188 ปีที่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) 4) สอื่ สารความหมายผา่ นบทกลอนลา โดยส่ือความหมายถึง เน้ือหาของพิธีกรรม และลาดบั เหตกุ ารณใ์ นพธิ ีกรรม ซ่ึงมีประโยชนท์ างดา้ นการสือ่ สารระหว่างมนุษย์กับผี สร้างความเข้าใจใหก้ บั ผรู้ ว่ ม พธิ กี รรม และสรา้ งความสนุกสนานตลอดพิธกี รรม จะเหน็ ไดว้ ่า ราผฟี า้ เปน็ พธิ ีกรรมที่สะท้อนถงึ วถิ กี ารดาเนินชีวติ ของชาวลาว ในดา้ นความเช่อื ความศรัทธา ขา้ วของเคร่อื งใช้ในชีวติ ประจาวนั อุปกรณ์ทีใ่ ชใ้ นการประกอบอาชพี การหาอาหารตาม ธรรมชาติ และยงั แสดงให้เห็นถึงมิติด้านการสื่อสารระหว่างคนกับสิ่งเหนอื ธรรมชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อ แสดงความกตญั ญรู ู้คุณต่อเทพยดา เสริมสริ มิ งคล สรา้ งขวญั และกาลังใจในการดาเนนิ ชวี ติ ของเหล่าลูก ศษิ ยผ์ ีฟา้ ใหม้ ีความเชอื่ มัน่ ในการดาเนินชวี ติ อยา่ งราบร่นื ขอ้ เสนอแนะกำรวจิ ยั 1. ผู้วจิ ยั ศึกษาการราผฟี ้าในพ้นื ทจ่ี งั หวัดศรสี ะเกษ ซง่ึ ควรมีการศกึ ษาพิธกี รรมราผฟี ้าใน พื้นท่จี ังหวดั อนื่ ทีอ่ าจมคี วามแตกต่างในรายละเอยี ดของพิธกี รรม หรือศึกษาเปรยี บเทียบพธิ ีกรรมลักษณะ เดียวกนั ของกล่มุ ชาติพนั ธุอ์ ื่นๆ ในพ้นื ทจี่ ังหวดั ศรีสะเกษ ได้แก่ เขมร กูย และเยอ 2. พธิ ีกรรมท้องถนิ่ ในลกั ษณะนคี้ วรมกี ารสง่ เสริมจากภาครฐั โดยเฉพาะองคก์ รปกครอง สว่ นท้องถ่นิ ให้เข้ามามบี ทบาทในการดูแล บารุงรักษารูปแบบประเพณีพิธกี รรมตา่ งๆ อยา่ งเปน็ รปู ธรรม เพ่ือรกั ษาขนบธรรมเนียมด้งั เดิมไว้ให้มากท่สี ุด เอกสำรอำ้ งอิง กาญจนา แก้วเทพ และคณะ. (2544). ศาสตร์แห่งสื่อและวัฒนธรรมศึกษา. กรุงเทพฯ: เอดิสันเพรสโปร ดักส์. กาญจนา แก้วเทพ. (2554). สื่อเก่า ส่ือใหม่ ใจเช่ือมร้อย. กรุงเทพฯ: โครงการเมธีวิจัยอาวุโส ฝ่ายวิชาการ สานักงานกองทนุ สนับสนนุ การวิจยั (สกว.) กาญจนา แก้วเทพ. (2554). ส่ือพื้นบ้านศึกษาในสายตานิเทศศาสตร์. กรุงเทพฯ: โครงการเมธีวิจัยอาวุโส ฝ่ายวิชาการ สานักงานกองทนุ สนับสนุนการวิจัย (สกว.) กิจตพิ งษ์ ประชาชิต. (2558). การออกแบบและพัฒนาหนังสอื การ์ตนู เสริมสรา้ งการรบั รู้ทางดา้ นวัฒนธรรม ประเภทมุขปาฐะจังหวัดศรีสะเกษ พ.ศ. 2557. วารสารวิชาการ AJNU ศิลปะสถาปัตยกรรม ศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยนเรศวร, 7(1), หน้า-หนา้ . กนกวรรณ ระลึก. (2542). การฟ้อนสะเอิงของชาวไทยกูย บ้านกระแซงใหญ่ ตาบลกระแซง อาเภอกันทร ลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ. (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยศึกษา, มหาวิทยาลยั รามคาแหง) กฤษณ์ คานนท์. (2558). ฟ้อนผีศรีสะเกษ: การส่ือความหมายจากการแต่งหน้าในฐานะศิลปะบาบดั ในสื่อ พธิ กี รรมพนื้ บา้ น. (รายงานการงานวิจัย มหาวทิ ยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ).
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 189 จินดา แก่นสมบัติ. (2551). การศึกษาดนตรีประกอบพิธีกรรมบวงสรวงผีบรรพบุรุษของหมอลาผีฟ้า บ้าน โนนทอง ตาบลหนองจกิ อาเภอบรบอื จังหวัดมหาสารคาม. (รายงานการงานวจิ ัย มหาวิทยาลัย ราชภัฏมหาสารคาม). จีราภรณ์ จันทร์โฉม. (2561). แนวคิดผีฟ้าในเชิงปรัชญาของชุมชนบ้านเสียว ตาบลนาเสียว อาเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ. (ดุษฎีนิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาปรัชญา. บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย). ชัยยนต์ เพาพาน. (2533). การลาผีฟ้าในเขตอาเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม. (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร มหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ มหาสารคาม). นฤมล วสันต์. (2556). การฟ้อนผีฟ้าของชาวบ้านฝอยลม ตาบลท่าดอกคา อาเภอบึงโขงหลง จังหวัดบึง กาฬ. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยคดีศึกษา, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ประจวบ จันทร์หมื่น. 2553. วัฒนธรรมอีสานและภูมิปัญญาชาวบา้ น. เอกสารประกอบการเรียนการสอน วชิ าวฒั นธรรมทาง เศรษฐกจิ ของชุมชน. มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ศรสี ะเกษ. มัลลิกา จันทรา. (2549). ความเช่ือและพิธีกรรมผีฟ้าของบ้านสว่างดอนดู่ ตาบลบ้านเม็ง อาเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาไทยศึกษาเพื่อการพัฒนา, บัณฑติ วิทยาลัย, มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย. ยุทธภัณฑ์ เตชะแก้ว. (2540). พิธีกรรมและระบบความเชื่อการลาผีฟ้าในภาคอีสาน. วิทยานิพนธ์ศึกษา ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการศกึ ษานอกระบบ, บณั ฑติ วทิ ยาลัย, มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่.
190 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020)
บทความวิชาการ / Academic Articles วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 191 การสอื่ ความหมายจากเร่ืองเล่าของตน้ ไมส้ าคญั ในชุมชนพนื้ ที่จงั หวดั ศรสี ะเกษ Famous Tree in Narrative with Communication in Community in Sisaket Province ชานนท์ ไชยทองดี I Chanont Chaithongdee ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวชิ าภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏศรีสะเกษ Assistant Professor of Education Program in Thai, Faculty of Education, Sisaket Rajabhat University Corresponding author, e-mail: [email protected] (Received: 26 February 2020, Revised: 24 March 2020, Accepted: 27 March 2020) บทคัดยอ่ บทความวิชาการการสื่อความหมายจากเร่ืองเล่าของต้นไม้สาคัญในชุมชนพ้ืนท่ีจังหวัดศรีสะเกษ ต้องการนาเสนอถงึ การส่ือความหมายในมติ ิความศกั ด์ิสิทธ์ิของตน้ ไมก้ บั ความเชื่อของชุมชนต่าง ๆ ในจังหวัดศรี สะเกษ ข้อมลู ทใี่ ช้ในการเขียนบทความนี้อ้างองิ จากงานวจิ ัยภาคสนามของผเู้ ขยี นเร่ืองเรื่องเล่าศักดิ์สทิ ธ์กิ ับการ สรา้ งพน้ื ท่ที างวฒั นธรรมในจังหวัดศรสี ะเกษทเี่ ก็บขอ้ มูลในปี พ.ศ. 2557 ในจังหวัดศรสี ะเกษ ซงึ่ ใชแ้ นวคิดความ เชอ่ื และความศักดิ์สทิ ธิ์เป็นกรอบในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ผลการศึกษาพบว่าเร่ืองเล่าท่ีเกี่ยวกบั ต้นไม้ศักดิ์สิทธส์ิ ่ือ ความหมายในด้าน 1) อนุสรณ์ของชุมชน 2) ผู้พิทักษ์พ้ืนที่ชุมชน 3) การเป็นผู้ให้แก่คนในชุมชน และ 4) พ้ืนท่ี ศกั ดิ์สิทธ์ิของชมุ ชน คำสำคญั : ต้นไม้สาคญั ; เร่ืองเล่า; การสอื่ ความหมาย; จังหวัดศรีสะเกษ ABSTRACT This journal titled “Sacred Tree in Narrative with Communication in Community in Sisaket Province” would like to present communication within the dimension of holy of the trees from community beliefs in Sisaket Province.The data in this article based on the author’s research field work titled Sacred Narrative and the Construction of Cultural Area in Sisaket Province B.E. 2557. The research employed belief and sacred concept as frame work analysis. The study revealed that Sacred Tree narrative communicate meaning in 1) community commemoration 2) the community guardian 3) the giver for people in the community 4) sacred area in community Keywords: Famous Tree; Narrative; Communication; Sisaket Province บทนำ ความเชอื่ เปน็ อกี หนง่ึ ปัจจยั ท่ีทาให้ผคู้ นเกดิ การยอมรับ เกดิ ความคิดทแ่ี ตกตา่ งและเกีย่ วโยงไปถึงการ ดาเนินวิถีชีวิตที่แตกตา่ งกัน เพราะความเช่ือมีอิทธิพลต่อการดารงชีวิต ดังนน้ั ความเชอ่ื จึงเปรียบเสมือนหนทาง หนึ่งที่จะชี้ถูกชี้ผิดแก่มนุษย์ได้ สังคมไทยเป็นสังคมที่ส่วนใหญ่มีวิถีชีวิตเกี่ยวพันกับความเช่ือ ตั้งแต่อดีตจนถึง ปจั จบุ ัน ความเชอื่ ต่าง ๆ ยงั คงเป็นทพ่ี ึ่งและเป็นทยี่ ดึ เหน่ียวทางจิตใจเพ่ือให้เกดิ ความสบายใจและความม่ันใจใน การดารงชีวิต ระบบความเช่ือ ย่อมรวมถึงศาสนา และความเช่ือในลัทธิต่าง ๆ ท่ีมีการบวงสรวงบูชาหรือการ
192 ปที ่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) สรา้ งสมั พันธภาพอันดีระหว่างมนษุ ย์กับอานาจศกั ดิ์สทิ ธ์ิทั้งหลาย ซ่งึ มนษุ ยเ์ ช่อื ว่าสามารถควบคมุ หรือมีอทิ ธพิ ล เหนอื วิถที างของธรรมชาติและวิถชี วี ิตของมนษุ ย์ (กฤตยิ า โพธทิ์ อง, 2557) ความเชือ่ เรอ่ื งสงิ่ ศกั ดิส์ ิทธ์ิของคนไทยมมี าชา้ นาน เร่อื งดังกลา่ วถือเป็นสิ่งลลี้ ับท่ียากตอ่ การพิสูจน์ คน สว่ นใหญ่จะให้ความเคารพนบั ถอื และให้ความสาคญั กับอานาจแห่งความศักดิ์สทิ ธิ์ ซึ่งผู้คนสว่ นหนึง่ อาจมองว่า เป็นส่ิงไร้สาระ แต่สาหรับผู้ท่ีมีความเช่ือหรือนบั ถือต่ออานาจของความศักด์ิสิทธ์ิจะเชื่อว่าสง่ิ ศักดส์ิ ิทธ์จิ ะช่วยให้ ชีวติ ของผู้ทีเ่ ช่อื และนับถอื ประสบเจอแตส่ ง่ิ ที่ดี ซ่ึงความเช่อื ส่วนใหญ่มพี ื้นฐานมาจากความกลวั และความไมร่ ู้ใน ปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ทเ่ี กิดขึ้นในธรรมชาติ เชน่ ฝนตกฟ้ารอ้ ง ฟา้ แลบ ฟ้าผ่า นา้ ท่วม แผ่นดินไหว ลมพดั ไฟไหม้ เป็นตน้ ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่สามารถมองเห็นผู้กระทาและเกินวสิ ัยของมนุษย์ทจ่ี ะกระทาได้มนษุ ย์จึงเชอ่ื วา่ มี ผมู้ ีอานาจเหนอื มนษุ ย์ทอ่ี ยเู่ บ้อื งหลงั ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ เหลา่ น้ัน (ปรานี วงษ์เทศ, 2543) ปัจจุบนั แม้ว่าผู้คนจะ มีความร้มู ีการศึกษาตามแบบสมัยใหม่ สังคมมคี วามเจริญก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยี และมวี ิวฒั นาการอย่างรวดเรว็ แตส่ งั คมกย็ ังคงส่งิ ที่เรยี กว่า “ความเชื่อเรอื่ งสิง่ ศกั ดิ์สิทธิ์” (นภัสวรรณ สภุ าทติ ย์, 2553) ความศักดิ์สิทธิ์ย่อมได้รับการตีความโดยผู้ที่เกี่ยวข้องกับความศักด์ิสิทธิ์นั้น ๆ ที่เช่ือมโยงกับบริบท หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ การให้ความหมายของชาวบ้านต่อพ้ืนท่ีหรือสถานท่ีนั้นยังแสดงถึงความเก่ียวโยงกับ การนับถือผี (Spirit) และความสัมพันธ์ต่อพื้นท่ีผ่านการทรัพยากรทางธรรมชาติ(Natural Resources) ดังน้ัน ความศกั ดิส์ ิทธ์ิจงึ กลายมาเปน็ “ภูมิทศั นท์ างวัฒนธรรม” (สถาพร เกง่ พาณิช สถาพร เก่งพาณชิ สุกรี เกสรเกศรา วรลญั จก์ บณุ ยสุรตั น์, 2559) การบูชาสิ่งศักด์ิสิทธิ์ เป็นวัฒนธรรมทางความคิดท่มี นษุ ย์สร้างขึน้ เพอ่ื ก่อใหเ้ กิดความมั่นคง ทางด้าน จิตใจเนื่องจากความสุขที่เกดิ ขน้ึ ในจติ ใจนั้น เป็นความต้องการพ้ืนฐานของมนุษย์ (ยศ สนั ตสมบัต,ิ 2540) นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ (2560) ได้สารวจแนวคิดมานุษยวิทยากับการศึกษาความเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ สังคมไทยโดยการตรวจสอบองค์ความรู้และแนวคิดทฤษฎีทางมานุษยวิทยาในการศึกษาความเชื่อส่ิงศักดิ์สิทธ์ิ อานาจเหนือธรรมชาติ ผี และวญิ ญาณโดยช้ีให้เห็นว่านักมานษุ ยวทิ ยาไทยอธิบายความเช่ือสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิใ์ นภายใต้ กระบวนทัศน์โครงสร้างหน้าท่ี ซึ่งยังมองความเชื่อในฐานะเป็นเครื่องมือท่ีจะทาให้ชุมชนอยู่ในกฎระเบียบและ เสถียรภาพ ในขณะที่แนวคิดทฤษฎีทางมานุษยวิทยาในระดับสากล ได้ข้ามพ้นไปสู่การวิเคราะห์ความเช่ือส่ิง ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ที่สัมพันธ์กับอานาจและความรทู้ มี่ นษุ ย์นามาต่อรองเพ่อื สรา้ งตวั ตนทางสังคม องค์ความรู้เกี่ยวกับความเช่ือส่ิงศักดิ์สิทธ์ิในสังคมไทยสามารถจาแนกได้ (นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ และปัณวฒั น์ ผ่องจติ , 2559) ดังนี้ แนวทห่ี นี่ง ความเชอ่ื ส่งิ ศักดิ์สิทธใิ์ นฐานะอตั ลกั ษณ์ของกลุ่มคน แนวทสี่ อง ความเช่อื ส่งิ ศักดส์ิ ทิ ธใิ์ นฐานะโครงสรา้ งชมุ ชน แนวทสี่ าม ความเชือ่ ในสงั คมเมอื งสมยั ใหม่ แนวทีส่ ี่ ความเชอื่ กบั สัญลกั ษณแ์ ละพิธกี รรม แนวท่หี ้า ความสมั พันธร์ ะหว่างพทุ ธ พราหมณ์ ผี ปัจจุบันพบว่าความเชื่อเก่ียวกับสิ่งศักด์ิสิทธ์ิได้มีความสัมพันธ์กับวิธีคิดแบบพ้ืนที่ กล่าวคือ เมื่อ กล่าวถึงพ้ืนที่ศักดิ์สิทธ์ิ เรามักจะนึกถึงปริมณฑลของพื้นที่ในสองรูปแบบ คือ ขอบเขตที่เป็นรูปธรรมที่มีการ กาหนดพืน้ ที่ไวอ้ ย่างชัดเจน มีเขตแดน มีขอ้ ห้ามต่าง ๆ และปรมิ ณฑลของความศักด์ิสทิ ธ์ทิ ่ีครอบคลุมไปกบั การ
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 193 คุ้มครองผู้ท่ีมีความเชื่อโดยที่ระบุไม่ได้ว่าความศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวกินความครอบคลุมไปถึงเขตแดนใด (ยอดกมล อดุ หนุน ปน่ิ วดี ศรีสพุ รรณ, 2561) Max Weber (ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล, 2546; Max Weber, 1970 อา้ งถึงจากจันท์นิภา ดวง วไิ ล, 2556) ไดก้ ลา่ วถงึ ความหลากหลายของโลกศกั ดสิ์ ิทธิ์ทีส่ ัมพันธ์กบั ระบบความเช่อื ว่า ในคตคิ วามเชื่อของคน ด้ังเดมิ โลกศักดิ์สิทธิ์สถติ อยู่ในธรรมชาติ และแทรกซึมอยู่ในทุกอณขู องชีวิต ในขณะที่ระบบศาสนาใหญ่ ๆ ของ โลก ความศักดิ์สิทธ์ิจะผนึกอย่างเข้มข้นกับสถานที่ วัตถุ สัญลักษณ์บางอย่างหรือบุคคลบางกลุ่ม ดังน้ันระบบ ความเช่ือทางศาสนาของคนในสังคมจึงมักจะผูกโยงเร่ืองราวให้เข้ากับระเบียบแบบแผนทางสังคมหรือวิถี วัฒนธรรมการดารงชวี ิต ซึ่งความเชื่อส่วนหนง่ึ ถูกถ่ายทอดออกมาผา่ นเรือ่ งเล่าศกั ด์สิ ิทธ์ิ คนไทยมักมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาหลายช่วงอายุคน ซึ่งมักจะเล่าเร่ืองตามความเชื่อ คตินิยม จารีต ประเพณี ตลอดจนวิถีชีวิตของชุมชน เป็นมรดกทางวฒั นธรรมและทาหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนสังคม (เอ้ือมพร จรนามล, 2556) สังคมไทยมีความเช่ือเก่ียวกับต้นไม้ในแง่ความเป็นมงคลและความเป็นอวมงคล กล่าวคือ ต้นไม้ท่ีมี ความหมายทดี่ ี ทาใหช้ วี ติ มคี วามสขุ ความเจรญิ ได้โชคลาภ หรือดลบันดาลใหป้ ระสบความสาเรจ็ ต่าง ๆ เรยี กว่า ตน้ ไมม้ งคล สว่ นต้นไม้ท่ีใหค้ วามหมายตรงข้าม คอื ตน้ ไมอ้ วมงคล นอกจากน้ตี น้ ไม้ยงั เปน็ สว่ นหน่ึงของอัตลักษณ์ส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติทีม่ ีคุณลักษณะเฉพาะตัวของ พ้ืนท่ีทางภูมิศาสตรท์ ่บี อกเล่าเรือ่ งราวทางประวตั ศิ าสตรอ์ ันเกี่ยวเนื่องกบั พฒั นาการของสังคมและชมุ ชน (กฤศนุ สมบศุ ยร์ ุง่ เรอื ง, 2553) ประเด็นของความศักด์ิสทิ ธขิ์ องต้นไม้มปี รากฏให้พบจากเร่ืองเล่าศกั ดิส์ ิทธท์ิ ี่เก่ียวข้องกับความเช่ือใน พุทธศาสนา กล่าวคือ ในตานานพระพุทธรูปในบริเวณชุมชนไทยลาว มีเร่ืองเล่าเก่ียวกับ “ต้นแก้วมณีโคตร” เป็นชื่อเรียกต้นไม้วิเศษของสังคมชาวลาว ซ่ึงเป็นตน้ ไม้มีลกั ษณะเป็นแก้วเกิดข้นึ ในบริเวณเกาะแก่งกลางลาน้า โขง บรเิ วณ คอนพะเพ็งและบรเิ วณนา้ ตกหล่ผี ีในลาวใต้ ตน้ ไมด้ ังกลา่ วมคี วามเก่ียวข้องกบั เรอ่ื งเลา่ ของอดีตชาติ ของพระพุทธเจ้าเมอ่ื คร้งั เสวยพระชาตเิ ป็นพระราม มีความเชื่อว่าตน้ ไมด้ งั กล่าว “ต้นกกชต้ี าย ปลายชเ้ี ป็น” จน มีการผนวกความเช่ือดังกล่าวให้เป็นลักษณะตัวแทนของการนับถือพุทธศาสนาโดยเชื่อว่าหากบูชาต้นไม้น้ีก็ เสมือนบูชาองค์พระพุทธเจ้า น่ันชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเร่ืองเล่า ต้นไม้ ท่ีถูกปรับเปล่ียนสถานะของ ความหมายให้กลายเปน็ ต้นไม้ศักดิส์ ทิ ธิ์ในทางพทุ ธศาสนา (จนั ทิภา ดวงวิไล, 2556) เมอื่ พจิ ารณาความเกี่ยวเนื่องระหว่างสง่ิ แวดลอ้ มกับชมุ ชนโดยจะเห็นได้จากช่ือบ้านนามเมืองหรอื ภูมิ นามที่มนุษย์ใช้เรียกท่ีตั้งชุมชนของตน เพื่อบ่งบอกลักษณะเฉพาะที่ต่างไปจากชุมชนอ่ืน และต้องการทาให้ ทราบว่าชุมชนนั้นตั้งอยู่ที่ใดและมีลักษณะอย่างไร การต้ังช่ือบ้านนามเมืองแต่ละท้องถ่ิน ประชาชนในท้องถ่ิน น้นั ๆ จะเปน็ ผกู้ าหนดข้นึ ดว้ ยปัญญาและความรู้สกึ นึกคดิ ของตน โดยมีความหมายหรือประวตั ิความเป็นมาของ ชอ่ื น้นั ๆ ซึง่ อาจมีความสัมพนั ธ์กบั สภาพแวดลอ้ มตามธรรมชาตติ ่าง ๆ หรือสมั พนั ธ์กับประวตั ิศาสตรท์ อ้ งถิน่ จะ สามารถพบเห็นหมู่บ้านหลายแห่งในจังหวัดศรีสะเกษท่ีต้ังช่ือหมู่บ้าน โดยมากจะประกอบขึ้นโดยคา ๆ เดียว (แต่จะมีหลายพยางค)์ และมักเป็นคานามเฉพาะเสียส่วนใหญ่ เชน่ ชื่อพันธ์ุไม้และชื่อคน เปน็ ต้น (วศิ เวศ อุดมเด ชาณัติ, 2550)
194 ปที ่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) จากท่ีกล่าวขา้ งต้นสะท้อนให้ทราบถึงความสัมพนั ธ์ระหว่างความเช่ือของผู้คนกับธรรมชาติที่เรอื่ งเล่า เก่ียวเน่ืองกันซ่ึงสัมพันธก์ ับการต้ังถิ่นฐานของชุมชนต่าง ๆ ทมี่ ีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความเช่ือท่ี แตกต่างกันไปในแต่ละพ้นื ท่ี เรือ่ งเล่าเหล่านน้ั อาจเก่ียวข้องกบั การอพยพเคล่อื นยา้ ยก่อให้เกดิ ความหลากหลาย ทั้งด้านคติความเชื่อในการดารงชีวิต การแพร่กระจายของภูมิปัญญาต่าง ๆ เรื่องเล่าตานานที่เล่าจากรุ่นสู่รุ่น ดังน้ันการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องเล่าของชุมชนโดยให้ความสาคัญกับนัยของความศักดิ์ สิทธิ์ของต้นไม้จึงช่วยให้ได้ รบั ร้ปู ระวตั คิ วามเปน็ มาของชุมชน เปน็ การช่วยสบื ทอดอัตลกั ษณ์ของชุมชน เนื้อหาของบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพ่ือวิเคราะห์การสื่อความหมายจากเรื่องเล่าของต้นไม้สาคัญใน ชุมชนพ้นื ทีจ่ งั หวดั ศรีสะเกษ โดยพิจารณาจากเร่ืองเลา่ ทมี่ ขี ้อมูลเกี่ยวกับ 1) เก่ียวขอ้ งกับต้นไมย้ ืนต้น 2) ตน้ ไม้ท่ี ยงั มีชวี ิตอยู่ 3) ต้นไม้ดังกลา่ วเช่ือว่ามีอายุมากกวา่ 50 ปี ข้ึนไป และ 4) เก่ียวข้องกับการเป็นพน้ื ทศ่ี ักด์ิสิทธิ์ท่ีมี ผู้คนกราบไหว้ บูชา ดงั นี้ ต้นไมต้ ้นไม้สำคญั จำกเรอื่ งเล่ำกบั กำรสือ่ ควำมหมำยในด้ำนอนสุ รณ์ของชมุ ชน 1. ต้นมะเดอ่ื ใหญ่ บ้ำนผอื ใหม่ ตำบลเมอื ง อำเภอกนั ทรลักษ์ บ้านผอื ใหม่ เดิมเป็นท่ตี ง้ั ของอาเภอกันทรลักษ์ เม่ือ พ.ศ. 2410 ผู้คนในหมูบา้ นต้องประสบภัย หลายประการสง่ ผลให้คนในหมู่บา้ นหวาดกลัวในการดารงชวี ิต ชาวบา้ นจึงปรกึ ษาหารอื กันว่า ควรมคี นอยู่เวร ประจาหมบู่ า้ น และคอยสง่ สญั ญาณยามมีภยั อันตรายเข้ามา โดยนาเกราะไปแขวนไวบ้ นตนมะเด่ือใหญ่ เพราะ สงู กวา่ ตนั ไม้อืน่ ๆ ในหมู่บา้ น เมือ่ คนเฝ้าหม่บู า้ นรวู้ า่ กาลงั จะมีเหตอุ ันตราย กจ็ ะข้ึนไปตเี กราะบนตน้ มะเดอื่ เพอื่ สง่ สัญญาณ ตอ่ มาได้ย้ายเมอื งไปทปี่ า่ จบก (กระบก) ใกล้บา้ นนา้ อ้อมทม่ี ีทาเลดกี ว่า ปี พ.ศ. 2460 บ้านผือใหม่ จึงเหลอื เพียงต้นมะเดอ่ื ใหญท่ เี่ ป็นสัญลักษณ์ ใหร้ ูว้ ่าเคยเปน็ เมืองอุทมุ พรพิไสยมากอ่ นปจั จบุ ันสถานท่ีแหง่ นน้ั กลายเปน็ องคก์ ารบริหารสว่ นตาบลเมือง มเี รอื่ งเล่าว่าเมื่อชาวบา้ นเห็นตน้ มะเดอ่ื ใหญเ่ กะกะไมไ่ ดส้ ร้างประโยชน์จงึ มีความคิดจะตดั ทง้ิ เพือ่ สร้างลานจอดรถเพ่ิมเติม วันตอ่ มา ก่งิ มะเดือ่ ขนาดใหญก่ ็หกั ลงมาทบั หลังคาโรงจอดรถจนเสียหาย ผเู้ ฒา่ ผู้แก่ ประจาหมูบ่ า้ นบอกว่า เปน็ เพราะคนในหมบู่ ้านไปหลบลู่ จงึ ทาให้เกิดเหตกุ ารณ์นขี้ ้ึน หลงั จากนนั้ มากไ็ ม่มใี คร กล้าตดั ตน้ มะเดือ่ น้ีแม้กงิ่ ก้านแผห่ นาเพยี งใด ชาวบา้ นกป็ ลอ่ ยให้หล่นหรือหกั ตามธรรมชาติ ปัจจบุ นั ตน้ มะเด่ือ ใหญน่ ชี้ าวบ้านบอกวา่ เปน็ อนสุ รณท์ ี่สาคญั ประจาหมูบ่ า้ น (จันทร์ ศรีอุทมุ พร, 2557, สมั ภาษณ)์ 2. ตน้ ไชยวำน บำ้ นสิม ตำบลดนู อำเภอกนั ทรำรมย์ บา้ นสมิ เป็นหม่บู ้านหนง่ึ ตงั้ อย่ใู นเขต ตาบลดูน อาเภอกนั ทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ เกดิ จากการ รวมตัวของกล่มุ คนทอี่ พยพมาจากหลายถ่ินฐานได้มาตั้งรกรากทอ่ี ยู่อาศัยข้นึ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2389 ผู้นาใน การก่อต้ังหมู่บ้าน คือ นายโซง สร้อยสนธ์ เป็นกลุ่มคนท่ีเดินทางมาจากบ้านหนองแสง อยู่ทางทิศเหนือของ หมู่บ้านสิมประมาณ 15 กิโลเมตร และอพยพมาจากแหล่งอ่ืน ๆ สาเหตุที่ย้ายมาเนื่องจากเกิดโรคระบาด ชาวบ้านเรียกกันว่าไข้หมากไม้ ไม่มียารักษาทาให้มีคนเสียชีวิตเป็นจานวนมาก จึงพากันย้ายมาต้ังหมู่บ้านใหม่ เพ่อื หนโี รคระบาด ในระยะแรกมีประมาณ 3–5 ครอบครวั สาเหตุที่เลือกบริเวณน้ีตงั้ หมู่บ้านเน่อื งจากบริเวณน้ีเป็นเนินขนาดใหญแ่ ละมีหนองน้าอยู่ทางทิศ ตะวันตกและมีแม่น้ามูลไหลผ่านบวกกับมีสภาพภูมิประเทศเหมาะสมท่ีจะตั้งหมู่บ้าน นายโซง และชาวบ้านที่
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 195 เดินทางมาด้วยจึงตัดสินใจตั้งบ้านเรือน ข้ึนทางในบริเวณทางด้านทิศเหนือ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนท่ีอพยพมา จากบ้านหนองมะแซว อยู่ห่างไปทางทิศตะวันออกประมาณ 5 กิโลเมตร มาตั้งบ้านเรือนทางด้านทิศใต้ ของ หมู่บ้าน จึงมีกลุ่มคนอพยพมาจาก 2 แห่งอาศัยอยู่รวมกัน หลังจากนั้นมีกลุ่มคนย้ายเข้ามาอยู่เร่ือย ๆ หมู่บ้าน ขยายตัวจากทางดา้ นทศิ เหนอื ออกไปทางทิศตะวนั ออกและตะวันตกจนกลายเปน็ หมู่บ้านขนาดใหญ่ ประมาณ ปี พ.ศ.2518 – 2519 มีจานวนครวั เรือนท้งั ส้นิ ประมาณ 100 ครวั เรอื น (ยศ พากเพยี ร, 2557, สัมภาษณ์) หนองไซวานเป็นหนองน้าธรรมชาติ อยทู่ างทิศเหนอื ห่างจากหมบู่ า้ นสิมประมาณ 200 เมตร หนองไซวานเป็นหนองนา้ ท่ีมีขนาดใหญ่ มสี ตั วน์ า้ หลากหลายชนดิ จุดเด่นของหนองไซวาน คือ มตี ้นไมช้ นิดหนง่ึ ท่ผี ุดขนึ้ กลางนา้ เปน็ จานวนมาก ชาวบา้ นเรยี กว่า ตน้ ไซวาน (ตน้ ไชยวาน) เปน็ ทีม่ าของการตงั้ ชื่อหนองน้าแหง่ น้ี หนองไซวานยงั เปน็ หนองนา้ ท่ชี าวบา้ นเคารพ บชู า กราบไหว้ ชาวบา้ นถือเป็นสถานทสี่ าคัญ เปน็ สถานทีพ่ ักผ่อน ของชาวบา้ น การตงั้ ชื่อบ้านนามเมืองเปน็ ภูมปิ ัญญาของคนในอดตี ท่สี ามารถนาสงิ่ ที่เด่นชัดในการรบั รู้หรอื เปน็ ทีน่ ับถอื ของคนในชมุ ชน ดงั นน้ั การตั้งช่อื โดยใชช้ ือ่ ต้นไม้มาเปน็ ชอ่ื หนองน้าจึงสามารถอธิบายนยั ของการให้ ความสาคัญของพน้ื ท่ีกบั ตน้ ไม้ หนองไซวานถือเป็นหนองนา้ ศักดิส์ ิทธ์ิ ซง่ึ อย่คู ู่หมบู่ ้านสิมมาตัง้ แตก่ อ่ ตง้ั หมู่บ้าน ชาวบ้านเลา่ วา่ หากมีคนตา่ งถิ่นมาลบหลู่ ทาสิ่งท่ีผดิ ฮีตคอง โดยไม่มกี ารบอกลา่ วก็จะไดพ้ บเจอกบั เจา้ ที่ ซง่ึ จะมาตักเตอื นกอ่ น แต่หากยังทาผดิ ซา้ อีกในครง้ั ต่อไปกอ็ าจมีอันเปน็ ไป ซง่ึ ชาวบา้ นเชือ่ กนั ว่าภายในหนองนา้ ไซวานมีเจ้าทอี่ ยู่คอย ดูแล ปกปักรกั ษาหนองน้าอยู่ ซงึ่ ผู้เฒ่าผแู้ กใ่ นหมู่บา้ นสมิ ตา่ งไดพ้ ดู ถงึ เร่ืองน้ีมาเปน็ เวลานาน ซ่ึงบางคนกเ็ ลา่ วา่ เคยพบงูใหญ่ปรากฏตวั ใหเ้ ห็นในยามใกลร้ งุ่ และบางคนกเ็ คยพบจระเขข้ นาดใหญ่ใหญ่ ชาวบ้านเชอื่ กันวา่ เปน็ เจ้าทีม่ าปรากฏตวั ให้เหน็ ซง่ี ชาวบา้ นก็กราบไหวบ้ ชู าและใหค้ วามเคารพหนองไซวานมาโดยตลอด เร่ืองเล่าดังกล่าวเป็นสิ่งที่ยึดโยงสายใยความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน นั่นก็คือ การท่ีตนเองรู้จัก รากเหง้าของตนเองผ่านเรื่องเล่าที่ยังมีการบอกเล่าสืบต่อจากรุ่นสู่รุ่นกลายเป็นเร่ืองเล่าของคนจากรุ่นสู่รุ่นผ่าน การบอกเล่าโดยใช้วิธีมุขปาฐะกลายเป็นประเพณีอันดีงามให้ลูกหลานได้ปฏิบัติสืบทอด สะท้อนความสัมพันธ์ ระหว่างคนกับคน คนกบั ธรรมชาติ และคนกับสิง่ เหนอื ธรรมชาติ ตน้ ไม้ตน้ ไม้สำคัญจำกเรอ่ื งเลำ่ กับกำรสอื่ ควำมหมำยในดำ้ นผู้พทิ กั ษ์พ้นื ทีช่ ุมชน 1. ต้นยำง และตน้ ส้มโฮง บ้ำนบึงไกร ตำบลหัวชำ้ ง อำเภออทุ ุมพรพสิ ัย บ้านบึงไกรก่อตั้งเม่ือปี พ.ศ.2393 โดยมีราษฎรประมาณ 4 ครัวเรือน อพยพมาจากบ้านหนอง ครก ตาบลหนองครก อาเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ เพ่ือมาต้ังหมู่บ้านใหม่ข้ึน ซึ่งเดิมบริเวณที่ตั้งหมู่บ้านใน ปัจจุบันน้ีมีลักษณะเป็นที่เนินสูง น้าท่วมไม่ถึงมีความอุดมสมบูรณ์เหมาะท่ีจะต้ังบ้านเรือนอาศัย นอกจากนั้น รอบนอกหมบู่ า้ นยงั เปน็ ปา่ ซ่ีงมสี ัตว์อาศัยอยเู่ ป็นจานวนมาก เช่น ลิง กระรอก อเี หน็ เป็นต้น ในหมบู่ า้ นมตี ้นยาง ใหญ่ ส่วนทางด้านทิศเหนือของหมบู่ า้ นจะมีคลองนา้ ไหลผา่ นซึ่งคลองน้าดังกล่าวชาวบา้ นจะเรียกว่า “ฮ่องนา้ บงึ ไกร” ต่อมาชาวบ้านจึงต้ังช่ือหมู่บ้านตามฮ่องน้าบึงไกรว่า “บ้านบึงไกร” (บริบทชุมชน องค์การบริหารส่วน ตาบลหวั ชา้ ง, 2554)
196 ปีท่ี 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) มเี รื่องเล่าว่าพ่อใหญบ่ ุดดี ปูเ่ งาะ ลุงเทพ ย่าสีมาลี เป็นคนทีเ่ ข้ามาตง้ั หมบู่ า้ น จากการยา้ ยถ่นิ ฐาน จากที่อยเู ดิมเพื่อหาทีอ่ ยู่ใหม่เรียกว่า “ไปครัว” โดยบุคคลเหล่านี้ได้ยา้ ยมาจากบ้านหนองครก หนองกิโล (บ้าน หนองครก ตาบลหนองครก อาเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ) โดยการย้ายถ่ินฐานเพื่อหาท่ีอยู่ที่เหมาะสมอุดม สมบูรณ์ในการตั้งรกราก บรเิ วณน้ีเป็นท่ีสน้ิ สุดคลองน้า มีความอดุ มสมบูรณ์ มีสัตว์ปา่ ให้หากนิ ได้ และคลองน้า ชาวบา้ นเรียกวา่ “ฮอ่ งบึงไกร” ต่อมาจงึ ไดใ้ ช้ตั้งเป็นชอ่ื หมบู่ ้านวา่ “บา้ นบึงไกร” และมผี ู้อย่อู าศัยมากข้ึน เมื่อมีการตั้งถ่ินฐานเป็นท่ีเรียบร้อย จึงมีเร่ืองเล่าว่า “ฮ่องน้าน้ีปู่ยายลาวหาให้” (ฮ่อง แปลว่า คลอง) ในบริเวณฮ่องน้านี้มตี ้นไม้ใหญ่หลายต้นทีม่ ีมากก็คอื ต้นยางใหญ่อยหู่ ลายต้น และชาวบ้านมคี วามเช่อื ว่า ในต้นไม้มีสิ่งศักดส์ิ ิทธ์ิสถิตอยู่ เพราะในอดตี นั้นในตอนค่าทัง้ ข้างขึ้นและข้างแรมจะมีชาวบ้านไปหากบ เขียด ปู ปลา เพอ่ื นามาเป็นอาหาร บริเวณฮอ่ งน้านนั้ บางคนได้พบผหู้ ญิงเดินหายเขา้ ไปในตน้ ยางใหญ่หลายคร้ัง บางคน จะมีความรู้สึกเหมือนมีใครมาผลักบ้าง จึงไมม่ ีใครมาหาอาหารบริเวณน้ี ต่อมาไดต้ ้ังที่พักสงฆข์ ้ึนท่ีบริเวณน้แี ละ ไดท้ าพธิ ีบวชตน้ ไม้ใหญ่ (ฝ้ัน พิมพา, 2557, สมั ภาษณ)์ ภำพที่ 1–2 : ฮ่องบงึ ไกร นอกจากนี้ในอดีตบ้านบึงไกรเคยมี “ต้นส้มโฮง” ชาวบ้านเล่าว่ามี “กกส้มโฮง” ต้นขนาดใหญ่ ขนาดประมาณ 4 คนโอบ ร่มเงาของกกส้มโฮงปกคลุมเปน็ บรเิ วณกว้าง เช่อื กันว่ากกส้มโฮงมีอายมุ ากว่า 200 ปี ครัง้ หน่ึงเกิดพายใุ หญ่ทาใหไ้ ม้สม้ โฮงหกั ใส่บา้ นเรือน แต่โชคดีท่ไี ม่มใี ครเป็นอะไร หลงั จากนนั้ ผนู้ าหมู่บ้านกลัวว่า หากเกดิ พายุอกี ไม้ส้มโฮงจะหกั ลงมาโดนชาวบ้าน จึงได้หาผู้มาตัด แต่เนื่องจากเปน็ ต้นไม้ใหญแ่ ละเก่าแก่จึงยาก ที่จะหาคนตัด เมื่อหาคนตัดได้แล้วจึงได้จัดทาพิธีขอขมาก่อนท่ีจะตัด ในวันน้ันมีชาวบ้านมาดูจานวนมาก หลงั จากนนั้ บริเวณนีจ้ ึงไดส้ ร้างเป็นศาลาการเปรียญทาใหบ้ รเิ วณดังกล่าวมีประโยชน์กับชมุ ชนในฐานะเปน็ พ้ืนท่ี ทางจติ ใจโดยพืน้ ทีส่ ่วนใหญ่มีตน้ ไมใ้ หญจ่ านวนมากชาวบา้ นยงั ไดท้ าจึงพิธกี ารบวชปา่ และมกี ารทาพน้ื ทดี่ งั กลา่ ว ให้เป็นพ้ืนที่ศักดิ์สิทธ์ิในบริเวณท่ีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ท่ีโค่นล้มเพื่อเป็นพื้นที่ทางจิตใจของคนในหมู่บ้าน (รัตนา กลม เกลียว, 2557, สมั ภาษณ)์ ดังน้ันพื้นท่ีของบ้านบึงไกรที่มีต้นยาง และต้นส้มโฮงท่ีชาวบ้านรับรู้ว่าเป็นพ้ืนท่ีศักด์ิสิทธ์ิจึงมีนัย ของการห้ามบุกรุกทาลาย รวมถึงยังเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นผู้พิทักษ์ชุมชนให้ความปลอดภัยทางจิตใจต่อ ผู้คนทยี่ ังเชื่อและเคารพสิง่ เหนือธรรมชาติ
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 197 2. ต้นโพธิ์ บำ้ นกงพำน ตำบลกำ้ นเหลือง อำเภออุทุมพรพสิ ยั เพง็ แกว้ สมทุ ร (2557 : สัมภาษณ์) เล่าวา่ “ในอดีตชมุ ชนมีป่าทเ่ี ช่อื ว่ามผี ีเป็นจานวนมาก ก่อนท่ี จะมาเป็นบ้านกงพาน เดิมมชี ื่อว่าปงพาน พาน หมายถึง วัวตัวใหญ่สแี ดงมีเขาเหมอื นกวาง สมัยน้ันพรานได้ไล่ จับ บริเวณท่ีอ้อม (ล้อม) วัว ปัจจุบันคือบ้านอ้อมแก้ว พรานคนหนึ่งร้องเรียกเพ่ือนว่า “มาพี้ ๆ (มานี่ ๆ )” ปัจจุบันคือบ้านกะพี้ หลังจากไล่วัวสักพักก็สามารถจับได้จึงนามาผูกไว้ (ปง) แต่หลังจากน้ันวัวได้หายไป ชาวบา้ นจึงเรียกพน้ื ท่ีดังกลา่ ววา่ บ้านปงพาน ซง่ึ คอื บา้ นกงพานในปัจจบุ นั ” ในหมู่บ้านกงพานมีต้นโพธิ์ประจาหมู่บ้านอยู่ 4 ตน้ คือ อยู่ทว่ี ดั 2 ตน้ ท่ีศาลากลางหมูบ่ ้าน 1 ต้น และอยู่ข้างหนองบ้านอีก 1 ต้น ซ่ึงเป็นต้นไม้ที่ชาวบ้านให้ความนับถือ และเชื่อกันว่าในต้นโพธิ์แต่ละต้นมีสิ่ง ศกั ด์ิสทิ ธ์ิสถติ อยเู่ พื่อปกปักรักษาความสงบสขุ ของหมู่บ้าน ชาวบา้ นเล่าว่าวนั หนงึ่ มีครคู นหน่งึ ชื่อว่า “ปาน” ได้ ไปปสั สาวะใส่ต้นโพธทิ์ ี่อยูใ่ นวัดโดยไมข่ ออนุญาต ตกดึกมาครปู านได้ฝันเห็นชายคนหนึ่งผิวดาสูงใหญไ่ ม่สวมเสื้อ นุง่ โจงกระเบนสีแดง เดินเข้ามาหาและช้ีหน้าแล้วกล่าวว่า “มงึ มาบุกรุกในท่ีของกู” พร้อมกับใช้เทา้ เตะเข้าไปที่ ปากของคุณครูปานจนทาให้คุณครูปานสะดุ้งต่ืนข้ึนมา พอรุ่งเช้าปรากฏว่าครูปานได้กลายเป็นคนปากเบี้ยว จนถึงปัจจบุ ัน ตน้ โพธ์ิกลางหมู่บ้านเป็นต้นโพธิ์ท่ีทุกคนในหมู่บ้านเชื่อว่าในอดีตมีผีเปรตอาศัยอยู่ปัจจุบันเช่ือว่า เหลือแตผ่ ีภูมิบา้ นที่คอยปกปักรักษาชุมชนใหส้ งบสุข วนั หนึ่งมงี านบญุ กฐินที่จดั ขึ้นท่ีศาลากลางหมู่บ้านท่ีติดกับ ตน้ โพธ์ิมีการเปดิ เครื่องเสียง โดยไม่ได้จุดธูปเทียนบอกกลา่ วแต่อย่างใด ในวันท่ีมกี ารละเล่นหรือทีช่ าวบ้านเรียก กนั ว่า “ม้ือโฮมงาน” เม่อื พระสงฆเ์ ทศนาเสรจ็ ประธานในพิธกี จ็ ะจุดตะไลเพอ่ื เปน็ การเปดิ งาน ตะไลอันแรกก็ไป ได้ดีแต่พอมาอนั ท่สี องตะไลกลับไม่ไปติดอยู่ใต้ตน้ มะขามแลว้ กต็ กลงมาใส่เครอื่ งเสยี งทาให้เครื่องเสียงเกิดความ เสียหายเปิดไม่ดังจนชาวบ้านต้องไปจุดธูปเทียนบอกจึงสามารถเปิดเคร่ืองเสียงได้ ด้วยเหตุน้ีจึงทาให้ชาวบ้าน เช่อื วา่ เป็นเพราะไมบ่ อกกลา่ วทา่ น (ทองทศ พึ่งภกั ดี, 2557, สัมภาษณ์) จากเร่ืองเล่าเก่ียวกับต้นโพธิ์สะท้อนให้วา่ ชาวบ้านทุกคนล้วนให้ความนับถือและเป็นที่ยึดเหน่ียว จิตใจอีกอย่างหนึง่ ใหแ้ กค่ นในชมุ ชน เมอ่ื มงี านบุญหรอื งานใด ๆ กต็ ามจะตอ้ งมาจุดธูปเทียนบอกกลา่ วก่อนเสมอ ซ่ึงทุกคนในหมู่บ้านต่างก็เชื่อกันเช่นน้ี และยังก่อให้เกิดพื้นท่ีทางจิตใจ เมื่อได้จุดธูปเทียนบอกกล่าวแล้วการ ทางานบญุ หรอื งานต่าง ๆ กจ็ ะลลุ ่วงไปไดด้ ้วยดี ทาให้ชาวบา้ นเกดิ ความม่ันใจในการดารงชวี ติ นัยของบริเวณที่มีต้นโพธิ์ของบ้านกงพานจึงเป็นพ้ืนที่ท่ีช่วยให้ผู้คนในชุมชนเคารพและหวงแหน ศรัทธาความเชอ่ื ท่ีอาจกล่าวได้วา่ หย่ังรากฝังลกึ ลงสู่วิถีชีวิต ก่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมและประเพณีของชุมชน ซึ่ง ในสังคมชนบทหลายแห่งยังคงรูปแบบความเชื่อและสืบต่อประเพณีท่ีเข้มแข็ง ซ่ึงประเพณีเหล่าน้ีส่วนใหญ่เกิด จากสภาพพื้นท่ี และธรรมชาติทีร่ ายลอ้ มรอบตัว ที่แฝงกุศโลบายแนวคดิ เรอ่ื งการอนุรักษพ์ ้นื ทธี่ รรมชาติ ต้นไมส้ ำคัญจำกเรอ่ื งเลำ่ กบั กำรส่ือควำมหมำยในด้ำนกำรเปน็ ผ้ใู ห้แก่คนในชุมชน 1. ต้นมะขำม บำ้ นนำดี ตำบลโพธ์ศิ รี อำเภอปรำงค์กู่ บา้ นนาดเี ป็นหมบู่ า้ นทต่ี ้ังอยูท่ ี่ หมู่ 7 ตาบลโพธศิ์ รี อาเภอปรางคก์ ู่ จงั หวดั ศรสี ะเกษ เป็นหมู่บ้าน ที่มปี ระวตั ิการกอ่ ตง้ั มาต้ังแต่ปพี ทุ ธศักราช 2449 เดิมทีก่อตง้ั อย่ทู ี่บา้ นนาวา หมูท่ ่ี 2 ตาบลสมอ อาเภอขุขันธ์
198 ปที ่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ในปี พ.ศ. 2513 ได้ทาเร่ืองขอแยกตาบลออกจากตาบลสมอ มาเป็นตาบลโพธศิ์ รี จึงเปลี่ยนจาก บา้ นนาวาหมู่ท่ี 2 มาเปน็ บ้านนาดีหมู่ท่ี 7 ตาบลโพธศ์ิ รี เลา่ วา่ เดิมทบี ้านนาดีมชี ่อื เดิมวา่ บา้ นมะเขือ เนือ่ งจากมี ต้นมะเขือเป็นจานวนมาก ชาวบ้านในละแวกนั้นและหมู่บ้านใกล้เคียงมักพากันปลูกมะเขือเพ่ือใช้ในการกินอยู่ และขาย จงึ พากันเรียกหมู่บา้ นที่ต้งั อยนู่ ว้ี ่า “บ้านมะเขือ” ภาษาเขมรเรยี กว่า “กระตอ๊ บ” ซ่งึ แปลว่ามะเขอื โดย มีผู้นาในหมู่บ้าน คือ นายแล พงษ์สุวรรณ นายสุดตา (ไม่ทราบนามสกุล) และนายลา พงษ์ธนู (แหลม พงษ์ สวุ รรณ, 2557, สมั ภาษณ)์ ชาวบา้ นนาดมี ี 2 กลมุ่ คอื ชาติพนั ธุ์ลาว และชาติพนั ธุ์เขมร ชาติพนั ธุ์ลาวส่วนใหญย่ า้ ยมาจากลาว เวียงจนั ทน์ ชาติพนั ธเ์ุ ขมรสว่ นใหญ่ย้ายมาจาก อาเภอขขุ ันธ์ ทาให้ชาวบา้ นส่วนใหญม่ ลี าวกบั เขมร ซงึ่ ในปจั จุบนั อยู่ปะปนกันจนมีลูกมีหลาน ทาให้ภาษา ประเพณีและวัฒนธรรมมีการผสมกลมกลืนกันไป ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ใน หมบู่ า้ น คอื “กกขาม” ซ่งึ ปัจจบุ ันต้นไม้ตน้ น้ีไดต้ ายไปแลว้ เหตทุ ่ตี น้ ไมต้ น้ น้ีกลายเป็นต้นศักด์สิ ทิ ธ์ิ เน่อื งจากในอดีตมคี นเอาววั เอาควายไปเล้ยี งทที่ ุ่งนา บา้ ง ก็หลงลมื บา้ งก็เมาเหลา้ เมายา แลว้ กป็ ล่อยวัวควายไว้กลางท่งุ นา ไม่สนใจจะเอาวัวควายเข้าคอกของตน พอรุ่ง ขนึ้ คิดไดจ้ ึงรีบออกไปท่ีทงุ่ นา เพื่อไปดูวัวควายของตนเอง ทาใหไ้ ม่เห็น พอถามคนในละแวกนัน้ ก็บอกวา่ เหน็ มัน เดินอยู่แถวต้นไม้ต้นน้ี เจ้าของก็ไปดูเพื่อความแน่ใจกลับไม่เห็น จึงได้ยกมือไหว้ต้นไม้ดังกล่าว บนบานให้ช่วย ลูกช้างด้วย หากสิ่งศักดิ์สิทธ์ิมีจริง ขอให้วัวควายที่หายไป ออกมาจากต้นไม้ต้นน้ีด้วยเถิด หลังจากพูดจบ วัว ควายที่หายไป ก็เดนิ ออกมาจากตน้ ไม้ต้นน้ี ปจั จบุ ันไมม่ ตี ้นมะขามแลว้ (มานะ ศรีสมบูรณ,์ 2557, สัมภาษณ)์ การทชี่ าวบ้านให้ความเคารพและศรัทธาในตน้ ไม้ศักดส์ิ ทิ ธ์ินี้ เน่ืองมาจากเปน็ ความคิดแบบดงั้ เดิม คือ ความเช่ือเรื่องผี โดยต้นไม้ศักด์ิสิทธิ์เปรียบเหมือนพื้นท่ีศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ “บนโลก” เป็นพ้ืนท่ีทางภูมิศาสตร์ที่ ปรากฏอยู่ในโลกแหง่ ความเป็นจริง และพน้ื ที่ในมิติแห่งโลกจติ วิญญาณ (spiritual space) ซี่งเกิดจากการสร้าง หรือคิดข้ึนมาโดยอาศัยการนึกคิด และจินตนาการ (ปฐม หงษ์สุวรรณ, 2556: 44-49) นอกจากนี้ยังมีต้นไม้ ศักดิ์สิทธ์ิอีกหลายต้น เพราะชาวบ้านเชื่อว่าตามต้นไม้ใหญ่หรือเก่าแก่จะมีส่ิงศักดิ์สิทธ์ิคอยดูและปกปักรักษา ลกู หลานให้มคี วามอยู่เยน็ เป็นสขุ ฉะนน้ั ไม่ว่าเวลาจะทาอะไรในทแ่ี หง่ ไหนก็ตาม จะต้องมีการเซ่นไหวบ้ อกกลา่ ว เพื่อให้ทาการนั้นได้ราบร่ืน เช่น เวลาไปสวนไปนา ก่อนจะกินข้าวก็จะต้องเซ่นให้เจ้าท่ี ผีปู่ผีย่ากินก่อน เพื่อท่ี ทา่ นจะไดอ้ วยพรให้ราบร่นื และไมส่ าปแชง่ หรือทาใหเ้ กดิ อปุ สรรคตา่ ง ๆ เป็นตน้ 2. ต้นโพธิ์ บ้ำนกระเต็ล ตำบลผักไหม อำเภอห้วยทับทนั “บ้านกระเต็ล” มีช่ือเดิมเรียกว่า “บ้านกัลป์ตอล” เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2429 มนี ายสิม นางทา และชาวบ้านคนอ่ืนอีกจานวนหน่ึงได้มาต้ังถิ่นฐานประกอบอาชีพทามาหากินอยู่ในบริเวณหนองน้าขนาดใหญ่มี น้าขังตลอดปี ในบริเวณดังกล่าวเต็มไปด้วยป่าไม้ มีท้ังต้นไม้ขนาดเล็กและขนาดใหญ่ บริเวณหนองน้ามีต้นไม้ ชนิดหน่ึงขึ้นอยูจ่ านวนมากคนในอดีตเรียกตน้ ไม้ ชนิดน้ีว่า ตน้ กา้ นเหลือง ภาษาส่วยเรียกว่าตน้ กลั ตอล นายสิม และชาวบ้าน จึงคิดนาเอาช่ือต้นไม้ชนิดนี้มาต้ังเป็นช่ือหมู่บ้าน วา่ บา้ นกัลตอล แต่ต่อมาเพ้ียนเป็นบ้านกระเต็ล (เล นาคนวล, 2557, สมั ภาษณ)์ ในโรงเรียนบ้านกระเต็ลมีต้นโพธ์ขิ นาดใหญ่ มีเร่ืองเล่าว่า ก่อนท่จี ะต้ังโรงเรียนนั้น สันนิษฐานว่า เป็นวัดเก่ามาก่อน และมีต้นโพธ์ิต้นเล็ก ๆ ต้นหน่ึง ถูกปลูกอยู่ตรงกลาง โดยมีต้นขนุนล้อมรอบไว้ และมีหลัก กระดูกบรรพบุรุษแตด่ ั้งเดิมล้อมไว้อกี ที ต่อมาต้นโพธิ์ก็ได้โตขึ้นจนรากของต้นโพธิ์น้ันกลืนเอาหลักบรรพบุรษุ ไป
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 199 ด้วย ดังนั้นตน้ โพธ์ิน้ีจึงมีความศักดส์ิ ิทธ์มิ าก ท้ังคณะครู นักเรียน และชาวบ้านต่างก็เคารพนับถือเป็นอย่างมาก ถ้าหากมีผู้ใดลบหลู่ก็จะทาให้เกิดอาเพศต่าง ๆ เช่น กรณีครูท่ีโรงเรียนบ้านกระเต็ลท่านหน่ึง ชื่อว่าครูสุเทียน เป็นคนที่ไม่เคารพนับถือต้นโพธิ์แห่งนี้ จึงทาให้อยู่ที่โรงเรียนน้ีได้ไม่นานและมีอาการสติฟ่ันเฟือนในเวลาต่อมา จากปรากฏการณค์ วามเช่ือเหล่านจ้ี ึงทาให้ชมุ ชนต่างดแู ลรักษา เคารพนับถอื มาจนถงึ ปัจจบุ นั หลายคนอธษิ ฐาน ของสิ่งต่าง ๆ ก็จะประสบความสาเร็จก็จะนาสิง่ ของมาแก้บนตอ่ ตน้ โพธ์ิ หากว่าโรงเรยี นจะจัดงานต่าง ๆ ก็ต้อง เซ่นไหว้ต้นโพธิ์เสียก่อน หรือถ้าหากครูและนักเรียนจะออกไปทัศนศึกษาหรือเข้าค่ายพักแรม ก็ต้องขอให้สิ่ง ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิท่ีสถติ อยใู่ นตน้ โพธ์ินั้นชว่ ยคมุ้ ครอง (สม นาคนวล, 2557, สัมภาษณ)์ ดังน้ัน เรื่องเล่าดังกล่าวได้สะท้อนว่าคนในชุมชนต่างให้ความเคารพในส่ิงศักด์ิสิทธ์ิท่ีไม่สามารถ มองเห็น เกดิ เป็นความศรัทธา โดยเช่ือว่าจะส่งผลให้ครอบครัวมีความสุขหรือเกิดเหตกุ ารณ์ทดี่ ีข้นึ ดงั นั้น คนใน ชุมชนจึงเปรียบตน้ ไมศ้ ักด์สิ ทิ ธ์ิวา่ เปน็ เสมือนผู้ใหค้ วามสงบสุขรม่ เย็น ซง่ึ มีนยั เป็นเขตหรอื พน้ื ทศ่ี กั ดิ์สิทธทิ์ ่ีจะชว่ ย ให้จิตใจสงบร่มเย็น นอกจากนี้ยังสะท้อนภูมิปัญญากเร่ืองเล่าท่ีสะท้อนคุณค่าของการใช้ชีวิตแบบพึ่งพาซ่ึงกัน และกันระหวา่ งมนษุ ยก์ บั ธรรมชาติ และสิง่ เหนือธรรมชาติ ต้นไมส้ ำคญั จำกเร่ืองเลำ่ กับกำรส่อื ควำมหมำยในดำ้ นพ้นื ทศี่ ักดิส์ ทิ ธิ์ของชุมชน 1. ตน้ หว้ำและต้นเคง็ บ้ำนสระภู ตำบลกำแพง อำเภออุทมุ พรพสิ ัย บา้ นสระภู หมู่ 1 ตาบลกาแพง อาเภออุทุมพรพสิ ัย จังหวัดศรีสะเกษ มีประวัติความเป็นมาดังนี้ บา้ นสระภูเดิมชื่อ “บ้านชมพู” หมายถงึ ไม้หว้า ผู้ก่อตั้ง คือ ขุนพิทักษ์ สมานวงศ์ ก่อต้ังเมื่อ พ.ศ. 2338 (กิตติ ศักด์ิ ประภาสจั เวทย์, 2557: สมั ภาษณ์) “บ้านชมพู” ได้เปลี่ยนช่ือเป็นบ้านสระภูเม่ือ พ.ศ. 2482 สมัยท่ีนายคา พิศวงศ์เป็นผู้ใหญ่บ้าน ทาเลท่ตี ้ังเป็นที่ราบสูงมีการถ่ายเทน้าได้สะดวก มีกาแพงดินล้อมรอบหมู่บ้าน ปัจจุบันกาแพงดนิ ได้ถูกทาลายไป จนเกือบหมด เดิมบ้านชมพูเป็นหมู่บ้านท่ีมีป่าไม้นานาพันธ์ุอุดมสมบูรณ์มาก โดยเฉพาะไม้ชมพู (ไม้หว้า) แต่ เน่ืองจากชาวบ้านส่วนมากมีอาชีพในการเกษตร จึงตัดไม้ทาลายป่าทาไร่นาจนป่าไม้หมดส้ิน ผู้นาหมู่บ้านท่ีมี ผลงานดีเด่น คือ ผู้ใหญ่เสาร์ พิศวงศ์ ประมาณ พ.ศ. 2484 – 2497 ผู้ใหญ่เสาร์เป็นผู้ใหญ่พัฒนามีผลงานเด่น จานวนมาก เปน็ ผ้นู าในการสร้างอโุ บสถวันบ้านสระภู และโรงเรยี นบ้านสระภู กอ่ ตัง้ เม่อื พ.ศ.2477 (แผนพัฒนา ชมุ ชนบ้านสระภู) บริเวณพื้นที่ศาลปู่ตาหรือดอนปู่ตาของบ้านสระภูนี้มีลักษณะเป็นคูดินลักษณะค่อนข้างกลม มี “ต้นเค็ง” ขนาดใหญ่ 2 ต้นขึ้นปกคลุมอยู่ทางด้านหลังศาลปู่ตา ชาวบ้านเชื่อว่าต้นเค็งต้นนี้มีอายุร้อยกว่าปี เพราะผู้อาวุโสของหมู่บ้านจานวนมากยืนยันว่าเห็นมาต้ังแต่เล็ก ๆ ศาลปู่ตาน้ีแตเ่ ดิมเป็นเพียงศาลขนาดเล็ก มี เสาเพียงต้นเดียว แต่ศาลหลังปัจจุบันน้ีทาการก่อสร้างข้ึนเม่ือ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2530 รวมระยะเวลาถึง ปัจจุบนั 27 ปี มตี ้นไมข้ ้นึ ปกคลมุ อย่อู ยา่ งหนาแน่น (ไหล นาครนิ ทร์, 2557, สมั ภาษณ์) 2. ต้นสำโรง บ้ำนขม้ิน ตำบลแขม อำเภออุทมุ พรพิสยั บา้ นขมิ้นก่อตั้งเมอื่ ประมาณ พ.ศ. 2348 เดิมพ้ืนท่ีแห่งนี้เป็นป่า มเี พียงหนองน้า ซง่ึ ในปัจจบุ ันได้ มกี ารขุดลอกใหม่ นายขนั ธ์ แขมคา ผู้ก่อต้ังหมู่บา้ นไดอ้ พยพมาจากบ้านแขม จากนนั้ จึงปรับพ้ืนท่ีป่าเพอื่ สร้างท่ี อยูอ่ าศยั สว่ นการตัง้ ชือ่ หมูบ่ า้ น ต้ังตามลกั ษณะทางกายภาพท่พี บคือ ในป่ามขี ม้นิ เครอื ขึ้นอย่จู านวนมาก จึงเป็น
200 ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ที่มาของช่ือหมู่บ้านขม้ิน ปัจจุบันชาวบ้านไม่พบขมิ้นเครือแล้ว (เทือง ทองวัน และสมาน บุญยก, 2557, สัมภาษณ)์ บา้ นขมิ้น หมู่ 3 ตาบลแขม อาเภออทุ ุมพรพิสัย จังหวดั ศรสี ะเกษ มีพน้ื ทีท่ งั้ หมด 762 ไร่ มีหนอง สาธารณะ 5 แห่ง มีที่สาธารณะ 2 แห่ง พ้ืนท่ีโดยมากล้อมรอบด้วยทุ่งนา เป็นที่ราบลุม่ มีท้ังหมด 4 คุ้ม คือ คุ้ม ศรีสาโรง คมุ้ ร่งุ อรณุ คุ้มกลางสามัคคี และคมุ้ หนองคใู หญ่ ก่อนก่อต้ังบ้านขม้ินนั้นมีการอพยพและต้ังถ่ินฐานของพวกขอม ซ่ึงเป็นกลุ่มเดียวกันกับกลุ่มท่ี สร้างปราสาทสระกาแพงใหญ่ คาดว่าชนกลุ่มนี้คงหาพ้ืนที่ในการต้ังถ่ินฐานท่ีอยู่อาศัยเพ่ือสร้างปราสาทสระ กาแพงใหญ่ให้แล้วเสร็จเท่านั้น โดยมารวมตัวกันในบริเวณพ้ืนที่บ้านขม้ินในปัจจุบันเพ่ือสร้าง “นครผือ ประตู ขมิ้น” ไวเ้ ป็นท่พี กั อาศัย จึงเป็นสานวนตดิ ปากชาวบ้านมาจนถึงปจั จุบัน การตั้งถิ่นฐานยังปรากฏร่องรอยให้เห็นนั่นคือ หนองน้าทั้ง 5 แห่งในบริเวณหมู่บ้านขม้ิน ได้แก่ หนองคูใหญ่ หนองคูน้อย หนองสะซอน หนองถ่ม และหนองข่า ในอดีตชาวบ้านเคยพบอิฐสีแดง (เรียกตาม ชาวบ้าน) ในหนองน้าจานวนมาก เป็นหลักฐานท่ีแสดงให้เห็นวา่ พื้นท่ีนี้มีการต้ังถ่ินฐานและอพยพชน ทราบว่า ชนกลุ่มน้ขี ดุ ขึ้นมาเพื่อนาดินมาถมปรับพน้ื ท่ีใหมใ่ นการสร้างทาเลทพ่ี ัก (บญุ ถิน ขม้นิ แก้ว, 2557, สัมภาษณ)์ บ้านขมิ้นเป็นพ้ืนที่ที่มีความศักดิ์สิทธ์ิ เพราะหนองน้าและต้นสาโรงใหญ่น้ีเกิดข้ึนมาก่อนก่อต้ัง หมบู่ า้ น หนองน้าในหมูบ่ ้านนนั้ มี 5 แหง่ แตท่ ม่ี กี ารนับถือและให้ความสาคัญมากได้แก่ หนองสะซอน และหนอง คใู หญ่ ชาวบ้านเชือ่ ว่าเปน็ แหล่งน้าศักดสิ์ ิทธ์ิ เนื่องจากมีผู้ดูแลคุ้มครองอยู่ เห็นไดจ้ ากมีการตัง้ ศาลพระภูมิเจ้าที่ รมิ ฝ่ังหนองคขู ้ึน ส่วนหนองสะซอนน้ันอยู่ท่ามกลางระหว่างสานักสงฆ์บ้านขมิ้นกบั ดอนปู่ตา ชาวบา้ นเลา่ กันว่า หนองสะซอนแห่งนี้ หากมีววั ควาย ลงไปกนิ น้าหรอื นอนแช่น้า น้าจะไม่ขนุ่ และไมม่ ีกลิน่ เหมน็ นอกจากศาลปู่ตาท่ีเป็นภูมิหลักแล้ว ยังมีศาลข้างต้นสาโรงใหญ่ และศาลบริเวณหนองคู ท่ีมี ลกั ษณะแตกต่างกนั มกี ารเลี้ยงเซ่นไหวใ้ นเวลาพรอ้ ม ๆ กันกบั ศาลปู่ตา คอื เลีย้ งในเดอื น 6 แตจ่ ะให้ความสาคัญ ท้ังการเล้ียง การบอกกลา่ ว กับศาลปู่ตาก่อน เพราะถือเป็นภูมิบ้าน บรเิ วณท่ีตง้ั ของศาลล้วนเป็นพื้นที่ศกั ด์ิสิทธ์ิ ห้ามรุกล้า ล่วงเกินเป็นอันขาด หากไม่ปฏิบัติตามหรือมีการกระทาท่ีเป็นการลบหลู่ดูหม่ิน ก็จะเกิดเหตุเภทภัย และมีอนั เปน็ ไป (เทอื ง ทองวัน, 2557, สมั ภาษณ)์ ภำพที่ 3 : ตน้ สาโรง บ้านขม้ิน ตาบลแขม อาเภออุทมุ พรพิสยั
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 201 3. ต้นพอก (อปี ู่กกพอก) หมูบ่ ำ้ นกระตำ่ ตำบลขะยูง อำเภออทุ ุมพรพิสยั บา้ นกระตา่ หมูท่ ี่ 10 ตาบลขะยูง อาเภออทุ ุมพรพสิ ัย จังหวดั ศรสี ะเกษ แตเ่ ดมิ เป็นป่าไม้ หนาแนน่ มีแหลง่ นา้ ทีอ่ ดุ มสมบรู ณ์ โดยมหี นองกระตา่ รอ่ งเพก็ และลาหว้ ยสาราญเปน็ แหล่งนา้ ทีส่ าคัญของ หมู่บ้าน พนื้ ท่ขี องหมู่บ้านเปน็ ทรี่ าบลุ่มเหมาะแกก่ ารทาการเกษตร บ้านกระตา่ ต้งั อยูท่ างทิศตะวนั ออกของ อาเภออทุ มุ พรพิสัย อยู่หา่ งจากอาเภอประมาณ 17 กิโลเมตร และอยทู่ างทิศตะวนั ตกของอาเภอเมอื ง หา่ งจาก อาเภอเมืองประมาณ 8 กิโลเมตร บา้ นกระตา่ เดมิ เป็นป่ารกทบึ มแี หลง่ นา้ ทอี่ ุดมสมบรู ณ์ เปน็ ท่รี าบลุ่มเหมาะแก่การทาการเกษตร จงึ มผี คู้ นอพยพเขา้ มาตง้ั ถนิ่ ฐานทามาหากนิ โดยกลุม่ คนท่ีเข้ามาเรม่ิ แรก คอื แม่ใหญ่หมา และพอ่ ใหญ่พมิ พา ตอ่ มาจงึ มีกลุ่มคนอพยพเขา้ มาอยู่สมทบ และขยายครอบครวั ออกจนเป็นกลุ่มใหญ่ แต่เดิมบ้านกระตา่ และบา้ น โพนเมือง หม่ทู ่ี 7 เปน็ หมู่บ้านทอ่ี ยูใ่ นเขตปกครองเดยี วกนั โดยบา้ นโพนขยายตวั ออกจากบา้ นกระต่า แต่เมือ่ มี ประชากรเพิม่ มากขนึ้ จงึ ทาใหย้ ากแก่การปกครองในสมัยนน้ั ชาวบ้านกระต่าจึงขอแยกตัวออกจากบ้านโพนเมอื ง มาเปน็ หม่บู า้ นกระตา่ หมู่ที่ 10 สาเหตุท่ี บ้านโพนเมอื งได้หมู่ 7 และบา้ นกระตา่ ไดห้ มู่ 10 ท้งั ทบ่ี า้ นกระตา่ เปน็ บ้านท่ีมาอยู่ก่อนนนั้ ดว้ ยเหตผุ ลทีว่ า่ ในสมัยท่ขี อแยกหมู่บา้ นนั้น มีผใู้ หญบ่ า้ นอยทู่ บี่ า้ นโพนเมือง บ้านกระตา่ มี แค่ผชู้ ว่ ยผู้ใหญบ่ า้ น บ้านโพนเมืองจึงได้บา้ นหมทู่ ี่ 7 และบา้ นกระตา่ จึงไดบ้ า้ นหมู่ที่ 10 บา้ นกระต่าแยกตัวออก จากบา้ นโพนเมือง เม่ือปี พ.ศ. 2516 (ปิยะภรณ์ ออ่ นผา, 2557: สัมภาษณ์) เจริญ โยธกิ าร์ (2557, สมั ภาษณ์) เลา่ ว่า ในอดตี บา้ นกระตา่ มชี ่อื วา่ บา้ นม่วงน้อย ซึ่งมีท่มี าจาก การท่บี รเิ วณดังกลา่ วมตี ้นมะมว่ งจานวนมาก บริเวณดังกล่าวมหี นองนา้ จงึ เรียกรวมวา่ หนองนา้ กระตา่ ผูอ้ าวุโส ในชมุ ชนเลา่ วา่ กระตา่ คอื อุปกรณ์ในการดักสัตว์ เช่น นก และหนู เป็นตน้ นอกจากเร่อื งเล่าดงั กล่าวแล้วยงั ได้รบั ข้อมลู เพมิ่ เติมจาก ต้ัน สง่ เสรมิ (2557,สมั ภาษณ)์ ทเ่ี ลา่ ว่า สาเหตทุ ีผ่ ูค้ นอพยพโยกย้ายหนีในสมัยนนั่ มันเกิดระบาดจนผคู้ นล้มตายจงึ มีการอพยพทอี่ ย่ใู หม่ กลุ่มคนทมี่ า ก่อตงั้ บา้ นกระตา่ มสี องกลุ่ม กลมุ่ แรกมาจากบ้านหนองครก มีพ่อใหญ่อ่อนสี พ่อใหญซ่ า กลุ่มทสี่ องมาจากบา้ น หนองไผ่มีแม่ใหญ่กุ แม่ใหญแ่ กว้ ภำพท่ี 4 : หนองกระต่า สถานทท่ี ม่ี าตง้ั หมบู่ า้ นนนั้ อยใู่ กลห้ นองน้าขนาดใหญ่ ซ่ึงชอ่ื ท่เี รยี กหนองน้านน้ั มาจากชอ่ื ของ อุปกรณท์ ใ่ี ชด้ ักสัตวเ์ รียกวา่ กระตา่ ผู้คนจงึ เรียกหนองน้าน้ันวา่ หนองกระต่า เมอื่ มาตงั้ บา้ นเรอื นอยใู่ กลห้ นอง
202 ปที ี่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) นา้ นน้ั จึงเรยี กชื่อหมบู่ ้านนนั้ ว่า บ้านกระตา่ สาเหตทุ ่มี กี ารอพยพผคู้ นในสมยั นน้ั เนื่องจากเกดิ โรคระบาดทาให้ ผคู้ นล้มตายเปน็ จานวนมาก และเพอื่ ตอ้ งการย้ายถิ่นฐานหาท่ีทากนิ ท่ีอดุ มสมบูรณ์ ป่ตู าตน้ พอก (อปี กู่ กพอก) เปน็ ผที ีช่ าวบา้ นกระตา่ ให้ความนบั ถอื เชน่ เดียวกับผีปู่ตา ซึ่งตนั้ สง่ เสริม (2557: สัมภาษณ)์ ได้เล่าว่า อปี กู่ กพอกเป็นอีปู่ทช่ี าวบา้ นนบั ถืออกี คอื กัน ในอดีต มี การทาฝายทดนา้ ในสมยั ท่ี ม.ร.ว.คึกฤทธ์ิ ปราโมช เปน็ นายก ชาวบา้ นได้เรียกฝายนนั้ วา่ ทดคึกฤทธิ์ ตอนทขี่ ดุ มี การย้ายเจา้ ทไี่ ปบรเิ วณต้นพอกแล้วมกี ารบนบานขออย่าใหฝ้ นตกจนกว่าจะขุดเสร็จ ต้ังแตน่ ั้นมาจึงเกดิ ความนบั ถอื ภำพที่ 5–6 : ศาลปตู่ าตน้ พอก ปู่ตาต้นพอกถือว่ามีความศักด์ิสิทธิ์ในด้านของพื้นท่ี เป็นที่นับถือของชาวบ้านที่คอยคุ้มครองให้ ปลอดภัยเช่นเดียวกบั ผีป่ตู า ความศกั ด์ิสิทธิข์ องปู่ตา ซ่ึงตั้น ส่งเสรมิ (2557: สัมภาษณ์) ได้เล่าให้ฟังว่าในสมัยท่ี กานันก่าเป็นกานัน ได้มกี ารจัดงานลงหนองจับปลา กานนั บอกอีปู่กกพอกวา่ “อีปเู่ อย บกั ได๋มันลงกอ่ นหมใู่ ห้อีปู่ กกพอกบดิ หามนั เลยเดอ้ ” จากนั้นมีคนแอบไปจับปลาซ่ึงเปน็ การละเมดิ ขอ้ ตกลงระหว่างกานนั กา่ กับปู่ตาจึงทา ใหค้ นดังกล่าวเสยี ชีวิต 4. ตน้ บำก บำ้ นตะเคียนตะวนั ตก ตำบลตะเคียนรำม อำเภอภูสิงห์ บ้านตะเคียนตะวันตก ตาบลตะเคียนราม อาเภอภูสิงห์ มีประวตั ิการต้ังหมู่บ้านว่า เมื่อประมาณ 200 ปลี ว่ งมาแล้ว มพี ีน่ อ้ งชายจานวน 3 คน พาครอบครัวและญาติทามาหากิน โดยการทาไร่และอยไู่ ม่เป็นหลัก แหล่งเปลี่ยนที่ทากินไปเรื่อย ๆ จนกระท่ังมาถึงพ้ืนที่แห่งหนึ่งมีลักษณะเป็นป่าใหญ่ อุดมสมบูรณ์ พื้นที่แห่งน้ี อดุ มไปด้วยต้นไม้ใหญ่เล็ก โดยเฉพาะต้นตะเคียนมีมากเป็นพิเศษ ทั้งสามพี่น้อง ตกลงกันทจ่ี ะต้งั รกรากอยู่ ณ ที่ แห่งนี้ โดยแยกกันอยู่ตามความสมัครใจ พ่ีน้องทั้งสามคนน้ีมีช่ือว่า คนที่ 1 นายราม คนที่ 2 นายบุต คนที่ 3 นายเกล้ียง โดยนายบุตน้ันเป็นผู้ก่อต้ังหมู่บ้านตะเคียนตะวันตก เนื่องจากต้ังอยู่ทางทิศตะวันตกของพ่ีน้องทั้ง สาม จงึ มกี ารใช้นามสกุลวา่ “บตุ ตะเคยี น” แตต่ ่อมามกี ารเพย้ี นกลายเปน็ “บตุ ะเคยี น” ในสมัยกอ่ นนนั้ ตา่ งคนต่างทามาหากนิ หาท่ีดินไปเรอ่ื ยไม่เปน็ หลักแหล่ง แต่ก่อนน้ันบริเวณนี้เป็น พน้ื ที่ของเขมรต่า จึงทาให้คนเขมรต่า (กัมพูชา) มาทามาหากนิ อยู่แถวนี้บ่อย ๆ ไปมาหาสู่กันเหมือนญาติพ่ีน้อง
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 203 ท่ีมาของบ้านตะเคียนตะวันตกน้ี เกิดจากจากการขุดพบรากต้นตะเคียนขนาดใหญ่เป็นจานวนมาก จึงเรียกว่า บ้านตะเคียน (บัว บุตะเคยี น, 2557, สมั ภาษณ)์ ส่วนบ้านตะเคียนราม ได้ก่อตั้งมาตั้งแต่สมัยใดไม่มีหลักฐานปรากฏ แต่สันนิษฐานว่าในอดีต หมู่บ้านมีต้นตะเคียนใหญ่ข้ึนอยู่ จึงต้ังชื่อว่า “บ้านตะเคียน” ส่วนท่ีมาของคาว่า ตะเคียนราม เน่ืองมาจากมี ประวัติเล่าว่า ในคราวที่มีการสร้างหมู่บ้าน ได้มีพี่น้อง 3 คน คือ คนโตนามว่า ราม (ภาษาเขมรออกสาเนียงว่า เรยี ม ซึง่ หมายถึงพ่ีชาย) คนกลางนามว่า นายเกล้ียง (สาเนียงเขมรว่า กลีง) สว่ นคนน้องสุดท้องนามวา่ นายบุต ได้พากันอพยพมาจากที่อื่น (ผู้เฒ่ารุ่นอายุประมาณ 100 ปี ซึ่งได้เสียชีวิตไปแล้วเล่าว่าถ่ินเดิมน้ันอยู่ท่ีไหน ก็ ได้รบั คาตอบว่า มาจาก เมอื งวีง หรอื เมอื งเวียง) ในสมัยกอ่ นคนถ่ินอน่ื ชอบเรยี กชาวบ้านตะเคียนรามวา่ ชาวเติน คา ๆ นไ้ี มท่ ราบวา่ เพี้ยนมาจากคาวา่ เถนิ หรอื ไม่ ทั้งสามพี่น้องได้นาครอบครัวตลอดถึงพรรคพวกมาบุกเบิกป่าเพื่อก่อตั้งเป็นหมู่บ้าน โดยท่ีนาย ราม มาตั้งบา้ นตะเคียนรามตะวันออก หมู่ที่ 1 ฉะนั้นชาวบ้านตะเคียนรามตะวันออก โดยกาเนิดจึงใชน้ ามสกุล วา่ ตะเคยี นราม เพือ่ เปน็ เกยี รตแิ กบ่ รรพบุรษุ ผกู้ ่อต้ังหมู่บา้ น สว่ นนายเกลี้ยงกน็ าพรรคพวกแยกไปต้งั หมู่บ้านอยู่ ที่บ้านตะเคียนกลาง หมู่ที่ 3 ฉะน้ันผู้ที่เป็นชาวบ้านตะเคียนกลางโดยกาเนิดจึงใช้นามสกุลว่า ตะเคียนเกล้ียง เพ่อื เป็นเกียรติแก่นายเกล้ียงผ้กู ่อต้ังหมู่บ้านดังกลา่ ว ฝ่ายว่านายบุต ผู้เป็นน้องคนสุดทอ้ ง ก็ไดพ้ าครอบครัวและ พรรคพวกกลุ่มหนึ่งไปตง้ั บ้านอยู่ท่ี บ้านตะเคยี นตะวันตก หมทู่ ี่ 2 ในปัจจุบัน และด้วยเหตุนี้เองผทู้ ่ีเปน็ ชาวบา้ น ตะเคยี นตะวนั ตกโดยกาเนิดจึงใช้นามสกุลเพื่อเปน็ เกียรตปิ ระวตั แิ กน่ ายบุต ผเู้ ป็นบรรพบุรุษผ้รู ิเรม่ิ กอ่ ต้งั หมู่บ้าน ว่า “บตุ ะเคยี น” (พระครูประภัศรส์ ตุ าลงั การ, สัมภาษณ,์ 2557) ภำพประกอบที่ 7-8 : ศาลปู่ตาหนา้ ทางเขา้ หมู่บา้ น (ตาประดีก) “เร่ืองเลา่ ศาลปตู่ าหนา้ ทางเข้าหมบู่ า้ นน้ี ภาษาเขมรเรยี กว่า “ตาประดกี ” ซ่งึ แปลเป็นภาษาไทย คอื “ตา” หมายถึง ใชแ้ ทนคานาหน้าท่ใี ช้เรยี กส่งิ ศกั ดิ์สทิ ธิ์ สว่ นคาวา่ “ประดกี ” หมายถงึ ตน้ บาก ซ่งึ แต่เดิมน้นั มี “ต้นบาก” ขนาดใหญ่ ซ่ึงต้นบากนเี้ ปน็ ตน้ ไมท้ ถ่ี อื กาเนดิ มาพรอ้ มกับหมูบ่ ้านตะเคยี นตะวันตกและมขี นาด
204 ปที ี่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ใหญ่ พอชาวบา้ นเห็นตน้ ไม้นี้มีขนาดใหญจ่ ึงเคารพบชู าเปน็ ตน้ ไมศ้ กั ด์ิสิทธ์ิ จงึ ทาศาลปตู่ าให้ไดอ้ าศัย” (ลิน เสมอ , สัมภาษณ,์ 2557) “แต่กอ่ นนน้ั มีผู้คนพบเห็นว่า เทวดาอารักษ์ เดนิ เลน่ ปรากฏตัวให้ชาวบ้านเหน็ ยามพลบคา่ ไม่มีที่ อยู่เปน็ หลักแหล่งทาให้ชาวบา้ นท่ีพบเห็นมีอาการกลัว บางคนกเ็ ห็นออกมาจากต้นบาก บางคนก็เห็นทา่ นอาศัย อยู่ในต้นบาก ชาวบ้านเห็นดังนั้นจึงพากันสร้างศาลที่อยู่เพื่อให้ท่านอยู่เป็นหลักแหล่ง และให้ท่านช่วยปกป้อง คุ้มครองคนในหมู่บ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข ชาวบ้านจึงให้การเคารพบูชามาต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นิยมเซ่นไหว้ บูชาในช่วงวันสงกรานต์ ช่วงฤดูก่อนทานาและหลังเกี่ยวข้าวเสร็จ นาข้าวท่ีได้มาถวายแก่ทา่ นเพอ่ื บอกกล่าวว่า ทานาเสร็จแล้ว และเป็นการบอกกล่าวให้ท่านช่วยปกปักรักษาอย่าให้ลูกหลานเจ็บไข้ได้ป่วย” (สมุทร์ เสมอ, 2557, สัมภาษณ์) ความเชอ่ื ในเรื่องของจิตวิญญาณหรือเทวดาอารักษ์ในชุมชนน้ัน ชาวบ้านเช่อื ว่าเทวดาอารักษ์จะ ทาหน้าทดี่ แู ลให้ความค้มุ ครองป้องกนั ภัยแก่ผู้ประพฤตดิ ี เทวดาอารักษย์ งั อาจสิงสถิตอยู่ตามตน้ ไมใ้ หญ่เพอื่ ดแู ล ปา่ (ในสมยั ก่อนน้ันหมูบ่ า้ นแห่งนย้ี งั เป็นป่าอย)ู่ ค้มุ ครองแม่น้าและทรัพยากรธรรมชาตอิ ืน่ ๆ ความเช่อื ในเทวดา อารักษ์ทาให้สังคมวัฒนธรรมหลายๆ แห่งให้ความเคารพยาเกรงและทาการดูแลดุจดั่งผู้มีพระคุณ (ยศ สันต สมบัติ, 2544) ดังน้ัน ผีปู่ตานี้มีความสาคัญกับชาวบ้านเป็นอย่างมาก เน่ืองจากเป็นพ้ืนที่ที่มีต้นกาเนิดเกิดมา พร้อมกบั ต้งั หมู่บ้าน ทาให้ชาวบ้านให้การเคารพนับถือมาโดยตลอด โดยชาวบ้านจะรวมตัวกันมาทาพิธีเซ่นไหว้ ในช่วงก่อนลงแขกและหลังจากที่เกี่ยวข้าวหรือทานาเสร็จ ศาลปู่ตาน้ีเป็นส่ิงศักดิ์สทิ ธ์ิในด้านจิตใจของชาวบ้าน เป็นสิ่งยึดเหน่ียวจิตใจของชาวบ้านไม่ว่าจะทาการสิ่งใดต้องมากบอกกล่าวให้ท่านทราบเปรียบเสมือนเป็นผี บรรพบุรษุ ของชาวบ้านทชี่ าวบา้ นใหก้ ารเคารพนบั ถอื ตง้ั แตอ่ ดีตมาจนถงึ ปจั จุบัน องค์ควำมรใู้ หม่ จากการศึกษาการสื่อความหมายจากเร่ืองเล่าของต้นไมส้ าคัญในชุมชนพ้ืนที่จังหวัดศรสี ะเกษ พบว่า เร่ืองเล่าได้สื่อถึงความเชื่อในเร่ืองความศักด์ิสิทธ์ิของต้นไม้ถึงแม้ว่าสังคมของชาวบ้าน จะนับถือศาสนาพุทธ โดยทว่ั ไปแต่กเ็ ป็นการผสมผสานเร่อื งความเชอ่ื ผีสางเขา้ กบั พระพทุ ธศาสนา สรุปได้ ดังนี้ ต้นไม้สาคญั จากเรือ่ งเลา่ กบั การส่อื ความหมายในด้านอนสุ รณ์ของชุมชน โดยเน้ือหาของเรื่องเล่าดังกล่าวท่ีผู้เขียนได้นาเสนอในบทความช่วยทาให้ทราบถึงชุมชนท่ีมีความเกี่ยวข้องกับ ต้นไม้ในแง่ของการอธิบายสถานที่ในฐานะช่ือบ้านนามเมืองท่ีสะท้อนความหมาย ความทรงจา และความ ศักด์ิสิทธ์ิ ซ่ึงประกอบกันเป็นความเช่ือ ซึ่งความเช่ือเหล่าน้ีเป็นส่วนหนึ่งท่ีทาให้ชุมชนเป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรม มี ประเพณีอันดีงามให้คนรุ่นหลังได้ประพฤติปฏิบัติตาม หากมองตามหลักความเป็นจริงแล้ว ความเชื่อเหล่าน้ีเป็น เคร่ืองยึดเหน่ียวอันดีท้ังในด้านของผู้คนและจิตใจ เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนในสังคมสามัคคีปรองดอง อยู่ร่วมกันอย่างมี ความสุข เป็นส่ิงที่ทาให้ชาวบ้านพึ่งพาในเวลาทุกข์ ดังกล่าวกลายเป็นเร่ืองเล่าของคนจากรุ่นสู่รุ่นผ่านการบอกเล่า โดยใช้วธิ มี ขุ ปาฐะกลายเปน็ ประเพณอี ันดีงามใหล้ กู หลานไดป้ ฏบิ ตั สิ ืบทอดกลายเป็นอตั ลักษณ์ของท้องถิน่ ต้นไม้สาคัญจากเร่ืองเล่ากับการสื่อความหมายในด้านผู้พิทักษ์พ้ืนที่ชุมชน มีการถ่ายทอดจากความ ทรงจาถา่ ยทอดจากรนุ่ สรู่ ุ่นด้วยมุขปาฐะทล่ี ้วนแล้วแสดงถงึ ความสมั พนั ธข์ องกลุ่มคน แสดงให้เห็นถงึ การปลกู ฝัง วัฒนธรรมความเช่ือเกี่ยวกับการหวงแหนพ้ืนท่ีสาธารณในชุมชนเนื่องจากหากมองในแง่ของเร่ืองเล่าศักดิ์สิทธ์ิ
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 205 กลา่ วคอื เรอ่ื งเหล่าดังกลา่ มีเนอื้ หาส่วนหนึง่ ทีอ่ าจทาให้ผคู้ นกลัวส่งิ ท่ีมองไมเ่ ห็น จงึ ทาให้กลวั การทาผดิ ศลี ธรรม เป็นการกาหนดจารีตประเพณีที่ดีงาม สังคมมีกฎหมายเพื่อควบคุมดูแลประชาชนให้อยู่ในสังคมอย่างสงบสุข ชาวบ้านเองก็มีกฎจารีตที่กาหนดความถูกต้องดีงามเช่นกัน ถือเป็นการตอบแทนในความศักดิ์สิทธ์ิที่ต้นไม้ใน เรื่องเลา่ ดงั กล่าวได้มอบให้ ตน้ ไม้สาคัญจากเรื่องเลา่ กับการส่อื ความหมายในดา้ นการเป็นผ้ใู หแ้ ก่คนในชุมชน ซงึ่ มีความเชื่อความ ผูกพันของชาวบ้านจากรุ่นสู่รุ่นสืบต่อกันมา เช่ือว่าต้นไมส้ ามารถดลบันดาลความสุขความเจริญรุ่งเรือง ช่วยให้ ชาวบา้ นหายจากโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ และมีการบนบานศาลกล่าวเม่ือได้รบั สิง่ ที่ตนปรารถนา ต้นไม้สาคัญจากเร่ืองเล่ากับการส่ือความหมายในด้านพ้ืนท่ีศักดิ์สิทธ์ิของชุมชน เป็นเร่ืองเล่าที่ เกี่ยวกับความศักด์ิสิทธ์ิของต้นไม้กับศาลปู่ตาท่ีช่วยปกปักรักษาหมู่บ้านให้มีความร่มเย็นเป็นสุข อีกทั้งยังทาให้ ชุมชนแสดงออกถึงความเคารพต่อต้นไม้ศักดิ์สิทธ์ิ ทาให้เห็นว่าผู้ใดจะล่วงเกินไม่ได้ แม้จะเป็นสิ่งท่ีมองไม่เห็น และไมส่ ามารถจับตอ้ งไดแ้ ต่ชาวบ้านมคี วามเช่อื และยดึ เหนีย่ วศาลปตู่ าซงึ่ เปน็ สิ่งศักด์ิสทิ ธิ์ จากที่กล่าวมาท้ังหมดทาให้เห็นว่าความศักด์ิสิทธิ์ที่พบในเร่ืองเล่าดังกล่าวนัยหน่ึงได้ช่วยเสริมสร้าง พนื้ ที่ทางสังคม (Social space) ซ่ึงเปน็ พ้ืนที่ของชาวบ้านท่รี ่วมกับสื่อถึงความเคารพบูชาต่อสถานท่ีแห่งนั้นที่มี ตน้ ไมใ้ หญท่ ศี่ กั ดสิ์ ิทธเ์ิ ป็นมมี คี วามหมายในการคอยดูแลคนในชุมชน เอกสำรอ้ำงองิ กฤติยา โพธ์ทิ อง. (2557). ไทยบชู าร่วมสมัย. (วิทยานพิ นธศ์ ิลปมหาบัณฑิต มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร). กฤศนุ สมบศุ ย์ร่งุ เรือง. (2553). การศึกษาสงิ่ แวดล้อมทางวฒั นธรรมของยา่ นชุมชนตลาดพลู เขตธนบรุ ี กรุงเทพมหานคร. (การศกึ ษาคน้ คว้าอสิ ระการวางแผนชมุ ชนเมอื งและสภาพแวดลอ้ มมหาบัณฑติ , มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร). กิตตศิ ักด์ิ ประภาสจั เวทย.์ (2557). ประวัตบิ า้ นสระภู (สมั ภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นสระภ.ู 25 กรกฎาคม 2557. จนั ท์นภิ า ดวงวไิ ล. (2556). ตานานพระพุทธรูปในชมุ ชนชายแดนไทย-ลาว: การสอื่ ความหมายทางวฒั นธรรม และบทบาทการสรา้ งความสัมพนั ธ์ทางสังคม. (วทิ ยานพิ นธป์ รัชญาดษุ ฎบี ณั ฑิต สาขาวชิ าภาษาไทย, มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม). จนั ทร์ ศรีอทุ ุมพร. (2557). ประวัติบ้านผือใหม่ (สมั ภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นผือใหม่. 22 มถิ นุ ายน 2557. เจริญ โยธิการ์. (2557). ประวัตบิ ้านกระตา่ (สมั ภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นกระต่า. 6 กรกฎาคม 2557. ต้ัน ส่งเสริม. (2557). ประวัติบา้ นกระตา่ (สมั ภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นกระตา่ . 6 กรกฎาคม 2557. ทองทศ พ่งึ ภกั ด.ี (2557). ประวตั บิ า้ นกงพาน (สมั ภาษณ์). ประชาชนบา้ นกงพาน. 19 กรกฎาคม 2557. เทอื ง ทองวนั . (2557). ประวัติบ้านขมน้ิ (สัมภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นขมน้ิ .18 กรกฎาคม 2557. นภสั วรรณ สภุ าทติ ย์. (2553). ไสยศาสตรใ์ นนิทานพนื้ บา้ นจงั หวัดชลบุรี: ความเชอื่ ยงั ปรากฏอยู่. วารสาร การเมือง การบรหิ าร และกฎหมาย, 2(3), 193-211. นฤพนธ์ ด้วงวเิ ศษ. (2560). แนวคิดมานุษยวิทยากบั การศกึ ษาความเชื่อส่งิ ศักดิ์สิทธ์ิในสงั คมไทย. วารสารวชิ าการมนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบรู พา, 25(47), 173-197.
206 ปที ี่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) นฤพนธ์ ดว้ งวิเศษและปณั วฒั น์ ผอ่ งจติ . (2559). รายงานวิจัย เรอ่ื งชมุ ชนกบั ความเชือ่ สิง่ ศักดิส์ ทิ ธ์ิในอาเภอ เมอื ง จังหวัดสมุทรสาคร. กรุงเทพฯ: ศูนยม์ านุษยวทิ ยาสิรนิ ธร (องคก์ ารมหาชน). บวั บตุ ะเคียน. (2557). ประวตั บิ า้ นตะเคยี นตะวันตก. (สัมภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นตะเคียนตะวนั ตก. 19 กรกฎาคม 2557. บุญถนิ ขม้ินแก้ว. (2557). ประวัตบิ ้านขมิน้ (สัมภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นขมนิ้ . 16 มถิ นุ ายน 2557. ปฐม หงษ์สุวรรณ. (2556). นานมาแลว้ : มีเรอ่ื งเล่า นทิ าน ตานาน ชวี ติ . กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. ปรานี วงษ์เทศ. (2543). สงั คมและวฒั นธรรมในอุษาคเนย์. กรุงเทพฯ: เรอื นแกว้ การพมิ พ.์ ปิยะภรณ์ ออ่ นผา. (2557). ประวัติบา้ นกระตา่ (สมั ภาษณ์). ประชาชนบ้านกระตา่ . 8 กรกฎาคม 2557. ฝ้ัน พมิ พา. (2557). ประวตั ิบ้านบงึ ไกร (สัมภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นบงึ ไกร. 6 กรกฎาคม 2557. พระครปู ระภัศรส์ ตุ าลงั การ. (2557). ประวตั บิ ้านตะเคยี นตะวนั ตก (สมั ภาษณ์). ประชาชนบา้ นตะเคียน ตะวันตก. 19 กรกฎาคม 2557. เพ็ง แกว้ สมุทร. (2557). ประวัติบ้านกงพาน (สัมภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นกงพาน. 24 กรกฎาคม 2557. มานะ ศรสี มบูรณ์. (2557). ประวตั ิบา้ นนาดี (สมั ภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นนาดี. 16 กรกฎาคม 2557. ยศ พากเพียร. (2557). ประวัติบ้านสมิ (สมั ภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นสิม. 17 กรกฎาคม 2557. ยศ สันตสมบัติ. (2544). มนษุ ยก์ บั วัฒนธรรม. กรงุ เทพฯ: สานกั พมิ พ์มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์. ยอดกมล อุดหนนุ ปน่ิ วดี ศรสี ุพรรณ. (2561). ความเช่อื และปฏบิ ตั ิการบนพ้นื ท่ีศักดส์ิ ิทธิใ์ นมหาวิทยาลยั อุบลราชธาน.ี วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแมโ่ จ้, 6(1), 65-78. รัตนา กลมเกลียว. (2557). ประวตั ิบา้ นบงึ ไกร (สมั ภาษณ์). ประชาชนบงึ ไกร. 14 กรกฎาคม 2557. ลิน เสมอ. (2557). ประวัตบิ า้ นตะเคียนตะวนั ตก (สมั ภาษณ์). ประชาชนบา้ นตะเคียนตะวนั ตก. 19 กรกฎาคม 2557. เล นาคนวล. (2557). ประวัติบา้ นกระเตล็ (สัมภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นกระเต็ล. 5 มถิ ุนายน 2557. วัฒนี อ่องแกว้ . (2553). ความเช่ือท่ีเปน็ มงคลและอวมงคลเกย่ี วกบั พชื และสัตว์ของชาวบา้ น อาเภอสิงหนคร จงั หวัดสงขลา. (วิทยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาไทยคดีศึกษา, มหาวทิ ยาลัยทักษณิ ). วศิ เวศ อุดมเดชาณตั ิ. (2550). การศกึ ษาวฒั นธรรมทางภาษา: กรณีชื่อหม่บู า้ นนามเมือง อาเภอขุขนั ธ์ และ อาเภอภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ. (วิทยานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาไทยศกึ ษา, มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง). สถาพร เกง่ พาณชิ สุกรี เกสรเกศรา วรลญั จก์ บุณยสุรตั น.์ (2559). การจัดการพ้นื ท่ีภเู ขาศักดิ์สทิ ธวิ์ ัดม่อนพระ ยาแชใ่ หเ้ ป็นสถานทแี่ สวงบญุ และการทอ่ งเทยี่ วเชงิ วฒั นธรรม. เอกสารสืบเนื่องในการประชมุ วชิ าการ ระดับชาติ “สถาปัตยก์ ระบวนทศั น์” และระดับนานาชาติ “สถาปัตยป์ าฐะ” การประชมุ วิชาการวิจัย สรา้ งสรรค:์ สรรพศาสตรท์ างสถาปตั ยกรรม วันท่ี 19-20 ธนั วาคม พ.ศ. 2559 ณ ศูนย์มานุษยวทิ ยาสิ รนิ ธร ตล่ิงชนั . สม นาคนวล. (2557). ประวตั บิ า้ นกระเต็ล (สัมภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นกระเตล็ . 5 มิถนุ ายน 2557. สมาน บุญยก. (2557). ประวัตบิ ้านขมน้ิ (สมั ภาษณ์). ประชาชนบา้ นขมิ้น. 2 มถิ นุ ายน 2557.
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 207 สมุทร์ เสมอ. (2557). ประวัตบิ า้ นตะเคยี นตะวนั ตก (สัมภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นตะเคยี นตะวนั ตก. 18 กรกฎาคม 2557. แหลม พงษส์ ุวรรณ. (2557). ประวตั ิบา้ นนาดี (สมั ภาษณ)์ . ประชาชนบา้ นนาดี. 16 กรกฎาคม 2557. ไหล นาครนิ ทร์. (2557). ประวตั ิบ้านสระภู (สมั ภาษณ)์ . ประชาชนบ้านสระภู. 25 กรกฎาคม 2557. องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลหวั ชา้ ง. (2554). บริบทชมุ ชน องคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบลหวั ชา้ ง. ศรีสะเกษ: องคก์ าร บรหิ ารสว่ นตาบลหัวช้าง. เอื้อมพร จรนามล. (2556). โลกทศั น์ที่ปรากฏในนทิ านพน้ื บา้ นไทล้ือ อาเภอเชียงคา จงั หวดั พะเยา. วารสาร มนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั พะเยา, 1(3), 28-38.
208 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020)
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 209 ฟอ้ นละครภไู ทของชาวบา้ นหนองหา้ ง อาเภอกฉุ นิ ารายณ์ จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ Phu Tai Dance of Ban Nong Hang, Kuchinarai District, Kalasin Province ธัญญะ สายหมี I Thanya Saimee อาจารยป์ ระจาสาขาวิชาดนตรีศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ The Lecturer of Music Education Program, Faculty of Education, Sisaket Rajabhat University *Corresponding author e-mail: [email protected] (Received: 26 February 2020, Revised: 4 April 2020, Accepted: 6 April 2020) บทคัดยอ่ บทความน้ีเป็นบทความความทางวิชาการซึ่ง ผู้เขียนได้มีโอกาสลงพื้นที่ภาคสนามในรายวิชาความ หลากหลายทางวัฒนธรรมดนตรีลุ่มแม่น้าโขง ซึ่งเป็นหนึ่งในรายวิชาท่ีเม่ือคร้ังท่ีผู้เขียนได้มีโอกาสเรียนระดับ ปริญญาเอก ในเน้ือหานี้ผู้เขียนต้องการสื่อให้เห็นถึงวัฒนธรรมความร่ืนเริงของชาวภูไท บ้านหนองห้าง อ้าเภอ กุฉินารายณ์จังหวัดกาฬสนิ ธุ์ โดยจ้าแนกประเด็นที่ส้าคัญด้วยกันท้ังสน้ิ 2 ประเด็นคือ 1) ประเด็นของการฟ้อน ละครภูไทท่ีมีลักษณะท่าทางการฟ้อนท่ีมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ซึ่งการฟ้อนละครภูไทนั้นเปน็ การฟ้อน ร้าเพ่ือแสดงออกถึงวัฒนธรรมการรื่นเริงของชาวบ้านและนิยมฟ้อนร้าใช้ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ เช่นแสดงเพ่ือ ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง หรือฟ้อนในงานประเพณีท่ีส้าคัญ ๆ เช่นงานบุญข้าวจี่ที่จัดขึ้นในเดือนสาม ของทุก ปีโดยมีท่วงท่าและลีลาเป็นแบบแผนเฉพาะโดยคิดค้นดัดแปลงท่าทางจากวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ จากน้ันน้ามาดัดแปลงผสมผสานการร่ายร้าทางนาฏศิลป์แบบอีสาน ดังเช่นท่าทางที่แสดงถึงความเคารพบูชา หรอื การไหว้โดยกระบวนทา่ ฟอ้ นละครบา้ นหนองห้างท่ีสา้ คัญ ๆ นนั้ ประกอบด้วยทา่ ทางทง้ั หมด 6 ท่า ไดแ้ ก่ ท่า ไหว้ครู ท่าช่อม่วง ท่าบัวตูมบัวบาน ท่ากินรีหล้ิน(เล่น)น้า ท่าช้างเทียมแม่ และท่าอ้าลา 2) ประเด็นด้านการ บรรเลงดนตรปี ระกอบการฟ้อนละครของบ้านหนองหา้ ง ซงึ่ เป็นอีกหน่งึ ประเด็นท่ีมคี วามส้าคญั ทีผ่ ู้เขียนต้องการ ให้เห็นถึงการบรรเลงดนตรีประกอบการฟ้อนละคร แต่เดิมดนตรีท่ีใช้ประกอบการฟ้อนละครมีด้วยกันท้ังสน้ิ 3 ชนิดคือ กลองตุ้ม ผางฮาด และฉาบใหญ่ ต่อมาในปัจจุบันมีการน้าวงโปงลางอีสานเข้ามาบรรเลงร่วมโดยมี ท่วงท้านอง จังหวะ โครงสร้างเพลง และบทร้อง เพ่ือให้อรรถรสในการแสดงมากยิ่งขึ้นและถือเป็นวัฒนธรรม ความรนื่ เรงิ ทีง่ ดงาม มักนิยมนา้ มาแสดงในงานต่าง ๆ ถอื เป็นจุดเด่นทางวัฒนธรรมของคนในชมุ ชน คำสำคญั : ฟอ้ นละครภูไท; ดนตรปี ระกอบการฟอ้ นละครภไู ท; บ้านหนองห้าง
210 ปีที่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ABSTRACT This article is an academic article, a writer had a chance to join the flied work which is a part of Diversity of Music Culture in Mekong Region subject in the Ph.D. course. A writer would like to present how joyful of the culture of Phu Tai dance in Ban Nong Hang, Kuchinarai district, Kalasin province. This study consisted of 2 main points: 1) The Phu Tai identity has own style of dancing which is presenting their culture and usually perform in special events such as welcome visitors, traditional events including Boon Khoa Gee that always happen in the 3rd month of the year. They have created the Phu Tai dance from the way of life including Wai-Kru gesture, Cho-Muuang gesture, Lotus gesture, Kinnaree playing on the water gesture, Elephant gesture and Goodbye gesture. 2) Song and music performance for Phu Tai in Ban Nong Hang, which is one of the most important things that the writer would like to present. From the beginning, there are 3 music instruments for playing in Phu Tai dance including of Bass Drum, Wa drum (Phang Ha), and cymbals. Nowadays, they have brought the Pong Lang band to play in Phu Tai dance and make more variety of musical sounds and more joyful in that event. Keywords: Phu Tai Dance; Music for Phu Tai Dance; Ban Nong Hang บทนำ ศิลปะ และวัฒนธรรมในกลุ่มอุษาคเนย์นั้น ถือได้ว่าเป็นการผสมผสานร่วมกันของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มชาติพันธ์ุไทย กลุ่มชาติพันธ์ุไทลาว ชาติพันธ์ุไทเขมร มอญ จีน พม่า แขก หรือชาวภูไท ล้วนแล้วแต่มีฐาน รากทางวฒั นธรรม มีรูปแบบวถิ ีชีวิตความเปน็ อยู่ท่คี ลา้ ยกนั แทบท้งั สิน้ ดงั ปรากฏในหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ เช่น มีการขุดค้นพบรูปแบบการฝังศพไว้ในภาชนะดินเผา เช่นโครงกระดูกท่ีบรรจุอยู่ในหม้อดินที่บ้านเชียงใน จังหวัดอุดรธานี ในขณะเดียวกันลักษณะการขุดค้นพบรูปแบบนี้ก็พบในประเทศลาว และประเทศพม่า รวมถึง พื้นท่ีในแถบ กรุงพนมเปญประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน บ่งบอกให้เห็นถึงวัฒนธรรมความเชื่อในกลุ่มอุษาคเนย์ เกีย่ วกับพธิ ีกรรมฝังศพคนทเี่ สยี ชีวติ ไปแลว้ แทบท้งั สิน้ (สุจติ ต์ วงเทศ, 2551) ในปัจจุบันภูมิภาคของประเทศไทยแบ่งออกเป็นทั้งหมด 6 ภูมิภาคได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งแต่ละภูมิภาคมีศิลปะและวัฒนธรรม ท่แี ตกต่างกนั ออกไป ข้ึนอยูก่ บั อทิ ธิพลของแต่ละภาคว่า ตดิ กบั ประเทศใดเป็นประเทศเพือ่ นบ้าน ในภาคตะวันอกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานนั้น เป็นภาคท่ีมีพื้นที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยมีเนื้อท่ี ทั้งส้ิน 168,854 ตารางกิโลเมตรโดยประมาณ ประกอบไปด้วย 20 จังหวัด และภาคอีสานเป็นภาคที่แห้งแล้ง ท่ีสุดของประเทศไทย แต่ประชากรสว่ นใหญ่ก็ยังประกอบอาชพี เกษตรกรรม โดยที่เป็นแหล่งปลกู ข้าวหอมมะลิ แหล่งใหญ่ท่ีสุดของประเทศบางจังหวัดเชน่ จังหวัดศรสี ะเกษมีการปลูกยางพารา หอมแดง และกระเทยี มเพ่อื ใช้ ในการส่งออกประเทศ ในด้านการท่องเท่ียวภาคอีสานถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและ วัฒนธรรมทส่ี า้ คญั ของประเทศ (สภุ ัทรดศิ ดศิ กลุ , 2549) กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในภาคอีสานส่วนใหญ่เป็นเชื้อชาติไทยซึ่งเรียกว่า “ไทยชาวอีสาน” ในบางครั้งก็ เรียกว่า “ไทยลาว” ซ่ึงค้าว่าลาวในท่ีน้ีเป็นค้าไทยเดิมแปลว่าใหญ่และเป็นช่ือของชาติไทยสาขาหน่ึง ที่เรียก ในทางประวัติศาสตร์ว่า “อ้ายลาว” เพราะฉะน้ันจึงเป็นคนละค้ากับค้าว่าลาวซึ่งเพ้ียนเสียงไปจากค้าว่า “ลัวะ หรือละว้า” อันเป็นชนชาติในตระกูลมอญ-เขมร แต่เพ่ือไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดว่าไทยอีสานเป็นเช้ือชาติลัวะ
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 211 หรือละว้า อันเป็นค้าที่มีความหมายในเชิงว่าเป็นชาวป่าหรือชาวเขาจึงควรเรียกว่า “ไทยอีสาน” ในภูมิภาคน้ี ประชากรนอกจากไทยอีสานแล้ว ยังมีพวกผู้ไทอยู่เป็นแห่ง ๆ ซึ่งพวกผู้ไทยน้ีถือเป็นชนชาติไทยอีกสาขาหน่ึง เป็นพวกท่มี มี ากในแควน้ หลวงพระบาง ลา้ นชา้ งและสบิ สองจไุ ท (สิปปวิชญ์ กงิ่ แกว้ , 2561) ชนเผ่าภูไท หรือ ผู้ไท (Pu Tai) ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวภูไทเดิมอยู่ในแคว้นสิบสองจุไทย และแคว้นสิบ สองปันนา (ดินแดนส่วนเหนือของลาวและเวียดนาม ซ่ึงติดต่อกับส่วนใต้ของประเทศจีน) ต่อมาในพุทธศักราช 2431 ราชอาณาจักไทยได้สูญเสียดินแดนแคว้นสิบสองจุไทยให้ฝร่ังเศส ส่งผลให้ในปัจจุบันชาวภูไท มีการอพยพย้ายถิ่นฐานอยู่ตามเขตจังหวัดต่าง ๆ เช่น นครพนม กาฬสินธุ์ มุกดาหาร สกลนคร และบางส่วน กระจายอยู่ในเขตจังหวัดหนองคาย อ้านาจเจริญ อุบลราชธานี อุดรธานี ร้อยเอ็ด และยโสธร ชาวภูไทเป็นอีก กลุ่มหน่ึงท่ีรักษาวัฒนธรรมของตนไว้ได้อย่างดี มีการแต่งกายท่ีเป็นลักษณะเฉพาะของชาวภูไทโดยผู้ชายมกั นุง่ กางเกงขาก๊วยสีด้าหรือนุ่งโสร่งตาหมากรุก สวมเส้ือคอกลมแคบชิดคอหรือคอจีน ชายเส้ือผ่าข้าง และมีผ้าคาด เอว และโพกศีรษะ ผู้ชายในสมัยโบราณมักนิยมสักลายที่แขนและขาด้วยหมึกสีด้า โดยถือเป็นสิ่งสะท้อนถึง ความเปน็ ชายชาตรี ส่วนผู้หญิงนิยมนุ่งผ้าซ่นิ ทีท่ า้ จากผ้าไหมมัดหมี่ มลี วดลายเปน็ ลายนาคเลก็ ๆ เคร่ืองนุ่งห่ม ชาวภูไทเป็นเผ่าที่ท้าเคร่ืองนุ่งห่ม โดยเฉพาะผ้าห่มจนเหลือใช้ (แม้กระทั่งในปัจจุบัน ชาวภูไทก็ยังท้าผ้าห่มไว้มาก แขกมาเย่ียมมาพักมีให้ห่มอย่างพอเพียง) ส่วนเสื้อผ้าก็พอมีใช้ไม่ฟุ่มเฟือย แต่ไม่ขัดสน ด้วยฝีมือความสามารถของตนเอง ซ่ึงบางอย่างสวยงามมีศิลปะ ในอดีตน้ันวัสดุในการผลิตผ้าจดั หา มาเองโดยการปลูกบ้าง เอาจากที่มีอยู่ตามธรรมชาติบ้าง โดยผ่านกระบวนการต่าง ๆ จนเป็นเคร่ืองนุ่งห่ ม ล้วนหามาเองท้าข้ึนเองท้ังส้ิน เช่น ฝ้ายโดยเริ่มต้ังแต่การปลูกจนถึงขั้นทอเป็นผ้าล้วนแต่ท้าเอง ในปัจจุบัน มีโรงงานท่ที ันสมยั ทผี่ ลติ วัสดทุ ่ีจะท้าเครอ่ื งนงุ่ หม่ แล้ว ราคาไมแ่ พง สี ลวดลาย แบบ มใี ห้เลือกมากมาย ลักษณะทางสังคมของชาวภูไทเป็นกลุ่มชนที่มีความขยัน อดออม และมีวัฒนธรรมในเรื่องการถักทอ เด่นชัด จึงปรากฏเสื้อผ้าชนิดต่าง ๆ ทั้งผ้าฝ้าย ไหม ในกลุ่มชาวภูไท เช่น ผ้าแพรวา ในปัจจุบัน เป็นผ้าที่ผลิต ยากใช้เวลานาน มีความสวยงาม โดยเฉพาะการทอผ้าซิ่นหมี่ตีนต่อ เรียกว่า “ตีนเต๊าะ” เป็นท่ีนิยมในกลุ่มภูไท เป็นสีนา้ เงินเขม้ หรือสีครามแกเ่ กือบเปน็ สดี ้า ชาวบา้ นมกั เรียกวา่ “ผ้าดา้ ” หรอื “ซิน่ ด้า” วิถีชีวิตและความสัมพันธ์ของบุคคลในครอบครัวภูไท เหมือนกับครอบครัวไทยท่ัวไป คือ ในครอบครวั มพี ่อและแม่เปน็ ใหญ่ทีส่ ดุ รองลงมาคอื พคี่ นโตและรองลงไปตามลา้ ดับ ในอดตี ครอบครวั ของสังคม ชาวภูไทให้ความสา้ คัญต่อผู้เปน็ สามีมาก เช่น การสมมาในวันพระ หรือการไหว้สามีในวนั พระ เพราะถือวา่ สามี น้ันคือผู้ที่คอยดูแลคนในครัวเรือนหาข้าวหาปลาคอยเลี้ยงดู แต่ในปัจจุบันคงามสา้ คัญในการไหว้สามีในวันพระ ถูกลดบทบาทลงไปเพราะอุดมคติและความคิดของสงั คมเปลี่ยนแปลงตามยุคสมยั อีกทั้งเรื่องการให้เกียรติสามี ก่อนเสมอ เช่นการรับประทานอาหารจักต้องให้สามีเป็นผู้เร่ิมทานก่อน จากน้ันภรรยาและลูก ๆ ถึงจะ รับประทานได้ ในปัจจุบันการยึดถือปฏิบัติแบนนน้ีลดลงไปมาก เพราะการเปลี่ยนแปลงบทบาทของคน ในสังคมให้ความส้าคัญในสิทธิและหน้าท่ีทางพลเมืองที่เท่าเทียมกัน ดังนั้นส่ิงใดก็ตามที่เคยถือปฏิบัติในอดีต ที่เป็นการเหลอื่ มลา้ มกั ถูกตดั ทอดลงตามกาลเวลาน้ันเอง นอกจากน้วี ิถชี ีวติ และความเป็นอยู่ของชาวภไู ทยังมกี ารรักษารูปแบบเดมิ ท่เี คยยดึ ถือปฏบิ ตั กิ ันสบื มาจาก รนุ่ ส่รู นุ่ เชน่ การรักษาโรคซง่ึ ในอดีตการแพทยย์ ังไมเ่ จริญเมอื่ ชาวภไู ทเจ็บปว่ ยกท็ า้ การรกั ษาเยียวยาตามวถิ คี วาม เช่ือ หรือรักษาด้วยสมนุ ไพรพ้นื บ้านทส่ี ามารถหาได้ในท้องถ่ินโดยอาศัยผู้เฒ่าผู้แกท่ ีม่ ีความรูค้ อยแนะนา้ เรยี กว่า
212 ปที ี่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) “หมอฮะไม้”หรือหมอรากไม้ โดยวัสดุและแหล่งท่ีมา วัสดุก็เป็นพืชต่าง ๆ และบางอย่างก็ได้จากสัตว์ ซ่ึงหาได้ จากป่าและภูเขาใกล้บ้าน มีการเลือกใช้ตัวยาสมุนไพรที่ได้จากพืชไม่เหมือนกันบางชนิดใช้ราก ส่วนบางชนิดใช้ล้าต้น หรือบางชนิดใช้ทั้งรากล้าต้น และวิธีใช้ก็มีท้ังต้ม แช่น้าฝนอาบ หรือน้ามาดื่ม หรือทาตามตวั แลว้ แต่อาการของโรคน้ัน ๆ เม่ือกล่าวถึงวัฒนธรรมในการรักษาโรคของชาวภูไทนั้น ชาวภูไทมีการรักษาโรคหรือที่เรียกว่า “การเหยา” ซึ่งเป็นพิธีกรรมในการรักษาคนป่วยของคนภูไท โดยเชื่อว่าคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยนั้น มีสาเหตุมาจากถูกผีกระท้า ซึ่งอาจเป็น ผีดง ผีป่า ผีแถน ผีปอบ ผีบรรพบุรุษหรือถูกคุณไสยมนต์ด้า และ ผู้ที่เก่งกล้าสามารถในการขจัดปัดเป่าความเจ็บความไข้ออกไปได้คือ “หมอเหยา” โดยใช้วิธีการร่ายคาถา เพ่ือขจัดปัดเป่าขับไล่ผี รวมถึงมีการละเล่นรวมกันหลาย ๆ คน เรียกว่าพิธีเหยา ซึ่งรูปแบบการรักษานี้เองมัก นิยมน้าเครื่องดนตรีเช่นแคน กลอง ฉิ่งและซอบั้ง (ซอท่ีท้าด้วยไม้ไผ่) มาประกอบการละเล่นเพื่อส่งเสริมให้ พิธีกรรมมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น มีการร่ายร้าตามแต่ละบุคลิกท่าทางของผู้ที่ท้าหน้าท่ีเป็นหมอเหยา ท้าให้ในปัจจุบันท่าทางต่าง ๆ เหล่านั้น ได้ถูกน้ามาเป็นแม่แบบของการฟ้อนละคร เช่นท่าไหว้ครูท่ีมาจากการ ให้ความส้าคัญของการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธ์ิ ท่ากินรีหลิ้น (เล่น) น้า ซึ่งมาจากคติความเช่ือว่าหากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทล่ี งมาประทับร่างของหมอเหยาเปน็ นก หรือกินรี กจ็ กั มีทา่ ทางท่แี สดงออกถงึ การมีปกี โปยบนิ เหลา่ นี้เป็นตน้ ฟอ้ นของชำวภูไทบำ้ นหนองหำ้ ง อำเภอกฉุ ินำรำยณ์ จงั หวดั กำฬสินธ์ุ จากการสัมภาษณ์พ่อสัมฤทธิ์ ชมศิริ ข้าราชการบ้านาญอดีตอาจารย์โรงเรียนหนองห้างฉวีวิทย์ ต้าบลหนองหา้ ง อ้าเภอกฉุ นิ ารายณ์ จังหวัดกาฬสินธ์ุ เลา่ ประวตั ิบา้ นหนองห้างให้ผูเ้ ขียนฟงั วา่ หลังจากถกู กวาด ต้อนของชาวภูไทเข้าสู่สยามในรัชสมัยรัชกาลที่ 3 ท้าให้ชาวภูไทบางส่วนได้เข้ามาตั้งหลักปักฐานบริเวณหลัง เทือกเขาภูพานซึ่งเป็นพ้ืนท่ีทช่ี าวภูไทกล่าวขานวา่ “เขตห้วยผักแพว แปวป่องฟ้า ฮอยทว้าเก่า เหล่าย่านางยาง สามต้น อ้นสามขุย” ประกอบด้วยบ้านตาเป๊อะ บ้านนาน้าท่วม และบ้านเหล่าเตโช ซ่ึงต่อมาเกิดได้เหตุไฟไหม้ ครั้งใหญ่ในบริเวณที่ดังกล่าว จึงสร้างความเดือดร้อนต่อชาวภูไทท่ีอาศัยในบริเวณน้ัน จากต้านานเล่าขาน มีนายพรานผู้หน่ึงนามว่า “ตาแพก” ได้ไล่ติดตามล่าแรดตัวสุดท้ายจากเทือกเขาภูพานจนมาถึงหนองน้าแห่ง หน่ึงในบริเวณนน้ั จนกระทั้งไล่ตามแรดมาถึงใกล้บริเวณหนองน้าและฆ่าแรดตัวนนั้ ท้าให้แรดที่ไล่ติดตามมานั้น ตายลง จึงได้ตัง้ ชอ่ื หนองนา้ แหลง่ นัน้ ว่า “หนองซ้าแฮด” (ซา้ -ชน,แฮด-แรด) จากนั้นนายพราน “ตาแพก” ได้สังเกตว่าบริเวณหนองน้าแห่งน้ีมีความอุดมสมบูรณ์ รวมท้ังมีไม้ยูง ไม้ยาง หมากแงว หมากไฟ อยู่รอบบริเวณเป็นจ้านวนมาก เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านจึงแจ้งส่ิงที่ตนได้เห็นมาน้ัน ใหช้ าวบา้ นฟงั ชาวบา้ นจึงส่งตวั แทนมาดพู นื้ ทต่ี ามคา้ บอกเล่าของนายพราน กเ็ ห็นว่าเป็นจรงิ ตามท่ไี ดฟ้ งั มา ชาว ภูไทจากบ้านเหล่าเตโชจึงได้อพยพลงมาตั้งหมู่บ้านด้านฝั่งตะวันออกของหนองซ้าแฮด โดยเมื่อแรกต้ังหมู่บ้าน น้นั นายพราน “ตาแพก” ไดส้ รา้ งหา้ งบนตน้ ไม้อยู่เหนือหนองน้า ชาวบา้ นจึงได้เรยี กหนองน้าแห่งน้ันวา่ “หนอง ห้าง” จึงเป็นท่มี าของช่อื บา้ นหนองห้างมาจนถึงปัจจุบนั และได้จดทะเบียนเป็นชื่อหมู่บ้านหนองห้าง อย่างเป็น ทางการเมื่อปี พ.ศ. 2386 แต่ในปัจจบุ นั หนองน้าแห่งนไ้ี ด้ตนื้ เขินจนกลายเปน็ ทนี่ าของชาวบา้ น (สัมฤทธิ์ ชมศิริ สมั ภาษณ,์ 1 เมษายน 2561)
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 213 ภำพท่ี 1: สัมภาษณน์ ายสัมฤทธ์ิ ชมศิริ ก้าลงั สาธิตและอธบิ ายทา่ ทางในการฟ้อนละคร ปัจจุบันบ้านหนองห้างนี้อยู่ในเขต อ้าเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธ์ุ มีศิลปวัฒนธรรมท่ีเป็น เอกลักษณ์ที่เป็นท่ีรู้จักกันเป็นอย่างมากทง้ั การท้าเคร่ืองจักสาน การทอผ้า วัฒนธรรมประเพณี และโดยเฉพาะ ศิลปะการฟอ้ นร้า ซึ่งการฟ้อนรา้ ทีโ่ ดดเด่นของชาวภไู ทบา้ นหนองห้างมีด้วยกัน 3 ชดุ การแสดงได้แก่ ฟ้อนละคร เซิ้งกระหยัง และฟอ้ นละคร โดยการฟอ้ นละครของบา้ นหนองห้างจะแตกตา่ งจากที่อ่นื ดว้ ยทีช่ ดุ ท่ีสวมใส่ในการ ฟ้อนละครจะไม่สวมเส้ือแขนยาว (เสื้อภูไท) เหมือนท่ีอ่ืน ๆ แต่จะห่มสไบเฉียงแทนเพื่อสร้างอัตลักษณ์ ให้แต่กต่างจากท่ีอ่ืน ๆ อีกทั้งเอกลักษณ์ของการฟ้อนละครของหมู่บ้านแห่งนี้ จากการสัมภาษณ์ นายสัมฤทธิ์ ชมศิริ ได้กล่าวว่าชาวภูไทบ้านหนองห้างเปน็ ชาวภูไทวัง หรือภูไทใหญ่ มีการแต่งกายแตกต่างจาก ชาวภูไทในถ่ินอื่น คือผู้หญิงนิยมสวมเส้ือด้วยผ้าม่อฮ่อมแขนยาว และนุ่งซ่ินสีกลมท่า มวยผมข้ึนศีรษะ แล้วประดับด้วยผ้าฝ้ายทอมือสีแดง ส่วนผู้ชายนิยมสวมเส้ือม่อฮ่อมแขนส้ันและนุ่งโสร่ง มีผ้าขาวม้าคาดที่เอว และโผกไว้ที่ศีรษะ และการฟ้อนละครของบ้านหนองห้างมีแนวคิดและรูปแบบมาจากการแสดงเซ้ิงกระหยัง โดยได้พัฒนาดัดแปลงรูปแบบท่าทางในการฟ้อนร้าข้ึนใหม่ ให้มีความอ่อนช้อยและงดงามมากยิ่งข้ึน จนท้าให้ การแสดงฟ้อนของคนภไู ท ได้รับความนยิ มจากคนในหม่บู า้ น จากการสัมภาษณ์พ่อสัมฤทธิ์ ชมศิริ ถึงฟ้อนละครบ้านหนองห้างได้กล่าวว่าจุดประสงค์ของการแสดง ฟ้อนละครบ้านหนองห้างน้ีเป็นการฟ้อนร้าเพ่ือใช้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเป็นหลัก และบางครั้งก็จะฟ้อน ในงานประเพณีบุญข้าวจี่ท่ีจัดขึ้นในเดือนสามของทุกปี การฟ้อนละครบ้านหนองห้างเป็นลักษณะการฟ้อนมือ เปล่าโดยมีท่วงท่าและลีลาที่เป็นแบบแผนเฉพาะตนผสมผสานท่าทางแบบนาฏศิลป์อีสาน รวมถึงเป็นการ แสดงออกถึงความสามัคคีและพร้อมเพรียงของชาวภูไทในชุมชน มีระเบียบแบบแผนและลูกเล่นที่งดงาม เช่นการส่ืออารมณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การไหว้ การยกเท้า การจีบมือหรือส่ายไปมา รวมถึงการเล่นหูเล่นตา การหยอกลอ้ กันของผ้รู า้ หรือลักษณะลูกเลน่ และการวาดท่าของแต่ละคน และผู้เขียนยังได้มีโอกาสสัมภาษณ์นายนิล นิลปัต ซึ่งเป็นผู้มีส่วนร่วมในการคิดท่าทางต่าง ๆ ของการ ฟ้อนชาวภูไทบ้านหนองห้างไดอ้ ธิบายว่า กระบวนทา่ ทางการฟ้อนของชาวภูไทบ้านหนองห้าง โดยได้กลา่ วไว้ว่า ท่าทางนัน้ ประกอบดว้ ยทา่ การฟ้อนหลกั ๆ ดว้ ยกนั ทงั้ ส้ิน 6 ทา่ ไดแ้ ก่
214 ปีท่ี 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) 1) ท่าไหว้ครู 4) ท่ากนิ รีหล้ิน(เล่น)น้า 2) ท่าช่อม่วง 5) ทา่ ช้างเทยี มแม่ 3) ทา่ บัวตูมบัวบาน 6) ทา่ อา้ ลา ส่วนท่าเท้าหรือลักษณะการขยับขาเวลาท่ีฟ้อนจะเรียกว่า “ท่าเช็ดข้ีไก่” เพราะมีลักษณะการก้าวเท้า และยกส้นเท้าลากไปกับพ้ืนเหมือนเป็นการการเช็ดขี้ไก่ออกจากส้นเท้าน่ันเอง (นิล นิลปัต สัมภาษณ์, 1 เมษายน 2561) ภำพที่ 2: ท่าทางการฟ้อนละครบา้ นหนองห้าง ต้าบลหนองห้าง อ้าเภอกฉุ ินารายณ์ จังหวัดกาฬสนิ ธุ์ กำรบรรเลงดนตรปี ระกอบกำรฟ้อนละครภไู ทของบำ้ นหนองห้ำง ประเด็นด้านเครื่องดนตรี ท่ีใช้ประกอบการฟ้อนละครบ้านหนองห้างน้ัน ถือได้ว่าเป็นประเด็นท่ีมีส่วน ส้าคัญอย่างยิ่งโดยเดิมทีเคร่ืองดนตรีท่ีใช้ในการฟ้อนละครมี ด้วยกันทั้งส้ิน 3 ช้ินได้แก่ กลองตุ้ม ผางฮาด และฉาบใหญ่ มีการบรรเลงคล้ายกับการบรรเลงเพลงกลองตุ้ม แต่มีจังหวะที่เร็วกว่า ในอดีตไม่มีเครื่องดนตรีท่ีใช้ในการด้าเนินท้านองหรือท้าท้านอง เพราะเป็นการใช้เสียงของกลองตุ้ม และ ผางฮาด ท่ีดังกังวานอย่แู ลว้ เป็นเคร่ืองดนตรที ี่ใช้ประกอบการฟ้อนเท่านั้น ซ่ึงมีลักษณะคลา้ ยการฟ้อนกล้องต้มุ ของชาติพันธ์ุอื่น ๆ ในอีสานที่ละเล่นช่วงในเดือน 6 ในช่วงฤดูร้อนถึงฤดูฝน โดยเครื่องดนตรีที่ใช้ในการฟ้อน ละครด้ังเดิม ไดแ้ ก่ 1) กลองตุ้มคือกลองที่มีลักษณะหน้ากลองสองหน้าใช้หนังวัว หรือหนังควายขึงหนังหน้ากลอง ใช้เชือกป่านเส้นใหญ่ หรือเชือกไนลอนเส้นใหญ่รัดหนังกลองให้ขึงตึง ขัดเชือกขันชะเนอะด้วยไม้เนื้อแข็ง และ หุ่นของกลองท้าจากไม้เน้ือแข็ง เช่นไม้ต้นจามจุรีหรือไม้ชิงชัน เสียงของกลองตุ้มมีลักษณะเสียงดัง ตุ้ม ตุ้ม สามารถใชไ้ มเ้ น้อื แขง็ หุม้ ดว้ ยผา้ ตไี ดท้ ง้ั สองด้าน ภำพท่ี 3: ลกั ษณะกลองตุ้มทีใ่ ชป้ ระกอบการฟอ้ นละครบา้ นหนองห้าง
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 215 2) ผางฮาด หรือเรียกอีกอย่างเป็นภาษาของชาวภูไทในบ้านหนองห้างว่า “กลองทว้า” มีลักษณะท่ีท้า จากโลหะหรือทองเหลอื งคล้ายฆอ้ ง แตแ่ ตกต่างจากฆ้องคือไม่มีปุ่มตรงกลาง เจาะรูเพื่อร้อยเชือ่ บรเิ วณกลองแลว้ แขวนใส่ไม้ไผ่โดยใช้ผู้บรรเลงสองคนแบกไว้บนบ่า ผู้แบกกลองด้านหน้าจะท้าหน้าท่ีเดินอย่างเดียว ส่วนผู้ท่ีอยู่ ด้านหลังจะท้าหน้าท่ีแบกกลองไปพร้อม ๆ กับการตีกลอง เสียงของกลองนั้นมีลักษณะดัง ผ่าง ผ่าง ชาวภูไทใน หมบู่ า้ นจงึ เรยี กเสยี งท่ีดังนวี้ ่า “ทว้า” ตามลกั ษณะของเสียงท่ีไดย้ นิ ภำพที่ 4: ลกั ษณะ ผางฮาด ทใ่ี ชป้ ระกอบการฟอ้ นละครบา้ นหนองหา้ ง 3) ฉาบใหญ่ เปน็ เครือ่ งดนตรีที่ใช้ในการบรรเลงประกอบการฟ้อนละครนนั้ มลี ักษณะเปน็ ฉาบขนาดใหญ่ ท้าด้วยโลหะ หรือทองเหลือง โดยบรรเลงเพียงคนเดียวโดยตีสลับกับท้านองของกลองตุ้ม และ ผางฮาด ภำพที่ 5: ลักษณะของฉาบใหญ่ ท่ใี ชบ้ รรเลงประกอบการฟ้อนละครบา้ นหนองหา้ ง
216 ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ส่วนการแต่งกายของนักดนตรีนั้นนิยมเป็นนักดนตรีชายล้วน โดยมีรูปแบบการแต่งกายแบบดั้งเดิมคือ แต่งกายด้วยการนุ่งผ้าโสร่ง สวมด้วยเสื้อม่อฮ่อมแขนส้ัน และมีผ้าขาวม้าผูกที่เอวและศีรษะ นักดนตรีผู้ชายไม่ นยิ ม สวมเครอื่ งประดบั ขณะบรรเลงดนตรี ภำพท่ี 6: การแตง่ กายของนกั ดนตรีประกอบการฟอ้ นละครภูไทบา้ นหนองห้าง อา้ เภอกุฉนิ ารายณ์ จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ ลกั ษณะในการบรรเลงดนตรปี ระกอบการฟ้อนละคร ผเู้ ขียนใช้หลกั ทฤษฎีทางดนตรไี ทยในการเขียนโน้ต เพื่อใหเ้ กิดความเขา้ ใจในเร่อื งของจงั หวะเครอ่ื งดนตรตี ่าง ๆ ดังนี้ สญั ลกั ษณ์ “ต” แทนเสียงของกลองตุ้ม สัญลกั ษณ์ “ผ” แทนเสียงของผางฮาด สญั ลักษณ์ “ฉ” แทนเสียงของฉาบใหญ่ ---ผ -ผ-ผ ---ผ -ผ-ผ ---ผ -ผ-ผ - - - ผ - ผ - ผ ผางฮาด ---ต -ต-ต ---ต -ต-ต ---ต -ต-ต - - - ต - ต - ต กลองตุ้ม ---ฉ -ฉฉฉ ---ฉ -ฉฉฉ ---ฉ -ฉฉฉ - - - ฉ - ฉ ฉ ฉ ฉาบใหญ่ ภำพท่ี 7: ตารางโนต้ เพอื่ แสดงการบรรเลงดนตรปี ระกอบการฟอ้ นละครบา้ นหนองห้าง อ้าเภอกฉุ นิ ารายณ์ แบบดง้ั เดมิ ไมม่ เี คร่อื งด้าเนนิ ท้านอง จากภาพที่ 7 สังเกตได้ว่าดนตรีท่ีใช้ประกอบการฟ้อนละครบ้านหนองห้างอ้าเภอกุฉินารายณ์นั้น เป็นการบรรเลงดว้ ยผางฮาด บรรเลงไปพร้อม ๆ กับการตีกลองตุ้ม โดยมีจังหวะทเ่ี ท่ากันหรือเรียกได้ว่าตีพรอ้ ม กันอย่างสม้่าเสมอ และมีการตีฉาบเล็กเสริมจังหวะให้การบรรเลงและผลลัพธ์ของเสยี งทไ่ี ด้ออกมานั้นฟังแล้วมี ความตอ่ เนอ่ื งและเปน็ การสรา้ งสีสันของเสียงดนตรอี ีกด้วย ต่อมาไดพ้ ฒั นารปู แบบการฟ้อนละครใหม้ คี วามสนใจยงิ่ ข้ึน โดยได้รบั ความรว่ มจากหลายหน่วยงานไม่ว่า จะเป็นสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ หน่วยงานจากสถาบนั การศึกษาอย่างวิทยาลัยนาฏศิลปกาฬสินธุ์ได้ร่วมมือกับ ชุมชนคือพ่อสัมฤทธิ์ ชมศิริ และนายนิล นิลปัต ซึ่งเป็นชาวภูไทในหมู่บ้าน ได้ช่วยกันพัฒนาท่าทางรวมถึง ประพันธท์ า้ นองโดยใชว้ งโปงลางอีสาน และมีเคร่ืองดนตรที เี่ ปน็ จุดเดน่ อีกทง้ั มกี ารนา้ เอาเครือ่ งดนตรีของชาวภู ไทมาสรา้ งสสี ันของเสียงในวงคือปี่ภูไท และซอบ้ัง จงึ ท้าให้ฟอ้ นละครภูไทของชาวบ้านหนองหา้ งมคี วามโดดเด่น
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 217 และเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมอื นท่ีอ่ืน โดยผู้เขียนจกั อธบิ ายลักษณะทางดนตรีท่ีมีทว่ งท้านองเปน็ ภาพรวมดงั ตาราง โนต้ ดังตอ่ ไปน้ี โนต้ ทำนองเพลงฟอ้ นละครภไู ท ของบ้ำนหนองหำ้ งอำเภอกฉุ นิ ำรำยณ์ จังหวัดกำฬสนิ ธ์ุ หอ้ งท่ี 1 หอ้ งท่ี 2 ห้องท่ี 3 หอ้ งที่ 4 ห้องที่ 5 ห้องท่ี 6 หอ้ งที่ 7 หอ้ งที่ 8 บรรทดั 1 ---ด รมซม ---ด รมซม ---ด รมซม -ซมซ รมซม บรรทดั 2 -ลมซ รมซม ---ล ซมซล ---ล ซมซด ลดลซ รมซด บรรทดั 3 -ล-ล ซม-ด ---ร ดลซล -ล-ร ดลซล ---- ---- ภำพที่ 8: ตารางโน้ตเพ่อื แสดงการบรรเลงดนตรปี ระกอบการฟอ้ นละครบา้ นหนองหา้ ง อา้ เภอกุฉินารายณ์ แบบสรา้ งสรรค์ใหม่ จากตารางภาพที่ 8 เป็นการแสดงท่วงท้านองเพลงประกอบการฟ้อนละคร ของบ้านหนองห้างอ้าเภอ กุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธ์ุ แสดงให้เห็นได้ว่ามีการใช้ท้านองซ้าไปซ้ามา ดังจะเห็นได้จากบรรทัดที่ 1 ห้องที่ (1,2) มีการบรรเลงซ้าเหมือนกับห้องท่ี (3,4) และ (5,6) ซ่ึงรูปแบบการบรรเลงซ้าไปมานี้ถือว่าเป็น อัตลักษณ์ของความเปน็ เพลงพ้นื บา้ น จากน้ันมีการเปลย่ี นท่วงทา้ นองให้เกิดความแตกต่างแตย่ ังคงรูปแบบการ ซ้าไปซ้ามาในบรรทัดที่ 1 ห้องท่ี (7,8) และ บรรทัดท่ี 2 ห้องที่ (1,2) จากน้ันจักเปน็ การเปลยี่ นท่วงท้านองใหม่ ในบรรทัดที่ 2 ห้องท่ี (3,4) และบรรเลงวรรคจบของแต่ละรอบด้วยเสียง “ล”ซ่ึงเป็นเสียงลูกตกในท้ายห้องที่ (4,6) ของบรรทดั ที่ 3 จากนั้นจะบรรเลงเชน่ น้ีไปเรื่อย ๆจนกวา่ เพลงรอ้ งจะรอ้ งจบ จึงจกั ถอื เป็นการจบเพลง และในหน่ึงวงรอบของการบรรเลง ทางฝ่ายร้าก็จักร้าประกอบในแต่ละท่า โดยรอบท่ี 1 เร่ิมท่าร้าท่า ไหว้ครู จากนน้ั เท่ยี วที่ 2 จักรา่ ยรา้ ท่าชอ่ มว่ ง เท่ยี วท่ี 3 ร่ายรา้ ทา่ บัวตูมบวั บาน เทย่ี วที่ 4 รา้ ทา่ กินรีเล่นน้า เท่ียว ที่ 5 ร้าท่าช้างเทียมแม่ และจบด้วยเที่ยวท่ี 6 ประกอบท่าร้าท่าอ้าอา ถือเป็นการเสร็จส้ินการฟ้อนละครที่เป็น แบบฉบบั ของบา้ นหนองห้าง อา้ เภอกุฉินารายณ์ ซอบงั้ เครอ่ื งดนตรีของชำวภูไท ตำบลหนองห้ำง อัตลักษณ์อย่างหนึ่งท่ีเรียกได้ว่าเป็นความเข้มแข็งของกลุ่มชาติพันธุ์ภูไท คือดนตรี แสดงให้เห็นถึงการ สร้างความเป็นอัตลักษณ์เฉพาะตน อีกท้ังแสดงให้เห็นว่าชาวภูไทให้ความส้าคัญในการร้องร้าท้าเพลง สร้างความร่ืนเริงเพื่อให้เกิดความสามัคคีกันของคนในชุมชน ดนตรีของชาวภูไทเป็นดนตรีพ้ืนบ้านที่เป็น เคร่ืองบ่งช้ีถึงความรู้สึกนึกคิด นิสัยใจคอ ตลอดจนวิถีชีวิตของชาวบ้านได้เป็นอย่างดี ซึ่งชาวภูไทมีเครื่องดนตรี เชิงสัญลักษณ์เพียงไม่ก่ีช้ินหากเปรียบกับวัฒนธรรมทางดนตรีในภาคอ่ืน ๆ เคร่ืองดนตรีท่ีโดดเด่นของชาวภูไท ได้แก่ กรองแต่ กลองตุ้ม ป่ีภูไท ซอบ้ัง เป็นต้น ดนตรีภูไทเป็นการผสมของ เครื่องดนตรีหลายชนิด แล้วน้ามา ประกอบจังหวะบรรเลงคลอกับเสียงล้า ซึ่งเป็นท้านองเฉพาะแตกต่างจากการล้าท้านองอ่ืน ๆ ขนบการร้า ส่วนมากจะลา้ สลับกันระหว่างชายและหญิงในเชิงเก้ียวพาราสี ขนบธรรมเนียมประเพณี ธรรมชาติเปรียบเปรย กับการด้าเนนิ ชีวิต ปัจจุบันนี้อาจมีการฟ้อนประกอบในบางคร้ังสภาวะที่สังคมไทยเปล่ียนแปลงไปอยา่ งรวดเร็ว อาจท้าให้ดนตรีเปล่ียนแปลงหรือสูญหายจากสังคมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งซอบ้ังของชาวภูไท ซึ่งในปัจจุบันหา
218 ปที ี่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) เล่นหรือชมกันได้อยากแล้ว เน่ืองด้วยขาดแคลนผู้ที่มีองค์ความรู้ในการบรรเลง รวมถึงช่างท้าเครื่องดนตรี ประเภทนี้ก็มิไดต้ ่อยอดหรอื หาผู้สบื ทอดแล้ว คร้นั แต่จะรอเวลาใหส้ ูญหายตามกาลเวลา จากการสมั ภาษณ์คุณตาสที ดั คุธโธ นักดนตรอี าวโุ สของชาวภูไทในหมูบ่ ้านหนองหา้ ง ซง่ึ เป็นผ้ทู สี่ ามารถ บรรเลงซอบ้ัง และผลิตซอบั้งคนสุดท้ายของชุมชน ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังเครื่องดนตรีชนดิ น้ไี ว้ว่า “สมัยนี้ไม่ค่อยมี คนอยากเล่นแลว้ วัยรุ่น หรือเด็ก ๆ ในหมู่บ้านต่างก็ไปทางานในเมอื งกันหมด แตกต่างจากแต่ก่อน ท่ีเวลาตอน เย็นก็จะไปหาสีซอบ้ังจีบสาว ไม่ก็ไปหาน่ังสีซอบั้งตามใต้ถุนบ้านผู้ใหญ่บ้าน ” (สีทัด คุธโธ สัมภาษณ์, 1 เมษายน 2561) ซอบ้ัง มีลักษณะเป็นทรงกระบอกมีขนาด 65 cm โดยประมาณ เป็นซอที่มีสายด้วยกันท้ังสิ้นสามสาย ท้าจากไม้ไผ่ ขึ้นสายด้วยสายโลหะหรือสายลวด มีลูกบิดคอยปรับเสียงบริเวณด้านบนของคันทวนให้เสียงด้วย การสีโดยคันชกั ไม่อยู่ในสายลวด ใช้มือซ้ายกดสายเพื่อเป็นการไล่เสยี ง และใช้มือขวาลากคันชักเพือ่ ให้เกดิ เสียง เสียงของซอบั้งมีลักษณะสีสันของเสียงท่ีแหลงสูง ไม่ดังกังวานเหมือนอย่างซอด้วงของไทย ในอดีตนิยมน้าไป บรรเลงเดี่ยว ๆ โดยมักบรรเลงหลังจากว่างเว้นจากการท้าไร่ท้านา หรือน่ังบรรเลงใต้ถุนบ้านหลังรับประทาน อาหารค่้าเสร็จ ปัจจุบันนักดนตรีพื้นบา้ นอสี านนา้ ไปประสมวงดนตรีโปงลาง แต่ไม่เปน็ ที่นยิ มมากนักเพราะดว้ ย เสียงของซอบ้ังมีเสียงท่ีเบา เม่ือไปบรรเลงกับเครื่องดนตรีชนิดอ่ืน ๆ ภายในวง ท้าให้ไม่ได้ยินเสียง จึงท้าให้ไม่ เปน็ ทน่ี ิยมในหมนู่ กั ดนตรมี ากนัก ภำพที่ 9: ซอบัง้ เครอื่ งดนตรีชาวภูไทบา้ นหนองหา้ ง อ้าเภอกุฉินารายณ์ แบบสร้างสรรค์ใหม่ ปัจจุบันได้รับการอนุรักษณ์และส่งเสริมจากสถาบันการศึกษาทางดนตรี เช่นมีหน่วยงานจาก มหาวทิ ยาลัยเรม่ิ หนั มาใหค้ วามส้าคญั กันมาก ได้แกม่ หาวิทยาลยั ขอนแกน่ และ วิทยาลัยนาฏศลิ ปกาฬสนิ ธุ์ โดย รูปแบบจัดโครงการสนบั สนุนให้นักศึกษามาเรียนรู้นอกต้ารากับปราชญช์ ุมชนอย่างเชน่ กบั คุณตาสีทัด คธุ โธ โดย วิธีการเรียนนั้นจะเป็นการต่อเพลงที่บ้านโดยใช้วิธีแบบมุขปาฐะ จากน้ันนักศึกษาจึงน้าความรู้ที่ได้รับ ไปบันทึกเป็นโน้ตดนตรีไทย หรือโน้ตดนตรีตะวันตก โดยคุณตาสีทัดก็ยินดีสอนเป็นอย่างยิ่งอีกท้ังยังสอนกลวิธี ในการผลติ ซอบง้ั แกน่ ักศึกษาโดยวัสดุอปุ กรณท์ ่ีใช้ในการทา้ เคร่ืองดนตรีของชาวภไู ทยน้ัน เปน็ วัสดุทสี่ ามารถหา
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 219 ได้จากธรรมชาติจากป่าชุมชน และบ่อยคร้ังที่คุณตาพากลุ่มนักศึกษาออกตามหาชันโรง “ขี้สูตร” ในป่าชุมชน ท้ายหมู่บ้านเพื่อน้ามาใช้เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องดนตรี แสดงให้เห็นได้ว่าวิชาความรู้นอกต้าราเหล่านี้เป็น วฒั นธรรมนอกต้าราทช่ี าวภูไทพรอ้ มทจ่ี ะเผยแพร่ใหท้ ุกกลุ่มคนเข้าถึงได้ มไิ ด้หวงแหนหรือปิดบงั แตอ่ ย่างใด ภำพท่ี 10: คุณตาสีทัด คุธโธ นักดนตรีปราชญ์ชาวภูไทบ้านหนองหา้ ง อา้ เภอกฉุ นิ ารายณ์ จังหวดั กาฬสนิ ธ์ุ บทสรุป บทความวิชาการเร่ือง “ฟ้อนละครภูไทของชาวบ้านหนองห้าง อ้าเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธ์ุ” เป็นบทความที่เน้นเนือ้ หาด้วยกันทงั้ สนิ้ 2 ประเด็นคือ ประเด็นท่ีเกี่ยวกับการฟ้อนละคร ซึ่งการฟ้อนละครของ บ้านหนองหา้ งนน้ั มีลกั ษณะทา่ ทางที่คดิ คน้ ขน้ึ มาใหม่ โดยมแี นวคิดจากการแสดงเซิ้งกระหยัง(ตะกรา้ ) และฟอ้ น กลองตุ้ม โดยผู้ริเร่ิมในการคิดฟ้อนละครคือคุณพ่อ สัมฤทธ์ิ ชมศิริ ซึ่งเป็นข้าราชการบ้านาญ โรงเรียนหนองห้างฉวีวิทย์ ต้าบลหนองห้าง อ้าเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธ์ุ ร่วมกับคุณพ่อนิล นิลปัต ชาวภูไทบ้านหนองห้าง โดยมีรูปแบบท่าทางต่าง ๆ จากสิ่งท่ีสะท้อนความเป็นวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนใน ชุมชน ไม่วา่ จะเป็นทา่ ไหวค้ รูท่ไี ด้รูปแบบมาจากพิธีกรรมเหยา ท่ากินรที ่มี าจากตอนท่ีหมอเหยาทา้ พธิ ีกรรมตาม ความเช่ือของชาวภูไท หรือท่าอื่น ๆ ซ่ึงรวมแล้วมีด้วยกันท้ังสิ้น 6 ท่า ได้แก่ ท่าไหว้ครู, ท่าช่อม่วง, ท่าบัวตูมบัวบาน, ท่ากินรีหล้ิน(เล่น)น้า, ท่าช้างเทียมแม่, และท่าอ้าลา โดยก้าหนดให้ผู้หญิงเป็นผู้ร่ายร้า ส่วนผู้ชายน้ันจะเป็นผู้บรรเลงดนตรีประกอบ ต่อมาได้รับการพัฒนาต่อยอดโดยสถาบันทางการศึกษาเช่น สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ และวิทยาลัยนาฏศิลปะกาฬสินธุ์ จนตกผลึกเป็นวัฒนธรรมที่โดดเด่นของคนภูไทใน ชุมชน และถอื โอกาสทีส่ า้ คัญ ๆ เพื่อเปน็ การแสดงเช่น น้ามาแสดงช่วงเทศกาลบุญขา้ งจซ่ี ง่ึ จดั ข้ึนในเดือนมนี าคม ของทุกปี หรือเพ่ือใช้แสดงแทนภูมิปัญญาของชุมชนในโอกาสส้าคัญ ๆ รวมถึงจัดแสดงให้เป็น วิทยาทานแด่ บุคคลภายนอกทตี่ อ้ งการจะศึกษาศลิ ปะการแสดงฟอ้ นละครนี้
220 ปที ี่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) และประเด็นด้านดนตรีท่ีใช้ประกอบการฟ้อนละครนี้ แต่เดิมมีเพียงเครื่องดนตรีเพียง 3 ชนิด คือกลองตุ้ม, ผางฮาด, และฉาบใหญ่ ต่อมาในปัจจุบันมีการน้าซอบั้งและป่ีภูไทที่เป็นเครื่องดนตรีของชาวภูไท มาร่วมบรรเลงผสมวงร่วมกับพิณ และแคนอีสานจนครบเต็มวง และพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นวงวงโปงลาง อีสานที่มีเสียงของป่ีภูไท และซอบ้ังบรรเลงรวมประสมวงเพื่อสร้างทว่ งท้านองด้วย จากน้ันจึงบรรจุค้าร้องทจ่ี ะ รอ้ งด้วยกลอนคล้ายลักษณะกลอนพดู โดยใช้ภาษาภูไทประกอบการบรรเลง ลกั ษณะการบรรเลงแต่เดมิ นั้นไม่มี เครอ่ื งดนตรีดา้ เนินท้านอง แตเ่ ป็นการตกี ลองตุม้ ผางฮาด สลบั กับตีฉาบใหญเ่ ทา่ นนั้ ต่อมาได้นา้ ไปบรรเลงในวง โปงลางอีสาน โดยน้าซอบัง้ และป่ภี ูไทเข้าร่วมประสมในวงเพื่อสร้างสสี นั ให้บทเพลง มีลักษณะโครงสร้างเพลงท่ี บรรเลงซ้าไปซ้ามา เพื่อใหส้ อดคล้องกบั ท่าทางที่มีดว้ ยกันทงั้ หมด 6 ท่า โดยในหน่ึงท่อนเพลงของการบรรเลง ก็ จะใช้ท่าร้านับเป็นหน่ึงท่า ดังนี้รอบท่ี 1 เร่ิมท่าร้าไหว้ครู จากน้ันรอบท่ี 2 จะร่ายร้าท่าช่อม่วง รอบท่ี 3 ร่ายร้าท่าบัวตูมบัวบาน รอบที่ 4 ร้าท่ากินรีเล่นน้า รอบท่ี 5 ร้าท่าช้างเทียมแม่ และจบด้วยรอบท่ี 6 ด้วยท่า อา้ ลา ถือเป็นการเสรจ็ สน้ิ การฟ้อนละครทเี่ ปน็ อัตลักษณ์ของบา้ นหนองหา้ ง อ้าเภอกฉุ นิ ารายณ์ องค์ควำมรูใ้ หม่ บทความน้ีมีประเด็นที่เป็นองค์ความรู้ใหม่คือการเล็งเห็นถึงความพยายามในการใช้ภูมิปัญญาของ ชุมชนในการประประยุกต์ให้มีความสนกุ สนาน ตัวอย่างเช่นการน้าฟ้อนละครของชาวบ้านหนองห้างมาประยุต์ ใหม่ โดยมแี นวคดิ และแรงบันดาลใจจากการแสดงเซงิ้ กระหยงั (ตะกรา้ ) และการฟ้อนกลองตมุ้ ซง่ึ แสดงใหเ้ ห็นได้ ว่าชาวบ้านและคนในชุมชนให้ความสา้ คัญกับรูปแบบวฒั นธรรมของตนอย่างดียิ่ง อีกประเด็นหนึ่ง คือ “ซอบั้ง” เคร่ืองดนตรีทรงกระบอกและมีสามสายท้าจากไม้ไผ่ ข้ึนสายด้วยสายโลหะหรือสายลวด มีลูกบิดคอยปรับเสยี ง บริเวณด้านบนของคันทวนให้เสียงด้วยการสีโดยคันชักไม่อยู่ในสายลวด ใช้มือซ้ายกดสายเพื่อเป็นการไล่เสียง และใช้มือขวาลากคันชักเพื่อให้เกิดเสียง เสียงของซอบ้ังมีลักษณะสีสันของเสียงท่ีแหลงสูง ไม่ดังกังวานเหมือน อย่างซอด้วงของไทย ในอดีตนิยมน้าไปบรรเลงเด่ียว ๆ โดยมักบรรเลงหลังจากว่างเว้นจากการทา้ ไร่ท้านา หรือ น่ังบรรเลงใต้ถนุ บา้ นหลังรบั ประทานอาหารคา่้ เสร็จ เอกสำรอ้ำงองิ นลิ นลิ ปตั . (2561). ท่าทางในการฟ้องภไู ทของบา้ นหนองห้าง (สัมภาษณ์). ชาวภไู ทท่อี าศัยอยู่ใน ตา้ บลหนอง หา้ ง อา้ เภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธ,์ุ 1 เมษายน 2561. สัมฤทธ์ิ ชมศิริ. (2561). ประวัตทิ ม่ี าของชาวภไู ท บ้านหนองหา้ ง (สัมภาษณ)์ . ข้าราชการบา้ นาญ โรงเรียนหนอง ห้างฉววี ทิ ย์ ต้าบลหนองหา้ ง อ้าเภอกุฉินารายณ์ จังหวดั กาฬสนิ ธุ์, 1 เมษายน 2561. สปิ ปวชิ ญ์ กิ่งแก้ว. (2561). วฒั ธรรมดนตรพี ืน้ เมอื งไทยส่ีภาค. นครปฐม: โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. สีทัด คธุ โธ. (2561). วธิ ีการบรรเลงดนตรขี องชาวภไู ท (สมั ภาษณ)์ . นักดนตรี, ปราชญช์ าวบ้านหนองหา้ ง ต้าบล หนองหา้ ง อ้าเภอกฉุ นิ ารายณ์ จงั หวดั กาฬสนิ ธ,ุ์ 1 เมษายน 2561. สุจิตต์ วงเทศ. (2551). ร้องราทาเพลง ดนตรีและนาฏศิลปช์ าวสยาม. พิมพ์ครั้งท่ี 3. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์เรือน แกว้ การพิมพ์. สุภัทรดิศ ดิศกุล. (2549). ประวัติศาสตร์เอเชียอาคเนย์ถึง พ.ศ. 2000. พิมพ์ครั้งท่ี 4. กรุงเทพฯ: ห้างหุ้นส่วน จ้ากัด สามลดาพิมพ์.
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 221 พระพทุ ธชินราช : สญั ลกั ษณ์ส่อื ความหมายทางสงั คมและวฒั นธรรม Buddhachinaraj : The Conveying Symbol of Social and Cultural Meaning พระปลดั เมธี เขมปญฺโญ (สอนวด)ี PhrapaladMathee Khemapanyo (Sornwadee) นสิ ิตระดบั พทุ ธศาสตรดุษฎบี ัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั วิทยาลัยเขตนครสวรรค์ Doctoral of Philosophy Program in Buddhist Studies, Nakhon Sawan Campus, Mahachulalongkornrajavidyalaya University Corresponding author, e-mail: [email protected] (Received: 11 April 2020, Revised: 6 May 2020, Accepted: 9 May 2020) บทคัดย่อ พระพุทธชินราช สร้างข้ึนในสมัยสุโขทัย ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ที่มีพุทธลักษณะ งดงามที่สดุ ในประเทศไทย ซ่ึงการสร้างพุทธประตมิ ากรรม องคพ์ ระพุทธชินราชขึ้นนนั้ นอกจากจะสอ่ื สญั ลักษณ์ ให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาแล้ว ยังสื่อให้เห็นถึงความมั่นคงทางสังคม และการเมือง เนื่องจากในสมัยนั้นอิทธพิ ลขอมได้แผอ่ านาจเข้ามาถึงอาณาจักรสุโขทัย สถาปัตยกรรมในยคุ นั้นจงึ สร้างข้ึนเพื่อ บูชาเทพเจ้า ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เม่ืออาณาจักรสุโขทัยประกาศอิสรภาพจากการถูกครอบงาของขอมการ สร้างศาสนสถาน สถาปตั ยกรรมรปู แบบของพระพุทธศาสนาจงึ เริ่มขึน้ การสร้างองค์พระพทุ ธชนิ ราช ถอื ว่าเป็น การประกาศชัยชนะนอกเหนือจากการเป็นพระพุทธรูปสาคัญคู่บ้านคู่เมืองแล้ว ยังถูกนิยามบทบาทและ ความหมายสาคญั ยง่ิ อีกประการหนึง่ นัน่ คอื การเปน็ สัญลกั ษณแ์ ห่งความเปน็ ไทย สัญลกั ษณ์ท่ีสอ่ื ความหมายดา้ น ประเพณี วัฒนธรรม อันดงี ามโดยอาศัยศาสนธรรมเปนหลกั ในการดาเนนิ ชีวติ และเป็นอุดมคติของสงั คมส่ือให้ เห็นถึงประวตั ิศาสตร์ พัฒนาการดา้ นสงั คมวฒั นธรรม และองค์พระพทุ ธชินราช ยังเปน็ สัญลักษณ์ท่แี สดงให้เห็น ถึงการสถิตม่นั ของพระพทุ ธศาสนาสืบเนอ่ื งมาถึงทุกวนั น้ี คำสำคญั : พระพุทธชนิ ราช; สญั ลักษณ;์ วัฒนธรรม ABSTRACT Buddhachinaraj had built in the Sukhothai period; it recognized the most beautiful Buddhist image in Thailand, which is the creation of Buddhist sculpture. In addition to the lord Buddhachinaraj image symbolize the prosperity of Buddhism, and it also shows social and political stability, because in those days the influence of the Khmer empire came to the Sukhothai Kingdom. The architecture in that era, it was built to worship the gods. Brahminical-Hindu religion, When the Kingdom of Sukhothai proclaimed independence from the domination of Khmer. The building religion and the architecture of Buddhism began. The creation of the Buddhachinaraj, it had considered a victory announcement, In addition to the important Buddha invaluable. It is defined as a symbol of Thai. A symbol that expresses the tradition of a good culture, based on the doctrine of life. And it is the ideals of social media, to show the history. The social and cultural development and the Buddhachinaraj are also a symbol to shows the persistence of Buddhism in Sukhothai period to this day. Keywords: Buddhachinaraj Symbol; Social Cultural Meaning
222 ปที ี่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) บทนำ พระพุทธชินราช ถอื วา่ เปน็ พทุ ธปฏิมากรทส่ี รา้ งข้นึ เปน็ ถาวรวตั ถใุ นพุทธศาสนา จดั อยู่ในประเภทอุเท สิกเจดีย์ ได้แก่สิ่งท่ีสร้างข้ึนเพ่ือเป็นท่ีระลึกซ่ึงพุทธศาสนิกชนเห็นพ้องกันว่าเหมาะสมในการใช้เป็นที่ระลึกถึง พระพุทธองค์ได้ เช่น พุทธบัลลังก์ พระพุทธบาท พระสถูป และพระพุทธรูป ซ่ึงในการสร้างพุทธรูปเพ่ือเป็นรปู เคารพน้ัน ผู้สร้างพยายามส่ือถึงลักษณะท่าทางเพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธประวัติหรือเหตุการณ์สาคัญซึ่ง พุทธศาสนกิ ชนราลกึ การท่ีคนในยุคสมัยหลัง ๆ ต่อมาสร้างพระพุทธรูปเคารพ ราลึกถึงพระพทุ ธเจ้าตามศรทั ธา และเพ่ือเป็นพุทธานุสสติ น้ันก่อให้เกิดรูปประติมากรรมท่ีงดงามตามคติความนิยมของกลุ่มชนแต่ละหมู่เหลา่ มี ลักษณะทางศิลปกรรม และสงิ่ ประกอบตา่ ง ๆ แตกตา่ งกันไปตามท้องถ่ินและยคุ สมัยพระพุทธรปู ในสมัยสุโขทัย จัดได้ว่าเป็นพระพุทธรูปในลักษณะท่ีนาศิลปะหลายรูปแบบมาผสมผสานจนสามารถสร้างออกมาเป็นองค์ พระพทุ ธรปู ได้อย่างออ่ นช้อยงดงาม เชน่ มพี ระพกั ตรเ์ รียวยาว พระขนงโกง่ ดังคนั ศร พระนาสกิ โด่งเปน็ สัน พระ โอษฐ์เรยี วบางคลา้ ยกระจบั รวมทง้ั องค์ประกอบอ่นื ๆ อีกหลากหลายประการท่ที าให้พระพุทธรูปในสมยั สโุ ขทยั ดอู อ่ นชอ้ ย ละเมยี ดละไมกว่าสมยั ใด ๆ ทเี่ คยสรา้ งกนั มา การทจี่ ะสรา้ งพระพทุ ธรปู ข้ึนแทนพระองค์พระพทุ ธเจา้ นนั้ มใิ ชข่ องงา่ ยเพียงแตค่ ุณสมบตั ใิ นดา้ นความงามอยา่ งเดียวหาเปน็ การเพียงพอไม่ เพราะวา่ ในขณะเดียวกนั รูป ที่สร้างขึ้นตามอุดมคตินนั้ จะต้องถ่ายทอดให้รู้ซ้งึ ถึงแก่นสารแห่งพระธรรมของพระพุทธองค์ด้วย ย่อมเป็นความ จริงที่ว่าพระธรรมของพระพุทธองค์เองท่ีดลบันดาลใจให้ศิลปินคิดสร้างพระพุทธรูปข้ึนซึ่งส่ิงเหล่านี้จะเห็นได้ ชัดเจนในพระพุทธปฏิมากรรมสมัยตา่ ง ๆ ของไทยซึ่งประติมากรสามารถถ่ายทอดพุทธิปัญญาและสารัตถธรรม ให้หลอมรวมอยู่ในองค์พระประติมากรรมได้อย่างหมดจดงดงามอย่างที่สุด ซึ่งในสมัยสุโขทัยถือวา่ เป็นยุคที่งาน ประตมิ ากรรมมีความเจริญสงู สุด หรือเป็นยคุ คลาสสคิ ของประติมากรรมไทย ศิลปะแบบสโุ ขทยั เร่มิ แต่พ่อขุนศรี อินทราทิตย์ประกาศตนเป็นอิสระไม่ยอมข้ึนกับขอม ในราวปี พ.ศ. 1800 ไปจนสิ้นสมัยสุโขทัยประมาณพุทธ ศตวรรษท่ี 20 (เจนจบ ยิ่งสมุ ล, 2543) พระพุทธรูปที่สร้างข้ึนในสมัยน้ีมีความสมบูรณ์ มีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง ศิลปะสมัยสุโขทัยน้ันจะ เป็นศิลปะท่ีนิยมในความคิดหรืออุดมคติ (Idealistic Art) แสดงออกทางอารมณ์ซ่ึงความนึกคิดเหล่านี้กล่อม เกลาเปน็ ศิลปะแห่งความคดิ อานาจความคิดแอบแฝงมาในศลิ ปะนน้ั จดั วา่ เป็นสงิ่ ทสี่ าคัญและมอี ิทธิพลต่อศลิ ปะ แบบสุโขทัยนักวิชาการบางท่านได้จัดให้เป็นศิลปะท่ีงดงามท่ีสุดและมีลักษณะที่เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด โดยเฉพาะการสรา้ งพระพุทธรปู และจัดใหส้ มยั สโุ ขทัยเป็นยุคทองหรือยุคคลาสสิก ซ่งึ พระพทุ ธรูปเปน็ งานประติ มากรรมท่ีสร้างข้ึนหลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงแล้วเกือบ 700 ปี ซ่ึงไม่มี ผู้ใดเคยเห็นพระพุทธเจ้าองค์ที่แท้จริงพระพุทธรูปจึงเป็นภาพในมโนคติของผู้สร้ างซ่ึงในช่วงเวลาท่ีเกิด พระพุทธรูปน้ัน คัมภีร์ต่าง ๆ ได้เกิดข้ึนมามากมายโดยเฉพาะที่เป็นคาอธิบายของพระพุทธศาสนาฝา่ ยมหายาน เก่ยี วกับ พทุ ธภาวะรวมท้ังคติความเชอื่ เดมิ เก่ียวกับลกั ษณะของมหาบรุ ษุ ทตี่ กทอดกนั มาในสังคมของชาวอนิ เดยี โบราณล้วนเป็นตัวกาหนดสาคัญต่อรูปแบบของพระพุทธปฏิมากรท้ังส้ิน (ไขศรี ศรีอรุณ, 2553) และที่สาคัญ มหาปุริสลักษณะที่ปรากฏในพุทธศาสนาเป็นแนวคิดท่ีมีรากฐานอยู่ก่อนแล้วในจารีตประเพณีของพราหมณ์ใน อินเดีย โดยมีความเชอ่ื วา่ ผู้ทีม่ ีลักษณะดังกลา่ วปรากฏให้เห็นในรูปกายครบถว้ นเชน่ นนั้ คอื เคร่ืองหมายที่แสดงให้ เหน็ ถึงความเปน็ ผู้มบี ุญบารมีเต็มเปีย่ มอนั เปน็ ผลมาจากการทากรรมดสี ร้างบารมีไวแ้ ต่อดีตชาตแิ ละให้ทานายวา่ ผู้น้ันจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระเจ้าจักรพรรดิเท่านั้นซึ่งหลักฐานท่ีปรากฏในงานศิลปกรรมแนวคิดเรื่อง
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 223 มหาบุรุษลักษณะได้เก่ียวข้องกับการสร้างพระพุทธรูป เช่น ปรากฏการใช้อุรุณา หรืออุณาโลมอยู่ระหว่าง พระ ขนงของพระพุทธรูปในศิลปะคันธารราฐ อินเดีย และมักพบมหาปุริสลักษณะปะปนในพระพุทธรูปสมัยต่อมา อย่างชัดเจนอยเู่ สมอ (สันติ เลก็ สุขขุม, 2540) ในบทความน้ีจะได้วเิ คราะห์และนาเสนอวิเคราะห์ มหาปุริสลักษณะ 32 ประการ และ อนุพยัญชนะ 80 กล่าวคอื พระลักษณะปลีกย่อยของพระมหาปุรสิ ลักษณะขององคพ์ ระพทุ ธชินราชซึง่ เปน็ พระพุทธรูปที่สร้าง ขึน้ ในสมัยสโุ ขทยั และประเด็นที่เกยี่ วกับ (1) ลกั ษณะศิลปะสกลุ ชา่ ง (2) มหาปรุ ษุ ลกั ษณะองคพ์ ระพทุ ธชินราช (3) สัญลกั ษณ์สอื่ ความหมายทางสังคมและวฒั นธรรม ลกั ษณะศลิ ปะสกุลชำ่ งพุทธปฏมิ ำกรรม การสร้างพุทธประติมากรรมในระยะเริ่มแรกได้สร้างลกั ษณะท่าทางเพื่อเป็นเคร่ืองระลึกถึงพระพุทธ ประวัติหรอื เหตุการณส์ าคญั ท่ีพทุ ธศาสนกิ ชนคิดถงึ เชน่ ก่อนตรัสรู้จะสร้างพทุ ธปฏมิ ากรรมนัง่ ซ้อนพระหัตถ์เปน็ กิริยาสมาธิเม่ือพระองค์ชนะพญามารก็ทาเป็นพุทธปฏิมากรรมนั่งพระหัตถ์ขวาห้อยที่พระเพลาเพ่ือช้ีอ้างพระ ธรณีเป็นพยานหรือพุทธปฏิมากรรมอิริยาบถนอนเพื่อราลึกถึงเหตุการณ์เสด็จเข้าสู่ปรินิพพานเป็นต้น ยุคหลัง ต่อมาสร้างพุทธปฏิมากรรมเพ่ือราลึกถึงพระพุทธองค์ตามศรัทธาก่อให้เกิดพุทธปฏิมากรรมท่ีงดงามตามคติ ความนิยมของแต่ละกลุ่มชนลักษณะทางความงามแตกต่างตามท้องถ่ินและยุคสมัยต่าง ๆ เม่ือมีการสร้างพุทธ พุทธปฏิมากรรมแล้วในสมัยหลังต่อมามีการทารูปพุทธปฏิมากรรมรวมอยู่ในองค์ประกอบท่ีแสดงภาพพุทธ ประวัติ ในสมัยหลังต่อมาอีกมีการสร้างพุทธปฏิมากรรมเด่ียว ๆ ไม่มีองค์ประกอบเล่าเรื่องของภาพแต่ยังทา ท่าทางเหมือนกับมีภาพประกอบเรื่องซ่ึงยังแสดงความหมายถึงเรื่องราวของพุทธประวัติตอนใดตอนหนึ่งกากบั อย่เู ปน็ ความหมายเสมอลกั ษณะศิลปะสกลุ ชา่ งพระพุทธปฏมิ ากรรมแบบตา่ ง ๆ แบง่ ออกดงั ต่อไปน้ี 1) ลักษณะศิลปะสกุลช่ำงแบบคันธำรรำฐ (พุทธศตวรรษที่ 7-12) ถ่ินกาเนิดของลักษณะ พระพุทธรูปแบบน้ี ได้มาจากชาวกรีกโรมัน ที่แคว้นคันธารราฐ ประเทศปากีสถานและประเทศอัฟกานิสถานใน ปัจจุบัน 2) ลักษณะศิลปะสกุลช่ำงแบบมธุรำ (พุทธศตวรรษที่ 7-16) ถ่ินกาเนิดมาจากทางภาคเหนือของ อนิ เดียเปน็ ศลิ ปวัตถุ ก่อสรา้ งในยุคเดียวกบั คันธารราฐ 3) ลักษณะศิลปะสกุลช่ำงแบบอมรำวดี(พุทธศตวรรษที่ 7-10) ถ่ินกาเนิดท่ีอมราวดีซึ่งอยู่ทางภาค ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย เป็นพระพุทธรูปรุ่นแรกท่ีมีลักษณะแตกต่างจากพุทธศิลป์ 2 ยุคก่อน โดยผสมผสานศิลปะยุคอมราวดีและคันธารราฐเขา้ ด้วยกนั 4) ลักษณะศิลปะสกลุ ช่ำงแบบคุปตะ (พทุ ธศตวรรษที่ 10-12) กาเนิดในราชวงศ์คุปตะถือกันว่าเป็น สกุลชา่ งทส่ี ูงสดุ ของอินเดยี เปน็ พระพทุ ธรูปทม่ี คี วามงามเป็นยอดในขบวนฝีมือช่างอินเดยี ในสมัยโบราณดว้ ยกัน 5) ลักษณะศิลปะสกุลช่ำงแบบปำละ (พุทธศตวรรษท่ี 14–18) ถิ่นกาเนิดในแควน้ อ่าว เบงกอล ใน สมัยราชวงศ์ปาละอันเป็นศิลปะรุ่นสุดท้ายของพระพุทธศาสนาในอินเดีย มีลักษณะศิลปะของศาสนาพราหมณ์ หรือฮนิ ดผู สมผสานอยู่ (พระมหาวิชยั เลย่ เสง็ , 2544) ลักษณะศิลปะสกุลช่างพุทธปฏิมากรรมในประเทศไทย เริ่มต้นขึ้นต้ังแต่พระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ สุวรรณภมู ิ พ.ศ. 300 เม่ือพระเจา้ อโศกมหาราชผทู้ รงเริม่ วางรากฐานและทรงเป็นเอกอคั รศาสนูปถมั ภกที่สาคัญ
224 ปที ี่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) และเข้มแขง็ ไดส้ ง่ พระสมณทูตมีพระโสณเถระและพระอุตรเถระเข้ามาเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาแต่สมยั นน้ั ยังไมม่ ี พุทธปฏิมากรรมเพราะยังไม่มีการสร้างข้ึนบูชาจะมีก็แต่พระสถูปเจดีย์และพระธรรมจักรเท่านั้นเมื่อมีการสรา้ ง พุทธปฏิมากรรมขึ้นก็เผยแพร่เข้าสู่สุวรรณภูมิอย่างรวดเร็วพุทธปฏิมากรรมที่พบมากในสุวรรณภูมิคือพุทธ ปฏิมากรรมแบบอมราวดี (ราว พ.ศ. 600-900) ตรงกับสมัยสุวรรณภูมิรุ่นหลังหรือท่ีเรียกว่า ทวารวดี หลังจาก นั้นราว พ.ศ. 900-1500 มีผู้พบเห็นพุทธปฏิมากรรมแบบคุปตะและในระยะนี้เองที่ชาวสุวรรณภูมิได้ร่วมกัน สร้างพุทธปฏิมากรรมโดยใช้แบบที่มาจากอินเดียเป็นพื้นฐานการสร้างจนกระท่ังปรากฏพุทธปฏิมากรรมแบบ ทวารวดี หรือ แบบสมัยก่อนสุโขทัย-เชียงแสนระยะแรกขึ้นซ่ึงมีเอกลักษณ์โดดเด่นแสดงว่าเป็นฝีมือของช่างใน สมัยนั้นๆ และบางองค์อาจเป็นฝีมืออาจารย์ชาวอินเดียท่ีเข้ามาช่วยสร้าง ในช่วงระยะเวลาเดียวกันช่วง พ.ศ. 1200 - 1700 ได้ปรากฏพุทธปฏิมากรรมขึ้นทางภาคใต้ของสุวรรณภูมิเป็นพุทธปฏิมากรรมแบบศรีวิชัยซึ่งมี ลักษณะเฉพาะเช่นเดียวกันและในเวลาเดียวกันท่ีเมืองลพบุรีก็ได้พบพุทธปฏิมากรรมที่มีลักษณะเฉพาะไปอีก แบบหนง่ึ คอื พุทธปฏมิ ากรรมแบบลพบุรีซงึ่ มีส่วนคล้ายคลึงกันกบั พทุ ธปฏิมากรรมในกัมพชู า ส่วนทางภาคเหนือ สมยั เชียงแสน พ.ศ. 1600 สมัยสุโขทยั พ.ศ. 1800 ภาคกลางสมัยอยธุ ยา พ.ศ. 1900 และสมัยรัตนโกสนิ ทร์ เรมิ่ เม่อื พ.ศ. 2325 (สมพร ไชยภูมธิ รรม, 2543) พทุ ธปฏมิ ากรรมในสมัยสโุ ขทัย มลี กั ษณะทส่ี ่ือใหเ้ ห็นถึงเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตัวซึง่ พุทธปฏมิ ากรรมท่เี ปน็ พื้นฐานของพุทธปฏิมากรรมสมัยสุโขทัย คือพุทธปฏิมากรรมรูปแบบปัลลวะ แบบจาลุกยะ แบบปาละ แบบ โจฬะและแบบหิริภุญชัย เมื่อได้แนวพื้นฐานจากพุทธประติมากรรมแบบต่างๆ แล้วก็สร้างขึ้นใหม่ตามรสนิยม แห่งความงามตามยุคสมัย ซงึ่ ถา่ ยทอดเอาความรูส้ ึกทางจติ วิญญาณทีม่ ีศรัทธาแก่กล้าออกมาเปน็ พุทธลักษณะท่ี งามเด่นได้อย่างอัศจรรย์นอกจากน้ันยังได้ประดิษฐ์รูปแบบเปลวรัศมีบนพระเมาลีได้อย่างสวยงามแตกต่าง ออกไปจากยุคสมัยต้นๆ ซ่ึงแต่ละสมัยต่างก็มีความเช่ือทางศาสนาทแี่ ฝงด้วยศรัทราอันแรงกล้าและเอกลักษณ์ เฉพาะตัวศิลปะท่ีเกี่ยวข้องกับศาสนามีผลโดยตรงทีส่ ัมพันธ์กับวิถีชวี ิตของมนุษย์เป็นหลักฐานสาคัญในการทจี่ ะ แสดงให้เห็นภูมิปัญญาความศรัทธาท่ีมนุษย์มีต่อศาสนาด้วยศรัทธาที่มีต่อศาสนานี้เองที่เป็นพลังให้เกิดการ สร้างสรรค์งานพุทธปฏิมากรรมซ่ึงสามารถสือ่ ให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ พัฒนาการด้านสงั คมและวัฒนธรรม องค์ พระพุทธปฏิมากรจึงเป็นสัญลักษณ์ท่ีสร้างข้ึนเป็นตัวแทนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อให้ผู้นับถือ พระพุทธศาสนาได้ระลึกถึงและแสดงความเคารพกราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้านอกจากน้ี พุทธศาสนาซึ่งยังมี ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตประเพณีวฒั นธรรมและสังคมของคนไทยมาชา้ นานซึ่งมีตน้ เค้ามาจากอินเดยี มา แพร่หลายในสุวรรณภูมิและประเทศไทยเร่ือยมาดังได้พบหลักฐานในที่ต่างๆ จนในช่วงพุทธศตวรรษท่ี 19-20 พุทธปฏิมากรรมได้มีการพัฒนาจนเปน็ เอกลักษณ์เฉพาะของแตล่ ะสมัยพุทธปฏิมากรรมเหล่านน้ั สะทอ้ นให้เหน็ ภูมิปัญญาของช่างสภาพสังคมสภาพบ้านเมืองแต่ละยุคสมัยอีกท้ังแสดงให้เห็นความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ศิลปกรรมกับศาสนามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเพราะศิลปะถูกใช้เป็นส่ือในการเผยแพร่ศาสนาหรือสร้างเป็น สัญลักษณ์ของศาสนา
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 225 มหำปุรษุ ลักษณะองคพ์ ระพุทธชินรำช องค์พระพุทธชินราช ประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหาร วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัด พิษณุโลก สันนิษฐานว่าสร้างข้ึนในปี พ.ศ. 1900 ตรงกับรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ 1 พระมหากษัตริย์แห่ง กรุงสุโขทัย พร้อมกับ พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา และพระเหลือ เป็นพระพุทธรูปที่สาคัญองค์หนึ่งใน ประวตั ิศาสตรไ์ ทย พระมหากษตั ริยไ์ ทยทงั้ สมยั สโุ ขทยั อยุธยาและรัตนโกสินทร์ ทรงเคารพนับถือสกั การบชู ามา โดยตลอด หล่อด้วยสารดิ ปางมารวิชยั ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย หน้าตักกว้าง 5 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว (2.85 เมตร) สูง 7 ศอก 1 คืบ (3.72 เมตร) ต้ังประดษิ ฐานบนฐานชกุ ชี มีลายปูนปั้นเป็นรูปบวั คว่าบัวหงาย เป็นพระพุทธรูป องค์ประธานประดิษฐานท่ีวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก และองค์พระพุทธชิน ราช เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามท่ีสุดในประเทศไทยและในโลก เส้นรอบนอกพระวรกายอ่อนช้อย พระพักตร์คอ่ นข้างกลมพระขนงโก่ง พระเกตมุ าลาเปน็ รูปเปลวเพลิง มีลักษณะพเิ ศษเรยี กว่าทฆี งคลุ ี คอื ทปี่ ลาย นิ้วพระหัตถ์ท้ังสี่นิ้วยาวเสมอกัน ซุ้มเรือนแก้วทาด้วยไม้แกะสลักสร้างในสมัยอยุธยา แกะสลักเป็นรูปมังกร (ลาตัวคล้ายมังกรแต่มีงวงคล้ายช้าง) อยู่ตรงปลายซุ้ม และมีลาตัวเหรา (คล้ายจระเข้) อยู่ตรงกลางซุ้ม มีเทพอ สุราปกป้องพระองค์อยู่สองตน คือ ท้าวเวสสุวัณ และอารวกยักษ์ องค์พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูป คู่บ้านคู่เมืองมาต้ังแต่โบราณ มีตานานจากพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แห่งกรุง รัตนโกสินทร์ ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. 2409 โดยอาศัยหลักฐานจากพงศาวดารเหนือ แต่หลักฐานทาง ประวัติศาสตรโ์ บราณคดียุติได้ดังนี้ พระพุทธชินราชสรา้ งโดยพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลไิ ท) กษตั รยิ ล์ าดบั ที่ 5 แห่งกรุงสุโขทัย ซึ่งในตานานพระพุทธชินราช เรียกว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก โดยสร้างพระพุทธรูปพร้อม กนั 3 องค์ เพือ่ ประดษิ ฐานในพระวหิ าร ของวดั พระศรรี ัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร เมืองพิษณโุ ลก เมอ่ื พ.ศ. 1900 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลิขิตคาสรรเสริญที่มีต่อ ภำพพระพทุ ธชินรำช วดั พระศรีรตั นมหำธำตุ พระพทุ ธชนิ ราช ไวว้ ่า วรมหำวิหำร จงั หวดั พษิ ณโุ ลก “ต้ังแต่ข้าพเจ้าเห็นพระพุทธรูปมานักแล้ว ไม่ได้เคย รู้สึกว่าดูปล้ืมใจจาเริญตาเท่าพระพุทธชินราชเลย ที่ต้ังอยู่นั้นก็ เหมาะกับพระ มีท่ีดูได้ถนัดและองค์พระก็ตั้งต่า พอดูได้ตลอดองค์ ไม่ ต้องเข้าไปดูจ่อเกินไป และไม่ต้องแหงนคอต้ังบ่า แลดูแต่นาสิกพระ ยิ่งพิศไปย่ิงรู้สึกยินดีว่าไม่เชิญลงมาเสียจากท่ีน้ัน ถ้าพระพุทธชินราช ยังคงอยู่ท่ีพิษณุโลกจะเป็นเมืองที่ควรไปเที่ยวอยู่ตราบน้ันถึงในเมือง พิษณุโลกจะไม่มีชิ้นอะไรเหลืออยู่อีกเลย ขอให้มีแต่พระพุทธชินราช เหลืออยู่แล้ว ยังคงจะอวดได้อยู่เสมอว่ามีของควรดูควรชมอย่างย่ิง อย่างหนึ่งในเมืองเหนือ ฤาจะว่าในเมอื ไทยท้ังหมดกไ็ ด้” (พระพุทธชนิ ราช, 2554) การสร้างองค์พระพุทธชินราช พระมหาธรรมราชาลิไท ทรงรวบรวมช่างประติมากรรมที่มีฝีมือของ เมอื งสุโขทยั ศรีสัชนาลยั และเมอื งพษิ ณโุ ลก มารว่ มหลอ่ องค์พระพทุ ชินราช พระพุทธชินศรี และพระศรีศาสดา ข้ึนแต่หล่อสาเร็จเพียงสององค์ส่วนพระพุทธชินราชหล่อเททองหล่อถึงสามคร้ังก็ไม่สาเร็จ ซ่ึงต่อมาปรากฏมี ชีปะขาวมาช่วยหลอ่ องค์พระพุทธชินราชจึงสาเร็จ ชีปะขาวเชือ่ กันวา่ เปน็ เทวดาจตุ ิมาช่วยหลอ่ องค์พระพทุ ธชิน
226 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ราช ประเด็นสาคญั การทบ่ี รรดาช่างทั้งหลายท่ไี ด้รวบรวมกนั มาจากทีต่ ่างๆ ร่วมกันสรา้ งนัน้ มนั เหมือนกบั เทวดา มาเนรมิต การสร้างองค์พระพุทธชินราชไม่ได้สร้างข้ึนเพื่อเงิน แต่สร้างข้ึนเพ่ือหล่อหลอมจิตใจของชาวพุทธ ทั้งหลาย และเม่ือมองจากบริบทในสมัยนั้นซ่ึงขอมได้แผ่อานาจมาถึงอาณาจักรสุโขทัย คติความเชื่อจะได้รับ อิทธิพลศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การสร้างองค์พระพุทธชินราช เหมือนกับเป็นผู้พิชิตอิทธิพลขอมต้ังแต่นั้นมา พระพุทธชินราช จากคาไวพจน์เป็นการแสดงถึงความหมายของการยกย่องพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงเป็น พระราชาผู้ชนะ พระพุทธรูปปางมารวิชัยเป็นปางแห่งสัญลักษณ์ของการตรัสรู้ ชนะกิเลสมารทั้งหลายทั้งปวง มารวชิ ยั แปลวา่ ชนะมาร หรอื สะดุ้งมาร พทุ ธลกั ษณะอริ ิยาบถนง่ั ขัดสมาธิ พระหตั ถ์ซ้ายหงายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางคว่าลงที่พระชานุ นิ้ว พระหัตถ์ชี้ลงที่พ้ืนธรณีในคราวท่ีพระองค์ทรงเอาชนะมารได้ และองค์ พระพทุ ธชนิ ราชกเ็ ปน็ หนึ่งในพุทธศลิ ป์ทบ่ี ง่ บอกถึงคุณค่าทางประวัตศิ าสตร์ ยคุ สมยั ของการสร้าง แสดงถงึ ความ เจริญรงุ่ เรืองของพระพุทธศาสนาในสมัยนัน้ (พระมหาวิชัย เล่ยเส็ง, 2544) มหาปุรษุ ลักษณะองค์พระพุทธชนิ ราช สะท้อนให้เห็นถึงความงามทมี่ ีลักษณะเด่น ดงั น้ี (1) พระเกศ รัศมียาวเป็นเปลวเพลิง (2) พระเกศาขดเป็นก้นหอยขนาดใหญ่ (3) วงพระพักตร์ค่อนข้างกลมไม่ยาวรีเหมือน ผลมะตูมเช่นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยหมวดใหญ่ (4) มีพระอุณาโลมผลิก อยู่ระหว่างพระโขนง (5) พระวรกาย อวบอว้ น (6) มสี งั ฆายาวปลายหยกั เปน็ เขีย้ วตะขาบฝังดว้ ยแก้ว (7) นว้ิ พระหัตถท์ ัง้ ส่ยี าวเสมอกัน (ทฆี งคุลี) (8) ฝ่าพระบาทแบนราบค่อนข้างแคบเมื่อเทยี บกับพระพุทธรูปสมยั สโุ ขทัยหมวดใหญ่ (9) ส้นพระบาทยาว (10) มี รูปอาฬวกยักษ์ และรูปท้าวเวสสุวัณหล่อด้วยทองสัมฤทธ์ิเฝ้าอยู่ท่ีพระเพลาเบื้องขวา และซ้ายขององค์ ตามลาดับ (11) มีซุ้มเรือนแก้วและสลักด้วยไม้สักลงรักปิดทองประดับเบ้ืองพระปฤษฎางค์ประณีตอ่อนช้อย ชว่ ยเน้นให้พระวรกายของพระพทุ ธชนิ ราชมีความงดงามย่ิงขึ้น นอกจากมหาปรุ ิสลกั ษณะ 32 ประการแลว ยงั มี ลกั ษณะยอ่ ยทางดานพระรูปกายเรยี กวา อนุพยัญชนะ 80 ซง่ึ ละเอยี ดยงิ่ ข้นึ ไปอีก เช่น มนี ิ้วพระหตั ถแ์ ละนว้ิ พระ บาทเหลืองงาม พระนขา ท้ัง 20 มีสีแดง งอนงามชอนข้ึน ดวงพระพักตร์มีสัณฐานยาว ลายพระหัตถ์มีรอยลึก รอยตรงยาวไมคอมคด เป็นต้น สญั ลักษณส์ อ่ื ควำมหมำยทำงสังคมและวัฒนธรรม สัญลักษณ์สอ่ื ความหมายทางสงั คม อาณาจักรสโุ ขทัยเปน็ อาณาจกั รทอี่ ยู่ทางภาคกลางตอนบน หรือ ภาคเหนือตอนลา่ ง มีศูนยก์ ลางอยูท่ ่ีเมอื งสุโขทัยหากพจิ ารณาดปู ระวตั ิศาสตรข์ องอาณาจักรสุโขทยั โดยภาพรวม แล้วจะพบว่าอาณาจักรสุโขทัยเป็นอาณาจักรที่สงบร่มเย็นประชาชนกินดีอยู่ดี มีฐานะทางเศรษฐกิจดีอุดม สมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติถึงแม้ว่าในชว่ งต้นสมัย ซ่ึงเป็นช่วงที่กอบกู้เอกราชจากข้าศึกเป็นช่วงหวั เร่ียวหัวต่อ จะมีการสงครามมาเก่ียวข้องอยู่บ่อยคร้ัง แต่พอมาถึงสมัยของพ่อขุนรามคาแหงมหาราชแล้ว บ้านเมืองอยู่ในภาวะสันติสุข ทรงทานุบารุงพระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ สมัยของพระธรรมราชาท่ี 1 ทรงมี ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ถึงกับทรงออกผนวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา ทรงเล่าเรียนศึกษา หลักธรรมคาสั่งสอนขององคส์ มเดจ็ พระสัมมาสัมพุทธเจา้ จนแตกฉานและไดท้ รงนพิ นธห์ นงั สือ เตภูมิกถา หรือ ไตรภูมิพระร่วงจะเห็นได้ว่าพระมหากษัตริย์ทรงทาการทานุบารุงพระพุทธศาสนาเป็นอย่างดี และบ้านเมืองไม่ ค่อยมีการสงครามมากนักบ้านเมืองสงบร่มเย็นเป็นสุขจึงทาให้สกุลช่างสุโขทัย มีเวลาถ่ายทอดอุดมคติผ่านการ สร้างพุทธปฏิมากรรมได้อย่างเต็มที่ สร้างสรรค์งานด้วยจิตวิญญาณที่มีความเล่ือมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 227 อย่างแรงกล้าจึงทาให้ พุทธปฏิมากรรมสมัยน้ีมีลักษณะเฉพาะตัวมีความวจิ ิตรงดงามและพทุ ธปฏิมากรรม องค์ พระพุทธชินราชซึ่งสร้างขึ้นในสมัยนี้ ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยสดงดงามมากที่สดุ ซึ่งการสร้าง พุทธประติมากรรม องค์พระพุทธชินราชข้ึนในยุคนั้นนอกจากจะส่ือสัญลักษณ์ให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองทาง พระพุทธศาสนาแล้ว ยังส่ือให้เห็นถึงความมั่นคงทางสังคม การเมือง เนื่องจากในสมัยน้ันอิทธิพลขอมได้แผ่ อานาจเข้ามาถึงอาณาจักรสุโขทัย ลัทธิความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู เป็นหลักปฏิบัติและสถาปตั ยกรรม ในยุคนั้นจึงสร้างข้ึนเพ่ือบูชาเทพเจ้า ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เมื่ออาณาจักรสุโขทัยประกาศอิสรภาพจากการถกู ครอบงาของขอมการสร้างศาสนสถาน สถาปัตยกรรมรูปแบบของพระพุทธศาสนาจึงเริ่มข้ึน ซ่ึงการสร้างองค์ พระพุทธชนิ ราช ถือว่าเปน็ การประกาศชัยชนะและเปน็ การสถิตม่นั ในพระพุทธศาสนาสืบเน่อื งมาถึงทุกวันน้ี สัญลักษณ์ส่ือความหมายทางวัฒนธรรม องค์พระพุทธชินราชนอกเหนือจากการเป็นพระพุทธรูป สาคัญคู่บ้านคู่เมืองในประวัติศาสตร์แล้ว ยังถูกนิยามบทบาทและความหมายสาคัญยิ่งอีกประการหน่ึงนั่นก็คือ การเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นไทย อันเป็นตัวแทนภาพความเจริญทางวัฒนธรรมไทยท่ีสามารถนาออกอวด ชาวโลกได้ไม่แพ้ชาติใดๆ พระพุทธชินราช มีพุทธศิลปะที่งดงามเมื่อมองในหลากหลายมิติก็จะเห็นมุมมองที่ ทรงคุณค่าโดยเฉพาะทางด้านวัฒนธรรม ซ่ึงนับได้ว่าเป็นประติมากรรมทางพุทธศาสนาท่ีผู้สร้างบรรจงสร้าง ขึ้นมาเพ่ือตอบสนองความเช่ือความศรัทธา ความภาคภูมิใจ และได้แสดงออกมาเป็นงานปฏิมากรรมอันเป็น สัญลักษณ์ประจาชาติ การส่ือความหมายทางด้านวัฒนธรรมผ่านปฏิมากรรม สามารถมองส่ือถึงวัฒนธรรม เกี่ยวกบั พทุ ธลกั ษณะตคี วามถงึ พระพุทธคณุ 3 ประการ ไดแ้ ก่ 1) พระบริสุทธิคุณ ความงดงามท่ีเกิดจากความบริสทุ ธ์ิหมดจดจากสรรพกิเลสน้อยใหญ่ สะท้อนให้ เหน็ ได้จากความงดงามและบริสทุ ธขิ์ องพระพทุ ธชินราช 2) พระปญั ญาธิคณุ ความงดงามของพระเกศรัศมีท่เี ป็นเปลวเพลิง และพระเกศขดเปน็ ก้นหอยขนาด ใหญ่ ซงึ่ นัยนี้ส่อื ถงึ วา่ เปน็ พระปญั ญาธิคณุ ท่ีสามารถแก้ไขปัญหาสารพนั ได้ทุกชนิดดว้ ยพระปญั ญาอันย่งิ ใหญ่ 3) พระมหากรุณาธิคุณ ความโดดเด่นสง่างามท่เี กิดจากแรงบนั บาลใจในการหล่อหรือสร้างพระพุทธ ชนิ ราช เปน็ ไปตามมหาปรุ ิสลักษณะท่ีปรากฏในคัมภรี พ์ ระไตรปฎิ กและอรรถกถา (พระพัฒน์ ศรกี ุลกิต, 2016) การสื่อความหมายทางวัฒนธรรมดังกล่าวยังเป็นคุณค่าที่เก่ียวข้องกับขนบธรรมเนยี มจารีตประเพณี เป็นความภาคภูมิใจของคนในสังคม เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในสังคม เช่นการเดินทางไปกราบไหว้ เคารพ สักการะ และทากจิ กรรมต่างๆ ภายในพระวิหารพระพุทธชินราชของประชาชนไทยและตา่ งประเทศ เปน็ จานวน มากในแต่ละปี เป็นต้น วัฒนธรรมทางด้านสงั คมนนี้ บั ได้ว่าเดน่ ชัดท่สี ดุ อีกอย่างหนึ่ง เพราะพระพุทธชนิ ราชเปน็ ท่ียอมรับกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีลักษณะงดงามที่สุดองค์หนึ่งและท่ีสาคัญเป็นพระพุทธรูปท่ีนิย มจาลอง (สรา้ ง) กนั มากที่สดุ ในประเทศไทย และนอกจากน้ียงั เป็นพระพุทธรูปทีช่ าวไทยศรทั ธาและนยิ มเดินทางไปกราบ ไหว้บูชามากท่ีสุดองค์หน่ึง ซ่ึงเมื่อมองจากมิติน้ีส่ือความหมายถึง คุณค่าที่เกิดจากปัญญาและสรรค์สร้างพัฒนา ปัญญา การจะตัดสินว่าจุดมุ่งหมายใดเป็นจุดมุ่งหมายท่ีเข้ากับหลักปัญญานั้น อาจพิจารณาได้จากหลักการ สาคญั ในทางพระพุทธศาสนา ซึง่ มีความสมั พนั ธ์กับการบชู าพระพุทธชนิ ราชเพอื่ ให้เกดิ คุณคา่ ทางสงั คม
228 ปีท่ี 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) สรปุ พระพุทธชนิ ราช เป็นพทุ ธประติมากรรมทางพระพุทธศาสนาทม่ี ีความสาคญั ต้ังแต่อดตี จนถึงปจั จบุ นั ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนในสังคมที่ผูกพันอยู่อย่างแนบแน่นกับพระพุทธศาสนา ผสมผสานอย่ใู นแนวความคิด จติ ใจและกิจกรรมแทบทุกก้าวของชวี ิตโดยตลอดเวลายาวนานการดาเนินชวี ติ และ กิจกรรมต่างๆ ในสังคมต้ังแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา ล้วนได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนา สัญลักษณ์ของการ สรา้ งองคพ์ ระพุทธชินราช สามารถส่ือความหมายถึงความเจรญิ รงุ่ เรอื งของพระพทุ ธศาสนา ผคู้ นในสังคมได้หลอ่ หลอมชีวิตจิตใจและมลี ักษณะนิสัยเปน็ ผู้มจี ิตใจกวา้ งขวางและร่าเริงแจ่มใส ชอบเอื้อเฟื้อเผ่ือแผ่แสดงความเป็น มิตร ยินดีในการให้และการแบ่งปันพร้อมท่ีจะบริจาคและให้ความช่วยเหลืออย่างท่ีเรียกว่าเป็นคนมีน้าใจ อัน เป็นเอกลักษณ์เด่นชัด รวมท้ังประเพณีวัฒนธรรม สังคมหรือชุมชนล้วนเก่ียวข้องกับพระพุทธศาสนาโดยตลอด ถ้าไม่เป็นเรื่องของศาสนาหรือสืบเนื่องจากพระพุทธศาสนาโดยตรง ก็ต้องมีกิจกรรมตามคติความเช่ือหรือแนว ปฏิบัติในพระพุทธศาสนาแทรกอยู่ด้วยตลอดมา จากนัยดังกล่าวพระพุทธศาสนาจึงมีความสาคัญอย่างย่ิงต่อ ความคิดทางด้านการพฒั นา จิตใจ เพราะพระพุทธศาสนาเน้นถึงธรรมะที่สามารถนามาประยุกต์กับการพฒั นา สังคมและ วฒั นธรรมไดเ้ ปน็ อยา่ งดี เช่น พระพุทธศาสนาสอนใหค้ นมคี วามเสยี สละช่วยเหลือต่อส่วนรวม มีจิตใจ เป็นธรรม ทาให้บุคคลรู้จักตนเอง รู้จักสังคมและทาประโยชน์ต่อสังคม จึงจาเป็นอย่างยิ่งในยุคปัจจุบัน การ อนุรักษ์รักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมไทยไม่ให้เสื่อมสลายไป จากคากล่าวที่ว่าคนมีจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว ความคิด จิตใจเป็นตวั ควบคุมหรือกาหนดพฤติกรรมทางกาย การพัฒนาบุคคลจึงต้องเร่ิมพัฒนาที่จิตใจ ให้เป็นผู้มคี วามรู้ ความเข้าใจ มี ความคิดเห็นท่ถี ูกต้อง เมื่อมีความคิดเห็นถูกต้องแล้วก็จะทาอะไรถูกตอ้ งไปด้วย เครื่องมือในการ พัฒนาจิตใจไม่มีอะไรดีไปกว่า ธรรมะ ในพระพุทธศาสนา ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา การสร้าง จิตสานึกด้านคณุ งามความดี ได้แก่ การมีคุณธรรมทางจิตใจ ปราศจากอบายมุข สามารถพ่ึงตนเอง ได้ มีสุขภาพจิตดี ไม่มั่วสมุ ใน การพนันทกุ ประเภท องคพ์ ระพทุ ธชนิ ราช จงึ เป็นสญั ลกั ษณ์ที่สอื่ ใหเ้ หน็ ถึงบทบาทของพระพทุ ธศาสนาตอ่ การพฒั นาสงั คม รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีและ วฒั นธรรม อันดงี ามของชาติบ้านเมอื งให้ดารงอยไู่ ด้ตลอดกาล พทุ ธลักษณะ อันงดงามของพุทธปฏิมากร องค์พระพุทธชินราชได้รับอิทธิพลความงามตามอุดมคติแบบอินเดียและลังกามา ผสมจนลงตัวกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสุโขทัย และพุทธปฏิมากรรมปางมารวิชัยในพุทธอิริยาบถประทบั นั่งแสดงสื่อความหมายถึง ตอนพระพุทธองค์ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือทรงช้ีพระแม่ธรณีเป็นพยานที่ พระองคม์ ีชยั ชนะต่อหมู่มารทาท่านั่งขัดสมาธริ าบมากกวา่ ขดั สมาธิเพชร ในทางพุทธศลิ ปะพุทธปฏิมากรถือเป็น หัวใจของพระพุทธศาสนาเพราะช่างบรรจงสร้างด้วยความรู้ ความสามารถและศรัทธาท่ีจะให้เป็นรูปเคารพ สูงสุดแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งดูเหมือนว่าพุทธปฏิมากรในปัจจุบันอาจไม่ได้เป็นรูปเหมือนจริง ของพระพุทธเจ้าหากแตเ่ ป็นรูปเนรมิตรวมเอาตามลักษณะอันประเสริฐของพระพุทธองค์หรือตามมหาปรุ ิสบรุ ุษ 30 อนุพยัญชนะ 80 ซ่ึงต้องการที่จะให้ผู้พบเห็นได้ระลึกนึกถึงคาสอนอันเป็น สัจธรรมและก่อให้เกิดศรัทธา นามาซึ่งความสงบร่มเย็นเจริญมัน่ คงของผู้คนในสังคมและเปน็ การสืบทอดวฒั นธรรมทางพระพุทธศาสนาให้คง อยู่ตลอดไป สรุปเปน็ องคค์ วามรู้ใหม่ตามแผนภาพดงั น้ี
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 229 องคค์ วำมรใู้ หม่ รกั ษา การ ศีล ขนบธรร พฒั นา มเนียม สงั คม ประเพณี พระพทุ ธ ชินราช ปัญญา สมาธิ เอกสำรอ้ำงองิ ไขศรี ศรอี รุณ. (2553). พระพทุ ธรูปปางต่างๆ ในสยามประเทศ. กรงุ เทพฯ: มตชิ น. เจนจบ ยง่ิ สมุ ล. (2543). พระพทุ ธรูปสาคญั ในเมืองไทย. กรงุ เทพฯ: ประพันธส์ าสน์. ปรชี า ช้างขวญั ยนื . (2520). การศึกษาจรยิ ศาสตร์สงั คมในพทุ ธศาสนาในเชงิ วจิ ารณ์. (วทิ ยานพิ นธ์อักษรศาสตร มหาบัณฑิต บณั ฑิตวทิ ยาลยั , จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ) พระมหาวิชัย เลี่ยวเส็ง. (2544). พุทธศิลป์กับการท่องเท่ียว: ศึกษาบทบาทของวัดในการอนุรักษ์พุทธศิลป์เพื่อ การท่องเท่ียว. (วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทียบ, มหาวทิ ยาลยั มหดิ ล). วดั พระศรีรัตนมหาธาตวุ รมหาวหิ าร. (2554). พระพุทธชินราช. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์กรุงเทพฯ. ศรีศักดิ์ วัลลิโภดม. (2528). ความสาคัญของวัดพระศรีรัตนธรรมมหาธาตุประวัติศาสตร์และโบราณคดีเมือง พิษณโุ ลก. พษิ ณุโลก: บริษัท โฟกัสการพิมพ์. สมพร ไชยภมู ธิ รรม. (2543). ปางพระพทุ ธรูป. กรงุ เทพฯ: ต้นธรรม. สันติ เล็กสุขุม. (2540). ศิลปะสโุ ขทยั . กรงุ เทพฯ: เมืองโบราณ.
230 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020)
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 231 หลกั การบรรจุเพลงในงานประเพณีเทศน์มหาชาติ The Principle of Songs Selection in the Mahachat Sermon Tradition วัชระ แตงเทศ I Watchara Tangted อาจารยป์ ระจาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อตุ รดติ ถ์ Lecturer of Faculty of Humanities and Social Sciences, Uttaradit Rajabhat Univrsity Corresponding Author, E-mail: [email protected] (Received: 12 April 2020, Revised: 24 April 2020, Accepted: 27 April 2020) บทคดั ยอ่ ประเพณีเทศน์มหาชาติในประเทศไทยว่าดว้ ยพุทธศาสนิกชนมีความเชื่อกันมาแต่โบราณว่า ผู้ใดฟัง เทศน์มหาชาติจบ 13 กัณฑ์จะได้รับผลอานิสงส์มาก การเทศน์มหาชาติในปัจจุบันมีขั้นตอนที่ต่างไปจากเดิม ส่วนการบรรเลงเพลงประกอบการเทศน์มหาชาติมีความเชื่อว่าเกิดจากการวิเคราะห์ตัวละครที่ประกอบอากับ กิริยาในเนือ้ เรื่องของแต่ละกัณฑ์ ใช้แนวคิดของทฤษฎีองค์ประกอบของ ทานอง จังหวะ และกระสวนของเพลง ที่ให้อารมณ์ตามตัวละครในเนื้อเรื่องทั้ง 13 กัณฑ์ ยังใช้หลักฐานสมัยโบราณมาเป็นแนวทางการวิเคราะห์ ความหมายของเพลงที่ใช้ประกอบการเทศน์ เพื่อเพิ่มน้าหนักในทางวิชาการทาให้ง่ายต่อการเข้าใจในการใช้ เพลงประจากัณฑ์ทั้ง 13 กัณฑ์ การใช้วงปี่พาทย์บรรเลงในสมัยโบราณใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าเป็นหลักในการ บรรเลง ปัจจบุ ันมกี ารนาวงปีพ่ าทย์เครอ่ื งคูบ่ รรเลงเทศนม์ หาชาติ เพลงบรรเลงเรม่ิ งานเทศนม์ หาชาติ หรือเพลง โหมโรง สมัยโบราณใช้โหมโรงเทศน์ ประกอบด้วย 5 เพลง เพลงสาธุการ, เพลงกราวใน, เพลงเชิด, เพลงชุม และเพลงลา เพลงโหมโรงเทศน์มีความสาคัญในการบรรเลงประกอบการเทศน์มหาชาติ มีความเชื่อว่าเป็นการ ประกาศให้ชาวบ้านที่รับขั้นกัณฑ์เทศน์รู้วา่ ได้เริ่มงานเทศน์มหาชาติแลว้ ทุกคนจะรีบนาขัน้ กัณฑ์เทศน์ท่ีตนเอง ไดร้ บั ฎีกาจากวดั นามาวางบนโตะ๊ เพอื่ รอพระขึน้ เทศน์ในกัณฑ์ของตนเอง เม่อื พระเรม่ิ ขนึ้ เทศน์กณั ฑ์ท่ี 1 จนถึง กัณฑ์ที่ 13 จบลง วงปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงเชิด-กราวรา แสดงว่าเทศน์มหาชาติได้จบลง เป็นการบรรเลงสืบ ทอดมาต้ังแตอ่ ดีตถึงปัจจบุ นั คำสำคัญ: ประเพณ;ี เทศนม์ หาชาติ ; การบรรจเุ พลง ABSTRACT This article aims to present the principles of song selection in the Mahachat sermon tradition according to the beliefs of ancient Thai Buddhists that those who listen to the 13 sermons completed in one day will receive great merit. Today's Mahachat sermon has a different procedure. The music played in the sermon comes from the analysis of the mannerisms of the characters in each story by using the concept of the theory of the composition of melodies, rhythms and rhythms of music that gives the mood according to the characters in the 13 stories, using ancient evidence to analyze the meaning of music to increase academic credibility-making it easier to understand in the use of traditional 13 songs. In ancient times, the five-instrumental Pi Pat band has been mainly used in instrumental play. Nowadays, the two-instrumental Pi Pat band has been chosen to play
232 ปที ่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) in the Mahachat sermon ceremony, instrumental music or overture is used to start the Mahachat sermon. In ancient times, 5 songs that were used in the preaching of the Mahachat sermon are Sidhukarn Song, Ground Nai Song, Cherd Song, Chum Song and La Song, They were used to let the villagers who receive the sermon story ticket know the beginning of the sermon ceremony. They quickly bring the temple ticket of invitation to the table and wait for the monks to start preaching their own story. When the monks begin the 1st sermon until the 13th sermon, the Cherd-Grawrum song will be played by the Pi Pat band to announce the sermon’s end. It was inherited from the past to the present. Keywords: Principle; Songs Selection; Mahachat Sermon Tradition บทนำ ประเพณีการเทศน์มหาชาติ เป็นศิลปวัฒนธรรมในประเพณีไทย ที่มีการสืบทอดกันมายาวนานตั้งแต่ พระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้ามายังประเทศไทยในสมัยสุโขทัยเป็นต้นมา ดังพระราชปรารภในพระเจ้าอยู่หัวลิไท โดยปรากฏในศิลาจารกึ นครชุมหลักที่ 3 จารกึ ลงเมอ่ื พ.ศ. 1500 มใี จความวา่ “ในเดือนหกบรู ณมี ผิจักนับด้วย วัน ได้เจ็ดแสนหมื่นสี่ร้อยหกสิบแปดวัน พระได้เป็นพระพุทธนั้นนาในวันพุธวันหนไทย วันเตาผี ผิมีคนถาม ศาสนาพระเป็นเจ้ายังเท่าใดจักสิ้นอัน ให้แก้ว่าดังนี้ แต่มีอันสถาปนาพระมหาธาตุนี้เมื่อหน้า ได้สามพันเก้าสิบ เก้าปีจึงจักสิ้นศาสนาพระเป็นเจ้า อันหนึ่งโสด นับแต่มีสถาปนาพระมหาธาตุนี้ เมื่อหน้าเก้าสิบเก้าปีถึงปีกุนอัน ว่าพระปิฎกไตรยนี้จัก หายและหาคนรู้จักแท้แลมิได้เลย ยังมีคนรู้ลั่นสเล็กสน้อยไซร้ ธรรมเทศนาอันเปน็ ต้นว่า พระมหาชาติ หาคนสวดแลมไิ ด้เลย” (ลัลนา ศิริเจริญ, 2525) จากข้อความเบื้องต้นจะเห็นได้ว่าประเพณีเทศน์ มหาชาติเปน็ ศิลปวฒั นธรรมอนั เป็นเอกลกั ษณไ์ ทย และประชาชนใหค้ วามสนใจ ซง่ึ ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิเปน็ ประเพณี สบื ต่อกันมาจากอดีดจนถงึ ปจั จบุ ัน ในสมัยโบราณในการเทศน์มหาชาตินิยมนาวงป่ีพาทยม์ าบรรเลงประกอบในการเทศน์โดยได้มีครูดนตรี ไดก้ ล่าวไว้ว่า “ประเพณีการมีปี่พาทย์บรรเลงประกอบพิธีสงฆ์นี้ดูเหมือนว่าจะมีมาตั้งแต่ดึกดาบรรพ์ พิธีกรรมใดท่ี ฆราวาสประกอบข้นึ โดยตอ้ งมีพระสงฆ์รว่ มดว้ ยพิธีกรรมนน้ั ก็มักจะตอ้ งมดี ุรยิ างคดนตรีประโคมเป็นเครื่อง ประกอบด้วยเสมอ และยิ่ง เป็นการมีเทศน์มหาชาติอันถือว่าเป็นเรื่องสาคัญที่สุดของการแสดงธรรม สิ่งใด ท่ีจะถวายเป็นธรรมบชู าให้มโหฬารย่ิงขน้ึ เพียงใด กพ็ ยายามที่จะนามาเฉลิมฉลองสมโภชบูชาใหค้ รบถ้วนทกุ ประการ ดงั น้นั ปพ่ี าทยจ์ งึ เปน็ สิ่งหนง่ึ ที่จะพงึ มีประโคมเป็นเคร่ืองประกอบกุศลกรรมอันย่ิงใหญ่น้ี แต่ที่จริง ดุริยางค์ เป็นเครื่องจรรโลงใจด้วยเสยี งของศิลปะเพื่อสนับสนุนศรัทธาปสาทะให้โน้มน้อม บังเกิดความปติ ิ ชาบซ่านวดเร็วข้นึ เทา่ นัน้ ” (มนตรี ตราโมท, 2495) ในการเทศน์จบแต่ละกัณฑ์จะมีเพลงบรรเลงท้ายกัณฑ์ โดยเป็นเพลงบรรเลงประจากัณฑ์ 13 กัณฑ์ ตลอดทัง้ วัน (ปยิ ะวรรณ์ สธุ ารตั น์, 2514) ตอ่ มาจดั การเทศน์มหาชาติ 3 วนั คอื มสี วดคาถาภาษาบาลลี ้วน ๆ 1 วัน เทศนม์ หาชาติ 1 วัน และมี เทศนอ์ ริยสัจอกี 1 วัน รวมเป็น 1 วนั ปัจจบุ นั มีการเปล่ยี นแปลงไปจากเดิมโดย
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 233 มีการตัดทอนระยะเวลาในการเทศน์ เชน่ นยิ มทาเท่ียงวันเดยี วมีพระเทศน์ หรอื ธรรมมาสน์ใช้เวลาประมาณ 3 ช่ัวโมง เรียกวา่ “ การเทศน์แบบประยุกต์ ใชว้ ิธเี ทศนเ์ ล็กน้อย จะเนน้ ท่ี การแหล่ การเลา่ เรือ่ ง โดยมีการรวบรัด และสร้างความสนุกสนานให้กับเจ้าของขันกัณฑ์เทศน์ รวมถึงคนที่มานั่งฟังเทศน์ นอกจากนี้มีการเทศน์ ทรงเครื่องโดยมีการแสดงประกอบการเทศน์ ซึ่งมีตัวละครในการแสดงดังน้ี มัทรี, กัณหา, ชาลี, และ ชูชก เห็น ได้ว่าการเทศน์มหาชาติได้มีการปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยแต่ยังนิยมให้มีการเทศน์มหาชาติทุกปี เพื่อเป็นการ แสดงถึงอดตี ชาติของพระพทุ ธเจ้า เปน็ คาสอนประเภทบคุ ลาธษิ ฐาน คือยกตัวละครขึน้ มาเล่าแล้วสอดแทรกคา สอนเข้าไปในการเล่าเรื่องนั้น ๆ และเป็นชาติหนึง่ ในพระเจ้าสิบชาติของพระพุทธเจ้าทรงบาเพญ็ บารมีมุ่งหวังที่ จะสาเร็จพระสัมมาสัมโพธิญาณ ( ลาวัณย์ ไกรเดช, 2553) สาหรับเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการเทศน์นั้น สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (กระทรวง ศึกษาธิการ, 2531) เป็นผู้ประทานให้เพื่อประกอบกิริยาตาม ท้องเรือ่ งในแตล่ ะกณั ฑ์ จากความข้างตน้ ทาใหป้ จั จบุ ันประเพณเี ทศน์มหาชาติไดป้ รบั เปลีย่ นตามยุคสมยั เรยี บง่าย รวดเร็ว และ กะทัดรดั จากสมยั ก่อนมีการเทศน์ 3 วัน 3 คนื ลดเหลอื เพยี ง 1 วนั ทาให้วงป่ีพาทยท์ บี่ รรเลงประกอบประเพณี เทศน์มหาชาติไม่ได้บรรเลงเพลงประจากัณฑ์ เนื่องจากเป็นการเทศน์รวบทั้ง 13 กัณฑ์ จึงเป็นเหตุให้เพลงท่ี บรรเลงประจากัณฑ์ไม่เป็นที่รู้จัก และไม่รู้ความเป็นมาของเพลงที่นามาประกอบประเพณีเทศน์มหาชาติในแต่ ละกัณฑ์ดว้ ย จงึ เปน็ ท่ีมาของบทความน้ี ซงึ่ ผู้เขยี นจะพูดถึง ประวตั ิประเพณเี ทศน์มหาชาติ ความสาคัญของวงป่ี พาทย์ในการบรรเลงประเพณีเทศนมหาชาติ และความหมายของเพลงที่บรรเลงประจากัณฑ์ท้ัง 13 กัณฑ์ เพื่อ เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ในการอนุรกั ษป์ ระเพณวี ัฒนธรรมขงชาติสืบไป ควำมหมำยและควำมเปน็ มำของเทศน์มหำชำติ เทศน์มหาชาติ \"เป็นคาที่เกิดจากคา 2 คา คือคาว่า “ เทศน์ กับ “มหาชาติ\" ซึ่งคาว่า เทศน์ ตาม พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน (ราชบัณฑิตยสถาน, 2525) ให้ความหมายว่าการแสดงธรรมในครัง้ น้ี ส่วน คาว่ามหาชาติ ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตสถานได้ให้ความหมายว่า เป็นคาที่ใช้เรียกเรื่องเวสสันดรชาด กว่า มหาชาติ การเทศน์เรือ่ งเวสสนั ดรชาดก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเทศน์มหาชาติ พันเอกพระสารสาส์นพล ขันธ์ ( เยรินี ) (บุญตา เขียนทองกุล, 2539) ได้กล่าวไวว่า “พระโพธิสัตว์ในกาเนิดพระเวสสันดร ได้สร้าง แบบอย่างของมนุษย์ผู้กล่าวถึง ขั้นสูงสุดแห่งการดาเนินในทางวิวัฒนาการอันนาไปสู่ความเต็มเปี่ยมทาง จริยธรรมกับความรู้ และเหมาะแก่การข้ามพ้น (โอฆะ) ห้วงสุดท้าย ซึ่ง แยกออกเสียได้จากการเกิดเป็นเทวดา เพราะเหตนุ ี้กาเนิดสุดทา้ ยนีจ้ งึ ไดน้ ามว่ามหาชาติ” ทง้ั น้ีในบารมี 10 อยา่ ง ไดแ้ ก่ 1. ทาน 2. ศลี 3. เนกขมั มหรอื การออกบวช 4. ปญั ญา 5. วิรยิ ะ 6. ขันติ 7. สัจจะ 8. อธษิ ฐาน 9 เมตตา 10. อเุ บกขา พระเวสสนั ดรได้บาเพ็ญ บารมีเป็นอุทิศ ประเพณีเทศน์มหาชาติในประเทศไทยว่าด้วยพุทธศาสนิกชนชาวไทยมีความเชื่อกันมาแต่โบราณว่า ผู้ใดฟังเทศน์มหาชาติแล้วจะได้ผลอานิสงส์มาก จึงทาให้เกิดประเพณีการฟังเทศน์มหาชาติทุก ๆ ปี แม้แต่ “ คาถาพันที่เขยี นเป็นภาษาบาลีมถี ึง 13 กัณฑ์ จึงถือกันว่าต้องฟังใหจ้ บในวันเดียว โดยจะได้รบั อานสิ งส์แรงกล้า ท้ังจดั พธิ ีเทศน์มหาชาตสิ าเร็จก็ถือวา่ เป็นสิรมิ งคล น้าท่ตี งั้ ไวใ้ นมณฑลพิธกี ถ็ ือว่าเปน็ น้ามนต์ กาจัดเสนียดจัญไร
234 ปที ี่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ได้ (ธนิต อยู่โพธิ์, 2495) โดยส่วนใหญ่แล้วชาวไทยจะรับกัณฑ์เทศน์ปีละ 1 กัณฑ์ เช่นถ้าปีนี้รับกัณฑ์ทศพร ปี หน้าก็จะรับกัณฑ์หิมพานต์ เรียงกันไปจบครบ 13 กัณฑ์ ซึ่งถือเป็นแบบอย่างมาถึงปัจจุบัน ประเพณีเทศน์นั้น เริ่มต้นจากสมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงได้ชี้แจงไว้ว่า “ได้ความว่ามีแต่ในเมืองไทยกับเมืองมอญ 2 แห่งเท่านั้น ในลังกาก็ดี พม่าก็ดี หามีประเพณีเทศน์มหาชาติอย่างเมืองเราไม่ เมื่อวิเคราะห์ตูทางโบราณคดี เข้าใจว่า ประเพณีการเทศน์มหาชาติ เห็นจะมีขึ้นทางเหนือก่อน แล้วจึงแพร่มาทางใต้ มอญ จะได้ไปจากไทย หรือไทยฝ่ายเหนือจะได้มาจากมอญขอ้ นีย้ ังสงสัยอยู่” (ธนิต อยู่โพธ,์ิ 2495) สาเหตุทพี่ ุทธศาสนิกชนชาวไทยนิยมฟังเทศนม์ หาชาติเนอ่ื งจากมีปัจจัยหลาย ประการคอื 1. เชื่อว่าเป็นพุทธวจนะซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสประทานแก่พระภิกษุ และ พุทธบริษัท การได้ฟังพุทธ วจนะยอ่ มเกิดอานิสงส์ และกุศล เพม่ิ ราศรีแกต่ นเอง 2. มีความเชือ่ ว่าถ้าได้รับฟังเวสสันดรชาดกซึ่งประกอบด้วยคาถาพนั ใหจ้ บภายในวันเดียวกันและบชู า ดว้ ยดอกไม้ ธปู เทยี น แตล่ ะอยา่ งจานวนให้ครบหนึ่งพนั ผลอานสิ งส์ จะทาให้เกิดในยคุ พระศรอี ารยิ เมตไตรย 3. เนื่องมาจากความเช่ือเรื่องศาสนอันตรธาน คือ ความเส่ือมของพระศาสนา ด้วยเหตุ 5 ประการ ท่ี เรียกวา่ ปญั จอนั ตรธาน ประเพณีเทศน์มหาชาติประกอบด้วยเนื้อเรื่อง 13 กัณฑ์ ได้แก่ 1) กัณฑ์ทศพร 2) กัณฑ์หิมพานต์ 3) กณั ฑ์ทานกณั ฑ์ 4) กัณฑว์ นปเวสน์ 5) กัณฑช์ ูชก 6) กณั ฑจ์ ลุ พน 7) กัณฑม์ หาพน 8) กัณฑ์กมุ าร 9) กัณฑม์ ทั รี 10) กัณฑ์สักบรรพ 11) กัณฑ์มหาราช 12) กัณฑ์ฉกษัตริย์ 13) กัณฑ์นครกัณฑ์ ซึ่งนิยมนิมนต์พระที่มี ความสามารถหรือความ ถนดั ในแตล่ ะกณั ฑม์ าเทศน์ (พระวนิ ัยธร มานพ ปาละพนั ธ์, 2549) ในหนงั สอื มหาชาติ ฉบับต่าง ๆ มหาเวสสันดรชาดกแต่เดิมแต่งเป็นฉันท์ภาษาบาลี สันนิษฐานว่าชาวอินเดียฝ่ายใต้เปน็ ผู้แต่งชาดก เรื่องนี้ขึ้นแต่งด้วยคาถา 1,000 คาถาจึงเรียกทั่วไปว่า “คาถาพัน” เมื่อชาว อินเดียนาพระพุทธศาสนามา เผยแพร่ในประเทศไทยจงึ นาเรอื่ งเวสสนั ดรชาดกมาเทศนส์ ั่งสอนประชาชนดว้ ยเช่นกัน และมีหนงั สือภาษามคธ เรื่องหนึ่ง ชื่อว่าเวสสันตรทีปนี ซึ่งเป็นหนังสือชั้นฎีกา ได้แต่งอธิบายความในอรรถกถามหาเวสสันดรชาดก ซึ่ง พระมหาเถระองค์หนึ่งนามว่าสิริมังคลาจารย์ ได้แต่งขึ้นที่นครเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ.2060 แสดงว่าชาวไทย ภาคเหนอื คงจะนยิ มเวสสนั ดรชาดกกันมากอ่ นแล้วจนถึงเป็นเหตเุ รา้ ให้พระสิรมิ งั คลาจารยแ์ ต่งฎกี าอธิบายความ อรรถกถาชาดกเรอื่ งนขี้ น้ึ ต่อมามผี ูเ้ ลอ่ื มใสศรัทธารอ้ ยกรองขึน้ ใหไ้ พเราะตามหลกั กวีนิพนธจ์ งึ เกดิ มมี หาชาติข้ึน ในพากยไ์ ทยเปน็ สานวนต่าง ๆ หลายสานวนและแบง่ เปน็ หลายตอนเรียกว่า กัณฑม์ ที ้งั หมดรวม 13 กณั ฑ์ (ธนิต อยูโ่ พธ์ิ, 2495) วงดนตรที ใี่ ชป้ ระกอบงำนประเพณีเทศนม์ หำชำติ วงดนตรีที่ใช้ประกอบงานประเพณีเทศน์มหาชาตินั้นนิยมวงที่สามารถบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ในงาน ประเพณีเทศนม์ หาชาติได้เนื่องจากประเพณเี ทศมหาชาติเป็นการแสดงบทบาทของตัวละครในแต่ละกณั ฑ์และ สิ่งสาคัญต้องสามารถบรรเลงเพลงโหมโรงเพื่อเป็นการประกาศว่าทางวัดได้มีงานประเพณีเทศน์ม หาชาติขึ้น นั้นเอง วงดนตรีที่บรรเลงในงานประเพณีเทศน์มหาชาติเรียกว่า “วงปี่พาทย์” ซึ่งแยกประเภทได้ 3 ประเภท ดงั นี้
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 235 1. วงปี่พาทย์เครื่องห้า ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีดังนี้ 1) ปี่ใน 2) ระนาดเอก 3) ฆ้องวงใหญ่ 4) ตะโพนไทย 5) กลองทัด เครอ่ื งประกอบจังหวะ ฉ่งิ ฉาบ กรบั โหม่ง ภำพท่ี 1: วงป่ีพาทยเ์ คร่ืองหา้ 2. วงปีพ่ าทยเ์ คร่ืองคู่ ประกอบไปด้วยเครือ่ งดนตรดี งั นี้ 1) ปใี่ น 2) ระนาดเอก 3) ระนาดทุม้ 4) ฆ้อง วงใหญ่ 5) ฆอ้ งวงเล็ก 6) ตะโพนไทย 7) กลองทัด เครอ่ื งประกอบจงั หวะ ฉิง่ ฉาบ กรบั โหมง่ ภำพที่ 2: วงป่พี าทย์เคร่ืองคู่ 3. วงป่พี าทย์เครอ่ื งใหญ่ ประกอบไปด้วยเคร่อื งดนตรดี ังนี้ 1) ปี่ใน 2) ระนาดเอก 3) ระนาดเอกเหลก็ 4)ระนาดท้มุ 5) ระนาดทมุ้ เหลก็ 6) ฆอ้ งวงใหญ่ 7) ฆอ้ งวงเลก็ 8) ตะโพนไทย 9) กลองทัด เครือ่ งประกอบ จงั หวะ ฉ่ิง ฉาบ กรบั โหมง่
236 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ภำพท่ี 3: วงปพ่ี าทย์เครอ่ื งใหญ่ 4. ปจั จุบนั วงปีพ่ าทยไ์ ดป้ รบั เปลย่ี นรูปแบบวงใหเ้ หมาะสมกับยคุ สมยั จากวงป่ีพาทยท์ ีก่ ล่าวมามีการ ปรบั วงใหม้ ขี นาดกลางข้ึนคือวงป่ีพาทย์เครื่องหกมีเครือ่ งดนตรดี ังนี้ 1)ปี่ใน 2)ระนาดเอก 3) ระนาดท้มุ 4) ฆ้อง วงใหญ่ 5) ตะโพนไทย 6) กลองทดั เครื่องประกอบจังหวะ ฉิง่ ฉาบ กรบั โหม่ง ภำพท่ี 4: วงปีพ่ าทย์เครอื่ งหก หลักกำรบรรจเุ พลงที่ใช้ประกอบงำนประเพณเี ทศนม์ หำชำติ สาหรับเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการเทศน์นั้น สมเด็จกรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (กระทรวง ศึกษาธิการ, 2531) เป็นผู้ประทานให้เพื่อประกอบกิริยาตามท้องเรื่องในแต่ละกัณฑ์ บทบาทวงปี่พาทย์ในการ บรรเลงประกอบประเพณีเทศน์มหาชาติ อาจารย์มนตรี ตราโมท กล่าวว่า “ประเพณีการมีปี่พาทย์บรรเลง ประกอบพิธีสงฆน์ ีด้ เู หมือนว่าจะมีมาตั้งแต่ดกึ ดาบรรพ์ พิธีกรรมใดท่ีฆราวาสประกอบข้ึนโดยต้องมีพระสงฆ์ร่วม ด้วย พิธีกรรมนั้น ก็มักจะต้องมีดุริยางคดนตรีประโคมเป็นเครื่องประกอบด้วยเสมอ และยิ่งเป็นการมีเทศน์ มหาชาติอนั ถอื ว่าเปน็ เรอื่ งสาคัญทสี่ ุดของการแสดงธรรม สิ่งใด ทจ่ี ะถวายเปน็ ธรรมบชู าให้มโหฬารยิ่งขึ้นเพียงใด ก็พยายามที่จะนนามาเฉลิม ฉลองสมโภชบูชาให้ครบถ้วนทุกประการ ดังนั้นปี่พาทย์จึงเป็นสิ่งหนึ่ง ที่จะ จึงมี ประโคมเป็นเครื่องประกอบกุศลกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ แต่ที่จริงดุริยางค์ เป็นเครื่องจรรโลงใจด้วยเสียงของศิลปะ เพื่อสนับสนุนศรัทธาปสาทะให้โน้มน้อมบังเกิดความปีติซาบซ่านรวดเร็วขึ้นเท่านั้น...” (มนตรี ตราโมท, 2507)
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 237 ดนตรีไทยมีบทบาทต่อสังคม และวัฒนธรรมในการกระทาพธิ ีตา่ ง ๆ ทาให้ดนตรีไทยมีความสาคัญต่อชนในชาติ มาตงั้ แตอ่ ดตี ถงึ ปัจจุบนั (ปญั ญา รุง่ เรอื ง, 2546) รปู แบบและข้ันตอนประเพณีเทศนม์ หาชาติ (บญุ ตา เขยี นทองกลุ , 2539) 1. เจ้าภาพจุดธปู เทยี นบชู าพระรตั นตรยั 2. ป่ีพาทยบ์ รรเลงเพลงสาธุการ 3. พระธรรมกถึกขึ้นธรรมมาสน์ 4. เจา้ ภาพ หรือ ผู้แทน อาราธนาศีล 5. พระธรรมกถึกให้ศลี 6. พระธรรมกถึกวา่ นโม ๓ จบ แลว้ เร่มิ เทศน์มหาชาติ ทานองจุณณยี บท 7. เจ้าภาพจุดเทียนประจาคาถา 8. พระธรรมกถกึ เทศน์ทานองเดนิ และทานองข้ึนสลบั กันไปจนจบกณั ฑ์ 9. พระธรรมกถกึ บอกผลอานสิ งส์ของการฟงั เทศน์มหาชาติ 10.ปี่พาทยบ์ รรเลงเพลงประจากณั ฑ์ 11.เจ้าภาพถวายเครอื่ งไทยทาน พระธรรมกถกึ รับเคร่อื งไทยทาน-อนุโมทนา 12.เจ้าภาพกรวดนา้ ภำพท่ี 4: ประเพณีเทศนม์ หาชาติ รปู แบบการเทศน์มหาชาตใิ นปจั จุบนั อาจมขี น้ั ตอนท่ีแตกตา่ งจากไปจากเดิม ซ่งึ มหี ลายปจั จยั ท่ีเขา้ มามี บทบาททาใหร้ ูปแบบ ข้นั ตอนได้เปล่ยี นไปจากเดมิ เช่น ในขนั้ ตอนท่ี 9 จากเดมิ ทพ่ี ระธรรมกถึกบอกผลอานิสงส์ ของการฟงั เทศนม์ หาชาตจิ บ ขนั้ ที่ 10 ปพ่ี าทยบ์ รรเลงเพลงประจากณั ฑ์ ปจั จุบนั ปพ่ี าทยบ์ รรเลงเพลง ประจากณั ฑจ์ ะบรรเลงในขน้ั ตอนท่ี 12 และบรรเลงเพลงเพอื่ รอในการเทศนก์ ัณฑ์ตอ่ ไป เพลงประจากณั ฑเ์ ทศน์มหาชาติ 13 กัณฑ์ (ลาวณั ย์ ไกรเดช, 2553) 1. ประจากัณฑท์ ศพร เพลงสาธกุ าร 2. ประจากัณฑ์หิมพานต์ เพลงตวงพระธาตุ 3. ประจากณั ฑท์ านกัณฑ์ เพลงพญาโศก
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294