Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรวิทยาศาสตร์-โรงเรียนบ้านทุ่งโพธิ์-ปีการศึกษา-2565 (1)

หลักสูตรวิทยาศาสตร์-โรงเรียนบ้านทุ่งโพธิ์-ปีการศึกษา-2565 (1)

Published by นายมนตรี นาคีย์, 2022-05-21 03:35:43

Description: หลักสูตรวิทยาศาสตร์-โรงเรียนบ้านทุ่งโพธิ์-ปีการศึกษา-2565 (1)

Search

Read the Text Version

ช้นั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๓. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายการ • วัฏจักรน้า เป็นการหมุนเวียนของน้าท่ีมีแบบรูป หมนุ เวียนของนา้ ในวฏั จักรน้า ซ้าเดิม และต่อเน่ืองระหว่างน้าในบรรยากาศน้าผิวดิน และน้าใต้ดิน โดยพฤติกรรมการดารงชีวิตของพืชและ สตั ว์สง่ ผลต่อวัฏจักรน้า ๔. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด • ไอน้าในอากาศจะควบแน่นเป็นละอองน้าเล็ก ๆ เมฆ หมอก น้าค้าง และน้าค้างแข็ง โดยมีละอองลอย เช่น เกลือ ฝุ่นละออง ละอองเรณู จากแบบจาลอง ของดอกไม้ เป็นอนุภาคแกนกลาง เมื่อละอองน้า จานวนมากเกาะกลุ่มรวมกันลอยอยู่สูงจากพื้นดินมาก เรียกว่า เมฆ แต่ละอองน้าท่ีเกาะกลุ่มรวมกันอยู่ใกล้ พนื้ ดิน เรยี กวา่ หมอก ส่วนไอน้าท่ีควบแน่นเป็นละออง น้าเกาะอยู่บนพน้ื ผิววัตถุใกล้พื้นดิน เรียกว่า น้าค้างถ้า อุณหภูมิใกล้พื้นดินต่ากว่าจุดเยือกแข็งน้าค้างก็จะ กลายเป็นนา้ ค้างแข็ง ๕. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด • ฝน หิมะ ลูกเห็บ เป็นหยาดน้าฟ้าซ่ึงเป็นน้าที่มี ฝน หิมะ และลูกเห็บ จากข้อมูลที่ สถานะต่าง ๆ ที่ตกจากฟ้าถึงพื้นดิน ฝนเกิดจาก รวบรวมได้ ละอองน้าในเมฆที่รวมตัวกันจนอากาศไม่สามารถ พยุงไว้ได้จึงตกลงมา หิมะเกิดจากไอน้าในอากาศ ระเหิดกลับเป็นผลึกน้าแข็ง รวมตัวกันจนมีน้าหนัก มากขึ้นจนเกินกว่าอากาศจะพยุงไว้จึงตกลงมา ลูกเห็บเกิดจากหยดน้าที่เปล่ียนสถานะเป็นน้าแข็ง แล้วถูกพายุพัดวนซ้าไปซ้ามาในเมฆฝนฟ้าคะนองท่ีมี ขนาดใหญ่และอยู่ในระดับสูงจนเป็นก้อนน้าแข็ง ขนาดใหญ่ข้นึ แล้วตกลงมา

สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขัน้ ตอนและเป็นระบบ ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหา ได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ ร้เู ทา่ ทนั และมีจริยธรรม ช้นั ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๕ ๑. ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการ • การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนากฎเกณฑ์ หรือ แก้ปัญหา การอธิบายการทางาน การ เง่ือนไขที่ครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณาในการ คาดการณ์ผลลัพธ์ จากปัญหาอย่าง แก้ปัญหา การอธิบายการทางาน หรือการคาดการณ์ งา่ ย ผลลพั ธ์ • สถานะเริ่มต้นของการทางานท่ีแตกต่างกันจะให้ ผลลัพธ์ทแ่ี ตกต่างกัน • ตัวอย่างปัญหา เช่น เกม Sudoku โปรแกรม ทานายตัวเลข โปรแกรมสร้างรูปเรขาคณิตตามค่า ข้อมูลเข้า การจัดลาดับการทางานบ้านในช่วงวันหยุด จดั วางของในครัว ๒. ออกแบบ และเขียนโปรแกรมท่ี • การออกแบบโปรแกรมสามารถทาได้โดยเขียน มีการใช้เหตุผลเชิงตรรกะอย่างง่าย เปน็ ข้อความหรือผังงาน ตรวจหาข้อผดิ พลาดและแก้ไข • การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการ ตรวจสอบเงื่อนไขท่ีครอบคลุมทุกกรณีเพ่ือให้ได้ ผลลัพธ์ท่ถี กู ตอ้ งตรงตามความต้องการ • หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบการทางานทีละ คาส่ัง เม่ือพบจุดที่ทาให้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้องให้ทาการ แก้ไขจนกวา่ จะได้ผลลพั ธ์ท่ีถูกต้อง • การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ ผอู้ ่นื จะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของปัญหาได้ดี ยิ่งขึน้ • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมตรวจสอบเลขคู่ เลขค่ี โปรแกรมรับข้อมูลน้าหนักหรือส่วนสูงแล้ว แสดงผลความสมส่วนของร่างกาย โปรแกรมสั่งให้ตัว ละครทาตามเงื่อนไขที่กาหนด • ซอฟต์แวร์ท่ีใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo

ชน้ั ตวั ช้ีวัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๕ ๓. ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูล • การค้นหาข้อมลู ในอนิ เทอร์เน็ต และการพิจารณา ติดต่อส่ือสารและทางานร่วมกัน ผลการค้นหา ประเมนิ ความนา่ เช่ือถือของข้อมูล • การติดต่อส่ือสารผ่านอินเทอร์เน็ต เช่น อีเมล บล็อก โปรแกรมสนทนา • การเขียนจดหมาย (บรู ณาการกบั วชิ าภาษาไทย) • การใชอ้ นิ เทอรเ์ นต็ ในการติดต่อส่ือสารและทางาน ร่วมกัน เช่น ใช้นัดหมายในการประชุ มกลุ่ ม ประชาสัมพันธ์กิจกรรมในห้องเรียน การแลกเปล่ียน ความรู้ ความคิดเห็นในการเรียน ภายใต้การดูแลของ ครู • การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เช่น เปรียบเทียบความสอดคล้อง สมบูรณ์ของข้อมูลจาก หลายแหล่ง แหล่งต้นตอของข้อมูล ผู้เขียน วันที่ เผยแพรข่ ้อมูล • ขอ้ มูลทดี่ ีต้องมีรายละเอียดครบทุกด้าน เช่น ข้อดี และขอ้ เสยี ประโยชน์และโทษ ๔. รวบรวม ประเมิน นาเสนอข้อมูล • การรวบรวมข้อมูล ประมวลผล สร้างทางเลือก และสารสนเทศ ตามวัตถุประสงค์โดย ประเมินผล จะทาให้ได้สารสนเทศเพื่อใช้ในการ ใ ช้ ซ อ ฟ ต์ แ ว ร์ ห รื อ บ ริ ก า ร บ น แกป้ ัญหาหรือการตัดสนิ ใจได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ อินเทอร์ เน็ ตท่ีหลากหลาย เพื่ อ • การใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอินเทอร์เน็ตที่ แกป้ ัญหาในชวี ติ ประจาวัน หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผลสร้างทางเลือก ประเมินผล นาเสนอ จะช่วยให้ การแก้ปัญหาทาได้ อย่างรวดเรว็ ถกู ตอ้ ง และแมน่ ยา • ตัวอย่างปัญหา เช่น ถ่ายภาพ และสารวจแผนที่ ในท้องถิ่นเพ่ือนาเสนอแนวทางในการจัดการพื้นท่ีว่าง ให้เกิดประโยชน์ ทาแบบสารวจความคิดเห็นออนไลน์ และวิเคราะห์ข้อมูล นาเสนอข้อมูลโดยการใช้ blog หรือ web page

ช้นั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๕. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง • อันตรายจากการใช้งานและอาชญากรรมทาง ปลอดภัย มีมารยาท เข้าใจสิทธิและ อนิ เทอร์เน็ต หน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของผู้อ่ืน • มารยาทในการติดต่อสื่อสารผ่านอินเทอร์เน็ต แจ้งผ้เู กี่ยวข้องเมื่อพบข้อมลู หรือบุคคล (บรู ณาการกบั วชิ าที่เกีย่ วขอ้ ง) ที่ไม่เหมาะสม

ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ ๖ สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารเข้าและ ออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของระบบตา่ ง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ท่ีทางานสัมพนั ธ์ กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทางานสัมพันธ์กัน รวมท้ังนาความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ช้ัน ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.๖ ๑ . ระบุ สารอาหารแล ะบ อ ก • สารอาหารท่ีอยู่ในอาหารมี ๖ ประเภท ได้แก่ ประโยชน์ของสารอาหารแต่ละประเภท คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามินและนา้ จากอาหารท่ีตนเองรับประทาน • อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยสารอาหารที่ ๒ . บอกแนวทางในการเลื อก แตกต่างกัน อาหารบางอย่างประกอบด้วยสารอาหาร รับประทานอาหารให้ได้สารอาหาร ประเภทเดียว อาหารบางอย่างประกอบด้วยสารอาหาร ครบถ้วน ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศ มากกวา่ หนึ่งประเภท และวัย รวมท้ังความปลอดภัยต่อ • สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ต่อร่างกาย สุขภาพ แตกต่างกัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เป็น ๓. ตระหนักถึงความสาคัญของ สารอาหารท่ีให้พลังงานแก่ร่างกาย ส่วนเกลือแร่ สารอาหาร โดยการเลือกรับประทาน วิตามิน และน้า เป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงานแก่ อาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนใน รา่ งกาย แต่ชว่ ยใหร้ า่ งกายทางานได้เป็นปกติ สัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและวัย • การรับประทานอาหาร เพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต รวมทงั้ ปลอดภัยต่อสุขภาพ มีการเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามเพศและวัย และมี สขุ ภาพดี จาเปน็ ต้องรับประทานให้ได้พลังงานเพียงพอ กับความต้องการของร่างกาย และให้ได้สารอาหาร ครบถ้วน ในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและวัย รวมท้ัง ต้องคานึงถึงชนิดและปริมาณของวัตถุเจือปนในอาหาร เพือ่ ความปลอดภัยต่อสุขภาพ

ช้นั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ๔. สร้างแบบจาลองระบบย่อย • ระบบยอ่ ยอาหารประกอบดว้ ยอวัยวะตา่ ง ๆ ได้แก่ อาหาร และบรรยายหน้าทข่ี องอวยั วะ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไสเ้ ลก็ ลาไสใ้ หญ่ ในระบบย่อยอาหาร รวมทั้งอธิบาย ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน ซ่ึงทาหน้าที่ร่วมกันในการ การยอ่ ยอาหารและการดดู ซึม ยอ่ ยและดดู ซึมสารอาหาร สารอาหาร - ปากมีฟันช่วยบดเคี้ยวอาหารให้มีขนาดเล็กลง ๕. ตระหนักถงึ ความสาคัญของ และมีลิ้นช่วยคลุกเคล้าอาหารกับน้าลายในน้าลายมี ระบบยอ่ ยอาหาร โดยการบอก เอนไซมย์ อ่ ยแป้งให้เป็นน้าตาล แนวทางในการดแู ลรกั ษาอวยั วะใน - หลอดอาหารทาหน้าที่ลาเลียงอาหารจากปาก ระบบยอ่ ยอาหารให้ทางานเป็นปกติ ไปยงั กระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหารมีการย่อย โปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ทส่ี ร้างจากกระเพาะอาหาร - ลาไส้เล็กมีเอนไซม์ท่ีสร้างจากผนังลาไส้เล็กเอง และจากตับอ่อนท่ีช่วยย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และ ไขมัน โดยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันที่ผ่านการ ย่อยจนเป็นสารอาหารขนาดเล็กพอที่จะดูดซึมได้ รวมถึงน้า เกลือแร่ และวติ ามิน จะถูกดูดซึมทผ่ี นังลาไส้ เล็กเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อลาเลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกาย ซ่ึงโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถูก นาไปใช้เป็นแหล่งพลังงานสาหรับใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ส่วนน้า เกลือแร่ และวิตามิน จะช่วยให้ร่างกายทางาน ได้เปน็ ปกติ - ตับสรา้ งน้าดีแล้วส่งมายังลาไส้เล็กช่วยให้ไขมัน แตกตัว - ลาไส้ใหญ่ทาหน้าที่ดูดน้าและเกลือแร่ เป็น บริเวณที่มีอาหารท่ีย่อยไม่ได้หรือย่อยไม่หมด เป็นกาก อาหาร ซงึ่ จะถูกกาจัดออกทางทวารหนัก • อวัยวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหารมีความสาคัญ จึงควรปฏบิ ัตติ น ดูแลรักษาอวัยวะให้ทางานเป็นปกติ

สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของ สสาร การเกดิ สารละลาย และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี ช้นั ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.๖ ๑. อธิบายและเปรียบเทียบการแยก • สารผสมประกอบด้วยสารต้ังแต่ ๒ ชนิดข้ึนไป สารผสมโดยการหยิบออก การร่อน ผสมกัน เช่น น้ามันผสมน้า ข้าวสารปนกรวดทราย การใช้แม่เหล็กดึงดูด การรินออก การ วิธีการท่ีเหมาะสมในการแยกสารผสมข้ึนอยู่กับ กรอง และการตกตะกอนโดยใช้ ลักษณะและสมบัติของสารท่ีผสมกัน ถ้าองค์ประกอบ หลักฐานเชิงประจักษ์ รวมท้ังระบุวิธี ของสารผสมเป็นของแข็งกับของแข็งท่ีมีขนาด แก้ปญั หาในชวี ิตประจาวนั เกี่ยวกับการ แตกต่างกันอย่างชัดเจน อาจใช้วิธีการหยิบออกหรือ แยกสาร การร่อนผ่านวัสดุท่ีมีรู ถ้ามีสารใดสารหนึ่งเป็นสาร แม่เหล็กอาจใช้วิธี การใช้ แม่ เหล็ กดึ งดู ด ถ้า องค์ประกอบเป็นของแข็งท่ีไม่ละลายในของเหลว อาจ ใช้วิธีการรินออก การกรอง หรือการตกตะกอน ซึ่ง วิ ธี ก า ร แ ย ก ส า ร ส า ม า ร ถ น า ไ ป ใ ช้ ป ร ะ โ ย ช น์ ใ น ชวี ติ ประจาวันได้ มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ ลักษณะ การเคล่ือนที่แบบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทงั้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ชัน้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๖ ๑. อธิบายการเกิดและผลของแรง • วัตถุ ๒ ชนิดที่ผ่านการขัดถูแล้ว เม่ือนาเข้าใกล้ ไฟฟ้าซึ่งเกิดจากวัตถุที่ผ่านการขัดถู กันอาจดึงดูดหรือผลักกัน แรงท่ีเกิดขึ้นน้ีเป็นแรง โดยใช้หลักฐานเชิงประจกั ษ์ ไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัส เกิดขึ้นระหว่างวัตถุท่ีมี ประจุไฟฟ้า ซ่ึงประจุไฟฟ้ามี ๒ ชนิด คือ ประจุไฟฟ้า บวกและประจุไฟฟ้าลบ วัตถุท่ีมีประจุไฟฟ้าชนิด เดียวกนั ผลักกัน ชนิดตรงข้ามกันดึงดูดกัน

มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่ เกย่ี วขอ้ งกบั เสยี ง แสง และคล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมท้ังนาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ช้ัน ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ป.๖ ๑. ระบุส่วนประกอบและบรรยาย • วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วย แหล่งกาเนิด หน้าที่ของแต่ละส่วนประกอบของ ไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเครื่องใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายจากหลักฐานเชิง แหล่งกาเนิดไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉาย หรือแบตเตอร่ี ทา ประจกั ษ์ หน้าที่ให้พลังงานไฟฟ้า สายไฟฟ้าเป็นตัวนาไฟฟ้า ทา ๒. เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟ้า หน้าที่เชื่อมต่อระหว่างแหล่งกาเนิดไฟฟ้าและ อยา่ งงา่ ย เคร่ืองใช้ไฟฟ้าเข้าด้วยกันเคร่ืองใช้ไฟฟ้ามีหน้าที่เปลี่ยน พลงั งานไฟฟา้ เป็นพลงั งานอ่ืน ๓. ออกแบบการทดลองและทดลอง • เมื่อนาเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรียงกันโดยให้ ด้วยวิธีท่ีเหมาะสมในการอธิบายวิธีการ ข้ัวบวกของเซลล์ไฟฟ้าเซลล์หน่ึงต่อกับขั้วลบของอีก และผลของการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบ เซลล์หนงึ่ เป็นการต่อแบบอนุกรม ทาให้มพี ลงั งานไฟฟ้า อนุกรม เหมาะสมกับเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบ ๔. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ อนุกรมสามารถนาไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตประจาวัน เช่น ของการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมโดย การต่อเซลล์ไฟฟ้าในไฟฉาย บอกประโยชน์และการประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจาวัน ๕. ออกแบบการทดลองและทดลอง • การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมเมื่อถอดหลอด ดว้ ยวิธที ่เี หมาะสมในการอธบิ ายการต่อ ไฟฟ้าดวงใดดวงหนง่ึ ออกทาให้หลอดไฟฟ้าท่ีเหลือดับ หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบ ทั้งหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน เม่ือถอด ขนาน หลอดไฟฟา้ ดวงใดดวงหน่ึงออก หลอดไฟฟ้าท่เี หลือก็ ๖. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ ยังสว่างได้ การต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละแบบสามารถ ของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและ นาไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น การต่อหลอดไฟฟ้าหลาย แบบขนาน โดยบอกประโยชน์ ข้อจากัด ดวงในบ้านจึงต้องต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน เพ่ือ และการประยุกตใ์ ช้ ในชีวติ ประจาวนั เลอื กใชห้ ลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนง่ึ ได้ตามต้องการ ๗. อธิบายการเกิดเงามืดเงามัวจาก • เมือ่ นาวตั ถทุ บึ แสงมากนั้ แสงจะเกิดเงาบนฉาก รับ หลักฐานเชิงประจักษ์ แสงท่ีอยู่ด้านหลังวัตถุ โดยเงามีรูปร่างคล้ายวัตถุที่ทา ๘. เขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดง ให้เกิดเงา เงามัวเป็นบริเวณท่ีมีแสงบางส่วนตกลงบน การเกิดเงามดื เงามวั ฉาก สว่ นเงามืดเปน็ บรเิ วณที่ไมม่ ีแสงตกลงบนฉากเลย

สาระท่ี ๓ วทิ ยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะ ท่ีส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และการ ประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ ชน้ั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ป.๖ ๑. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการ • เม่ือโลกและดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรง เกิด และเปรียบเทียบปรากฏการณ์ เดียวกันกับดวงอาทิตย์ในระยะทางท่ีเหมาะสม ทาให้ สรุ ยิ ปุ ราคาและจันทรุปราคา ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ เงาของดวงจันทร์ทอดมายัง โลก ผู้สังเกตท่ีอยู่บริเวณเงาจะมองเห็น ดวงอาทิตย์มืด ไป เกดิ ปรากฏการณ์สุริยุปราคา ซึ่งมที ง้ั สุริยปุ ราคาเต็ม ดวง สรุ ิยปุ ราคาบางส่วน และสุรยิ ุปราคาวงแหวน • หากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรง เดียวกันกับดวงอาทิตย์ แล้วดวงจันทร์เคล่ือนท่ีผ่านเงา ของโลก จะมองเห็นดวงจันทร์มืดไปเกิดปรากฏการณ์ จันทรุปราคา ซึ่งมีทั้งจันทรุปราคาเต็มดวง และ จนั ทรปุ ราคาบางส่วน ๒ . อ ธิ บ า ย พั ฒ น า ก า ร ข อ ง • เทคโนโลยีอวกาศเริ่มจากความต้องการของมนุษย์ เทคโนโลยอี วกาศ และยกตวั อยา่ งการ ในการสารวจวัตถทุ อ้ งฟ้าโดยใช้ตาเปล่ากล้องโทรทรรศน์ นาเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ และได้พัฒนาไปสู่การขนส่งเพ่ือสารวจอวกาศด้วยจรวด ในชีวิตประจาวัน จากข้อมลู ทีร่ วบรวม และยานขนส่งอวกาศ และยังคงพัฒนาอย่างต่อเน่ือง ได้ ปัจจุบันมีการนาเทคโนโลยีอวกาศบางประเภทมา ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน เช่น การใช้ดาวเทียมเพ่ือ การส่ือสาร การพยากรณ์อากาศ หรือการสารวจ ทรัพยากรธรรมชาติ การใชอ้ ุปกรณว์ ดั ชีพจรและการเตน้ ของหวั ใจ หมวกนริ ภยั ชดุ กฬี า

มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ัง ผลต่อสงิ่ มีชีวติ และส่ิงแวดลอ้ ม ชนั้ ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ป.๖ ๑. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด • หินเป็นวัสดุแข็งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หินอัคนี หินตะกอน และหินแปร และ ประกอบด้วย แร่ตั้งแต่หนึ่งชนิดขึ้นไป สามารถ อธิบายวัฏจักรหนิ จากแบบจาลอง จาแนกหินตามกระบวนการเกิดได้เป็น ๓ ประเภท ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอน และหนิ แปร • หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของแมกมา เนื้อหินมี ลักษณะเป็นผลึก ท้ังผลึกขนาดใหญ่และขนาดเล็ก บางชนดิ อาจเปน็ เนือ้ แกว้ หรอื มรี ูพรุน • หินตะกอน เกิดจากการทับถมของตะกอนเมื่อ ถูกแรงกดทับและมีสารเช่ือมประสานจึงเกิดเป็นหิน เนื้อหินกลุ่มน้ีส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเม็ดตะกอนมีท้ัง เน้ือหยาบและเนื้อละเอียด บางชนิดเป็นเน้ือผลึกที่ ยึดเกาะกนั เกิดจากการตกผลึกหรือตกตะกอนจากน้า โดยเฉพาะน้าทะเล บางชนิดมีลักษณะเป็นช้ัน ๆ จึง เรยี กอกี ชอื่ ว่า หินชน้ั • หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของหินเดิม ซึ่ง อาจเป็นหินอัคนี หินตะกอน หรือหินแปรโดยการ กระทาของความร้อน ความดัน และปฏิกิริยาเคมี เนือ้ หินของหินแปรบางชนดิ ผลึกของแรเ่ รยี งตวั ขนาน กันเป็นแถบ บางชนิดแซะออกเป็นแผ่นได้ บางชนิด เปน็ เน้ือผลึกท่ีมีความแข็งมาก • หิ น ใ น ธ ร ร ม ช า ติ ท้ั ง ๓ ป ร ะ เ ภ ท มี ก า ร เปลย่ี นแปลงจากประเภทหน่ึงไปเป็นอีกประเภทหน่ึง หรือประเภทเดิมได้ โดยมีแบบรูปการเปลี่ยนแปลง คงท่แี ละตอ่ เน่อื งเป็นวัฏจกั ร

ชนั้ ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.๖ ๒. บรรยายและยกตัวอย่างการใช้ • หนิ และแร่แต่ละชนิดมีลักษณะและสมบัติแตกต่าง ป ร ะ โ ย ช น์ ข อ ง หิ น แ ล ะ แ ร่ ใ น กัน มนุษย์ใช้ประโยชน์จากแร่ในชีวิตประจาวันใน ชวี ิตประจาวันจากข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ ลักษณะต่าง ๆ เช่น นาแร่มาทาเครื่องสาอาง ยาสีฟัน เครื่องประดับ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และนาหินมาใช้ ในงานก่อสร้างต่าง ๆ เป็นตน้ ๓. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการ • ซากดึกดาบรรพ์เกิดจากการทับถมหรือการประทับ เกิดซากดึกดาบรรพ์และคาดคะเน รอยของสิ่งมีชีวิตในอดีต จนเกิดเป็นโครงสร้างของซาก สภาพแวดล้อมในอดีตของซากดึกดา หรือรอ่ งรอยของสิ่งมชี วี ิตท่ีปรากฏอยู่ในหิน ในประเทศ บรรพ์ ไทยพบซากดึกดาบรรพ์ที่หลากหลาย เช่น พืช ปะการัง หอย ปลา เต่า ไดโนเสาร์ และรอยตนี สัตว์ • ซากดึกดาบรรพ์สามารถใช้เป็นหลักฐานหน่ึงที่ช่วย อธิ บ า ย ส ภ า พ แ ว ด ล้ อ ม ข อ ง พื้ น ท่ี ใ น อดี ต ข ณ ะ เ กิ ด ส่ิงมีชีวิตน้ัน เช่น หากพบซากดึกดาบรรพ์ ของหอยน้า จืด สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นอาจเคยเป็นแหล่งน้าจืด มาก่อน และหากพบซากดึ กดาบรรพ์ ของพื ช สภาพแวดล้อมบริเวณน้ันอาจเคยเป็นป่ามาก่อน นอกจากน้ีซากดึกดาบรรพ์ ยังสามารถใช้ระบุอายุของ หิน และเป็นข้อมูลในการศึกษาวิวัฒนาการของ สงิ่ มีชีวิต ๔. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลม • ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิดจากพื้นดินและพ้ืน ทะเล และมรสุม รวมท้ังอธิบายผลที่มี น้า ร้อนและเย็นไม่เท่ากันทาให้อุณหภูมิอากาศเหนือ ต่อส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม จาก พื้นดินและพ้ืนน้าแตกต่างกัน จึงเกิด การเคล่ือนที่ของ แบบจาลอง อากาศจากบริเวณท่ีมีอุณหภูมิต่า ไปยังบริเวณที่มี อณุ หภูมสิ ูง • ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจาถ่ินที่พบบริเวณ ชายฝ่ัง โดยลมบกเกิดในเวลากลางคืน ทาให้มีลมพัด จากชายฝ่ังไปสู่ทะเล ส่วนลมทะเลเกิดในเวลากลางวัน ทาให้มีลมพดั จากทะเลเข้าสชู่ ายฝ่งั ๕. อธิบายผลของมรสุมต่อการเกิด • มรสมุ เป็นลมประจาฤดูเกิดบริเวณเขตร้อนของโลก ฤดขู องประเทศไทย จากขอ้ มูลที่ ซึ่งเป็นบริเวณกว้างระดับภูมิภาค ประเทศไทยได้รับผล รวบรวมได้ จ า ก ม ร สุ ม ต ะ วั น อ อ ก เ ฉี ย ง เ ห นื อ ใ น ช่ ว ง ป ร ะ ม า ณ กลางเดือนตุลาคมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ทาให้เกิดฤดู หนาว และได้รับผลจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในช่วง ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงกลางเดือนตุลาคม ทาให้เกิดฤดูฝน ส่วนช่วงประมาณกลางเดือน กุมภาพันธ์จนถึงกลางเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเปลี่ยน

ช้นั ตัวชวี้ ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง มรสมุ และประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนยส์ ูตร แสงอาทิตย์ เกือบตั้งตรงและตั้งตรงประเทศไทยในเวลาเท่ียงวัน ทา ให้ไดร้ บั ความร้อนจากดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่ อากาศจึง ร้อนอบอา้ วทาให้เกิดฤดูร้อน ๖. บรรยายลักษณะและผลกระทบ • น้าท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว ของน้าทว่ มการกัดเซาะชายฝ่ัง ดนิ ถล่ม และสึนามิ มผี ลกระทบต่อชวี ิตและสิ่งแวดล้อมแตกต่าง แผ่นดนิ ไหว สนึ ามิ กนั ๗. ตระหนักถึงผลกระทบของภัย • มนุษย์ควรเรียนรู้วิธีปฏิบัติตนให้ปลอดภัย เช่น ธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย โดย ติดตามข่าวสารอย่างสม่าเสมอ เตรียมถุงยังชีพ ให้ นาเสนอแนวทางในการเฝ้าระวังและ พรอ้ มใช้ตลอดเวลา และปฏิบตั ิตามคาสั่งของผู้ปกครอง ปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากภัยธรรมชาติ และเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัดเม่ือเกิดภัยธรรมชาติและ และธรณพี บิ ตั ิภัยท่ีอาจเกิดในท้องถ่ิน ธรณีพิบตั ภิ ัย ป.๖ ๘. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการ • ปรากฏการณ์เรือนกระจกเกิดจากแก๊สเรือน เกิดปรากฏการณ์เรือนกระจก และผล กระจกในชั้นบรรยากาศของโลกกักเก็บความร้อนแล้ว ของปรากฏการณ์เรือนกระจกต่อ คายความร้อนบางส่วนกลับสู่ผิวโลก ทาให้อากาศ บน สงิ่ มชี ีวิต โลกมอี ุณหภูมเิ หมาะสมต่อการดารงชวี ติ ๙. ตระหนักถึงผลกระทบของ • หากปรากฏการณ์เรือนกระจกรุนแรงมากขึ้นจะมี ปรากฏการณ์เรือนกระจก โดยนาเสนอ ผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกมนุษย์จึงควร แนวทางการปฏิบัตติ นเพ่ือลดกิจกรรมท่ี รว่ มกันลดกจิ กรรมที่ก่อใหเ้ กดิ แก๊สเรือนกระจก กอ่ ใหเ้ กิดแก๊สเรือนกระจก สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหา ไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพ รูเ้ ท่าทัน และมจี ริยธรรม ชนั้ ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ป.๖ ๑. ใชเ้ หตผุ ลเชิงตรรกะในการอธิบาย • การแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนจะช่วยให้ และออกแบบวิธีการแก้ปัญหาท่ีพบใน แกป้ ัญหาได้อยา่ งมีประสิทธภิ าพ ชวี ิตประจาวัน • การใช้เหตผุ ลเชิงตรรกะเป็นการนากฎเกณฑ์ หรือ เง่ือนไขที่ครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณาในการ แก้ปญั หา • แนวคดิ ของการทางานแบบวนซ้า และเงือ่ นไข • การพิจารณากระบวนการทางานท่ีมีการทางาน แบบวนซ้าหรือเงื่อนไขเป็นวิธีการที่จะช่วยให้การ ออกแบบวธิ กี ารแกป้ ัญหาเป็นไปอย่างมีประสิทธภิ าพ

ชน้ั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง • ตัวอย่างปัญหา เช่น การค้นหาเลขหน้าท่ีต้องการ ให้เร็วท่ีสุด การทายเลข ๑-๑,๐๐๐,๐๐๐ โดยตอบให้ ถกู ภายใน ๒๐ คาถาม การคานวณเวลาในการเดินทาง โดยคานึงถึงระยะทาง เวลาจดุ หยดุ พกั ๒. ออกแบบและเขียนโปรแกรม • การออกแบบโปรแกรมสามารถทาได้โดยเขียน อ ย่ า ง ง่ า ย เ พ่ื อ แ ก้ ปั ญ ห า ใ น เปน็ ขอ้ ความหรอื ผังงาน ชีวิตประจาวนั ตรวจหาข้อผดิ พลาดของ • การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการใช้ตัวแปร โปรแกรมและแก้ไข การวนซ้า การตรวจสอบเง่ือนไข • หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบการทางานทีละ คาส่ัง เม่ือพบจุดท่ีทาให้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้องให้ทาการ แก้ไขจนกว่าจะได้ผลลพั ธท์ ่ีถูกต้อง • การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของ ผู้อื่นจะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของปัญหาได้ดี ยง่ิ ขนึ้ • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมเกม โปรแกรม หาคา่ ค.ร.น. เกมฝึกพมิ พ์ • ซอฟต์แวร์ท่ีใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo ป.๖ ๓. ใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหา • การค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการค้นหา ข้อมลู อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ข้อมูลท่ีได้ตรงตามความต้องการในเวลาท่ีรวดเร็ว จากแหล่งข้อมูลท่ีน่าเชื่อถือหลายแหล่ง และข้อมูล มคี วามสอดคล้องกัน • การใช้เทคนิคการค้นหาขั้นสูง เช่น การใช้ตัว ดาเนินการ การระบุรูปแบบของข้อมูลหรือชนิดของ ไฟล์ • การจัดลาดับผลลัพธ์จากการค้นหาของโปรแกรม คน้ หา • การเรียบเรียง สรุปสาระสาคัญ (บูรณาการกับวิชา ภาษาไทย)

ช้นั ตัวชี้วดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง ๔. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทางาน • อันตรายจากการใช้งานและอาชญากรรมทาง ร่วมกันอย่างปลอดภัย เข้าใจสิทธิและ อนิ เทอรเ์ น็ต แนวทางในการปอ้ งกนั หน้าท่ีของตน เคารพในสิทธิของผู้อ่ืน • วธิ กี าหนดรหสั ผ่าน แจง้ ผ้เู ก่ียวข้องเม่ือพบข้อมูลหรือบุคคล • การกาหนดสิทธกิ์ ารใช้งาน (สทิ ธิใ์ นการเขา้ ถงึ ) ที่ไม่เหมาะสม • แนวทางการตรวจสอบและป้องกันมัลแวร์ • อันตรายจากการติดต้ังซอฟต์แวร์ที่อยู่บน อินเทอรเ์ นต็

ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชีวิต การลาเลียงสารเข้าและ ออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสรา้ งและหนา้ ท่ีของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทางานสัมพันธ์ กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชท่ีทางานสัมพันธ์กัน รวมทั้งนาความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.๑ ๑. เปรียบเทียบรูปร่าง ลักษณะ • เซลล์เป็นหน่วยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิต และโครงสร้างของเซลล์พืชและเซลล์ บางชนิดมีเซลล์เพียงเซลล์เดียว เช่น อะมีบาพารามี สัตว์ รวมท้ังบรรยายหน้าท่ีของผนัง เซียม ยีสต์ บางชนดิ มีหลายเซลล์ เชน่ พชื สตั ว์ เซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม • โครงสร้างพ้ืนฐานที่พบทั้งในเซลล์พืชและเซลล์ นิวเคลียส แวคิวโอล ไมโทคอนเดรีย สัตว์ และสามารถสังเกตได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ใช้ และคลอโรพลาสต์ แสง ได้แก่ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส ๒. ใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงศึกษา โครงสร้างที่พบในเซลล์พืชแต่ไม่พบในเซลล์สัตว์ เซลล์และโครงสร้างต่าง ๆ ภายใน ได้แก่ ผนงั เซลล์และคลอโรพลาสต์ เซลล์ • โครงสร้างตา่ ง ๆ ของเซลลม์ ีหนา้ ทแี่ ตกตา่ งกัน - ผนงั เซลล์ ทาหน้าท่ใี หค้ วามแข็งแรงแก่เซลล์ - เยื่อหุ้มเซลล์ ทาหน้าที่ห่อหุ้มเซลล์และควบคุม การลาเลยี งสารเข้าและออกจากเซลล์ - นวิ เคลียส ทาหนา้ ท่คี วบคุมการทางานของเซลล์ - โทพลาซึม มอี อรแ์ กเนลลท์ ี่ทาหน้าท่ีแตกตา่ งกัน - แวควิ โอล ทาหน้าทเ่ี ก็บนา้ และสารตา่ ง ๆ - ไมโทคอนเดรีย ทาหน้าท่ีเกี่ยวกับการสลาย สารอาหารเพ่ือให้ไดพ้ ลงั งานแกเ่ ซลล์ - คลอโรพลาสต์ เป็นแหล่งที่เกิดการสังเคราะห์ ดว้ ยแสง ๓. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง • เซลล์ของส่ิงมีชวี ติ มีรูปร่าง ลักษณะ ทหี่ ลากหลาย รปู รา่ งกับการทาหนา้ ทีข่ องเซลล์ และมคี วามเหมาะสมกับหน้าท่ีของเซลลน์ ั้น เช่น เซลล์ ประสาทส่วนใหญ่ มีเส้นใยประสาทเป็นแขนงยาว นากระแสประสาทไปยังเซลล์อื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไป เซลลข์ นราก เป็นเซลลผ์ ิวของรากท่มี ผี นังเซลล์และเยื่อ หุ้มเซลล์ย่ืนยาวออกมา ลักษณะคล้ายขนเส้นเล็ก ๆ เพ่อื เพิม่ พื้นที่ผวิ ในการดูดน้าและธาตุอาหาร

ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๔. อธิบายการจัดระบบของ • พืชและสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์มีการ สิ่งมีชีวิต โดยเร่ิมจากเซลล์ เนื้อเยื่อ จัดระบบ โดยเร่ิมจากเซลล์ไปเป็นเน้ือเยื่อ อวัยวะ อวัยวะ ระบบอวยั วะ จนเปน็ สง่ิ มชี ีวิต ระบบอวยั วะ และสงิ่ มชี วี ติ ตามลาดับ เซลล์หลายเซลล์ มารวมกันเป็นเนื้อเย่ือ เนื้อเย่ือหลายชนิดมารวมกัน และทางานร่วมกันเป็นอวัยวะ อวัยวะต่าง ๆ ทางาน รว่ มกนั เปน็ ระบบอวัยวะ ระบบอวยั วะทุกระบบทางาน ร่วมกันเป็นสง่ิ มีชีวติ ม.๑ ๕. อธิบายกระบวนการแพร่และ • เซลล์มกี ารนาสารเข้าสู่เซลล์ เพอ่ื ใช้ในกระบวนการ ออสโมซิสจากหลักฐานเชิงประจักษ์ ต่าง ๆ ของเซลล์ และมีการขจัดสารบางอย่างท่ีเซลล์ไม่ และยกตัวอย่างการแพร่และออสโม ต้องการออกนอกเซลล์ การนาสารเข้าและออกจาก ซิสในชวี ติ ประจาวัน เซลล์มีหลายวิธี เช่น การแพร่เป็นการเคล่ือนที่ของสาร จากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารสูงไปสู่บริเวณท่ีมี ความเข้มข้นของสารต่า ส่วนออสโมซิส เป็นการแพร่ ของน้า ผ่านเย่ือหุ้มเซลล์ จากด้านท่ีมีความเข้มข้นของ สารละลายต่าไปยังด้านท่ีมีความเข้มข้นของสารละลาย สงู กว่า ๖. ระบุปัจจัยท่ีจาเป็นในการ • กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชท่ีเกิดขึ้น สังเคราะห์ด้วยแสงและผลผลิตที่ ในคลอโรพลาสต์ จาเป็นต้องใช้แสง แก๊สคาร์บอนได- เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ด้วยแสง ออกไซด์ คลอโรฟิลล์ และน้า ผลผลิตท่ีได้จาก การ โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ สังเคราะหด์ ้วยแสง ไดแ้ ก่ น้าตาลและแก๊สออกซิเจน ๗. อธิบายความสาคัญของการ • การสังเคราะห์ด้วยแสง เป็นกระบวนการท่ีสาคัญ สงั เคราะห์ดว้ ยแสงของพืชต่อสิ่งมีชีวิต ต่อสิ่งมีชีวิต เพราะเป็นกระบวนการเดียวท่ีสามารถนา และส่ิงแวดลอ้ ม พลังงานแสงมาเปลี่ยนเป็นพลังงานในรูปสารประกอบ ๘. ตระหนักในคุณค่าของพืชท่ีมี อินทรีย์และเกบ็ สะสมในรปู แบบต่าง ๆ ในโครงสร้างของ ต่อส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม โดยการ พืช พืชจึงเป็นแหล่งอาหารและพลังงานท่ีสาคัญของ ร่วมกันปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ใน ส่ิงมีชีวิตอ่ืน นอกจากนี้กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง โรงเรียนและชมุ ชน ยังเปน็ กระบวนการหลักในการสร้างแกส๊ ออกซเิ จนให้กบั บรรยากาศเพอื่ ใหส้ ง่ิ มีชวี ติ อื่น ใช้ในกระบวนการหายใจ ๙. บรรยายลักษณะและหนา้ ท่ีของ • พืชมีไซเล็มและโฟลเอ็ม ซึ่งเป็นเน้ือเยื่อมีลักษณะ ไซเลม็ และโฟลเอม็ คล้ายท่อ เรียงตัวกันเป็นกลุ่มเฉพาะที่โดยไซเล็มทา ๑๐. เขียนแผนภาพที่บรรยายทิศ หน้าท่ีลาเลียงน้าและธาตุอาหารมีทิศทางลาเลียงจาก ทางการลาเลียงสารในไซเล็มและโฟล รากไปสู่ลาต้น ใบ และสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื เพอื่ ใชใ้ นการ เอ็มของพชื สังเคราะห์ด้วยแสงรวมถึงกระบวนการอ่ืน ๆ ส่วนโฟล เอม็ ทาหน้าที่ลาเลียงอาหารท่ีได้จากการสังเคราะห์ด้วย แสงมีทิศทางลาเลียงจากบริเวณท่ีมีการสังเคราะห์ด้วย แสงไปสูส่ ่วนต่าง ๆ ของพืช

ชน้ั ตวั ชว้ี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๑๑. อธิบายการสืบพันธุ์แบบอาศัย • พืชดอกทุกชนิดสามารถสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศได้ เพศ และไม่อาศัยเพศของพชื ดอก และบางชนดิ สามารถสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้ ๑๒. อธิบายลกั ษณะโครงสร้างของ • การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศเป็นการสืบพันธุ์ที่มี ดอกท่มี ีสว่ นทาให้เกดิ การถา่ ยเรณู การผสมกันของสเปิร์มกับเซลล์ไข่ การสืบพันธ์ุแบบ รวมทง้ั บรรยายการปฏสิ นธิของพืช อาศัยเพศของพืชดอกเกิดขึ้นที่ดอก โดยภายในอับ ดอก การเกดิ ผลและเมล็ด การ เรณูของส่วนเกสรเพศผู้มีเรณู ซึ่งทาหน้าที่สร้าง กระจายเมลด็ และการงอกของเมลด็ สเปิร์ม ภายในออวุลของส่วนเกสรเพศเมียมีถุง ๑๓. ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของ เอม็ บริโอ ทาหนา้ ทส่ี ร้างเซลล์ไข่ สัตวท์ ่ชี ว่ ยในการถา่ ยเรณูของพชื ดอก • การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ เป็นการสืบพันธ์ุที่ โดยการไมท่ าลายชวี ิตของสตั ว์ที่ชว่ ย พืชต้นใหม่ไม่ได้เกิดจากการปฏิสนธิระหว่างสเปิร์ม กับ ในการถ่ายเรณู เซลล์ไข่ แตเ่ กดิ จากสว่ นต่าง ๆ ของพืช เช่น ราก ลาต้น ใบ มีการเจรญิ เติบโตและพัฒนาขึ้นมาเปน็ ตน้ ใหม่ได้ • การถ่ายเรณู คือ การเคลื่อนยา้ ยของเรณูจากอับ เรณูไปยังยอดเกสรเพศเมีย ซ่ึงเกี่ยวข้องกับลักษณะ และโครงสรา้ งของดอก เชน่ สีของกลีบดอก ตาแหนง่ ของเกสรเพศผู้และเกสรเพศเมีย โดยมีสิ่งท่ีช่วยใน การถา่ ยเรณู เช่น แมลง ลม ม.๑ • การถ่ายเรณูจะนาไปสู่การปฏิสนธิ ซึ่งจะเกิดขึ้น ที่ถุงเอ็มบริโอภายในออวุล หลังการปฏิสนธิจะได้ไซ โกต และเอนโดสเปิร์ม ไซโกตจะพัฒนาต่อไปเป็น เอ็มบริโอ ออวุลพัฒนาไปเป็นเมล็ด และรังไข่พัฒนา ไปเปน็ ผล • ผลและเมล็ดมีการกระจายออกจากต้นเดิม โดย วิธีการต่าง ๆ เม่ือเมล็ดไปตกในสภาพแวดล้อมที่ เหมาะสมจะเกิดการงอกของเมล็ด โดยเอ็มบริโอ ภายในเมล็ดจะเจริญออกมา โดยระยะแรกจะอาศัย อาหารที่สะสมภายในเมล็ด จนกระท่ังใบแท้พัฒนา จนสามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้เต็มท่ี และสร้าง อาหารได้เองตามปกติ ๑๔. อธิบายความสาคัญของธาตุ • พืชต้องการธาตุอาหารท่ีจาเป็นหลายชนิดในการ อ า ห า ร บ า ง ช นิ ด ที่ มี ผ ล ต่ อ ก า ร เจริญเตบิ โตและการดารงชีวติ เจรญิ เติบโตและการดารงชวี ิตของพชื • พืชต้องการธาตุอาหารบางชนิดในปริมาณมาก ๑๕. เลือกใช้ปุ๋ยท่ีมีธาตุอาหาร ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แคลเซียม เหมาะสมกับพืชในสถานการณ์ที่ แมกนีเซียม และกามะถัน ซ่ึงในดินอาจมีไม่เพียงพอ กาหนด สาหรับการเจริญเติบโตของพืช จึงต้องมีการให้ธาตุ อาหารในรปู ของปุ๋ยกับพชื อยา่ งเหมาะสม

ช้นั ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๑๖. เลือกวิธีการขยายพันธ์ุพืชให้ • มนุษย์สามารถนาความรู้เร่ืองการสืบพันธุ์แบบ เหมาะสมกับความต้องการของมนุษย์ อาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ มาใช้ในการขยายพันธุ์เพ่ือ โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ของ เพ่ิมจานวนพืช เช่น การใช้เมล็ดท่ีได้จากการสืบพันธุ์ พชื แบบอาศัยเพศมาเพาะเลี้ยง วิธีการนี้จะได้พืชใน ๑๗. อธิบายความสาคั ญของ ปริมาณมาก แต่อาจมีลักษณะท่ีแตกต่างไปจากพ่อแม่ เทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือพืชใน ส่วนการตอนก่ิง การปักชาการต่อกิ่ง การติดตา การ การใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ ทาบก่ิง การเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือ เป็นการนาความรู้เรื่อง ๑๘. ตระหนักถึงประโยชน์ของการ การสืบพันธ์ุแบบไม่อาศัยเพศของพืชมาใช้ในการ ขยายพันธ์ุพืช โดยการนาความรู้ไปใช้ ขยายพันธ์ุเพื่อให้ได้พืชท่ีมีลักษณะเหมือนต้นเดิม ซึ่ง ในชวี ิตประจาวนั การขยายพันธุ์แต่ละวิธี มีขั้นตอนแตกต่างกัน จึงควร เลือกให้เหมาะสมกับความต้องการของมนุษย์ โดยต้อง คานึงถงึ ชนดิ ของพชื และลักษณะการสืบพนั ธุ์ของพืช • เทคโนโลยีการเพาะเล้ยี งเน้ือเยื่อพืช เปน็ การนา ความรู้เกย่ี วกับปจั จยั ทจ่ี าเป็นต่อการเจริญเติบโตของ พืชมาใช้ในการเพิ่มจานวนพืช และทาให้พืชสามารถ เจริญเติบโตได้ในหลอดทดลอง ซึ่งจะได้พืชจานวน มากในระยะเวลาส้ัน และสามารถนาเทคโนโลยีการ เพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือมาประยุกต์เพ่ือการอนุรักษ์ พันธุกรรมพืช ปรับปรุงพันธุ์พืชที่มีความสาคัญทาง เศรษฐกจิ การผลติ ยาและสารสาคญั ในพืช และอ่นื ๆ

สาระท่ี ๒ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของ สสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี ช้ัน ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.๑ ๑. อธิบายสมบัติทางกายภาพบาง • ธาตุแต่ละชนิดมีสมบัติเฉพาะตัวและมีสมบัติทาง ประการของธาตุโลหะ อโลหะ และก่ึง กายภาพบางประการเหมือนกันและบางประการ โลหะ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ท่ีได้ ต่างกัน ซ่ึงสามารถนามาจัดกลุ่มธาตุเป็นโลหะ อโลหะ จากการสังเกตและการทดสอบ และใช้ และก่ึงโลหะ ธาตุโลหะมีจุดเดือด จุดหลอมเหลวสูง มี สารสนเทศที่ได้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ผิวมันวาว นาความร้อนนาไฟฟ้า ดึงเป็นเส้นหรือตีเปน็ รวมท้ังจัดกลุ่มธาตุเป็นโลหะ อโลหะ แผ่นบาง ๆ ได้ และมีความหนาแน่นทั้งสูงและต่า ธาตุ และกึ่งโลหะ อโลหะมีจุดเดือด จุดหลอมเหลวต่า มีผิวไม่มันวาวไม่ นาความร้อน ไม่นาไฟฟ้า เปราะ แตกหักง่าย และมี ความหนาแน่นต่า ธาตุก่ึงโลหะมีสมบัติบางประการ เหมอื นโลหะ และสมบตั ิบางประการเหมือนอโลหะ ๒. วเิ คราะห์ผลจากการใช้ธาตุโลหะ • ธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ท่ีสามารถแผ่รังสี อโลหะ ก่ึงโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี ได้ จดั เปน็ ธาตุกมั มันตรงั สี ท่ีมีต่อส่ิงมีชีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ • ธาตุมีทั้งประโยชน์และโทษ การใช้ธาตุโลหะ และสังคม จากข้อมูลทรี่ วบรวมได้ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกัมมันตรังสี ควรคานึงถึง ๓. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต ส่ิงแวดล้อม เศรษฐกิจและ ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุ สงั คม กัมมันตรังสี โดยเสนอแนวทางการใช้ ธาตุอย่างปลอดภัย คมุ้ ค่า ๔. เปรียบเทียบจุดเดือด จุด • สารบริสุทธ์ิประกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียวส่วน หลอมเหลวของสารบริสุทธ์ิและสาร สารผสมประกอบด้วยสารตั้งแต่ ๒ ชนิดขึ้นไป สาร ผสม โดยการวัดอุณหภูมิ เขียนกราฟ บริสุทธิ์แต่ละชนิดมีสมบัติบางประการท่ีเป็นค่า แปลความหมายข้อมูลจากกราฟ หรือ เฉพาะตัว เช่น จดุ เดือดและจุดหลอมเหลวคงท่ี แตส่ าร สารสนเทศ ผสมมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวไม่คงท่ี ขึ้นอยู่กับ ชนิดและสดั ส่วนของสารท่ีผสมอยดู่ ว้ ยกัน ๕. อธิบายและเปรียบเทียบความ • สารบรสิ ทุ ธแ์ิ ต่ละชนดิ มีความหนาแนน่ หรอื มวล หนาแนน่ ของสารบรสิ ทุ ธิ์และสารผสม ต่อหนึ่งหน่วยปริมาตรคงที่ เป็นค่าเฉพาะของสารนั้น ๖. ใช้เครื่องมือเพ่ือวัดมวลและ ณ สถานะและอุณหภูมิหนึ่งแต่สารผสมมีความ ปรมิ าตรของสารบรสิ ทุ ธ์แิ ละสารผสม หนาแน่นไม่คงที่ขึ้นอยู่กับชนิดและสัดส่วนของสารท่ี ผสมอยดู่ ว้ ยกนั

ชัน้ ตวั ชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๗. อธิบายเก่ียวกับความสัมพันธ์ • สารบริสุทธ์ิแบ่งออกเป็นธาตุและสารประกอบ ระหว่างอะตอม ธาตุ และสารประกอบ ธาตุประกอบด้วยอนุภาคที่เล็กท่ีสุดที่ยังแสดงสมบัติ โดยใช้แบบจาลองและสารสนเทศ ของธาตุน้ันเรียกว่า อะตอม ธาตุแต่ละชนิด ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียวและไม่สามารถ แยกสลายเป็นสารอ่ืนได้ด้วยวิธีทางเคมี ธาตุเขียน แทนด้วยสญั ลักษณ์ธาตุ สารประกอบเกดิ จากอะตอม ของธาตุต้ังแต่ ๒ ชนิดขึ้นไปรวมตัวกันทางเคมีใน อัตราส่วนคงท่ี มีสมบัติแตกต่างจากธาตุที่เป็น องค์ประกอบ สามารถแยกเป็นธาตุได้ด้วยวิธีทางเคมี ธาตุและสารประกอบสามารถเขียนแทนได้ด้วยสูตร เคมี ม.๑ ๘. อธิบายโครงสร้างอะตอมท่ี • อะตอมประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และ ประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และ อิเล็กตรอน โปรตอนมีประจุไฟฟ้าบวก ธาตุชนิด อเิ ลก็ ตรอน โดยใชแ้ บบจาลอง เดียวกันมีจานวนโปรตอนเท่ากันและเป็นค่าเฉพาะ ของธาตุนั้น นิวตรอนเป็นกลางทางไฟฟ้า ส่วน อิเล็กตรอนมีประจุไฟฟ้าลบ เมื่ออะตอมมีจานวน โปรตอนเท่ากับจานวนอิเล็กตรอนจะเป็นกลางทาง ไฟฟ้า โปรตอนและนิวตรอนรวมกันตรงกลางอะตอม เรียกว่า นิวเคลียสส่วนอิเล็กตรอนเคลื่อนท่ีอยู่ใน ท่ีว่างรอบนิวเคลยี ส ๙. อธิบายและเปรียบเทียบการ • สสารทกุ ชนดิ ประกอบด้วยอนุภาค โดยสารชนิด จัดเรียงอนุภาคแรงยึดเหน่ียวระหว่าง เดียวกันที่มีสถานะของแข็ง ของเหลว แก๊ส จะมีการ อนุภาค และการเคลื่อนที่ของอนุภาค จัดเรียงอนุภาค แรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค การ ของสสารชนิดเดียวกันในสถานะ เคลื่อนที่ของอนุภาคแตกต่างกันซึ่งมีผลต่อรูปร่าง ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยใช้ และปริมาตรของสสาร แบบจาลอง • อนุภาคของของแข็งเรียงชิดกัน มีแรงยึดเหน่ียว ระหว่างอนุภาคมากที่สุด อนุภาคส่ันอยู่กับที่ ทาให้มี รูปรา่ งและปรมิ าตรคงท่ี • อนุภาคของของเหลวอยู่ใกล้กัน มีแรงยึดเหน่ียว ระหว่างอนุภาคน้อยกว่าของแข็งแต่มากกว่าแก๊ส อนุภาคเคลื่อนที่ได้แต่ไม่เป็นอิสระเท่าแก๊ส ทาให้มี รูปรา่ งไม่คงท่ี แตป่ รมิ าตรคงท่ี • อนุภาคของแก๊สอยู่ห่างกันมาก มีแรงยึดเหนี่ยว ระหว่างอนุภาคน้อยที่สุด อนุภาคเคล่ือนที่ได้อย่าง อิสระทุกทศิ ทาง ทาใหม้ รี ปู รา่ งและปรมิ าตรไมค่ งที่

ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ๑๐. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง • ความร้อนมีผลต่อการเปลี่ยนสถานะของสสาร พลังงานความร้อนกับการเปลี่ยน เมื่อให้ความร้อนแก่ของแข็ง อนุภาคของของแข็ง สถานะของสสาร โดยใช้หลักฐานเชิง จะมีพลังงานและอุณหภูมิเพ่ิมขึ้นจนถึงระดับหน่ึง ประจักษ์และแบบจาลอง ซ่ึงของแข็งจะใช้ความร้อนในการเปลี่ยนสถานะเป็น ของเหลว เรียกความร้อนที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะ จากของแข็งเป็นของเหลวว่า ความร้อนแฝงของการ หลอมเหลว และอุณหภูมิขณะเปล่ียนสถานะจะคงท่ี เรียกอุณหภมู นิ ีว้ ่า จดุ หลอมเหลว • เมื่อให้ความร้อนแก่ของเหลว อนุภาคของ ของเหลวจะมีพลังงานและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนถึง ระดับหนึ่ง ซึ่งของเหลวจะใช้ความร้อนในการเปล่ียน สถานะเป็นแก๊ส เรียกความร้อนที่ใช้ในการเปล่ียน สถานะจากของเหลวเป็นแก๊สว่า ความร้อนแฝงของ การกลายเป็นไอ และอุณหภูมิขณะเปลี่ยนสถานะจะ คงที่ เรยี กอุณหภมู ิน้วี ่า จดุ เดอื ด • เม่ือทาให้อุณหภูมิของแก๊สลดลงจนถึงระดับ หน่ึงแก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียก อุณหภูมิน้ีว่า จุดควบแน่น ซึ่งมีอุณหภูมิเดียวกับจุด เดอื ดของของเหลวน้นั • เม่ือทาให้อุณหภูมิของของเหลวลดลงจนถึง ระดับหนึ่ง ของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เรียกอณุ หภูมนิ ี้ว่า จุดเยอื กแขง็ ซง่ึ มอี ุณหภูมเิ ดียวกับ จุดหลอมเหลวของของแข็งนัน้ มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงที่กระทาต่อวัตถุ ลักษณะ การเคลอื่ นทแี่ บบต่าง ๆ ของวตั ถุ รวมท้ังนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชน้ั ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๑ ๑. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบาย • เมื่อวัตถุอยู่ในอากาศจะมีแรงท่ีอากาศกระทาต่อ ความสัมพันธ์ระหว่างความดันอากาศ วัตถุในทุกทิศทาง แรงท่ีอากาศกระทาต่อวัตถุขึ้นอยู่ กบั ความสูงจากพื้นโลก กับขนาดพื้นท่ีของวัตถุนน้ั แรงท่ีอากาศกระทาต้ังฉาก กับผิววัตถุตอ่ หนึ่งหน่วยพ้ืนที่เรยี กว่า ความดันอากาศ • ความดันอากาศมีความสัมพันธ์กับความสูงจาก พื้นโลก โดยบริเวณที่สูงจากพื้นโลกขึ้นไป อากาศเบา บางลง มวลอากาศน้อยลง ความดันอากาศก็จะลดลง

มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏสิ ัมพันธ์ระหวา่ งสสารและพลงั งาน พลังงานในชวี ติ ประจาวนั ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเก่ยี วข้อง กับเสยี ง แสง และคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้ารวมทั้งนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ ช้นั ตัวชว้ี ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ม.๑ ๑. วเิ คราะห์ แปลความหมายข้อมูล • เมื่อสสารได้รับหรือสูญเสียความร้อนอาจทาให้ และคานวณปริมาณความร้อนที่ทาให้ สสารเปล่ียนอุณหภูมิ เปล่ียนสถานะ หรือเปล่ียน สสารเปลี่ยนอุณหภูมิและเปลี่ยน รปู ร่าง สถานะโดยใช้สมการ ปริมาณความร้อนท่ีทาให้สสารเปลี่ยนอุณหภูมิข้ึนกบั ������ = ������������∆������ มวล ความร้อนจาเพาะ และอุณหภมู ทิ ่เี ปลย่ี นไป และ ������ = ������������ • ปริมาณความร้อนที่ทาให้สสารเปล่ียนสถานะ ๒. ใช้เทอร์มอมิเตอร์ในการวัด ขึ้นกับมวลและความร้อนแฝงจาเพาะ โดยขณะท่ี สสารเปลี่ยนสถานะ อณุ หภูมิจะไมเ่ ปลยี่ นแปลง อุณหภูมขิ องสสาร ๓. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายการ • ความร้อนทาให้สสารขยายตัวหรือหดตัวได้ ขยายตัวหรือหดตัวของสสารเนื่องจาก เนื่องจากเม่ือสสารได้รับความร้อนจะทาให้อนุภาค ไดร้ ับหรอื สูญเสียความร้อน เคลื่อนที่เร็วขึ้น ทาให้เกิดการขยายตัวแต่เมื่อสสาร ๔. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ คายความร้อนจะทาให้อนุภาคเคล่ือนท่ีช้าลง ทาให้ ของการหดและขยายตัวของสสาร เกิดการหดตวั เน่ืองจากความร้อนโดยวิเคราะห์ • ความรู้เรื่องการหดและขยายตัวของสสาร สถานการณ์ปัญหา และเสนอแนะวิธีการ เนื่องจากความร้อนนาไปใช้ประโยชน์ได้ด้านต่าง ๆ นาความร้มู าแกป้ ัญหาในชีวิตประจาวัน เช่น การสร้างถนน การสร้างรางรถไฟ การทาเทอร์ มอมิเตอร์ ๕. วิเคราะห์สถานการณ์การถ่าย • ความร้อนถ่ายโอนจากสสารท่ีมีอุณหภูมิสูงกว่า โอนความร้อนและคานวณปริมาณ ไปยังสสารที่มีอุณหภูมิต่ากว่าจนกระท่ังอุณหภูมิของ ความร้อนท่ีถ่ายโอนระหว่างสสารจน สสารท้ังสองเท่ากัน สภาพท่ีสสารทั้งสองมีอุณหภูมิ เกิดสมดุลความร้อนโดยใช้สมการ Q เท่ากนั เรียกวา่ สมดุลความร้อน สูญเสยี = Qได้รับ • เมื่อมีการถ่ายโอนความร้อนจากสสารที่มี อุณหภูมิต่างกันจนเกิดสมดุลความร้อนความร้อนท่ี เพ่ิมข้ึนของสสารหนง่ึ จะเท่ากับความร้อนท่ีลดลงของ อีกสสารหนึ่ง ซง่ึ เป็นไปตามกฎการอนรุ กั ษ์พลงั งาน

ชนั้ ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๑ ๖. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการ • การถ่ายโอนความร้อนมี ๓ แบบ คอื การนาความ ถ่ายโอนความร้อนโดยการนาความ ร้อน การพาความร้อน และการแผ่รังสีความร้อน ร้อน การพาความร้อน การแผ่รังสี การนาความร้อนเป็นการถ่ายโอนความร้อนท่ีอาศัย ความร้อน ตัวกลาง โดยท่ีตัวกลางไม่เคล่ือนท่ี การพาความร้อน ๗. ออกแบบ เลือกใช้ และสร้าง เป็นการถ่ายโอนความร้อนที่อาศัยตัวกลาง โดยที่ อุ ป ก ร ณ์ เ พื่ อ แ ก้ ปั ญ ห า ใ น ตวั กลางเคลื่อนท่ีไปด้วย สว่ นการแผ่รังสีความร้อนเป็น ชีวิตประจาวันโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับ การถา่ ยโอนความร้อนที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลาง การถ่ายโอนความร้อน • ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายโอนความร้อนสามารถ นาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวันได้ เช่นการเลือกใช้ วัสดุเพื่อนามาทาภาชนะบรรจุอาหาร เพ่ือเก็บความ ร้อน หรือการออกแบบระบบระบายความร้อนใน อาคาร สาระที่ ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ัง ผลตอ่ สง่ิ มชี วี ิตและสิ่งแวดลอ้ ม ชัน้ ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๑ ๑. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายการ • โลกมีบรรยากาศห่อหุ้ม นักวิทยาศาสตร์ใช้สมบัติ แบ่งช้ันบรรยากาศ และเปรียบเทียบ และองค์ประกอบของบรรยากาศในการแบ่งบรรยากาศ ประโยชนข์ องบรรยากาศแตล่ ะชนั้ ของโลกออกเปน็ ชั้น ซ่ึงแบง่ ได้หลายรปู แบบตามเกณฑ์ที่ แตกต่างกัน โดยท่ัวไปนักวิทยาศาสตร์ใช้เกณฑ์การ เปลย่ี นแปลงอณุ หภมู ติ ามความสูงแบง่ บรรยากาศไดเ้ ปน็ ๕ ช้ัน ได้แก่ ชั้นโทรโพสเฟียร์ ชั้นสตราโตสเฟียร์ ช้ันมี โซสเฟยี ร์ชน้ั เทอรโ์ มสเฟยี ร์ และชนั้ เอกโซสเฟยี ร์ • บรรยากาศแต่ละช้ันมีประโยชน์ต่อส่ิงมีชีวิต แตกต่างกัน โดยชั้นโทรโพสเฟียร์มีปรากฏการณ์ ลมฟ้า อากาศที่สาคัญต่อการดารงชีวิตของส่ิงมีชีวิต ชั้นสตรา โตสเฟียร์ช่วยดูดกลืนรังสีอัลตราไวโอเลตจากดวง อาทิตย์ไม่ให้มายังโลกมากเกินไปช้ันมีโซสเฟียร์ช่วย ชะลอวัตถุนอกโลกที่ผ่านเข้ามา ให้เกิดการเผาไหม้ กลายเป็นวัตถุขนาดเล็กลดโอกาสที่จะทาความเสียหาย แก่ส่ิงมีชีวิตบนโลก ชั้นเทอร์โมสเฟียร์สามารถสะท้อน คลื่นวิทยุ และชั้นเอกโซสเฟียร์เหมาะสาหรับการโคจร ของดาวเทียมรอบโลกในระดับต่า

ชน้ั ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๒. อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อการ • ลมฟ้าอากาศ เป็นสภาวะของอากาศในเวลาหน่ึง เปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของลมฟ้า ของพื้นที่หนึ่งท่ีมีการเปล่ียนแปลงตลอดเวลาข้ึนอยู่ อากาศ จากขอ้ มูลทีร่ วบรวมได้ กับองค์ประกอบลมฟ้าอากาศ ได้แก่ อุณหภูมิอากาศ ความกดอากาศ ลม ความช้ืน เมฆ และหยาดน้าฟ้า โดยหยาดน้าฟ้าที่พบบ่อยในประเทศไทยได้แก่ ฝน องค์ประกอบลมฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ข้ึนอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น ปริมาณรังสีจากดวง อาทิตย์และลักษณะพื้นผิวโลกส่งผลต่ออุณหภูมิ อากาศ อุณหภูมิอากาศและปริมาณไอน้าส่งผลต่อ ความช้ืน ความกดอากาศส่งผลต่อลม ความช้ืนและ ลมสง่ ผลต่อเมฆ ม.๑ ๓. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด • พายุฝนฟ้าคะนอง เกิดจากการท่ีอากาศที่มี พายุ ฝนฟ้าคะนองและพายุหมุนเขต อุณหภูมิและความช้ืนสูงเคลื่อนท่ีขึ้นสู่ระดับความสูง ร้อน และผลที่มีต่อส่ิงมีชีวิตและ ท่ีมีอุณหภูมิต่าลง จนกระท่ังไอน้าในอากาศเกิดการ ส่ิงแวดล้อม รวมทั้งนาเสนอแนว ควบแน่นเป็นละอองน้า และเกิดต่อเนื่องเป็นเมฆ ทางการปฏิบัติตนให้เหมาะสมและ ขนาดใหญ่ พายุฝนฟ้าคะนองทาให้เกิดฝนตกหนัก ปลอดภัย ลมกรรโชกแรง ฟ้าแลบฟ้าผ่า ซึ่งอาจก่อให้เกิด อนั ตรายต่อชีวิตและทรพั ยส์ ิน • พายุหมุนเขตร้อนเกิดเหนือมหาสมุทรหรือทะเล ท่ีน้ามีอุณหภูมิสูงต้ังแต่ ๒๖-๒๗ องศาเซลเซียส ข้ึน ไป ทาให้อากาศที่มีอุณหภูมิและความช้ืนสูงบริเวณ น้ันเคลื่อนที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นบริเวณกว้าง อากาศจากบริเวณอ่ืนเคลื่อนเข้ามาแทนที่และพัด เวียนเข้าหาศูนย์กลางของพายุยิ่งใกล้ศูนย์กลาง อากาศจะเคลื่อนที่พัดเวียนเกือบเป็นวงกลมและมี อัตราเรว็ สูงทสี่ ดุ พายุหมุนเขตรอ้ นทาให้เกดิ คลื่นพายุ ซัดฝ่ัง ฝนตกหนักซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สิน จึงควรปฏิตนให้ปลอดภัยโดยติดตาม ข่าวสารการพยากรณ์อากาศ และไมเ่ ขา้ ไปอยใู่ นพ้ืนท่ี ทีเ่ สี่ยงภัย ๔. อธิบายการพยากรณ์อากาศ • การพยากรณ์อากาศเป็นการคาดการณ์ลมฟ้า และพยากรณ์อากาศอย่างง่ายจาก อากาศ ที่จะเกิดข้ึนในอนาคต โดยมีการตรวจวัด ขอ้ มลู ท่รี วบรวมได้ องค์ประกอบลมฟ้าอากาศ การส่ือสารแลกเปลี่ยน ข้อมูลองค์ประกอบลมฟ้าอากาศระหว่างพื้นที่ การ วเิ คราะห์ขอ้ มูลและสรา้ งคาพยากรณ์อากาศ ๕. ตระหนักถึงคุณค่าของการ • การพยากรณ์อากาศสามารถนามาใช้ประโยชน์ พยากรณ์อากาศโดยนาเสนอแนว ด้านต่าง ๆ เช่น การใช้ชีวิตประจาวัน การคมนาคม

ช้ัน ตัวชวี้ ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ทางการปฏิบัติตนและการใช้ประโยชน์ การเกษตร การป้องกัน และเฝ้าระวังภัยพิบัติ ทาง จากคาพยากรณ์อากาศ ธรรมชาติ ๖ . อ ธิ บ า ย ส ถ า น ก า ร ณ์ แ ล ะ • ภูมิอากาศโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่าง ผลกระทบการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ ต่อเน่ืองโดยปัจจัยทางธรรมชาติ แต่ปัจจุบันการ โลกจากขอ้ มูลทรี่ วบรวมได้ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเกิดข้ึนอย่างรวดเร็วเน่ืองจาก กิจกรรมของมนุษย์ในการปลดปล่อยแก๊สเรือน กระจกส่บู รรยากาศ แกส๊ เรอื นกระจกท่ีถูกปลดปล่อย มากทสี่ ดุ ไดแ้ ก่ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ซึ่งหมุนเวียน อยใู่ นวัฏจักรคารบ์ อน ๗. ตระหนักถึงผลกระทบของการ • การเปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลกก่อให้เกิด เปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลก โดย ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม เช่นการ นาเสนอแนวทางการปฏิบัติตนภายใต้ หลอมเหลวของน้าแข็งขั้วโลก การเพ่ิมขึ้นของระดับ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก ทะเล การเปลี่ยนแปลงวัฏจักรน้าการเกิดโรคอุบัติ ใหม่และอุบัติซ้า และการเกิดภัยพิบัตทิ างธรรมชาติที่ รุนแรงข้ึน มนุษย์จึงควรเรียนรู้แนวทางการปฏิบัติตน ภายใตส้ ถานการณด์ ังกล่าว ทั้งแนวทางการปฏิบัติตน ให้เหมาะสมและแนวทางการลดกิจกรรมที่ส่งผลต่อ การเปลี่ยนแปลงภมู อิ ากาศโลก สาระท่ี ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลกั ของเทคโนโลยีเพอ่ื การดารงชวี ิตในสังคมที่มีการเปลีย่ นแปลงอย่าง รวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนางาน อย่างมีความคิดสร้างสรรค์ดว้ ยกระบวนการออกแบบเชิงวศิ วกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคานงึ ถึง ผลกระทบตอ่ ชีวติ สังคม และสิง่ แวดลอ้ ม ชั้น ตัวชว้ี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๑ ๑ . อ ธิ บ า ย แ น ว คิ ด ห ลั ก ข อ ง • เทคโนโลยี เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างหรือพัฒนาข้ึนซ่ึง เทคโนโลยีในชีวิตประจาวันและ อาจเป็นได้ทั้งชิ้นงานหรือวิธีการ เพื่อใช้แก้ปัญหา วิเคราะห์สาเหตุหรือปัจจัยท่ีส่งผลต่อ สนองความต้องการ หรือเพ่ิมความสามารถในการ การเปลยี่ นแปลงของเทคโนโลยี ทางานของมนุษย์ • ระบบทางเทคโนโลยี เป็นกลุ่มของส่วนต่าง ๆ ต้ังแต่สองส่วนขึ้นไปประกอบเข้าด้วยกันและทางาน ร่วมกันเพ่ือให้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยในการทางาน ของระบบทางเทคโนโลยีจะประกอบไปด้วยตัวป้อน (input) กระบวนการ (process) และผลผลิต (output) ท่ีสัมพันธ์กัน นอกจากนี้ระบบทางเทคโนโลยีอาจมี ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) เพ่ือใช้ปรับปรุงการ

ช้นั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ทางานได้ตามวัตถุประสงค์ ซึ่งการวิเคราะห์ระบบทาง เทคโนโลยีช่วยให้เข้าใจองค์ประกอบและการทางาน ของเทคโนโลยี รวมถึงสามารถปรับปรุงให้เทคโนโลยี ทางานได้ตามต้องการ • เทคโนโลยีมีการเปล่ียนแปลงตลอดเวลาต้ังแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน ซ่ึงมีสาเหตุหรือปัจจัยมาจากหลาย ด้าน เช่น ปัญหา ความต้องการ ความก้าวหน้าของ ศาสตร์ต่าง ๆ เศรษฐกจิ สงั คม ๒. ระบุปัญหาหรือความต้องการใน • ปัญหาหรือความต้องการในชีวิตประจาวันพบได้ ชีวิตประจาวัน รวบรวม วิเคราะห์ จากหลายบริบทขึ้นกับสถานการณ์ท่ีประสบ เช่น ข้อมูลและแนวคิดทีเ่ กี่ยวข้องกับปัญหา การเกษตร การอาหาร • การแก้ปัญหาจาเป็นต้องสืบค้น รวบรวมข้อมูล ความรู้จากศาสตร์ต่าง ๆ ที่เก่ียวข้อง เพื่อนาไปสู่ การ ออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา ๓. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา โดย • การวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือก วิเคราะห์เปรียบเทียบ และตัดสินใจ ข้อมูลท่ีจาเป็น โดยคานึงถึงเงื่อนไข และทรัพยากรท่ีมี เลือกข้อมูลท่ีจาเป็น นาเสนอแนวทาง อยู่ ชว่ ยให้ไดแ้ นวทางการแกป้ ญั หาท่ีเหมาะสม การแก้ปัญหาให้ผู้อ่ืนเข้าใจ วางแผน • การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาทาได้ และดาเนนิ การแก้ปัญหา หลากหลายวิธี เช่น การร่างภาพ การเขียนแผนภาพ การเขียนผังงาน • การกาหนดขั้นตอนและระยะเวลาในการทางาน ก่อนดาเนินการแก้ปัญหาจะช่วยให้ทางานสาเร็จได้ ตามเป้าหมายและลดข้อผิดพลาดของการทางานท่ีอาจ เกดิ ข้ึน ๔. ทดสอบ ประเมินผล และระบุ • การทดสอบ และประเมินผลเป็นการตรวจสอบ ข้อบกพร่องท่ีเกิดขึ้น พร้อมทั้งหาแนว ชิ้นงานหรือวิธีการว่าสามารถแก้ปัญหาได้ตาม ทางการปรับปรุงแก้ไขและนาเสนอผล วัตถุประสงค์ภายใต้กรอบของปัญหา เพ่ือหา การแก้ปญั หา ข้อบกพร่อง และดาเนินการปรับปรุง โดยอาจทดสอบ ซา้ เพ่อื ให้สามารถแกป้ ัญหาได้ • การนาเสนอผลงานเป็นการถ่ายทอดแนวคิด เพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจเก่ียวกับกระบวนการทางานและ ชิ้นงานหรือวิธีการท่ีได้ ซ่ึงสามารถทาได้หลายวิธี เช่น การเขียนรายงาน การทาแผ่นนาเสนอผลงาน การจัด นทิ รรศการ การนาเสนอผา่ นสื่อออนไลน์

ชนั้ ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๑ ๕. ใช้ความรู้และทักษะเกี่ยวกับวัสดุ • วัสดุแต่ละประเภทมีสมบัติแตกต่างกัน เช่น ไม้ อุปกรณ์ เครื่องมือ กลไก ไฟฟ้า หรือ โลหะ พลาสตกิ จงึ ตอ้ งมีการวเิ คราะหส์ มบัติเพ่อื เลือกใช้ อิเล็กทรอนิกส์เพื่อแก้ปัญหาได้อย่าง ให้เหมาะสมกบั ลกั ษณะของงาน ถูกตอ้ ง เหมาะสมและปลอดภยั • การสร้างช้ินงานอาจใช้ความรู้ เรื่องกลไก ไฟฟ้า อเิ ล็กทรอนกิ ส์ เช่น LED บซั เซอร์ มอเตอร์วงจรไฟฟ้า • อุปกรณ์และเครื่องมือในการสร้างชิ้นงานหรือ พัฒนาวิธีการมีหลายประเภท ต้องเลือกใช้ให้ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย รวมทง้ั รจู้ กั เกบ็ รกั ษา มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็น ขน้ั ตอนและเป็นระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหา ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ รเู้ ทา่ ทัน และมีจริยธรรม ชั้น ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ม.๑ ๑. ออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิด • แนวคดิ เชิงนามธรรม เป็นการประเมินความสาคัญ เชิงนามธรรมเพื่อแก้ปัญหาหรืออธิบาย ของรายละเอียดของปัญหา แยกแยะส่วนที่เป็น การทางานท่ีพบในชวี ิตจรงิ สาระสาคญั ออกจากส่วนที่ไม่ใช่สาระสาคัญ • ตัวอย่างปัญหา เช่น ต้องการปูหญ้าในสนามตาม พ้ืนที่ที่กาหนด โดยหญ้าหนึ่งผืนมีความกว้าง ๕๐ เซนตเิ มตร ยาว ๕๐ เซนตเิ มตร จะใช้หญา้ ทง้ั หมดก่ผี ืน ๒. ออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่าง • การออกแบบและเขียนโปรแกรมท่ีมีการใช้ตัวแปร ง่ายเพ่ือแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์หรือ เง่ือนไข วนซา้ วทิ ยาศาสตร์ • การออกแบบอัลกอริทึม เพ่ือแก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์อย่างง่าย อาจใช้แนวคิดเชิง นามธรรมในการออกแบบ เพื่อให้การแก้ปัญหามี ประสทิ ธิภาพ • การแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนจะช่วยให้ แกป้ ัญหาไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ • ซอฟต์แวร์ท่ีใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, python, java, c • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมสมการการ เคลื่อนที่ โปรแกรมคานวณหาพ้ืนท่ี โปรแกรมคานวณ ดชั นีมวลกาย

ช้นั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๓ . ร ว บ ร ว ม ข้ อ มู ล ป ฐ ม ภู มิ • การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ ประมวลผล ประเมินผล นาเสนอข้อมูล ประมวลผล สร้างทางเลือก ประเมินผล จะทาให้ได้ และสารสนเทศ ตามวัตถปุ ระสงค์โดยใช้ สารสนเทศเพ่ือใช้ในการแก้ปัญหาหรือการตัดสินใจได้ ซอฟต์แวร์ หรือบริการบนอินเทอร์เน็ต อย่างมีประสิทธิภาพ ท่ีหลากหลาย • การประมวลผลเป็นการกระทากบั ข้อมลู เพ่อื ให้ได้ ผลลัพธ์ที่มีความหมายและมีประโยชน์ต่อการนาไปใช้ งาน สามารถทาได้หลายวิธี เช่น คานวณอัตราส่วน คานวณค่าเฉลยี่ • การใช้ซอฟต์แวร์หรือบริการบนอินเทอร์เน็ตที่ หลากหลายในการรวบรวม ประมวลผลสร้างทางเลือก ประเมินผล นาเสนอ จะช่วยให้แก้ปัญหาได้อย่าง รวดเรว็ ถูกต้อง และแมน่ ยา • ตัวอย่างปัญหา เน้นการบูรณาการกับวิชาอ่ืนเช่น ต้มไข่ให้ตรงกับพฤติกรรมการบริโภค ค่าดัชนีมวลกาย ของคนในท้องถ่ิน การสร้างกราฟผลการทดลองและ วเิ คราะหแ์ นวโนม้ ๔. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง • ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ปลอดภัย ใช้ส่ือและแหล่งข้อมูลตาม เช่น การปกป้องความเป็นส่วนตัวและอัตลักษณ์ ข้อกาหนดและขอ้ ตกลง • การจัดการอัตลักษณ์ เช่น การตั้งรหัสผ่าน การปกป้องขอ้ มูลส่วนตัว • การพิจารณาความเหมาะสมของเน้ือหา เช่น ละเมิดความเป็นส่วนตัวผู้อ่ืน อนาจาร วิจารณ์ ผอู้ ืน่ อยา่ งหยาบคาย • ขอ้ ตกลง ขอ้ กาหนดในการใชส้ อ่ื หรอื แหลง่ ข้อมูล ต่าง ๆ เช่น Creative commons

ตัวชี้วดั และสาระการเรยี นรู้แกนกลาง ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ ๒ สาระที่ ๑ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของส่ิงมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารเข้าและ ออกจากเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทางานสัมพันธ์ กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชท่ีทางานสัมพันธ์กัน รวมท้ังนาความรู้ ไปใช้ประโยชน์ ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๒ ๑. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ • ระบบหายใจมีอวัยวะต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง ได้แก่ ของอวัยวะที่เกี่ยวข้องในระบบหายใจ จมูก ท่อลม ปอด กะบังลม และกระดกู ซโี่ ครง ๒. อธิบายกลไกการหายใจเข้าและ • มนุษย์หายใจเข้า เพื่อนาแก๊สออกซิเจนเข้าสู่ ออก โดยใช้แบบจาลอง รวมท้ังอธิบาย ร่างกายเพื่อนาไปใช้ในเซลล์ และหายใจออกเพื่อกาจัด กระบวนการแลกเปลย่ี นแกส๊ แก๊สคาร์บอนไดออกไซดอ์ อกจากร่างกาย ๓. ตระหนักถึงความสาคัญของ • อากาศเคลื่อนท่ีเข้าและออกจากปอดได้เนื่องจาก ระบบหายใจโดยการบอกแนวทางใน การเปล่ียนแปลงปริมาตรและความดันของอากาศ การดูแลรักษาอวัยวะในระบบหายใจให้ ภายในช่องอกซึ่งเก่ียวข้องกับการทางานของกะบังลม ทางานเปน็ ปกติ และกระดูกซโี่ ครง • การแลกเปลี่ ยนแก๊ สออกซิ เจนกั บ แ ก๊ ส คาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย เกิดขึ้นบริเวณถุงลมใน ปอดกับหลอดเลือดฝอยท่ีถุงลม และระหว่างหลอด เลอื ดฝอยกับเนื้อเยื่อ • การสูบบุหรี่ การสูดอากาศที่มีสารปนเปื้อน และ การเป็นโรคเก่ียวกับระบบหายใจบางโรคอาจทาให้เกิด โรคถุงลมโป่งพอง ซ่ึงมีผลให้ความจุอากาศของปอด ลดลง ดังน้ันจึงควรดูแลรักษาระบบหายใจ ให้ทาหน้าที่ เปน็ ปกติ ๔. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าที่ • ระบบขับถ่ายมีอวัยวะท่ีเกี่ยวข้อง คือ ไต ท่อไต ของอวัยวะในระบบขับถ่ายในการกาจัด กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ โดยมีไตทาหน้าท่ี ของเสียทางไต กาจัดของเสีย เช่น ยูเรีย แอมโมเนียกรดยูริก รวมท้ัง ๕. ตระหนักถึงความสาคัญของ สารท่รี ่างกายไม่ต้องการออกจากเลือด และควบคุมสาร ระบบขับถ่ายในการกาจัดของเสียทาง ท่ีมีมากหรือน้อยเกินไป เช่น น้า โดยขับออกมาในรูป ไต โดยการบอกแนวทางในการปฏิบัติ ของปสั สาวะ ตนที่ช่วยให้ระบบขับถ่ายทาหน้าที่ได้ • การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม เช่น อยา่ งปกติ รับประทานอาหารที่ไม่มีรสเค็มจัด การด่ืมน้าสะอาดให้ เพียงพอ เป็นแนวทางหนึ่งท่ีช่วยให้ระบบขับถ่ายทา หน้าที่ได้อย่างปกติ

ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๖. บรรยายโครงสร้างและหน้าที่ • ระบบหมุนเวียนเลือดประกอบด้วย หัวใจ หลอด ของหวั ใจหลอดเลือด และเลอื ด เลอื ด และเลอื ด ๗. อธิบายการทางานของระบบ • หัวใจของมนุษย์แบ่งเป็น ๔ ห้อง ได้แก่ หัวใจห้อง หมนุ เวียนเลือด โดยใชแ้ บบจาลอง บน ๒ ห้อง และห้องล่าง ๒ ห้อง ระหว่างหัวใจห้องบน และหวั ใจหอ้ งล่างมีลนิ้ หัวใจกน้ั • หลอดเลือด แบ่งเป็น หลอดเลือดอาร์เตอรี หลอด เลอื ดเวน หลอดเลอื ดฝอย ซ่ึงมีโครงสร้างต่างกัน • เลอื ด ประกอบด้วย เซลลเ์ มด็ เลือด เพลตเลต และ พลาสมา • การบีบและคลายตัวของหัวใจทาให้เลือด หมุนเวียนและลาเลียงสารอาหาร แก๊ส ของเสีย และ สารอ่ืน ๆ ไปยังอวยั วะและเซลล์ต่าง ๆ ทวั่ ร่างกาย • เลือดที่มีปริมาณแก๊สออกซิเจนสูงจะออกจาก หัวใจไปยังเซลล์ต่าง ๆ ท่ัวร่างกาย ขณะเดียวกันแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์จะแพร่เข้าสู่เลือดและ ลาเลียงกลับเข้าส่หู ัวใจและถูกสง่ ไปแลกเปล่ียนแก๊ส ท่ปี อด ม.๒ ๘. ออกแบบการทดลองและทดลอง • ชพี จรบอกถึงจังหวะการเต้นของหัวใจซ่ึงอัตราการ ในการเปรียบเทียบอัตราการเต้นของ เต้นของหัวใจในขณะปกติและหลังจากทากิจกรรมต่าง หัวใจ ขณะปกตแิ ละหลังทากจิ กรรม ๆ จะแตกต่างกันส่วนความดันเลือด ระบบหมุนเวียน ๙. ตระหนักถึงความสาคัญของ เลอื ดเกิดจากการทางานของหวั ใจและหลอดเลือด ระบบหมุนเวียนเลือด โดยการบอก • อัตราการเต้นของหัวใจมีความแตกต่างกันในแต่ แนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะใน ละบุคคล คนท่ีเปน็ โรคหวั ใจและหลอดเลือดจะส่งผลทา ระบบหมุนเวียนเลือดให้ทางานเป็น ให้หัวใจสบู ฉีดเลือดไมเ่ ป็นปกติ ปกติ ๑๐. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ี • ระบบประสาทส่วนกลาง ประกอบด้วยสมองและ ของอวัยวะในระบบประสาทส่วนกลาง ไขสันหลัง จะทาหน้าที่ร่วมกับเส้นประสาท ซึ่งเป็น ในการควบคุมการทางานต่าง ๆ ของ ระบบประสาทรอบนอก ในการควบคุมการทางานของ รา่ งกาย อวัยวะต่าง ๆ รวมถึงการแสดงพฤติกรรม เพ่ือการ ๑๑. ตระหนักถึงความสาคัญของ ตอบสนองต่อส่ิงเร้า ระบบประสาทโดยการบอกแนวทางใน • เม่ือมีสิ่งเร้ามากระตุ้นหน่วยรับความรู้สึก จะเกิด การดูแลรักษา รวมถึงการป้องกันการ กระแสประสาทส่งไปตามเซลล์ประสาทรับความรู้สึก กระทบกระเทือนและอันตรายต่อสมอง ไปยังระบบประสาทส่วนกลาง แล้วส่งกระแสประสาท และไขสนั หลัง มาตามเซลล์ประสาทสั่งการ ไปยังหนว่ ยปฏิบตั ิงาน เช่น กลา้ มเนื้อ • ระบบประสาทเป็นระบบที่มีความซับซ้อนและมี ความสัมพันธ์กับทุกระบบในร่างกาย ดังนั้นจึงควร ป้องกันการเกิดอุบัติเหตุท่ีกระทบกระเทือนต่อสมอง

ชั้น ตัวช้ีวดั สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง หลีกเล่ียงการใช้สารเสพติด หลีกเลี่ยงภาวะเครียด และ รับประทานอาหารท่ีมีประโยชน์เพื่อดูแลรักษาระบบ ประสาทใหท้ างานเป็นปกติ ๑๒. ระบุอวัยวะและบรรยายหน้าท่ี • มนุษย์มีระบบสืบพันธุ์ท่ีประกอบด้วยอวัยวะต่าง ของอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ของเพศ ๆ ที่ทาหน้าท่ีเฉพาะ โดยรังไข่ในเพศหญิงจะทาหน้าท่ี ชายและเพศหญิงโดยใช้แบบจาลอง ผลิตเซลล์ไข่ ส่วนอัณฑะในเพศชายจะทาหน้าที่สร้าง ๑๓. อธิบายผลของฮอร์โมนเพศชาย เซลล์อสจุ ิ และเพศหญิงที่ควบคุมการเปล่ียนแปลง • ฮอร์โมนเพศทาหน้าท่ีควบคุมการแสดงออกของ ของร่างกาย เมอื่ เขา้ สวู่ ยั หน่มุ สาว ลักษณะทางเพศท่ีแตกต่างกัน เมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว จะ ๑๔. ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลง มีการสร้างเซลล์ไข่และเซลล์อสุจิ การตกไข่ การมีรอบ ของร่างกายเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว โดย เดือน และถ้ามีการปฏิสนธิของเซลล์ไข่และเซลล์อสุจิ การดูแลรักษาร่างกายและจิตใจของ จะทาให้เกิดการตั้งครรภ์ ตนเองในช่วงท่มี ีการเปลย่ี นแปลง ม.๒ ๑๕. อธิ บายการตกไข่ การมี • การมีประจาเดือน มีความสัมพันธ์กับการตกไข่ ประจาเดือนการปฏิสนธิ และการ โดยเป็นผลจากการเปล่ียนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศ พฒั นาของไซโกตจน คลอดเป็นทารก หญิง ๑๖. เลือกวิธีการคุมกาเนิดท่ี • เม่ือเพศหญิงมีการตกไข่และเซลล์ไข่ได้รับการ เหมาะสมกับสถานการณท์ ่กี าหนด ปฏิสนธิกับเซลล์อสุจิจะทาให้ได้ไซโกตไซโกตจะเจริญ ๑๗. ตระหนักถึงผลกระทบของการ เป็นเอ็มบริโอและฟตี ัสจนกระท่ังคลอดเปน็ ทารก แต่ถ้า ต้ังครรภ์ก่อนวัยอันควร โดยการ ไม่มีการปฏิสนธิ เซลล์ไข่จะสลายตัว ผนังด้านในมดลูก ประพฤตติ นให้เหมาะสม รวมท้ังหลอดเลือดจะสลายตัวและหลุดลอกออก เรียกว่าประจาเดือน • การคมุ กาเนิดเป็นวธิ ปี ้องกันไม่ให้เกิดการตั้งครรภ์ โดยป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิสนธิหรือไม่ให้มีการฝังตัว ของเอ็มบริโอ ซ่ึงมีหลายวิธี เช่น การใช้ ถุงยางอนามัย การกนิ ยาคุมกาเนิด สาระที่ ๒ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว ๒.๑ เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของ สสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของ สสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี ชนั้ ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๒ ๑. อธิบายการแยกสารผสมโดยการ • การแยกสารผสมให้เป็นสารบริสุทธ์ิทาได้หลายวิธี ระเหยแห้งการตกผลึก การกลั่นอย่าง ข้ึนอยู่กับสมบัติของสารน้ัน ๆ การระเหยแห้งใช้แยก ง่ายโครมาโทกราฟีแบบกระดาษ การ สารละลายซ่ึงประกอบด้วยตัวละลายท่ีเป็นของแข็งใน สกัดด้วยตัวทาละลาย โดยใช้หลักฐาน ตัวทาละลายท่ีเป็นของเหลว โดยใช้ความร้อนระเหยตัว เชิงประจกั ษ์ ทาละลายออกไปจนหมดเหลือแต่ตัวละลาย การตก

ช้นั ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ๒. แยกสารโดยการระเหยแห้ง การ ผลึกใช้แยกสารละลายที่ประกอบด้วยตัวละลายที่เป็น ตกผลึกการกล่ันอย่างง่าย โครมาโทก ของแข็งในตัวทาละลายท่ีเป็นของเหลว โดยทาให้ ราฟีแบบกระดาษ การสกัดด้วยตัวทา สารละลายอิ่มตัว แล้วปล่อยให้ตัวทาละลายระเหย ละลาย ออกไปบางส่วน ตัวละลายจะตกผลึกแยกออกมา การ กลั่นอย่างง่ายใช้แยกสารละลายท่ีประกอบด้วยตัว ละลายและตัวทาละลายที่เป็นของเหลวท่ีมีจุดเดือด ต่างกันมาก วิธีน้ีจะแยกของเหลวบริสุทธ์ิออกจาก สารละลายโดยให้ความร้อนกับสารละลาย ของเหลวจะ เดือดและกลายเป็นไอแยกจากสารละลายแล้วควบแน่น กลับเป็นของเหลวอีกครั้ง ขณะท่ีของเหลวเดือด อุณหภูมิของไอจะคงที่ โครมาโทกราฟีแบบกระดาษ เป็นวิธีการแยกสารผสมท่ีมีปริมาณน้อยโดยใช้แยกสาร ท่ีมีสมบัติการละลายในตัวทาละลายและการถูกดูดซับ ดว้ ยตัวดูดซับแตกต่างกัน ทาใหส้ ารแต่ละชนิดเคลื่อนที่ ไปบนตัวดูดซับได้ต่างกัน สารจึงแยกออกจากกันได้ อัตราส่วนระหว่างระยะทางที่สารองค์ประกอบแต่ละ ชนิดเคล่ือนที่ได้บนตัวดูดซับ กับระยะทางท่ีตัวทา ละลายเคล่ือนที่ได้ เป็นค่าเฉพาะตัวของสารแต่ละชนิด ในตัวทาละลายและตัวดูดซับหน่ึง ๆ การสกัดดว้ ยตัวทา ละลาย เป็นวิธีการแยกสารผสมท่ีมีสมบัติการละลายใน ตัวทาละลายท่ีต่างกัน โดยชนิดของตัวทาละลายมีผล ต่อชนิดและปริมาณของสารที่สกัดได้การสกัดโดยการ กลั่นด้วยไอน้า ใช้แยกสารท่ีระเหยง่าย ไม่ละลายน้า และไม่ทาปฏิกิริยากับน้าออกจากสารท่ีระเหยยาก โดย ใช้ไอนา้ เปน็ ตัวพา

ชัน้ ตวั ชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๒ ๓. นาวธิ ีการแยกสารไปใช้แก้ปัญหา • ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการแยกสาร ในชีวิตประจ าวั นโดยบู รณาการ บูรณาการกับคณิตศาสตร์ เทคโนโลยี โดยใช้ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม สามารถนาไปใช้แก้ปัญหา และวศิ วกรรมศาสตร์ ในชีวิตประจาวันหรือปัญหาท่ีพบในชุมชนหรือสร้าง นวตั กรรม โดยมขี ้ันตอน ดังนี้ - ระบุปัญหาในชีวิตประจาวันท่ีเก่ียวกับการแยก สารโดยใช้สมบัติทางกายภาพ หรือนวัตกรรมท่ีต้องการ พัฒนา โดยใช้หลักการดังกล่าว - รวบรวมข้อมูลและแนวคิดเก่ียวกับการแยกสาร โดยใช้สมบัติทางกายภาพท่ีสอดคล้องกับปัญหาท่ีระบุ หรอื นาไปสกู่ ารพัฒนานวัตกรรมนั้น - ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา หรือพัฒนา นวัตกรรมท่ีเกี่ยวกับการแยกสารในสารผสม โดยใช้ สมบัติทางกายภาพ โดยเช่ือมโยงความรู้ด้าน วิทยาศาสตร์ คณติ ศาสตร์ เทคโนโลยี และกระบวนการ ทางวิศวกรรม รวมท้ังกาหนดและควบคุมตัวแปรอย่าง เหมาะสม ครอบคลมุ - วางแผนและดาเนินการแก้ปัญหา หรือพัฒนา นวัตกรรม รวบรวมข้อมูล จัดกระทาข้อมูลและเลือก วิธกี ารส่ือความหมายทีเ่ หมาะสมในการนาเสนอผล - ทดสอบ ประเมินผล ปรับปรุงวิธีการแก้ปัญหา หรือนวัตกรรมท่ีพัฒนาขึ้น โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ท่ีรวบรวมได้ - นาเสนอวิธีการแกป้ ัญหา หรอื ผลของนวัตกรรม ที่พัฒนาขึ้น และผลที่ได้ โดยใช้วิธีการส่ือสารที่ เหมาะสมและน่าสนใจ

ชน้ั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ๔. ออกแบบการทดลองและทดลอง • สารละลายอาจมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว ในการอธิบายผลของชนิดตัวละลาย และแก๊ส สารละลายประกอบด้วยตัวทาละลาย และตัว ชนดิ ตัวทาละลาย อุณหภูมิทีม่ ีตอ่ สภาพ ละลาย กรณีสารละลายเกิดจากสารที่มีสถานะเดียวกัน ละลายได้ของสาร รวมท้ังอธิบายผลของ สารท่ีมีปริมาณมากท่ีสุดจัดเป็นตัวทาละลาย กรณี ความดนั ทีม่ ตี ่อสภาพละลายได้ของสาร สารละลายเกิดจากสารที่มีสถานะต่างกัน สารที่มี โดยใช้สารสนเทศ สถานะเดียวกันกับสารละลายจัดเป็นตวั ทาละลาย สารละลายที่ตัวละลายไม่สามารถละลายในตัวทา ละลายได้อีกท่ีอณุ หภูมิหนึ่ง ๆ เรยี กว่าสารละลายอิ่มตวั • สภาพละลายได้ของสารในตัวทาละลาย เป็นค่าที่ บอกปริมาณของสารท่ีละลายได้ในตัวทาละลาย ๑๐๐ กรัม จนได้สารละลายอ่ิมตัว ณ อุณหภูมิและความดัน หนง่ึ ๆ สภาพละลายได้ของสารบ่งบอกความสามารถใน การละลายได้ของตัวละลาย ในตัวทาละลาย ซึ่ง ความสามารถในการละลายของสารขึ้นอยู่กับชนิดของ ตวั ทาละลายและตัวละลาย อุณหภูมิ และความดนั • สารชนิดหน่ึง ๆ มีสภาพละลายได้แตกต่างกันใน ตวั ทาละลายที่แตกต่างกัน และสารต่างชนิดกันมีสภาพ ละลายไดใ้ นตัวทาละลายหนึ่ง ๆ ไม่เท่ากนั ม.๒ • เม่ืออุณหภูมิสูงข้ึน สารส่วนมาก สภาพละลายได้ ของสารจะเพ่ิมข้ึน ยกเว้นแก๊สเม่ืออุณหภูมิสูงข้ึนสภาพ การละลายได้จะลดลง ส่วนความดันมีผลต่อแก๊ส โดย เมื่อความดันเพิ่มขนึ้ สภาพละลายไดจ้ ะสูงขึน้ • ความรู้เกี่ยวกับสภาพละลายได้ของสาร เมื่อ เปลีย่ นแปลงชนิดตัวละลาย ตวั ทาละลาย และอุณหภูมิ สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจาวนั เช่น การทา น้าเช่ือมเข้มข้น การสกัดสารออกจากสมุนไพรให้ได้ ปริมาณมากท่ีสดุ

ชัน้ ตัวช้วี ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ๕. ระบุ ปริ มาณตั วละลายใน • ความเข้มข้นของสารละลาย เป็นการระบุปริมาณ สารละลาย ในหน่วยความเข้มข้นเป็น ตัวละลายในสารละลาย หน่วยความเข้มข้นมีหลาย ร้อยละ ปริมาตรต่อปริมาตร มวลต่อ หน่วย ท่ีนิยมระบุเป็นหน่วยเป็นร้อยละ ปริมาตรต่อ มวล และมวลต่อปริมาตร ปริมาตร มวลตอ่ มวล และมวลตอ่ ปรมิ าตร ๖. ตระหนักถึงความสาคัญของการ • ร้อยละโดยปริมาตรต่อปริมาตร เป็นการระบุ นาความรู้เร่ืองความเข้มข้นของสารไป ปริมาตรตัวละลายในสารละลาย ๑๐๐ หน่วยปริมาตร ใช้ โดยยกตัวอย่างการใช้สารละลายใน เดยี วกัน นยิ มใช้กับสารละลายท่ีเปน็ ของเหลวหรือแก๊ส ชีวิตประจาวันอย่างถู กต้ องและ • ร้อยละโดยมวลต่อมวล เป็นการระบุมวลตัวละลาย ปลอดภัย ในสารละลาย ๑๐๐ หน่วยมวลเดียวกัน นิยมใช้กับ สารละลายทีม่ ีสถานะเป็นของแข็ง • ร้อยละโดยมวลต่อปริมาตร เป็นการระบุมวลตัว ละลายในสารละลาย ๑๐๐ หน่วยปริมาตร นิยมใช้กับ สารละลายที่มีตัวละลายเป็นของแข็ง ในตัวทาละลายที่ เปน็ ของเหลว • การใช้สารละลาย ในชีวิตประจาวัน ควรพิจารณา จากความเข้มข้นของสารละลาย ข้ึนอยู่กับจุดประสงค์ ของการใช้งาน และผลกระทบต่อสิ่งชีวิตและ สิง่ แวดล้อม มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อวัตถุ ลักษณะการ เคลื่อนที่แบบตา่ ง ๆ ของวตั ถุ รวมทั้งนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ชน้ั ตัวชีว้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.๒ ๑. พยากรณ์การเคลื่อนที่ของวัตถุท่ี • แรงเปน็ ปรมิ าณเวกเตอร์ เม่อื มีแรงหลาย ๆ แรง เป็นผลของแรงลัพธ์ที่เกิดจากแรงหลาย กระทาต่อวัตถุ แล้วแรงลัพธ์ที่กระทาต่อวัตถุมีค่าเปน็ แรงท่ีกระทาต่อวัตถุในแนวเดียวกันจาก ศูนย์ วัตถุจะไม่เปล่ียนแปลงการเคล่ือนท่ีแต่ถ้าแรง หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ ลัพธ์ที่กระทาต่อวัตถุมีค่าไม่เป็นศูนย์ วัตถุจะ ๒. เขียนแผนภาพแสดงแรงและแรง เปล่ยี นแปลงการเคล่ือนท่ี ลัพธ์ที่เกิดจากแรงหลายแรงท่ีกระทา ตอ่ วตั ถใุ นแนวเดียวกัน ๓. เมือ่ วัตถุอย่ใู นของเหลวจะมีแรงท่ี • เมื่อวัตถุอยู่ในของเหลวจะมีแรงท่ีของเหลวกระทา ของเหลวกระทาต่อวัตถุในทุกทิศทาง ต่อวัตถุในทุกทิศทาง โดยแรงที่ของเหลวกระทาต้ังฉาก โดยแรงท่ีของเหลวกระทาตั้งฉากกับผิว กับผิววัตถุต่อหน่ึงหน่วยพ้ืนที่เรียกว่าความดันของ วัตถุต่อหนงึ่ หนว่ ยพ้ืนที่เรียกว่าความดนั ของเหลว ของของเหลว

ชน้ั ตัวช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ม.๒ ๔. วิเคราะห์แรงพยุงและการจม • เมื่อวัตถุอยู่ในของเหลว จะมีแรงพยุงเนื่องจาก การลอยของวัตถุในของเหลวจาก ของเหลวกระทาต่อวัตถุ โดยมีทิศข้ึนในแนวดิ่ง การจม หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ หรือการลอยของวัตถุข้ึนกับน้าหนักของวัตถุและแรง ๕. เขียนแผนภาพแสดงแรงท่ี พยุง ถ้าน้าหนักของวัตถุและแรงพยุงของของเหลวมีค่า กระทาตอ่ วตั ถุในของเหลว เทา่ กัน วัตถุจะลอยนิ่งอยู่ในของเหลว แต่ถา้ น้าหนักของ วัตถมุ คี ่ามากกวา่ แรงพยงุ ของของเหลววตั ถุจะจม ๖. อธิบายแรงเสียดทานสถิตและ • แรงเสียดทานเป็นแรงท่ีเกิดข้ึนระหว่างผิวสัมผัส แรงเสียดทานจลน์จากหลักฐานเชิง ของวัตถุ เพื่อต้านการเคล่ือนท่ีของวัตถุน้ันโดยถ้าออก ประจักษ์ แรงกระทาต่อวัตถุท่ีอยู่น่ิงบนพื้นผิวให้เคลื่อนที่ แรง เสียดทานก็จะต้านการเคล่ือนที่ของวัตถุ แรงเสียดทาน ที่เกิดขึ้นในขณะท่ีวัตถุยังไม่เคลื่อนท่ีเรียก แรงเสียด ทานสถิต แต่ถ้าวัตถุกาลังเคลื่อนท่ี แรงเสียดทานก็จะ ทาให้วัตถุนั้นเคลื่อนท่ีช้าลงหรือหยุดนิ่ง เรียก แรง เสียดทานจลน์ ๗. ออกแบบการทดลองและทดลอง • ขนาดของแรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสของวัตถุ ด้วยวิธีท่ีเหมาะสมในการอธิบายปัจจัย ขึ้นกับลักษณะผิวสัมผัสและขนาดของแรงปฏิกิริยาต้ัง ท่มี ผี ลต่อขนาดของแรงเสียดทาน ฉากระหวา่ งผิวสัมผสั ๘. เขียนแผนภาพแสดงแรงเสียด • กิจกรรมในชีวิตประจาวันบางกิจกรรมต้องการ ทานและแรงอืน่ ๆ ทกี่ ระทาต่อวัตถุ แรงเสียดทาน เช่น การเปิดฝาเกลียวขวดน้าการใช้แผ่น ๙. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ กันลื่นในห้องน้า บางกิจกรรมไม่ต้องการแรงเสียดทาน เร่ืองแรงเสียดทานโดยวิเคราะห์ เช่น การลากวัตถุบนพื้น การใช้น้ามันหล่อลื่นใน สถานการณ์ปัญหาและเสนอแนะวิธีการ เครือ่ งยนต์ ลดหรื อเพ่ิ มแรงเสี ยดทานที่ เป็ น • ความรู้เรื่องแรงเสียดทานสามารถนาไปใช้ ประโยชน์ ต่ อการท ากิ จกรรมใน ประโยชน์ในชีวติ ประจาวนั ได้ ชีวิตประจาวนั ๑๐. ออกแบบการทดลองและ • เมื่อมีแรงท่ีกระทาต่อวัตถุโดยไม่ผ่านศูนย์กลาง ทดลองด้วยวิธที ่ีเหมาะสมในการอธิบาย มวลของวัตถุ จะเกิดโมเมนต์ของแรง ทาให้วัตถุ โมเมนต์ของแรง เม่ือวัตถุอยู่ในสภาพ หมนุ รอบศนู ยก์ ลางมวลของวตั ถุน้ัน สมดุลต่อการหมุน และคานวณโดยใช้ • โมเมนต์ของแรงเป็นผลคูณของแรงท่ีกระทาต่อ สมการ M = Fl วตั ถกุ บั ระยะทางจากจุดหมุนไปตั้งฉากกับแนวแรง เม่ือ ผลรวมของโมเมนต์ของแรงมีค่าเป็นศูนย์ วัตถุจะอยู่ใน สภาพสมดลุ ต่อการหมุน โดยโมเมนต์ของแรงในทิศทวน เข็มนาฬิกาจะมีขนาดเท่ากับโมเมนต์ของแรงในทิศตาม เขม็ นาฬกิ า • ของเล่นหลายชนิดประกอบด้วยอุปกรณ์หลาย ส่วนท่ีใช้หลักการโมเมนต์ของแรง ความรู้เรื่องโมเมนต์

ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ของแรงสามารถนาไปใช้ออกแบบและประดิษฐ์ของเล่น ได้ ๑๑. เปรี ยบเที ยบแหล่ ง ข อ ง • วัตถุที่มีมวลจะมีสนามโน้มถ่วงอยู่โดยรอบแรง สนามแม่เหล็กสนามไฟฟ้า และสนาม โนม้ ถ่วงทก่ี ระทาต่อวัตถุที่อย่ใู นสนามโนม้ ถ่วงจะมีทิศ โน้มถ่วง และทิศทางของแรงท่ีกระทา พุง่ เขา้ หาวัตถุท่ีเป็นแหลง่ ของสนามโน้มถ่วง ต่อวัตถุท่ีอยู่ในแต่ละสนามจากข้อมูลท่ี • วัตถุที่มีประจุไฟฟ้าจะมีสนามไฟฟ้าอยู่โดยรอบ รวบรวมได้ แรงไฟฟ้าท่ีกระทาต่อวัตถุที่มีประจุจะมีทิศพุ่งเข้าหา ๑๒. เขียนแผนภาพแสดงแรง หรือออกจากวั ตถุ ท่ี มีปร ะจุ ท่ีเป็ นแ หล่ ง ข อ ง แม่เหล็ก แรงไฟฟ้าและแรงโน้มถ่วงท่ี สนามไฟฟ้า กระทาตอ่ วตั ถุ • วัตถุท่ีเป็นแม่เหล็กจะมีสนามแม่เหล็กอยู่ โดยรอบ แรงแม่เหล็กท่ีกระทาต่อขั้วแม่เหล็กจะมีทิศ พุ่งเข้าหาหรือออกจากข้ัวแม่เหล็กที่เป็นแหล่งของ สนามแม่เหล็ก ม.๒ ๑๓. วิเคราะห์ความสัมพันธร์ ะหว่าง • ขนาดของแรงโน้มถ่วง แรงไฟฟ้า และแรงแม่เหล็ก ขนาดของแรงแม่เหล็ก แรงไฟฟ้า และ ที่กระทาต่อวัตถุที่อยู่ในสนามน้ัน ๆ จะมีค่าลดลง เมื่อ แรงโน้มถ่วงที่กระทาต่อวัตถุที่อยู่ใน วัตถุอยู่หา่ งจากแหล่งของสนามน้นั ๆ มากขึ้น สนามนั้น ๆ กับระยะห่างจากแหล่งของ สนามถึงวตั ถจุ ากข้อมลู ท่ีรวบรวมได้ ๑๔. อธิบายและคานวณอัตราเร็ว • การเคล่ือนที่ของวัตถุเป็นการเปล่ียนตาแหน่งของ และความเร็วของการเคล่ือนที่ของวัตถุ วัตถุเทียบกับตาแหน่งอ้างอิง โดยมีปริมาณที่เก่ียวข้อง โดยใช้สมการ กับการเคลื่อนที่ซ่ึงมีท้ังปริมาณสเกลาร์และปริมาณ ������ = ������ และ ���⃗��� = ���⃗⃗��� เวกเตอร์ เช่น ระยะทาง อตั ราเร็ว การกระจัด ความเร็ว ปริมาณสเกลาร์ เป็นปริมาณที่มีขนาด เช่น ระยะทาง ������ ������ อัตราเร็ว ปริมาณเวกเตอร์เป็นปริมาณท่ีมีทั้งขนาดและ ทศิ ทาง เช่น การกระจดั ความเร็ว จากหลักฐานเชิงประจักษ์ ๑๕. เขียนแผนภาพแสดงการ • เขียนแผนภาพแทนปริมาณเวกเตอร์ได้ด้วยลูกศร กระจดั และความเรว็ โดยความยาวของลูกศรแสดงขนาดและหัวลูกศรแสดง ทิศทางของเวกเตอร์น้ัน ๆ • ระยะทางเป็นปริมาณสเกลาร์ โดยระยะทางเป็น ความยาวของเส้นทางท่ีเคลื่อนท่ีได้ • การกระจัดเป็นปริมาณเวกเตอร์ โดยการกระจัดมี ทิศช้ีจากตาแหน่งเร่ิมต้นไปยังตาแหน่งสุดท้าย และมี ขนาดเท่ากับระยะที่สัน้ ทสี่ ุดระหว่างสองตาแหน่งนั้น • อัตราเร็วเป็นปริมาณสเกลาร์ โดยอัตราเร็วเป็น อตั ราส่วนของระยะทางต่อเวลา

ชัน้ ตวั ชีว้ ดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง • ความเรว็ ปริมาณเวกเตอร์มที ิศเดียวกับทิศของการ กระจัด โดยความเร็วเป็นอัตราส่วนของการกระจัดต่อ เวลา มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ี เกีย่ วข้องกบั เสยี ง แสง และคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมทง้ั นาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์ ชั้น ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๒ ๑. วิเคราะห์สถานการณ์และ • เม่ือออกแรงกระทาต่อวัตถุ แล้วทาให้วัตถุ คานวณเก่ียวกับงานและกาลังท่ีเกิด เคลื่อนท่ี โดยแรงอยู่ในแนวเดียวกับการเคล่ือนท่ีจะ จากแรงท่ีกระทาตอ่ วตั ถุโดยใช้สมการ เกิดงาน งานจะมีค่ามากหรือน้อยข้ึนกับขนาดของ W = Fs และ P = ������ ������ แรงและระยะทางในแนวเดียวกับแรง จากขอ้ มูลทีร่ วบรวมได้ • งานที่ทาในหนึ่งหน่วยเวลาเรียกว่า กาลัง ๒. วิเคราะห์หลักการทางานของ ห ลั ก ก า ร ข อ ง ง า น น า ไ ป อ ธิ บ า ย ก า ร ท า ง า น ข อ ง เครอ่ื งกลอยา่ งง่าย ไดแ้ ก่ คาน พนื้ เอียง รอกเดีย่ ว ลม่ิ เ ค รื่ อ ง ก ล อ ย่ า ง ง่ า ย จ า ก ข้ อ มู ล ท่ี สกรู ล้อและเพลา ซ่ึงนาไปใช้ประโยชน์ดา้ นต่าง ๆใน รวบรวมได้ ชีวติ ประจาวนั ๓. ตระหนักถึงประโยชน์ของ ความรู้ของเครื่องกลอย่างง่าย โดย บอกประโยชน์และการประยุกต์ใช้ใน ชวี ิตประจาวนั ม.๒ ๔. ออกแบบและทดลองด้วยวิธีท่ี • พลังงานจลน์เป็นพลังงานของวัตถุท่ีเคลื่อนที่ เหมาะสมในการอธิบายปัจจัยที่มีผล พลังงานจลน์จะมีค่ามากหรือน้อยข้ึนกับมวลและ ต่อพลังงานจลน์ และพลังงานศักย์ อัตราเร็ว ส่วนพลังงานศักย์โน้มถ่วงเกี่ยวข้องกับ โน้มถ่วง ตาแหน่งของวัตถุ จะมีค่ามากหรือน้อยขึ้นกับมวล และตาแหน่งของวัตถุ เม่ือวัตถุอยู่ในสนามโน้มถ่วง วัตถุจะมีพลังงานศักย์โน้มถ่วง พลังงานจลน์และ พลังงานศกั ย์โน้มถว่ งเปน็ พลงั งานกล ๕. แปลความหมายข้อมูลและ • ผลรวมของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ อธิบายการเปลี่ยนพลังงานระหว่าง เป็นพลังงานกล พลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์ พลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงาน ของวัตถหุ น่งึ ๆ สามารถเปลย่ี นกลับไปมาได้ โดยผลรวม จลน์ของวัตถุโดยพลังงานกลของวัตถุ ของพลังงานศักย์โน้มถ่วงและพลังงานจลน์มีค่าคงตัว มีคา่ คงตัวจากขอ้ มูลทร่ี วบรวมได้ นั่นคือพลังงานกลของวัตถุมีค่าคงตัว

ชั้น ตัวชีว้ ดั สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ๖. วิเคราะห์สถานการณ์และ • พลังงานรวมของระบบมีค่าคงตัวซ่ึงอาจเปลี่ยน อธิบายการเปล่ียนและการถ่ายโอน จากพลังงานหน่ึงเป็นอีกพลังงานหน่ึง เช่น พลังงานกล พลงั งานโดยใชก้ ฎการอนรุ ักษ์พลังงาน เปลี่ยนเป็นพลังงานไฟฟ้า พลังงานจลน์เปล่ียนเป็น พลังงานความร้อน พลังงานเสียง พลังงานแสง เน่ืองมาจากแรงเสียดทาน พลังงานเคมีในอาหาร เปล่ยี นเปน็ พลงั งานที่ไปใช้ในการทางานของส่ิงมชี วี ิต • นอกจากน้ีพลังงานยังสามารถถ่ายโอนไปยังอีก ระบบหนึ่งหรือได้รับพลังงานจากระบบอ่ืนได้ เช่น การ ถ่ายโอนความร้อนระหว่างสสารการถ่ายโอนพลังงาน ของการสั่นของแหล่งกาเนิดเสียงไปยังผู้ฟัง ท้ังการ เปลี่ยนพลังงานและการถ่ายโอนพลังงาน พลังงานรวม ทง้ั หมดมีคา่ เท่าเดมิ ตามกฎการอนรุ ักษ์พลังงาน สาระที่ ๓ วิทยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปล่ียนแปลง ภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้ง ผลต่อสง่ิ มชี ีวิตและสง่ิ แวดล้อม ชน้ั ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.๒ ๑. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด • เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์ เกิดจากการ สมบัติ และการใช้ประโยชน์ รวมทั้ง เปลี่ยนแปลงสภาพของซากสิ่งมีชีวิตในอดีต โดย อธิบายผลกระทบจากการใช้เชื้อเพลิง กระบวนการ ทางเคมีและธรณีวิทยา เช้อื เพลิงซากดึก ซากดึกดาบรรพ์ จากข้อมูลที่รวบรวม ดาบรรพ์ ได้แก่ ถ่านหิน หินน้ามัน และปิโตรเลียม ซึ่ง ได้ เกิดจากวัตถุต้นกาเนิด และสภาพแวดล้อมการเกิดที่ แตกต่างกัน ทาให้ได้ชนิดของเชื้อเพลิงซากดึกดา บรรพ์ท่ีมีลักษณะ สมบัติ และการนาไปใช้ประโยชน์ แตกต่างกัน สาหรับปิโตรเลียมจะต้องมีการผ่านการ กล่ันลาดับส่วนก่อนการใช้งานเพ่ือให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ เหมาะสมต่อการใช้ประโยชน์ เชื้อเพลิงซากดึกดา บรรพ์เป็นทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป เนื่องจากต้องใช้ เวลานานหลายล้านปีจึงจะเกิดขึน้ ใหม่ได้

ชน้ั ตวั ชวี้ ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง ม.๒ ๒. แสดงความตระหนักถึงผลจาก • การเผาไหม้เช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์ในกิจกรรม การใช้เช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์ ต่าง ๆ ของมนุษย์จะทาให้เกิดมลพิษทางอากาศ โดยนาเสนอแนวทางการใช้เชื้อเพลิง ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ซากดึกดาบรรพ์ แก๊สบางชนิดท่ีเกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงซากดึกดา บรรพ์ เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และไนตรัส ออกไซด์ ยังเป็นแก๊สเรือนกระจกซ่ึงส่งผลให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลกรุนแรงข้ึน ดังน้ันจึงควร ใช้เชอื้ เพลงิ ซากดึกดาบรรพ์ โดยคานึงถึงผลท่ีเกิดข้ึนต่อ สิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม เช่น เลือกใช้พลังงานทดแทน หรือเลือกใช้เทคโนโลยีที่ลดการใช้เชื้อเพลิงซากดึกดา บรรพ์ ๓. เปรียบเทียบข้อดีและข้อจากัด • เช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์เป็นแหล่งพลังงานที่ ของพลังงานทดแทนแต่ละประเภทจาก สาคัญในกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เนื่องจากเช้ือเพลิง การรวบรวมข้อมูลและนาเสนอแนว ซากดึกดาบรรพ์มีปริมาณจากัดและมักเพิ่มมลภาวะใน ทางการใช้พลังงานทดแทนที่เหมาะสม บรรยากาศมากข้ึน จึงมีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น ในท้องถนิ่ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้า พลังงานชีวมวลพลังงานคล่ืน พลังงานความร้อนใต้ พิภพพลังงานไฮโดรเจน ซ่ึงพลังงานทดแทนแต่ละชนิด จะมีข้อดีและข้อจากัดท่ีแตกตา่ งกัน ๔. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบาย • โครงสร้างภายในโลกแบ่งออกเป็นช้ันตาม โครงสร้างภายในโลกตามองค์ประกอบ องค์ประกอบทางเคมี ได้แก่ เปลือกโลก ซ่ึงอยู่นอกสุด ทางเคมีจากข้อมูลที่รวบรวมได้ ประกอบด้วยสารประกอบของซิลิกอน และอะลูมิเนียม เป็นหลัก เน้ือโลกคือส่วนที่อยู่ใต้เปลือกโลกลงไปจนถึง แก่นโลก มีองค์ประกอบหลักเป็นสารประกอบของ ซิลิกอน แมกนีเซียม และเหล็ก และแก่นโลกคือส่วนท่ี อยู่ใจกลางของโลก มีองค์ประกอบหลักเป็นเหล็กและ นกิ เกลิ ซงึ่ แต่ละชน้ั มลี ักษณะแตกต่างกนั

ชน้ั ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ๕. อธิบายกระบวนการผุพังอยู่กับที่ • การผุพังอยู่กับที่ การกร่อน และการสะสมตัวของ การกร่อน และการสะสมตัวของตะกอน ตะกอน เป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา ท่ี จากแบบจาลอง รวมท้ังยกตัวอย่างผล ทาให้ผิวโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงเป็นภูมิลักษณ์แบบ ของกระบวนการดังกล่าวที่ทาให้ผิวโลก ต่าง ๆ โดยมปี จั จยั สาคัญ คือนา้ ลม ธารน้าแขง็ แรงโน้ม เกิดการเปลีย่ นแปลง ถว่ งของโลก สิง่ มชี วี ติ สภาพอากาศ และปฏิกริ ิยาเคมี • การผุพังอยู่กับที่ คือ การที่หินผุพังทาลายลงด้วย กระบวนการต่าง ๆ ได้แก่ ลมฟ้าอากาศกับน้าฝน และ รวมทั้งการกระทาของต้นไม้กับแบคทีเรีย ตลอดจนการ แตกตัวทางกลศาสตร์ซ่ึงมีการเพ่ิมและลดอุณหภูมิ สลับกัน เป็นต้น • การกร่อน คือ กระบวนการหน่ึงหรือหลาย กระบวนการที่ทาให้สารเปลือกโลกหลุดไป ละลายไป หรือกร่อนไปโดยมีตัวนาพาธรรมชาติ คือ ลม น้า และ ธารน้าแข็ง ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆได้แก่ ลมฟ้าอากาศ สารละลาย การครูดถู การนาพา ท้ังน้ีไม่รวมถึงการ พังทลายเป็นกลมุ่ กอ้ น เชน่ แผน่ ดนิ ถล่ม ภเู ขาไฟระเบดิ • การสะสมตัวของตะกอน คือ การสะสมตัวของ วตั ถจุ ากการนาพาของนา้ ลม หรอื ธารนา้ แขง็ ม.๒ ๖. อธิบายลักษณะของช้ันหน้าตัดดิน • ดินเกิดจากหินที่ผุพังตามธรรมชาติผสมคลุกเคล้า แ ล ะ ก ร ะ บ ว น ก า ร เ กิ ด ดิ น จ า ก กับอินทรียวัตถุท่ีได้จากการเน่าเป่ือยของซากพืช ซาก แบบจาลอง รวมท้ังระบุปัจจัยท่ีทาให้ สัตว์ทับถมเป็นชั้น ๆ บนผิวโลก ชั้นดินแบ่งออกเป็น ดนิ มลี กั ษณะและสมบตั ิแตกต่างกัน หลายชั้น ขนานหรือเกือบขนานไปกับ ผิวหน้าดิน แต่ ล ะ ช้ั น มี ลั ก ษ ณ ะ แ ต ก ต่ า ง กั น เ น่ื อ ง จ า ก ส ม บั ติ ท า ง กายภาพ เคมี ชีวภาพ และลักษณะอ่ืน ๆ เช่น สี โครงสร้าง เนื้อดิน การยึดตัว ความเป็นกรด-เบส สามารถสังเกตได้จากการสารวจภาคสนาม การเรียกช่ือ ช้ันดินหลักจะใช้อักษรภาษาอังกฤษตัวใหญ่ ได้แก่ O, A, E, B, C, R • ชั้นหน้าตัดดิน เป็นชั้นดินท่ีมีลักษณะปรากฏให้ เหน็ เรยี งลาดบั เปน็ ชน้ั จากชน้ั บนสุดถึงชน้ั ล่างสุด • ปัจจัยท่ีทาให้ดินแต่ละท้องถิ่นมีลักษณะและ สมบัติแตกต่างกัน ได้แก่ วัตถุต้นกาเนิดดิน ภูมิอากาศ ส่ิงมีชีวิตในดิน สภาพภูมิประเทศ และระยะเวลา ใน การเกิดดนิ

ช้นั ตัวชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๗. ตรวจวัดสมบัติบางประการของดิน • สมบัติบางประการของดิน เช่น เน้ือดิน ความช้ืน โดยใช้เครือ่ งมือที่เหมาะสมและนาเสนอ ดิน ค่าความเป็นกรด-เบส ธาตุอาหารในดิน สามารถ แนวทางการใช้ประโยชน์ดินจากข้อมูล นาไปใชใ้ นการตัดสินใจถึงแนวทางการใช้ประโยชน์ท่ีดิน สมบัตขิ องดิน โดยอาจนาไปใช้ประโยชน์ ทางการเกษตรหรืออ่ืน ๆ ซ่ึง ดินที่ไม่เหมาะสมต่อการทาการเกษตร เช่น ดินจืด ดิน เปร้ียว ดินเค็ม และดินดาน อาจเกิดจากสภาพดินตาม ธรรมชาติหรือการใช้ประโยชน์จะต้องปรับปรุงให้มี สภาพเหมาะสม เพือ่ นาไปใช้ประโยชน์ ๘. อธิบายปัจจัยและกระบวนการเกิด • แหล่งน้าผิวดินเกิดจากน้าฝนที่ตกลงบนพื้นโลก แหล่งน้าผิวดินและแหล่งน้าใต้ดิน จาก ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่าด้วยแรงโน้มถ่วง การไหลของน้า แบบจาลอง ทาให้พ้ืนโลกเกิดการกัดเซาะเป็นร่องน้า เช่น ลาธาร คลอง และแม่น้า ซึ่งร่องน้าจะมีขนาดและรูปร่าง แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณน้าฝน ระยะเวลาในการ กัดเซาะ ชนิดดินและหิน และลักษณะภูมิประเทศ เช่น ความลาดชัน ความสูงต่าของพื้นท่ี เมื่อน้าไหลไปยัง บริเวณที่เป็นแอ่งจะเกิดการสะสมตัวเป็นแหล่งน้า เช่น บึง ทะเลสาบ ทะเล และมหาสมทุ ร • แหล่งน้าใต้ดินเกิดจากการซึมของน้าผิวดินลงไป สะสมตัวใต้พื้นโลก ซึ่งแบ่งเป็นน้าในดินและน้าบาดาล น้าในดินเป็นน้าที่อยรู่ ่วมกับอากาศตามช่องว่างระหว่าง เม็ดดิน ส่วนน้าบาดาลเป็นน้าท่ีไหลซึมลึกลงไปและถูก กกั เกบ็ ไว้ในช้ันหินหรือชั้นดิน จนอ่ิมตัวไปดว้ ยน้า ๙. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการ • แหล่งน้าผิวดินและแหล่งน้าใต้ดินถูกนามาใช้ใน ใช้น้า และนาเสนอแนวทางการใชน้ า้ กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ส่งผลต่อการจัดการการใช้ อยา่ งย่ังยนื ในท้องถ่ินของตนเอง ประโยชน์น้าและคุณภาพของแหล่งน้า เน่ืองจากการ เพิ่มข้ึนของจานวนประชากรการใช้ประโยชน์พื้นท่ีใน ดา้ นต่าง ๆ เชน่ ภาคเกษตรกรรมภาคอุตสาหกรรม และ การเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ ทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ปริมาณน้าฝนในพ้ืนท่ีลุ่มน้า และแหล่งน้าผิวดินไม่ เพียงพอสาหรับกิจกรรมของมนุษย์ น้าจากแหล่งน้าใต้ ดินจึงถูกนามาใช้มากขึ้น ส่งผลให้ปริมาณน้าใต้ดิน ลดลงมากจึงตอ้ งมกี าร

ชัน้ ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง ม.๒ จดั การใช้น้าอย่างเหมาะสมและยั่งยืน ซ่งึ อาจทาได้โดย การจัดหาแหล่งน้าเพ่ือให้มีแหล่งน้าเพียงพอสาหรับ การดารงชีวิต การจัดสรรและการใช้น้าอย่างมี ประสิทธิภาพ การอนุรักษ์และฟ้ืนฟูแหล่งน้า การปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาคุณภาพน้า ๑๐. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบาย • น้าท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม หลุมยุบ กระบวนการเกิดและผลกระทบของน้า แผ่นดินทรุด มีกระบวนการเกิดและผลกระทบท่ี ท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม หลุม แตกตา่ งกัน ซ่งึ อาจสร้างความเสียหายรา้ ยแรง แกช่ ีวิต ยบุ แผ่นดินทรดุ และทรพั ยส์ ิน น้าท่วม เกิดจากพ้ืนท่ีหนึ่งได้รับปริมาณน้าเกินกว่าท่ี จะกักเก็บได้ ทาให้แผ่นดินจมอยู่ใต้น้า โดยข้ึนอยู่กับ ปริมาณนา้ และสภาพทางธรณีวิทยาของพื้นที่ • การกดั เซาะชายฝั่ง เปน็ กระบวนการเปลี่ยนแปลง ของชายฝั่งทะเลท่ีเกิดขึ้นตลอดเวลาจากการกัดเซาะ ของคล่ืนหรือลม ทาให้ตะกอนจากที่หนึ่งไปตกทับถม ในอีกบริเวณหน่ึง แนวของชายฝ่ังเดิมจึงเปลี่ยนแปลง ไป บริเวณท่ีมีตะกอนเคลื่อนเข้ามาน้อยกว่าปริมาณที่ ตะกอนเคล่ือนออกไป ถือว่าเปน็ บรเิ วณท่ีมีการกดั เซาะ ชายฝง่ั • ดินถล่ม เป็นการเคลื่อนท่ีของมวลดินหรือหิน จานวนมากลงตามลาดเขา เน่ืองจากแรงโน้มถ่วงของ โลกเป็นหลัก ซึ่งเกิดจากปัจจัยสาคัญ ได้แก่ ความลาด ชันของพื้นที่ สภาพธรณีวิทยา ปริมาณน้าฝน พืชปก คลุมดนิ และการใช้ประโยชน์พืน้ ที่ • หลุมยุบ คือ แอง่ หรือหลุมบนแผ่นดินขนาดต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการถล่มของโพรงถ้าหินปูนเกลือหินใต้ ดิน หรือเกิดจากน้าพัดพาตะกอนลงไปในโพรงถ้าหรือ ธารน้าใต้ดิน • แผ่นดินทรุดเกิดจากการยุบตัวของชั้นดิน หรือ หินร่วน เมื่อมวลของแข็งหรือของเหลวปริมาณมาก ท่ี รองรบั อยู่ใต้ชั้นดินบริเวณนั้นถูกเคล่ือนยา้ ยออกไปโดย ธรรมชาติหรอื โดยการกระทาของมนุษย์

สาระที่ ๔ เทคโนโลยี มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลกั ของเทคโนโลยีเพื่อการดารงชวี ิตในสังคมท่ีมีการเปล่ยี นแปลง อย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือแก้ปัญหาหรือ พัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสมโดยคานงึ ถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และส่ิงแวดลอ้ ม ชน้ั ตวั ช้วี ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง ม.๒ ๑. คาดการณ์แนวโนม้ เทคโนโลยีที่ • สาเหตุหรือปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความก้าวหน้าของ จะเกดิ ขึน้ โดยพจิ ารณาจากสาเหตุหรือ ศาสตร์ต่าง ๆ การเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยท่ีส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของ สังคม วัฒนธรรม ทาให้เทคโนโลยีมีการเปล่ียนแปลง เทคโนโลยี และวเิ คราะห์ เปรยี บเทียบ ตลอดเวลา ตัดสินใจเลือกใช้เทคโนโลยีโดย • เทคโนโลยีแต่ละประเภทมีผลกระทบต่อชีวิต คานึงถึงผลกระทบท่ีเกิดขึ้นต่อชีวิต สังคม และส่ิงแวดล้อมที่แตกต่างกัน จึงต้องวิเคราะห์ สงั คม และสงิ่ แวดล้อม เปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และตัดสินใจเลือกใช้ให้ เหมาะสม ๒. ระบุปัญหาหรือความต้องการ • ปัญหาหรือความต้องการในชุมชนหรือท้องถิ่นมี ในชุมชนหรือท้องถ่ิน สรุปกรอบของ หลายอย่าง ข้ึนกับบริบทหรือสถานการณ์ท่ีประสบ ปัญหา รวบรวม วิเคราะห์ข้อมูลและ เชน่ ดา้ นพลังงาน ส่งิ แวดลอ้ ม การเกษตร การอาหาร แนวคิดทเี่ กยี่ วข้องกับปญั หา • การระบุปัญหาจาเป็นต้องมีการวิเคราะห์ สถานการณ์ของปัญหาเพื่อสรุปกรอบของปัญหา แลว้ ดาเนินการสืบค้น รวบรวมข้อมูล ความรู้จากศาสตร์ ต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้อง เพื่อนาไปสู่การออกแบบแนว ทางการแกป้ ัญหา ๓. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา โดย • การวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และตัดสินใจเลือก วิเคราะห์เปรียบเทียบ และตัดสินใจ ข้อมูลท่ีจาเป็น โดยคานึงถึงเง่ือนไขและทรัพยากร เลือกข้อมูลท่ีจาเป็นภายใต้เง่ือนไข เช่น งบประมาณ เวลา ข้อมูลและสารสนเทศ วัสดุ แ ล ะ ท รั พ ย า ก ร ท่ี มี อ ยู่ น า เ ส น อ เคร่ืองมือและอุปกรณ์ช่วยให้ได้แนวทางการ แนวทางการแก้ปัญหาให้ผู้อ่ืนเข้าใจ แกป้ ญั หาทีเ่ หมาะสม วางแผนขั้นตอนการทางานและ • การออกแบบแนวทางการแก้ปัญหาทาได้ ดาเนินการแกป้ ญั หาอยา่ งเป็นขน้ั ตอน หลากหลายวิธี เช่น การร่างภาพ การเขียนแผนภาพ การเขียนผังงาน การกาหนดข้ันตอนระยะเวลาในการทางานก่อน ดาเนินการแก้ปัญหาจะช่วยให้การทางานสาเร็จได้ ตามเป้าหมาย และลดข้อผิดพลาดของการทางานท่ี อาจเกิดขน้ึ

ช้นั ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ๔. ทดสอบ ประเมินผล และ • การทดสอบและประเมินผลเป็นการตรวจสอบ อธิบายปัญหาหรือข้อบกพร่องที่ ช้ินงาน หรือวิธีการว่าสามารถแก้ปัญหาได้ตาม เกดิ ข้ึน ภายใตก้ รอบเงอื่ นไข พร้อมท้ัง วัตถุประสงค์ภายใต้กรอบของปัญหา เพ่ื อหา หาแนวทางการปรับปรุงแก้ไข และ ข้อบกพรอ่ ง และดาเนนิ การปรับปรงุ ให้สามารถแก้ไข นาเสนอผลการแก้ปญั หา ปัญหาได้ • การนาเสนอผลงานเป็นการถ่ายทอดแนวคิด เพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางานและ ชิ้นงานหรือวิธกี ารที่ได้ ซึง่ สามารถทาได้หลายวธิ ี เช่น การเขียนรายงานการทาแผ่นนาเสนอผลงาน การจัด นทิ รรศการ

ช้นั ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๒ ๕. ใช้ความรู้ และทักษะเกี่ยวกับ • วัสดุแต่ละประเภทมีสมบัติแตกต่างกัน เช่น ไม้ วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ กลไก ไฟฟ้า โลหะ พลาสติก จึงต้องมีการวิเคราะห์สมบัติเพ่ือ และอิเล็กทรอนิกส์เพ่ือแก้ปัญหาหรือ เลอื กใชใ้ หเ้ หมาะสมกับลกั ษณะของงาน พัฒนางานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม • การสร้างชิ้นงานอาจใช้ความรู้ เร่ืองกลไก ไฟฟ้า และปลอดภัย อิเล็กทรอนิกส์ เช่น LED มอเตอร์ บัซเซอร์ เฟือง รอก ล้อ เพลา • อุปกรณ์และเคร่ืองมือในการสร้างชิ้นงานหรือ พัฒนาวิธีการมีหลายประเภท ต้องเลือกใช้ให้ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภยั รวมทง้ั ร้จู กั เก็บรักษา มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเป็นข้ันตอน และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมจี รยิ ธรรม ช้นั ตัวชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๒ ๑. ออกแบบอัลกอริทึมที่ใช้แนวคิด • แนวคิดเชิงคานวณ เชิงคานวณในการแก้ปัญหา หรือการ • การแกป้ ัญหาโดยใช้แนวคิดเชงิ คานวณ ทางานท่พี บในชีวิตจริง • ตัวอย่างปัญหา เช่น การเข้าแถวตามลาดับความ สงู ให้เรว็ ทสี่ ุด จดั เรียงเสอ้ื ใหห้ าได้งา่ ยทส่ี ุด ๒. ออกแบบและเขียนโปรแกรมที่ใช้ • ตัวดาเนินการบูลีน ตรรกะและฟังกช์ นั ในการแกป้ ัญหา • ฟังก์ชนั • การออกแบบและเขยี นโปรแกรมทมี่ กี ารใช้ตรรกะ และฟังกช์ ัน • การออกแบบอัลกอริทึม เพ่ือแก้ปัญหาอาจใช้ แนวคิดเชิงคานวณในการออกแบบ เพ่ือให้การ แกป้ ญั หามีประสทิ ธิภาพ การแก้ปัญหาอย่างเป็นข้ันตอนจะช่วยให้แก้ปัญหาได้ อยา่ งมีประสิทธภิ าพ • ซอฟตแ์ วร์ที่ใชใ้ นการเขียนโปรแกรม เชน่ Scratch, python, java, c • ตัวอย่างโปรแกรม เช่น โปรแกรมตัดเกรดหา คาตอบทง้ั หมดของอสมการหลายตัวแปร ๓. อภิปรายองค์ประกอบและ • องค์ประกอบและหลักการทางานของระบบ หลักการทางานของระบบคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี การส่ื อสาร เพ่ื อ เทคโนโลยกี ารสื่อสาร ประยุกต์ใช้งานหรือแกป้ ัญหาเบ้ืองต้น • การประยกุ ตใ์ ช้งานและการแก้ปญั หาเบื้องตน้

ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ๔. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง • ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย โดย ปลอดภัย มีความรับผิดชอบ สร้างและ เลอื กแนวทางปฏบิ ตั เิ มือ่ พบเนอื้ หาที่ไมเ่ หมาะสม เชน่ แสดงสิทธิในการเผยแพรผ่ ลงาน แจ้งรายงานผู้เก่ียวข้อง ป้องกันการเข้ามาของข้อมูล ทไี่ มเ่ หมาะสม ไมต่ อบโต้ ไม่เผยแพร่ • การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีความ รับผดิ ชอบ เช่น ตระหนักถงึ ผลกระทบในการเผยแพร่ ขอ้ มูล • การสรา้ งและแสดงสิทธิความเป็นเจ้าของผลงาน • การกาหนดสทิ ธิการใช้ข้อมูล

ตวั ชีว้ ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี ๓ สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับ สิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การ เปล่ียนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมีต่อ ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม แนวทางในการอนรุ ักษท์ รัพยากร ชั้น ตัวชว้ี ัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง ม.๓ ๑ . อ ธิ บ า ย ป ฏิ สั ม พั น ธ์ ข อ ง • ระบบนิเวศประกอบด้วยองค์ประกอบท่ีมีชีวิต องค์ประกอบของระบบนิเวศท่ีได้จาก เช่น พืช สัตว์ จุลินทรีย์ และองค์ประกอบท่ีไม่มีชีวิต การสารวจ เช่น แสง น้า อุณหภูมิ แร่ธาตุ แก๊สองค์ประกอบ เหล่าน้ีมีปฏิสัมพันธ์กัน เช่นพืชต้องการแสง น้า และ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในการสร้างอาหาร สัตว์ ต้องการอาหาร และสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมในการ ดารงชีวติ เช่น อณุ หภูมิ ความชน้ื องคป์ ระกอบท้ังสอง ส่วนนี้จะต้องมีความสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสมระบบ นิเวศจงึ จะสามารถคงอยตู่ ่อไปได้ ๒. อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ • ส่ิงมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันใน ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตรูปแบบ รูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาวะพ่ึงพากัน ภาวะอิงอาศัย ต่าง ๆ ในแหล่งที่อยู่เดียวกัน ที่ได้จาก ภาวะเหย่อื กับผูล้ ่า ภาวะปรสิต การสารวจ • ส่ิงมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่ร่วมกันในแหล่ง ทอ่ี ยู่เดยี วกัน ในชว่ งเวลาเดียวกัน เรยี กวา่ ประชากร • กลมุ่ ส่งิ มีชวี ติ ประกอบดว้ ยประชากรของสิ่งมีชีวิต หลาย ๆ ชนดิ อาศัยอยูร่ ว่ มกันในแหล่งท่ีอยู่เดยี วกัน ๓. สร้างแบบจาลองในการอธิบาย • กลุ่มส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศแบ่งตามหน้าท่ีได้ การถา่ ยทอดพลงั งานในสายใยอาหาร เป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย ๔. อธิบายความสัมพันธ์ของผู้ผลิต สารอินทรีย์ ส่ิงมีชีวิตทั้ง ๓ กลุ่มน้ี มีความสัมพันธ์กนั ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ ผู้ผลิตเป็นสิ่งมีชีวิตท่ีสร้างอาหารได้เอง โดย ในระบบนเิ วศ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงผู้บริโภค เป็น ๕. อธิบายการสะสมสารพิษใน สิ่งมีชีวิตท่ีไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง และต้องกิน ส่ิงมชี ีวติ ในโซอ่ าหาร ผู้ผลิตหรือสิ่งมีชีวิตอ่ืนเป็นอาหาร เม่ือผู้ผลิตและ ๖. ตระหนักถึงความสัมพันธ์ของ ผู้บริโ ภ คตายลง จะถู กย่อยโ ดยผู้ย่อยสลา ย ส่ิงมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมในระบบ สารอนิ ทรียซ์ ึง่ จะเปลย่ี นสารอินทรยี เ์ ป็นสารอนินทรีย์ นิเวศ โดยไม่ทาลายสมดุลของระบบ กลับคืนสู่ส่ิงแวดล้อม ทาให้เกิดการหมุนเวียนสาร นเิ วศ เป็นวัฏจักร จานวนผู้ผลิตผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย

ชนั้ ตัวช้วี ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง สารอินทรีย์จะต้องมีความเหมาะสม จึงทาให้กลุ่ม ส่ิงมชี วี ติ อยู่ได้อยา่ งสมดุล • พลังงานถูกถ่ายทอดจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภค ลาดับต่าง ๆ รวมท้ังผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ใน รูปแบบสายใยอาหาร ท่ีประกอบดว้ ย โซอ่ าหารหลาย โซ่ท่ีสัมพันธ์กัน ในการถ่ายทอดพลังงานในโซ่อาหาร พลังงานท่ีถูกถ่ายทอดไปจะลดลงเรื่อย ๆ ตามลาดับ ของการบรโิ ภค ม.๓ • การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ อาจทาให้มีสารพิษ สะสมอยใู่ นสิง่ มีชีวิตได้ จนอาจก่อใหเ้ กดิ อนั ตรายตอ่ สิ่งมีชีวิต และทาลายสมดุลในระบบนิเวศ ดังนั้นการดูแลรักษาระบบ นิเวศใหเ้ กิดความสมดุล และคงอยตู่ ลอดไปจึงเป็นส่งิ สาคญั มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสาคัญของการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรมสาร พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมท่ีมผี ลต่อส่ิงมีชีวิต ความหลากหลายทางชวี ภาพและววิ ัฒนาการ ของส่ิงมีชีวิต รวมทั้งนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชั้น ตัวชี้วดั สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ม.๓ ๑. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง • ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตสามารถ ยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซม โดยใช้ ถ่ายทอดจากรุ่นหน่ึงไปยังอีกรุ่นหน่ึงได้ โดยมียีนเป็น แบบจาลอง หน่วยควบคมุ ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม • โครโมโซมประกอบด้วย ดีเอ็นเอ และโปรตีนขด อยู่ในนิวเคลียส ยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซมมี ความสัมพันธ์กัน โดยบางส่วนของดีเอ็นเอทาหน้าท่ี เปน็ ยีนทก่ี าหนดลักษณะของส่ิงมชี ีวิต • สิ่งมีชีวิตท่ีมีโครโมโซม ๒ ชุด โครโมโซมที่เป็นคู่ กันมีการเรียงลาดับของยีนบนโครโมโซมเหมือนกัน เรียกว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม ยีนหนึ่งท่ีอยู่บนคู่ฮ อมอโลกัสโครโมโซม อาจมีรูปแบบแตกต่างกัน เรียก แต่ละรูปแบบของยีนที่ต่างกันน้ีว่าแอลลีล ซึ่งการเข้าคู่ กันของแอลลีลต่าง ๆ อาจส่งผลทาให้สิ่งมีชีวิตมี ลกั ษณะทีแ่ ตกต่างกนั ได้ • สง่ิ มีชีวิตแตล่ ะชนิดมีจานวนโครโมโซมคงท่ี มนษุ ย์ มีจานวนโครโมโซม ๒๓ คู่ เป็นออโตโซม ๒๒ คู่ และ โครโมโซมเพศ ๑ คู่ เพศหญิงมีโครโมโซมเพศเป็น XX เพศชายมีโครโมโซมเพศเป็น XY

ชัน้ ตวั ชีว้ ัด สาระการเรยี นร้แู กนกลาง ๒. อธิบายการถ่ายทอดลักษณะทาง • เมนเดลได้ศึกษาการถ่ายทอดลักษณะทาง พันธุกรรมจากการผสมโดยพิจารณา พันธุกรรมของต้นถ่ัวชนิดหน่ึง และนามาสู่หลักการ ลักษณะเดียวท่ีแอลลีลเด่นข่มแอลลี พื้นฐานของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของ ลดอ้ ยอยา่ งสมบรู ณ์ สิง่ มีชีวิต ๓. อธิบายการเกิดจีโนไทป์และฟีโน • สิ่งมีชีวิตท่ีมีโครโมโซมเป็น ๒ ชุด ยีนแต่ละ ไทป์ของลูก และคานวณอัตราส่วนการ ตาแหน่งบนฮอมอโลกัสโครโมโซมมี ๒ แอลลีล โดยแอล เกิดจีโนไทปแ์ ละฟีโนไทป์ของรุ่นลกู ลีลหนึ่งมาจากพ่อ และอีกแอลลีลมาจากแม่ ซึ่งอาจมี รูปแบบเดียวกัน หรือแตกต่างกัน แอลลีลที่แตกต่างกัน น้ี แอลลลี หน่ึงอาจมีการแสดงออกข่มอีกแอลลีลหนึ่งได้ เรยี กแอลลีลน้ันว่า เปน็ แอลลลี เดน่ ส่วนแอลลีลท่ีถูกข่ม อยา่ งสมบรู ณเ์ รียกว่าเป็น แอลลีลด้อย • เม่ือมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ แอลลีลท่ีเป็นคู่ในแต่ ละ ฮอมอโลกัสโครโมโซมจะแยกจากกันไปสู่เซลล์ สืบพันธ์ุแต่ละเซลล์ โดยแต่ละเซลล์สืบพันธุ์จะได้รับ เพียง ๑ แอลลีล และจะมาเข้าคู่กับแอลลีลที่ตาแหน่ง เดียวกันของอีกเซลล์สืบพันธ์ุหน่ึงเมื่อเกิดการปฏิสนธิ จนเกิดเปน็ จีโนไทป์และแสดงฟีโนไทป์ในรุ่นลกู ม.๓ ๔. อธิบายความแตกต่างของการ • กระบวนการแบ่งเซลล์ของสิ่งมีชีวิตมี ๒ แบบ แบ่งเซลลแ์ บบไมโทซิสและไมโอซิส คือ ไมโทซสิ และไมโอซสิ • ไมโทซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพ่ือเพิ่มจานวนเซลล์ ร่างกาย ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ ๒ เซลล์ ท่ีมี ลกั ษณะและจานวนโครโมโซมเหมอื นเซลล์ต้งั ต้น • ไมโอซิส เป็นการแบ่งเซลล์เพ่ือสร้างเซลล์ สืบพันธุ์ ผลจากการแบ่งจะได้เซลล์ใหม่ ๔ เซลล์ ท่ีมี จานวนโครโมโซมเป็นคร่ึงหนึ่งของเซลล์ตัง้ ต้นเม่ือเกิด การปฏิสนธิของเซลล์สืบพันธุ์ ลูกจะได้รับการ ถ่ายทอดโครโมโซมชุดหนง่ึ จากพ่อและอีกชุดหนึ่งจาก แม่ จึงเป็นผลให้รุ่นลูกมีจานวนโครโมโซมเท่ากับรุ่น พอ่ แมแ่ ละจะคงที่ในทกุ ๆ รนุ่ ๕. บอกได้ว่าการเปล่ียนแปลงของ • การเปล่ยี นแปลงของยีนหรือโครโมโซม ส่งผลให้ ยีนหรือโครโมโซมอาจทาให้เกิดโรค เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางพันธุกรรมของ ทางพันธุกรรม พร้อมทั้งยกตัวอย่าง ส่ิ ง มี ชี วิ ต เ ช่ น โ ร ค ธ า ลั ส ซี เ มี ย เ กิ ด จ า ก ก า ร โรคทางพนั ธุกรรม เปลี่ยนแปลงของยีน กลุ่มอาการดาวน์เกิดจากการ ๖. ตระหนักถึงประโยชน์ของ เปล่ยี นแปลงจานวนโครโมโซม ความรู้เร่ืองโรคทางพันธุกรรม โดยรู้ • โรคทางพันธุกรรมสามารถถ่ายทอดจากพ่อแม่ วา่ ก่อนแต่งงานควรปรึกษาแพทย์ เพ่ือ ไปสู่ลูกได้ ดังน้ันก่อนแต่งงานและมีบุตรจึงควร