การพฒั นาหลกั สตู รการฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ปรญิ ญานิพนธ์ ของ เรวตั ร มสี ถติ ย์เสนอต่อบณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ เพอ่ื เป็นสว่ นหน่ึงของการศกึ ษา ตามหลกั สตู รปรญิ ญาการศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าอุตสาหกรรมศกึ ษา พฤษภาคม 2549
การพฒั นาหลกั สตู รการฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ บทคดั ยอ่ ของ เรวตั ร มสี ถติ ย์เสนอตอ่ บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ เพอ่ื เป็นสว่ นหน่ึงของการศกึ ษา ตามหลกั สตู รปรญิ ญาการศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าอุตสาหกรรมศกึ ษา พฤษภาคม 2549
เรวตั ร มสี ถติ ย.์ (2549) การพฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและการสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีด พลาสตกิ . ปรญิ ญานิพนธ์ กศ.ม. (อุตสาหกรรมศกึ ษา). กรุงเทพฯ : บณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ. คณะกรรมการควบคมุ : อาจารย์ ดร.อุปวทิ ย์ สวุ คนั ธกุล, อาจารยส์ ดุ ใจ เหงา้ สไี พร. ความมงุ่ หมายของการวจิ ยั ครงั้ น้ี เพอื พฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พ์ฉีดพลาสตกิ ผวู้ จิ ยั ไดพ้ ฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ โดยมขี นั้ ตอนการพฒั นาดงั น้ี วเิ คราะหภ์ าระงาน ความรู้ และคณุ สมบตั ขิ องบคุ ลากรดา้ นแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิกาํ หนดวตั ถุประสงคแ์ ละขอบเขตเน้ือหาในหลกั สตู รฝึกอบรม กาํ หนดโครงสรา้ งหลกั สตู รฝึกอบรมกาํ หนดรปู แบบการฝึกอบรม ออกแบบการฝึกอบรมการออกแบบ ตรวจสอบหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ ดาํ เนินการฝึกอบรมโดยในเน้ือหาของหลกั สตู รฝึกอบรมประกอบดว้ ย 2 สว่ นคอื สว่ นที 1 พลาสตกิ และเครอื งฉีด สว่ นที 2 การออกแบบแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิและการตรวจสอบแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ผวู้ จิ ยั ไดส้ รา้ งแบบทดสอบความรคู้ วามเขา้ ใจเพอื ทดสอบในระหว่างการฝึกอบรม รวมแบบทดสอบทงั้ หมด 2 สว่ น มจี าํ นวนขอ้ 26 ขอ้ โดยแต่ละขอ้ มี 4 ตวั เลอื กและสรา้ งแบบทดสอบความรทู้ ดสอบภายหลงั เสรจ็ สน้ิ การฝึกอบรมโดยแบบทดสอบทสี รา้ งเป็นชนิดเลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก จาํ นวน 26 ขอ้ ครอบคลุมเน้ือหาทงั้ 2 สว่ น ผวู้ จิ ยั ไดน้ ําหลกั สตู รฝึกอบรมทีพฒั นาขน้ึ ไปทดลองฝึกอบรมกบั ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมจาํ นวน 24 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ ประสทิ ธภิ าพของหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ในดา้ นความรคู้ วามเขา้ ใจมปี ระสทิ ธภิ าพ 82.37/85.79 สงู กวา่ เกณฑท์ ตี งั้ ไว้ แสดงวา่หลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ ทผี วู้ จิ ยั ไดพ้ ฒั นาขน้ึ มปี ระสทิ ธภิ าพโดยในดา้ นความรคู้ วามเขา้ ใจในระหวา่ งฝึกอบรมจบในแต่ละสว่ นไดด้ งั น้ี คอื สว่ นที 1 พลาสตกิ และเครอื งฉีด ไดค้ า่ ประสทิ ธภิ าพเท่ากบั 82.37 ในสว่ นที 2 การออกแบบแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ และการตรวจสอบแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ไดค้ า่ ประสทิ ธภิ าพ 85.79 ดงั นนั้ จงึ สรปุ ไดว้ า่ หลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ทผี วู้ จิ ยั ได้พฒั นาขน้ึ มปี ระสทิ ธภิ าพและสามารถนําไปใชฝ้ ึกอบรมกบั ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมใหผ้ เู้ ขา้ ฝึกอบรมมีความรคู้ วามเขา้ ใจไดม้ ากขน้ึ ในการออกแบบและการสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ
THE CURRICULUM DEVELOPMENT AND TRAINING ON PLASTIC INJECTION MOLDING DESIGN AN ABSTRACT BY REWAT MEESATITPresented in partial fulfillment of the requirements for the Master of Education degree in Industrial Educational at Srinakharinwirot University May 2006
Rewat Meesatit. (2006). The Curriculum Development and Training on Plastic Injection Molding Design. Master thesis, M.Ed. (Industrial Education) Bangkok: Graduate School, Srinakharinwirot University. Advisor Committee: Dr. Upawit Suwakantagul, Mr. Soodchai Ngaosiprai. The purposes of this research were to develop the curriculum on design andconstruction of plastic injection mold. The researcher developed a curriculum on design and construction of plastic injectionmold. The seven developing steps were: to analyze task knowledge skill and qualificationof personnel who took responsibilities in molding, to set up the objectives of the trainingcurriculum, to design training curriculum of mold designing, to set up the curriculum forms,to design the training curriculum of designing, to check the training curriculum on designand construction of plastic injection mold, to carry on this training. The content of thetraining curriculum on design and construction of plastic injection mold consisted of 2 partswere: part one is plastic and injection and part two is the designing of plastic injection moldand checking of this instrument. The researcher constructed the test for during training inorder to evaluate the achievement of knowledge and operating skill. There were 26 of 4choices objective test to evaluate the achievement of training. This test was carried outwith 24 trainees. The results of the research show that the efficiency of training curriculum on designand construction of plastic injection mold in terms of comprehension and operating skill was82.37/85.79, higher than the criteria that were set up. This indicated that the trainingcurriculum of designing and constructing plastic injection molding was high efficiency asfollows: part one the efficiency value of plastic and injection was 82.37 and in part two, theefficiency of the design of plastic injection mold and checking was 85.79. The developing efficiency of both part two from the transitional behavior activities testand post test of training curriculum on design and construction of plastic injection mold canbe used to train the trainees so that the can improve their ability in design and constructionplastic injection mold.
การพฒั นาหลกั สตู รการฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ปรญิ ญานิพนธ์ ของ เรวตั ร มสี ถติ ย์เสนอต่อบณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ เพอ่ื เป็นสว่ นหน่ึงของการศกึ ษา ตามหลกั สตู รปรญิ ญาการศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าอุตสาหกรรมศกึ ษา พฤษภาคม 2549 ลขิ สทิ ธเิ ป็นของ มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ
ปรญิ ญานิพนธ์ เรอ่ื ง การพฒั นาหลกั สตู รการฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ ของ เรวตั ร มสี ถติ ย์ ไดร้ บั อนุมตั จิ ากบณั ฑติ วทิ ยาลยั ใหน้ บั เป็นสว่ นหน่ึงของการศกึ ษาตามหลกั สตู ร ปรญิ ญาการศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าอุตสาหกรรมศกึ ษา ของมหาวทิ ยาลยั ศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ .....................................................................................คณบดบี ณั ฑติ วทิ ยาลยั (ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.เพญ็ สริ ิ จรี ะเดชากุล) วนั ท.่ี .........เดอื น....................พ.ศ.2549....................................................................................................ประธานควบคมุ ปรญิ ญานิพนธ์ (อาจารย์ ดร.อุปวทิ ย์ สวุ คนั ธกุล)...................................................................................................กรรมการควบคมุ ปรญิ ญานิพนธ์ (อาจารยส์ ดุ ใจ เหงา้ สไี พร).......... ..........................................................................................กรรมการทแ่ี ตง่ ตงั้ เพม่ิ เตมิ (อาจารย์ ดร.ไพรชั วงศย์ ทุ ธไกร). ..........................................................................................กรรมการทแ่ี ตง่ ตงั้ เพมิ่ เตมิ (อาจารยโ์ อภาส สขุ หวาน)...........
ประกาศคณุ ูปการ ปรญิ ญานิพนธฉ์ บบั น้ีสาํ เรจ็ ลุลว่ งลงไดด้ ว้ ยความกรุณาจากทา่ นผทู้ รงคณุ วฒุ หิ ลายท่านอาจารยด์ ร.อุปวทิ ย์ สวุ คนั ธกุล ประธานกรรมการควบคุมปรญิ ญานิพนธ์ อาจารยส์ ดุ ใจ เหงา้ สไี พรกรรมการ ทไ่ี ดก้ รุณาใหค้ าํ ปรกึ ษาและแนวทางในการคน้ ควา้ แหลง่ ขอ้ มลู ตลอดจนการปรบั ปรงุ แกไ้ ขรปู แบบของปรญิ ญานิพนธใ์ หม้ คี วามสมบรู ณ์ยงิ่ ขน้ึ ขอขอบพระคณุ อาจารย์ ดร.ไพรชั วงศย์ ทุ ธไกร อาจารยโ์ อภาส สขุ หวาน คณะกรรมการสอบปรญิ ญานิพนธ์ ทไ่ี ดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะในการปรบั ปรงุ ปรญิ ญานิพนธฉ์ บบั น้ีใหส้ มบรู ณ์ ขอขอบพระคณุ ผอู้ าํ นวยการวทิ ยาลยั เทคนิคอา่ งทอง อาจารยป์ ระทปี ฟองเพชร อาจารย์วเิ ชยี ร ดฉี าย ทอ่ี นุญาตใหใ้ ชส้ ถานทใ่ี นการเกบ็ ขอ้ มลู ขอขอบพระคุณ อาจารย์ ดร.ชนะ รกั ษศ์ ริ ิ อาจารยส์ มปอง อนิ ทอง อาจารยอ์ นุศกั ดิ กาญจนีอาจารยป์ ระทปี ฟองเพชร อาจารยว์ เิ ชยี ร ดฉี าย ทใ่ี หค้ วามกรณุ าเป็นผเู้ ชย่ี วชาญตรวจแบบประเมนิ หลกั สตู รและแบบทดสอบวดั ประสทิ ธภิ าพหลกั สตู รฝึกอบรม ทช่ี ่วยแกไ้ ขและแนะนําเน้ือหาหลกั สตู รใหม้ คี วามสมบรู ณ์สง่ ผลใหก้ ารวจิ ยั ครงั้ น้ีสาํ เรจ็ ลุลว่ งไปดว้ ยดี สดุ ทา้ ยน้ีขอขอบพระคณุ บดิ ามารดา ทเ่ี ป็นผกู้ ระตุน้ และใหก้ าํ ลงั ใจ และเพอ่ื นๆ ทุกคนทใ่ี ห้กาํ ลงั ใจและคอยสนบั สนุนใหก้ ารวจิ ยั ครงั้ น้ีประสบผลสาํ เรจ็ เรวตั ร มสี ถติ ย์
สารบญับทที่ หน้า 1 บทนํา………………………………………………...………………………………..........1 ภมู หิ ลงั .................................................................................................................... 1 ความมงุ่ หมายของการวจิ ยั ....................................................................................... 2 ความสาํ คญั ของการวจิ ยั ........................................................................................... 3 ขอบเขตของการวจิ ยั ................................................................................................ 3 ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง……………............................................................. 3 หลกั สตู รการฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ...................... 3 ตวั แปรทศ่ี กึ ษา…………………………………………...…..………………….….……. 4 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ………………………………..………………….……….….............. 4 กรอบแนวคดิ ในการคนั ควา้ …………………………………………………...................5 สมมตฐิ านของการศกึ ษาคน้ ควา้ …………………………....…………………...............5 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง................................................................................6 การพฒั นาหลกั สตู รการฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ ...............6 การพฒั นาหลกั สตู ร......................................................................................... 6 หลกั สตู รการฝึกอบรม.................................................................................... 12 ความหมายของการฝึกอบรม.......................................................................... 12 วตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรม........................................................................ 13 ความสาํ คญั และประโยชน์ของการฝึกอบรม.....................................................15 ประเภทของการฝึกอบรม............................................................................... 17 เทคนิคการฝึกอบรม.......................................................................................19 การศกึ ษาความตอ้ งการจาํ เป็นในการฝึกอบรม............................................... 24 กระบวนการในการฝึกอบรม........................................................................... 25 การดาํ เนินการฝึกอบรม................................................................................. 26 การประเมนิ และตดิ ตามผลการฝึกอบรม......................................................... 28 พลาสตกิ ................................................................................................................ 31 ความรเู้ บอ้ื งตน้ งานฉีดพลาสตกิ ......................................................................31 ประวตั คิ วามเป็นมาของพลาสตกิ ....................................................................32 กระบวนการฉีดพลาสตกิ (The injection Molding Process)........................... 33
สารบญั (ต่อ)บทที่ หน้า 2 (ต่อ) การฉีดพลาสตกิ ............................................................................................ 35 เครอ่ื งฉีดพลาสตกิ (Injection Moulding Machine)......................................... 38 รปู แบบการไหลในขณะฉดี ............................................................................. 45 ความเคน้ เฉือนจากการไหล (Flow Shear Stress)....…………….................... 46 ชว่ งเพมิ่ แรงดนั (The pressurization Phase)....……………........................... 48 ชว่ งฉดี ชดเชย (The Compensating Phase)....……………............................ 48 ผลของสภาพการฉีดพลาสตกิ (Effect of Molding Condition)....…….............. 48 อุณหภมู แิ มพ่ มิ พ์ (Mold Temperature)………………………………………….48 เวลาทใ่ี ชใ้ นการฉีด (Fill Time)....................................................................... 50 แปรเปลย่ี นความเคน้ (Stress Varies)............................................................ 51 การรกั ษาแรงดนั ตามและชว่ งเวลาทใ่ี หแ้ รงดนั .................................................51 การไหลกลบั (Back Flow)............................................................................. 52 แมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ............................................................................................... 53 แมพ่ มิ พช์ นิดต่างๆ (Type of Moulds)............................................................ 53 แมพ่ มิ พส์ องแผน่ (Two Plate Mould)............................................................ 53 แมพ่ มิ พส์ ามแผน่ (Three Plate Mould)......................................................... 53 แมพ่ มิ พแ์ บบแยก (Split Mould)..................................................................... 55 การออกแบบแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ ........................................................................... 55 หวั ขอ้ วเิ คราะหท์ ส่ี าํ คญั ในการออกแบบแมพ่ มิ พ.์ ..……………………………… 55 ขนั้ ตอนการออกแบบแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ .......................................................72 การตรวจสอบแมพ่ มิ พ.์ ...................................................................................89 ประสทิ ธภิ าพของหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ ........ 94 การกาํ หนดเกณฑป์ ระสทิ ธภิ าพการพฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ ง แมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ...................................................................................... 94 การวดั ผล...................................................................................................... 96 การประเมนิ ผล.............................................................................................. 97 พฤตกิ รรมทางการศกึ ษา................................................................................ 98 แบบทดสอบ.................................................................................................. 99
สารบญั (ต่อ)บทที่ หน้า 2 (ต่อ) การวเิ คราะหข์ อ้ สอบ.................................................................................... 102 งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง...............................................................................................103 งานวจิ ยั ภายในประเทศ................................................................................103 งานวจิ ยั ต่างประเทศ.....................................................................................105 3 วิธีดาํ เนินการวิจยั ................................................................................................. 107 การพฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ……......... 107 ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง.................................................................................... 111 ประชากร..................................................................................................... 111 กลุม่ ตวั อยา่ ง................................................................................................111 เครอ่ื งมอื ในการรวบรวมขอ้ มลู ...............................................................................111 การดาํ เนินการฝึกอบรม........................................................................................ 113 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ............................................................................................... 114 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ...........................................................................................124 การพฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ………….. 124 การศกึ ษาประสทิ ธภิ าพของพฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ ง แมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ .......................................................................................125 5 สรปุ อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.......................................................................132 ความมงุ่ หมายของการวจิ ยั ....................................................................................132 สมมตฐิ านของการวจิ ยั ..........................................................................................132 วธิ ดี าํ เนินการวจิ ยั ................................................................................................. 132 สรปุ ผลการวจิ ยั .................................................................................................... 133 การอภปิ รายผล.................................................................................................... 134 ขอ้ เสนอแนะ......................................................................................................... 135 ขอ้ เสนอแนะสาํ หรบั การวจิ ยั ครงั้ ตอ่ ไป................................................................... 136
สารบญั (ต่อ)บทที่ หน้า บรรณานุกรม............................................................................................................137 ภาคผนวก................................................................................................................. 140 ภาคผนวก ก แมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ........................................................................ 140 ภาคผนวก ข แบบประเมนิ ความเทย่ี งตรงดา้ นเน้ือหาของเครอ่ื งมอื วจิ ยั …………....279 ภาคผนวก ค เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ในการวจิ ยั ……………………….. 290 ภาคผนวก ง ขอ้ มลู การวจิ ยั .................................................................................. 312 รายชอ่ื ผเู้ ชย่ี วชาญ................................................................................................ 316 ประวตั ิย่อผวู้ ิจยั ........................................................................................................ 317
บญั ชีตารางตาราง หน้า 1 แนะนําขนาดของ Sprue gate ซง่ึ จะตอ้ งเลอื กใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ขนาดชน้ิ งาน…….….. 81 2 แนะนําการใชข้ นาดรนั เนอรแ์ ละขนาดของเกจ.............................................................81 3 แนะนําการใชข้ นาดรนั เนอรก์ บั พลาสตกิ ชนิดต่างๆ..................................................... 84 4 การออกแบบระบบหลอ่ เยน็ ในแมพ่ มิ พ…์ ………….…………………………….............86 5 การบาํ รงุ รกั ษาแมพ่ มิ พท์ เ่ี ทย่ี งตรงสงู ..........................................................................93 6 แผนการสอนหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ................ 110 7 ผลวเิ คราะหค์ า่ ความเชอ่ื มนั่ ของแบบทดสอบในดา้ นพลาสตกิ และการออกแบบ แมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ระหวา่ งฝึกอบรมและหลงั ฝึกอบรมในขนั้ ตอนการ Try out.....117 8 แสดงคา่ อาํ นาจจาํ แนก (r) และคา่ ความยากงา่ ย (P) ของแบบทดสอบระหวา่ ง ฝึกอบรมในสว่ นท่ี 1 เรอ่ื งพน้ื ฐานดา้ นพลาสตกิ ทท่ี ดสอบกบั ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม จาํ นวน 12 คน...................................................................................................119 9 แสดงคา่ อาํ นาจจาํ แนก (r) และคา่ ความยากงา่ ย (P) ของแบบทดสอบระหวา่ ง ฝึกอบรมในสว่ นท่ี 2 เรอ่ื งการออกแบบแมพ่ มิ พท์ ท่ี ดสอบกบั ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม จาํ นวน 12 คน...................................................................................................120 10 แสดงคา่ อํานาจจาํ แนก (r) และคา่ ความยากงา่ ย (P) ของแบบทดสอบหลงั ฝึกอบรมในสว่ นท่ี 1 เรอ่ื งพน้ื ฐานดา้ นพลาสตกิ ทท่ี ดสอบกบั ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม จาํ นวน 12 คน...................................................................................................121 11 แสดงคา่ อาํ นาจจาํ แนก (r) และคา่ ความยากงา่ ย (P) ของแบบทดสอบหลงั ฝึกอบรมในสว่ นท่ี 2 เรอ่ื งการออกแบบแมพ่ มิ พท์ ท่ี ดสอบกบั ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม จาํ นวน 12 คน...................................................................................................122 12 ผลการประเมนิ ความเทย่ี งตรงดา้ นเน้ือหาในเอกสารหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบ และสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ............................................................................ 123 13 คะแนนรวม คะแนนเฉลย่ี คา่ ความเบย่ี งเบนมาตรฐาน คา่ ประสทิ ธภิ าพและระดบั ความรใู้ นการฝึกอบรมตามหลกั สตู รฝึกอบรม ในสว่ นท่ี 1 ระหว่างฝึกอบรม เรอ่ื ง พน้ื ฐานพลาสตกิ ................................................................................................129 14 คะแนนรวม คะแนนเฉลย่ี คา่ ความเบย่ี งเบนมาตรฐาน คา่ ประสทิ ธภิ าพและระดบั ความรใู้ นการฝึกอบรมตามหลกั สตู รฝึกอบรม ในสว่ นท่ี 2 ระหวา่ งฝึกอบรม เรอ่ื ง การออกแบบแมพ่ มิ พ.์ ........................................................................................129
บญั ชีตาราง (ต่อ)ตาราง หน้า 15 คะแนนรวม คะแนนเฉลย่ี คา่ ความเบย่ี งเบนมาตรฐาน คา่ ประสทิ ธภิ าพและระดบั ความรใู้ นการฝึกอบรมตามหลกั สตู รฝึกอบรม ในสว่ นท่ี 1 หลงั ฝึกอบรม เรอ่ื ง พน้ื ฐานพลาสตกิ ................................................................................................129 16 คะแนนรวม คะแนนเฉลย่ี คา่ ความเบย่ี งเบนมาตรฐาน คา่ ประสทิ ธภิ าพและระดบั ความรใู้ นการฝึกอบรมตามหลกั สตู รฝึกอบรม ในสว่ นท่ี 2 หลงั ฝึกอบรม เรอ่ื ง การออกแบบแมพ่ มิ พ.์ ........................................................................................130 17 คะแนนรวม คะแนนเฉลย่ี คา่ ความเบย่ี งเบนมาตรฐาน และระดบั ความรู้ การฝึก อบรมตามหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ คา่ ประสทิ ธภิ าพในระหวา่ งฝึกอบรมจบในแต่ละสว่ น (E1) และคา่ ประสทิ ธภิ าพหลงั เสรจ็ สน้ิ การฝึกอบรม (E2)..................................................................................130
บญั ชีภาพประกอบภาพประกอบ หน้า 1 รปู แบบการพฒั นาหลกั สตู รและการสอนแบบบนั ไดเวยี น (The curriculum development spiral in system model).................................................................. 7 2 แผนภมู แิ สดงลาํ ดบั ขนั้ ตอนการพฒั นาหลกั สตู รและการสอนแบบระบบ..........................8 3 ขนั้ ตอนการฉดี พลาสตกิ ดว้ ยเครอ่ื งฉดี พลาสตกิ แบบเกลยี วอดั ....................................33 4 สว่ นประกอบของชน้ิ สว่ นแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ .............................................................35 5 การทาํ งานของ Injection pressing………………………………………………………. 36 6 เครอ่ื งฉีดพลาสตกิ ชนิดเทอรโ์ มพลาสตกิ โฟม ปรมิ าตรชว่ งชกั 19,000 ลกู บาศกเ์ ซนตเิ มตร..............................................................................................37 7 เครอ่ื งฉีดพลาสตกิ ชนิดลกู สบู ..................................................................................... 39 8 บรเิ วณกระบอกหลอมพลาสตกิ ทเ่ี ป็นซห่ี รอื หลายครบี พรอ้ มดว้ ยตอรป์ ิโด.....................40 9 โครงสรา้ งและการทาํ งานของเครอ่ื งฉดี แบบเกลยี วอดั ................................................. 4110 วาลว์ ป้องกนั การไหลกลบั ในเครอ่ื งฉดี แบบเกลยี ว........................................................4211 เครอ่ื งฉดี พลาสตกิ ในยคุ ปจั จบุ นั ..................................................................................4212 การไหลของพลาสตกิ ………………………………………………………………………4513 สภาพการไหลของพลาสตกิ ………………………………………………………………. 4614 อตั ราเฉอื นของน้ําพลาสตกิ (Shear Rate)………………………………………………..4715 ความเคน้ เฉือน…………………………………………………………………………….. 4716 การชดเชยการหดตวั (ภาพตดั ขวาง)…………………………………..………………… 4817 การชดเชยการหดตวั ……………………………………………………………………… 4918 อุณหภมู ใิ นระบบหล่อเยน็ …………………………………………………………………. 5019 ความเคน้ ในระบบหล่อเยน็ ……..…………………………………………………………. 5020 การรกั ษาแรงดนั ….……………………………………………………………………….. 5121 สภาพความเคน้ ชน้ิ งานพลาสตกิ …………………………………………………………..5222 สภาพการไหลกลบั …………………………………………………………………………5223 การปลดชน้ิ งานแมพ่ มิ พส์ ามแผน่ ……………………………………………………….... 5424 เกดิ Short shot บนชน้ิ งาน…………….…………………………………………………. 5725 ครบี แลบ…………………………………………………………………………………….5826 Weld line………………………………………………………………………………...... 6027 Shrink mark………………………………………………………………………………..61
บญั ชีภาพประกอบ (ต่อ)ภาพประกอบ หน้า28 Flow mark………………………………………………………………………………….6329 Jetting………………………………………………………………………………………6430 แผนภมู แิ สดงขนั้ ตอนการออกแบบแมพ่ มิ พ…์ …………………………………………… 7131 แบบชน้ิ งานทจ่ี ะผลติ ...............................................................................……………. 7432 การแบง่ สว่ นเพอ่ื หาปรมิ าตร............……………………………………………………... 7533 ตาํ แหน่งของคาวติ ้ี ในแมพ่ มิ พม์ าตรฐานขนาด 546 x 546 มม………………………….7734 ความหนาสว่ นต่างๆ ของแมพ่ มิ พ…์ ……………………………………………………... 7835 แสดงขนาดรนั เนอร…์ ……………………………………………………………………...8336 ระบบหลอ่ เยน็ รปู วงกลมรอ่ งวงกลมทม่ี จี ดุ ศูนยก์ ลางรว่ มกนั …………………………..... 8837 ระบบหลอ่ เยน็ รปู วงกลมรอ่ งขดเป็นวง………………………………………………….... 8838 ระบบหลอ่ เยน็ เป็นรปู ขดสาํ หรบั ชน้ิ งานเหลย่ี ม…………………………………………...8839 ระบบหลอ่ เยน็ สาํ หรบั ชน้ิ งานรปู เหลย่ี มทเ่ี กทเขา้ ศูนยก์ ลาง.......................................... 88
1บทท่ี 1บทนําภมู ิหลงั การพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมของประเทศใหเ้ จรญิ กา้ วหน้าไดน้ นั้ จาํ เป็นตอ้ งมกี ารพฒั นามนุษยค์ วบคกู่ บั การเปลย่ี นแปลงเทคโนโลยที น่ี ํามาใชใ้ นการผลติ เพอ่ื ก่อใหเ้ กดิ ผลผลติ สงู สดุ การพฒั นาทรพั ยากรมนุษยน์ บั เป็นปจั จยั สาํ คญั ประการหน่ึงในการพฒั นาประเทศจากแนวคดิ และทศิทางการพฒั นาประเทศในชว่ งแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ ไดม้ ุง่ เน้นการพฒั นาคนเป็นจุดมุง่ หมายหลกั ของการพฒั นาประเทศ (สาํ นกั คณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาต.ิ2538 : 15) เพราะสงั คมปจั จุบนั เขา้ สยู่ คุ ของภาคอุตสาหกรรม ขบวนการในการผลติ ในภาคอตุ สาหกรรมเขา้ มามบี ทบาทในการพฒั นาประเทศ ในสภาพปจั จบุ นั การแขง่ ขนั กนั ระหวา่ งในประเทศเองและภายนอกประเทศเทคโนโลยที ม่ี กี ารเปลย่ี นแปลงตลอดเวลา การพฒั นาคนใหท้ นั กบัความเปลย่ี นแปลงจงึ จดั วา่ มคี วามสาํ คญั การพฒั นาคณุ ภาพคนไทยใหม้ คี วามรู้ ความสามารถ มีความคดิ รเิ รม่ิ เพอ่ื เพมิ่ ความสามารถในการผลติ แมพ่ มิ พท์ ม่ี คี ุณภาพ ใหท้ ดั เทยี มกบั ประเทศทป่ี ระสบผลสาํ เรจ็ เชน่ ญป่ี ุน่ เกาหลี มาเลเซยี ดงั นนั้ การพฒั นาหลกั สตู ร ฝึกอบรมการผลติ แมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ เพอ่ื ใหบ้ ุคลากรดา้ นแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจใหส้ ามารถนําไปประกอบอาชพี ไดเ้ ป็นการเพมิ่ ศกั ยภาพของผทู้ ผ่ี า่ นการฝึกอบรม ในภาคอุตสาหกรรมธุรกจิ ดา้ นพลาสตกิ ได้เขา้ มามบี ทบาทโดยเฉพาะธุรกจิ ยานยนต์ซง่ึ สถาบนั ยานยนตไ์ ดเ้ สนอขอ้ มลู การขยายตวั ของธุรกจิยานยนตจ์ ากปีพ.ศ.2539 ทมี กี ารผลติ รถยนตล์ ดลงเหลอื เพยี ง 160,000 คนั ต่อปีในปี พ.ศ. 2545 ได้มกี ารขยายตวั จนมาถงึ ปจั จุบนั การผลติ รถยนตเ์ พมิ่ ขน้ึ 600,000 คนั ตอ่ ปี ซง่ึ ชน้ิ สว่ นหลกั ทาํ มาจากพลาสตกิ และธุรกจิ ดา้ นการสอ่ื สารกเ็ ชน่ กนั พลาสตกิ เขา้ ไปมบี ทบาทในธุรกจิ การพฒั นาของธรุ กจิพลาสตกิ ไดม้ กี ารพฒั นาอยา่ งตอ่ เน่ืองเพอ่ื ใหร้ องรบั กบั การขยายตวั อยา่ งต่อเน่ือง การขยายตวั ของธุรกจิ ดา้ นพลาสตกิ เป็นการขยายตวั และควบคกู่ บั การพฒั นาชนดิ เมด็ พลาสตกิ เพอ่ื ใหม้ คี วามสอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการในภาคอุตสาหกรรมอยา่ งแทจ้ รงิ จากการขยายตวั ของธุรกจิ ดา้ นพลาสตกิ ทาํ ใหธ้ ุรกจิ การผลติ แมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ มกี ารขยายตวั อยา่ งตอ่ เน่ืองจากการขยายตวั ของธุรกจิ การทาํ แมพ่ มิ พฉ์ ีด ทาํ ใหเ้ กดิ ความตอ้ งการทจ่ี ะพฒั นาระบบในการผลติ ทด่ี กี วา่ มคี วามผดิ พลาดน้อยลงเพราะปจั จุบนั การผลติ แมพ่ มิ พไ์ มไ่ ดเ้ จาะจงทาํ ในธุรกจิ ใดธุรกจิ หน่งึ เพยี งอยา่ งเดยี วในระบการผลติ แมพ่ มิ พส์ ามารถเขา้ ไปรองรบั กบั ผลติ ภณั ฑ์แตล่ ะผลติ ภณั ฑไ์ ด้ ธุรกจิ การผลติ แมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ เป็นธุรกจิ ทต่ี อ้ งควบคไู่ ปกบั ธุรกจิ อ่นื การขยายตวั ของธุรกจิ น้ีจงึ มกี ารเปลย่ี นแปลงดงั นนั้ ผปู้ ระกอบการทม่ี คี วามพรอ้ มจงึ สามารถไดเ้ ปรยี บการผลติ แมพ่ มิ พฉ์ ีด การพฒั นาคนโดยการฝึกอบรม เป็นวธิ กี ารหน่ึงทจ่ี ะชว่ ยป้องกนั การทาํ งานผดิ พลาดทาํ ให้บุคลากรมคี วามมนั่ ใจในการทาํ งาน ไดถ้ กู วธิ ชี ่วยใหค้ ณุ ภาพของงานออกมคี ุณภาพ และตรงกบั
2ความตอ้ งการของลกู คา้ ดงั นนั้ ผอู้ อกแบบแมพ่ มิ พ์ ช่างทาํ แมพ่ มิ พแ์ ละชา่ งฉดี พลาสตกิ จงึ มีความสาํ คญั ตอ่ งานทต่ี นรบั ผดิ ชอบการออกแบบแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ทด่ี ยี งั ชว่ ยในการลดตน้ ทนุ การผลติ ดว้ ยการออกแบบแมพ่ มิ พจ์ งึ ตอ้ งมคี วามสอดคลอ้ งกบั กรรมวธิ กี ารผลติ แมพ่ มิ พด์ ว้ ยเพราะการออกแบบแมพ่ มิ พท์ ด่ี สี ามารถทาํ ใหไ้ ดช้ น้ิ งานทด่ี แี ลว้ ยงั ชว่ ยใหช้ า่ งฉดี พลาสตกิ สามารถทาํ การปรบัคา่ ไดง้ า่ ยขน้ึ ลดเวลาในการปรบั แต่งคา่ ไดร้ วดเรว็ หากการออกแบบแมพ่ มิ พเ์ กดิ ขอ้ บกพรอ่ งจากการออกแบบจะทาํ ใหส้ ญู เสยี ทงั้ เวลาและวตั ถุดบิ ดงั้ นนั้ เมอ่ื ผอู้ อกแบบออกแบบไดแ้ มพ่ มิ พท์ ม่ี คี ณุ ภาพงานทผ่ี ลติ ออกมาไดง้ านทด่ี ยี อ่ มทาํ ใหพ้ นกั งานมที ศั นคตทิ ด่ี ตี ่อองคก์ ร การออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ จาํ เป็นตอ้ งมสี อดคลอ้ งกบั การเจรญิ เตบิ โตของธุรกจิ ดา้ นพลาสตกิ เพอ่ื ให้หลกั สตู รทพ่ี ฒั นาขน้ึ ใหม่ เมอ่ื ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม ไดผ้ า่ นการอบรมแลว้ สามารถทจ่ี ะนําไปใชใ้ นการปฏบิ ตั งิ าน หลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ เน้ือหาดา้ นทฤษฎเี พอ่ื ให้ผอู้ อกแบบไดเ้ ขา้ ใจหลกั การออกแบบทถ่ี กู ตอ้ งและขอ้ ผดิ พลาดทอ่ี าจจะเกดิ จากการออกแบบ การพฒั นาหลกั สตู รการออกแบบและการออกแบบการสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ เพอ่ื เขา้ มารองรบั กบัการขยายตวั ทเ่ี พม่ิ ขน้ึ เพอ่ื ใหห้ ลกั สตู รทไ่ี ดพ้ ฒั นาขน้ึ รองรบั กบั ความตอ้ งการของโรงงานผลติแมพ่ มิ พข์ นาดเลก็ และขนาดกลางเพอ่ื ชว่ ยสรา้ งชา่ งทาํ แมพ่ มิ พท์ ม่ี คี วามรทู้ ถ่ี กู ตอ้ งการผลติ แมพ่ มิ พ์ทม่ี คี ณุ ภาพ สามารถแขง่ ขนั ในการผลติ จากการพฒั นาหลกั สตู รดงั กลา่ วจะชว่ ยลดการขาดแคลนชา่ งทาํ แมพ่ มิ พจ์ ะทาํ ใหธ้ ุรกจิ แมพ่ มิ พส์ ามารถเจรญิ กา้ วหน้าและธุรกจิ ขนาดเลก็ และขนาดกลางสามราถดาํ เนินธุรกจิ ตอ่ ได้ ควบคกู่ บั การเจรญิ เตบิ โตในธุรกจิ แมพ่ มิ พห์ ลกั สตู รฝึกอบรมทพ่ี ฒั นาขน้ึ มาเป็นหลกั สตู รทเ่ี น้นทางดา้ นทฤษฎี โดยเน้ือหาหลกั สตู รไดเ้ น้นใหผ้ เู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมไดเ้ รยี นรู้หลกั การออกแบบแมพ่ มิ พท์ ถ่ี กู ตอ้ งแยกระยะเวลาทท่ี าํ การฝึกอบรมเป็นชว่ งระยะเวลาทท่ี าํ การฝึกอบรมระยะ 2 วนั โดยหลกั สตู รน้ีผทู้ เ่ี ขา้ รบั การฝึกอบรมก่อนจบหลกั สตู รจะตอ้ งสามารถเขา้ ใจการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ และผา่ นการทดสอบดา้ นทฤษฎี การพฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ ขน้ึ เพอ่ื ให้สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ปจั จบุ นั สถานศกึ ษาหลายแหง่ ไดเ้ ปิดสอนในสาขาแมพ่ มิ พเ์ น่ืองจากความตอ้ งการบคุ ลากรดา้ นแมพ่ มิ พเ์ พม่ิ ขน้ึ จากหลกั สตู รทเ่ี รยี นจงึ ไดพ้ ฒั นาเพอ่ื ใหท้ นั กบั การพฒั นาวธิ กี ารออกแบบ เทคโนโลยแี ละการขยายตวั ของภาคอุตสาหกรรมแมพ่ มิ พ์ นกั ศกึ ษาสาขาแมพ่ มิ พไ์ ดร้ บัการฝึกอบรมในหลกั สตู รทพ่ี ฒั นาขน้ึ ซง่ึ เป็นหลกั สตู รเรง่ รดั การดาํ เนินการฝึกอบรมระยะสนั้ ใหผ้ เู้ ขา้ฝึกอบรมไดร้ บั ความรใู้ หมก่ บั การพฒั นาทางดา้ นอตุ สาหกรรมแมพ่ มิ พ์ความม่งุ หมายของการวิจยั 1. เพอ่ื พฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ สาํ หรบันกั ศกึ ษาสาขาแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ
3 2. เพอ่ื ศกึ ษาประสทิ ธภิ าพของหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ความรใู้ นทฤษฎกี ารออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ ของผทู้ ผ่ี า่ นการฝึกอบรมหลกั สตู รการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิความสาํ คญั ของการวิจยั การศกึ ษาคน้ ควา้ ในครงั้ น้ี เพอ่ื เป็นการแกไ้ ขปญั หาการขาดแคลนชา่ งทาํ แมพ่ มิ พฉ์ ดีพลาสตกิ ทม่ี คี วามชาํ นาญและทาํ งานในพน้ื ฐานของความถกู ตอ้ ง ทนั กบั เทคนิควธิ กี ารใหมๆ่หลกั สตู ร การฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแบบพมิ พฉ์ ดี พลาสตกิ สามารถนําไปใชก้ บั การฝึกอบรมขององคก์ รตอ่ ไป การสรา้ งหลกั สตู รการฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ จากการศกึ ษาคน้ ควา้ ครงั้ น้ี ยงั สามารถหาขอ้ บกพรอ่ งของหลกั สตู ร เพอ่ื ทาํ การปรบั ปรงุแกไ้ ขต่อไปเพอ่ื ใหห้ ลกั สตู รมคี วามสมบรู ณ์ขอบเขตของการวิจยั 1. ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง ประชากรท่ีใช้ในการวิจยั ประชากรเป็นนกั ศกึ ษาระดบั ประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชนั้ สงู1 (ระดบั ปว.ส.1) กาํ ลงั ศกึ ษาในภาคเรยี นท่ี 2 สาขาแมพ่ มิ พ์ วทิ ยาลยั เทคนิคอา่ งทอง จงั หวดัอา่ งทอง จาํ นวน24 คน กล่มุ ตวั อย่างท่ีใช้ในการวิจยั เป็นบุคลากรทเ่ี ขา้ รบั การฝึกอบรมในหลกั สตู รการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ารเลอื กกลมุ่ ตวั อยา่ งคดั เลอื กจากผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมจาํ นวน12 คน ทเ่ี ขา้ รบั การฝึกอบรมในหลกั สตู รการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ จาํ นวน24 คน 2. หลกั สตู รฝึ กอบรมการออกแบบและสร้างแม่พิมพฉ์ ีดพลาสติก เป็นหลกั สตู รท่ีพฒั นาขน้ึ มาเพอ่ื ใหผ้ ทู้ ผ่ี า่ นการฝึกอบรม สามารถนําความรไู้ ปประกอบการออกแบบแมพ่ มิ พฉ์ ดีพลาสตกิ ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งรจู้ กั การแกป้ ญั หา เพอ่ื ใหแ้ มพ่ มิ พท์ ผ่ี ลติ เสรจ็ แลว้ สามารถใชง้ านไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ มเี น้อื หาดงั น้ี 2.1 ความรพู้ น้ื ฐานดา้ นพลาสตกิ 2.2 ความรพู้ น้ื ฐานเครอ่ื งฉดี พลาสตกิ 2.3 แมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ 2.4 การออกแบบแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ 2.5 การตรวจสอบแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ 2.6 การบาํ รงุ รกั ษาแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ
4ตวั แปรท่ีศึกษา ตวั แปรทศ่ี กึ ษา คอื ประสทิ ธผิ ลของหลกั สตู รการออกแบบและการสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ ในดา้ นความรกู้ ารออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกินิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 1. หลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ หมายถงึ กระบวนการสรา้ งหลกั สตู รประกอบดว้ ย วตั ถุประสงค์ ขอบเขตเน้ือหา แผนการสอนและการประเมนิ ผลของของหลกั สตู ร 2. ความรพู้ น้ื ฐานดา้ นพลาสตกิ หมายถงึ ความรดู้ า้ นชนิดพลาสตกิ การเลอื กใชพ้ ลาสตกิและคา่ การหดตวั ตามหลกั วศิ วกรรม 3. ความรเู้ รอ่ื งเครอ่ื งฉดี พลาสตกิ หมายถงึ ความรดู้ า้ นหลกั การ วธิ กี ารใช้ ขอ้ จาํ กดั ของเครอ่ื งฉีดแต่ละประเภท และขอ้ ดี ขอ้ เสยี ของเครอ่ื งฉีดแต่ละชนดิ 4. ความรเู้ รอ่ื งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ หมายถงึ ความรดู้ า้ นการเลอื กประเภทแมพ่ มิ พ์ ระบบของแมพ่ มิ พแ์ ต่ละประเภทใหเ้ หมาะสมตามลกั ษณะของประเภทชน้ิ งาน 5. ความรเู้ รอ่ื งการออกแบบแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ หมายถงึ ความรใู้ นดา้ นต่างๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั กระบวนการออกแบบ หลกั การออกแบบการวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งแมพ่ มิ พ์ การเลอื กวสั ดุการวางระบบแมพ่ มิ พ์ ใหถ้ กู ตอ้ งตามหลกั การออกแบบทด่ี ี 6. ความรเู้ รอ่ื งการตรวจสอบชน้ิ สว่ นแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ หมายถงึ ความรดู้ า้ นการอ่านแบบ สามารถบง่ บอกถงึ ความเสยี หายหรอื ขอ้ ผดิ พลาดตา่ งทอ่ี าจทาํ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายต่อชน้ิ สว่ นแมพ่ มิ พไ์ ดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง 7. ความรเู้ รอ่ื งการตรวจสอบชน้ิ งานทท่ี าํ การฉีดเสรจ็ แลว้ หมายถงึ การตรวจสอบขนาดชน้ิ งาน เมอ่ื ทาํ การผลติ ชน้ิ งานออกมา แลว้ ทาํ การตรวจสอบขนาดตามทแ่ี บบชน้ิ งานกาํ หนดขนาดไดต้ ามทก่ี าํ หนดหรอื ไม่ นําชน้ิ งานมาประกอบตรวจสอบความถูกตอ้ งตามแบบชน้ิ งาน 8. ความรเู้ รอ่ื งการบาํ รงุ รกั ษาแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ หมายถงึ กระบวนการการบาํ รงุ รกั ษาเป็นตามตามระยะเวลาทก่ี าํ หนด หรอื ความถข่ี องการใชแ้ มพ่ มิ พ์ เพอ่ื ใหอ้ ายกุ ารใชง้ านของแมพ่ มิ พ์สามารถผลติ ชน้ิ งานไดต้ ามจาํ นวนทต่ี อ้ งการผลติ 9. ประสทิ ธภิ าพของหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิหมายถงึ ความสามารถของหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ ในการทจ่ี ะถา่ ยทอดเน้ือหาความรใู้ นดา้ นการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ โดยทจ่ี ะทาํ ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมเกดิ การเรยี นรู้ ไดอ้ ยา่ งสมบรู ณ์ และตามเกณฑ์ 80/80โดยมรี ายละเอยี ดดงั น้ี 80 แรก หมายถงึ คะแนนของผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมสามารถตอบคาํ ถามในแบบทดสอบระหว่างฝึกอบรมวดั ความรไู้ ดถ้ กู ตอ้ งเฉลย่ี รอ้ ยละ 80
5 80 หลงั หมายถงึ คะแนนของผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมสามารถตอบคาํ ถามในแบบทดสอบหลงั การฝึกอบรมวดั ความรไู้ ดถ้ ูกตอ้ งเฉลย่ี รอ้ ยละ 80กรอบแนวคิดในการวิจยั การสรา้ งหลกั สตู รฝึก การศกึ ษาประสทิ ธภิ าพของหลกั สตู ร อบรม การออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีด ศกึ ษาความตอ้ งการพฒั นา พลาสตกิ หลกั สตู รฝึกอบรมการสรา้ ง กาํ หนดวตั ถุประสงคแ์ ละ ขอบเขตเน้ือหาของหลกั สตู ร ความรู้ ในดา้ นการออกแบบและ แมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ สรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ 1. ความตอ้ งการของหน่วยงาน กาํ หนดอุปกรณ์ในการฝึก อบรม 2. ความตอ้ งการของบุคลากร กาํ หนดระยะเวลาการฝึก อบรม ดา้ นแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ การจดั ทาํ หลกั สตู ร 1. ศกึ ษาการจดั ทาํ หลกั สตู ร 2. การวเิ คราะหป์ ญั หาผเู้ ชย่ี วชาญตรวจสอบเน้อื หา ผเู้ ชย่ี วชาญวเิ คราะหแ์ ผน ปรบั ปรุงแกไ้ ข หลกั สตู รฝึกอบรมสมมติฐานในการวิจยั หลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ จะมปี ระสทิ ธภิ าพไมต่ ่าํ กว่เกณฑ์ 80/80
6 บทท่ี 2เอกสารและงานวิจยั ที่เก่ียวข้อง การวจิ ยั ครงั้ น้ีเป็นการพฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิโดยศกึ ษาจากเอกสารงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งและสอบถามความตอ้ งการของหน่วยงานทจ่ี ะพฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรม เพอ่ื ใหเ้ ป็นไปตามความตอ้ งการของบคุ ลากรดา้ นแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ ในบทน้ีได้นําเสนอเอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ งดงั น้ี 1. การพฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ 2. พลาสตกิ 3. แมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ 4. การออกแบบแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ 5. ประสทิ ธภิ าพของหลกั สตู รฝึกอบรมการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ 6. งานวจิ ยั ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง1. การพฒั นาหลกั สตู รฝึ กอบรมการออกแบบและสร้างแม่พิมพฉ์ ีดพลาสติก ในการพฒั นาหลกั สตู รฝึกอบรมการการออกแบบและสรา้ งแมพ่ มิ พฉ์ ดี พลาสตกิ นนั้ จะตอ้ งมีความสมั พนั ธใ์ นดา้ นของหลกั การฝึกอบรม โดยไดม้ กี ารรวบรวมและสรปุ ความรทู้ ม่ี คี วามสมั พนั ธก์ นัในดา้ นของหลกั การฝึกอบรม โดยไดจ้ ากผรู้ ู้ และนกั วชิ าการโดยมหี วั ขอ้ ทเ่ี ป็นรายละเอยี ดในหลกั การฝึกอบรม คอื การพฒั นาหลกั สตู ร หลกั สตู ร ความหมาย วตั ถุประสงค์ ประโยชน์ ประเภทเทคนิคการฝึกอบรม กระบวนการในการจดั การ ความจาํ เป็น การดาํ เนินการ การประเมนิ และตดิ ตามผลของการฝึกอบรม โดยมรี ายละเอยี ดดงั น้ี 1.1 การพฒั นาหลกั สตู ร 1.1.1 วชิ ยั วงษ์ใหญ่ (2537:5) ไดใ้ หค้ วามหมายของการพฒั นาหลกั สตู รและการเปลย่ี นแปลงปรบั ปรงุ หลกั สตู รไวด้ งั น้ี การเปลย่ี นแปลงและการปรบั ปรงุ หลกั สตู รมคี วามแตกต่างกบั การพฒั นาหลกั สตู รในดา้ นขอบเขตเทา่ นนั้ แตว่ ธิ กี ารกระทาํ เป็นประเภทเดยี วกนั 1.1.1.1 การเปลย่ี นแปลงหลกั สตู ร หมายถงึ การเปลย่ี นแปลงทงั้ ระบบของหลกั สตู รหรอื การเปลย่ี นเฉพาะรายวชิ าซง่ึ กระบวนการเปลย่ี นแปลงจะเรมิ่ จากองคป์ ระกอบหลกั สตู รดงั น้ี 1.1.1.1.1 วตั ถุประสงค์ 1.1.1.1.2 เน้ือหาวชิ าองคป์ ระกอบของหลกั สตู ร 1.1.1.1.3 วธิ กี ารสอนและการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน 1.1.1.1.4 วธิ กี ารประเมนิ ผล
7 วชิ ยั วงษใ์ หญ่ (2537: 19-21) ไดใ้ หร้ ปู แบบการพฒั นาหลกั สตู รและการสอนแบบบนั ไดเวยี น ซง่ึ เป็นการพฒั นาเป็นรปู แบบทม่ี คี วามต่อเน่ืองดงั ภาพประกอบ 1 การวเิ คราะห์ การปฏบิ ตั กิ าร การตรวจสอบ, ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั การสงั เคราะห์การทบทวนครงั้ ท่ี 2การตรวจสอบ, ขอ้ มลู ยอ้ นกลบั การวเิ คราะห์ การปฏบิ ตั กิ ารการทบทวนครงั้ ท่ี 1 การสงั เคราะห์ การวเิ คราะห์ภาพประกอบ 1 รปู แบบการพฒั นาหลกั สตู รและการสอนแบบบนั ไดเวยี น (The curriculum development spiral in system model) ทม่ี า : วชิ ยั วงษ์ใหญ.่ (2537). หน้า 21. การพฒั นาหลกั สตู รแบบบนั ไดเวยี น ไดร้ บั การนํามาคดิ ตอ่ เป็นวธิ กี ารพฒั นาหลกั สตู รแบบพนิ ิจระบบ (Systems approach) ซง่ึ เป็นทน่ี ิยมใชก้ นั อยใู่ นปจั จุบนั
8 1.1.1.2 การพฒั นาหลกั สตู รดว้ ยวธิ กี ารระบบ จะอธบิ ายถงึ กระบวนการโดยละเอยี ด (ภาพประกอบท่ี 2) ดงั น้ี การศกึ ษาปญั หา วเิ คราะหป์ ญั หา สงั เคราะหป์ ญั หา นิยามเกย่ี วกบั ปญั หา คดิ หาวธิ กี ารทางเลอื ก หลายๆรปู แบบ ใชข้ อ้ มลู ประกอบเลอื ก วธิ กี ารหรอื ทางเลอื กทค่ี ดิ วา่ ดที ส่ี ดุ ทดลองใช้ ประเมนิ ผล ปรบั แก้ ภาพประกอบ 2 แผนภมู แิ สดงลาํ ดบั ขนั้ ตอนการพฒั นาหลกั สตู รและการสอนแบบระบบ ทม่ี า : วชิ ยั วงษ์ใหญ.่ (2537). หน้า 44. 1.1.1.2.1 ศกึ ษาสภาพปญั หา ความตอ้ งการของสงั คม โดยทาํ การศกึ ษาอยา่ งกวา้ งและลกึ เพอ่ื ทจ่ี ะไดภ้ าพรวมเกย่ี วกบั ความคาดหวงั ของสงั คมทจ่ี ะบง่ ชก้ี ารกาํ หนดจดุ ประสงค์ 1.1.1.2.2 ศกึ ษากลมุ่ เป้าหมายของผเู้ รยี นวา่ จะพฒั นาไปในรปู แบบใด ทจ่ี ะไปปรบั ตวั หรอื มคี วามสามารถดา้ นใดเกย่ี วกบั การเปลย่ี นแปลงสงั คม 1.1.1.2.3 ใชว้ ธิ กี ารทางปรชั ญา เพอ่ื ตรวจสอบเกย่ี วกบั การกาํ หนดทศิ ทางของหลกั สตู รและจุดประสงคร์ ว่ มกบั นกั จติ วทิ ยา นกั การศกึ ษา รวมทงั้ ผเู้ ชยี วชาญสาขาต่างๆ ท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั การพฒั นาหลกั สตู ร
9 1.1.1.2.4 เพอ่ื ความชดั เจนของหลกั การ จุดประสงค์ โครสรา้ งและเน้ือหาสาระของหลกั สตู รนนั้ ควรจะมคี ณะกรรมการพฒั นาหลกั สตู รดาํ เนินการกลนั่ กรองใหร้ อบคอบ 1.1.1.2.5 ศกึ ษาวเิ คราะหถ์ งึ ความสามารถและลาํ ดบั ขนั้ ตอนการเรยี นรขู้ องผเู้ รยี น เพอ่ื ความสอดคลอ้ งกบั จุดประสงคแ์ ละเน้ือหาสาระของหลกั สตู ร 1.1.1.2.6 ตรวจสอบเน้ือหาสาระใหม้ คี วามสมั พนั ธก์ นั กบั ผเู้ ขยี น โดยคณะบคุ คลต่างๆ เชน่ นกั วชิ าการ นกั จติ วทิ ยา นกั การศกึ ษา เพอ่ื ปรบั ปรงุ แกไ้ ข 1.1.1.2.7 วเิ คราะหเ์ น้ือหาสาระเพอ่ื ความสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์โครงสรา้ งและหลกั การของ หลกั สตู ร รวมทงั้ การจดั ลาํ ดบั ขนั้ ตอนการเรยี นรู้ กจิ กรมและประสบการณ์ 1.1.1.2.8 อภปิ รายกบั นกั วชิ าการสาขาต่างๆ เพอ่ื เป็นการตรวจสอบอกี ครงั้ ในเรอ่ื งความถกู ตอ้ งของ เน้ือหาสาระ ลาํ ดบั ขนั้ ตอน การเรยี นรแู้ ละประสบการณ์การเรยี น 1.1.1.2.9 แบ่งเน้ือหาสาระออกเป็นหน่วยการเรยี นทเ่ี หมาะสมกบั ระยะเวลาเพอ่ื ความสะดวกในการพฒั นาสอ่ื การเรยี นการสอนของแต่ละหน่วยไดช้ ดั เจนและสะดวกในการนําไปปฏบิ ตั จิ รงิ 1.1.1.2.10 อภปิ รายกบั นกั วชิ าการ ในสาขาต่างๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เพอ่ื ปรบั ปรงุวสั ดุประกอบหลกั สตู ร ของหน่วยการเรยี นนนั้ ๆ ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพยง่ิ ขน้ึ ก่อนทจ่ี ะนําออกไปใช้ 1.1.1.2.11 กาํ หนดจุดประสงคข์ องการเรยี นการสอนใหช้ ดั เจน และสามารถบง่ ชถ้ี งึ การจดั กจิ กรรม และประสบการณ์เรยี นรแู้ ละการประเมนิ ผล 1.1.1.2.12 พจิ ารณาทางเลอื กหลายๆทางเกย่ี วกบั การจดั กจิ กรรม และประสบการณ์เพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการ ความสนใจของผเู้ รยี นทม่ี โี อกาสจะไดเ้ ลอื กทาํ กจิ กรรมในหลายรปู แบบ โดยคาํ นึงถงึ หลกั ความแตกต่างระหวา่ งของผเู้ รยี นเป็นพน้ื ฐานในการพฒั นาสอ่ื การเรยี นและวสั ดหุ ลกั สตู รอน่ื ๆ 1.1.1.2.13 ทดลองใชส้ อ่ื การเรยี นทพ่ี ฒั นาขน้ึ มาเพอ่ื ตรวจสอบดู วา่ มสี ง่ิ ใดท่ีตอ้ งปรบั แก้ และเพอ่ื ความเหมาะสมรวมทงั้ คณุ ภาพของสอ่ื การเรยี นการสอนทพ่ี ฒั นาขน้ึ มามคี วามสอดคลอ้ งกบั หลกั สตู รมากน้อยเพยี งใด 1.1.1.2.14 ใชข้ อ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากการทดลอง ทาํ การปรบั แกส้ อ่ื การเรยี นการสอนใหเ้ หมาะสม เป็นปจั จบุ นั อยเู่ สมอ 1.1.1.2.15 ประเมนิ ผลเพอ่ื ตรวจสอบคณุ ภาพของระบบหลกั สตู ร ซง่ึ สามารถทาํ ไดท้ งั้ ระบบตงั้ แตร่ ะยะแรกถงึ ระยะสดุ ทา้ ย หรอื จะทาํ การตรวจสอบในแต่ละระยะๆ ของการพฒั นากไ็ ด้ ทงั้ น้ขี น้ึ อยกู่ บั ความตอ้ งการและความจาํ เป็นวา่ จะนําสงิ่ ทป่ี ระเมนิ นนั้ มาใชท้ าํ อะไร แต่อยา่ งไรกต็ ามแนวคดิ เกย่ี วกบั การตรวจสอบหรอื การประเมนิ ผลนนั้ การพฒั นาหลกั สตู รของการสอนจะละเลยไมไ่ ดเ้ ลย เพราะสงิ่ น้ีถอื วา่ เป็นสว่ นสาํ คญั ประการหน่ึงของการพฒั นาหลกั สตู รและการสอนทน่ี กั พฒั นาหลกั สตู รจะตอ้ งคาํ นงึ ถงึ และจะตอ้ งปฏบิ ตั ริ ะบบการเปลย่ี นแปลงหลกั สตู รและการสอน
10แนวคดิ วธิ กี ารพนิ ิจระบบน้ีใหม้ กี ารปรบั ขยายเพอ่ื ความสมบรู ณ์ในรปู แบบต่าง ๆ ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ หลกั สตู รและการสอนทน่ี ิยมใชอ้ ยใู่ นโรงเรยี นในปจั จบุ นั 1.1.2 วชิ ยั ดสิ สระ (2532:35) อา้ งองิ จากเชยเ์ ลอร์ และอเลก็ ซานเดอร์ (Saylor andAlexander. (1966). p. 7)ใหข้ อ้ คดิ วา่ กระบวนการวางแผนพฒั นาหลกั สตู รนนั้ ตอ้ งประกอบดว้ ยสง่ิ ตา่ งๆเหลา่ น้ี 1.1.2.1 หลกั สตู รตอ้ งคาํ นึงถงึ สงิ่ ตา่ งๆเหลา่ น้ี 1.1.2.1.1 ตวั ผเู้ รยี นเองซง่ึ เป็นสว่ นหน่ึงของสงั คมและสงั คมมองเหน็ วา่นกั เรยี นคอื อะไร มสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งกบั สงั คมอยา่ งไรบา้ ง สงั คมตอ้ งการอะไรจากนกั เรยี นและนกั เรยี นมีความตอ้ งการอะไรงั้ ในแงข่ องสว่ นบคุ คล และสงั คม 1.1.2.1.2 หน้าทแ่ี ละจดุ มงุ่ หมายของโรงเรยี นคอื อะไร โรงเรยี นมแี นวคดิ และยดึปรชั ญาทางการศกึ ษาในสาขาใด และมแี นวปฏบิ ตั ใิ หบ้ รรลุเป้าหมายนนั้ อยา่ งไร 1.1.2.1.3 ธรรมชาตขิ องความรนู้ นั้ เป็นอยา่ งไร ขอบขา่ ยของความรทู้ จ่ี าํ เป็นจะตอ้ งศกึ ษานนั้ มมี ากน้อยแคๆ่ หนอยา่ งไร อะไรเป็นสงิ่ จาํ เป็นก่อนและหลงั หรอื ลาํ ดบั ของความรู้เป็นอยา่ งไร 1.1.2.1.4 กระบวนการเรยี นรเู้ ป็นอยา่ งไร ลาํ ดบั หรอื ขนั้ ตอนของการเรยี นรเู้ ป็นอยา่ งไรโดยสรุปสาํ หรบั สง่ิ ทน่ี กั พฒั นาหลกั สตู รตอ้ งคาํ นึงถงึ ในการพฒั นาหลกั สตู รในตอนแรกนนั้ ก็คอื เรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกบั สงั คม ปรชั ญาผเู้ รยี นและขบวนการเรยี นรซู้ ง่ึ ตรงกบั แนวคดิ ของ ไทเลอร์ กเู ลอร์และฟอกซ์ 1.1.3 บุคคลทท่ี าํ หน้าทว่ี างแผนพฒั นาหลกั สตู รประกอบดว้ ย 1.1.3.1 นกั การศกึ ษาในทกุ ระดบั ตงั้ แต่ระดบั อนุบาล ประถม มธยั ม อุดมศกึ ษานกั วชิ าการ นกั วจิ ยั เป็นตน้ 1.1.3.2 ผทู้ รงคณุ วฒุ แิ ละผทู้ เ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การศกึ ษา เช่น นกั เรยี น ผปู้ กครองสมาชกิ ในชุมชนและสมาคมตา่ งๆเป็นตน้ 1.1.4 ใครเป็นผตู้ ดั สนิ ใจเลอื กใชห้ ลกั สตู รผทู้ ท่ี าํ หน้าทต่ี ดั สนิ ใจเลอื กใชห้ ลกั สตู รกค็ อืนกั พฒั นาหลกั สตู รซง่ึ อาจประกอบดว้ ยครู นกั การศกึ ษา ผบู้ รหิ ารการศกึ ษา ผปู้ กครอง ผเู้ ชย่ี วชาญสาขาต่างๆประกอบขน้ึ เป็นกรรมการดาํ เนินการพฒั นาหลกั สตู ร โดยทาํ ในสงิ่ ต่อไปน้ี 1.1.4.1 คดั เลอื กและจดั ระบบเน้อื หาสาระตลอดทงั้ แบบเรยี น 1.1.4.2 กาํ หนดระบบการเรยี นการสอน 1.1.4.3 การตดั สนิ ใจเลอื กนนั้ กระทาํ ตามระดบั และขนั้ ตอนทเ่ี กย่ี วขอ้ งเป็นชา่ งๆทงั้ น้ีตอ้ งคาํ นึงถงึ อทิ ธพิ ลของเทคโนโลยดี ว้ ย 1.1.5 การวางแผนจดั ทาํ หลกั สตู ร บุคคลทม่ี หี น้าทว่ี างแผนหลกั สตู รตอ้ งรว่ มกนั จดั ทาํแผนจดั ทาํ หลกั สตู รตามขนั้ ตอนอยา่ งละเอยี ด และสามารถตรวจสอบแต่ละขนั้ ตอนวา่ เป็นไปตามจุดมงุ่ หมายทก่ี าํ หนดไวห้ รอื ไมอ่ ยา่ งไร หากมปี ญั หากส็ ามารถปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงได้ กาํ หนดแผนการเรยี นการสอนในหลกั สตู รจะชว่ ยใหท้ ราบวา่ จะตอ้ งจดั กจิ กรรมการเรยี นรมู้ ากน้อยเพยี งไร
11และอยา่ งไร ทงั้ ยงั สมารถกาํ หนดสอ่ื การเรยี นการสอน การประเมนิ ผล เพอ่ื ใหเ้ หมาะสมกบักระบวนการเรยี นรทู้ งั้ รายกลมุ่ และรายบุคคล หรอื ทเ่ี รยี กกนั ทวั่ ไปวา่ คมู่ อื ครู 1.1.6 วชิ ยั วงษใ์ หญ่ (2537:5-8) ไดใ้ หค้ วามหมายของการพฒั นาหลกั สตู รและการเปลย่ี นแปลงปรบั ปรงุ หลกั สตู รไวด้ งั น้ี การเปลย่ี นแปลงและการปรบั ปรุงหลกั สตู รมคี วามแตกต่างกบั การพฒั นาหลกั สตู รในดา้ นขอบเขตเทา่ นนั้ แตว่ ธิ กี ารกระทาํ เป็นประเภทเดยี วกนั การเปลย่ี นแปลงหลกั สตู ร หมายถงึ การเปลย่ี นแปลงทงั้ ระบบของหลกั สตู รหรอืการเปลย่ี นเฉพาะรายวชิ าซง่ึ กระบวนการเปลย่ี นแปลงจะเรม่ิ จากองคป์ ระกอบหลกั สตู รดงั น้ี 1.1.6.1 วตั ถุประสงค์ 1.1.6.2 เน้ือหาวชิ าองคป์ ระกอบของหลกั สตู ร 1.1.6.3 วธิ กี ารสอนและการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน 1.1.6.4 วธิ กี ารประเมนิ ผล วชิ ยั วงษใ์ หญ่ (2537:7-8) ไดก้ ลา่ ววา่ องคป์ ระกอบของหลกั สตู รน้ีจะนํามาใชเ้ ป็นแกนในการเปลย่ี นแปลงหรอื ปรบั ปรงุ หลกั สตู รวา่ จะ ปรบั ปรงุ ในองคป์ ระกอบใดหรอื ทงั้ หมดยอ่ มขน้ึอยกู่ บั การทไ่ี ดท้ าํ การศกึ ษาขอ้ มลู ดา้ นตา่ งๆ ทส่ี งั เคราะหแ์ ละหลอมรวมมาเป็นปจั จยั หรอื ตวั กาํ หนดทส่ี นบั สนุนการเปลย่ี นแปลงหลกั สตู รคอื 1.1.7 ความหมายของหลกั สตู รทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงในครงั้ น้ีมคี วามหมายทแ่ี คบ หรอื ในความหมายกวา้ งและลกึ ซง้ึ มากน้อยเพยี งใด 1.1.8 สภาพปจั จุบนั ของการจดั การศกึ ษาทต่ี อ้ งการพฒั นาในระดบั ใดทจ่ี ะสง่ ถงึอนาคต 1.1.9 สภาพปญั หาและความตอ้ งการของสงั คมไทยไดบ้ ง่ ชใ้ี นเรอ่ื งใดทช่ี ดั เจน เชน่ตอ้ งการให้ ผเู้ รยี นไดท้ ราบถงึ วธิ กี ารของกระบวนการการเรยี นรู้ เพอ่ื ทจ่ี ะนํามาใชใ้ นการสบื เสาะหาความรกู้ ารปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพของการเปลย่ี นแปลงของสงั คมหรอื ตอ้ งการใหผ้ เู้ รยี นไปเป็นผนู้ ําในการเปลย่ี นแปลงและทาํ ประโยชน์ต่อสงั คม 1.1.10 ความคาดหวงั ตอ่ การเปลย่ี นแปลงเกย่ี วกบั ดา้ นใดมากน้อยกวา่ กนั หรอื มงุ่ เน้นดา้ นใดเชน่ เปลย่ี นความรู้ เปลย่ี นเจตคติ และเปลย่ี นแนวการปฏบิ ตั เิ ป็นตน้ การกาํ หนดระดบั ความหมายของหลกั สตู รทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงนนั้ เป็นสง่ิ ทส่ี าํ คญั เพราะจะเป็นตวั บง่ ชถ้ี งึ การเปลย่ี นแปลงวา่ จะกระทาํ ในรปู แบบใด เช่นกําหนดความหมายของหลกั สตู รในแนวกวา้ งวา่ “หลกั สตู รคอื มวลประสบการณ์ทงั้ หลายทท่ี างโรงเรยี นจดั ใหน้ กั เรยี น เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นได้เรยี นรแู้ ละพฒั นาตนเองไปในทศิ ทางทพ่ี งึ ปรารถนา” จากการนิยามความหมายของหลกั สตู รน้ี การเปลย่ี นแปลงหลกั สตู รจะแตกต่างกนั กบั นิยามหลกั สตู รในแนวแคบคอื “หลกั สตู รคอื ขอ้ กาํ หนดการเรยี น” กระบวนการพฒั นาหลกั สตู รทุกขนั้ ตอน จะดาํ เนินไปไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและเกดิประสทิ ธผิ ล จะตอ้ งอาศยั ความรว่ มมอื รว่ มใจจากบคุ คลหลายฝา่ ยรว่ มรบั ผดิ ชอบทงั้ ทางตรงและ
12ทางออ้ มดว้ ยความเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซง้ึ และมศี รทั ธาอยา่ งจรงิ ใจในการปรบั ปรุงหลกั สตู ร แตข้ อ้ เทจ็ จรงิในปจั จบุ นั ปรากฏว่าทกุ ขนั้ ตอนของการเปลย่ี นแปลงกย็ งั คงมปี ญั หา และอปุ สรรคเป็นปกตวิ สิ ยัโดยเฉพาะในขนั้ ตอนของการเรมิ่ ทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงและเรม่ิ ดาํ เนินการพฒั นาหลกั สตู ร 1.2 หลกั สตู รการฝึ กอบรม หลกั สตู รการฝึกอบรมเป็นขนั้ ตอนทไ่ี ดจ้ ากการวเิ คราะหใ์ นสภาพปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว้นํามาจดั ทาํ เป็นหลกั สตู รฝึกอบรมเพอ่ื ทจ่ี ะปรบั เปลย่ี นทาํ ใหป้ ญั หานนั้ ๆ ลดน้อยลงโดยมนี กั วชิ าการและนกั การศกึ ษาไดใ้ หห้ ลกั เกณฑท์ รรศนะไวด้ งั น้ี 1.2.1 พฒั นา สขุ ประเสรฐิ (2540:35) ไดก้ ล่าววา่ หลกั สตู รการฝึกอบรม หมายถงึความรแู้ ละประสบการณ์การเรยี นรทู้ จ่ี ดั ใหแ้ ก่ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม เพอ่ื ใหบ้ รรลถุ งึ วตั ถุประสงค์ตามทต่ี อ้ งการของโครงการ สว่ นทส่ี าํ คญั ของหลกั สตู รทจ่ี ะตอ้ งพจิ ารณาไดแ้ ก่วตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรม เน้ือหาสารถทจ่ี ดั และควรระบุเป็นรายหวั ขอ้ วชิ าและระบกุ จิ กรรมการเรยี นการสอน ซง่ึรวมถงึ การใชส้ อ่ื ในการเรยี นการสอนและการประเมนิ ผล พฒั นา สขุ ประเสรฐิ (2540:36) ไดใ้ หท้ รรศนะของการสรา้ งหลกั สตู รฝึกอบรมวา่ การจดั หลกั สตู รนนั้ จะตอ้ งใหเ้ หมาะสมและตรงกบั ความตอ้ งการในการฝึกอบรม ซง่ึ ควรจะไดพ้ จิ ารณาดงั น้ีคอื 1.2.1.1 เป็นวชิ าทต่ี อบสนองหรอื แกป้ ญั หาตามวตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรมหรอื แกข้ องหน่วยงาน 1.2.1.2 วชิ าทร่ี ะบุในหลกั สตู ร ควรกาํ หนดวตั ถุประสงคเ์ ป็นลายลกั ษณ์อกั ษร มีรายละเอยี ดหรอื สาระสาํ คญั ของวชิ า เพอ่ื ใหก้ ารดาํ เนินงานหรอื การสอนของวทิ ยากร ตรงตามวตั ถุประสงคแ์ ละความตอ้ งการของผจู้ ดั การฝึกอบรม 1.2.1.3 พจิ ารณาระยะเวลาทเ่ี หมาะสมแก่ความจาํ เป็นเวลาทจ่ี ะอาํ นวยประโยชน์ของผเู้ ขา้ อบรม หรอื ชว่ งทห่ี น่วยงานมงี านเขา้ มาน้อย 1.2.1.4 คาํ นึงถงึ การระดมทรพั ยากรต่าง ๆ ทงั้ ภายในและภายนอกหน่วยงาน หลกั สตู รฝึกอบรมทไ่ี ดม้ ผี รู้ ู้ นกั การศกึ ษา นกั วชิ าการ ไดใ้ หค้ วามหมายไวน้ นั้ สามารถสรปุ ไดว้ า่ หลกั สตู รฝึกอบรมหมายถงึ กระบวนการทถ่ี ูกจดั ทาํ ขน้ึ โดยมเี น้ือหาของโครงการทจ่ี ะฝึกอบรม และมขี นั้ ตอนในการจดั ฝึกอบรมเพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคข์ องหลกั สตู รฝึกอบรมท่ีจดั ทาํ ขน้ึ 1.3 ความหมายของการฝึ กอบรม การฝึกอบรมเป็นกระบวนการทท่ี าํ การพฒั นาใหบ้ คุ คลมคี วามสามารถเพม่ิ ขน้ึ โดยทกุสาขาวชิ า ไดม้ กี ารนํากระบวนการฝึกอบรมไปปฏบิ ตั โิ ดยมนี กั วชิ าการสาขา ไดใ้ หค้ วามหมายของการฝึกอบรมไวต้ ามทศั นะของแตล่ ะทา่ นดงั น้ี
13 1.3.1 สมเกยี รติ พว่ งรอด (2544:132) ไดก้ ลา่ ววา่ การฝึกอบรมเป็นกระบวนการทจ่ี ดัขน้ึ เพม่ิ พนู ความรู้ ความชาํ นาญ และเปลย่ี นแปลงทศั นคตใิ นการปฏบิ ตั งิ านไดด้ ขี น้ึ ซง่ึ จะนําไปสกู่ ารเพม่ิ พนู ประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั งิ านต่อไปทงั้ ในปจั จุบนั และในอนาคต 1.3.2 สมชาติ กจิ ยรรยง (2545:15) ไดก้ ล่าววา่ การฝึกอบรม หมายถงึ กระบวนการการทจ่ี ะทาํ ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมเกดิ ความรู้ (Knowledge) เกดิ ความเขา้ ใจ (Understanding) เกดิความชาํ นาญ (Skill) และเกดิ เจตคติ (Attitude) ทด่ี เี กย่ี วกบั เรอ่ื งใดเรอ่ื งหน่ึง จนกระทงั่ ใหผ้ เู้ ขา้ รบัการฝึกอบรมเกดิ การเรยี นรู้ หรอื เปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมไปตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการฝึกอบรมอยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล และประสทิ ธภิ าพ 1.3.3 พฒั นา สขุ ประเสรฐิ (2540:4) ไดก้ ลา่ ววา่ การฝึกอบรม หมายถงึ กระบวนการสาํ คญั ทจ่ี ะชว่ ยพฒั นาหรอื ฝึกฝนเจา้ หน้าทห่ี รอื บคุ ลากรใหมท่ จ่ี ะเขา้ ทาํ งานหรอื ทป่ี ฏบิ ตั งิ านประจาํอยแู่ ลว้ ในหน่วยงาน ใหม้ คี วามรคู้ วามสามารถ ทกั ษะหรอื ความชาํ นาญ ตลอดจนประสบการณ์ให้เหมาะสมกบั การทาํ งาน รวมถงึ ก่อใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ เช่น ทศั นคตทิ ด่ี ตี ่อการปฏบิ ตั งิ าน อนั จะสง่ ผลใหบ้ คุ คลากรแตล่ ะคนในหน่วยงานหรอื องคก์ ารมคี วามสามารถเฉพาะตวั สงู ขน้ึ มปี ระสทิ ธภิ าพในการทาํ งานรว่ มกบั ผอู้ น่ื ไดด้ ี ทาํ ใหห้ น่วยงานหรอื องคก์ รมปี ระสทิ ธผิ ลและประสทิ ธภิ าพทด่ี ขี น้ึ 1.3.4 สมคดิ บางโม (2540:4) ไดก้ ลา่ ววา่ การฝึกอบรม (training) หมายถงึกระบวนการเพมิ่ ประสทิ ธภิ าพในการทาํ งานของบุคคลโดยมงุ่ เพมิ่ พนู ความรู้ (knowledge) ทกั ษะ(skills) และทศั นคติ (attitude) อนั จะนําไปสกู่ ารยกมาตราฐานการทาํ งานใหส้ งู ขน้ึ ทาํ ใหบ้ คุ คลมีความเจรญิ กา้ วหน้าในหน้าทก่ี ารงานและองคก์ ารบรรลุเป้าหมายทก่ี าํ หนดไว้ ดงั นนั้ จะเหน็ วา่ การฝึกอบรมเป็นสว่ นหน่ึงของการพฒั นาบคุ คลนนั ่ เอง 1.3.5 เสนาะ ตเิ ยาว์ (2543:95) ไดก้ ลา่ ววา่ การฝึกอบรม หมายถงึ กระบวนการทจ่ี ดัขน้ึ เพอ่ื ใหบ้ ุคคลไดเ้ รยี นรแู้ ละมคี วามชาํ นาญเพอ่ื วตั ถุประสงคอ์ ยา่ งหน่ึง โดยมงุ่ ใหค้ นไดร้ เู้ รอ่ื งใดเรอ่ื งหน่ึงโดยเฉพาะ และเพอ่ื เปลย่ี นพฤตกิ รรมของคนไปในทางทต่ี อ้ งการ ตามความหมายดงั กลา่ วการฝึกอบรมเป็นทางทาํ ใหผ้ รู้ บั การอบรมไดร้ บั ความรใู้ หมๆ่ ไดค้ วามชาํ นาญในการปฏบิ ตั งิ านมากขน้ึ เพมิ่ ประสทิ ธภิ าพในการแกป้ ญั หาและทศั นคตทิ จ่ี ะปรบั ปรงุ งาน เปลย่ี นแปลงงานใหด้ ขี น้ึ ตามแนวทางทอ่ี งคก์ ารกาํ หนด 1.4 วตั ถปุ ระสงคข์ องการฝึ กอบรม วตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรมเป็นหวั ขอ้ หน่ึงในการฝึกอบรมทจ่ี ะอธบิ ายใหท้ ราบถงึเป้าหมายของการฝึกอบรมวา่ สง่ิ ทค่ี าดวา่ ไดร้ บั จากการฝึกอบรม ซง่ึ มนี กั การศกึ ษา นกั วชิ าการได้กลา่ วถงึ วตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรมไวด้ งั น้ี 1.4.1 ชชู ยั สมทิ ธไิ กร (2540:40) ไดก้ ลา่ ววา่ การกาํ หนดวตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรม คอื การกาํ หนดเป้าหมายวา่ การฝึกอบรมจะตอ้ งเปลย่ี นแปลงความรู้ ทศั นคติ และพฤตกิ รรมของผรู้ บั การอบรม ใหเ้ ป็นไปในทางใดและระดบั ใด การกาํ หนดวตั ถุประสงคข์ องโครงการ
14ฝึกอบรม จะตอ้ งไมก่ ระทาํ ไปอยา่ งเลอ่ื นลอย เพอ้ ฝนั ไปตามจนิ ตนาการ แตจ่ ะตอ้ งอาศยั ขอ้ มลู ท่ีไดร้ บั จากการวเิ คราะหค์ วามตอ้ งการในการฝึกอบรม เพอ่ื ใหก้ ารฝึกอบรมสามารถสนองความตอ้ งการและเป้าหมายขององคก์ ารไดอ้ ยา่ งดที ส่ี ดุ 1.4.2 ฐรี ะ ประวาลพฤกษ์ (2538:91-92) ไดก้ ลา่ ววา่ การกาํ หนดวตั ถุประสงคท์ ด่ี ีจะตอ้ งใหค้ รอบคลมุ จดุ มงุ่ หมายทางการศกึ ษา ซง่ึ แบง่ เป็น 3 ดา้ น คอื 1.4.2.1 ดา้ นพทุ ธพิ สิ ยั (Cognitive Domain) เป็นจุดมงุ่ หมายทเ่ี กย่ี วกบั การเรยี นรู้ทางดา้ นความคดิ ความรแู้ ละการแกป้ ญั หา ซง่ึ นกั วชิ าการศกึ ษาแบง่ ไวเ้ ป็นระดบั ตงั้ แตค่ วามรู้(knowledge) ความเขา้ ใจ (Comprehension) การนําไปใช้ (Application) การวเิ คราะห์ (Analysis)การสงั เคราะห์ (Synthesis) ไปจนถงึ การประเมนิ คา่ (Evaluation) 1.4.2.2 ดา้ นจติ พสิ ยั (Affective Domain) เป็นจดุ มงุ่ หมายทแ่ี สดงออกทางดา้ นเจตคติ คา่ นิยมความสนใจและความซาบซง้ึ 1.4.2.3 ดา้ นทกั ษะพสิ ยั (Psychomotor Domain) เป็นจุดมงุ่ หมายทางดา้ นทกั ษะของการเคลอ่ื นไหวการใชอ้ วยั วะต่างๆ ของรา่ งกาย ตลอดจนการสอ่ื สารและการใชภ้ าษา 1.4.3 พฒั นา สขุ ประเสรฐิ (2540:5-7) ไดก้ ล่าววา่ วตั ถปุ ระสงคข์ องการฝึกอบรมโดยทวั่ ไปแลว้ มจี ดุ มงุ่ หมายเพอ่ื 1.4.3.1 เพมิ่ พนู ความรู้ (Knowledge) 1.4.3.2 พฒั นาทกั ษะ (Skill) 1.4.3.3 เปลย่ี นแปลงเจตคติ (Attitude)เมอ่ื บุคคลไดร้ บั การฝึกอบรมทางดา้ นความรู้ ทกั ษะ และเจตคตแิ ลว้ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึงหรอื หลายอยา่ งรวมกนั เมอ่ื กลบั ไปปฏบิ ตั งิ าน จะกอ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงไปในทางทด่ี หี รอื เกดิ การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมหรอื เจตคตใิ นการปฏบิ ตั งิ าน ทาํ ใหก้ ารปฏบิ ตั งิ านไดผ้ ลดขี น้ึ 1.4.4 เพม่ิ พนู ความรู้ (Knowledge) การเพมิ่ พนู ความรหู้ รอื เสรมิ สตปิ ญั ญาหรอื เพอ่ื ปรบั ปรุงแกไ้ ขความรอบรเู้ พอ่ื การปฏบิ ตั งิ านของแต่ละบุคคลในแตล่ ะดบั เกย่ี วกบั การเขา้ ใจกฎหมาย กฎ ระเบยี บ ขอ้ บงั คบั หน้าท่ีรบั ผดิ ชอบของแต่ละหน่วยงาน/บุคคล การเขา้ ใจการจดั การบรหิ าร รปู แบบการบรหิ าร ทาํ ใหม้ ีความรคู้ อื รวู้ ่าสงิ่ นนั้ เป็นอะไร และสามารถจดจาํ ไวไ้ ด้ มคี วามเขา้ ใจคอื รใู้ นเหตุและผลของสง่ิ ทไ่ี ดร้ ู้นนั้ สามารถอธบิ ายและขยายความไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและแจม่ ชดั สามารถนําสง่ิ ทร่ี ไู้ ปใชใ้ นสถานการณ์จรงิ ได้ นอกเหนอื จากน้ีแลว้ การฝึกอบรมยงั สามารถมุง่ สงู ขน้ึ ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรม สามารถวเิ คราะห์แยกแยะใหเ้ หน็ องคป์ ระกอบต่างๆทเ่ี ป็นลาํ ดบั สมั พนั ธก์ นั ได้ สามารถสงั เคราะห์ จดั เรยี บเรยี งและรวบรวมองคป์ ระกอบตา่ งๆทก่ี ระจายกนั อยเู่ ขา้ เป็นแบบแผนหรอื โครงสรา้ งใหมไ่ ด้ และทส่ี าํ คญั คอืสามารถประเมนิ คา่ คอื ตดั สนิ คณุ คา่ ของสง่ิ ใดตามเกณฑท์ ก่ี าํ หนดได้ การเพม่ิ พนู ความรคู้ วามเขา้ ใจอาจขยายไปถงึ การเพมิ่ ขดี ความสามารถในการนําไปใชป้ รบั ในสถานการณ์จรงิ ดว้ ย เป็นการเสรมิความรคู้ วามสามารถในวชิ าชพี
15 1.4.5 พฒั นาทกั ษะ (Skill) การพฒั นาทกั ษะความชาํ นาญ เป็นจดุ มงุ่ หมายของการฝึกอบรมและการพฒั นามาชา้ นานรวมถงึ ตงั้ แตก่ ารจดั ลาํ ดบั ความสาํ คญั ของงาน การแกไ้ ขสถานการณ์เฉพาะหน้า การเพม่ิความมนั่ ใจในการตดั สนิ ใจทาํ ใหส้ ามารถปฏบิ ตั ไิ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและคลอ่ งตวั จนมคี วามเชอ่ื มนั่ วา่ จะสามารถทาํ ไดเ้ องในสถานการณ์จรงิ ของทอ้ งถน่ิ และความพรอ้ มของตน การเพมิ่ จาํ นวนครงั้ หรอืความถใ่ี นการฝึกปฏบิ ตั ใิ หม้ ปี ระสบการณ์และทกั ษะในการทาํ งานสงู นนั้ ก่อใหเ้ กดิ ความมนั่ ใจไดเ้ ป็นอยา่ งดี สามารถปฏบิ ตั งิ านไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและถกู ตอ้ งโดยใชเ้ วลาทน่ี ้อยลง 1.4.6 เปลย่ี นแปลงเจตคติ (Attitude) เมอ่ื สรา้ งเจตคตทิ ด่ี ที เ่ี หมาะสมแก่ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม ทาํ ใหม้ กี าํ ลงั ใจหรอื ขวญั ท่ีดใี นการทาํ งาน สามารถทาํ งานของตนไดด้ ว้ ยความยนิ ดแี ละพอใจ และสามารถทาํ งานรว่ มกบั ผอู้ ่นืไดด้ ว้ ยความสบายใจ การฝึกอบรมโดยทวั่ ไปมกั มจี ดุ มงุ่ หมายเพ่อื ปรบั ปรงุ แกไ้ ขความรอบรเู้ พอ่ื การปฏบิ ตั งิ าน และเพมิ่ ทกั ษะความชาํ นาญการ แต่ละเลยการจงู ใจบคุ ลากรใหป้ ฏบิ ตั งิ านในหน้าทใ่ี หด้ ีขน้ึ ทงั้ ทก่ี ารจงู ใจบคุ ลากรเป็นเรอ่ื งสาํ คญั อกี เรอ่ื งหน่ึงทจ่ี ะตอ้ งคาํ นึงถงึ เพราะหากบุคลากรมคี วามรู้และทกั ษะในการทาํ งาน แตข่ าดแรงจงู ใจในการทาํ งานกจ็ ะไมน่ ําความรแู้ ละทกั ษะมาใชใ้ นการปฏบิ ตั งิ านอยา่ งเตม็ ความสามารถ และการขาดความจงู ใจในการปฏบิ ตั งิ านอาจเป็นสาเหตุหน่ึงท่ีบคุ ลากรทไ่ี ดร้ บั การฝึกอบรมและการพฒั นา ไมน่ ําความรแู้ ละทกั ษะทไ่ี ดร้ บั มาใชใ้ นการปฏบิ ตั ใิ นการปฏบิ ตั งิ านอยา่ งเตม็ ความสามารถ ทาํ ใหก้ ารฝึกอบรมไมเ่ กดิ ผลตามกาํ หนดไว้ จากรายละเอยี ดของวตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรมทไ่ี ดม้ ผี รู้ ู้ นกั การศกึ ษา และนกั วชิ าการไดก้ ลา่ วไวน้ นั้ จงึ สามารถสรปุ ไดว้ า่ วตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรม เป็นแนวทางหลกั ทจ่ี ะเป็นการกาํ หนดใหก้ ารฝึกอบรมมแี นวทางในการฝึกกอบรมทช่ี ดั เจนโดยลกั ษณะของวตั ถุประสงค์ของการฝึกอบรมนนั้ มงุ่ ทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมของบคุ คลไปในทางทด่ี ขี น้ึ 1.5 ความสาํ คญั และประโยชน์ของการฝึ กอบรม การฝึกอบรมเป็นกระบวนการทม่ี ุง่ เน้นใหบ้ คุ คลมกี ารเปลย่ี นแปลงไปในทางทด่ี ขี น้ึ ทงั้ความรทู้ กั ษะและเจตคติ ดงั นนั้ การฝึกอบรมจงึ มคี วามสาํ คญั และมปี ระโยชน์อยา่ งยงิ่ โดยไดม้ ีนกั การศกึ ษาและนกั วชิ าการไดแ้ สดงทรรศนะไดด้ งั น้ี 1.5.1 พฒั นา สขุ ประเสรฐิ (2540:14) ไดก้ ล่าววา่ การฝึกอบรมชว่ ยพฒั นาบุคลากรให้มคี ณุ ภาพสงู ขน้ึ ในยคุ ของขอ้ มลู ขา่ วสารเทคโนโลยอี นั ทนั สมยั ทส่ี ภาพแวดลอ้ มเปลย่ี นแปลงอยู่เสมอและเป็นไปอยา่ งรวดเรว็ การพฒั นา “คน” ใหม้ คี วามเหมาะสมกบั “งาน” และให้ “งาน” มคี วามเหมาะสมกบั “คน” จาํ เป็นตอ้ งดาํ เนินอยา่ งเป็นระบบต่อเน่ือง จรงิ อยถู่ งึ แมว้ ่าการฝึกอบรมจะไมช่ ว่ ยแกไ้ ขปญั หาในการทาํ งานไดท้ ุกเรอ่ื ง แต่การฝึกอบรมทจ่ี ดั อยา่ งมเี ป้าหมายและมกี ารวางแผนทด่ี กี ็ชว่ ยเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพของงานไดม้ ใิ ช่น้อย ซง่ึ ในการวดั หรอื การประเมนิ อาจดไู ดจ้ ากผลผลติ ท่ี
16เพม่ิ ขน้ึ การลงทนุ ทต่ี ่าํ ลงหรอื กาํ ไรทไ่ี ดเ้ พม่ิ ขน้ึ อุบตั เิ หตุในการทาํ งานลดน้อยลง งานดาํ เนินไอยา่รวดเรว็ ขน้ึ หรอื อาจมองในรปู ของความสามารถในการใหบ้ รกิ ารแกผ่ มู้ าตดิ ต่อไดม้ ากขน้ึ และทวั่ ถงึ 1.5.2 สมคดิ บางโม (2540:15-16) ไดก้ ลา่ ววา่ องคก์ ารตา่ งๆ จาํ เป็นตอ้ งจดั ใหม้ กี ารฝึกอบรมเพราะสาเหตุต่างๆ ดงั น้ี 1.5.2.1 เพอ่ื ความอยรู่ อดขององคก์ ารเอง เพราะปจั จบุ นั มสี ภาพการแขง่ ขนัระหว่างองคก์ ารรนุ แรงมาก การฝึกอบรมจะชว่ ยใหอ้ งคก์ ารเขม้ แขง็ และชว่ ยใหพ้ นกั งานมีประสทิ ธภิ าพในการทาํ งานยง่ิ ขน้ึ 1.5.2.2 เพอ่ื ใหอ้ งคก์ ารเจรญิ เตบิ โต มกี ารขยายผลติ การขาย และการขยายงานดา้ นต่างๆ ออกไป ในการน้ีจาํ เป็นตอ้ งสรา้ งบคุ คลทม่ี คี วามสามารถเพอ่ื ทจ่ี ะรองรบั งานเหลา่ นนั้ 1.5.2.3 เมอ่ื รบั พนกั งานใหมจ่ าํ เป็นตอ้ งใหเ้ ขารจู้ กั องคก์ ารเป็นอยา่ งดใี นทุกๆดา้ นและตอ้ งฝึกอบรมใหร้ วู้ ธิ ที าํ งานขององคก์ าร แมจ้ ะมปี ระสบการณ์มาจากทอ่ี น่ื แลว้ กต็ ามเพราะสภาพการทาํ งานในแต่ละองคก์ ารยอ่ มแตกตา่ งกนั 1.5.2.4 ปจั จบุ นั เทคโนโลยเี จรญิ กา้ วหน้าไปรวดเรว็ มาก จงึ จาํ เป็นตอ้ งฝึกอบรมพนกั งานใหม้ คี วามรทู้ นั สมยั เสมอ ถา้ พนกั งานมคี วามคดิ ลา้ หลงั องคก์ ารกจ็ ะลา้ หลงั ตามไปดว้ ย 1.5.2.5 เมอ่ื พนกั งานทาํ งานมาเป็นเวลานานจะทาํ ใหเ้ ฉ่ือยชา เบอ่ื หน่าย ไม่กระตอื รอื รน้ การฝึกอบรมจะช่วยกระตนุ้ ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพเพม่ิ ขน้ึ 1.5.2.6 เพอ่ื เตรยี มพนกั งานสาํ หรบั รบั ตาํ แหน่งใหมท่ ส่ี งู ขน้ึ โยกยา้ ยงานหรอื แทนคนทล่ี าออกไป 1.5.3 สมคดิ บางโม (2540:16) ไดก้ ลา่ ววา่ การฝึกอบรมนอกจากเป็นสง่ิ จาํ เป็นในการแกป้ ญั หาภายในขององคก์ ารแลว้ ยงั กอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์แกส่ ว่ นต่างๆ ขององคก์ ารอยา่ งเหน็ ไดช้ ดัดงั น้ี 1.5.3.1 เพม่ิ ประสทิ ธภิ าพในการผลติ 1.5.3.2 ทาํ ใหผ้ ลผลติ มคี ณุ ภาพสงู ขน้ึ 1.5.3.3 พนกั งานมขี วญั และกาํ ลงั ใจดขี น้ึ 1.5.3.4 ทาํ ใหพ้ นกั งานมคี วามรมู้ คี วามชาํ นาญในวทิ ยาการใหม่ ๆ 1.5.3.5 ทาํ ใหร้ ะบบขา่ วสารภายในองคก์ ารดขี น้ึ 1.5.3.6 ลดเวลาการเรยี นรงู้ าน 1.5.3.7 พนกั งานแตล่ ะคนมโี อกาสกา้ วหน้าไดเ้ ลอ่ื นตาํ แหน่ง 1.5.3.8 ลดอุบตั เิ หตุในการทาํ งาน 1.5.3.9 เป็นประโยชน์ต่อการบรหิ ารงาน
17 1.6 ประเภทของการฝึ กอบรม การฝึกอบรม ในองคก์ ารหรอื หน่วยงานต่างๆ มรี ปู แบบของการฝึกอบรมทแ่ี ตกตา่ งกนัออกไป ตามความตอ้ งการหรอื ความเหมาะสมขององคก์ ารหรอื หน่วยงานนนั้ ในการจดั แบง่ ประเภทของการฝึกอบรมไดม้ นี กั วชิ าการหลายๆ ทา่ นไดจ้ ดั แบง่ ประเภทของการฝึกอบรมไวด้ งั น้ี 1.6.1 สมชาติ กจิ ยรรยง (2545:137) ไดก้ ล่าววา่ เทคนิคการฝึกอบรม (TrainingTechnique) หมายถงึ วธิ กี ารทใ่ี ชใ้ นการสอ่ื สารหรอื ถ่ายทอดความรู้ ความคดิ เหน็ ขอ้ เทจ็ จรงิประสบการณ์ หรอื ขอ้ มลู ต่างๆ ทจ่ี ะทาํ ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมเกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจ เกดิ ทศั นคติทด่ี ี และมคี วามสามารถในการปฏบิ ตั งิ านอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 1.6.2 สมชาติ กจิ ยรรยง (2545:139-140) ไดใ้ หท้ รรศนะวา่ เทคนิคการฝึกอบรมจาํ แนกไดเ้ ป็น 4 ประเภท คอื 1.6.2.1 ประเภทการเน้นบทบาทของวทิ ยากร เทคนิคการฝึกอบรมประเภทน้ีไดแ้ ก่ การบรรยายหรอื ปาฐกถา (Lecture or Speech) การบรรยายเป็นชดุ (Symposium) การอภปิ รายเป็นคณะ (Panel Discussion) เป็นตน้ 1.6.2.2 ประเภทเน้นบทบาทของผเู้ ขา้ รบั การอบรม เชน่ การสมั มนา (Seminar)การอภปิ รายกลมุ่ (Group Discussion) การประชุม (Syndicate Method) การระดมความคดิ(Brainstorming) การแสดงบทบาทสมมตุ ิ (Role Playing) การประชุมถกเถยี ง (Buzz Session)การศกึ ษาเฉพาะกรณี (Case Study) การใหเ้ วลาซกั ถาม (Question Period) การสมั ภาษณ์(Interview) การสาธติ (Demonstration) การประชุมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร (Workshop) การทศั นศกึ ษา(Field Trip) เป็นตน้ 1.6.2.3 ประเภทพฒั นาเฉพาะตวั บคุ คล ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม สามารถปรบั ใหเ้ ขา้กบั ระดบั ความสามารถในการเรยี นรู้ และความสะดวกของตนได้ เชน่ การสอนแบบสาํ เรจ็ รปู(Programmed Instruction) การสอนแนะ (Coaching) 1.6.2.4 ประเภทใชส้ อ่ื โสตทศั น์ในการฝึกอบรม เชน่ การสไลด์ (Slide/TapePresentation) การใชภ้ าพยนตร์ (Instructional Film) คอมพวิ เตอร์ เป็นตน้ 1.6.3 ฐรี ะ ประวาลพฤกษ์ (2538:61-62) ไดก้ ลา่ ววา่ การจดั แบง่ ประเภทของการฝึกอบรม จดั ไดห้ ลายลกั ษณะ ผรู้ บั ผดิ ชอบหรอื เจา้ หน้าทจ่ี ดั ฝึกอบรมจะตอ้ งทราบประเภทของการฝึกอบรม เพอ่ื ทราบกลมุ่ คนทเ่ี ขา้ ฝึกอบรมวา่ เป็นพวกไหน มคี วามรแู้ ละประสบการณ์เพยี งใด จะได้จดั เน้ือหาสาระ (Course Content) ตลอดจนการเลอื กใชเ้ ทคนิค และวธิ กี ารฝึกอบรมใหส้ อดคลอ้ งกบัลกั ษณะและความตอ้ งการของการอบรมนนั้ ๆ การแบง่ ประเภทการฝึกอบรมอาจแบง่ ได้ ดงั น้ี 1.6.3.1 การแบง่ ประเภทตามลกั ษณะก่อนหลงั ของการเขา้ ทาํ งาน แบง่ ได้ 2ประเภท
18 1.6.3.1.1 การฝึกอบรมก่อนเขา้ ทาํ งาน (Per-service training) เช่น การปฐมนิเทศ (Orientation) การแนะทาํ งาน (Induction training) เพ่อื ใหผ้ เู้ ขา้ ทาํ งานมคี วามรคู้ วามเขา้ ใจเกย่ี วกบั องคก์ าร และงานทจ่ี ะตอ้ งทาํ ใหส้ ามารถทาํ ไดถ้ กู ตอ้ ง 1.6.3.1.2 การฝึกอบรมระหวา่ งทาํ งาน (In-service training) เชน่ การฝึกอบรมทใ่ี ชก้ ารเสนอแนะ (Coaching) การสาธติ (Demonstration) เพอ่ื ใหผ้ ปู้ ฏบิ ตั งิ านได้พฒั นาการทาํ งานใหด้ ขี น้ึ 1.6.3.2 การแบง่ ประเภทตามจาํ นวนผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม แบง่ เป็น 2 ประเภท 1.6.3.2.1 การฝึกอบรมเป็นรายบุคคล (Individual Training) เป็นการฝึกอบรมทใ่ี ชเ้ ทคนิควธิ สี อนตวั ต่อตวั การเรยี นดว้ ยตนเอง (Self Development) เป็นตน้ 1.6.3.2.2 การฝึกอบรมเป็นกลุม่ (Group Training) เป็นการฝึกอบรมทม่ี ผี เู้ ขา้รบั การอบรมครงั้ ละหลายๆ คน จาํ นวนคนขน้ึ อยกู่ บั ลกั ษณะการใชเ้ ทคนิคและขดี จาํ กดั ของวสั ดุอุปกรณ์ เช่น การอบรมการใชค้ อมพวิ เตอร์ การอบรมแต่ละรุน่ คงรบั จาํ นวนไดไ้ มม่ าก หรอื การฝึกอบรมทใ่ี ชเ้ ทคนิคการใชส้ ถานการณ์จาํ ลอง กรณีศกึ ษากต็ อ้ งจาํ กดั จาํ นวนคน แตถ่ า้ การอบรมท่ีใชว้ ธิ กี ารบรรยาย สามารถจดั เป็นกลมุ่ ใหญ่ได้ 1.6.3.3 การแบง่ ประเภทตามวตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรม แบง่ ได้ 2 ประเภทคอื 1.6.3.3.1 การฝึกอบรมเพอ่ื เขา้ สตู่ าํ แหน่งใหม่ (Promotions) เป็นการฝึกอบรมเพอ่ื เตรยี มคนเขา้ สตู่ าํ แหน่งหน้าท่ี ทจ่ี ะตอ้ งรบั ผดิ ชอบสงู ขน้ึ หรอื หน้าทใ่ี หม่ เชน่ การฝึกอบรมผทู้ จ่ี ะทาํ หน้าทห่ี วั หน้าคนงาน ผทู้ จ่ี ะเป็นผจู้ ดั การสาขา ผทู้ เ่ี ขา้ สตู่ าํ แหน่งผจู้ ดั การฝา่ ยเทคนิค วธิ ที จ่ี ะใช้ ไดแ้ ก่ การแสดงบทบาทสมมติ กรณศี กึ ษา และการศกึ ษาจากพฤตกิ รรมทเ่ี ป็นจรงิ(Modeling Behavior) 1.6.3.3.2 การฝึกอบรมเพอ่ื เสรมิ สมรรถภาพในการปฏบิ ตั งิ าน เป็นการฝึกอบรมทต่ี อ้ งจดั ใหท้ งั้ ผบู้ รหิ ารและผปู้ ฏบิ ตั งิ าน ใหส้ ามารถทาํ งานไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพเพม่ิ ขน้ึโกลดส์ ไตน์ และซอรเ์ ซอร์ (Arnold Goldstein and Melvin Sorcher) เช่อื วา่ การเปลย่ี น ระดบั ของผลการทาํ งานของผปู้ ฏบิ ตั ใิ หส้ งู ขน้ึ ตอ้ งเปลย่ี นแปลงลกั ษณะการบงั คบั บญั ชาของผบู้ รหิ ารระดบั ตน้ ซง่ึอยใู่ กลช้ ดิ กบั ผปู้ ฏบิ ตั งิ านดว้ ย การฝึกอบรมผบู้ รหิ ารจงึ เป็นแนวทางหน่ึงทต่ี อบสนองแนวคดิ ของโกลดส์ ไตน์ กบั ซอรเ์ ซอร์ การอบรมเสรมิ สมรรถภาพทาํ ไดด้ งั น้ี 1.6.3.3.2.1 การฝึกอบรมทางดา้ นมนุษยสมั พนั ธ์ (Human relation)ใหแ้ ก่ ผบู้ รหิ ารทต่ี อ้ งทาํ งานกาํ กบั ดแู ลงาน (Supervision) เทคนิควธิ ที ใ่ี ชจ้ ะเป็นการบรรยาย และการใชบ้ ทบาทสมมติ 1.6.3.3.2.2 การฝึกอบรมใหค้ วามรทู้ วั่ ไป (General Education) เพอ่ื ให้เขา้ ใจเรอ่ื งการบรหิ ารงาน และการจดั องคก์ ารสมยั ใหมก่ ารดาํ เนินธุรกจิ ในปจั จบุ นั และอนาคตเทคนิคทอ่ี าจจะใชก้ ารบรรยายประกอบวดี ที ศั น์ การศกึ ษาดงู าน
19 1.6.3.3.2.3 การฝึกอบรมทางดา้ นทกั ษะ (Skill training) เช่น การอบรมการใชเ้ ทคโนโลยหี รอื เครอ่ื งมอื สาํ หรบั การทาํ งานในโรงงานอุตสาหกรรมใหแ้ ก่ผปู้ ฏบิ ตั งิ าน เทคนิควธิ ที น่ี ํามาใชจ้ ะเป็นการบรรยายประกอบการสาธติ การใชส้ ถานการณ์จาํ ลอง และการฝึกในสถานการณ์ทเ่ี ป็นจรงิ 1.6.3.3.2.4 การพฒั นาตนเอง (Self Development) เป็นการกระตุน้ ใหค้ นในองคก์ ารไดต้ น่ื ตวั ทจ่ี ะใฝห่ าความรดู้ ว้ ยตนเอง ซง่ึ มผี ลตอ่ การทาํ งานในหน้าทด่ี ว้ ย การพฒั นาอาจศกึ ษาจากเอกสารตาํ รา สนทนาสมั ภาษณ์ผมู้ คี วามรู้ หรอื ศกึ ษาสงั เกตจากการปฏบิ ตั จิ รงิ 1.6.3.4 การแบง่ ประเภทตามลกั ษณะวธิ กี ารฝึกอบรมทวั่ ๆ ไป แบง่ เป็น 2ประเภท 1.6.3.4.1 การฝึกปฏบิ ตั งิ านปกตใิ นทท่ี าํ การ (On-the-job training) เป็นการฝึกปฏบิ ตั งิ านทท่ี าํ จรงิ ๆ เพอ่ื ใหค้ นงานเขา้ ใจวธิ กี ารทาํ งาน และเกดิ ทกั ษะในการปฏบิ ตั งิ าน ลกั ษณะการฝึกปฏบิ ตั จิ ะเป็นแบบทาํ ไป เรยี นรไู้ ป อาจมกี ารอธบิ ายประกอบหรอื การสาธติ เพม่ิ เตมิ 1.6.3.4.2 การฝึกปฏบิ ตั งิ านนอกทท่ี าํ การ (Off-the-Job training) เป็นการฝึกอบรมทเ่ี ตรยี มใหค้ นงานพรอ้ มทจ่ี ะเขา้ ไปสกู่ ารปฏบิ ตั งิ านจรงิ เพราะงานบางงานตอ้ งเสย่ี งกบั การเกดิ อุบตั เิ หตุ และตอ้ งการเทคนคิ เฉพาะทาง เช่น งานในโรงงานอุตสาหกรรมทใ่ี ชเ้ ครอ่ื งจกั รกลเทคนิคการฝึกอบรมมที งั้ การบรรยาย การอภปิ ราย การสาธติ การทดลองปฏบิ ตั ใิ นสถานการณ์จาํ ลอง การฝึกอบรมแบบน้ีชว่ ยลดคา่ ใชจ้ า่ ยจากการตอ้ งปฏบิ ตั จิ รงิ และชว่ ยลดอุบตั เิ หตุในการทาํ งาน จากประเภทของการฝึกอบรมทไ่ี ดม้ ผี รู้ ู้ นกั การศกึ ษา และนกั วชิ าการไดก้ ลา่ วไวน้ นั้ จงึสามารถสรปุ ไดว้ ่าประเภทของการฝึกอบรม นนั้ ไดม้ หี ลกั ใหญ่อยู่ 3 หลกั ทเ่ี หน็ วา่ ทุกประเภทของการฝึกอบรมมคี วามเกย่ี วขอ้ งกนั คอื การฝึกอบรมจะฝึกอบรมตามวตั ถุประสงคท์ ต่ี งั้ ไว้ การฝึกอบรมจะฝึกอบรมตามจาํ นวนผเู้ ขา้ อบรม และการฝึกอบรมจะสอดคลอ้ งกบั การปฏบิ ตั งิ าน 1.7 เทคนิคการฝึ กอบรม การฝึกอบรมในองคก์ ารหรอื หน่วยงานตา่ งๆ ไดม้ กี ารนําการนําเสนอเน้ือหาในการฝึกอบรมมาใชก้ นั หลากหลายในการฝึกอบรม โดยในการจดั การฝึกอบรมจงึ ไดม้ กี ารนําเทคนิคการฝึกอบรมมาใชก้ นั อยา่ งมากมายโดยไดม้ นี กั วชิ าการหลายๆ ทา่ นไดก้ ลา่ วไวด้ งั น้ี 1.7.1 ฐรี ะ ประวาลพฤกษ์ (2538:111-112) ไดก้ ลา่ ววา่ เทคนิคการฝึกอบรม หมายถงึกลวธิ ใี นการถา่ ยทอดประสบการณ์ทงั้ ในดา้ นความรทู้ กั ษะ และเจตคตทิ ด่ี ใี นเรอ่ื งใดเรอ่ื งหน่ึงใหแ้ กผ่ ู้เขา้ รบั การอบรม เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรแู้ ละเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมตามวตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรมทก่ี าํ หนดไว้ ประเภทของเทคนิคทก่ี ลา่ วมาน้ี เป็นการจดั แบง่ ตามแนวความคดิ ของผรู้ ซู้ ง่ึ มีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื จดั กลมุ่ ของเทคนิควธิ ที เ่ี หมอื นกนั มารวมกนั เทา่ นนั้ เชน่ จดั โดยยดึ หลกั การณ์มี
20สว่ นรว่ มของผเู้ ขา้ รบั การอบรม ซง่ึ โดยธรรมชาตแิ ลว้ แต่ละเทคนิคจะมลี กั ษณะเฉพาะของเทคนคินนั้ ๆ บางเทคนิคอาจจะมลี กั ษณะคลา้ ยหรอื สมั พนั ธก์ นั บางเทคนิคตอ้ งอาศยั เทคนิคอน่ื เขา้ มาประกอบ การนําเสนอในทน่ี ้ีจงึ เป็นการนําเอาเทคนิควธิ ที ใ่ี ชก้ นั มากมาเสนอเป็นแนวทางตามลาํ ดบัดงั น้ี 1.7.1.1 การบรรยาย (Lecture) 1.7.1.2 การอภปิ รายเป็นคณะ (Panel Discussion) 1.7.1.3 การอภปิ รายปาฐกถาหรอื การบรรยายเป็นชุด (Symposium Discussion) 1.7.1.4 การอภปิ รายกลมุ่ (Group Discussion) 1.7.1.5 การอภปิ รายถกเถยี ง (Buzz session) 1.7.1.6 การอภปิ รายแบบปจุ ฉาวสิ ชั นา (Colloguy Method) 1.7.1.7 การระดมสมอง (Brain Stroming) 1.7.1.8 การประชุม (Conference) 1.7.1.9 การประชุมใหญ่ (Convention) 1.7.1.10 การสมั มนา (Seminar) 1.7.1.11 การประชมุ ปฏบิ ตั กิ าร (Workshop) 1.7.1.12 การสาธติ (Demonstration) 1.7.1.13 กรณีศกึ ษา (Case Study) 1.7.1.14 การแสดงบทบาทสมมติ (Role playing) 1.7.1.15 บทเรยี นสาํ เรจ็ รปู (Programmed Instruction) 1.7.1.16 การอบรมดา้ นความรสู้ กึ (Sensitivity Training) 1.7.1.17 การสอนแนะ (Coaching) 1.7.1.18 การโยกยา้ ยสบั เปลย่ี นงาน (Job rotation) 1.7.1.19 การศกึ ษาจากพฤตกิ รรมทเี ป็นจรงิ (Behavior Modeling) 1.7.1.20 เกมการบรหิ าร (Management Game) 1.7.1.21 สถานการณ์จาํ ลอง (Simulation Technigue or Simulators) 1.7.1.22 การฝึกอบรมในหอ้ งทดลองปฏบิ ตั งิ าน (Vestibule Training) 1.7.1.23 การฝึกอบรมในงาน (On the Job Training) 1.7.1.24 การฝึกอบรมตามรปู แบบของแพทยฝ์ ึกหดั ในโรงพยาบาล (Internship) 1.7.1.25 การฝึกหดั ชา่ งฝีมอื (Apprenticeship Training) 1.7.2 สมชาติ กจิ ยรรยง (2545:137) ไดก้ ลา่ ววา่ เทคนิคการฝึกอบรม (TrainingTechnique) หมายถงึ วธิ กี ารทใ่ี ชใ้ นการสอ่ื สารหรอื ถ่ายทอดความรู้ ความคดิ เหน็ ขอ้ เทจ็ จรงิประสบการณ์ หรอื ขอ้ มลู ตา่ งๆ ทจ่ี ะทาํ ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมเกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจ เกดิ ทศั นคติทด่ี แี ละมคี วามสามารถในการปฏบิ ตั งิ านอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
21 1.7.3 ราํ ไพพรรณ อภชิ าตพิ งศช์ ยั (2545:77) ไดก้ ล่าววา่ เทคนิคการฝึกอบรมหมายถงึ กลวธิ ใี นการถา่ ยทอดประสบการณ์ทงั้ ในดา้ นความรู้ ทกั ษะและทศั นคติ เพอ่ื ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมเกดิ การเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมตามวตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรมทไ่ี ดก้ าํ หนดไว้ ราํ ไพพรรณ อภชิ าตพิ งศช์ ยั (2545:77-104) ไดใ้ หท้ รรศนะวา่ การเลอื กใชเ้ ทคนคิทเ่ี หมาะสมจะตอ้ งพจิ ารณาถงึ เน้ือหาความแตกตา่ งของกลุม่ บคุ คล เชน่ ระดบั อายุ ระดบั การศกึ ษาฯลฯ ระยะเวลาอบรมตลอดจนคา่ ใชจ้ า่ ยเพอ่ื การใชเ้ ทคนิคนนั้ ๆ การฝึกอบรมแต่ละครงั้ อาจจะตอ้ งใช้เทคนิคหลายวธิ ปี ระกอบกนั เพอ่ื ใหเ้ กดิ ประโยชน์สงู สดุ ในการฝึกอบรม โดยมเี ทคนิคการฝึกอบรมตา่ งๆ ดงั น้คี อื 1.7.3.1 เทคนิคการฝึกอบรมโดยใชว้ ทิ ยากรเป็นศนู ยก์ ลางการเรยี นรู้ โดยอา้ งองิจาก ราํ ไพพรรณ อภชิ าตพิ งศช์ ยั (2545:77-104) ทไ่ี ดใ้ หท้ รรศนะวา่ เทคนิคในการฝึกอบรมทางดา้ นการสง่ เสรมิ การเกษตรโดยมวี ทิ ยากรเป็นศนู ยก์ ลางการเรยี นรนู้ นั้ สามารถแบง่ ออกไดด้ งั น้ี 1.7.3.1.1 การบรรยาย (Lecture) วทิ ยากรบรรยายตามหวั ขอ้ ทไ่ี ดร้ บัมอบหมาย อาจใชส้ อ่ื ตา่ งๆ ประกอบการบรรยาย เชน่ รปู ภาพ สไลด์ หรอื วดี โี อเทปและในบางครงั้อาจจะเปิดโอกาสใหผ้ ฟู้ งั ไดซ้ กั ถาม 1.7.3.1.2 การอภปิ รายเป็นคณะ (Panel Discussion) การอภปิ รายเป็นคณะเป็นการอภปิ รายโดยผทู้ รงวฒุ ิ 3-5 คน ใหข้ อ้ เทจ็ จรงิ ความคดิ เหน็ ปญั หา อุปสรรค แนวทางแกไ้ ขซง่ึ เป็นการอภปิ รายในลกั ษณะทส่ี นบั สนุน หรอื ใหเ้ หตุผลโตแ้ ยง้ ผทู้ รงคณุ วฒุ ดิ ว้ ยกนั และมพี ธิ กี รหน่ึงคนเป็นผดู้ าํ เนินการอภปิ ราย (Moderator) ประสานงาน เชอ่ื มโยง และสรุปการอภปิ รายของวทิ ยากรแต่ละคน หลงั การอภปิ รายและจะเปิดโอกาสใหผ้ ฟู้ งั ซกั ถาม 1.7.4 การประชุมปาฐกถาหรอื การประชมุ ทางวชิ าการ (Symposium) การชมุ นุมปาฐกถาหรอื การประชุมทางวชิ าการ เป็นการบรรยาย แบบมวี ทิ ยากรหรอื ผเู้ ชย่ี วชาญประมาณ 2-6คน มพี ธิ กี รเป็นผดู้ าํ เนินการอภปิ รายเป็นคณะ เน้นหวั ขอ้ วชิ าเป็นสาํ คญั เมอ่ื เสรจ็ สน้ิ การบรรยายจะเปิดโอกาสใหผ้ ฟู้ งั ซกั ถามปญั หาต่างๆ ได้ เป็นการประชุมปาฐกถาหรอื การประชมุ ทางวชิ าการท่ีเชญิ ผทู้ รงคณุ วุฒมิ าใหค้ วามรใู้ นเรอ่ื งทส่ี นใจในแตล่ ะดา้ นเชน่ การประชมุ ปาฐกถา เรอ่ื ง “ยทุ ธศาสตร์ในการพฒั นาคณุ ภาพพนกั งาน” กอ็ าจเชญิ ผเู้ ชย่ี วชาญ ทางดา้ นการบรหิ ารทรพั ยากรบคุ คลมอือาชพี หลากหลายวงการ ทงั้ ภาครฐั ภาคเอกชน (ภาคอตุ สาหกรรม ภาคการเงนิ ภาคธุรกจิ ) มารว่ มเป็นองคป์ าฐกถา ซง่ึ ผฟู้ งั หรอื ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมจะไดร้ บั ความรู้ ความเขา้ ใจ ตามเรอ่ื งและวตั ถุประสงคท์ ก่ี าํ หนดไว้ 1.7.5 การสาธติ (Demonstration) การสาธติ เป็นวธิ กี ารสง่ เสรมิ โดยใชก้ ารบรรยายประกอบการแสดงทาํ ใหผ้ เู้ รยี นรู้ “ไดฟ้ งั ” และ “ไดเ้ หน็ ” ไปพรอ้ มกนั วตั ถุประสงคข์ องการสาธติเพอ่ื ใหเ้ กษตรกรไดเ้ รยี นรถู้ งึ วธิ กี ารปฏบิ ตั หิ รอื ผลจากการปฏบิ ตั ทิ ม่ี ลี าํ ดบั ขนั้ ตอน มหี ลกั วชิ าการและสามารถนําไปปฏบิ ตั ไิ ด้ เป็นการพฒั นาทกั ษะ (skill) ของเกษตรกรใหส้ ามารถปฏบิ ตั กิ ารไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง การสาธติ แบง่ ออกเป็น 2 แบบ คอื การสาธติ วธิ ี (Method demonstration) กบั การสาธติ ผล(result demonstration)
22 1.7.6 การศกึ ษาและดงู านนอกสถานท่ี (Tour and filed trips) จดั เป็นวธิ กี ารสง่ เสรมิ ท่ีเพม่ิ ความรแู้ ละประสบการณ์ใหแ้ กผ่ รู้ บั การสง่ เสรมิ ไดเ้ ป็นอยา่ งดวี ธิ หี น่ึง เพราะผรู้ ว่ มในการศกึ ษาและดงู านจะมโี อกาสไดพ้ บเหน็ ผลงานของผอู้ น่ื ซง่ึ ไดท้ าํ สาํ เรจ็ แลว้ อนั จะมผี ลในการเพมิ่ ความเช่อื มนั่ ใหแ้ ก่ผรู้ ว่ มศกึ ษาดงู านใหย้ อมรบั สง่ิ ใหมม่ ากขน้ึ เจา้ หน้าทส่ี ง่ เสรมิ อาจใชว้ ธิ จี ดั ใหม้ กี ารศกึ ษาดงู านนอกสถานทต่ี ่อเน่ือง จากการสาธติ ผลกไ็ ด้ ทงั้ น้ผี รู้ บั การสง่ เสรมิ จะไดพ้ บเหน็ ไดร้ บั ฟงั ได้แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ สรุปผลและตดั สนิ ใจเองว่าจะนําสง่ิ ไหนไปใชใ้ นการประกอบอาชพี และในครอบครวั ของเขาไดบ้ า้ ง 1.7.6.1 เทคนิคการฝึกอบรมโดยผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรู้โดยอา้ งองิ จาก ราํ ไพพรรณ อภชิ าตพิ งศช์ ยั (2545:77-104) ทไ่ี ดใ้ หท้ รรศนะวา่ เทคนิคในการฝึกอบรมทางดา้ นการสง่ เสรมิ การเกษตรโดยมผี เู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นรู้ สามารถแบง่ ออกไดด้ งั น้ี 1.7.6.1.1 การระดมสมอง (Brainstorming) การระดมสมองหรอื การระดมความคดิ คอื การทใ่ี หส้ มาชกิ ทุกคนในกลมุ่ ไดใ้ หค้ วามคดิ เหน็ เกย่ี วกบั เรอ่ื งหรอื ปญั หาหน่ึงอยา่ งอสิ ระโดยไมม่ กี ารอภปิ รายวา่ ความคดิ ทเ่ี สนอถกู หรอื ผดิ เหมาะสมมากน้อยเพยี งใด จนกวา่ สมาชกิ จะเสนอความคดิ หมดแลว้ จงึ วเิ คราะห์ หรอื ประเมนิ คา่ ของความคดิ เพอ่ื นําไปสขู่ อ้ สรุปในเรอ่ื งหรอืปญั หานนั้ อาจกลา่ วอกี นยั หน่งึ วา่ การระดมสมองเป็นการประชุมกลุม่ เลก็ ไมเ่ กนิ 15 คน โดยเปิดโอกาสใหท้ ุกคนแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งเสรโี ดยปราศจากขอ้ จาํ กดั หรอื กฎเกณฑใ์ ดๆ ในหวั ขอ้ หน่ึงหรอื ปญั หาใดปญั หาหน่ึง โดยไมค่ าํ นึงวา่ จะถกู หรอื ผดิ ดหี รอื ไมด่ ี ความคดิ หรอื ขอ้ เสนอทกุ อยา่ งจะถกู จดบนั ทกึ ไวแ้ ลว้ นําไปกลนั่ กรองอกี ชนั้ หน่ึง ดงั นนั้ พอเรมิ่ ประชุมตอ้ งมกี ารเลอื กประธานและเลขานุการของกลุม่ เสยี ก่อน 1.7.6.1.2 การประชุมกลมุ่ ยอ่ ย (Buzz Session or Phillip 6-6) การประชุมกลุ่มยอ่ ย บางครงั้ เรยี กวา่ Buzz Group หรอื Phillip 6-6 เป็นการแบง่ ผเู้ ขา้ รบั การอบรมเป็นกลุ่มยอ่ ยจากกลุม่ ใหญ่กลุม่ ยอ่ ยละ 2-6 คน เพอ่ื พจิ ารณาประเดน็ ปญั หา อาจเป็นปญั หาเดยี วกนั หรอืต่างกนั ในชว่ งเวลาทก่ี าํ หนด มวี ทิ ยากรคอยช่วยเหลอื ทุกกลมุ่ แต่ละกลุม่ ตอ้ งเลอื กประธานและเลขานุการของกลุม่ เพอ่ื ดาํ เนินการ แลว้ นําความคดิ เหน็ ของกลุม่ เสนอต่อทป่ี ระชุมใหญ่ สาํ หรบั การประชุมแบบฟิลลปิ 6-6 นนั้ เป็นการจดั กลุม่ ยอ่ ยอยา่ งรวดเรว็ โดยผเู้ ขา้ รบั การอบรมทน่ี งั ่ อยใู่ นหอ้ งอบรมแถวหน้า 3 คน ยกเกา้ อห้ี นั กลบั ไปหาผนู้ งั่ แถวหลงั ตน 3 คน รวมกลมุ่ กนั เป็น 6 คน ใหเ้ วลาปรกึ ษากนั 6 นาที แลว้ สลายกลุม่ กลบั ทเ่ี ดมิ 1.7.6.1.3 กรณศี กึ ษา (Case Study) กรณีศกึ ษา หรอื การศกึ ษาเฉพาะกรณีเทคนิคการฝึกอบรมทน่ี ําเอากรณีหรอื เรอ่ื งราวทเ่ี ป็นปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ จรงิ ๆ เสนอในกลุม่ ผเู้ ขา้ รบั การอบรม สมาชกิ ของกลุม่ จะใชห้ ลกั วชิ าการและประสบการณ์ทไ่ี ดจ้ ากการปฏบิ ตั งิ านมาผสมผสานเพอ่ืวเิ คราะหก์ รณีทย่ี กมา โดยมที ป่ี รกึ ษาคอยใหค้ าํ แนะนําและใหแ้ นวทางเพอ่ื ชว่ ยสมาชกิ กลุม่ วเิ คราะห์ปญั หาไดต้ รงวตั ถุประสงค์ ขนั้ ตอนของการศกึ ษาจะเรม่ิ ดว้ ยหลกั การและการใหภ้ าพตา่ งๆ ทจ่ี ะเป็นประโยชน์ต่อการพจิ ารณาตดั สนิ ใจแกป้ ญั หา จากนนั้ ผเู้ ขา้ อบรมจะศกึ ษา อภปิ รายและคน้ ควา้ หา
23ขอ้ มลู ตามหลกั วชิ า ซง่ึ บางครงั้ ขอ้ มลู ทส่ี าํ เรจ็ อยแู่ ลว้ แตบ่ างครงั้ จาํ เป็นตอ้ งคน้ ควา้ หาขอ้ มลู บา้ งและในขนั้ ตอนสดุ ทา้ ยผเู้ ขา้ รบั การอบรมจะตอ้ งพจิ ารณาตดั สนิ ใจแกป้ ญั หาหรอื กรณีทน่ี ําเสนอภายใต้สภาพการณ์ทใ่ี กลเ้ คยี งกบั ความเป็นจรงิ มากทส่ี ดุ และเพอ่ื ช่วยใหก้ ารตดั สนิ ใจของผเู้ ขา้ รบั การอบรมดขี น้ึ การนําเสนอกรณหี รอื ปญั หา จะตอ้ งมรี ายละเอยี ดมากพอทจ่ี ะทาํ ใหผ้ ศู้ กึ ษาไดเ้ หน็ จดุ สาํ คญัของปญั หาและไดข้ อ้ มลู ทเ่ี ป็นแนวทางนําไปสกู่ ารตดั สนิ ใจแกป้ ญั หา กรณศี กึ ษา เหมาะสาํ หรบั การฝึกอบรมทางกฎหมาย การบรหิ ารงานและการฝึกอบรมเรอ่ื งทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความสาํ คญั ของมนุษย์ประเภทบุคคลทเ่ี ขา้ ฝึกอบรมทเ่ี หมาะสมทจ่ี ะใชเ้ ทคนิควธิ นี ้ีคอื ผบู้ รหิ าร ผจู้ ดั การและผทู้ จ่ี ะเขา้ สู่ระดบั มอื อาชพี สว่ นในเรอ่ื งการสนองตอบวตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรมจะใชไ้ ดด้ กี บั การฝึกอบรมจะตอ้ งมกี ารเปลย่ี นทศั นคตแิ ละสรา้ งเสรมิ ทกั ษะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคล 1.7.6.1.4 การประชุมใหญ่ (Convention) การประชมุ คอนเวนชนั่ เป็นรปู แบบของการประชุมทจ่ี ดั ขน้ึ เพอ่ื ใหส้ มาชกิ ทเ่ี ป็นผแู้ ทนของสว่ นงานต่างๆ ไดม้ ารว่ มพจิ ารณานโยบายหลกั เกณฑแ์ ละแนวทางดาํ เนินการ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความมนั่ คงและกา้ วหน้าขององคก์ าร เชน่ การประชุมผบู้ รหิ ารสาํ นกั งานสาขา เป็นตน้ ลกั ษณะของการประชุมแบบน้ี ผเู้ ขา้ รว่ มประชุมจะมเี ป็นจาํ นวนมาก การเตรยี มการจดั ประชมุ จงึ มคี วามสาํ คญั ตงั้ แต่การจดั หาหอ้ งประชมุ ขนาดใหญ่ ทม่ี หี อ้ งประชุมยอ่ ยการจดั เตรยี มสงิ่ อาํ นวยความสะดวก วสั ดุอปุ กรณ์และบรรยากาศการประชุม ตลอดจนสงิ่ ทเ่ี ป็นแรงจงู ใจแก่ผเู้ ขา้ ประชุม การดาํ เนินการประชุม จะเรมิ่ พธิ เี ปิดดว้ ยการเชญิ บุคคลสาํ คญั หรอืผทู้ ม่ี ชี ่อื เสยี งมาเป็นประธาน มกี ารจดั ระเบยี บวาระการประชุมและจดั กจิ กรรมประกอบการประชมุในการประชุมใหญ่นนั้ สมาชกิ ผเู้ ขา้ ประชุมนอกจากจะมสี ว่ นรว่ มในการพจิ ารณานโยบายหลกั เกณฑแ์ ละแนวทางดาํ เนินงานแลว้ ยงั เป็นโอกาสทด่ี ที ผ่ี เู้ ขา้ รว่ มประชุมจะไดร้ บั ความรู้ประสบการณ์เกย่ี วกบั สง่ิ ใหมๆ่ ดา้ นเทคนิควธิ กี ารนําเอาเทคโนโลยแี ละแนวคดิ ใหมม่ าใชใ้ นการดาํ เนินกจิ กรรมใหท้ นั กบั ความเปลย่ี นแปลงของโลก การประชมุ ใหญ่จงึ เป็นเทคนิควธิ หี น่ึงทส่ี ามารถใชเ้ พอ่ื การพฒั นาบคุ คล 1.7.6.1.5 การแสดงบทบาทสมมติ (Role Playing) การแสดงบทบาทสมมติเป็นเทคนิควธิ ที ค่ี ลา้ ยกบั กรณศี กึ ษา (Case Study) กลา่ วคอื เป็นเทคนิคทน่ี ําเอาเรอ่ื งทเ่ี ป็นกรณีตวั อยา่ งมาเสนอในรปู แบบการแสดงบทบาท ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมไดเ้ หน็ ภาพชดั เจนไดส้ มั ผสั กบัประสบการณ์และความรสู้ กึ ทแ่ี ทจ้ รงิ เกย่ี วกบั ปญั หาทเ่ี ป็นกรณตี วั อยา่ ง การแสดงบทบาทสมมตไิ ด้ชว่ ยใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมไดร้ บั ทราบขอ้ มลู และเรอ่ื งราวทต่ี รงกบั เน้ือเรอ่ื งทใ่ี ชใ้ นแนวเดยี วกนั ซง่ึ ตา่ งจากกรณที ผ่ี เู้ ขา้ รบั การอบรมอา่ นเน้ือหาแลว้ ตอ้ งจนิ ตนาการและตคี วามหมายของปญั หา ในบางครงั้อาจจะทาํ ใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจไขวเ้ ขวได้ นอกจากน้ีหลงั การแสดงบทบาทสมมตแิ ลว้ ผเู้ ขา้ รบั การอบรมสามารถวเิ คราะหป์ ญั หาไดพ้ รอ้ มกนั ทงั้ กลุม่ ใหญ่หรอื กลมุ่ ยอ่ ยทาํ ใหไ้ ดข้ อ้ เสนอและขอ้ สรุปเพอ่ืการแกป้ ญั หา 1.7.6.1.6 การสมั มนา (Seminar) การสมั มนาเป็นการประชมุ ของผทู้ ่ีปฏบิ ตั งิ านอยา่ งเดยี วกนั หรอื คลา้ ยกนั แลว้ พบปญั หาทเ่ี หมอื นๆ กนั เพอ่ื รว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็หาแนวทางปฏบิ ตั ใิ นการแกป้ ญั หา ทกุ คนทไ่ี ปรว่ มการสมั มนาตอ้ งชว่ ยกนั แสดงความคดิ เหน็ ปกติ
24จะบรรยายใหค้ วามรพู้ น้ื ฐานก่อนแลว้ จงึ แบง่ กลมุ่ ยอ่ ย จากนนั้ นําผลการอภปิ รายของกลมุ่ ยอ่ ยเสนอทป่ี ระชุมใหญ่ การสมั มนา เป็นรปู แบบของการฝึกอบรมทผ่ี เู้ ขา้ รบั การอบรมมคี วามสนใจหรอื ประสบปญั หาในการปฏบิ ตั อิ ยา่ งเดยี วกนั ตอ้ งการทจ่ี ะศกึ ษาคน้ ควา้ เพอ่ื นําขอ้ สรุปไปใชใ้ นการพฒั นาหรอืปรบั ปรุงและแกป้ ญั หาในการทาํ งาน ซง่ึ ในการศกึ ษา คน้ ควา้ เสนอความคดิ เหน็ ทจ่ี ะก่อใหเ้ กดิความรแู้ ละแนวทางเพอ่ื นําไปใชใ้ นการแกไ้ ขปญั หาและพฒั นาการปฏบิ ตั งิ านในความรบั ผดิ ชอบของผเู้ ขา้ สมั มนา การสมั มนาจะเกดิ ประสทิ ธภิ าพไดข้ น้ึ อยกู่ บั ผเู้ ขา้ รว่ มสมั มนาจะตอ้ งเป็นผทู้ ม่ี คี วามรู้ความสามารถและประสบการณ์ในการทาํ งานมากพอทจ่ี ะทาํ ใหก้ ารวเิ คราะหว์ พิ ากษ์วจิ ารณ์เป็นไปอยา่ งกวา้ งขวาง นําไปสผู่ ลหรอื ขอ้ สรปุ ทด่ี ี การนําเทคนิควธิ กี ารสมั มนาไปใช้ เหมาะสาํ หรบั การฝึกอบรมทงั้ ระดบั ผบู้ รหิ ารและผปู้ ฏบิ ตั กิ าร ในลกั ษณะการฝึกอบรมนอกงานถา้ ผเู้ ขา้ สมั มนาแต่ละกลุ่มมคี วามรแู้ ละประสบการณ์ในการทาํ งานทใ่ี กลเ้ คยี งกนั จะทาํ ใหก้ ารสมั มนาเกดิ ประสทิ ธภิ าพยงิ่ ขน้ึ และถา้ จะพจิ ารณาทางดา้ นการใชเ้ ทคนิคใหเ้ หมาะกบั วตั ถุประสงคข์ องการอบรมแลว้ การสมั มนาจะเหมาะกบั การฝึกอบรมทต่ี อ้ งการใหเ้ กดิ ความรแู้ ละความเขา้ ใจทจ่ี ะสรา้ งประสบการณ์ในแนวทางใหม่ 1.7.6.1.7 การประชุมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร (workshop) การประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเป็นรปู แบบของการฝึกอบรมทส่ี ง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมเกดิ การเรยี นรทู้ งั้ ทางดา้ นทฤษฎแี ละปฏบิ ตั สิ ามารถนําสง่ิ ทไ่ี ดร้ บั ไปปฏบิ ตั งิ านในสถานการณ์จรงิ ทผ่ี เู้ ขา้ รบั การอบรมปฏบิ ตั อิ ยู่ เชน่ ในองคก์ รหรอื หน่วยงานมกี ารนําเอาเครอ่ื งจกั รกลหรอื เทคโนโลยใี หมๆ่ มาใช้ จาํ เป็นทจ่ี ะตอ้ งอบรมพนกั งานใหม้ คี วามรแู้ ละสามารถปฏบิ ตั งิ านได้ บางทจี งึ เรยี กการอบรมในลกั ษณะเขม้ (IntensiveTraining Course) ลกั ษณะของการประชมุ เชงิ ปฏบิ ตั กิ าร จะแบง่ การดาํ เนินการไดเ้ ป็น 2 สว่ นคอืสว่ นแรกจะเป็นการใหค้ วามรขู้ องวทิ ยากรเพอ่ื เพมิ่ พนู ความรู้ ความเขา้ ใจใหแ้ กผ่ เู้ ขา้ รบั การอบรม ให้สามารถแกไ้ ขขอ้ ขดั ขอ้ งในการทาํ งาน กาํ หนดแนวทางในการปฏบิ ตั งิ านและปรบั ปรุงงาน สว่ นทส่ี องจะเป็นปฏบิ ตั กิ ารของผเู้ ขา้ รบั การอบรมทจ่ี ะหารอื อภปิ ราย ใหไ้ ดแ้ นวทางแกป้ ญั หาหรอื วธิ กี ารปฏบิ ตั งิ านโดยอาจจะดาํ เนินการทงั้ กลุม่ ใหญ่หรอื แบง่ กลมุ่ ยอ่ ย ซง่ึ การดาํ เนินการของสว่ นทส่ี อง จะอาศยั หลกั วชิ าการหรอื หลกั การทว่ี ทิ ยากรไดบ้ รรยายมาประกอบเป็นแนวทาง อาจจะกลา่ วไดว้ า่การประชุมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร เป็นการอบรมทใ่ี หผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมไดป้ ฏบิ ตั จิ รงิ โดยทวั่ ไปจะมกี ารบรรยายใหค้ วามรพู้ น้ื ฐานกอ่ นแลว้ จงึ ใหล้ งมอื ปฏบิ ตั ิ อาจเป็นการฝึกการใชเ้ ครอ่ื งมอื ใหมๆ่ ประชุมเพอ่ื ชว่ ยกนั สรา้ งคมู่ อื หรอื ประชมุ เพอ่ื สรา้ งอุปกรณ์ต่างๆ เป็นตน้ การปฏบิ ตั นิ ิยมใหร้ ว่ มกนั เป็นกลุม่ยอ่ ยๆ มากกวา่ ปฏบิ ตั เิ ป็นกลมุ่ ใหญ่หรอื รายบคุ คล 1.8 การศึกษาความต้องการจาํ เป็นในการฝึ กอบรม 1.8.1 การศกึ ษาความตอ้ งการจาํ เป็น เป็นการคน้ หาสภาพการณ์หรอื ปญั หาเกย่ี วกบับุคลากรในองคก์ ารทต่ี อ้ งแกไ้ ขดว้ ยวธิ กี ารฝึกอบรม ความตอ้ งการจาํ เป็นในการฝึกอบรม (Trainingneeds) เป็นขนั้ ตอนทส่ี าํ คญั และเป็นขนั้ ตอนแรกของระบบการฝึกอบรม ทเ่ี จา้ หน้าทฝ่ี ึกอบรมหรอื
25ผรู้ บั ผดิ ชอบการฝึกอบรมตอ้ งดาํ เนินการเพอ่ื วางแผนและโครงการฝึกอบรมใหด้ าํ เนนิ ไปอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ โดยเฉพาะความตอ้ งการจาํ เป็นของการฝึกอบรมจะนําไปสกู่ ารกาํ หนดวตั ถุประสงค์ของโครงการฝึกอบรมทช่ี ดั เจน ชว่ ยทาํ ใหเ้ หน็ ความสาํ เรจ็ ของการฝึกอบรม พฒั นา สขุ ประเสรฐิ (2540:12) ไดใ้ หท้ รรศนะวา่ ความจาํ เป็นในการฝึกอบรมหมายถงึ สภาพการณ์ หรอื ปญั หาอุปสรรคขอ้ ขดั ขอ้ งต่างๆ ทต่ี อ้ งการดาํ เนินการหรอื แกไ้ ขดว้ ยการฝึกอบรม เพอ่ื ใหบ้ รรลถุ งึ จุดมงุ่ หมายหรอื วตั ถุประสงคท์ ต่ี งั้ ไว้ หน่วยงานและองคก์ รยอ่ มมกี ารเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเวลาทเ่ี ปลย่ี นไปโดยอาจเป็นไปในลกั ษณะทก่ี า้ วหน้าขน้ึ หรอื เสอ่ื มทรามลง ถา้ องคก์ ารหรอื หน่วยงานเปลย่ี นไปในทางเจรญิ กา้ วหน้ามกี ารขยายอตั ราการเตบิ โต ตอ้ งเพมิ่ การผลติ มกี ารตดิ ตอ่ สอ่ื สารมากขน้ึ มกี ารใช้เครอ่ื งมอื และอุปกรณ์มากมายหลายชนิด ตอ้ งรบั คนเขา้ มาทาํ งานมากขน้ึ จงึ มคี วามจาํ เป็นอยา่ งยง่ิทจ่ี ะตอ้ งฝึกอบรมเจา้ หน้าทเ่ี พอ่ื ใหม้ คี วามรู้ ความเขา้ ใจ ความสามารถทจ่ี ะใชเ้ ครอ่ื งมอื เครอ่ื งจกั รกลทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพเพอ่ื ทาํ หน้าทท่ี ร่ี บั เขา้ มาใหม่ จะตอ้ งเรยี นรใู้ นเรอ่ื ง กฎ ระเบยี บ ขอ้ บงั คบั และขอ้ พงึปฏบิ ตั ใิ นหน้าทท่ี ร่ี บั ผดิ ชอบและโครงสรา้ งการดาํ เนินงานภายในหน่วยงาน รวมถงึ ความสมั พนั ธท์ ่ีพงึ ปฏบิ ตั กิ บั ผรู้ ว่ มงาน หรอื ประชาชนทต่ี ดิ ตอ่ เกย่ี วขอ้ ง ในขณะเดยี วกนั บุคลากรทท่ี าํ งานอยเู่ ดมิภายในองคก์ รกม็ คี วามจาํ เป็นทจ่ี ะตอ้ งเขา้ รบั การฝึกอบรมเชน่ เดยี วกนั เพอ่ื ใหม้ คี วามเชย่ี วชาญและทกั ษะความชาํ นาญงานโดยเฉพาะ เพอ่ื ใหป้ ฏบิ ตั หิ น้าทท่ี ไ่ี ดร้ บั มอบหมายไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ลและประสทิ ธภิ าพสงู สดุ จากการศกึ ษาความตอ้ งการจาํ เป็นในการฝึกอบรมทไ่ี ดม้ ผี รู้ ู้ นกั การศกึ ษาและนกั วชิ าการไดใ้ หท้ รรศนะไว้ สามารถสรปุ ไดว้ า่ การศกึ ษาความตอ้ งการจาํ เป็นในการฝึกอบรมนนั้ เป็นขนั้ ตอนท่ีสาํ คญั ในการวเิ คราะหห์ าสาเหตุของทจ่ี ะตอ้ งนําการฝึกอบรมไปใชแ้ กป้ ญั หา ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความจาํ เป็นทเ่ี กดิ ขน้ึ ในเรอ่ื งนนั้ ๆ 1.9 กระบวนการในการฝึ กอบรม 1.9.1 กระบวนการในการฝึกอบรม นนั้ เป็นขนั้ ตอนทม่ี สี ว่ นสาํ คญั ทจ่ี ะทาํ ใหก้ ารฝึกอบรมนนั้ มปี ระสทิ ธภิ าพ โดยกระบวนการในการฝึกอบรมนนั้ มนี กั วชิ าการและนกั การศกึ ษาไดใ้ ห้ทรรศนะไวด้ งั น้ี พฒั นา สขุ ประเสรฐิ (2540:27) ไดก้ ลา่ ววา่ การฝึกอบรมเป็นกระบวนการพฒั นาบุคคลซง่ึ ประกอบดว้ ยกจิ กรรมต่าง ๆ ทม่ี คี วามสมั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และกนั โดยจะตอ้ งดาํ เนินไปตามลาํ ดบัขนั้ ตอนและตอ่ เน่ืองเพอ่ื ใหก้ ารฝึกอบรมเกดิ ประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลแก่บคุ คล งาน และหน่วยงานมากทส่ี ดุ เพอ่ื จะไดเ้ ป็นพน้ื ฐานและนําไปสคู่ วามเขา้ ใจทล่ี กึ ซง้ึ และละเอยี ดยงิ่ ขน้ึ จะขอกลา่ วถงึ กจิ กรรมสาํ คญั ทท่ี าํ ใหเ้ กดิ กระบวนการจดั ฝึกอบรมหรอื กระบวนการฝึกอบรมทงั้ 6 ขนั้ คอื 1.9.1.1 การสาํ รวจความจาํ เป็นในการฝึกอบรม 1.9.1.2 การจดั หลกั สตู รฝึกอบรม
26 1.9.1.3 การวางแผนโครงการฝึกอบรม 1.9.1.4 การดาํ เนินงานฝึกอบรม 1.9.1.5 การประเมนิ และตดิ ตามผลการฝึกอบรม 1.9.1.6 การจดั ทาํ รายงานสรุปผล 1.9.1.7 เลอื กอุปกรณ์การฝึกอบรม 1.9.1.8 ดาํ เนินการฝึกอบรม 1.9.1.9 ประเมนิ ผลและตดิ ตามผล สงิ่ ทต่ี อ้ งคาํ นึงถงึ คอื การฝึกอบรมบคุ คลเป็นงานของผบู้ รหิ ารทกุ ระดบั ชนั้ ซง่ึ ความจรงิแลว้ หน้าทก่ี ารสอนงานหรอื ฝึกอบรมนนั้ ผบู้ รหิ ารตอ้ งทาํ อยแู่ ลว้ แต่ขาดระบบและวธิ กี ารทเ่ี ป็นทางการ อกี ทงั้ ผบู้ รหิ ารกม็ ภี าระหน้าทอ่ี ่นื ๆ มากมาย จงึ ตอ้ งอาศยั ผชู้ าํ นาญพเิ ศษดา้ นการฝึกอบรมเขา้ มาชว่ ยเหลอื งานดา้ นการฝึกอบรมโดยเฉพาะ ดงั นนั้ ผบู้ รหิ ารจะตอ้ งใหค้ วามชว่ ยเหลอื แก่ผู้ชาํ นาญพเิ ศษเพอ่ื ดาํ เนินงานใหต้ รงกบั วตั ถุประสงคข์ ององคก์ ร 1.9.2 สมชาติ กจิ ยรรยง (2545:15) ไดใ้ หท้ รรศนะวา่ กระบวนการในการฝึกอบรมจะประกอบดว้ ย 4 ขนั้ ตอนหลกั คอื การหาความตอ้ งการจาํ เป็นในการฝึกอบรม 1.9.2.1 การสรา้ งโครงการหรอื หลกั สตู รอบรม 1.9.2.2 การดาํ เนินการจดั ฝึกอบรม 1.9.2.3 การประเมนิ ผลการฝึกอบรม 1.10 การดาํ เนินการฝึ กอบรม การดาํ เนินการฝึกอบรมเป็นสว่ นหน่ึงทอ่ี ธบิ ายในขนั้ ตอนการปฏบิ ตั ใิ นการฝึกอบรม โดยมีนกั วชิ าการและนกั การศกึ ษาไดใ้ หท้ รรศนะไวด้ งั น้ี 1.10.1 สมชาติ กจิ ยรรยง (2545:27) ไดก้ ล่าววา่ การดาํ เนนิ การฝึกอบรม เป็นขนั้ ตอนสาํ คญั ทว่ี ทิ ยากรตอ้ งมบี ทบาททส่ี าํ คญั ทจ่ี ะชว่ ยใหโ้ ครงการฝึกอบรมในหลกั สตู รต่างๆ บรรลุเป้าหมาย โดยทผ่ี รู้ บั ผดิ ชอบจะตอ้ งมกี ารเตรยี มการและมกี ารดาํ เนนิ งานทด่ี ี ซง่ึ มขี นั้ ตอนในการดาํ เนินการฝึกอบรมอยู่ 3 ขนั้ ตอน คอื 1.10.1.1 การเตรยี มการก่อนการฝึกอบรม 1.10.1.2 การดาํ เนินการระหวา่ งการฝึกอบรม 1.10.1.3 การดาํ เนินภายหลงั สน้ิ สดุ การฝึกอบรม 1.10.2 พฒั นา สขุ ประเสรฐิ (2540:40) ไดก้ ลา่ ววา่ การดาํ เนนิ งานฝึกอบรม หมายถงึการดาํ เนินการต่างๆ ตามกจิ กรรมทไ่ี ดม้ กี ารวางแผนลว่ งหน้ามาแลว้ ใหเ้ ป็นตามทก่ี าํ หนดอยา่ งปลอดประสานสอดคลอ้ งกนั และเป็นไปดว้ ยความเรยี บรอ้ ยเพอ่ื ใหบ้ รรลุถงึ วตั ถปุ ระสงคต์ ามทก่ี าํ หนดไว้
27 1.10.3 พฒั นา สขุ ประเสรฐิ (2540:40-42) ไดใ้ หท้ รรศนะวา่ การดาํ เนินงานฝึกอบรมจะรวมถงึ การดาํ เนินงานในช่วงก่อนการฝึกอบรม ช่วงฝึกอบรมและชว่ งหลงั การฝึกอบรม รายการและรายละเอยี ดตา่ งๆ ทต่ี อ้ งดาํ เนินการในการจดั ฝึกอบรม หากจะมองถงึ กระบวนการในการจดั ทาํโครงการฝึกอบรม พอจะสรุปไดเ้ ป็นขนั้ ตอนดงั น้ีคอื 1.10.3.1 การสาํ รวจและวเิ คราะหส์ ภาพปญั หา โดยผทู้ าํ โครงการฝึกอบรมจะตอ้ งเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ซง่ึ อาจไดม้ าจากเอกสารตา่ งๆ การสอบถาม แบบสมั ภาษณ์หรอื อ่นื ๆ โดยพจิ ารณาว่าหน่วยงานหรอื องคก์ รมปี ญั หาอะไรบา้ งทจ่ี ะแกไ้ ขดว้ ยการฝึกอบรม 1.10.3.2 การหาความจาํ เป็นในการฝึกอบรม หมายถงึ ความตอ้ งการของบคุ คลหรอื หน่วยงานในการเขา้ รบั การอบรม เพอ่ื แกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งต่างๆ ทไ่ี มไ่ ดม้ าตราฐาน ไมม่ ีประสทิ ธภิ าพ การขาดความรู้ ประสบการณ์ หรอื ขาดทกั ษะ สง่ิ ต่างๆ เหลา่ น้ีลว้ นเป็นปญั หาและเป็นความจาํ เป็นในการเขา้ รบั การฝึกอบรม 1.10.3.3 กาํ หนดวตั ถปุ ระสงคใ์ นการฝึกอบรม เพอ่ื ใหป้ ระโยชน์เกดิ โดยตรงกบั ผู้เขา้ รบั การฝึกอบรมและหน่วยงานทเี กย่ี วขอ้ งวตั ถุประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรมทจ่ี ะแสดงออกใหเ้ หน็ ได้สามารถวดั ไดอ้ ยา่ งชดั เจนและเป็นไปในแนวเดยี วกนั 1.10.3.4 กาํ หนดวตั ถปุ ระสงคข์ องวชิ า การกาํ หนดขอบเขตของวชิ าใหก้ ะทดั รดัเป็นขอ้ ๆ เพอ่ื ใหว้ ทิ ยากรไดเ้ ตรยี มเน้ือหา วธิ กี ารสอน ตรงตามห่ี ลกั สตู รหรอื โครงการตอ้ งการเพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรใู้ หมๆ่ และผเู้ ขา้ รบั การอบรมสามารถนําไปใชไ้ ดจ้ รงิ 1.10.3.5 กาํ หนดแนวทางฝึกอบรม พจิ ารณาถงึ แนวทางทจ่ี ะทาํ ใหผ้ เู้ ขา้ รบั การอบรมเกดิ การเปลย่ี นแปลง ตอ้ งใชท้ ฤษฎอี ะไรบา้ ง หรอื หลกั การอะไรบา้ งทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมใหบ้ รรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคข์ องโครงการฝึกอบรมใหไ้ ดม้ ากทสี ดุ 1.10.3.6 กาํ หนดเทคนิควธิ กี ารฝึกอบรม พจิ ารณาถงึ เทคนิคทเ่ี หมาะสมในแต่ละกรณีของการฝึกอบรม ซง่ึ รายละเอยี ดของเทคนิควธิ กี ารฝึกอบรม จะไดก้ ลา่ วถงึ ในรายละเอยี ดตอ่ ไป 1.10.3.7 กาํ หนดสถานทฝ่ี ึกอบรม เพอ่ื เสรมิ สรา้ งบรรยากาศในการกระตุน้ ใหเ้ กดิการเรยี นรู้ ความพรอ้ มของโสตทศั นูปกรณ์ต่างๆ 1.10.3.8 การกาํ หนดตวั ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมและวทิ ยากร ควรคดั เลอื กผเู้ ขา้ รบัการฝึกอบรมทม่ี รี ะดบั ของคณุ สมบตั อิ นั ไดแ้ ก่ ตาํ แหน่งหน้าทก่ี ารงาน ระดบั การศกึ ษา ประสบการณ์ในการทาํ งาน หรอื คณุ สมบตั เิ ฉพาะอ่นื ๆ ทใ่ี กลเ้ คยี งกนั เพอ่ื ใหก้ ารเรยี นการสอนและการรบั ความรู้เปลย่ี นไปอยา่ งรวดเรว็ ใกลเ้ คยี งกนั และการแลกเปลย่ี นประสบการณ์ระหวา่ งผเู้ ขา้ รบั การอบรมเป็นไปอยา่ งมอี สิ ระและคุณภาพ สว่ นวทิ ยากรควรเขา้ ใจไดด้ ถี งึ จุดมงุ่ หมายของการฝึกอบรมดาํ เนินอยู่ 1.10.3.9 กาํ หนดแนวทางและวธิ ปี ระเมนิ ผล เพอ่ื ประเมนิ คา่ ของการฝึกอบรมวา่เกดิ ความพงึ พอใจไดห้ รอื ไมต่ รงตามวตั ถุประสงคท์ ต่ี งั้ ไวห้ รอื ไมเ่ มอ่ื เทยี บกบั เกณฑท์ ก่ี าํ หนด ซง่ึ ในเรอ่ื งของการประเมนิ ผลจะไดแ้ สดงในรายละเอยี ดตอ่ ไป
28 1.10.3.10 การรายงานผล เพอ่ื เป็นขอ้ มลู ใหผ้ ทู้ ส่ี นใจไดม้ โี อกาสเรยี นรแู้ ละวเิ คราะหโ์ ครงการวา่ ประสบผลสาํ เรจ็ หรอื ไม่ อยา่ งไรและมคี ุณคา่ มากน้อยเพยี งใด โดยปกติ เพอ่ื ใหโ้ ครงการฝึกอบรมบรรลุผลสาํ เรจ็ ตามวตั ถุประสงคด์ ว้ ยความเรยี บรอ้ ยเจา้ หน้าทฝ่ี ึกอบรมจะตอ้ งเตรยี มการทุกอยา่ งใหพ้ รอ้ ม ซง่ึ ในการฝึกอบรมนนั้ ยอ่ มมรี ายการปฏบิ ตั ิเป็นจาํ นวนมาก ดงั นนั้ จงึ ควรจดั ทาํ รายการทต่ี อ้ งปฏบิ ตั ไิ วล้ ว่ งหน้า เพอ่ื ใหท้ ราบวา่ มงี านอะไรตอ้ งทาํ บา้ งและงานใดควรทาํ ก่อน จะไดไ้ มห่ ลงลมื แมว้ า่ งานบางอยา่ งจะเป็นงานเลก็ แต่กไ็ มค่ วรใหเ้ กดิขอ้ บกพรอ่ งเพราะอาจทาํ ใหเ้ กดิ ผลเสยี หายตามมาเกนิ ความคาดหมายกไ็ ดแ้ ละขณะเดยี วกนั จะได้ทราบวา่ ใครเป็นผรู้ บั ผดิ ชอบในหน้าทต่ี ่าง ๆ จะไดไ้ มส่ บั สนกนั ในการทาํ งานรว่ มกนั การดาํ เนินการฝึกอบรมทไ่ี ดม้ ผี รู้ ู้ นกั การศกึ ษา นกั วชิ าการ ไดใ้ หท้ รรศนะไวน้ นั้ สามารถสรุปไดว้ า่ การดาํ เนินการฝึกอบรม เป็นสว่ นทจ่ี ดั อยใู่ นรายละเอยี ดของการฝึกอบรม โดยจะอธบิ ายในระยะเวลา และเน้ือหาในการฝึกอบรมพรอ้ มทงั้ รายละเอยี ดในระยะเวลาก่อนและหลงั การฝึกอบรมทม่ี กี ารปฏบิ ตั ิ 1.11 การประเมินและติดตามผลการฝึ กอบรม การประเมนิ และการตดิ ตามผลการฝึกอบรมเป็นขนั้ ตอนสดุ ทา้ ยทส่ี าํ คญั เน่ืองจากเป็นขนั้ ตอนทจ่ี ะอธบิ ายใหท้ ราบว่าการฝึกอบรมมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลตรงตามทก่ี าํ หนดไว้หรอื ไม่ โดยมนี กั วชิ าการและนกั การศกึ ษาไดใ้ หแ้ นวคดิ ไวด้ งั น้ี 1.11.1 ราํ ไพพรรณ อภชิ าตพิ งศช์ ยั (2545:119) ไดก้ ลา่ ววา่ การประเมนิ ผลการฝึกอบรม เป็นกระบวนการตดิ ตาม สงั เกตเพอ่ื ปรบั ปรงุ แกไ้ ขการจดั การฝึกอบรม เพอ่ื ใหก้ ารฝึกอบรมนนั้ บรรลุวตั ถุประสงคอ์ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ล 1.11.2 สมชาติ กจิ ยรรยง (2545:28) ไดใ้ หท้ รรศนะวา่ การประเมนิ ผลการฝึกอบรมเป็นขนั้ ตอนสดุ ทา้ ยในกระบวนการฝึกอบรม ซง่ึ โดยปกตสิ ว่ นใหญ่การประเมนิ มกั จะจดั ทาํ แตเ่ พยี งผู้เขา้ รบั การอบรมประเมนิ วทิ ยากรผบู้ รรยายวา่ รสู้ กึ อยา่ งไร ไดส้ าระและมกี ารบรรยายทจ่ี งู ใจให้ตดิ ตามหรอื ไม่ โดยหลกั การแลว้ การประเมนิ สามารถทาํ ไดห้ ลายรปู แบบคอื 1.11.2.1 ผเู้ ขา้ รบั การอบรมประเมนิ วทิ ยากร/และผดู้ าํ เนินโครงการ 1.11.2.2 วทิ ยากรประเมนิ ผดู้ าํ เนินโครงการและผเู้ ขา้ รบั การอบรม 1.11.2.3 ผดู้ าํ เนินโครงการประเมนิ ผฟู้ งั และวทิ ยากร 1.11.2.4 ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการตดิ ตามผลผเู้ ขา้ รบั การอบรม 1.11.3 สมชาติ กจิ ยรรยง (2545:197-198) ไดใ้ หท้ รรศนะวา่ ขนั้ ตอนการประเมนิ ผลการฝึกอบรมมดี งั ตอ่ ไปน้ี 1.11.3.1 ศกึ ษาถงึ วตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรม ศกึ ษาประเดน็ การฝึกอบรมให้ชดั เจน เพอ่ื ใหท้ ราบถงึ สงิ่ ทต่ี อ้ งบรรลจุ ากการฝึกอบรมตามทโ่ี ครงการไดก้ าํ หนดไว้
29 1.11.3.2 กาํ หนดวตั ถุประสงคก์ ารประเมนิ ผลการฝึกอบรม โดยการสมั ภาษณ์จากผบู้ งั คบั บญั ชาของผทู้ าํ การประเมนิ จากผบู้ งั คบั บญั ชาของผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม จากเพอ่ื นรว่ มงานของผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม และจากผเู้ กย่ี วขอ้ งอ่นื ๆ 1.11.3.3 วางแผนการประเมนิ ผล โดยพจิ ารณาถงึ ผรู้ บั ผดิ ชอบ ระยะเวลาทท่ี าํ การประเมนิ วธิ ี หรอื ประเภทในการประเมนิ 1.11.3.4 พจิ ารณาถงึ ผเู้ กย่ี วขอ้ งกบั การฝึกอบรม ซง่ึ จาํ เป็นตอ้ งไดร้ บั ความรว่ มมอืในการเกบ็ ขอ้ มลู ตงั้ แตผ่ บู้ งั คบั บญั ชาของผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมวทิ ยากร ผบู้ รหิ ารโครงการผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการ ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรม เพอ่ื นรว่ มงาน ผใู้ ตบ้ งั คบั บญั ชาและลกู คา้ ผรู้ บั บรกิ าร 1.11.3.5 พจิ ารณาถงึ รายละเอยี ดโครงการ ประเดน็ การฝึกอบรม หวั ขอ้ วชิ ารายละเอยี ดหวั ขอ้ วชิ า เอกสารประกอบการฝึกอบรม แบบฝึกปฏบิ ตั ิ 1.11.3.6 ระยะเวลาในการประเมนิ ผลการฝึกอบรม ก่อนการฝึกอบรม ระหวา่ งการฝึกอบรม หลงั การฝึกอบรม ทงั้ ทนั ทที ก่ี ารฝึกอบรมแลว้ เสรจ็ หรอื ภายหลงั ผเู้ ขา้ รบั การฝึกการอบรมกลบั ไปปฏบิ ตั งิ านในช่วงระยะเวลาหน่ึง 1.11.3.7 กาํ หนดประเภทของการประเมนิ ผล วา่ จะทาํ ในระดบั ใด 1.11.3.8 กาํ หนดวธิ กี ารในการรวบรวมขอ้ มลู เชน่ แบบทดสอบ แบบสมั ภาษณ์แบบประเมนิ 1.11.3.9 กาํ หนดวธิ กี ารในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ดว้ ยวธิ กี ารทางสถติ ิ 1.11.3.10 ดาํ เนินการตามแผนทว่ี างไว้ 1.11.4 สมคดิ บางโม (2540:106) ไดก้ ลา่ ววา่ การประเมนิ ผลโครงการฝึกอบรมแยกออกไดเ้ ป็น 6 ขนั้ ตอนดงั น้ี 1.11.4.1 ศกึ ษาวตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรมใหช้ ดั เจน 1.11.4.2 กาํ หนดวตั ถปุ ระสงคข์ องการประเมนิ ผลวา่ ตอ้ งการประเมนิ เพอ่ื อะไร 1.11.4.3 การวางแผนการประเมนิ ไดแ้ ก่ กาํ หนดระยะเวลาประเมนิ ประเมนิ ใครบา้ ง วธิ ปี ระเมนิ จะทาํ อยา่ งไร เครอ่ื งมอื ประเมนิ ขอ้ มลู ทจ่ี ะรวบรวมมอี ะไรบา้ ง 1.11.4.4 สรา้ งเครอ่ื งมอื การประเมนิ เชน่ แบบสอบถาม แบบบนั ทกึ การสงั เกตแบบสมั ภาษณ์ เป็นตน้ 1.11.4.5 ดาํ เนินการเกบ็ ขอ้ มลู แลว้ นําขอ้ มลู มาวเิ คราะห์ แปลผล และสรุป 1.11.4.6 เขยี นรายงานการประเมนิ ผลตอ่ ผรู้ บั ผดิ ชอบ 1.11.5 พฒั นา สขุ ประเสรฐิ (2540:54) ไดก้ ลา่ ววา่ การประเมนิ ผลกค็ อื การดาํ เนินงานเพอ่ื พจิ ารณาวนิ ิจฉยั วา่ โครงการฝึกบอรมบรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงคท์ ไ่ี ดก้ าํ หนดไวห้ รอื ไม่โดยวตั ถุประสงคข์ องการฝึกอบรมนนั้ ตอ้ งการทจ่ี ะเปลย่ี นพฤตกิ รรมการเรยี นรขู้ องผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมออกเป็น 3 ลกั ษณะคอื ความรู้ ทกั ษะ และเจตคติ โดยพฤตกิ รรมทต่ี อ้ งการใหเ้ ปลย่ี นนนั้อาจเป็นเพยี งลกั ษณะเดยี ว สองลกั ษณะ หรอื ทงั้ สามลกั ษณะประกอบกนั กไ็ ด้
30 พฒั นา สขุ ประเสรฐิ (2540:54) ไดใ้ หท้ รรศนะวา่ การประเมนิ ผลการฝึกอบรมสามารถทาํ ไดห้ ลายลกั ษณะ แตอ่ ยา่ ลมื ว่าการประเมนิ ผล (Evaluation) เป็นกระบวนการทใ่ี ชด้ ุลยพนิ ิจ (Judgment) และ / หรอื คา่ นยิ ม (value) ในการพจิ ารณาตดั สนิ คณุ คา่ ความเหมาะสม ความคมุ้ คา่ หรอื สมั ฤทธผิ ลของโครงการหลงั จากการเปรยี บเทยี บผลทว่ี ดั ไดจ้ ากการวดั ผล(measurement) โดยวธิ กี ารใดๆ กต็ าม กบั เป้าหมายวตั ถุประสงค์ หรอื เกณฑท์ ก่ี าํ หนดไว้ 1.11.6 เสนาะ ตเิ ยาว์ (2543:106) ไดก้ ลา่ ววา่ เมอ่ื การฝึกอบรมเสรจ็ สน้ิ ลงแลว้ เป็นหน้าทข่ี องผอู้ ํานวยการอบรมจะตอ้ งประเมนิ ผลวา่ ไดร้ บั ประโยชน์คุม้ คา่ หรอื ไม่ วธิ กี ารงา่ ยๆ กค็ อื ดูวา่ การฝึกอบรมนนั้ ทาํ ใหค้ นงานเปลย่ี นแปลงพฤตกิ รรมบางอยา่ งของตนเองอยา่ งไรบา้ งและมผี ลในทางเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพของงานหรอื ไม่ โดยปกตกิ ารวดั ผลไมไ่ ดพ้ จิ ารณาจากความพอใจของคนงานทม่ี ตี ่อโครงการอบรม หรอื จากการเปรยี บเทยี บคะแนนไดจ้ ากการทดสอบความรขู้ องคนงานกอ่ นและหลงั การอบรม เพราะคะแนนไมเ่ ป็นสง่ิ แสดงความสมั พนั ธโ์ ดยตรงต่องาน แตค่ วรจะใช้หลายๆ วธิ ปี ระกอบกนั วธิ ที ว่ี ดั ผลของการฝึกอบรมทด่ี อี กี อยา่ งคอื การเปรยี บเทยี บผลงานทเ่ี กดิ ขน้ึจากผปู้ ฏบิ ตั งิ านก่อนและหลงั ฝึกอบรม โดยดจู ากผลผลติ และคุณภาพของงาน แตก่ ารดจู ากผลงานก็มสี งิ่ ควรพจิ ารณาอยบู่ า้ งคอื ผลงานทเ่ี พม่ิ ขน้ึ หรอื ลดลงอาจไมไ่ ดเ้ กดิ จากการฝึกอบรมอยา่ งเดยี ว แต่มปี จั จยั อยา่ งอน่ื ดว้ ยกไ็ ดค้ อื อาจเกดิ เพราะมกี ารวางแผนงานทด่ี ขี น้ึ การควบคมุ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพวธิ กี ารทาํ งานแบบใหมท่ ท่ี นั สมยั กวา่ หรอื การใชว้ สั ดุทม่ี คี ณุ ภาพสงู ขน้ึ การประเมนิ ผลอกี อยา่ งหน่ึงทใ่ี ชว้ ดั การฝีกอบรมทไ่ี ดผ้ ลกค็ อื การวดั ผลการปฏบิ ตั งิ านกอ่ นและหลงั การฝึกอบรมจากกลมุ่ คนงานเรยี กวา่ Control group กบั Experimental group วธิ นี ้ีผทู้ าํ การวดั ผลจะตอ้ งเลอื กคนขน้ึ 2 กลุ่ม บคุ คลทงั้ สองกลมุ่ จะตอ้ งมคี ณุ สมบตั อิ ยา่ งเดยี วกนั ในดา้ นการศกึ ษาประสบการณ์ ความชาํ นาญ กลมุ่ แรก (experimental group) จะตอ้ งใหก้ ารฝึกอบรมท่ีถกู ตอ้ ง สว่ นกลุม่ ทส่ี อง (control group) ไมต่ อ้ งใหก้ ารฝึกอบรมใดๆ เลย ใหท้ งั้ สองกลมุ่ ปฏบิ ตั งิ านอยา่ งเดยี วกนั โดยมเี ครอ่ื งมอื และวธิ กี ารเหมอื นกนั และสงิ่ แวดลอ้ มอยา่ งเดยี วกนั แลว้ จงึ วดั ผลงานทงั้สองกลมุ่ วา่ ใหผ้ ลออกมาแตกต่างกนั หรอื ไม่ จากผลอนั น้ีทาํ ใหเ้ ช่อื ถอื ว่าการฝึกอบรมจะมผี ลตอ่ประสทิ ธภิ าพของการปฏบิ ตั งิ านอยา่ งไร นอกจากจะเปรยี บเทยี บระหวา่ งพนกั งานสองกลุม่ ทไ่ี มไ่ ดร้ บั การฝึกอบรมกบั ผไู้ ดร้ บัการฝึกอบรมแลว้ อาจจะเปรยี บเทยี บกนั ระหวา่ งพนกั งานขายผผู้ า่ นการอบรมดว้ ยกนั โดยแยกผรู้ บัการอบรมทม่ี ผี ลการเรยี นอยใู่ นเกณฑด์ มี ากกบั พวกอยใู่ นเกณฑพ์ อใช้ เพอ่ื ดวู า่ การปฏบิ ตั งิ านจะแตกต่างกนั มากน้อยเพยี งใด สง่ิ ทแ่ี สดงวา่ การอบรมจะไดร้ บั ผลดหี รอื ไมก่ ใ็ หป้ ระเมนิ ผลจากการปฏบิ ตั งิ าน 2 ลกั ษณะคอื 1.11.6.1 ผลทางดา้ นการผลติ ซง่ึ แสดงดว้ ยผลการผลติ เพมิ่ ขน้ึ ของเสยี เกดิ จากการผลติ ลดลง เวลาทใ่ี ชผ้ ลติ และตน้ ทุนตอ่ หน่วยน้อยลงและเวลาวา่ งเปลา่ ไมม่ ี 1.11.6.2 ผลทางดา้ นแรงงาน เชน่ อตั ราการหมนุ เวยี นของแรงงานลดลง การขาดงานมนี ้อยลง จาํ นวนอุบตั เิ หตุและความถข่ี องอุบตั เิ หตุลดลง ขวญั ของพนกั งานสงู ขน้ึ การรอ้ งทุกข์
31และการทาํ ผดิ ระเบยี บวนิ ยั ลดลงจาํ นวนพนกั งานทถ่ี กู ใหอ้ อกจากงานหรอื การลาออกมจี าํ นวนน้อยลง 1.11.7 ชชู ยั สมทิ ธไิ กร (2540:226) ไดใ้ หท้ รรศนะวา่ การประเมนิ ผลโครงการฝึกอบรม มวี ตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ตรวจสอบวา่ การฝึกอบรมบรรลตุ ามวตั ถุประสงคท์ ก่ี าํ หนดไวห้ รอื ไม่เพอ่ื คน้ หาจุดดแี ละจดุ เสยี ของการฝึกอบรม เพอ่ื ตรวจสอบความคุม้ คา่ ของโครงการฝึกอบรม เพอ่ืวนิ ิจฉยั วา่ ผรู้ บั การอบรมใดหรอื กลมุ่ ใดทไ่ี ดร้ บั ประโยชน์มากทส่ี ดุ และน้อยทส่ี ดุ จากการฝึกอบรมและเพอ่ื รวบรวมขอ้ มลู ซง่ึ จะชว่ ยในการจดั การฝึกอบรมในอนาคต เกณฑข์ องการประเมนิ ผลมสี ป่ี ระเภท ไดแ้ ก่ (1) ปฏกิ ริ ยิ าหรอื ความรสู้ กึ ของผรู้ บั การอบรมทม่ี ตี อ่ โครงการฝึกอบรม (2) การเรยี นรู้ หรอื เกณฑท์ บ่ี ง่ ชว้ี า่ ผรู้ บั การอบรมมคี วามรู้ ทกั ษะหรอื ทศั นคตเิ ปลย่ี นแปลงไปในทางทด่ี ขี น้ึ กวา่ เดมิ หรอื ไม่ (3) พฤตกิ รรม คอื การประเมนิ วา่พฤตกิ รรมการทาํ งานของผรู้ บั การอบรมมกี ารเปลย่ี นแปลงไปในทางทด่ี ขี น้ึ หรอื ไม่ ภายหลงั จากการฝึกบอรม และ (4) ผลลพั ธ์ คอื การประเมนิ ผลของการฝึกอบรมทม่ี ตี ่อการดาํ เนินงานขององคก์ าร การประเมนิ ความเหมาะสมของเกณฑก์ เ็ ป็นประเดน็ ทม่ี คี วามสาํ คญั ประเดน็ หน่งึเกณฑซ์ ง่ึ ใชใ้ นการประเมนิ ผลการฝึกอบรมจะถอื วา่ มคี วามเหมาะสมหรอื ถกู ตอ้ ง (relevance) ก็ตอ่ เมอ่ื เกณฑน์ นั้ ประกอบดว้ ยความรู้ ทกั ษะหรอื ความสามารถ (KSA) ทไ่ี ดม้ าจากการวเิ คราะห์ความตอ้ งการในการฝึกอบรมและถอื วา่ จาํ เป็นสาํ หรบั การปฏบิ ตั งิ านอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ เกณฑท์ ่ีไมเ่ หมาะสมประเภทแรก คอื เกณฑท์ ข่ี าดหาย หมายถงึ เกณฑท์ ไ่ี มไ่ ดถ้ กู บรรจุไวใ้ นการประเมนิ ผลทงั้ ๆ ทก่ี ารวเิ คราะหค์ วามตอ้ งการระบวุ า่ เป็นเกณฑท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งและเหมาะสม อกี ประเภทหน่ึงคอืเกณฑท์ ถ่ี กู ปนเป้ือน หมายถงึ เกณฑซ์ ง่ึ มสี ง่ิ แปลกปลอมเขา้ มาแทรก ทาํ ใหก้ ลายเป็นเกณฑซ์ ง่ึ ไม่สามารถวดั ความสาํ เรจ็ ของการฝึกอบรมไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ จากการประเมนิ ผลการฝึกอบรมทไ่ี ดม้ ผี รู้ ู้ นกั การศกึ ษา นกั วชิ าการไดใ้ หท้ รรศนะไวน้ นั้สามารถสรุปไดว้ ่า การประเมนิ ผลการฝึกอบรม นนั้ เป็นกระบวนการทจ่ี ดั ทาํ ขน้ึ เพอ่ื ใชใ้ นการพสิ จู น์หรอื วเิ คราะหผ์ ลทเ่ี กดิ ขน้ึ หลงั จากการฝึกอบรมโดยจะอธบิ ายวา่ ในการฝึกอบรมมสี ว่ นดหี นือสว่ นดอ้ ยในจุดไหนและเป็นการอธบิ ายวา่ การจดั การฝึกอบรมนนั้ สอดคลอ้ งตรงตามวตั ถุประสงคข์ องการจดั ฝึกอบรมมากน้อยแคไ่ หน เพอ่ื จะนําไปปรบั ปรงุ แกไ้ ขใหด้ ขี น้ึ2. พลาสติก 2.1 ความร้เู บอื้ งต้นงานฉีดพลาสติก งานฉีดพลาสตกิ เป็นลกั ษณะกระบวนการผลติ ชน้ิ งานพลาสตกิ โดยเครอ่ื งฉีดพลาสตกิ ทาํ งานเป็นรอบๆกระบวนการเรมิ่ จาก พลาสตกิ ในรปู ผงหรอื เมด็ พลาสตกิ ถกู สง่ เขา้ ไปในสว่ นป้อนและควบคมุ ปรมิ าณ ก่อนทจ่ี ะคอ่ ยๆ หลอมเหลวในสว่ นทม่ี อี ุณหภมู ติ ่างๆ กนั แลว้ จงึ ฉดีเขา้ ไปในแมพ่ มิ พด์ ว้ ยแรงสง่ ของลกู สบู หรอื เกลยี วอดั พลาสตกิ เหลว (หรอื เรยี กว่าน้ําพลาสตกิ ) จะไหลเตม็ แมพ่ มิ พก์ ลายเป็นพลาสตกิ แขง็ สดุ ทา้ ยจงึ นําออกจากแมพ่ มิ พ์ เป็นชน้ิ งานสาํ เรจ็
32 ปรมิ าณพลาสตกิ ทฉ่ี ีด ขนาดของชน้ิ งาน ความเป็นเน้ือเดยี วกนั ของน้ําพลาสตกิ แลคณุ ภาพของชน้ิ งานฉดี พลาสตกิ ไดร้ บั การปรบั ปรงุ อยา่ งมากหลงั จาก ค.ศ. 1950 เมอ่ื มกี ารนําเครอ่ื งฉีดแบบเกลยี วอดั มาใชแ้ ทนทเ่ี ครอ่ื งฉดี แบบลกู สบู งานฉดี พลาสตกิ จะเกย่ี วขอ้ งกบั เครอ่ื งฉีด แมพ่ มิ พ์ เมด็ พลาสตกิ และชน้ิ งาน ตอ้ งใช้ความสามารถอยา่ งมากในดา้ นเทคนิค และอาศยั ประสบการณ์สงู เพอ่ื ใหไ้ ดช้ น้ิ งานทม่ี คี ณุ ภาพสม่าํ เสมอและใชง้ านไดด้ ี ชน้ิ งานจะดหี รอื ไม่ ขน้ึ อยกู่ บั แมพ่ มิ พท์ ใ่ี ชฉ้ ีด ดงั นนั้ ผอู้ อกแบบแมพ่ มิ พแ์ ละชา่ งทาํแมพ่ มิ พ์ จงึ มคี วามสาํ คญั ตอ่ งานน้ีและคณุ ภาพและความเชอ่ื ถอื ไดข้ องแมพ่ มิ พ์ มผี ลต่อความสวยงามของชน้ิ งานและตน้ ทุนการผลติ หนงั สอื เลม่ น้ีมสี ว่ นชว่ ยในการถ่ายทอดความรู้ ทงั้ ทเ่ี ป็นพน้ื ฐานและทไ่ี ดม้ กี ารพฒั นาขน้ึ ใหม่ ใหแ้ กผ่ อู้ อกแบบแมพ่ มิ พแ์ ละชา่ งทาํ แมพ่ มิ พ์ งานฉดี พลาสตกิ ไดพ้ ฒั นาไปอยา่ งมาก ในเวลา 25 ปีทผ่ี า่ นมา เครอ่ื งฉีดพลาสตกิ ทม่ี ีความแมน่ ยาํ สงู เครอ่ื งฉีดแบบเกลยี วอดั การนําคอมพวิ เตอรม์ าควบคมุ เครอ่ื งฉีด เพอ่ื ใหก้ ารปรบั ตงั้และควบคมุ ตวั แปรในการฉดี พลาสตกิ เป็นไปอยา่ งสม่าํ เสมอ การผลติ พลาสตกิ ชนิดใหมแ่ ละกาปรบั ปรุงคณุ สมบตั ิ ทาํ ใหฉ้ ดี ชน้ิ งานไดพ้ กิ ดั วามเผอ่ื ทล่ี ะเอยี ดและโครงสรา้ งมคี ณุ ภาพสม่าํ เสมอ ปจั จบุ นั น้ี สามารถฉดี ชน้ิ งานพลาสตกิ ซง่ึ ไมส่ ามารถฉีดไดเ้ มอ่ื 5 ถงึ 10 ปีทแ่ี ลว้ การฉีดพลาสตกิ สองสี ชน้ิ งานทางวศิ วกรรมทม่ี พี กิ ดั ความเผอ่ื ละเอยี ดมาก โครงสรา้ งผลกึ สม่าํ เสมอเป็เน้ือเดยี ว มคี ณุ สมบตั ทิ นความรอ้ นสงู และความเสยี ดทานต่าํ เหลา่ น้ีมสี ว่ นชว่ ยพฒั นาอุตสาหกรรพลาสตกิ 2.2 ประวตั ิความเป็นมาของพลาสติก พลาสตกิ สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 4 กลมุ่ ตามอนุพนั ธแ์ ละการสงั เคราะห์ พลาสตกิ ท่ีไดจ้ ากธรรมชาติ เชน่ fiber (1859) celluloid ประมาณปี ค.ศ. 1870 และ artificial horn (1897)พลาสตกิ ทท่ี าํ จาก cellulose ไดพ้ ฒั นาขน้ึ มาตงั้ แต่ปี ค.ศ.1910 ซง่ึ พลาสตกิ เหล่าน้ียงั มที ใ่ี ชอ้ ยใู่ นปจั จุบนั และเป็นคแู่ ขง่ ทส่ี าํ คญั ของพลาสตกิ แผน่ บางทใ่ี ชใ้ นอุตสาหกรรมบรรจุภณั ฑ์ พลาสตกิ ชนดิ thermoses มาก จากการคน้ พบของ L.H. Backhand ในปี ค.ศ. 1910ซง่ึ บางทเี รยี กวา่ Bacdbile การผลติ พลาสตกิ ในปจั จุบนั หรอื ทเ่ี รยี กว่า thermoplastic ไดเ้ รม่ิ มาตงั้ แต่ปี ค.ศ. 1922 โดย H. Staudinger ไดว้ างรากฐานการผลติ โดยใชก้ รรมวธิ ี polymerization .{PS} (1930) polyvinyl chloride [PVC] (1931) polyetylene {high pressure} [LDPE] (1930)[HDPE] (1953) และ low pressure polyethylene [LLDPE] (1970) ทงั้ ชนิดทเ่ี ป็น HomopolymerCopolymer และพลาสตกิ ผสม มกี ารใชก้ นั มากกวา่ 60% ของจาํ นวนพลาสตกิ ทงั้ หมด พลาสตกิ ทใ่ี ชใ้ นงานวศิ วกรรม กระบวนการผลติ จะมคี วามซบั ซอ้ นกวา่ กระบวนการผลติ ดงั กลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ กระบวนการดงั กลา่ วคอื polyaddition และ polycondensation เป็นตน้พลาสตกิ ทางวศิ วกรรมน้ี สามารถผลติ ใหไ้ ดค้ ณุ สมบตั ติ ามทต่ี อ้ งการ ซง่ึ อาจจะมคี ณุ สมบตั คิ ลา้ ยกบั
33ยาง หรอื คลา้ ยกบั thermoses หรอื thermoplastics ได้ ตวั อยา่ งเชน่ พลาสตกิ ทม่ี ชี อ่ื ทางการคา้เหลา่ น้ี Lexan, Noryl (Feneral Electric Plastic). Joplin (Mitsubishi Gas & Chemicals Ind. Co.),Hostadur (HOECHST A.G.), U; tradir (BASF A.G.), Tedur (BAYER) A.G. และอน่ื ๆ อกี 2.3 กระบวนการฉีดพลาสติก (The Injection Molding Process) การฉีดพลาสตกิ คอื การทาํ ใหพ้ ลาสตกิ หลอมละลายดว้ ยความรอ้ น จนกระทงั่กลายเป็นของเหลว แลว้ ทาํ การฉีดพลาสตกิ ทเ่ี หลวนนั้ เขา้ สแู่ มพ่ มิ พด์ ว้ ยความดนั สงู หลงั จากนนั้พลาสตกิ จะคอ่ ยๆ เยน็ ตวั จนกระทงั่ กลายเป็นของแขง็ มรี ปู รา่ งตามแบบ แมพ่ มิ พจ์ ะเปิดออกชน้ิ งานกจ็ ะถกู ดนั ออกมา นําไปตกแต่งเป็นชน้ิ งานสาํ เรจ็ รปู ซง่ึ ในการกระทงุ้ ออกมานนั้ ทางเขา้(sprue) และทางวงิ่ (runner) ทเ่ี ยน็ ตวั พรอ้ มๆ กบั ชน้ิ งานกจ็ ะหลดุ ออกมาดว้ ยกนั ในภาพประกอบ 3 ขนั้ ตอนการทาํ งานของกระบวนการฉดี ตามขนั้ ตอนต่างๆ มดี งั น้ี (Screw type injection molding machine) ภาพประกอบ 3 ขนั้ ตอนการฉีดพลาสตกิ ดว้ ยเครอ่ื งฉดี พลาสตกิ แบบเกลยี วอดั ทม่ี า : ชยั รตั น์ แกว้ ดว้ ง. (2538). หน้า 3
34 2.3.1 แมพ่ มิ พป์ ิด (Mold clamping) การเรม่ิ ตน้ ของกระบวนการฉดี เรมิ่ ตงั้ แต่แมพ่ มิ พป์ ิด โดยอาศยั แรงปิดจากเครอ่ื งฉดี พลาสตกิ หลงั จากตรวจดแู ลว้ ไมม่ สี ง่ิ แปลกปลอมตดิ คา้ งอยบู่ รเิ วณผวิ หน้าประกบของแมพ่ มิ พ์ 2.3.2 ฉดี (Injection) หลงั จากหวั ฉดี (Nozzle) และแมพ่ มิ พ์ (Mold) เคลอ่ื นอยตู่ าํ แหน่งฉีดแลว้ เกลยี วสง่ ในกระบอกอดั เครอ่ื งฉดี พลาสตกิ (cylinder) ซง่ึ มพี ลาสตกิ หลอมเหลวอยภู่ ายใน (ในรปู ตามขนั้ ตอนท่ี 4) เกลยี วนําสง่ จะอดั น้ําพลาสตกิ ทห่ี ลอมเหลวเขา้ สแู่ มพ่ มิ พ์ จากหวั ฉีด (Nozzle) เขา้ สู่ทางเขา้ (Sprue) และทางวงิ่ (Runner) เขา้ สแู่ บบชน้ิ งาน (Cavity) 2.3.3 การรกั ษาความดนั (ความดนั ตาม) (Pressure holding) ขนั้ ตอนการคงความดนั นนั้ เป็นการรกั ษาความดนั ฉดี พลาสตกิ ภายในแมพ่ มิ พ์ระยะหน่ึงกอ่ น ดว้ ยเกลยี วอดั เพอ่ื ชดเชยกบั การหดตวั ของพลาสตกิ ใน cavity ซง่ึ จะเยน็ ตวักลายเป็นของแขง็ 2.3.4 การระบายความรอ้ น (Cooling, Plasticizing and metering) เมอ่ื ฉีดพลาสตกิ เตม็ แบบ (cavity) พลาสตกิ จะเรม่ิ เยน็ ตวั เป็นของแขง็ ระบบหลอ่เยน็ จะเรม่ิ ทาํ งานเพอ่ื ระบายความรอ้ นออกจากชน้ิ งาน เพอ่ื ใหช้ น้ิ งานเยน็ ตวั รกั ษาสภาพรปู ทรงได้จนกระทงั่ สามารถนําออกจากแมพ่ มิ พไ์ ด้ ในสว่ นของกระบอกอดั เมด็ พลาสตกิ ในถงั ป้อน (hopper)กจ็ ะไหลลงสกู่ ระบอกอดั เมด็ พลาสตกิ จะถกู เกลยี วบดและไดร้ บั ความรอ้ นจนหลอมละลาย คอ่ ยๆเคลอ่ื นตวั ไปสหู่ วั ฉดี โดยเกลยี วอดั คอ่ ยๆ ดนั พลาสตกิ ทห่ี ลอมเหลวไปเร่อื ยๆ เพอ่ื ฉดี เขา้ สแู่ มพ่ มิ พ์ต่อไป 2.3.5 เปิดแมพ่ มิ พ์ (Mold Release and Removal) เมอ่ื ชน้ิ งานกลายเป็นของแขง็ แลว้ แมพ่ มิ พก์ จ็ ะถกู เปิดออก ชน้ิ งานภายในแมพ่ มิ พจ์ ะถกู ตวั กระทงุ้ (Ejector) ดนั ออกมาขา้ งนอก ซง่ึ ในการทาํ แมพ่ มิ พจ์ ะออกแบบกลไกตวักระทงุ้ (Ejector) เอาไวภ้ ายในตวั ดว้ ย แมพ่ มิ พฉ์ ีดพลาสตกิ (ภาพประกอบ 4) ประกอบดว้ ย ทางเขา้ พลาสตกิ (Sprue)ทางวงิ่ (Runner) และรนู ้ําพลาสตกิ เขา้ (Gate) ซง่ึ เป็นสว่ นประกอบสาํ คญั ของชน้ิ งานพลาสตกิ การฉดี พลาสตกิ ทเ่ี ป็นพวกเทอรโ์ มพลาสตกิ ชน้ิ งานทเ่ี สยี หาย เราสามารถนํา sprue หรอื runner ไปบดแลว้ กลบั นําไปใชใ้ หมไ่ ดอ้ กี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345