ตารางที่ 10-1 ความสมั พันธร์ ะหว่างปริมาณไอน้าทีอ่ ากาศสามารถรบั ไว้ได้กบั อุณหภมู ิและความชืน้ สมั พัทธ์ อุณหภูมิ ◦C (T) 5 10 15 20 25 30 35 40 จานวนไอนา้ ในอากาศ, RH100% 6.8 9.3 12.8 17.3 22.9 30.3 39.6 51.0 กรมั ต่ออากาศ 1 m3, (g/m3) RH50% 3.4 4.6 6.4 8.6 11.5 15.2 19.8 25.5 RH25% 1.7 2.3 3.2 4.3 5.7 7.6 9.9 12.8 *ข้อมลู ในตารางเปน็ ข้อมลู ท่ีได้จากการคานวณอาจมีความคลาดเคลื่อนในบางคา่ จากตารางท่ี 10-1 แสดงปริมาณไอน้าที่อากาศสามารถรับไว้ได้ท่ีอุณหภูมิต่างๆ เช่น ทอี่ ุณหภมู ิ 20 oC ความดนั บรรยากาศ อากาศสามารถรองรับไอน้าไว้ได้สูงสุดเป็นจานวน 17.3 กรัมต่อ ปริมาตรอากาศ 1 m3 ซ่ึงจุดนี้เองคือจุดท่ีมีความช้ืนสัมพัทธ์เท่ากับ 100% (100% RH) จากข้างต้นทา ให้เราเข้าใจแล้วว่าจุดท่ีความช้ืนสัมพัทธ์ 100% คือจุดท่ีมีปริมาณไอน้าในอากาศจานวนมากที่สุดที่ อากาศสามารถรองรับไว้ได้ ดังน้ันท่ีความช้ืนสัมพัทธ์ต่าง ณ อุณหภูมิที่นามาพิจารณาก็คือจะพิจารณา ปริมาณไอน้าในอากาศท่ี 100% ของอุณหภูมินั้น ๆ เปรียบเทียบกับปริมาณไอน้าในอากาศท่ีมีอยู่จริง ณ อุณหภูมิน้ันๆ เช่นท่ีอุณหภูมิ 20 oC อากาศสามารถรองรับไอน้าไว้ได้สูงสุด 17.3 gvapor / m3Dry Air ที่ความช้ืนสัมพัทธ์ 50% ก็จะมีปริมาตรไอน้าเป็นคร่ึงหนึ่งคือ (17.3/2) = 8.65 gvapor / m3Dry Air และท่ี ความช้ืนสัมพัทธ์ 25% ปริมาณไอน้าในอากาศก็จะมีอยู่ (17.3/4) = 4.325 gvapor / m3Dry Air ซ่งึ นอกจากนั้นเราสามารถที่จะหาเปอรเ์ ซ็นตค์ วามชนื้ สัมพทั ธใ์ นอากาศได้จากสมการ 0.622 Ps / Patm Ps ………. (3) Pv/ Ps Patm / Ps 0.622 ….……. (4) เม่อื ∅ คอื ความช้นื สมั พัทธ์, % Ps คือ ความดนั อมิ่ ตัวของไอน้า ณ อุณหภูมินั้น, kN/m2 2-13
เส้นแสดงความชื้นสัมพัทธ์ในไซโครเมตริกชาร์ทดังแสดงในรูปท่ี 10-7 โดยเส้นแรกทาง ขวามอื สุดหรอื เส้นท่ีอยดู่ า้ นนอกคือเส้นความชน้ื สัมพทั ธ์ 100% นั้นจะเป็นเสน้ เดยี วกับเส้นอากาศอิ่มตัว (Saturated Air Line) หรือจุดท่อี ากาศสามารถรองรับปริมาณไอน้าได้สูงสุดท่ีอุณหภูมิต่างๆ ถัดมาจาก เส้นความช้ืนสัมพัทธ์ 100% ค่าความชื้นสัมพัทธ์ก็จะลดต่าลงมาเร่ือยๆ อากาศท่ีมีปริมาณความช้ืนอยู่ เทา่ ๆ กันแต่เม่ืออุณหภมู ลิ ดตา่ ลงคา่ ความช้นื สมั พัทธ์จะสงู ขนึ้ เรอ่ื ยๆ ดังรปู 100% 80% 60% 40% 20% 0% รปู ที่ 10-7 แสดงเสน้ ความชืน้ สมั พทั ธ์ (Relative Humidity Line) 4) ปริมาตรจาเพาะของอากาศ (Specific Volume, v) ปริมาตรจาเพาะ คืออัตราส่วน ระหว่างปริมาตร (Volume) ตอ่ มวล (Mass) ของอากาศ มีหน่วยเป็นลกู บาศก์เมตรต่อกิโลกรัม (m3/kg) ในระบบ SI เป็นท่ีทราบกันดีว่าอากาศมีคุณสมบัติในการขยายตัวตามอุณหภูมิท่ีความดันคงที่ (Constant Pressure) ในสภาวะความดันคงที่ถ้าอุณหภูมิต่าอากาศจะมีปริมาตรจาเพาะน้อยหมายถึง น้าหนักอากาศต่อหน่วยปริมาตรจะมากในทางตรงกันข้ามถ้าอุณหภูมิของอากาศสูงข้ึนอากาศจะ ขยายตัวออกทาให้ปริมาตรจาเพาะของอากาศมากข้ึน ซึ่งก็คือน้าหนักของอากาศต่อหน่วยปริมาตรจะ ลดลงหรอื อากาศเบาขนึ้ นน่ั เอง ตัวอย่างเช่น อากาศท่ีความดันบรรยากาศอุณหภูมิ 15 ๐C ความช้ืนสัมพัทธ์ 60% จะมี ปริมาตรจาเพาะเท่ากับ 0.825 m3/kg (1.21 kg/m3) แต่ถ้าอุณหภูมิเปล่ียนไปเป็น 25 ◦C ท่ีความช้ืน 2-14
สัมพัทธ์ 60% เท่าเดิม ปริมาตรจาเพาะของอากาศจะเท่ากับ 0.861 m3/kg (1.16kg/m3) จะเห็นว่า อุณหภูมิเปล่ียนไป 10 ◦C แต่ปริมาตรจาเพาะอากาศเปล่ียนไป 4.4% ในการคานวณเราจะสามารถใช้ ค่าปรมิ าตรจาเพาะสาหรบั หาอตั ราการไหลเชิงปริมาตร (G) หรืออัตราการไหลเชิงมวล (m) ของอากาศ สาหรับเส้นแสดงปริมาตรจาเพาะท่ีอยใู่ นไซโครเมตริกชาร์ตน้ันจะเป็นเส้นทแยงจากซ้ายไปขวา โดยเส้น ทอี่ ย่ดู ้านลา่ งจะมีคา่ ปริมาตรจาเพาะนอ้ ยและเพ่มิ ขึน้ เร่ือยๆ ไปสูด่ ้านบนดังรปู ท่ี 10-8 0.94 0.92 Saturate air Line 0.90 0.88 0.86 0.84 0.82 0.80 3/kgdryair 0.78 รูปที่ 10-8 แสดงเส้นปรมิ าตรจาเพาะ (Specific Volume) สาหรับการหาปรมิ าตรจาเพาะโดยการคานวณน้ันสามารถทาไดด้ ังสมการ v RpaTa RaT Pv ..........................................(5) P atm โดยที่ Ra คอื คา่ คงที่ของอากาศแห้ง, 0.2870 kJ/kg.K T คือ อณุ หภูมใิ นสภาวะที่พจิ ารณา, K Patm คือ ความดันบรรยากาศ, kN/m2 (Pa+Pv) Pv คอื แรงดันยอ่ ยของไอนา้ , kN/m2 Pa คอื แรงดันย่อยของอากาศแหง้ , kN/m2 2-15
5) อุณหภูมิ (Temperature) เมื่อพูดถึงอุณหภูมิเราจะนึกถึงความร้อนและความเย็นของ อากาศ เรารวู้ ่าในหอ้ งปรับอากาศจะมีความเยน็ กว่ากลางแดดจ้าในหน้าร้อน ในช่องแช่แข็งของตู้เย็นจะ เย็นกว่าในห้องปรับอากาศ อุณหภูมินอกจากจะเป็นตัวบ่งบอกถึงความร้อนหรือเย็นแล้วยังเป็นตัวท่ีบ่ง บอกถึงระดับพลังงานท่ีมีอยู่ในอากาศ อากาศที่ร้อนย่อมจะมีพลังงานอยู่ในตัวเองมากกว่าอากาศที่เย็น อณุ หภมู ิของอากาศแบ่งออกเป็นสองชนิดซึ่งมีความสมั พนั ธ์กนั อย่างแยกไม่ออกซึ่งก็คือ 5.1) อุณหภูมิกระเปาะแห้ง (Dry Bulb Temperature, Tdb) คืออุณหภูมิที่วัดจาก เทอรโ์ มมิเตอร์ธรรมดา เชน่ เราอยากรวู้ ่าตอนน้ีอุณหภูมิเท่าไหร่เราก็อ่านค่าจากเทอร์โมมิเตอร์ท่ี ตดิ อยู่ทฝ่ี าผนงั คา่ อณุ หภูมิดังกล่าวคืออุณหภูมิกระเปาะแห้ง ในแผนภูมิไซโครเมตริกจะเป็นเส้น ตามแนวตั้งอยู่ในแผนภูมิโดยค่าจะเรียงตั้งแต่น้อยไปหามากจากซ้ายมือไปยังขวามือ ดงั รูปท่ี 10-9 10 20 30 40 50 Day bulb Temperature , Co รปู ท่ี 10-9 แสดงเส้นอณุ หภมู ิกระเปาะแหง้ บนแผนภมู ิไซโครเมตริก 5.2) อุณหภูมิกระเปาะเปียก (Wet Bulb Temperature, Twb) ก่อนท่ีเราจะมาพูดกัน ต่อเร่ืองอุณหภูมิกระเปาะเปียกกัน อยากให้เรามารู้จักกับคาว่ากระเปาะกันก่อน ซึ่งกระเปาะ (Bulb) ก็คือส่วนปลายที่ใช้รับอุณหภูมิของเทอร์โมมิเตอร์แบบปรอทที่เราใช้แหย่ไปยังจุดที่ ต้องการวัด ในตอนแรกท่ีกล่าวถึงอุณหภูมิกระเปาะแห้งซ่ึงก็คือในตอนท่ีทาการวัดนั้นกระเปาะ รับอุณหภูมิของเทอร์โมมิเตอร์จะต้องแห้งจึงทาให้อุณหภูมิท่ีวัดได้จึงเป็นอุณหภูมิแวดล้อมท่ีอยู่ รอบๆ เทอรโ์ มมิเตอร์ตัวน้นั ดงั รปู ดา้ นบนของรปู ท่ี 10-10 สาหรับการวัดอุณหภูมิกระเปาะเปียกน้ันในการวัดก็ใช้เทอร์โมมิเตอร์แบบเดียวกับท่ี วัดแบบกระเปาะแห้ง แต่ที่กระเปาะปลายเทอร์โมมิเตอร์จะเอาผ้าชุบน้าพอชุ่มๆ พันกระเปาะ เอาไว้และในตอนวัดก่อนที่จะอ่านก็จะต้องทาให้ปลายกระเปาะเปียกดังกล่าวเคลื่อนท่ีด้ วย ความเร็วๆ หน่ึง โดยปกติในการวัดจะใช้เชือกผูกและเหว่ียงตัวเทอร์โมมิเตอร์กระเปาะเปียก ดังกล่าวให้เคล่ือนท่ีสักพักหน่ึงแล้วจึงอ่านค่าอุณหภูมิ ท่ีเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าถ้าความชื้นใน 2-16
อากาศขณะที่ทาการวัดน้อยเวลาที่เทอร์โมมิเตอร์กระเปาะเปียกเคลื่อนท่ีผ่านอากาศก็จะ ทาให้ ความช้นื ที่อยทู่ ีผ่ ้าชุบน้าดงั กล่าวระเหยไดง้ า่ ยเพราะความช้ืนในอากาศมีน้อย รูปท่ี 10-10 แสดงเทอร์โมมิเตอรแ์ บบกระเปาะแห้งและแบบกระเปาะเปยี ก เมือ่ รวมกันจะเรียก Sling Phychrometer ในกระบวนการการระเหยของความชื้นของผ้าชุบน้าที่ติดอยู่ท่ีปลายเทอร์โมมิเตอร์ แบบกระเปาะเปียกน้ันจะดูดความร้อนรอบๆ ตัวกระเปาะมาทาให้ความช้ืนเปล่ียนสถานะจาก ของเหลวกลายเป็นไอ ดังนั้นจึงทาให้อุณหภูมิที่วัดได้หรืออุณหภูมิกระเปาะเปียกจะต่ากว่า อุณหภูมิกระเปาะแห้ง ในกรณีท่ีในอากาศมีความชื้นอยู่มาก ความช้ืนที่ผ้าที่หุ้มกระเปาะไว้จะ ระเหยได้ยากดังนั้นความร้อนท่ีใช้ในการระเหยตัวก็จะน้อยส่งผลให้ค่าที่วัดได้จะใกล้เคียงกับ อุณหภูมิกระเปาะแห้ง ดังท่ีกล่าวข้างต้นอุณหภูมิกระเปาะเปียกจะเป็นตัวบ่งช้ีถึงปริมาณความช้ืนท่ีมีอยู่ใน อากาศในจุดท่ีทาการวัด ถ้าความชื้นในอากาศน้อยความแตกต่างของอุณหภูมิกระเปาะแห้งกับ อุณหภูมิกระเปาะเปียกจะมาก และถ้าความช้ืนในอากาศมากความแตกต่างของอุณหภูมิท่ีวัดได้ จะน้อย และอุณหภูมิกระเปาะแห้งกับกระเปาะเปียกจะเท่ากันที่เส้นอากาศอ่ิมตัว (Saturated Temperature) หรือจุดที่ความชื้นสัมพัทธ์เท่ากับ 100% สาหรับเส้นอุณหภูมิกระเปาะเปียกท่ี อยู่ในแผนภูมิไซโครเมตริกน้ันจะเป็นดังรูปที่ 10-11 โดยจะเอียงทแยงจากซ้ายไปขวาและค่าจะ เพมิ่ ข้ึนจากน้อยไปมากจากด้านซา้ ยไปยังดา้ นขวา 2-17
Wet Day bulb temperature , Co รปู ท่ี 10-11 แสดงเส้นอุณหภูมิกระเปาะเปียกบนแผนภูมิไซโครเมตริก 5.3) อุณหภูมิหยดน้าค้าง (Dew Point Temperature) คือ “อุณหภูมิที่ความชื้นใน อากาศเริ่มกล่ันตัวเป็นหยดน้าเมื่ออากาศถูกลดอุณหภูมิท่ีความดันคงที่” หรืออีกนัยยะหนึ่งก็คือ อุณหภมู ิอิม่ ตวั ของไอน้าเมื่อเปรียบเทียบกบั ความดนั ของไอน้าดังสมการ Tdp = Tsat@Pv …………. (5) โดยท่ี Pv คอื แรงดันยอ่ ยของไอน้าท่อี ณุ หภมู ิจดุ ไอนา้ อม่ิ ตัว ณ อณุ หภมู ทิ อ่ี า้ งอิง, kN/m2 เพอ่ื ให้เรานึกภาพของอณุ หภมู ิหยดน้าค้างออกให้เรานึกถึงหยดน้าท่ีเกาะอยู่ด้านข้าง ของแก้วน้าเย็น หรือหยดน้าค้างท่ีเกาะอยู่ตามยอดหญ้าในตอนเช้าของฤดูร้อน ลักษณะดังกล่าว เกิดข้ึนได้ก็เน่ืองจากการที่อากาศที่มีความช้ืนสูงถูกลดอุณหภูมิลง ทาให้ความสามารถในการ รองรับความชื้นในอากาศที่อุณหภูมิต่าลดลง ดังนั้นปริมาณความชื้นในอากาศที่เกินจาก ความสามารถในการรองรับของอากาศที่อุณหภูมติ ่าลง จงึ กลน่ั ตวั กลายเป็นหยดนา้ 2-18
Dew Point temperature , Co รูปที่ 10-12 แสดงการหาจดุ น้าคา้ งทส่ี ภาวะที่กาหนด ตัวอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณไอน้าที่อากาศสามารถรับไว้ได้กับอุณหภูมิความชื้นสัมพัทธ์และ อุณหภมู หิ ยดนา้ คา้ ง (ตารางท่ี 10-2 ประกอบ) ในฤดูร้อนวันหน่ึงอากาศมีอุณหภูมิ 35 ๐C ความช้ืนสัมพัทธ์ 60% ในอากาศ มีไอน้าปะปนอยู่ที่ 23.8 กรมั /อากาศ 1 m3 เมื่อเวลาผ่านกลางคืนไปจนถึงตอนเช้าอุณหภูมิลดลงเหลือ 20 oC ซึ่งที่อุณหภูมินี้เราจะเห็นว่าอากาศสามารถท่ีจะรองรับไอน้าได้สูงสุด (RH 100%) เพียง 17.3 กรัม/อากาศ 1 m3 ดังนน้ั ไอนา้ จานวน (23.8-17.3) = 6.5 กรัม/อากาศ 1 m3 จะกล่ันตัวกลายเป็นหยดน้าเกาะอยู่ตามยอด หญ้าหรือวัตถุท่ีมีอุณหภูมิเดียวกับอากาศบริเวณน้ัน จากหลักการน้ีเรายังสามารถประยุกต์ใช้ในอุปกรณ์ลด ความชื้นหลายชนิดในงานอุตสาหกรรม อุณหภูมิหยดน้าค้างของอากาศท่ีจุดต่างๆ สามารถหาได้ใน ไซโครเมตรกิ โดยลากเส้นจากจุดน้ันขนานไปกับเส้นปรมิ าตรจาเพาะไปทางขวามือไปชนกับเสน้ อากาศอมิ่ ตวั ตารางที่ 10-2 ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณไอน้าท่ีอากาศสามารถรับไว้ได้กับอุณหภูมิความช้ืนสัมพัทธ์และ อณุ หภมู หิ ยดนา้ คา้ ง (ขอ้ มูลในตารางเป็นขอ้ มลู ท่ีได้จากการคานวณอาจมีความคลาดเคลื่อนในบางคา่ ) 2-19
6) เส้นอากาศอิ่มตัว (Saturation Line, Air saturation line) เป็นเส้นที่อยู่ในแนว เดียวกับเส้นความช้ืนสัมพัทธ์ด้านนอกสุดซ้ายมือในแผนภูมิไซโครเมตริกหรือเป็นเส้นปิดแผนภูมิ ไซโครเมตริกทางด้านซ้ายมือจริงๆ แล้วเส้นอากาศอ่ิมตัวก็คือเส้นความชื้นสัมพัทธ์ 100% (100 %RH) ดังที่กล่าวมาแล้วในหัวข้อเร่ืองความช้ืนสัมพัทธ์ว่าจุดอากาศอิ่มตัวก็คือจุดที่อากาศ ณ อุณหภูมินั้นๆ สามารถรองรับไอน้าไว้ได้มากที่สุดสาหรับจานวนไอน้าที่อากาศสามารถรับไว้ได้มากท่ีสุดท่ีอุณหภูมิ ต่างๆ นนั้ ดงั แสดงในช่องความชื้นสัมพทั ธ์ 100 % (100%RH) ในตารางท่ี 10-1 และ 10-2 7) เอนทาลปี (Enthalpy) ในทางเทอร์โมไดนามิกค่าเอนทาลปี (Enthalpy) คือค่าท่ีเป็นตัว บ่งบอกถึงระดับพลังงานของของไหลซึ่งรวมถึงอากาศด้วย ซึ่งเป็นค่าพลังงานภายในของของไหลบวก กบั พลังงานเนอื่ งจากการเปลย่ี นแปลงของความดนั และปรมิ าตร (PV) ของของไหลดงั สมการ h = u + pv …………………………... (6) โดยท่ี h คอื เอนทาลปี, Jule/kg u คอื พลังงานภายใน, Jule/kg N pv คอื ความสัมพนั ธข์ องความดนั และปริมาตร ( m2 m3 ),Jule สาหรับค่าเอนทาลปีเราสามารถเปิดได้จากตารางไอน้าอ่ิมตัวในตาราเทอร์โมไดนามิกต่างๆ ได้ ความสัมพันธ์ของคุณสมบัติทั้งสามอย่างข้างต้นมักจะรวมอยู่ในรูป u + pv ดังน้ันเพื่อเป็นความ สะดวกในการคานวณเราจึงให้คาจากัดความเรียกผลรวมของความสัมพันธ์ของคุณสมบัติทั้งสามตัวว่า 2-20
เอนทาลปี (Enthalpy, h) โดยท่ีถ้าเป็นเอนทาลปีต่อหน่วยมวลเราจะเรียกว่าเอนทาลปีจาเพาะมีหน่วย เป็น พลังงานต่อมวล เช่น kJ/kg สาหรับของไหลที่ความดันบรรยากาศค่าเอนทาลปีจะเปล่ียนแปลงไป ตามอณุ หภูมิโดยที่ถ้าอุณหภูมิมากค่าเอนทาลปีจะมากตามไปด้วย เช่น อากาศที่อุณหภูมิสูงจะมีค่าเอน ทาล-ปีมากกว่าอากาศท่ีอุณหภูมิต่า เช่นถ้าเราต้องการท่ีจะลดอุณหภูมิอากาศจากอุณหภูมิ 40 oC ท่ีความชื้นสัมพัทธ์หน่ึงให้เหลือ 20 oC ที่ความชื้นสัมพัทธ์หนึ่งเราก็เอาค่าเอนทาลปีของจุดแรกไปลบ เอนทาลปีที่จุดหลังเราก็สามารถคานวณภาระทางความร้อนของกระบวนการลดอุณหภูมิใน กระบวนการดงั กลา่ วได้ การหาค่าเอนทาลปีของอากาศแห้งและอากาศชื้นสามารถคานวณได้จากสมการ h = CpT + ωhg .............................................................................. (7) โดยท่ี h คือ เอนทาลปี, Jule/kg Cp คือ ค่าความจุความร้อนจาเพาะของอากาศแห้ง, kJ/kg-K T คือ อุณหภูมิในสภาวะท่ีพิจารณา, K ω คือ อตั ราสว่ นความชืน้ , ไม่มีหน่วย hg คือ ค่าเอนทาลปีของไออิม่ ตัว, kJ/kg เส้นแสดงระดับค่าเอนทาลปีในแผนภูมิไซโครเมตริกน้ันจะอยู่ด้านซ้ายมือหรือด้านหน้าของ เส้นอากาศอ่ิมตัวรูปที่ 10-13 โดยที่ค่าเอลทาลปีจะเพ่ิมจากน้อยไปหามากตามระดับของอุณหภูมิของ อากาศที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางของลูกศรที่แสดงในรูป สาหรับการหาค่าเอนทาลปีที่จุดต่างๆ ตามสภาวะ อากาศหลังจากท่ีเราพล็อตจุดในไซโครเมตริกชาร์ทได้แล้วเราก็ลากเส้นตรงในแนวระนาบมาตัดกับเส้น อากาศอ่ิมตัวทางซ้ายมือและเอาคา่ ทจ่ี ุดตดั นนั้ มาดวู ่าตรงกับค่าเอนทาลปเี ทา่ ใด Enthalpy , kj/kg Day air รูปที่ 10-13 แสดงเสน้ แสดงค่าเอนทาลปี 2-21
10.2 ตัวแปรบนแผนภมู ไิ ซโครเมตรกิ Pressure: 101325 Pa 110 120 130 100 40 50 90 30 80 130 Saturation temperature - deg C Enthalpy5-0kJ/kg(a6) 0 70 Humidity ratio - g/kg(a) 120 20 40 20 0.95 110 30 0.90 Volume - cu.m/kg(a) 0.85 100 20 0.80 10 90 -10 10 10 80% -20 0 80 60% -10 70 0 40% 20% -20 -10 0 10 20 30 Dry bulb temperature - deg C รปู ที่ 10-14 ตัวแปรบนแผนภูมไิ ซโครเมตรกิ 2-22
10.2.1 อุณหภมู ิกระเปาะแหง้ (Dry Bulb Temperature, Tdb) อุณหภูมิกระเปาะแห้ง (Dry Bulb Temperature, Tdb): อุณหภูมิที่วัดได้จากเคร่ืองวัดอุณหภูมิ (เทอร์โมมิเตอร์) ทั่วๆ ไป เช่น การวัดอุณหภูมิของกรมอุตุนิยมวิทยา การวัดอุณหภูมิร่างกายทาง การแพทย์ เป็นต้น อุณหภูมิเหล่าน้ีทางอุณหพลศาสตร์เรียกว่า “อุณหภูมิกระเปาะแห้ง” คือ เส้นตาม แนวด่งิ ในแผนภมู ไิ ซโครเมตริก 10.2.2 อุณหภมู ิกระเปาะเปยี ก (Wet Bulb Temperature, Twb) อุณหภูมิกระเปาะเปียก (Wet Bulb Temperature, Twb): อุณหภูมิที่วัดได้จากเทอร์โมมิเตอร์ แบบเดียวกันกับอุณหภูมิกระเปาะแห้ง แต่ต่างกันท่ีต้องทาให้บรรยากาศรอบๆ เทอร์โมมิเตอร์มี ความชน้ื สัมพทั ธเ์ ท่ากับ 100 % อุณหภูมิทีอ่ า่ นได้จึงจะเรียกว่า “อุณหภูมิกระเปาะเปียก” ซ่ึงวิธีการวัด มีหลากหลายวิธี เช่น เอาผ้าชุบนา้ พอชุ่มๆ พันไว้ ทจ่ี ุดวดั อณุ หภูมิของเทอร์โมมเิ ตอร์ แลว้ รอสักพักให้น้า ทผ่ี ้าระเหยออกมาจนทาให้บรเิ วณรอบๆ เกิดความชน้ื อิม่ ตวั ก็จะสามารถอา่ นค่าอณุ หภูมิกระเปาะเปียก ได้ หรอื ในปจั จบุ นั นยิ มวัดด้วยหัววัดแบบอเิ ล็กทรอนกิ ส์ซง่ึ สะดวกและรวดเร็วกวา่ 10.2.3 อัตราส่วนความชนื้ (Humidity ratio, g/kg dry air) อัตราส่วนความชื้น (Humidity ratio, ���): มวลของไอน้า (น้าในสถานะก๊าซ) ในอากาศต่อมวล ของอากาศแห้ง 10.2.4 ความชน้ื สัมพัทธ์ (Relative humidity, %) ความช้ืนสัมพัทธ์ (Relative humidity, RH): อัตราส่วนของความชื้นจริงในอากาศขณะท่ีวัดต่อ ความช้นื สูงสดุ ทสี่ ามารถทาให้เกิดความชนื้ อมิ่ ตัวได้ 10.2.5 เอนทาลปี (Enthalpy, kJ/kg dry air) เอนทาลปี (Enthalpy, h): คา่ พลังงานของอากาศตอ่ มวลอากาศแห้ง 1 หนว่ ย 10.2.6 ปรมิ าตรจาเพาะของอากาศ (Specific volume of air, cu.m./kg dry air) ปริมาตรจาเพาะของอากาศ (Specific volume of air, v): อัตราส่วนของปริมาตรอากาศต่อ มวลอากาศแห้ง 10.3 คาอธบิ ายแผนภูมิไซโครเมตรกิ ค่าหลักในแผนภมู ิ ประกอบดว้ ย อุณหภูมิกระเปาะแห้ง (Dry-bulb temperature) ถูกแสดงไว้บนแกน นอน (คา่ แสดงดังเสน้ สแี ดง) ค่าอัตราสว่ นความชน้ื (Humidity ratio) ถูกแสดงไว้บนแกนตั้ง (ค่าแสดงดังเส้นสี เหลือง) ท่ีส่วนปลายด้านซ้ายของแผนภูมิ เราจะเห็นเส้นโค้งที่ความช้ืนสัมพัทธ์เท่ากับ 100% ซึ่งเรียกว่า เส้นอุณหภูมิอ่ิมตัว (Saturation temperature line) ส่วนเส้นโค้งที่ค่าคงที่ของความช้ืนสัมพัทธ์อื่นๆ ก็ได้ แสดงในรูปร่างท่ีคล้ายคลึงกัน (ดังเส้นสีน้าเงิน) เส้นของอุณหภูมิกระเปาะเปียกคงท่ี ( Wet-bulb temperature) จะมีลักษณะเฉียงลงมาทางขวามือ (ค่าแสดงดังเส้นสีเขียว) และเส้นปริมาตรจาเพาะของ อากาศคงทจ่ี ะดคู ลา้ ยคลงึ กันกบั เส้นอุณหภูมิกระเปาะเปียกแต่ว่าจะมีความชันท่ีมากกว่า (ค่าแสดงดังเส้นสีดา) 2-23
ส่วนเส้นของค่าเอนทาลปีคงท่ี จะเกือบท่ีจะขนานกับเส้นของอุณหภูมิกระเปาะเปียกคงที่ (ค่าแสดงดังเส้นสี เทา) ซ่ึงในรูปท่ีแสดงเป็นหน่วยในระบบ Metric (SI) แต่ยังมีหน่วยที่นิยมใช้ในระบบปรับอากาศอีกหน่วย ได้แก่ ระบบ English (I-P) สาหรับอุณหภูมิจุดน้าค้าง (Dew-point temperature) สามารถหาได้โดยลากเส้นแนวนอนจากจุดตัด ระหว่าง ค่าอุณหภูมิกระเปาะแห้งและความช้ืนสัมพัทธ์ หรือ ค่าอุณหภูมิกระเปาะแห้งกับอุณหภูมิกระเปาะ เปียกไปยังเส้นอุณหภูมิอิ่มตัว ค่าอุณหภูมิที่จุดบนเส้นนี้ คือ ค่าอุณหภูมิจุดน้าค้าง (อุณหภูมิกระเปาะแห้งและ กระเปาะเปียกจะเท่ากนั ) สาหรับการอ่านค่าจากชาร์ท ค่าที่ได้จะเป็นค่าประมาณ ไม่ได้แม่นยา 100 % เน่ืองจากอาจมีความ ผิดพลาดในตาแหน่งของทศนิยม ซ่ึงสมัยก่อนมีความสะดวกรวดเร็วในการใช้งานหน้างานมาก แต่ปัจจุบันมี โปรแกรมสาเรจ็ รปู ทเ่ี ปิดจาก คอมพวิ เตอร์แบบพกพาได้ จึงทาใหง้ า่ ยและแมน่ ยากว่าการเปดิ ชาร์ท ตวั อยา่ ง การอ่านค่าต่างๆ จากแผนภูมไิ ซโครเมตรกิ โจทย์ จากการตรวจวัดเคร่ืองปรับอากาศแบบแยกส่วน ท่ีบริเวณทางเข้า Evaporator (Return air) วัดอุณหภูมิ (Tdb) ได้ 26 oC ความช้ืนสัมพัทธ์ (RH) 60% และที่บริเวณทางออกของ Evaporator (Supply air) วัดอุณหภูมิ (Tdb) ได้ 15 oC ความช้ืนสัมพัทธ์ (RH) 75% บริเวณที่วัดมีความดันเท่ากับความดัน บรรยากาศ จากแผนภูมิไซโครเมตริกท่ีให้จงหาสมบัติของอากาศที่จุด Return air และ Supply air ดังน้ี อณุ หภูมิกระเปาะเปียก อุณหภูมิจดุ นา้ คา้ ง ปริมาตรจาเพาะของอากาศ และเอนทาลปี รูปท่ี 10-15 การลากเส้นเพื่อหาคาตอบบนแผนภูมไิ ซโครเมตรกิ 2-24
วธิ ที า จากแผนภูมิสรุปคา่ ทตี่ ้องการหาไดด้ ังนี้ สมบตั ขิ องอากาศ Return air Supply air หน่วย 1. อณุ หภูมิกระเปาะเปียก (Twb) 20.4 12.5 oC 2. อณุ หภมู ิจุดนา้ ค้าง (Tdp) 17.7 10.7 oC 3. ปริมาตรจาเพาะของอากาศ (v) 0.864 0.826 m3/kg dry air 4. เอนทาลปี (h) 59.0 35.0 m3/kg dry air 10.4 แผนภมู ไิ ซโครเมตรกิ กบั พลังงานในระบบปรบั อากาศ ประสิทธิภาพพลังงานของระบบปรับอากาศ ที่ใช้แผนภูมิไซโครเมตริกในการหา คือ EER ซึ่งมีสูตรการ คานวณดังน้ี EER BTWUa/tthr mdry air x(hr hs ) Watt ....................................................... (8) เมอ่ื BTU/hr คอื ปริมาณความเย็นที่ผลิตได้ใน 1 ชั่วโมง หรือ ปริมาณมวลอากาศแห้งที่ไหลผ่าน คอยล์เย็นภายใน 1 ชม. คูณกับ ผลต่างระหว่าง เอนทาลปีของอากาศก่อนเข้า คอยล์เย็น (hr ของ Return air) กับ เอนทาลปีของอากาศหลังออกจากคอยล์เย็น (hs ของ Supply air) Watt คือ กาลังไฟฟูาท่ีเคร่ืองปรับอากาศใช้ กรณคี อยล์เยน็ สกปรก เมื่อแผงคอยล์เย็นสกปรก จะทาให้ประสิทธิภาพการทาความเย็นลดลง เนื่องจากส่ิงสกปรกจะทาให้ การแลกเปล่ียนความร้อนระหว่างอากาศกับคอยล์เย็นแย่ลง ซึ่งจะส่งผลให้อุณหภูมิขาออกจากคอยล์ เย็นมีค่าสูงข้ึนมากกว่าสภาวะปกติ (คอยล์เย็นสะอาด) เมื่อดูจากแผนภูมิไซโครเมตริก อุณหภูมิสูงขึ้น ค่าเอนทาลปีของอากาศกจ็ ะสงู ข้ึนตามไปด้วย ทาให้ผลต่างของเอนทาลปีขาเข้าและเอนทาลปีขาออก จากคอยล์เยน็ (hr-hs) ลดลง นนั่ คือ สาเหตขุ องการทาให้ประสิทธภิ าพลดลง เม่อื แผ่นกรองอากาศสกปรก หรือ ฟิลเตอร์สกปรก จะทาให้ประสิทธิภาพการทาความเย็นลดลงด้วย เหมือนกัน เนื่องจากสิ่งสกปรกจะบังไม่ให้อากาศผ่านเข้าคอยล์เย็นได้เท่ากับสภาวะปกติ ทาให้ ปรมิ าณอากาศ (mdry air) ลดลง ส่งผลให้ค่า BTU/hr ลดลง นั่นคือ สาเหตุของการทาให้ประสิทธิภาพ ลดลงอกี สาเหตหุ น่ึง 2-25
รูปท่ี 10-16 การทาความสะอาดฟิลเตอร์กรองอากาศหรือแผงคอยล์เยน็ 10.5 การประยุกตท์ างปฏิบัติของแผนภมู ไิ ซโครเมตรกิ ในกระบวนการเปลยี่ นแปลงสภาวะของอากาศแผนภูมิไซโครเมตริกจะเป็นเครื่องมือท่ีจะช่วยให้เรามอง การเปลี่ยนแปลงเหล่าน้ันและสามารถนามาคิดคานวณหาพลังงานและทาให้เรารู้ค่าตัวแปรต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องใช้สูตรในการคานวณให้ยุ่งยากโดยที่กระบวนการเปล่ียนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นเรา สามารถพิจารณาด้วยไซโครเมตรกิ ชาร์ทไดด้ งั น้ี 10.5.1 กระบวนการเพิ่มและลดความร้อน (Heating and Cooling Process) 1) กระบวนการเพ่มิ ความร้อน (Heating Process) กระบวนการเพิ่มความร้อน คือกระบวนการที่ในระหว่างกระบวนการหรือจา กการ เปล่ียนแปลงจากสภาวะหนง่ึ ไปยงั อีกสภาวะหน่ึง ความร้อนของอากาศจะค่อยๆ เพิ่มข้ึนที่สภาวะความดันคงที่ ตัวอย่างเมื่อเราให้ความร้อนกับอากาศที่ความดันคงท่ี อุณหภูมิของอากาศจะเพ่ิมข้ึนและส่งผลให้ปริมาตร จาเพาะของอากาศเพม่ิ ข้นึ หรอื อากาศมีน้าหนกั เบาขึ้นเพราะอากาศเกิดการขยายตัว ในขณะท่ีไอน้าในอากาศมี เท่าเดิม และค่าความช้ืนสัมพัทธ์จะลดลงเพราะอากาศสามารถรองรับไอน้าท่ีปะปนอยู่ได้เพ่ิมข้ึน สาหรับ กระบวนการนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นกระบวนการอบเพ่ือลดความช้ืนกับวัสดุหรือพืชผลทางการเกษตรต่างๆ สาหรับความร้อนท่ีเกิดข้ึนในกระบวนการนี้จะเป็นความร้อนสัมผัส (Sensible Heat) หรือความร้อนที่ทาให้ อุณหภูมิเพ่ิมสูงข้ึนเป็นส่วนใหญ่ ในส่วนของกระบวนการให้ความร้อน (Heating) ในไซโครเมตริกชาร์ตนั้นจะ เป็นเส้นในแนวขนานกับแกนอุณหภูมิกระเปาะแห้ง (Tdb) ในทิศทางห่างออกไปจากเส้นอากาศอ่ิมตัวดังรูปท่ี 10-17 2) กระบวนการลดความรอ้ น (Cooling Process) คือกระบวนการท่ีในระหว่างกระบวนการนั้นอุณหภูมิของอากาศจะลดลงท่ีความดันคงที่ เช่น ในระบบการปรับอากาศ เมื่อเราเร่ิมต้นเปิดเครื่องปรับอากาศก็จะทาให้อุณหภูมิในห้องปรับอากาศค่อยๆ ลดลงที่ความดันคงที่ และผลจากกระบวนการนี้ก็จะทาให้ปริมาตรจาเพาะของอากาศจะลดลง หรืออากาศมี ความหนาแนน่ ข้ึนและจะทาให้ความชื้นสัมพทั ธ์ในอากาศมากขึ้นตามไปดว้ ย 2-26
Saturation curve Absolute humidity Dry bolb temperature Sensible heating and cooling Absolute humidity รูปท่ี 10-17 แสดงทิศทางของการลดและเพิ่มอุณหภมู ิ ดังน้ันในกระบวนการปรับอากาศของพ้ืนท่ีปรับอากาศจึงจะต้องมีกระบวนการลดความชื้น ตามมาด้วย ซึ่งจะกล่าวถึงในตอนหลัง เม่ือเราพิจารณาในแผนภูมิไซโครเมตริกเราจะเห็นว่ากระบวนการลด ความร้อนของอากาศน้ีจะมีทิศทางของอุณหภูมิตรงกันข้ามกับกระบวนการเพิ่มความร้อนของอากาศ โดยที่ กระบวนการท่ีเกิดข้นึ นัน้ จะเรม่ิ จากสภาวะเรม่ิ ต้นของกระบวนการมาในทิศทางของทางเส้นอากาศอ่ิมตัวโดยท่ี เสน้ ของกระบวนการจะขนานกับเส้นอุณหภูมิกระเปาะแห้งดังรูปท่ี 10-17 ในส่วนของความร้อนท่ีเกิดข้ึนส่วน ใหญก่ เ็ ปน็ ความร้อนสมั ผสั เช่นกัน 10.5.2 กระบวนการลดความชน้ื (Dehumidification Process) ได้มีการกล่าวถึงคณุ สมบัติต่างๆ ของความชื้นต้ังแต่ตอนแรกๆ ของบทความนี้แล้ว เป็นท่ีทราบ กันดีแล้วว่าท่ีสภาวะความดันคงท่ีถ้าอุณหภูมิลดลงความช้ืนสัมพัทธ์จะเพิ่มข้ึน ดังนั้นในการควบคุมสภาวะ อากาศให้มีค่าความช้นื สมั พัทธน์ อ้ ยทอ่ี ุณหภมู ิตา่ นน้ั เราสามารถท่จี ะทาได้โดยวธิ กี ารดงั นค้ี ือ Saturation curve Dry bolb temperature Sensible heating and cooling รปู ที่ 10-18 แสดงการลดความชน้ื โดยการลดอุณหภมู ิของอากาศ 2-27
1) การลดความชน้ื โดยการลดอุณหภูมิ (Dehumidification by Cooling) คือการลดอุณหภูมิของอากาศ ณ จุดที่เป็นจุดลดความชื้นให้ลดลงจนถึงจุดน้าค้าง (Tdp) ของอากาศ ตัวอย่างท่ีเราสามารถเห็นได้ก็คือในห้องท่ีติดเครื่องปรับอากาศขนาดเล็ก เราจะเห็นว่าท่ีด้านล่าง ของคอยล์เยน็ ของเครอ่ื งปรับอากาศจะมถี าดรองน้ารองอยู่ซึ่งเป็นท่ีรองไอน้าท่ีควบแน่นจากการกล่ันตัวนั่นเอง โดยหลักการทางานง่ายก็คือสมมติในห้องปรับอากาศที่อุณหภูมิ 25 oC ความชื้นสัมพัทธ์ 50% ดังน้ันอุณหภูมิ หยดน้าค้างของอากาศที่สภาวะดังกล่าวจะอยู่ที่ประมาณ 13.8 oC และท่ีคอยล์เย็นของเครื่องปรับอากาศจะมี อุณหภูมิประมาณ 7 oC ดังน้ันเมื่ออากาศถูกดูดเข้าใกล้คอยล์เพื่อลดอุณหภูมิของอากาศดังกล่าวและเมื่อที่จุด ดังกล่าวมีอุณหภูมิต่ากว่าจุดน้าค้างของอากาศจึงทาให้ความช้ืนในอากาศเกิดการกลั่นตัวกลายเป็นน้า ทาให้ ปริมาณความช้ืนในอากาศลดลง สาหรับเส้นการลดความช้ืนด้วยการลดอุณหภูมินั้นจะแสดงดังรูปท่ี 10-18 อีกตัวอย่างหนงึ่ ก็คอื การลดปริมาณน้าในลมอัดของเครือ่ งอดั ลม (Air Compressor) ดังวงจรในรปู ที่ 10-18 2) การลดความชื้นโดยวิธกี ารดดู ซึมความชนื้ (Dehumidification by Absorption) การลดความช้ืนแบบน้ีเป็นการใช้วัสดุดูดซึมความชื้น (Absorption Material) เช่น ซิลิก้าเจล เป็นตัวลดความชื้นออกจากอากาศ การลดความช้ืนวิธีนี้จึงไม่จาเป็นต้องลดอุณหภูมิดังแสดงในรูป ที่ 10-19 เมื่อเรานาวัสดุดูดความช้ืนมาวาง วัสดุดูดความชื้นก็จะดูดไอน้าหรือความช้ืนในอากาศออกจาก อากาศในระบบนั้น เป็นผลให้ความชืน้ ในอากาศลดลงโดยทอี่ ณุ หภมู ิของอากาศคงท่ี รูปท่ี 10-19 แสดงการลดความชน้ื โดยใช้วสั ดุดดู ความชื้น 2-28
10.5.3 กระบวนการเพมิ่ ความชื้น (Humidity Process) Absolute humidity ในกรณีท่ีสภาวะอากาศรอบๆ ระบบน้ันมีความชื้นน้อยแต่เราต้องการให้มีความช้ืนมาก ภายในระบบ เช่น ในระบบปรับอากาศในเมืองหนาวที่ใช้ฮีทเตอร์เป็นตัวเพิ่มอุณหภูมิของอากาศแต่ความชื้น ของระบบยังไม่ได้ตามท่ีต้องการ ดังน้ันจึงต้องมีกระบวนการเพ่ิมความช้ืนให้กับระบบซึ่งวิธีการส่วนใหญ่ที่ทา กันคอื 1) การเพ่ิมความชน้ื โดยการเตมิ ไอนา้ เขา้ สรู่ ะบบ (Humidification by Steam) เมื่อเราเติมไอน้าเข้าไปปะปนในอากาศ ไอน้าก็จะเจือปนอยู่กับอากาศในระบบทาให้ภายในระบบ ดงั กล่าวมคี วามชืน้ มากขึน้ ตามที่ต้องการ สาหรับในแผนภูมิไซโครเมตริกชาร์ตน้ันจะแสดงดังรูปที่ 10-20 โดยท่ี กระบวนการจะเริ่มที่อุณหภูมิเริ่มต้นและเม่ือไอน้าค่อยๆ เข้าไปในระบบแล้วความช้ืนในระบบจะค่อยๆ เพ่ิม โดยท่ีอุณหภูมิกระเปาะแห้งยังคงที่ส่วนตัวแปรที่เปลี่ยนไปคือค่าความชื้นสัมพัทธ์และอุณหภูมิกระเปาะเปียก ดังรูป เราจะสังเกตได้ว่าเมอ่ื เราเพม่ิ ความชนื้ เข้าไปในระบบเรื่อยๆ ค่าตัวแปรหน่ึงท่ีเปล่ียนตามคือค่าอัตราส่วน ความชน้ื ทเ่ี ป็นเชน่ น้กี ็เพราะว่ามวลของไอน้าทเ่ี ราเติมเขา้ ไปนน้ั มากขน้ึ นนั่ เอง Saturation curve Dry bolb temperature Humidification with steam รปู ท่ี 10-20 แสดงการเพิ่มความชน้ื โดยเติมไอนา้ เขา้ ส่รู ะบบ 2) การเพ่ิมความช้ืนโดยการทาให้อากาศเย็นโดยการระเหย (Humidification by Evaporative Cooling) คือการเพ่มิ ความช้นื ในขณะที่ทาการลดอุณหภูมิไปในเวลาเดียวกันตัวอย่างของกระบวนการนี้ให้เรา นึกถึงพัดลมแบบที่มีช่องใส่น้าแข็งอยู่ที่ด้านหน้าของใบพัดดังรูปท่ี 10-21 สมมติว่าเราเอาพัดลมตัวน้ีไปวางไว้ ในห้อง เม่ือพัดลมเร่ิมทางานพัดลมก็จะเปุาทาให้น้าแข็งระเหยกลายเป็นไอเย็นออกมาทาให้อุณหภูมิรอบๆ พัดลมน้ันค่อย ๆ เย็นลง แต่ขณะเดียวกันน้ันปริมาณไอน้าท่ีเกิดจากการระเหยก็จะค่อยๆ มากขึ้นทาให้ ความชน้ื สัมพัทธใ์ นอากาศค่อยๆ มากข้นึ ๆ ไปด้วย สาหรบั กระบวนการในแผนภูมิไซโครเมตริกจะเป็นไปและมี ทศิ ทางดงั รูปที่ 10-22 2-29
รปู ท่ี 10-21 แสดงพดั ลมแบบเติมน้าแข็ง Absolute humidity Saturation curve Dry bolb temperature Humidification by evaporative cooling รปู ที่ 10-22 แสดงการเพ่ิมความช้ืนแบบทาให้อากาศเย็นโดยการระเหย จากท่ีกล่าวในเร่ืองของกระบวนการต่างๆ ของการเปลี่ยนแปลงของอากาศที่กล่าวมาในข้างต้นพอจะ สรุปกระบวนการต่างๆ ในรูปของแผนภูมิไซโครเมตริกได้ดังรูปท่ี 10-23 ในการพิจารณาทิศทางของ กระบวนการต่างๆ นั้น ให้เราพล็อตที่จุดแรกของสภาวะอากาศลงในแผนภูมิไซโครเมตริก จากนั้นเราก็พล็อต คา่ สภาวะอากาศจดุ ทสี่ องลงในแผนภูมิไซโครเมตริก เมื่อเราได้จดุ ทั้งสองจุดแลว้ ก็จากเสน้ จากจุดแรกไปยังจุดที่ สอง จากนั้นเราก็ได้เส้นของกระบวนการที่เกิดข้ึนและสามารถพิจารณาได้ว่ากระบวนการดังกล่าวเป็น กระบวนการไหน 2-30
รูปที่ 10-23 แสดงสรุปกระบวนการการเปลยี่ นแปลงต่างๆ ของอากาศ เพ่ือความเข้าใจกระบวนการต่างๆ ของการเปล่ียนแปลงของอากาศมากยิ่งข้ึน จึงขอยกตัวอย่าง ประกอบดงั น้ี ตัวอยา่ ง การอา่ นค่าสมบัติต่างๆ โดยใช้แผนภมู ิไซโครเมตรกิ พจิ ารณาอากาศในห้องที่ความดันบรรยากาศห้องหน่ึงที่อุณหภูมิ 20 oC ความช้ืนสัมพัทธ์ 40% ให้ใช้ แผนภมู ิไซโครเมตรกิ หาค่าตา่ งๆ ของอากาศดังตอ่ ไปน้ี ก. อณุ หภูมกิ ระเปาะเปยี ก (Wet Bulb Temperature, Tdb) ข. อณุ หภมู หิ ยดน้าคา้ ง (Dew Point Temperature) ค. ปรมิ าตรจาเพาะของอากาศ (Specific Volume) ง. เอนทาลปีหรอื ระดับพลังงานของอากาศ (Enthalpy, h) จากแผนภูมิไซโครเมตริกดังรูปที่ 10-24 เมื่อเราทราบค่าอุณหภูมิซึ่งเป็นอุณหภูมิกระเปาะแห้งและ ความชน้ื สัมพทั ธ์ ให้เราพลอตจุดลงทีจ่ ดุ ตัดระหว่างเสน้ อุณหภมู ิกระเปาะแหง้ 20 ๐C และเส้นความช้ืนสัมพัทธ์ 40% เราจะไดจ้ ดุ A ซึ่งเป็นจดุ ที่ตรงกับคณุ สมบตั ิของอากาศ ณ จดุ นั้น 2-31
รปู ที่ 10-24 แสดงแผนภมู ไิ ซโครเมตริกตามตัวอยา่ ง จากนัน้ เรากท็ าการหาคา่ ตา่ งๆ ท่ีต้องการโดย 1) อัตราส่วนความช้ืน ให้เราลากเส้นจากจุด A ไปทางขวามือโดยขนานไปกับแกนของ อุณหภูมิกระเปาะแห้งไปตัดกับเส้นอัตราส่วนความช้ืน(Humidity ratio, ω) จากนั้นเรา ก็พล็อตตรงจุดตัดที่จุด B และเทียบอัตราส่วนจากจากสเกลค่าท่ีจุดดังกล่าวเราก็จะได้ อัตราสว่ นความชื้นเทา่ กบั 0.0058 kg/kg Dry Air หรอื 5.8กรัม /kg Dry Air 2) อุณหภูมิกระเปาะเปียก ให้เราลากเส้นจากจุด A ให้ขนานไปกับเส้นอุณหภูมิกระเปาะ เปียกไปจนตัดกับเส้นอากาศอ่ิมตัวจากน้ันเราก็พล็อตจุดตรงจุดตัดระหว่างสองเส้น ดังกล่าวที่จุด C และเทียบอัตราส่วนระหว่างเส้นอุณหภูมิกระเปาะเปียกสองเส้นท่ีจุด ดงั กล่าวเราก็จะได้คา่ อณุ หภมู ิกระเปาะเปียกเท่ากบั 12.35 ๐C 3) อุณหภูมิหยดน้าค้าง หาได้โดยการลากเส้นไปทางซ้ายมือของจุดA โดยให้ขนานไปกับเส้น อุณหภูมิกระเปาะแห้งไปจนตัดกับเส้นอากาศอิ่มตัวที่จุด D และเทียบอัตราส่วนระหว่าง เส้นอุณหภูมิหยดน้าค้างสองเส้นที่จุดดังกล่าว เราก็จะได้ค่าอุณหภูมิหยดน้าค้าง 6 ๐C หมายความวา่ ถ้าวางวัตถใุ ดกต็ ามที่สภาวะน้ีจะมหี ยดน้าที่เกิดจากการกล่ันตัวของไอน้ามา เกาะทวี่ ตั ถุดังกล่าว 4) ปริมาตรจาเพาะของอากาศ ให้เราลากเส้นจากจุด A โดยขนานกับเส้นแสดงค่าปริมาตร จาเพาะในแผนภูมิไซโครเมตริกจนไปตัดกับเส้นไอน้าอ่ิมตัวที่จุด E จากน้ันก็เทียบระยะ สเกลหาคา่ เราจะไดค้ ่าปริมาตรจาเพาะตรงจดุ น้เี ท่ากบั 0.838 m3/kg 5) ค่าเอนทาลปีหรือระดับพลังงานของอากาศ หาได้โดยลากเส้นจากจุด A ให้ขนานกับเส้น เอนทาลปีท่ีอยู่ด้านนอกของแผนภูมิไซโครเมตริก ให้ไปตัดกับเส้นเอนทาลปีที่จุด F จากน้ันก็เทียบสเกลหาค่า เราจะได้ค่าเอนทาลปีทจ่ี ุดนเ้ี ทา่ กับ 34.8 kJ/kg 2-32
จากตัวอย่างคงจะทาให้เรามีความเข้าใจถึงการหาค่าต่าง ๆ ในแผนภูมิไซโครเมตริกกันบ้างแล้ว ในการ หาคา่ ตา่ งๆ น้ันตัวแปรที่เราจาเป็นต้องรู้ตัวแปรอย่างน้อย 2 ตัวคือ อุณหภูมิกระเปาะแห้งกับความช้ืนสัมพัทธ์ อณุ หภูมิกระเปาะเปียกกับอุณหภูมิกระเปาะแห้ง หรืออุณหภูมิกระเปาะแห้งกับอุณหภูมิหยดน้าค้าง เราถึงจะ สามารถหาคา่ ของคณุ สมบัตทิ เ่ี หลอื ไดจ้ ากแผนภมู ิไซโครเมตริก 10.6 แผนภมู มิ อลเลยี ร์ แผนภาพมอลเลียร์ เป็นแผนภาพซึ่งสามารถแสดงสภาวะต่างๆ ของสารทาความเย็นในทุกสภาวะทาง เทอร์โมไดนามิกส์ และทุกกระบวนการในวัฏจักรทาความเย็น รปู ท่ี 10-25 แผนภาพมอลเลียร์ของนา้ ส่วนประกอบของเส้นและสมบัติต่างๆ ของสารทางานในระบบปรับอากาศ บนแผนภูมิมอลเลียร์ มีรายละเอียดดงั น้ี 10.6.1 เสน้ ของเหลวอิ่มตัวและเส้นไออิ่มตวั เส้นของเหลวอิ่มตัวและเส้นไออิ่มตัว (saturated liquid (สีน้าเงิน) and saturated vapor (สีน้าแดง) lines) เปน็ เส้นแบง่ พืน้ ทข่ี องแผนภาพมอลเลียร์ออกเป็น 3 เขต คอื เขตของเหลวเย็นยิ่ง (subcooled region) คือพื้นที่บริเวณด้านซ้ายของเส้นของเหลวอิ่มตัว สารทาความเย็นที่อยู่ในพ้ืนที่นี้จะมีสภาวะเป็นของเหลวท่ีมีอุณหภูมิต่ากว่าจุดอ่ิมตัว เรียกว่า ของเหลวเย็นยิ่ง (subcooled liquid) 2-33
เขตไอร้อนยวดย่ิง (superheated region) คือพ้ืนท่ีบริเวณด้านขวาของเส้นไออิ่มตัว สารทา ความเย็นในพ้ืนท่ีนี้จะมีสภาวะเป็นไอท่ีมีอุณหภูมิสูงกว่าจุดอิ่มตัว เรียกว่า ไอร้อนยวดยิ่ง หรือไอดง(superheated vapor) เขตเปล่ียนสถานะ (phase change region) คือพ้ืนท่ีระหว่างเส้นของเหลวอิ่มตัว และเส้น ไออ่ิมตัวสารทาความเย็นในพ้ืนที่นี้จะมีสภาวะผสมระหว่างของเหลวและไอ (liquid-vapor mixture) หรือเป็นเขตเปลี่ยนสถานะ คือการเปลี่ยนแปลงจากด้านซ้ายไปขวาเป็นการเปล่ียน สถานะจากของเหลวเป็นไอตามกระบวนการกลายเป็นไอ (vaporization) และการเปล่ียนแปลง จากด้านขวาไปซ้ายเป็นการเปลี่ยนสถานะจากไอเป็นของเหล วตามกระบวนการควบแน่น (condensation)จุดทีเ่ ชอื่ มตอ่ ระหว่างเส้นของเหลวอ่ิมตัวและเส้นไออิ่มตัวคือจุดวิกฤต (critical point) ซ่ึงเป็นจุดท่ีสารทาความเย็นจะเปล่ียนสถานะจากของเหลวอิ่มตัวไปเป็นไอร้อนยวดย่ิง หรือจากไอร้อนยวดย่ิงไปเปน็ ของเหลวอิ่มตัวได้ทนั ที โดยไมต่ ้องผา่ นชว่ ง liquid-vapor mixture 10.6.2 เสน้ ความดนั คงท่แี ละเสน้ เอนทาลปคี งที่ เส้นความดันคงที่และเส้นเอนทาลปีคงที่ (constant pressure and constant enthalpy lines) เส้นความดันคงท่ีคือกลุ่มของเส้นตรงในแนวระดับ รายงานเป็นความดันสัมบูรณ์ (absolute pressure) มีหน่วยเป็น psia, kg/cm2 abs หรือ bar ส่วนเส้นเอนทาลปีคงที่คือกลุ่มของเส้นตรงในแนวด่ิง รายงานเป็น ค่าปริมาณความร้อนทีม่ ีอยู่ในสารทาความเยน็ ต่อ 1 หน่วยมวล มหี นว่ ยเป็น Btu/lb, kcal/kg หรือ kJ/kg 10.6.3 เสน้ คณุ ภาพไอคงที่ เส้นคุณภาพไอคงที่ (constant dryness lines – x) คือเส้นซึ่งลากจากจุดวิกฤตลงมาด้านล่างอยู่ ระหว่างเส้นของเหลวอิ่มตัวและเส้นไออ่ิมตัว เป็นเส้นท่ีบอกเปอร์เซ็นต์ของสารทาความเย็นส่วนที่เป็นไอ(โดย น้าหนัก) เชน่ เสน้ x = 0.1 หมายความวา่ มสี ารทาความเยน็ สว่ นที่เป็นไอคิดเป็นน้าหนัก 10% และส่วนที่เป็น ของเหลว 90% 10.6.4 เส้นอุณหภมู ิคงท่ี เส้นอณุ หภมู คิ งท่ี (constant temperature lines) คือเส้นที่อย่ใู นแนวเกอื บขนานกับเส้นเอนทาลปีเม่ือ อย่ใู นเขตของเหลวเย็นยงิ่ เป็นเสน้ ตรงขนานกับเส้นความดนั เมื่ออยใู่ นเขตเปลี่ยนสถานะและจะเปลี่ยนเป็นเส้น โคง้ ลงทางด้านล่างเม่ืออยูใ่ นเขตไอร้อนยวดย่ิง มหี นว่ ยเป็น °F 10.6.5 เส้นเอนโทรปคี งที่ เสน้ เอนโทรปีคงท่ี (constant entropy lines) คือเสน้ โคง้ ซึ่งเอียงขึ้นเป็นมุมสูง อยู่ในเขตไอร้อนยวดย่ิง เปน็ เสน้ บอกอัตราการเปล่ียนแปลงของค่าเอนทาลปีต่ออุณหภูมิที่เปล่ียนแปลง 1 องศา มีหน่วยเป็นBtu/lb R, kcal/kg K หรือ kJ/kg K 10.6.6 เสน้ ปรมิ าตรจาเพาะคงที่ เส้นปริมาตรจาเพาะคงท่ี (constant specific volume lines) คือเส้นโค้งที่เอียงขึ้นเป็นมุมใกล้กับ แนวนอน อยู่ในเขตไอร้อนยวดยิ่ง เป็นเส้นที่บอกค่าของปริมาตรของสารทาความเย็นต่อ 1 หน่วยของมวลมี หนว่ ยเป็น ft3/lb, m3/kg 2-34
10.6.7 แผนภูมมิ อลเลียร์กบั การทางานของการทาความเย็นแบบอดั ไอ วัฏจักรทาความเย็นแบบอัดไอ มีการทางานเบื้องต้นซึ่งประกอบด้วย 4 กระบวนการหลัก คือ กระบวนการอัด (compression process) โดยคอมเพรสเซอร์ กระบวนการควบแน่น (condensing process)โดยคอนเดนเซอร์ กระบวนการขยายตัว (expansion process) โดยลิ้นลดความดันหรืออุปกรณ์ ควบคุมอัตราการไหล และกระบวนการกลายเป็นไอ (vaporizing process) โดยเครื่องระเหยในการศึกษา วัฏจักรทาความเย็นแบบอัดไอวิธีหน่ึงคือ การแทนการทางานของกระบวนการต่างๆ ลงในแผนภาพมอลเลียร์ (mollier diagram) หรือแผนภาพความดัน-เอนทาลปี (pressure-enthalpy หรือ P-h diagram) รปู ท่ี 10-26 สถานะของสารทางานบนแผนภูมมิ อลเลยี ร์ 2-35
รูปที่ 10-27 ความหมายของเสน้ ตา่ งๆ บนแผนภูมมิ อลเลียร์ รปู ท่ี 10-28 วฏั จกั รการทาความเย็นแบบอดั ไอของสารทางานในระบบปรบั อากาศบนแผนภมู ิมอลเลยี ร์ 2-36
ตัวอยา่ ง การอา่ นคา่ สมบตั ติ ่างๆ ของสารทางานจากแผนภมู มิ อลเลียร์ โจทย์ เครื่องปรับอากาศชนิดแยกส่วนใช้ R-22 เป็นสารทางาน ถ้าให้สารทางานออกจากคอยล์ร้อนท่ีอุณหภูมิ 50 oC และมีอุณหภูมิก่อนเข้าคอยล์เย็นที่ 8 oC จงวาดวัฏจักรการทาความเย็นแบบอัดไอ พร้อมหาค่า เอนทาลปีสารทางาน ณ จดุ ต่างๆ ของระบบ (h1, h2, h4) และความดันสูงสดุ และตา่ สดุ ของระบบ วธิ ีทา จากแผนภูมมิ อลเลียร์ สรปุ ค่าทต่ี อ้ งการหาได้ดังน้ี สมบัติของ R-22 ณ จุดต่างๆ คา่ ทอี่ ่านได้จากแผนภูมิ หนว่ ย h1 408 kJ/kg h2 438 kJ/kg h4 264 kJ/kg ความดนั สงู สดุ ในระบบ (PC) 1.9 MPa ความดนั ตา่ สดุ ในระบบ (PE) 0.65 MPa รูปที่ 10-29 ตวั อย่างการอา่ นค่าตา่ งๆ บนแผนภูมิมอลเลยี ร์ 2-37
10.7 แผนภูมมิ อลเลยี รก์ บั พลงั งานในระบบปรับอากาศ สัมประสิทธ์สิ มรรถนะการทาความเยน็ ของเครอ่ื งปรบั อากาศ COP h1 h4 h2 h1 ........................................................................ (9) เมื่อ h1 คือ เอนทาลปีของสารทางานก่อนเข้าเคร่ืองอัดไอ หรือ เอนทาลปีของสารทางานหลังออก h2 คือ จากคอยลเ์ ย็น h4 คือ เอนทาลปีของสารทางานหลงั ออกจากเคร่ืองอัดไอ เอนทาลปีของสารทางานก่อนเข้าคอยลเ์ ยน็ กรณคี อยล์ร้อนสกปรก 1) คอยล์ร้อนที่สกปรกจะทาให้การระบายความร้อนของสารทางานไม่ดีเท่ากับคอยล์ร้อนท่ีสะอาด ส่งผลให้ความสามารถในการทาความเย็นของคอยล์เย็นลดลง (ค่า h4-h1 ลดลงเมื่อเทียบกับ คอยล์ร้อนท่ีสะอาด) ดังนั้นจึงทาให้ค่า COP ลดต่าลง หรือ พูดง่ายๆ ก็คือ ใส่พลังงานให้กับสาร ทางานเท่าเดิมแต่ทาความเยน็ ไดน้ อ้ ยลง 2) สาเหตุท่ีทาให้คอยล์ร้อนระบายความร้อนได้ไม่ดี นอกจากจะเกิดจากการไม่ล้างคอยล์ร้อนแล้ว ยังเกิดจากสาเหตุอื่นๆ อีก เช่น การระบายความร้อนถูกปิดกั้นทาให้การระบายความร้อนได้ไม่เต็มที่ เช่น เอาส่ิงของมาวาง ตดิ กับพัดลมระบายความร้อน หรอื นาผ้าขร้ี ิว้ มาตากทีค่ อยลร์ ้อน เป็นตน้ การติดตั้งคอยล์ร้อนที่ผิด เช่น ติดตั้งใกล้กาแพงเกินไป ติดต้ังในท่ีท่ีฝนสาดได้ง่ายทาให้เกิด การผุกรอ่ น ติดตง้ั ในบรเิ วณทีถ่ กู แสงแดดส่องถึงตลอดเวลา เป็นตน้ กรณีคอยลเ์ ยน็ สกปรก คอยล์เย็นสกปรก และ ความเร็วอากาศท่ีลดลงเนื่องจากฟิลเตอร์สกปรก จะทาให้การถ่ายเท ความร้อนระหว่างอากาศในห้องปรับอากาศ กับ สารทางานในคอยล์เย็นแย่ลง ซ่ึงจะทาให้ค่า h1-h4 น้อยลงกว่าปกติ และ h2-h1 เพิ่มขึ้นกว่าปกติ เป็นสาเหตุทาให้ค่า COP ลดต่าลง (เมื่อเทียบกับคอยล์เย็นตอนสะอาด) ดังนั้น จึงควรล้างและทาความสะอาดคอยล์เย็นและ ฟิลเตอร์ใหส้ ะอาดอยเู่ สมอ 2-38
เฉลย แบบประเมินผลการเรียน หน่วยท่ี 10 แผนภมู ิไซโครเมตริก คาส่งั จงทาเคร่ืองหมาย X ลงบนข้อท่ีถกู ตอ้ ง 1. แผนภมู ไิ ซโครเมตริก หรอื ไซโครเมตริกชารท์ ท่วั ไปใช้ชารท์ ท่ีความดนั เทา่ ไหร่ ก. 101.325 kPa ข. 110.325 kPa ค. 111.325 kPa ง. เท่ากับความดันเกจที่ตรวจวัดได้ 2. สภาวะใดตอ่ ไปน้ที ่ีเรยี กว่า “อากาศอม่ิ ตวั (Saturated Air)” ก. สภาวะท่อี ากาศไมม่ ีไอน้าเจอื ปนอยู่ ข. สภาวะทอี่ ากาศมีไอนา้ ปะปนอยู่ 50% ค. สภาวะท่อี ากาศมีไอน้าปะปน 75% ง. สภาวะที่อากาศไม่สามารถท่ีจะดูดซบั ไอนา้ ไว้ในตวั มันได้อกี แล้ว 3. ขอ้ ใดตอ่ ไปนีท้ ี่ ไม่สามารถหาได้จากแผนภมู ไิ ซโครเมตริก หรือไซโครเมตริกชาร์ท ก. อณุ หภมู กิ ระเปาะแหง้ ข. อุณหภูมิกระเปาะเปยี ก ค. ความหนาแน่น ง. ความชน้ื สัมพทั ธ์ 4. ข้อใดคือความหมายของ อัตราส่วนความช้ืน (Humidity Ratio) หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าค่าความชื้น จาเพาะ (Specific Humidity) ก. อัตราสว่ นระหว่างมวลของไอนา้ ในอากาศ กบั มวลของอากาศแห้ง ข. อตั ราส่วนระหว่างมวลของไอน้าในเคร่ืองทาความเยน็ กับมวลของอากาศส่ิงแวดล้อม ค. อตั ราส่วนระหวา่ งมวลของนา้ ในอากาศ กบั มวลของอากาศแหง้ ง. ไมม่ ขี ้อใดถูกต้อง 5. ขอ้ ใดต่อไปน้กี ลา่ วถกู ตอ้ งเก่ยี วกับ อณุ หภูมิกระเปาะแห้ง และอณุ หภูมกิ ระเปาะเปียก ก. อณุ หภูมิกระเปาะแหง้ คืออุณหภมู ทิ ่ีวดั ได้จากเครอื่ งวัดอณุ หภูมแิ บบดิจิตอลเท่าน้นั ข. อณุ หภูมิกระเปาะเปยี ก คืออุณหภมู ิที่วดั ไดจ้ ากนา้ บรสิ ุทธิท์ ัว่ ไป ค. อณุ หภมู ิกระเปาะแห้ง มบี รรยากาศรอบๆ เทอรโ์ มมิเตอร์ท่มี คี วามชน้ื สัมพทั ธ์เท่ากบั 100 % ง. อุณหภมู ิกระเปาะเปยี ก คืออุณหภมู ทิ ว่ี ดั ไดจ้ ากเคร่ืองวัดอณุ หภูมิ (เทอรโ์ มมเิ ตอร์) ทวั่ ๆ ไป และมี บรรยากาศรอบๆ เทอร์โมมเิ ตอร์มคี วามช้ืนสัมพัทธเ์ ท่ากบั 100 % 2-39
6. การหาคา่ อณุ หภมู จิ ุดนา้ คา้ ง (Dew-point temperature) สามารถหาไดด้ ว้ ยวิธใี ดต่อไปนี้ ก. ลากเส้นแนวตั้งจากจดุ ตดั ระหวา่ ง คา่ อุณหภมู ิกระเปาะแหง้ และความชืน้ สมั พัทธ์ ข. ลากเส้นแนวนอนจากจดุ ตัดระหว่าง ค่าอุณหภูมิกระเปาะแห้งและความชืน้ สัมพัทธ์ ค. ลากเส้นแนวต้งั จากจุดตดั ระหวา่ ง ค่าอุณหภูมิกระเปาะแห้งกับอุณหภูมิกระเปาะเปียกไปยงั เส้น อณุ หภมู ิอิ่มตัว ง. ถกู ทุกข้อ 7. ข้อใดคือความหมายของคาวา่ “ปรมิ าตรจาเพาะของอากาศ” ก. อัตราสว่ นของน้าหนักอากาศต่อน้าหนักอากาศแหง้ ข. อัตราส่วนของปริมาตรอากาศต่อมวลอากาศแหง้ ค. อตั ราส่วนของปริมาตรไอน้าตอ่ มวลอากาศแหง้ ง. อัตราสว่ นของความชน้ื ต่อมวลของไอนา้ ในอากาศ 8. จากการตรวจวัดเคร่ืองปรับอากาศแบบแยกส่วน ท่ีบริเวณทางเข้า Evaporator (Return air) วัด อุณหภูมิ (Tdb) ได้ 26 oC ความชื้นสัมพัทธ์ (RH) 60% บริเวณท่ีวัดมีความดันเท่ากับความดัน บรรยากาศ จากแผนภูมิไซโครเมตริกที่ให้จงหาสมบัติของอากาศท่ีจุด Return air ดังน้ี อุณหภูมิ กระเปาะเปยี ก อุณหภมู ิจุดนา้ ค้าง ปริมาตรจาเพาะของอากาศ และเอนทาลปี ก. Twb = 29.4 oC, Tdp = 18.7 oC, v = 0.763 m3/kg dry air และ h = 45.0 m3/kg dry air ข. Twb = 25.5 oC, Tdp = 19.8 oC, v = 0.664 m3/kg dry air และ h = 64.0 m3/kg dry air ค. Twb = 20.4 oC, Tdp = 17.7 oC, v = 0.864 m3/kg dry air และ h = 59.0 m3/kg dry air ง. Twb = 23.2 oC, Tdp = 20.7 oC, v = 0.784 m3/kg dry air และ h = 73.0 m3/kg dry air 9. การทาความสะอาดฟลิ เตอร์กรองอากาศ มผี ลต่อประสทิ ธภิ าพตอ่ ระบบทาความเย็นอย่างไร ก. ทาใหค้ ่าเอนทาลปีของอากาศกจ็ ะสูงข้นึ ข. ลดคา่ BTU/hr ค. ลดการถ่ายเทความรอ้ นระหว่างอากาศกับคอยล์เยน็ ง. ทาให้ประสิทธิภาพการทาความเย็นเพ่ิมสงู ขนึ้ 10. กระบวนการใดท่ี ไม่สามารถพจิ ารณาดว้ ยไซโครเมตริกชาร์ทได้ ก. กระบวนการเพม่ิ ความชื้น ข. กระบวนการเพิม่ และลดความร้อน ค. กระบวนการลดความชืน้ ง. กระบวนการเพิ่มปรมิ าณอากาศ 2-40
11. ค่าความสัมพันธ์ระหว่างแผนภูมิไซโครเมตริกกับพลังงาน ในข้อใดท่ีสามารถใช้ไซโครเมตริกชาร์ทเป็น เคร่อื งมอื ในการหาค่าได้ ก. สัมประสทิ ธ์ิสมรรถนะการทาความเย็น (COP) ข. ประสทิ ธิภาพพลังงานของระบบปรบั อากาศ (EER) ค. ประสทิ ธภิ าพของมอเตอร์ ง. ประสทิ ธิภาพของอวี าพอเรเตอร์ 12. BTU/hr ตรงกับความหมายในข้อใดมากทส่ี ุด ก. ปรมิ าณความเย็นทผี่ ลิตได้ หรือ ปริมาณมวลอากาศท่ีไหลผ่านคอยลเ์ ย็นภายใน 1 ชม. คณู กบั ผลต่าง ระหวา่ งเอนทาลปขี องอากาศก่อนเขา้ คอยล์เยน็ กบั เอนทาลปีของอากาศหลังออกจากคอยลเ์ ยน็ ข. ปริมาณความเยน็ ท่ผี ลติ ได้ หรือ ปริมาณมวลอากาศที่ไหลผ่านคอยลเ์ ยน็ ภายใน 1 ชม. คณู กบั ผลตา่ ง ระหวา่ งเอนทาลปีของอากาศออกจากคอยลเ์ ยน็ กบั เอนทาลปีของอากาศก่อนเข้าจากคอยลเ์ ย็น ค. ปริมาณความเยน็ ทผ่ี ลติ ได้ หรอื ปริมาณมวลอากาศท่ไี หลผ่านคอยลเ์ ยน็ ภายใน 2 ชม. คณู กบั ผลตา่ ง ระหว่างเอนทาลปีของอากาศกอ่ นเขา้ คอยลเ์ ย็นกบั เอนทาลปขี องอากาศหลังออกจากคอยล์เยน็ ง. ปริมาณความเยน็ ทีผ่ ลิตได้ หรอื ปริมาณมวลอากาศท่ไี หลผา่ นคอยลเ์ ยน็ ภายใน 2 ชม. คูณกับ ผลต่าง ระหว่างเอนทาลปขี องอากาศออกจากคอยล์เยน็ กับเอนทาลปขี องอากาศก่อนเข้าจากคอยล์เยน็ 13. ขอ้ ใดให้คานยิ ามของ แผนภมู ิมอลเลียร์ ได้อย่างถูกต้อง ก. แผนภาพมอลเลียร์ เป็นแผนภาพซงึ่ สามารถแสดงสภาวะตา่ งๆ ของสารทาความเย็นบางสภาวะ ทางเทอรโ์ มไดนามิกส์ และบางกระบวนการในวัฏจักรทาความเยน็ ข. แผนภาพมอลเลียร์ เป็นแผนภาพซ่ึงไม่สามารถแสดงสภาวะต่างๆ ของสารทาความเย็นได้ในทุก สภาวะทางเทอร์โมไดนามิกส์ และทุกกระบวนการในวัฏจักรทาความเย็น ค. แผนภาพมอลเลียร์ เปน็ แผนภาพซึ่งสามารถแสดงสภาวะตา่ งๆ ของสารทาความเย็นในทุกสภาวะ ทางเทอร์โมไดนามกิ ส์ และทุกกระบวนการในวฏั จกั รทาความเย็น ง. ผดิ ทกุ ข้อ 14. แผนภมู มิ อลเลยี ร์ มชี ื่อเรยี กว่าอะไร ข. แผนภาพความดัน-เอนทาลปี ก. แผนภาพอณุ หภูมิ-ความชน้ื สมั พัทธ์ ง. แผนภาพเอนทาลปี-ปริมาตรจาเพาะของอากาศ ค. แผนภาพเอนทาลปี-อณุ หภมู ิ 2-41
15. ข้อใดตอ่ ไปน้ีมคี วามหมายตรงกับ เสน้ ของเหลวอิม่ ตวั (Saturated liquid line) ก. สารทาความเย็นท่ีทางานท่ีอยู่บนเส้นน้ี อุณหภูมิและความดันของสารอยู่ที่จุดเดือด แต่สภาพยัง เป็นของเหลวทั้งหมด ข. สารทาความเย็นท่ีทางานท่ีอยู่บนเส้นนี้ อุณหภูมิและความดันของสารอยู่ท่ีจุดเยือกแข็ง แต่สภาพ ยงั เป็นของเหลวท้ังหมด ค. สารทาความเยน็ ทที่ างานท่ีอยู่บนเส้นน้ี อณุ หภมู แิ ละความดันของสารอยูท่ จี่ ุดหลอมเหลว แต่สภาพ ยงั เป็นของเหลวท้งั หมด ง. สารทาความเย็นทท่ี างานท่อี ยูบ่ นเสน้ นี้ อุณหภมู แิ ละความดนั ของสารอยูท่ ่จี ุดเดือด แต่สภาพเป็นไอ ทง้ั หมด 16. ข้อใดตอ่ ไปนเ้ี ป็นส่วนประกอบของเสน้ ในแผนภมู ิมอลเลียร์ ก. เส้นความดนั คงทีแ่ ละเสน้ เอนทาลปีคงท่ี ข. เส้นปรมิ าตรจาเพาะคงท่ี ค. เสน้ อุณหภูมิคงท่ี ง. ถกู ทกุ ข้อ 17. สมมตอิ ่านค่าจากเส้นคุณภาพไอคงที่ไดเ้ ทา่ กบั 0.1 (X = 0.1) มีความหมายตรงกบั ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ ก. มสี ารทาความเย็นส่วนท่เี ป็นไอคิดเป็นนา้ หนกั 10% และส่วนทเี่ ป็นของเหลว 90% ข. มีสารทาความเยน็ ส่วนที่เปน็ ไอคิดเปน็ นา้ หนกั 90% และสว่ นทเี่ ปน็ ของเหลว 10% ค. มสี ารทาความเยน็ ส่วนทเ่ี ป็นไอคดิ เป็นน้าหนัก 0.1 กรัมและสว่ นท่ีเป็นของเหลว 0.9 กรมั ง. มสี ารทาความเยน็ สว่ นทเ่ี ป็นไอคิดเปน็ นา้ หนกั 0.9 กรมั และส่วนที่เปน็ ของเหลว 0.1 กรมั 18. เครอื่ งปรบั อากาศชนิดแยกส่วนใช้ R-22 เป็นสารทางาน ถ้าให้สารทางานออกจากคอยล์ร้อนท่ีอุณหภูมิ 50 oC และมีอณุ หภูมิกอ่ นเขา้ คอยล์เย็นที่ 8 oC จงหาคา่ เอนทาลปสี ารทางาน ณ จุดต่างๆ ของระบบ ก. h1 = 438 kJ/kg, h2 = 408 kJ/kg, และ h4 = 264 kJ/kg ข. h1 = 408 kJ/kg, h2 = 438 kJ/kg, และ h4 = 264 kJ/kg ค. h1 = 408 kJ/kg, h2 = 264 kJ/kg, และ h4 = 438 kJ/kg ง. h1 = 264 kJ/kg, h2 = 438 kJ/kg, และ h4 = 408 kJ/kg 19. จากเงือ่ นไขในขอ้ ท่ี 18 ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ีคือ ความดันสงู สดุ และตา่ สุดของระบบ ก. ความดันสูงสุดในระบบ (PC) และ ความดันต่าสุดในระบบ (PE) เท่ากับ 1.9 และ 0.65 MPa ตามลาดบั ข. ความดันสูงสุดในระบบ (PC) และ ความดันต่าสุดในระบบ (PE) เท่ากับ 0.65 และ 1.9 MPa ตามลาดับ ค. ความดันสูงสุดในระบบ (PC) และ ความดันต่าสุดในระบบ (PE) เท่ากับ 9.1 และ 6.50 MPa ตามลาดบั ง. ข้อมูลไมเ่ พียงพอทจี่ ะสามารถหาคาตอบได้ 2-42
20. ขอ้ ใดต่อไปน้ีเป็นผลทีเ่ กิดจากการทาความสะอาดคอยล์รอ้ น ก. เครอ่ื งอดั ไอ (Compressor) ทางานหนกั ข้ึน ข. คา่ COP ลดต่าลง ค. เกิดการระบายความร้อนของสารทางานไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ง. เกดิ การถา่ ยเทความรอ้ นระหวา่ งอากาศในห้องปรับอากาศกบั สารทางานในคอยลเ์ ยน็ ไดแ้ ยล่ ง 2-43
โครงการขยายผลหลักสูตรการอนรุ กั ษพ์ ลังงานและพลังงานทดแทน สาํ หรับสํานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา รายวชิ าที่ 3 การควบคุมมอเตอรไ์ ฟฟ้า รหัสวิชา 2104-2009 หนว่ ยท่ี 5 การควบคมุ มอเตอรไ์ ฟฟ้ากระแสสลับ 3 เฟส
3-ก หลกั สตู รประกาศนยี บัตรวิชาชพี พทุ ธศักราช 2556 ประเภทวิชาอุตสาหกรรม สาขาวิชาชา่ งไฟฟ้ากาลงั ……………………………………………………………………………………………… จดุ ประสงค์ของหลักสูตร 1. เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะด้านภาษา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา สขุ ศกึ ษาและพลศึกษาในการพฒั นาตนเองและวชิ าชพี 2. เพ่ือให้มคี วามรู้และทักษะในหลักการบริหารและจัดการวิชาชีพ การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและ หลักการอาชีพทสี่ ัมพนั ธเ์ กี่ยวขอ้ งกับการพฒั นาวิชาชพี ช่างไฟฟาู กาลงั ให้ทันต่อการเปลยี่ นแปลง และความก้าวหนา้ ของเศรษฐกจิ สังคม และเทคโนโลยี 3. เพ่ือให้มีความรู้และทักษะในหลักการและกระบวนการงานพื้นฐานด้านอตุ สาหกรรม 4. เพื่อให้มีความรู้และทักษะในงานผลิตและงานบริการทางไฟฟูาตามหลักการและกระบวนการใน ลักษณะครบวงจรเชิงธุรกิจ โดยคานึงถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การอนุรักษ์พลังงานและ สิง่ แวดลอ้ ม 5. เพ่ือให้สามารถปฏิบัติงานช่างไฟฟูากาลังในสถานประกอบการและประกอบอาชีพอิสระ รวมท้ัง การใช้ความรแู้ ละทกั ษะพื้นฐานในการศึกษาต่อระดบั สงู ขึน้ 6. เพ่ือให้สามารถเลอื ก ประยกุ ต์ใชเ้ ทคโนโลยใี นงานอาชีพช่างไฟฟาู กาลัง 7. เพ่ือให้มีเจตคติและกิจนิสัยท่ีดีต่องานอาชีพ มีความริเริ่มสร้างสรรค์ ซ่ือสัตย์ ประหยัด อดทน มีวินัย มีความรับผิดชอบต่อสังคมและส่ิงแวดล้อม ต่อต้านความรุนแรงและสารเสพติด สามารถ พัฒนาตนเองและทางานรว่ มกบั ผ้อู ่ืน
3-ข แผนการจัดการเรียนรู้ รหสั วิชา 2104-2009 ชอื่ รายวชิ า การควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า ระดบั ช้นั ประกาศนยี บตั รวิชาชีพ สาขาวิชา ช่างไฟฟ้ากาลัง ทฤษฎรี วม 2 ชว่ั โมง ปฏบิ ัตริ วม 3 ช่ัวโมง 3 หนว่ ยกติ คาอธิบายรายวิชา ศึกษาและปฏิบัติเกี่ยวกับงานควบคุมมอเตอร์ไฟฟูา สัญลักษณ์ตามมาตรฐาน IEC DIN ANSI การเลือกขนาดของสาย อุปกรณ์ปูองกัน คอนแทกเตอร์ หลักการเริ่มเดินและควบคุมความเร็วมอเตอร์ ไฟฟูากระแสตรง มอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 1 เฟส และ 3 เฟส การต่อวงจรควบคุมการเร่ิมเดิน การควบคมุ ความเร็ว การควบคมุ แบบเรียงลาดับ การกลับทิศทางการหมุนด้วยวิธีต่างๆ และการลดกระแส ขณะเรม่ิ เดนิ จดุ ประสงคร์ ายวชิ า 1. เพือ่ ให้รเู้ ขา้ ใจสญั ลักษณ์ทใ่ี ช้ในงานควบคุมมาตรฐานต่างๆ 2. เพือ่ ให้เลอื กวัสดอุ ุปกรณ์ท่ีใช้ในการควบคุมมอเตอร์ไฟฟูา 3. เพอ่ื ให้มที ักษะเกี่ยวกับการควบคุมมอเตอร์ไฟฟาู กระแสสลบั 4. เพื่อให้มีเจตคติและนิสัยที่ดีในการปฏิบัติงาน มีความละเอียดรอบคอบ ปลอดภัย เป็นระเบียบ สะอาด ตรงต่อเวลา มคี วามซอ่ื สัตยแ์ ละมคี วามรบั ผดิ ชอบ สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรู้เกี่ยวกับสญั ลกั ษณ์โครงสรา้ งและหลักการทางานของการควบคุมมอเตอร์ไฟฟูา 2. เลอื กขนาดของสาย อุปกรณ์ปูองกนั คอนแทกเตอรใ์ นการควบคมุ มอเตอร์ไฟฟูา 3. ต่อวงจรควบคุมมอเตอร์ไฟฟาู กระแสสลับ 1 เฟส และ 3 เฟส
3-ค หน่วยการสอน รหสั วิชา 2104-2009 ชื่อวชิ าการควบคมุ เครอื่ งกลไฟฟูาจานวน 5 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ หนว่ ยที่ ช่ือหนว่ ยการสอน จานวนช่วั โมง - ปฐมนเิ ทศ 1 1 สัญลักษณ์และการควบคุมเคร่ืองกลไฟฟาู 5 2 ขนานสายไฟฟูาและอุปกรณ์ควบคุมเครื่องกลไฟฟาู 5 3 การควบคุมมอเตอร์ไฟฟูากระแสตรง 5 4 การควบคุมมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 1 เฟส 5 5 การควบคมุ มอเตอร์ไฟฟาู กระแสสลับ 3 เฟส 5 5 การควบคุมมอเตอร์ไฟฟาู กระแสสลบั 3 เฟส 5 5 การควบคุมมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลบั 3 เฟส 5 5 การควบคมุ มอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 3 เฟส 5 - ข้อสอบกลางภาค 5 5 การควบคุมมอเตอร์ไฟฟาู กระแสสลบั 3 เฟส 5 5 การควบคมุ มอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 3 เฟส 5 5 การควบคุมมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลบั 3 เฟส 5 5 การควบคมุ มอเตอร์ไฟฟูากระแสสลบั 3 เฟส 5 5 การควบคมุ มอเตอร์ไฟฟาู กระแสสลบั 3 เฟส 5 5 การควบคมุ มอเตอร์ไฟฟาู กระแสสลับ 3 เฟส 5 - สอบปลายภาค 5 รวม 80
3-ง โครงการเรียน/การสอน รหสั วชิ า 2104-2009 ชอ่ื วชิ า การควบคมุ เครอ่ื งกลไฟฟูา จานวน 5 ช่วั โมง/สัปดาห์ แผนการ สปั ดาห์ท่ี หน่วยที่ จัดการ หวั ข้อ จานวน นาที เรยี นรู้ที่ 1 - - ปฐมนิเทศ 60 1 1 1 1. สญั ลกั ษณ์และการควบคุมเคร่ืองกลไฟฟูา 240 1.1. เขียนสัญลักษณ์ที่ใช้สาหรับการควบคุม เครอ่ื งกลไฟฟูา ตามมาตรฐานตา่ งๆ 2 2 2 2. ขนานสายไฟฟูาและอปุ กรณ์ควบคมุ เครื่องกลไฟฟูา 300 2.1. ขนานสายไฟฟาู 2.2. อุปกรณ์ควบคุมเคร่ืองกลไฟฟูา 3 3 3 3. การควบคุมมอเตอร์ไฟฟาู กระแสตรง 300 3.1. การต่อวงจรการควบคุมมอเตอรไ์ ฟฟาู กระแสตรง 4 4 4 4. การควบคุมมอเตอร์ไฟฟาู กระแสสลับ 1 เฟส 300 4.1. การเร่ิมเดินมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 1 เฟส ดว้ ยแมกเนติกคอนแทคเตอร์ 5 4 5 4.2. การกลับทางหมุนของมอเตอร์ไฟฟูากระแส 300 สลับ 1 เฟส ดว้ ยแมกเนตกิ คอนแทคเตอร์ 6 5 6 5. การควบคุมมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 3 เฟส 300 5.1. การเริ่มเดินมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 3 เฟส ดว้ ยแมกเนตกิ คอนแทคเตอร์ 7 5 7 5.2. การเร่ิมเดินมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 3 เฟส 300 ดว้ ยแมกเนตกิ คอนแทคเตอร์ 8 5 8 5.3. การกลับทางหมุนมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 300 3 เฟส แบบโดยตรง ดว้ ยแมกเนตกิ คอนแทคเตอร์ 9 - - สอบกลางภาค 300 .
3-จ สัปดาห์ท่ี หน่วยที่ แผนการ หวั ข้อ จานวน 10 5 จัดการ นาที เรียนรู้ที่ 5.4. การกลับทางหมุนมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 300 10 3 เฟส แบบ กลับทางหมุนหลังจากหยุดมอเตอร์ (Reversing after stop) ด้วยแมกเนติกคอนแทค เตอร์ 11 5 11 5.5. การกลับทางหมุนมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 300 3 เฟส แบบ วงจรกลับทางหมุนแบบจ๊อกก้ิง (Reversing by Jogging ) ด้วยแมกเนติกคอนแทค เตอร์ 12 5 12 5.6. การต่อวงจรการกลับทางหมุนมอเตอร์ไฟฟูา 300 กระแสสลับ 3 เฟส ด้วยแมกเนติกคอนแทค เตอร์ ควบคมุ ดว้ ยซีเลก็ เตอร์ สวิทช์ 13 5 13 5.7. การต่อวงจรเริ่มเดินมอเตอร์ แบบทางาน 300 เรยี งลาดบั 14 5 14 5.8. การต่อวงจรเริ่มเดินมอเตอร์ แบบทางาน 300 เรียงลาดบั แบบอตั โนมัติ 15 5 15 5.9. การต่อวงจรเริ่มเดินมอเตอร์แบบสตาร์เดลต้า 300 ดว้ ยมอื ด้วยแมกเนติกคอนแทคเตอร์ 16 - - สอบปลายภาค 300
3-ฉ คณุ ลักษณะทต่ี ้องการบรู ณาการคณุ ธรรมจรยิ ธรรมและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ คุณธรรม/จริยธรรม พฤติกรรมบง่ ช้ี คะแนน ลาดบั ที่ และคุณลักษณะ อนั พงึ ประสงค์ 1 ความรบั ผดิ ชอบ 1.1.ปฏบิ ัตงิ านตามขัน้ ตอนทว่ี างไว้ - ต้ังใจปฏิบัติงานตามขั้นตอนได้อย่างถูกต้องปลอดภัย 2 ตลอดเวลา - ไม่ต้ังใจปฏิบัติงานตามข้ันตอนแต่เสร็จสมบูรณ์ ด้วย 1 ความปลอดภยั เป็นบางครงั้ - ไม่ ป ฏิ บั ติง า น ,ป ฏิ บัติ ง า น ไม่ ส า เ ส ร็จ ส ม บู ร ณ์ 0 ไม่ปลอดภัย 2 ความมีวนิ ยั 2.1.ตรงตอ่ เวลาในการเข้าชนั้ เรียนและเขา้ แถวหน้าเสาธง 2 - เข้าชั้นเรียนตรงตามเวลาที่ครูเช็คชือ่ 1 - เขา้ เรยี นช้าไมเ่ กนิ 30 นาที 0 - เขา้ ชน้ั เรียนเกนิ 30 นาที 2 2.2.มวี ินยั ในการทางานท่ีไดร้ ับมอบหมาย 1 - ทางานท่ีไดร้ ับมอบหมายส่งตรงเวลาที่กาหนด 0 - ทางานท่ีไดร้ ับมอบหมายส่งไม่ตรงเวลาทก่ี าหนด - ไมท่ างานสง่ ตามทไี่ ดร้ ับมอบหมาย 3 ความซือ่ สตั ย์ 4.1.ซอ่ื ตรงต่อเวลาสอบ 1 - ทาการสอบโดยสุจรติ 0 - ทาการสอบโดยพิสูจนไ์ ด้ว่ามีการทจุ ริตไม่วา่ จะ เลก็ นอ้ ยหรือมาก 1 - ซอื่ สัตย์ต่อผลงานไม่เอาผลงานของผู้อนื่ มาแอบอา้ ง 0 - ไม่เคยเอาผลงานของผอู้ น่ื มาแอบอ้าง - เอาผลงานของผู้อนื่ มาแอบอา้ งไม่วา่ เลก็ นอ้ ยหรือมาก 4 มีมนษุ ยส์ ัมพันธ์ 4.1 แสดงกรยิ าท่าทางพดู จาสุภาพตอ่ ผู้อื่น 2 - แสดงกรยิ าท่าทางพูดจาสุภาพตอ่ ผู้อื่นตลอดเวลา 1 - แสดงกรยิ าท่าทางพดู จาไมส่ ภุ าพต่อผอู้ นื่ เปน็ บางคร้ัง 0 - แสดงกริยาท่าทางพูดจาไม่สภุ าพต่อผู้อ่ืนเปน็ ประจา
3-ช คุณธรรม/จริยธรรม ลาดบั ที่ และคณุ ลักษณะ พฤติกรรมบง่ ชี้ อันพงึ ประสงค์ คะแนน 4 มีมนุษยส์ ัมพนั ธ์ 4.2.ให้ความรว่ มมอื และชว่ ยเหลอื ผอู้ นื่ - ให้ความร่วมมือและช่วยเหลือผู้อื่นในการทางาน 2 ตลอดเวลา - ไม่ให้ความรว่ มมอื และไมช่ ่วยเหลือผู้อ่ืนในการ ทางาน 1 เป็นบางครั้ง - ไม่ให้ความร่วมมือและไม่ช่วยเหลือผู้อ่ืนในการ 0 ทางานเลย 4.3. รั บ ฟั ง ค ว า ม คิ ด เ ห็ น แ ล ะ ช่ื น ช ม ยิ น ดี ใ น ค ว า ม ส า เ ร็ จ ของผู้อ่นื - รั บ ฟั ง ค ว า ม คิ ด เ ห็ น แ ล ะ แ ส ด ง ชื่ น ช ม ยิ น ดี ใ น 2 ความ สาเรจ็ ของผอู้ น่ื ด้วยความจรงิ ใจตลอดเวลา - ไม่รับฟังความคิดเห็นและแสดงช่ืนชมยินดีใน 1 ความสาเรจ็ ของผอู้ นื่ เป็นบางครง้ั - ไม่รับฟังความคิดเห็นและแสดงช่ืนชมยินดีใน 0 ความสาเรจ็ ของผอู้ ่นื เลย 5 ความเชื่อมน่ั ใน 5.1.กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างมเี หตผุ ล 2 ตนเอง - กล้าแสดงความคดิ เห็นในสงิ่ ที่ถูกตอ้ ง 1 - แสดงความคดิ เหน็ เป็นบางคร้ัง 0 - ไม่แสดงความคดิ เห็น 6 ความสนใจใฝรุ ู้ 6.1.กระตือรอื ร้นคน้ หา แสวงหาความรใู้ หม่ๆ ดว้ ยตัวเอง - ขยันค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองและเม่ือได้รับ มอบหมาย 2 - ไม่ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเองบ้างและเม่ือได้รับ 1 มอบหมายบา้ งเปน็ บางคร้งั 0 - ไมค่ ้นคว้าหาความรู้และเมือ่ ไดร้ บั มอบหมาย 7 ความรกั สามัคคี 7.1.ร่วมมอื ในการทางาน - ให้ความร่วมมือกบั เพื่อนในการปฏิบตั งิ านตลอดเวลา 2 - ไม่ใหค้ วามร่วมมือกบั เพ่อื นในการปฏิบตั งิ านบางเวลา 1 - ไมร่ ่วมมอื กบั เพอ่ื นในการปฏบิ ัตงิ าน 0
3-ซ คุณธรรม/จริยธรรม พฤติกรรมบง่ ช้ี ลาดับท่ี และคณุ ลักษณะ อันพึงประสงค์ คะแนน 8 ความกตญั ญูกตเวที 8.1.อาสาชว่ ยเหลืองานครู-อาจารย์ - ช่วยเหลืองานครู-อาจารย์ทุกครั้งที่ขอความร่วมมือ 2 และไม่ขอความรว่ มมอื - ไม่ช่วยเหลืองานครู-อาจารย์เป็นบางคร้ังท่ีขอความ 1 ร่วมมือและไมข่ อความร่วมมือ - ไมช่ ่วยเหลืองานครู-อาจารยเ์ ลย 0 9 ความคิดริเริ่ม 9.1.มคี วามคิดหลากหลายในการแกป้ ัญหา 1 สรา้ งสรรค์ - มคี วามคิดรเิ ริ่มสรา้ งสรรคใ์ นการปฏิบัติงานและ แก้ไข 0 ปญั หา - ไม่มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ในการปฏิบัติงาน และ แกไ้ ขปัญหา 10 ความอดกล้ัน 10.1. มีสติและสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี 1 - ในเวลาปฏิบัติงานสามารควบคุมอารมณ์ได้เม่ือมีเพ่ือน 0 มาหยอกล้อ - ในเวลาปฏิบัติงานไม่สามารควบคุมอารมณ์ได้เม่ือมี เพือ่ นมาหยอกล้อ 11 มารยาทไทย 11.1. กิรยิ ามารยาท 2 - มสี มั มาคารวะต่อครู-อาจารย์เปน็ ประจา 1 - ไม่มีสมั มาคารวะตอ่ ครู-อาจารยเ์ ป็นบางครัง้ 0 - ไม่มีสมั มาคารวะต่อครู-อาจารย์เลย
3-ฌ คะแนน 20 เกณฑ์การประเมินผล วิชา การควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า รหสั วิชา 2104-2009 30 รายการ 30 1. คณุ ลกั ษณะทตี่ ้องการบูรณาการคุณธรรม จรยิ ธรรมและคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ 20 2. ทดสอบ 100 2.1 สอบปลายภาค 3. ภาระงาน 3.1 แบบฝกึ หดั 3.2 รายงาน รวม
3-ญ ขั้นตอนกจิ กรรมการเรยี นการสอน วชิ าการควบคมุ มอเตอร์ไฟฟ้า รหสั วชิ า 2104-2009 ข้ันตอนกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาการควบคุมมอเตอร์ไฟฟูารหัสวิชา 2104-2009 ผู้จัดทาได้ ดาเนนิ การจดั การเรยี นการสอน โดยมขี ้นั ตอนและรายละเอียดดังน้ี เวลาในการสอน 2 ช่วั โมงตอ่ สปั ดาห์ มขี ัน้ ตอนกจิ กรรมดงั นี้ 1. ขน้ั เตรยี ม 2. ข้นั ประเมนิ ผลก่อนเรยี น 3. ข้ันนาเข้าส่บู ทเรียน 4. ขน้ั สอน 5. ข้ันสรปุ 6. ขั้นประเมินผลหลงั เรยี น รายละเอียดของกิจกรรมการเรียนการสอนของวิชาการควบคุมมอเตอร์ไฟฟูา รหัสวิชา 2104-2009 อธบิ ายไดด้ ังน้ี 1. ข้ันเตรียม เป็นขนั้ เตรยี มความพร้อมของนักเรียนก่อนเร่ิมเรียนประกอบด้วยกิจกรรมการเช็ค ชอื่ นกั เรยี น และการจัดเตรียมอปุ กรณ์ในการเรียนการสอน 2. ขั้นประเมินผลก่อนเรียน ทดสอบก่อนเรียน เป็นขั้นที่ทาการวัดพื้นความรู้เดิม ของนักเรียน ก่อนท่ีดาเนินการเรียนการสอนในแต่ละหน่วยเพื่อที่จะใช้เป็นข้อมูลในการจัดการเรียนการ สอน 3. ข้ันนาเข้าสู่บทเรียน เป็นขั้นการสร้างความสนใจ โดยเร้าความสนใจให้ผู้เรียนอยากรู้ อยาก เห็น อยากคิด อยากทา โดยการเช่ือมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่เข้าด้วยกัน ซึ่งในข้ันตอนน้ี ครูจะใช้คาถามประกอบกับส่ือการสอน ในการนาเข้าสู่บทเรียน พร้อมท้ังบอกสมรรถนะใน การเรยี นการสอนของแผนการเรียนนั้น 4. ข้ันสอน เป็นขั้นท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์การเรียนรู้ ซ่ึงประกอบไปด้วยขั้นตอน ดังน้ี 4.1. สอนเน้ือหา ในขั้นตอนน้ีครูจะดาเนินการสอนเนื้อหาตามหัวข้อที่กาหนดไว้ โดยมีสื่อ การสอนชนิดต่างๆ เพ่ือให้นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจในเน้ือหาอย่างถูกต้องและ รวดเรว็ 4.2. ทาแบบฝึกหัด เป็นข้ันที่ให้นักเรียนได้ทาแบบฝึกหัดตามหัวข้อที่ระบุไว้ โดยแบ่งเป็น กลุ่มๆ ละ 3 – 4 คน ท้ังน้ีเพื่อให้นักเรียนช่วยเหลือซ่ึงกันและกัน อันจะทาให้เกิด ความรู้ ความเข้าใจ ตามสมรรถนะทีพ่ ึงประสงค์ 4.3. เฉลยแบบฝึกหัดเป็นข้ันท่ีครูมอบหมายให้นักเรียน แต่ละกลุ่มเฉลยคาตอบ ในกรณีที่ เฉลยไม่ถกู ต้อง ครอู ธิบายเพิม่ เติม
3-ฎ 4.4. ปฏบิ ัติการทดลองตามใบงานทก่ี าหนด ในขัน้ ตอนนี้ครูจะให้นักเรียนลงมือปฏิบัติตาม ใบงานที่กาหนดไว้ในแต่ละหน่วยการสอน จะเป็นผลให้นักเรียนมีความรู้และทักษะใน การปฏิบัติงานซงึ่ สอดคล้องกับสมรรถนะในแตล่ ะหน่วยการสอน 4.5. ประเมินผลการปฏบิ ัตกิ ารทดลอง เปน็ การวัดผลการปฏิบัติการทดลองตามเกณฑ์ท่ีได้ กาหนดไว้ โดยใหค้ รเู ปน็ ผู้ประเมิน 5. ขั้นสรุป เป็นข้ันสุดท้ายของกิจกรรมการเรียนการสอน ข้ันนี้เป็นข้ันทบทวนเร่ืองที่เรียนตาม เน้ือหาหรือทักษะปฏิบัติการทดลองท่ีกาหนด เป็นการย้าและสรุปแก่นความรู้หรือการนา ความร้ไู ปใช้ การสรปุ ท่ีดีควรเปน็ การสรุปโดยผู้เรยี น ถ้าเป็นไปได้ควรให้ผู้เรียนทั้งกลุ่มร่วมกัน สรุป 6. ขนั้ ประเมนิ ผลหลงั เรยี น 6.1. ทดสอบหลังเรียน เป็นขั้นทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามสมรรถนะที่ กาหนดไว้ รวมทั้งยังเป็นการตรวจปรับให้กับนักเรียน กรณีที่นักเรียนยังไม่เข้าใจใน เน้ือหาบางเร่ือง นอกจากนี้ยังใช้เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนอีก ด้วย 6.2. ประเมินตนเองและเพื่อนร่วมงาน เร่ืองกิจนิสัยในการปฏิบัติงาน และคุณลักษณะท่ี ต้องการบูรณาการคุณธรรม จริยธรรม เป็นการวัดผลเร่ืองกิจนิสัยในการปฏิบัติงาน และคุณลักษณะท่ีต้องการบูรณาการคุณธรรม จริยธรรม เกณฑ์ท่ีต้องการไม่ควรต่า กว่า 70 % การนาแผนการจดั การเรียนรไู้ ปใช้ เพื่อให้การนาแผนการจัดการเรียนรู้วชิ าการควบคุมมอเตอร์ไฟฟ้า รหัสวิชา 2104-2009 ไปใช้ ให้เกิดประสทิ ธิภาพสูงสดุ น้นั กอ่ นการนาแผนการจดั การเรียนรนู้ ีไ้ ปใชค้ รูผสู้ อนควรดาเนินการดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ครผู ูส้ อนควรศกึ ษาและทาความเข้าใจเก่ยี วกบั แผนการจดั การเรยี นร้ใู หล้ ะเอยี ด 2. จดั เตรยี มส่ือ วัสดุ อปุ กรณท์ จ่ี ะใช้ในการเรียนการสอนให้ครบถว้ น 3. ดาเนนิ การสอนตามขน้ั ตอนกิจกรรมการเรยี นการสอน
ใบสาระการเรยี น หนว่ ยท่ี 5 ช่อื วชิ า การควบคุมมอเตอร์ไฟฟาู เวลาเรยี น ชือ่ หนว่ ย การควบคุมมอเตอร์ไฟฟาู 6 ชว่ั โมง กระแสสลับ 3 เฟส ช่อื เร่อื งหรือช่อื งาน การต่อวงจรควบคมุ มอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 3 เฟส ดว้ ยแมกเนติกคอนแทคเตอร์ สาระสาคญั การควบคุมมอเตอร์ไฟฟูา 3 เฟส ท่ีจะกล่าวถึงต่อไปน้ีหมายถึงการควบคุมมอเตอร์แบบเหนี่ยวนา โรเตอร์กรงกระรอก เน่ืองจากเป็นมอเตอร์ที่คงทน ดูแลรักษาง่าย ดังน้ันในบทน้ีจะกล่าวถึงการเขียนแบบวงจร ควบคุมมอเตอรด์ ว้ ยคอนแทคเตอร์ การเริ่มเดิน การหยุดและการกลับทางหมุน มอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 3 เฟส โดยใช้อุปกรณ์ชนดิ ต่างๆ เรอ่ื งทจ่ี ะศกึ ษา 1 การควบคุมมอเตอร์ไฟฟาู กระแสสลับ 3 เฟส 1.1 การเร่ิมเดินมอเตอร์ไฟฟาู กระแสสลับ 3 เฟส ด้วยแมกเนติกคอนแทคเตอร์ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 1 รู้การควบคุมมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลบั 3 เฟส 1.1 อธบิ ายวิธกี ารเรมิ่ เดินมอเตอรไ์ ฟฟูาดว้ ยอุปกรณค์ วบคุมแบบต่างๆได้ 1.2. เขียนวงจรควบคมุ มอเตอร์ไฟฟูากระแสสลบั ได้ 1.3. อธิบายวธิ ีการเริม่ เดินมอเตอรแ์ บบลดแรงดนั ไฟฟูาได้ 1.4. แกไ้ ขวงจรควบคุมมอเตอรไ์ ฟฟูากระแสสลับได้
กจิ กรรมการเรยี นการสอน ขัน้ ตอนการสอนหรือกิจกรรมของครู ข้นั ตอนการเรียนหรอื กิจกรรมของนักเรยี น ข้นั เตรียม ขั้นเตรยี ม 1. เช็คชอ่ื นักเรียน 1. เรยี กช่อื ตามเลขท่ี 2. เตรยี มเครอ่ื งฉาย Power Point 2. ช่วยครูเตรยี มเครือ่ งฉาย Power Point ข้นั ประเมินผลก่อนเรยี น ขัน้ ประเมนิ ผลกอ่ นเรยี น ถามพ้ืนความรู้เกี่ยวกับ การเร่ิมเดินมอเตอร์ ตอบคาถามด้วยความตั้งใจและสุจริตใจ โดยใช้ ไฟฟาู กระแสสลบั 3เฟสด้วยแมกเนตกิ คอนแทคเตอร์ ความรูพ้ น้ื ฐานที่มอี ยู่ ข้นั นาเขา้ สู่บทเรียน 1. ถามคาถามที่เก่ียวข้องกับเน้ือหาเพ่ือสร้างความ ขน้ั นาเขา้ สู่บทเรยี น สนใจ 1. ฟัง ตอบคาถามและซักถามขอ้ สงสยั 2. บอกสมรรถนะท่ีพึงประสงค์ในเร่ือง การเร่ิมเดิน 2. ฟงั และซกั ถามข้อสงสัย มอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 3 เฟส ด้วยแมกเนติก คอนแทคเตอร์ ขัน้ สอน 1. สอนเน้ือหาตามหัวข้อของแผนการจัดการเรียนรู้ ขั้นสอน โดยใช้วิธีถาม-ตอบกับนักเรียนโดยใช้ความรู้เดิม 1. จดบนั ทึก ตอบคาถาม ซักถามข้อสงสัยตรงตามเนื้อหา ของนักเรียนมาต่อยอดเป็นความรู้ใหม่พร้อมใช้ ดว้ ยวาจาท่สี ุภาพเรยี บร้อย สื่อ Power Point และตัวอย่างของจริง 2. ตัวแทนนักเรียนรับเอกสารประกอบการสอน การเร่ิม ประกอบการสอน เดินมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 3 เฟส ด้วยแมกเนติก 2. มอบหมายให้ทาใบงาน คอนแทคเตอร์ ไปทาใบงาน โดยครูคอยสังเกตและให้ 3. อธิบายพร้อมเทคนิคในการต่อวงจรการควบคุม คาแนะนาเพมิ่ เตมิ มอเตอร์ไฟฟูา และตอบข้อซักถามเก่ียวกับงานที่ 3. จดบันทึก ตอบคาถาม ซักถามข้อสงสัยด้วยวาจาท่ี จะปฏบิ ตั ิ โดยใช้ Power Point สภุ าพเรียบร้อย 4. ควบคมุ ดแู ลและให้คาแนะนาขณะทาใบงาน 4. ศกึ ษาใบงาน ซักถามขอ้ สงสยั ดว้ ยความต้ังใจ 5. ตรวจเช็ควัสดุ-อุปกรณ์และเครื่องมือในการต่อ 5. จดบนั ทึก ตอบคาถาม ซักถามข้อสงสัยตรงตามเน้ือหา วงจรการควบคมุ เคร่อื งกลไฟฟาู ดว้ ยวาจาทีส่ ุภาพเรยี บร้อย 6. ตรวจวสั ดุ-อุปกรณ์และเครื่องมือในการทาใบงาน 7. ปฏิบัตกิ ารทาใบงาน 8. ร่วมกันทาความสะอาดพนื้ ทีป่ ฏิบัตงิ าน 3-2
กิจกรรมการเรียนการสอน ขัน้ ตอนการสอนหรอื กจิ กรรมของครู ขนั้ ตอนการเรยี นหรอื กจิ กรรมของนักเรยี น ข้ันสรุป อภิปรายและรว่ มสรปุ เร่ืองทเ่ี รียนรว่ มกัน นาอภิปรายสรุปสาระสาคัญเร่ือง การเร่ิมเดิน 1. ทาแบบทดสอบหลังเรียน ด้วยความมนั่ ใจและสจุ ริตใจ มอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 3 เฟส ด้วยแมกเนติก 2. ตรวจสอบความถูกต้อง ซกั ถามข้อสงสัย คอนแทคเตอร์ ขัน้ ประเมินผลหลังเรียน 1. มอบหมายให้ทาใบงานหลงั เรยี น 2. สรุปผลการประเมินผลรวม การเร่ิมเดินมอเตอร์ ไฟฟูากระแสสลับ 3 เฟส ด้วยแมกเนติกคอน แทคเตอร์ เกี่ยวกับกิจนิสัยในการปฏิบัติงาน และคุณลักษณะที่ต้องการบูรณาการคุณธรรม จริยธรรม ใบงาน และใบทดสอบ 3-3
งานทมี่ อบหมายหรอื กิจกรรม กอ่ นเรยี น 1. เช็คช่ือนักเรียน 2. เตรยี มเครอื่ งฉาย Power point ขณะเรียน 1. ทาแบบฝกึ หัด 2. เฉลยแบบฝึกหดั 3. ปฏบิ ัตกิ ารทดลอง 4. ประเมินผลการปฏิบตั ิงาน 5. ครูและนกั เรียนร่วมกันสรปุ สาระสาคัญเร่ือง การเริ่มเดินมอเตอร์ไฟฟูากระแสสลับ 3 เฟส ด้วยแมกเนติก คอนแทคเตอร์ หลงั เรียน 1. ประเมนิ ผลการปฏิบตั ิงาน และคณุ ลักษณะท่ีตอ้ งการบรู ณาการคณุ ธรรม จริยธรรม สือ่ การเรยี นการสอน 1. สอ่ื การเรียนการสอน E-learning ส่ือสิง่ พิมพ์ 1. เอกสารประกอบการสอนการเริ่มเดินมอเตอร์ไฟฟาู กระแสสลับ 3 เฟส ด้วยแมกเนตกิ คอนแทคเตอร์ ส่อื โสตทศั น์ 1. Power point หุ่นจาลองหรือของจรงิ 1. แผ่นปาู ยตัวอยา่ ง 2. รปู ลักษณะของสัญลกั ษณแ์ ละอปุ กรณ์ควบคมุ เคร่ืองกลไฟฟาู เชน่ แมกเนติกคอนแทคเตอร์ สวทิ ช์ปุมกด โอเวอรโ์ หลด เปน็ ต้น 3-4
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352