238 ปที ี่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) 4. ประจากัณฑว์ นปเวศน์ เพลงพญาเดนิ 5. ประจากณั ฑช์ ชู ก เพลงเชน่ เหลา้ 6. ประจากณั ฑจ์ ุลพน เพลงคกุ พาทย์ 7. ประจากัณฑ์มหาพน เพลงเชิตกลอง 8. ประจากณั ฑก์ มุ าร เพลงเชดิ จึงโอด 9. ประจากณั ฑม์ ทั รี เพลงทยอยโอด 10. ประจากัณฑส์ กั บรรพ เพลงเหาะ 11. ประจากณั ฑ์มหาราช เพลงกราวนอก 12. ประจากัณฑฉ์ กษัตริย์ เพลงตระนอน 13. ประจากัณฑน์ ครกัณฑ์ เพลงกลองโยน หลกั การบรรจุเพลงประจากณั ฑท์ งั้ 13 กัณฑ์ในงานประเพณีเทศนม์ หาชาติมุง่ เน้นถงึ อากัปกริ ิยาของตวั ละครทีแ่ สดงในท้ัง 13 กัณฑร์ วมถึงแสดงให้เหน็ การใช้เพลงโดยยดึ สานวนเพลงท่ีแสดงถงึ อาการตา่ ง ๆ เชน่ แสดงอาการเศรา้ โศก แสดงอทิ ธิฤทธ์ิ แสดงอาการเดินทางระยะไกล แสดงอาการเดนิ ไปรอ้ งไห้ไป ดงั หลาย ละเอียดทัง้ 13 กณั ฑ์ต่อไปนี้ 1. เพลงสำธุกำร ประจำกณั ฑท์ ศพร เพลงสาธกุ ารเปน็ เพลงหนา้ พาทย์ หมายถึงการน้อมกายและใจ อภิ วันทนาการ แด่พระรตั นตรยั และเทพเจา้ ผ้ศู ักด์ิสทิ ธิด์ ้วยความเคารพใช้บรรเลงในโอกาส ทตี่ ้องการความขลงั ความศกั ด์ิสทิ ธ์ิ ทางดนตรไี ทยนาเพลงสาธกุ ารมาบรรเลงในพิธกี รรมที่ เก่ยี วกับพระพทุ ธศาสนา เชน่ ขณะที่ ประธานของงานจดุ ธูปเทยี นบชู าพระรัตนตรัย หรอื ขณะที่พระสงฆ์ขน้ึ ธรรมมาสนแ์ สดงพระธรรมเทศนเ์ ทศนา เป็นต้น ภำพที่ 5: กัณฑท์ ศพร เพลงสาธกุ ารนม้ี ีลักษณะเด่น คอื เปน็ เพลงที่ใชต้ ะโพนนาขนึ้ กอ่ น ด้วยลีลา เฉพาะเพื่อความพรอ้ ม เพรียงในการที่จะเรม่ิ กระทาการท่ีเป็นมงคลทงั้ ความหมายของเพลง (ณรงค์ชยั ปฏิ กรัชต,์ 2534) หมายถึงการ นอ้ มกายและใจอภวิ นั ทนาการแด่พระ รัตนตรยั และทวยเทพเจ้าผศู้ กั ดิ์สทิ ธิ์ด้วยความเคารพ เมอ่ื พิจารณาจาก
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 239 ชื่อเพลงและอากัปกิรยิ าของตัวละคร เพลงสาธุการจึงสมควรทจี่ ะใช้บรรเลงประจากัณฑท์ ศพร ท่ีมุง่ ถงึ พระนางผุ สดนี อ้ มรบั พร 10 ประการจากพระอินทร์ 2. เพลงตวงพระธำตุ ประจำกณั ฑห์ มิ พำนต์ เพลงตวงพระธาตเุ ดิมเปน็ เพลงอตั ราจงั หวะสองชน้ั มี 2 ทอ่ น เป็นเพลง แรกในเพลงตบั ตวงพระธาตุ มี 4 เพลงคือ เพลงตวงพระธาตุ ถอยหลงั เข้าคลอง จระเข้ ขวาง คลองเสนอมัน ตอ่ มาพระบระดษิ ฐ์ไพเราะ (มี ดรุ ิยางกรู) แต่งขยายขึน้ เปน็ อตั ราสามช้นั บรรจุเป็นเพลงลาดบั ที่ 3 ในเพลงตบั มโหรี เรียกวา่ ตบั ตน้ เพลงนง่ิ หรอื ตับกาก มี 4 เพลง คอื ต้นเพลงนิ่ง จระเขห้ างยาว ตวงพระธาตุ นกขมิน้ และเพลงน้ีชนั้ เดยี วรวมอยใู่ น เรื่องเพลงน่ิง ภำพที่ 6: กัณฑ์หิมพานต์ เมื่อพิจารณาจากชอ่ื เพลงและอากปั กิริยาของตวั ละคร เพลงตวงพระธาตจุ งึ สมควรทจ่ี ะใช้บรรเลง ประจากณั ฑ์หมิ พานต์ ท่ีมุง่ ถงึ พระเวสสนั ดรบริจาค ทรัพย์สนิ มคี า่ ก่อนท่จี ะเสดจ็ ออกจากเมือง 3. เพลงพญำโศก ประจำกณั ฑท์ ำนกัณฑ์ เพลงพญาโศกเป็นเพลงหน้าพาทย์ ใช้ในการแสดงโขน-ละคร อตั รา 2 ช้ันเป็นเพลงเกา่ ตัง้ แตส่ มยั อยธุ ยา เปน็ เพลงลาดับที่ 2 ใน 5 เพลงของเพลงเร่ือง พญาโศก คอื เพลง พญาฝนั พญาโศก พญาครวญ พญาตรกึ พญาราพงึ ในปลายสมัย รัชกาลท่ี 4 พรประดิษฐ์ไพเราะ(มี ดุรยิ างกร)ู ได้แตง่ ขยายเพลงพญาโศกขน้ึ เป็นอตั รา 3 ช้ัน สาหรบั ใช้บรรเลงและขบั ร้องในวงมโหรแี ละวงปีพาทย์ ภำพที่ 7: กณั ฑท์ านกณั ฑ์
240 ปที ี่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) เมอื่ พิจารณาจากช่ือเพลงและอากปั กริ ิยาของตัวละคร เพลงพญาโศกจึงสมควรทีจ่ ะใชบ้ รรเลงประจา กณั ฑท์ านกณั ฑ์ทม่ี งุ่ ถึงความเศร้าสลดของพระ เจ้ากรงุ สญั ชัย พระนางผสุ ดี และพระนางมทั รีทพี่ ระเวสสนั ดร ต้องถูกเนรเทศออกจากเมอื ง 4. เพลงพญำเดิน ประจำกณั ฑว์ นปเวสน์ เพลงพญาเดนิ เปน็ เพลงหน้าพาทยใ์ ชใ้ นการแสดงโขน-ละคร มาแต่โบราณ เปน็ เพลงอตั ราจงั หวะ 2 ชั้น มี 5 ท่อน ปัจจุบนั นยิ มบรรเลงเพยี ง 4 ทอ่ น ใชป้ ระกอบกริ ิยา การ เดินทางไป-มาของตวั ละครผสู้ งู ศกั ดิ์ และใชป้ ระกอบกิรยิ าไถหว่านของพระยาแรกนา ขวัญในพิธจี รดพระนางคลั แรกนาขวญั ภำพท่ี 8: กัณฑ์วนปเวสน์ เมอื่ พจิ ารณาจากชอ่ื เพลงและอากปั กริ ิยาของตวั ละคร เพลงพญาเดนิ จงึ สมควรทีจ่ ะใชบ้ รรเลงประจา กัณฑ์วนปเวสนท์ มี่ ุง่ ถึงการเดินทางของพระ เวสสนั ดร พระนางมทั รีและกณั หา ชาลีเดินทางไปยังเขาวงกต 5. เพลงเชน่ เหล้ำ ประจำกณั ฑช์ ชู ก เพลงเช่นเหล้าเปน็ เพลงหนา้ พาทยป์ ระกอบกริ ิยาการกินส่วนมากใช้ บรรเลงในพิธีไหว้ครโู ขนละคร และดนตรไี ทย ในการสงั เวยประเภทสรุ า-นา้ โดยปกติจะใช้ 2 เพลงบรรเลงคู่กัน คอื เพลงน่งั กิน – เซนเหล้า เปน็ เพลงอตั ราจังหวะ 2 ชน้ั ภำพที่ 9: กัณฑช์ ชู ก
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 241 เม่อื พิจารณาจากชอ่ื เพลงและอากปั กิรยิ าของตัวละคร เพลงเซน่ เหล้าจงึ สมควรใชเ้ ปน็ เพลงประจา กัณฑ์ชชู ก เพราะส่อื ใหเ้ หน็ การกนิ ของชชู กที่ทาใหต้ วั เองทอ้ งแตกตาย 6. เพลงคกุ พำทย์ ประจำกัณฑจ์ ลุ พน เพลงคุกพาทย์เปน็ เพลงหนา้ พาทยป์ ระเภทรัวสองลาใช้ในการ แสดงโขน ละคร ในการแสดงอานาจของผู้มีฤทธ์ิ ใชใ้ นพฤตกิ รรมของตัวละครทีบ่ งั เกดิ โทสะอยา่ งแรงกลา้ ใชก้ บั ตวั ละครท่ไี ม่ใชม่ นษุ ย์ ได้แก่ ยักษ์และลงิ จัดอยูใ่ นประเภทเดียวกับเพลงรัวสาม ลา แตเ่ พลงรวั สามลาใช้ ประกอบอทิ ธฤิ ทธ์ิทใ่ี ช้อาวธุ เชน่ การแผลงศร ภำพที่ 10: กัณฑ์จลุ พน เมอื่ พิจารณาจากช่อื เพลงและอากปั กริ ยิ าของตวั ละคร เพลงคุกพาทย์จงึ สมควรท่ีจะใชบ้ รรเลงประจา กณั ฑ์จุลพนที่มงุ่ ถึงกิริยาการสาแดงอิทธิ ฤทธหิ์ รือขู่ขวัญท่ีพรานเจตบุตรแสดงต่อชชู ก 7. เพลงเชดิ กลอง ประจำกันตม์ หำพน เพลงเชดิ กลองเปน็ เพลงหน้าพาทยใ์ ช้ในการแสดงโขนละคร ประกอบ กริ ยิ าเดนิ ทางระยะไกล ๆ ของตัวละครทีเ่ ปน็ มนุษย์ เป็นเพลงที่มีทัง้ อตั รา 2 ชน้ั และช้ัน เดี๋ยวบรรเลง ตามลาดับ นยิ มเรยี กวา่ “ ตัว \" แทนคาวา่ “ ท่อน” การบรรเลงเร่มิ จาก ทานอง 2 ชัน้ จานวนกต่ี ัวก็ไดแ้ ลว้ ตอ่ ดว้ ยเพลงเชิดชน้ั เดยี วโดยนบั ลาดบั เรยี งตอ่ กนั มา ภำพท่ี 11: กณั ฑม์ หาพน
242 ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) เมื่อพจิ ารณาจากชื่อเพลงและอากัปกิรยิ าของตัวละคร เพลงเชดิ กลองจงึ สมควรที่จะใชบ้ รรเลงประจา กัณฑ์มหาพนทมี่ ่งุ ถงึ กิรยิ าการเดนิ ทางไป อยา่ งรบี เร่งชชู กหลงั จากที่ทราบถงึ ทางไปเขาวงกตจาก พระอัจรตุ ฤษี 8. เพลงโอดเชิดฉง่ิ ประจำกัณฑก์ มุ ำร เพลงโอดเชิดฉิง่ เปน็ เพลงหนา้ พาทย์ 2 เพลงท่บี รรเลงสลบั กัน คือ เพลงโอดและเพลงเชิดนง่ิ เพลงโอดเปน็ เพลงหนา้ พาทย์ที่ใชป้ ระกอบกิริยาร้องไหข้ องตัวละครท่ีร้องไห้อยกู่ ับท่ี เพลงเชิดฉง่ิ เปน็ เพลงหน้าพาทยใ์ ช้ประกอบกิรยิ าครนุ่ คดิ ของตัวละครหรอื การเคลอ่ื นท่ีซึง่ ปราศจากจดุ หมาย ทานองเพลงเหมอื นเพลงเชิดกลอง แต่ใชฉ้ ิ่งกากับจงั หวะแทนกลองทดั ในทนี่ เี้ พลงโอดใชช้ ้ันเดยี ว เพลงเชิดฉ่ิงใช้ อัตรา 2 ช้นั และชน้ั เดยี วตามลาดับ ภำพท่ี 12: กณั ฑ์กุมาร เมือ่ พิจารณาจากชอื่ เพลงและอากัปกิริยาของตัวละคร เพลงโอดเชดิ น่งิ จึงสมควรทจ่ี ะใช้บรรเลง ประจากัณฑก์ ุมารที่มงุ่ ถึงกริ ยิ าท่ีชชู กพาชาลี - กณั หาเดนิ ทางไปถกู เฆย่ี นตรี อ้ งไหเ้ สียท่ีหนง่ึ แลว้ ก็เดินตามไป ใหมส่ ลบั กนั เช่นน้ตี ลอดทาง 9. เพลงทยอยโอด ประจำกณั ฑม์ ทั รี เพลงทยอยโอดเป็นเพลงหนา้ พาทยส์ องเพลงบรรเลงสลบั กนั คอื เพลง ทยอยและเพลงโอด ซ่ึงท้งั สองเพลงแสดงถงึ ความโศกเศรา้ เสียใจของตัวละคร แตกต่างกนั คือ เพลงทยอย บรรเลงอย่ใู นกริ ิยาโศกเศร้าท่เี คลอ่ื นที่ คือเดนิ ไปร้องไห้ไป เพลงโอดอยใู่ น กริ ิยาทร่ี อ้ งไหอ้ ยู่กบั ที่ เป็นเพลงอัตรา จังหวะ 2 ช้นั ทง้ั 2 เพลงทง้ั ลกั ษณะทานอง สือ่ ให้เห็นว่าอยใู่ นอารมณ์เศร้า และมที านองเสยี งที่เรยี งกระช้นั ซึง่ จะปรากฏในเพลงทมี่ ี อารมณเ์ ศรา้ รนั ทด
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 243 ภำพท่ี 12: กัณฑม์ ัทรี เม่ือพิจารณาจากชอ่ื เพลงและอากัปกริ ิยาของตัวละคร เพลงทยอยโอด จงึ สมควรที่จะใช้บรรเลงประจา กัณฑ์มทั รีทมี่ งุ่ ถึงกริ ิยาการใครค่ รวญหวลใหข้ องพระนางมทั รี เมื่อตามหากัณหาชาลไี ม่พบ 10. เพลงกลม ประจำกัณฑ์สักบรรพ เพลงกลมเป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ในการแสดงโขน-ละคร ใช้ ประกอบ กิริยาไป-มาของเทพเจ้า หรือตัวละครผู้สูงศักดิ์ไม่ใช้กบั มนุษย์ เช่น พระอิศวร พระพรหม พระอินทร์ พระนารายณ์ และในบทเจ้าเงาะ เรื่องสังข์ทอง และจะใช้เฉพาะเทพเจ้าองค์ใด องค์หนึ่งเท่านั้น เดิมเป็นเพลง อัตราจังหวะ 2 ชั้น เพลงนีห้ ลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) ได้นาไปแตง่ ขยายเป็นเพลงโหมโรง เรียกว่า เพลงโหมโรงกระสุนทอง ภำพที่ 13: กัณฑส์ กั บรรพ เมื่อพจิ ารณาจากช่อื เพลงและอากัปกิริยาของตัวละคร เพลงกลมจึงสมควรที่จะใชบ้ รรเลงประจากัณฑ์ สักบรรพทม่ี ุ่งถงึ กิริยาการเหาะลงมาของพระอินทร์
244 ปีท่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) 11. เพลงกรำวนอก ประจำกัณฑ์มหำรำช เพลงกราวนอกเป็นเพลงหน้าพาทย์ใช้ในการแสดงโขน-ละคร ประกอบ กิริยาการยกทัพตรวจพล ฝ่ายมนุษย์ เพราะเป็นเพลงที่มีระดับเสียงสูงแหลม มีลีลาสกึ เหิม เป็นเพลง ประเภทเพลงกราว ภำพท่ี 14: กณั ฑ์มหาราช เมื่อพจิ ารณาจากชื่อเพลงและอากัปกิริยาของตัวละคร เพลงกราวนอกจึงสมควรทจี่ ะใชบ้ รรเลงประจา กณั ฑ์มหาราชท่ีมงุ่ ถึงกริ ยิ าการยกพลของพระเจา้ กรงุ สัญชัยออกไปเพ่อื รับพระเวสสนั ดรและพระนางมัทรี 12. เพลงตระนอน ประจำกัณฑ์ฉกษัตรยิ ์ เพลงตระนอนเปน็ เพลงหน้าพาทยใ์ ช้ในการแสดงโขน-ละคร ประกอบ กิริยาการสวดมนตไ์ หว้พระกอ่ นนอนของตัวละคร เปน็ เพลงตระ อตั ราจงั หวะ 2 ชัน้ ในการ แสดงโขน- ละครจะบรรเลงเพลงโลมก่อนแลว้ จงึ บรรเลงเพลงตระนอน ภำพท่ี 15: กณั ฑฉ์ กษตั ริย์ เมอื่ พจิ ารณาจากชื่อเพลงและอากัปกิรยิ าของตัวละครเพลงตระนอนจงึ สมควรท่ีจะใช้บรรเลงประกอบ กัณฑฉ์ กษัตรยิ ์ทมี่ ่งุ ถงึ กริ ิยาการนอนหลบั ของทง้ั 5 กษัตริยท์ ี่ได้พบปะและบรรทมพักแรมบริเวณอาศรมในป่า 13. เพลงกลองโยน ประจำกัณฑ์นครกัณฑ์ เพลงกลองโยนเปน็ เพลงหนา้ พาทย์ใช้ในการแสดงโขน-ละคร ประกอบ กิริยาการเคลื่อนที่ไป-มาอย่างเป็นริ้วขบวน หรือยกทัพ หรือขบวนพยุหยาตราพร้อมด้วย เครื่อง
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 245 อสิ รยิ ยศ เพลงนอ้ี ัตราจงั หวะ 2 ชั้น มี 2 ทอ่ น เพลงกลองโยนน้ีมาจากเพลงทะแย ทอ่ น 1 แล้วนามาซอยทานอง เพลงเป็น 2 ท่อน ที่เรียกว่าเพลงกลองโยนเพราะกากับด้วย หน้าทับกลองโยน แต่ถ้าไม่ได้กากับด้วยหน้าทับ กลองโยน เรยี กว่า เพลงทะแย ซ่งึ เปน็ เพลง แรกในเพลงเรือ่ งทะแย มเี พลงทะแยและเพลงลอ่ งเรือ เพลงทะแยมี 5 ท่อน เพลงล่องเรือ 2 ท่อนมักเรยี กรวมว่าเพลงทะแย ณ ท่อนถึงบ้านพาทยโกศลใชเ้ ป็นเพลงเรืองสาหรับฝึกไล่ มือวงดนตรที ่ใี ชบ้ รรเลงในเทศน์มหาชาติ ภำพที่ 16: กณั ฑ์นครกัณฑ์ เมื่อพิจารณาจากชื่อเพลงและอากัปกิริยาของตัวละคร เพลงกลองโยนจึงสมควรที่จะใช้บรรเลง ประกอบกัณฑ์นครกัณฑ์ที่มุ่งถึงกิริยา การยกขบวน เสด็จพยุหยาตราอย่างมีศักดิ์ พรั่งพร้อมไปด้วยขบวน อิสรยิ ยศ ตามท่ีไดว้ พิ ากษ์เพลงบรรเลงทา้ ยประกอบการเทศน์มหาชาตมิ าครบทง้ั 13 กัณฑแ์ ล้ว พบวา่ การบรรจุ เพลงประจากัณฑ์ในแตล่ ะกัณฑ์ไดย้ ึดใจความของเนื้อเร่ืองและเลือกเพลงท่ีมคี วามหมายตามอากัปกิริยาของตัว ละครในเนื้อเรื่องที่พระธรรมกถึกได้เทศน์ในแต่ละกัณฑ์ทั้งหมด 13 กัณฑ์ ซึ่งเนื้อเรื่องได้ร้อยเรียงกันไปตาม บทบาทของตัวละครมีความสัมพันธ์ทั้งเนื้อเรื่องและตัวละครถือว่าเพลงที่ใช้ในการบรรเลงประจากัณฑ์มา ความหมายสอดคล้องกบั เนอื้ เร่อื งของตวั ละครและมคี วามสาคัญในการบรรเลงประกอบการเทศนม์ หาชาติ ในที่นี้ดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการเทศน์มหาชาติได้มีครูผู้ใหญ่ได้ให้ความหมายไว้ดังเช่น อาจารย์ มนตรี ตราโมท (มนตรี ตราโมท, 2496) ได้อธิบายไว้ว่า “การมีธรรมเทศนา ไม่ว่าเทศนาด้วยเรื่องอะไร ถ้า เจ้าภาพมีฐานะพอที่จะมีปีพาทย์ได้ก็ไม่เว้นที่จะหาปี่พาทย์มาประโคมเป็นเครื่องประกอบพิธี ส่วนที่ใช้วง เล็ก หรือ วงใหญ่เป็นปี่พาทย์เครื่องห้า ปี่พาทย์เครื่องคู่ หรือปีพาทย์เครื่องใหญ่หาได้มีกฎเกณฑ์บังคับไม่ ยิ่งเป็น เทศน์มหาชาตอิ ันถือว่าเป็นเรื่องสาคัญท่ีสุด ของการแสดงธรรม สิ่งใดที่จะถวายเปน็ ธรรมบูชาให้มโหฬารย่งิ ขึ้น เพียงใด ก็ พยายามที่จะหามาเฉลิมฉลองสมโภชบูชาให้ครบถ้วนทุกประการ ดังนั้นปี่พาทย์ จึงเป็นสิง่ หนึ่งที่จะ พ่ึงมเี ป็นเคร่ืองประโคมประกอบกุศลธรรมอนั ย่ิงใหญ่น้ี”
246 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) การบรรเลงปพ่ี าทย์ในงานเทศนม์ หาชาตนิ ี้ เริม่ จากการโหมโรงเทศน์แลว้ วงป่ีพาทย์ต้องบรรเลงในเวลา พระขน้ึ ธรรมาสน์และพระเทศนจ์ นจบเรียงลาดบั ไปทกุ ๆ กัณฑ์ การบรรเลงดนตรปี ระจากัณฑ์เทศนม์ หาชาตนิ ี้ นา่ จะมีมาแลว้ ตง้ั แต่สมัยกรุงศรอี ยธุ ยาและน่าจะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการแต่งมหาชาติคาหลวงในสมัยสมเดจ็ พระ บรมไตรโลกนาถ หรือสมยั สมเดจ็ พระเจ้าทรงธรรมเพราะมีทา่ นผ้หู น่งึ ช่ือวา่ “รตั น\" ไดแ้ ต่งเปน็ โคลงเล่าความไว้ วา่ บชู าลิขล้วน เงนิ ค่า ตง้ั แรกแตก่ ระทา ถ้วนถ้อย บทหนง่ึ ประโคมคา คาหน่งึ นบั นา บ ขาดอกั ษรสรอ้ ย เสรจ็ สิ้นเกลากลอน ฯ ในสมัยรตั นโกสนิ ทร์มีการกลา่ วถงึ ไว้ในจดหมายเหตทุ ี่ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกปรดให้ มีเทศน์มหาชาติ และมีพระบรมวงศานวุ งค์เปน็ เจ้าของกัณฑ์ มขี อ้ ความตอนหนงึ่ กล่าววา่ “ครั้นจบลงกณั ฑใ์ ดก็ ศรทั ธาสมโภชบชู าเสยี งก้องโกลาหล มโหรีป่พี าทย์กลองแขกแตรสงั ขท์ ง้ั พระคาถาพนั และเรียงกณั ฑ์” (มนตรี ตราโมท, 2496) บทสรุป สรุปไดว้ า่ การบรรเลงเพลงประกอบการเทศน์มหาชาติมีความเชื่อว่าเกดิ จากการวิเคราะห์จากตัวละคร ที่ประกอบอากัปกิริยาในเนื้อเรื่องของแต่ละกัณฑ์ใช้แนวคิดของทฤษฎีองค์ประกอบของดนตรีในเรื่อง ทานอง จังหวะ และกระสวนของเพลงทีใ่ ห้อารมณ์ตามตัวละครในเนื้อเร่ืองทั้ง 13 กัณฑ์ และยังใช้หลักฐานสมยั โบราณ มาเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ความหมายของเพลงที่ใช้ในการประกอบการเทศน์เพื่อให้มีน้าหนักในทาง วิชาการซึ่งทาให้ง่ายต่อการเข้าใจในการใช้เพลงประจากัณฑ์ทั้ง 13 กัณฑ์ รวมถึงการใช้วงดนตรีปี่พาทย์ที่มา บรรเลงในงานในสมัยโบราณใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าเป็นหลักในการบรรเลง ในปัจจุบันได้มีการนาวงปี่พาทย์ เครื่องคู่มาบรรเลงในการเทศน์มหาชาติ ส่วนเพลงที่บรรเลงในการเริ่มงานเทศน์มหาชาติ หรือเพลงโหมโรงนั้น ในสมยั โบราณจะใช้โหมโรงเทศน์ ประกอบด้วย 5 เพลง 1) เพลงสาธกุ าร 2) เพลงกราวใน 3) เพลงเชิด 4) เพลง ชุม และ 5) เพลงลา เพลงโหมโรงเทศน์มีความสาคัญในการบรรเลงประกอบการเทศน์มหาชาติ มีความเชื่อว่า เป็นการประกาศให้ชาวบา้ นท่ีรับขนั กณั ฑ์เทศนร์ ู้วา่ ได้เร่ิมงานเทศน์มหาชาตแิ ล้วทุกคนจะรีบนาขันกัณฑ์เทศน์ท่ี ตนเองไดร้ บั ฎีกาจากวดั นามาวางบนโต๊ะ เพื่อรอพระขน้ึ เทศน์ในกัณฑ์ของตนเอง เม่ือพระเรมิ่ ขึน้ เทศน์กัณฑ์ท่ี 1 จนถงึ กัณฑ์ที่ 13 จบลง วงปพี่ าทย์จะบรรเลงเพลงเชดิ และเพลงกราวรา เพ่อื แสดงว่าการเทศน์มหาชาตไิ ดจ้ บลง แล้ว ซง่ึ เป็นการบรรเลงทส่ี บื ทอดมาตง้ั ปต่อดีตจนถงึ ปัจจุบนั องคค์ วำมรู้ใหม่ จากเนื้อหาบทความวิชาการนี้จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงของงานประเพณีเทศน์มหาชาติ ดงั ต่อไปน้ี
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 247 1. ดา้ นเวลาในการจดั การ มกี ารจัดงานแบบรวบรัด เพ่ือใหเ้ นื้อหากระฉับ ใชเ้ วลาไม่นาน มีการสรุป เนื้อหาใหส้ ั้นลงเขา้ ใจง่าย 2. ด้านวงดนตรีในการบรรเลงมีการปรบั ขนาดของวงให้เข้ากบั ยคุ สมัย ซง่ึ ตามแบบแผนที่สืบทอดกัน มามีการใช้วงดนตรีประกอบงานประเพณีเทศมหาชาติอยู่ด้วยกัน 3 วง คือ วงปี่พาทย์เครื่องห้า, วงปี่พาทย์ เครื่องคู่, และวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ แต่ปัจจุบันมีการผสมวงใหม่ขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เครื่องหก ซึ่งเป็นที่นิยมกัน แพรห่ ลายในชนบท เพราะมีลกั ษณะขนาดของวงไม่ใหญแ่ ละเล็กเกินไป 3. ดา้ นเพลงบรรเลงประกอบทา้ ยกัณฑ์ทั้ง 13 กัณฑม์ ีหลกั การบรรจุเพลงดังน้ี 3.1 การบรรจเุ พลงประจากัณฑใ์ นแต่ละกณั ฑไ์ ด้ยดึ ใจความของเนือ้ เรือ่ งเปน็ หลัก 3.2 เลอื กเพลงท่มี ีความหมายตามอากปั กริ ิยาของตวั ละครในเนือ้ เรื่อง ทั้งน้ีความหมายของการบรรจเุ พลงในงานประเพณีเทศนม์ หาชาติทั้ง 13 กัณฑ์อาจมตี วามแตกต่างกัน โดยข้นึ อยู่กับการสืบทอดของสานกั ดนตรีของแตล่ ะสานัก ซึง่ ยังคงเกบ็ รักษา และอนุรกั ษไ์ ว้สบื ไป เอกสำรอำ้ งอิง กระทรวงศกึ ษาธิการ. (2531). มหาเวสสันดรชาดก ฉบบั 13 กัณฑ.์ กรงุ เทพฯ: ครสุ ภา. ณรงค์ชัย ปิฏกรัชต์. (2534). การวเิ คราะหท์ างฆอ้ งเพลงสาธุการ. (วทิ ยานพิ นธป์ ริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวฒั นธรรมศกึ ษา, มหาวิทยาลัยมหดิ ล). ธนิต อย่โู พธ.ิ์ (2495). มลู เหตทุ ่ีนิยมมเี ทศน์มหาชาต.ิ วารสารศลิ ปากร, 6(6), 30-39. บญุ ตา เขยี นทองกุล. (2439). วเิ คราะหง์ านดุริยางคศลิ ปท์ ีใ่ ช้ประกอบการเทศนม์ หาชาติ. (วทิ ยานพิ นธป์ ริญญา ศิลปศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวฒั นธรรมศกึ ษา บณั ฑติ วิทยาลยั , มหาวิทยาลัยมหดิ ล). ปญั ญา รงุ่ เรือง. (2546). ประวตั กิ ารดนตรีไทย. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพาณชิ . ปิยะวรรณ์ สุธารัตน.์ (2518). การสอนมโนทศั น์และหลกั เกณฑ์ว่าดว้ ยการวิเคราะห์ร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก. (วิทยานิพนธป์ รญิ ญาครศุ าสตรมหาบัณฑติ , จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย). พระครวู ินยั ธรมานพ ปาละพนั ธ.์ (2549). รูปแบบเนือ้ หาและวธิ กี ารเทศนม์ หาชาติในยคุ ปัจจบุ ัน. กรงุ เทพฯ: มหาวิทยาลยั ราชภฏั ธนบุร.ี มนตรี ตราโมท. (2496). ป่พี าทย์ประกอบเทศนม์ หาชาติ. วารสารศลิ ปากร, 6(1), 35-37. _______. (2507). ศัพทส์ งั คีต. กรงุ เทพฯ: ห้างหนุ่ ส่วนจากดั ศิวพร. ราชบัณฑิตยสถาน. (2525). พจนานกุ รมราชบณั ฑิตยสถาน. กรุงเทพฯ: คุรุสภา. ลัลนา ศิรเิ จริญ. (2525). อลังการในมหาชาติคาหลวง. (ดษุ ฎนี พิ นธ์ปริญญาดษุ ฎบี ณั ฑิต สาขาวชิ าภาษาไทย บณั ฑติ วิทยาลยั , จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ). ลาวณั ย์ ไกรเดช. (2553). เทศนม์ หาชาติ 84 พรรษา มหาราชภมู พิ ล. กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการการ อุดมศึกษา.
248 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020)
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 249 Content-Based Instructions and Effects in Teacher Training Classroom การสอนภาษาอังกฤษโดยใช้เน้อื หาเปน็ ส่อื ในการจดั การเรียนการสอน นักศึกษาครศุ าสตร์ Lamyai Singsook I ลาไย สิงหส์ ขุ Program in English, Faculty of Education, Sisaket Rajabhat University สาขาวิชาภาษาอังกฤษ คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ศรีสะเกษ Corresponding author, e-mail: [email protected] (Received: 27 February 2020, Revised: 11 March 2020, Accepted: 13 March 2020) ABSTRACT Content-based instruction (CBI) is accepted to be an effective way to teach language because students can learn a language and useful content, so they can cognitively engage in specific contents. This study aimed at investigating the use of CBI in a teacher training classroom to explore its effectiveness. Twenty-eight senior students majoring in teaching English, faculty of Education enrolling in the course of “English for Other Field (s) of Study” in academic year 2018 were participants of the study. Scientific content was taught by a science teacher before presenting their science experiment regarding Earth Science. English teachers were responsible for language parts by focusing on oral presentation and writing experimental reports. Focus group interview was conducted to investigate students’ attitude towards Content-based instruction (CBI). The results showed positive attitude toward learning through CBI in behavioral, cognitive, and emotional aspects. Keywords: Content-Based Instruction (Cbi); Science Experiment, Attitude บทคดั ย่อ เป็นที่ยอมรับว่าการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้เนื้อหาเป็นสื่อนั้นเป็นแนวการสอนท่ีมีประสิทธิภาพ เพราะทาให้ผู้เรียนสามารถเรียนภาษาไปพร้อมกับเนื้อหาท่ีมีประโยชน์ อันจะทาให้เกิดพัฒนาการด้าน ความคิดอีกด้วย การวิจยั น้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อการศกึ ษาว่าการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้เนื้อหาเป็นสื่อนั้นมี ประโยชน์อย่างไรในบริบทของการฝึกอบรมนักศึกษาวิชาชีพครู ผู้เข้าร่วมวิจัยเป็นนักศึกษาเอก ภาษาอังกฤษชั้นปีท่ีสามจานวน 28 คนที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาภาษาอังกฤษในกลุ่มสาระอื่น ในภาค การศกึ ษาปี 2561 ซ่ึงผู้เรยี นไดเ้ รียนเน้อื หาสาระวิทยาศาสตรพ์ ้ืนฐานกบั ผเู้ ชี่ยวชาญด้านสาระวทิ ยาศาสตร์ ก่อนท่ีจะศึกษาด้านการนาเสนอการทดลองโดยใช้ภาษาอังกฤษกับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ซ่ึงเน้ือหา ภาษาอังกฤษจะเน้นด้านการเขียนบทและการพูดนาเสนอเนื้อเร่ืองหัวข้อการเรียนวิทยาศาสตร์ จากน้ัน นักศึกษาได้เข้าสัมภาษณ์แบบกลุ่มเพื่อหาว่านักศึกษาเห็นว่าการเรียนนี้มีผลอย่างไรกับการเรียนรู้ของ ตนเอง ข้อมูลที่ได้ถูกนามาถอดความ จับประเด็นจากการวิเคราะห์เน้ือหาจนพบว่าผู้เรียนมองว่าการเรียน การสอนภาษาองั กฤษโดยใชเ้ นือ้ หาเป็นสื่อนนั้ มีผลสามดา้ นคือดา้ นพฤตกิ รรม ระบบการคิดและอารมณ์ คำสำคัญ: การสอนภาษาองั กฤษโดยใช้เนอ้ื หาเปน็ ส่ือ; การทดลองทางวทิ ยาศาสตร;์ ทัศนคติ
250 ปที ่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) English Teaching in Thailand English is generally taught as a subject rather than a medium of instruction in Thailand. The Thai EFL setting has more in common with EFL in countries such as China, Japan or Indonesia than it does with post-colonial contexts such as Hong Kong, Sri Lanka and much of Africa, where in general, English is, or is intended to be, a medium of instruction. Therefore, Thai English teachers are found to use L1 or native language extensively when teaching English (citation please). Forman (2014) stated that recognition of the role of L1 in L2 learning has strong implications for the status and training of teachers. In many EFL contexts, including that of Thailand, most native speaking English teachers are expatriate and monolingual; most local teachers are bilingual, sharing L1 with their students, which sometimes make them prefer communicating in mother tongue. This might be the cause for Thai students’ language proficiency limitation. The English teachers are blamed when the results of national language test such as Education First ( EF) index has released and showed Thailand had a low proficiency level in English skills at the 53rd place out of 80 non- native English-speaking countries and territories in 2017. However, language teachers are facing with tremendous difficulties from extra administrative work, limited academic support and changes in educational policy. Darasawang and Watson-Todd (2012) presented that the policies and materials governing Thai language teachers include the National Education Act, national education standards, Ministry of Education recommended textbooks, isolated Ministry of Education initiatives, demand-driven changes in the types of schools, test washback, and decentralized decision making. Accordingly, Thai teachers are expected to conform their common practices to match to what has been described by these aforementioned policies, which expect them to improve their subject knowledge, pedagogical methods, classroom management, and professional development. The responsibility to equip prepare new teachers to cope with these difficulties lies in teacher training institution by providing pre-service teachers academic knowledge, pedagogical competence and life-long learning skills. Teacher training classroom In order to become teachers in Thailand, individuals can enter the pre-service educational program in either the undergraduate or graduate level. The former route requires five years of studying in a Rajabhat University or a comprehensive university where students have to complete four years of courses, and culminate in a pre-service training in an actual school in their fifth year. While the latter route requires students to first obtain a bachelor’s degree, in a subject of their choice (even if the subject is not related directly to teaching profession). The teacher training at the graduate level also requires their students to engage in both coursework related to teaching profession, together with participating in teaching practicum in a school at different periods of time according to the university arrangement. Ideally, there is a demand for teachers to have a solid grasp of the content they teach, supported by high academic and ethical standards. Moreover, they are expected to enhance students’ academic progress, as well as to promote students’ social, emotional and moral development, leading them to be good citizens in the
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 251 future. In other words, teachers are expected to serve as role models who teach both character and moral virtues (Lumpkwin, 2008). The descriptions of these expectations are varied and based on an educational vision that is specifically contextual, emancipatory and pupil-orientated (Schepens, Aelterman, & Vlerick, 2009). With these demanding requirements, there were several attempts to ensure teachers’ quality, beginning with the first education reform in 1999. Over the 10 years of the reform, the government had launched many teacher training projects to improve teachers’ quality as it was considered one of the most powerful factors affecting student learning ( Wongwanich, Sakolrak, & Piromsombat, 2014) . With these tremendous expectations, the teachers are confronted with not only conforming to the educational vision of the country, but they also face challenges to balance their duties, together with the attempt to perform their tasks based on the education policy. Teacher training institution, especially those in higher education who are committed to ensuring quality experiences for students across the ages, should be encouraged to prepare the future teachers well to serve the aforementioned expectation. There’s no question that 2018 will bring light to a variety of topics and issues that could monumentally affect the way teacher should teach and the way students learn. (Bates, 2018) With this initiative, teacher training should always bear in mind that each institution should be able to provide training in instructional and assessment strategies, uniquely tailor to the needs of educators working in the international school environment by offering courses relating to current educational trends. For this reason, courses in teacher training institution has to focus on diverse discipline ranging from content knowledge to pedagogical aspects that emphasize prevention of behavior challenges in the classroom and trains teachers to adopt an attitude which will allow students to learn ( Goff-Kfouri, 2013) . Therefore, introduction of current educational trends is needed in order to focus more about how students retain information and what kinds of learning experiences best prepare students for life and the workplace by allowing them to encounter with different instructional approach (MacKinnon, 2017). For English teaching approaches, more attention is given to communicative approaches in English teaching. With the emergence of universal education, the use in foreign language teaching has moved away from grammar-translation to facilitate students’ cognitive abilities and helps to create a favorable psychological atmosphere in the classroom. Therefore, the students should encounter with authentic materials and the delivery of content in a meaningful context .This type of teaching approach can give greater flexibility for language acquisition (Stakanova & Tolstikhina, 2014). This study aims at investigating the attitude of the teacher trainees encountering with Content-based Instruction (CBI) as the teaching approach considered matching with the current trends of language teaching. Therefore, the results might be useful for future language instructions. Content-based instruction The basic features of Content-based instruction, here after CBI, are the use of content language as the medium of instruction; the focus of this approach is to use
252 ปที ่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) authentic materials, so the students can learn meaningfully though extensive input (Hull, 2018). CBI is greatly used in higher education, as well, with the raising importance of learning a second language and the fact that English stands as the lingua franca. Temple, Ogle, Crawford, & Freppon (2017) stated that use of English as the means of instruction in higher education, initially in graduate classes later on undergraduate studies, has increased in the last fifteen years. He suggests that some problems could arise due to the lack of qualified staff and materials. Moreover, he adds up the dimension of students by stating that they might be unwilling to participate as CBI might be demoralizing at the initial stages. There are many studies which prove CBI a promising way of delivering both content and language all around the world ( Fernandez, 2009). Recently, there has been considerable research concerning the effect of CLIL on English language learners’ competence. However, it remains unclear if the positive effects found are due to CLIL or to time. It implies that implementing CLIL will take a considerably amount of time before making students familiarize with the content and vocabularies in specific field. However, for short time implementation, such as one in the current study, the students might gain benefit from micro linguistics such as phonological knowledge or semantics. The results from Catalán & Llach ( 2017) showed that the CLIL group retrieved a higher number of words than the non-CLIL group. However, both groups exhibited similarities concerning most and least productive prompts, first word responses, word frequency, and word level. The findings suggest a need to conduct equal comparisons of CLILs and non-CLIL groups as well as to examine the task effect, and the vocabulary input received by learners. According to the literature (Freeman,2006), the ideal size for focus group discussions is 8-12 participants, in order to allow enough opportunities for discussing the topic. Therefore, twenty-eight students were divided into 4 focus groups. The facilitators were placed in each focus group to elicit information from the students. During an hour meetings, participants were encouraged to exchange experiences, feelings and ideas about the lesson conducted by CBI. They were told explicitly that their opinions will not affect their final grade and scores in the project. Therefore, they would fell at ease to articulate what they had in mind. Stoller ( 2008) provided a useful example of CBI lesson can be approached following these steps: - Choosing a subject of interest. - Finding suitable sources that deal with different aspects of the subject. These could be websites, reference books, audio or video of lectures or even real people. - Assigning each group a small research task and a source of information in the target language to use to help them fulfil the task. - Allowing groups sharing and comparing information.
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 253 - Presenting a result in the form of an end product such as a report or presentation of some kind. These steps were used as a guideline when planning the lesson. The researchers discussed and arranged the duties according to steps before drafting the lesson plan. Context The study was conducted in the Faculty of Education, Sisaket Rajabhat University. The Faculty is registered as a teacher training institution. The initiative is to produce future teachers to serve schools throughout Thailand, especially in local community. It is the main goal of the faculty to prepare learner-sensitive educators with the knowledge, skills, and dispositions to contribute to the society. The students in this Faculty spend four years completing both compulsory and elective courses according to their major. For example, the students enrolling in English major have to study subjects related to English skills, language pedagogy, cultural knowledge and literature related subjects. Then, they have to participate in a one-year practicum to experience actual teaching world before graduating. Twenty-eight students studied in the course called “English in Other Fields of Studies” . The objectives of this class are to familiarize the students with how to integrate English in Science, Social Studies and Maths. Table 1: Steps in learning Science content Week Objective Activities 1 Define CBI - Lecture about basic concept related to language learning theory. - Group discussion about pros. & cons of the approach 2 Lecture about Earth - Lecture about general knowledge regarding Earth Science Science by a Science teacher. - Review of scientific terminology such as orbit, earth title, 3 Focus on language for - Language for presentation explaining process doing science - Use of present continuous tense used in Science experiment doing experiment 4 Provide consultation - Checking the presentation draft and content by the science experiment project both English and Science teacher - Offering ways to look for information related to science content 5 Present science - Science experiment presentation experiment project 6 Write the experiment - Use of past tense in explaining the previous report presentation
254 ปที ่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) The interviews were carried out face-to-face so that a rapport can be created with respondents. Twenty-eight students were divided into four separate focus group in order to allow chances for each of them to reflect on their learning experiences. The interviews were structured as a focus-group discussion, where the researcher asked them to reflect how they deal with each process of CBI. Bearing in mind that successful in-depth interviewers listen rather than talk, the interview was more of a guided conversation than a staccato question and answer session. They were asked to express whether they felt like the process helped them learn anything, or how they gained or did not gain knowledge. The interview was then transcribed verbatim, and content analysis was used to extract salient themes. Winke’ s ( 2017) suggestion about how to conduct focus group has been adopted in this current study by following the steps. a. Select the number of participant: In doing this, there were four groups; each contained 7 students. Ho (2012) offered the view that having six to twelve in the group. All of the participants should come from within the otherwise homogeneous population to capture the possible range of varying views. b. Prepare the interview guide: The initial draft of interview questions consisted of a series of open-ended questions that set the agenda for the group's discussion before sending it to the expert to validate. Ho ( 2012) noted that general, unstructured questions usually come first, and more specific questions should come after. After making correction according to the expert’ advice, the interview questions were piloted with the group of students to determine if the wording is appropriate and easily understood. c. Select the focus group moderator: Winke ( 2017) stated that the moderator plays a key role in the success of the focus group. The person should be empathic, courteous, and regard the focus group participants as knowledgeable and wise, as well as having a clear focus of the research focus. Therefore, two lecturers in the English department, who did not take part in the course, took over the roles by asking participant in each focus group to reflect on their learning experiences. d. Determine the setting for the focus group: The participants were invited to sit in a circle or semi-circle to facilitate the group discussion. Moderators also sit with them to make them feel like the person was part of the group. e. Data analysis: Content Analysis ( Karlsson & Sjøvaag, 2016) , in which the open-ended responses were coded and classified using data driven approach. Therefore, the data were categorized and showed three important themes i.e. behavioral, cognitive, and emotional. Results As aiming at investigating how the method affects the students’ behavior, cognition and emotion. The attitude gained from the focus group interviewed showed that the students had pleasant experiences in integrating CBI into their lesson.
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 255 Behavioral aspect The students reported that their learning behavior was changed as they had to be more diligent in looking for information regarding Science content. They realized that the unfamiliar topic, as well as a new type of task, made them accelerate their study habits and time management skills. “Studying with Science teachers made me realize that there are so many things about English that we did not know. For example, the teacher asked us about some vocabulary about the earth such as orbit, soil erosion, and tectonic plate. We were shocked as we have not seen those kind of word before, so we know we had to look for more information” (focus group 1) “ We had to deal with the excitement in making presentation related to Science experiment. We had to practice so many times to make us feel better before presenting. Normally, when we did presentation, we tried to make use of visual by making sure we engaged well with the PPT slide, but with the experiment, we had to make sure that we did the correct steps unless the expected results would not come out. That meant we had to time every steps precisely” (focus group 3) Due to the fact that CBI gave the students chances to encounter with challenging task by asking them to arrange the lesson including Science experiment. They had to be more active as there were so many things they needed to look for in order to complete the task. Since it was the project that they had to present in front of their classmates and made them engage in the lesson. They had to make sure that things went well by extensive preparation. Cognitive aspect The students reported the change in their cognitive learning or the process of acquiring and understanding knowledge through thoughts, and experiences when encountering with CBI. They saw themselves pay more attention in the class as the approach offered a wide educational knowledge to learners in the form of the different topics, so they knew they could not understand the topic if they did not pay attention. Also, they have changed their perception about learning English since they could see that the language should be used as a medium to learn other things instead of focusing on linguistic features. “At first, we were confused because we had the impression that we were not actually learning language. After we had given the task to do experimental project presentation, we were getting to know that we were asked to practice speaking skills. Before coming up with the topic, we had to pay attention to the Science’ s teacher lecture so we could select the suitable topic to present. It made us think all the time”. (focus group 2) “ The project made us think a lot because we wanted to make sure that we used the good activities to engage the audiences. We had to take-note, summarize the information that each of us find from the website before discussing and selecting the best experiment that we could do in 10 minutes”. (focus group 4) The information from focus group interview showed that CBI made students changed the attitude about how English lesson should be taught. It was the time that
256 ปีท่ี 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) they realized that English could be used as the way to make them engage in valuable learning skills from content-based task. Emotional aspect As known that Emotions such as enjoyment, anger, hope, pride and boredom, can each affect students and learning in a variety of ways. Implementing CBI into English class also provoked a lot of emotions for students ranging from anxious about unfamiliar topic to increase level of enjoyment when helping each other doing the experiments. “ After the Science lecture, we were a bit anxious about how can we came up with the interesting experiment. Finding information sources and texts that lower levels can understand was difficult. Later, we came to consult our lectures about the unsure point, so we felt better that we were in the right direction” (focus group 1) “ Normally, we sometimes got bored when learning English because the content was not that challenging. When we studied the Science content, we were excited. (focus group 4) Discussion The findings of this study show positive attitudes and motivation attribute to the process of self-development of students majoring in English. Therefore, the practitioners in the field of second language acquisition may lead their students to explore different genres from various contents as it can be the way to improve their skills in a foreign language. Teachers might utilize some reading materials from different subject areas to enable students to do more extensive reading and promote autonomous learning by encouraging them to use technology to look for diverse topics that might match individual interests. Thus, CBI can attempt to stimulate their students’ intrinsic motivation more frequently. Finally, the practitioners in the field of second language acquisition can build in some fun and pleasure through/ with authentic reading texts in the classroom environment. These results of the study also reveal a research implication in that doing focus group should become helpful tools to elicit participants’ attitude. However, there are some issues to be raised when conducting a focus group interview such as how to ask questions and how to develop moderating skills. This is in line with Krueger and Casey's (2015) wrote on their 5th edition book on focus group methods about how to ( a) develop strategies for asking questions, ( b) develop moderating skills, (c) conduct focus groups with young people, (d) and carry out international and cross-cultural focus groups. The current study showed that asking the right question meant tremendously in gaining insightful information from the participants. Training should also be done for moderator so they would know how to lead the conversation in the natural and relaxing way. This cozy atmosphere can affect the flow of ideas that the participants willing to share or not, and in turn it influences the credibility of the study.
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 257 The new knowledge The students’ positive attitude in their learning could be seen as an indicator of the effectiveness of the implementation of the CBI course. Students’ excitement in doing science experiments can be seen as the practical way to make them engage in learning language. This implementation of CBI can be further transferred to other educational settings since it could bring new type of learning experience to students. This study shows that wide range of different methodologies, materials and resources are used in class can greatly affect students’ willingness to learn language, so the results offer language teachers another concept of managing activities especially for Rajabhat university where training future teachers is one of the main duties. Conclusion CBI is found to be an effective method of combining language and content learning. The use of this method will increase as teachers continue to design new syllabi to cope with student needs and interests. It is believed that learner motivation will be increased when students are learning about something meaningful, rather than just studying language in traditional ways. References Bates, A. T. (2018). Teaching in a digital age: Guidelines for designing teaching and learning. Vancouver, BC. Open Access Electronic Book retrieved from https://opentextbc.ca/teachinginadigitalage/ Catalán, R. M. J., & Llach, M. P. A. (2017). CLIL or time? Lexical profiles of CLIL and non-CLIL EFL learners. System, 66(1), 87-99. Darasawang, P., & Watson Todd, R. (2012). The effect of policy on English language teaching at secondary schools in Thailand. In E. Low & A. Hashim (Eds.), English in Southeast Asia: Features, policy and language in use (pp. 207-220). Philadelphia: John Benjamins. Forman, R. (2014). How local teachers respond to the culture and language of a global English as a foreign language textbook. Language, Culture and Curriculum, 27(1), 72-88. Freeman, T. (2006). ‘Best practice’in focus group research: making sense of different views. Journal of advanced nursing, 56(5), 491-497. Goff-Kfouri, C. A. (2013). Pre-service teachers and teacher education. Procedia-Social and Behavioral Sciences, 93(1), 1786-1790. Ho, D. G. (2012). Focus groups. In C. A. Chapelle (Ed.), The encyclopedia of applied linguistics (pp. 1-7). Hoboken, New Jersey: Wiley-Blackwell. Hull, T. (2018). Content-based instruction: A communicative approach for the EFL classroom. PUPIL: International Journal of Teaching, Education and Learning, 2(3). Karlsson, M., & Sjøvaag, H. (2016). Content analysis and online news: Epistemologies of analysing the ephemeral Web. Digital journalism, 4(1), 177-192. Lumpkin, A. (2008). Teachers as role models teaching character and moral virtues. Journal of Physical Education, Recreation & Dance, 79(2), 45-50.
258 ปที ี่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) MacKinnon, G. (2017). Highlighting the importance of context in the TPACK model: Three cases of non-traditional settings. Issues and Trends in Educational Technology, 5(1), 4-16. Schepens, A., Aelterman, A., & Vlerick, P. (2009). Student teachers' professional identity formation: between being born as a teacher and becoming one. Educational Studies, 35(4), 361-378. Stakanova, E., & Tolstikhina, E. (2014). Different approaches to teaching English as a foreign language to young learners. Procedia-Social and Behavioral Sciences, 146(1), 456-460. Temple, C. A., Ogle, D., Crawford, A. N., & Freppon, P. A. (2017). All children read: Teaching for literacy in today's diverse classrooms. Boston: Pearson. Winke, P. (2017). Using focus groups to investigate study abroad theories and practice. System, 71(1), 73-83. Wongwanich, S., Sakolrak, S., & Piromsombat, C. (2014). Needs for Thai teachers to become a reflective teacher: Mixed methods needs assessment research. Procedia-Social and Behavioral Sciences, 116(1), 1645-1650.
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 259 บทเพลงพนื้ ฐานสาหรบั ผู้ฝกึ หดั ป่ีใน Fundamental compositions for Pi-Nai learner สุรเชษฐ์ พรมรักษ์ I Surachet Promrak อาจารย์ประจาสาขาดนตรศี ึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏศรสี ะเกษ A lecturer in Music Education, Faculty of Education, Sisaket Rajabhat University. Corresponding author, e-mail: [email protected] (Received: 27 February 2020, Revised: 13 March 2020, Accepted: 14 March 2020) บทคดั ย่อ การพัฒนาฝีมือจนสามารถเป็นนักปีท่ ีด่ ไี ด้ จะต้องผา่ นกระบวนการฝึกซอ้ มหลายข้ันตอน การ ฝกึ หดั ไลม่ อื เป็นหลักสาคัญของผู้ฝกึ หัดปี่ใน โดยใชเ้ พลงที่ดาเนนิ ทานองปใ่ี น ทางโอดและทางพันเปน็ หลกั อาทิ เพลงสาธุการ เพลงเหาะ เพลงรวั ลาเดยี ว เพลงมุลง่ และเพลงเตา่ กินผักบงุ้ บทเพลงดังกล่าว ช่วยให้ ผเู้ รยี นปใ่ี น สามารถนาไปปรับใชไ้ ดต้ ามความเหมาะสม ตามทักษะของแตล่ ะท่าน โดยการเรม่ิ ฝกึ ไล่มือจาก เพลงง่ายไปหาเพลงยาก ใช้เวลาในการไลม่ ือจากระยะเวลาสน้ั ไปสูร่ ะยะเวลาทน่ี านขนึ้ คำสำคัญ: เพลงพื้นฐาน; การไลม่ อื ; ป่ใี น ABSTRACT To develop the skills to be a great flutist, it must be preceded by many steps of practice. Hand-chasing exercise is an important principle of the soprano oboe practice by using songs performing soprano oboe’s melody mainly through “Ode” and “Pan” (names of Thai classical tunes) such as Satukarn song, Hoa song, Rualadeaw song, Mulong song, and Taoginpakboong song. The mentioned songs can appropriately be applied based on personal skills by practicing hand-chasing from the simple song to tougher song. The time required for hand-chasing can be spent from a short period to a longer period. Keywords: Songs of fundamental; Practicing to high performance; Pi-Nai
260 ปที ี่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 บทนำ ป่ใี น เปน็ เครื่องดนตรีไทย ท่ีใช้บรรเลงอยูใ่ นวงปพ่ี าทยไ์ ม้แขง็ เครอ่ื งหา้ วงป่พี าทยไ์ มแ้ ข็งเครื่องคู่ และวงป่พี าทย์ไมแ้ ข็งเคร่อื งใหญ่ เปน็ เครอื่ งดนตรที ีท่ าหน้าที่ดาเนินทานองทางป่ีใน ทัง้ ทางโอดและทางพัน การเปน็ นกั ปใี่ น จะตอ้ งผ่านการฝึกซอ้ ม โดยการไลม่ ือ โดยใช้เพลงท่ดี าเนินทานองป่ีใน ทางโอดและทางพัน เปน็ หลัก เชน่ เพลงสาธกุ าร เพลงเหาะ เพลงรัวลาเดยี ว เพลงมุล่ง และเพลงเต่ากนิ ผักบงุ้ เป็นตน้ เพลง เหลา่ นี้ ผู้อา่ นหรือผู้ที่สนใจศกึ ษาเพลงไล่มอื สามารถปรบั ใชไ้ ดต้ ามความเหมาะสม ตามทักษะของแต่ละ ท่าน โดยการเรม่ิ ฝกึ ไล่มอื จากเพลงงา่ ยไปหาเพลงยาก ใชเ้ วลาในการไลม่ ือจากนอ้ ยไปหามาก การเปน็ นักปีใ่ น ท่ปี ระสบความสาเรจ็ และมฝี ีมอื ท่ดี ีน้นั นักป่ใี นท่มี ชี ่อื เสยี งทา่ นตา่ งๆ ได้ผา่ นการ ฝกึ ซอ้ มไลม่ อื มาแล้วทกุ ทา่ น ส่วนเพลงท่ีทา่ นเหลา่ นนั้ ใชไ้ ลม่ ือ ก็จะเปน็ เพลงท่กี ล่าวมาแล้วในเบ้ืองตน้ หรือ อาจจะมีเพลงที่ใชไ้ ล่มอื เพลงอ่นื ๆ ทีแ่ ตกตา่ งกันไปบ้าง ตามบ้าน ตามสานกั ของทา่ นเหล่านน้ั ทีไ่ ดร้ บั การ ถ่ายทอดมาจากครทู ่านตา่ ง ๆ สาหรบั บทความฉบับนี้ ผู้เขียนขอเสนอหลักการเป่าปี่ในไว้ 2 ประเดน็ คอื 1. ขนั้ ตอนและศลิ ปะในการเป่าปี่ใน 2. การไล่นวิ้ มอื และไล่ลมของปใี่ น ขัน้ ตอนและศิลปะในกำรเป่ำป่ใี น การเปา่ ปี่ใน มีหลายขัน้ ตอนและหลายองค์ประกอบ อกี ทงั้ ขนึ้ อย่กู บั การฝกึ ฝน ฝกึ ซ้อมปี่ในด้วย รวมถงึ การฝกึ ระบายลม เพราะการบรรเลงเครือ่ งเป่าดนตรีไทยทุกชนดิ ผูบ้ รรเลงควรท่ีจะระบายลมได้ บุญช่วย โสวตั ร (2525 : 113-135) กลา่ ววา่ ครูเทยี บ คงลายทอง ได้เคยกล่าวไว้เสมอว่า ผู้ท่เี ปา่ ป่ีเก่ง กบั เป่าปด่ี นี ้นั ไมเ่ หมอื นกัน การเป่าป่เี ก่งนั้นเป่าง่าย แต่การเป่าปดี่ นี ้ัน ตอ้ งใชค้ วามพยายามใ น การศกึ ษาและฝกึ ฝนมากจงึ จะประสบความสาเรจ็ องคป์ ระกอบของการเป่าปี่ ประกอบด้วย 3 อย่าง คือ 1) ผู้บรรเลง 2) ข้ันตอนในการเรียนรู้เสยี งปใี่ น 3) เครอ่ื งดนตรแี ละอปุ กรณส์ าหรับการฝึกหัด 1.1 ผู้บรรเลง มีสว่ นสาคัญท่สี ดุ ทต่ี อ้ งเรียนการเปา่ ปี่ให้ถกู ตอ้ ง และปฏบิ ัตคิ ุณลักษณะท่ดี ใี นการเป่าปี่ ผู้ท่เี ปา่ ป่ี ได้ดี ตอ้ งมคี วามพร้อม ดังน้ี 1.1.1 ความพรอ้ มทางดา้ นร่างกาย ได้แก่ ความอดทน ความละเอยี ดรอบคอบ เป็นผูม้ ี เหตผุ ล เป็นผมู้ ีสมาธดิ ี ความสามารถในการตัดสินใจ ทักษะในการใช้ลนิ้ ปีแ่ ละลนิ้ ของผูเ้ ป่าปี่ ความสามารถ ในการใชน้ ้วิ มือ และการใช้ระบบหายใจ 1.2 ข้ันตอนในการเรียนรู้เสียงปี่ใน ข้นั ตอนทผ่ี ู้เรียนป่คี วรปฏบิ ัติ คือ เรียนรูเ้ สยี งปใี่ หไ้ ด้ 24 เสียง แตใ่ นขณะท่เี ร่มิ ฝึกหดั เป่าป่ี ในชว่ ง แรก ควรเลือกเสยี งเปา่ ที่เป่าง่ายก่อน เชน่ กลมุ่ เสยี งกลาง ไล่เสียง ด ถึง เสยี ง ด สงู เช่น ด ร ม ฟ ซ ล ท ด เสยี งปี่ ทั้ง 24 เสยี ง แบ่งออกได้ 4 กลุม่ ไดแ้ ก่
วารสารรัตนปญั ญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 261 กลุ่มเสยี งท่ี 1 ต้ังแตเ่ สยี งที่ 1-6 เรยี กวา่ เสยี งตอ้ คอื เสียง รฺ ตา่ ไล่เสยี งมาถึง เสยี ง ทฺ ต่า กลุ่มเสียงท่ี 2 ตั้งแตเ่ สยี งท่ี 7-13 เรียกวา่ เสยี งกลาง เรม่ิ จาก เสยี ง ด ไล่เสยี งข้นึ มาถงึ เสยี ง ท กลุ่มเสียงท่ี 3 ตงั้ แตเ่ สียงที่ 14-20 เรยี กว่า เสยี งแหบ เริ่มจากเสียง ด ไล่เสียงขน้ึ ถึงเสียง ท สูง กลมุ่ เสียงท่ี 4 ตงั้ แตเ่ สยี งที่ 21-24 เรียกว่า เสยี งแหบสุด เรม่ิ จากเสยี ง ด สงู ไล่เสียงขึน้ ถึงเสยี ง ฟํ ระบบกำรปดิ เปดิ นิ้วปใ่ี น น้ิว XXXXXXOXXXXX XOXXXXX OOOXX ช้ี มือ นว้ิ X X X O O O O X X X X O O O X X X X O O O O X X บน กลำง นว้ิ X X X O O O O O X O O O O OX X X X O OO O X O นำง นิ้ว X XX X X OO X OOX O OOXX XOO OOOOO ชี้ มอื นิ้ว X O O X X O O X O O X O O O X X O O O O O O O O ล่ำง กลำง น้วิ นำง O X O X O O O X O O X O O O X O O O O O O O O O ระดบั เสียง รฺ มฺ ฟฺ ซฺ ลฺ ทฺ ด ร ม ฟ ซ ล ท ด ร ม ฟํ ซ ล ท ด๋ ร๋ ม๋ ฟ๋ ช่วงเสียง เสยี งต้อ เสยี งกลาง เสียงแหบ เสียงแหบสุด อธิบำยสญั ลักษณ์ เครือ่ งหมาย X หมายถึง ปดิ นว้ิ เครอ่ื งหมาย O หมายถึง เปดิ นว้ิ (ไชยวธุ โกศล, 2549) 1.2.1 ข้ันตอนท่ผี ู้เรยี นป่ีควรปฏิบตั ิ มีดังนี้ 1) การครอบจับมือ ในวงการดรุ ิยางคศิลป์ ถอื เป็นพธิ ีการท่ผี เู้ รยี นศิลปะทุกคนควรถือ ปฏบิ ิติ เพอื่ เปน็ การคารวะ ครูบาอาจารย์ ก่อนการเรียนป่ี และเพือ่ ให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตัวผู้เรียน อีกท้ังมผี ลทางดา้ นจิตใจ ใหเ้ ป็นเครื่องยึดเหนย่ี วแก่ศษิ ย์ ให้เกิดความมนั่ ใจ แนว่ แนท่ จี่ ะเรียนปใี่ ห้บรรลุผล สาเร็จ โดยผู้เรียนตอ้ งเตรยี ม ดอกไม้ ธูป เทยี น ขนั ล้างหนา้ ผา้ ขาว และเงนิ กานล นาไปมอบแก่ครผู ทู้ าพธิ ี ครอบและจบั มอื หลงั จากเสรจ็ พิธีแล้ว ก็เริ่มเรยี นปีไ่ ด้ 2) รับคาแนะนาในการปฏิบัตติ นในการเรียน ก่อนการเรยี นครูผสู้ อนจะอบรม แนะนา สงั่ สอนศิษย์ ให้ประพฤตติ นเป็นผู้มคี วามนอบนอ้ ม การควบคุมอารมณ์ เปน็ ผู้สภุ าพ อ่อนโยน การใช้ความรู้ ความสามารถไปในทางทถ่ี ูกทค่ี วร การเตรียมเคร่อื งมือก่อนเร่ิมทาการฝกึ ตลอดจนหลกั การและวธิ ีการฝึก ต่างๆ ส่งิ เหลา่ น้ี เปน็ สง่ิ ท่ดี แี ละจาเปน็ สาหรบั ผเู้ ป็นศิลปนิ ทุกคน
262 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 3) หดั เป่าเสียงต่างๆ เบือ้ งต้น เมอ่ื ได้รับคาแนะนาจากครกู ระทั่งเขา้ ใจแล้ว จึงเรม่ิ เป่า เสยี งเบ้อื งตน้ ในการฝึกทกุ ครง้ั ครูจะคอยบอก คอยสอน ข้อควรปฏบิ ตั ิตามลักษณะทถี่ ูกต้อง เช่น การเป่า ใหเ้ สยี งชัดเจน การใชล้ ิ้นในการตอดลนิ้ ปี่ การน่งั พบั เพยี บ ต้งั ลาตวั ตรง คอตรง แขนไม่กาง หน้าตรง ไม่ก้ม หน้า หรือ แหงนหน้าเกนิ ไป เป็นต้น 4) หัดระบายลม การระบายลม เป็นการเป่าปใี่ หเ้ สียงตอ่ เนือ่ ง ไม่ขาดชว่ ง มีวิธีการดงั น้ี 4.1) เป่าลมตรงออกจากปอด ออกแรงเป่าประมาณครึ่งหน่งึ 4.2) นาลมทเี่ หลือเก็บไวใ้ นกระพงุ้ แกม้ และพองแกม้ ของตนรับลม 4.3) ปดิ ชอ่ งทางเดนิ ลมท่ีเช่ือมตอ่ จากคอด้านใน ลิน้ สาหรับปิดเปิดนจี้ ะมีอัน เดียว เมอ่ื ปิดชอ่ งระหวา่ งปากไปสหู่ ลอดลมเขา้ ปอดแลว้ ชอ่ งลมจากจมกู เข้าสูห่ ลอดลมก็จะเปดิ ให้หายใจ เข้าสปู่ อดทางดา้ นนน้ั 4.4) เบง่ กล้ามเนอื้ ท่ีกระพุ้งแก้ม ดนั ลมในปากออกไปเปา่ ลิ้นป่ี 4.5) ในขณะทแ่ี ก้มเร่ิมดันลมออก ให้เร่ิมหายใจเข้าทางจมูก 4.6) เม่ือหายใจเข้าปอดไดแ้ ลว้ ก็ปลอ่ ยออกสูช่ อ่ งเสริมลมในปากท่ีกาลัง จะ หมดลม โดยนาขั้นตอนที่ 1 มาใชใ้ ห้ตอ่ เนอ่ื ง ถ้าปฏิบตั ไิ ดด้ ังน้ี กจ็ ะมีลมออกจากช่องปากไดต้ ลอด เรยี กวิธนี ี้ วา่ การระบายลม 5) ฝกึ หดั เป่าเพลงเตา่ กนิ ผกั บุ้ง 2 ช้ัน สาหรบั เพลงแรกท่ีนามาเปน็ บทฝกึ หัด ท่ีผู้เร่ิมเรียนปตี่ ้องเปา่ ให้ได้ คอื เตา่ กินผักบงุ้ 2 ชัน้ โดยครู จะประดิษฐ์ทางใหม้ เี สียงยาว และ เสยี งส้ัน สลบั กันเป็นช่วงๆ เรียกวา่ เสียงโอด-พนั เพ่อื ให้ผู้ทีฝ่ กึ หัดใหม่ ได้มโี อกาสเป่าเสยี งยาวบา้ ง เสียงสน้ั บ้าง ตอดล้นิ บ้าง ระบายลมบา้ ง และเป่าเสียงใหน้ ิง่ ใหช้ ดั เจน เพอื่ ให้ เกิดความชานาญในการใช้ลม น้วิ ล้นิ ปี่ และลิ้นของผู้เป่าเองใหส้ มั พนั ธก์ นั กำรไล่นิว้ มือและไลล่ มของปี่ใน การไลม่ ือ ถอื เปน็ ทกั ษะในทางปฏิบัติของเครอ่ื งดนตรไี ทย ท่ีนกั ดนตรีไทยทกุ คน ต้องเคยผ่าน การฝกึ ไล่มือ ดงั ท่ีไชยวธุ โกศล (2549) ได้กลา่ วไว้ว่า การไลม่ ือน้นั ประเพณีนยิ มไล่มือชว่ งเวลาเช้ามืดหรือ เชา้ ตรู่ เนื่องจากเชอื่ วา่ การไล่มือในเวลานั้น ไดก้ าลงั มากกวา่ เวลาอ่ืน เน่ืองจากรา่ งกายได้รับการพักผ่อน มาอย่างเตม็ ทใี่ นเวลากลางคืน โดยจะใชเ้ วลาในการไล่มือครัง้ ละ 2-3 ชั่วโมง เพลงท่นี ิยมนามาไลม่ อื เชน่ เพลงทะแย 3 ชัน้ หรอื 2 ชนั้ เพลงฉง่ิ มลุ ่ง 2 ช้นั หรอื ชั้นเดียว เพลงสาธกุ าร หรอื เพลงตับตน้ เพลงฉงิ่ 3 ชนั้ เป็นตน้ 2.1 แนวทางในการไลม่ อื มีขอ้ ควรปฏบิ ัติ ดังนี้ 2.1.1 ไลม่ อื เป็นประจาทุกวันอยา่ ไดข้ าด เนอ่ื งจากการไล่มอื เป็นการเตรียมความพรอ้ มของ ร่างกายให้พรอ้ มในการบรรเลงตลอดเวลา เมือ่ มภี ารกิจตอ้ งไปบรรเลงคราวใด ก็จะทาใหบ้ รรเลงไดโ้ ดยไม่ อ่อนเพลียหรือออ่ นกาลัง
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 263 2.1.2 ควรไลม่ อื ในช่วงเวลาท่ีว่างจากภารกจิ อน่ื โดยไม่ถูกรบกวนในขณะไล่มอื โดยนัก ดนตรไี ทยนิยมไลม่ อื ในช่วงเช้า เวลา 5 นาฬิกา ถงึ 8 นาฬิกา หรืออาจปรบั เวลาการไล่มือใหม่ได้ ในช่วง เวลาทวี่ ่างและเหมาะสม 2.1.3 ในการไลม่ อื ควรใชเ้ วลาประมาณ 2-3 โมง หรืออาจแบ่งเวลาออกเป็นช่วงๆ คร้ัง ละ 1 ช่วั โมงก็ได้ 2.1.4 เร่ิมไลม่ อื ดว้ ยแนวการบรรเลงช้าๆ และม่ันคง ใหไ้ ด้เสยี งทด่ี งั ชัดเจนและสม่าเสมอ ก่อน ไมค่ วรเร่งแนวในการไลม่ อื แตใ่ หแ้ นวพุ่งขนึ้ เองตามธรรมชาตใิ นตอนท้ายของการไลม่ ือ ในบทความน้ี ผู้เขียนจะกลา่ วถงึ เพลงที่นักปี่ใน ใช้สาหรับไลน่ ้ิวมือและไล่ลม 5 เพลง ไดแ้ ก่ เพลง สาธกุ าร เพลงเหาะ เพลงรัวลาเดียว เพลงมลุ ่งชัน้ เดียว และเพลงเตา่ กินผกั บงุ้ เพลง สำธุกำร 2 ชนั้ - - - ร - - - ม - ล - ม - ซ - ล - มรท - ล - ฟ - - - ม - - - ร - - - ทฺ - ลฺ - ร - รฺ - ร ทรฺ ทฟฺ รลลล รล - ฟ - - ฟล รฟมร ลฺทรฺ ม รมซล ทมรล ทลซม - ลลล - ท - ล ทลซม - ซ - ล ลทรม ซมรท มรทล รทลซ รซลท ดมรด ซลทด รดทล รมรด ทลซม ทรฺ ทมฺ รมซล ซลทด รดทล รทลซ ทลซม - - - ร - - - ซ - - ลท - ล - ท รซลท ดมรด ซลทด รดทล รลทด รดทล รทลซ ทลซม รดมร ดทฺรด ทลฺ ฺดทฺ ลซฺ ทฺ ลฺ ฺ ลฺทรฺ ม ลซซซ ลทรล รททท ลทรม ซมรท มรทล รทลซ - ฟมร - ม - ร มรทรฺ - ม - ซ ลฺทฺรม ลซซซ ลทรล รททท รลลล รททท ฟลฟท ลทรม ลมฟซ ลซฟม ลฟมร ฟมรทฺ - ร - ม - ร - ท มรทล รทลซ รซลท ดมรด ซลทด รดทล รมรด ทลซม ทฺรทมฺ รมซล ซลทด รดทล รทลซ ทลซม - ฟ - ม - ร - ทฺ ลซฺ ฺลทฺ ฺ - ร - ม - ลลล - ท - ล - ซ - ม - ซ - ล - ร - ม - ร - ท มรทล รทลซ รซลท ดมรด ซลทด รดทล รมรด ทลซม ทรฺ ทฺม รมซล ซลทด รดทล รทลซ ทลซม ลซลล ลทลล ลรลล ลทลล มฟลท รล - ฟ ทลฟม ลฟมร ลทฺ ฺดร มรดทฺ ลซฺ ฺลทฺ ฺ ลทฺ ดฺ ร ลรฺ ดทฺ ลทฺ ดฺ ร ฟมรม ลมฟซ ฟมรม ลมฟซ ฟมรม ฟซลท รมรด ทลซร มฟซล รทลซ - รมฟ - ล - ม - ล - ฟ มร - ทฺ รลฺลลฺ ฺ รทฺททฺ ฺ ซลฺ ฺซทฺ ฺ ลทฺ รฺ ม ลซทล ซฟมร ฟมรม ลมฟซ ฟมรม ลมฟซ ลฟซล ทซลท ซลซท ลทรซ ฟํซลซ ฟมํ รท รมรด ทลซร มฟซล รทลซ ซรรร ลทฺ รฺ ม ลซซซ รมซล รซลท ดมรด ซลทด รดทล
264 ปีท่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 มรทล รล - ฟ ทลฟม ลฟมร ลรฺ ดทฺ ลฺทดฺ ร ฟมรม ลมฟซ รมรท มรทล รทลซ ทลซม รดมร ดทรฺ ด ทฺลดฺ ทฺ ลฺซฺทลฺ ฺ รมรด ทลซร ฟมซฟ ลซทล - - - ร - - ทลฺ ฺ - - - ทฺ - - ททฺ ฺ รลฺลลฺ ฺ รทฺททฺ ฺ ซฺลฺซทฺ ฺ ลฺทรฺ ม รมฟซ ลซฟม ลฟมร ฟมรทฺ - ดทลฺ ฺ - ฟมร - ลฺ - ร - - มฟ มฟลท รทลฟ ทลฟม ลฟมร - ลลล - ท - ซ - ล - ท - ด - ร - ดทฺลฺ - ฟมร - ลฺ - ร - - มฟ รมรฟ มฟลท รมรล รทลฟ มฟลท รทลฟ ทลฟม ลฟมร ลทมร ทลซม ทฺรทมฺ รมซล ซลทด รดทล รทลซ ทลซม - ร - ท - ล - ซ - - ทล ซล - ท - ฟ - ม - ร - ทฺ ลซฺ ลฺ ทฺ ฺ - ร - ม - ร - ซ - - ลท - ร - ท - ล - ซ รซลท ดมรด ซลทด รดทล รมรด ทลซม ทรฺ ทฺม รมซล - ร - ท - ล - ฟ - - - ม - - - ร กลับต้น - - - ทฺ - ลฺ - ร - รฺ - ร ทฺรทฺฟ รลลล รล - ฟ - - ฟล รฟมร ลฺทฺรม รมซล ทมรล ทลซม - ลลล - ท - ล ทลซม - ซ - ล ลทรม ซมรท มรทล รทลซ รซลท ดมรด ซลทด รดทล รมรด ทลซม ทฺรทฺม รมซล ซลทด รดทล รทลซ ทลซม - - - ร - - - ซ - - ลท - ล - ท รซลท ดมรด ซลทด รดทล รลทด รดทล รทลซ ทลซม รดมร ดทรฺ ด ทฺลดฺ ทฺ ลซฺ ทฺ ลฺ ฺ ลฺทรฺ ม ลซซซ ลทรล รททท ลทรม ซมรท มรทล รทลซ - ฟมร - ม - ร มรทฺร - ม - ซ ลทฺ ฺรม ลซซซ ลทรล รททท รลลล รททท ฟลฟท ลทรม ลมฟซ ลซฟม ลฟมร ฟมรทฺ - ร - ม - ร - ท มรทล รทลซ รซลท ดมรด ซลทด รดทล รมรด ทลซม ทรฺ ทมฺ รมซล ซลทด รดทล รทลซ ทลซม - ฟ - ม - ร - ทฺ ลซฺ ฺลทฺ ฺ - ร - ม - ลลล - ท - ล - ซ - ม - ซ - ล - ร - ม - ร - ท มรทล รทลซ รซลท ดมรด ซลทด รดทล รมรด ทลซม ทรฺ ทฺม รมซล ซลทด รดทล รทลซ ทลซม ลซลล ลทลล ลรลล ลทลล มฟลท รล - ฟ ทลฟม ลฟมร ลทฺ ฺดร มรดทฺ ลซฺ ฺลฺทฺ ลฺทดฺ ร ลฺรดทฺ ลฺทฺดร ฟมรม ลมฟซ ฟมรม ลมฟซ ฟมรม ฟซลท รมรด ทลซร มฟซล รทลซ - รมฟ - ล - ม - ล - ฟ มร - ทฺ รลลฺ ลฺ ฺ รทฺททฺ ฺ ซฺลซฺ ทฺ ฺ ลทฺ รฺ ม
วารสารรัตนปญั ญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 265 ออกพระเจ้ำเปิดโลก - ททท - ท - ร - ม - ร - ท - ล ซลทด รดทล รทลซ ทลซม - ฟ - ม - ร - ทฺ ลซฺ ฺลทฺ ฺ - ร - ม - ลลล - ท - ล - ซ - ม - ซ - ล ลทรม ซมรท มรทล รทลซ รซลท ดมรด ซลทด รดทล ---ร ---ม ---ซ ---ล -ร-ท -ล-ฟ ---ม ---ร เพลง เหำะ 2 ช้ัน ข้นึ ป่ี ---ร -ม-ซ - - - - - - - ล - - - ท - - - ม - มรท - ล - ซ ลลทล ซม - ซ ทอ่ น 1 - - - ท - ททท รร - ล รล - ซ ลฺทฺรม ลซซซ ลทรล รททท ซลซท ลทรม ซซ - ร ซมรท - ร - ม - ร - ท มรทล รทลซ - - - ซ - ซซซ รล - ซ - ม - ร มรซม รทฺ - ร ลทฺ รฺ ม ซรมซ - ทรฺ ม - ซ - ล - ทรล ทลซม - ร - ซ - - ลท รร - ท - ล - ซ กลับต้น ท่อน 2 - ล - ท - ล - ฟ - - - ม - ฟ - ล - ล - ท - ล - ฟ ทลฟม ลฟมร - ดทลฺ ฺ - ทฺ - ร - ล - ฟ - ฟมร - รมฟ - ล - ม - ล - ฟ มร - ซ - - - ซ - ซซซ รล - ซ - ม - ร มรซม รทฺ - ร มรทฺร - ม - ซ - ทฺรม - ซ - ล - ทรล ทลซม - ร - ซ - - ลท รร - ท - ล - ซ กลับต้น เพลงเหำะ เสยี งที่ 2 ทอ่ น 1 - - - ม - มมม ซลซร ซมรด ทลซร ซลทด ทลซล ทดรม ดรดม รมซล ดรดซ ดลซม ซมรด ซฺดรม ซลซร ซมรด ดลฺดด ดรดด ซมรด - ลฺ - ซฺ ลซฟม รมฟซ ทลซล ทดรด รมซล ซลดร มรดซ ลรดล ซลทด ทดรม ซลซม ซมรด กลบั ตน้
266 ปที ่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ทอ่ น 2 - ร - ม - ร - ท รลทล ซลทร - ร - ม ซมรท มรทล รทลซ - ฟมร - ม - ซ รร - ท - ล - ซ - ซลท รมรล ทลซล ทดรด ดลดด ดรดด ซลดร ดทลซ ลซฟม รมฟซ ทลซล ทดรด รมซล ซลดร มรซฟํ มรดล ซลทด ทดรม ซลซร ซมรด กลับต้น เพลงเหำะ เสียงที่ 3 ท่อน 1 - - - ล - ลลล ดรดซ ดลซฟ มรดซฺ ดรดฟ มรดร มฟซล ฟซฟล ซลดร ฟซํ ฟํด ฟรํ ดล ดลซฟ ดฟซล ฟรํ ดซ ดลซฟ ฟรฟฟ ฟซฟฟ ลซลฟ ซฟรด รดฟร ดลฺรด ซฺลฺดร ฟดรฟ ซฺลฺดร ดรฟซ ลรดซ ลซฟร ดรมฟ มฟซล ดรดล ดลซฟ กลับต้น ท่อน 2 - ซ - ล - ซ - ม ซรมร ดรมซ รมซล ดลซม ลซมร ซมรด ซฺดทฺลฺ ซลฺ ทฺ ฺด ซฺดรม ซมรด - ดรม ซซ - ร มรดร ซรมฟํ ฟรฟฟ ฟซฟฟ ลซลฟ ซรฟด รดฟร ดลฺ - ด ซฺลฺดร ฟดรฟ ซลฺ ดฺ ร ดรฟซ ลรดซ ลซฟร ดรมฟ มฟซล ดรดล ดลซฟ กลบั ต้น เพลงรัวลำเดียว - ฟซล - - - ล - - - - - - - ท - - - - - ฟมร - มมม - - - ร - ลฺ - ทฺ - - รม - ร - ล - ซล - - ซม - - - - ม - - - ม - - - ม - ล - ล - - - ซ - ฟมร - - - ม - ฟซล - - - ซ - - - ล - - - ล ---ล ---ล ---ล ---ล ---ล ---ล ---ล ---ล - ร - ม - ร - ท - ล - ท ล - ซล - - - ซ - - - ซ - - - ซ - - - ซ ม - มม ทลซล - - ลล - - - ร - - - ล ซฟซล ดทดรด - - - ซ
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 267 เพลงมลุ ง่ ชน้ั เดยี ว ลซฟม รมฟซ ท่อน 1 ใน ( ) ให้บรรเลงซำ้ อีกครง้ั หนงึ่ ลซฟม รมฟซ ดฟมร ดฟซล ) - - - ด - ดดด รรมร ดซฺ - ด รมฟซ ซลดร มรดล รดลซ - ซฺ - ซ ด - ดด รรมร ดซฺ - ด รมฟซ ( ดรมร ซฟมร ซมฟซ ลฟซล ดลซฟ ทลลล รมฟซ ฟลซฟ ( ซลทด ทลทด ทลรด ทลทด มซมล ดลซฟ ดฟมร มรดร มฟซล ) ( ลฺรรร ดลลล ดซฟซ ดลลล รมรด ดรดล ซฟมร ) กลับตน้ ทอ่ น 2 ดรมร ซมรด ทดฺ รลฺ ทดฺ รด ซดฺ รม ฟลซฟ ดฟดล ซฟมร ดลซร ซมรด ทฺดรลฺ ทฺดรด ซดฺ รม ฟลซฟ ดฟดล ซฟมร ซมรม ซมลซ มลซร มรดลฺ ซฺดรม ฟลซฟ ดรมฟ ซฟมร ซมรม ซมลซ มลซร มรดลฺ ซดฺ รม ฟลซฟ ดรดล ซฟมร ลรฺ รร ดลลล ดรดล ซฟมร ลซรม ฟลซฟ ดรมฟ ซฟมร ดซดล ดซดล ดรดล ซฟมร ลซรม ฟลซฟ ดรมฟ ซฟมร กลับต้น ท่อน 3 ดรมร ซมรด ทดฺ รลฺ ทดฺ รด ลทฺ ฺดร มรดซฺ ดซดฺ ร ดรมฟ ฟซฟฟ ดรดด รรมร ดซฺดด ลฺทดฺ ร มรดซฺ ดซดฺ ร ดรมฟ ดรมฟ มรมฟ มรซฟ มรมฟ ดฟซล ดลซฟ ซฟมร มรดซฺ ดซดฺ ฟ มรมฟ มรซฟ มรมฟ ดฟซล ดลซฟ ซฟมร มรดทฺ ลซฺ ลฺ ทฺ ฺ ลฺทฺดร มฟมร ดทดฺ ร ฟมฟร มฟมฟ ลซลฟ ซลทด ทลซฟ ซฟมร มรดทฺ ลฺทฺดร ฟมฟร มฟมฟ ลซลฟ ซลทด รมรด ซทลซ มลซม รมซล ทดทล ทลซฟ ดฟมร ฟซลด รมรด ซทลซ มลซม รมซล ทดทล ทลซฟ ซฟมร ฟซลด ฟซลฟ ซลทด ทลซฟ ลซฟด ดดซฺด รรซฺร มรดทฺ ลฺทดฺ ร ซฺดรม ฟลซฟ ซฟมร มรดซฺ ดดซดฺ รรซฺร มรดทฺ ลฺทดฺ ร ซฺดรม ฟลซฟ มรดร มฟซล ดรมซ รมซล มซลด ซลดร มรดล ดลซฟ มรดร มฟซล ดรมซ รมซล มซลด ซลดร มรดซ ดลซฟ ดมรล ซฟมร ฟมรฟ มรฟม รมฟซ ดลลล ดลซฟ ดฟซล ดลซฟ ดฟมร ฟมรฟ มรฟม รมฟซ ดลลล ดลซฟ ดฟซล ดลซฟ ดฟมร ลฟซล ซฟมร ดซลซ ฟซรม
268 ปที ี่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ฟดฟซ ดลลล รซลท ดมรด ทดรม รดทล มดรม ซลดร มซลด รมซล ดลซม ลซมร ซมรด มรดลฺ ดรมด รมฟซ ลซรม ฟลซฟ ดฟซล ดลซฟ ซฟมร ดรมฟ ดฟซล ดลซฟ ทฺมรล ซฟมร กลับต้น เพลงเต่ำกนิ ผกั บุง้ 2 ช้นั ทอ่ น 1 เที่ยวแรก - - - ด - รรร - - - ม - รรร - ม - ซ - ม - ร รร - ด ดด - ท - ร - ท - ล - ซ - ร - ซ - - ลท - ซ - ด - - รม - ซ - ม - ร - ด - ซซซ รมซล รดดด ซลดร - ม - ซ - ม - ร รร - ด ดด - ท - ร - ท - ล - ซ - ร - ซ - - ลท - ร - ม - ร - ท ทท - ล ลล - ซ ท่อน 1 เที่ยวกลบั ดดรม ฟลซฟ ดฟมฟ ซฟมร ดลซม ลซมร ซมรด มรดทฺ ลฺทฺรม ลซซซ ลทรล รททท - ซ - ด - - รม - ซ - ม - ร - ด - ซซซ รมซล รดดด ซลดร - ม - ซ - ม - ร รร - ด ดด - ท - ร - ท - ล - ซ - ร - ซ - - ลท - ร - ม - ร - ท ทท - ล ลล - ซ ทอ่ น 2 - รรร ลฺทรฺ ม ลซซซ รมซล - ท - ร - ท - ล ลล - ซ ซซ - ม ซรรร ลฺทฺรม ลซซซ รมซล - ร - ซ - - ลท - ร - ท - ล - ซ กลับตน้ ท่อน 3 - ซ - ด - - รม - ร - ม มม - ร - ซ - ด - - รม - ร - ม มม - ร - ร - ม - ร - ท ทท - ล ลล - ซ - ทฺรม - ซ - ล - ร - ท - ล - ซ กลับต้น (สวุ ฒั น์ อรรถกฤษณ์, 2552)
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 269 สรปุ ในการเรมิ่ ฝกึ ซอ้ มการไล่นิว้ มือและไลล่ มของปี่ใน ผู้ฝกึ หัดตอ้ งใจเย็นและมีความมานะพยายามทัง้ การจดจาโนต้ เพลงและตอ้ งมคี วามอดทนต่อความเหนื่อย เมอ่ื ยล้า ในการใชล้ มเป่าป่ี และนกั ปี่ในทกุ ท่าน ควรระบายลมได้ด้วย ขณะทาการไลม่ ือ เพื่อให้เสียงที่เป่าออกมามีความต่อเนื่องและเสียงที่ชัดเจน ขอ้ แนะนาในการการไลน่ ้วิ มอื และไล่ลมของปใี่ น ควรเรม่ิ ฝึกจากเพลงง่ายไปหาเพลงยาก ใช้เวลาในการไล่ มือจากน้อยไปหามาก โดยการการไล่นิว้ มอื และไลล่ มของปี่ในน้ี ควรกาหนดเพลงกาหนดเวลาไวด้ ว้ ย เพลง สาธุการ เพลงเหาะ เพลงรวั ลาเดียว เพลงมุล่งชั้นเดยี ว และเพลงเตา่ กินผักบุง้ ทางปีใ่ นทล่ี งในบทความน้ี ไดร้ ับการถ่ายทอดจาก ครสู ุวฒั น์ อรรถกฤษณ์ เอกสำรอ้ำงอิง ไชยวธุ โกศล. (2549). สาระและปฏบิ ัติการปี่ใน. สงขลา: คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา. บญุ ชว่ ย โสวัตร. (2525). หนังสืออนสุ รณ์ ครเู ทยี บ คงลายทอง. กรงุ เทพฯ: กรมศิลปากร. สวุ ฒั น์ อรรถกฤษณ.์ (2552). ปฏิบตั ิการปี่ใน : ถอดบทเรียนจากการเรียนรู้ (สัมภาษณ)์ . ผเู้ ชย่ี วชาญ ปฏบิ ัตกิ ารปใ่ี น.
270 ปที ี่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 271 หลกั เกณฑแ์ ละคำแนะนำสำหรับผ้นู ิพนธ์ วำรสำรรตั นปญั ญำ I JOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ ขอบเขตกำรรับตพี ิมพบ์ ทควำม วารสารรตั นปัญญา เปน็ วารสารสาขามนษุ ยศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ วำระกำรตีพิมพ์ วารสารรตั นปัญญา มีวาระการตีพิมพเ์ ผยแพร่ ปีละ 2 ฉบับ ไดแ้ ก่ o ฉบับท่ี 1 (เดอื นมกราคม - มถิ นุ ายน) o ฉบับท่ี 2 (เดอื นกรกฎาคม-ธนั วาคม) กำรเตรียมต้นฉบบั 1. ภาษา เขียนบทความเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ แต่ละเรื่องจะต้องมีบทคัดย่อท้ังภาษาไทยและ ภาษาองั กฤษ การใช้ภาษาไทยใหย้ ึดหลกั การใช้คาศพั ท์และการเขยี นทับศพั ท์ภาษาองั กฤษตามหลักของ ราชบัณฑิตยสถาน อย่างไรก็ตาม ให้หลีกเล่ียงการเขียนภาษาอังกฤษปนภาษาไทยในข้อความ ยกเว้น กรณจี าเปน็ เช่น ศพั ทท์ างวชิ าการท่ไี มม่ ีคาแปล หรือคาท่ีใชแ้ ลว้ ทาให้เข้าใจง่ายขนึ้ คาศัพทภ์ าษาอังกฤษ ท่ีเขียนปนภาษาไทยให้ใช้ตัวเล็กท้ังหมด ยกเว้นช่ือเฉพาะ สาหรับต้นฉบับภาษาอังกฤษ ควรได้รับการ ตรวจสอบความถูกต้องด้านการใช้ภาษาจากผูเ้ ช่ยี วชาญดา้ นภาษาองั กฤษก่อน 2. ขนาดของต้นฉบับ ใช้กระดาษขนาด A4 (8.5 x 11 น้ิว) และพิมพ์โดยเว้นระยะห่างจากขอบกระดาษ ด้านละ 1 น้ิว จดั เปน็ หนง่ึ คอลัมน์ ระยะหา่ งระหว่างบรรทัดใช้ single space 3. ชนิดและขนาดตัวอักษร ท้ังภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้ใช้ตัวอักษร TH SarabunPSK ดัง รายละเอียด ลาดบั รายการ ชนดิ ตัวอกั ษรและขนาด ตัวหนาหรือปกติ 1 ชื่อเรือ่ ง TH SarabunPSK ขนาด 16 pt. ตวั หนา 2 ชือ่ -นามสกุลผนู้ ิพนธ์ TH SarabunPSK ขนาด 14 pt. ตัวปกติ 3 ตน้ สงั กดั หรือทีอ่ ยู่ของผนู้ ิพนธ์ TH SarabunPSK ขนาด 12 pt. ตัวปกติ 4 บทคดั ย่อ/Abstract TH SarabunPSK ขนาด 16 pt. ตวั หนา 5 เนื้อหาบทคดั ยอ่ (ไทย/ TH SarabunPSK ขนาด 15 pt. ตวั ปกติ (300 คา) English) 6 คาสาคัญ/Keywords (5 คา) TH SarabunPSK ขนาด 15 pt. ตวั หนา/ปกติ 7 หัวข้อหลัก TH SarabunPSK ขนาด 16 pt. ตวั หนา 8 เนอื้ หา TH SarabunPSK ขนาด 15 pt. ตวั ปกติ 4. การพิมพ์ต้นฉบับ ผู้เสนอผลงานจะต้องพิมพแ์ ละสง่ ต้นฉบับในรูปแบบของแฟม้ ข้อมูลเปน็ “.doc” หรือ “.docx” (MS Word) เทา่ นน้ั 5. จานวนหน้า ความยาวของบทความไม่เกิน 15 หน้า รวมตาราง รูปภาพ และเอกสารอ้างอิง
272 ปีที่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) 6. รูปภาพ ในกรณที ่ผี ูเ้ ขียนบทความ มภี าพประกอบบทความ ควรบนั ทกึ ไฟล์รูปภาพ เปน็ นามสกลุ “.jps” หรือ “.jpeg” โดยเขยี นบรรยายใตภ้ าพ ตัวอักษรขนาด 15 pt รปู แบบกำรเขียนตน้ ฉบับ บทควำมวจิ ัย ชอื่ เรือ่ ง (Title) ควรสนั้ กะทดั รดั และสือ่ เปา้ หมายหลักของงานวิจัย ไมใ่ ชค้ ายอ่ ความยาวไม่ควรเกิน 100 ตวั อกั ษร ช่ือเร่ืองให้มีทงั้ ภาษาไทย และองั กฤษ โดยให้นาชือ่ เรือ่ งภาษาไทยขนึ้ กอ่ น ช่ือผู้นิพนธ์ Author(s) และที่อยู่ ให้มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และระบุตาแหน่งทางวิชาการ หน่วยงานหรอื สถาบัน ท่ีอยู่ และ E-mail address ของผู้นพิ นธ์ เพอ่ื กองบรรณาธิการใชต้ ิดต่อเก่ียวกับ ตน้ ฉบับและบทความที่ตพี ิมพแ์ ลว้ บทคดั ยอ่ (Abstract) เปน็ การยอ่ เนอื้ ความงานวิจยั ท้ังเรื่องใหส้ ้ัน และมีเนอื้ หาครบถ้วนตามเรือ่ งเตม็ ความยาวไมเ่ กิน 300 คา หรือ 15 บรรทัด ไมค่ วรใชค้ ายอ่ ท่ีไม่เป็นสากล และให้บทคัดย่อภาษาไทยขน้ึ ก่อนภาษาอังกฤษ คาสาคญั (Keywords) ใหร้ ะบุไว้ทา้ ยบทคดั ย่อของแตล่ ะภาษา ไม่เกนิ 5 คา บทนา (Introduction) เป็นส่วนเริ่มต้นของเนื้อหา ที่บอกความเป็นมา เหตุผล และวัตถุประสงค์ ที่ นาไปสู่การทางานวจิ ัยน้ี รวมถึงทฤษฎี วรรณกรรมทเี่ กยี่ วข้องกับการวจิ ยั ในครั้งน้พี อสงั เขป วิธีดาเนินการวิจัย (Research Methodology) ให้ระบุรายละเอียดวิธีการศึกษาวิจัย ประกอบด้วย ขอบเขต ประชากร กลุ่มตัวอย่าง เครื่องมือ วิธีการเก็บข้อมูล และวิธีการวเิ คราะห์ข้อมูลตามลกั ษณะ ที่เหมาะสมของงานวิจัย ผลการศึกษา (Results) รายงานผลการศึกษาที่ค้นพบ ตามลาดับหัวข้อของการศึกษาวิจัย อย่าง ชัดเจนได้ใจความ ถ้าผลไม่ซับซ้อน ไม่มีตัวเลขมาก ควรใช้คาบรรยาย แต่ถ้ามีตัวเลข หรือตัวแปรมาก ควรใช้ตาราง กราฟ หรอื แผนภมู แิ ทน ในบทความไมค่ วรมเี กนิ 5 ตาราง หรอื แผนภูมิ การอภิปรายและสรุปผล (Discussion and Conclusion) แสดงให้เห็นว่าผลการศึกษาตรงกับ วัตถุประสงค์ของงานวิจัย หรือแตกต่างไปจากผลงานทมี่ ีผรู้ ายงานไว้ก่อนหรือไม่ อย่างไร เหตุผลใดจึง เป็นเช่นนั้น และมีพ้ืนฐานอ้างอิงท่ีเชื่อถือได้ และให้จบด้วยข้อเสนอแนะที่จะนาผลงานวิจัยไปใช้ ประโยชน์ ควรมีประเด็นคาถามการวิจยั ซ่ึงเป็นแนวทางสาหรบั การวจิ ยั ต่อไป ตาราง รูปภาพ แผนภูมิ (Table, figure, and diagram) ควรคัดเลือกเฉพาะท่ีจาเป็น แยกออก จากเนื้อเรื่อง โดยเรียงลาดับให้สอดคล้องกับคาอธิบายในเนื้อเร่ือง และต้องมีคาอธิบายสั้น ๆ แต่สื่อ ความหมายได้สาระครบถ้วน กรณีท่ีเป็นตาราง คาอธิบายอยู่ด้านบน ส่วนรูปภาพ แผนภูมิ คาอธิบาย อยดู่ ้านล่าง กิตติกรรมประกาศ (Acknowledgement) ระบุสั้น ๆ ว่างานวิจัยนี้ได้รับทุนสนับสนุน และความ ช่วยเหลอื จากองคก์ รใด หรือบคุ คลใดบา้ ง
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 273 เอกสารอ้างอิง ระบุรายการเอกสารอ้างอิงให้ครบถ้วนที่ท้ายเร่ือง โดยใช้ระบบการอ้างอิงแบบ APA (6th Edition) บทควำมวชิ ำกำร ต้องมีส่วนประกอบหลัก ได้แก่ ชื่อเร่ือง ชื่อผู้นิพนธ์ บทคัดย่อ คาสาคัญ บทนา เน้ือหา บทสรุป และ เอกสารอา้ งองิ บทวจิ ำรณ์หนังสอื ตอ้ งมสี ่วนประกอบหลกั ได้แก่ ขอ้ มลู ทางบรรณานกุ รม ชือ่ ผวู้ จิ ารณ์ บทวจิ ารณ์ กำรสง่ ต้นฉบับและกำรพจิ ำรณำ ผู้นิพนธ์บทความสามารถศึกษาวิธีการจัดทาตน้ ฉบับได้จากเว็บไซต์วารสารออนไลน์ (https://so06.tci- thaijo.org/index.php/BLJOU/information/authors) และจัดทาต้นฉบับบทความดาเนินการส่งบทความใน ระบบวารสารออนไลน์ พร้อมส่งหลักฐานหลักฐานและแบบฟอร์มยืนยันการไม่ตีพิมพ์ซ้าซ้อนทางอีเมล์ [email protected] ในกรณีผู้เขียนยังไม่ส่งเอกสารหลักฐานและแบบฟอร์มยืนยันการไม่ตีพิมพ์ซ้าซ้อน ภายใน 4 สปั ดาห์ นับจากวนั สง่ บทความเขา้ ระบบ ทางวารสารจะไมด่ าเนนิ การใด ๆ เก่ียวกับบทความนั้น ๆ ขอ ปฏิเสธและนาบทความน้ันออกจากระบบโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ จากน้ันกองบรรณาธิการจะดาเนินการต่อ ดงั ต่อไปนี้ 1. ตรวจสอบรปู แบบบทความของท่าน/ในกรณีทรี่ ปู แบบถูกต้องจะส่งให้ผู้ทรงคุณวฒุ ิ 2 ท่านตรวจผา่ น ระบบออนไลน์โดยวิธปี กปิดข้อมูลของท้ังสองฝ่าย (Double-Blinded) โดยอาจจะใช้เวลาประมาณ 2 สปั ดาห์- 1 เดอื น ตามแต่ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ 2. กรณีที่ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจบทความให้ผ่าน กองบรรณาธิการจะส่งผลการตรวจให้ผู้นิพนธ์บทความ แก้ไข โดยอาจใชเ้ วลา 1-2 สัปดาห์ ในกรณีท่ีผู้ทรงคณุ วุฒิไม่ให้ผ่านท้ัง 2 ท่าน กองบรรณาธกิ ารขอ ปฏิเสธการตีพิมพ์บทความของท่าน ยกเว้นกรณีที่ผ่าน 1 ใน 2 กองบรรณาธิการจะส่งให้ ผู้ทรงคุณวุฒิคนที่ 3 ตรวจ และในกรณีทผี่ ู้ทรงคุณวุฒคิ นท่ี 3 ตรวจแล้วไม่ให้ผ่าน กองบรรณาธกิ าร ขอปฏิเสธการตพี มิ พ์บทความของท่าน โดยจะแจง้ ให้ทา่ นทราบด้วยการแจ้งเตอื นผ่านระบบวารสาร ออนไลน์ 3. ในกรณีท่ีผู้เขียนไม่ยอมแก้ไขบทความคืนกองบรรณาธิการภายใน 4 สัปดาห์หลังจากได้รับการแจ้ง เตอื นจากระบบวารสารออนไลน์ กองบรรณาธกิ ารขอปฏิเสธการตพี ิมพอ์ ยา่ งไมม่ เี งอ่ื นไข 4. เม่ือผู้เขียนแก้ไขบทความสง่ คืนในระบบแลว้ กองบรรณาธิการจึงจะรอจนกว่าผลการตรวจสอบโดย CopyCatch อีกคร้ัง ถ้าบทความฉบับแก้ไขถูกตรวจสอบพบความคล้ายคลึงเกิน 20% จะแจ้งให้ ผูเ้ ขียนแกไ้ ขใหม่ จนกวา่ จะตา่ วา่ 20% จึงจะยอมรับ และออกแบบตอบรบั การตพี มิ พ์ให้
274 ปีที่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) กำรอ้ำงองิ เอกสำร 1. การอ้างองิ ในเน้ือหา ใช้รปู แบบ APA 6th Edition คอื ระบุเพยี งนามผ้เู ขียน และปที ่ีพมิ พ์ ดังนี้ 1.1 การอา้ งอิงหน้าขอ้ ความ ชือ่ ผูแ้ ตง่ /(ปีพมิ พ)์ ..................... ตัวอยา่ ง ประเวศ วะสี (2554) ได้เนน้ ความสาคญั ของสารสนเทศในสงั คมยคุ โลกาภิวตั น์เทยี บเท่ากบั อานาจ ใครมีสารสนเทศมากกวา่ ย่อมมีอานาจมากกวา่ ผอู้ นื่ …. 1.2 การอ้างอิงหลงั ขอ้ ความ ...................(ชอ่ื ผแู้ ต่ง,/ปีท่พี มิ พ์) ตวั อย่าง นกั วจิ ัยตอ้ งมคี วามซอื่ สตั ยท์ กุ ขัน้ ตอนของกระบวนการวิจัย ต้งั แต่การเลอื กเรื่องทจี่ ะทาวจิ ยั การเลอื กผู้เข้ารว่ มวจิ ัย การดาเนนิ การวจิ ัย ตลอดจนนาผลการวจิ ยั ไปใช้ประโยชน์ (นงนชุ ธานี, 2552) การเขียนอา้ งอิงเอกสารส่วนท้ายเรือ่ ง ใช้รปู แบบการอา้ งองิ ตามรูปแบบ APA 6th Edition การเขียนเอกสารอา้ งองิ หนงั สือ ชื่อผู้เขยี น./(ปที ี่พิมพ)์ /.ช่อื หนงั สอื .//ครง้ั ท่พี มิ พ.์ //เมอื งท่ีพมิ พ์:/สานักพิมพ.์ ตวั อย่าง อภชิ ัย พนั ธเสน. (2544). พุทธเศรษฐศาสตร์ : วิวัฒนาการ ทฤษฎีและการประยุกตก์ บั เศรษฐศาสตรส์ าขา ตา่ ง ๆ. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: อมรนิ ทร.์ Collins, Randall. (1974). Conflict Sociology. 7thed. New York: Academic Press. บทความจากวารสาร ผู้เขียน./(ปีท่ีพิมพ)์ ./ช่ือบทความ.//ชอ่ื วารสาร.//ปีท่ี(ฉบบั ที่),/เลขหนา้ . ตัวอย่าง วราวุธ ผลานันต์, ร.อ. และคนอื่น ๆ. (2551). การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถ่ินเร่ืองการทอผ้าไหมกาบบัว. สารมนษุ ยศาสตร์, 4(1), 1-13. Gatten, Jeffrey N. ( 2 0 0 4 ) . Measuring Consortium Impact on User Perception: OhioLINK and LibQUAL. The Journal of Academic Librarianship, 30(3), 115-135. รายงานการวจิ ัย ชอ่ื ผ้เู ขียน./(ปีท่พี มิ พ์)./ช่ืองานวจิ ยั หรอื วทิ ยานพิ นธ์.//(วทิ ยานพิ นธ.์ ...(ระบุระดบั ปรญิ ญา) มหาวิทยาลยั .....(ระบุ มหาวิทยาลยั )....).
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 275 ตวั อย่าง พิฆาต เพชรอินทร์. (2544). การศึกษาเปรียบเทียบทัศนะเรื่องความตายในหลักคาสอนของพุทธศาสนาและ คริสต์ศาสนา ที่มีผลต่อพฤติกรรมของพุทธศาสนิกชนท้ังสองในจังหวัดนครนายก. (วิทยานิพนธ์ อกั ษรศาสตรมหาบัณฑติ สาขาวิชาศาสนาเปรียบเทยี บ, มหาวิทยาลยั มหดิ ล). Buppha Devahuti. (1975). Use of Computer in Series Control in Thai Libraries. ( Master of Art’s Thesis Chulalongkorn University). เวบ็ ไซต์ ผแู้ ต่ง./(2541)./ชือ่ เรอ่ื ง./(ออนไลน์)/(อ้างเมื่อ/วนั ท/่ี เดอื น/ป)ี .//จาก:/URL ตัวอยา่ ง เครอื ขา่ ยกาญจนาภิเษก. (2541). โครงการพัฒนาการเกษตรแบบผสมผสานในพืน้ ทยี่ ทุ ธศาสตร์ชายแดนจังหวัด บุรีรัมย์. (ออนไลน์) (อ้างเมื่อ 18 สิงหาคม 2542). จาก http://www.rdpb.go.th/king/king _news16.html การสัมภาษณ์ ผู้ให้สมั ภาษณ.์ /(2541)./หัวขอ้ ทีส่ ัมภาษณ์/(สัมภาษณ)์ .//ตาแหนง่ /หนว่ ยงานทสี่ ังกัด ////////หรือทอี่ ย.ู่ /วันที/่ เดือน/ปที ส่ี ัมภาษณ์. ตัวอยา่ ง ขนษิ ฐา ลาพรมมา. (2551). ลายหมี่และลายผ้าไหมกาบบวั (สมั ภาษณ์). ชา่ งทอผา้ ประธานกลุ่มแมบ่ า้ นเกษตร บ้านบอน บ้านเลขที่ 88 หมู่ 2 บ้านบอน ตาบลบอน อาเภอสาโรง จังหวัดอุบลราชธานี. 25 พฤษภาคม 2551. Korn Tapparangsi. (1999). AIDS Situation in Thailand (Interview). The Minister, Ministry of Public Health, 17 July 1999. รายงานการประชุมและสมั มนาทางวชิ าการ ช่ือบรรณาธิการ,/บรรณาธิการ./(ปีพิมพ์)./ช่ือเร่ือง.//ช่ือการประชุม;/วันท่ี/เดือน/ปีท่ีจัดประชุม; สถานท่ี ประชุม./ สถานทพ่ี มิ พ์:/ผู้จัดพิมพ์. ตัวอยา่ ง บุญส่ง พัจนสุนทร, บรรณาธิการ. (2544). ภาวะช็อก : การวินิจฉัยและการวินิจฉัยแยกโรค. ใน Medicine in the Evidence-based Era ก า ร ป ร ะ ชุ ม วิ ช า ก า ร ป ร ะ จ า ปี 2544 ค ณ ะ แ พ ท ย ศ า ส ต ร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คร้ังท่ี 17; 16-19 ตุลาคม 2544; ขอนแก่น. ขอนแก่น: คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. K.C. Lun, P. Degoulet and T.E. Piemme, editors. (1992). Enforcement of Data Protection, Privacy and Security in Medical Informatics. In MEDINFO 92, Proceedings of the 7th World Congress on Medical Informatics; 6-10 September 1992; Geneva, Switzerland. Amsterdam: North-Holland.
276 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020)
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 277 จรยิ ธรรมกำรตีพมิ พ์วำรสำรรัตนปัญญำ Publication Ethics, JOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 1.หน้ำทีข่ องผู้นิพนธบ์ ทควำม 1. Duties of the author of the article 1.1ผู้นพิ นธ์บทความต้องลงนามเป็นหลกั ฐานยนื ยันว่าบทความท่ี 1.1 The author of the article must sign as evidence เสนอเพอ่ื ตีพมิ พ์เผยแพรน่ ้นั ไม่เคยตีพมิ พเ์ ผยแพร่ในแหล่งวิชาการ confirming that the proposed article for publication has อน่ื ๆ มากอ่ น และจะไม่ตพี ิมพเ์ ผยแพร่ในแหล่งวิชาการอืน่ ๆ never been published in other academic sources before and ซา้ ซ้อน will never be published in other academic sources repeatedly. 1.2 ในกรณีทีเ่ ป็นบทความวิจยั จะต้องเป็นรายงานวจิ ยั ทอี่ ยบู่ น 1.2 In the case of research articles, they must be research พนื้ ฐานของขอ้ เทจ็ จริงจากการวิจยั ไมม่ ีการบดิ เบือนข้อมูลและ reports based on the facts from the research; no distortion ไม่ใหข้ ้อมูลเทจ็ ในรายงานการวจิ ัย โดยพรรณนาเรยี บเรยี ง of information and false information in the research reports บทความวิจัยให้ถกู ต้อง 1.3 ทกุ บทความทีเ่ สนอเพ่อื ตีพมิ พ์ต้องไม่ใชบ่ ทความทเ่ี กิดจาก by composing the research articles correctly. การลักลอกผลงานของผู้อ่ืน และต้องมกี ารอา้ งอิงอย่างถูกต้อง 1.3 Every article submitted for publication must not be an ตามมาตรฐานและหลกั วิชาการตามรปู แบบท่ีวารสารได้กา้ หนดไว้ article resulting from the plagiarism of others; and must have accurate references in accordance with standards and ในหลักเกณฑ์และค้าแนะนา้ ส้าหรับผูน้ ิพนธ์ academic principles in the format specified by the journal in 1.4 บทความจะได้รบั การพิจารณาอนุมตั ใิ ห้ตีพิมพ์หลังจากท่ี the rules and recommendations for authors. ผ่านการพิจารณาตรวจสอบความถูกตอ้ งของเนื้อหาจาก 1.4 The articles will be approved for publication after ผทู้ รงคุณวุฒิจ้านวนไม่น้อยกวา่ 2 คน passing the verification on the contents from no less than 2 experts. 2.หน้ำทข่ี องกองบรรณำธิกำร 2.The duties of the editorial team 2.1 กองบรรณาธิการจะพิจารณากลนั่ กรองความถกู ต้องของ 2.1 The editorial team will initially consider and scrutinize บทความในเบ้อื งตน้ โดยเฉพาะรูปแบบการท้าต้นฉบับและการ the correctness of the articles, especially the format of the manuscript and the reference; when it is found that there อา้ งอิง เม่ือพบว่า มีจดุ ท่ีตอ้ งแก้ไขปรับปรุง จะต้องส่งใหผ้ ู้ are points that need to be improved, it must be submitted นพิ นธ์บทความแก้ไขกอ่ น to the author for correction first. 2.2 กองบรรณาธกิ ารจะคัดเลือกผ้ทู รงคุณวฒุ ิที่มคี วาม เชีย่ วชาญตรงตามสาขาและเน้ือหาของบทความอย่างนอ้ ย 2 2.2 The editorial team will select at least 2 reviewers with คน เพ่ือกลน่ั กรองบทความและให้ข้อเสนอแนะอย่างเปน็ อสิ ระ expertise in the fields and contents of the articles to 2.3 กองบรรณาธกิ ารจะไม่เปิดเผยช่ือผนู้ ิพนธบ์ ทความและ scrutinize the articles and provide suggestions ผูท้ รงคุณวฒุ ใิ ห้แก่ฝา่ ยใดฝ่ายหนงึ่ หรือทั้งสองฝา่ ยทราบเป็นอัน independently. ขาด (Double-blond peer review) 2.4 กองบรรณาธกิ ารจะพจิ ารณาความคดิ เหน็ และข้อเสนอแนะ 2.3 The editorial team will not disclose the names of the ของผทู้ รงคุณวุฒิในเบือ้ งต้นและส่งความคิดเหน็ และข้อเสนอแนะ authors, the articles, and the reviewers to either one or both ดงั กล่าวให้ผนู้ ิพนธ์เพื่อปรบั ปรุงแก้ไข of them. (Double-blond peer review). 2.4 The editorial team will consider the preliminary opinions and suggestions of the reviewers and send those opinions 2.5 หลังจากไดร้ ับบทความฉบับแก้ไขจากผู้นิพนธแ์ ล้ว กอง and suggestions to the authors for improvement. บรรณาธกิ ารจะตรวจสอบการลักลอกผลงานของผอู้ ่นื และจะ 2.5 After receiving the edited article from the author, the อนุมัตใิ หต้ ีพิมพบ์ ทความในกรณีท่ีมขี ้อความซา้ ซอ้ นกบั ผลงานอืน่ editorial team will examine the plagiarism of others, and will ๆ ไม่เกนิ ร้อยละ 20 เท่าน้นั ในกรณีที่พบข้อความซา้ ซอ้ นเกนิ กวา่ approve the publication of the article only if there is no more than 20% duplication with other works. In case นนั้ กองบรรณาธิการจะปฏิเสธการตีพิมพบ์ ทความโดยไม่มี exceeding 20%, the editorial team will refuse to publish the เงื่อนไขใด ๆ article without any conditions.
278 ปที ่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) 2.6 กองบรรณาธกิ ารจะสง่ บทความฉบับพร้อมเพ่ือตีพิมพ์ 2.6 The editorial team will send the article ready for เผยแพรใ่ หผ้ ู้นพิ นธต์ รวจสอบกอ่ น เพ่ือให้ยืนยันและตพี ิมพ์เผยแพร่ publication to the author for checking before confirming and publishing in the journal. ในวารสารต่อไป 3.หน้ำทีข่ องผู้ทรงคณุ วุฒิทท่ี ำหน้ำกลั่นกรอง 3. The duty of the reviewer who scrutinizes บทควำม the article 3.1 ผูท้ รงคณุ วุฒิทที่ า้ หน้ากล่นั กรองบทความต้องเกบ็ ความลับ 3.1 The reviewer who scrutinizes the article must keep the เก่ียวกับการกล่ันกรองบทความไวโ้ ดยไม่เปิดเผยข้อมลู บางสว่ นหรอื article secret without disclosing some or all of the ทั้งหมดใหแ้ ก่บคุ คลอืน่ information to others. 3.2 ผูท้ รงคุณวฒุ ิทีท่ ้าหนา้ กลน่ั กรองบทความจะตอ้ งไมม่ ี 3.2 The reviewer who scrutinizes the article must not have ผลประโยชน์ทับซอ้ นหรือมสี ว่ นได้สว่ นเสียกับผนู้ ิพนธบ์ ทความ เชน่ conflicts of interest or have a stake with the author of the เปน็ อาจารย์ทป่ี รกึ ษา หรอื ไมม่ ีเหตุใด ๆ ทที่ ้าให้ผทู้ รงคณุ วฒุ ทิ ท่ี า้ article, such as, being an advisory lecturer, or there is no หนา้ กล่ันกรองบทความไมส่ ามารถทา้ หน้าท่ไี ด้อยา่ งเปน็ อิสระ reason for the scrutinizing expert to be unable to perform 3.3 หากผู้ทรงคณุ วฒุ ิพบวา่ บทความนน้ั ๆ เป็นของบคุ คลท่ตี นรู้จัก his/her duty independently. หรอื ตนชว่ ยดูแลในฐานะทปี่ รึกษา จะตอ้ งแจง้ กองบรรณาธกิ ารเพ่ือ 3.3 If the reviewer finds that the article belongs to a person ยกเลกิ การเป็นผทู้ รงคุณวฒุ ติ รวจบทความนน้ั ๆ he/she knows or helps as an advisor, he/she must inform 3.4 ถ้าผู้ทรงคณุ วฒุ พิ บวา่ บทความทีร่ ับตรวจน้ันมกี ารตีพมิ พ์ the editorial team to cancel being a panel expert. ซา้ ซอ้ นในแหล่งวชิ าการอืน่ ๆ หรอื มกี ารลกั ลอกผลงานของผ้อู ื่น 3.4 If the reviewer finds that the article examined is จะตอ้ งแจง้ ใหก้ องบรรณาธกิ ารทราบเพื่อดา้ เนนิ การตามสมควร repetitive, published in other academic sources, or plagiarized, he/she must notify the editorial team for appropriate actions.
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 279 แบบฟอรม์ ส่งบทควำมเพอื่ พิจำรณำตีพิมพ์ วำรสำรรตั นปญั ญำ I JOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 1. ข้อมูลผู้นิพนธบ์ ทความ 1.1 (ผ้นู ิพนธห์ ลกั ) ชอื่ -นามสกลุ (ภาษาไทย) นาย/นาง/นางสาว ชื่อ-นามสกลุ (ภาษาองั กฤษ) ตาแหนง่ ทางวชิ าการ หนว่ ยงานต้นสงั กดั (ภาษาไทย) หน่วยงานต้นสงั กัด (ภาษาองั กฤษ) ที่อยทู่ ีส่ ามารถตดิ ตอ่ ได้สาหรับส่งหนังสือตอบรบั (ขอ้ มลู จาเปน็ ) บ้านเลขท่ี หมู่ ถนน ตาบล อาเภอ . จังหวัด รหัสไปรษณีย์ โทรศัพท์ E-mail : 1.2 (ผู้นิพนธ์รว่ ม 1) (เชน่ อาจารย์ท่ีปรึกษา/ผรู้ ว่ มวจิ ยั /ผ้เู ขียนร่วม) ชอ่ื -นามสกุล (ภาษาไทย) นาย/นาง/นางสาว ชือ่ -นามสกุล (ภาษาองั กฤษ) ตาแหนง่ ทางวชิ าการ หน่วยงานต้นสังกัด (ภาษาไทย) หน่วยงานต้นสังกดั (ภาษาองั กฤษ) โทรศพั ท์ E-mail : 1.3 (ผู้นพิ นธร์ ว่ ม 2) (เช่น อาจารยท์ ป่ี รึกษา/ผรู้ ว่ มวจิ ัย/ผเู้ ขยี นรว่ ม) ชอ่ื -นามสกลุ (ภาษาไทย) นาย/นาง/นางสาว ชื่อ-นามสกุล (ภาษาองั กฤษ) ตาแหน่งทางวิชาการ หน่วยงานต้นสังกดั (ภาษาไทย) หน่วยงานตน้ สังกัด (ภาษาองั กฤษ) โทรศพั ท์ E-mail :
280 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) 1.4 (ผนู้ พิ นธร์ ว่ ม 3) (เช่น อาจารย์ทีป่ รึกษา/ผรู้ ่วมวิจัย/ผู้เขยี นรว่ ม) ช่ือ-นามสกลุ (ภาษาไทย) นาย/นาง/นางสาว ช่อื -นามสกลุ (ภาษาอังกฤษ) ตาแหน่งทางวชิ าการ หนว่ ยงานตน้ สังกดั (ภาษาไทย) หนว่ ยงานตน้ สงั กัด (ภาษาองั กฤษ) โทรศพั ท์ E-mail : (สามารถพิมพเ์ พ่มิ เตมิ ได้ ในกรณจี านวนมากกว่า 3) 2. บทความท่ีส่งเพ่อื ตีพิมพ์ หวั ขอ้ (ภาษาไทย) หวั ขอ้ (ภาษาองั กฤษ) ข้าพเจ้าขอรับรองว่าจะส่งบทความนี้เพื่อรับการพิจารณาตีพิมพ์ในวารสารรัตนปัญญา (JOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ) แห่งเดียวเท่าน้ัน โดยไม่ส่งเพื่อตีพิมพ์ซ้าซ้อนในวารสารและแหล่งวิชาการ อ่ืน ๆ ลงชือ่ ) ( ผ้นู ิพนธ์หลกั .........../............/...........
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294