหนังสือพิมพ์ ภาคใต้ โฟกสั นำ� เสนอเก่ยี วกบั พรรคอ่ืนๆ ในจุดยนื บวก (ร้อยละ 31.88) โดยพาดพงิ พรรคเพ่ือไทยและพรรคอนาคตใหม่น้อยมาก ขอ้ เสนอแนะของการศึกษาคอื หนงั สอื พมิ พท์ ้องถิน่ ควรนำ� เสนอเนื้อหา เกยี่ วกบั ผู้สมัคร ส.ส. ของพรรคการเมอื งต่างๆ ในปริมาณท่ีใกลเ้ คียงกัน เพ่ือให้ เกดิ ความเปน็ ธรรมตอ่ การแขง่ ขนั เลอื กตง้ั และประชาชนควรเปดิ รบั ขา่ วสารจาก หลากหลายแหล่ง เพือ่ ให้ได้ข้อมลู ทร่ี อบด้านพอต่อการตดั สินใจที่แม่นยำ� คำ� ส�ำคัญ: หนังสือพิมพ์ทอ้ งถ่นิ การวเิ คราะหเ์ นอ้ื หา การเลอื กต้งั ทัว่ ไป กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   85

Presentations of Contents Related to Candidates for Members of Parliament in the 2019 General Election in Local Newspapers in Lampang and Songkla Ruj Komonbut4 et al. Abstract The article titled “Presentations of Contents Related to Candidates for Members of Parliament in the 2019 General Election in Local Newspapers in Lampang and Songkla” is resulting from a research of the same subject. The research aims at studying how the contents related to candidates for Member of Parliament are presented in local newspapers in Lampang and Songkla. This study applies a qualitative approach and uses a theoretical concept of roles and ethics/codes of conduct of media as a framework. The research methodology is to study the two leading local newspapers in Lampang, which are Mang Moom (published weekly, focusing on criminal news) and the Lanna Post (published weekly, focusing on economic, political, social and criminal news) and one leading local newspaper in Songkla which is the Pak Tai Focus (published weekly, focusing on economic, political and social news). These newspapers were published during the two months (between 23 January and 24 March 2019) designated for the election as specified in the royal decree. The 4 Associate Professor, Department of Journalism, Faculty of Journalism and Mass Communication, Thammasat University. 86 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

study reviewed news, articles and news photos published in all pages to identify if there were any contents related to the political parties’ candidates; the amount presented; and the newspapers’ perspectives on the candidates. The analysis is in pieces and square inch. The study reveals that all three local newspapers reported on the candidates in 188 pieces, with 5,786.37 square inches, or calculating at 4.59% of news presentation’s space. The Pak Tai Focus had the best ratio in presenting (5.4% of space), and followed by the Lanna Post (5.31%) and the Mang Moom (3.21%) respectively. The samplings presented contents on Pheu Thai the most (32.98%), and followed by other parties (18.29%), Palang Pracharath (15.68%), Democrat (16.13%), the Bhumjaithai (10.16%) and Future Forward (6.76%). The Mang Moom used the most space (82.14%) to present positive aspects for Pheu Thai. The Lanna Post presented positive aspects for Pheu Thai (33.51%) and negative aspects for Palang Pracharath (29.61%). The Pak Tai Focus presented positive narratives for other parties (31.88%) and hardly reported on Pheu Thai and Future Forward. The recommendations are; the local newspaper should equally present news and contents for all candidates from all parties in order to create a fair competition for the election. The audience should receive news and information from multiple sources/channels to make an informed decision. Keywords: local newspapers, content analysis, general election กนั ยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   87

ความเป็นมาและความสำ� คัญของปญั หา หนังสือพิมพ์เป็นภาคส่วนหน่ึงของสังคมที่มีความส�ำคัญในการเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพคนไทย โดย เฉพาะอย่างย่ิงในสังคมท่ีปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย หนังสือพิมพ์ได้รับ การยอมรับและยกยอ่ งว่าเปน็ สถาบันสาธารณะทีม่ ีบทบาท ภารกิจ หนา้ ท่ี สทิ ธิ เสรีภาพผูกพันกับสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผ่านการน�ำเสนอข้อมูล ข่าวสารท่ีประชาชนต้องการรับรู้ และจ�ำเป็นต้องรับรู้ในการด�ำรงชีวิตประจ�ำวัน เพื่อชว่ ยยกระดับคุณภาพชวี ติ ให้ดีขึน้ (สิริทิพย์ ขนั สุวรรณ, 2555) ส�ำหรับหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ถือเป็นส่ือมวลชนที่ใกล้ชิดและเข้าถึงผู้รับ สารในทอ้ งถ่ินไดโ้ ดยงา่ ยและรวดเรว็ จงึ ถอื วา่ เปน็ รากฐานส�ำคัญของการพัฒนา ระบบการเมืองในท้องถ่ิน และในระดับชาติ ช่วยลดปัญหาความไม่เท่าเทียม กันของสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของประชาชน ดังนั้นหนังสือพิมพ์ท้องถ่ินจึงเป็น สื่อที่ชุมชนในสังคมต้องติดตาม เพ่ือให้เกิดความรู้และความเข้าใจความเป็นไป ในชุมชนของตน หน้าที่ส�ำคัญของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นคือการให้ข้อมูลข่าวสาร แก่ประชาชน ให้ประชาชนในชนบทตระหนักถึงการเป็นพลเมืองในระบอบ ประชาธิปไตยในรูปแบบต่างๆ และนำ� เสนอข่าวโดยให้ข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน และเป็นกระบอกเสยี งของประชาชน (ฑติ ยิ า เปล่ยี นเฉย, 2553) เมอื่ กลา่ วถงึ บทบาทของสอื่ ในการพฒั นาระบบการเมอื งแลว้ นกั การเมอื ง มักจะถ่ายทอดแนวคิด อุดมการณ์และนโยบายทางการเมอื งไปส่ปู ระชาชนผา่ น การสง่ ข้อความ โฆษณา หรอื ประชาสมั พนั ธ์ เพือ่ รณรงค์หาเสยี งผ่านส่อื ตา่ งๆ และอาจรวมถึงการสื่อสารในรูปแบบการโฆษณาชวนเชื่อ เพ่ือโน้มน้าวจิตใจให้ ประชาชนเกิดทศั นคตทิ ่ีดี ส่งผลให้เกิดการยอมรับและแสดงพฤตกิ รรมดว้ ยการ ลงคะแนนเสียงเลือกต้ังให้นักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่ตนให้ความไว้วางใจ ซึ่งกลยุทธ์การสื่อสารท่ีน�ำมาใช้เป็นเครื่องมือในการด�ำเนินกิจกรรมต่างๆ ของ พรรคการเมืองนั้นเรียกว่า “การส่ือสารทางการเมือง” (ธนภร เจริญธัญสกุล, 2549) 88 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ดังน้ัน ในทางปฏิบัติหนังสือพิมพ์ท้องถ่ินเอง จึงมีความสัมพันธ์กับ นักการเมอื งในลกั ษณะตา่ งๆ รวมทง้ั ถูกแทรกแซงจากนกั การเมืองได้ งานวิจัย เร่ือง สถานภาพและบทบาทของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นในประเทศไทย พบว่า ปรากฏการณ์ทีม่ ีผลกระทบต่อหนงั สอื พิมพ์สองอนั ดบั แรก คอื (1) นักการเมอื ง หรอื พรรคการเมอื งขอใหห้ นงั สอื พมิ พล์ งขา่ วเชยี ร์ รอ้ ยละ 38.1 และ (2) นกั การ เมอื งหรอื พรรคการเมอื งขอใหห้ นงั สอื พมิ พล์ ะเวน้ การลงขา่ วทม่ี ผี ลกระทบในทาง ลบร้อยละ 22.6 อกี ท้ังยังพบวา่ มหี นังสือพมิ พท์ ้องถน่ิ ร้อยละ 2.9 ท่มี ีนกั การ เมืองท้องถนิ่ เปน็ ผูบ้ ริหาร (บรรยงค์ สุวรรณผอ่ ง และคณะ, 2552) นอกจากน้ี มีการศึกษาพบว่า หนังสือพิมพ์บางจังหวัดในภาคเหนือ น�ำเสนอการเลือกต้ังสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และสภา องค์การบริหารส่วนต�ำบล (อบต.) ในพื้นที่ เนื่องจากหนังสือพิมพ์ใกล้ชิดกับ พรรคการเมืองบางพรรค ดงั นัน้ เมื่อนำ� เสนอขา่ วสาร กจ็ ะเนน้ สว่ นทเ่ี ก่ียวข้อง กับนักการเมืองที่ใกล้ชิด แต่ไม่นำ� เสนอนักการเมืองที่ไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด แมจ้ ะอยใู่ นประเดน็ ขา่ วสารเดยี วกนั (คณะวทิ ยาการจดั การ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสนุ นั ทา, 2552) และจากการศกึ ษาเรื่องการน�ำเสนอเนือ้ หาเกี่ยวกบั นักการ เมืองท้องถิน่ ของหนังสือพิมพ์ท้องถ่นิ ลำ� ปาง พบว่า หนังสือพิมพ์ท้องถ่นิ ลำ� ปาง นำ� เสนอเนอ้ื หาเก่ียวกับนกั การเมืองตามความใกล้ชิดสนิทสนม นำ� เสนอเนอื้ หา ตามทฝ่ี า่ ยประชาสมั พนั ธข์ องนกั การเมอื งสง่ เนอ้ื หาไปให้ หรอื นำ� เสนอเนอ้ื หาของ นักการเมืองที่เคยให้ความช่วยเหลือแก่หนังสือพิมพ์ ซ่ึงนอกจากจะทำ� ให้แหล่ง ข่าวกระจุกตัวแล้ว ยังสุ่มเสี่ยงต่อการละเมิดจริยธรรมในการท�ำหน้าท่ีผู้สื่อข่าว ด้วย (รุจน์ โกมลบตุ ร และคณะ, 2562) ทง้ั นี้ การเลอื กตงั้ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.) เปน็ การทว่ั ไป เมอื่ วนั ที่ 24 มนี าคม 2562 เปน็ ประเด็นใหญท่ สี่ ่อื มวลชนทง้ั ในประเทศและตา่ งประเทศ ใหค้ วามสนใจ เพราะเปน็ การเลอื กตงั้ ทวั่ ไปครง้ั แรกหลงั คณะรกั ษาความสงบแหง่ ชาติ (คสช.) นำ� โดย พลเอกประยทุ ธ์ จนั ทรโ์ อชา ท�ำรฐั ประหารยดึ อำ� นาจรฐั บาล รักษาการของ นวิ ฒั น์ธำ� รง บญุ ทรงไพศาล (รัฐบาลยิง่ ลกั ษณ์ ชนิ วตั ร) ในวันท่ี 22 พฤษภาคม 2557 จนท�ำให้รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550 กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   89

สิน้ สุดลง และไดป้ ระกาศใชร้ ัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ช่วั คราว) พ.ศ. 2557 แทน หลังจากถูกกดดันโดยประชาชนและนานาประเทศ ตั้งแต่ เดอื นมถิ นุ ายน พ.ศ. 2557 พลเอกประยทุ ธ์ ไดป้ ระกาศวา่ การเลอื กตง้ั ครงั้ ตอ่ ไป คาดว่าจะมีข้ึนในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 แต่ก็ไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ท้ัง ยังเลือ่ นการเลือกตั้งอกี 6 ครั้ง รวมเปน็ เวลากว่า 5 ปี (https://prachatai.com/ journal/2019/03/81662 สืบค้นเม่ือ 25 กุมภาพันธ์ 2563) ท�ำใหก้ ารเลอื กต้งั ในครง้ั น้ีได้รับความสนใจและความร่วมมอื จากทกุ ภาคส่วน เช่น มผี ้สู มัคร ส.ส. แบบแบ่งเขตกว่า 11,181 คน มากกว่าการเลือกตั้งคร้ังท่ีผ่านมาถึง 4.6 เท่า พรรคการเมอื งทีล่ งส้สู นามเลือกต้ังกวา่ 81 พรรค และเกนิ ครงึ่ เป็นพรรคต้ังใหม่ (https://ilaw.or.th/node/5181 สืบคน้ เมือ่ 25 กมุ ภาพันธ์ 2563) จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการท�ำหน้าท่ีของสื่อ โดยเฉพาะในด้านการ สื่อสารอย่างเป็นธรรม และเท่าเทียมต่อนักการเมือง และพรรคการเมืองต่างๆ บทความนจี้ ะแสดงผลการศกึ ษาในเรอื่ งการน�ำเสนอเนอ้ื หาเกย่ี วกบั ผสู้ มคั รเลอื กตง้ั ส.ส. ของหนงั สอื พมิ พ์ ลานนาโพสต์ หนงั สือพมิ พ์ แมงมมุ ซึ่งเปน็ หนงั สอื พมิ พ์ ทอ้ งถน่ิ จงั หวดั ลำ� ปาง และหนงั สอื พมิ พ์ ภาคใตโ้ ฟกสั ซง่ึ เปน็ หนงั สอื พมิ พท์ อ้ งถนิ่ จังหวัดสงขลา โดยการศึกษาจะมีวัตถุประสงค์เพ่ือเปิดเผยให้เห็นปริมาณการ นำ� เสนอเนอื้ หาเกยี่ วกบั ผสู้ มคั ร ส.ส. ในหนงั สอื พมิ พท์ อ้ งถนิ่ ทง้ั 3 ชอื่ ฉบบั ทงั้ ใน เชิงรปู แบบ แหล่งขา่ ว พรรคการเมือง จดุ ยืน และหน้าที่น�ำเสนอ เพ่ือสะทอ้ นให้ เหน็ การทำ� หนา้ ทขี่ องหนงั สอื พมิ พท์ อ้ งถน่ิ ในการน�ำเสนอเนอ้ื หาของผสู้ มคั ร ส.ส. ของพรรคการเมอื งตา่ งๆ ในจงั หวดั ลำ� ปางและสงขลา ในการเลอื กตง้ั ทวั่ ไปทผี่ า่ นมา โดยใชแ้ นวคิดเก่ียวกบั บทบาทหน้าที่ และจรยิ ธรรมของสื่อมวลชน ทีส่ ่อื ถูกคาด หวังให้ทำ� หนา้ ที่น�ำเสนอเน้ือหาอยา่ งเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย การศึกษาดังกล่าวใช้การวิเคราะห์เน้ือหา (content analysis) หนงั สอื พมิ พท์ อ้ งถน่ิ จงั หวดั ลำ� ปางจำ� นวน 2 ชอื่ ฉบบั คอื หนงั สอื พมิ พ์ ลานนาโพสต์ หนังสือพิมพ์ แมงมุม และหนังสือพิมพ์ท้องถ่ินจังหวัดสงขลา 1 ช่ือฉบับ คือ หนังสือพิมพ์ ภาคใต้โฟกัส ที่ตีพิมพ์หลังจากวันประกาศพระราชกฤษฎีกาการ เลอื กตงั้ (23 มกราคม 2562) จนถงึ วนั เลือกตั้ง (24 มนี าคม 2562) เพื่อ 90 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ศึกษาปริมาณข่าว บทความ และภาพขา่ วทุกหน้าทีม่ ีเนื้อหาเก่ียวขอ้ งกับผสู้ มัคร เลอื กตงั้ ส.ส. โดยจำ� แนกรปู แบบการนำ� เสนอ ชนดิ ของแหลง่ ขา่ ว พรรคการเมอื ง หน้าทน่ี �ำเสนอ และจดุ ยืนของหนังสอื พมิ พท์ ี่มตี ่อผูส้ มคั ร ส�ำหรับการเลือกศึกษาหนังสือพิมพ์ท้องถ่ินล�ำปาง เนื่องจากจังหวัด ล�ำปางเป็นจังหวัดที่มีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นออกวางจำ� หน่ายอย่างสม�่ำเสมอท่ีสุด จังหวัดหน่ึงของประเทศ โดยที่หนังสือพิมพ์ ลานนาโพสต์ เป็นหนังสือพิมพ์ รายสัปดาห์ท่ีมีนโยบายน�ำเสนอเนื้อหาที่เน้นการเมืองเศรษฐกิจและสังคม ขณะท่ีหนังสือพิมพ์ แมงมุม เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ มีนโยบายเน้นข่าว อาชญากรรม (รจุ น์ โกมลบุตร, 2552) ส่วนหนงั สือพิมพ์ ภาคใตโ้ ฟกัส จงั หวดั สงขลา เปน็ หนงั สอื พมิ พร์ ายสปั ดาหเ์ พยี งฉบบั เดยี วทอ่ี อกวางจ�ำหนา่ ยทกุ จงั หวดั ในเขตภาคใต้ แต่ในการศึกษาคร้ังน้ี จะเลือกศึกษาเฉพาะเนื้อหาที่เก่ียวกับ ผสู้ มคั รเลือกต้งั ส.ส. ของสงขลาเทา่ นัน้ ไมร่ วมจงั หวดั อื่นๆ นอกจากนี้ จะใช้ การสัมภาษณผ์ บู้ รหิ ารและบรรณาธกิ ารหนังสอื พมิ พท์ ้องถิ่นทั้ง 3 ชื่อฉบบั ด้วย การศึกษาในคร้ังน้ีเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ และใช้แนวคิดเกี่ยวกับ บทบาทหนา้ ท่ี และจรยิ ธรรมของส่อื มวลชน ทงั้ นมี้ นี ิยามศพั ท์ ดงั ตอ่ ไปน้ี ● รปู แบบการนำ� เสนอ หมายถงึ ขา่ ว บทความ และภาพ ยกเว้นภาพ หน้าตรงของผูส้ มคั รเลือกตัง้ ส.ส. และภาพประกอบบทความ ● ชนดิ ของแหลง่ ขา่ ว หมายถงึ ชนิดท่ี 1 คือ พรรคการเมอื ง ชนดิ ท่ี 2 คือ นักวิชาการ ชนดิ ท่ี 3 คอื ประชาชน ชนดิ ที่ 4 คือ กองบรรณาธกิ าร (การ รายงานเนอื้ หาจากมมุ มองของกองบรรณาธกิ าร เชน่ การบรรยายเหตกุ ารณ์ โดย ไม่สมั ภาษณแ์ หล่งข่าวทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง) ชนิดท่ี 5 คอื แหลง่ ข่าวอ่นื ๆ นอกเหนือจาก ท่ีกลา่ วมา ● พรรคการเมือง หมายถงึ 5 พรรคใหญ่ คือ (1) พรรคพลังประชารฐั (2) พรรคภูมิใจไทย (3) พรรคประชาธิปตั ย์ (4) พรรคเพื่อไทย (5) พรรค อนาคตใหม่ (6) พรรคอน่ื ๆ ท่เี ป็นพรรคเลก็ และนอกเหนอื จากทกี่ ล่าวมา ● หนา้ ทีน่ �ำเสนอ ไดแ้ ก่ หน้าหนึ่ง และหนา้ อนื่ ๆ คอื หน้าตา่ งๆ ทีไ่ ม่ใช่ หน้าหนึ่ง กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   91

● จดุ ยนื หมายถงึ จดุ ยนื บวก คอื เนอื้ หาทน่ี ำ� เสนอเกย่ี วกบั พรรคการเมอื ง ทสี่ ง่ ใหเ้ กดิ ผลดตี อ่ พรรคนนั้ ๆ (เชน่ รายงานเนอื้ หาวา่ มปี ระชาชนชน่ื ชอบผสู้ มคั ร ของพรรค) จดุ ยนื กลาง คอื เน้ือหาท่นี ำ� เสนอเกี่ยวกับพรรคการเมอื งท่เี ป็นเรอื่ ง ทั่วๆ ไป (เช่น รายงานเน้อื หาแผนการหาเสียงของพรรค) จดุ ยืนลบ คอื เน้ือหา ทน่ี ำ� เสนอเกย่ี วกับพรรคการเมืองทสี่ ่งให้เกิดผลเสยี ตอ่ พรรคนน้ั ๆ (เช่น รายงาน เนอื้ หาว่านโยบายของพรรคมคี วามบกพร่อง) ผลการศกึ ษา การศกึ ษาเรอ่ื ง “การนำ� เสนอเนอื้ หาเกย่ี วกบั ผสู้ มคั รเลอื กตง้ั สมาชกิ สภา ผ้แู ทนราษฎรในการเลือกตั้งท่วั ไป พ.ศ. 2562 ของหนงั สอื พิมพ์ทอ้ งถ่ินลำ� ปาง และสงขลา” พบประเด็นสำ� คญั ดงั ตอ่ ไปนี้ ภาพที่ 1 ปรมิ าณชิน้ ทม่ี เี นอ้ื หาเก่ียวกับผสู้ มคั รเลือกต้ัง ส.ส. ในหนงั สือพิมพ์ รวม 3 ชอ่ื ฉบับ (ชิน้ ) จากภาพที่ 1 พบว่า หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจังหวัดล�ำปางและสงขลา มีปรมิ าณเน้ือหาทีเ่ กย่ี วกับผ้สู มคั รเลอื กตั้ง ส.ส. ทงั้ หมด 188 ช้ิน 92 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ภาพท่ี 2 ปรมิ าณช้ินที่มเี นื้อหาเก่ยี วกบั ผสู้ มคั รเลอื กตง้ั ส.ส. ในหนังสอื พมิ พ์ เทยี บ 3 ชอื่ ฉบบั (ช้นิ ) จากภาพท่ี 2 พบว่า หนังสือพมิ พ์ แมงมมุ (จังหวดั ลำ� ปาง) น�ำเสนอ เน้อื หาเก่ยี วกบั ผสู้ มคั รเลอื กต้ัง ส.ส. มากทสี่ ุด 71 ชิน้ คิดเปน็ ร้อยละ 37.77 ตามด้วยหนังสือพิมพ์ ลานนาโพสต์ (จังหวดั ลำ� ปาง) 65 ชนิ้ รอ้ ยละ 34.57 และหนังสอื พิมพ์ ภาคใตโ้ ฟกสั (จงั หวดั สงขลา) 52 ชน้ิ รอ้ ยละ 27.66 ภาพท่ี 3 ปริมาณพื้นที่ทีม่ ีเนือ้ หาเกี่ยวกบั ผสู้ มัครเลอื กตัง้ ส.ส. ในหนงั สือพมิ พ์ รวม 3 ชอ่ื ฉบบั (ตารางนวิ้ ) จากภาพที่ 3 พบว่า หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจังหวัดล�ำปางและสงขลา มปี รมิ าณพน้ื ทน่ี ำ� เสนอเนอื้ หาทเ่ี กยี่ วกบั ผสู้ มคั รเลอื กตง้ั ส.ส. ทง้ั หมด 5,786.37 ตารางนิว้ กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   93

ภาพท่ี 4 ปรมิ าณพนื้ ทที่ มี่ เี นอื้ หาเกย่ี วกบั ผสู้ มคั รเลอื กตง้ั ส.ส. ในหนงั สอื พมิ พ์ เทยี บ 3 ช่ือฉบับ (ตารางน้วิ ) จากภาพท่ี 4 พบวา่ หนงั สือพมิ พ์ ภาคใตโ้ ฟกสั มีปริมาณพนื้ ทน่ี �ำเสนอ เน้ือหาทเ่ี ก่ียวกบั ผสู้ มัครเลือกต้งั ส.ส. มากทส่ี ดุ 2,449.60 ตารางน้วิ คิดเปน็ รอ้ ยละ 42.33 ตามดว้ ยหนงั สอื พมิ พ์ ลานนาโพสต์ 1,845.62 ตารางนวิ้ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 31.90 และหนังสอื พมิ พ์ แมงมุม 1,491.15 ตารางนว้ิ คดิ เป็นร้อยละ 25.77 ภาพที่ 5 ปริมาณพื้นทีท่ มี่ เี น้ือหาเกีย่ วกับผสู้ มัครเลือกตง้ั ส.ส. เทยี บกบั เน้อื หาอืน่ ๆ รวม 3 ชอ่ื ฉบบั (ตารางน้วิ ) จากภาพที่ 5 พบวา่ หนงั สอื พมิ พ์ท้องถิ่นลำ� ปางและสงขลา น�ำเสนอ เนอ้ื หาทเ่ี กย่ี วกบั ผสู้ มคั รเลอื กตง้ั ส.ส. 5,786.37 ตารางนวิ้ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 4.59 เทียบกบั เนื้อหาอืน่ ๆ 120,189.63 ตารางน้ิว คดิ เปน็ ร้อยละ 95.41 94 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ภาพที่ 6 ปรมิ าณพ้ืนทีท่ ่ีมเี นื้อหาเกยี่ วกบั ผูส้ มัครเลอื กต้งั ส.ส. เทียบกบั เนอ้ื หาอน่ื ๆ เทียบ 3 ช่อื ฉบบั (ตารางนวิ้ ) จากภาพที่ 6 พบว่า หนังสือพิมพ์ ภาคใต้โฟกัส มีสัดส่วนพ้ืนที่ที่มี เนอ้ื หาทเี่ กยี่ วกบั ผสู้ มคั รเลอื กตงั้ ส.ส. เทยี บกบั เนอื้ หาอน่ื ๆ มากทสี่ ดุ 2,449.60 ตารางน้ิว คดิ เป็นร้อยละ 5.47 ตามดว้ ยหนังสอื พมิ พ์ ลานนาโพสต์ 1,845.62 ตารางนิ้ว คิดเป็นรอ้ ยละ 5.31 และหนังสอื พมิ พ์ แมงมมุ 1,491.15 ตารางนวิ้ คิดเปน็ รอ้ ยละ 3.21 ภาพที่ 7 ปริมาณพื้นที่ที่มีเน้ือหาเก่ียวกับผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส. ในรูปแบบข่าว บทความ และภาพ รวม 3 ช่อื ฉบบั (ตารางน้วิ ) จากภาพที่ 7 พบว่า หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นล�ำปางและสงขลาให้พ้ืนที่ นำ� เสนอเนอื้ หาทเี่ กยี่ วกบั ผสู้ มคั รเลอื กตงั้ ส.ส. ในรปู แบบภาพมากทสี่ ดุ 2,451.65 กันยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   95

ตารางนว้ิ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 42.37 ตามดว้ ยรปู แบบขา่ ว 2,181.81 ตารางนวิ้ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 37.71 และรูปแบบบทความ 1,152.91 ตารางน้วิ คดิ เปน็ ร้อยละ 19.92 ภาพที่ 8 ปริมาณพ้ืนที่ที่มีเนื้อหาเก่ียวกับผู้สมัครเลือกต้ัง ส.ส. ในรูปแบบข่าว บทความ และภาพ เทียบ 3 ชื่อฉบับ (ตารางนว้ิ ) จากภาพที่ 8 พบว่า หนังสอื พิมพ์ ลานนาโพสต์ ให้พื้นทนี่ �ำเสนอเนอื้ หา ท่เี กย่ี วกับผูส้ มัครเลอื กต้ัง ส.ส. ในรปู แบบบทความมากทส่ี ดุ 811.24 ตารางนิ้ว คดิ เป็นรอ้ ยละ 43.96 หนงั สือพิมพ์ แมงมุม ให้พ้ืนที่น�ำเสนอเน้ือหาทเี่ ก่ยี วกบั ผสู้ มคั รเลือกตง้ั ส.ส. ในรปู แบบภาพมากทีส่ ุด 1,132.04 คิดเปน็ รอ้ ยละ 75.92 หนงั สอื พมิ พ์ ภาคใตโ้ ฟกสั ใหพ้ นื้ ทน่ี ำ� เสนอเนอื้ หาทเ่ี กยี่ วกบั ผสู้ มคั รเลอื กตง้ั ส.ส. ในรูปแบบขา่ วมากทส่ี ดุ 1,569.00 คิดเปน็ ร้อยละ 64.05 ภาพท่ี 9 ปริมาณพ้ืนทีท่ ีม่ เี นอ้ื หาเกย่ี วกบั ผ้สู มัครเลือกตัง้ ส.ส. ในหนา้ หนง่ึ เทยี บกับ หนา้ อนื่ ๆ รวม 3 ชื่อฉบับ (ตารางนิว้ ) 96 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

จากภาพที่ 9 พบว่า หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นล�ำปางและสงขลามีพ้ืนท่ี เน้อื หาท่ีเกย่ี วกับผู้สมัครเลอื กตัง้ ส.ส. ปรากฏในหน้าอน่ื ๆ มากกว่าหน้า 1 โดย มีพน้ื ทปี่ รากฏในหน้าอื่นๆ 4,359.05 ตารางน้วิ คดิ เปน็ ร้อยละ 75.33 และพ้ืนที่ ปรากฏในหน้า 1 รวม 1,427.32 ตารางนิว้ คดิ เป็นรอ้ ยละ 24.67 ภาพที่ 10 ปริมาณพ้ืนที่ท่ีมีเนื้อหาเกี่ยวกับผู้สมัครเลือกต้ัง ส.ส. ในหน้าหน่ึงเทียบ กบั หนา้ อืน่ ๆ เทียบ 3 ชอื่ ฉบบั (ตารางน้วิ ) จากภาพที่ 10 พบวา่ หนงั สอื พมิ พ์ ลานนาโพสต์ มสี ดั สว่ นพนื้ ทที่ นี่ ำ� เสนอ เนอื้ หาทเ่ี กี่ยวกบั ผสู้ มัครเลอื กตง้ั ส.ส. ในหน้า 1 เทียบกบั หนา้ อน่ื ๆ มากทสี่ ดุ โดยน�ำเสนอเนอ้ื หาหน้า 1 รวม 665.38 ตารางนว้ิ คดิ เป็นร้อยละ 36.05 ตาม ด้วยหนังสือพมิ พ์ ภาคใต้โฟกสั 657.50 ตารางน้ิว คดิ เป็นร้อยละ 26.84 และ หนังสือพิมพ์ แมงมมุ 104.44 ตารางน้ิว คิดเป็นร้อยละ 7.00 กนั ยายน – ธนั วาคม  2 5 6 3   97

ภาพที่ 11 ปรมิ าณพนื้ ทขี่ องแหลง่ ขา่ วตา่ งๆ ทนี่ ำ� เสนอเนอื้ หาเกย่ี วกบั ผสู้ มคั รเลอื กตงั้ ส.ส. รวม 3 ช่ือฉบับ (ตารางนว้ิ ) จากภาพที่ 11 พบว่า หนงั สือพมิ พ์ทอ้ งถิน่ ลำ� ปางและสงขลามพี ้นื ที่การ น�ำเสนอเน้ือหาที่เก่ียวกับผูส้ มคั รเลอื กตง้ั ส.ส. จากแหลง่ ขา่ วกองบรรณาธิการ มากที่สุด 3,314.32 ตารางน้ิว คิดเป็นร้อยละ 57.28 ตามด้วยแหล่งข่าว พรรคการเมือง 1,853.95 ตารางน้ิว คิดเป็นร้อยละ 32.04 แหล่งข่าวอื่นๆ 427.23 ตารางน้วิ คดิ เป็นรอ้ ยละ 7.38 แหลง่ ขา่ วประชาชน 100.87 ตารางน้ิว คดิ เป็นรอ้ ยละ 1.74 และแหลง่ ขา่ วนกั วชิ าการ 90.00 ตารางนิ้ว คดิ เป็นรอ้ ยละ 1.56 98 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์

ภาพที่ 12 ปริมาณพน้ื ทขี่ องแหล่งข่าวต่างๆ ทน่ี ำ� เสนอเนอื้ หาเกี่ยวกับผู้สมคั รเลือกต้งั ส.ส. เทยี บ 3 ชอ่ื ฉบับ (ตารางนว้ิ ) จากภาพที่ 12 พบว่า หนังสือพิมพ์ ลานนาโพสต์ และหนังสือพิมพ์ แมงมุม มีพื้นท่ีที่น�ำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับผู้สมัครเลือกต้ัง ส.ส. จากแหล่งข่าว กองบรรณาธิการมากทส่ี ดุ 1,564.36 ตารางนวิ้ คิดเปน็ รอ้ ยละ 84.76 และ 1,468.46 ตารางนิ้ว คิดเป็นร้อยละ 98.84 ตามลำ� ดบั (ดูตัวอย่างที่ 1 ในภาค ผนวก) หนังสอื พมิ พ์ ภาคใต้โฟกสั น�ำเสนอเนอ้ื หาเกี่ยวกบั ผู้สมคั รเลือกตงั้ ส.ส. จากแหลง่ ข่าวพรรคการเมอื งมากท่สี ดุ คดิ เป็นรอ้ ยละ 65.90 (1,614.10 ตาราง น้ิว) กันยายน – ธันวาคม  2 5 6 3   99

ภาพท่ี 13 ปรมิ าณพื้นท่ีที่นำ� เสนอเกี่ยวกบั พรรคการเมอื งตา่ งๆ ทีล่ งสมัครรบั เลอื กตั้ง รวม 3 ชือ่ ฉบับ (ตารางนิ้ว) จากภาพท่ี 13 พบว่า หนังสือพิมพ์ท้องถ่ินลำ� ปางและสงขลา มพี ื้นทท่ี ่ี น�ำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยมากที่สุด 1,908.56 ตารางน้ิว คิดเป็น รอ้ ยละ 32.98 ตามดว้ ยพรรคการเมอื งอน่ื ๆ 1,058.09 ตารางนวิ้ คดิ เปน็ รอ้ ยละ 18.29 พรรคพลังประชารัฐ 907.22 ตารางนิ้ว คิดเปน็ ร้อยละ 15.68 พรรค ประชาธปิ ตั ย์ 933.16 ตารางนวิ้ คิดเปน็ รอ้ ยละ 16.13 พรรคภูมใิ จไทย 588.10 ตารางน้ิว คิดเป็นร้อยละ 10.16 และพรรคอนาคตใหม่ 391.24 ตารางนิ้ว คิดเป็นรอ้ ยละ 6.76 100 ว า ร ส า ร ศ า ส ต ร์