138 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) หน้าและประโยคหลังมีส่วนที่กล่าวถึง เหตุการณ์ การกระทา บุคคล หรือสภาพเดียวกัน จึงอาจจะไม่ จาเป็นตอ้ งกลา่ วซา้ อีกก็ได้ 2.4 กำรซำทุกส่วน (Complete repetition) เป็นการใช้รูปภาษาเดิมท้ังหมดซ้าอีกครั้งหน่ึง (ชลธิชา บารุงรักษ์, 2559: 148) จากการศกึ ษา “การซา้ ทกุ ส่วน” ที่ปรากฏในอนุทินเรไรรายวัน ผู้วิจัยพบ ลกั ษณะการซ้าทุกสว่ นดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ “ฉันเคยอยากเปน็ หมอ แต่ฉนั ไม่อยากฉีดเข็มให้คนไข้มนั น่ากลวั พอวันนี้ฉันไดร้ ู้ว่าคนไข้ทุก คนไม่ จาเป็นต้องรักษาเหมอื นกันด้วยฉีดยา เพราะฉันเหน็ ลุงจ้ยุ เลน่ อคุ ุเลเล่และรอ้ งเพลงใน คลปิ รมิ ทะเล ท่าทางร่าเริงมาก ฉนั ถามวา่ ลุงจุ้ยทาอะไร แม่บอกว่าลงุ กาลังรกั ษาตวั เองดว้ ย ดนตรีบาบัด ดีจงั ไมต่ ้องฉีดยาแลว้ ก็สนกุ ด้วย ถา้ แบบนี้ฉันกอ็ ยากเป็นหมอ ฉนั จะรักษาคนไข้ ของฉันดว้ ยไวโอลิน ฉนั จะสีเพลง Song of the wind” (เรไรรายวัน วนั อาทติ ย์ท่ี 1 พฤษภาคม พ.ศ.2559) จากตัวอย่างข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ ใช้การเช่ือมโยงความโดยการซ้าทุกส่วน ซ่ึงลักษณะการซ้า ทุกส่วนในข้อความข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ ได้ใช้รูปภาษาเดิมในการเชื่อมโยงความ คือใช้คาว่า “หมอ” ปรากฏซ้า 1 คร้ัง ใช้คาว่า “คนไข”้ ปรากฏซา้ 2 ครั้ง และใช้คาวา่ “ลงุ จยุ้ ” ปรากฏซ้า 1 คร้ัง เพอ่ื เป็นการ เนน้ ย้าตวั ละครทีต่ นเองกลา่ วถงึ ให้เดน่ และนา่ สนใจ 2.5 กำรซำบำงสว่ น (Partial repetition) เปน็ การใช้รูปภาษาทม่ี ีรูปหรอื สว่ นพืน้ ฐานเหมือนกนั บางสว่ น (ชลธิชา บารุงรกั ษ์, 2559: 149) จากการศกึ ษา “การซ้าบางส่วน” ท่ีปรากฏในอนทุ ินเรไรรายวัน ผู้วิจยั พบลักษณะการซา้ บางสว่ นดงั ตัวอย่างต่อไปน้ี “ลมร้อนพัดเบาๆ ทาให้ฉันรู้ว่าหน้าหนาวยังไม่มา เปิดเร่ืองโดยการบรรยายเหตุการณ์ ฉัน จาไดว้ ่าลมหนาวจะเย็นๆ และพัดแรงกวา่ ฉันคดิ ถึงหน้าหนาว เพราะเม่อื เชา้ ทอ้ งฟา้ ไมส่ ดใส เหมือนฝนจะตก แต่ไม่ตก บางทีธรรมชาติก็ทาให้ฉันงง ฉันชอบหน้าหนาวอากาศเย็นๆ ฉัน เคยได้กินไอติมตอนอากาศหนาว ฉันรู้สึกว่าทาไมมันอร่อยได้อย่างนี้ มันช่ืนใจกว่ากินตอน ร้อนจนเหง่ือไหลหลายเท่า ถ้าหน้าหนาวของปีน้ีมาถึง ไอติมแท่งแรกท่ีฉันจะขอแม่ซื้อก็คือ ไอตมิ หมแี พนดา้ รสวนลิ าช็อคโก” (เรไรรายวัน วนั จนั ทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559) จากตัวอย่างข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ ใช้การเช่ือมโยงความโดยการซ้าบางส่วน ซ่ึงใช้รูป ภาษา ที่มรี ูปเหมอื นกนั บางส่วน คอื คาว่า “ลมร้อน” และ “ลมหนาว” โดยมรี ปู ภาษาท่ีเหมือนกัน คอื คา วา่ “ลม” นอกจากนี้ยังมีคาว่า “หน้าหนาว”, “ลมหนาว” และ “อากาศหนาว” โดยมีรูปภาษาเหมือนกัน คือ “หนาว” 2.6 กำรเช่ือม (Conjunction) เป็นการเช่ือมโยงความโดยการใช้คาเช่ือมเพื่อแสดงความ สัมพันธ์ระหว่างประโยคท่ีอยู่ต่อเนื่องกัน เป็นความสัมพันธ์ทางความหมาย ปรากฏได้หลายลักษณะ
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 139 (ชลธิชา บารงุ รักษ์, 2559) ซึ่งการเชื่อมในลักษณะนี้ มี 5 ประเภท คือ แบบคล้อยตาม, แบบขัดแย้ง, แบบ แสดงทางเลือก, แบบแสดงเหตผุ ล และแบบแสดงเวลา โดยมรี ายละเอียดดงั นี้ 2.6.1 แบบคล้อยตำม เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่มีความ ตอ่ เน่ืองเป็นเรื่องเดียวกัน หรือเป็นไปในลักษณะเดียวกัน ทานองเดียวกัน หรือคล้อยตามกัน คาเชื่อมที่ใช้ เพื่อแสดงความสัมพันธ์น้ีในภาษาไทย เช่น และ และ...ก็ แล้ว เป็นต้น (ชลธิชา บารุงรักษ์, 2559) จาก การศกึ ษาการ “เชือ่ มแบบคลอ้ ยตาม” ทีป่ รากฏในอนทุ นิ เรไรรายวัน ผ้วู ิจยั พบลกั ษณะการเชอื่ มแบบคลอ้ ย ตามดังตวั อยา่ งต่อไปน้ี “ฉนั อยากอาบนา้ ด้วยขันทุกวนั เพราะมันทาใหฉ้ ันรู้สึกตงั้ ใจอาบนา้ ถา้ ฉนั ตกและไมต่ ง้ั ใจเท นา้ ก็ จะไม่โดนตวั เลยออกไป อาบนา้ กับขนั ไม่เหมือนทีฉ่ นั ใชฝ้ ักบัว แคย่ นื นง่ิ ๆ นา้ ก็เปียกท่ัว ตัวแลว้ มนั ไม่สะใจ เมอ่ื เช้าฉันก็ใชข้ นั ฉันอาบและนับไปดว้ ย ฉันใชน้ า้ ๗ ขัน บางขนั ฉนั ก็ตัก ไมเ่ ตม็ เพราะแม่บอกอยา่ ใชน้ า้ เปลือง” (เรไรรายวนั วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2559) จากตัวอย่างข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ ใช้คาเช่ือม คือ คาว่า “และ” แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง เหตุการณ์ที่มีความต่อเนื่องเป็นเร่ืองเดียวกัน คือ ประโยค “ถ้าฉันตัก” กับ “ไม่ตั้งใจเทน้าก็ไม่โดนตัวเลย ออกไป” และประโยค “ฉันอาบ” กับ “นบั ไปดว้ ย” 2.6.2 แบบขดั แย้ง เปน็ การเชอื่ มโยงความที่แสดงว่า เหตุการณ์ในถ้อยความทีอ่ ยู่ต่อเน่ืองกนั หรอื ใกลเ้ คยี งกนั นน้ั ไมเ่ ปน็ ไปในทานองเดียวกัน หรอื ไม่เปน็ ไปตามความคาดหวงั หรือในทศิ ทางที่นา่ จะเป็น กลไกทางภาษาทแี่ สดงความสัมพันธ์ในลักษณะนี้ในภาษาไทย เช่น แต่ แต่...ก็ แม้วา่ ทั้งๆท่ี แต่กระน้ันก็ดี อย่างไรก็ตาม เป็นต้น (ชลธิชา บารุงรักษ์, 2559) จากการศึกษาการ “เชื่อมแบบขัดแย้ง” ที่ปรากฏใน อนุทนิ เรไรรายวัน ผ้วู ิจัยพบลกั ษณะการเชื่อมแบบขัดแยง้ ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้ “วันเด็กปีน้ีฉันเที่ยวส้ันลง แต่สนุกเหมือนเดิม ปีท่ีแล้วออกจากบ้านแต่เช้ากลับตอนมืด เพราะฉนั ไปหลายแห่ง วันนฉี้ นั เทีย่ วถงึ บา่ ยก็กลับ แม่ชวนฉนั กลับ แม่ไม่ชอบเสยี งดงั มันทา แม่มึน งานวันเด็กคนเยอะ เสียงก็เหมือนคนทะเลาะกนั หลายๆคน แต่เปน็ เสียงไมโคโฟน ฉนั ทนฟงั ไดน้ ดิ นึงเพราะฉันสนุกแต่แมไ่ ม่ไหว” (เรไรรายวัน วนั เสารท์ ่ี 9 มกราคม พ.ศ. 2559) จากตัวอย่างข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ ใช้คาเช่ือมแบบขัดแย้ง คือ คาว่า “แต่” แสดงความขัดแย้ง ระหว่างประโยคท่ีอยู่ต่อเนื่องกัน คือ ประโยค “วันเด็กปีนี้ฉันเที่ยวส้ันลง” กับ “สนุกเหมือนเดิม” และ ประโยค “เสียงก็เหมอื นคนทะเลาะกันหลายๆ คน” กบั “เปน็ เสียงไมโคโฟน” 2.6.3 แบบแสดงทำงเลือก เป็นความสมั พนั ธท์ ่ีแสดงทางเลือกว่าถอ้ ยความที่อยู่ต่อเนื่องกัน หรือใกล้เคียงกันน้ันเป็นไปได้ทางใดทางหน่ึงเท่านั้น คาเชื่อมท่ีภาษาไทยส่วนใหญ่ใช้ คือ หรือ หรือว่า (ชลธิชา บารุงรักษ์, 2559) จากการศึกษาการ “เช่ือมแบบแสดงทางเลือก” ท่ีปรากฏในอนุทินเรไรรายวัน ผู้วจิ ัยพบลกั ษณะการเชื่อมแบบแสดงทางเลือกดังตัวอย่างตอ่ ไปนี้
140 ปีท่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) “คนขับรถต้องมีสติห้ามฟังเสียงเชียร์จากผู้โดยสาร วันน้ีฉันรู้สึกปวดหูแทนแม่ เพราะน้อง แฝดทา ตัวเป็น GPS แย่งกันบอกทางให้แม่ขับ สายลมชี้ให้ไปทางนั้น แตก่ ้อนเมฆตะโกนว่า ไม่ใชท่ างน้ี คนนึงจะไปเดอะมอลล์ อกี คนจะไปโลตัส กอ้ นเมฆเชียรใ์ ห้แมซ่ ง่ิ พอสายลมไดย้ ิน ก็พูดว่า ขับเบา ๆ โชคดีท่ีแม่ไม่ฟัง GPS คู่แฝด ฉันเลยได้ไปเรียนไวโอลิน ไม่ใช่โลตัสหรือ เดอะมอลล์” (เรไรรายวนั วันเสารท์ ี่ 18 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2560) จากตัวอย่างข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ ใช้คาเชื่อมแบบแสดงทางเลือก คือ คาว่า “หรือ” แสดง ทางเลือกระหว่างคา 2 คาทีอ่ ยู่ต่อเนื่องกนั คือ คาว่า “เดอะมอลล์” หรือ “โลตัส” เป็นการบ่งบอกว่า เรไร สวุ ีรานนท์ ไดไ้ ปเรียนโวโอลนิ แต่ไม่ใชท่ ่ีโลตสั และเดอะมอลล์ 2.6.4 แบบแสดงเหตุแสดงผล แสดงการเชื่อมโยงความโดยใชค้ าเชื่อมท่ีแสดงว่าถ้อยความที่ อยู่ต่อเนอ่ื งกนั น้นั มคี วามเป็นเหตุเป็นผลกัน โดยสถานการณ์หน่ึงแสดงสาเหตุ อีกสถานการณ์หนึ่งแสดงผล คาเช่ือมที่แสดงถึงสาเหตุ เช่น เพราะ, เพราะว่า, เนื่องจาก (ว่า), ด้วยเหตุที่ (ชลธิชา บารุงรักษ์, 2559) จากการศึกษาการ “เช่ือมแบบแสดงเหตุผล” ท่ีปรากฏในอนุทินเรไรรายวัน ผู้วิจัยพบลักษณะการเชื่อม แบบแสดงเหตุผลดังตัวอย่างตอ่ ไปนี้ “ฉนั นึกถงึ คาท่แี ม่พูดตอนกินไอติมกับพรีม แมพ่ ูดว่า เปือ้ นไม่เปน็ ไร แตใ่ หร้ ะวงั เพราะพรีม ทา ไอติมหกใส่เส้ือ พอฉันช้ีให้พรีมดู ไอติมก็เย้ิมมาเป้ือนคางฉัน เราก็เลยหัวเราะกันท้ังคู่ ฉันรู้สึกเดี๋ยวน้ีเวลาทาอะไรเปื้อน แม่ไม่ดุเพราะฉันจะพูดว่า ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ต้ังใจ แล้ว แม่ก็บอกให้ระวงั มากกว่าน้ี ฉนั คดิ วา่ แมพ่ รีมก็น่าจะสอนแบบนเ้ี หมอื นกนั ” (เรไรรายวนั วนั องั คารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559) จากตัวอย่างข้างต้น เรไร สวุ รี านนท์ ใชค้ าเชื่อมแบบแสดงเหตุผล ด้วยคาวา่ “เพราะ” แสดง ความสัมพันธ์ระหว่างประโยคท่ีอยู่ต่อเนื่องกันว่ามีความเป็นเหตุเป็นผลกัน คือ ประโยค “เปื้อนไม่เป็นไร แต่ใหร้ ะวงั เพราะพรีมทาไอติมหกใส่เสื้อ” และ “แม่ไมด่ ุเพราะฉันจะพดู วา่ ขอโทษค่ะ หนูไม่ได้ต้ังใจ” 2.6.5 แบบแสดงเวลำ เป็นการแสดงความสัมพันธ์ทางเวลาระหว่างถ้อยความท่ีอยู่ ต่อเนื่องกัน หรือใกล้เคียงกัน อาจแสดงว่าสถานการณ์หนึ่งเกิดก่อน เกิดหลัง หรือเกิดพร้อมกันกับอีก สถานการณห์ น่ึง คาเชอื่ มทใ่ี ชใ้ นภาษาไทยส่วนใหญ่ เช่น เม่ือ...แล้ว, พอ, ก่อน, หลัง, หลังจากท่ี, หลังจาก, ขณะที่, ขณะเดียวกัน (ชลธิชา บารุงรักษ์, 2559) จากการศึกษาการ “เชื่อมแบบแสดงเวลา” ทปี่ รากฏใน อนุทนิ เรไรรายวัน ผูว้ ิจยั พบลักษณะการเชื่อมแบบแสดงเวลาดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี “เรอ่ื งกินเป็นเรือ่ งเล็กถ้าฉันไมห่ วิ จัด บางวันฉนั เล่นสนุกจนลืมว่าหิว พอฉนั รตู้ ัวใจฉนั กเ็ ร่มิ ดุ เหมอื นกลายจะเป็นเสอื แตฉ่ ันไม่อยากดุ ฉันเลยต้องรีบบอกแมก่ ่อนทุกทีว่า ฉนั หิวมาก แล้ว แม่ก็จะมอี ะไรใหฉ้ ันกนิ ทุกทเี หมือนกนั วนั นพ้ี อแม่ร้วู ่าฉันหิว แมข่ อให้คณุ ตาตกั ขา้ วให้ ฉนั ได้
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 141 กนิ ปลาสลิดกับผัดผกั และไข่ตม้ ฉันรู้สึกว่าไข่ต้มธรรมดาอร่อยมาก หิวจัดทาให้ฉันอรอ่ ยเกิน จริงไปหนอ่ ย” (เรไรรายวนั วนั พฤหัสบดีท่ี 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2559) จากตัวอย่างข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ใช้คาเช่ือมแบบแสดงเวลาด้วยคาว่า “พอ” แสดง ความสัมพนั ธท์ างเวลาระหวา่ งประโยคทอ่ี ยตู่ อ่ เนอื่ งกัน คอื ประโยค “บางวันฉนั เลน่ สนุกจนลืมวา่ หิว” เปน็ เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนก่อน” และ “ฉันรู้ตัวใจฉันก็เร่ิมดุเหมือนกลายจะเป็นเสือ” เป็นเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน หลงั จากนนั้ และใช้คาว่า “แลว้ ” แสดงความสัมพันธ์ทางเวลาระหวา่ งประโยคทอี่ ยตู่ ่อเน่ืองกัน คอื ประโยค “ฉันเลยต้องรีบบอกแม่ก่อนทกุ ทีวา่ ฉนั หวิ มาก” เปน็ เหตกุ ารณ์ทเี่ กดิ ขึน้ กอ่ น และ “แมก่ จ็ ะมอี ะไรให้ฉันกิน ทุกทีเหมือนกัน” เป็นเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนหลังจากน้ัน คือ เรไร สุวีรานนท์ กล่าวถึงตนเองว่า ในบางวันตน ติดการเลน่ อย่างสนุกเกินไปจนทาให้ตนลืมไปว่าตนนัน้ กาลงั หวิ อยู่ แตพ่ อรู้ตัววา่ ตนเองหิวก็จะเริ่มมีอาการดุ โดยนาสัตว์ คอื เสือ ท่ีมนี ิสัยดุรา้ ยมาเปรียบเทียบกบั อาการดขุ องตนเอง และเมื่อตนไม่อยากมีอาการดุเม่ือ ร้สู ึกหิว ตนจึงต้องบอกแมข่ องตนว่า ตนน้ันหิว หลงั จากนัน้ แม่ของตนก็จะมีอาหารมาให้ตนรับประทานทุก คร้ังที่ตนบอก 2.7 กำรเชื่อมโยงคำศัพท์ (Lexical cohesion) หมายถึง ความสัมพันธ์ทางความหมายของคา ตั้งแต่ 2 คาขึ้นไปท่ีปรากฏในถ้อยคา (ชลธิชา บารุงรักษ์, 2559) โดยการเช่ือมโยงคาศัพท์นี้ มี 3 ประเภท คอื การเชอ่ื มโยงด้วยคาศัพทท์ ี่มีความหมายใกลเ้ คียงกัน, การเชือ่ มโยงดว้ ยคาตรงกนั ข้าม และการเชื่อมโยง ดว้ ยคากลุม่ เดยี วกนั ซึ่งมีรายละเอยี ดดงั นี้ 2.7.1 คำศัพท์ท่ีมีควำมหมำยใกล้เคียงกัน (synonym/near synonymy) คาท่ีมี ความหมายใกล้เคียงกัน (synonym/near synonymy) หมายถึง การใช้คาศัพท์ท่ีมีลักษณะความหมายท่ี เป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้ข้อความเกิดความหลากหลาย ไม่ซ้าคา จากการศึกษาการเช่ือมโยง คาศัพทแ์ บบคาทีม่ ีความหมายใกลเ้ คยี งกันในอนุทินเรไรรายวนั ผวู้ จิ ัยพบตวั อยา่ งดังต่อไปน้ี \"น้องแฝดซนแค่ไหน กาลังเล่นอะไร กวนยายหรือเปล่า ตอนฉันไม่อยู่ด้วย\" ถึงแม้จะอยู่คน ละบ้าน ฉันก็รูห้ มดเพราะเสียงความซนจะทะลุออกมาจากกาแพงท่ีกั้นระหว่างสองบ้าน ไม่ ต้องเอาหูไปแนบฟังก็ได้ยินชัดเกือบทุกคา บ่ายนี้แม้ให้ฉันแยกมานอนพัก ก่อนเร่ิมอ่าน หนังสือสอบ ฉันได้ยินเสียงว่ิงของน้องๆ ดังขึกขัก สักพักก็ได้ยิน \"ยายตีหลานไหม?\" \"ถ้าดื้อ ยายกต็ ี\" \"ยายรักหลานไหม?\" “ถา้ ไม่ดือ้ ยายถงึ รัก\" ฉนั ฟงั จนหลับไป” (เรไรรายวัน วนั อาทติ ย์ท่ี10 ธนั วาคม พ.ศ. 2560) จากตัวอย่างข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ ใช้การเช่ือมโยงความด้วยคาศัพท์ที่แสดงความสัมพันธ์ทาง ความหมายทใี่ กล้เคียงกัน คอื คาวา่ “ด้ือ” มีความหมายวา่ ว. ไมย่ อมเช่ือฟังหรอื ทาตาม (ราชบัณฑิตยสถาน , 2556) และ “ซน” มีความหมายว่า ก. อาการที่อยู่ไม่สุขจับโน่นฉวยน่ีหรือเล่นไม่เป็นเร่ืองเป็นราวทาให้ เดอื ดรอ้ นเสยี หาย (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556)
142 ปที ี่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) 2.7.2 กำรเช่ือมโยงดว้ ยคำตรงกันข้ำม (antonymy) จากการศกึ ษาการเชื่อมโยงคาศัพท์ แบบคาที่มีความหมายตรงขา้ มกันในอนทุ นิ เรไรรายวัน ผู้วิจัยพบตวั อย่างดังตอ่ ไปน้ี “ใครๆ ก็อยากให้คนอ่ืนจดจา ขนาดคนที่ตายไปแล้วก็ยังไม่อยากถูกลืม ฉันร้องไห้ใน โรงหนัง ร้องแบบไม่มีเสยี ง ฉากที่ \"มิเกล\" รอ้ งเพลง Remember Me ให้ยายทวดชื่อ \"โคโค่\" ฟัง น้าตาของฉันก็ไหล มันทาให้ฉันนึกถึงตาทวดข้ึนมาทันที ถึงจะไม่ได้คิดถึงตาทวดทุกวัน แต่ฉันก็ยังจาตาทวดได้ พอดูหนังเร่ืองน้ี ฉันเร่ิมไม่ม่ันใจว่า จะจาได้ไปถึงอายุเท่าไหร่ ถ้าแก่ เทา่ โคโค่ ฉันจะยงั จาตาทวดไดห้ รอื เปล่า แตฉ่ นั คดิ วา่ ทกุ คนที่ฉันเขียนถงึ จะไม่ถูกลืม” (เรไรรายวัน วนั อาทิตย์ที่ 24 ธนั วาคม พ.ศ. 2560) จากตัวอย่างข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ ใช้การเช่ือมโยงความด้วยคาศัพท์ท่ีแสดง ความสัมพันธ์ทางความหมายทีต่ รงขา้ มกัน คือ คาว่า “จดจา” มีความหมายวา่ ก. กาหนดไว้ในใจ, จาไว้ใน ใจ (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556) และ “ลืม” มีความหมายว่า ก. หายไปจากความจา, นึกไม่ได้, นึกไม่ออก (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556) 2.7.3 กำรเช่ือมโยงด้วยคำกลุ่มเดียวกัน (superordinate) จากการศึกษาการเช่ือมโยง คาศัพทแ์ บบคากล่มุ เดยี วกันในอนุทินเรไรรายวนั ผวู้ จิ ัยพบตวั อยา่ งดงั ตอ่ ไปน้ี “โปรดระวัง! น่ีคือคาเตือน จะกิน ฝร่ัง หรือ ชมพู่ ต้องคิดให้ดีเวลาไปส่ังแม่ค้าผลไม้ท่ี ภาคใต้ ยายบอกฉันว่า คนใต้เรียกฝรั่งว่าชมพู่ แล้วเรียกชมพู่ว่า น้าดอกไม้ ฉันต้องใช้เวลา กว่าจะหายสับสน วันนี้ฉันทาการบ้านเร่ืองวัฒนธรรมและประเพณีไทย ฉันเลือกทาภาคใต้ เพราะเปน็ ภาคท่ีฉนั ค้นุ เคยท่สี ดุ ฉันมียายเป็นคนใต้ ถ้าขอ้ มูลไหนไม่แน่ใจ จะได้ไม่ตอ้ งถามกู เกิ้ล ถามยายสนุกกวา่ ” (เรไรรายวัน วันอาทติ ยท์ ่ี 20 สงิ หาคม พ.ศ. 2560) จากตัวอย่างข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ ใช้การเช่ือมโยงความด้วยคาศัพท์ท่ีแสดงความสัมพันธ์ทาง ความหมายที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน คือ หมวดหมู่ “ผลไม้” ได้แก่ “ฝร่ัง” มีความหมายว่า น. ช่ือไม้ต้นขนาด เล็กถึงขนาดกลาง ชนิด Psidium guajava L. ในวงศ์ Myrtaceae ผลกินได้ มีหลายพันธ์ุ เช่น ฝร่ังข้ีนก (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556) และ “ชมพู่” มีความหมายว่า น. ช่ือไม้ต้นขนาดกลางหลายชนิดในตระกูล Syzygium วงศ์ Myrtaceae ผลกินได้ เช่น ชมพู่แก้มแหม่ม ชมพู่น้าดอกไม้ ชมพู่แก้มแหม่ม (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2556) 2.8 กำรใช้กลวิธีหลำยอย่ำงรวมกัน เป็นการเช่ือมโยงความด้วยการใช้กลวิธีหลายอย่างรวมกัน ในสัมพันธสารทั่วไป การเชื่อมโยงความมักเกิดจากการใช้กลวิธีหลายอย่างปนกัน (วิจินตน์ ภาณุพงศ์, 2552) จากการศึกษาการเชื่อมโยงโดยใช้กลวิธีหลายอย่างรวมกัน ในอนุทินเรไรรายวันพบการใช้การ เชื่อมโยงความ 3, 4, 5, 6 และ 7 กลวิธี ผู้วิจยั พบตัวอยา่ งดงั ตอ่ ไปนี้
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 143 2.8.1 กำรใช้กลวธิ ีกำรเช่ือมโยงควำม 3 กลวธิ ี กลวิธีการเช่ือมโยงความท่ีใช้กลวิธีหลายกลวิธีร่วมกัน ผู้วิจัยพบว่าในอนุทินเรไร รายวนั บางครั้งใช้กลวธิ ีการเชื่อมโยงความ 3 กลวธิ ี ดงั น้ี “ทาเร็วแล้วเผลอเรอกบั ทาชา้ แลว้ เผลอเรอกแ็ ย่พอกนั เพราะผิดเหมอื นกนั แต่ทาช้าจะ โดนบ่นมากกว่า ฉันเป็นแบบทาช้าแลว้ ชอบเผลอเรอ ฉนั ทาผดิ บ่อย ๆ เวลาøลอกงานที่ ครูจดบนกระดานลงในสมุดมันง่ายแต่ฉนั ก็ยงั เขียนผดิ ถ้าแม่บ่นเรือ่ งนี้ฉนั จะเสียใจ แต่ø ไมโ่ กรธ เพราะฉนั เผลอเรอจริง ๆ เมื่อเช้าฉันรบี ไปหน่อย øเลยจัดตารางสอนผิด” (เรไรรายวนั วันจันทร์ที่ 19 กนั ยายน พ.ศ.2559) จากตวั อย่างขา้ งต้น เรไร สวุ ีรานนท์ ใชก้ ลวิธกี ารเชอ่ื มโยงความ 3 กลวธิ ีใน 1 ข้อความ ได้แก่ รูป แทน คือ “มัน” ใช้แทน “งานท่ีครูจดบนกระดาน” และ “เร่ืองนี้” ใช้แทน “เวลาลอกงาน...ฉันก็ยังเขียน ผดิ , คำเช่ือม แบบขัดแยง้ โดยใชค้ าเช่ือม คอื “แต่” ในประโยค “ผิดเหมือนกัน แต่ทาช้าจะโดนบ่น”, “มัน งา่ ยแต่ฉันกย็ ังเขียนผิด” และ “ถ้าแม่บ่นเรื่องนฉี้ นั จะเสยี ใจ แต่ไม่โกรธ” แบบคล้อยตาม โดยใช้คาเชื่อมคือ “กับ” ในประโยค “ทาเร็วแล้วเผอเรอกับทาช้าแล้วเผอเรอก็แย่พอกัน” และ “แล้ว” ในประโยค “ทาเร็ว แล้วเผลอเรอ”, “ทาช้าแล้วเผลอเรอ” และ “ฉันเปน็ แบบทาชา้ แล้วชอบเผลอเรอ” แบบแสดงเหตแุ สดงผล โดยใช้คาเชื่อมคือ “เพราะ” ในประโยคคือ “ทาเร็วแล้วเผลอเรอกับทาช้าแล้วเผลอเรอก็แย่พอกัน เพราะ ผดิ เหมอื นกัน” และกำรละหรอื กำรสูญรูป คอื “ฉัน” ในประโยค “เวลาøลอกงานทคี่ รูจดบนกระดานลงใน สมดุ ”, “แต่øไม่โกรธ” และ “øเลยจดั ตารางสอนผิด” 2.8.2 กำรใชก้ ลวิธีกำรเชอ่ื มโยงควำม 4 กลวธิ ี กลวิธกี ารเชื่อมโยงความท่ีใชก้ ลวิธีหลายกลวธิ รี ว่ มกัน ผู้วิจัยพบว่าในอนุทนิ เรไรรายวัน บางครง้ั ใช้กลวธิ กี ารเชือ่ มโยงความ 4 กลวธิ ี ดังน้ี “ฉันดีใจที่คุณตากลับจาก \"สิชล\" แล้ว ตอนที่คุณตาไม่อยู่ ฉันรู้สึกว่า ห้องครัวมันดูโล่ง ๆ ห้องนี้เป็นจุดที่ฉันกับคุณตาได้เจอหน้ากันบ่อยที่สุดในบ้าน เกือบทุกครั้งที่ฉันเดินลงมาใน ครวั øจะเห็นคณุ ตายืนหันหลังอยู่ท่ีอา่ งลา้ งจาน ถา้ øไม่ไดย้ ินเสียงเปดิ น้าดงั มาจากก๊อก ฉันรู้ เลยวา่ øกาลงั จะได้กินผลไม้หลังอาหาร สาหรับฉัน คณุ ตาเป็นนักปอกผลไม้มอื โปร ฉันยังไม่ เคยเห็นใครปอกมะละกอได้น่ากินเท่าคณุ ตา” (เรไรรายวนั วนั จันทรท์ ่ี 18 ธันวาคม พ.ศ.2560) จากตัวอยา่ งข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ ใช้กลวธิ ีการเช่ือมโยงความ 4 กลวิธใี น 1 ข้อความ ได้แก่ รูป แทน คือ “ห้องนี้” ใช้แทน “ห้องครัว” ในประโยคท่ีกล่าวมาก่อนหน้า คือ “ห้องครัวมันดูโล่งๆ”, กำรซำ ทุกสว่ น คือ ซ้า “คุณตา” ปรากฏ 5 ครั้ง, การซา้ บางสว่ น คอื “ห้องครัว” และ “ครวั ” รปู ภาษาทใี่ ช้ซ้ากัน คอื “ครวั ”, กำรละหรือกำรสูญรปู คือ การละคาว่า “ฉัน” ในประโยค “เกอื บทุกคร้ังที่ฉันเดินลงมาในครัว øจะเหน็ คณุ ตายืนหนั หลังอยทู่ อี่ ่างล้างจาน”, “ถา้ øไม่ได้ยินเสียงเปดิ น้าดังมาจากก๊อก” และ “ฉนั รูเ้ ลยว่าø
144 ปที ่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) กาลังจะไดก้ ินผลไม้หลังอาหาร”และกำรเชือ่ มโยงคำศัพท์ แบบคากลุ่มเดยี วกัน คอื หมวดหมู่ ผลไม้ ได้แก่ “ผลไม้” และ “มะละกอ” 2.8.3 กำรใชก้ ลวิธีกำรเชอ่ื มโยงควำม 5 กลวธิ ี กลวิธีการเชื่อมโยงความที่ใช้กลวิธีหลายกลวิธีร่วมกัน ผู้วิจัยพบว่าในอนุทินเรไร รายวนั บางครงั้ ใช้กลวิธีการเชื่อมโยงความ 5 กลวธิ ี ดังนี้ “เม่ือวานนี้ท่ีรา้ นคานามีเด็กผชู้ ายชือ่ ภู มาน่งั วาดรปู กับฉนั เราวาดøรปู ป้าปทั แข่งกนั วาดø กันต้ังนาน ใช้สีไม้กล่องเดียวกัน นั่งก็ติดกัน แต่ไม่ได้พูดกันซักคาเพราะฉันก็ต้ังใจวาดøภูก็ ต้ังใจ ภวู าดøเร็วกว่าฉันอกี ภกู ลับบ้านตอนฉนั กาลังระบายสี ฉันเลยไม่ได้บ้ายบายภู แต่ฉนั รู้ วา่ ภอู ยู่ ป.๒ อายมุ ากกวา่ ฉนั ฉนั รู้เพราะได้ยินผู้ใหญ่คยุ กัน” (เรไรรายวัน วันอาทิตยท์ ่ี 20 สิงหาคม พ.ศ. 2560) จากตัวอย่างข้างต้น เรไร สุวีรานนท์ ใช้กลวิธีการเชื่อมโยงความ 5 กลวิธีใน 1 ข้อความ ได้แก่ กำรซำทุกส่วน คือ “ภู” ปรากฏซา้ 5 ครั้ง, กำรซำบำงส่วน คือ “สีไม้ - ส”ี คาทใ่ี ช้รูปภาษาเดียวกัน คือ “สี”, กำรแทนที่ คือ “เรา” ซ่ึงเป็นการแทน “ฉัน” และ “ภู”, กำรเชื่อมแบบขัดแย้ง คือ ใช้คาเช่ือม “แต่” แสดงวา่ ขัดแยง้ ระหว่างประโยค “น่ังก็ตดิ กันแตไ่ ม่ไดพ้ ดู กนั สักคา...” และประโยค “ฉนั เลยไมไ่ ด้บ้าย บายภู แต่ฉันรู้ว่าภูอยู่ ป.2 อายุมากกว่าฉัน”, การเชื่อมแบบแสดงเหตุแสดงผล คือ ใช้คาเช่ือม “เพราะ” แสดงความเป็นเหตุเป็นผลระหว่างประโยค “แต่ไม่ได้พูดกันสักคาเพราะฉันก็ต้ังใจวาดภูก็ต้ังใจ” และ ประโยค “ฉันรู้เพราะได้ยนิ ผใู้ หญ่คุยกนั ” และกำรละหรือกำรสญู รปู คือ “รปู ” 2.8.4 กำรใช้กลวิธีกำรเช่อื มโยงควำม 6 กลวิธี กลวิธีการเช่ือมโยงความท่ีใช้กลวิธีหลายกลวิธีร่วมกัน ผู้วิจัยพบว่าในอนุทินเรไร รายวัน บางครงั้ ใช้กลวธิ ีการเชื่อมโยงความ 6 กลวธิ ี ดังนี้ “øบางคนถ้าไม่ส่องกระจกนานๆ ก็อาจจะจาตัวเองไม่ได้ น้องแฝดของฉันแค่มองกันก็ เหมือนส่องกระจก แต่น้องยังไม่รู้ว่าหน้าตาเหมือนกัน ฉันเพ่ิงรู้ความจริงวันน้ีว่า น้องยัง สับสนหน้าของตัวเอง ฉันถ่ายรูปøด้วยกล้องโพลารอย ทีละคน ฉันถ่ายสายลมคนแรก พอ รปู เดง้ ออกมาน้องก็รีบดึงไปดู ฉันถามøว่าน่ารักไหม น่ใี คร น่ีใคร สายลมตอบเมฆ ๆ ฉันให้ โอกาสøตอบใหม่ คาตอบก็ยงั เป็นเมฆอย่ดู ี พอก้อนเมฆดรู ปู ตัวเองøก็บอกสวย ลม ๆ ฉันถึง เขา้ ใจว่าทงั้ คู่ไม่ไดแ้ กลง้ ตวั ฉันเองบางวันสอ่ งกระจกตอนเพ่ิงตืน่ กเ็ กือบจาหน้าฉนั ไม่ได้” (เรไรรายวนั วันเสาร์ท่ี 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559) จากตวั อย่างข้างต้น เรไร สวุ ีรานนท์ ใชก้ ลวิธกี ารเช่ือมโยงความ 6 กลวิธีใน 1 ข้อความ ได้แก่ กำร ละหรือกำรสูญรูป คือคาว่า “คน” ในประโยค “øบางคนถา้ ไม่ส่องกระจกนานๆ ก็อาจจะจาตัวเองไม่ได้”, คาว่า “น้อง” ในประโยค “ฉันถ่ายรูปøด้วยกล้องโพลารอย” และ “ฉันให้โอกาสøตอบใหม่” และคาว่า “กอ้ นเมฆ” ในประโยค “กอ้ นเมฆดรู ูปตัวเองøก็บอกสวย”, กำรซำทุกสว่ น คือ “นอ้ ง” ปรากฏ 3 ครงั้ และ “สายลม” ปรากฏ 2 ครั้ง, กำรซำบำงส่วน คือ “ก้อนเมฆ” และ “เมฆ” รูปภาษาท่ีใช้ซ้ากัน คือ “เมฆ”
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 145 และอีกหนึ่งคือ “สายลม” และ “ลม” รูปภาษาท่ีใช้ซ้ากัน คือ “ลม”, กำรเชื่อมแบบคล้อยตามกัน โดยใช้ คาเช่ือมคือ “แค่-ก็” แสดงความคล้อยตามกันระหว่างประโยค “น้องแฝดของฉันแค่มองกันก็เหมือนส่อง กระจก” แบบแสดงเวลา ใช้คาเชอ่ื มคอื “พอ” แสดงเวลาการเกิดเหตกุ ารณก์ อ่ นหรือหลงั ในประโยค “ฉัน ถ่ายสายลมคนแรก พอรูปเด้งออกมาน้องก็รีบดึงไปดู” และ “พอก้อนเมฆดูรูปตัวเองก็บอกสวย”, กำร อ้ำงอิงหรือกำรอ้ำงถึง คือ “น้อง” ใช้อ้างถึง น้องแฝด คือ “ก้อนเมฆ” และ “สายลม”และรูปแทน คือ “ทัง้ ค”ู่ ใชแ้ ทน นอ้ งแฝด คือ “กอ้ นเมฆ” และ “สายลม” ทัง้ 2 คน 2.8.5 กำรใชก้ ลวธิ ีกำรเชอื่ มโยงควำม 7 กลวธิ ี กลวิธีการเชื่อมโยงความท่ีใช้กลวิธีหลายกลวิธีร่วมกัน ผู้วิจัยพบว่าในอนุทินเรไร รายวนั บางครั้งใชก้ ลวธิ กี ารเชื่อมโยงความ 7 กลวิธี ดงั นี้ “øอายุใกล้จะ 3 ขวบ น้องแฝดพูดได้ครบหมดแล้ว ท้ังประโยคบอกเล่า ประโยคคาถาม และประโยคปฏิเสธ พอฉันได้ยินตาพันพูดว่า ก้อนเมฆ ไม่ยอมบอกว่า ตัวเองไม่ได้ใส่ รองเท้าลงจากรถ ฉันรู้ทนั ทีวา่ ต้องมีอะไรบางอย่างท่ีทาให้น้องลืมบอก ตาพันเล่าว่า øเห็น ก้อนเมฆกระโดด หยอง ๆ øคิดว่าหลานดีใจได้มาเที่ยวโลตัส มีคนท่ีลานจอดรถย้ิมให้แต่ ไกล ก็นึกว่าเขาเอ็นดูก้อนเมฆ จนเขาตะโกนว่า “ม้ายใสร้ ้องเทา้ ” ฉนั คิดว่า พ้ืนซีเมนต์ร้อน จนน้องพูดไม่ออก” (เรไรรายวนั วันองั คารที่ 10 ตลุ าคม พ.ศ.2560) จากตวั อย่างข้างต้น เรไร สุวรี านนท์ ใชก้ ลวิธกี ารเชอื่ มโยงความ 7 กลวธิ ใี น 1 ขอ้ ความ ได้แก่ กำร ซำบำงส่วน คือ “น้อง”และ “น้องแฝด” รูปภาษาที่ใช้ซ้ากัน คือ “น้อง”, กำรซำทุกส่วน คือ “ตาพัน” ปรากฏ 2 ครง้ั , “นอ้ ง” ปรากฏ 2 ครั้ง คาวา่ “กอ้ นเมฆ” ปรากฏ 2 คร้งั คาว่า “ประโยค” ปรากฏ 3 คร้งั , รูปแทน คอื “ตัวเอง” ใช้แทน “กอ้ นเมฆ” และ “น้อง” ในประโยคท่มี าก่อนหน้า คือ “ก้อนเมฆ ไม่ยอม บอกว่า, พ้ืนซีเมนต์ร้อนจนน้องพูดไม่ออก” และคาว่า “หลาน” ใช้แทน “ก้อนเมฆ” ในประโยค “คิดว่า หลานดีใจท่ีได้มาเที่ยวโลตัส”, กำรอ้ำงถึงหรือกำรอ้ำงอิง คือ “เขา” ใช้อ้างถึง “คนที่ลานจอดรถ”, คำเช่ือม แบบแสดงเวลา ใช้คาเชื่อม คอื “พอ” ในประโยค “พอฉันได้ยนิ ตาพันพดู ว่า ก้อนเมฆ ไมย่ อมบอก วา่ ตัวเองไม่ได้ใส่รองเท้าลงจากรถ”, กำรละหรือกำรสูญรูป คือ “น้องแฝด” ในประโยค “øอายุใกล้จะ 3 ขวบ”, “ตาพนั ” ในประโยค “øเห็นก้อนเมฆกระโดดหยองๆ øคิดว่าหลานดีใจได้มาเท่ียวโลตสั ” และกำร ใชค้ ำศัพท์ แบบคาตรงขา้ ม คือ “ใกล้” และ “ไกล” องคค์ วำมรู้จำกกำรวจิ ัย การเชื่อมโยงความในอนุทินเรไรรายวัน จากการวิเคราะห์ข้อมูล จานวน 365 ข้อความ ผู้วิจัย พบว่าอนุทินเรไรรายวัน มีการเช่ือมโยงความ 7 กลวิธี คือ กำรอ้ำงถึงหรือกำรอ้ำงอิง ซ่ึงในอนุทินเรไร รายวันพบการอ้างถึงหรือการอ้างอิงโดยการอ้างหน่วยสรรพนามเป็นส่วนใหญ่ เช่น “เขา” “เรา” เป็นต้น ซง่ึ สอดคล้องกับลักษณะการเชอื่ มโยงความในวรรณกรรมคา่ วซอภาคเหนือ (จุฑามาศ มีชูวาศ, 2549) ท่ีมี
146 ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ลักษณะการอ้างถึงด้วยบุรุษสรรพนาม ได้แก่บุรุษสรรพนามท่ี 1, 2 และ 3 การอ้างถึงด้วยนามท่ีทาหน้าท่ี เป็นสรรพนาม ได้แก่ คาเรยี กญาติ, รูปแทน ซึ่งในอนุทินเรไรรายวันพบรูปแทน เช่น “นี้” “ท้งั คู่” เป็นต้น โดยการแทนหน่วยนาม หน่วยกริยา และประโยค, กำรละหรือสูญรูป ซึ่งในอนุทินเรไรรายวันพบการละ หรือการสูญรูปคาเป็นส่วนใหญ่, กำรซำทุกส่วน ซ่ึงพบว่าเป็นกลวิธีการเชื่อมโยงความท่ีเด่นท่ีสุดในอนุทิน เรไรรายวัน โดยสว่ นใหญ่เป็นการซ้าคานาม เช่น “แม”่ “พ่อ” “นอ้ ง” เปน็ ตน้ , กำรซำบำงส่วน เชน่ “คุณ ตา-ตา” “คุณยาย-ยาย” เป็นตน้ , กำรเชื่อม มี 5 แบบ คอื แบบคล้อยตาม ในอนทุ ินเรไรรายวันใชค้ าเชอ่ื ม เช่น “และ”, “แค่-ก็” และ “แล้ว” เป็นตน้ , แบบขัดแย้ง ซ่ึงในอนุทินเรไรรายวันพบการเช่ือมแบบขัดแย้ง เป็นส่วนใหญ่ โดยใช้คาเช่ือ เช่น “แต่” “ส่วน” เป็นต้น, แบบแสดงทางเลือก ในอนุทินเรไรรายวันใช้ คาเช่ือม คอื “หรือ”, แบบแสดงเหตุแสดงผล ในอนทุ ินเรไรรายวันใช้คาเชือ่ ม เช่น “เพราะ” “เพราะ...ว่า” เป็นต้น และแบบแสดงเวลา ในอนุทินเรไรรายวันใช้คาเชื่อม เช่น “พอ”, “ก่อน” “สักพัก” “หลังจาก” เป็นต้น กำรเช่ือมโยงคำศัพท์ มี 3 แบบ คือ คาท่ีมีความหมายใกล้เคียงกัน, คาตรงข้าม ในอนุทินเรไร รายวันเชื่อมโยงความด้วยคาศัพท์ท่ีมีความหมายตรงข้ามกันเป็นส่วนใหญ่ และคากลุ่มเดียวกัน นอกเหนือจากน้ี ผู้วิจัยยังพบลักษณะการเชื่อมโยงความที่ใช้กลวิธีหลายอย่างรวมกัน โดยพบว่าใน 1 ขอ้ ความ มีการใช้กลวิธีการเชื่อมโยงความมากท่ีสุดจานวน 7 กลวิธี ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะการเช่ือมโยง ความและความเกี่ยวข้องของเร่ืองที่สนทนาในการสนทนาแบบ เป็นกันเองระหว่างเพศชายและเพศหญิง (ชนื่ จิตต์ อธวิ รกุล, 2553) ท่ีตอ้ งใชก้ ลไกการเชื่อมโยงความ อยา่ งนอ้ ย 5 กลไกในขอ้ ความการสนทนา และ ไม่มีขอ้ ความใดทใ่ี ชก้ ลวิธกี ารเชื่อมโยงความเพียงกลวธิ ีเดยี วใน 1 ขอ้ ความ ลักษณะเฉพาะตัวในการใช้การเช่ือมโยงความที่พบในอนุทินเรไรรายวัน คือ การซ้าทุกส่วน คือ การซา้ รปู ภาษาเดมิ ซ่ึงเป็นการซา้ หนว่ ยนาม โดยส่วนใหญผ่ ู้เขยี นมกั ใช้การซ้าคาถึงบุคคลในครอบครวั เช่น “แม่, พ่อ, น้อง” เป็นต้น ซ้าคาว่า “เพื่อน” เช่น “เพื่อน, นำมนต์, นำอิง” เป็นต้น, ซ้าคาว่า “สัตว์” เช่น “จิงจก, ยุง, แมว” เป็นต้น และซ้าคาท่ีเก่ียวกับสิ่งของ เช่น “จักรยำน, ตู้เย็น, ลูกเด้ง” เป็นต้น เน่ืองจากผู้เขียน คือ เรไร สุวีรานนท์ เป็นเด็กอายุ 8 ปี ดังน้ันด้วยพ้ืนฐานตามช่วงอายุและประสบการณ์ อาจทาให้เรไร สุวีรานนท์ ยังมีความรู้ด้านการหลากคาไม่มากนัก แต่มีความโดดเด่นด้านการสร้างสรรค์ ถ้อยคาแบบเด็กปฐมวยั จึงทาให้เรไร สวุ ีรานนท์ ใชก้ ารซ้ารูปภาษาเพียงอยา่ งเดียวแทนการใชก้ ารหลากคา หรอื การใช้คาที่หลากหลายในหนึ่งขอ้ ความและการท่ี เรไร สวุ รี านนท์ ใชก้ ารซ้าคาถึงบคุ ลในครอบครวั และ เพือ่ นเป็นสว่ นใหญ่ แสดงให้เหน็ วา่ ชวี ิตประจาวนั ของ เรไร สวุ ีรานนท์หรอื เดก็ อายุ 8 ปี ส่วนใหญจ่ ะใช้ชีวติ อยู่กบั ครอบครัวและเพื่อนทีโ่ รงเรียน ดังนั้นในอนทุ ินเรไรรายวันจึงปรากฏการบันทกึ ถึงบุคคลในครอบครัว และเพอ่ื นเป็นส่วนใหญ่
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 147 เอกสำรอำ้ งอิง จฑุ ามาศ มชี วู าศ. (2549). การเช่อื มโยงความในวรรณกรรมค่าวซอภาคเหนอื . (วิทยานพิ นธ์ศลิ ปะศาสตร มหาบณั ฑิต, มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร). ชลธชิ า บารุงรักษ์. (2559). ภาษาและภาษาศาสตร.์ กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร.์ ชน่ื จติ ต์ อธวิ รกุล. (2553). การเช่อื มโยงความและความเก่ยี วขอ้ งของเรื่องทีส่ นทนาแบบเปน็ กันเอง ระหวา่ งเพศชายและเพศหญิง. (วทิ ยานพิ นธศ์ ลิ ปศาสตรมหาบณั ฑติ , มหาวทิ ยาลยั ศรีนครนิ ทร วิโรฒ). ฐิติภา คูประเสรฐิ . (2551). การศกึ ษาภาษาทใี่ ชใ้ นไดอาร่อี อนไลน์: เดือนตลุ าคม 2549 – เดอื นมนี าคม 2550. (วิทยานพิ นธป์ รญิ ญาศลิ ปศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาภาษาไทย, มหาวทิ ยาลัย ธรรมศาสตร์). ธวชั ปุณโณทก. (2527). วรรณกรรมปจั จบุ นั . กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพาณชิ . ราชบัณฑิตยสถาน. (2556). พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลมิ พระเกียรติ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั เน่อื งในโอกาสพระราชพธิ ีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554. กรุงเทพฯ: ราชบัณฑติ ยสถาน. เรไร สุวีรานนท.์ (2559). เรไรรายวัน 2: กุมภาพนั ธ์ 2559 ถึง สิงหาคม 2559. กรงุ เทพฯ: ภาพพมิ พ.์ _______. (2559. เรไรรายวัน. (ออนไลน)์ (อา้ งเม่ือ 1 กมุ ภาพนั ธ์ 2561). จากhttps://rayrairaiwan. wordpress.com วิจินตน์ ภาณุพงศ์ และคณะ. (2552). บรรทดั ฐานภาษาไทย เลม่ 3 : ชนดิ ของคา วลี ประโยค และสมั พนั ธสาร. กรุงเทพฯ: สถาบันภาษาไทย สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา สานกั งาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ.
148 ปีท่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020)
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 149 การแสดงในงานศลิ ปวฒั นธรรมอดุ มศกึ ษา Performance in Higher Education Art and Culture Festival อรอทุ ัย นิลนาม1 มาลินี อาชายุทธการ2 On-Uthai Ninlanam1 Malinee Achayutthakan2 1นสิ ิตหลักสูตรศลิ ปศาสตรมหาบัณฑติ สาขานาฏยศิลปไ์ ทย จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย Master of Art Thai Dance, Chulalongkorn University 2ผ้ศู าสตราจารย์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั Assistant Professor, Faculty of Fine and Applied Art, Chulalongkorn University Corresponding author, e–mail; [email protected] (Received: 26 April 2020, Revised: 1 May 2020, Accepted: 4 May 2020) บทคัดยอ่ การแสดงในงานศิลปวฒั ธรรมอดุ มศึกษา เป็นวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ โดยมีวตั ถปุ ระสงค์เพ่ือศึกษารปู แบบการ แสดงในงานศลิ ปวัฒนธรรมอดุ มศึกษา โดยขอบเขตการศกึ ษา คอื งานศลิ ปวฒั นธรรมอุดมศกึ ษา ครัง้ ที่ 1 – 19 ผวู้ จิ ัยไดใ้ ช้เครอ่ื งมือในการวจิ ัย ได้แก่ 1) การสารวจข้อมลู เชิงเอกสาร 2) การสัมภาษณ์บุคคล กลุ่มที่ 1 ที่ปรึกษางานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา กลุ่มที่ 2 สมาชิกเครือข่ายอุดมศึกษาทางด้านนาฏยศิลป์ กลุ่มที่ 3 นิสิต นักศึกษาที่ได้รวมงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา 3) ใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง 4) การลงพ้นื ทภี่ าคสนาม ผลการวิจยั พบว่า การแสดงทปี่ รากฏในงานศิลปวฒั นธรรมอุดมศึกษาคร้ังท่ี 1 – 19 ปรากฏการแสดง 5 ประเภท 23 รูปแบบการแสดง ได้แก่ ประเภทที่ 1 การแสดงมาตรฐาน ได้แก่ โขน หนัง ใหญ่ ละคร ระบา รา ฟ้อน ประเภทที่ 2 การแสดงพื้นบ้าน ได้แก่ นาฏยศิลป์พื้นบ้าน การละเล่นพื้นบ้าน การแสดงดนตรีพื้นบ้าน อาวุธประจาท้องถิ่น ศิลปะป้องกันตัว ประเภทที่ 3 การแสดงสร้างสรรค์ ได้แก่ นาฏยศิลป์ไทย นาฏศิลป์ร่วมสมัย นาฏยศิลป์พื้นบ้าน ขบวนแห่ ละครรา นาฏยศิลป์ตะวันตก ระบาสัตว์ การแสดงประกอบแสง สี เสียง ประเภทที่ 4 การแสดงนาฏยศิลป์นานาชาติ ได้แก่ นาฏยศิลป์อินเดีย นาฏยศิลป์อินโดเนเซีย นาฏยศิลป์มาเลเซีย นาฏยศิลป์เวียดนาม และประเภทที่ 5 การบรรเลงดนตรี ประกอบการขับร้อง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางด้านนาฏยศิลป์ของแต่ละสถาบัน โดยมีปัจจัยใน การเลือกชุดการแสดง ดังนี้ 1) ความถนัด เอกลักษณ์ ทางด้านนาฏยศิลป์ของแต่ละมหาวิทยาลัย 2)ขนาด เวทีสาหรับการแสดง 3) จานวนผู้แสดง 4)งบประมาณ ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ส่งผลให้โดยการแสดงที่นามา แสดงนัน้ สะท้อนใหเ้ ห็นถึงความสามารถทางด้านนาฏยศิลป์ของแต่ละสถาบันที่เขา้ ร่วม ยังเป็นการสืบทอด อนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้คงอยู่โดยคนรุ่นใหม่ และเป็นศูนย์รวมของบุคลากรวงการนาฏศิลป์ไทยได้พบปะ แลกเปลี่ยนพดู คยุ เพอ่ื พัฒนาผลงานทางด้านนาฏยศิลป์รปู แบบตา่ ง ๆ ต่อไป คำสำคญั : งานศิลปวฒั นธรรมอุดมศึกษา; การแสดงในงานศลิ ปวฒั นธรรมอุดมศึกษา
150 ปที ี่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ABSTRACT This qualitative research aimed to study the performance patterns presented at the Higher Education Art and Culture Festival from the 1st to the 19th festival. The instruments comprised 1) literature review; 2) interviews of 3 groups of people – festival advisors, members of the Higher Education Network in Dramatic Arts and the students participating in each festival; 3) related information technology and 4) field study. The findings revealed that each performance reflected the unique dramatic art skills of each institution. The performances were classified into 5 categories and 23 patterns –1) standard performances; 2) folk performances; 3) creative performances; 4) international dramatic arts and 5) musical performances with singers. The factors determining the choice of each performance included 1) expertise in dramatic arts of each institution, 2) the stage size, 3) the audience and 4) budget. This festival not only preserves Thai culture and this form of arts but also serves as a meeting place for those involved in Thai performing arts to find ways to improve these arts. Keywords: Higher Education Art and Culture Festival; Performance in Higher Education Art and Culture Festival บทนำ งานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษาถือกาเนิดขึ้นจากงานดนตรีไทยอุดมศึกษา ซึ่งสานักงาน คณะกรรมการการอุดมศึกษา เล็งเห็นความสาคัญของนาฏยศิลป์ไทย จึงได้ริเริ่มงานศิลปวัฒนธรรม อุดมศึกษาขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดงานคือ เพื่อส่งเสริมและสืบสานศิลปวัฒนธรรมไทยอันเต็มไป ด้วยความหลากหลายตามภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ และเพื่อทาให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ด้าน ศิลปวัฒนธรรม อันจะนาไปสู่ การอนุรักษ์ สืบสานและพัฒนาศิลปวัฒนธรรมไทยให้เข้มแข็งยิ่ง ๆ ขึ้นไปซ่งึ ถือเป็นพันธกิจสาคัญอีกประการหนึ่งของสถาบันอุดมศึกษา ในการทานุบารุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ และ เป็นกิจกรรมหนึ่งที่เปิดโอกาสให้สมาชิกเครือข่ายอุดมศึกษาทางด้านนาฏยศิลป์ ได้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน การเป็นเจ้าภาพโดยการนี้คณะกรรมการการอุดมศึกษาได้จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งแก่สถาบันที่เป็น เจา้ ภาพในการจดั งาน นอกจากนงี้ านศิลปวฒั นธรรมอดุ มศึกษา ยังเป็นงานทสี่ นบั สนนุ ให้นสิ ิต นกั ศกึ ษา ได้ แสดงออกความสามารถของตนอย่างอิสระ สร้างสรรค์ และใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ตลอดจนเป็นการ เชือ่ มความสัมพนั ธ์และประสานความรว่ มมือด้านศิลปวัฒนธรรมระหว่างสถาบนั อดุ มศึกษาท่ัวประเทศ งานศิลปวัฒนธรรมอุดมศกึ ษาเดิมใชช้ ื่อวา่ \"งานส่งเสริมศิลปวฒั นธรรมทบวงมหาวิทยาลัย\" (ครั้งที่ 1 - 5) ต่อมาเมื่อมีการปรับโครงสร้างของส่วนราชการทบวงมหาวิทยาลัยให้เป็นสานักงานคณะกรรมการ การอุดมศึกษาในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการจึงได้เปลี่ยนชื่องานเป็น \"งานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา\" และตั้งแต่ครั้งที่ 6 เปลี่ยนเป็น \"งานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา\" (งานศิลปวฒั นธรรมอดุ มศึกษาคร้ังท่ี 17, 2660) จากการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นพบว่า รูปแบบการแสดงประกอบด้วย การแสดงมาตรฐานการแสดง สร้างสรรค์ การแสดงพน้ื บา้ นอันเปน็ ศลิ ปวฒั นธรรมทอ้ งถ่นิ ของแต่ละมหาวิทยาลยั ในภาคนั้น ๆ การละเล่น พื้นบ้าน การแสดงดนตรีพื้นบ้าน ตลอดจนวงดนตรีลูกทุ่งอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการแสดง ผลงานทางดา้ น ศิลปะ การจัดสัมมนาทางวิชาการ การจัดทัศนศึกษาตามสถานที่สาคัญของมหาวิทยาลัยที่เป็นเจ้าภาพ การจดั ทาหนังสอื ทรี่ ะลึก สูจบิ ตั ร เพ่ือเผยแพร่ และการออกร้านจาหน่ายผลติ ภัณฑป์ ระจาทอ้ งถิน่ (นภัสสร พูลเกษม, 2556) โดยงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษาจัดขึ้นครั้งแรก ในปีพ.ศ.2541 โดยมีจานวนสถาบันท่ี เป็นสมาชิกเข้าร่วมงาน 42 สถาบัน (งานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมทบวงมหาวิทยาลัย ครั้งที่ 1, 2541) และ
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 151 พ.ศ. 2561 สมาชกิ ทเ่ี ข้าร่วมถึง 97 สถาบนั (สจู ิบตั รการแสดง ศลิ ปวัฒนธรรมอุดมศึกษา ครง้ั ที่ 19, 2562) และมีแนวโน้มที่จะมีสมาชิกในเครือข่ายอุดมศึกษาทางด้านนาฏยศิลป์สนใจเข้าร่วมเพิ่มขึ้นในทุกปี และ ปัจจุบันมีสมาชิกเครือข่ายอุดมศึกษาทางด้านนาฏนศิลป์จานวน 121 สถาบัน แต่สมาชิกเครือข่าย อุดมศึกษาทางด้านนาฏยศิลป์ ไม่ได้เข้าร่วมงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษาครบ จานวน 121 สถาบันในแต่ ละครั้ง เนื่องด้วยปัจจัยทางด้านงบประมาณจาก สกอ. และงบประมาณของแต่ละสถาบัน โดยมีรายนาม สมาชิกเครือข่ายอุดมศึกษาทางด้านนาฏยศิลป์ จานวน 121 สถาบัน สามารถแบ่งสมาชิกเครือข่าย อุดมศึกษาทางด้านนาฏยศิลป์ สมาชิกเครือข่ายภาคตะวันออกเฉียงเหนือสถาบันภาครัฐ 22 สถาบัน สถาบนั ภาคเอกชน 6 สถาบนั สมาชิกเครอื ข่ายภาคเหนอื สถาบนั ภาครฐั 15 สถาบัน สถาบันภาคเอกชน 8 สถาบัน สมาชิกเครือข่ายภาคกลาง สถาบันภาครัฐ 25 สถาบัน สถาบันภาคเอกชน 34 สถาบัน สมาชิก เครือข่ายภาคใต้สถาบันภาครัฐ 7 สถาบัน สถาบันภาคเอกชน 4 สถาบัน ทาให้มีการแสดงนาฏยศิลป์ที่ สถาบนั อดุ มศึกษานามาแสดง มากมายหลากหลายรูปแบบ ด้วยเหตุดังกล่าวผู้วิจัยมีความสนใจที่จะศึกษารูปแบบการแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา ตงั้ แต่ครัง้ ที่ 1 ถึงครง้ั ท่ี 19 จากสจู ิบัตรงานศลิ ปวัฒนธรรมอดุ มศกึ ษา ครั้งท่ี 1 - 19 และเอกสารที่เก่ียวข้อง เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา เนื่องจากงานศิลปวัฒนธรรม อุดมศึกษาเป็นงานที่เปิดโอกาสให้นิสิต นักศึกษา สถาบันอุดมศึกษาที่สนใจได้แสดงผลงานทางด้าน นาฏยศิลป์ ซึ่งเป็นการสืบทอดและอนุรักษ์วัฒนธรรมไทยให้คงอยู่โดยคนรุ่นใหม่ และยังเป็นศูนย์รวมของ บุคลากรวงการนาฏศิลปไ์ ทย ไดพ้ บปะแลกเปลี่ยนพดู คุย เพ่ือพฒั นาผลงานทางด้านนาฏยศลิ ป์รูปแบบ ตา่ ง ๆ ตอ่ ไป วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารปู แบบการแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศกึ ษา วิธีดำเนินกำรวจิ ยั กล่มุ ตวั อยำ่ ง โดยแบ่งกลมุ่ ผใู้ หข้ อ้ มูลเป็น 3 กล่มุ กลมุ่ ที่ 1 ทปี่ รกึ ษางานศิลปวฒั นธรรมอดุ มศกึ ษา จานวน 3 ท่าน ดงั น้ี ม.ร.ว.อรฉัตร ซองทอง , ร.ศ.ลาวัลย์ ไกรเดช ,อาจารยไ์ พฑรู ย์ เข้มแขง็ กลุ่มที่ 2 สมาชิกเครือข่ายอุดมศึกษาทางด้านนาฏยศิลป์ จานวน 7 ท่าน ดังนี้ ตัวแทนจากสมาชิก เครือข่ายภาคเหนือมหาวิทยาลันนเรศวร อาจารย์ดร.ภูริตา เรื่องจิรยศ, มหาวิทยาลัยพะเยา อาจารย์ศราวุธ จันทรขา , มหาวิทยาลัยพายัพ อาจารย์วรวรรณ ขัติชีนะ ตัวแทนจากสมาชิกเครือข่ายภาคกลางกลุ่มภาครัฐ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มาลินี อาชายุทธการ ,มหาวิทยาลัยรามคาแหง อาจารย์ ดร.ธรรมจกั ร พรหมพ้วย กลุ่มภาคเอกชน มหาวิทยาลัยธรุ กิจบณั ฑิต หมอ่ มราชวงศ์ อรฉตั ร ซองทอง , ตัวแทน จากสมาชิกเครือขา่ ยภาคใต้ มหาวิทยาลยั ฟาฏอนี อาจารย์ กอมารูดงิ โซ๊ะนิยาดะ กลุ่มที่ 3 นิสิต นักศึกษาที่ได้ร่วมงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา จานวน 2 ท่า ดังนี้ อาจารย์ ดร. ธรรมจักร พรหมพ้วย อาจารยด์ ร.ภูริตา เร่ืองจริ ยศ เคร่อื งมอื ที่ใช้ในกำรวจิ ยั ผู้วจิ ยั ได้สรา้ งเครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในการวจิ ัย 1) แบบสัมภาษณ์ โดยแบง่ ได้ 3 แบบคาถาม ดงั นี้ กล่มุ ที่ 1 ท่ปี รึกษางานศลิ ปวฒั นธรรมอดุ มศึกษา - ประวตั คิ วามเปน็ มาของงานศลิ ปวฒั นธรรมอุดมศกึ ษา
152 ปที ่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 - การเลือกแนวความคดิ หลัก ของงานในแตล่ ะครั้ง - การจดั สรรงบประมาณของ สานักคณะกรรมการการอดุ มศึกษา / มหาวทิ ยาลยั ทีเ่ ป็นเจ้าภาพ / มหาวิทยาลัยที่เขา้ ร่วม - หากงดจดั งานศิลปวฒั นธรรมอดุ มศึกษาจะเปน็ อย่างไร กลมุ่ ที่ 2 สมาชิกเครอื ขา่ ยอดุ มศึกษาดา้ นนาฏยศลิ ป์ ได้แก่ - การจัดการ และกระบวนการในการจดั งานศลิ ปวัฒนธรรมอดุ มศกึ ษา - เอกลกั ษณ์ของการแสดงแตล่ ะมหาวิทยาลัย - ประโยชนข์ องการจัดงานศลิ ปวัฒนธรรมอดุ ศึกษา คืออะไร - หากงดจดั งานศลิ ปวฒั นธรรมอุดมศึกษาจะเปน็ อยา่ งไร - รปู แบบการแสดงที่ปรากฏในงานศิลปวฒั นธรรมอดุ มศกึ ษา แตล่ ะครง้ั - วิธกี ารเลือกการแสดงทีน่ าไปแสดงของแตล่ ะมหาวทิ ยาลัย - การคดั เลอื กผู้แสดงในการแสดงแตล่ ะครงั้ - การจัดการด้านบุคคลในการแสดง เปน็ อย่างไร - ผู้ทีม่ ีส่วนเก่ียวขอ้ งในการจดั รายการของเวที ในแตล่ ะปี ใชห้ ลักการใดในการเลอื กรายการแสดง - ปจั จัยในเลอื กชุดการแสดง กล่มุ ท่ี 3 นสิ ิต นกั ศกึ ษาท่ไี ด้รวมงานศลิ ปวฒั นธรรมอุดมศึกษา - คดิ เห็นอย่างไรกับการจัดงานศลิ ปะวฒั นธรมมอดุ มศกึ ษา ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์กลุ่มบุคคลทั้ง 3 กลุ่ม โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ผ่านเชิงพูดคุย ซักถาม ในขั้นตอนนี้ ผู้วิจัยได้พูดคุยเกี่ยวกับได้เข้าร่วมการแสดง แต่ไม่ได้เจาะจงคาตอบที่ได้จากผู้สัมภาษณ์มากเกินไป ซึ่งทาให้ได้ ข้อมูลท่เี ป็นขอ้ จรงิ และมกี ารตรวจสอบแบบสมั ภาษาณ์จากขอ้ มลู ทตุ ยิ ภูมิ จากเอกสาร ตารา หนังสอื่ ท่เี กี่ยวข้อง 2) ร่วมสังเกตการณ์จากงานศิลปวฒั นธรรมอุดมศกึ ษา โดยผู้วิจัยได้แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ดังนี้ 1) การ สังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วม ผู้วิจัยได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนเข้าร่วมสังเกตการณ์การแสดง จากการติดตามอาจารย์ และผู้ปฏิบัติงานท่านอื่น ๆ ในการฝึกซ้อมการแสดง การจัดการเวทีการแสดง และ ผู้วิจัยได้รับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานกองอานวยการสาหรับงาน เมื่อครั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเจ้าภาพ โดยผู้วิจัยได้มีส่วนร่วมในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา ครั้งที่ 16 วิศิษฏศิลปินสรรพศิลป์สโมสร 14 - 17 พฤศจิกายน 2558 ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ๆ 2) การสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม ในส่วนนี้ผู้วิจัยได้ ดาเนินการสืบค้นข้อมูลจากวิดีทัศน์การแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษาและภาพถ่ายจากงานแต่ละครั้ง ตลอดจนการสบื ค้นขอ้ มูลจากสจู ิบัตร กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผู้วิจยั ได้เกบ็ รวบรวมข้อมูลจากเอกสาร ตารา หนังสอื ท่ีเกีย่ วขอ้ ง โดยข้อมลู นีผ้ ู้วิจัยรวบรวมข้อมูลเชิง เอกสารที่เป็นข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา โดยผู้วิจัยจะศึกษาถึง รูปแบบการแสดงในอดีต ตลอดจนบุคคลสาคัญท่ีเก่ียวขอ้ ง ซึ่งเป็นข้อมูลในการวิเคราะหข์ ้อมูลด้านรูปแบบการ แสดง โดยทาการติดต่อขอยืมหนังสือระหว่างห้องสมุดจากสานักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพ่ือให้ทางสานักงานวิทยทรพั ยากรตดิ ต่อกับมหาวิทยาลยั ต่าง ๆ ในการนาส่งหนังสือ
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 153 เอกสารท่เี ก่ยี วข้อง 1. สจู ิบตั รงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา ครงั้ ที่ 1- 4 , 8 – 19 2 สรุปผลการดาเนนิ โครงการงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศกึ ษา 3 ระเบียบวาระการประชุม คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานการจัดงานศิลปวัฒนธรรม อุดมศึกษา 4. วิจยั การแสดงนาฏยศลิ ปใ์ นงานสง่ เสรมิ ศลิ ปวัฒนธรรมอดุ มศึกษา ของนางสาวนภัสสร พูลเกษม กำรวเิ ครำะหข์ ้อมลู กระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่าง การสังเกตการณ์แบบไม่มีส่วนร่วม ผู้วิจัยได้นาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูล เพื่อเป็นการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของข้อมูลและ แหล่งข้อมูลของการแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา อันเป็นการดาเนินการตามกระบวนการวิจัยเชิง คุณภาพ จากน้ันนาข้อมูลมาจาแนกจัดประเภทของการแสดงในงานศลิ ปวัฒนธรรมอุดมศกึ ษา ตอ่ ไป ผลกำรวจิ ยั การแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษาเดิมใช้ชื่อว่า “งานส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม ทบวงมหาวิทยาลัย” (ครั้งที่ 1 – 5) ต่อมาเมื่อมีการปรับโครงสร้างของส่วนราชการทบวงมหาวิทยาลัยให้ เป็นสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาในสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการจึงได้เปลี่ยนมาเป็นชื่อ “งาน ส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา” ตั้งแต่ครั้งที่ 6 และเปลี่ยนเป็น “งาน ศลิ ปวฒั นธรรมอดุ มศึกษา” ตามรายละเอยี ดดงั นี้ ครัง้ งำน เจ้ำภำพ วนั ท่ี ผ้เู ขำ้ รว่ ม ที่ 1 งานสง่ เสรมิ มหาวทิ ยาลยั พายพั 27 – 29 42 สถาบนั ศิลปวัฒนธรรม สิงหาคม พ.ศ. ทบวงมหาวทิ ยาลยั 2541 2 งานสง่ เสรมิ มหาวิทยาลยั รามคาแหง 1 – 3 ธนั วาคม 61 สถาบนั ศลิ ปวฒั นธรรม พ.ศ.2542 ทบวงมหาวทิ ยาลัย 3 งานสง่ เสรมิ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ 11 – 13 59 สถาบนั ศิลปวัฒนธรรม (ท่าพระจนั ทร)์ ธนั วาคม พ.ศ. ทบวงมหาวทิ ยาลัย 2543 4 งานส่งเสริม มหาวิทยาลยั ศิลปากร 25 – 27 61 สถาบนั ศิลปวฒั นธรรม พฤศจิกายน พ.ศ ทบวงมหาวทิ ยาลัย“ศลิ ปะ 2544 นาฏยลลี า ลักษณา ศิลปากร
154 ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 5 งานสง่ เสริม มหาวิทยาลยั วลยั ลกั ษณ์ 24 – 26 63 สถาบนั ศิลปวัฒนธรรม มกราคม ทบวงมหาวทิ ยาลัย พ.ศ.2546 “ภมู ิปญั ญาพน้ื บา้ น สบื สานพฒั นาไทย” 6 งานส่งเสริม มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร 18 – 20 75 สถาบนั ศลิ ปวัฒนธรรมสานกั งาน (พระราชวงั สนามจนั ทร)์ สงิ หาคม คณะกรรมการการ พ.ศ.2547 อดุ มศึกษา “ศิลปะ นาฏยธร ศิลปากร วรวัฒนา” 7 งานสง่ เสริม มหาวิทยาลยั ขอนแก่น 25 – 27 45 สถาบนั ศิลปวฒั นธรรมสานกั งาน จงั หวัดขอนแกน่ พฤศจกิ ายนพ.ศ. คณะกรรมการการ 2547 อดุ มศกึ ษา “ออนซอน ศิลป์ ศรีมอดินแดง” 8 งานศิลปวฒั นธรร มหาวทิ ยาลยั แม่ฟา้ หลวง 13 – 15 50 สถาบนั อดุ มศึกษา จงั หวัดเชียงราย มกราคม “ศลิ ป์ ลา้ นนา ปูจาแมฟ่ ้า พ.ศ.2549 หลวง” 9 งานศลิ ปวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั บรู พา จังหวดั 25 – 27 83 สถาบนั อดุ มศึกษา “วฒั นธรรมทกุ ชลบุรี มนี าคม พ.ศ. ภาค ทกุ ศาสนา สรา้ ง 2552 ปญั ญาชน” 10 งานศิลปวฒั นธรรม ม ห า ว ิ ท ย า ล ั ย ศ ิ ล ป า ก ร 7 – 9 ธันวาคม 96 สถาบัน อดุ มศกึ ษา (พระราชวงั สนามจันทร์) พ.ศ.2552 “ศลิ ปะ ศลิ ปิน ศลิ ปากร” 11 งานศลิ ปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่ 19–22ตุลาคม 92 สถาบนั อุดมศกึ ษา“นาฏดรุ ยิ ศิลป์ พ.ศ.2553 ณ ถ่ินล้านนา” 12 งานศิลปวฒั นธรรม มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลติ กลุ 9 –11ธันวาคม 54 สถาบนั อดุ มศึกษา “เทิดไท้องค์ พ.ศ.2554 เอกอัครศิลปิน” 13 งานศลิ ปวฒั นธรรม มหาวิทยาลยั ราชภฏั สงขลา 12– 14สิงหาคม 58 สถาบัน อุดมศึกษา“รวมดวงใจ พ.ศ.2555 ถวายแมข่ องแผ่นดิน”
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 155 14 งานศิลปวฒั นธรรม มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 25 – 27 76 สถาบัน อุดมศกึ ษา\"ฮตี ฮอยศิลป์ มกราคม 2557 ถิน่ ตกั สิลา\" 15 งานศลิ ปวฒั นธรรม มหาวิทยาลัยพายพั 31 ตลุ าคม - 2 81 สถาบนั อดุ มศกึ ษา\"โตยฮีต ตา๋ ม พฤศจิกายน ฮอย สานศิลป์ สู่ถนิ่ 2557 ลา้ นนา\" 16 งานศลิ ปวฒั นธรรม จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย 14 - 17 83 สถาบนั อุดมศึกษา “วิศษิ ฏศลิ ปิน พฤศจิกายน สรรพศิลปส์ โมสร” 2558 17 งานศิลปวฒั นธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูล 1 - 3 กุมภาพนั ธ์ 82 สถาบัน อดุ มศึกษา “สานศลิ ป์ ถนิ่ สงคราม 2560 สองแคว” 18 งานศิลปวฒั นธรรม มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร 7–9 101สถาบัน อุดมศึกษา “นาฏยปรดี ิ กุมภาพนั ธ์ ยานนั ท์ กง่ึ ศตวรรษ สนาม 2561 จนั ทร์ ศลิ ปากร” 19 งานศลิ ปวฒั นธรรม มหาวิทยาลัยราชภฏั บุรรี มั ย์ 2 - 4 กุมภาพันธ์ 97 สถาบัน อุดมศกึ ษา “สบื สาร 2562 วฒั นธรรมนาฏลีลา เฉลิม พระเกยี รติพระราชาแหง่ แผ่นดิน” จากการนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ ผู้วิจัยได้ทาการแบ่งประเภทและรูปแบบการแสดงที่ปรากฏใน งานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษาในวิทยานิพนธ์เล่มนี้ โดยนามาจัดหมวดหมูจ่ ากการพิจารณาขอ้ มูลที่ปรากฏ ใน รายงานสรุปผลโครงการ สูจิบัตรของงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษาในแต่ละครั้ง โดยวิเคราะห์จาก แนวความคดิ ประเภทของการแสดง รปู แบบของการแสดง ประเภทของเคร่ืองดนตรี การแตง่ กาย เน้ือร้อง จานวนผู้แสดง รปู ถ่ายของการแสดงท่ีปรากฏในงานศิลปวฒั นธรรมอุดมศึกษา ผวู้ จิ ยั ได้นาข้อมูลท้ังหมดมา วิเคราะห์โดยสามารถแบ่งประเภทและรูปแบบการแสดง โดยมีผลการวิจัยผลว่าการแสดงในงาน ศิลปวัฒนธรรมอุดมศกึ ษา มีดงั นี้ ประเภทที่ 1 กำรแสดงมำตรฐำน หมายถึง การแสดงท่ียึดรูปแบบการของกรมศิลปากรท่ีมีทา่ ราในแมท่ ่าตา่ ง ๆ ของนาฏยศลิ ปไ์ ทย ตามทป่ี รากฏในแมบ่ ทและเพลงชา้ – เพลงเร็ว แบง่ รูปแบบ และตัวอยา่ งการแสดง ไดด้ งั น้ี 1. โขน โขน รามเกียรติ์ ชุดพระรามขา้ มสมุทร มหาวทิ ยาลยั บรู พา ครง้ั ท่ี 1 ยกรบ โขน รามเกียรต์ิ ตอนปลอ่ ยมา้ อุปราการ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี คร้ังท่ี 1
156 ปีที่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 โขน ตอน \"หนุมานเข้าห้องสุวรรณกันยุ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร คร้ังท่ี 2 มา\" ลาดกระบงั ครัง้ ท่ี 3 ครงั้ ท่ี 8 โขนเรื่องรามเกยี รต์ิ ตอนยกรบ มหาวิทยาลยั ธรรมศสาตร์ ครง้ั ท่ี 9 คร้ังที่ 10 โขน ตอนพธิ ีอุโมงค์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ครั้งที่ 14 โขน ตอน พระรามตามกวาง จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ครั้งที่ 15 ครัง้ ท่ี 18 การแสดงโขนตอนยกรบ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั อุตรดติ ถ์ ครง้ั ที่ 19 โขนเรื่องรามเกียรติ์ ชุดศึกกุมภกรรณ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธนบรุ ี คร้งั ท1ี่ 8 ตอนโมกขศกั ด์ิ ครั้งท1่ี 9 โขนเรือ่ งรามเกยี รติ ตอน ยกรบ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลธญั บรุ ี ครั้งท่ี 2 ครง้ั ที่ 2 โขนรามเกียรติ์ ตอน สามนกั ขาออกศึก มหาวิทยาลยั บรู พา ครงั้ ท่ี 3 ครง้ั ที่ 4 โขน รามเกยี รติ์ ตอนปลอ่ ยมา้ อุปราการ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ครั้งที่ 4 2. หนังใหญ่ ครง้ั ท1่ี 0 หนังใหญ่เรื่องรามเกียรติ์ ตอนศึกเจ้ารบเจ้า มหาวทิ ยาลัยศรนี ครินทรวโิ รฒ ครั้งท1่ี 1 คณะหนังใหญ่ประสานมิตรศิษย์วัดสว่าง อารมณ์ ครง้ั ท1่ี 2 การแสดงหนงั ใหญ่ หนุมานตรวจพล มหาวิทยาลยั เกษมบณั ฑติ ครง้ั ท1ี่ 4 ฯลฯ 3 ละคร ครง้ั ท่ี 1 ละครราตอน \"พระสธุ รเลือกค\"ู่ มหาวทิ ยาลยั กรงุ เทพ ครั้งท่ี 2 ครง้ั ที่ 2 ละครปลกุ ใจหลวงวจิ ิตรวาทการ มหาวทิ ยาลัยธรุ กิจบณั ฑิตย์ ครัง้ ที่ 3 ครั้งที่ 3 ละครนอก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบรุ ี คร้งั ที่ 3 คร้ังที่ 4 บทละครเรอื่ งพระลอ ตอนพระลอ วทิ ยาลัยดสุ ิตธานี ตามไก่ พระลอ ตอนปู่เจ้าเรยี กไก่และตามไก่ มหาวทิ ยาลยั กรุงเทพ ละครพันทาง เร่อื งลิลิตพระลอ ตอนตามไก่ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง ละครนอกเรื่องพระสมุทร ตอน พระ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั สุมทรชมดาว ละครนอก \"สุวรรณหงส์\" ตอนชมถ้าเพชร มหาวทิ ยาลยั ปทมุ ธานี พลอย พระรถเมรี ตอน นางเมรอี กแตก มหาวิทยาลัยบูรพา 4 รำ มหาวิทยาลยั รามคาแหง รารจนาเสี่ยงพวงมาลัย มหาวทิ ยาลยั ธุรกิจบณั ฑติ ย์ ยา่ หรันตามนกยงู มหาวิทยาลยั เกษมบณั ฑิต ราฉยุ ฉายหนมุ านทรงเคร่อื ง จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั พระลอตามไก่ จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ราตบั วรเชษฐ์ มหาวทิ ยาลยั เกษมบณั ฑติ รารจนาเส่ยี งพวงมาลัย มหาวิทยาลยั อสั สมั ชญั ตน้ วรเชษฐ
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 157 ศกุนตลา มหาวทิ ยาลยั รตั นบณั ฑติ ครง้ั ที่ 4 ฉยุ ฉายกิง่ ไมเ้ งินทอง มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบรุ ี ครง้ั ที่ 9 ฉยุ ฉายกงิ่ ไมเ้ งินทอง มหาวิทยาลยั บูรพา (ชมรมนาฏศลิ ปไ์ ทย) ครั้งที่ 9 พระรามตามกวาง มหาวิทยาลยั รตั นบณั ฑติ ครั้งท1่ี 0 สมิงพระรามเกยี้ วพระราชธดิ า มหาวทิ ยาลยั หอการค้า ครง้ั ท1่ี 0 การแสดงต้นวรเชษฐ มหาวิทยาลยั สยาม ครง้ั ท1่ี 1 ราฉุยฉายไกรทอง มหาวทิ ยาลยั หอการค้าไทย ครง้ั ท1ี่ 1 ฝรง่ั คู่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ครง้ั ท1ี่ 3 คันธมาลแี ต่งตัว มหาวิทยาลยั ปทมุ ธานี ครง้ั ท1ี่ 4 หนุมานจบั นางสุพรรณมัจฉา มหาวิทยาลยั เกษมบณั ฑิต คร้งั ท1ี่ 6 ราหนุมานจับนางเบญกาย มหาวทิ ยาลยั ศรีปทมุ ครั้งท1่ี 7 พระรามตามกวาง มหาวิทยาลยั เอเซียอาคเนย์ ครั้งท1่ี 7 พระลอชมสวน สถาบนั เทคโนโลยแี หง่ สวุ รรณภมู ิ ครัง้ ท1่ี 8 บษุ บาชมศาล มหาวทิ ยาลยั บรู พา ครั้งท1ี่ 9 ฯลฯ 5 ระบำ ระบากฤดาภนิ ิหาร มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ คร้งั ท่ี 1 ระบาศรีวิชยั วทิ ยาลยั ครสิ เตียน ครั้งท่ี 1 ระบาดาวดงึ ส์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ครง้ั ท่ี 2 ระบามยุราภิรมย์ มหาวิทยาลยั ธุรกิจบณั ฑติ ย์ ครง้ั ท่ี 2 ระบาลพบุรี มหาวิทยาลยั เซน็ ตจ์ อห์น ครง้ั ท่ี 3 ระบาศรีชยั สงิ ห์ มหาวทิ ยาลยั สยาม ครง้ั ท่ี 3 ระบาศรวี ชิ ัย มหาวทิ ยาลยั เซนตห์ ลยุ ส์ ครง้ั ที่ 4 ระบาดาวดงึ ส์ มหาวิทยาลยั เกรกิ ครั้งท่ี 8 ระบาเชียงแสน มหาวทิ ยาลยั แมโ่ จ้ ครั้งท่ี 9 ระบาสโุ ขทยั มหาวิทยาลยั กรงุ เทพ ครั้งท่ี 9 ระบาศรชี ยั สงิ ห์ มหาวิทยาลยั กรงุ เทพ ครง้ั ท่ี 10 ระบาฉ่งิ มหาวทิ ยาลยั เกริก ครง้ั ท่ี 13 ระบาสโุ ขทัย มหาวทิ ยาลยั อสั สมั ชัญ ครง้ั ท่ี 14 ไกรลาสสาเรงิ มหาวิทยาลยั ราชภฏั สรุ าษฏร์ธานี ครั้งที่ 15 ระบาสโุ ขทยั มหาวิทยาลยั ราชภฏั อุตรอติ ถ์ ครั้งที่ 15 ระบาฉิ่ง มหาวิทยาลยั รัตนบณั ฑติ ครั้งที่ 17 ระบาดาวดงึ ส์ มหาวทิ ยาลยั บรู พา ครง้ั ที่ 18 ระบาลพบรุ ี สถาบนั เทคโนโลยไี ทย - ญปี่ นุ่ ครง้ั ท่ี 18 ระบากรับ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั ครั้งที่ 19 ฯลฯ
158 ปที ่ี 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ประเภทที่ 2 การแสดงพนื้ เมอื ง การแสดงที่เกดิ ขน้ึ ตามทอ้ งถนิ่ และพนื้ ทต่ี า่ ง ๆ ของแตล่ ะภูมภิ าค โดยมี จดุ ม่งุ หมาย คอื ความสนุกสนานร่นื เริง มกี ารแสดงเกดิ ขน้ึ มาตัง้ แตส่ มัยโบราณและสบื ทอดต่อกนั มา ยดึ ตาม แบบการแสดงตามโบราณ แตอ่ าจปรับเปล่ียนจานวนผู้แสดง บทกลอนจากเดมิ ไปแต่ไม่มาก 1 นำฏยศิลป์พ้ืนเมือง 1) รำ ราโนราห์ กลุ่มการแสดงภาคใต้ ครัง้ ที่ 1 โนราห์ - สาธิต มหาวิทยาลัยทกั ษณิ ครง้ั ท่ี 2 ราตงั หวาย วทิ ยาลัยเทคโนโลยรี าชธานี ครั้งท่ี 4 มโนราห์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ยะลา ครง้ั ที่ 10 ราโนรา มหาวทิ ยาลัยหาดใหญ่ คร้งั ที่ 11 โนรา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สรุ าษฏร์ธานี ครงั้ ที่ 15 เรือมตรด มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏบรุ รี ัมย์ ครง้ั ท่ี 16 จลมม๊วด มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สรุ ินทร์ ครง้ั ท่ี 18 2) ระบำ รองเง็ง มหาวทิ ยาลยั ทักษณิ ครง้ั ที่ 1 ระบาตารกี ีปสั วทิ ยาลัยศรโี สภณ ครั้งที่ 2 ซมั เปง มหาวทิ ยาลยั นราธวิ าสราชนคริทร์ ครง้ั ที่ 9 3) ฟ้อน ฟ้อนไทยทรงดา มหาวทิ ยาลัยณิวัฒนา ครง้ั ที่ 2 ฟอ้ นวี วทิ ยาลยั เชียงราย ครง้ั ที่ 8 ฟ้อนผาง มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเชียงใหม่ ครั้งที่ 9 ฟ้อนที มหาวทิ ยาลยั แม่ฟา้ หลวง ครั้งท่ี10 ฟอ้ นเงย้ี ว มหาวทิ ยาลยั พายัพ ครงั้ ท่ี14 ฟอ้ นสาวไหม มหาวทิ ยาลัยนอรท์ -เชยี งใหม่ ครง้ั ท่ี15 ฟอ้ นนกกง่ิ กะหลา่ วทิ ยาลยั ชุมชนแม่ฮอ่ งสอน คร้งั ท่ี18 4) เซิ้ง ฯลฯ เซิง้ ไขม่ ดแดง วทิ ยาลัยโปลเี ทคนิคภาคตะวนั ออก คร้ังที่ 3 เฉียงเหนอื (อุบลราชธานี) เซิ้งกะโป๋ มหาวทิ ยาลัยศรีนคิรทรวิโรฒ ครง้ั ท่ี 3 เซง้ิ ไข่มดแดง วทิ ยาลัยโปลีเทคนิคภาคตะวนั ออก คร้ังที่ 4 เฉยี งเหนือ (อุบลราชธาน)ี 2 กำรละเล่นพ้นื บำ้ น 1) เพลงพื้นบา้ น เพลงพื้นบา้ นภาคกลาง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์ลาปาง ครง้ั ที่ 12 เพลงพื้นบา้ นกาญจน์ – สพุ รรณ์ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ครงั้ ท่ี 18
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 159 การแสดงพนื้ บ้านฉ่อยเมอื งจันท์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ราไพพรรณี ครง้ั ท่ี19 3 กำรแสดงวงดนตรพี ื้นบ้ำน ครง้ั ที่ 14 1) วงดนตรหี มอลา ครง้ั ท่ี 14 การแสดงหมอลาเรื่องตอ่ กลอน มหาวิทยาลยั มหาสารคาม ครั้งที่ 9 ครั้งที่10 วงลูกทงุ่ หมอลา มหาวทิ ยาลัยราชภัฏเลย ครง้ั ท่ี14 ครง้ั ท่ี18 2) วงดนตรีลกู ท่งุ ครง้ั ท่ี18 ศรปี ทมุ ลูกทงุ่ ไทย มหาวทิ ยาลยั ศรปี ทมุ ครั้งที่ 9 ครั้งที่ 9 ลูกทงุ่ ไทยวจิ ิตร ม่ิงมติ รนิรันดร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ครั้งท่ี18 ลูกท่งุ เพชรศรีปทุม มหาวิทยาลยั ศรีปทุม ครั้งที่10 ครง้ั ท่ี13 วงดนตรลี กู ทุง่ โรงเรยี นสิรินธรราชวิทยาลยั ครั้งที่16 วงดนตรลี กู ทุ่ง :ทานตะวนั กองสนั ฯ ธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนยร์ ังสิต ครง้ั ท่ี 1 ครง้ั ที่14 3) วงโปงลาง ครั้งที่ 1 โปงลาง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ครง้ั ท่ี 2 วงสุพรรณกิ าโปงลาง มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง วงโปงลาง โรงเรียนวดั ไร่ขงิ วทิ ยา ครั้งท่ี 4 ครั้งที่ 10 4 อำวุธประจำทอ้ งถิน่ ครง้ั ท่ี 10 1) ดาบ ครั้งที่ 14 ครั้งท่ี 18 การต่อสู้ดว้ ยดาบสองมือ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอตุ รดติ ถ์ ศิลปะการต่อสดู้ ้วยดาบสองมอื มหาวิทยาลัยราชภัฏอตุ รดติ ถ์ ฟ้อนดาบ มหาวทิ ยาลยั นอรท์ - เชียงใหม่ 2) พลองไม้ พลอง จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั ศลิ ปะการต่อสดู้ ้วยพลองไม้ส้ัน มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏอตุ รดิตถ์ 5 ศลิ ปะป้องกันตวั 1) มวยไทย มวยไทยพาหยุ ุทธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวยตบั จาก สถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกล้า พระนครเหนือ มวยไทยราลึก จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย มวยโบราณ มหาวทิ ยาลัยราชภฏั จอมบงึ มวยไทยไชยา วทิ ยาลัยตาปี ศิลปะแม่ไม้มวยไทย มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมบู่ ้านจอมบึง มวยลพบรุ ี มหาวิทยาลัยราชภฏั เทพสตรี
160 ปีที่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ประเภทท่ี 3 การแสดงสรา้ งสรรค์ หมายถึง การแสดงท่คี ดิ คน้ สร้างสรรคข์ ึน้ ใหม่ ทงั้ กระบวนท่ารา ทานอง เพลง เนื้อร้อง เครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ประกอบการแสดง ให้สมบูรณ์ตามความคิดของผู้สร้างสรรค์ผลงาน รวมถึงการแสดงทีป่ รบั ปรงุ ผลงานในอดตี ขึ้นใหม่ ผวู้ จิ ยั ไดน้ าทฤษฎีนาฏยประดษิ ฐ์ (สรุ พล วริ ุฬรักษ์, 2543) มาใชเ้ ป็นหลกั การวเิ คราะห์รปู แบบการแสดงสรา้ งสรรค์ ที่ปรากฏในงานศลิ ปวฒั นธรรมอดุ มศกึ ษา แบง่ ออก ดังน้ี 1 นำฏยศิลป์ไทย หมายถงึ การแสดงนาฏยศลิ ปไ์ ทย ทเ่ี กิดข้นึ ใหม่ในปัจจบุ นั ทไี่ มเ่ หมือนในอดตี แตย่ งั คงทา่ ราท่ปี รากฏในทา่ ราแม่บท เพลงชา้ - เพลงเร็ว 1) โขน โขน ห่นุ ละครเล็ก ชุด ยกรบ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พระนคร คร้งั ท่ี15 นาฏกรรมคนโขนรว่ มสมัย ชุด สถาบนั อดุ มศกึ ษากลุ่มภาคกลางเอกชน ครั้งท่ี15 \"นารายณป์ ราบนนทก\" โขน หุ่นละครเล็ก ชดุ ยกรบ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ครง้ั ท่ี16 โขน เรือ่ งรามเกยี รติ์ ตอน รามราชจักรี วิทยาลัยนาฏศิลปสพุ รรณบรุ ี คร้ังที่18 2) หนังใหญ่ มหาวิทยาลยั หัวเฉยี วเฉลิมพระเกยี รติ คร้งั ท่ี 10 มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑติ ครั้งที่ 11 นาฏกรรมอลงั การหนังใหญ่ มหาวทิ ยาลยั เกษมบณั ฑติ คร้งั ที่ 15 นบบรรพชนไทย หนังใหญ่คณุ ากร การแสดงผสมผสานหนังใหญแ่ ละห่นุ กระบอก เร่ืองรามเกียรติ์ ตอน จองถนน 3) รา มหาวิทยาลยั สยาม ครง้ั ท่ี 1 มหาวทิ ยาลยั วลัยลกั ษณ์ ครง้ั ท่ี 1 รานารีศรสี ยาม มหาวทิ ยาลยั เกรกิ ครั้งท่ี 2 ราภษู านาคร มหาวทิ ยาลยั เอเซียอาคเนย์ ครง้ั ท่ี 2 ราสดุดีภูมิพลมหาราช มหาวทิ ยาลยั วลยั ลกั ษณ์ ครง้ั ท่ี 3 ราเฉลมิ ราชจักรวี งศอ์ งค์ภมู พิ ล ฯ มหาราช มหาวิทยาลัยเกรกิ ครง้ั ท่ี 3 ราฉยุ ฉายวลยั ลักษณ์ มหาวิทยาลัยอัสสมั ชญั ครั้งที่ 4 100 ปีสมเด็จพระศรนี ครนิ ทรา ฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครง้ั ที่ 4 เทิดพระเกยี รตธิ ีราชเจ้า มหาวิทยาลัยรังสติ ครั้งท่ี 8 ราเทิดพระเกียรติ รักษ์ ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ มหาวิทยาลัยธุรกจิ บัณฑิตย์ ครง้ั ท่ี 9 ราอาเศยี รวาทพระราชชนนี มหาวทิ ยาลัยหัวเฉียวเฉลมิ พระเกียรติ ครั้งที่ 9 ราเทิดพระเกยี รติชุด แกว้ กัลยาณี มหาวทิ ยาลัยอัสสมั ชัญ คร้งั ที่ 10 นวัตกรรมรามเกียรต์ิ มหาวิทยาลยั สโุ ขทัยธรรมาธริ าช ครง้ั ที่ 10 ฉุยฉายเฉลิมพระเกยี รต(ิ ต้นวรเชษฐป์ ระยกุ ต์) มหาวทิ ยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ครัง้ ท่ี 11 ราอัปสราสอางค์ ราเทดิ พระเกยี รติ ชุด \"ฉลองหกสิบวสั สา บรมราชาภิเษกและราชาภิเษกสมรม\"
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 161 ทวารวดีศรนี ครปฐม มหาวิทยาลัยครสิ เตียน ครั้งที่ 11 ฉลิมพระชนม์ 7 รอบพระนกั กษตั ร มหาวทิ ยาลัยศิลปากร ครั้งท่ี 12 ฉลองวิวฒั นาการ ราเถดิ เทงิ กลองยาว มหาวิทยาลัยราชภฏั อุตรดติ ถ์ ครง้ั ที่ 12 ราถวายพระพร มหาวิทยาลยั บูรพา ครั้งท่ี 13 ราถวายพระพร มหาวทิ ยาลัยเกรกิ คร้ังที่ 13 ทนิ กรเทวราช มหาวิทยาลัยรังสิต คร้ังที่ 14 ราเทพอานวยพร มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง ครั้งท่ี 15 ฉุยฉายหัวเฉียวบชู า มหาวทิ ยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ครั้งท่ี 15 มจพ.เฉลิมพระเกยี รติ 60 พรรษา มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระนครเหนือ ครง้ั ที่ 16 สยามบรมราชกมุ ารี อาศิรราชสุดา รตั นามหาจกั รี มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนครศรอี ยุธยา ครง้ั ที่ 16 รากนั ภยั มหดิ ล มหาวิทยาลัยมหิดล ครั้งที่ 17 ฉุยฉายนาคา มหาวทิ ยาลัยอสั สัมชญั ครั้งที่ 18 ราชภฏั ปห่งราชบุรินทร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั หมู่บ้านจอมบงึ ครั้งท่ี 18 ถวายนวมนิ ทรอ์ งคร์ าชนั ราชภัฏนอ้ มศาสตร์ เฉลิมราชพระบารมี มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร ครั้งท่ี 19 ฯลฯ 4) ระบา สถาบันอดุ มศกึ ษาภาคกลาง ครั้งที่ 1 วัฒนธรรมขา้ ว มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม ครั้งท่ี 1 ระบาจาปาศรี กลุ่มสถาบนั การศึกษาของรฐั ภาคกลาง คร้งั ที่ 2 ระบาเทพธดิ ามณีเมขลา มหาวิทยาลยั นเรศวร คร้ังที่ 2 ระบาเบญจรงค์ มหาวทิ ยาลัยหวั เฉยี วเฉลมิ พระเกียรติ ครง้ั ที่ 3 ระบาถ่นิ โพธิท์ อง มหาวทิ ยาลัยนเรศวร คร้ังที่ 3 ระบากระด่งิ ลีลา มหาวทิ ยาลยั อสี เทริ น์ เอเซีย ครั้งท่ี 4 รักษช์ กั เชิด เทดิ ศลิ ปไ์ ทย มหาวิทยาลยั ธุรกจิ บณั ฑิตย์ ครั้งท่ี 4 นาฏศิลปช์ ุด \"กุหลาบมทั นา\" มหาวทิ ยาลัยสยาม ครั้งที่ 4 ระบาโบราณคดี 5 สมยั มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ครง้ั ที่ 8 ลน่ั ทมงามนามลลี าวดี มหาวทิ ยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร ครง้ั ที่ 8 ระบาชากังราว มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ครง้ั ท่ี 9 ระบาดอกพดุ ตาน มหาวทิ ยาลยั เกษมบณั ฑติ ครั้งท่ี 9 จตรุ ทศิ วิพิธทศั นา มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ ครั้งท่ี 10 ศรที วารวดี มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพระนคร ครั้งที่ 10 ระบาอัปสรานาคี มหาวิทยาลยั วลยั ลักษณ์ ครั้งที่ 11 นาฏยคีตา อัคราวลยั มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสรุ าษฎรธ์ านี ครั้งที่ 14 ระบาชุดไทยพระราชนิยม
162 ปีที่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ระบาสร้างสรรค์ชดุ สัตตะมาลา มหาวทิ ยาลยั นอร์ทกรุงเทพ ครง้ั ที่ 15 ศิลปการนุ่งผ้า มหาวทิ ยาลยั เกริก ครง้ั ที่ 15 ฯลฯ 5) หนุ่ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนคร โขน หนุ่ ละครเล็ก ชดุ ยกรบ มหาวทิ ยาลัยหวั เฉียวเฉลมิ พระเกยี รติ คร้ังท่ี 15 หวั เฉียวนฤมิตรหุน่ ไทยในสยาม มหาวิทยาลัยหวั เฉียวเฉลิมพระเกียรติ ครง้ั ท่ี 16 หนุ่ ละครเลก็ หนมุ านจับนางเบญกาย ครั้งที่ 17 6) หนุ่ คน หนุ่ คนวิลาศลกั ษณ์ศุภฤกษเ์ บกิ อมร มหาวิทยาลัยหวั เฉียวเฉลมิ พระเกียรติ ครั้งที่ 8 ครง้ั ที่14 ห่นุ คน ชุด ปรุ าณะ 4 สมัย มหาวทิ ยาลยั หัวเฉียวเฉลิมพระเกยี รติ ครง้ั ท่ี15 หุ่นคนนาฏกรรมรว่ มสมัยวิลาศลกั ษณ์ มหาวทิ ยาลัยหวั เฉียวเฉลิมพระเกียรติ ครง้ั ท่ี16 ครง้ั ที่17 ศุภฤกษเ์ บิกอมร ครั้งที่19 นาฏกรรมหุ่นคนเฉลิมพระเกียรติ มหาวทิ ยาลัยหวั เฉยี วเฉลิมพระเกยี รติ หนุ่ คนพรานบุญจับนางกินรี มหาวิทยาลยั หวั เฉียวเฉลมิ พระเกียรติ หนุ่ คนนาฏศลิ ป์ไรว้ ญิ ญาณศิลปะการเชิดหุ่นคน มหาวิทยาลัยหวั เฉยี วเฉลิมพระเกียรติ 7) การแสดงนาฏยศิลป์ประกอบดนตรไี ทย (การแสดงสด) การแสดงเดีย่ วระนาดเอกเพลงลาวแพน 2 มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนคร ครั้งที่16 ชั้นประกอบการฟ้อนแพน 2 นำฏยศิลป์ไทยรว่ มสมยั หมายถึง การแสดงทผ่ี สมระหวา่ งนาฏยศลิ ปไ์ ทยและนาฏยศิลป์ นานาชาติ ทม่ี คี วามหลากหลายของวัฒนธรรมในการแสดง ลกั ษณะทา่ ทางการแสดง ดนตรี ทานอง ของ ชาตติ า่ ง ๆ ปรากฏในการแสดง 1) ระบา www.เส่ียว.com มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ครง้ั ท่ี 3 Muek Lek Cowboy – Cowgirl วิทยาลัยมชิ ช่ัน ครั้งท่ี 9 Mission Amazing Culture วทิ ยาลัยมิชชน่ั ครั้งท่ี 9 Amazing Mission วทิ ยาลยั มิชชน่ั ครั้งที่10 นาฏยลีลา สมั พันธไ์ ทย – ญีป่ นุ่ สถาบันเทคโนโลยไี ทย - ญป่ี นุ่ ครง้ั ที่10 วฒั นธรรมไทยกา้ วไกลสนู่ านาชาติ มหาวิทยาลยั นานาชาตเิ อเซยี - แปซิฟิก ครั้งท่ี14 2) จินตลีลา ฯลฯ จินตลีลา เพ่ือเทิดพระเกียรติ มหาวทิ ยาลัยศรีปทมุ ครง้ั ที่ 2 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ฯ จนิ ตลีลาประกอบเพลง \"ความรัก” มหาวิทยาลัยครสิ เตยี น ครง้ั ที่ 4 ส้มตา วิทยาลยั เชาธอ์ สี ท์บางกอก ครงั้ ท่ี16
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 163 3) การแสดงนาฏยศลิ ป์ประกอบดนตรีแตล่ ะเชื้อชาติ (การแสดงสด) การแสดงวัฒนธรรมนานาชาติ มหาวิทยาลัยนานาชาตเิ อเซยี – แปซิฟิก ครง้ั ที่12 3 นำฏยศลิ ปพ์ ้นื เมอื ง หมายถึง การแสดงนาฏยศิลป์พน้ื บา้ นแตล่ ะภมู ภิ าค ที่มแี นวคดิ มาจาก ประเพณีและวถิ ีชวี ิตของชาวบา้ นหรือชาวพน้ื เมอื ง นามาสร้างเปน็ การแสดงขนึ้ ใหม่ 1) รา ราโนราหท์ าบท มหาวทิ ยาลยั ทักษิณ ครง้ั ที่9 ราซนั ตรสุ มหาวทิ ยาลยั วงษช์ วลติ กุล ครั้งที่10 2) ระบา ก๊อบแกบ็ ลาเพลนิ วิทยาลัยเทคโนโลยีราชธานี ครง้ั ท่ี1 ระบาผา้ ขาวมา้ ระบาอาสันนะโยคะ มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ครง้ั ที่2 ระบาตานานปน่ั ฝา้ ย มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขต ครง้ั ท่ี2 ระบาพัดทกั ษณิ า ระบาศลิ ปาชีพ หาดใหญ่ ระบาเทพนมิ ติ นวลทองสาลี ระบาตมุ ปงั วิทยาลัยโยนก ครงั้ ที่2 ราทอซิน่ ตีนจก ระบาตเิ กลา มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ ครง้ั ท่ี 2 ตารีบานาแทมบรู นี ตารซี ารงั บุรง (ระบากรงนก) นครศรธี รรมราชมหาวิทยาลยั วลัยลักษณ์ ครง้ั ที่4 3) ฟอ้ น มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสงขลา ครั้งท่ี 9 มหาวิทยาลัยวลัยลกั ษณ์ ครง้ั ที่ 10 มหาวิทยาลยั พิษณโุ ลก คร้ังท่ี13 มหาวทิ ยาลยั ทกั ษิณ ครั้งที่14 มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลศรวี ิชยั ครง้ั ที่17 มหาวิทยาลัยราชภฏั ยะลา ครั้งท่ี19 ฯลฯ ฟอ้ นออนซอนนครขอนแกน่ วิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ครั้งท่ี2 ฟอ้ นปลาแลกขา้ ว ฟ้อนขนั แก้วตงั สาม มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม ครั้งที่9 ฟอ้ นดารารัศมี ฟ้อนสาวไหมแมงบง้ มหาวทิ ยาลยั พายัพ ครง้ั ที่11 ฟ้อนสืบสานตานานดอกผง้ึ มหาวทิ ยาลัยนอรท์ – เชียงใหม่ ครั้งท่ี14 4) เซิง้ สถาบันบัณฑติ พัฒนศิลป์ ห้องเรียนเครือขา่ ย ครั้งท่ี15 วทิ ยาลยั นาฏศิลปะเชยี งใหม่ มหาวิทยาลัยการจดั การและเทคโนโลยี ครง้ั ท่ี17 อสี เทริ น์ ฯลฯ ราเซ้ิงโปรงลาง วทิ ยาลัยโปลีเทคนิคภาค คร้ังท่ี3 ตะวนั ออกเฉียงเหนอื (อบุ ลราชธานี
164 ปีที่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 เซง้ิ ถักผ้าไหมมว่ นซื่น มหาวทิ ยาลยั กรงุ เทพ ครง้ั ท่ี14 5) การแสดงนาฏยศลิ ป์ประกอบดนตรีพื้นบา้ น (การแสดงสด) ครั้งท่ี12 ครั้งที่17 รากลองยาว มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครสวรรค์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏนครสวรรค์ การแสดงพื้นบา้ น นาฏดนตรี ศรีผไทสมนั ต์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสุรินทร์ 6) เพลงพืน้ บา้ น มหาวิทยาลัยมหดิ ล ครั้งที่11 มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาตร์ ศูนย์ลาปาง ครง้ั ท่ี11 ลาตัดมหดิ ลอวด (ของด)ี มหาวทิ ยาลัยราชภัฏกาญจนบรุ ี คร้งั ท่ี13 เพลงพน้ื บ้านภาคกลาง ๓ ฤดกู าล เพลงทรงเครอื ง เรอ่ื งศกึ รักนครถา้ 7) อาวุธ มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง ครง้ั ท่ี 2 วิทยาลัยโยนก คร้งั ที่ 2 อาวุธไทยรามคาแหง ระบาตานานประวัติศาสตร์ พลอง มหาวิทยาลยั แมโ่ จ้ ครั้งที่10 กระทูไ้ ม้ หอก ดาบ เจงิ ฟอ้ นมีดอุ่ม 4 ขบวนแห่ หมายถงึ การแสดงทีใ่ ช้นักแสดงมากกวา่ 4 คน ขน้ึ ไป เดนิ เรยี งค่ขู นานกนั พรอ้ มกับ แสดงท่าทางการฟอ้ นรา หรือ การถืออุปกรณ์พานดอกไม้ อปุ กรณแ์ สดงยศฐานบรรณาศักดิ์ อาจมเี คร่อื ง ดนตรใี นขบวน หรอื ไมม่ ีในขบวน ขบวนแหเ่ ครื่องสักการะล้านนาเทดิ ไท้ วทิ ยาลยั เชียงใหม่ ครง้ั ที่13 องค์ราชนิ ี 5 ละครรำ หมายถงึ การนาบทพระราชนพิ นธ์ บทละคร มาดดั แปลง เรียบเรยี ง ตัดตอน บรรจุ เพลง เครือ่ งแต่งกาย และประดษิ ฐ์ทา่ รา ขน้ึ มาใหม่ วรรณคดีรว่ มสมยั เรอ่ื งรตั นพกั ตราชา มหาวิทยาลยั กรุงเทพ ครั้งที่13 ละคร จนั ทฆาต ตอน พรหมจารีออกศึก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ครั้งที่14 ภาคพายัพเชยี งใหม่ 6. นำฏศิลป์ร่วมสมัย หมายถึง นาฏยศิลปท์ ี่มีความหลากหลายของการแสดง โดยไม่ยดึ ตดิ อยู่กบั รูปแบบนาฏยศิลปแ์ บบดังเดิม Contemporary Dance ชุดลูกประด่แู ดง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระ ครั้งท่ี10 ร่าเรงิ ยนิ ดี มจพ. ครบ 50 ปี นครเหนือ Brother of Pamdava \"พน่ี อ้ งแหง่ ปาณฑพ\" มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ ครงั้ ท่ี16 Love forever and ever มหาวิทยาลยั ครสิ เตยี น ครง้ั ท่ี18 7. กำรแสดงประกอบ แสง สี เสียง หมายถงึ การแสดงท่มี กี ารนพเสนอฉากหลงั เปน็ โบราณสถาน สถานทสี่ าคญั โดยมีการนาแสง สี แสง ชว่ ยทาให้ผชู้ มรู้สึกถึงความย่ิงใหญ่ อลังการ การแสดงแสง สี เสียง มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สงขลา ครัง้ ท่ี13
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 165 ประเภทที่ 4 การแสดงนาฏยศลิ ปน์ านาชาติ หมายถงึ การแสดงของนานาชาติ ทมี่ ลี ักษณะของเชอ้ื ชาติ 1 นาฏยศลิ ป์อนิ เดยี ภารตนฤตตา มหาวทิ ยาลัยธรรมศสาตร์ ครง้ั ท่ี3 2 นำฏยศิลป์อนิ โด ระบาอนิ โด มหาวทิ ยาลยั นานาชาติเอเซีย - แปซฟิ กิ ครัง้ ท่ี17 3 นำฏยศิลปม์ ำเลเซีย มหาวทิ ยาลยั อตู ารามาเลเซีย ครัง้ ที่12 การแสดงวฒั นธรรมจากประเทศมาเลเซีย มหาวิทยาลยั นานาชาตเิ อเซยี – แปซิฟิก ครั้งท่ี18 Malaysia truly Asia 4 นำฏยศลิ ป์เวยี ดนำม The Power of Vietnam มหาวิทยาลยั นานาชาตเิ อเซยี - แปซฟิ ิก ครั้งท่ี19 ประเภทท่ี 5 การแสดงดนตรี หมายถึง การบรรเลงดนตรี ขบั รอ้ ง ทไ่ี ม่ปรากฏการแสดงนาฏยศิลปข์ ณะ แสดง การแสดงดนตรี คณะดรุ ิยางค์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ครั้งที่10 และชมรมดนตรี ขับร้องเพลงโปรงลางร้อยสาย มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั กาฬสินธ์ุ ครั้งท่ี10 การแสดงดนตรเี พลงไทยเดมิ โดย คณะดุริยางคศาสตร์ ครง้ั ที่10 วงเพอรค์ สั ซันอองซอมเบลอ มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร การบรรเลงดนตรีไทย มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ ครั้งที่12 ประสานมติ ร บทเพลงพระราชนิพนธใ์ นรัชกาลท่ี 6 มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร ครั้งที่18 และรัชกาลที่ 9 จากการสัมภาษณ์กลุ่มตัวอย่างกลุ่มที่ 1 - 2 สามารถวิเคราะห์ปัจจัยในการเลือกชุดการแสดง ตลอดจนการแสดงแต่ละสถาบันที่นามาแสดงได้ ดังนี้ 1) ความถนัดทางด้านนาฏยศิลป์ของแต่ละ สถาบนั การศกึ ษา เนือ่ งด้วยงานศลิ ปวัฒนธรรมอุดมศกึ ษา มสี ถาบันอดุ มศึกษาทีเ่ ข้าร่วมเป็นสมาชิกจากท่ัว ทุกภาคของประเทศไทย ทาให้สมาชิกเครือข่ายนาการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคตนมาแสดง และเนน้ ประเภทการแสดงมาตรฐานและการแสดงพื้นบ้านเป็นหลัก เนื่องด้วยแต่ละสถาบันมีความพร้อมทางด้าน ดนตรี การแต่งกาย รวมไปถึงทักษะและประสบการณ์ของอาจารย์ผู้ควบคุมการแสดง 2) สถานที่จัดงาน และสถานที่ทาการแสดง เน่อื งด้วยการจดั งานศลิ ปวัฒนธรรมอุดมศึกษาในแตล่ ะครั้งจะสับเปลยี่ นหมุนเวยี น กัน จึงทาให้สถานที่จัดงานหมนุ เวียนเปล่ียนจังหวัดตามที่ตั้งของสถาบันที่เป็นเจา้ ภาพ และสถานที่สาหรบั แสดงมีในอาคาร กลางแจ้ง ตลอดจนข้อจากัดของขนาดเวที ด้วยเหตุดังกล่าวการเลือกชุดการแสดงจึงตอ้ ง ปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ด้วยเช่นกัน ทาให้ในบางครั้งมหาวิทยาลัยที่เข้าร่วมต้องลดจานวนนิสิต นักศกึ ษา ที่เปน็ นักแสดงลง และอาจต้องเลอื กการแสดงให้เหมาะสมกับสถานที่ทาการแสดงด้วยเช่นกัน 3) ผ้แู สดงและงบประมาณ เนื่องดว้ ยสถานทจี่ ัดงานมีระยะทางทีไ่ กล ตอ้ งจากดั จานวนของนกั แสดง เปน็ ผลให้ การคัดเลือกนักแสดงนั้น นักแสดงจาเป็นต้องมีทักษะเรื่องการแต่งหน้า ทาผม แต่งตัว ได้ด้วยตนเอง และ ต้องมีความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นอย่างดีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน งบประมาณถือเป็นส่วน สาคัญอกี ประการสาหรับการเลือกชุดการแสดง เนื่องจากการปรับเปลย่ี นสถานทใี่ นการจัดงานในทกุ ๆ ครั้ง
166 ปที ี่ 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ที่จัดงาน แต่ละสถาบันอาจจะตั้งงบประมาณไว้เท่ากันในทุก ๆ ปี แต่ด้วยระยะทางของการเดินทาง ทาให้ ไม่สามารถนานสิ ิต นกั ศกึ ษา คณาจารย์ ไปรว่ มงานไดใ้ นจานวนมาก ประกอบกบั คา่ ใช้จา่ ยในเร่อื ง ท่ีพัก คา่ ชุด ตลอดจนค่าเบี้ยเลี้ยง ทาให้ต้องเลือกการแสดงให้เหมาะสมต่องบประมาณที่แต่ละมหาวิทยาลัยตั้งไว้ และงบประมาณจากทาง สกอ. ที่ได้จัดสรรงบประมาณ 1.ค่าใช้จ่ายการเป็นเจ้าภาพ สนับสนุนในวงเงินไม่ เกิน 1,500,000 บาท 2. สนับสนุนค่าใช้จ่ายบางรายการสาหรับสถาบันอุดมศึกษาในสังกัดและในกากับ สานักงานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา - ค่าเบีย้ เล้ยี ง อาจารยท์ ปี่ รกึ ษาตามสิทธ์ อาหารนักศึกษา คนละ 200 บาท/วัน - คา่ ทพ่ี กั อาจารยท์ ปี่ รึกษาโครงการ คนละ 500 บาท/คนื โครงการละ 2 คน นสิ ติ นกั ศกึ ษา คน ละ 200 บาท/คืน ยกเว้น ในกรณีที่สถาบันเจ้าภาพได้จัดเตรียม ที่พัก เช่น หอพักของ มหาวิทยาลยั จะสนับสนนุ ค่าใชจ้ ่ายที่พกั ตามที่สถานบันเจา้ ภาพกาหนด (เหมาจา่ ยตลอดงาน) - คา่ เช่าชดุ การแสดง สนับสนุนไมเ่ กิน 5000 บาท - คา่ อปุ กรณ์การแสดง สนับสนุนไมเ่ กนิ 3000 บาท - คา่ ซอ่ มแซมเครอ่ื งดนตรไี ทย สนับสนุนไม่เกิน 3000 บาท - ค่าถา่ ยเอกสารโน้ตเพลงไทย สนับสนนุ ไมเ่ กนิ 1000 บาท - ค่าลา้ งอดั รปู และจดั ทาสรุปรายงานผล สนบั สนุนไมเ่ กนิ 500 บาท - สนบั สนนุ คา่ เชา่ รถพร้อมนา้ มันเช้อื เพลงิ พจิ ารณาตามระยะทาง ด้วยเหตุดังกล่าวทาให้การแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา มีปัจจัยในการเลือกชุดการที่ นามาแสดงภายในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา ถือเป็นงานหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสมาชิก เครือข่ายอุดมศึกษาทางด้านนาฏยศิลป์ เห็นได้ว่าการแสดงที่ได้รับความนิยมนามาแสดง ส่วนมากเปน็ การ แสดงประเภทการแสดงสร้างสรรค์รูปแบบนาฏยศลิ ป์พ้นื บ้าน สรุปผล ข้อสรุปเรื่องการแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา พบว่าการแสดงที่ปรากฏในงาน ศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา มี 5 ประเภท 23 รูปแบบการแสดง โดยการแสดงทีน่ ามาแสดงมากทสี่ ุด คือการ แสดงประเภทการแสดงสร้างสรรค์รูปแบบนาฏยศิลป์พ้ืนบ้าน ซ่ึงแสดงให้เห็นถึงความสามารถของ สถาบันการศึกษาที่นาวัฒนธรรมในท้องถ่ินมาสร้างสรรค์เป็นผลงานทางนาฏยศิลป์ และถือเป็นพันธกิจ สาคัญอีกประการหน่ึงของสถาบันอุดมศึกษา ในการทานุบารุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ เผยแพร่ด้านศิลปะ ประเพณี และวัฒนธรรมให้แกน่ ิสิต นักศึกษา บุคลากรของมหาวทิ ยาลัยและประชาชนทว่ั ไป อภปิ รำยผลกำรวิจัย จากขอ้ มลู ดังกล่าว ผวู้ จิ ัยวเิ คราะห์ข้อมูลออกมา ในรปู แบบแผนภมู ิประเภทและรปู แบบการการ แสดงในงานศลิ ปวฒั นธรรมอุดมศกึ ษา คร้ังที่ 1 – 19 โดยแบง่ แผนภูมิ ได้ 5 แผนภูมิ ดงั นี้
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 167 แผนภมู ิที่ 1 แผนภูมปิ ระเภทและรปู แบบการแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศกึ ษา ครง้ั ท่ี 1 – 19 (การแสดงมาตรฐาน) ทีม่ า : อรอทุ ยั นลิ นาม แผนภมู ิท่ี 2 แผนภูมิประเภทและรูปแบบการแสดงในงานศลิ ปวฒั นธรรมอดุ มศึกษา คร้ังท่ี 1 – 19 (การแสดงประเภทพน้ื บา้ น) ทม่ี า : อรอทุ ัย นลิ นาม)
168 ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 แผนภูมทิ ่ี 3 แผนภมู ิประเภทและรปู แบบการแสดงในงานศลิ ปวฒั นธรรมอดุ มศึกษา ครั้งท่ี 1 – 19 (การแสดงประเภทสรา้ งสรรค์) ที่มา : อรอทุ ัย นิลนาม แผนภูมทิ ่ี 4 แผนภมู ปิ ระเภทและรปู แบบการแสดงในงานศลิ ปวฒั นธรรมอดุ มศึกษา ครั้งท่ี 1 – 19 (การแสดงประเภทดนตรี และนาฏยศลิ ปน์ านาชาต)ิ ทม่ี า : อรอุทยั นิลนาม
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 169 แผนภมู ิท่ี 5 แผนภูมิประเภทและรูปแบบการแสดงในงานศลิ ปวัฒนธรรมอุดมศึกษา ครงั้ ท่ี 1- 19 ท่มี า : อรอทุ ยั นิลนาม จากแผนภมู ปิ ระเภทและรปู แบบการแสดงในงานศลิ ปวฒั นธรรมทอดุ มศกึ ษา เหน็ ไดว้ ่าการแสดง ที่ปรากฏในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษาประกอบด้วย 5 ประเภทการแสดง 23 รูปแบบการการแสดง ได้แก่ ประเภทท่ี 1 การแสดงมาตรฐาน ไดแ้ ก่ โขน หนงั ใหญ่ ละคร ระบา รา ฟ้อน ประเภทที่ 2 การแสดง พื้นบา้ น ได้แก่ นาฏยศิลป์พื้นบา้ น การละเล่นพื้นบ้าน การแสดงดนตรพี ื้นบ้าน อาวุธประจาท้องถิ่น ศิลปะ ป้องกันตัว ประเภทที่ 3 การแสดงสร้างสรรค์ ได้แก่ นาฏยศิลป์ไทย นาฏศิลป์ร่วมสมัย นาฏยศิลป์พื้นบ้าน ขบวนแห่ ละครรา นาฏยศิลป์ตะวันตก การแสดงระบาสัตว์ การแสดงประกอบแสง สี เสียง ประเภทที่ 4 การแสดงนาฏยศิลป์นานาชาติ ได้แก่ นาฏยศิลป์อินเดีย นาฏยศิลป์อินโดเนเซีย นาฏยศิลป์มาเลเซีย นาฏยศิลป์เวียดนาม และประเภทที่ 5 การบรรเลงดนตรีประกอบการขับร้อง โดยการแสดงที่นามาแสดง มากทีส่ ุด คือการแสดงประเภทการแสดงสรา้ งสรรค์ รูปแบบการแสดงนาฏยศิลป์พ้นื บ้าน องคค์ วำมรใู้ หม่ ข้อสรุปเรื่องการแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา พบว่าการแสดงที่ปรากฏในงาน ศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา มี 5 ประเภท 23 รปู แบบการแสดง โดยการแสดงทนี่ ามาแสดงมากท่ีสุด คือการ แสดงประเภทการแสดงสร้างสรรค์รูปแบบนาฏยศิลป์พื้นบ้าน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถของ สถาบันการศึกษาที่นาวัฒนธรรมในท้องถิ่นมาสร้างสรรค์เป็นผลงานทางนาฏยศิลป์ และถือเป็นพันธกิจ สาคัญอีกประการหนึ่งของสถาบันอุดมศึกษา ในการทานุบารุงศิลปวัฒนธรรมของชาติ เผยแพร่ด้านศิลปะ ประเพณี และวฒั นธรรมใหแ้ ก่นิสติ นกั ศกึ ษา บคุ ลากรของมหาวทิ ยาลยั และประชาชนทว่ั ไป
170 ปีท่ี 5 ฉบับท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ภำพท่ี 1: การราดอกไม้เงินทอง โดย มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง ทม่ี า : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง สถาบนั วัฒนธรรมมหาวทิ ยาลัยเฉลมิ พระเกยี รติ (2542) ภำพท่ี 2: การราดอกไมเ้ งินทอง โดย มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง ทม่ี า : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง สถาบนั วัฒนธรรมมหาวทิ ยาลยั เฉลิมพระเกียรติ (2542) ภำพท่ี 3: โนราหร์ วมใจถวายชยั พอ่ หลวง โดยกลุ่มสถาบนั อดุ มศึกษาภาคใต้ ทมี่ า : มหาวิทยาลัยรามคาแหง สถาบนั วัฒนธรรมมหาวิทยาลัยเฉลิมพระเกยี รติ (2542)
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 171 ภำพท่ี 4: ระบาเทพธิดามณี เมขลา โดย กลมุ่ สถาบนั อุดมศกึ ษาของรัฐ (ภาคกลาง) ท่ีมา : มหาวิทยาลัยรามคาแหง สถาบนั วฒั นธรรมมหาวทิ ยาลัยเฉลิมพระเกียรติ (2542) ภำพที่ 5: มว่ นชื่นโฮแซวแนวอีสานรว่ มใจประสานเทดิ พระเกียรติ โดยสถาบนั อุดมศกึ ษาภาค ตะวันออกเฉียงเหนอื ที่มา : มหาวิทยาลัยรามคาแหง สถาบนั วัฒนธรรมมหาวทิ ยาลยั เฉลิมพระเกียรติ (2542)
172 ปที ี่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ ุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ภำพที่ 6: การแสดง ราฉยุ ฉายหนมุ านทรงเคร่อื ง โดยมหาวทิ ยาลัยเกษมบณั ฑิต ทม่ี า : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง สถาบนั วฒั นธรรมมหาวิทยาลัยเฉลมิ พระเกียรติ (2542) ภำพที่ 7: ราเฉลมิ ราชจกั รีวงศอ์ งคภ์ มู พิ ล ฯ มหาราช โดยมหาวทิ ยาลัยศรีปทุม ที่มา : มหาวิทยาลยั รามคาแหง สถาบนั วฒั นธรรมมหาวิทยาลัยเฉลมิ พระเกียรติ (2542)
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 173 ภำพท่ี 8: โขน ตอน หนมุ านเข้าหอ้ งนางสุวรรณกลั ยา โดย สถาบันเทคโนโลยพี ระจอมเกลา้ เจา้ คณุ ทหารลาดกระบัง ที่มา : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง สถาบนั วฒั นธรรมมหาวทิ ยาลยั เฉลมิ พระเกียรติ (2542) ภำพที่ 9: โนราสาธิต โดยมหาวทิ ยาลยั ทักษณิ แสดงโดยอาจารย์ธรรมนิตย์ นคิ มรัตน์ ทม่ี า : มหาวิทยาลัยรามคาแหง สถาบนั วฒั นธรรมมหาวิทยาลยั เฉลิมพระเกยี รติ (2542) ภำพที่ 10: พลอง โดยจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย ที่มา : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง สถาบนั วัฒนธรรมมหาวิทยาลยั เฉลมิ พระเกยี รติ (2542)
174 ปีที่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 ภำพท่ี 11: ระบากรงนก ทมี่ า : มหาวิทยาลยั ราชภฎั ยะลา. (2562) ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในกำรนำผลวจิ ัยไปใชป้ ระโยชน์ จากการทาวิจัยการแสดงที่นามาแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษานั้น การจัดงาน ศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษาเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาการแสดงนาฏยศิลป์ไทยต่อไป และผู้วิจัยอยากให้มี ผู้สนับสนุนในการจัดงานนี้ต่อไปในภายภาคหน้า เพื่อให้เป็นอีกพื้นที่หนึ่งในการแสดงความสามารถของ สถาบนั อดุ มศึกษาในด้านนาฏยศลิ ป์ไทย 2. ข้อเสนอแนะในกำรทำวิจัยคร้งั ตอ่ ไป งานวิจัยฉบับนี้ได้นาเสนอการแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษา โดยจาแนกประเภทและ รูปแบบการแสดงทปี่ รากฏในงานศลิ ปวฒั นธรรมอดุ มศึกษา โดยสามารถนาเป็นแนวทางในการศกึ ษาคน้ ควา้ การแสดงของแตล่ ะสถาบนั ที่นามาแสดง ไม่ว่าจะเป็นการแสดงมาตรฐาน การแสดงพืน้ บ้าน และการแสดง สรา้ งสรรค์ขนึ้ มาใหม่ กติ ตกิ รรมประกำศ ผู้วิจัยขอขอบคุณทุนอุดหนุนการศึกษาสาหรับนิสิตระดับปริญญาเอกและโทที่เข้าศึกษาใน สาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไทย จากบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (Graduate Students in Thainess – related Programs) และ ทุน 90 ปี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กองทุน รัชดาภิเษกสมโภช [The 90th Anniversary Chulalongkorn University Fund (Ratchadaphisek - somphot Endowment Fund)] เอกสำรอ้ำงองิ กองกิจการนิสิต มหาวิทยาลยั มหาสารคาม. (2557). ฮีตฮอยศิลป์ ถิ่นตักสลิ า ศิลปวัฒนธรรมอดุ มศกึ ษา คร้ังที่ 14. ขอนแกน่ : โรงพมิ พค์ ลังนานาวิทยา. กอมารูดงิ โซะ๊ นิยาดะ. (2562). การแสดงในงานศลิ ปวฒั นธรรมอดุ มศึกษา (สัมภาษณ)์ . อาจารย์ฝ่ายกิจการ นกั ศกึ ษา มหาวิทยาลัยฟาฏอน.ี 16 ธนั วาคม 2562.
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 175 ครั้งที่ 19. (ออนไลน)์ (อ้างเม่อื 1 พฤษภาคม 2563) จาก https://cac.kku.ac.th/?p=6322 จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. (2558). วิศษิ ฏศลิ ปินสรรพศิลปส์ โมสร. กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการการ อดุ มศึกษา. ธรรมจักร พรหมพ้วย.(2562). การแสดงในงานศลิ ปวฒั นธรรมอุดมศกึ ษา (สมั ภาษณ)์ . รองคณบดีฝา่ ยบริหาร และอาจารย์ ประจาภาควชิ าศิลปะการแสดงไทย มหาวิทยาลัยรามคาแหง. 27 มีนาคม 2562. นภัสสร พูลเกษม. (2556). การแสดงนาฏยศลิ ปใ์ นงานส่งเสรมิ ศลิ ปวฒั นธรรมอุดมศึกษา. (วิทยานิพนธ์ ปริญญาบณั ฑิต, จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั ) . ไพฑรู ย์ เขม้ แข็ง. (2562). การแสดงในงานศลิ ปวฒั นธรรมอุดมศึกษา (สัมภาษณ)์ . ทปี่ รึกษางาน ศิลปวัฒนธรรมอดุ มศึกษา. 3 ธันวาคม 2562. ภรู ิตา เรื่องจริ ยศ. (2562). การแสดงในงานศลิ ปวฒั นธรรมอดุ มศกึ ษา (สัมภาษณ์). อาจารยป์ ระจา สาขาวชิ านาฏศิลปไ์ ทยภาควชิ าศิลปะการแสดง คณะมนษุ ยศาสตร์ และทปี่ รึกษาดา้ น ศิลปวัฒนธรรมและภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น กองกจิ การนสิ ิต มหาวิทยาลัยนเรศวร. 21 ธันวาคม 2562. มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่. (2553). งานส่งเสรมิ ศิลปวฒั นธรรมอุดมศึกษา ครง้ั ที่ 11. เชียงใหม่: บริษทั ม่งิ เมอื ง นวรัตน์ จากดั โรงพมิ พ์ม่ิงเมือง. มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์ (2543). งานสง่ เสริมศิลปวฒั นธรรม ทบวงมหาวทิ ยาลยั คร้งั ท่ี 3. กรุงเทพฯ: โรง พิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.์ มหาวิทยาลยั บรู พา. (2552). งานศลิ ปวฒั นธรรมอุดมศึกษา ครงั้ ที่ 9. ชลบรุ :ี มหาวิทยาลัยบรู พา. มหาวทิ ยาลยั พายพั . (2541). งานส่งเสรมิ ศลิ ปะวฒั นธรรมทบวงมหาวิทยาลยั ครง้ั ท่ี 1. เชียงใหม:่ มหาวทิ ยาลยั พายพั . มหาวทิ ยาลยั แม่ฟ้าหลวง. (2549). รายงานสรุปผลการประเมิณ งานศิลปวฒั นธรรมอุดมศกึ ษา ครงั้ ที่ 8: มหาวทิ ยาลยั แมฟ่ า้ หลวง. เชยี งราย. มหาวทิ ยาลยั แมฟ่ ้าหลวง. (2549). หนงั สือทีร่ ะลึก งานศลิ ปวัฒนธรรมอุดมศกึ ษาครั้งท่ี 8 ศลิ ป์ ล้านนา ปูจา แม่ฟา้ หลวง. เชยี งราย: โรงพมิ พบ์ ดนิ ทร์การพิมพ.์ มหาวิทยาลยั ราชภัฎยะลา. (2562). ศูนย์ศิลปวฒั นธรรม มรภ.ยะลา นาศลิ ปวฒั นธรรมร่วมงาน ศิลปวัฒนธรรมอุดมศึกษาคร้งั ที่ 19 ณ มรภ.บุรีรมั ย์. (ออนไลน์) (อา้ งเม่อื 1 พฤษภาคม 2563) จาก https://www.yru.ac.th/th/archive/view/suny-silp-wathnthrrm-mrphyala-na- silp-wathnthrrm-rwm-ngan-silp-wathnthrrm-xudmsuksa-khrang-thi-19-n- mrphburiramy มหาวิทยาลยั ราชภฏั บุรีรมั ย์.(2562). สูจิบตั รการแสดง ศลิ ปวัฒนธรรมอุดมศึกษา ครั้งที่ 19 “สบื สาน วฒั นธรรมนาฏลีลาเฉลิมพระเกยี รตพิ ระราชาแหง่ แผน่ ดนิ ”. บรุ รี มั ย:์ โรงพิมพ์วินยั . มหาวิทยาลยั ราชภฏั พบิ ลู สงคราม.(2560). สานศลิ ป์ ถ่นิ สองแคว.พษิ ณุโลก: มหาวิทยาลัยราชภฏั พิบูล สงคราม. มหาวิทยาลยั รามคาแหง สถาบนั วฒั นธรรมมหาวทิ ยาลัยเฉลมิ พระเกียรต.ิ (2542). งานสง่ เสรมิ ศิลปวัฒนธรรมทบวงมหาวิทยาลยั คร้งั ท่ี 2. กรงุ เทพฯ: มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง. มหาวทิ ยาลยั วงษช์ วลิตกุล. (2554). รายงานผลการประเมิณโครงการ งานสง่ เสรมิ ศิลปวฒั นธรรม อดุ มศกึ ษา ครงั้ ที่ 12. นครราชสีมา: มหาวทิ ยาลัยวงษช์ วลติ กลุ .
176 ปที ่ี 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June) 2020 มหาวิทยาลยั ศิลปากร. (2544). ศลิ ปะ นาฏยลลี า ลักษณาศลิ ปากร. นครปฐม: มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. มหาวิทยาลยั ศลิ ปากร. (2552). ศลิ ปะ ศิลปนิ ศลิ ปากร. กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั อัมรินทร์พร้ินต้ิงแอนดพ์ บั บลชิ ช่ิง จากัด (มหาชน). มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร. (2561). นาฏยปรีติยานนั ท์ กง่ึ ศตวรรษ สนามจนั ทร์ ศิลปากร งานศิลปวัฒนธรรม อุดมศึกษา ครั้งท่ี 18. นครปฐม: มหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร. มาลินี อาชายุทธการ. (2562). การแสดงในงานศลิ ปวัฒนธรรมอดุ มศึกษา (สมั ภาษณ)์ . อาจารย์ประจาคณะ ศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั . 24 มิถุนายน 2562. ลาวัณย์ ไกรเดช.(2562). การแสดงในงานศิลปวฒั นธรรมอุดมศกึ ษา (สัมภาษณ)์ . ทีป่ รึกษางาน ศิลปวฒั นธรรมอดุ มศึกษา. 3 ธันวาคม 2562. วรวรรณ ขตั ชิ นี ะ. (2562). การแสดงในงานศิลปวัฒนธรรมอุดมศกึ ษา (สมั ภาษณ)์ . ผอู้ านวยการสานัก พฒั นานกั ศึกษา มหาวทิ ยาลัยพายัพ. 23 มีนาคม 2562. ศราวธุ จันทรขา. (2562). การแสดงในงานศลิ ปวฒั นธรรมอุดมศึกษา (สมั ภาษณ์). อาจารยป์ ระจาสาขาวิ ชศลิ ปะการแสดงคณะสถาปัตยกรรมศาสตรแ์ ละศลิ ปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา. 2 มีนาคม 2562 ศนู ย์วฒั นธรรม. (2562). โปงลางสนิ ไซร่วมแลกเปล่ียนอัตลักษณ์อสี านในงานศิลปวฒั นธรรมอดุ มศกึ ษา สื่อสงั คมออนไลน.์ (2562). มรภ.สงขลา นาโนราภาคใต้ ‘นาฏลกั ษณท์ ักษิณ’ โชวก์ ารแสดงเวที ศิลปวฒั นธรรมอดุ มศึกษา ครั้งท่ี 19. (ออนไลน์) (อ้างเมื่อ 1 พฤษภาคม 2563) จาก https://www.reporternews5.com/archives/11881 อรฉตั ร ซองทอง. (2562). การแสดงในงานศิลปวฒั นธรรมอดุ มศึกษา (สมั ภาษณ์). ท่ปี รกึ ษางาน ศิลปวฒั นธรรมอดุ มศกึ ษา.20 ธันวาคม 2562.
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 177 การสื่อสารความหมายผ่านพธิ กี รรม “ราผฟี า้ ” The Communication of Meaning through “Ram Phi Fha Ritual” อมุ าพร ประชาชิต I Umaporn Prachachit ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ สาขาวชิ านเิ ทศศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภัฏศรสี ะเกษ Assistant Professor of Communication Arts Program, Sisaket Rajabhat University Corresponding author, e-mail: [email protected] (Received: 24 March 2020, Revised: 8 April 2020, Accepted: 14 April 2020) บทคดั ย่อ บทความเร่ือง การส่ือสารความหมายผ่านพิธีกรรม “ราผีฟ้า” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบ การส่ือสารความหมายผ่านองค์ประกอบตา่ งๆ ที่ปรากฏในพธิ กี รรมราผีฟา้ ของกลมุ่ ชาตพิ ันธ์ุลาวในจังหวัด ศรีสะเกษ โดยใช้แนวคิดสญั วทิ ยาเป็นกรอบในการศึกษา มีวิธีการรวบรวมข้อมลู ดงั น้ี 1. การสัมภาษณ์ ซง่ึ ผู้วิจัยใช้รูปแบบการสนทนาอย่างไม่เป็นทางการ 2. การเข้าร่วมพิธีกรรมเพ่ือเก็บข้อมูลด้วยวิธีการสังเกต แบบไม่มสี ว่ นร่วม และ 3. สัมภาษณผ์ ู้เขา้ รว่ มพิธีกรรมและชาวบ้านผู้รว่ มสงั เกตการณ์ จากการศกึ ษาพบว่า มกี ารสื่อสารเกดิ ขนึ้ ในการจัดพธิ ีกรรมหลายระดับ โดยรูปแบบการส่อื สารความหมายนัน้ เมอ่ื พจิ ารณาในแง่ ท่ีผู้จัดพิธีกรรมและผู้ร่วมพิธีกรรมเป็นผู้ส่งสาร (Sender) พบว่ามีการส่ือสารความหมายในรูปแบบต่างๆ ได้แก่ 1) การส่ือสารความหมายผ่านการแต่งหน้าและการแต่งกาย 2) การส่ือสารความหมายผา่ นอุปกรณ์ ประกอบพธิ ีกรรม 3) การส่ือสารความหมายผ่านทา่ ทางการรา และ 4) ส่อื สารความหมายผ่านบทกลอนลา โดยสื่อความหมายถึง เพศ บุคลิกภาพ ประเภท และบทบาทของผีฟ้าเนื้อหาของพิธีกรรม ลาดับเหตกุ ารณ์ ต่างๆ ในพิธีกรรม คำสำคญั : การสื่อสาร; ความหมาย; พิธีกรรม; ราผีฟา้ ABSTRACT This article “The Communication of meaning through Ram Phi Fha ritual” has the objective to study forms of meaning communication through various elements that appears in Ram Phi Fha ritual rituals of Laos ethnic groups in Sisaket province by using the concept of semiology as a framework for education. There are methods for collecting data as follows: The researcher applied interviewing and the activity participating to collect the data from the participants and used informal conversation to interview the participants. After that, the researcher used observation to observe the ritual ceremony together with the villagers. The result of the study found that there were many level of communications appeared in the ceremony for example internal communication, interpersonal communication, and group communication. There were 4 of formations of the communication when considering from the sender. 1) The communication through the cosmetic and costume 2) The communication through the Ritual equipment 3) The communication through the dances (difference dances represent difference gender, characteristic, types, and roles of Phi Fha) 4) The communication through the poem which communicated about gender, personality, type and role of Phi Fha, content of the ritual Order of events in rituals. Keywords: communication forms; Ritual; Lao ethnic group
178 ปีที่ 5 ฉบบั ท่ี 1 (มกราคม-มิถนุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) บทนำ ราผีฟ้าเป็นพิธีกรรมที่จัดทาขึ้นเพื่อเป็นการบูชาอ้อนวอนผีฟ้า หรือบางชุมชนุ เรียกวา่ แถน มีที่มา จากความเช่ือ 3 แนวคิด คือ 1) แนวคิดของศาสนาพราหมณ์ในเร่ืองพระพรหมเป็นผู้สร้างสรรพส่ิง ส่วน พราหมณ์ทาหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระพรหมกับมนุษย์ 2) แนวคิดเร่ืองผีของชาวลาว ซ่ึงมีความเช่ือ เร่ืองพญาแถนซึ่งเป็นผีหรือเทพเจ้าสูงสุด 3) แนวคิดของพระพุทธศาสนาในเร่ืองกรรม ผลจากการกระทา และการเวียนวา่ ยตายเกดิ ใครทาบญุ ตายไปจะเกดิ บนสวรรค์ ใครทาบาปตายไปจะไปเกิดในนรก (จีราภรณ์ จันทรโ์ ฉม, 2561) ชาวลาวศรสี ะเกษ เช่อื ว่า ผีฟ้า นนั้ เป็นผดี ี หรือเปน็ เทวดาทค่ี อยปกปกั รักษาความเปน็ อยู่ของชาว ลาว เป็นผู้สร้างโลกและสรรพส่ิงต่างๆ ให้แก่โลก ความเชื่อเร่ืองผีฟ้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดไม่มีใครมีอานาจ เหนอื กวา่ และยังสามารถรักษาความเจ็บป่วยของคนได้ แตห่ ากมีผลู้ บหลู่จะเกิดเหตุร้ายกบั ครอบครวั บาง รายอาจถึงข้นั เสยี ชวี ิต ชาวบ้านท่ผี วู้ จิ ัยร่วมสนทนาได้ยกตัวอย่างชายผู้หนึง่ ซง่ึ มีอาการเหมือนเสียสตกิ อ่ นท่ี จะประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ผู้วิจัยสังเกตว่า ความศรัทธาท่ีมีอย่างแรงกล้าต่อผีฟ้าของชาวลาว ทาให้ ชาวบ้านพร้อมจะเชื่อว่าการเสียชีวิตในคร้ังน้ีเป็นผลมาจากการไม่เชื่อถือ หรือการล่วงเกินผีฟ้า ถึงแม้ว่า สาเหตุการเสียชีวิตจะเป็นเรื่องของอุบัติเหตุก็ตาม ซึ่งชาวบ้านก็กล่าวว่า ในทัศนะของชาวลาวน้ัน การ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุนับเป็นการเสียชีวิตท่ีไม่ปกติ โดยเฉพาะเม่ือมีอาการเสียสติเช่นน้ีเรียกตามภาษา ชาวบ้านได้ว่า “มีอันเป็นไป” ความคิดและความเช่ือเหลา่ นถ้ี กู ส่งตอ่ จากคนหนงึ่ สู่คนหนง่ึ แบบปากต่อปาก มีการพูดคุยกันในหมู่คนที่มีความเชื่อแบบเดียวกัน และยังมีการเติมข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับความเช่ือของ ตนเองลงไปในการถ่ายทอดแตล่ ะครง้ั ทาใหค้ วามเช่ือและความนับถอื ผขี องชาวลาว มีความเข้มข้นมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่มีอาการเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วรักษาไม่หาย แพทย์แผนปัจจุบันไม่พบสาเหตุของ อาการป่วย รักษาไม่ได้ ชาวบ้านจะมคี วามเช่ือวา่ อาการเจ็บป่วยนั้นไม่ได้เกิดจากเชอื้ โรค หรือโดนคุณไสย แต่เกิดจากความประสงค์ของผีบรรพบุรุษหรือ “ผีฟ้า” หรือ “แถน” ท่ีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซึ่งชาวบ้านเชื่อ กันว่าจะถ่ายทอดต่อกันไปในครอบครัว หรือหากไม่ใช่เกิดจากผีฟ้าต้องการมาอยู่ด้วย อาจเกิดจากการ กระทาผิดอย่างใดอย่างหน่ึงท่ีไม่เหมาะสม เช่น ด่าพ่อแม่ พูดจาไม่สุภาพ ลบหลู่ส่ิงศักดิ์สิทธ์ เป็นต้น การ รักษาอาการเจ็บป่วยน้นั จงึ จาเปน็ ต้องจดั พธิ ีกรรม “ราผีฟ้า” เพ่ือขอขมาลาโทษต่อผีฟ้า และเพื่ออ้อนวอน ใหผ้ ฟี ้าชว่ ยคมุ้ ครองผูป้ ว่ ยน้ันตอ่ ไป พิธีกรรมราผีฟ้า จึงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษ มีลูกศิษย์ผีฟ้ากระจายอยู่ ทั่วไปในชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์ลาว ซึ่งนอกจากพิธีกรรมราผีฟ้าซ่ึงมีเป้าหมายในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ยังมีพิธีลงข่วงผีฟ้า เป็นพิธีประจาท่ีผู้นับถือจะทากันทุกปี มีจุดประสงค์เพื่อบูชาผีฟ้า บรรพบุรุษ ครูบา อาจารย์ผู้ล่วงลับ แสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ เสริมความเป็นสิริมงคลต่อตนเอง ตลอดจนได้พบปะ สงั สรรค์ พูดคุย เปน็ พธิ กี รรมท่ที ุกคนสนกุ สนานมีการฟอ้ นรากนั (นฤมล วสนั ต์, 2556) ระเบยี บวธิ วี จิ ัย ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยและเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพ่ือทบทวนวรรณกรรมปูพ้ืนฐานความรู้เก่ียวกับ พิธีกรรมราผีฟ้า จากน้ันจึงลงพ้ืนท่ีศึกษาพิธีกรรมราผีฟ้าชุมชนชาติพันธ์ุลาวจังหวัดศรีสะเกษ ในพ้ืนที่ 4
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 179 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนบ้านหัวนา ตาบลหนองแก้ว อาเภอกันทรารมย์ ชุมชนบ้านเหมา้ ตาบลละทาย อาเภอ กันทรารมย์ ชุมชนหลักเมือง ตาบลเมืองเหนือ อาเภอเมืองศรีสะเกษ และชุมชนบ้านหนองแคน ตาบลซา อาเภอเมืองศรีสะเกษ โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลในขณะท่ีเข้าร่วมทากิจกรรมในการจัดเตรียม พิธกี รรมเพื่อสรา้ งความเป็นกนั เอง กลมุ่ ตัวอยา่ งทีศ่ กึ ษา ได้แก่ เจ้าพธิ ีกรรม (คบู าผฟี า้ ) 4 คน และศษิ ย์ผฟี า้ 12 คน ในการเลือกกลุ่มตัวอย่างผู้วิจัยใช้วิธีการสุ่มแบบเจาะจงในครั้งแรกโดยพิจารณาจากการเป็น ผู้เกี่ยวข้อง (stakeholders) กับพิธีกรรมราผีฟ้าเพ่ือเก็บข้อมูลเชิงลึกกับผู้ที่มีบทบาทต่อพิธีกรรม และใช้ วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบ Snowball Technique เพื่อทาการสัมภาษณผ์ ู้ให้ข้อมูลท่านอื่น จากน้ันใช้ วิธีการสังเกตการประกอบพิธกี รรมราแบบไม่มีส่วนร่วม เพ่ือรวบรวมรายละเอียดของพิธีกรรม บันทึกภาพ บันทกึ วดี โิ อ และสัมภาษณผ์ ูม้ าร่วมพิธกี รรมโดยไมใ่ ช่ผู้ประกอบพธิ ีกรรม จากน้นั วเิ คราะหข์ ้อมลู ดว้ ยวิธีการ วิเคราะห์เนอ้ื หาจากภาพและวิดีโอ และบทสัมภาษณ์ เพื่อค้นหารูปแบบการส่ือสารผา่ นองค์ประกอบตา่ งๆ ของพิธีกรรม โดยมขี ้อจากดั คือ พิธีกรรมทีผ่ วู้ ิจยั ได้เขา้ รว่ มเพอื่ เก็บข้อมูลนั้น เป็นพิธกี รรมลงขว่ งผีฟา้ ไมใ่ ช่ พธิ กี รรมราผฟี า้ ทจี่ ัดขึ้นเพอ่ื รกั ษาความเจ็บป่วย ผลกำรศกึ ษำ พิธีกรรมรำผฟี ำ้ ของชำวลำว จ.ศรีสะเกษ ความเชอื่ ท่ีเก่ียวข้องกบั สาเหตุทีท่ าใหเ้ กดิ โรคภัยไข้เจบ็ และสาเหตุทีท่ าให้เกิดโรคภยั ไข้เจบ็ นั้นชาว ลาวเช่ือวา่ เกี่ยวข้องกับสาเหตุ 2 ประการ คือ สาเหตุที่เกิดตามธรรมชาติ เช่น สภาพอากาศ เชื้อโรค ความ เสื่อมโทรมของร่างกาย เป็นต้น ส่วนสาเหตุท่ีเกิดจากอานาจเหนือธรรมชาตินัน้ มีหลายประเภท เช่น การ ถกู ผที า การถูกคนทาด้วยวธิ ที างคาถาอาคม ชะตา กฎแห่งกรรม และการผดิ ขนบธรรมเนยี มประเพณี ฯลฯ ซ่ึงต่างก็จะทาให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามความเช่ือของชาวบ้าน เม่ือมีเหตุเหล่านี้ผู้ป่วยต้องหาวิธีการ รกั ษาพยาบาลตามสาเหตขุ องโรคน้นั ผฟี ้ารายหนึ่งเล่าว่า ก่อนทีจ่ ะได้รบั การรกั ษาดว้ ยพิธกี รรมราผฟี ้า เมื่อยงั เด็กก็จะเคยไดพ้ บเห็นการ ประกอบพิธีกรรมอยู่เสมอ และจะได้รับการถ่ายถอดความเช่อื คาบอกเล่าเก่ียวกับความศักดส์ิ ิทธ์ิของผีฟา้ อยู่เสมอมา เนื่องจากในครอบครัวมีคุณย่าเป็นผีฟ้า แต่ก็ไม่เคยนึกอยากจะเป็นผีฟ้า (สอดคล้องกับ ความเห็นของชาวบ้านคนอ่ืนๆ ว่าหากไม่มีความจาเป็น ไม่มีใครอยากเป็นผีฟ้า) เมื่อเกิดอาการป่วยโดยไม่ ทราบสาเหตุ ลักษณะอาการคือ ควบคุมสติไม่ได้ บางเวลาทาอะไรบางอย่างไปโดยไม่รู้สึกตัว ซึมเศร้า ลักษณะคล้ายคนสองบุคลิก ผู้ปกครองจึงได้พาไปพบจิตแพทย์ ท่ีโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธ์ิ จ. อบุ ลราชธานี แพทยไ์ ดท้ าการบาบัดและใหย้ าอย่เู ปน็ เวลาเกือบ 4 เดือน อาการก็ไม่ดีขึน้ จนกระท่งั เข้ารว่ ม พิธีราผีฟ้า จึงกลับมาเป็นคนเดิมได้ และเร่ิมเป็นศิษย์ผีฟ้าเข้าร่วมพิธีกรรมราผีฟ้าในทุกปี ต้ังแต่น้ันเป็นต้น มา ผู้ให้ข้อมูลกล่าวอีกว่า นอกจากลักษณะอาการที่คลา้ ยคนสติไม่ดีแล้ว อาการเจ็บป่วยของคนท่จี ะ เข้ารับการรักษาด้วยราผีฟ้ายังมีอีกมากมาย แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล อาทิ อาการป่วยตามปกติท่ไี ป รักษากับแพทย์แล้วไม่หาย กลายเป็นอาการป่วยเร้ือรัง เช่น ปวดขาจนไม่สามารถเดินได้ บางคนเป็นหนกั ถึงขั้นล้มหมอนนอนเสื่อกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง บางคนเจ็บป่วยด้วยอุบัติเหตุ เป็นต้น ในจุดนี้ ผู้ร่วม
180 ปที ่ี 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) สนทนาต่างเห็นตรงกันว่า เป็นวิธีการส่ือสารจาก ผีฟ้า ว่าบุคคลน้ีเป็นผถู้ ูกเลือกให้มีผีประจาตวั มาสถิต จึง เกดิ อาการเจ็บปว่ ยท่วี ชิ าแพทย์ทางวทิ ยาศาสตรร์ กั ษาไมห่ ายโดยไมท่ ราบสาเหตุ สว่ นขนั้ ตอนการประกอบพิธีกรรมน้ัน ผ้วู ิจัยศกึ ษาจากพิธีกรรมลงขว่ งผฟี ้า เทียบกับชุดความรูเ้ ดิม ทม่ี นี ักวิจัยหลายท่านไดท้ าการศึกษาพิธกี รรมราผีฟ้าในพื้นทอ่ี ื่นๆ พบว่า พธิ ีลงขว่ งผฟี า้ และพิธรี าผฟี ้านัน้ มี ข้ันตอนกระบวนการแบบเดียวกัน แตกต่างกันท่ีมีผู้ป่วยกับไม่มีผู้ป่วยเท่าน้ัน สรุปลาดับข้ันตอนของ พิธกี รรมราผีฟ้าได้ดังน้ี เม่ือเกิดอาการเจ็บป่วย ซึ่งใช้วิธีทางการแพทย์แผนไทยรักษาไม่หาย ชาวลาวจะพาผู้ป่วยหรือ ญาติผู้ป่วยไปพบหมอผีฟ้า หรือหมอดู ท่ีชาวบ้านในละแวกน้ันนับถือ เพื่อให้ทานายโชคชะตาว่าใช่อาการ ป่วยที่เกิดจากการมี “ผีฟ้า” อยากจะมาอยู่ด้วยหรือไม่ หากไม่ใช่ หมอดูจะแนะนาวิธีการรักษาอ่ืนๆ แต่ หากใช่ หมอดูจะแนะนาว่า “ใหไ้ ปรกั ษาด้วยดอกไม้” ซ่งึ เป็นคาที่ชาวบ้านใชเ้ รยี กพธิ กี รรมราผฟี า้ เน่ืองจาก ในพิธีกรรมนี้ต้องใช้ดอกไม้เป็นส่วนหน่ึงในพิธีกรรมการบูชาอ้อนวอนพญาแถนให้ช่วยปัดเป่ารักษาโรคภัย นัน่ เอง (มลั ลกิ า จันทรา, 2549) หลังจากได้รับคาแนะนาจากหมอดูหรือหมอผีฟ้าแล้ว ญาติผู้ป่วยจะมาแจ้งกับเพ่ือนบ้านและ ญาติๆ คนอ่ืนๆ เพื่อเตรียมการจัดพิธี การทาพิธีจะต้องกระทาบนบ้านของผู้ป่วย โดยมีผู้ร่วมพิธีคือ ญาติ ผู้ป่วย (เชิญมาให้ได้มากที่สุด) หมอลาผีฟ้า บริวารหรือลูกศิษย์หมอลาผีฟ้า (คือ คนท่ีหมอลาผีฟ้ารักษา หายแล้ว) และหมอแคน ข้ันตอนพิธีกรรม คูบาผีฟ้า (หมายถึง ผีฟ้าท่ีเป็นหัวหน้าหรืออาจารย์ของผีฟ้าทุกตน) จะเร่ิมต้น ดว้ ยการตงั้ เครอื่ งบชู าผฟี ้า คนป่วยจะนงั่ อย่ซู ้ายสดุ นั่งพับเพยี บ พนมมอื ถอื กรวยดอกจาปา คูบาผีฟา้ กราบ ลง 3 ครั้ง แล้วจะทาพิธเี สยี่ งทายไข่ เพื่อให้ทราบว่าจะสามารถจัดพธิ กี รรมได้หรือไม่ โดยจะนาไขม่ าวางลง ในมือคนป่วย (กรณีพิธีลงข่วงจะวางไข่บนพื้น) แล้วคูบาผฟี า้ จะลาอัญเชิญผฟี ้าลงมา หากท่านลงมาสพู่ ิธไี ข่ ไก่จะค่อยๆ กระดกตัวข้ึนและตั้งอยู่ได้ แต่หากไข่ไก่จะนอนอยู่อย่างน้ันจะไม่สามารถจัดพิธีกรรมได้ วิธี อญั เชญิ นนั้ จะมกี ารลาเพ่ือขอรอ้ งโดยคูบาผีฟ้าจะลากลอนแต่เพยี งผู้เดยี ว ภำพท่ี 1: แสดงพิธีเสี่ยงทายไข่
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 181 หากมผี ีฟ้ามาเข้าทรง คูบาผฟี า้ จะแสดงอาการผดิ ปกตอิ ยา่ งชดั เจน อาจมีอาการตัวสัน่ อย่างรนุ แรง ลุกข้ึนฟ้อนราด้วยท่าราแปลกๆ หลังจากนั้นศิษย์ผีฟ้าที่เป็นผู้ร่วมพิธีจะร่วมฟ้อนรา รวมถึงผู้ป่วยก็จะร่วม ฟ้อนราด้วยเช่นกัน ซง่ึ อาการฟอ้ นราของผเู้ ข้ารว่ มพธิ รี าผีฟ้านี้เปน็ การราโดยอัตโนมตั ิ เปน็ เองโดยไมม่ ีการ ฝึกสอน ผู้ร่วมพิธีบางท่านมีอายุมาก เดินไม่ค่อยได้ แต่เมื่อร่วมพิธีกลับลุกขึ้นราฟ้อนได้อย่างคล่องแคล่ว บางท่านราจนหมดแรง ต้องให้หมอผีฟ้าสวดอัญเชิญผีฟ้าออก หมอผีฟ้าไม่คิดค่ารักษานอกจากค่ายกครู เพียงไม่ก่ีบาท ผู้ท่ีหายป่วยแล้วจะถือว่าเป็นสมาชิกศิษย์ผฟี ้า และจะมาร่วมพิธีทุกครั้งท่ีมีการรักษาผปู้ ว่ ย คนอื่นๆ ถ้าไม่ติดธุระสาคัญ ส่วนพิธีลงข่วงผีฟ้าที่จัดข้ึนในเดือน 3 และเดือน 6 ของทุกปีนั้น ศิษย์ผีฟ้าทุก คนจะต้องหาโอกาสในการเข้าร่วมอย่างน้อย 1 คร้ังต่อปี ซ่ึงหากไม่ว่างเข้าร่วมพิธีกรรมที่ชมุ ชนของตนเอง จัดกส็ ามารถขอเข้ารว่ มพธิ ีกรรมของชมุ ชนอน่ื ๆ ได้ ภำพที่ 2: การฟอ้ นราในพิธีลงขว่ งผฟี ้า กำรสื่อสำรผ่ำนองค์ประกอบของพธิ กี รรมรำผีฟำ้ จากการท่ีผู้วิจัยได้ร่วมสังเกตการณ์พิธีกรรมอย่างใกล้ชิด พบว่าตัวพิธีกรรมราผีฟ้าเป็น กระบวนการส่ือสารกระบวนการหนึ่ง ด้วยรูปแบบของการแสดงออกในพิธีกรรม มีการร้องกลอนลาโดยคู บาผีฟ้า มีการแบ่งพิธีเป็นช่วง มีขั้นตอน ในพิธีกรรมแต่ละช่วงก็มีการสนทนาโต้ตอบกันระหว่างผู้ร่วม พิธีกรรมทุกคน ในฐานะตัวแทนหรือร่างทรงของผีฟ้าแต่ละองค์ คล้ายกับการแสดงละครรูปแบบหน่ึง มี การส่ือสารเกิดข้ึนในหลายระดับ ท้ังการส่ือสารภายในบคุ คล ได้แก่ การเริ่มพิธีโดยผีฟ้าแต่ละคนจะทาการ สวดอัญเชิญเพื่อให้ผีฟ้าของตนมาเข้าทรงร่วมพิธี การส่ือสารระหว่างบุคคล ได้แก่ การให้คูบาผีฟ้าเป็น ผู้ช่วยอญั เชิญผีฟา้ ให้ลูกศิษย์บางคนท่ีอัญเชิญมาเองไมไ่ ด้ และการสอ่ื สารแบบกลมุ่ ได้แก่ การร้องกลอนรา ของคูบาผฟี า้ และกระบวนการดาเนินพธิ ีกรรมทง้ั หมด กาญจนา แก้วเทพ (2554) กล่าวว่าทุกส่ิงทุกอย่างในพิธีกรรม ไม่ว่าจะเป็น เวลา สถานท่ี สิ่งของ ผู้คน การแต่งกาย ดนตรี การแสดงท่าทางอากัปกิริยาต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีความหมายทั้งส้ิน ผู้วิจัยจึงได้ วิเคราะห์รูปแบบการส่ือสารในพิธีกรรมราผีฟ้า โดยวิเคราะห์จากการมองว่าคูบาผีฟ้าและศิษย์ผีฟ้า ผู้ร่วม
182 ปที ี่ 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) พิธีกรรมเป็นผู้ส่งสาร ประกอบกับการใชแ้ นวคิดการวิเคราะห์สญั ญะในแต่ละองค์ประกอบ พบว่า การราผี ฟ้ามกี ารส่ือสารความหมายในพิธีกรรมอยู่ 4 รูปแบบ ผ่านองค์ประกอบต่างๆ ได้แก่ 1. กำรสือ่ สำรควำมหมำยผำ่ นกำรแตง่ หน้ำและกำรแตง่ กำย กฤษณ์ คานนท์ (2558) ไดศ้ ึกษา เร่ือง ฟ้อนผีศรีสะเกษ : การส่ือความหมายจากการแต่งหน้าในฐานะศิลปะบาบัดในสื่อพิธีกรรมพื้นบ้าน กล่าววา่ การใช้ศิลปะบาบดั ดว้ ยการแตง่ หน้าในพิธกี รรมราผีฟา้ การทาแป้ง เขยี นค้วิ และทาปาก โดยไม่ได้ เน้นเทคนิคและวิธีการที่ประณีต แต่เน้นการสื่อความหมายถึงผีฟ้าที่เป็น “เพศหญิง” เท่าน้ัน เป็นการ กระทาเพ่อื ความสวยงามอนั นาไปส่กู ารบาบดั รักษาเพือ่ สร้างความสบายใจให้แกผ่ ูม้ ารบั การรกั ษา ซึง่ ผู้วิจยั พบว่านอกจากการแตง่ หนา้ แล้ว ยังมีการใช้เคร่ืองประดับตกแต่งร่างกาย และเครื่องแต่งกายทีแ่ ตกตา่ งกนั เพื่อบ่งบอกเพศของผีฟ้าที่มาสถิต โดยศษิ ยผ์ ฟี ้าส่วนใหญ่มักเป็นผู้หญงิ (จากการรว่ มสงั เกตพธิ ีกรรมราผีฟ้า 4 ครั้ง พบผู้ชายเป็นลูกศิษยผ์ ีฟ้าเพียง 1 คน) แต่ผีฟ้าที่เข้าทรงนั้นมีท้ังเพศหญิงและเพศชาย ก่อนเริ่มพิธีผู้ ร่วมพิธีทุกคนจะแต่งกายด้วยชดุ พืน้ เมือง หรือชุดผ้าไทย นุ่งซ่ิน เส้ือผ้าฝ้าย หรือเสื้อลูกไม้ มีดอกจาปาลาว ร้อยเป็นมาลัยคล้องคอและสวมศีรษะ เจ้าภาพจะจัดเตรียมผ้าสไบและผา้ ขาวม้าไวใ้ ห้ เมื่อผีฟ้ามาเข้าร่าง ทรงแล้วจะหยิบผ้าไปแต่งตัวตามเพศของตน เพศหญิงจะห่มสไบ เพศชายจะห่มผ้าขาวม้า และผีฟ้าเพศ หญงิ จะมีการหยิบแปง้ หวี ลปิ สตกิ ไปแตง่ ตัวแต่งหน้าหลงั จากทผ่ี ฟี า้ เข้าทรงแลว้ เช่นกัน ภำพท่ี 3: อุปกรณ์การแตง่ ตวั ที่เจา้ ภาพจัดไว้สาหรับผฟี า้ ที่เข้ารว่ มพธิ ี 2. กำรสื่อสำรควำมหมำยผ่ำนอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรม ซึ่งมีรายละเอียดอุปกรณ์ประกอบ พิธกี รรม ดงั นี้ 2.1 ปรำสำท มีลักษณะคล้ายบ้านใต้ถุนสูง สร้างจากไม้ไผ่ประดับด้วยทางมะพร้าว ใบไม้ ดอกไม้ ให้สวยงาม เป็นการจาลองสถานที่อยู่อาศัยของเทพเทวดา เปรยี บเสมอื นการสร้างบ้านให้เป็นที่พัก ของผีฟ้า ใช้วัสดุธรรมชาติในการสร้างและประดับตกแต่งเพ่ือความสวยงาม สื่อให้เห็นถึงความเชื่อว่าผีฟ้า เป็นผู้อยู่กับธรรมชาติและความสวยงาม (มัลลิกา จันทรา, 2549) การตกแต่งปราสาทมักจะใช้ดอก จาปาลาว (ลีลาวดี) เป็นหลัก เน่ืองจากเป็นดอกไม้ประจาชาติพันธุ์ลาว (สัมภาษณ์, 2562) ส่วนอุปกรณ์ ประกอบท่ีอยู่ภายในปราสาท ได้แก่ เส่ือ ที่นอน หมอน มุ้ง ผ้านุ่ง ล้วนเป็นปัจจัยท่ีแสดงถึงการเอ้ืออานวย ความสะดวกให้เกิดความสุขสบายเมื่อมีผู้มาอยู่อาศัย ส่ิงเหล่านี้ส่ือความหมายถึงการท่ีชาวลาวเชื่อว่าผฟี ้า เป็นเทพ เมอ่ื เชญิ ลงมาต้องมที ใี่ ห้พกั ผอ่ น ลูกศษิ ย์ตอ้ งเอาใจใสด่ แู ลให้ผีฟา้ เกดิ ความสุขสบาย
วารสารรตั นปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 183 ภำพท่ี 4: ปราสาทในพธิ ีกรรมชมุ ชนบา้ นหนองแคน ภำพท่ี 5: ปราสาทในพธิ กี รรมชมุ ชนบา้ นหัวนา นอกจากน้ีในบริเวณปราสาท จะประกอบด้วยบริวารและอปุ กรณ์อนื่ ๆ ที่ใชป้ ระกอบพธิ กี รรม ไดแ้ ก่ ต๊กุ ตาสัตว์ ตุก๊ ตาบรวิ าร นางรา อาวธุ เรอื ซง่ึ เป็นบริวาณของเทพ ในอดีตจะใชพ้ ชื ผกั มาประกอบกัน เปน็ รูปร่างใช้แทนส่ิงเหลา่ น้ี (มลั ลิกา จนั ทรา, 2549) แตป่ ัจจบุ นั สามารถหาตุก๊ ตามาใช้แทนไดง้ ่ายจงึ มีการ ปรับเปล่ยี นมาใชต้ กุ๊ ตาแทน ภำพท่ี 6: ต๊กุ ตาบรวิ าร
184 ปที ่ี 5 ฉบบั ที่ 1 (มกราคม-มถิ นุ ายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ภำพท่ี 7: อาวธุ และเรอื 2.2 เคร่ืองคำย เป็นเครื่องบูชาที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรมซ่ึงแต่ละคนจะนามาเป็นของ ตนเอง เคร่อื งคายในพธิ ีราผฟี า้ จะจัดใสภ่ าชนะอันได้แก่ ขันเงนิ ถาด กะละมงั เปน็ ต้น มกั จะประกอบด้วย - ขัน 5 ได้แก่ ดอกจาปา 1 คู่ หมาก พลู ธูป เทียน ฝ้ายผูกแขน จัดเป็นชุดใส่ในกรวย ใบตอง จานวน 5 ชดุ เปน็ สิ่งทแี่ สดงถงึ ความเคารพบชู าคล้ายกับการจดั ธูปเทียนถวายดอกไมไ้ หว้พระ แสดง ถงึ ความเคารพตอ่ ครอู าจารยผ์ ู้มีพระคุณ นอกจากนัน้ ยังเชอื่ วา่ ธปู เทยี นสามารถเป็นส่อื ตดิ ต่อระหวา่ งมนุษย์ กับผไี ด้ (นฤมล วสันต์, 2556) - เครื่องหอม หว้านหอม แป้งหอมหรือแป้งเด็ก น้าหอม หรือน้าอบ ส่ือความหมายถึง เครอื่ งหอมท่ใี ชใ้ นการอาบนา้ ชาระสิง่ สกปรก เปน็ ส่วนหน่ึงของการปรนนิบตั ิดแู ล เป็นเครอ่ื งเซ่นไหว้ใหผ้ ีฟ้า - ข้าวสาร อาหารคาว อาหารหวาน และเคร่ืองดื่ม อาจเป็นเหล้าขาว น้าชา น้าแดง บุหรี่ ส่ือความหมายถึงการเตรียมสารับอาหารไว้ต้อนรับแขกหรือผู้มาเยือน ซ่ึงลูกศิษย์หรือร่างทรงจะจัด เครื่องคายมาให้เข้ากับความชอบของผีฟ้า สามารถสื่อถึงเพศ วัย และลักษณะนิสัยของผีฟ้าแต่ละตนได้ เช่น ผีฟ้าวัยเด็กจะด่ืมน้าแดง ผีฟ้าเพศชายจะดื่มเหล้า ผีฟ้าเพศหญิงจะชอบดื่มน้าชา อย่างไรก็ตาม ใน บางครั้งผฟี า้ เพศหญิงท่ีอายุมากอาจจะชอบดม่ื เหล้า จงึ ต้องดอู งค์ประกอบอื่นๆ ประกอบด้วย เคร่ืองคายถือเป็นปัจจัยสาคัญในการประกอบพิธลี งข่วงผีฟ้า หากศิษย์ผีฟ้าคนไดม้ ีภาระ จาเปน็ ไม่สามารถเข้ารว่ มพิธีลงข่วงได้ ต้องจดั เครอ่ื งคายนี้ฝากศษิ ยผ์ ีฟา้ คนอน่ื นามาเขา้ พธิ ดี ้วย เคร่ืองคาย เป็นเคร่ืองบูชาท่ีมีความหมายคล้ายกับพานไหว้ครู ผสมกับสารับอาหารท่ีมีไว้เล้ียงรับรองผู้ท่ีมาเยือน สื่อ ความหมายถึงการจดั งานเล้ยี งสังสรรคใ์ ห้กบั ผีฟ้าทส่ี ถิตอยู่ในรา่ งทรงหรอื ลูกศษิ ย์แตล่ ะคน เครื่องเซน่ ไหวย้ ัง สื่อถึงความเช่ือว่าหากผีฟ้าได้รับประทานจนอ่มิ หนาสาราญจะดลบันดาลให้ตนเองและครอบครัวมีความสุข ปราศจากโรคภยั ไขเ้ จ็บ (สัมภาษณ,์ 2562)
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 185 ภำพที่ 8: ขันเครือ่ งคาย 3. กำรส่อื สำรควำมหมำยผ่ำนทำ่ ทำงกำรรำ สอื่ ความหมายถึง เพศ บคุ ลิกภาพ และบทบาทของ ผีฟ้า สอดคล้องกับที่ นฤมล วสันต์ (2556) ศึกษาพบว่าท่าฟ้อนราของผีฟ้าทั้งหลายไม่มีกฏตายตัว แต่จะ ขึน้ อยกู่ บั พฤติกรรมของผที ่มี าเข้าทรงว่าจะมีทา่ ทางแบบไหน เชน่ ผีทีม่ าเข้าทรงเปน็ ผีผชู้ ายจะชอบกระโดด โลดเต้น เป็นต้น ในจุดน้ีผู้วิจัยพบว่า เมื่อเร่ิมพิธีกรรมแล้วลูกศิษย์ผีฟ้าแต่ละคนจะมีการแสดงออกและ บุคลิกภาพท่ีแตกต่างจากเวลาปกติก่อนเร่ิมพิธี ซ่ึงชาวบ้านเช่ือกันว่าเป็นบุคลิกภาพของผีฟ้าท่ีมาสถิตใน ร่างทรงแต่ละคน อาทิ ศิษย์ผีฟ้าอายุ 70 ปี ปกติจะเดินไม่คล่องแคล่วเพราะอายุมากแล้ว แต่เม่ือเร่ิม พิธีกรรมกลับสามารถฟ้อนราอย่างสนุกสนานต่อเน่ืองนานถึงสองช่ัวโมงโดยไม่มีอาการเหน็ดเหนื่อย เด็ก สาวอายุ 14 ปี สามารถดื่มเหล้าขาวได้จนหมดขวดโดยไม่มีอาการมึนเมา หรือผู้ที่ปกติชอบร้องราทาเพลง ในงานร่ืนเริงต่างๆ แต่เม่ือเร่ิมพิธีกลับไม่ร่วมฟ้อนรากับศิษย์ผีฟ้าผู้เข้าร่วมพิธีคนอื่น นอกจากน้ีเม่ือมีการ อัญเชิญผีฟ้ามาประทบั ทรง ลกู ศษิ ยผ์ ีฟา้ จะรบั รถู้ ึงชอ่ื และส่งิ ที่ผฟี ้าชื่นชอบ เช่น ผฟี ้าช่อื แมผ่ มหอมชอบงาน ร่นื เริง ชอบฟอ้ นรา ผีฟ้าชือ่ มณีเกสรชอบนาดอกไมม้ าประดบั ร่างกาย ในส่วนของท่าทางการรา ผู้วิจัยพบว่ามีความแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซ่ึงจากการสัมภาษณ์ ผู้ให้ข้อมูลทุกคนกล่าวว่าท่ารานั้นเป็นไปเองโดยไม่เคยไดเ้ รียน ไม่มีหลักการตายตัว ระหว่างที่ประกอบพธิ ี จะราทา่ นี้เองโดยอัตโนมัติ ซึง่ ความแตกตา่ งของท่าราสามารถสื่อสารถงึ บทบาทของผีฟา้ ได้ เช่น ผฟี า้ เพศ หญิงที่เป็นนางฟ้าจะมีท่าราที่อ่อนช้อย สวยงาม ผีฟ้าเพศหญิงที่เป็นนางรา จะมีท่าราที่หลากหลายและ สวยงามแสดงถึงความเช่ียวชาญในการรา ผีฟ้าเพศชายจะมีท่าราท่ีค่อนข้างดุดัน รุนแรง ผีฟ้าที่เป็น พญานาคจะมีท่าราที่แตกต่างจากคนอ่ืน โดยมือสองข้างจะประกบกันคล้ายพนมมือ และทาท่าเลื้อย เลียนแบบการเคลื่อนไหวของงู เปน็ ต้น 4. กำรสอ่ื ควำมหมำยผำ่ นบทกลอนลำ การร้องบทกลอนลาในพธิ รี าผีฟา้ นนั้ จะรอ้ งโดยคูบาผีฟ้า เพียงผู้เดียว ส่วนลกู ศิษย์คนอื่นๆ จะเพยี งราประกอบเท่านนั้ ซงึ่ ในบทกลอนลาจะแบ่งเปน็ ช่วงต่างๆ ดงั น้ี ช่วงท่ี 1 กลอน “ลาเชิญ” เป็นการอัญเชิญผีฟ้า ครูอาจารย์ผทู้ ี่ลว่ งลับไปมาประทับในร่างลูกศษิ ย์ เมื่อผีฟ้าลงมาประทับแลว้ แต่ละคนจะมปี ฏกิ ิริยาแตกตา่ งกัน บางคมมีอาการตัวสั่นอย่างรุนแรง บางคนสนั่ เพียงเล็กน้อย จากน้นั แต่ละคนจะลุกขน้ึ ฟอ้ นราไปรอบๆ ปราสาทตามจังหวะเพลงแคน ช่วงท่ี 2 กลอน \"ลาส่อง\" เป็นการลาเพือ่ เสยี่ งทายหาสาเหตุของการเจบ็ ป่วย โดยมงุ่ เน้นถงึ สาเหตุ ที่ผูป้ ว่ ยกระทาการละเมิดหรือสรา้ งความไมพ่ อใจต่อผี เช่น ละเมิดบรรพบุรษุ ผไี ร่ผีนา ผบี ้านเรอื น เปน็ ต้น
186 ปที ี่ 5 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2563) Vol.5 No.1 (January-June 2020) ช่วงที่ 3 กลอน \"ลาปัว\" เป็นกลอนลาอ้อนวอนในขั้นตอนท่ีร้สู าเหตุของอาการเจบ็ ป่วยแลว้ คบู าผี ฟ้าจะลาเพ่ือขอขมาต่อผีฟ้าท่ีคนป่วยได้ล่วงเกินไป เป็นการลาเพื่อขอโทษและขอต่อชีวิต แสดงให้เห็นว่า การล่วงเกินนั้นเกิดข้ึนโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ จึงแต่งเคร่ืองคายมาขอขมา ขอให้ผีฟ้าช่วยดูแลรักษาชีวิตของ ผู้ป่วยตอ่ ไป ช่วงที่ 4 กลอน “ลาอวยพร” เป็นการร้องกลอนลาเพ่ืออวยพรให้ผู้ป่วยมีกาลังใจในการต่อสู้กับ โรคภยั ทเ่ี จบ็ ป่วย ให้เกิดความสบายใจ สือ่ ใหเ้ หน็ ถึงการใช้จิตวทิ ยาในการบาบัดรักษา เปน็ การปลอบขวัญ ผ้ปู ว่ ยใหม้ คี วามรสู้ กึ อบอุน่ ไม่ถกู ทอดทิง้ และมีความหวังในการมีชวี ติ อย่ตู อ่ ไป ช่วงที่ 5 กลอน “เชิญชวนลงเล่น” เป็นการลาเพื่อชักชวนให้ผู้ป่วยร่วมฟ้อนรากับผีฟ้าที่มารักษา ในช่วงนีผ้ ้ปู ่วยทีร่ ักษาหายจะลุกขึ้นฟ้อนราร่วมกับศิษยผ์ ีฟ้าคนอื่นๆ อย่างสนกุ สนาน สื่อให้เห็นจุดม่งุ หมาย ที่ต้องการให้ผ้ปู ่วยคลายกังวลและความส้ินหวงั นอกจากน้ียังทาให้ผปู้ ่วยได้ลุกเดนิ เป็นการออกกาลังกาย จะทาให้ร่างกายท่ีอ่อนเพลียมีความสดช่ืนขึ้น เป็นผลในทางจิตวิทยา นอกจากน้ียังทาให้เกิดความ สนกุ สนานเพลิดเพลิน ผปู้ ่วยมีสุขภาพจติ ดีขึ้น ชว่ งท่ี 6 กลอน “ลาส่ง” เปน็ การกลา่ วบชู าแสดงถงึ ความเคารพผีฟ้าทกุ องค์ แสดงความขอบคุณที่ ไดป้ กปอ้ งดแู ลศิษยผ์ ีฟา้ ทกุ คน เม่อื พกั ผอ่ นเรียบร้อยแล้วก็เชิญผีฟ้ากลับ กลอนลาเป็นองค์ประกอบทีส่ าคัญมากของพธิ ีกรรม ดงั ที่ นฤมล วสนั ต์ (2556) กล่าวว่า กลอนลา เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการฟ้อนผีฟ้า เพ่ือประโยชน์ทางด้านการสื่อสารระหว่างมนุษย์กับผี เพื่อสร้าง ความเข้าใจ เป็นการยุติไม่ให้ผีมารังควาญทาความเดือดร้อนต่อผู้ป่วยอีก นอกจากน้ียังทาให้เกิดความ ไพเราะสนกุ สนานในทานองกลอนลา ทาใหผ้ ้ปู ่วยคลายความกังวลลมื ความทุกขโ์ ศกและความเจ็บปว่ ยที่ตน ได้รบั บทสรุปและอภิปรำยผล พธิ กี รรมบชู าผีฟา้ ของกลุ่มคนชาตพิ ันธล์ุ าวในจังหวัดศรีสะเกษ เปน็ พิธกี รรมทม่ี ีท่ีมาจากความเช่ือ เรื่องผี เช่ือว่าเทพหรือผีเป็นผู้สร้างโลก สร้างชีวิต ดลบันดาลความเป็นไปในชีวิตของผู้คน ชาวบ้านส่วน ใหญ่จะเชื่อว่าผีฟ้าเป็นผีดี ที่ช่วยคุ้มครองปกป้องให้ลูกศิษย์ท่ีบูชาผีฟ้ามีความสุข มีสุขภาพดี ไม่มี เหตุ เภทภัย เป็นต้น สอดคล้องกับ ยุทธภัณฑ์ เตชะแก้ว (2540) ที่ได้กล่าวว่า ผี ในสังคมของชาวบ้านอสี านจึง เป็นเร่ืองของอานาจ ผีเป็นกฎเกณฑ์ท่ีเป็นบรรทัดฐานทางสังคม ควบคุมพฤติกรรมและจิตวิญญาณของ บุคคลในสังคม มีรากเหง้าจากการส่ังสมประสบการณ์ในการดาเนินชีวิตท่ีผ่านมา สร้างเป็นระเบียบแบบ แผนทางสังคม เป็นวัฒนธรรมอีสาน อานาจและกฎเกณฑ์ในกระบวนการทางสังคมดังกลา่ ว ได้ถูกถ่ายโยง สืบทอดมาทา่ มกลางการดารงอยขู่ องสังคมอสี านโดยตลอด แต่พิธกี รรมราผฟี ้ากย็ งั เปน็ พิธกี รรมที่สืบทอดกันมาในกลุ่มคนเฉพาะกลุ่ม แมใ้ นกล่มุ คนชาติพันธ์ุ ลาวในพ้ืนท่ตี า่ งๆ กย็ ังไม่ใชท่ กุ คนท่มี ีความสนใจเขา้ ร่วมพธิ ีกรรมนี้ จะมีเฉพาะกลมุ่ คนทมี่ ีความเช่ือ และได้ สัมผสั กบั พธิ ีกรรมมาแล้วเท่านน้ั จึงจะเกิดความศรัทธาและสานตอ่ เขา้ ร่วมพิธกี รรมนตี้ อ่ ไป การจดั พธิ ีกรรม น้ีสะทอ้ นให้เห็นความหมายของสิ่งทหี่ มอลาผีฟ้าไดท้ า เป็นการนาอุดมการณ์ที่เก่ยี วกบั อานาจจากความเชือ่ เร่ืองผีฟ้า มาอธิบายบอกกลา่ วควบคุมความประพฤติทางสงั คมของสมาชกิ โดยเป็นการปลูกผังเร่ืองความ
วารสารรัตนปัญญาJOURNAL OF RATTANA PAÑÑĀ 187 กตัญญูกตเวที ความเคารพต่อผู้มีพระคุณ ครูบาอาจารย์ผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่ให้ลูกหลานกล่าวร้ายหรือ ประพฤตลิ ่วงเกินบรรพบุรษุ นอกจากนก้ี ารทช่ี าวบ้านเชื่อวา่ ผฟี า้ ชอบของสวยๆงามๆ ชอบคาพูดเยินยอ ยงั เป็นการควบคุมให้ลูกศษิ ย์ผฟี า้ เป็นคนสภุ าพ คิดดี ทาดี พูดดี ในมิตขิ องการส่ือสารแลว้ กลา่ วไดว้ ่า พธิ รี าผีฟ้า และพธิ ลี งข่วงเล้ียงผฟี ้า เปน็ การสื่อสารท่สี ะท้อน ใหเ้ ห็นความเชื่อในเรือ่ งผฟี ้าผีแถนของชุมชนชาตพิ นั ธุ์ลาว เปน็ พธิ กี รรมทสี่ ะท้อนถึงวิถีการดาเนนิ ชวี ติ ของ ชาวลาวในการจัดเตรียมอุปกรณ์ประกอบพิธีกรรมในแต่ละส่วน ซึ่งแสดงถึงส่ิงที่ชาวลาวใช้ในการดาเนิน ชีวติ อาชพี การหาอยู่หากิน เป็นต้น นอกจากน้ียังแสดงให้เหน็ ถงึ มิติด้านการสื่อสารระหว่างคนกับส่ิงเหนือ ธรรมชาติอีกด้วย ผู้วิจัยเห็นว่าการสื่อสารความหมายในพิธีกรรมบูชาผีฟ้ามีเป้าหมาย คือ การแสดงความ กตัญญูรู้คุณต่อเทพยดา เสริมสิริมงคลแก่ชีวิต สร้างขวัญและกาลังใจในการดาเนินชีวิต โดยในภาคปฏิบัติ การของพธิ ีกรรมได้มกี ารผูกโยงเข้ากับอานาจเหนือธรรมชาติ เมอ่ื ปฏบิ ตั ิและเห็นเปน็ ผลซงึ่ การรบั รู้เกิดขึ้น ทั้งจากตนเอง หรือรับรู้จากผลท่ีเกิดข้ึนกับคนอื่นทล่ี ะเลยการเข้าร่วมพิธีกรรม จนเกิดเป็นความเชื่อ ความ ศรัทธาต่อพิธีกรรม ดังท่ีผู้เข้าร่วมพิธีกรรมหลายๆ คนกล่าวถึงผลของการประกอบพิธีกรรมว่าทาให้ตนอยู่ เย็นเป็นสุข สุขภาพแข็งแรงไม่ค่อยเจ็บป่วยรุนแรง ครอบครัวเป็นสุข และการรับรู้ว่าสมาชิกลูกศิษย์ผีฟ้า คนใดทีไ่ ม่มาร่วมประกอบพิธีกรรมในบางปี มักประสบเคราะหก์ รรม การทางานไม่ราบร่นื สุขภาพรา่ งกาย ไม่แข็งแรง เปน็ ต้น นน่ั คอื การรับรูเ้ หลา่ นไี้ ดส้ รา้ งความมัน่ ใจแกส่ มาชิกท่ีเข้าร่วมพิธกี รรม จนเช่ือม่ันในผล ของการปฏิบัติ และหากผู้ให้ความเชื่อมีฐานะเปน็ ผู้นาจะยิ่งปกั ใจเชื่อจนกลายเปน็ ความศรัทธา ยึดม่ัน ถือ มั่น ปักใจเช่ือวา่ ต้องทาเช่นนั้นจงึ จะ “เป็นคุณ” ถ้าปฏิบตั ิหย่อนหรือละเลยก็จะ “เป็นโทษ” ความเชอ่ื จึงมี พลังผลักดันให้ตัดสินใจและกระทาตามท่ีตนเคยศรัทธาเช่ือถือมา เว้นแต่จะมีทางเลือกอื่นที่มั่นใจว่าดีกว่า กล่าวได้วา่ ความเชอ่ื ทงั้ ปวงเกดิ จาก “ความเชอื่ มนั่ ” และ “ความไมเ่ ช่อื มั่น” เปน็ ปัจจยั องค์ควำมรจู้ ำกกำรวิจัย เมื่อศึกษาการส่ือสารที่เกิดขึ้นในในพิธีกรรมราผีฟ้า พบว่ามีการส่ือสารความหมายผ่าน องคป์ ระกอบของพิธกี รรม ไดแ้ ก่ 1) การสือ่ สารความหมายผ่านการแตง่ หน้าและการแตง่ กาย ผรู้ ว่ มพธิ ใี ช้การแตง่ หนา้ และ เครอ่ื งประดับตกแตง่ ร่างกายที่แตกต่างกัน สื่อสารความหมายถงึ เพศของผีฟา้ ทีม่ าสถิต โดยผฟี า้ เพศหญงิ จะ มกี ารแตง่ หน้า ใสเ่ ครือ่ งประดบั ส่วนผฟี า้ เพศชายจะหม่ ผา้ ขาวมา้ 2) การสอื่ สารความหมายผ่านอปุ กรณป์ ระกอบพิธีกรรม ได้แก่ การตกแต่งสถานท่ี ซง่ึ ส่อื ความ หมายถึงความเช่ือว่าผฟี า้ เปน็ เทพ อาศยั อยใู่ นสวรรค์ มีบรวิ าร แสดงถงึ ความศรัทธา การเคารพบูชา และ การส่อื ความหมายผา่ นเครอ่ื งคาย (อปุ กรณป์ ระกอบพิธีกรรม) ซ่ึงแสดงถงึ การปรนนบิ ตั ิดูแลผฟี ้าให้มี ความสุข ทง้ั ยังสอ่ื ถึงเพศ วยั และลกั ษณะนิสยั ของผฟี ้า 3) การส่ือสารความหมายผา่ นทา่ ทางการรา บง่ บอกถึงบคุ ลกิ ภาพและบทบาทของผฟี ้า ซง่ึ ท่าราน้ี จะไมม่ ีรูปแบบตายตวั
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294