Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วารสารรัตนปัญญา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน2563)

วารสารรัตนปัญญา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน2563)

Description: วารสาร

Search

Read the Text Version

90 ปีท่ี 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) สาหรับภาพยนตร์เรื่อง Only god forgives นั้น มีการถ่ายทาให้เห็นการฟ้อนดาบ ซ่ึงเป็นอัต ลกั ษณ์ของคนไทยในการต่อสู้ ภาพท่ี 21 การฟอ้ นดาบไทย ทปี่ รากฏในเร่ือง Only god forgives 2.9 ด้านเชื่อทางไสยศาสตร์ ถูกนาเสนอผ่านเร่ืองความเช่ือทางไสยศาสตร์ท่ีอยู่คู่กับสังคม วัฒนธรรมไทยมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องข้าวสารเสกที่ถือเป็นเคร่ืองมือในการขับไล่ผี หุ่นพยนต์ที่ถูกสร้างขน้ึ มา แทนบุคคล และน้ามนต์ท่ีถือเป็นน้าศักด์ิสิทธ์ิในการขับไล่ผี รวมไปถึงเร่ืองของผีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผีพราย กุมารทอง ผีตายโหง และเร่ืองการต้ังศาลพระภูมิ และผ้า 7 สี ซ่ึงสิ่งเหล่านี้เป็นส่ิงท่ีมีอยู่ในวิถีชีวิตของคน ไทยทง้ั สิ้น สาหรับภาพยนตร์เรื่อง Ghost House นั้น มีการถ่ายทาให้เห็นความเชื่อทางไสยศาสตร์ของคน ไทยในรูปแบบต่างๆ เช่น การปราบผี และแสดงราบละเอียดของกระบวนการปราบผีว่าต้องใช้อุปกรณ์ อะไรบ้างในการปราบผขี องคนไทย ภำพท่ี 22 (ซ้ำย) : พธิ ปี ราบผี ภำพท่ี 23 (ขวำ): การใช้ข้าวสารเสกไล่ผี ท่ีปรากฏในเรอื่ ง Ghost House

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 91 ภำพท่ี 24: ห่นุ พยนต์ ทป่ี รากฏในเร่อื ง Ghost House 2.10 ความเปน็ ไทยในดา้ นอน่ื ๆ ภำพยนตรไ์ ดน้ ำเสนอสตั วป์ ระจำชำตขิ องไทย นนั่ คือ ชำ้ งไทย สาหรับประเทศไทยเราน้ัน ช้างเป็นสัตว์คู่บ้านคู่เมอื งและเป็นทปี่ รากฏในประวัติศาสตร์ไทย โดยเปน็ สัตว์ท่ี มีความสาคัญต่อพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยโบราณ เพราะในยามออกรบจะทรงประทับบนหลังช้างเพอ่ื สู้ รบกับข้าศึกและจะใช้ช้างที่มีลักษณะอันเป็นมงคลซ่ึงตรงตามตาราคชลักษณ์ เพ่ือจะได้ใช้เป็นสัตว์คู่บุญ บารมขี องพระมหากษัตริย์ สาหรับประโยชน์ของการใช้งานนั้น คนไทยเรานิยมนาชา้ งมาใชป้ ระโยชน์หลาย ดา้ นด้วยกนั ตัง้ แต่พระราชพิธีมงคลตลอดจนถงึ งานเกษตรกรรม ใช้ตง้ั แตร่ ะดับพระมหากษัตริยจ์ นถงึ สามญั ชนจึงถือว่าชาวไทยเราค่อนข้างมีความผูกพนั กับชา้ งอย่างมากและสืบทอดเช่นน้ีมาเป็นระยะเวลายาวนาน แล้ว สาหรับภาพยนตร์เร่ือง The Hangover Part II น้ัน มีการถ่ายทาให้เห็นสัตว์ประจาชาติของไทย ซง่ึ เปน็ เอกลกั ษณเ์ ด่นของประเทศไทย ภำพท่ี 25: ช้างไทย ที่ปรากฏในเร่อื ง The Hangover Part II

92 ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) 2.11 ด้านศิลปะการต่อสู้ มวยไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยท่ีสืบทอดกันมานาน ถือ เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่มีกลวิธีในการใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกาย 9 ส่วน ได้แก่ มือ เท้า เข่า ศอก อย่างละ 2 และศีรษะอีก 1 รวมเรียกว่า นวอาวุธ อย่างผสมกลมกลืนและมีชั้นเชงิ จึงจะถือเป็นการต่อสทู้ ี่ ครบเครื่องและมพี ิษสงรอบด้าน สาหรับภาพยนตร์เร่ือง The Hangover Part II น้ัน มีการถ่ายทาให้เห็นมวยไทย ศิลปะการต่อสู้ ของคนไทยซึ่งเป็นเอกลักษณข์ องชาติไทยทีช่ าวต่างชาตหิ ลงใหล ภำพท่ี 26: มวยไทย ที่ปรากฏในเร่อื ง The Hangover Part II สาหรบั ภาพยนตรเ์ รือ่ ง Only god forgives น้ัน มกี ารถ่ายทาใหเ้ หน็ การเคารพ และการระลกึ นึก ถึงพระคุณของครูมวย แสดงให้เห็นความนอบน้อมถ่อมตนซ่ึงเป็นเอกลักษณ์ประจาของคนไทยมาตั้งแต่ อดีตจนถึงปจั จบุ นั ภำพท่ี 27: การไหว้ครมู วยไทย ที่ปรากฏในเรอ่ื ง Only god forgives

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 93 สาหรับภาพยนตร์เรอ่ื ง Fast & Furious 7 นน้ั มีการถ่ายทาให้เห็นลกั ษณะการการต่อสูข้ องคนไทย ภำพท่ี 28: ศลิ ปะการตอ่ สูข้ องไทย ท่ปี รากฏในเร่ือง Fast & Furious 7 อภิปรำยผลกำรวิจัย จากการศึกษา การนาเสนอความเปน็ ไทยในภาพยนตร์ตะวันตก ผู้วิจัยได้ดาเนนิ การศึกษาค้นคว้า และวิเคราะห์ข้อมูลสามารถสรุปผลการวจิ ยั ออกเปน็ 10 ด้าน ดงั นี้ 1. ด้านภาษา ภาพยนตร์ตะวันตกท่ีเข้ามาถ่ายทาในประเทศไทยนาเสนอความเป็นไทยในด้าน ภาษาไทยซงึ่ เป็นภาษาประจาชาติไทยจากป้ายบอกทาง ช่อื รา้ นค้า หนงั สือพมิ พ์ 2. ดา้ นศลิ ปกรรม แบง่ ได้เปน็ 3 ประเภท คอื 2.1 สถาปัตยกรรม แบ่งออกได้ 2 ประเภทคือ สถาปัตยกรรมท่ีใช้เป็นที่อยู่อาศัย ใน ภาพยนตร์น้ันนาเสนอการปลูกบ้านของคนไทยภาคเหนือที่มีลักษณะการสร้างบ้านใกล้แม่น้า และมีใต้ถุน บ้านเพื่อใหล้ มผ่าน เป็นท่พี กั ผอ่ นหย่อนใจ หรือใชท้ ากิจกรรมรวมกันของคนในครอบครัว และปอ้ งกนั เวลา น้าหลาก สถาปัตยกรรมประเภททส่ี อง คอื สงิ่ ท่ีเก่ียวข้องกับศาสนา ได้แก่ โบสถ์ วหิ าร ศาลา เจดีย์ 2.2 ประตมิ ากรรม เป็นงานศลิ ปะในลักษณะของรูปป้ัน รปู หล่อ หรือแกะสลัก ในภาพยนตร์ นาเสนอใหเ้ ห็นรปู ปนั้ ชา้ ง รูปหลอ่ พระพุทธรูปปางต่างๆ และการแกะสลกั ของช่างฝมี อื ไทย 2.3 ด้านหัตถกรรม หัตถกรรม หรืองานฝีมือ เป็นผลงานท่ีสร้างสรรค์ข้ึนจากความชานิ ชานาญในงานแกะสลัก จักสาน ถักทอ และประดิษฐ์ งานช่างท่ีเป็นหัตถกรรมต่างจากงานช่า งในด้าน ประตมิ ากรรม ก็คือ งานหัตถกรรมส่วนใหญ่จักทาขน้ึ เพอ่ื ใชส้ อยโดยตรง เช่น การสานหมวก การทาเส่ือกก การทาโคมไฟ 3. ด้านศาสนา และความเช่ือ ในภาพยนตร์ได้นาเสนอพระพุทธศาสนาออกเป็น 2 นิกาย คือ นิกายมหายาน และนิกายเถรวาท ความเช่ือเรื่องไสยศาสตร์ การต้ังศาลพระภูมิ การปราบผี การแก้บน และความเชือ่ เรอ่ื งผใี นประเทศไทย 4. ด้านค่านิยม ค่านิยมของคนไทยท่ีปรากฏในภาพยนตร์คือการรักพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตรยิ ค์ อื ศนู ย์รวมจิตใจของคนในชาติ การนับถอื พุทธศาสนา

94 ปที ่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) 5. ด้านวิถีชีวิต มี น้าถูกถ่ายทอดเป็นสัญลักษณ์อยู่ในวิถีชีวิตด้านต่าง ๆ ของคนไทยมากเหลือ ประมาณ อาทิ การใช้เรือในการสัญจรและการอยู่เรือนไทย จากการศึกษาภาพยนตร์ตะวันตกได้นาเสนอ การเดินทางด้วยพาหนะตา่ งๆ ของคนไทยไว้ 3 อยา่ งคอื รถตุ๊ก ตกุ๊ รถสองแถว และเรือหางยาว 6. ด้านประเพณี จากการศึกษาภาพยนตร์น้ันมีประเพณีท่ีปรากฏอยู่น่ันก็คือประเพณีโคมลอย ซ่งึ เป็นประเพณีพนื้ บ้านของชาวล้านนา ในจังหวัดเชยี งใหม่ จดั ขึน้ ในวันเพญ็ เดอื น 12 7. ด้านอาหาร ภาพยนตร์ได้นาเสนออาหารของภาคอีสานน่ันก็คือส้มตา ไก่ย่าง ปูดอง ซึ่งบ่ง บอกถงึ เอกลกั ษณ์ไทยได้เป็นอยา่ งดี 8. ด้านกีฬาไทย ภาพยนตร์ได้นาเสนอการฟ้อนดาบของไทย ซ่ึงการฟ้อนดาบน้ันมีท่ีมาจาก ศลิ ปะการต่อสขู้ องชายชาวล้านนาแตโ่ บราณ 9. ด้านความเชื่อทางไสยศาสตร์ ถูกนาเสนอผ่านเรื่องความเช่ือทางไสยศาสตร์ท่ีอยู่คู่กับสังคม วัฒนธรรมไทยมา ไม่ว่าจะเป็นเร่ืองข้าวสารเสกที่ถือเป็นเครื่องมือในการขับไล่ผี หุ่นพยนต์ที่ถูกสร้างขึน้ มา แทนบุคคล และน้ามนต์ท่ีถือเป็นน้าศักด์ิสิทธ์ิในการขับไล่ผี รวมไปถึงเร่ืองของผีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผีพราย กุมารทอง ผีตายโหง และเรื่องการต้ังศาลพระภูมิ และผ้า 7 สี ซึ่งสิ่งเหล่าน้ีเป็นสิ่งที่มีอยู่ในวิถีชีวิตของคน ไทยทงั้ สิน้ 10. ความเป็นไทยในด้านอื่นๆ ภาพยนตร์ได้นาเสนอสัตว์ประจาชาติของไทย น่ันคือ ช้างไทย สาหรับประเทศไทยเรานนั้ ช้างเป็นสัตว์คบู่ ้านคู่เมอื งและเปน็ ที่ปรากฏในประวัตศิ าสตร์ไทย โดยเปน็ สตั วท์ ี่ มีความสาคัญต่อพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยโบราณ เพราะในยามออกรบจะทรงประทับบนหลังช้างเพอื่ สู้ รบกับข้าศึกและจะใช้ช้างที่มีลักษณะอันเป็นมงคลซึ่งตรงตามตาราคชลักษณ์ เพ่ือจะได้ใช้เป็นสัตว์คู่บุญ บารมีของพระมหากษตั รยิ ์ 11. ด้านศิลปะการต่อสู้ มวยไทยเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยที่สืบทอดกันมานาน ถือ เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวท่ีมีกลวิธีในการใช้ส่วนต่างๆ ของร่างกาย 9 ส่วน ได้แก่ มือ เท้า เข่า ศอก อย่างละ 2 และศีรษะอีก 1 รวมเรียกว่า นวอาวุธ อย่างผสมกลมกลืนและมีชน้ั เชิง จึงจะถือเป็นการต่อส้ทู ี่ ครบเคร่ืองและมพี ิษสงรอบดา้ น จากผลการวิจัย การนาเสนอความเป็นไทยในภาพยนตร์ตะวันตก พบว่า ภาพยนตร์ เป็นสื่อท่ีมี ความสัมพันธ์กับสงั คม และวฒั นธรรมเป็นอย่างมาก เนอื้ หาของภาพยนตรต์ ะวนั ตกท่ีนาเสนอความเปน็ ไทย นั้นจะเป็นเรื่องง่ายๆ เก่ียวกับมนุษย์ และส่ิงรอบตัว ตัวบทต่างๆ ท่ีภาพยนตร์ตะวันตกนาเสนอความเป็น ไทยนั้นแสดงออกถึงลักษณะ แนวคิด และวิถีชีวติ ของคนไทยท้ังส้ิน ซึ่งเป็นการประชาสมั พนั ธป์ ระเทศไทย ในอีกทางหนึ่ง ซึ่งสอดคล้องกับฉัตรชัย จันทร์ศรี (2544) ที่ศึกษาการถ่ายทอดวัฒนธรรมอเมริกันของ ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาการนาเสนอเน้ือหาเชิงวัฒนธรรมอเมริกันของภาพยนตร์ ฮอลลีวู้ดและลักษณะการแสดงออกทางวัฒนธรรมอเมริกันของภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด โดยใช้แนวคิดเกี่ยวกับ วัฒนธรรม แนวคิดเก่ียวกับสงั คม และวัฒนธรรมอเมริกัน แนวคิดเก่ียวกับความสมั พันธร์ ะหวา่ งภาพยนตร์ กับสังคม เพื่อศึกษาการนาเสนอเนื้อหาเชิงวัฒนธรรมอเมริกัน ผลการวิจัยพบว่า ภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ได้มี การถ่ายทอดวฒั นธรรมอเมริกัน ในด้านแกน่ ความคิดของเรื่อง คณุ ค่า ความลุ่มหลง การมงุ่ ทารา้ ยกัน สทิ ธิ

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 95 ลกั ษณะวิถชี วี ิตความเป็นอยขู่ องตัวละคร วฒั นธรรมทเ่ี กยี่ วข้องกับค่านิยม และอดุ มการณ์ ซ่งึ สอดคลอ้ งกับ ผลการศกึ ษาเร่อื งการนาเสนอความเป็นไทยในภาพยนตรต์ ะวนั ตก จากตารางจะเห็นได้ว่า ภาพยนตร์ตะวันตกที่นาเสนอความเป็นไทยนั้นมีการนาเสนอประเด็น ต่างๆ ผู้วิจัยได้ค้นพบทั้งหมด 11 ประเด็น และภาพยนตร์ท่ีนาเสนอความเป็นไทยมากท่ีสุดคือ ภาพยนตร์ เรื่อง only god forgives ซ่ึงนาเสนอความเป็นไทย 8 ประเด็น รองลงมาคือภาพยนตร์เรื่อง The Hangover Part II นาเสนอความเป็นไทย 7 ประเด็น ถัดมาคือ Ghost House นาเสนอความเป็นไทย 6 ประเด็น The Impossible นาเสนอความเป็นไทย 4 ประเด็น และ Fast & Furious 7 นาเสนอความเป็น ไทย 2 ประเดน็ ตามลาดับตารางท่ี 2 ตารางท่ี 2 ประเด็นการวเิ คราะห์ ประเดน็ กำรวิเครำะห์ The Hangover The only god Fast & Furious Ghost House Part II Impossible forgives 7  1. ภาษา        2. ศลิ ปกรรม       3. ศาสนา และความเช่ือ    4. ค่านยิ ม    5. วถิ ชี ีวติ   6. ประเพณี 7. อาหาร 8. กฬี าไทย 9. ความเชื่อดา้ นไสยศาสตร์   10. ความเปน็ ไทยด้านอนื่ ๆ   11. ศลิ ปะการต่อสู้  องค์ควำมร้ใู หม่ วัฒนธรรมเป็นสิ่งท่ีอยู่รอบตัวเรา แฝงอยู่ในวิถีการดาเนินชีวิตรูปแบบต่าง ๆ ในสังคม แต่ละชาติ ล้วนแล้วแต่มีวัฒนธรรมเฉพาะของตน ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย ก็มีลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมไทย ที่ โดดเดน่ เปน็ อัตลักษณ์ วฒั นธรรมเหล่านปี้ รากฏอยู่ในสายตาของชาวไทยมาอย่างช้านาน และยังคงปรากฏ ให้เห็นในสายตาของผู้คนนานาชาติมากมายในหลากหลายสื่อ ภาพยนตร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้นท่ีมีการ นาเสนอสิ่งเหล่าน้ีให้ได้พบเห็น บทความวิจัยเรื่อง การนาเสนอความเป็นไทยในภาพยนตร์ตะวันตกนี้เป็น การวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ภาพและเนื้อหาความเ ป็นไทยที่ปรากฏในภาพ ยนตร์ ตะวันตก จารวน 5 เร่ืองคือ The Hangover Part II, The Impossible, Only god forgives, Fast & Furious 7 และ Ghost House โดยใช้แนวคิดเรื่องอัตลักษณ์ความเป็นไทย วิเคราะห์ภาพและเนื้อหาจาก ภาพยนตร์ พบว่ามีอัตลักษณ์ความเป็นทายที่ปรากฏอยู่ 11 ด้าน ได้แก่ 1) ภาษา 2) ศิลปกรรม 3) ศาสนา และความเช่ือ 4) ค่านิยม 5) วิถีชีวิต 6) ประเพณี 7) อาหาร 8) กีฬาไทย 9) ความเชื่อด้านไสยศาสตร์ 10)

96 ปที ี่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ความเป็นไทยด้านอ่ืน ๆ และ 11) ศิลปะการต่อสู้ ซ่ึงภาพยนตร์ท้ัง 5 เรื่องได้นาเสนอประเด็นเหล่านี้อยา่ ง ชัดเจน อันเปน็ การแสดงออกให้เหน็ ถึงมุมมองของผสู้ รา้ งภาพยนตรท์ ่ีมีต่อลกั ษณะสังคมและวัฒนธรรมไทย และเป็นการเชิดชูอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ดีงามให้คงอยู่กับสังคมไทยต่อไป ดังนั้น องค์ความรู้ใหม่ท่ีได้ จากการวจิ ยั มดี งั นี้ 1. ทาให้สามารถนาความร้แู ละสาระประโยชน์จากการศกึ ษาความเปน็ ไทยในภาพยนตร์ตะวันตก ไปใชส้ อนในรายวชิ าวฒั นธรรมจากวรรณกรรมร่วมสมยั ได้ และวิชาอนื่ ๆ ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง เนอ่ื งจากภาพยนตร์ ถอื เปน็ ตัวบททางการศึกษาท่มี คี วามหลากหลายทางดา้ นสงั คม และวฒั นธรรม ทาใหผ้ ู้เรยี นสามารถเหน็ ถึง มมุ มองของภาพวัฒนธรรมไทยทปี่ รากฏวา่ มลี กั ษณะอยา่ งไร และถูกนาเสนอออกมาในรูปแบบใดมากทส่ี ดุ เพอ่ื เปน็ การนาวฒั นธรรมเหล่านมี้ าอนรุ ักษแ์ ละธารงไว้ซ่ึงความดงี าม อยู่ตกู่ ับสงั คมไทยตอ่ ไป 2. ทาให้ภาพของวฒั นธรรมไทยไดถ้ กู เผยแพรก่ ระจายออกไปในวงการวชิ าการ เพอื่ เป็นข้อมูลใน การศึกษาสภาพและลักษณะของวฒั นธรรมไทย ท้ังจากในมุมมองของชาวไทยและชาวตา่ งประเทศ และยงั จะเปน็ การช่วยเผยแพร่วฒั นธรรมไทยออกส่สู ายตาของชาวตา่ งประเทศเพม่ิ มากข้ึน 3. เป็นการผลิตสรา้ งงานวจิ ัยในด้านวฒั นธรรมใหด้ าเนินต่อไป เพราะงานวจิ ยั ทางดา้ นวัฒนธรรม เป็นงานวิจัยท่มี งุ่ ศกึ ษาผลลัพธท์ เ่ี กิดขน้ึ จริงในสงั คม และสะทอ้ นภาพเหลา่ นน้ั ออกมาให้ไดเ้ ห็น เพ่ือใชเ้ ปน็ แหลง่ ขอ้ มูลสาคญั ที่จะนามาตอ่ ยอดองคค์ วามรู้ใหม่ ๆ ทางด้านวฒั นธรรมที่จะเกดิ ขนึ้ ต่อไปในอนาคต และ ปรบั ใช้ให้เหมาะสมกับบรบิ ทของประเทศต่อไป ขอ้ เสนอแนะกำรวิจัย 1. การนาเสนอความเป็นไทยในภาพยนตร์ตะวันตกน้ัน เป็นการนาเสนอความเป็นไทยในบาง แง่มมุ ของวัฒนธรรมความเปน็ ไทยเทา่ นนั้ ยงั มรี ายละเอียดอนื่ ๆ ซ่ึงอาจเปน็ ปัจจัยทสี่ าคญั ทจี่ ะแสดงให้เห็น ถึงความชัดเจนในความเป็นไทยมากกว่านี้ จึงจาเป็นที่จะต้องมีการเพ่ิมเติมการใช้แนวคิดหรือทฤษฎีอื่น ๆ ทีเ่ กี่ยวขอ้ งมาประกอบในการวเิ คราะห์ดว้ ย 2. ควรมกี ารศึกษาภาพยนตร์ไทยเพ่อื เปรยี บกับภาพยนตร์ตะวนั ตกว่ามกี ารนาเสนอความเปน็ ไทย ในรูปแบบอนื่ ๆ ที่ไมป่ รากฏในภาพยนตรต์ ะวัน ในรูปแบบใดบ้างเพอ่ื ความชัดเจนของการผลการศกึ ษา

วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 97 เอกสำรอ้ำงองิ ฉัตรชัย จันทร์ศรี. (2544). การถา่ ยทอดวัฒนธรรมอเมรกิ นั ของภาพยนตรฮ์ อลลีวู้ด. (วทิ ยานพิ นธ์ วารสารศาสตรมหาบณั ฑติ , มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร)์ . เบญจรัตน์ วิทยาเทพ. (2550). การวเิ คราะหก์ ลวิธีการแปลชื่อภาพยนตร์ตา่ งประเทศเปน็ ภาษาไทย. (วทิ ยานิพนธป์ รญิ ญามหาบณั ฑติ , สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ). พรสทิ ธ์ิ พัฒธนานรุ ักษ์. (2545). ผลของการสอ่ื สาร ใน เอกสารการสอนชดุ วชิ าหลักและทฤษฎกี ารสื่อสาร หนว่ ยท่ี 8. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช. วันเพ็ญ พวงพนั ธุ์. (2542). พ้ืนฐานวฒั นธรรมไทย. ลพบรุ :ี สถาบนั ราชภฏั เทพสตรี. สุพัตรา สภุ าพ. (2543). (พมิ พ์ครั้งที่ 11). สังคมและวฒั นธรรมไทย ค่านิยม : ครอบครัว : ศาสนาd: ประเพณี. กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานชิ จากัด. สรุ พล เกยี นวัฒนา. (2544). ความรเู้ บอ้ื งต้นเกย่ี วกับภาพนิ่งและภาพยนตร์. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช. เสาวภา ไพทยวฒั น์. (2538). พ้นื ฐานวฒั นธรรมไทย : แนวทางการอนรุ ักษแ์ ละการพฒั นา. กรุงเทพฯ: สานกั งานสถาบนั ราชภัฏ. อมรา พงศาพิชญ.์ (2541). (พมิ พ์คร้งั ที่ 4). วัฒนธรรม ศาสนา และชาติพันธ์ุ : วิเคราะหส์ งั คมไทยแนว มานุษยวทิ ยา. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั . อรรถผล อนนั ตวรสกลุ . (2546).เอกสารประกอบการสอน เรอื่ ง การจดั กระบวนการเรยี นรู้ และ การวัด และประเมินผลการเรียนรู้ ในกลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม. กรุงเทพฯ: ภาควชิ ามธั ยมศกึ ษา คณะครศุ าสตร์ จฬุ าลงกรณณม์ หาวทิ ยาลยั . James Wan, Vin Diesel, Fast & Furious 7, Universal Studios, 2558, DVD. Juan Antonio Pizzi, Naomi Watts, The Impossible, Summit Entertainment, 2555, DVD. Nicolas Winding Refn, Ryan Gosling, Only God Forgives, M Pictures, 2556, DVD. Rich Ragsdale, Scout Taylor-Compton, Ghost House, Vertical Entertainment, 2560, DVD. Todd Phillips, Bradley Cooper, The Hangover Part II, Warner Bros, 2554, DVD.

98 ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020)

วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 97 คุณลักษณ์ของพระเอกหมอลำเร่ืองต่อกลอนทำนองขอนแก่น The Characteristics of The Male Protagonist of “Mor lam Raung Toh Klon” in Khon Kaen Style สนั ติ ยศสมบัต1ิ * สุรัตน์ จงดา2 จนิ ตนา สายทองคา3 Sunti Yotsombut1* Surat Jongda2 Jintana Saitongkum3 1นักศึกษาหลักสตู รศิลปมหาบณั ฑติ สาขาวชิ านาฏศิลป์ไทย คณะศิลปนาฏดรุ ิยางค์ สถาบนั บณั ฑิตพัฒนศลิ ป์ Master of Art in Deparment of Thai Performing Arts, Faculty of Music and Drama, Bunditpattanasilpa Institute 2ครูอตั ราจา้ ง วทิ ยาลยั นาฏศิลป์กาฬสินธ์ุ อาเภอเมอื ง จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์ Contract Teachers, Kalasin College of Dramatic Arts, Mueang District, Kalasin Province *Corresponding author e-mail: [email protected] (Received: 1 April 2020, Revised: 4 April 2020, Accepted: 7 April 2020) บทคดั ยอ่ บทความน้ีเป็นเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัยเรื่อง “คุณลักษณ์ของพระเอกหมอลาเร่ืองต่อกลอนทานอง ขอนแก่น” มีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาคุณลักษณ์ของพระเอกหมอลาเร่ืองต่อกลอนทานองขอนแก่น ใช้ระเบียบวิธวี จิ ัย เชิงคุณภาพ โดยเลือกศึกษาจากวงหมอลาเร่ืองต่อกลอนทานองขอนแก่น ท่ีได้รับความนิยมสูงสุดคือวงระเบียบ วาทะศิลป์ และสุม่ ตวั อย่างแบบเจาะจงจากพระเอก 3 ท่าน ผูเ้ ช่ยี วชาญ 2 ทา่ น และผชู้ ม 2 ท่าน โดยใชแ้ บบสมั ภาษณ์ ในการเกบ็ ขอ้ มูล ผลการวิจัยพบว่า ผู้ท่ีได้รับคัดเลือกให้เป็นพระเอกหมอลาเรื่องต่อกลอนทานองขอนแก่น ต้อง ประกอบด้วยคุณลักษณ์ 6ด้าน คือ 1) ด้านเสียง ต้องมีเสียงดี คือมีเสียงนุ่ม มีความไพเราะ, 2) ด้านบุคลิกภาพ ต้อง เป็น เพศชาย อายุ 20-35 ปี โสด รูปร่างหน้าตาดี ร่างกายสมประกอบ ผิวพรรณดี สุขภาพร่างกายแข็งแรง และการ แต่งกายสุภาพ, 3) ด้านคุณธรรม จริยธรรม คือต้องมีน้าใจ มีความซื่อสัตย์, 4) ด้านระเบียบวินัย คือ ต้องมีความ ขยันหม่ันเพียรมีความอดทนใฝ่เรียนรู้มุ่งม่ันในการทางานมีความรับผิดชอบสูงและมีความตรงต่อเวลา, 5) ด้านการ ฝึกซอ้ ม คือต้องมกี าร ฝกึ การฟงั ฝกึ การอ่าน การทอ่ งจา ฝึกการร้องเพลงประกอบการแสดง ฝกึ การ ตีบท ฝึกการฟ้อน ฝึกซ่อมย่อย และฝึกซ้อมใหญ่ และ 6) ด้านการแสดง คือต้องมีความสามารถ ในด้านการร้องหมอลา เพลงลูกทุ่งหมอ ลา และการแสดงหมอลาเรื่องตอ่ กลอนทานองขอนแก่น คำสำคัญ: คุณลกั ษณ;์ พระเอกหมอลา; ทานองขอนแกน่ ABSTRACT This article written from Thesis “The Characteristics of the male protagonist, “Mor lam raung toh Klon’s Khon Kaen” style The objectives was to study The Characteristics of the male protagonist, “Mor lam raung toh Klon’s Khon Kaen” style. By using qualitative methods. Collecting data from the best one of \"Morlum Ruang toh klon\" in Khon Kaen was “Rabeab Vadhasin”. Sampling from 3 the male protagonist, 2 scholar and 2 audience. The result found that the person who has been chosen as the male protagonist of “Mor lam raung toh Klon’s Khon Kaen” style must consist of 6 special features, namely 1) The sound must have a good sound, Meaning that there is a soft, beautiful voice, 2) personality, must be male, 20-35 years old, single, good looking Perfect physique, healthy skin, healthy and dress appropriately, 3) Morality and ethics is to be considerate Be honest, 4) Discipline is to have diligence, patience, perseverance, learning, determination to work, high responsibility and punctuality, 5) Training

98 ปที ี่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) is to have training Listen, practice reading, memorization, practice singing, accompanying the performance, practice the beat, practice the dance, practice the sub-practice and practice the rehearsal, and 6) the performance aspect is to have the ability In the field of singing “Lookthoong Morlam” music And Morlam performance in Khonkaen style. Keyword: Characteristic; the male protagonist; Khonkaen style บทนำ “หมอลา” เป็นศลิ ปะพน้ื บา้ นท่ีส่งั สมด้วยภมู ิปญั ญาของมนษุ ยท์ ีเ่ กดิ มานานตามหลักฐานทาง โบราณคดีท่พี บ ร่องรอยยืนยันได้ถึงประวัติศาสตร์ท่ีหมอลาปรากฏคู่แผ่นดินอีสาน คือลวดลายบนขวานสาริดที่เมืองดองซอน ใน เวยี ดนาม เป็นรปู คนเป่าแคนและชา่ งฟอ้ นสองคน เม่ือพิจารณาความตอ่ เน่ืองกบั ประเพณคี วามเป็นอนั หนึง่ อนั เดียวกบั การละเลน่ ของคนในตระกูลไท-ลาว ในปจั จุบนั (เจรญิ ชยั ชนไพโรจน.์ 2526)วรรณคดเี รือ่ งราวท่ีแต่งเปน็ คากลอนภาค อีสานแล้วเขียนจารกึ ลงในใบลาน ชาวอสี านเรียกวา่ วรรณกรรมคดเี หล่าน้ีว่า “ลา” ต่อมามีผจู้ าบทกลอนในหนงั สือผูก นาไปเลา่ หรือท่องปากเปล่าด้วยทานองที่ไพเราะจนเป็นท่ีนิยมอย่างแพร่หลาย และกลายเปน็ ประเพณอี ่านหนงั สือผูก ในงานงันเฮือนดี สาหรับผู้ท่ีจดจาหรือท่องบทกลอนได้จนขึ้นใจ และสามารถท่องเปน็ จังหวะจะโคน จนเป็นทีช่ ่ืนชอบ ของผู้ฟังคนก็เลยเรียกผู้เล่านิทานนี้ว่า “หมอลา” ในตอนหลังหมอลาก็ใช้แคนมาเป่าประกอบเพื่อช่วยให้มีความ ไพเราะยิ่งขึ้น จึงทาให้เกิดมีหมอแคนข้ึนมา ทาให้กลายเป็นสัญลักษณ์ หมอลาคู่กับหมอแคน “หมอลา” หมอลาถือ เป็นศิลปะพ้ืนบ้านของชาวอีสานที่มมี านาน จนไม่สามารถบอกได้วา่ เร่ิมมีมาตง้ั แตเ่ มื่อใด เพราะไม่มีหลกั ฐานบนั ทึกไว้ เป็นลายลักษณ์อักษร อย่างไรก็ตามหมอลานอกจากจะเป็นศิลปะการแสดงที่นิยมท่ัวไปและเป็นเอกลักษณ์ของชาว อีสานแลว้ หมอลายงั เปน็ ท่รี วมศิลปะวิทยาการทางดา้ นต่างๆ และหมอลายงั เป็นผสู้ ืบทอดวรรณกรรมอนั ล้าคา่ ของชาว อีสาน เพราะคนอีสานได้ถ่ายทอดชีวิตจิตใจอารมณ์และความรู้สึกนกึ คิดไว้ในกลอนลา (ชุมเดช เดชภมิ ล. 2521) หมอลาเรื่องตอ่ กลอนคือหมอลาทไ่ี ดรับความนิยมมากทสี่ ุดในปัจจุบัน มกี ารจาแนกประเภททานองลามีหลาย ทานอง ไดแ้ ก่ ทานองกาฬสินธุ์ ทานองสารคาม ทานองอบุ ล และทานองขอนแก่น โดยในแต่ละทานองตา่ งมเี อกลักษณ์ ที่แตกต่างกนั ไป ในการจดั อันดับคณะหมอลา อสี านไกด์ ดอทคอม ซึ่งเปน็ เว็บไซต์วาไรต้ี ข่าวสาร สาระ บันเทงิ และท่องเที่ยว อนั ดับต้นๆ ของภาคอสี าน ได้จัดอนั ดบั สดุ ยอดหมอลายอดเย่ียมแหง่ ปี พ.ศ.2560 (2017) กรณศี ึกษาตัวอยา่ งประชาชน ท่ีช่ืนชอบหมอลาอีสาน จานวน 2,042 ตัวอย่าง บนเฟซบุ๊ก เว็บไซต์ และการสอบถามสารวจแบบเชิงลึกพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น อายุระหว่าง 15-70 ปี โดยดาเนินการสารวจในระหว่างวันท่ี 1 มกราคม – 31 กรกฎาคม 2560 โดยใชก้ ารเลอื กตัวอย่างแบบแบ่งกล่มุ ของผ้ทู ี่ช่ืนชอบหมอลาเรื่องตอ่ กลอน โดยมชี ว่ งความคลาดเคล่ือนบวกลบ ร้อยละ 7 ผลปรากฏว่า อนั ดับ 5 คอื หมอลาคณะใจเกินร้อย คิดเป็นรอ้ ยละ 93.38%, อนั ดบั 4 คอื หมอลาคณะเสยี งอิ สาน คิดเปน็ ร้อยละ 94.84%,อนั ดบั 3 คอื หมอลาคณะประถมบนั เทงิ ศลิ ป์ คิดเป็นรอ้ ยละ 97.13%, อันดับ 2 คอื หมอ ลาคณะศิลปินภูไท คิดเป็นร้อยละ 97.32% และอันดับ 1 คือ คณะระเบียบวาทะศิลป์ คิดเป็นร้อยละ 98.51 % (วิถี บา้ นนา, 2560: ออนไลน์) โดยคณะระเบียบวาทศิลป์ เป็นคณะท่ีใช้ทานองขอนแก่นในการลา ซ่ึงทานองขอนแกน เป็นทานองหน่ึงท่ี ได้รับความสนใจจากผู้ฟัง โดยในจังหวัดขอนแก่นมีคณะหมอลาเป็นจานวนมากและมีการแข่งขันทางธุรกิจจึงทาให้

วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 99 คณะหมอลามกี ารพัฒนารูปแบบการแสดง และรปู แบบของการลา อกี ท้ังองคป์ ระกอบอน่ื ๆ เพ่ือใหเ้ ขา้ กับยุคสมยั โดยมี การนาเทคโนโลยีมาเป็นส่วนประกอบในการแสดง มีการพัฒนาวงเพ่ือสร้างจุดสนใจใหม่ๆ สาหรับผู้ชม ด้วยเหตุน้ีวง หมอลาที่ไดรับความนิยมในปัจจุบันจึงต้องมีการจัดการท่ีดีการทางานท่ีเป็นระบบ สามารถดารงอยู่ไดในทุกสภาพ ปัญหา ปัจจัยสาคัญท่ีมผี ลต่อการดารงอยู่ของวงหมอลาอาทิ ปัญหาของนักแสดงหลกั ที่มอี ายุมากข้ึนและอาจจะไดรบั ความนยิ มน้อยลงในอนาคตจาเป็นอย่างย่งิ ทจ่ี ะต้องมตี วั แสดงทดแทนเพราะนกั แสดงหลักท่ีเป็นพระเอกหรือนางเอกท่ี มีอิทธิพลต่อการแสดงเป็นอย่างมากโดยเฉพาะตวั พระเอกหมอลาจะเป็นตัวนาเร่ืองและเป็นตัวสร้างกระแสให้ผชู้ มมา นยิ มชมชอบ และนาไปสกู่ ารช่นื ชอบวงที่พระเอกสงั กัด จากข้อมูลข้างต้นที่กล่าวมา ผู้วิจัยได้เล็งเห็นความสาคัญของคุณลักษณ์ของพระเอกหมอลาเร่ืองต่อกลอน ทานองขอนแก่น โดยเลือกศึกษาคณะระเบียบวาทะศิลป์ ซ่ึงเป็นคณะหมอลาท่ีได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพ่ือ ศึกษาคุณลักษณ์ของพระเอกหมอลาเรื่องต่อกลอนทานองขอนแก่น และเพ่ือเป็นข้อมูลสาหรับผู้ท่ีสนใจ ในการศึกษา ต่อไป วตั ถุประสงค์ เพื่อศกึ ษาคณุ ลักษณข์ องพระเอกหมอลาเรื่องตอ่ กลอนทานองขอนแกน่ ขอบเขตของกำรวจิ ยั ดา้ นพน้ื ที่ ผวู้ จิ ยั สนใจศกึ ษาเฉพาะบทบาทของตัวพระเอกหมอลาในคณะระเบยี บวาทศิลป์ เท่าน้ัน ในดา้ นเนอื้ หา จะประกอบไปดว้ ยเร่ืองคณุ ลักษณข์ องพระเอกหมอลาทานองขอนแก่นทพี่ ึงมี ระยะเวลาทใ่ี ช้ในการเกบ็ ข้อมลู คอื ชว่ งเดือนมถิ ุนายน ปี 2561 ถึง เดอื น มีนาคม 2562 วิธดี ำเนนิ กำรวิจัย 1. ศกึ ษาข้อมูลจากเอกสาร 1.1 จากหนังสือตาราและงานวจิ ัยท่เี กี่ยวขอ้ ง 1.2 จากสอื่ พิมพ์และบทความตลอดจนส่ืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ 2. การสัมภาษณ์ ผู้วิจัยได้ดาเนินการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้แสดงที่มีความรู้เก่ียวกับคุณ ลกั ษณ์ของพระเอกหมอลาเรอื่ งตอ่ กลอนทานองขอนแก่น 2.1 ผูใ้ หส้ มั ภาษณ์ครศู ลิ ปนิ พ้นื บา้ นอีสาน นักวชิ าการวฒั นธรรมพืน้ บา้ นอสี าน 2.1.1 นายวรศักดิ์ วรยศ หวั หน้าสานักงานวฒั นธรรมจงั หวดั ขอนแกน่ 2.1.2 นางพรสวรรค์ พรดอนก่อ อาจารยส์ อนศลิ ปะดนตรีและการแสดงพนื้ บา้ นอีสาน วิทยาลยั นาฏ ศลิ ปกาฬสินธ์ุ 2.2 ผใู้ หส้ ัมภาษณ์หมอลาคณะระเบยี บวาทะศลิ ป์ 2.2.1 นายสุมิตรศักดิ์ พลล้า ผู้บริหารจัดการ หัวหน้าคณะ ผู้กากับ และอดีตพระเอกหมอลาเร่ือง ตอ่ กลอนทานองขอนแก่น คณะระเบยี บ วาทศิลป์

100 ปที ่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) 2.2.2 นายภักดี พลล้า ผู้บริหารจัดการ หัวหน้าคณะ ผู้กากับ และอดีตพระเอกหมอลาเร่ืองต่อ กลอนทานองขอนแกน่ คณะระเบยี บ วาทะศลิ ป์ 2.2.3 นายจักรพนั ธ์ เครือน้าดา พระเอกหมอลาคณะระเบยี บ วาทะศลิ ป์ 2.3 ผใู้ ห้สัมภาษณ์กล่มุ ผู้ชม 2.3.1 นายณัฐชนันท์ ถิตย์รศั มี เป็นผ้ทู ี่ช่นื ชอบการแสดงหมอลาเรอื่ งตอ่ กลอนมานานกว่า 30 ปี 2.3.2 นายพรชัย ครองยุติ เปน็ ผทู้ ช่ี น่ื ชอบการแสดงหมอลาเรอื่ งตอ่ กลอนมานานกว่า 30 ปี 3. การศกึ ษาภาคสนาม ผ้วู ิจัยได้เก็บข้อมลู เกย่ี วคณุ ลักษณ์ของพระเอกหมอลาเร่ืองต่อกลอนทานองขอนแกน่ โดยการสงั เกตแบบ ไม่มีส่วนร่วมและมีส่วนร่วม ในโอกาสต่างๆ คือ ฝึกหัดและชมการแสดงหมอลา คณะระเบียบวาทะศิลป์ คือช่วงเดอื น มถิ นุ ายน ปี 2561 ถงึ เดือน มีนาคม 2562 4. ผ้วู จิ ยั นาข้อมลู ท่ไี ด้จากการศึกษาเอกสาร ตารา การสมั ภาษณ์ และการศกึ ษาภาคสนาม มาสรปุ และเรียบ เรียง แล้วรายงานผลการวิจัย 3 บทต่อคณะกรรมการ 5. นาขอ้ เสนอแนะจากคณะกรรมการมาดาเนนิ การปรับปรงุ แก้ไข 6. วเิ คราะหข์ อ้ มูลที่ได้จากการสมั ภาษณ์ และการศึกษาภาคสนามมาสังเคราะหข์ ้อมูล เพอ่ื สรปุ และเรยี บเรียง เป็นรายงานผลการวิจยั 5 บทตอ่ คณะกรรมการ 7. ดาเนนิ การแก้ไขผลการวิจัยตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ 8. ดาเนินการเขียนรายงานผลการวิจัยในรูปแบบบทความวิจัย เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานในวารสารทาง วิชาการ ผลกำรวจิ ยั การศกึ ษาครัง้ น้ีเป็นการศึกษาเก่ียวกบั คุณลักษณ์ของพระเอกหมอลาเรือ่ งต่อกลอนทานองขอนแกน่ ผวู้ จิ ัยได้ จาแนกเอกสารและงานวจิ ยั ที่เกยี่ วข้อง ข้อมูลภาคสนาม ออกเป็นหมวดหมู่ แล้ววเิ คราะห์เนือ้ หาสาระ และนาเสนอผล การศึกษาแบบพรรณนาวิเคราะห์ ซึ่งสามารถสรุปผลการวิจัยตามวัตถุประสงค์ คือ เพ่ือศึกษาคุณลักษณ์ของพระเอก หมอลาเรื่องต่อกลอนทานองขอนแก่น พื้นท่ีท่ีศึกษา คือ หมอลาคณะระเบียบวาทะศิลป์ โดยศึกษาเฉพาะคุณลักษณ์ ของพระเอกหมอลาเร่ืองตอ่ กลอนทานองขอนแกน่ เทา่ นน้ั จากผลการศึกษาจากเอกสาร และจากขอ้ มลู ภาคสนาม พบ ขอ้ มลู ดงั นี้ คณุ ลักษณข์ องพระเอกหมอลาเร่อื งต่อกลอนทานองขอนแกน่ ผทู้ ีไ่ ดร้ บั บทบาทเปน็ พระเอกหมอลานนั้ จากการ สัมภาษณ์นายภักดี พลล้า และนายสุมิตรศักดิ์ พลล้า ซ่ึงเป็นอดีตพระเอกหมอลา ได้ทราบว่า ทั้งสองท่านเป็นผู้ คัดเลือกนักแสดงเองและทาหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอน ซ่ึงท่านเป็นหัวหน้าคณะหมอลาระเบียบวาทะศิลป์ได้มีการกาหนด คุณสมบัติของพระเอกหมอลาโดยเบ้ืองต้น คือต้องมีความเหมาะสมกับเร่ืองที่แสดง ตลอดจนคุณสมบัติต่างๆ เพื่อให้ สอดคล้องกับตัวละครในเรือ่ ง เชน่ เรอ่ื งทีเ่ ก่ยี วกับวรรณกรรมพนื้ บ้านอสี าน เร่ือง ผาแดงนางไอ่ ผู้ทีร่ ับบทเป็นพระเอก ในเร่อื งจะต้องมีคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกับตวั ละครผาแดง ตามวรรณกรรมพ้ืนบา้ นอีสาน จากการศึกษาสัมภาษณ์ข้อมูล ผู้ที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นพระเอกหมอลาเร่ืองต่อกลอนทานองขอนแก่น ประกอบด้วยคุณลกั ษณ์ 6 ดา้ น ดงั น้ี

วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 101 1. ด้ำนนำเสียง ผู้ท่ีจะได้คัดเลือกให้เป็นพระเอกหมอลาเรื่องต่อกลอนทานองขอนแก่นนน้ั อับดับแรกจะต้องมีกระแสเสยี งดี มนี า้ เสียงไพเราะ นอกจากเสียงร้องแล้วเสียงพดู เจราจาหรือบทสนทนาจะตอ้ งส่ือสารออกมาให้เป็นธรรมชาตมิ ากที่สุด โดยผู้ที่รับบทเปน็ พระเอกหมอลาต้องมีกระแสเสียงไดด้ งั น้ี 1.1 การร้องหมอลา และร้องเพลงพระเอกหมอลาต้องมีลักษณะเด่นในเร่ืองการร้องหมอลาเพราะเปน็ ตัว เอกของเร่ือง ผู้แสดงต้องมีน้าเสียงท่ีไพเราะ ฟังแล้วสบายหู จะต้องถ่ายทอดทั้งความหมายของบทเพลง อารมณ์ของ บทเพลงใหแ้ ก่ผ้ฟู ังได้เขา้ ใจ 1.2 การพูดเจรจาหรือการสนทนา ผู้แสดงจะต้องมีน้าเสียงที่เป็นธรรมชาติ ไม่มีการดัดเสียงหรือบังคับ เสียงตนเองให้เกินจริง ซึง่ พระเอกท่ดี ตี ้องมีช่วงเสยี งทก่ี วา้ ง สามารถใชเ้ สียงได้ทุกระดับเสียงได้ดแี ละจากข้อมลู เอกสาร (ปริญญา ป้องรอด 2544) ได้กล่าวว่า วาดขอนแก่นหรือทานองขอนแก่นน้ี ผู้ลาต้องเป็นผูท้ ี่มีระดับเสียงสูงพอสมควร โดยเฉพาะหมอลาผูช้ าย นอกจากเป็นผู้มีระดับเสยี งสูงแลว้ ยงั ตอ้ งมเี สียงแหลมไมน่ ิยมเสยี งหา้ ว 2. ด้ำนบคุ ลิกภำพ บุคลิกภาพท่ีดีมีความสาคัญอย่างมาก ดังน้ันพระเอกหมอลาจึงควรมีบุคลกิ ภาพทด่ี ี เพื่อสร้างชีวิตให้ประสบ ความสาเร็จ โดยต้องมบี คุ ลกิ ภาพดงั ต่อไปนี้ คือ 2.1 เป็นเพศชายเท่านน้ั มีอายุประมาณ 20-35ผู้แสดงจะสามารถถ่ายออกอารมณ์ความรู้สึกได้ดี ปี เพราะ และคนดูจะร้สู ึกวา่ เกดิ ความสมจรงิ 2.2 ต้องมีสถานภาพสถานะโสด จะได้รับความนิยมมากกว่าผู้ท่ีมีครอบครัว เพราะผู้ชมจะติดตามเป็นพิเศษ ซึง่ เปน็ กลมุ่ แฟนคลบั ท่ีชนื่ ชอบผลงานในด้านการแสดงหมอลา (พรชยั ครองยตุ ิ. สมั ภาษณ์, 21 มกราคม 2562) 2.3 ต้องมีรูปร่างหน้าตา สมส่วนโดยมีสว่ นสงู 170 เซนติเมตร ข้ึนไป น้าหนักไม่ควรมากกว่า 65 กิโลกรัม มี ผิวพรรณดี มีใบหน้ารูปไข่ ค้ิวดกดา ตากลม จมูกโด่ง ปากเล็ก หน้าเนียนใสเป็นธรรมชาติ ท่ีสาคัญ ต้องเป็นผู้ที่มี ร่างกายสมประกอบเป็นผู้ที่มีร่างกายสมบูรณ์ เกิดมาครบ อวัยวะเป็นปกติ 32 และเป็นผู้ที่ไม่มีโรคประจาตัวร้ายแรง (ณฐั ชนนั ท์ ถิตย์รัศม.ี สมั ภาษณ์, 12 มนี าคม 2562) 2.4 ผู้ท่ีเป็นพระเอกหมอลาจะต้องแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย แต่งกายดี ถูกกาลเทศะ มีความสะอาด มี ระเบียบ จะทาให้ผู้อนื่ ประทบั ใจ (ภักดี พลล้า. สัมภาษณ์, 18 มกราคม 2562) 3. ดำ้ นมีคุณธรรม จริยธรรม ในด้านคณุ ธรรมและจรยิ ธรรม ท่ีพระเอกหมอลาเร่ืองตอ่ กลอนทานองขอนแก่น ต้องมี ประกอบดว้ ย 3.1 มีน้าใจเปน็ ผูท้ ี่ความจริงใจทไี่ ม่เห็นแก่ตวั เห็นใจในคุณค่าของเพ่ือนมนุษย์ มีความเอื้ออาทร เอาใจใส่ ให้ ความสนใจความทกุ ข์สขุ ของผู้อืน่ และพรอ้ มทีจ่ ะให้ความช่วยเหลอื เกื้อกลู กนั และกนั 3.2 มคี วามซอ่ื สตั ยร์ ักษาคาม่ันสัญญา ซือ่ ตรงและเป็นท่ีเช่อื ถือได้ ไม่หลอกลวงตนเองและผูอ้ ่นื 3.3 มีมนุษย์สัมพันธ์ดี เป็นคนร่าเริงเมื่ออยู่กับคนอื่น และรักษาระดับสุขภาพจิตให้คงที่ มีอารมณ์ขัน พูดคยุ สนุกสนาน และยอมรบั ฟงั ความคดิ เห็นคนอืน่ เสมอ 3.4 มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งในข้อน้ี คณะหมอลาส่วนใหญ่ให้ความสาคัญว่า ถ้าเป็นผู้น้อยต้องมีความ อ่อนน้อมถ่อมตนกับผู้หลักผู้ใหญ่ เพราะจะทาให้ได้รับความเอ็นดูจากผใู้ หญ่ เป็นผลให้ได้รับความอุปการะและผูใ้ หญ่ จะให้ความช่วยเหลือเมื่อเราเดอื ดรอ้ น

102 ปีที่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) 3.5 มีความมั่นใจในตัวเองสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองมีความมุ่งม่ัน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค มีพลังในตัวเอง พร้อมที่จะรับและสร้างสิ่งใหม่ๆวางอนาคตให้กับตัวเองและสร้างแรงผลักดันเพ่ือให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ (ภกั ดี พลล้า. สัมภาษณ์, 18 มกราคม 2562) 4. ด้ำนระเบยี บวินยั พระเอกหมอลาเรื่องต่อกลอนทานองขอนแก่นจะต้องมีระเบียบวินัย คือต้องมีความขยันหมั่นเพียรใน การศึกษาหาความรู้ หม่ันฝึกซ้อมการแสดงอย่างสม่าเสมอแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่างๆ ท้ังภายในและ ภายนอกคณะหมอลาเรอ่ื งตอ่ กลอนทานองขอนแก่น โดยเลอื กใชส้ ่อื อยา่ งเหมาะสม (พรสวรรค์ พรดอนกอ่ . สัมภาษณ์, 26 มิถุนายน 2561) มีความมุ่งมั่นในการทางาน มีความตั้งใจในหน้าที่การงาน มีความรับผิดชอบสงู สามารถทาหน้าที่ ใหส้ มบูรณ์ตามทไ่ี ด้รบั มอบหมายรวมท้ัง มีความตรงตอ่ เวลาเวลาผูใ้ หญ่นดั หมายจะต้องมากอ่ นเวลา 20-30 นาที (ภักดี พลล้า. สัมภาษณ์, 18 มกราคม 2562) 5. ดำ้ นกำรฝึกซอ้ ม ผู้ท่ีได้รับคัดเลือกให้เป็นพระเอกหมอลาจะได้รับการฝึกอย่างหนัก โดยเร่ิมฝึกปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปน้ี คือ ฝึกการฟัง ผู้ลาจะต้องมีทักษะในด้านของการฟังท่ีดี และ ฝึกการอ่าน โดยฝึกการอ่านเป็นภาษาอีสาน อ่านจน คล่อง จนชานาญ รวมทั้งต้องฝึกการท่องจาบทร้องและบทหมอลาที่แสดงเม่ือทาความเข้าใจกับบท อีกทั้งต้องฝึกการ ร้องเพลงต่างๆ สาหรับประกอบการแสดง จะต้องฝึกปฏิบัติการขับร้องเพลงให้ชานาญจดจาได้ขึ้นใจ และท่ีสาคัญอีก อย่างคือ ฝึกการตีบทแสดงอารมณ์ความรู้สึก ฝึกปฏิบัติท่าฟ้อนประกอบการลาทานองขอนแก่น ทาความเข้าใจ เกี่ยวกับบทหมอลา การร้อง การใช้ท่าให้สอดคล้องกัน เช่น“อันว่าโตข้าพเจ้ามีนามว่ามานพลูกกราบสวัสดีแฟนๆ ที่ หลั่งมาหลายล้น”การตีบทและการใช้ทา่ ทาง ผู้แสดงใช้มือซ้ายมาแตะท่ีหน้าอก จากน้ันพนมมือไหว้ระดับอก แล้วก้ม หน้าลงเล็กน้อย ความรู้สึกของผู้แสดงสหี น้าทา่ ทางยิ้มแย้มแจ่มใส กวาดสายตาให้ทุกคนเปน็ ต้น และที่สาคัญอีกอย่าง คือฝึกการฟ้อนประกอบลาทานองต่าง ๆ เช่น ลาเดิน ลาเพลิน และท้ายสุดต้องมีการฝึกซ้อมเข้ากับตัวละครอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดีและต้องยอมรับฟังความคิดเห็นของคณะผู้วิจารณ์ ถือว่าเป็นการฝึกซ้อมการแสดงให้สมบรู ณ์มากยิง่ ข้ึน (ภกั ดี พลลา้ , สมุ ิตรศักด์ิ พลล้า, จกั รพนั ธ์ เครอื น้าดา, สมั ภาษณ.์ 18 มกราคม 2562) 6. ด้ำนกำรแสดง ดา้ นการแสดงหมอลา พระเอกหมอลาจะต้องเปน็ ผ้ทู ่เี ตม็ ที่กับบทบาทท่ีตัวเองได้รับผดิ ชอบ ในดา้ นการแสดง โดยพระเอกหมอลาเรื่องต่อกลอนทานองขอนแก่น ต้องร้องเพลงลูกทุ่งหมอลา ช่วงการแสดงโชว์ศิลปวัฒนธรรม เพื่อให้ผู้ชมได้รู้จัก และการร้องหมอลาเรื่องต่อกลอนทานองขอนแก่น ต้องแสดงความสามารถของตัวเองออกมาให้ ผชู้ มเชอื่ วา่ เป็นพระเอกจริงๆ พระเอกจะตอ้ งทอดถ่ายอารมณ์ความรูส้ ึกออกมาผา่ นน้าเสยี ง สีหน้า ท่าทางต่างๆ (ภักดี พลล้า, สุมิตรศักดิ์ พลลา้ , จกั รพันธ์ เครือนา้ ดา, สัมภาษณ.์ 18 มกราคม 2562)

วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 103 จากขอ้ มูลทงั้ หมดขา้ งตน้ สามารถ สรุปคุณลักษณข์ องพระเอกหมอลาทานองขอนแก่น ได้ดงั น้ี คุณลกั ษณ์ของพระเอกหมอลำ เรอ่ื งต่อกลอนทำนองขอนแกน่ ภำพที่ 1: คณุ ลกั ษณ์ของพระเอกหมอลาเรื่องตอ่ กลอนทานองขอนแกน่ อภปิ รำยผลกำรวจิ ยั ในส่วนของคุณลกั ษณ์ของพระเอกหมอลาเร่ืองต่อกลอนทานองขอนแก่นจะมีความโดดเด่นมากกว่าตัวละคร อืน่ ๆ ในทุกๆ ดา้ น สามารถอภปิ รายผลได้ ดงั นี้ ด้ำนนำเสยี ง จากการวิเคราะห์พบว่า ผูแ้ สดงจะตอ้ งมีกระแสเสียงดี มนี า้ เสยี งไพเราะ นอกจากเสยี งร้องแล้ว เสียงพูดเจราจาหรือบทสนทนาจะต้องส่ือสารออกมาให้เป็นธรรมชาติมากท่ีสุดโดยจากข้อมูล สามารถวิเคราะห์ได้วา่ พระเอกหมอลาทานองขอนแกน่ นน้ั ต้องสามารถใชเ้ สียงได้ 3 โทนเสยี ง เป็นอยา่ งดี คือ 1. ระดับเสยี งต่า พระเอกหมอลาสามารถขับร้องในระดบั เสยี งต่าไดเ้ สียงต่า เปน็ เสียงท่ีเปล่งออกมา ได้ง่ายที่สุด โดยจะรู้สึกสั่นสะเทอื นบริเวณหนา้ อก เสียงที่ได้จะมีความกังวานมีเสียงทุ้มและใหญ่ เป็นโทนท่ีแสดงออก

104 ปที ่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ถึงอารมณ์ความรู้สึกสุขุมรอบคอบเศร้า ลักษณะของเนื้อเสียงจะเหมือนกับเสียงพูดปกติของชาวอีสาน ตาแหน่งของ เสยี งทางกายภาพจะอย่ทู บ่ี รเิ วณหน้าทอ้ งถงึ บริเวณรมิ ฝีปากลา่ ง 2. ระดับเสียงกลาง พระเอกหมอลาสามารถขับร้องในระดับโทนเสียงกลางได้ดี โทนเสียงกลาง แสดงออกถึงอารมณ์ท่ีปกติสบายๆ เมื่อปล่อยเสียงจะรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนบริเวณช่องปาก และในโพรงอากาศ บริเวณจมูก ลักษณะของเน้ือเสียงจะเหมือนกับเสียงพูดปกติของชาวอีสานตาแหน่งของเสียงทางกายภาพจะอยู่ท่ี บรเิ วณรมิ ฝปี ากถึงโหนกแกม้ 3. ระดับเสียงสงู เป็นโทนเสยี งทีแ่ สดงออกถงึ อารมณ์ที่ดีใจสดุ ๆ เสียใจสุดๆ สนุกสนาน เป็นการขับ ร้องในเสียงสูงระดับเทรเนอร์ ขณะเปล่งเสียงจะรู้สกึ ส่ันสะเทือนก้องบริเวณ เหนือล้ินไก่และพลิ้วไปตามสว่ นหลังของ ศีรษะเกิดความก้องกังวานในโพรงกะโหลกศีรษะ แผ่กระจายมาถึงโพรงอากาศบริเวณหน้าผาก ตาแหน่งเสียงทาง กายภาพจะอยู่ทีบ่ รเิ วณหวา่ งคิ้ว ซึ่งในการแสดงแต่ละฉาก แต่ละตอน ผู้ท่ีเป็นพระเอกต้องมีการใช้กระแสเสียง ที่แตกต่างกันไปตามบท เช่น บทโศก ต้องใช้น้าเสียงออดอ้อน ใช้โทนกลาง และต่า ในบทรัก ต้องใช้โทนเสียงทุ้มนุ่มนวล บทเข้มแข็ง โกรธ ต้องใช้ ระดับเสียงสูง เป็นต้น ดังนั้น ในด้านนี้จึงเป็นด้านทีส่ าคัญมากด้านหน่งึ สอดคล้องกับ ปริญญา ป้องรอด (2544) ท่ีได้ ทาการศึกษาวเิ คราะหบ์ ทหมอลาเร่ืองตอ่ กลอน ด้ำนบุคลิกภำพ ท้ังน้ีทางด้านบุคลิกภาพ น้ันเก่ียวกับเร่ืองเครื่องแต่งกาย เพราะบทสรุปสุดท้ายตอนจบของ หมอลาเรือ่ งทีแ่ สดง ซ่งึ พระเอกถือเปน็ ตวั แทนของผ้ทู ีท่ าความดี ขยนั อดทน ความรัก ความสามัคคี ชใี้ ห้เห็นถงึ วิถชี ีวิต ความเป็นอยู่ของผู้คน เป็นคติสอนใจ พระเอกจะต้องได้รับความถูกต้องเพราะพระเอกถือว่าเป็นตัวเองของผู้ท่ีปฏิบตั ิ ความดี ฉากตอนจบพระเอกกก็ ลับมาเปลีย่ นชดุ การแต่งกายใหด้ สู วยงาม ดงั นน้ั ถา้ พระเอกมีบคุ ลกิ ภาพที่ดี เมอื่ รวมกับ การแต่งกายเข้าไปจะให้ผู้พบเห็น ช่ืนชอบ จึงถือเป็นคุณลักษณ์ทางด้านบุคลิกภาพ อีกด้านหนึ่งท่ีบ่งบอกความเป็น พระเอกหมอลาของทานองขอนแก่น สอดงคล้องกับ สุรพล วิรุฬรักษ์ (2522) ท่ีทาการศึกษาเรื่องลเิ ก และ โศภิตสดุ า อนันตรักษ์ (2534) ได้ศึกษาวิเคราะห์ลาเร่ืองต่อกลอนในด้านองค์ประกอบการแสดง พบว่าการแต่งกายเป็น องคป์ ระกอบท่สี าคญั ดา้ นหนง่ึ ของการแสดง ด้ำนคุณธรรม จริยธรรม เป็นส่วนสาคญั ทีพ่ ระเอกจะต้องมคี ือต้องมีคุณธรรม จริยธรรมท่ีดี พบว่า ส่วนน้ีจะ เป็นการเสริมให้พระเอกน้ันเป็นที่ช่ืนชอบของผู้ชม ดังจะปรากฏออกมาในตัวพระเอกหมอลา โดยท่ีพระเอกหมอลา เป็นบุคคลที่มีน้าใจ มีความซื่อสัตย์ มีความเสียสละ มีกิริยามารยาทเรียบร้อยมีมนุษย์สัมพันธ์ดีจะส่งผลให้ผู้ชมน้ัน ตดิ ตามและช่นื ชอบและกลายเปน็ ขวญั ใจมหาชนในทสี่ ุด ดำ้ นระเบียบวินยั ด้านน้ี เปน็ คณุ ลกั ษณ์ ทเี่ ป็นสว่ นสง่ เสริมให้เกิดการพฒั นาความสามารถของพระเอกอย่าง ต่อเน่ือง เพราะเม่ือพระเอกหมอลามีความขยันหม่ันเพียรมีความอดทนใฝ่เรียนรู้มงุ่ มั่นในการทางานมคี วามรบั ผดิ ชอบ สูงและที่สาคญั ตอ้ งมคี วามตรงต่อเวลา ก็จะทาให้เป็นทร่ี ักของคนในคณะรวมท้งั ครผู ้ใู หญ่หรือแมก้ ระท่งั เจา้ ของคณะ ก็ จะเกิดความเมตตา และสง่ เสรมิ ในอาชีพให้ดีขึน้ ยงิ่ ๆ ขน้ึ ไป ด้ำนกำรฝึกซ้อม ข้อน้ีจะต่อเนื่องกับข้อด้านระเบียบวินัย คือพระเอกหมอลาน้ัน จะต้องทาหน้าท่ีท่ีได้รับ มอบหมายอยา่ งหนัก เพราะถือว่าตัวพระเอกเป็นตวั ละครที่สาคญั ของการแสดงหมอลา ดงั นนั้ ถา้ ด้านการฝึกซ้อมนี้ ตัว พระเอกพึงมีและเอาใจใส่เป็นอย่างดี จะทาให้มีการพัฒนาฝีมืออย่างต่อเน่ืองและมีความก้าวหน้า สามารถพัฒนาขีด ความสามารถของตนเองให้ถึงขีดสุดได้เป็นอย่างดี เพราะการฝึกซ้อมจะประกอบด้วย ฝึกการฟังฝึกการอ่าน ฝึกการ

วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 105 ท่องจา ฝึกการร้องเพลงประกอบการแสดง ฝึกการตีบท ฝึกการฟ้อน และโยงไปสู่การฝึกซ่อมย่อย และฝึกซ้อมใหญ่ อันจะเปน็ การส่งผลใหเ้ กิดการพฒั นาฝีมอื และเป็นท่ีช่ืนชอบของแฟนคลับอย่างแท้จริง ด้ำนกำรแสดง คุณลักษณ์ของพระเอกหมอลาด้านน้ี ถือเป็นพรสวรรค์ และเอกลักษณ์อีกด้านท่ีสาคัญ คือ เปน็ คณุ ลกั ษณท์ ี่ต้องทาหน้าท่ีในการแสดง ในช่วงต่าง ๆ โดยจะต้องเข้าถึงบทบาทท่ีกาลังแสดงในแตล่ ะชว่ งแต่ละตอน ดึงดูด โน้มน้าวให้ผู้ชมคล้อยตามและเชื่อวา่ เราเปน็ ตวั แสดงนั้นจริง ๆ ซ่ึงถือเป็นพรสวรรค์ท่พี ระเอกควรมี ซึ่งพระเอก ตอ้ งสามารถสวมบทบาทการแสดงได้เปน็ อย่างดแี ละตอ้ งเข้าใจรูปแบบการแสดง สอดคลอ้ งกบั พรเทพ วรี ะพล (2535) ไดศ้ กึ ษาการแสดงหางเคร่ืองหมอลาหมู่ พบวา่ องค์ประกอบและรูปแบบการแสดงเป็นปจั จยั สาคัญท่ีทาให้คณะหมอลา เร่ืองต่อกลอน ท่ีได้รับความนิยมจากประชาชน ท่ังนี้เพราะรูปแบบการแสดงเปน็ ลาดบั การนาเสนอความบันเทิงของผู้ แสดงหมอลาเรื่องต่อกลอนท่ีมอบให้แก่ผู้ชมถ้าหมอลาคณะใดมีรูปแบบการแสดงท่ีเหมาะสมผู้ชมการแสดงก็จะเกิด ความสขุ สนุกสนาน ตน่ื เตน้ เรา้ ใจ และเกดิ ความนิยมชมชอบ คณุ ลักษณ์ของพระเอกหมอลาเรอ่ื งต่อกลอนทานองขอนแก่นท้ัง 6 ด้านนนั้ ทกุ ด้านมคี วามสาคญั เพราะเปน็ ส่วนทีช่ ่วยสง่ เสริมให้เพระเอกมีการพฒั นาตนเองอย่างต่อเนื่อง และทาให้เปน็ ท่รี กั ทช่ี ่ืนชมของผชู้ ม รวมทง้ั คนในคณะ ผู้บรหิ ารคณะ ซึ่งคณุ ลักษณ์ท้งั 6 ด้านนี้ จะขาดข้อใดข้อหน่งึ ไม่ได้ องคค์ วำมรใู้ หม่ จากการศึกษาคุณลักษณ์ของพระเอกหมอลาเรื่องต่อกลอนทานองขอนแก่น ได้ค้นพบองค์ความรู้ใหม่ และ สามารถนาความรไู้ ปประยุกต์ใช้ในการคดั เลือกพระเอกหมอลาได้อยา่ งเป็นแบบแผน มโี ครงสร้าง และอธบิ ายโดยใช้ หลักการและเหตุผล ผู้ท่ีได้รับคัดเลือกให้เป็นพระเอกหมอลาเรื่องต่อกลอนทานองขอนแก่น ของหมอลาคณะ ระเบียบวาทะศิลป์ ต้องประกอบด้วยคุณลักษณะ ดังนี้ ในอดีตพระเอกหมอลาจะเน้นเฉพาะน้าเสียงท่ีไพเราะ แต่ใน ปจั จบุ นั ตอ้ งมีนา้ เสียงทีไ่ พเราะ มีบุคลิกภาพทีด่ ี มคี ุณธรรม จริยธรรม มีระเบียบวนิ ยั ใส่ใจการฝกึ ซอ้ มและ การ แสดง จากคุณลักษณ์จะเกิดเป็นทักษะ กระบวนการ วิธี ข้ันตอนที่สามารถนาไปใช้ได้ ลักษณะเด่น แบบอย่าง ของพระเอกหมอลา ตัวบคุ คล ผลของการถ่ายทอดข้นึ อยู่กบั ผูถ้ ่ายทอดและผ้รู ับเปน็ สาคญั ขอ้ เสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะกำรนำผลวิจยั ไปใช้ 1.1 นาข้อมลู ไปสร้างเปน็ แบบเรยี นเพือ่ ใช้ในหลักสตู รทอ้ งถิ่นด้านการศกึ ษา 1.2 เป็นแนวทางในการเป็นพระเอกหมอลาเร่อื งตอ่ กลอนทานองขอนแก่น 1.3 เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนาของการแสดงหมอลาเรือ่ งต่อกลอนทานองขอนแกน่ 2. ข้อเสนอแนะกำรวิจยั ครังตอ่ ไป 2.1 ควรมกี ารศกึ ษาคุณลักษณข์ องตัวละครอืน่ ๆ ของการแสดงหมอลาเรอื่ งตอ่ กลอนทานองขอนแกน่ 2.2 ควรมกี ารสง่ เสริมให้จัดทาหลกั สตู รทอ้ งถิ่นเกี่ยวกบั คุณลักษณ์ของพระเอกหมอลาเรือ่ งตอ่ กลอน ทานองขอนแก่น

106 ปีท่ี 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) เอกสำรอำ้ งอิง จารุวรรณ ธรรม. (2528). รายงานการวิจัย เร่ืองบทบาทของหมอลาต่อสังคมอีสานในช่วงกึ่งศตวรรษ. มหาสารคาม: สถาบนั วิจยั ศลิ ปะและวฒั นธรรมอสี าน มหาวิทยาลัยศรีนครนิ ทรวิโรฒ. เจริญชัย ชนไพโรจน.์ (2526). ดนตรีและการละเล่นพืน้ บา้ นอีสาน. มหาสารคาม: ภาควิชาดุริยางค์ศาสตร์คณะมนษุ ย์ ศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ. ชมุ เดช เดชภิมล. (2521). ภาพสะท้อนชวี ิตชาวอีสานจากลอนลา. (สารนพิ นธค์ รศุ าสตรม์ หาบณั ฑติ ภาควชิ าภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์, มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร). ณัฐชนันท์ ถิตย์รัศมี. (2562). ความนิยมและคุณลักษณ์ของพระเอกหมอลา (สัมภาษณ์). เจ้าหน้าท่ีขนส่งจังหวัด กาฬสนิ ธุ์ เป็นผทู้ ชี่ นื่ ชอบการแสดงหมอลาเร่ืองตอ่ กลอนมานานกว่า 30 ป.ี 12 มนี าคม 2562. ปริญญา ป้องรอด. (2544). การวเิ คราะหบ์ ทหมอลาเรอื่ งตอ่ กลอน. (วิทยานพิ นธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าไทย ศกึ ษา, มหาวิทยาลยั รามคาแหง). ประมวล พมิ พเ์ สน. (2539). หมอลาหมวู่ าทขอนแกน่ . ขอนแก่น: ขอนแกน่ การพมิ พ์. พรชัย ครองยุติ. (2562). ความนิยมและคุณลักษณ์ของพระเอกหมอลา (สัมภาษณ์). ครูชานาญการพิเศษ โรงเรียน กาฬสนิ ธ์ุพิทยาสรรพ์ เปน็ ผทู้ ช่ี นื่ ชอบการแสดงหมอลาเรอื่ งตอ่ กลอนมานานกวา่ 30 ป.ี 21 มกราคม 2562. พรสวรรค์ พรดอนกอ่ . (2551). การพฒั นาการจดั การศิลปะการแสดงหมอลาในจังหวดั อดุ รธาน.ี (วทิ ยานิพนธ์ปรชั ญา ดุษฎีบณั ฑิต สาขาวชิ าวฒั นธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลยั มหาสารคาม). พรสวรรค์ พรดอนกอ่ . (2561). หมอลาเรอื่ งต่อกลอนทานองขอนแก่น. (สมั ภาษณ์). อาจารยส์ อนศลิ ปะดนตรีและการ แสดงพนื้ บ้านอีสาน วทิ ยาลยั นาฏศิลป์กาฬสินธุ์. 26 มถิ ุนายน 2561. ภักดี พลล้า. (2562). คุณลักษณ์ของพระเอกหมอลาเร่ืองต่อกลอนทานองขอนแก่น (สัมภาษณ์). ผู้บริหาร หัวหน้า คณะ ผู้กากับ และอดีตพระเอกหมอลาเรื่องตอ่ กลอนทานองขอนแก่น คณะหมอลาระเบียบวาทะศิลป์. 18 มกราคม 2562. เยาวภา คาเนตร. (2536.) วิถีชีวิตของชาวอีสานจากกลอนลาทางยาวของหมอลากลอน. (ปริญญานพิ นธ์ศิลปะศาสตร มหาบณั ฑติ สาขาวชิ าไทยคดีศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ). วรศักด์ิ วรยศ. (2561). หมอลาเรื่องต่อกลอนทานองขอนแก่น. (สัมภาษณ์). หัวหน้าสานักงานวัฒนธรรมจังหวัด ขอนแกน่ . 27 ตุลาคม 2561. วิถีบ้านนา. (2560). 10 อันดับคณะหมอลายอดเย่ียมแห่งปี 2560. (ออนไลน์) (อ้างเม่ือ 7 สิงหาคม 2560) จาก https://www.ntbdays.com/witeebanna/1612 โศภิตสุดา อนันตรักษ์. (2534.) การวิเคราะห์ลาเรื่องต่อกลอน. (ปริญญานิพนธ์หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย, มหาวิทยาลยั ศรีนครนิ ทรวิโรฒ ประสานมติ ร). สุมิตรศักดิ์ พลล้า. (2562). คุณลักษณ์ของพระเอกหมอลาเร่ืองต่อกลอนทานองขอนแก่น (สัมภาษณ์). ผู้บริหาร หัวหน้าคณะ ผู้กากับ และอดีตพระเอกหมอลาเร่ืองต่อกลอนทานองขอนแก่น คณะหมอลาระเบียบ วาทะศลิ ป์. 18 มกราคม 2562. สรุ พล วิรฬุ รักษ.์ (2522). ลเิ ก. กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พ์คุรสุ ภาลาดพร้าว.

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 107 การแสดงในขบวนแห่เทยี นพรรษาจังหวดั อบุ ลราชธานี Performance in Buddhist Lent Procession of Ubon Ratchathani Province. ธัญลักษณ์ จนั ทบั 1* สวภา เวชสุรักษ2์ * Tunyaluck Juntub1 Savaparr Vechsurak2 1นสิ ติ หลกั สูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ านาฏยศิลปไ์ ทย ภาควิชานาฏยศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย Master of Arts, Faculty of Fine and Applied Art Chulalongkorn University 2รองศาสตราจารย์ สาขาวิชานาฏยศลิ ปไ์ ทย ภาควิชานาฏยศลิ ป์ คณะศลิ ปกรรมศาสร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั Associate Professor, Faculty of Fine and Applied Art Chulalongkorn University *Corresponding author e-mail: [email protected] (Received: 4 April 2020, Revised: 24 April 2020, Accepted: 27 April 2020) บทคดั ย่อ งานวิจัยฉบับน้ีเป็นการศึกษาความเป็นมาและรูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัด อุบลราชธานี ผู้วิจัยใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสาร งานวิจัยที่เก่ียวข้อง การ สัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง โดยกาหนดเกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างที่มีความรู้และประสบการณ์ตรงท่ี สามารถใหข้ อ้ มลู ได้ตรงประเด็นอนั เปน็ ประโยชน์ต่อการวจิ ัย การสังเกตแบบไม่มสี ว่ นรว่ ม เครอื่ งมือที่ใช้ใน การเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบสัมภาษณ์ 2) แบบบันทึกการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม 3) อุปกรณ์ บันทกึ เสียง บันทึกภาพนิง่ และบนั ทกึ ภาพเคลือ่ นไหว ผลการวิจัยพบวา่ การแสดงในขบวนแหเ่ ทยี นพรรษา จังหวดั อุบลราชธานีมกี ารพัฒนามาอย่างต่อเน่ือง ตัง้ แต่ พ.ศ. 2444–2562 เปน็ การแสดงประกอบตน้ เทียน ในลักษณะการแสดงหมู่เป็นขบวน โดยแบ่งการแสดงออกเปน็ 2 ช่วง ได้แก่ 1) การแสดงในขบวนแหเ่ ทยี น พรรษาภาคกลางวนั สามารถจาแนกออกเปน็ 5 ยคุ พบว่า รูปแบบการแสดงมีท้งั แบบอสิ ระไม่ตายตัว และ แบบนาฏศิลป์พ้นื เมืองอีสาน ซึ่งมีท้ังการแสดงท่ปี รับปรุงจากเดิมและการแสดงท่ีสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ เพื่อให้ สอดคล้องกับหัวข้องานหรือหัวข้อการแสดงที่ถูกกาหนดขึ้นในแต่ละปี โดยท่ารา ดนตรี ทานองเพลง และ เครื่องแต่งกายเป็นรูปแบบพ้ืนเมืองอีสาน 2) การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาประกอบแสงเสียงภาค กลางคืน สามารถจาแนกออกเปน็ 2 ยุค พบว่า เป็นการแสดงในรูปแบบพนื้ เมืองอีสานท่สี ร้างสรรค์ขน้ึ ใหม่ โดยมเี นอ้ื หาสอดคล้องกับหัวข้อหลักของการแสดง องคป์ ระกอบของการแสดงท้ังหมดเป็นรูปแบบพ้นื เมือง อีสาน ซึ่งงานวิจัยฉบับน้ีนอกจากจะเป็นการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด อุบลราชธานีแล้ว ยังเป็นประโยชน์ทางด้านการศึกษาท้ังในสถาบันการศึกษาและผู้ท่ีศึกษาเชิงวิชาชีพใน ประเทศไทย คำสำคัญ: การแสดง; ขบวนแห่เทยี นพรรษา; นาฏศลิ ปพ์ นื้ เมอื ง; จังหวัดอบุ ลราชธานี

108 ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ABSTRACT This is a study about history and evolution of dance performances in the Buddhist Lent Candles Procession in Ubon Ratchathani Province. This qualitative research is done by studying documents, related papers, interviewing sample focused group by setting appropriate criteria in selecting experienced and knowledgeable groups that have insights for research as well as observations. Tools used for data collection are 1) interview record form 2) observation record form 3) devices for recording voice, pictures and videos. The research shows that performances in the Buddhist Lent Candles Procession in Ubon Ratchathani was developed from traditional local celebration parade mainly for entertainment purpose. The shows have been evolving during 2444-2562 BE and can be separated into 2 categories; daytime and nighttime. Daytime performances are divided into 5 periods with different formats which are fixed style, free form, local North-easterner or Isan style, traditional style and newly invented performances in accordance with main concepts or themes each year. All the performance elements are Isan styles; choreography, music, songs, melodies and costumes. 2) Nighttime performances are divided into 2 types which are newly created Isan style performances relating to main the main theme with Isan style performance. This research not only promote unique traditions of Ubon Ratchathani but is also academically beneficial for studies in both schools and vocational learners in Thailand. Keywords : Performance; Buddhist Lent Candles Procession; Local dancing performance; Ubon Ratchathani บทนำ ด้วยมนุษย์ไม่ว่าจะชนชาติหรือสังคมใดต่างก็มีหลักยึดเหน่ียวจิตใจ ด้วยความเชื่อความศรัทธาจึง เกิดเป็นการเคารพบูชา และสรรหาวัตถุหรือสิ่งต่าง ๆ มาเป็นเคร่ืองบูชาตามความเช่ือในสังคมของตน ในทางพุทธศาสนิกชนจะนาเทียนมาใช้ในการบูชาพระตามศรัทธาความเชื่อ ซึ่งการถวายเทียนในช่วง เข้าพรรษานี้มีมูลเหตุมาจากในสมัยพุทธกาลพระสงฆ์มีหน้าที่จาริกไปเผยแผ่พระธรรมคาส่ังสอนของ พระพุทธเจ้าในท่ีต่าง ๆ ทาให้ไปเหยียบพืชพรรณของชาวบ้านเสียหาย ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนจึง กล่าวโทษพระสงฆ์ ด้วยเหตุน้ีพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติพระวินัยในเรื่องการจาพรรษาขึ้น ทรงห้ามไม่ให้ พระสงฆจ์ าริกในชว่ งฤดูฝนจะต้องอยู่จาพรรษาวดั แห่งใดแห่งหน่ึงเปน็ เวลา 3 เดือน โดยไดม้ กี ารกาหนดเริ่ม วันเข้าพรรษาต้ังแต่วันแรม 1 ค่า เดือน 8 ถึงกลางเดือน 11 ชาวบ้านจึงได้มีการถวายผ้าจานาพรรษาหรือ ผ้าอาบนา้ ฝนข้ึนเพื่อให้พระสงฆ์ได้ผลดั เปลยี่ น รวมไปถึงการถวายส่ิงของอ่ืน ๆ ท่ีจาเป็นแด่พระสงฆใ์ นชว่ ง เข้าพรรษา เช่น เทียนพรรษา เครื่องไทยทาน เป็นต้น อีกทั้งสืบเนื่ องมาจากในอดีตไม่มีไฟฟ้าใช้ พุทธศาสนิกชนจึงนิยมหล่อเทียนต้นใหญ่ท่ีสามารถจุดได้ตลอด 3 เดือน ถวายแด่พระสงฆ์ตามวัดในชุมชน เพอ่ื ถวายเป็นพทุ ธบูชา ซึ่งเทยี นดงั กลา่ วนเี้ รยี กว่า เทียนจานาพรรษา หรือ เทยี นพรรษา ในประเทศไทยไม่มีหลักฐานการถวายเทยี นพรรษาปรากฏแนช่ ัดวา่ เกิดขึ้นต้งั แต่เม่ือใด หากแตใ่ น สมัยสุโขทยั ได้มีระบุถงึ การถอื ศีลในชว่ งเข้าพรรษาของชาวสุโขทัยท่ีปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ต่อมาเมื่อ สมัยอยุธยาราวพุทธศตวรรษที่ 19–22 ได้มีการกล่าวถึงการเข้าวัดฟังพระธรรมเทศนาปรากฏในโครงด้น ทวาทศมาส และยังมีปรากฏหลักฐานร่วมสมัยท่ีระบุธรรมเนยี มการปฏิบัตใิ นชว่ งเข้าพรรษาของชาวอยุธยา

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 109 กล่าวถึงชาวบ้านได้ตระเตรียมเครื่องไทยทานเพ่ือนาไปถวายแด่พระสงฆ์ รวมไปถึงนาดอกไม้ธูปเทียนไป สักการะพระรัตนตรัย นอกจากน้ียังปรากฏถึงประเพณีเข้าพรรษาสาหรับราชสานักในสมัยอยุธยากล่าวถึง พระราชพิธอี าษาฒมาส (พระราชพิธเี ดอื น 8) ทีพ่ ระมหากษตั รยิ ์ทรงบาเพ็ญพระราชกุศลบวชนาคเป็นภิกษุ สามเณร และการถวายส่ิงของเครื่องใช้แด่พระสงฆ์ รวมไปถึงทรงหล่อเทียนจบพระหัตถ์ถวายตามพระ อารามทั้งในกรุงและตามหัวเมอื งต่าง ๆ เป็นพทุ ธบูชา ต่อมามปี รากฏหลักฐานทก่ี ล่าวถึงการถวายเทียนของ ราชสานักในพระราชพงศาวดารและการทาพานพุ่มเทียนขี้ผึ้งขายเพ่ือใช้ถวายพระในช่วงเข้าพรรษาของ ราษฎร (มลู นธิ เิ ทียนพรรษาจงั หวดั อบุ ลราชธานี, 2550) โดยมีการปฏบิ ัติสืบทอดธรรมเนยี ม การถวายเทียน ในชว่ งเข้าพรรษาน้สี ืบตอ่ และพัฒนามาจนถึงปัจจบุ นั ปัจจุบันชว่ งเข้าพรรษาพุทธศาสนิกชนทัว่ ทกุ ภาคในประเทศไทยจะมกี ารปฏิบตั ติ นเข้าวัด ฟังพระ ธรรมเทศนา ทาบุญตักบาตร เวียนเทียน ถวายเทียนพรรษา ถวายผ้าอาบน้าฝน โดยจังหวัดอุบลราชธานีก็ เป็นหนึ่งจังหวัดท่ีมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาประกอบกับการยึดถือคติความเช่ือในการประพฤติ ปฏิบัติตนตามฮีตสิบสองคองสิบส่ี อันเป็นหลักสาคัญในการดาเนินชีวิตของชาวอีสานในบุญเดือนแปดหรือ งานบุญเข้าพรรษาท่ีเก่ียวกับการถวายเทียน ผนวกกับท่ีต้ังของจังหวัดอุบลราชธานีแต่เดิมมีความอุดม สมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้หลายชนิดอันเป็นท่ีอยู่อาศัยของสัตว์ป่าและผ้ึงจานวนมาก จึงได้รับการกล่าวขานว่า “ดงอู่ผ้ึง” ด้วยเหตุน้ีชาวบ้านจึงได้ดารงชีวิต โดยการหาของป่าและเก็บรวงผึ้งมาทาเป็นข้ีผ้ึงฟ่ันเป็นเทียน จุดให้แสงสวา่ ง จุดบชู าพระ และถวายแดพ่ ระสงฆย์ งั วัดตา่ ง ๆ ชาวอุบลราชธานีได้มีการประพฤติปฏิบัติตนตามคติความเชื่อในฮีตสิบสองคองสิบสี่ โดยในบุญ เดือน 6 บญุ บัง้ ไฟจะนิยมจดั งานแห่บงั้ ไฟกันเปน็ ประจา และในบุญเดอื น 8 งานบญุ เข้าพรรษา ชาวบา้ นจะ ฟ่ันเทียน ยาวรอบศีรษะไปถวายวัด ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2436 กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ข้าหลวงต่าง พระองค์ในพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั รัชกาลท่ี 5 เสด็จมาเปน็ ข้าหลวงใหญ่ปกครองมณฑล กาวลาว ดารงตาแหน่งเจ้าเมืองอุบลราชธานี ตั้งแต่ พ.ศ. 2436–2453 เป็นระยะเวลา 8 ปี พระองค์เป็นผู้ เคร่งครัดในพทุ ธศาสนาธรรมยุตนิกาย ในแต่ละปีได้พบเหน็ ชาวบ้านดืม่ เหลา้ เมายา และพวกหนมุ่ ๆ สาว ๆ ก็มาเก้ียวพาราสีกันในบริเวณเขตวัดในงานประจาปีอยู่เสมอเป็นการไม่เหมาะสม อยู่มาปีหน่ึงชาวจังหวัด อุบลราชธานีจดั งานถวายการตอ้ นรับขึ้นท่ีวัดหลวง (ตั้งอยู่ถนนพรหมราช ริมฝั่งแม่นา้ มลู ) ปีนั้นมีการจุดบ้ัง ไฟถวายทอดพระเนตรบังเอิญบั้งไฟกระบอกน้ันเกิดระเบิดขึ้นกลางคัน ปรากฏว่าทาให้มีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต พระองค์จึงทรงเปลี่ยนแปลงแรงศรัทธาของชาวบ้านให้หันมาสนใจในสิ่งท่ีดีงามและไม่เป็น อันตราย นนั่ ก็คือทรงสนับสนุนการทาเทยี นแทนบ้ังไฟ (เจริญ ตันมหาพราน, 2541) เมอ่ื พ.ศ. 2444 จงึ ได้ เปลีย่ นจากงานบุญบ้ังไฟของเดอื น 6 มาเป็นงานแห่เทียนพรรษาของเดือน 8 ต้งั แตน่ ั้นเปน็ ตน้ มา ดังนน้ั เมอื่ ถึงเดือน 8 จึงเกิดการรวมเทียนขึ้นมาแทน มีการทาบุญเลยี้ งพระ แหเ่ ทยี นของค้มุ วัดต่าง ๆ นอกจากนี้พระ เจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ยังทรงจัดให้มีการประกวดต้นเทียนและขบวนแห่เทียนขึ้น เป็นคร้ังแรกอีกด้วย โดยการจัดประกวดขบวนแห่เทยี นพรรษาซึ่งกาหนดให้มคี ุณสมบตั ิต่าง ๆ ไม่ว่าจะเปน็ การจดั ขบวนใหห้ ญงิ สาวและเพ่ือนคอยถือต้นเทียนอยู่บนเกวียนหรืออาจเรียกว่า “นางฟ้าตน้ เทียน” มีการ เดินแห่เทียนพรรษา ตลอดจนการบรรเลงดนตรีและการแสดงต่าง ๆ ในขบวนแห่ ซ่ึงก่อนที่จะมีการแห่ เทียนพรรษาจะมีการจับฉลากเพ่ือนาเทียนพรรษาของแต่ละขบวนไปถวายยังวัดต่าง ๆ และเม่ือมีการจับ

110 ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ฉลากแล้วจงึ ค่อยนาขบวนแห่ไปยงั วัดท่ตี นจบั ฉลากได้ (กฤตยภรณ์ ตนั ติเศรษฐ, 2556) นบั ต้ังแต่นั้นเปน็ ตน้ มา จากการถวายเทียนในช่วงเข้าพรรษาจงึ พัฒนาไปสู่งานประเพณีแห่เทยี นพรรษาจังหวัดอุบลราชธานที ี่มี ความเปน็ มาทีส่ ืบทอดกนั มาอย่างยาวนานตง้ั แต่ พ.ศ. 2444–2562 รวม 118 ปี ประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานีเป็นงานประจาจังหวัดท่ีจัดยิ่งใหญ่ที่สุดของจังหวัด อุบลราชธานี โดยได้รับการสนับสนุนความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจของประชาชนจากหน่วยงานตั้งแต่ระดับ ชุมชน ระดับอาเภอ ระดับจังหวัด และระดับประเทศ เพ่ือต้องการสืบสานและแสดงถึงศิลปวัฒนธรรมภมู ิ ปัญญาที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของชาวจังหวัดอุบลราชธานี แสดงถึงความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความสานึกรักใน ภูมิปัญญาถ่ินฐานบ้านเกิดของตน โดยหนึ่งในองค์ประกอบสาคัญของงานประเพณีแห่ เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานีท่ีผู้วิจัยต้องการจะศึกษาคือ การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัด อบุ ลราชธานี อันเป็นองค์ประกอบหนึ่งทีส่ ง่ ผลใหง้ านเกิดความสมบรู ณ์ อลังการ และสรา้ งความสนุกสนาน แก่ผู้ชม นาเสนอการแสดงทสี่ ะทอ้ นถึงเอกลักษณ์ วิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม ผู้วิจัยจงึ ตระหนกั ถึงความสาคญั ในการรักษาศิลปวัฒนธรรมการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาอันทรงคุณค่าของจังหวัดอุบลราชธานี จึง เห็นควรที่จะศึกษาถึงความเป็นมาและรูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อให้เกิดองค์ความรู้และเป็นแนวทางให้กับผู้ท่ีต้องการศึกษาด้านการแสดงในขบวนแห่เทียน การ สร้างสรรค์การแสดง ตลอดจนได้มีส่วนร่วมในการรักษา สืบสาน และเผยแพร่ประเพณีศิลปวัฒนธรรมท่ี สาคัญของจังหวดั อุบลราชธานี วัตถุประสงคข์ องกำรวิจยั เพ่ือศึกษาความเป็นมาและรูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ขอบเขตของวิจยั ผูว้ ิจยั มุ่งศึกษาความเป็นมาของการแสดงในขบวนแหเ่ ทยี นพรรษาจังหวดั อุบลราชธานี ตั้งแต่ พ.ศ. 2444-2562 และรปู แบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวดั อุบลราชธานี พ.ศ. 2562 เทา่ นั้น วธิ ดี ำเนนิ กำรวิจัย กลุ่มตวั อยำ่ ง กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ผู้ท่ีมีความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของงาน ประเพณีแห่เทียนพรรษา และการแสดงในขบวนแห่เทียนเข้าพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี 3 ท่าน 2) คณะกรรมการจัด การแสดงในขบวนแห่เทยี นพรรษาภาคกลางวนั จานวน 2 ทา่ น 3) คณะกรรมการจัดการ แสดงในขบวนแห่เทยี นพรรษาภาคกลางคืน จานวน 3 ท่าน 4) ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแสดงในขบวนแหเ่ ทยี น พรรษาจังหวัดอุบลราชธานี จานวน 29 ท่าน โดยมีการกาหนดเกณฑ์การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างท่ีมีความรู้ และประสบการณ์ตรงท่สี ามารถให้ขอ้ มลู ไดต้ รงประเดน็ ที่ตอ้ งการศึกษาอนั เป็นประโยชนต์ อ่ การวจิ ยั

วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 111 เครื่องมอื ที่ใช้ในกำรวิจยั เคร่ืองมอื ท่ใี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล มีดังนี้ 1) แบบสมั ภาษณ์ 2) แบบบนั ทกึ การสงั เกตแบบไม่ มีส่วนร่วม 3) อปุ กรณ์บนั ทกึ เสยี ง บันทึกภาพนง่ิ และบนั ทึกภาพเคลื่อนไหว กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูล ดังนี้ 1) รวบรวมข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวข้องกับความ เป็นมาของการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี จากแหล่งข้อมูลที่เป็นสถาบัน สถานท่ี และอินเตอร์เนต็ 2) รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เช่ียวชาญทางดา้ นประวัติศาสตร์ ด้าน การจัดการแสดง และผู้ท่ีเกี่ยวข้องโดยตรงกับการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานีจาก การคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง 3) การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมจากการชมการฝึกซ้อมการแสดงแต่ละโรงเรียน การชมการฝึกซ้อมการแสดงรวมคร้ังใหญ่ก่อนวันแสดงจริง และการชมการแสดงในวันจริง เพื่อรวบรวม ข้อมลู ที่เกี่ยวขอ้ งกับรปู แบบการแสดงในขบวนแห่เทยี นพรรษาจังหวดั อุบลราชธานีทงั้ ภาคกลางวันและการ แสดงในขบวนแห่เทียนประกอบแสงเสียงภาคกลางคืน 4) การชมการแสดงจากส่ือออนไลน์ท่ีเก่ียวข้องกับ การแสดงในขบวนแห่เทยี นพรรษาจงั หวดั อบุ ลราชธานี กำรวเิ ครำะห์ข้อมูล กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณจ์ ากกลุ่มตัวอย่าง และการสังเกตการณ์แบบไม่ มีส่วนร่วม ผ้วู ิจัยไดน้ าขอ้ มูลที่ได้มาวเิ คราะหแ์ ละประมวลผลขอ้ มูลร่วมกับการรวบรวมข้อมลู จากการศึกษา จากเอกสาร เพ่ือเป็นการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลและแหล่งข้อมูลของการศึกษาการแสดงใน ขบวนแห่เทยี นพรรษาจังหวดั อุบลราชธานี อันเป็นการดาเนินการตามกระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ จากน้นั นาข้อมูลท่ไี ด้จาแนกจดั หมวดหมู่ตามวัตถปุ ระสงคท์ ตี่ ั้งไว้ กำรนำเสนอข้อมูล จากการศึกษาในครั้งนี้ผู้วิจัยใช้วิธีการนาเสนอข้อมูลในเชิงพรรณนาวิเคราะห์ เพื่อให้ทราบถึง ความเป็นมาและรูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี โดยนาข้อมูลที่ไดจ้ ากการ วิเคราะห์นาเสนอในประเด็นพัฒนาการการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่อดีต จนถงึ ปจั จุบนั นาเสนอรปู แบบขบวนและการบริหาจัดการ รวมไปถงึ นาเสนอรูปแบบและองคป์ ระกอบของ การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาในปัจจุบันพร้อมภาพประกอบ เพื่อเป็นองค์ความรู้ทางด้าน ประวัติศาสตร์ด้านการแสดงของขบวนแห่เทียนของงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี อีกทั้งเปน็ แนวทางในการศึกษา ค้นควา้ สรา้ งสรรคก์ ารแสดงทางด้านศิลปวัฒนธรรมอีสานต่อไป ผลกำรวจิ ัย จากการศึกษาพบว่า ขบวนแห่ท่ีปรากฏในพิธีการทางพุทธศาสนาในอดีตนน้ั ประเทศไทยมีขบวน แหม่ าเปน็ ระยะเวลานานแลว้ การแทรกการแสดงเข้าไปในขบวนแหต่ ่าง ๆ จึงเปน็ เร่อื งทป่ี ฏิบัติกันมาในแต่ ละจังหวัด โดยมีการริเริ่ม สร้างสรรค์ และพัฒนามาอย่างต่อเน่ืองจวบจนถึงปัจจุบัน จึงไม่มีหลักฐานหรือ ข้อมูลท่ีแน่ชัดว่า การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษานี้มีมาต้ังแต่เมื่อใด หากแต่มีหลักฐานท่ีกล่าวถึงการ แสดงในขบวนแห่เทียนในช่วงเข้าพรรษาเม่ือ พ.ศ. 2444 เม่ือคร้ังพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงสรรพสทิ ธิ

112 ปที ่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ประสงค์เสด็จมาเป็นข้าหลวงใหญ่ปกครองมณฑลกาวลาว ดารงตาแหน่งเจ้าเมืองอุบลราชธานี ได้ให้ ชาวบ้านในแต่ละชุมชนทาเทียนพร้อมประดบั ตกแต่งให้สวยงาม ชาวบ้านมีการร้องราทาเพลงตีฆ้อง กลอง กรับ บรรเลงดนตรี มีการฟ้อนรา มีการแสดงหมอลาอยา่ งสนุกสนาน แห่มารวมที่วังที่ประทับของพระองค์ ซ่งึ นบั เป็นปีแรกที่มีการแห่เทียนพรรษาจังหวดั อุบลราชธานี การแสดงในขบวนแหเ่ ทียนพรรษาน้ีถงึ แม้จะมี ขอ้ มลู กล่าวถึงเพียงเลก็ น้อยแตก่ ลบั เป็นองค์ประกอบหนึง่ ท่ีมมี าพร้อมกบั ต้นเทยี นและมีการพฒั นามาอย่าง ต่อเนื่อง ผู้วิจัยจึงได้รวบรวม วิเคราะห์ และเรียบเรียงข้อมูลตั้งแต่ พ.ศ. 2444-2562 โดยแบ่งการแสดงใน ขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานีออกเป็น 2 ช่วง คือ การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัด อุบลราชธานีภาคกลางวัน จัดข้ึนในวันเข้าพรรษา เริ่มขบวนต้ังแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป ซ่ึงสามารถ จาแนกออกเป็น 5 ยุค และการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานีประกอบแสงเสียงภาค กลางคืน จัดแสดงทั้งหมด 2 วัน คือ คืนก่อนวันเข้าพรรษา และคืนวันเข้าพรรษา เริ่มต้ังแต่เวลา 19.00 น. เป็นตน้ ไป ซง่ึ สามารถจาแนกออกเปน็ 2 ยุค ดังนี้ กำรแสดงในขบวนแห่เทยี นพรรษำจงั หวัดอุบลรำชธำนีภำคกลำงวนั ยุคท่ี 1 อยใู่ นราวกอ่ น พ.ศ. 2444-2500 การฟ้อนราหน้าขบวนแห่เทียนในยุคน้ีโดยส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นกลุ่มชาวบ้านจากชุมชนวัดท่ีนา ตน้ เทยี นเขา้ มาร่วมแห่ในงาน โดยจาแนกรปู แบบการแสดงดงั นี้ 1) รปู แบบการแสดงส่วนใหญจ่ ะเปน็ การรา แบบอิสระคือ การออกท่าทางแบบไม่มีกฎเกณฑ์ที่ตายตัวข้ึนอยู่กับสัญชาตญาณของแต่ละบุคคล ผู้ใดใคร่ ฟอ้ นอยา่ งไรกฟ็ ้อนไป ใครตอ้ งการฟ้อนออกท่าทางอยา่ งใดกส็ ามารถทาได้ มักเปน็ ลกั ษณะม้วนมือ การวาด มือไปมาอย่างอิสระตามทิศทางทีผ่ ู้ฟ้อนต้องการ มีการกระแทกแขน ก้าวเดิน ย่าเท้าตามจงั หวะดนตรี บาง ชุมชนมีการนัดท่าฟ้อนให้เป็นท่าเดียวกัน บางชุมชนมีการนาการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนขอ งตน มาร่วมแสดงในขบวน 2) ดนตรีท่ีใช้ประกอบการแสดงมักเป็นเคร่ืองดนตรีประกอบจังหวะ เช่น กลองหาง ฉ่ิง ฉาบ กรับ กลองตุ้ม พังฮาด บรรเลงเป็นจังหวะ มีการรอ้ งลาอยา่ งสนกุ สนาน 3) การแต่งกายของผู้ฟ้อน นั้นชาวบ้านจะแต่งกายด้วยผ้าพื้นเมืองอีสาน สวมเสื้อผ้าฝ้าย ผ้าไหม สวมผ้าซ่ินอีสาน ตามที่ตนเองจะหา มาได้ ใครใคร่อยากแต่งงามเพียงใดก็แต่งมารา บางชุมชนมีการกาหนดสีเครื่องแต่งกายให้เหมือนกัน 4) รูปแบบขบวนจะมีการถือดอกไม้ ถือเทียน ถือเคร่ืองไทยทาน เดินในขบวนร่วมกับการฟ้อนรา ซ่ึงรูปแบบ ขบวนน้ันมักมีลักษณะเป็นกลุ่ม ๆ ราตามกันไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทางที่กาหนดโดยไม่มีเส้นก้ันระหว่างผู้ชม กบั ขบวน ยุคท่ี 2 ประมาณ พ.ศ. 2500-2519 ในช่วงยุคน้ีรูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาได้พัฒนามาจากยุคที่1 โดยส่วนใหญ่ยังคง เป็นการแสดงของชาวบ้านจากชุมชนวดั ตา่ ง ๆ ทนี่ าต้นเทียนมาร่วมในงานประเพณีแห่เทยี นพรรษาจังหวัด อุบลราชธานีอย่างในยุคแรก นอกจากน้ียังพบว่าเร่ิมมีขบวนการแสดงจากสถาบันการศึกษาที่อยู่ในเขต อาเภอเมืองจังหวัดอุบลราชธานีนานักเรียน นักศึกษา เข้ามาร่วมแสดงในขบวนแห่เทยี นพรรษาน้ดี ้วย โดย จาแนกรูปแบบการแสดงดังนี้ 1) ทา่ ราในชว่ งยคุ น้มี ที ้งั การราในแบบยคุ ที่ 1 คอื การราอยา่ งอิสระไมต่ ายตัว การราโดยนาเอกลักษณ์ของชุมชนมาแสดง และการราท่ีมีการพัฒนาท่าราให้ชัดเจนมากขึ้น เช่น มีการตั้ง วง การจบี การมว้ นมือ การยา่ เท้า การยกเท้า การแตะเทา้ อยา่ งนาฏศลิ ป์ไทย ซึง่ มีความเป็นไปไดว้ ่าเมื่อมี

วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 113 ขบวนจากสถาบันการศึกษาเข้ามาร่วมแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจึงทาให้การแสดงมีการพัฒนาใน รูปแบบที่เปลี่ยนไป มีการนาท่าราอย่างนาฏศิลป์ไทยที่เรียนในสถาบันการศึกษามาใช้ในการแสดง โดยมัก เป็นการใช้ท่าราในลักษณะราครบจานวนท่าแล้วเร่ิมราใหม่ ราวนซ้าท่าราเดิมไปเรื่อย ๆ แต่ละขบวนจะมี จานวนผู้แสดงประมาณ 20–30 คน 2) ดนตรหี รือเพลงทีใ่ ช้ประกอบการแสดงนัน้ มีทั้งการบรรเลงดนตรีสด ดว้ ยเครือ่ งดนตรอี สี านเดนิ ไปพรอ้ มกบั ขบวนรา และการเปิดเครอื่ งเลน่ เพลงโดยใช้เคร่ืองขยายเสยี งท่ีแต่ละ ขบวนจดั เตรียมมาเอง โดยใชท้ านองเพลงหรือการขับร้องทานองพน้ื เมืองอีสาน 3) การแต่งกายจะแต่งกาย ด้วยผา้ พน้ื เมืองอสี าน ซง่ึ มีท้ังการแต่งกายตามท่ีตนเองหามาโดยใครอยากแตง่ กายอย่างใดกแ็ ต่งมารา มกี าร แต่งกายโดยกาหนดสีการแต่งกายให้เหมือนกันเช่นในยุคท่ี 1 และการแต่งกายในชุดราพ้ืนเมืองอีสานใน รูปแบบเดียวกันซ่ึงทางสถาบันการศึกษามักจะจัดหาให้ เช่น เสื้อผ้าฝ้ายแขนกระบอก นุ่งผ้าซิ่นอีสาน เครอื่ งประดบั เชน่ เข็มขัด ทัดดอกไม้ เป็นต้น 4) รปู แบบแถวในชว่ งยุคน้มี ีทงั้ การราเป็นกลมุ่ ๆ และการรา เป็นแถวตอนลึก 2–4 แถว โดยจะแสดงเคล่ือนขบวนแถวไปข้างหน้าเรื่อยๆตลอดเส้นทางท่ีกาหนด 5) รูปแบบขบวนบางขบวนที่เป็นโรงเรียนต่างประเทศก็มีการนานักเรียนแต่งกายด้วยชุดประจาชาติ เช่น จนี เวียดนาม ญป่ี ่นุ บางขบวนนานักเรียนแตง่ กายชดุ นกั เรยี นถอื เครอื่ งไทยทานมาร่วมเดนิ ในขบวนด้วย ยคุ ที่ 3 อยู่ในราว พ.ศ. 2520 – 2540 ในยคุ นจ้ี ะพบว่าการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษามกี ารพัฒนาและมีการตื่นตัวดา้ นการแสดงมาก ข้ึน สถาบันการศึกษาเร่ิมเข้ามามีบทบาทในดา้ นการแสดง ในขณะที่การแสดงของชาวบ้านจากชุมชนวดั ก็ ยังคงอยู่ ซงึ่ ขบวนแห่เทียนพรรษาน้ีทางตน้ เทยี นจะจับคกู่ บั ขบวนรา โดยมที งั้ ขบวนราจากสถาบนั การศกึ ษา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสถาบันการศึกษาในระดับมัธยมที่อยู่ในเขตอาเภอเมืองอุบลราชธานีจับคู่กับต้นเทียน ของทางวัด ขบวนแสดงที่มาพร้อมกับต้นเทียนของชุมชนวัดหรืออาเภอของตนทั้งในเขตเทศบาลนคร อุบลราชธานแี ละต่างอาเภอ ขบวนรานจี้ ะได้รบั งบประมาณสนับสนุนจากทางวัดท่จี ับคู่ดว้ ย งานวิจัยกระบวนการกลายป็นสินค้าของประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวถึง ขบวนแหเ่ ทยี นพรรษาวา่ ใน พ.ศ. 2520 ทางจงั หวัดอุบลราชธานีได้รับการส่งเสริมจากองค์การสง่ เสริมการ ท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย (อสท.) หรือในปัจจุบันคือการท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งได้เข้าร่วม เป็นเจ้าภาพจัดงานประเพณีแห่เทียนเพื่อสง่ เสริมการท่องเที่ยว โดยมีการขยายการประชาสัมพันธไ์ ปยงั ท่ัว ประเทศและตา่ งประเทศเพ่ิมมากขึ้น รวมถึงมีการประกวดเทียนพรรษาและขบวนแห่เทียนพรรษา (กฤตย ภรณ์ ตันตเิ ศรษฐ, 2556) พ.ศ. 2520 จงึ ไดม้ ีการจัดการประกวดการแสดงขบวนแหเ่ ทียนข้นึ การประกวดการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษานี้ ทางมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีเข้าร่วม ประกวดเป็นปีแรกประมาณ พ.ศ.2523 ซึ่งก็ได้รับรางวัลชนะเลิศติดต่อกัน 3 ปี หลังจากนั้นจึงไม่เข้าร่วม การประกวดอีก เน่ืองจากต้องการเปิดโอกาสให้กับสถาบันอื่น ๆ อีกทั้งผู้แสดงเป็นเด็กโตจึงไม่อยากไป แข่งขันกับเด็กเล็ก (ประถม มัธยม) จึงได้มาแสดงให้กับขบวนเทียนพระราชทานซ่ึงก่อนหน้านี้ขบวนเทยี น พระราชทานไมม่ ีขบวนรา โดยไมร่ บั งบประมาณจากผู้ใดสถาบนั เปน็ ผูด้ ูแลคา่ ใชจ้ า่ ยเอง ตอ่ มาทา่ นได้เขา้ มา เปน็ คณะกรรมการตัดสนิ การประกวดการแสดงในขบวนแห่ซ่งึ พบปญั หาในเร่ืองขบวนไม่เคลื่อนหรือเคลื่อน ไปได้ช้า บางขบวนมกี ารแปรแถว บางขบวนมีการน่งั รา ส่งผลให้ขบวนดา้ นหลังติด จึงได้กาหนดเกณฑก์ าร ประกวดคอื ขบวนตอ้ งเคลอ่ื นไปด้านหน้าเร่ือย ๆ ไม่ใหร้ าอย่กู ับที่ ไม่หยุดรา หยุดน่งั หยุดไหว้ ใหส้ มกบั คา

114 ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) วา่ “ขบวนแห่” รูปแบบการแสดง ท่ารา การแต่งกายขอความรว่ มมือให้เป็นแบบพ้ืนบา้ นอีสาน ซงึ่ ขบวนที่ ชนะการประกวดก็จะได้รับรางวัลเป็นเงินจากทางเทศบาลนครอุบลราชธานี (ศิริเพ็ญ อัตไพบูลย์, 2562) นอกจากนี้ พ.ศ. 2526 โรงเรียนนารีนุกูลได้นาการแสดงของโรงเรียนเข้าร่วมประกวดในขบวนแห่เทียน พรรษามาก่อนหนา้ นแี้ ลว้ ซึ่งเป็นการประกวดในลักษณะรวมทกุ สถาบันการศึกษาท่ีเข้ามาร่วมแห่ (จินตนา ทองแจ่ม, 2562) และใน พ.ศ. 2533-2537 การแสดงในขบวนแหเ่ ทียนพรรษาได้รบั รางวลั ชนะเลิศและรอง ชนะเลิศ 5 ปีต่อกัน (โรงเรียนนารีนุกูล อุบลราชธานี, 2538) จากคาบอกเล่าดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าการ ประกวดการแสดงนี้เป็นการแข่งขนั ในลักษณะรวมทุกขบวนไม่ไดม้ กี ารแบ่งตามชว่ งวัยของผู้แสดง เนื่องจากในยุคนี้มกี ารประกวดการแสดง ขบวนที่เข้าร่วมการประกวด จึงมีรูปแบบการแสดงดังนี้ 1) มีการใช้ท่าราท่ีพิถีพิถันมากข้ึน เช่น การต้ังวง การจีบ การม้วนมือ การย่าเท้า การยกเท้า การแตะเทา้ อย่างนาฏศิลป์ไทย โดยส่วนใหญ่จะเป็นท่าราแบบวนซ้าท่าราเดิมไปเร่ือย ๆ คล้ายกับยุคท่ี 2 บางขบวนมี การใช้ท่าราเป็นชุด ๆ เมื่อครบท่าก็เปลี่ยนเป็นชุดต่อไป มีการแปรแถว การน่ังราอยู่กับที่ มีการหยุดแสดง บริเวณจดุ กรรมการ 2) ดนตรหี รอื เพลงท่ีใช้ประกอบการแสดงเปน็ เคร่ืองดนตรีอสี านซง่ึ มีทั้งการบรรเลงสด เชน่ วงกลองยาว และการเปดิ เคร่อื งเล่นเพลงโดยใช้เคร่ืองขยายเสียงในทานองเพลงอีสาน เชน่ ราตังหวาย ราบายศรีสู่ขวัญ เซิ้งบงั้ ไฟ เซง้ิ สวิง หรือการนาลายเพลงหลายๆเพลงมารวมกัน บางขบวนมกี ารแต่งบทรอ้ ง ใส่ลงในทานองเพลง 3) การแต่งกายจะแต่งกายด้วยผ้าพื้นเมืองอีสานมีทงั้ การแต่งกายอยา่ งอิสระ การแต่ง กายโดยกาหนดสีการแต่งกายให้เหมือนกันและการแต่งกายชุดราพื้นเมืองอีสานในรูปแบบเดียวกัน เช่น สวมเส้ือผ้าฝ้ายแขนกระบอก เสื้อคอกระเช้า นุ่งผ้าซ่ินอีสานทั้งแบบสั้นและแบบยาว สวมเครื่องประดับ เชน่ เข็มขัด สร้อยคอ กาไล ทดั ดอกไม้ เป็นต้น เคร่อื งประดับน้โี ดยสว่ นใหญจ่ ะมกี ารประดษิ ฐ์จากวัสดุท่ีหา ได้เน่ืองจากผูแ้ สดงมีจานวนมาก 4) การแสดงมที ั้งการราเปน็ กลมุ่ ผแู้ สดงประมาณ 20–50 คน และการจัด แถวตอนลึก 2-4 แถว ผู้แสดงประมาณ 80-100 คน โดยผู้แสดงจะฟ้อนราเป็นจุด ๆ ซึ่งเป็นจุดท่ีมี คณะกรรมการ พอออกจากจุดการแสดงก็จะใช้การเดิน หรือตั้งท่าราเดินไปเป็นแถวเพ่ือไปเริ่มแสดงในจดุ ตอ่ ไป 5) รูปแบบขบวนมกี ารถอื เครอ่ื งสักการะ ขนั หมากเบ็ง พานบายศรี เดนิ ร่วมอย่ใู นขบวนด้วย ในยุคเริ่มมีการบรรเลงดนตรีสดบนรถออกนาหน้าขบวนรา ซึ่งได้มีการพัฒนามาจากการบรรเลง ดนตรีสดของชาวบ้านทน่ี าเครื่องดนตรีขน้ึ รถเข็นเพ่อื ให้จงั หวะผู้แสดง และได้พฒั นามาเปน็ การนาวงดนตรี อีสานหรือวงโปงลางขึ้นรถ ประกอบด้วยนักดนตรี นักร้อง นางไห ผู้แสดงหมากกรับแกร๋บ ผู้แสดงไม่เกิน 30 คน เครือ่ งดนตรเี ปน็ เคร่ืองอีสานแบบด่งั เดิมตามหลักเกณฑ์การประกวด ซึ่งไดม้ กี ารสืบทอดการบรรเลง ดนตรบี นรถเข้ามารว่ มในการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาต้ังแตน่ ้นั เปน็ ต้นไป ซึ่งเมื่อ พ.ศ. 2540 พบวา่ มี การบรรเลงวงโปงลางบนรถอย่หู ลายขบวนแล้ว แต่ไม่ย่งิ ใหญเ่ ช่นปัจจบุ นั มีท้ังการเปิดดว้ ยเคร่ืองขยายเสียง การบรรเลงด้วยวงกลองยาว และการบรรเลงด้วยวงโปงลาง โดยนาวงโปงลางขึ้นรถขนาดใหญ่บ้าง รถ กระบะบ้าง โรงเรียนใดที่มคี วามพร้อมในด้านวงดนตรีพ้นื เมอื งอีสาน (วงโปงลาง) ก็จะนาวงดนตรีขึ้นรถมา บรรเลงประกอบการแสดงในขบวนแห่เทยี น (วรางคณา วฒุ ิชว่ ย, 2562) ยุคที่ 4 อยใู่ นราวพ.ศ. 2541–2550 พ.ศ. 2541 ยกเลิกการประกวดการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษา (มูลนิธิเทียนพรรษาจังหวัด อุบลราชธานี, 2550) โดยสาเหตุในการยกเลิกการประกวดเนื่องจากขบวนท่ีได้รับรางวัลมักเปน็ กลุ่มขบวน

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 115 เดิม ๆ ส่วนขบวนที่ไม่ได้รับรางวัลนั้นเมื่อหลายปีเข้าก็ไม่มีทุนไปพัฒนาเครื่องแต่งกายบ้าง และทาให้การ แสดงก็ไม่มีการสร้างสรรค์และพัฒนาอะไรใหม่ ๆ จึงได้มีการยกเลิกการประกวด โดยทางเทศบาลนคร อบุ ลราชธานจี ดั หาทนุ สนบั สนุนใหส้ าหรับแตล่ ะขบวน ต่อมาก็เกดิ ปญั หาว่าการแสดงเดิม ๆ บา้ ง การแสดง ซ้ากันบา้ ง เครอื่ งแตง่ กายก็นามาใชซ้ า้ หลายปีบ้าง จึงไดจ้ ดั การประกวด โดยมที นุ สนบั สนนุ จากทางเทศบาล นครอุบลราชธานี (ศิริเพ็ญ อัตไพบูลย์, 2562) นอกจากน้ีประมาณ พ.ศ. 2546-2550 ในช่วงประมาณปี ดังกล่าวเคยจัดการแสดงและร่วมแสดงในการประกวดการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษา (ภาสินี โสมเกษ ตรินทร์, 2561) (กิติมา บัวแย้ม, 2561) (อังศุนิตย์ วรรณลี, 2563) (ปาริภา ก่อจิรพงศ์, 2563) จากคาบอก เล่าดังกลา่ วแสดงให้เห็นวา่ ในยุคนมี้ กี ารประกวดเกดิ ขนึ้ อีกเป็นคร้งั ท่ี 2 ในช่วงยุคน้เี ปน็ ช่วงท่ีมีการพัฒนาสบื เนือ่ งมาจากยุคที่ 3 ดังน้นั รูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทยี น พรรษาจงึ มีการเปลย่ี นแปลงไมม่ ากนักซ่ึงเม่ือมีการยกเลิกการประกวดกไ็ ด้เกิดปัญหาเร่ืองชดุ การแสดงท่ีซ้า กัน ในยุคนี้จึงได้เกิดการประกวดการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งสถาบันการศึกษาใดมี ความพร้อมก็จะเข้าร่วมประกวด ซง่ึ สว่ นใหญจ่ ะเปน็ สถาบนั การศกึ ษาในเขตเทศบาลนครอบุ ลราชธานี โดย มีการแบง่ การประกวดออกเปน็ ระดับประถมศึกษา ระดับมธั ยมศกึ ษา และระดบั อุดมศึกษา ซ่ึงมหี ลกั เกณฑ์ การประกวดการแสดงในขบวนแห่เทยี นเข้าพรรษาดังน้ี 1) จานวนผู้แสดงราต้องไม่ต่ากวา่ 80 และ ไม่เกนิ 100 คน 2) ท่าฟอ้ นราน้ันจะต้องเป็นทา่ ท่ตี ่อเน่ือง สวยงาม และพรอ้ มเพรียง มกี ารใชศ้ รี ษะ มอื เท้า อย่าง สอดคล้องกัน 3) มีการกาหนดรูปแบบการจัดแถว การฟ้อนราเคล่ือนแถวไปข้างหนา้ หากมีการแปรแถวก็ ต้องแปรในลักษณะเดินไปด้านหนา้ 4) ดนตรีหรือเพลงท่ีใช้แสดงน้ันจะต้องเป็นเครื่องดนตรีอีสาน ทานอง เพลงอีสาน หรือหมอลาแบบอีสาน และต้องมีความไพเราะสื่อความหมายถึงภาคอีสานหรือจังหวัด อุบลราชธานี 5) การแต่งกายขอความร่วมมือให้การแต่งกายในรูปแบบพื้นเมืองอีสานด่ังเดิม มีใช้ผ้า พ้ืนเมืองอีสาน เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ในการทาเส้ือ ซิ่นที่ใช้ก็ต้องเป็นผ้าซ่ินอีสาน รวมไปถึงเครื่องประดับก็ เปน็ แบบดั่งเดิม เช่น เขม็ ขดั เงิน สร้อย กาไล เป็นตน้ ส่งผลใหร้ ปู แบบการแสดงในยคุ นมี้ กี ารสร้างสรรคก์ ารแสดงขึ้นใหม่ โดยมรี ูปแบบการแสดงดงั น้ี 1) มีการออกแบบท่าราท่ีมีความสวยงาม มีความต่อเนื่องกันของท่ารา และคานึงถึงความพร้อมเพรียง โดย มักจะใช้ท่าราในลักษณะราครบจานวนท่าแล้วเริ่มราใหม่ ราวนซ้าท่าราเดิมไปเรื่อย ๆ มีการใช้อุปกรณ์ ประกอบการแสดงที่น่าสนใจ 2) ดนตรีหรือเพลงประกอบการแสดงมีท้ังการบรรเลงดนตรีพื้นเมืองอีสาน (วงโปงลาง) บนรถ และการเปิดจากเคร่ืองเล่นเพลงในทานองเพลงอีสาน บางขบวนมีการแต่งบทร้องข้ึน ใหม่ประกอบทานองอีสาน 3) แต่งกายด้วยชุดราพื้นเมืองอีสาน 4) รูปแบบแถวจัดเปน็ แถวตอนลกึ 4 แถว บางขบวนมีการแปรแถว 5) รูปแบบขบวน มีการถือป้ายชื่อองค์กร และป้ายช่ือชุดการแสดงนาหน้าขบวน ฟ้อนรา แต่ถึงแม้รูปแบบการแสดงจะพัฒนาไปอย่างไร แต่การแสดงในรูปแบบของชุมชนวัดเช่นเดียวยุค แรกก็ยังปรากฏอยู่หลายขบวน บางขบวนมีการตาส้มตา ป้ิงไก่ย่างเดินแจกให้กับผู้ชม บางขบวนมีการนา อุปกรณ์ทามาหากินท่ีแสดงถึงวิถีชีวิตมาร่วมเดินในขบวน โดยจะมีจุดแสดงท้ังหมด 5 จุด ซ่ึงเป็นจุดท่ีมี คณะกรรมการ พิธีกร และจดุ ชมการแสดง จดุ ละประมาณ 120 เมตร ซงึ่ แตล่ ะจดุ อยูไ่ ม่ห่างกนั มากนกั โดย ลาดับการแสดงน้ันจะข้ึนอยู่กับลาดับของตน้ เทียนซึ่งหากตน้ เทยี นวัดใดไดร้ บั รางวัลปนี ้ี ในปถี ดั ไปก็จะไดอ้ ยู่ ในลาดับขบวนต้น ๆ ดังน้นั ขบวนรากจ็ ะได้แสดงในลาดับต้น ๆ ดว้ ย

116 ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ยคุ ที่ 5 อยูใ่ นราว พ.ศ. 2551–2562 (ปจั จุบนั ) ใน พ.ศ. 2551 ได้ยกเลิกการประกวดการแสดงในขบวนแห่เทียนเข้าพรรษา ดังคาบอกเล่าว่า ต่อมาก็เกิดปัญหาเรื่องการไม่พอใจในผลการตัดสินบ้าง ประท้วงผลการประกวดบ้าง และขบวนท่ีไม่ไดร้ บั รางวัลพอหลายปีเข้าก็หมดกาลังใจ จึงได้มีการยกเลิกประกวดไป (ศิริเพ็ญ อัตไพบูลย์, 2562) ตั้งแต่มีการ ยกเลิกการประกวดในคราวน้ีการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานีก็ไม่มีการประกวดอีก เลยจวบจนถึงปัจจุบัน ขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานีไม่ว่าจะเป็นต้นเทียน ขบวนการแสดง และ องคป์ ระกอบด้าน อืน่ ๆ ทป่ี รากฏอยใู่ นขบวนแห่เทียนพรรษา ทางเทศบาลนครอบุ ลราชธานเี ปน็ หน่วยงาน ท่ีจัดการโดยมีการจัดต้ังคณะกรรมการจัดงานจากหลายหน่วยงานในจังหวัดรับผิดชอบเกี่ยวกับต้นเทียน การจัดขบวนแห่ การกาหนดหลักเกณฑ์ กาหนดจุดแสดง ควบคุมการเคล่ือนของขบวน และการจัดการ งบประมาณสนบั สนนุ โดยไดด้ าเนินการจดั ทาเอกสารออกโดยทางจงั หวัดอุบลราชธานีเพ่ือขอความร่วมมือ ไปยังสถาบันการศึกษาในเขตเทศบาลนครอุบลราชธานีและจัดการประชุมกับตัวแทนจากขบวนเพื่อแจ้ง ข้อกาหนดในการแสดง โดยในระเบียบวาระการประชุมมีข้อกาหนดรูปแบบขบวน และรูปแบบการแสดง ดงั นี้ 1) ผคู้ วบคมุ ขบวน 10 คน 2) ผ้แู สดง 80 คน 3) รถวงดนตรีประกอบการแสดง 1 คัน 4) ป้ายนาขบวน ช่อื สถานศกึ ษา ชื่อขบวนรา อยา่ งละ 1 ปา้ ย 5) ผ้แู สดงเคล่อื นขบวนไปเรือ่ ยๆไมม่ กี ารหยุดแสดงอยู่กบั ท่ี 6) เวลาในการแสดง 8 – 10 นาที ต่อ 1 จุดแสดง (120 เมตร) (เทศบาลนครอบุ ลราชธานี, 2562) บริเวณถนน อุปราชตัวเมืองอุบลราชธานีทั้งหมด 5 จุด ได้แก่ หน้าวัดศรีอุบลรัตนาราม หน้าศาลากลางจังหวัดหลังเกา่ หน้าโรงแรมบัว หน้าธนาคารไทยพานิช และจุดสุดท้ายคือหน้าป้ัมน้ามันเอสโซ่ แต่หากเป็นการแสดงของ ชาวบ้านจากชุมชนวัดหรืออาเภอท่ีมาพร้อมกับต้นเทียนให้แจ้งกับทางหนว่ ยงาน ซ่ึงการจัดลาดับขบวนนั้น เมื่อได้มติเรื่องการจัดขบวนราคู่กับขบวนต้นเทียน จะจัดลาดับโดยคานึงจากต้นเทียนที่ได้รับรางวัลในปีท่ี ผ่านมาจะถูกจัดเป็นขบวนต้นๆขบวนราท่ีจับคู่กับต้นเทียนวัดหรืออาเภอน้ันก็จะได้แสดงในลาดับตามต้น เทยี นไปดว้ ย การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาในยุคนี้มีทั้งขบวนรูปแบบชาวบ้านจากชุมชนวัด ขบวนจาก สถาบันการศึกษาท่ีมาในสังกัดของชุมชนวัดหรืออาเภอ ขบวนจากชาวบ้านและสถาบันการศึกษาแสดง ร่วมกันในนามชุมชนวัด และขบวนจากสถาบันการศึกษาซ่ึงโดยส่วนใหญ่เป็นสถาบันการศึกษาในเขต เทศบาลนครอุบลราชธานตี ้ังแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา โดยหลังจากมีการยกเลกิ การประกวดรูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานีพบว่า รูปแบบการแสดงได้มี การพัฒนาไปในรูปแบบพนื้ เมืองอีสานประยุค ไม่ว่าจะเป็นทา่ ฟ้อน ดนตรี เคร่ืองแต่งกาย มีการสร้างสรรค์ ให้มีความอลังการมากข้ึน มีความเป็นไปได้ว่าเนื่องจากไม่มีหลักเกณฑ์การประกวดเป็นตัวกาหนดรูปแบบ การแสดง แต่ถงึ อย่างไรทางคณะกรรมการจัดงานได้ขอความรว่ มมือจากทุกขบวนนาเอกลักษณ์ ภมู ปิ ญั ญา วิถชี ีวติ ของจังหวดั อบุ ลราชธานี และสะทอ้ นถึงศิลปวฒั นธรรมพน้ื เมอื งอีสานมาสร้างสรรคน์ าเสนอในขบวน แหเ่ ทียนพรรษา โดยจาแนกรปู แบบการแสดงดงั นี้ 1) การแสดงมีทงั้ การแสดงเทิดพระเกียรติ การแสดงศลิ ปาชีพที่ สะท้อนถึงการทามาหากิน การดารงชีวิต การแสดงท่ีสะท้อนประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ การแสดงท่ี

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 117 สะท้อนถึงการบูชาพระพุทธศาสนา การแสดงสะท้อนความสนุกสนาน สามัคคี และการฟ้อนที่สะท้อนถึง เอกลักษณ์ในท้องถิ่น 2) ท่ารามีการสร้างสรรคท์ ่าให้มีความวิจิตร สวยงาม แปลกใหม่มากขึ้น ทั้งการใช้ทา่ ราพ้ืนเมืองอีสาน การใช้ท่ารานาฏศิลป์ไทย และการใช้ท่าจินตลีลาผสมนาฏศิลป์ไทยผสมผสานกัน โดยจะ ราเป็นชุดเมื่อครบท่าก็จะเปล่ียนท่าราเป็นชุดต่อไป บางขบวนมีบทร้องก็จะใช้ท่าราท่ีสอดคล้องกับบทรอ้ ง 3) ดนตรีและเพลงประกอบการแสดงโดยส่วนใหญ่เป็นทานองพื้นเมืองอีสานและการนาเพลงของภูมิภาค อื่นมาบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีอีสาน เช่น ทานองสรภัญญะอีสาน ทานองนาคสะดุ้ง ทานองขับทุ้มหลวง พระบาง ทานองกาบเซ้ิงบั้งไฟ ทานองลาเพลิน ทานองมโหรีอีสาน ทานองภูไท ทานองลาวแพน เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบเพลงลูกทงุ่ อีสานนามาใช้ประกอบการแสดง เช่น เพลงออนซอนอีสาน เพลงฮีต 12 ของดี อีสาน เป็นต้น ซ่ึงมีทั้งการเปิดเครื่องขยายเสียง และการบรรเลงดนตรีสด ได้แก่ การบรรเลงโดยวงกลอง ยาวจากชุมชนวัดบรรเลงพร้อมกับขบวนรา การบรรเลงวงดนตรีพ้ืนเมืองอีสาน (วงโปงลาง) บนรถ ซึ่งได้มี การนาเคร่ืองดนตรีสากลประเภทเครอื่ งตปี ระกอบจังหวะเขา้ มารว่ ม นอกจากนี้ยังมกี ารนาวงดนตรีพ้นื เมอื ง อีสาน (วงโปงลาง) ผสมวงดุริยางค์สากล (Orchestra) 4) การแต่งกายประกอบการแสดงส่วนใหญ่จะแตง่ ด้วยผ้าพ้ืนเมืองอีสานซง่ึ การแต่งกายในขบวนที่มักพบบ่อย ได้แก่ ผู้แสดงแต่งกายสวมเสอื้ แขนกระบอกคอ จีน นุ่งผ้าซ่ินยาวกรอมเท้า ห่มสไบ สวมเคร่ืองประดับเงิน สร้อย ต่างหู กาไลข้อมือ เข็มขัด เข็มขัดระย้า สวมรองเท้ารัดส้นสีดาคล้ายรองเท้าสาน หรือรองเท้าคัทชู ทรงผมมีทั้งรวบตึงติดมวยผมเทียมกลางศีรษะ การยกหมอนหน้า – หลังมวยผมกลางศีรษะ การยกผมด้านหน้าเล็กน้อยเกล้ามวยผมไปทางซ้าย ติด เครื่องประดับศีรษะ เช่น ปิ่น ปิ่นดอกไม้ไหว การพันผ้ารอบมวยผม ห้อยอุบะดอกไม้ การติดดอกไม้ ด้านซ้ายของมวยผม เป็นต้น ส่วนการแต่งกายของนักดนตรีมีท้ังสวมเส้ือแขนส้ันผ่าหน้า นุ่งโสร่ง มัดเอว ดว้ ยผา้ ลายขิดหรอื ผา้ ขาวม้า บางชดุ สวมเครื่องประดบั เงิน สรอ้ ย สที ่นี ิยมใชใ้ นการแสดง ได้แก่ สีเหลือง ซงึ่ เป็นสีประจาวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นิยมใช้เป็นสีเส้ือและสีผ้าสไบ มีการใช้สี ประจาสถาบันการศึกษาของแต่ละขบวน นอกจากน้ียังพบว่ามีการนุ่งผ้าซ่ินลายกาบบัวซึ่งเป็นผ้าที่เป็น เอกลกั ษณ์ประจาจงั หวัดอุบลราชธานี 5) รูปแบบแถวนนั้ มที งั้ รูปแบบอสิ ระ รูปแบบเปน็ กลุ่ม ๆ และการจัด แถวตอนลึก 4 แถว โดยมีท้ังการแสดงที่มีการแปรแถวและไม่มีการแปรแถว 6) รูปแบบขบวนท่ีมักพบ ได้แก่ รถบรรเลงดนตรีหรือรถเครื่องขยายเสียง ป้ายสถาบันการศึกษา ป้ายชุดการแสดง ขบวนเฉลิมพระ เกียรติ ขบวนเครื่องสูงของอีสาน รวมไปถึงตุงอีสาน ตุงใยแมงมุม ขบวนเครื่องไทยทาน ขบวนเก่ียวกับ ประเพณี พิธีกรรม และการดารงชวี ติ เม่ือ พ.ศ. 2559 นายสมศักดิ์ จังตระกูล เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ทางจังหวัด อุบลราชธานไี ดจ้ ัดทาโครงการบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการท่องเทยี่ ว (MOU) เพื่อเช่ือมโยง การท่องเที่ยวระหว่างภูมิภาค โดยแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรมกับจังหวัดสุราษฏร์ธานี ภายใต้แนวคิด “เข้าพรรษาเทีย่ วงานแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ออกพรรษาเท่ียวงานชักพระทอดผา้ ป่าและแขง่ เรือยาวของจังหวัดสุราษฎร์ธานี” ทางจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้นาเรือพนมพระขนาดใหญ่และการแสดง พื้นเมืองทางภาคใต้พร้อมกับผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ของจังหวัดสุราษฎร์ธานีมาร่วมในขบวนแห่เทยี น พรรษาจังหวัดอุบลราชธานีตั้งแต่น้ันเป็นต้นมา และในช่วงออกพรรษาทางจังหวัดอุบลราชธานีได้นาต้น

118 ปที ี่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) เทียนและการแสดงพื้นเมืองทางภาคอีสานไปร่วมขบวนแห่ในงานชักพระทอดผ้าป่าสุราษฎร์ธานีด้วย เช่นกัน และใน พ.ศ. 2560–2562 ทางคณะผู้จัดงานได้มีการกาหนดหัวข้อการแสดงในขบวนแห่เทียน เข้าพรรษา โดย พ.ศ. 2560 ได้กาหนดการแสดงภายใต้หัวข้อ “ฮีตสิบสอง คองสิบสี่” พ.ศ. 2561 ได้ กาหนดการแสดงภายใต้หวั ขอ้ “มหาชาติ 13 กณั ฑ์” และ พ.ศ. 2562 ถึงแมจ้ ะไม่ได้มีการกาหนดหวั ข้อการ แสดง แต่หัวข้อหลักของงานคือ “118 ปีเทียนพรรษา เทิดราชาขวัญแผ่นดิน” โดยการแสดงส่วนใหญ่จะมี เนื้อหากล่าวถึง หรือสอดคล้องกับหัวข้อของการแสดง ไม่ว่าจะเป็นในด้านเน้ือหาการแสดง บทร้อง บท เกร่ินนา เคร่ืองแต่งกาย หรือการถือส่ิงของประกอบขบวน และในบางขบวนที่ไม่ได้มีเน้ือหาสอดคล้องกับ หวั ขอ้ การแสดงแต่กน็ าเสนอการแสดงทสี่ ะทอ้ นถึงเอกลกั ษณ์ ศลิ ปวัฒนธรรม ประเพณขี องภาคอสี าน กำรแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษำจงั หวัดอุบลรำชธำนปี ระกอบแสงเสยี งภำคกลำงคืน ยคุ ที่ 1 อยใู่ นราวกอ่ นพ.ศ. 2552 เม่อื พ.ศ. 2538 ได้มกี ารนาตน้ เทยี นและการแสดงฟ้อนกลองตุ้มไปแสดงท่ีเมืองฟุกโุ อกะ ประเทศ ญ่ีปุ่น โดยทางจังหวัดได้นานักแสดงสาหรับรานาหน้า นักดนตรี และเตรียมเคร่ืองแต่งกายสาหรับผู้แสดง ชาวญ่ีปุ่นจานวน 60 คน มีต้ังแต่วัยเด็กจนถึงผูใ้ หญ่ แห่ในช่วงประมาณบา่ ย3 – 4 โมง เป็นช่วงเวลาทีแ่ สง กาลังสวย ซึ่งขบวนแห่ของเราได้รับรางวัลป๊อปปูล่าโหวต จึงได้นาความคิดท่ีจะมีขบวนแห่เทียนพรรษา ในช่วงเย็นน้ีเสนอกับผู้ว่าราชการจังหวัด นายศิวะ แสงมณี (ดารงตาแหน่ง พ.ศ. 2541-2543) จึงได้มีการ ทดลองทาขบวนแห่เทียนและการแสดงในช่วงเย็น ซึ่งทางมหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานีได้นานกั ศกึ ษา มาร่วมแสดงเปน็ การทดลองทานาล่อง แตไ่ ม่คอ่ ยไดร้ บั ความสนใจจากผชู้ มจึงไม่ไดม้ ีการทาต่อ แตก่ ็ได้มกี าร เสนอให้มีการจัดขบวนแหเ่ ทียนชว่ งกลางคนื มาโดยตลอด (ศริ ิเพญ็ อตั ไพบูลย์, 2562) เมื่อ พ.ศ. 2541 สมยั ผู้ว่าราชการจังหวัด นายศิวะ แสงมณี ได้มีการจัดการแสดง แสง เสียง ของจังหวัดอุบลราชธานี โดย ผู้จัดการแสดงช่ือดัง นายศุภวัฒน์ จงศิริ หรือ ศุภักษร จัดการแสดงอยู่ 2 ปี หลังจากนั้นนายเจ้านางนวล ตอง ทองรินสุพรรณ ได้มาเป็นผู้จัดการแสดงต่อ (สมชาติ เบญจถาวรอนันต์, 2562) ซึ่งในสมัยรองผู้ว่า ราชการจังหวัด นายสุรพล สายพันธ์ มีความประสงค์ให้งานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี นาเสนอความแปลกใหม่ และทางนายเจ้านางนวลตอง ทองรินสุพรรณก็มคี วามเห็นทอี่ ยากจะนาเสนอการ แสดงแห่เทียนพรรษาภาคกลางคืน เห็นว่ามีวัตถุดิบต่าง ๆท่ีมาจากการขบวนแห่เทียนพรรษาภาคกลางวนั เช่น ถนน อัฒจรรย์ชมการแสดงอยู่แล้ว จึงได้มีการประชุมหารือกับทางจังหวัดอุบลราชธานี (เจ้านางนวล ตอง ทองรินสุพรรณ, 2562) ดังนั้น พ.ศ. 2552 จึงได้เกิดการแสดงในขบวนแห่เทียนประกอบแสง เสียง ภาคกลางคนื และใน พ.ศ. 2553 ได้มีการยกเลิกการแสดงประกอบแสง เสียงจังหวดั อบุ ลราชธานี ยุคท่ี 2 อยูใ่ นราว พ.ศ. 2552-2562 การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานีประกอบแสงเสียงภาคกลางคืน ทาง ผ้จู ดั การแสดงเป็นหนว่ ยงานทีจ่ ดั การโดยมีการจัดต้ังคณะกรรมการฝ่ายจัดการแสดงภาคกลางคนื จากหลาย หน่วยงานในจังหวัด รับผิดชอบในการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ ประสานหน่วยงานท่ีเข้าร่วมแสดง กาหนด หลักเกณฑ์ กาหนดจุดแสดง จัดหาต้นเทียนร่วมขบวนแห่ จัดเจ้าหน้าท่ีจัดขบวน ควบคุมการเคลื่อนของ ขบวน และการจัดการงบประมาณสนับสนุนการแสดง โดยได้ดาเนนิ การจัดทาเอกสารออกโดยทางจังหวัด

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 119 อุบลราชธานเี พื่อขอความร่วมมือไปยังหน่วยงานท่เี ข้าร่วมแสดงและจัดการประชุมเพอ่ื แจ้งข้อกาหนด แจ้ง หัวข้อหลักของการแสดง และทางคณะกรรมการจัดงานได้ประชุมร่วมกับหน่วยงานท่ีเข้าร่วมเพื่อเลือก เนื้อหาการแสดงท่ีสอดคล้องกับหัวข้อหลักท่ีเหมาะสมกับแต่ละขบวน เพื่อให้แต่ละขบวนสร้างสรรค์การ แสดงและนาเสนอรูปแบบการแสดงของตน เวลาในการแสดง 7–10 นาที ต่อ 1 จุดแสดง (120 เมตร) บริเวณถนนอุปราชตัวเมืองอุบลราชธานีทง้ั หมด 2 จุด ได้แก่ หน้าวัดศรีอบุ ลรตั นาราม และหน้าศาลากลาง จังหวัด ผู้แสดงแต่ละขบวนไม่ต่ากวา่ 40 คน โดยจะแสดงทั้งหมด 2 วัน คือ คืนก่อนวันเขา้ พรรษา และคนื วันเข้าพรรษา เร่ิมตั้งแต่เวลา 19.00 น. ใช้เวลาในการแสดงทั้งหมด ประมาณ 1.30 - 2 ช่ัวโมง ซ่ึงการ จัดลาดับขบวนน้ันข้ึนอยู่กับความเหมาะสมของเน้ือหา และรูปแบบการแสดง ในส่วนของต้นเทียนน้ันวัน แรกของการแสดงจะเปน็ ต้นเทยี นทส่ี นใจท่ีจะเข้าร่วมในขบวนแห่เทยี นพรรษาภาคกลางคืน และการแสดง วันท่ี 2 จะมีพิธีมอบรางวัลให้กับต้นเทียนที่ได้รับรางวัลพร้อมกับต้นเทียนที่ได้รับรางวัลเข้ามาร่วมแห่ใน ขบวนแห่เทยี นพรรษาภาคกลางคนื จากการสัมภาษณ์คณะกรรมการจัดงานเล่าว่า รูปแบบของการแสดงในขบวนแห่เทียนภาค กลางคืนน้ีต้องการนาเสนอความเป็นพื้นเมืองอีสานแบบด้ังเดิม ท้ังท่ารา การแต่งกาย ผ้าที่ใช้ ทรงผม ซึ่ง ทางคณะผู้จัดจะเป็นผู้สนับสนุนการแสดงในด้านต่างๆ เช่น หากเพลงท่ีใช้ติดเร่ืองลิขสิทธ์ิ หรือหากไม่ สามารถจัดหาอุปกรณ์ประกอบการแสดงได้ทางคณะผู้จัดก็จะอานวยการจัดหาให้ โดยการดาเนินการ ฝึกซ้อมน้ันคณะผู้จัดจะเข้าไปชมการฝึกซ้อมแต่ละสถาบันการศึกษา ซึ่ง 4 – 5 ปีแรกน้ันยังไม่มีการซ้อม ใหญ่กับสถานท่ีจริง พอทุกขบวนมารวมกันผู้แสดงก็เกิดความประหม่าคนดู ประหม่าสถานที่ จากน้ันจึงได้ ของบประมาณเพื่อใช้ในการซ้อมใหญ่ขึ้นอีก 1 วันก่อนวันแสดง เร่ิมตั้งแต่ช่วงเที่ยงถึงช่วงเย็น หากมีข้อ แก้ไขก็จะมีการปรับการแสดงขณะนน้ั ทันที ซ่ึงจากการประเมนิ ในปีแรกๆถือว่าเป็นกิจกรรมทีน่ า่ สนใจและ ได้รับการตอบรับท่ีดี ปีถัดมาผู้สร้างสรรค์การแสดงหรือคณะครูผู้สอนจึงเริ่มมีกาลังใจในการปฏิบัติงาน ผู้สอนก็มีพื้นที่ในการนาเสนอผลงาน ผู้แสดงหรือนักเรียนก็มีพ้ืนที่ในการแสดงความสามารถและได้รับ เกียรติบัตรจากเทศบาลนครอุบลราชธานเี ป็นผลงานให้กับนกั เรียน อีกท้ังเป็นการสร้างช่ือเสียงและผลงาน ให้กับทางสถาบันการศึกษา ซ่ึงในปีแรกมีการแสดงเพียง 1 จุดไม่มีร้ัวกั้นระหว่างผู้ชมกับขบวนแห่ การ จัดการด้านการจราจรยังไม่เรียบร้อย แต่เน่ืองจากมีผู้ชมจานวนมากไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้ เพียงพอ จึงได้เพิ่มจุดแสดงเป็น 2 จุด มีการกั้นระหว่างผู้ชมกับขบวนแห่โดยนาทก่ี ั้นและผ้าพื้นเมืองอสี าน ตกแตง่ เปน็ ร้วั (เจ้านางนวลตอง ทองรนิ สุพรรณ, 2562) การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาประกอบแสงเสียงภาคกลางคืนนี้จะได้รับความร่วมมือจาก สถาบันการศึกษาระดับมัธยมและอุดมศึกษาในตา่ งอาเภอเป็นส่วนใหญ่ และมีสถาบนั การศึกษาจากในเขต อาเภอเมือง รวมไปถึงจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เช่น จากเหล่ากาชาดจังหวัด จากชมรม จาก ธนาคารท่ใี หก้ ารสนบั สนนุ ซึ่งรูปแบบของการแสดงแต่ละขบวนจะมีเน้อื หาของการแสดงทคี่ วามสัมพันธ์กับ หัวข้อหลักของการแสดง โดยนาเสนอถึงศิลปวัฒนธรรม ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อ การดารงชีวิต การละเล่น เอกลักษณ์ของชาวอีสาน ซ่ึงทุกขบวนต่างก็มีการสื่อสารเรื่องราวให้สัมพันธ์กับการแสดงใน รูปแบบที่แตกต่างกนั ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบการจัดขบวน การแสดงเป็นเร่ืองราว หรือแม้แต่สื่อสารผ่านทาง บทเกริ่น บทรอ้ ง และการแสดงทา่ ทาง โดยจาแนกรูปแบบการแสดงดงั น้ี 1) ทา่ ราทใ่ี ชจ้ ะเปน็ ทา่ ในลักษณะ

120 ปที ี่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) พื้นเมืองอีสาน ผู้วิจัยรวบรวมท่าราโดยรวมท่ีมักพบบ่อย ได้แก่ การใช้ท่าราพ้ืนเมืองอีสาน การใช้ท่ารา นาฏศิลป์ไทย และการใช้ท่าเลียนแบบพฤติกรรมธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์ 2) เพลงที่ใช้ประกอบการ แสดงจะเป็นทานองเพลงพื้นเมืองอีสานที่เหมาะสมกับหัวข้อที่ได้รับ โดยมีทั้งเป็นผลงานสร้างสรรค์จาก มหาวิทยาลยั ต่างๆ ผลงานจากศิลปินที่มชี ือ่ เสียง หรือจากการสร้างสรรค์ขึ้นใหม่ ซ่ึงมีทั้งแบบมีบทร้องและ ไม่มีบทร้อง โดยนาเพลงมาสร้างสรรค์เป็นการแสดงชุดใหม่ 3) การแต่งกายจะแต่งกายในรูปแบบพ้ืนเมือง อีสานด้วยผ้าอีสาน ผู้วิจัยได้รวบรวมการแต่งกายท่ีมกั ปรากฏในขบวน ดังนี้ นักแสดงชายในขบวนรามกั จะ สวมเส้ือแขนกระบอกคอจีนหรือถอดเสื้อ นุ่งโจงกระเบน หรือนุ่งโจงกระเบนแบบส้ัน มีผ้ามัดท่ีเอว สวม เคร่ืองประดับเงิน เช่น สร้อย สังวาล นักแสดงหญิงมีท้ังสวมเสื้อแขนกระบอก เสื้อแขนกุด ผ้าพันอก นุ่ง ผ้าซ่ินพ้นื เมืองอีสาน ห่มสไบ สวมเคร่ืองประดบั เงิน เช่น สร้อย ต่างหู กาไลข้อมือ เข็มขัด สังวาล ทรงผมมี ทั้งรวบตึงติดมวยผมเทียมกลางศีรษะ การยกหมอนหน้า – หลังมวยผมกลางศีรษะ การยกผมด้านหน้า เล็กน้อยเกล้ามวยผมไปทางซ้าย การแสกผมกลางศีรษะมวยผมต่า ติดเครื่องประดับศีรษะ เช่น พันผ้ารอบ มวยผม ติดดอกไม้ด้านซา้ ยของมวยผม และการแต่งกายท่ดี ดั แปลงจากตวั ละคร 4) รูปแบบแถวการแสดงมี การแปรแถวในรูปแบบต่าง ๆ 5) อุปกรณ์ประกอบการแสดง และอุปกรณ์ในขบวนต้องเป็นของพื้นเมือง อสี าน 5) รปู แบบขบวนทพ่ี บ ไดแ้ ก่ ปา้ ยสถาบันการศึกษา ป้ายชดุ การแสดง ขบวนอปุ กรณ์ทีส่ ่อื ความหมาย เพื่อเสริมให้ขบวนสมบูรณ์ ผู้แสดงเคล่ือนขบวนไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทางท่ีกาหนด ซ่ึงในแต่ละปีมีการแสดง ประมาณ 10 – 14 ขบวน นอกจากนี้จะมกี ารแสดงส่งทา้ ย (Finale) ซึง่ ทุกขบวนจะมาร่วมแสดงโดยผูแ้ สดง จดั เป็น 4 แถว แยกเปน็ ฝัง่ ละ 2 แถวเรยี งต่อกนั ยาวตามถนนจากจดุ แสดงที่ 1 ถงึ จุดแสดงท่ี 2 หันหน้าออก ด้านข้างหาผู้ชม ผู้แสดงราอย่างพร้อมเพรียงกัน เป็นการจบการแสดงได้อย่างสวยงาม และสร้างความ ประทับใจใหแ้ กผ่ ูช้ ม สรปุ จากผลการวิจยั ดังกล่าว พบวา่ การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอบุ ลราชธานีตงั้ แต่ พ.ศ. 2444–2562 ได้มีการพัฒนามาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ซงึ่ มรี ปู แบบทป่ี รับเปล่ียนตามบรบิ ททางสังคมและกระแสทาง ศิลปวัฒนธรรมในแตล่ ะยุคสมยั ทั้งในด้านท่ารา ดนตรี เพลง บทร้อง เคร่ืองแต่งกาย อุปกรณ์ประกอบการ แสดง การจัดรูปแบบขบวน โดยนาเสนอเนื้อหาการแสดงท่ีหลากหลายในรูปแบบพื้นเมืองอีสาน ไม่ว่าจะ เป็น การแสดงเทิดพระเกียรติ การแสดงศิลปาชีพท่ีสะท้อนถึงการทามาหากิน การดารงชีวิต การแสดงที่ สะท้อนประเพณี พิธีกรรม ความเช่ือ การแสดงท่ีสะท้อนถึงการบูชาพระพุทธศาสนา การแสดงสะท้อน ความสนุกสนาน สามัคคี และการแสดงที่สะท้อนถึงภูมิปัญญาอันเป็นเอกลักษณ์ในท้องถ่ินของชาวจังหวัด อบุ ลราชธานแี ละชาวภมู ิภาคอีสาน รูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจงั หวัดอุบลราชธานี เปน็ การ แสดงเปน็ หมู่ในลักษณะขบวนแห่ โดยมรี ูปแบบการแสดงทัง้ การแสดงในขบวนแห่เทยี นพรรษาภาคกลางวนั และการแสดงในขบวนแห่เทยี นพรรษาประกอบแสงเสยี งภาคกลางคนื ดังนี้ การแสดงในขบวนแห่เทียนภาคกลางวันเป็นการแสดงนาหน้าต้นเทียนพรรษาท่ีจับคู่กัน โดยจะ แสดงในวันเข้าพรรษา เริ่มต้ังแต่เวลา 08.00 น. เป็นต้นไป หน่วยงานเข้าร่วมแสดงมีท้ังขบวนของชาวบ้าน จากชุมชนวัด ขบวนจากสถาบันการศึกษาท่ีมาในสังกัดของชุมชนวัดหรืออาเภอ ขบวนจากชาวบ้านและ

วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 121 สถาบันการศึกษาแสดงร่วมกันในนามชุมชนวัด และขบวนจากสถาบันการศึกษาในเขตเทศบาลนคร อบุ ลราชธานีตัง้ แต่ระดบั ประถมศึกษา มธั ยมศกึ ษา และอุดมศึกษา แตล่ ะขบวนมจี านวนผู้แสดงต้ังแต่ 20 – 100 คน โดยมีรูปแบบและองค์ประกอบของการแสดง ดังน้ี 1) รูปแบบการแสดงมีทั้งแบบอิสระไม่ตายตัว และการแสดงแบบพ้ืนเมืองอีสาน 2) ท่าราท่ีใช้มีท้ังท่าราพ้ืนเมืองอีสาน ท่ารานาฏศิลป์ไทย และท่าจินต ลลี าผสมนาฏศิลปไ์ ทย ผสมผสานกนั โดยจะมีทง้ั การราเป็นชุด ๆ เมอ่ื ครบท่าก็จะเปลย่ี นทา่ ราเปน็ ชุดต่อไป และการใช้ท่าราท่ีสอดคล้องกับบทร้อง 3) เพลงและดนตรีประกอบการแสดงมีทั้งเพลงทานองพื้นเมือง อีสาน การนาเพลงของภูมภิ าคอืน่ มาบรรเลงด้วยเคร่ืองดนตรีอสี าน และเพลงลูกทุ่งอีสาน โดยมที งั้ การเปิด โดยเคร่ืองเล่นเพลง และการบรรเลงดนตรีสด ได้แก่ วงกลองยาวบรรเลงพร้อมกับขบวนรา และวงดนตรี พ้ืนเมืองอีสาน (วงโปงลาง) บรรเลงบนรถนาหน้าขบวนรา 4) การแต่งกายประกอบการแสดงส่วนใหญ่จะ แต่งกายด้วยผ้าพ้ืนเมืองอีสานในรูปแบบอีสาน สวมรองเท้ารัดส้นสีดาคล้ายรองเท้าสาน หรือสวม รองเท้าคัทชู 5) รูปแบบแถวน้ันมีทั้งรูปแบบอิสระ รูปแบบเป็นกลุ่ม และการจัดแถวตอนลึก 4 แถว โดยมี ทงั้ การแสดงที่มีการแปรแถวและไมม่ กี ารแปรแถว 6) รูปแบบขบวนมีทัง้ รปู แบบอสิ ระ และรปู แบบที่ตายตวั ได้แก่ รถบรรเลงดนตรีหรือรถเคร่ืองขยายเสียง ป้ายสถาบันการศกึ ษา ป้ายชุดการแสดง ขบวนถืออุปกรณ์ ส่ือความหมายเพ่ือเสริมการแสดง โดยมีท้ังการสร้างสรรค์ การแสดงตามหัวข้องานหรือหัวข้อการแสดง และนาเสนอการแสดงเพื่อความสนุกสนาน เคลื่อนขบวนแสดงบนถนนตามเส้นทางท่ีกาหนด แสดงทงั้ หมด 5 จุด การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาประกอบแสงสีภาคกลางคืน เป็นการแสดงนาหน้าต้นเทียน พรรษาที่เข้ามาร่วมแห่ โดยจะแสดงทั้งหมด 2 วัน คือ คืนก่อนวันเข้าพรรษา และคืนวันเข้าพรรษา เร่ิม ตั้งแตเ่ วลา 19.00 น. หน่วยงานทเ่ี ข้าร่วมแสดงมที ง้ั จากสถาบันการศึกษาระดบั มธั ยมและอดุ มศึกษาในต่าง อาเภอเปน็ ส่วนใหญ่ จากสถาบนั การศึกษาจากในเขตอาเภอเมือง และจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน แต่ ละขบวนมีจานวนผู้แสดงต้ังแต่ 40 – 120 คน โดยมีรูปแบบและองค์ประกอบของการแสดง ดังนี้ 1) รูปแบบการแสดงเป็นการแสดงแบบพ้ืนเมืองอีสาน 2) ท่าราท่ีใช้มีท้ังท่าราพื้นเมืองอีสาน ท่ารานาฏศิลป์ ไทย และท่าเลียนแบบพฤติกรรมธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์ โดยจะมีทั้งการราเป็นชุดเม่ือครบท่าก็จะ เปล่ียนท่าราเป็นชุดต่อไป และการใช้ท่าราที่สอดคล้องกับบทร้อง 3) เพลงประกอบการแสดงเป็นทา นอง เพลงพนื้ เมอื งอีสานท่ีเหมาะสมกับหวั ข้อที่ได้รบั 4) การแต่งกายประกอบการแสดงแตง่ กายด้วยผา้ พื้นเมือง อีสานในรูปแบบอีสาน 5) อุปกรณ์ประกอบการแสดง และอุปกรณ์ในขบวนเป็นของพื้นเมืองอีสาน 6) รูปแบบแถวมีท้ังการแปรแถวและไม่มีการแปรแถว 7) รูปแบบขบวนมีรูปแบบที่ตายตัว ได้แก่ ป้าย สถาบันการศกึ ษา ปา้ ยชุดการแสดง ขบวนอปุ กรณ์ทีส่ อ่ื ความหมายเพอื่ เสรมิ ให้ขบวนสมบูรณ์ เคลอ่ื นขบวน แสดงบนถนนตามเส้นทางที่กาหนด โดยแสดงท้ังหมด 2 จุด แต่ละขบวนจะนาเสนอการแสดงในลักษณะ เล่าเรื่องราวท่ีสัมพันธ์กับหัวข้อหลักของการแสดง ประกอบกับการใช้แสง เสียง และเทคนิคพิเศษเพ่ือเพิม่ อรรถรสในการแสดง ใช้เวลาทั้งหมด ประมาณ 1.30 - 2 ชั่วโมง โดยรูปแบบการนาเสนอจะคล้ายกับการ แสดงละครแสง สี เสยี ง

122 ปีท่ี 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ภำพที่ 1 : การแสดงในขบวนแหเ่ ทยี นพรรษาภาคกลางวันในอดีต ที่มำ: จงั หวดั อุบลราชธานี. (2535). ประมวลภาพถา่ ยเหตกุ ารณเ์ มืองอบุ ลราชธานใี นรอบ 200 ปี. หนา้ 97. ภำพที่ 2 : การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาภาคกลางวนั ในอดตี ที่มำ: จงั หวัดอบุ ลราชธาน.ี (2535). ประมวลภาพถ่ายเหตกุ ารณ์เมอื งอุบลราชธานใี นรอบ 200 ปี. หนา้ 97.

วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 123 ภำพที่ 3 : การแสดงในขบวนแหเ่ ทยี นพรรษาภาคกลางวนั ในอดตี ที่มำ: จังหวัดอบุ ลราชธานี. (2535). ประมวลภาพถ่ายเหตุการณเ์ มืองอุบลราชธานีในรอบ 200 ปี. หน้า 97. ภำพที่ 4 : การแสดงในขบวนแหเ่ ทียนพรรษาภาคกลางวัน พ.ศ. 2548 ท่มี ำ: นางสาวธญั ลักษณ์ จันทบั

124 ปที ่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ภำพท่ี 5 : การแสดงในขบวนแหเ่ ทยี นพรรษาภาคกลางวนั พ.ศ. 2556 ที่มำ: (thailandexhibition.com, 2556) ภำพท่ี 6 : การแสดงในขบวนแหเ่ ทียนพรรษาภาคกลางวัน พ.ศ. 2562 ทม่ี ำ: นางสาวธญั ลกั ษณ์ จันทับ

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 125 ภำพที่ 7 : การบรรเลงดนตรพี น้ื เมืองอีสานบนรถในขบวนแหเ่ ทียนพรรษาภาคกลางวนั พ.ศ. 2562 ทีม่ ำ: นางสาวธญั ลกั ษณ์ จนั ทับ ภำพท่ี 8 : การแสดงในขบวนแหเ่ ทียนพรรษาประกอบแสงเสยี งภาคกลางวนั พ.ศ. 2562 ทม่ี ำ: นางสาวธญั ลักษณ์ จนั ทับ

126 ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ภำพท่ี 9 : การแสดงในขบวนแหเ่ ทยี นพรรษาประกอบแสงเสยี งภาคกลางวนั พ.ศ. 2562 ทม่ี ำ: นางสาวธญั ลกั ษณ์ จันทบั ภำพท่ี 10 : การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาประกอบแสงเสยี งภาคกลางวนั พ.ศ. 2562 ทมี่ ำ: นางสาวธญั ลกั ษณ์ จนั ทับ

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 127 อภิปรำยผลกำรวิจยั ประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานีเป็นงานประจาจังหวัดท่ีจัดย่ิงใหญ่ท่ีสุดของจังหวัด อุบลราชธานี โดยได้รับการสนบั สนนุ ความร่วมมอื ร่วมแรงรว่ มใจจากหลายหน่วยงาน ท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ซ่ึงการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี เป็นองค์ประกอบหน่ึงท่ีสาคัญที่ ส่งผลให้งานประเพณีแห่เทียนพรรษาเกิดความสมบูรณ์ อลังการ และสร้างความสนุกสนานแก่ผู้ชม โดย ตั้งแต่ พ.ศ. 2444–2562 ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ซ่ึงมีรูปแบบที่ปรับเปลี่ยนตามบริบททางสังคม และกระแสทางศิลปวัฒนธรรมในแต่ละยุคสมัย ท้ังในด้านท่ารา ดนตรี เพลง บทร้อง เคร่ืองแต่งกาย อุปกรณป์ ระกอบการแสดง การจัดรปู แบบขบวน โดยนาเสนอเนอ้ื หาการแสดงท่ีหลากหลายที่สะทอ้ นถึงภมู ิ ปัญญาอนั เป็นเอกลักษณ์ในทอ้ งถ่นิ ของชาวจังหวัดอุบลราชธานีและชาวภมู ิภาคอีสาน ซง่ึ การพัฒนาในด้าน การแสดงที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ท้องถิ่นน้ี สอดคล้องกับการศึกษา นาฏกรรมในเทศกาลตรุษจีนปากนา้ โพ (ภูริตา เรืองจิรยศ, 2561) ที่กล่าวถึงการพัฒนาการของเทศกาลปากน้าโพ และนาฏกรรมในเทศกาล ตรุษจีนปากน้าโพว่า นาฏกรรมในเทศกาลตรุษจีนปากน้าโพจังหวัดนครสวรรค์ ได้มีการพัฒนามาอย่าง ตอ่ เนอื่ งและมีรปู แบบปรับเปลีย่ นไปตามบริบทของสังคมตามกาลเวลา นาฏกรรมในเทศกาลตรษุ จีนปากนา้ โพเป็นการแสดงแต่ละกลุ่มภาษาท่ีมีลักษณะเฉพาะของกลุ่ม จัดในรูปแบบขบวนแห่เป็นพาเหรดแสดงบน ท้องถนน ซ่ึงมีดนตรีที่นามาใช้บรรเลงประกอบการแสดงก็มีสกุลเดียวกันเป็นดนตรีจีนเหมือนกัน และ เครื่องแต่งกายท่ีใช้สวมใส่ในการแสดงก็มีสกุลเดียวกันเป็นเคร่ืองแต่งกายแนวจีนเหมือนกัน โดยมีบทบาท เพอ่ื พิธีกรรมซงึ่ เกดิ จากความเชื่อและความศรทั ธาของชมุ ชน เพ่ือเปน็ การเซ่นบวงสรวงสิง่ ศักด์ิสิทธ์ิ รวมถึง ขอพรให้ตนสมปรารถนาและขจัดปดั เป่าส่ิงทไี่ ม่ดีออกไป รวมถึงเพ่ือใช้ในการสื่อสาร ซ่ึงเป็นการแสดง อัต ลักษณ์ของคนจีนปากน้าโพท่ีแสดงผ่านออกมาทางเคร่ืองแต่งกาย ทานองดนตรี ภาษา ท่าทางการแสดง โดยเกิดข้ึนจากความร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจ ด้วยพลังแห่งความเชื่อ ความศรัทธา ของคนในจังหวัด นครสวรรค์ท่ีมตี ่อองค์เจา้ พ่อ-เจา้ แม่ ปากนา้ โพ ทาให้นาฏกรรมในเทศกาลตรษุ จีนน้ียงั คงมีการอนุรักษ์และ สืบต่อจากรุ่นสู่รุ่น และปัจจุบันการมีส่วนร่วมจากองค์กรทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ทั้งภาคเอกชน ภาค ประชาชน และบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ได้เข้ามามีบทบาทในการผลักดันและขับเคล่ือนให้นาฏกรรมมีการ พฒั นาอย่างตอ่ เนอ่ื ง ทง้ั รปู แบบและรูปลักษณใ์ ห้มีความทนั ยุคทันสมัยตลอดเวลา นาฏกรรมในงานเทศกาล ตรษุ จีนปากน้าโพ ถือเปน็ สือ่ สาคัญในการถ่ายทอดและนาเสนอเรื่องราวความเปน็ มาของกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุชาว จนี ในจังหวดั นครสวรรค์ในทุกมติ ิ การศึกษาพัฒนาการของการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี เป็นการพัฒนา รูปแบบการแสดงจากการแสดงในแบบอิสระในยุคแรก พัฒนามาเปน็ การแสดงในรูปแบบพ้ืนเมอื งอสี านซึง่ เป็นการราท่มี แี บบแผนตายตัวอยา่ งนาฏศลิ ปไ์ ทยเขา้ มาในยุคตอ่ มา ซง่ึ สอดคลอ้ งกบั แนวคิดการฟ้อนอีสาน ในงานวิจัย การฟ้อนอีสาน (ยุทธศิลป์ จุฑาวิจัตร, 2539) ได้กล่าวถึงการฟ้อนอีสานไว้ว่า ฟ้อนพ้ืนเมืองของ ชุมชนชาวอีสานที่กาลังพัฒนาให้มีมาตรฐานหรือสร้างระบบแม่ท่าต่าง ๆ ข้ึน ตามอย่างแม่ท่าราไทยของ หลวง ความพยายามดังกล่าวนี้เกิดข้ึนในกลุ่มศิลปิน และนักวิชาการนาฏยศิลป์หลายกลุ่มด้วยกัน เพ่ือให้ รูปแบบเอกลักษณ์ของนาฏยศิลป์อีสานชัดเจนย่ิงข้ึน และสะดวกในการถ่ายทอดโดยเฉพาะอย่างย่ิงเมื่อ จัดทาเป็นหลักสูตรปฏิบัติในชั้นเรียนของสถาบันการศึกษาทางด้านนาฏยศิลป์หรือในโรงเรียน ก็ต้องมีการ

128 ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ฟ้อนอีสานฉบับมาตรฐานไว้เพ่ือเป็นเกณฑ์ในการวัดผลการศึกษา ความตายตัวของท่าฟ้อนอีสานจึงได้รับ การพัฒนาข้ึน แม้ว่าความคิดของศิลปินและนักวิชาการอีสานจะเกิดขึ้นและทาไปเพ่ือแยกเอกลักษณ์ของ อีสานจากภาคกลางหรือนาฏยศิลป์ของหลวง แต่วิธีการกลับเป็นไปในแนวเดียวกันคือ พยายามให้เกิดท่า ตายตัวขึน้ ซ่ึงอาจทาให้ศิลปะพื้นบ้านอย่างนาฏยศิลป์ ฟ้อนอีสานดง้ั เดิมท่ีใครพอใจใคร่ฟ้อนอยา่ งใดก็ฟอ้ น นั้นหมดไปก็เป็นได้ เพราะเดิมไม่มีมาตรฐานกาหนดการฟ้อนไว้ ฟ้อนอย่างไรก็ไม่ผิด และงานวิจัย แนวความคิดการสร้างสรรค์นาฏยประดิษฐ์อีสานในวงโปงลาง (คาล่า มุสิกา, 2558) ได้กล่าวถึงการฟ้อน อีสานว่า การฟ้อนอีสานเกิดจากธรรมชาติและการเลียนแบบธรรมชาติ วิถีชีวิต วัฒนธรรม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมและประเพณี พิธีกรรม หมอลา ตลอดจนจิตวิญญาณและอารมณ์ความรู้สึกชวั่ ขณะนนั้ ของ ชาวอีสาน การฟอ้ นถ่ายทอดความสนุกสนาน แต่คงความเรยี บง่าย ไมซ่ ับซอ้ น ซื่อตรงมคี วามเป็นอิสระของ ท่าฟ้อนและการใช้ร่างกายตามธรรมชาติ ไม่มีรูปแบบที่ตายตัว ผู้ฟ้อนมีอารมณ์ความรู้สึก ณ ขณะน้ันจะ แสดงท่าทางออกมาตามท่ีตนเองรู้สึก การฟ้อนอีสานที่สาคัญ คือ การเคลื่อนไหวร่างกายตามธรรมชาติ ท้ังน้ีการจีบของอีสานมีท้ังการไม่จรดมือและการจรดมือ โดยได้รับอิทธิพลจากนาฏศิลป์ไทยมาผสมการ สร้างสรรค์นาฏยประดิษฐ์อีสานในวงโปงลางควรคานึงถึงความเป็นพ้ืนบ้านอีสานที่มีความเรียบง่าย และ สอดคล้องกบั ดนตรพี ื้นบา้ นอีสาน นอกจากนี้การศึกษารูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นการ แสดงในลักษณะขบวนแห่ นาเสนอการแสดงพื้นเมืองอีสาน โดยมีองค์ประกอบการแสดงและการ จัดรูปแบบขบวนของการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษา สอดคล้องกับการวิจัยการฟ้อนอีสาน (ยุทธศิลป์ จุฑาวิจัตร, 2539) ท่ีกล่าวถึงเก่ียวกับการฟ้อนในเซ้ิงบ้ังไฟจังหวัดยโสธร พบว่า เซ้ิงบั้งไฟเป็นการฟ้อน ประกอบกาพยเ์ ซ้งิ ในพิธีแห่บ้งั ไฟ ปจั จบุ ันนยิ มใช้คนฟอ้ นจานวนมากแหเ่ ปน็ ขบวนฟ้อน โดยมอี งค์ประกอบ ของการเซ้ิงบั้งไฟ ดงั น้ี 1) ขบวนฟ้อน จะมที ้งั ชายและหญิง หรอื อาจจะเปน็ หญิงล้วน ๆ ก็ได้ มีจานวนต้งั แต่ 50-100 คนขึ้นไป 2) ผู้ร้องกาพย์เซิ้ง จะเป็นชายหรือหญิงก็ได้ เป็นต้นเสียงและมีลูกคู่คอยร้องตามโดยใน ขณะท่ีเริ่มประกวดตามจุดทื่คณะกรรมการกาหนด ผู้ร้องกาพย์เซ้ิงจะไปร้องท่ีไมโครโฟนใกล้บริเวณปะรา พิธีที่คณะกรรมการจัดไว้ให้ จากน้ันจึงเข้าร่วมขบวนแห่ตามปกติ และเนื้อหาของกาพย์เซิ้งกับท่าฟ้อนไม่ จาเป็นต้องสัมพันธ์กัน 3) เคร่ืองดนตรี เป็นเครื่องดนตรีพ้ืนเมืองอีสาน ใช้บรรเลงประกอบการฟ้อน ได้แก่ กลองยาว กลองตุ้ม พังฮาด ฉาบ ก๊ับแก้บ พิณ แคน โหวด เป็นต้น 4) บั้งไฟ เป็นบ้ังไฟท่ีตกแต่ง ( เอ้ ) สวยงามเรียบร้อยแล้ว จัดต้ังอยู่บนรถยนต์ พร้อมทั้งมีหญิงสาวสวยแต่งกายสวยงามสมมุติเป็นนางฟ้า ประจาบ้งั ไฟนง้ั อยู่บนรถ 2-3 คน 5) เกวียนหรอื รถยนต์ ใชบ้ รรทกุ บงั้ ไฟหรือประดับตกแตง่ ใหส้ วยงามตาม ความคิดสร้างสรรคห์ รอื จุดมงุ่ หมายของขบวน เช่นประดบั ตกแตง่ เกย่ี วกับเร่อื งราวของพญาแถน เป็นตน้ 6) ขบวนประกอบ มีทัง้ ขบวนแสดงคาขวญั จงั หวดั ยโสธรหรือขบวนเบต็ เตลด็ สะท้อนปญั หาสงั คมและการเมือง เป็นต้น 7) เครื่องแต่งกาย มีการแต่งกายเฉพาะกลุ่มดังน้ี ขบวนฟ้อน แต่งกายชุดพนื้ บ้านที่สวยงามทีส่ ุด มี ท้ังนุ่งโจงกระเบน หรือนุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อแขนยาวหรือแขนสั้น มีเคร่ืองประดบั นักดนตรี นุ่งกางเกงขากว๊ ย หรือโสร่ง สวมเสื้อแขนส้ันหรือม่อฮ่อม ขบวนประกอบ จะแต่งกายตามลกั ษณะจุดม่งุ หมายของขบวน เช่น ขบวนแสดงความเป็นอยู่ของคนในท้องถ่ินได้แก่ การทานา ก็ต้องแต่งชุดแบบพื้นบ้าน 8) เคร่ืองขยายเสยี ง ใช้ขยายเสยี งการบรรเลงดนตรี ได้แก่ พิณ แคน หรือโหวด เพื่อให้ผู้ชมได้ยนิ ทั่วถึง โดยจัดเครื่องขยายเสียง

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 129 พรอ้ มลาโพงตดิ ตัง้ บนรถยนต์ หรือรถเขน็ ทป่ี ระดบั ตกแตง่ อย่างสวยงาม 9) การจัดรปู ขบวน เป็นการนาเอา ส่วนประกอบต่าง ๆ ท่ีได้กล่าวมาท้ังหมดหรืออาจมีเพ่ิมเติมปรับปรุงบ้าง มาจัดเป็นรูปขบวนให้ดูสวยงาม แปลกตาและสอดคล้องสัมพันธ์กันกับจุดมุ่งหมาย นอกจากที่ยังได้กล่าวถึงรูปแบบขบวน ดังน้ี จากการ ติดตามชมและสังเกตการเซิ้งบังไฟของคณะบ้านท่าศรีธรรมและคณะคุ้มวัดใต้ศรีมงคล เน่ืองในงาน ประเพณบี ญุ บั้งไฟทีจ่ ังหวัดยโสธร ในวนั ท่ี 13 พฤษภาคม 2538 ซ่งึ เป็นวันรวมหรือวันประกวดขบวนเซงิ้ บั้ง ไฟ พบว่า รูปขบวน การจัดรปู ขบวนทง้ั 2 คณะ คือ รปู ขบวน คณะบ้านทา่ ศรีธรรมเรม่ิ ตน้ ดว้ ยปา้ ยชอื่ คณะ ป้ายประชาสัมพันธผ์ ู้ให้การสนับสนนุ ขบวนฟ้อนรา แต่คณะคุ้มวัดใต้ศรีมงคล เริ่มต้นป้ายช่ือ ธงชาติ พระ บรมฉายาลกั ษณ์ พานพมุ่ ดอกไม้ ป้ายประชาสัมพันธผ์ ู้ให้การสนบั สนนุ แลว้ จงึ เป็นขบวนฟอ้ นรา องคค์ วำมรู้ใหม่ จากการศึกษา รวบรวม วิเคราะห์ถึงความเป็นมาและรูปแบบการแสดงในขวนแห่เทียนพรรษา จังหวัดอบุ ลราชธานี พบว่า การบริหารจัดการของคณะกรรมการจัดงาน การปรบั เปลี่ยนของยคุ สมยั สง่ ผล ให้รูปแบบของการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราธานีปรับเปลี่ยนไป ซ่ึงหน่วยงานที่เข้าร่วม แสดงก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสาคัญท่ีมีผลต่อการเปล่ียนแปลง ดังท่ีพบว่า การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษา ภาคกลางวัน ในยุคท่ี1 หน่วยงานทีเ่ ข้าร่วมแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจะเป็นชาวบา้ นจากชุมชนวัดเป็น สว่ นใหญ่ ต่อมาในยคุ ท่ี 2 ได้เริม่ มหี นว่ ยงานจากสถาบนั การศึกษามาเข้าร่วมแสดงแต่มีเพียงในเขตตัวเมือง และในยคุ ท่ี 3 มที งั้ หนว่ ยงานจากชมุ ชนวัด อาเภอ และสถาบนั การศกึ ษาเขา้ มาร่วมแสดง ตอ่ มาในยุคท่ี 4- 5 จะพบว่าหนว่ ยงานจากสถาบันการศึกษาเข้ามารว่ มแสดงมากขึน้ แตช่ าวบา้ นจากชมุ ชนวัดเริม่ ลดบทบาท ลง แต่ในด้านของการนาเทียนพรรษามาเข้าร่วมในขบวนแห่เทียนพรรษายังคงอยู่เช่นเดิม อีกท้ังยังได้เกิด การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาขึ้นอีกช่วงหนึ่ง ซ่ึงได้พัฒนารูปแบบมาจากขบวนแห่เทียนพรรษาภาค กลางคนื และการแสดงแสงเสยี งจังหวดั อุบลราชธานีในช่วงประเพณีแห่เทยี นพรรษา ประกอบกับส่ิงอานวย ด้านสถานท่ีแสดงของขบวนแห่เทียนพรรษาภาคกลางวัน จึงได้เกิดการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษา ประกอบแสงเสียงภาคกลางคืนข้ึน โดยหน่วยงานท่ีเข้าร่วมแสดงส่วนใหญ่จะเป็นสถาบันการศึกษาระดับ มัธยมจากต่างอาเภอ ซึ่งการที่สถาบันการศึกษาได้มาเข้าร่วมในขบวนแห่เทียนพรรษาน้ีส่งผลให้นักเรียน นักศึกษาได้เรียนรู้ถึงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น เป็นพ้ืนที่ในการแสดงความสามารถ และสร้างช่ือเสียงให้กับ สถาบันการศึกษา อีกทั้งยังได้เป็นส่วนหน่ึงในการร่วมอนุรักษ์ สืบสานประเพณีอันทรงคุณค่าของจังหวัดที่ สรา้ งสรรคแ์ ละถ่ายทอดโดยชาวอุบลราชธานใี หเ้ ปน็ ท่ปี ระจักษ์ทั้งในประเทศและตา่ งประเทศสืบต่อไป โดยรูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาภาคกลางวัน และการแสดงในขบวนแห่เทียน พรรษาประกอบแสงเสยี งภาคกลางคืนนม้ี รี ปู แบบการนาเสนอท่ีแตกต่างกนั กลา่ วคือ การแสดงในขบวนแห่ เทียนพรรษาภาคกลางวันจะเป็นการที่แต่ละหน่วยงานนาการแสดงมาร่วมในขบวนแห่เทียนพรรษาซ่ึงมี ความแตกตา่ งกันท้ังในด้านของการนาเสนอเนอ้ื หาของการแสดง การใชด้ นตรเี พลงประกอบการแสดง การ แปรแถว โดยมีขอบเขตในด้านระยะเวลาและรูปแบบขบวนที่ทางคณะกรรมการจัดงานกาหนด ขบวนใช้ ระยะเวลาท้ังหมดประมาณ 7 ช่ัวโมง ต่อ 1 จุดแสดง ส่วนการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาประกอบแสง เสียงภาคกลางคืนจะเป็นการแสดงในรูปแบบเดียวกัน มีการใช้เทคนิคเสียงและการใช้แสงประกอบการ

130 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) แสดง มีเนื้อหาการแสดงท่ีต่อเนื่องกันสัมพันธ์กันและสอดคล้องกับหัวข้อหลักท่ีกาหนดขึ้นในแต่ละปี แต่ แตกต่างกันด้านเนื้อหาการแสดง รูปแบบการนาเสนอ ซ่ึงเป็นลักษณะเฉพาะของการแสดงแต่ละชุด ทั้ง 2 จุดแสดงใช้ระยะเวลาประมาณ 1.30-2 ช่ัวโมง เปรียบได้ว่าคล้ายกับการชมการแสดงแสงเสียงที่บอกเล่า เรอ่ื งราวในรูปแบบขบวนแห่ แตถ่ งึ แม้จะมีรูปแบบการนาเสนอท่ีแตกต่างกนั แต่การแสดงในขบวนแห่เทียน พรรษาทั้งภาคกลางวันและภาคกลางคืนต่างก็สะทอ้ นถึงศิลปวัฒนธรรมพื้นเมืองอีสานท้งั เนื้อหาการแสดง ท่ารา ทานองเพลง ดนตรีประกอบการแสดง การแต่งกาย และอุปกรณ์ประกอบขบวน อันเป็นเอกลักษณ์ ของชาวอีสานและชาวอุบลราชธานี ขอ้ เสนอแนะกำรวิจัย ข้อเสนอแนะในกำรนำผลกำรวจิ ัยไปใชป้ ระโยชน์ 1. การแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี เป็นการแสดงท่ีนาเสนอถึง ศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีชีวิต และเอกลักษณ์ของจังหวัด แต่พบว่าหน่วยงานท่เี ข้าร่วมแสดง ส่วนใหญน่ ัน้ เปน็ หน่วยงานในเขตอาเภอเมือง หากมีการสนับสนนุ ให้หน่วยงานจากทกุ อาเภอนาการแสดงท่ี สะทอ้ นถงึ เอกลักษณะเฉพาะของแตล่ ะอาเภอเข้ามาร่วม จะส่งผลใหก้ ารแสดงเกดิ ความหลากหลายมากข้ึน ดังน้ัน ภาครัฐ ภาคเอกชน และหน่วยงานที่เก่ียวข้องควรให้ความสาคัญและร่วมมือในการสนับสนุน ส่งเสริมการแสดง เพ่ือให้เกิดองค์ความรู้ที่หลากหลาย และแสดงถึงศิลปวัฒนธรรมภูมิปัญญาท่ีบ่งบอกถึง เอกลกั ษณ์ของชาวจงั หวดั อบุ ลราชธานี ขอ้ เสนอแนะในกำรทำวิจัยคร้ังตอ่ ไป 2. งานวจิ ยั ฉบบั นีไ้ ด้นาเสนอพฒั นาการการแสดงในขบวนแห่เทยี นพรรษาจงั หวัดอบุ ลราชธานีโดย จาแนกจากบริบทต่าง ๆ ที่ส่งผลให้รูปแบบของการแสดงปรับเปลีย่ นและพัฒนาไปในแตล่ ะยุค ซ่ึงสามารถ นาไปเป็นแนวทางในการศึกษาคน้ ควา้ และต่อยอดองคค์ วามรขู้ องการแสดงแต่ละปใี นเชิงลกึ มากขึ้น รวมไป ถึงสามารถนาไปรวบรวมเข้ากบั องค์ความรดู้ า้ นอื่น ๆ ของงานประเพณแี หเ่ ทยี นพรรษาจงั หวัดอุบลราชธานี ไม่ว่าจะ ต้นเทียน ขบวนการแสดง นางงามเทียนพรรษา กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมและ ประเพณีแห่เทียนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพ่ือรวบรวมข้อมูลทางประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าของงานแห่ เทียนพรรษาจงั หวัดอุบลราชธานี เอกสำรอ้ำงอิง กฤตยภรณ์ ตันติเศรษฐ. (2556). กระบวนการกลายเป็นสินค้าของประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัด อุบลราชธานี. (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์การเมือง คณะ เศรษฐศาสตร,์ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ). กิติมา บัวแย้ม. (2561). รูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาภาคกลางวัน (สัมภาษณ์). ครูชานาญ การพิเศษ โรงเรียนมลู นิธิวดั ศรีอบุ ลรตั นาราม. 7 กนั ยายน 2561.

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 131 คาลา่ มสุ ิกา. (2558). แนวความคิดการสรา้ งสรรค์นาฏยประดษิ ฐ์อีสานในวงโปงลาง. (วทิ ยานพิ นธ์ปรญิ า ศิลปศาสตรดษุ ฎบี ัณฑิต, สาขาวชิ านาฏยศิลป์ไทย ภาควิชานาฏยศิลป์ คณะศลิ ปกรรมศาสตร์, จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ). จังหวดั อบุ ลราชธาน.ี (2535). ประมวลภาพถ่ายเหตกุ ารณเ์ มืองอุบลราชธานีในรอบ 200 ปี. จังหวัดอุบลราชธานี. (2562). เรื่อง การแต่งต้ังคณะกรรมการจัดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาจังหวัด อุบลราชธานี ประจาปี 2562. ใน ประกาศจงั หวดั อุบลราชธานี; 12 มนี าคม 2562; อุบลราชธานี. อุบลราชธานี: จงั หวดั อบุ ลราชธานี. (อัดสาเนา) จินตนา ทองแจ่ม. (2562). การประกวดการแสดงในขบวนแหเ่ ทียนพรรษาภาคกลางวนั (สัมภาษณ)์ . ครู ชานาญการพิเศษ โรงเรียนนารนี ุกูล. 10 กรกฎาคม 2562. เจริญ ตนั มหาพราน. (2541). เบิง่ ประเพณบี า้ นข่อย. กรงุ เทพฯ: สานกั พิมพธ์ ารบัวแก้ว. เจา้ นางนวลตอง ทองรินสพุ รรณ. (2562). ความเปน็ มา รูปแบบการแสดง และการจัดการการแสดงใน ขบวนแหเ่ ทียนพรรษาภาคกลางคนื (สัมภาษณ์). คณะกรรมการจัดการแสดงในขบวนแห่เทยี น ประกอบแสง เสียง ภาคกลางคนื . 17 มกราคม 2562. ชาญณรงค์ ชลการ. (2561). ความเปน็ มาของประเพณีแห่เทียนพรรษาและรปู แบบการแสดงในยคุ แรก (สมั ภาษณ)์ . อดีตนายอาเภอศรีเมอื งใหญ.่ 7 กันยายน 2561. เทศบาลนครอุบลราชธานี. (2561). เร่ือง การเตรียมความพร้อมการจัดทาขบวนแห่เทียนพรรษา. ใน ระเบียบวาระการประชุม; 24 กรกฎาคม 2561; อุบลราชธานี. อุบลราชธานี: เทศบาลนคร อุบลราชธานี. (อดั สาเนา) เทศบาลนครอุบลราชธานี. (2562). เร่ือง การจัดทาขบวนแห่เทียนพรรษา ประจาปี 2562. ใน ระเบียบ วาระการประชุม; 20 มิถุนายน 2562; อุบลราชธานี. อุบลราชธานี: เทศบาลนครอุบลราชธานี. (อดั สาเนา) ปารภิ า ก่อจิรพงศ.์ (2563). การประกวดการแสดงในขบวนแหเ่ ทยี นพรรษาภาคกลางวนั ครัง้ ท่ี 2 (สัมภาษณ)์ . 8 เมษายน 2563. พนิดา องค์สวัสดิ์. (2561). รปู แบบการแสดงในขบวนแห่เทยี นพรรษาภาคกลางวัน (สัมภาษณ)์ . ครชู านาญ การพิเศษ วิทยาลัยเทคนิคอุบลราชธานี ผู้แสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาภาคกลางวัน. 25 กนั ยายน 2561. ภาสินี โสมเกษตรินทร์. (2561). รูปแบบการแสดงและเกณฑ์การประกวดของการแสดงในขบวนแห่เทียน พรรษาภาคกลางวัน (สัมภาษณ์). ครูชานาญการพิเศษ โรงเรียนมูลนิธิวัดศรีอุบลรัตนาราม. 7 กนั ยายน 2561. ภูริตา เรืองจิรยศ. (2561). นาฏกรรมในเทศกาลตรุษจีนปากน้าโพ. (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขานาฏยศิลป์ไทย ภาควชิ านาฏยศิลป์ คณะศลิ ปกรรมศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย). มูลนิธิเทียนพรรษาจังหวัดอุบลราชธานี. (2550). เลิศล้าเลอค่า เทียนพรรษาเมืองอุบล อุบลราชธานี. อุบลราชธานี: โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั อุบลราชธาน.ี

132 ปีท่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ยุทธศิลป์ จุฑาวิจิตร. การฟ้อนอีสาน. (2539). (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต ภาควิชานาฏยศิลป์ บัณฑติ วทิ ยาลัย จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั ). โรงเรยี นนารีนุกลู อบุ ลราชธาน.ี (2538). เอกสารประชาสมั พันธ์ ฉบับ 2/2538 การแสดงในขบวนแหเ่ ทียน พรรษา. กรกฎาคม 2538. วรางคณา วุฒิช่วย. (2562). รูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาภาคกลางวัน (สัมภาษณ์). อาจารย์ ประจาสาขาวิชานาฏศิลปแ์ ละการละคร คณะมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั อุบลราชธาน.ี 23 กรกฎาคม 2562. ศิริเพ็ญ อัตไพบูลย์. (2562). ความเป็นมา รูปแบบการแสดง และเกณฑ์การประกวดการแสดงในขบวนแห่ เทียนพรรษาภาคกลางวันและภาคกลางคืน (สัมภาษณ์). ผู้ทรงคุณวฒุ ิด้านศลิ ปะการแสดงประจา จังหวัดอุบลราชธานี กระทรวงวฒั นธรรม. 17 มกราคม 2562. ศิลปวัฒนธรรมและประเพณีท้องถ่ินเมืองอุบลราชธานี. (2555). อุบลศึกษา. กรุงเทพฯ: บริษัทอีเก้ิลไรท์ จากัด. สมคิด สอนอาจ. (2561). ความเป็นมาของประเพณีแห่เทยี นพรรษา (สัมภาษณ์). ศิลปินมรดกอีสาน สาขา ทศั นศลิ ป์ (ประติมากรรมเทียนพรรษา). 7 กนั ยายน 2561. สมชาติ เบญจถาวรอนันต์. (2562). ความเป็นมาของการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาภาคกลางคืน (สัมภาษณ)์ . เจา้ ของเว็บไซดไ์ กด์อุบลดอทคอมและชา่ งภาพ. 25 มกราคม 2562. สานักการศึกษา งานส่งเสริม ศาสนา และวัฒนธรรม. (2561). เรื่อง ขอเสนอหนังสือขอเชิญร่วมสืบสาน วัฒนธรรมงานประเพณีแห่เทียนพรรษา ปี 2561. ใน บันทึกข้อความ; 13 กรกฎาคม 2561; อบุ ลราชธาน.ี อุบลราชธานี: เทศบาลนครอบุ ลราชธาน.ี (อดั สาเนา) เสรี ทองเลิศ. (2562). ความเป็นมาและการจัดการการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาภาคกลางวัน (สมั ภาษณ)์ . รองผ้อู านวยการสานักการศึกษา. 19 มกราคม 2562. อรวรรณ จันทับ. (2561). รูปแบบการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาภาคกลางวัน (สัมภาษณ์). ผู้แสดงใน ขบวนแหเ่ ทยี นพรรษาภาคกลางวัน. 25 กนั ยายน 2561. อังศุนิตย์ วรรณลี. (2563). การประกวดการแสดงในขบวนแห่เทียนพรรษาภาคกลางวันครั้งที่ 2 (สมั ภาษณ)์ . ครูโรงเรียนเดชอดุ ม. 8 เมษายน 2563. thailandexhibition.com. (2556). รวมภาพบรรยากาศงานแห่เทียนเข้าพรรษาอุบลราชธานี 2556. (ออนไลน์) (อ้างเมื่อ 20 มีนาคม 2563). จาก https://www.thailandexhibition.com/Eat- Travel/662

วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 133 ลกั ษณะการเชื่อมโยงความในอนทุ ินเรไรรายวนั : ความสรา้ งสรรค์ ในความเรยี งของเดก็ ปฐมวยั The Cohesion of Anuthinrerairaiwan: the Creativity in the Essays of the Preschool Children บญุ เลิศ ววิ รรณ1์ สายรกั จนั ทร์เพ็ญ2 อาภานุช กลิ่นบรรยงค3์ Boonlert Wiwan1 Sairak Janphen2 Aphanut Klinbanyong3 1ผูช้ ่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ 1Assistant Professor of Thai Language Department, Faculty of Humanities, Kasetsart University 2-3นิสติ เก่าหลกั สตู รศลิ ปศาสตรบณั ฑิต ภาควิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ 2-3Alumni of Bachelor of Arts Program of Thai Language Department, Faculty of Humanities, Kasetsart University Corresponding author, email: [email protected] (Received: 17 April 2020, Revised: 11 May 2020, Accepted: 15 May 2020) บทคัดย่อ บทความวิจัยเรื่อง “ลักษณะการเช่ือมโยงความในอนุทินเรไรรายวัน : ความสร้างสรรค์ในความ เรียงของเดก็ ปฐมวัย” พบว่ามีลักษณะการเช่ือมโยงความ 7 กลวิธี คือ กลวิธีการอ้างถึงหรือการอ้างอิง ซึ่ง นิยมอ้างหน่วยสรรพนาม เช่น “เขา” “เรา” เป็นต้น, กลวิธีการใช้รูปแทน นิยมใช้คาว่า “น้ี” “ทั้งคู่” บางคร้ังอาจจะแทนหน่วยนาม หน่วยกริยา และประโยค, กลวิธีการละหรือสูญรปู ส่วนใหญ่พบว่าเป็นการ สูญรูปคา, กลวธิ ีการซ้าทกุ สว่ น นยิ มการซ้าคานาม เช่น “แม”่ “พ่อ” “น้อง” เปน็ ต้น, กลวิธีการซ้าบางสว่ น พบว่าเป็นการซ้าคาเรียกญาติ เช่น “คุณตา-ตา” “คุณยาย-ยาย” เป็นต้น, กลวิธีการเช่ือม พบว่ามีกลวิธี ย่อยอีก 5 แบบ คือ แบบคล้อยตาม, แบบขัดแย้ง, แบบแสดงทางเลือก, แบบแสดงเหตุแสดงผล, และแบบ แสดงเวลา ต่อมาคอื กลวิธีการเชื่อมโยงคาศัพท์ พบว่ามี 3 แบบ คือ นิยมใช้คาท่ีมีความหมายใกล้เคียงกัน, ใช้คาตรงข้าม และการใช้คากลุ่มเดียวกัน ประการสุดท้ายคือพบกลวิธีการเชื่อมโยงความ โดยใช้กลวิธี หลายอยา่ งรวมกนั ใน 1 ขอ้ ความ คอื พบวา่ นิยมใช้ตั้งแต่ 3 กลวธิ ี – 7 กลวิธี ไดแ้ ก่ การซ้าบางส่วน, การซ้า ทกุ สว่ น, รูปแทน, การอ้างถึงหรอื การอา้ งอิง, คาเชอ่ื ม, การละหรือการสูญรูป และการใชค้ าศัพท์ คำสำคัญ: การเช่ือมโยงความ; อนทุ นิ เรไรรายวัน; ความเรียง; เด็กปฐมวยั ABSTRACT The research article, the Cohesion of Anuthinrerairaiwan: the creativity in the essays of the preschool children, found that there were seven connection strategies: references that usually used pronouns such as “them” and “us”; representations that usually used “this” and “both” as well as those occasionally used for representing pronouns, verbs and sentences; omissions that mostly were word omissions; complete repetitions that usually used nouns such as “mother”, “father” and “brother/sister” as well as partial repetitions that used words for calling relatives such as “grandfather- grandpa” and “grandmother-grandma”; conjunctions consisting of five sub-strategies (i.e. similarities, oppositions, alternatives, rationales and times); vocabularies including three types of vocabularies (i.e. similar, opposite and same types of

134 ปที ี่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) vocabularies); and content connections that were used in single statements. It was found that three to seven strategies were used as follows: partial repetitions, complete repetitions, representations, references, conjunctions, omissions and vocabularies. Keyword: Cohesion; Anuthinrerairaiwan; Essays; Preschool Children บทนำ อนุทิน หมายถึง สมุดบันทึกประจาวัน (ราชบณั ฑติ ยสถาน, 2556) ซ่ึงเปน็ การบนั ทึกหรือรายงาน สิ่งที่เกิดข้ึนในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงเวลา โดยแสดงข้อมูลเก่ียวกับประวัติของตนเอง หรือประวัติชีวิต ส่วนมาก มกั ตัง้ ใจบันทกึ ไวเ้ ปน็ เรือ่ งสว่ นตวั ในกลุ่มเพอื่ น หรือในหมู่ญาติด้วยกัน นอกจากบนั ทึกประจาวัน จะเป็นการถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจ และประสบการณ์ของตนเองแล้ว ยังเป็นการถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สกึ ที่ผเู้ ขยี น มีตอ่ เรอื่ งราวหรือเหตกุ ารณ์ทพี่ บอกี ดว้ ย ปัจจุบันอนุทินมีความสาคัญในการบันทึกเร่ืองราวต่าง ๆ เพ่ือป้องกันการหลงลืม ช่วยประหยัด เวลาในการทบทวนเรอื่ งนนั้ ๆ อกี ทั้งยังสามารถชว่ ยพฒั นาผูบ้ นั ทกึ ใหเ้ ป็นคนชา่ งสังเกต รบั ผดิ ชอบในหน้าที่ ทีจ่ ะต้องบันทกึ อยา่ งสมา่ เสมอ ฝึกให้เปน็ คนมีวิจารณญาณ สามารถให้ความเหน็ ตอ่ สถานการณ์ที่เกดิ ขนึ้ ใน ชีวิตประจาวนั ของตนเอง และสามารถวิเคราะหเ์ หตุการณ์และสามารถปรบั ตัวเขา้ กับสถานการณ์นัน้ ๆ ได้ ฝึกฝนการใช้ภาษา คือรู้จักความเรียงได้ดี รู้จักระบายอารมณ์ขุ่นมัว อารมณ์ดีใจ เสียใจ ซ่ึงเกิดข้ึนใน ชีวิตประจาวันในแหล่งท่ีถูกที่ควร อนุทินยังเป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานเร่ืองราวชีวิตของบุคคล และ เหตกุ ารณ์ต่างๆ ที่เชือ่ ถือได้ และใกลเ้ คียงกับความจรงิ มาก ซ่ึงจะเป็นประโยชน์ตอ่ ประวัติศาสตร์ในอนาคต (ธวัช ปุณโณทก, 2527) บันทึกประจาวันผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ท่ีกาลังได้รับความสนใจจากผู้อ่านในปัจจุบัน คือ “เรไรรายวัน” ซ่ึงเป็นช่ือแฟนเพจในเฟซบุ๊ก ท่ีมีการนารูปภาพลายมือบันทึกของ “เรไร สุวีรานนท์” อัน เป็นผลงานบันทึกประจาวันหรืออนุทินของเด็กหญิงอายุ 7 ขวบ ท่ีเริ่มต้นบันทึกต้ังแต่เดือนวันท่ี 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 มาเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์ และได้รับความสนใจจากผู้คนจานวนมาก จนมี ผู้ติดตามและกดไลค์มากกว่า 200,000 คน นอกจากน้ียังได้รับการตีพิมพ์ลายมือบันทึกเป็นหนังสือจานวน 2 เล่ม โดยเล่มแรกพิมพ์ครั้งที่ 1 เม่ือเดอื นกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 มีท้ังหมด 448 หน้า และเลม่ ท่ีสองพิมพ์ คร้ังที่ 1 เม่ือเดือนมกราคม พ.ศ. 2560 มีท้ังหมด 448 หน้า ลักษณะการดาเนินเรื่องนั้นจะประกอบด้วย โครงสร้างการเล่าเร่ือง 3 ส่วน คือ การเร่ืองเร่ือง การดาเนินเรื่องและการปิดเร่ือง ซึ่งมีลักษณคล้ายกับ งานวิจัยเก่ียวกับภาษาท่ีใช้ในไดอารี่ออนไลน์ (ฐิติภา คูประเสริฐ, 2551) โดยการเริ่มตน้ เขียนอนุทินหรือ บันทกึ ประจาวนั ของ “เรไร สุวรี านนท์” นน้ั ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจใหผ้ ปู้ กครองและเยาวชนที่ได้อา่ น เพจ “เรไรรายวัน” เริม่ หันมาสนใจการเขยี นอนุทินหรือบันทกึ ประจาวันกนั มากขนึ้ จากการเกบ็ ข้อมูลเบื้องต้น ผวู้ ิจัยพบการเชื่อมโยงความ ซึง่ ปรากฏในอนุทินเรไรรายวัน ซึ่งเป็น การสรา้ งประโยคท่ีประกอบกนั เป็นข้อความ มีความสมั พันธ์กันในลักษณะหนึ่ง ความสัมพันธ์ที่ผูกประโยค เหล่าน้ีไว้ด้วยกันเรียกว่า การเช่ือมโยงความ (cohesion) ซ่ึงปรากฏได้ทั้งระหว่างคา วลี ประโยค หรือ ข้อความท่ีปรากฏต่อเนื่องกัน ความสัมพันธ์ดังกล่าวอาจเป็นความสัมพันธ์ในด้านโครงสร้าง หรือในด้าน ความหมาย (ชลธิชา บารุงรักษ์, 2559) โดยการเช่ือมโยงความที่ปรากฏในอนุทินเรไรรายวันน้ัน ผู้วิจัย

วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 135 พบว่ามีลักษณะการเชื่อมโยงความ 7 กลวิธี คือ การอ้างถึงหรือการอ้างอิง, รูปแทน, การละหรือสูญรูป, การซ้าทุกส่วน, การซ้าบางส่วน, การเชื่อม, การเชื่อมโยงคาศัพท์และการใช้กลวิธีหลายอย่างรวมกัน (วิจินตน์ ภาณุพงศ์, 2553) ซึ่งเปน็ ลักษณะการใช้ภาษาเขียนในความเรียงที่ประกอบด้วยวรรณศิลป์ใน ด้านการเช่ือมโยงความโดยการใช้คาท่ีหลากหลายและเช่ือมโยงข้อความได้อย่างกลมกลืมโดยไม่รู้ตัวของ เดก็ ปฐมวัยท่ถี า่ ยทอดภาษาเขียนเชิงอนทุ นิ คอื เรไร สุวรี านนท์ วตั ถปุ ระสงค์ของงำนวจิ ัย เพือ่ ศกึ ษากลวธิ ีการเชื่อมโยงความในอนุทินเรไรรายวนั ประโยชนท์ คี่ ำดว่ำจะได้รับ ได้ทราบกลวิธีการเชื่อมโยงความในอนุทินเรไรรายวันที่เป็นลักษณะการเขียนความเรียงของเด็ก ปฐมวยั วิธกี ำรดำเนนิ กำรวจิ ยั บทความวิจยั เรือ่ ง “ลักษณะกำรเช่อื มโยงควำมในอนุทนิ เรไรรำยวัน : ควำมสรำ้ งสรรค์ในควำม เรียงของเด็กปฐมวัย” เป็นบทความวิจัยส่วนหน่ึงที่เกิดจากงานวิจัยเรื่อง “กลวิธีกำรเล่ำเร่ืองและกำร เชอื่ มโยงควำมในอนุทินเรไรรำยวนั ” ซงึ่ คณะผวู้ ิจัยไดด้ าเนนิ การเสร็จสนิ้ เรยี บรอ้ ยแลว้ โดยคณะผู้วจิ ยั ได้ เห็นจุดเด่นของกลวิธีการเช่ือมโยงความที่ปรากฏในอนทุ ินเรไรรายวัน โดยมีขอบเขตและวิธีการดาเนินการ วิจยั เบื้องตน้ ดงั น้ี 1. การรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยมีวิธีการคัดเลือกข้อมูลในการวิจัยจากกลุ่มประชากรอนุทินเรไร รายวันท้ังหมดท่ีตีพิมพ์ตั้งแต่วันท่ี 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 - วันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 และที่ เผยแพร่ใน เฟซบกุ๊ แฟนเพจ “เรไรรายวัน” ต้ังแต่วันท่ี 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 – วันท่ี 31 ธันวาคม พ.ศ. 2560 โดยคณะผู้วิจัยมีวิธีการคัดเลือกข้อมูลแบบเจาะจง (purposive sampling) จานวน 365 ข้อความ ดังน้ี 1.1 ผู้วิจัยจะคัดเลือกข้อมูลอนุทินเรไรรายวันท่ีตีพิมพ์ในเดือนค่ีของปี พ.ศ. 2559 คือเดือน มกราคม, มนี าคม, พฤษภาคม, กรกฎาคม, กันยายน และพฤศจิกายน จานวน 184 ขอ้ ความ 1.2 ผู้วิจัยจะคัดเลือกข้อมูลอนุทินเรไรรายวันท่ีตีพิมพ์และเผยแพร่ในแฟนเพจเฟซบุ๊ก “เรไรรายวัน” ในเดือนคู่ของปี พ.ศ. 2560 คือ เดือนกุมภาพันธ์, เมษายน, มิถุนายน, สิงหาคม, ตุลาคม และธันวาคม จานวน 181 ข้อความ 1.3 ผูว้ ิจัยกาหนดอนทุ ินเรไรรายวนั ทต่ี ีพิมพ์ใน 1 วัน จานวน 1 หนา้ นบั เปน็ 1 ข้อความ 2. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยมีการวิเคราะห์ข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เก็บมาตามกรอบแนวคิด กลวิธีการเชื่อมโยงความของ “ชลธิชา บารุงรักษ์” และ “วิจินตน์ ภาณุพงศ์” เกี่ยวกับกลวิธีการ เชอ่ื มโยงความ ท้ังท่ีใช้แบบกลวิธเี ดยี วและหลายกลวธิ ีรวมกัน

136 ปที ่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) “ลักษณะกำรเชื่อมโยงควำมในอนทุ นิ เรไรรำยวัน : ควำมสร้ำงสรรคใ์ นควำมเรียงของเดก็ ปฐมวัย” บทความวิจัยเรื่อง “ลักษณะการเชื่อมโยงความในอนุทนิ เรไรรายวนั : ควำมสร้ำงสรรค์ในควำม เรียงของเด็กปฐมวัย” ผู้วิจัยจะได้นาเสนอกลวิธีดงั กล่าวท้ังหมด 8 ส่วน ได้แก่ การอ้างถึงหรือการอ้างอิง, รูปแทน, การละหรือสูญรูป, การซ้าทุกส่วน, การซ้าบางส่วน, การเช่ือม, การเชื่อมโยงคาศัพท์และการใช้ กลวิธหี ลายอยา่ งรวมกนั ซง่ึ ในแต่ละประเด็นมีรายละเอียด ดังตอ่ ไปน้ี 2.1 กำรอ้ำงถึงหรือกำรอ้ำงอิง (Reference) หมายถึง ความสัมพันธ์ระหว่างรูปภาษาหนึ่งกับ อีกรูปภาษาหนึ่ง โดยท่ีรูปภาษาหนึ่งไม่มีความหมายชัดเจนในตัวเอง การตีความรูปภาษาน้ีต้องอาศัยการ อ้างถึงรูปภาษาอื่นหรือส่ิงอื่นที่มีความหมายชัดเจนในตัวเอง รูปภาษาที่อ้างถึงอีกรูปภาษาหน่ึงในการ ตีความเรียกว่า ‘ส่ิงอ้างถึง’ (referent) ส่วนรูปภาษาท่ีถูกอ้างถึงเรียกว่า ‘รูปอ้าง’ หรือ ‘รูปหลัก’ (antecedent) (ชลธิชา บารุงรักษ์, 2559: 141) จากการศึกษาการ “อ้างถึงหรือการอ้างอิง” ที่ปรากฏใน อนุทินเรไรรายวนั ผวู้ จิ ัยพบลกั ษณะการอา้ งถงึ หรือการอา้ งองิ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ “วันที่ฝนตกปรอย ๆ ต้องอยู่แต่ในบ้าน ลูกเด้งลูกละ ๕ บาท ช่วยชีวิตฉันกับน้องๆไว้ เรา เล่นปาลูกเด้งลงบนพื้น แต่ว่าเล่นไม่ได้นานก็เร่ิมเบื่อ เลยเปลี่ยนมาปาใส่หมอน แล้วลองใส่ ลูกเด้งลงในกะละมัง เราหมุนมันแรง ๆ ลูกเด้งทั้ง ๓ ลูก เลยวิ่งตามกันเป็นวงกลม จากก้น กะละมังขึ้นมาถึงขอบฉันกับน้อง ๆ ก็จะหัวเราะชอบใจเวลาท่ีมีบางลูกกระเด็นกระดอน ออกมาจากกะละมงั เล่นแบบนีท้ าใหฉ้ นั นกึ ถึงมอเตอร์ไซคไ์ ตถ่ ังท่ีเคยดู” (เรไรรายวัน วันองั คารท่ี 26 ธนั วาคม พ.ศ. 2560) จากตัวอย่างข้างต้น ผู้วิจัยพบว่า เรไร สุวีรานนท์ ใช้การเช่ือมโยงความด้วยการอ้างถึงหรือการ อ้างองิ เพ่ือใหข้ อ้ ความไมเ่ ป็นทางการจนเกนิ ไป โดยใชค้ าวา่ “เรา” ซ่ึงเปน็ คาสรรพนามบุรษุ ท่ี 1 ในการอ้าง ถึงตนเองคือคาว่า“ฉัน” ซึ่งหมายถึง เรไร สุวีรานนท์ และใช้คาว่า “น้องๆ” เพื่อเชื่อมโยงความอีกครั้งใน ขอ้ ความเดยี วกันเพ่ืออ้างถึงหรืออ้างอิง “นอ้ งแฝด” ทั้ง 2 คน อันเป็นการใช้คาเชื่อมโยงความแบบอ้างถึง หรืออ้างอิงดว้ ยคาแบบคาเรยี กญาติ (kinship) 2.2 รูปแทน (Pro-form) เป็นการใช้รูปภาษาหน่ึงแทนอีกรูปภาษาหนึ่ง รูปภาษาที่ใช้ แทนเรยี กว่า ‘รปู แทน’ การใชร้ ูปแทนนเ้ี ปน็ ปรากฏการณ์ท่เี ห็นได้ในภาษาทว่ั ไป โดยแต่ละภาษามกี ารใช้รูป แท น ใน ลั กษ ณ ะ ท่ีต่ า งกั น ไป พ บ มา ก ไ ด้ แก่ รู ปแ ท นน า มหรื อหน่ ว ยน า ม คื อ ส ร รพ น า ม pronoun/pronominal ซงึ่ หมายถงึ รูปภาษาท่ีทาหน้าท่ีแทนรูปภาษาทเ่ี ป็นคานามหรอื หนว่ ยนาม/นามวลี ประเภทอื่น เช่น รูปแทนหน่วยกริยา (pro-verbal) รูปแทนหน่วยอนุพากย์ (pro-clausal) และรูปแทน หน่วยข้อความ (pro-discorsal) (ชลธิชา บารุงรักษ์, 2559) จากการศึกษา “รูปแทน” ที่ปรากฏในอนุทิน เรไรรายวนั ผ้วู ิจัยพบลกั ษณะการใช้รูปแทน ดงั ตัวอย่างต่อไปนี้ “กางเกงยนี สข์ าสนั้ ๑ เสอ้ื ยดื ๑ ชุดวา่ ยนา้ ๑ กางเกงใน ๔ ทง้ั หมดนีก้ ค็ อื รายการ เสือ้ ผ้าที่ฉนั จดั กระเปา๋ ไปเกินจรงิ ฉนั นบั ตอนร้ือของออกจากกระเป๋าวนั นห้ี ลงั กลบั จากหัวหนิ ฉันคิดวา่ เหลอื ดกี วา่ ขาด แต่จานวนกางเกงในท่หี ยิบเผอ่ื ไปมากเกนิ แมบ่ อกวา่ ไมเ่ ปน็ ไร

วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 137 เดินทางครงั้ หนา้ คอ่ ยคานวณใหม่ ฉนั ลองคูณเลน่ ๆ ถ้าเดนิ ทางไปสชิ ล ๗ วนั แลว้ หยิบเกิน จริงวนั ละ ๔ ตวั รวมเปน็ ๒๘ ตวั ฉนั มีไม่ถึงแน่ ๆ” (เรไรรายวัน วนั จันทรท์ ่ี 2 ตลุ าคม พ.ศ. 2560) จากตัวอย่างข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ ใช้การเช่ือมโยงความด้วยคาว่า “ท้ังหมดนี้” ในข้อความ อนทุ นิ เพอื่ เป็นรปู แทนหน่วยนามในลกั ษณะสมหุ นาม โดยใหเ้ ปน็ รปู แทนของนามคาอืน่ ๆ ท่ตี นเองไดก้ ล่าว มาแล้วข้างตน้ คือ คาว่า “กางเกงยนี ส์ขาสนั้ 1”, “เสอื้ ยืด 1”, “ชดุ ว่ายนา้ 1” และ “กางเกงใน 4” ซงึ่ การ ใชร้ ปู แทนนี้ ทาให้เกิดการใช้หนว่ ยนามท่ีหลากหลายมากข้นึ ในข้อความ 2.3 กำรละหรือสญู รปู (Ellipsos) บางภาษาแสดงการเช่ือมโยงความโดยการใช้การไมป่ รากฏรูป ภาษาเพื่อแสดงความสัมพันธ์กับรูปภาษาที่นามาก่อน หรือท่ีปรากฏในปริบททางกายภาพ ภาษาไทยมี การเช่ือมโยงความในลักษณะนี้มาก ท้ังในกรณีที่เคยมรี ูปภาษาเต็มรปู ได้ปรากฏในปริบทภาษามาก่อนแล้ว หรือในกรณีท่ีส่ิงที่ผู้ส่งสารต้องการกล่าวถึงปรากฏในปรบิ ททางกายภาพหรือปริบทด้านภมู ิความรู้ของผู้รับ สาร และผู้รับสารสามารถตีความโดยอาศยั สถานการณ์หรือจากความร้แู ละข้อเท็จจรงิ เกยี่ วกบั โลกได้ กลา่ ว ไดว้ า่ เม่อื ใดกต็ ามท่กี ารกล่าวถึงเปน็ ทเ่ี ข้าใจไดข้ องผู้รบั สาร ผู้สง่ สารมกั แสดงออกด้วยการละหรอื การใช้สูญ รูป ในภาษาไทยปรากฏการละหรือสูญรูปอย่างกว้างขวาง ท้ังในระดับคา วลี ประโยค อนุพากย์ และ ข้อความ (ชลธิชา บารุงรักษ์, 2559) จากการศึกษา “การละหรือสูญรูป” ท่ีปรากฏในอนุทินเรไรรายวัน ผ้วู จิ ยั พบลกั ษณะการละหรือสญู รูป ดงั ตวั อย่างต่อไปน้ี “จง้ิ จกก็คือตุ๊กแก ตุ๊กแกก็คือจิ้งจก น้องจอมที่เป็นญาติของฉันชอบร้องเพลงแบบน้ีให้øฟัง ตอนฉันไป เที่ยวท่ีบ้านใต้ตอนปิดเทอม øร้องบ่อยมากจนฉันร้องติดปากไปด้วย เมื่อคืนคุณ ตาบอกว่ามีตุก๊ แกอยูใ่ ต้ชิงช้าสีเขียว ทีฉ่ นั กบั น้องแฝดชอบน่ัง ฉนั จงู สายลมเดินตามคุณตาไป ดู ตอนเดินกันไปฉันบอกน้องไม่ต้องกลัวนะ แต่พอได้เห็นø คนท่ีกลัวกลับเป็นฉัน เพราะø นกึ ว่าคอื จิ้งจกตัวเล็กๆ ฉันจะเลกิ รอ้ งเพลงน้ี มนั ทาให้ชีวิตสับสน” (เรไรรายวัน วนั พุธที่ 8 กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. 2560) จากตัวอยา่ งขา้ งต้น เรไร สวุ ีรานนท์ ใช้การละหรือการสญู รปู ในประโยค “น้องจอมทีเ่ ป็นญาติของ ฉันชอบร้องเพลงแบบนี้ให้øฟังตอนฉันไปเท่ียวท่ีบ้านใต้ตอนปิดเทอม” โดยละคาว่า “ฉัน” ซึ่งเป็นหน่วย สรรพนามที่ทาหน้าท่ีเป็นกรรมของประโยคท่ีปรากฏในปริบทที่นามาก่อน คือ “น้องจอมท่ีเป็นญาติของ ฉัน…” ประโยค “øร้องบ่อยมากจนฉันร้องติดปากไปด้วย” โดยละคาว่า “น้องจอม” ซึ่งเป็นหน่วยนามท่ี ทาหน้าที่เป็นประธานของประโยคที่ปรากฏในปริบทที่นามาก่อน คือ “น้องจอมท่ีเป็นญาติของฉัน…” ประโยค “แต่พอได้เห็นø” โดยละคาว่า “ตุ๊กแก” ซึ่งเป็นหน่วยนามที่ทาหน้าที่เป็นกรรมของประโยคท่ี ปรากฏในปริบทท่ีนามาก่อน คือ “เม่ือคืนคุณตาบอกว่ามีตุ๊กแกอยู่ใต้ชิงช้าสเี ขยี ว…” และประโยค “เพราะ øนึกว่าคือจงิ้ จกตวั เลก็ ๆ” โดยละคาว่า “ฉัน” ซ่งึ เป็นหน่วยสรรพนามที่ทาหน้าท่ีเป็นกรรมของประโยคที่ ปรากฏในปริบทท่ีนามาก่อน คือ “คนท่ีกลัวกลับเป็นฉัน” ซึ่งการละคาดังกล่าวน้ี เป็นการละเม่ือประโยค