การพัฒนาตนเปรียบเหมือนหนาตาง 4 บาน เรียกวา “หนา ตางหวั ใจ” 1.สวนทีเ่ ปดเผย พฤติกรรมภายนอกแสดงออก 2.สวนท่เี ปน จุดบอด ตนเองแสดงออกไมร ตู วั 3.สว นซอนเรน เปน ความลับสว นตัว ซอ นไวในใจ 4.สว นลึกลับ บุคคลแสดงออกโดยไมร ตู วั ความหมายของหนา ตา งท้งั 4 บาน สวนท่ี 1 บรเิ วณเปด เผย (Open Area) อตั ตาในสวนน้ีเปนสวนที่เปดเผย ตนเองตระหนักในความเปนตนเองอยางดี และบุคคลอ่ืนก็เห็นดวย และรูจักเราตรงตามท่ีเราเปนอยูวาเราเปนบคุ คลลกั ษณะไหน (public self ) และตรงกับทเ่ี รารูจกั ตนเองดว ย ท้ังดานความคิด ความรูสึก หรือการกระทาํ เชน เรารจู ักตนเองดีวาเราเปน คนใจรอ น โกรธงาย และคนอน่ื ๆ ใกลชิดเราก็รูจักเราตรงตามความเปนจรงิ ที่วา เราเปน คนใจรอ น และโกรธงาย เปน ตน สวนที่ 2 บริเวณจุดบอด (Blind Area) เปนอัตตาในสวนท่ีผูอื่นมองนั้นเห็นอยูวา เราเปนคนอยางไร แตเราเองไมรูหรือไมไดตระหนักวาเราเปนดังเชนที่ผูอื่นมอง ทั้งทางดานความคิด ดานความรูสกึ หรือในดานของการกระทํา บริเวณน้ีจึงเปนจุดบอด (semi public area) เชน เราเปนคนอคติเห็นแกตัว และเอาเปรียบผูอ่ืน แตเราไมเคยตระหนักในธรรมชาติสวนนี้ หากแตผูอื่นไดมองเห็นในส่ิงเหลาน้ีอยางชัดเจน เปนตน ความตระหนักในตนเองในสวนน้ีจะเกิดขึ้นไดตอเม่ือบุคคลไดร บั ทราบจากการบอกกลา วของบุคคลอื่นโดยทเ่ี จาตัวจะตอ งรับฟง พิจารณา และยอมรบั สวนที่ 3 บริเวณความลับ (Hidden Area) ธรรมชาติของความเปนตนเอง บางสวนของเรา เราซ่ึงเปนเจาของตระหนักเปนอยางดี หากแตบุคคลอ่ืนไมรู ไมเคยรับทราบ และเราเองก็พยายามปกปดสิ่งนั้นไมใหผูอื่นรู เพราะความคิด ความรูสึก หรือพฤติกรรมบางอยางไมเปนที่ยอมรบั ในสังคม เจา ตวั จงึ ตอ งปดไวเปน ความลับ (private self) เชน เจาตัวตระหนักดีวาเราเปนคนชอบอิจฉาริษยา แตก็เราพยายามปกปดความรูสึกเชนนั้นไวอยางมิดชิด ไมใหผูอื่นรู เพราะความรสู ึกดังกลาวเปนสิ่งท่ีสงั คมไมไดนิยมยกยอง เปนตน บุคคลท่ีมีอัตตาในสวนน้ีมากจะเปนคนที่เขาใจยากและลับลมคมใน มีสิ่งซอนเรนปกปด การสรางสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นๆก็เกิดขึ้นไดยาก อัตตาในสว นนจ้ี ะเปน ท่เี ปด เผยตอ ผูอนื่ ก็ตอเม่ือเจา ตัวบอกใหผ ูอน่ื ทราบ สวนท่ี 4 บริเวณอวิชา (Unknown Area) เปนอัตตาที่อยูในสวนลึกของบุคคล (innerself) เปนสว นประกอบของธรรมชาตสิ วนทเี่ ปน พื้นฐานเดิมซง่ึ ยังซอนเรนอยูในสวนลึก ซ่ึงเจาตัวเองก็ไมร ู และบคุ คลอืน่ ก็ไมรู อาจจะปรากฏออกมาใหเห็นไดโดยทีเ่ จา ตวั ไมไดต ระหนัก เชน พฤติกรรม 89
การพฒั นาตนหรือสัญชาตญาณดั้งเดิมท่ีบุคคลมีอยูในระดับจิตใตสํานึก เปนตน อัตตาในสวนนี้จะเปนท่ีเปดเผยไดอาจตองใชวิธีการทางจิตวิทยาในการวิเคราะหเพื่อดึงข้ึนมาสูระดับจิตสํานึก ความตระหนักในตนเองของมนุษยแตละคนนั้นมีไมเทากัน คนท่ีมีความตระหนักในตนเองนอย คือบุคคลท่ีไมรูจักตนเอง บริเวณเปดเผยในสวนที่ 1 จะแคบ บริเวณอ่ืน ๆ จะกวาง ในทางตรงกันขามกันบุคคลท่ีมีความตระหนักในตนเองเปนอยางดี บริเวณเปดเผยในสวนที่ 1 จะกวาง แตบริเวณอ่ืน ๆ จะแคบน่ันคือบุคคลนั้นเปนผูรูจักตนเองดี ไมมีอะไรท่ีตนเองไมรูเก่ียวกับธรรมชาติของตนและไมมีอะไรที่ตนจะตอ งปด บงั ซอนเรนไวเ ปนความลับ เปนตน(สิริรตั , 2553) เมอ่ื บุคคลใดก็ตามไดต ระหนักรบั รูภาพพจนต นเองจากทฤษฎีตนเองจากหนาตาง โจฮารีแลว จะทําใหบุคคลนั้นไดรับความรูเพื่อมาวิเคราะหและปรับปรุงตนเองไดอยางถูกตอง เพื่อใหมีพ้ืนท่ีของหนาตางชองท่ี 1ไดมากที่สุด (เปนชองที่เปดเผยบุคลิกภาพใหคนอื่นทราบ) นอกจากนี้แลวยังทําใหบุคคลไดเขาใจและวิเคราะหพฤติกรรมของบุคคลอื่นได เมื่อบุคคลเขาใจตนเองและเขา ใจบุคคลอืน่ แลวยอ มทําใหเกิดการสามารถประสานสัมพันธ หรือการเกิดมนุษยสัมพันธอันดีใหเกิดข้ึนได โดยมีการยอมรับขอดีและขอเสียของกันและกันและยังทําใหละเลยขอบกพรองของคนอ่ืนซึ่งจะทําใหสามารถคบหาสมาคมหรือรวมงานกับบุคคลอ่ืนไดเปนอยางดีและเกิดประสิทธิภาพในการดําเนนิ ชีวิตทีด่ ีและมคี วามสขุ (ภทั รวิทย ธรี ภคั สิริ,2557)ตอนท่ี 3.5 การสรา งความเขา ใจตนเอง เค ยัง (K. Young, 1940) กลาววา ตนคือ จิตสํานึก (consciousness) ตอการกระทําและตอ ความคดิ ของตนเองและการมีความสัมพันธกับบุคคลอ่ืน จิตสํานึกน้ันหมายความวา ตราบใดท่ีบุคคลยังสํานึกรูอยูวามีตัวตนอยู ตราบนั้นตัวตนก็ยังจะยังอยู ตัวตนไมไดมีโครงสรางหรือองคประกอบเดียว มีอยูหลายองคประกอบดวยกันซึ่งจะทําหนาท่ีสัมพันธกัน ทําใหตัวตนดํารงอยูได ตัวตนจะมกี ารพัฒนาตามสภาพขิงพื้นฐานครอบครวั สงั คม และองคประกอบทางสง่ิ แวดลอมวิลเลียม เจมส (James, 1890) กลาววา ตัวตนคือ ผลรวมของสวนยอยตาง ๆ ทุกสวนที่ประกอบกนั ขึ้นในตัวบุคคล หมายถึง คุณลักษณะหรือบุคลิกภาพทางดานรูปรางหนาตา กิริยาทาทาง นิสัยใจคอ สติปญ ญา และความสามารถท่มี อี ยูใ นตัวบุคคลนนั้90
การพฒั นาตนภาพที่ 3.14 ทางพุทธศาสนากลาวถึงตวั ตนวาตวั ตนก็คอื การประกอบเขาดวยกันของกลุม (ขนั ธ) 5กลมุ (กอง) ที่เมื่อประกอบกันเขาแลวกลายเปนสง่ิ มีชีวิต เปน สตั ว เปนบุคคล เปนตัวตน เปน เราเปน เขาทมี่ า : www.novabizz.com/NovaAce/Self.htm#ixzz3nht2bnAj และ7www.tnews.co.th/html/content/134923 คําวา “ตัวตน” มีความหมายตรงกับคําวา อัตตา หรือในศาสนาฮินดูเรียกวา อาตมัน ในภาษาอังกฤษคําน้ีตรงกับคําวา “self” หรือ “ego” ในทางพุทธศาสนาก็กลาวถึงตัวตนวา ตัวตนก็คือการประกอบเขาดวยกันของกลุม (ขันธ) 5 กลุม (กอง) ที่เม่ือประกอบกันเขาแลวกลายเปนสิ่งมีชวี ิต เปนสัตว เปนบคุ คล เปนตวั ตน เปน เรา เปน เขา ดังน้ี (นพมาศ องุ พระ, 2555, หนา 23) กลุมที่ 1 กลุม ท่เี ปน รูป เปนรา งกาย เปน สวนทีท่ าํ ใหเกดิ พฤติกรรมและเกิดคุณสมบัติตางๆ ท่ีเปนบุคคลนั้น รวมถึง ผม ขน เล็บ ฟน หนัง เน้ือ สวนตาง ๆ ของรางกายมีท้ังท่ีเปนอวัยวะภายนอกท่ีมองเหน็ ได และอวยั วะภายในที่ไมส ามารถมองเหน็ ได กลุมที่ 2 กลุมความรูสึก (เวทนา) คือ กลุมที่ทําใหคนเราเกิดความรูสึกตางๆ เม่ืออวัยวะไดไปสัมผัส คือ ตา หู จมูก กาย และใจ กระทบกับส่ิงเราที่อยูภายนอก ไดแก รูป รส กล่ิน เสียงสัมผัส และอารมณตาง ๆ แลว ทําใหบุคคลนั้นเกิดความรูสึกท่ีเปนทุกข เปนสุข หรือเฉย ๆ ตอส่ิงเราทเ่ี ขา มากระทบนน้ั กลมุ ที่ 3 กลุมจดจํา (สัญญา) คือ กลุมท่ีเปนสัญญา ทําใหบุคคลน้ันจําได นึกได รับรู สิ่งตาง ๆ ท่ีผานเขามาทางทวารก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เชน จําไดวาเปนสีแดง เขียว ขาว สูงต่ํา ดํา ขาว อวน เต้ีย ผอม สูง ส่ิงน้ันคืออะไร มีรูปทรงสัณฐานเปนอยางไร สามารถบอกไดอยางถกู ตอ งชดั เจน 91
การพัฒนาตน กลุมท่ี 4 กลุมปรุงแตง (สังขาร) เปนกลุมท่ีคอยปรุงแตง หรือปรับปรุงจิตใหจิตไดคิดส่ิงท่ีพบเหน็ หรอื สงิ่ ทร่ี บั รูวาสิง่ นัน้ ๆ ดีหรือไมด ี มลี กั ษณะเปนอยางไร โดยมีเจตนาเปนตัวนําทางที่คอยบงช้ี ส่ิงท่ีคิดนั้นวาดี (กุศล) วาไมดี (อกุศล) คือ มีเจตนาท่ีดี หรือเจตนาท่ีราย หรือเจตนาท่ีเปนกลาง ๆ ตอ สง่ิ ทพ่ี บเหน็ แลวคดิ ในสิง่ นั้น กลุมที่ 5 กลุมความรูความเขาใจ (วิญญาณ) คือ กลุมที่ทําความรูแจง ความเขาใจ ที่ไดพบเห็นไดสัมผัสทาง ตา หู จมูก อยางเชน ส่ิงน้ันคืออะไร มีรูปราง มีลักษณะอยางไร สามารถเขาใจอยา งชดั เจน ดังนนั้ สว นนี้ก็คอื สวนท่เี ปนจติ เปน ความคดิ ของคนเรา ฮิกกิ้น, มารกัส และวุฟ (Higgins, Markus & weef, 1987) (http://www.novabizz.com)กลาววา ตัวตนคือการรูจักแยกแยะ หรือความรูสึกนึกคิดเกี่ยวกับตนเอง ในดานภาพลักษณจินตนาการ คุณสมบัติ รูปสมบัติ ส่ิงแวดลอมตางๆ การคิดเกี่ยวกับสังคม วิธีการคิด กระบวนการเรียนรูขอมลู ขา วสาร เดวิส ฮุม (Davis Hume) (http://www.novabizz.com) กลาววา ตัวตนคือกอง หรือผลรวมของการรับรูแบบตาง ๆ ท่ีเกิดข้ึนตอ ๆ กันอยางรวดเร็ว การรับรูของตัวเราจะทําใหเกิดการผันแปรทางความคิด ระบบประสาท และสมรรถตาง ๆ ก็มีสวนตอการเปล่ียนแปลงของตัวตน ตัวตนน่ันประกอบดวยกลุม (ขันธ) ที่เปนรูปและกลุมท่ีเปนความรูสึก จดจํา ปรุงแตงรวมถึงความรูความเขาใจที่เปนนาม มีสถานภาพ และมีบทบาทประกอบกัน ทําใหเกิดเปนสิ่งมีชวี ิต มคี วามรูสกึ นึกคดิ มีการจดจํา และการรับรู ภาพที่ 3.15 การมีตัวตนอยู ที่มา : เพจ ออ.เอ https://www.facebook.com/#!/ออ-เอ-970062939702196/92
การพัฒนาตน ความสาํ คญั ของการรูจ กั ตนเอง การรูจักตนเองมีความสําคัญตอการกระทํา การประพฤติ และการแสดงออก ผูท่ีรูจักตนเองทีพอจะดํารงตนอยางเหมาะสมและพอเหมาะพอควร กอนที่จะทําอะไรอ่ืนบุคคลควรจะรูจักตนเองกอนและคนท่ีจะรูจักตนเองไดดีก็คือ ตัวของบุคคลน่ันเอง ดังคํากลาวที่วา ไมมีใครรูจักตัวเราเองไดด ีเทากับตวั เราเอง มีนกั ปราชญหลายคนที่ไดทําการศกึ ษาเก่ียวกับตนเอง ซึ่งจะกลา วดังน้ี โสคราติส (469-399 B.C.) (http://www.novabizz.com) เปนบุคคลแรกที่มองเห็นคุณคาและความสําคัญของการรูจักตนเอง โดยไดกลาววา “จงรูจักตนเอง (Knowyourself) และชีวิตที่ไมรูจักตนเองเปนชีวิตที่ไมมีคา (An unexamined life is not worth living)ชวี ิตของบุคคลนน้ั จะเปนชีวิตท่ีมคี ุณคา หรือไมนั้น ก็ข้ึนอยูกับการท่ีบุคคลน้ันรูจักหรือสํารวจตนเองไดตระหนักรวู า ชวี ิตคืออะไร กาํ ลงั ทาํ อะไรอยูแ ละมชี ีวิตอยูเพือ่ สิง่ ใด เพลโต (427-347 B.C.) (http://www.novabizz.com) ตัวตนของแตละคนน้ัน มีสวนสําคัญ 3 สวนดวยกันคือ 1.สวนที่เปนความอยาก ความตองการ 2.สวนท่ีเปนอารมณความรูสึกตา ง ๆ และ3.สว นท่ีเปน เหตุผล สติปญญา มอญเตญ (1533-1592) (http://www.novabizz.com) ไดเขียนหนังสือเลมหน่ึงชื่อ The Essays ไดเนนตัวตนในท่ีรูปแบบการดําเนินชีวิตวา จงยอมรับตนเอง หลังจากที่ไดรูจักตนเองในทุกสวนแลวท้ังในสวนที่ดีและสวนที่ไมดี เพื่อท่ีจะไดปรับปรุงตนเองตอไป จงยอมรับและเขาใจในผูอื่นที่เกิดจากการศึกษาตนเอง เพราะผลที่ไดจากการที่เราเขาใจตนเองจะชวยใหเรายอมรบั และเขาใจผอู ื่นได จงใชช วี ิตใหม ีความสุข โดยใหสอดคลอ งกบั ธรรมชาติของตนเอง ศาสตรแ หง ตนนเี้ ปน ศาสตรทแ่ี ปลกกวาศาสตรทเ่ี ปนวิทยาศาสตรอื่น ๆ ยิ่งศึกษาก็จะยิ่งมองลึกเขาไปในตนเอง โดยอาศัยปจจัยหรือส่ิงแวดลอมภายนอก เปนตัวเสริมเขามา ท่ีจะทําใหร จู ักตวั เองดยี ่งิ ขึ้น ลักษณะของตนท่ีมองเหน็ คุณคาของตนเอง พดู คดิ ทํา เชิงบวก รูจ กั ตนเองและผูอ ืน่ ในตามความเปนจรงิ มีสัมพนั ธภาพท่ีดกี บั บคุ คลอื่น มคี วามเชอ่ื ม่นั ในตนเองเพ่มิ ขน้ึ มคี วามพยายามในการทําใหเ กิดความสาํ เร็จในส่งิ ท่มี งุ หวังสงู ควรทจี่ ะรจู กั ตนเองในดานใดบาง ฐานะทางเศรษฐกิจ รจู กั การใชจ ายทเ่ี หมาะสมกับฐานะทางเศรษฐกจิ ของตน 93
การพฒั นาตน มคี วามสามารถทางสมองและบุคลิกภาพ การเลือกทําบางส่ิงบางอยางที่เหมาะ กับความสามารถทางสมองและบุคลิกภาพของตนเอง ความรู ตองแสวงหาความรูอยูเสมอ โดยเฉพาะทางดานสาขาหรืองานท่ีตนเอง ทําอยู ความสามารถท่ัว ๆ ไป และความสามารถพิเศษ ควรที่จะตองรูวาตนเองขาด ความสามารถอะไร จะตอ งเปน คนรูกวาง รไู กล ทันตอ เหตุการณ ความสนใจและนิสยั สนใจในงานทที่ าํ อยางสมํา่ เสมอ และฝกจนเปน นิสัย สขุ ภาพกายและศกั ยภาพทางกาย (http://www.novabizz.com) จากท่ีไดกลาวมาท้ังหมดนั้น มีหลายอยางท่ีเปนศาสตรท่ีบุคคลน้ันจะตองเรียนรูเพ่ือใหเกดิ การรูจัก และเขาใจในตนเอง ซึง่ เราคงตอ งนาํ ความรูและความเขาใจในศาสตรหรือกฎท่ีมีอยูมาเปนเหมอื นกบั ไฟทคี่ อยสอ งนาํ ทางในการสํารวจตัวตนของเราเองทั้งภายในและภายนอก ทั้งสิ่งท่ีดีและไมดี ท้ังความทุกขและความสุข เพราะเม่ือเรามีความเขาใจในตัวตนของเรา มีความเขาใจในความเปนจริงของชีวิตและตัวตนของเราแลว เม่ือเราเจอกับส่ิงเราที่คอยมากระตุนภายนอกหรือผลักดันจากภายใน เราก็จะสามารถควบคุมตัวของเราไดเปนอยางดี ในอีกแงมุมหนึ่ง เมื่อเราเจอกับ ความทกุ ขเราก็จะสามารถแกไข ยบั ยั้งและนําเอาความทุกขนั้นมาสรางเปนมุมมองในดานบวกไดเ ม่อื เราไดเรียนรูและทําความเขาใจ คณุ คา ของการรูจกั ตนเอง การรูจักตนเองเปนส่ิงที่ทุกคนควรตระหนักรูเปนอยางย่ิง เพราะการรูจักตนเองนับเปน พ้ืนฐานที่สาํ คัญทค่ี วรเรียนรเู ปน อนั ดับแรกของชวี ิต แนวทางในการสง เสรมิ การรูจ กั ตนเอง -ฐานะทางเศรษฐกิจ -บุคลิกลกั ษณะ -ความสามารถท่วั ไปและความสามารถพิเศษ -คานิยมท่ียดึ ถอื -ความสนใจ -สขุ ภาพรา งกายและจิตใจ94
การพัฒนาตนภาพที่ 3.16 แนวทางในการศึกษาเพอื่ ตนเองแนวทางในการศกึ ษาเพ่ือตนเองภาพที่ 3.17 การฝกทักษะการรจู ักตนเอง 95
การพัฒนาตนภาพที่ 3.18 มคี วามสุขที่มา : http://i-styletravel.com/20%E0%B8%82%E0%B9%89%0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99/ 20 ขอชวยใหม ีความสุขทุกวนั 1.ตนื่ กอนเวลาสัก 30 นาทีในแตละวัน เพื่อรับอากาศที่สดชืน่ และหลกี เล่ียงการเรงรบี และรถติด 2.หลงั จากลืมตาตนื่ ข้ึนมาแลว ใหบอกกับตัวเองวาวันนจี้ ะเปนวันท่ีดีอีก 1 วันของเรา 3.ขณะน่ังอยูท่ีเตียงหลงั ต่ืนนอน ใหคิดถึงอนาคต คิดถงึ เปาหมายระยะยาวท่ีวางไวและบอกกับตัวเองวา วันนี้จะเปน อีกวันทีจ่ ะขยับเขาไปใกลเปาหมายที่ฝนเอาไว 4. ตรวจสอบตารางเวลางานของวนั วาตองทําอะไรบาง 5.ทานอาหารเชาแสนอรอย เพราะม้ือเชาเปนมื้อสําคัญ 6.กอนออกจากบานใหเช็คตัวเองท่ีหนากระจก และบอกตัวเองวาใครดูดเี ลิศในปฐพี 7.ย้ิมใหกับทุกคนทเี่ ราพบเจอ 8.ชว ยเหลือคนอื่นอยางนอย 3 คน/วัน โดยทีไ่ มหวงั ผลตอบแทน 9.ใหร างวัลแกคนรอบ ๆ ขาง เม่อื พวกเขาทําผลงานที่ยอดเย่ียม 10.โฟกัส และมีสมาธกิ ับส่ิงท่ีตองทําทีละอยาง 11.เลกิ งานใหตรงเวลา เพราะมนั ถงึ เวลาของตัวเอง และคนใกลช ิดแลว 12.เมอื่ เลิกงาน ควรทําตัวใหผ อนคลาย หมดเวลาแหงการเรงรบี แลว 13.ฟงเพลง และอานหนงั สือท่ีคุณชอบ 14.ใหเ วลากับตัวเอง น่ังตรึกตรองวาวันนี้เราทําอะไรไดด ี และอะไรท่ตี องปรับปรุง 15.เตรยี มตวั สาํ หรบั ตารางเวลาของวนั พรุงนี้วาจะตองทําอะไรบาง ?96
การพฒั นาตน 16.จดั เตรยี มสิ่งที่ตองใชในวันพรุงน้ีเพอื่ หลกี เลย่ี งความเรงรบี ในเชาวันรงุ ข้ึน 17. ใชเวลาเพลดิ เพลินไปกบั ชว งเวลาดี ๆ เชนเลา นทิ านกอนนอนใหลูกรัก พดู คุย ใชเ วลากับคนทค่ี ุณรกั 18.กอด และกลาวกูดไนท ราตรีสวัสดิ์ คนที่คณุ รกั กอนนอน 19.นอนนับเหตุการณดๆี ทเ่ี กดิ ขึ้นของวนั นี้ทก่ี ําลงั จะผานไป 20.นอนโดยไมตอ งคิด ไมตอ งกังวลวา พรงุ นีจ้ ะเปน อยา งไร พกั ผอ นใหเ ต็มที่ทม่ี า : http://i-styletravel.com/20%E0%B8%82%E0%B9%89%0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99 ทม่ี า : http://www.hdwallpapersact.com/be-happy/ 97
การพฒั นาตน เรือ่ งเลา ทายบทเรียน เร่อื งน้ําพริกกากหมู. น้าํ พริกกากหมู ทมี่ า : เพจ ออ.เอ https://www.facebook.com/#!/ออ-เอ-970062939702196/ วันกอนไดพาคุณแมไปตลาด แลวแมก็ซ้ือมันหมูกลับบานมา 1 กิโลกรัม ราคา 70 บาทพอกลับมาถึงบานแมใชเวลาไมถึง 10 นาทีในการนํามันหมูใสกะทะแลวเจียวมันหมูใหกลายเปนกากหมูกรอบ พรอ มกบั ไดน ํา้ มันหมู 1 หมอยอมๆทสี่ ามารถใชไ ดน านรวมเดอื น สมัยน้ีหารานที่ใชน้ํามันหมูนอยมาก อาจเพราะความเช่ือท่ีเขาใจกันผิดๆจากการตลาดในการขายน้ํามันพืช และความสะดวกสบายในการซื้อหา ไมตองมานั่งเจียวกากหมูใหเสียเวลาไปเกอื บ 10 นาที แตแมบอกวา นํ้ามันหมูมันหอมกวานํ้ามันพืชเวลาเอามาปรุงอ...าหาร แลวจากการอา นหนงั สอื และดูรายการทาํ อาหารของแมท ําใหรวู า นํ้ามนั หมูน้นั มีประโยชนก วาที่เราเคยเขาใจ การเจียวน้ํามันหมู ก็ใชวิธีแบบบานๆ ไมตองใชสารเคมี ไมตองผานขบวนการอุตสาหกรรม คืออีกเหตุผลหน่ึงที่ผมหันมาใชน้ํามันหมู และก็รวมถึงรับประทานของทอดนอยลงดวย เพราะเมื่อใชนํ้ามันหมูแลวทําใหใชน้ํามันนอยลง ขอสังเกตอยางเวลาที่เราทํากับขาว การใชนํ้ามันหมูจะใชนอยกวานํ้ามันพืชครึ่งหน่ึง แตก็ทําใหกับขาวดูนาทานมากกวาและนํ้ามันหมูทาํ กบั ขา วกห็ อม อรอ ย กวา ทาํ กบั ขา วจากนํา้ มนั พืชมากดว ย\"98
การพฒั นาตน ของแถมเม่อื ไดกากหมูมา คือ น้ําพริกกากหมูท่ีเอาเคร่ืองพริกแกงลงไปผัดใหหอมปรุงรสดวยนา้ํ ปลาและนาํ้ ตาลปบและเตมิ นา้ํ เปลา ลงไปนดิ หนอย อยา มากเกินไปเพราะเมื่อใสกากหมู จะทําใหก ากหมูไมกรอบและแขง็ ได เมอ่ื คลกุ เคลา จนทว่ั ถึงกันดแี ลว ก็ปด ไฟและตักขึ้น คลุกขาวรอนๆกินกับผักตางๆไดทุกชนิด อรอยอยาบอกใคร ถาทานไมหมดก็รอใหเย็นแลวเก็บใสกลองพลาสติกหรือขวดแกวเก็บไวในตูเย็นไดเปนเดือน แตเช่ือวาไมกี่วันก็หมดแลวละครับ ทีนี้ก็เฝารอวา เม่ือไหรน้ํามันหมจู ะหมด จะไดกินนํ้าพริกกากหมูอีกครัง้ การเจียวกากหมูเปนน้ํามันหมูน้ันเปนเร่ืองงายมาก แต จะมีก่ีคนที่คิดจะทํา และนํ้าพริกกากหมูก็เชนกนั แมจะงายแคไหนแตจะมกี ่ีคนท่ีทําไดอรอย ส่ิงเหลานม้ี ันไมไ ดเ ร่ิมตนทห่ี มู แตเร่มิ จากความคิดท่ีไดรบั สารมาจากสอื่ ตา งๆ แลวเอามาไตรตรอง เม่อื มองแลวคิดแลว วาเปน สง่ิ ท่ดี ที ค่ี วรจะทาํ ก็ตองเลือกวัถตดุ ิบทด่ี มี ีคุณภาพดวยเชน กัน นายแพทยว ีระชยั สทิ ธิปยะสกลุ ผูอํานวยการศนู ยอนามัยที่ 9 พิษณโุ ลก กลาววา \"ที่บานผมจึงเปลี่ยนกลับมาซ้ือมันหมูมาเจียวเปนน้ํามันหมู เพื่อทําอาหารเมื่อ 5 ป ที่ผานมา ก็สังเกตวาคนในบานไมเห็นมีใครเปนอะไรมากมาย อาการโรคผิดปกติทางกายท่ีหลายคนเคยเปน ก็ดูดีข้ึนจากการตรวจรางกายเปนระยะ การเจบ็ ปวยทมี่ เี ปนบาง นานๆ ครัง้ ก็สามารถหายไดอ ยา งรวดเร็ว ....ตอ งซอ้ื หมูรานนีเ้ พราะสด ....ตอ งซือ้ พรกิ แกงรานน้ีเพราะรสชาติดกี วา รานอนื่ แลวกไ็ มเหมน็ ....ตองใชน า้ํ ปลายห่ี อน้ีเทา นน้ั เพราะรสชาติดไี มเ ค็มเกนิ ไปมีกล่ินหอม ....ตองใชน ้ําตาลปบ ไมใ หใ ชน ้ําตาลทราย เพราะน้ําตาลปบจะใหรสหวานละมุนและมีสเี ขมสวยเมือ่ ผดั เสร็จ ....สงิ่ เหลา นีล้ วนแลว แตเ ปนประสบการณท ่เี กิดขึ้นกับคุณแมทงั้ ส้ินที่ถายทอดมาทาํ ใหเราไดวัตถดุ ิบท่ีดี เม่อื นํามาปรุงอาหาร อาหารก็ยอ มอรอ ย น่ันไงครับ...ไมวาจะเร่ิมทําอะไรก็ตาม ทุกๆขั้นตอนลวนสําคัญเสมอ และทุกข้ันตอนเราตองใสใ จกบั มนั จริงๆ เรียนรู แลว ผลลพั ธท ไ่ี ดม นั ยอมออกมาดไี ดอ ยา งไมย ากแนน อน เร่ืองเดียวกัน ไมใชทุกคนท่ีทําได และไมใชทุกคนที่ไดทํา แตใครจะทําไดหรือไดทํา อยูที่ตวั เราเองตดั สนิ ใจ ....................ออ เอ. 99
การพฒั นาตนกิจกรรมทา ยบทแบบทดสอบเพอื่ การรจู กั และเขา ใจตนเอง แบบทดสอบที่ 1 บอกทัศนคติ และจุดออนของคุณ ถาถามวาจุดออน และทัศนคติของคนเรา มีอะไรบาง เช่ือวาจะตองมีบางคนสามารถตอบไดท นั ที สวนบางคนกม็ อี าการลงั เลไมรูจะตอบอะไร งั้นลองทําแบบทดสอบทั้ง 4 ขอน้ีดู เพอ่ื วาจะทาํ ใหเ ราไดรูถงึ จุดออน และทศั นคติของคนเราอยา งแทจ ริง 1.มีเหตุการณฆาตกรรมเกิดขึ้นในหมูบานของคุณ ตํารวจควบคุมผูตองหาไว 4คน ตอนน้ียังไมมีหลักฐานและการอางท่ีอยูขณะเกิดเหตุ แตในความรูสึกของคุณแลว คุณคิดวาใครทนี่ า สงสยั ท่ีสดุ A. ศาสตราจารยใ นมหาวิทยาลัย B. นกั รอ งวัยรนุ ยอดนิยม C. นกั เขียนการต ูน D. คุณปา ท่ที ํางานพารท ไทม 2. วันหนึ่งในชวงปดเทอม คุณออกไปเที่ยวตางจังหวัด แตพอข้ึนรถไฟไปแลวคณุ เพง่ิ นกึ ไดว า ลืมหยบิ ของใสก ระเปาไปอยางหน่ึง คณุ คดิ วาของสิง่ นั้นเปน อะไร A. ขนม B. แปรงสฟี น C. รม D. เกม 3. ถา ไดรับพรวิเศษหนึง่ ขอ คุณจะเลือกอะไร A. ยาเปลย่ี นเพศ B. พรมวิเศษ C. ยาที่ทาํ ใหไมแก ไมต าย D. กระจกทีม่ องเหน็ อนาคต 4. สุดสัปดาหน้ีคุณวางแผนไปเที่ยวทะเล เพื่อไปเลน Sky Driving (เครื่องรอนแบบไมมีเคร่ืองจกั ร) ซงึ่ เมือ่ เครือ่ งลอยอยูบนฟา คุณคิดวา เคร่ืองจะพาไปลงทีไ่ หน A. ทงุ หญา B. ยอดเขา100
การพฒั นาตน C. ทะเล D. บนตึกสูงในเมอื ง เมื่อตอบคําถามจิตวิทยาครบทัง้ 4 ขอ แลว ลองมาดคู าํ เฉลยกนั คําถามขอที่ 1 บง บอกทศั นคตวิ า คุณมองคนอยางไร ถา ตอบ… ศาสตราจารยในมหาวิทยาลัย : คุณเปนคนที่เชื่อสนิทใจวาคนท่ีย่ิงใหญ มักเปนผูบริสุทธ์ิ ดังนั้น คุณจึงเช่ือขาวตางๆ ทั้งขาวดี ขาวลือ ท่ีเขียนลงในหนาหนังสือพิมพ เปนคนที่มุงมน่ั วาจะตอ งประสบความสําเร็จในดานการเรยี นและหนา ท่ีการงาน นักรองวัยรุนยอดนิยม : เปนสัญลักษณของจินตนาการและเพศตรงขามดังน้ัน ใจของคุณจึงมักไลตามจินตนาการ และคิดถึงเร่ืองความรัก รูสึกจริงจังท้ังเวลาที่อกหักและเวลาอยากมคี วามรัก เม่ือเหนอื่ ยก็จะหยุดพักแลว กลบั มามีความรักใหมอกี คร้ัง นักเขียนการตูน : คุณมักใหความสําคัญกับความรูสึก เปนคนที่มีเพ่ือนสนิทอยูมาก ซง่ึ สนใจในเรื่องเดยี วกันและมีความฝนเหมอื นกนั คุณปาท่ีทํางานพารทไทม : แสดงถึงชีวิตที่ราบเรียบ คุณคิดวาเม่ือแตงงานแลวกม็ ลี ูก สรา งครอบครวั มีชีวิตทีม่ คี วามสขุ คําถามขอที่ 2 บง บอกจดุ ออนในใจของคณุ ถา ตอบ… ขนม : แสดงถึงการรองขอ การอยากถูกตามใจ จริงๆ แลวคุณเปนคนละเอียดรอบคอบ เม่ือทําอะไรก็หมกมุนอยูกับสิ่งน้ัน จนทําใหคนอื่นคิดวาคุณเปนคนไมคอยสนใจเร่ืองคนรอบขางสักเทา ไหร เรียกวาเอาแตใจอยูเ หมือนกัน ดังนน้ั จงึ อยากลองใหเอาใจเขามาใสใจดูบา ง รม : แสดงถึงจิตใจที่ปกปด มีนิสัยขี้ตกใจกับเรื่องเล็กๆ นอยๆ ของคนอ่ืน ดูภายนอกเหมอื นเปน คนกลา แตความจรงิ แลวตองการปกปดความออนแอของตัวเอง แมวาคนรอบขางจะไมไดวาอะไร แตคุณก็ชอบพูดเรื่องที่ทําไปแลววามันไมดี หรือนาจะทําไดดีกวาน้ี ดังนั้น จึงอยากใหค ุณสงบจิตใจบาง แลว รจู ักคอยคิดคอยทาํ บา งสกั นิด แปรงสีฟน : แสดงถึงความเขาใจ แมคุณจะเขาใจในเร่ืองตางๆ แตมักจะพูดไมตรง ดงั นน้ั จึงอยากใหค ุณเขมแข็งกวาน้ใี หมาก เกม : แสดงถึงความรุนแรงในการแขงขัน เปนคนท่ีอยากจะเอาชนะคนอื่น แตสวนใหญจะเก็บความรูสึกไวไมกระทํา แตจะแสดงออกมาทางคําพูด เชน การพูดเหน็บแนม เปนตน 101
การพฒั นาตน คาํ ถามขอท่ี 3. บง บอกทัศนคตขิ องคุณตอเรอื่ งเงิน ถาตอบ… ยาเปลี่ยนเพศ : เปนคนขี้เหนียวกับเพศเดียวกัน แตใจกวางกับเพศตรงขาม ซ่ึงนอกจากปญหาความสัมพันธกับเพื่อนเพศเดียวกันแลว คุณตองระวังเรื่องการใชเงินเพื่อเช่ือมความสมั พนั ธระหวา งตวั เองกับเพศตรงขามดว ย พรมวิเศษ : คุณมักชอบท่ีจะลองทํานูน ทํานี่ไปเร่ือย เพ่ือเปนการตอบความตองการของตัวเอง แตสําหรับเรื่องการจายเงินซื้อสิ่งของตางๆ คุณจะคิดแลว คิดอีก ดังน้ัน จึงไมรูจกั คาํ วาฟุมเฟอยสักเทาไหรน ัก ยาท่ีทําใหไมแกไมตาย : เปนคนที่รูสึกช่ืนใจทุกครั้งท่ีเห็นตัวเลขในสมุดบัญชีธนาคารมีมากขึ้นไปเร่ือยๆ แตก็อยากใหคุณเอาเงินไปซ้ือสิ่งตางๆ เพื่อแลกกับความสุขของชีวิตดูบาง กระจกที่มองเห็นอนาคต : คุณเปนคนที่คิดกอนใชเงินกับเร่ืองท่ัวไป แตก็ยังเสียเงินใหก บั เรือ่ งไมเ ปน เร่อื งอยูเยอะ ดังนั้น จะใชเ งินซอื้ อะไร กอ็ ยากใหคิดหนา คดิ หลังใหดกี อนเสมอ คาํ ถามขอท่ี 4 บง บอกทศั นคติเร่ืองการแตงงาน และความรูสึกท่ีมตี อ อนาคต ถา ตอบ… ทุงหญา : เปนคนท่ีอยากติดตอกับเพศตรงขามอยางเทาเทียมกัน ชอบการแตงงานแบบเรียบงาย มองเห็นภาพตนเองและคนรักดูแลกัน น่ังจิบน้ําชาเปนเพื่อนกัน จนกระท่ังแกเฒา กลายเปนคุณตาคณุ ยาย ยอดเขา : เปนคนมีความทะเยอทะยาน ชอบคนที่มีการศึกษาสูง ฐานะดี การงานดี หนา ตาดี และแตง ตัวดี เรียกวา ชอบคนที่เพอรเฟกตน้ันเอง ทะเล : เปนคนทม่ี ีความอดทนสงู ไมคาดหวังในตัวคนรักมากจนเกินไป แตอยากใหเ ลอื กคนรกั ใหด ี อยาเลือกเพราะแรงยุ เพราะถา เลอื กผดิ ขึน้ มาตัวคณุ เองทจ่ี ะลําบาก บนตึกสูงในเมืองหลวง : เปนคนท่ีวาดฝนไวสูง ชอบทํางานมากกวาคิดเร่ืองการมีครอบครวั ถามคี นรกั ก็จะใหความสําคัญกับงานมากอน แตก็ยงั ใหความสําคัญกับชวี ิตแตงงานอยู (ทมี่ า : https://wan1966.wordpress.com)102
การพัฒนาตน แบบทดสอบที่ 2 จติ วิทยา 8 ขอ บอกความเปน คณุ วิธีทําแบบทดสอบจิตวิทยา อานคําถามแลวเขียนคําตอบเอาไว ไมตองคิดนานเพราะความคดิ แรกของคุณจะพาคณุ ไปพบคําตอบที่ตรงทสี่ ุด 1. ลองนึกถงึ ทะเล แลวเลอื กวา ทะเลในความคดิ ของคณุ เปนอยา งไร ก. สีน้าํ เงินเขม ข. ใส สะอาด ค. สเี ขยี ว ง. ขนุ 2. คุณอยากอยูตรงไหนของภูเขา 3. คุณชอบรปู ทรงใดมากทสี่ ุด ก. ทรงกลม ข. สเี่ หลย่ี มจตุรสั ค. สามเหลี่ยม 4. คุณอยากใหร ูปทรงดังกลาวมีขนาดเทา ไหร ก. เลก็ มาก ข. เล็ก ค. ปานกลาง ง. ใหญ จ. ใหญมาก 5. และมันถูกสรางขึน้ มาจาก ก. ไม ข. กระจก/แกว ค. เพชร ง. เหลก็ /โลหะ 6. จนิ ตนาการถงึ มา มา ในความคดิ ของคณุ จะมสี ี ก. นาํ้ ตาล ข. ดาํ ค. ขาว 103
การพฒั นาตน 7. คุณเดินอยบู นระเบยี งและเหน็ ประตสู องบาน เพยี งคณุ กา วตอ ไปทางซายอีกส่ีหา กาวกจ็ ะถึงประตบู านที่หน่ึง สว นประตูอีกบานนั้น คุณจะตองเดินไปจนสุดทางระเบียง ถาประตูท้ังสองบานถูกเปดท้งิ ไว และมกี ุญแจดอกหนง่ึ วางอยตู รงหนา คณุ จะเกบ็ กญุ แจขึน้ มาหรอื ไม ก. เก็บ ข. ไมเกบ็ 8. ถาหากวาพายกุ ําลงั เขา มาใกล คณุ จะเลอื ก ก. มา ข. บา น ผลการวิเคราะห แบบทดสอบจติ วทิ ยา 8 ขอ บอกความเปนคณุ 1. สขี องน้าํ ทะเล แสดงถึงบคุ ลกิ ภาพของคณุ ก. สีน้ําเงนิ เขม - คุณมบี คุ ลกิ ภาพทซี่ บั ซอ นเขาใจยาก ข. ใส สะอาด - คณุ เปน คนเปดเผย เขา ใจงา ย ค. สเี ขยี ว - คุณเปน คนงายๆ สบายๆ ไมคอยเครียด ง. ขนุ – คณุ เปนคนสับสนในตัวเอง 2. ความสงู ของภเู ขาเปนตัวแทนความทะเยอทะยานในชีวิตของคุณ 3. รูปทรง แสดงถงึ ลักษณะนสิ ัยของคณุ ก. ทรงกลม - คุณพยายามเอาอกเอาใจทกุ ๆ คน ข. ส่ีเหลยี่ มจัตุรสั - คุณเปน คนหวั แขง็ และเอาแตใ จตวั เอง ค. สามเหลย่ี ม – คณุ เปน คนหัวดอื้ 4. ขนาดของรูปทรง แสดงถึงขนาดทีค่ ุณมีลกั ษณะนิสัยดังกลา ว 5. วัสดุทใ่ี ชสรางรูปทรง แสดงถงึ บุคลิกของคณุ ก. ไม - รกั ความสงบ ข. กระจก/แกว - เปราะบาง ค. เพชร - ดื้อร้ัน ง. เหลก็ /โลหะ - เขมแข็ง แตไ มคอ ยยดื หยุน 6. สขี องมา แสดงถงึ บุคลิกของคณุ อีกเชนกัน ก. นํา้ ตาล - ตดิ ดนิ ข. ดํา - ไมแนนอน มีอารมณท่ีรุนแรง การอยูรวมกับคุณมักมีเร่ืองให นาต่ืนเตนอยูเสมอ ค. ขาว - หย่ิง แตน าประทับใจ104
การพัฒนาตน 7. การเกบ็ ลูกกุญแจ แสดงถงึ การฉวยโอกาส ก. เกบ็ - คณุ รูจกั ฉกฉวยโอกาสทเี่ ปนประโยชน ข. ไมเก็บ – คณุ ไมใ ชค นชอบฉวยโอกาส 8. ที่พึง่ ในยามท่ีมีพายุ แสดงถึง คนทคี่ ณุ มกั จะนึกถงึ เสมอเวลามีปญ หา ก. มา - สามีหรือภรรยาของคณุ ข. บาน – เพอ่ื นสนิทท่ีรูใ จ (ท่มี า : https://blog.eduzones.com/snowytest/8779) แบบทดสอบที่ 3 จติ วทิ ยาลึกลงไป ในใจคุณ แบบทดสอบจิตวิทยาเพียง 4 ขอ ที่สามารถเปดเผยใจส่ิงท่ีซอนอยูในใจของคุณไดตรงอยางไมนาเช่ือ วิธีทําแบบทดสอบ \"ลึกลงไปในใจคุณ\" อานขอความแลวตอบคําถามส้ันๆ ไมตองคิดนานมากนัก เริม่ กันเลย คุณอยูในตึกรางแหงหนึ่ง และกําลังยืนอยูหนาหองใตดิน ที่มีบันไดทอดยาวลงไป คุณคอยๆ เดินลงไปชาๆ ขณะเดยี วกนั ก็นบั ข้ันของบนั ได 1 ขน้ั … 2 ขน้ั … 3 ข้นั … 1.บันไดทีน่ ําคณุ ลงไปถึงขางลา งมีทัง้ หมดกข่ี น้ั ? 2.หลังจากน้ันคุณไดยินเสียงของใครบางคนดังออกมาจากความมืด คนผนู ั้นกาํ ลัง A. รองไหเ บาๆ B. รองครํ่าครวญจนฟงไมไ ดศพั ท C. หรือวากาํ ลังพูดกับคณุ ? 3. คุณทําอยา งไรเม่ือไดย นิ เสียงคนคนน้นั ? A. พยายามหาท่ีมาของเสียง? B. วิ่งหนีโดยสัญชาตญาณขึ้นมาขา งบนอยางไมเหลียวหลงั ? C. หรือวายืนตัวแขง็ ดวยความหวาดกลัว และไมข ยบั เขยือ้ นไปไหน? 4. คุณไดยินเสียงคนคนหนึ่งเรียกช่ือคุณ และเห็นเงาของเขาทอดตัวลงมาจากบันไดขน้ั บนสดุ ใครคือคนทก่ี ําลังเดินลงมาหาคณุ ? วิเคราะหคําตอบ แบบทดสอบจติ วทิ ยา ลึกลงไปในใจคุณ 105
การพฒั นาตน ตึกรางและหองใตดินเปนสัญลักษณท่ีชัดเจนของความทรงจําท่ีฝงลึก และรอยแผลในจิตใจเราทุกคนตางก็มีประสบการณที่ไมอยากจะระลึกถึง หรือความผิดหวังที่เราคิดวา เราลืมมนั ไปแลว แตความทรงจาํ นั้นไมอ าจลบเลือนไปไดง ายๆ สิ่งที่เราอยากลืม จะคงอยูกับเราเนิ่นนานเกินกวาที่เราคาดคิด การตอบสนองของคณุ ตอสถานการณน้ีแสดงใหเ ห็นวา คณุ จัดการกับความทรงจําในอดีตท่แี สนเจ็บปวดอยางไร 1. จํานวนข้ันบันไดท่ีทอดสูช้ันใตดิน บอกถึงอิทธิพลของรอยแผลในจิตใจท่ีมีตอคุณขณะน้ี หากคุณตอบวา ขั้นบันไดมีเพียงไมกี่ขั้น คุณไดรับอิทธิพลจากสิ่งที่เกิดข้ึนในอดีตเพียงเล็กนอย แตหากคุณคิดวาบันไดน้ันทอดยาวลึกลงไปสูหองใตดิน คุณเปนผูที่มีบาดแผลฝงลึก ในใจเฉกเชน ความลึกของบันได 2. เสียงทค่ี ุณไดยนิ มาจากความมดื บอกวาคุณผานพนประสบการณอันเลวรายในอดตี มาไดอ ยางไร A. ไดยินเสียงรองไหเ บาๆ คุณมกั จะไดรับการปลอบโยนจากผูอื่นเมื่อมีปญหา และหายจากความโศกเศราดว ยความชวยเหลือจากคนเหลา น้ัน B. ไดยินเสียงรองคร่ําครวญจนฟงไมไดศัพท คุณไดผานความทุกขครั้งนั้นมาดวยตนเองอยางยากลําบาก เสียงครวญครางท่ีคณุ ไดยินเปนเสียงของความเจ็บปวดท่ฝี งลึกของคุณเอง C. ไดยินเสียงนั้นกําลังพูดกับคุณ คุณมีรอยแผลเปนในใจซ่ึงเปนเสมือนเหรียญเกียรติยศ แตคุณไมยอมรับวานั่นเปนบาดแผล นักปรัชญาผูมีชื่อเสียงไดกลาววา “สิ่งน้ันไมไดทําใหเราตาย แตมันทําใหเราแข็งแกรงข้ึน” แตจงระวัง อยาใหส่ิงน้ีทําใหคุณแข็งกระดาง และไมแยแสความรูสึกของผอู ื่น 3.ปฏิกิริยาของคุณตอเสียงในความมืด บอกวาคุณจัดการกับความเจ็บปวดในอดีตอยางไร A. หากคุณคนหาที่มาของเสียง แสดงวา คุณมักจะทําอยางน้ันเชนกันในชีวิตจริงการเผชิญหนา กบั ปญหาอยางตรงไปตรงมาจะทําใหคุณพบกับทางออกอยางแนนอน B. หากคุณว่ิงหนีขึ้นมาชั้นบนโดยไมเผชิญหนากับเสียงนั้น คุณมักจะละเลยปญหาโดยหวังวาสักวันมันจะดีขึ้นเอง วิธีนี้อาจใชไดในบางกรณี แตอยาประหลาดใจหากคุณพบวาปญหานั้นวนเวียนอยูกับคุณนานกวาท่ีคิด บางคร้ังคุณก็ตองยืนหยัด และหันไปเผชิญหนากับความกลัวเสยี บาง106
การพัฒนาตน C.หากคุณยืนตัวแข็งดวยความกลัวอยูตรงน้ัน อาจหมายความวาคุณมีความขดั แยง ในอดีตทยี่ งั ไมไดแกไข มันยังตามหลอกหลอนคุณ และขัดขวางคุณไมใหคุณดําเนินชีวิตตอไปขางหนา อยางผาสุก 4.คนที่ปรากฏตัวที่บันไดขั้นบนสุด และเรียกชื่อคุณ คือ คนท่ีคุณคิดวาสามารถพึ่งพาไดเม่ือมีปญหา และคุณเช่ือวา คนคนนั้นสามารถปลอบโยน และชวยเยียวยาแผลในใจของคุณได (ทม่ี า : https://blog.eduzones.com/snowytest/12138) 107
การพฒั นาตน เอกสารอา งองิKreigh, H.Z., Perko, J.E.(1983).Psychiatric And Mental Health Nursing. 2nd ed., Verginia : Reston Publishing Co., Inc.Roger, C.R. (1970). Encoumnter Group. New York : Harper and Row.Staurt, G.W. & Larsia, M.T. (1998). Principle and Pratice of Psychiatric Nursing (6th ed). St. Louis : Mosby Comp.Varcorolis, E.M. (1998). Foundations of Psychiatric Mental Health Nursing. (3th ed). Philadelphia : W.B. Saunders Comp.เตชิต เฉยพวง. สืบคนเม่ือ 15 ธันวาคม 2558, จาก https://www.facebook.com/#!/ออ-เอ- 970062939702196/นพมาศ อุงพระ. (2555). จิตวทิ ยาสังคม. กรุงเทพฯ : สํานักพมิ พมหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.นยั นา นาควชั ระ. (2556).มองตนใหถอ งแท. กรงุ เทพฯ : สํานักพิมพมลู นธิ โิ กมลคีมทอง.แบบทดสอบจิตวิทยา 8 ขอ บอกความเปนคุณ. สืบคนเม่ือ10ธันวาคม2558, จาก https://blog.eduzones.com/snowytest/8779แบบทดสอบ จิตวิทยาลึกลงไป ในใจคุณ.สืบคนเมื่อ10ธันวาคม2558, จาก https://wan1966.wordpress.comแบบทดสอบบอกทัศนะคติ และจุดออนของคุณ. สืบคนเมื่อ10ธันวาคม2558, จาก https://blog.eduzones.com/snowytest/12138ประพันธศ ริ ิ สเุ สารัจ. (2556). การพฒั นาการคดิ .พรรณทิพย ศิริวรรณบุศย. (2556). ทฤษฏีจิตวิทยาพัฒนาการ. กรุงเทพฯ : บริษัทแอคทีฟ พริ้นท จํากัด.ภัทรวิทย ธีรภัคสิริ.(2557).สัมพันธภาพที่ดีในองคกร. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพห างหุนสวนจาํ กดั 9119เทคนิคพริน้ ติง้ .วาจาสิทธ์ิ ลอเรีวานิช.(2553). มองคนดวยมุมใหมเปลี่ยนใจใหเปนสุข. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ มูลนธิ โิ กมลคีมทอง.วนิ ัย เพชรชว ย. สืบคนเม่ือ10ธนั วาคม2558, จากhttp://std.eng.src.ku.ac.th/?q=node/354ศักดศิ์ ริ ิ แสนเสรีศริ ิ. (2555).พลงั ใจสรางไดด วยตวั เราเอง. กรงุ เทพฯ : รุงเรอื งสาสนการพิมพ.108
การพัฒนาตนศิริรัตน จําปเรือง.(2553).การเขาใจตนเอง.นครสวรรค. คนเม่ือ 3 ธันวาคม 2558, จาก http://sirirut2003.blogspot.com/2010/05/blog-post_7022.htmlศรีเรือน แกววังวาล. (2554).ทฤษฎีจิตวิทยาบุคลิกภาพ. (พิมพครั้งท่ี 16). กรุงเทพฯ : หมอ ชาวบาน.สุทธิชัย ปญญโรจน. (2557).44วิธีเปล่ียนความลมเหลวเปนความสําเร็จ. สมุทรปราการ : มาย เบสทบุคส.สุวนีย เกี่ยวกิ่งแกว. (2544).แนวคิดพ้ืนฐานทางการพยาบาลจิตเวช. (พิมพครั้งที่ 3). เชียงใหม : โรงพมิ พปอง.อรพรรณ ลือบุญธวัชชัย. (2545). การพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแหง จฬุ าลงกรณม หาวทิ ยาลัย 109
การพัฒนาตน110
การพฒั นาตน บทที่ 4 แนวคิดและทฤษฎีทีเ่ กีย่ วขอ งกบั การพัฒนาตน ชลลดา ชวู ณชิ ชานนทหัวขอเนื้อหาตอนท่ี 4.1 แนวคิดท่ีเก่ียวกับการพฒั นาตน เร่อื งที่ 4.1.1 ความหมายของการพฒั นาตน เรอื่ งที่ 4.1.2 ตน (Self)ตอนท่ี 4.2 ทฤษฎีทีเ่ กยี่ วของกบั การพฒั นาตน เรื่องที่ 4.2.1 แนวคิดพนื้ ฐานในการพฒั นาตน เรอ่ื งท่ี 4.2.2 แนวคดิ และทฤษฎใี นการพฒั นาตนตอนท่ี 4.3 กระบวนการและแนวทางในการพฒั นาตน เรือ่ งท่ี 4.3.1 กระบวนการพัฒนาตน เรื่องที่ 4.3.2 ประโยชนใ นการพฒั นาตนแนวคิด 1. ความหมายของการพัฒนาตน 2. ตน (Self) 3. แนวคิดและทฤษฎใี นการพัฒนาตน 4. กระบวนการในการพฒั นาตน 5. ประโยชนในการพัฒนาตนวตั ถปุ ระสงค เม่ือศกึ ษาเนื้อหาในหนวยนี้แลว ผูเ รยี นสามารถ 1. อธิบายหลักการและแนวคิดทเี่ กย่ี วของกับการพัฒนาตนไดอยา งถูกตอง 2. วิเคราะหตน ตามแนวคิดและทฤษฎที างจติ วิทยาได 3. เขา ใจกระบวนการพัฒนาตนไดชัดเจน 4. กําหนดแผนการพัฒนาตนเองไดอยางเหมาะสมกับสภาพจริง 111
การพัฒนาตนบทนําโลกในปจจุบัน เปนโลกที่อยูทามกลางการเปลี่ยนแปลง เมื่อเขาสูโลกในยุคของขอมูลขาวสารสารสนเทศ โลกออนไลน ในสภาวะที่ไรพรมแดนน้ี มนุษยสามารถรับรูขอมูลท่ีมากมาย และสามารถเรียนรูสิ่งท่ีสนใจในอีกซีกโลกไดอยางงายดาย ความรู ขอมูลตางๆ อยูใกลกับเราเพียงปลายน้ิวสัมผัส ผูที่ปลอยใหกลไกของการเปล่ียนแปลงน้ีดําเนินไป โดยไมเรียนรูเพ่ิมเติม และขาดความพยายามทีจ่ ะพัฒนาตนใหร เู ทา ทันความเปล่ยี นแปลงที่เกิดข้ึนน้ี จะกลายเปนผูที่ลาหลังและกลายเปน ผูเสียประโยชนใ นท่สี ดุการพัฒนาตนน้ัน ตองเริ่มตนจากความรูความเขาใจในตนเองอยางลึกซ้ึง เพ่ือสามารถทําการวเิ คราะหตนเองได โดยตองสามารถสํารวจตนเองเพื่อใหเกิดความเขาใจในตนเองกอนจะวิเคราะหขอบกพรอ งของตนเอง แลวนํามาปรับปรุง เปลย่ี นแปลง แกไข หรือพัฒนาตอนท่ี 4.1 แนวคิดท่เี กย่ี วกับการพัฒนาตน เร่อื งที่ 4.1.1 ความหมายของการพฒั นาตน การพัฒนาตน เปนกระบวนการที่ไดรับความสนใจท้ังในโลกฝงตะวันออกและโลกฝงตะวันตก จากการศึกษาพบวาในโลกฝงตะวันออก พระพุทธศาสนามีการพูดถึง การพัฒนาไววา เปนการทําสิ่งท่ีมีอยูแลวใหเจริญงอกงาม พระเทพเวที (ประยุทธ ปยุตโต, 2532) โดยแบงการพัฒนาออกเปน 2 ระดับ คือ การพัฒนาในระดับสวนรวม และ การพัฒนาในระดับสวนตัวดวยหัวขอน้ีเกี่ยวของกับการพัฒนาตน จึงขอกลาวถึง การพัฒนาในระดับสวนตัว ท่ีเนนการพ่งึ ตนเองทั้ง 4 ดา น ดงั นี้ 4.1.1.1 การพัฒนากาย เปนการพัฒนาความสัมพันธกับส่ิงแวดลอมทางกายภาพอยางถูกตอง ดีงาม ส่ิงแวดลอมในที่นี้หมายถึง ปจจัย 4 ไดแก อาหาร ที่อยูอาศัยเครื่องนงุ หม และยารกั ษาโรค 4.1.1.2. การพัฒนาศีล เปนการพัฒนาเพ่ือการอยูรวมกันในสังคม โดยใชวิธีศีลภาวนา คอื 1) สัมมาวาจา หมายถึง การกลาวชอบ เปนการงดเวนการพูดเท็จ การพูดสอ เสยี ด การพดู คําหยาบ การพดู เพอเจอ 2) สมั มากมั มนั ตะ หมายถึง การกระทําชอบ เปน การกระทาํทัง้ ดานกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ท่ไี มผดิ ศลี ธรรม112
การพฒั นาตน 3) สัมมาอาชวี ะ หมายถึง การประกอบอาชีพชอบ เปน การทํามาหากนิ เล้ยี งปากเลี้ยงทองที่สุจริต ไมเ บยี ดเบยี นผูอ่ืน 4.1.1.3 การพัฒนาจิต หมายถงึ การพัฒนา 3 ประการ คอื 1) คณุ ภาพจติ เปนการสรางจิตใจใหดงี าม เปน จิตใจท่ีมคี วามละเอยี ดออน 2) สมรรถภาพ เปนความสามารถของจิต เชน เปนผมู สี ติ มีวริ ิยะ มีขันติ มสี มาธิ 3) สุขภาพจติ เปนการมจี ติ ท่ีมีสุขภาพดี สงบ 4.1.1.4. การพฒั นาปญญา เปนกระบวนการท่ที ําใหมนุษยเ กิดความรู ความคิดความเหน็ ความดําริทีถ่ ูกทช่ี อบอันเปน แกน สาร และพลังหนนุ ใหบ ุคคลประพฤตติ นดีถูกตองตามทํานองครองธรรมตอไป ซง่ึ พระธรรมปฎ ก (ป.อ. ปยตุ โต, 2546) ไดอ ธบิ ายถึง วธิ กี ารท่ีสัมพันธก ับการพัฒนาปญญาของบคุ คล สรปุ ได 3 วิธี คือ 1) สุตมยปญ ญา ปญ ญาที่เกิดจากการเลาเรียน หรือถายทอดกันมา 2) จินตามยปญ ญา ปญ ญาทเ่ี กดิ จากการคิดพจิ ารณาหาเหตุผล ดว ยตนเอง 3) ภาวนามยปญญา ปญ ญาทีเ่ กดิ จากการปฏิบัติฝก อบรม การพฒั นาตนตามแนวคดิ ของพระพุทธศาสนามีการแจกแจงการพัฒนาในแตละดา นตามทกี่ ลาวไวข า งตน อยางไรก็ดี มีผูศึกษาเร่อื ง การพฒั นาตน ในประเทศไทยที่ไดใหความหมายเกี่ยวกบั การพฒั นาตนไว ดงั น้ี วรรณดี หนูหลง (2539) ไดกลาววา “การพัฒนา” (Development) หมายถึง ทําใหเจรญิ ทาํ ใหย่งั ยืนถาวร ดังน้ัน “การพฒั นา” ก็คือการทําใหเจริญ “ตนเอง” คือตัวของบุคคลแตละคน การพัฒนาตนเองจงึ หมายถึงการที่บุคคลหนึ่งทาํ ใหตนเองเจรญิ ขึ้น หรอื การเปล่ียนแปลงตัวเองไปในทางท่เี จริญขึ้น ไพศาล ไกรสิทธิ์ (2541) กลาววา การพัฒนาตน หมายถึง การที่บุคคลพยายามท่ีจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองใหดีข้ึนกวาเดิม เหมาะสมกวาเดิมทําใหสามารถดําเนินกิจกรรมแสดงพฤติกรรมเพื่อสนองความตองการตามเปาหมายที่ตั้งไว การพัฒนาตนดวยตนเองตามศักยภาพของตนใหดีข้ึนท้ังรางกาย จิตใจ อารมณ และสังคม เพ่ือใหตนเองเปนสมาชิกท่ีมีประสทิ ธภิ าพของสังคมเปนประโยชนต อผอู ืน่ ตลอดจนเพ่ือการดํารงชีวิตอยา งสันติสุขของตนเอง สําหรับโลกฝงตะวันตกไดใหความหมายคําวาการพัฒนาตน ตรงกับภาษาอังกฤษคําวา self-development โดยที่มีคําที่มีความหมายใกลเคียงกัน เชน การปรับปรุงตน (self-improvement) การบริหารตน (self-management) และการปรับตน (self-modification) 113
การพัฒนาตนซ่ึงหมายถึง การปรับเปล่ียนตนเองมีความเหมาะสม สามารถสนองความตองการและเปาหมายของตนเอง หรอื เพ่อื ใหสอดคลองกับความคาดหวังของสังคม นอกจากนี้ มีผูศึกษาเร่ือง การพัฒนาตน ในโลกฝง ตะวันตกไดใ หค วามหมายเก่ียวกับการพฒั นาตนไว ดงั น้ี Gelleman (1976) กลาววาการพัฒนาตนเปนการเรียนรู ซ่ึงเกิดข้ึนเองอยางอิสระปราศจากการชี้บอก เชน การเรียนรูจากการกระทํา การสังเกตและคิดจากประสบการณของตนเอง Boydell (1985) ใหความหมายของการพัฒนาตนวา เปนความพยายามทําส่ิงตาง ๆ ใหสําเร็จดวยตนเอง ซ่ึงเกี่ยวของกับการเปล่ียนแปลงตนเอง การมีคุณสมบัติใหม ๆ เกิดขึ้นมามีความสามารถใหม ๆ มีความเห็นแตกตางไปจากเดิม มีความรูใหมเกิดข้ึนทําใหรูสึกวาตนเปนคนดีข้ึน จากการศึกษา การพัฒนาตน ขางตน ผเู ขยี นใหนิยามการพัฒนาตน ไว ดงั น้ี การพัฒนาตนคือการที่บุคคลพยายามที่จะปรับปรุง เปล่ียนแปลง พัฒนา ตนดว ยตนเองใหด ขี ึ้นกวาเดิม เหมาะสมกวา เดมิ ท้ังรางกาย จิตใจ อารมณ และสังคม ทําใหสามารถดําเนินกิจกรรม แสดงพฤติกรรม เพ่ือสนองความตองการ แรงจูงใจ หรือเปาหมายท่ีตนต้ังไว และเปน สมาชิกที่มปี ระสทิ ธภิ าพของสังคม เปน ประโยชนต อ ผอู ่ืน ตลอดจนเพื่อการดํารงชีวิตอยางสันติสขุ ของตน เร่อื งท่ี 4.1.2 ตน (Self)พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ไดใหความหมายของคําวา ตน ไววา หมายถึง ตัวคน สวนตนในทางพุทธศาสนาเรียกวา อัตตา หรือ ตัวตน มีความหมายถึง ตัวบุคคลหนึ่ง จากการศึกษาพบวามีผูใหนิยามคําวา ตน ไวอยางหลากหลาย ซึ่งสามารถสรุปไดวา ตน เปนการรับรูความเปนตัวเองอยางมีสติ การรับรูตัวตนถือเปนสวนยอยหนึ่งของบุคลิกภาพ ตัวตน เกิดข้ึนภายใตก ารอบรมเลี้ยงดู การหลอหลอมทางสงั คม ในการพฒั นาตน บคุ คลจาํ เปน จะตองเรียนรู ตนของตนเองอยางลกึ ซ้ึง เพ่อื ใหเ กดิ ความเขา ใจในตนเองกอ นจะพฒั นาตนเองไดอยางถกู จุด คารล โรเจอร (Carl Roger) นักจิตวิทยากลุมมนุษยนิยม มีความเชื่อวา ตน ของแตละบุคคลมีการเปล่ียนแปลงอยูตลอดเวลา เน่ืองจากทุกคนอยูบนโลกแหงประสบการณที่มีการเปล่ียนแปลงอยูตลอดเวลา คารล โรเจอร (Carl Roger) ไดจําแนก รูปแบบตัวตนของบุคคลโดยจําแนกออกเปน 3 รปู แบบ (Roger,1952)ดังนี้114
การพฒั นาตน Perceived Self หมายถึง ตัวตน ที่บุคคลเกิดความรับรูวา ตนเองเปน คือ ตัวตนท่ีบุคคลคดิ วาเปนสงิ่ ท่ตี วั เองเปน ซึ่งการรบั รูนีอ้ าจไมต รงกบั ความเปน จริง หรือ ตรงกับความรับรูของบุคคลอ่นื ยกตัวอยางเชน เด็กชาย กอไก มีการรับรูตัวตนของตนเองวา เปนคนเรียนไมเกง จึงมักกลา วกบั เพอื่ นวา ตนเองเรยี นไมดเี รียนไมเ กง ทั้งๆทีเ่ ด็กชาย กอไก เรยี นไดเกรดเฉลยี่ 3.89 Ideal Self หมายถึง ตัวตน ที่บุคคลตองการจะเปน คือ ตัวตนในอุดมคติ ตัวตนท่ีเปนความฝน ของบคุ คล หรือเปนตัวตนทีบ่ ุคคลอยากจะเปน ตามตนแบบทพ่ี บเห็นจากบคุ คลอ่ืน ๆ ยกตัวอยางเชน เด็กชาย กอไก มีตัวตนท่ีตองการจะเปนคือ เปนนักเรียนที่เรียนไดเกรดเฉลี่ย 4.00 เหมอื นกบั รุนพ่ีทช่ี อบ Real Self หมายถึง ตัวตนตามความเปนจริง คือ ตัวตนที่แทจริงของบุคคลซ่ึงบุคคลอาจจะรูหรือไมร เู กี่ยวกับตนเอง แตเปน ขอ เท็จของบุคคลนั้นๆ ที่เปน จรงิ ยกตัวอยางเชน เด็กชาย กอไก ไดเกรดเฉล่ีย 3.89 นั่นคือ Real Self ไมวา เด็กชาย กอไกจะรับรูวาตนเกงหรือไม หรือตองการจะเรียนใหเกงแคไหนก็ตาม ขอเท็จริงก็คือ ตัวเขาไดเกรดเฉล่ยี 3.89 การจําแนกรูปแบบตัวตนของบุคคลของ คารล โรเจอร (Carl Roger) ทําใหเกิดความเขาใจ คําวา ตัวตน มากขึ้น โดย โรเจอร (Roger) ใหความสําคัญ กับความสอดคลองของ ตน ท่ีบุคคลเปน (Real Self) กับ ตน ที่บุคคลตองการจะเปน (Ideal Self) เนื่องจากความสอดคลองของตนจะสงผลตอ การปรบั ตวั ของบุคคล เรื่องท่ี 4.1.3 ตน ตามแนวคดิ ของนักจติ วิทยา เรื่องของ ตน (Self) เปนเรื่องราวที่ นักจิตวิทยาใหความสนใจมาโดยตลอดเนื่องจาก เปนจุดเร่ิมตนในพฤติกรรมของมนุษย การท่ีบุคคลกระทําสิ่งตางๆ สัมพันธอยางยิ่งกับตัวตน และการรับรูของบุคคล จากการศึกษาสามารถแบงประเภทของ แนวคิดที่เก่ียวของกับการศกึ ษาและทาํ ความเขาใจ ตน ของมนุษยออกเปน 3 แนวคดิ ใหญ ๆ คอื 1) แนวคิดของนกั จิตวเิ คราะห 2) แนวคิดของนกั จิตวิทยาสังคม 3) แนวคิดของนักจิตวทิ ยากลมุ มนษุ ยนิยม 1) แนวคิดของนกั จิตวเิ คราะห 115
การพัฒนาตน ซิกมันด ฟรอยด (Sigmund Freud, 1856 -1939) ซ่ึงเรียกไดวาเปนบิดาแหงแนวคิดจิตวิเคราะห (Psychoanalysis) ชาวออสเตรีย เปนนักจิตวิทยาที่มีอิทธิพลตอวงการจติ วิทยาอยางย่ิง ทฤษฎีจิตวิเคราะห ไดรับความสนใจอยางแพรหลาย และเปนพ้ืนฐานของทฤษฎีจิตวิทยาตางๆ แนวคิดนี้ มีความเชื่อวาพฤติกรรมของมนุษยไดรับอิทธิพลมาจากพลังแหงสญั ชาตญาณภายในของบุคคล ทีส่ ามารถ แบง ออกไดเ ปน สญั ชาตญาณแหง การมีชวี ติ (Life Instinct) หมายถงึ พลงั แหง การมีชีวิตอยูรอด สัญชาตญาณแหงความตาย (Dead Instinct) หมายถึง พลังแหงการตองการทําลายความกาวราว ฯลฯ โครงสรางของจติ (Structuere of Personality) ฟรอยเช่ือวา แบงโครงสรางทางจิตของมนษุ ยออกไดเปน ๓ ลกั ษณะ คือ ID เปนสิ่งท่ีติดตัวมนุษยมาตั้งแตกําเนิด เปนศูนยรวมของความตอ งการพ้นื ฐานของมนุษยในการมีชีวิตรอด เปนสวนของบุคลิกภาพที่ติดตัวมาตั้งแตเกิด เปนสวนที่เปนจิตไรสํานึกมีหลักการที่จะตอบสนองความตองการของตนเทานั้น (Pleasure Principle) อิดเปน สว นท่ีจะกระตุน ใหเกิดความตอ งการ และผลักดันใหอ ีโกก ระทําสงิ่ ตาง ๆ ตามทีอ่ ิดตองการ Ego เปนสวนของจิตท่ีไดรับการพัฒนาข้ึน โดยมีหนาท่ีสําคึญในการควบคุมและปรับระดับความตองการของ ID ใหเหมาะสมกับสภาพความเปนจริง และชวยใหมนษุ ยแ สดงพฤติกรรมที่เหมาะสม เปน สว นของบคุ ลกิ ภาพทพ่ี ฒั นามาจากการทท่ี ารกไดติดตอหรือมปี ฏสิ มั พนั ธก ับโลกภายนอก อีโกเริ่มพัฒนาเม่ืออายุ 6 เดือน เปนสวนของพฤติกรรมการเผชิญกับสิ่งตางๆ ตามความเปนจริง เปนการเลือกตอบสนองความตองการของตน โดยตระหนักถึงสภาพความเปนจริงเปนเกณฑ (Reality Principle) อีโกใชความทรงจํา เหตุผล และการตัดสินใจ เพื่อลดความขัดแยงภายในระหวางความตองการซ่ึงเกิดจากอิด กับความเปนจริงภายนอกวา ควรทําหรอื ไมควรทาํ Superego เปนโครงสรางของจิตที่ไดรับการพัฒนาอยางสูงคือ เปนสวนของคุณธรรมและจริยธรรม ท่ีจะควบคุมการแสดงพฤติกรรมของมนุษย เปนสวนของมโนธรรมและศีลธรรม ซึ่งเร่ิมพัฒนาในชวงวัยเด็กตอนตน เปนการเรียนรูจากคานิยมของพอแม กฎเกณฑตาง ๆ และความคาดหวังของสังคมวา ควรมีลักษณะอยางไรจึงจะเหมาะสมกับความเปนมนุษย(Hoffman, Paris and Hall, 1994, p. 31) ซุปเปอรอีโกจึงเปนสวนของบุคลิกภาพท่ีต้ังมาตรฐานของพฤติกรรมใหแ ตละบคุ คล โดยรบั เอาคานิยมและมาตรฐานจริยธรรมของพอแมเปนของตน เปนเสียงแทนพอแมคอยบอกวา อะไรควรทํา อะไรไมควรทํา ฟรอยดเชื่อวา ในขั้นพัฒนาการทางเพศ116
การพัฒนาตนข้ันท่ี 3 นอกจากเด็กชายจะเลียนแบบพฤติกรรมของ“ผูชาย” จากพอ และเด็กหญิงจะเลียนแบบพฤติกรรมของ “ผูหญิง” จากแมแลว ยังยึดถือหลักจริยธรรม คานิยมของพอแม เปนมาตรฐานของพฤติกรรมดว ย ซุปเปอรอีโก แบงออกเปน 2 อยาง คือ สติรูสึกผิดชอบ (Conscience)ซึ่งคอยบอกใหหลีกเล่ียงพฤติกรรมท่ีไมพึงปรารถนา และตัวตนตามอุดมคติ (Ego Ideal) ซ่ึงสนบั สนนุ ใหม คี วามประพฤติดี ซ่ึงสติรูสึกผิดชอบ มักเกิดจากการถูกขูวาจะทําโทษ สวนตัวตนตามอดุ มคติ มักเกดิ จากการเสริมแรงทางบวก หรอื การยอมรับ (สุรางค โคว ตระกลู , 2541, หนา 36) ระดบั การทาํ งานของจติ (Level of Consciousuess) ฟรอยดเปรียบจิตใจของมนุษยเปนภูเขานํ้าแข็ง ท่ีมีทั้งสวนท่ีจมอยูใตนํ้า สวนท่ีปร่ิมน้ํา และสวนท่ีโผลพนน้ํา โดยแบงออกเปน 3 ระดับ คือ ระดับจิตสํานึก (Conscious) เปนระดับของจิต ท่ีบุคคลรับรูวากําลังทําอะไร ถือวาเปนภาวะท่ีบุคคลแสดงพฤติกรรม และกระทําส่ิงตางๆอยางรูตัวเต็มท่ีซึ่ง เปรียบเหมือนสว นของภูเขานาํ้ แข็งที่โผลพ นนํา้ ระดับจิตกึ่งรูสํานึก (Preconscious) เปนระดับของจิตที่บุคคลเก็บความคิดความรูสึกตางๆ เปนภาวะท่ีบุคคลแสดงพฤติกรรมที่เกิดข้ึนบอยๆ จนกลายเปนความเคยชิน โดยเปนภาวะที่บุคคลกระทําโดยรูตัวบางไมรูตัวบาง เปนสิ่งท่ีบุคคลกระทําซ้ําๆทุกวัน อาจกลาวไดวา จิตในสวนนี้ เปนสวนของภูเขาน้ําแข็งท่ีปริ่มน้ํา บางคร้ังอาจจมนํ้า บางครั้งอาจขึ้นมาเหนือน้ํา เปน ไปตามแรงลมและคลืน่ ในมหาสมทุ ร ระดับจิตใตสํานึก (Unconscious) เปนระดับของจิตท่ีเก็บกดความรูสึกความทรงจํา อารมณ เปนสวนของความไมรูตัวของบุคคล เปรียบไดกับสวนท่ีจมอยู ใตน้ําของภูเขานํ้าแข็ง เปนระดับท่ีมี แรงขับพื้นฐานของมนุษย นั้นคือแรงขับเพ่ือการดํารงชีวิตอยู(Survival Drive) แรงขับแหงการทําลาย (Aggressive Drive) และแรงขับทางเพศ (Sex Drive)(พรรณทพิ ย ศริ ิวรรณบศุ ย, 2547, หนา 83) ฟรอยดเปนนักจิตวิทยาคนแรกใหความสําคัญกับจิตไรสํานึกโดยถือวาเปนสาเหตุสําคัญของพฤติกรรมและมีอิทธิพลอยางมากตอบุคลิกภาพของมนุษย ท่ีจะกลายเปนตัวตน ของบุคคล จิตในระดับน้ี เปนสวนท่ีตัวกระตุนใหเกิดแรงจูงใจในการแสดงพฤติกรรมของบุคคล และเปนที่ท่ีบุคคลเก็บประสบการณทางความรูสึกและอารมณที่ไมสมหวังหรือไมพอใจ ซึ่งจะ 117
การพฒั นาตนสงผลกระตุนเตือนใหบุคคลแสดงพฤติกรรมท่ีผิดปกติออกมาในภายหลัง โดยเฉพาะอยางย่ิงประสบการณค วามไมพอใจหรือประสบการณรุนแรงทางอารมณ และความรสู กึ ทเี่ กิดข้นึ ในชวงวัยเดก็ ตัวตน ของบุคคลจะเปนอยางไร ขึ้นกับความสอดคลองของโครงสรางทั้ง 3 สวน จะเห็นไดวา เด็กแรกเกิดมีความตองการท่ีตองไดรับการตอบสนอง ยึดความตองการของตนเปนเกณฑ ไมคํานึงถึงผูอ่ืน เม่ือเติบโตข้ึนสวนของอีโกเริ่มพัฒนา เด็กจะรูจักรอมากขึ้นยิ่งเติบโตยิ่งตองปรับตัวเพื่ออยูในสังคมมากขึ้น ขณะเดียวกัน การอบรมสั่งสอนจากพอแม และการเรียนรูก ฎเกณฑค วามคาดหวังในสงั คม จะชวยพัฒนาสว นทีเ่ ปนซปุ เปอรอีโกมากขึ้นตามลําดับฟรอยดกลาววา พัฒนาการทางบุคลิกภาพเปนปฏิสัมพันธระหวางอิด อีโก และซุปเปอรอีโกพัฒนาการจึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะวัยทารก วัยเด็ก และวัยรุน โครงสรางบุคลิกภาพท้ัง 3 สวน จะทํางานประสานกันดีขึ้น เน่ืองจากมีปฏิสัมพันธกับส่ิงแวดลอมหรือโลกภายนอกมากขนึ้ ยง่ิ โตขน้ึ อีโกย่งิ แข็งแกรง และสามารถควบคุมอดิ ไดม ากขึ้น ขัน้ พฒั นาการทางเพศ ฟรอยดอธิบายวา พัฒนาการทางเพศแตละขั้นเกี่ยวของกับพลังจิต(Psychic energy) ซ่ึงเปน พลังทต่ี ดิ ตัวมาต้ังแตเกิด ไมสามารถสรางใหมหรือทําลายได พลังจิตน้ีมีอํานาจเหนือสภาพอารมณและจิตใจของบุคคล พลังจิตจะเปนตัวกระตุนการรับรู ความคิด และความทรงจํา พลังจิตจะคงอยูเสมอแมวารางกายจะผานพัฒนาการในแตละข้ันไปแลวก็ตาม(Hoffman Paris & Hall, 1994, p. 32) พลังจิตบางตําราเรียกวาเปนพลังลิบิโด (Libido) เปนพลังงานที่ทําใหคนอยากมีชีวิตอยู อยากสรางสรรค อยากมีความรัก มีแรงขับทางเพศ หรือกามารมณ เพื่อจุดมุงหมาย คือความสุขและความพึงพอใจ โดยมีสวนของรางกายที่ไวตอความรูสึกเรียกวา อีโรจีเนียสโซน (Erogenous Zone) ซึ่งพลังลิบิโดจะยายไปอยูตามสวนของรางกายเหลานี้ตามชวงวัยหากลิบิโดอยูที่สวนใดของรางกาย สวนน้ันจะเกิดความเครียด (Tension) บุคคลจะใชสวนนั้นเพ่ือแสวงหาความสุขความพอใจ หากสามารถตอบสนองความตองการไดอยางเหมาะสมก็จะลดความเครียดได กาวผานพัฒนาการไปตามขั้นตอนปกติ แตถาไมสามารถใชสวนของรางกายนั้นตอบสนองความตองการ หรือหาความสุขไมไดเพียงพอ ก็จะเกิดการชะงักหรือการติดตัน118
การพัฒนาตน(Fixation) อันจะสงผลตอบุคลิกภาพเม่ือเติบโตเปนผูใหญ ข้ันพัฒนาการทางเพศ แบงออกเปน 5ขั้น ดังนี้ ขั้นแสวงหาความสุขจากการใชปาก (Oral Stage) อายุ 0-1 ประยะนี้พลังลิบิโดจะไปรวมอยูท่ีบริเวณปาก ทําใหเกิดความเครียดท่ีบริเวณนั้น เด็กจึงตองไดรับกระตุนเราและตอบสนองที่เหมาะสมท่ีบริเวณปาก จึงจะผอนควายความตึงเครียดได เด็กจึงมีความสุขโดยทาํ กจิ กรรมตา ง ๆ ดวยปาก เชน การดูด เค้ียว กัด เลน ดวยเสียง เปนตน หากไมไดรับการกระตุนหรือตอบสนองจนพอใจ ก็จะทําใหเกิดการชะงักหรือติดตัน สงผลใหอยากตอบสนองทางปากอยูเสมอในภายหลัง เชน ชอบกนิ ชอบดื่มตลอดเวลา ชอบพดู คยุ นินทา เปนตน ข้ันแสวงหาความสุขจากทวารหนัก (Anal Stage) อายุ 2-3 ป ชวงนี้พลังลิบิโด จะเคล่ือนไปอยูท่ีทวารหนัก เด็กจะมีความสุข ความพอใจโดยการทํากิจกรรมท่ีใชทวารหนัก เชน การขับถายหรือการกล้ันเอาไว หากพัฒนาการในขั้นนี้ไมสมบูรณ เชน การฝกขับถายเปนไปอยางไมเหมาะสมและไมผอนคลาย ก็จะทําใหเกิดการชะงัก ซ่ึงจะสงผลตอนโตเปนผใู หญ เชน เปนผทู ่มี บี ุคลิกภาพเปนคนเจาระเบยี บ จจู พี้ ิถีพถิ นั รักความสะอาดอยา งมาก เปนตน ขั้นแสวงหาความสุขจากอวัยวะเพศ (Phallic Stage) อายุ 3-5 ปเปนชว งสําคัญของพัฒนาการเพราะเดก็ จะไดเ รยี นรูบ ทบาทตามเพศของตนเอง โดยเลียนแบบจากพอแมท่ีเพศเดียวกันกับตนเอง ชวงนี้พลังลิบิโด จะเคล่ือนยายไปอยูท่ีบริเวณอวัยวะเพศ (GenitalArea) เด็กวัยน้ีจะมีความสุข ความพอใจจากการทํากิจกรรมเนื่องดวยอวัยวะเพศ เชน เลนกับอวัยวะเพศของตน ซึ่งสงผลตอพัฒนาการอยางอื่นดวย เชน การสํานึกรูถึงเพศของตน เด็กวัยน้ีจะไดเรียนรูบทบาททางเพศของตนเองโดยการเลียนแบบจากบทบาทพอ แม ที่เปนเพศเดียวกับตนฟรอยดอธิบายวา เด็กจะมีความรูสึกลักษณะตางๆ ภายในลึกๆ เชน ลักษณะของปมออดิปุส(Oedipus Complex) เด็กชายจะรักแมพรอมกับอิจฉาพอ จึงเลียนแบบพอเพื่อใหตนเองเปนท่ีรักของแม สวนเด็กหญิงเปนลักษณะของปมอิเลคตรา (Electra Complex) เด็กหญิงรักพอและอิจฉาแม จึงเลียนแบบแมเพ่ือใหตนเองเปนที่รักของพอ ในลักษณะทั้งสองอยางดังกลาว เด็กจะไดเลยี นแบบ (Identification) พอ และแมข องตนเองจนกระทั่งเด็กมีบทบาทเหมาะสมกับเพศ และเด็กจะไดส วนของซุปเปอรอ ีโกจ ากตวั แบบ (Figure) หรือจากพอแมข องตนเอง 119
การพัฒนาตน ในชวงนี้ถาเด็กปรับตัวไมได เด็กก็ยังเลียนแบบพอหรือแมจนโต และถายังปรับตัวไมไดอีกเด็กชายก็จะเร่ิมคลอเคลียอยูกับแม ประทับใจในบทบาทของแมมากกวาพอในที่สุดก็มีบทบาทคลายเพศหญิง และอาจเปนสาเหตุของรักรวมเพศ (Homosexual) ได ในทางตรงกันขาม เพศหญิงก็อาจเกิดไดในลักษณะเดียวกันน้ี ฉะนั้นในชวงน้ี ถาเด็กขาดพอหรือแมและไมมีตัวแบบอื่นๆ เขามาทดแทน เด็กอาจจะสับสนในบทบาทของตนเอง จนกระทั่งไมทราบวาควรมีบทบาทอยางไร ฟรอยดใ หความสําคัญอยางยงิ่ กับพัฒนาการในขัน้ นี้ ข้นั แสวงหาความสุขจากสังคม สภาพแวดลอมรอบตน (LatencyStage) อายุ 6-11 ป ฟรอยดไมคอยใหความสําคัญกับชวงวัยน้ีนัก เปนชวงท่ีพลังลิบิโด ไมไดรวมอยูท่ีใดท่ีหนึ่งแตจะอยูท่ัวๆ ไป เปนระยะของการพัฒนาทักษะใหม เด็กเริ่มพัฒนาชีวิตสังคมนอกครอบครัวจึงแสวงหาความพึงพอใจในการติดตอกับผูคนรอบตัวและเพ่ือนรวมวัย เพ่ือนสนิทเปนคนเพศเดียวกนั มากกวาตา งเพศ เปน ระยะท่ีเด็กเตรียมตัวเขาสูวัยแตกเน้ือหนุมสาวพัฒนาการทางกายเปน ไปอยางเชอ่ื งชาเมอื่ เทียบกบั ชว งทีผ่ านมา ขั้นแสวงหาความสุขจากการมีสัมพันธภาพทางเพศ (GenitalStage) ชวงวัยรุน พลังลิบิโด จะกลับมารวมอยูท่ีอวัยวะเพศอีกคร้ัง คนจะสนใจตอการตอบสนองทางเพศ โดยเฉพาะอยางย่ิงเพศตรงขาม วัยน้ีเด็กท้ังสองเพศมีความพอใจ คบหาสมาคม รักใครผูกพันกับเพื่อนตางเพศ ขณะเดียวกันก็พยายามประพฤติตนใหเหมาะสมกับบทบาททางเพศ โดยเลียนแบบคนเพศเดียวกันท่ีตนนิยม ระยะนี้มักเห็นแจมแจงวาเด็กคนใดแสดงบทบาททางเพศผิดปกติ หรือเลียนแบบบทบาททางเพศจากตนแบบที่ผิด หากพัฒนาการเปนไปตามปกติก็จะนําไปสกู ารเตรียมตัวแตงงาน มีคูครอง แตถาการกระตุนและการตอบสนองไมเหมาะสมก็จะทําใหเกดิ อาการผิดปกติทางเพศลักษณะตาง ๆ เชน การรักรวมเพศ การชอบรวมเพศกับคนไมเลือกหนาเปน ตน 2)แนวคดิ ของนักจิตวิทยาสงั คม อีริคสัน (Erik Erickson, 1902 – 1994) นักจิตวิทยาชาวอเมริกันพัฒนาทฤษฎีจิตสังคม (Psycho-social) บนพ้ืนฐานความเช่ือวา ความสําคัญของสังคมและวัฒนธรรมท่ีอยูรอบๆตัวบุคคล จะสงผลโดยตรงตอการแสดงพฤติกรรมของมนุษยประกอบดวยลักษณะที่ตรงขามกันเปนคู ในรูปแบบของการมีปฏิสัมพันธกับบุคคลอื่น ๆ ท่ีเขา มาเกี่ยวของดวย120
การพฒั นาตนในแตละข้ัน โดยกลาวไดวา ขึ้นกับลักษณะของสัมพันธภาพท่ีบุคคลมีกับกลุมบุคคลท่ีเปนศูนยกลางความผูกพัน เชน พอ แม เพ่ือน สามี-ภรรยา เปนตน และขอขัดแยงทางสังคมจิตวิทยา(Psychosocial Crises) ท่ีเกดิ จากความสมั พนั ธน ั้น ๆ ดังภาพท่ี 4.1สมั พนั ธภาพกบั กลุม บุคคลที่ อารมณแ ละจิตใจเปน ศนู ยกลางความผูกพนั ความขัดแยง ทางสงั คมและจติ ใจแกไขภาวะขัดแยงไมไดใ นแตละข้นั ตอน แกไ ขภาวะขัดแยง ไดในแตละขน้ั ตอนบคุ ลกิ ภาพทไ่ี มมัน่ คงตามวัย หรอื บุคลิกภาพทีม่ ัน่ คงตามวัย หรอืลักษณะพัฒนาการท่ไี มพงึ ประสงค ลักษณะพฒั นาการทพ่ี งึ ประสงคอีโกท่ีไมเขม แข็ง อโี กท เ่ี ขม แข็งภาพท่ี 4.1: ภาพแสดงความขดั แยงทางสงั คม-จิตใจทม่ี ผี ลตอ การพัฒนาบุคลิกภาพทม่ี า : ศรเี รอื น แกว กังวาล, 2538, หนา. 40. ความขัดแยงทางสังคมและจิตใจ เกิดจากความสัมพันธของบุคคลกับกลุมบุคคลท่ีเปนศูนยกลางความผูกพันซึ่งจะเปลี่ยนไปตามชวงวัย หากบุคคลสามารถแกไขภาวะวิกฤติและขอขัดแยงไดดวยดี ก็จะทําใหเกิดลักษณะพัฒนาการ และบุคลิกภาพท่ีพึงประสงคเรื่อยไปตามลําดับสงผลตอโครงสรางบุคลิกภาพท่ีม่ันคง หากไมสามารถแกไขขอขัดแยงไดดวยดีจะกอใหเกิดพัฒนาการและบุคลิกภาพท่ีเปนปญหาอยางหนึ่งอยางใด หรือหลายอยาง มากนอยตามความรุนแรงของขอขัดแยง ทแี่ กไมต ก 121
การพัฒนาตน ข้ันพัฒนาการ อีริคสนั แบง พฒั นาการออกเปน 8 ข้ัน ตั้งแตแรกเกดิ ถึงวัยชรา ซงึ่ ในแตละข้ันมีขอขัดแยงทางสังคม-จิตใจ เปนคทู ัง้ 8 ขัน้ ตอน รายละเอียดของพฒั นาการแตล ะขั้นมีดงั นี้ (พรรณีชทู ยั เจนจติ , 2545, หนา 51-53) ความไววางใจ-ไมไววางใจ (Trust vs. Mistrust) อายุ 0-1 ป ชวงน้ีเปนชวงของการพัฒนาความไววางใจท้ังตอตนเองและผูอื่น ซ่ึงความรูสึกนี้จะพัฒนาขึ้นมาได เนื่องจากความคงเสนคงวาของพอแมในการตอบสนองความตองการพ้ืนฐานของเด็ก เพราะเด็กยังไมสามารถชวยตนเองได จงึ ตองคอยพึง่ พาผูอืน่ โดยเฉพาะพอแม เนื่องจากทารกมีความรูสึกไวท่ีปากเมอื่ ไดดูดนม ไดอาหาร ไดรับการสัมผัสอันออนโยนอบอุน เด็กยอมรูสึกไววางใจในสิ่งแวดลอม แตถา ไมไ ดรบั ความสุขจากการเล้ียงดูบอย ๆ เด็กจะเกิดความไมไววางใจ ในชวงน้ีจึงเปนชวงของการพัฒนาการมองโลกในแงดี หรือมองโลกในแงราย ทั้งน้ีสิ่งสําคัญในการพัฒนาความไววางใจ คือสัมพันธภาพระหวางพอแมลูกมากกวาปริมาณอาหารหรือการแสดงความรักโดยผิวเผิน อีริคสันกลาววา พัฒนาการของความไววางใจจะเปนรากฐานของความเปนเอกลักษณในการท่ีจะรูสึกวาตนเองเปนผมู คี วามสามารถ เปน ตัวของตัวเอง พงึ่ ตนเอง และนําตนเองได ความเปนตัวของตัวเอง-ไมม่ันใจในตัวเอง(Autonomy vs. Doubt) อายุ 2-3ป เด็กกาวเขาสูวัยแหงความรูสึกไวตอการขับถาย และถูกฝกใหขับถายเปนเวลา ฝกใหมีทักษะในการใชกลามเนื้อบริเวณขับถาย เมื่อเด็กเกิดทักษะก็จะบังคับการขับถายไดเอง เกิดความเปนตัวของตัวเองยิ่งขึ้น หากไดรับการฝกโดยละมุนละมอม ประกอบกับสมองสวนบังคับกลามเน้ือบรรลุวุฒิภาวะเพียงพอ แตถาไดรับการฝกอยางเขมงวดมากเกินไป และความสามารถในการบังคับกลามเน้ือยังไมดีพอ ก็จะเกิดความอับอาย เกิดความสงสัยวา ตนเองคงชวยเหลือตนเองไมได น่ันคือ พัฒนาความไมม่ันใจในตนเอง นอกจากน้ี เด็กวัยน้ียังเปนวัยที่ทดลองใชกลามเน้ือสวนตางๆของรางกาย ถาเด็กไดรับอนุญาตใหลองทําส่ิงตางๆ จนเกิดเปนทักษะทําใหพัฒนาความเปนตัวของตัวเอง ถาพอแมไมมีความอดทน ไมใหโอกาสลูก หรือทําทุกอยางแทนลูก ลูกจะไมเกิดทักษะในการบังคับกลามเน้ือ จะทําใหลูกเกิดความสงสัยในความสามารถของตน พัฒนาการความไมมนั่ ใจในตนเองตามมา122
การพฒั นาตน ความคิดริเริ่ม-ความรูสึกผิด (Initiative vs. Guilt) อายุ 4-5 ป เปนความสามารถในการมีสวนรวมในการทํากิจกรรมตาง ๆ ตลอดจนการใชภาษา อันตรายสําหรับข้ันน้ีคือ ความรูสึกผิด วัยนี้ถาพอแมมีเวลาใหกับเด็กในการตอบคําถาม ไมดุดา หรือตัดบทเพราะความเบื่อหรือรําคาญ ใหโอกาสเด็กมีอิสระไดศึกษาคนควาดวยตนเอง จะทําใหเด็กพัฒนาบุคลิกภาพเปนคนท่ีมีความคิดรเิ ร่มิ อยากศกึ ษาคนควา สํารวจ แตถาพอแมเขมงวดกับการกระทํา ไมเปดโอกาสใหเด็กไดซักถามในสิ่งที่สนใจอยากรู ซ้ํารูสึกวาการกระทําของเด็กเปนการกอกวนทําใหผูใหญรําคาญใจ พูดเร่ืองไรสาระ เด็กจะรสู ึกผิดในการที่คิดทําส่ิงตา ง ๆ ดวยตนเอง ความขยันหม่ันเพียร-ความรูสึกตํ่าตอย (Industry vs. Inferiority) อายุ 6-11 ป เปนวัยท่ีเด็กเร่ิมเขาโรงเรียน มีความตองการเปนที่ยอมรับของผูอื่น โดยการพยายามคิดทํา ผลิตส่ิงตาง ๆ ซึ่งจะไปชวยพัฒนาความขยันขันแข็ง อันตรายสําหรับขั้นนี้คือ ความรูสึกต่ําตอยชวยตนเองไมได ถาเด็กไดรับการกระตุนใหทําสิ่งตางๆ ใหกําลังใจ ใหทําจนสําเร็จ และใหคําชมเชยในความพยายามของเด็กจะเปนแรงกระตุนใหเด็กเกิดความมานะพยายาม แตถาเด็กทําสิ่งใดข้ึนมาแลวผูใหญไมใหความสนใจเห็นวานาเบ่ือ เด็กจะพัฒนาความรูสึกต่ําตอย เพ่ือปองกันไมใหเกิดความรูสึกต่ําตอย ผูใหญจึงควรใหการยอมรับ ใหง านท่เี หมาะสมกบั ความสามารถ และใหความสนใจกบั เด็ก ความเปนเอกลักษณ-ความสับสนในบทบาท (Identity vs. Role confusion) ชวงวัยรุนเปนวัยท่ีควรหาเอกลักษณ (Identity) ของตนเองใหได ถาวัยนี้ยังหาเอกลักษณของตนไมได จะเกิดความสับสนในบทบาทของตน ชวงนี้เด็กโตพอท่ีจะวิเคราะหตนเอง หาเอกลักษณของตนเองได รูวาตนเองคือใคร ตองการอะไร มีความเชื่อ หรือมีเจตคติอยางไร ตลอดจนมีเปาหมายอะไรในอนาคต ซ่ึงถา คน พบกจ็ ะสามารถแสดงบทบาทของตนไดอยางถูกตอง แตถาหาตนเองไมพบ ไมทราบวาตนเองมีเอกลักษณเชนใด ก็จะไมรูวาตนเองคือใคร ตองการอะไร ไมสามารถแสดงบทบาทไดถูกตอง จะรับบทบาทของคนอ่ืนๆ ในสงั คมมาเปน ของตน ซง่ึ ไมสอดคลองเหมาะสมกบั ตนเองทําใหเกิดความสับสน บคุ คลทผ่ี านพฒั นาการทงั้ ส่ีข้ันมาดวยดี จะพฒั นาความรูสึกนึกคิดเก่ียวกับตนเองในทางบวก แตก็ไมไดย ืนยันวา จะประสบผลสาํ เรจ็ ในข้ันตอไปไดท ้งั หมด ทงั้ น้ีเพราะยังตองเผชิญปญหาท้ังจากตนเองเกย่ี วกับการเปลี่ยนแปลงของรา งกาย และจากสงั คมเกี่ยวกับความคาดหวงัของผใู หญ ซึ่งทําใหปรบั ตวั ลําบาก แตถา มพี ื้นฐานของพฒั นาการทัง้ ส่ีขน้ั มาดี ประสบปญ หาเพยี ง 123
การพฒั นาตนเล็กนอ ย ก็สามารถหาจุดยืนของตนเองได เพราะรูถ ึงความสามารถ ความสนใจ ความตอ งการของตน แตผทู มี่ พี ืน้ ฐานพฒั นาการมาไมดี จะมีปญ หาในการปรับตัวย่งิ ขึน้ เพราะไมสามารถคนหาความสนใจ และความตองการของตนเองไดอยางถกู ตอง อาจทําอะไรตามเพื่อนเพียงเพ่อื ใหเกดิความรูส กึ วา ตนเองมีกลุม มีพวก ความผูกพัน-การแยกตัว (Intimacy vs. Isolation) วัยผูใหญตอนตน หลังจากผานขั้นท่ี 5 มาแลว บุคคลสามารถหาเอกลักษณของตนเองได รูวาตนเองคือใคร มีความเช่ืออยางไรตอ งการอะไรในชีวติ ก็จะเกิดความรูสึกตองการมีเพื่อนสนิท ที่สามารถรับรู รับฟงส่ิงตางๆ ที่ตนเองมีอยู ตองการท่ีจะแบงปนประสบการณท่ีตนเองมีใหผูอื่นรับรู อันตรายของวัยนี้คือ การไมสามารถสรางความรูสึกผูกพันใกลชิดกับผูอ่ืนได แตกลับมีความรูสึกแขงขันชิงดีชิงเดน ชอบมีเร่ืองทะเลาะเบาะแวงกับผอู ่ืน ซ่ึงจะนําไปสูการแยกตวั อยตู ามลาํ พัง วัยน้ีเปนชวงเวลาของการแตงงาน หากคูแตงงานมีความรูสึกผูกพัน ยอมสามารถอยูรวมกันไดเปนอยางดี รูจักถอยทีถอยอาศัยตอกัน แตถาทั้งคูยังหาเอกลักษณของตนไมได ยังไมรูจักตนเองดีพอ ยอ มไมส ามารถมคี วามรูสึกผูกพันตอกันได ไมมีอะไรจะแบงปนหรือแลกเปลี่ยนซ่ึงกนั และกนั มกั เกิดการหยา ราง หรือแยกจากกนั ไปในท่สี ดุ การทําประโยชนใหสังคม-การคิดถึงแตตนเอง (Generativity vs. Self absorption) วัยกลางคน เปนวัยท่ีสรางประโยชนใหสังคม หากพัฒนาการของบุคคลในขั้นที่ 5 และ 6 เปนไปดวยดี รูวาตนเองมีเอกลักษณเชนไร มีความตองการอยางไรในชีวิต ตลอดจนสามารถสรางสัมพันธภาพกับคนอ่ืนได เมื่อมาถึงข้ันท่ี 7 ก็พรอมท่ีจะทําประโยชนตาง ๆ ใหกับสังคม รูจักที่จะอบรมสั่งสอนลูกหลานใหเปนคนดีตอไป แตถาบุคคลใดไมพัฒนามาถึงข้ันน้ี จะเกิดความรูสึกทอถอยเหนื่อยหนายในชีวิต คิดถึงแตตนเอง ไมสรางประโยชนใหกับสังคม บุคคลท่ีพยายามใหความชวยเหลือสังคม แตปลอยใหลูกหลานภายในบานมีปญหาตางๆ นานา ไมเรียกวาเปนการทําประโยชนใหกับสังคมอยางแทจ ริง แตเ ปน การทําประโยชนใหกับตนเองโดยอาศยั การทํางานในสังคม การบูรณาการ-ความสิ้นหวัง (Integrity vs. Despair) วัยชรา เปนวัยสุดทายของชีวิตหากบุคคลผานพัฒนาการในขั้นตางๆมาไดดวยดี ยอมบังเกิดความพึงพอใจในชีวิตของตน รูจักแสวงหาความสุข ความสงบ และมีความพึงพอใจกับการมีชีวิต ความเปนอยูของตน แตถา124
การพัฒนาตนพัฒนาการในขั้นตนๆ ไมเหมาะสม เม่ือมาถึงข้ันน้ีจะรูสึกส้ินหวัง รูสึกวาเวลาเหลือนอยเหลือเกินส้ันเกินกวาที่จะแสวงหาวิธีตางๆ มาใชเพื่อใหชีวิตมีความสุข จะรูสึกเสียดายเวลาท่ีผานมา ไมยอมรบั สภาพความเปน อยูข องตน หาความสขุ ความสงบใหกับตนเองไมได 3) แนวคิดของนักจติ วิทยากลุมมนุษยนิยม อับราฮัม มาสโลว (Abraham Maslow, 1908 - 1970) ใหแนวคิดวา มนุษยทุกคนมศี กั ยภาพท่จี ะพัฒนาตนไปในทางท่ีดี ถาไดอยใู นสภาพแวดลอมที่เหมาะสม และเช่ือวามนุษยมีความตองการโดยธรรมชาติที่จะแสวงหาส่ิงดีงามไมวาจะเปนการเรียนรู การพยายามเขาใจส่ิงตาง ๆ โดยเฉพาะอยางย่ิง มนุษยมีแนวโนมท่ีจะพัฒนาไปสูการยอมรับตนเอง และเปนตัวของตัวเองท้ังนี้เพราะมนุษยมีพ้ืนฐานที่ดีเปนทุนเดิมอยูแลว และจะทําไดหากมนุษยมีโอกาสไดอยูในสง่ิ แวดลอมทดี่ ี หรืออยใู นสภาพทีเ่ อื้ออาํ นวย Maslow แบงลาํ ดับขัน้ ความตอ งการของมนุษยเปน 7ขน้ั เรยี งลําดับจากความตองการทางรางกาย ซึ่งเปนความตองการตํ่าสุด ไปจนถึงความตองการที่จะพัฒนาตนเองซ่งึ อยูใ นลาํ ดับสูงสุดความตองการทั้ง 7 ลําดบั มีดงั น้ี ความตองการทางดานรางกาย (physiological needs)เปนความตองการขั้นพ้ืนฐาน ไดแก ความตองการอาหาร น้ําด่ืม อากาศ การพักผอน ความตองการทางเพศ ความตอ งการความอบอุน ตอ งการขจัดความเจบ็ ปว ย และตองการรักษาความสมดุลของรางกาย ทุกคนตอ งการสิง่ เหลา นเ้ี หมอื นกัน อาจแตกตางกันเปน รายบคุ คล ทงั้ น้ขี ้นึ อยูกับเพศ วัย และสถานการณฯลฯ ความตอ งการปจจยั 4 ดงั กลา วขา งตน หากเพียงพอแลว มนษุ ยจะพฒั นาในข้นั ตอไป ความตองการความปลอดภัย (safety needs) บุคคลมักกลัวส่ิงท่ีแปลกไปจากเดมิ สงิ่ ทไี่ มค นุ เคยมากอน สงิ่ ท่ีเปนอนั ตราย ดังน้นั บุคคลจงึ ตองการความปลอดภัย ส่ิงท่ีแสดงถึงความตองการขั้นนี้คือ การที่มนุษยชอบอยูอยางสงบ มีระเบียบวินัย ไมรุกรานผูอ่ืน ความตองการระดบั นี้อาจแยกยอ ยไดด ังน้ี • ความมนั่ คงในครอบครัว การมีบานแข็งแรงปลอดภัย มคี วามรกัใครปรองดองกันในครอบครัว • ความมั่นคงปลอดภัยในอาชีพ มีรายไดยุติธรรม ไมถกู ไลออก งานไมเสีย่ งอนั ตราย ผบู งั คับบัญชาดีมคี วามยุติธรรม ฯลฯ • มหี ลกั ประกันชีวิต เชน มีผดู ูแลเอาใจใสย ามชรา ยามเจ็บไข 125
การพัฒนาตน ความตอ งการความรักและความเปนเจาของ (love and belonging needs)อยากไดความรัก อยากเปนเจาของคนอ่ืน ขณะเดียวกันก็ตองการใหตนเองเปนท่ีรักของใครสักคนถารสู ึกวา ไมมีใครรกั จะเหงา วาเหวแ ละรูส กึ วา ขาดบางส่งิ ของชีวติ • ความตองการมเี พ่อื น • ความตองการการยอมรับจากกลุม • ความตอ งการแสดงความคดิ เหน็ ในกลุม • ความตอ งการรกั คนอ่ืนและไดร ับความรักจากคนอ่นื • ความตอ งการความรสู กึ วาสังคมเปนของตน ความตองการเห็นตนเองมีคุณคา (esteem needs) เปนความตองการเห็นตนเองมคี ณุ คา ในสายตาของตนเองและของผูอ่ืน ความตองการน้ีจะควบคูไปกับความรูสึกม่ันใจ เขมแข็ง และสามารถพ่ึงตนเองได มีความกาวหนา มีชอื่ เสยี ง ไดร บั การยอมรบั หรือความนิยมจากคนอนื่ • ตอ งการยอมรับความคิดเห็นหรือขอเสนอ • ตอ งการเกยี รตยิ ศชื่อเสียงจากสงั คม • ตอ งการนบั ถือตนเอง มีความมั่นใจตนเอง ไมต องพึ่งผอู ื่น • ตองการไดร บั การยกยองนบั ถอื จากผูอื่น • ตองการความมั่นใจในตนเอง และรูสึกตนเองมคี ุณคา ความตองการท่ีจะทําความเขาใจตนเอง (needs for self – actualization)เปนความตองการที่จะเขาใจตนเองตรงตามสภาพท่ีตนเองเปนอยู ไดแก ความสามารถ ความสนใจ ความตองการของตนเอง ยอมรับไดในสวนที่ดีและสวนท่ีบกพรองของตนเอง ซ่ึงจะเปนพนื้ ฐานของความสาํ เรจ็ ของชีวิต • ตองการรูจักตนเอง ยอมรับตนเอง เปดใจรบั ฟง คาํ วิจารณโดยไมโ กรธ • ตองการรจู ักแกไขตนเองในสวนทยี่ ังบกพรอง • ตอ งการพัฒนาตนเอง พรอมที่จะรับฟงความคิดเห็นของผูอ่ืนเก่ียวกับ ตนเอง • ตองการคน พบความจริง พรอ มทีจ่ ะเปดเผยตนเองโดยไมม กี ารปกปอ ง • ตองการเปนตวั ของตัวเอง ประสบความสําเร็จดวยตวั เอง126
การพฒั นาตน บคุ คลที่พฒั นาถึงข้นั ตระหนกั ในตนเอง (self-actualization) เปน บุคคลที่มีจริยธรรมมีวินัยในตนเอง และมีบุคลิกภาพประชาธิปไตย การพัฒนาจากข้ันตนไปสูขั้นตอ ๆ ไปนั้น ตองอาศัยความ “พอ” ของบุคคล ซ่ึงความพอนี้ นอกจากจะข้ึนกับสภาพทางกายแลว ยังขึ้นอยูกับความรูสึกพอดีดว ย ความตองการท่ีจะเขาใจ (desire to know and understand) เปนความตองการทีอ่ ยากจะศกึ ษาความรูซึ่งเปน ความพงึ พอใจ และเปน ความตอ งการของตนเอง ความตองการดานสุนทรียะ (aesthetic needs) เปนความตองการในสิ่งสวยงาม ศลิ ปะและสง่ิ จรรโลงใจMaslow เรียกความตองการข้ันที่ 1-4 วาเปน Lower deficiency needs หรือ D. needs และเรียกความตองการขั้นที่ 5-7 Higher being need หรือ B. needs โดยอธิบายวา D. needs เปนความตองการที่ขาดไมได หากขาดไปมนุษยจะแสวงเพื่อสนองความตองการน้ัน ๆ เม่ือ D. needs ไดรับการตอบสนองแลวมนุษยจะแสวงหา B. needs ตอไป B. needs เปนส่ิงท่ีมนุษยใฝหามิไดเกิดจากการขาดหรือกลาวไดวา B. needs เปนความตองการที่จะพัฒนาตน ความแตกตางกันของความตองการทั้ง 2 กลุม (Abraham H. Maslow, “A Theory of Hunman Motivation” PsychologicalReview vol. 50. 1943 . PP 340-396.) มีดงั นี้ ความตอ งการขั้นตํา่ Lower deficiency needs หรือ D. needs 1. มนุษยทําทุกวิถีทางเพื่อใหสําเร็จหรือขจัดความตองการข้ันต่ํา เชนเม่อื หิว ก็ตอ งหาอาหารมากินเพื่อขจดั ความหิว 2. แรงจูงใจอันเน่ืองมาจากความตองการขั้นต่ําจะนําไปสูการกระทําเพื่อลดความตึงเครียดตาง ๆ ทั้งนี้เพื่อใหรางกายอยูในสภาพสมดุล เชน คนที่ตองการการยอมรับนบั ถือจะทาํ ทกุ สง่ิ ใหไดม าซึง่ การยอมรบั นบั ถือ ความมชี ื่อเสียง 3. การทีม่ นษุ ยสามารถสนองความตองการข้ันต่ํา ทําใหหลีกเลี่ยงจากความทุกขห รอื ความเจบ็ ปวยได เชนอากาศหนาว เราจะนอนไมหลับจนกวาจะไดเส้ือหรือผาหมจึงจะนอนหลบั 4. การท่ีมนุษยสามารถสนองความตองการข้ันตํ่าจะรูสึกวาพนจากความทุกข พนจากความกระวนกระวาย จะเกดิ ความรูส กึ วาไมตองการส่ิงใดอกี แลว ในขณะน้ัน 5. การสนองความตองการข้ันตํ่าจะมีลักษณะเปนครั้งคราว หรือเปนเปนเวลา และมีลักษณะท่ใี ชหมดไปในแตล ะคร้ัง 127
การพัฒนาตน 6. ความตองการขั้นต่ําซ่ึงตองการการตอบสนอง จากปจจัยภายนอกนั้นเปนส่ิงท่ีทุกคนมีประสบการณรวมกัน เชน รูวาความหิวเปนเชนไร หรือความตองการความรักการยอมรับจากกลมุ เปนอยา งไร 7. ความสนองตอ งการขั้นต่าํ ซึ่งตองการอาศัยปจจัยภายนอกน้ัน สวนใหญผูอ่ืนเปนผูสนองให ซึ่งจะทําใหคนเกิดความรูสึกที่ตองคอยพึ่งพาผูอ่ืน ซึ่งจะนําความรูสึกไมเปนตัวของตัวเอง ทําอะไรตองคอยระมัดระวังการยอมรับของผูอื่นคอยดูวา ผูอ่ืนจะคิดอยางไรกับตน 8. คนท่ีมีลักษณะของความตองการข้ันตํ่า สวนใหญจะเปนคนที่คอยพึ่งพาผูอื่น โดยเฉพาะอยางย่ิงกับบุคคลที่เห็นวาจะสนองความตองการใหได ซ่ึงจะกลายเปนคนสัมพันธภาพกับบุคคลอื่นในวงจํากัด ไมสนใจท่ีจะสรางความสัมพันธกับบุคคลที่ไมสามารถทําประโยชนใ หได 9. คนท่ีมีลักษณะของความตองการข้ันตํ่า มีแนวโนมจะยึดตนเปนศูนยกลาง ไมค อยคาํ นึกถงึ ปญหา มักจะคํานึกถงึ เรอื่ งสวนตัว 10. คนท่ีมีลักษณะของความตองการขั้นตํ่า จะชวยตัวเองไมได ตองคอยขอความชว ยเหลือจากผอู ื่น เมอื่ เขา ทค่ี บั ขนั หรือประสบปญ หายงุ ยากตางๆ ความตองการข้นั สูง Higher being need หรือ B. needs 1. มนษุ ยจ ะแสวงหาความพงึ พอใจข้ันสูงสุด เชน แสวงหาความรู หรือทําประโยชนใ หสงั คมโดยไมห วงั สิง่ ตอบแทน นอกจากความพงึ พอใจ 2. แรงจูงใจที่เน่ืองมาจากความตองการขั้นสูง จะทําใหคนมีความสบายใจอยูไดแมในสภาพที่มีความตึงเครียด เชน ทนไดแมนแตคํานินทาวาราย ไมสะดุงสะเทือนเพราะตระหนักดีถงึ ความสามารถที่ตนจะทาํ ประโยชนใ หแ กส ังคมเกินกวาจะไปสนใจคําพูดของคนบางคนหรอื คําพูดของคนบางกลุม 3. การท่สี ามารถสนองความตองการขั้นสูงได จะทําใหเกิดความสุข มีสุขภาพจิตดี เชน คนท่ีมีความปรารถนาจะศึกษาคนควาโดยมิไดมีส่ิงลอใจอ่ืนใด จะมีความสุขความอมิ่ ใจ มากกวาการกระทาํ ทหี่ วงั ส่งิ ตอบแทน 4. การสนองความตองการข้ันสูง จะนําไปสูความพึงพอใจและความปรารถนา จะแสวงหาความสุข ในขั้นตอไป เชนการแสวงหาโดยมิไดหวังสิ่งตอบแทนจะทําใหผูที่แสวงหาเกิดความสุข ความพึงพอใจ โดยไมมที ี่สนิ้ สดุ 5.การสนองความตองการข้นั สงู เปนเรอื่ งตอเนอื่ งกนั ไปไมมีที่สิน้ สุด128
การพฒั นาตน 6. ความตองการขั้นสูง เปนประสบการณเฉพาะตัว ท้ังน้ีเพราะความแตกตางระหวา งบุคคล เชน บางคนฟง ดนตรี หรือมองพระจันทรแลวเกิดความซาบซึ้งจนนํ้าตาไหลซึง่ เปน ความรสู กึ เกินกวาจะบรรยายใหผูใ ดรบั ทราบได 7. การสนองความตองการขั้นสูงนั้น แตละคนจะเปนผูสนองความตองการใหกับตนเอง ซ่ึงจะนําไปสูการพึ่งตนเองหรือนําตนเองได เปนตัวของตัวเอง ไมตองวิตกกังวลวาใครจะคดิ อยางไรกบั ตน ซ่งึ สามารถทาํ งานไดเต็มที่ 8. คนที่มีลักษณะของความตองการข้ันสูง จะเปนคนท่ีพึ่งตนเองไดจะเปน ผสู รางสมั พนั ธภาพทีด่ กี ับคนทั่วไป ไมใ ชส รางสมั พนั ธเ ฉพาะกับคนท่ีจะทําประโยชนใหเทาน้ัน 9. คนที่มีลักษณะของความตองการขั้นสูง จะเปนคนคํานึกถึงปญหามากกวา ไมคอยคาํ นกึ ถงึ เรือ่ งสวนตัว เปน ผทู าํ งานเพื่องาน มุงผลประโยชนส วนรวมมากกวา สวนตัว 10. คนท่ีมีลักษณะของความตองการข้ันสูง จะสามารถชวยเหลือตนเองไดดี แมเ มอื่ เขา ทค่ี บั ขนั ทั้งน้ีเพราะมีความเชื่อมั่นในตนเอง สามารถตัดสินใจแกปญหาตางๆไดด วยตนเอง Maslow เช่ือวาในสังคมปจจุบันมีคนนอยมาก ที่สามารถสนองความตองการในลําดับสูงสุดได ท้ังนี้เพราะเขาเหลานั้นยังไมสามารถบรรลุความตองการในลําดับตํ่า จึงไมเกิดความตองการทจี่ ะพัฒนาตนอัตมโนทัศน : Self-Concept ในการศึกษาเรื่องตัวตน เราจําเปนตองเรียนรู ในเรื่องของ อัตมโนทัศน และการเห็นคุณคาในตนเอง เพ่ือเปนพื้นฐานในการพัฒนาตนเอง อัตมโนทัศน : Self-Conceptหมายถงึ ความเขาใจตนเองในดานตาง ๆวาตนเปนอยางไรตามที่ตนประเมิน ประกอบดวยความเขา ใจวารูปรางหนาตาและความสามารถทางกายเปนอยางไรการพัฒนาอัตมโนทัศน อัตมโนทศั นเ ปนผลมาจากปจ จยั 4 ประการคือ 1. การปฏิสมั พนั ธกับผอู น่ื 2. การเปรียบเทียบตนเองกับผอู ื่น 3. การรับขอ มูลยอนกลบั จากผอู นื่ 4. การสงั เกตความรสู ึก ความคดิ และพฤติกรรมของตนเอง 129
การพฒั นาตน การเห็นคุณคาในตนเอง (Self - Esteem) หมายถึง ความรูสึกมั่นใจในตนเองและความพงึ พอใจในตนเอง ความรสู ึกนเ้ี กดิ จาก 5 องคประกอบ ดังนี้ 1.ความรสู ึกปลอดภัยทางกาย 2.ความมั่งคงทางอารมณ 3.ความมีเอกลกั ษณ 4.ความเปนเจาของ 5.ความสามารถ องคประกอบท่ีมีผลตอคุณลักษณะดานการเห็นคุณคาของตนเอง การเห็นคุณคาในตนเองเปน สว นของความรสู กึ ความนึกคิดทบ่ี ุคคลมตี อตนเอง จําแนกองคประกอบไวดังน้ี 1. องคประกอบภายในตัวบุคคล ไดแก ลักษณะทางรางกาย สภาพจิตใจ อารมณ ความรสู กึ 2. องคประกอบภายนอกตัวบุคคล ไดแก การอบรมเล้ียงดู สถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม การมสี วนรวมในกจิ กรรมตา งๆตอนท่ี 4.2 ทฤษฎีทเ่ี ก่ียวขอ งกับการพฒั นาตน เรื่องที่ 4.2.1 แนวคดิ พืน้ ฐานในการพัฒนาตน การพัฒนาตนเอง เปนการสรางความสามารถของบุคคลใหมีมากขึ้นและการพัฒนาความสามารถ ท่ียังไมไดพัฒนาของตนเองดวย โดยเหตุที่มนุษยเรามีความ ตองการที่จะใหตนเองเจริญกาวหนา (ความตองการความเจริญกาวหนาสวนตัว และการรับรูศักยภาพของตนเอง)ดังน้ันทุกคนจึงตองพยายามพัฒนาตนเองเพ่ือใหมีชีวิตท่ีดียิ่งขึ้น บุคคลท่ีจะพัฒนาตนเองได จะตองเปนผูมุงมั่นท่ีจะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงตัวเอง โดยมีความเชื่อหรือแนวคิดพ้ืนฐานในการพฒั นาตนที่ถูกตอ ง ซึ่งจะเปนสงิ่ ท่ชี วยสงเสริมใหการพัฒนาตนเองประสบความสําเร็จ แนวคิดที่สาํ คญั มดี งั น้ี 1. มนุษยท ุกคนมศี ักยภาพทมี่ ีคุณคา อยูในตัวเอง ทําใหสามารถฝกหัดและพัฒนาตนไดใ นเกอื บทกุ เรอ่ื ง 2. ไมมีบุคคลใดที่มีความสมบูรณพรอมทุกดาน จนไมจําเปนตองพัฒนาในเรอื่ งใดๆ อกี130
การพัฒนาตน 3. แมบุคคลจะเปน ผูท ร่ี ูจกั ตนเองไดด ีทส่ี ดุ แตก็ไมสามารถปรับเปล่ียนตนเองไดในบางเรื่อง ยังตองอาศัยความชวยเหลือจากผูอ่ืนในการพัฒนาตน การควบคุมความคิดความรสู กึ และการกระทําของตนเอง มีความสาํ คญั เทากับการควบคมุ สง่ิ แวดลอมภายนอก 4. อุปสรรคสําคัญของการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง คือ การที่บุคคลมีความคดิ ตดิ ยดึ ไมยอมปรับเปล่ียนวิธีคิด และการกระทํา จึงไมยอมสรางนิสัยใหม หรือฝกทักษะใหมๆ ทจ่ี ําเปน ตอตนเอง 5. การปรับปรุงและพัฒนาตนเองสามารถดําเนินการไดทุกเวลาและอยางตอเน่ือง เม่ือพบปญหาหรือขอ บกพรองเก่ียวกับตนเอง เร่ืองท่ี 4.2.2 แนวคิดและทฤษฎีในการพัฒนาตน การพัฒนาตนเอง เปนการสรางความสามารถของบุคคลใหมีมากขึ้นและการพัฒนาความสามารถ ที่ยังไมไดพัฒนาของตนเองดวย โดยเหตุท่ีมนุษยเรามีความ ตองการที่จะใหตนเองเจริญกาวหนา (ความตองการความเจริญกาวหนาสวนตัว และการรับรูศักยภาพของตนเอง)ดงั นน้ั ทกุ คนจงึ ตองพยายามพฒั นาตนเองเพ่ือใหมชี วี ิตท่ดี ีย่ิงขึน้ แนวคดิ พืน้ ฐานในการพัฒนาตน บุคคลท่ีจะพัฒนาตนเองได จะตองเปนผูมุงมั่นที่จะเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงตัวเอง โดยมีความเช่ือหรือแนวคิดพื้นฐานในการพัฒนาตนที่ถูกตอง ซึ่งจะเปนสิ่งท่ีชวยสง เสริมใหการพัฒนาตนเองประสบความสําเร็จ แนวคิดทสี่ าํ คญั มดี งั น้ี 1. มนุษยทุกคนมีศักยภาพที่มีคุณคาอยูในตัวเอง ทําใหสามารถฝกหัดและพฒั นาตนไดใ นเกือบทุกเร่อื ง 2. ไมม บี ุคคลใดท่มี คี วามสมบูรณพ รอมทกุ ดาน จนไมจําเปนตองพัฒนาในเรือ่ งใดๆ เพิม่ เติมอีก 3. แมบุคคลจะเปนผูที่รูจักตนเองไดดีที่สุด แตก็ไมสามารถปรับเปล่ียนตนเองไดในบางเรื่อง ยังตองอาศัยความชวยเหลือจากผูอื่นในการพัฒนาตน การควบคุมความคิดความรสู กึ และการกระทําของตนเอง มคี วามสาํ คญั เทากับการควบคุมสง่ิ แวดลอมภายนอก 4. อุปสรรคสําคัญของการปรับปรุงและพัฒนาตนเอง คือ การท่ีบุคคลมีความคิดติดยึด ไมยอมปรับเปล่ียนวิธีคิด และการกระทํา จึงไมยอมสรางนิสัยใหม หรือฝกทักษะใหมๆทจ่ี ําเปน ตอ ตนเอง 131
การพัฒนาตน 5. การปรับปรุงและพัฒนาตนเองสามารถดําเนินการไดทุกเวลาและอยางตอเนื่อง เมอ่ื พบปญ หาหรือขอบกพรองเกี่ยวกับตนเอง แนวคดิ และทฤษฎีในการพฒั นาตน แนวคิดของ Stephen R. Covey แนวคิดในการพัฒนาตน ไดนําแนวคิดมาจาก หนังสือ “อุปนิสัย 7ประการสําหรับผูมีประสิทธิภาพ\" (The Seven Habits of Highly Effective People) หนังสือของสตีเฟน อาร โคว่ี (Stephen R. Covey) หนึ่งในหนังสือที่ไดรับการนิยมมากที่สุดในโลก มีการแปลในภาษาตางๆ แลวมากกวา 34 ภาษา จําหนายไปแลวกวา 20 ลานเลมทั่วโลก ทําให Stephenเปนบคุ คลทไ่ี ดร บั การกลาวถงึ ในดานของการพัฒนาตนเอง แนวคิดของ Stephen จึงเปนแนวคิดในการพัฒนาตนที่ ทันสมัยเหมาะกับบุคคลที่อยูโลกยุคใหมท่ีมี แนวทางการดําเนินชีวิตท่ีแตกตางออกไปจากเดิม การพัฒนาตนเองของ Stephen อธบิ ายผา นอุปนิสยั 7 ประการ ดังนี้ 1. เปน ผกู ระทํา (Be Proactive) คนเราน้ัน หากไมเปนผูกระทํา (Proactive) ก็มักจะเปนผูถูกกระทํา(Reactive) คนที่เปนคนเฉ่ือย ไมยอมคิดไมยอมสรางอะไร ก็จะถูกสิ่งแวดลอมมากระทบหรือนําพาบังคับใหตองทําอยางนั้นอยางนี้ ไปตามสภาพแวดลอม แบบน้ันเรียกวาเปนผูที่ถูกกระทํา แตในทางตรงกันขาม คนที่อยูในประเภทที่เปนผูกระทําจะเปนผูเลือกท่ีจะทําหรือจะไมทําส่ิงใดๆดวยเหตุดวยผลของเขาเอง คือคิดวาตัวเองเปนผูกําหนดชีวิตของตน ทั้งนี้ดวยการพิจารณาไวกอน ไมใชวาถึงเวลาแลวคอยคิดจะทําเพราะสุดทายแลวก็จะกลายเปนผูถูกกระทําและตอบสนองตอส่ิงแวดลอมเหมอื นเดมิ 2. เรมิ่ ตน โดยมีเปาหมายชัดเจน (Begin with the end in mind) การมีเปาหมาย คือการวางแผนการทํางาน หรือแมแตชีวิตของคนเราไวตั้งแตแ รกเร่ิมท่ีจะทําการอะไรใด เพราะหากเราไดตั้งใจไวแลววาในท่ีสุดแลว การงานหน่ึงๆ หรือชีวิตของเราจะมีลักษณะสุดทายเปนอยางไร เรากจ็ ะทําตัวใหสอดคลองกับจุดหมายนน้ั โดยไมไ ขวเขวไป 3. ทําสิ่งสําคัญกวากอ น (Put first things first)132
การพฒั นาตน อันนี้เปนสิ่งท่ีสําคัญเชนกัน เพราะในชีวิตประจําวันเราน้ันอาจจะตองมีกิจกรรมหลายอยางท่ีจะตองทํา บางอยางน้ันเปนเรื่องท่ีสําคัญ บางอยางเปนเร่ืองไมสําคัญบางอยา งไมเรง ดวน บางอยางเรงดวน ดังน้ันแลว สิ่งตางๆ ในชีวิตอาจจะผสมกันออกมาเปนไดหลายแบบคอื : ก) สําคัญและเรงดวน - ตองทําโดยเร็วที่สุดและตองทําใหดีดวย อันน้ีเปน สิ่งทีไ่ มนา จะเกดิ หากวางแผนไวดี ข) สําคัญแตไมเรงดวน – เปนเรื่องที่นาจะทําไดดีท่ีสุด รีบทําเสียเนิ่นๆ จะไดท ําไดด ี และไมกลายเปน ขอ ก) ในที่สุด ค) ไมสําคัญแตเรงดวน - ตองรีบทํานะแตจริงๆ นะไมทําก็ได เชนดูละครทีวีท่กี าํ ลังฉายเปน ตน ง) ไมสําคัญและไมเรงดวน - ไมทําก็ได แตหลายๆคนก็ใหเวลากับตรงนีอ้ ยูมาก หากคนเราใหเวลากับการทํางานในขอ ข) ใหไดมาก ก็จะทําใหงานน้ันออกมาดี(เพราะไมตองรีบ) และก็นาจะประสบความสําเร็จในชีวิตไดมากที่สุด เพราะวาไดใชเวลาในการทํางานท่ี \"สําคัญ\" มากกวาอยางอ่ืนน่ันเองความลับของความสําเร็จของคนก็อยูตรงนี้คือพยายามวางแผนและจัดเวลาใหไดทํางานในลักษณะของขอ ข) ใหไดมากท่ีสุด เพราะน่ันหมายถึงวาเราจะทาํ งานทีส่ าํ คัญท่ีสุดไดดีท่สี ุดน่ันเอง 4. ชอบคิดแบบชนะ-ชนะ (Think Win-Win) การคิดแบบ ชนะ – ชนะ คือการกระทําใดๆ กับใครๆ ที่อยูรอบๆ ตัวเราแลวไดผลประโยชนทั้งสองฝายเรียกวา \"ชนะ\" ท้ังสองฝายโดยไมมีฝายใดพายแพเสียประโยชนอาจจะมีคนเขาใจผิดวาเปนการ \"ประนีประนอม\" แตจริงๆ แลวไมใช เพราะวาการประนีประนอมน้ันคูกรณีอาจจะเสียประโยชนท้ังสองฝายก็เปนได การคิดและทําแบบ win-win น้ีจะตองเกิดอยูบนพื้นฐานของทัศนคติที่ดีและตองการใหไดประโยชนเทาเทียมกันทั้งสองฝายในระยะยาวในบางครั้งฝายใดฝายหนึ่งอาจจะตองเสียเปรียบกอน แตในท่ีสุดแลว เมื่อดําเนินการตามแผนท้ังหมดแลว ทั้งสองฝา ยจะตอ งไดประโยชนท งั้ คูเทาๆ เทยี มกัน 133
การพฒั นาตน 5. การพยายามเขาใจคนอ่ืนกอน (Seek first to understand thento be understood) นิสัยนี้เปนการที่เราพยายามเขาใจคนอื่นกอน เพราะการพยายามเขาใจคนอ่ืนนั้นงายกวาการที่จะทําใหคนอ่ืนเขามาเขาใจเรา หลักการที่จะทําใหเราเขาใจคนอ่ืนไดงา ยน้ันจะตอ งเริ่มตน ดวยการฟง นั่นคือ ฟงอยางพยายามทําความเขาใจ เม่ือเราเขาใจเขาเราก็จะรูวาเขาคิดอยางไร มีพื้นฐานอยางไร เม่ือเปนเชนน้ันแลว เวลาตอมาท่ีเราจะพูดเพื่อใหเขาเขาใจในสวนของเรากจ็ ะเปน เร่ืองท่งี ายขึ้น 6. ชอบประสานงานเพื่อเพ่ิมพลัง (Synergize) เม่ือใดก็ตามท่ีคนเราท่ีรวมงานกันมีโอกาสไดทํางานดวยกัน ก็สมควรที่จะคิดและทําเพ่ือใหไดงานมากกวาคุณคาของคนเพียงสองคนหรือพูดอีกแงหนึ่งวา 1 + 1ตองมากกวา 2 นนั่ เอง การทีเ่ ราจะทาํ อยางที่กลาวมาแลวได ก็จะตองยอมรับในความแตกตางของคนอ่ืนและพยายามมองวาความแตกตางนั้นนาจะมีประโยชนมากกวาโทษ และนําขอดีของความแตกตางนั้นมาใชประโยชนใหมากที่สุด โดยการแลกเปล่ียนความคิดเห็นและเรียนรูดวยกันเพ่ือทําใหเกิดการพฒั นา 7. ฝกฝนตนเองใหพรอมเสมอ (Sharpen the saw) เม่ือคนเรามีความรูในระดับหน่ึงแลว ก็ยังไมเพียงพอ หากเมื่อใดที่หยดุ คิดและพัฒนาตนเอง กเ็ หมอื นกับตายไปแลวครึ่งหน่ึงน่ันเอง เรายังตองพยายามฝกฝนพัฒนาตัวเราเองเสมอ ดวยวิธกี ารงายๆคือ: ก) ดูแลสุขภาพทางกายใหดี - เม่ือแข็งแรงจะคิดอะไร ทําอะไรก็งา ยไปหมด ข) บํารุงความคิด - โดยการอานหนังสือ, ฟงสัมมนา,ดูรายการสารคดีเปน ตน ค) พัฒนาจิตวิญญาณ - ทําจิตใจใหผองใส อาจจะนั่งสมาธิ,ฟงเพลงทีส่ งบ ทาํ ใหจ ิตใจไมฟ ุงซา น ง) พัฒนาอารมณ - ใหเปนคนดี เขากับคนอ่ืนไดงายเขาใจความรูสึกของคนอน่ื โดยเฉพาะกบั คนในครอบครัว134
การพัฒนาตน สามารถ กลาวโดยสรุป ไดวาอุปนิสัย 7 ประการสําหรับผูมีประสิทธิภาพขอ 1-3 เปนชีวิตสวนตัว ทําใหเราเปนคนมีประสิทธิภาพ ไมวอกแวก ขอ 4-6 ที่ทําใหเราเปนผูใหญ ทําใหเราอยูในสังคมไดดี มีปฏิสัมพันธกับคนอื่นไดอยางมีความสุข นิสัยสุดทายคือดูแลความสมดุลระหวางผลผลิตกับความสามารถในการใหผลผลิต หากเราสามารถพัฒนาตนเอง ใหมีอุปนิสัยท้ังหมดเหลานี้ใหมีอยูในตัวเราก็จะทําใหเราเปนคนที่มีประสิทธิภาพในการทํางานทําการส่ิงใดก็สําเร็จไดโดยงาย โดยไมสรางความเดือดรอนขุนหมองใจใหกับท้ังตัวเราเองและคนอื่นท่ีเราทาํ งานดวย แนวคิดของ เฮอรซเบอรก (Herzberg’s two factors theory) ทฤษฎีสององคประกอบของ เฮอรซเบอรก (Herzberg’s two factorstheory) กลาวถึง ความตองการของมนุษยท่ีขึ้นอยูกับความแตกตางของความตองการ 2 ดาน คือพ้ืนฐานทางชีววิทยา และความตองการทางดานจิตใจ เฮอรสเบิรก กลาววา มนุษยจะเกิดความรูส กึ ทด่ี ี ไมด ี ความพงึ พอใจหรือไมพงึ พอใจมาจากสง่ิ ตอ ไปน้ี 1 ปจ จยั แรงจงู ใจ 1.1 ความสําเร็จของงานหมายถึง การท่ีบุคคลทํางานไดเสร็จสิ้นและประสบผลสําเร็จเปนอยางดี ความสามารถในการแกปญหาตาง ๆ การรูจักปองกันปญหาที่จะเกดิ ขึ้น และการแสดงส่งิ ใดสง่ิ หนึ่งทสี่ ง ผลใหเห็นผลงานงานของบคุ คล 1.2 การไดรบั การยอมรับนับถือไมวาจากผูบังคับบัญชา กลุมเพื่อนผูมาขอรับคําปรึกษาจากหนวยงานหรือจากบุคคลอื่นโดยทั่วไป ซึ่งการยอมรับน้ีอาจจะอยูในรูปแบบของการยกยอ งชมเชยอยา งไรกต็ ามการไดร บั การเล่ือนขั้นตําแหนงหรือไดรับเงินเดือนเพิ่มก็จดั วาอยูในลกั ษณะของการยอมรับนับถือเหมอื นกนั แตเ ปนการยอมรับในระดับรองลงไป 1.3 ลักษณะของงานหมายถึง ความรูสึกท่ีดีหรือไมดีของบุคคลที่มีตอลักษณะของงาน เชน อาจจะเปนงานประจํางานทีตองการความคิดริเริ่มสรางสรรค เปนงานท่ีงา ยหรอื ยากเกินไป เปนตน 1.4 ความรับผิดชอบหมายถึง ความพึงพอใจที่เกิดขึ้นจากการไดรบั มอบหมายใหร ับผิดชอบงานใหม ๆ และมอี าํ นาจรบั ผดิ ชอบไดอ ยางเต็มที่ 1.5 ความกาวหนาในตําแหนงการงานหมายถึง การเปลี่ยนแปลงในสถานะ หรอื ตาํ แหนง บุคคลของบคุ คลในองคก าร ในกรณีท่บี ุคคลยายตําแหนงจากแผนกหน่ึงไป 135
การพัฒนาตนยัง อีกแผนกหน่ึงขององคกรโดยไมมีการเปล่ียนแปลงของสถานท่ีเปนแตเพียงการเพิ่มโอกาส ใหมีความรับผิดชอบงานมากขึ้นเรียกไดวาเปนการรับความรับผิดชอบแตไมใชเปนความกาวหนาในตําแหนงอยา งแทจรงิ 2 ปจจัยคํ้าจุน เปนองคประกอบที่เกี่ยวของกับส่ิงแวดลอมในการทาํ งาน ดงั นี้ 2.1 เงินเดือนหมายถึง ความพึงพอใจในเงินเดือน หรือเงินเดือนท่ีเพม่ิ ขน้ึ 2.2 โอกาสท่ีจะไดรับความกาวหนาหมายถึง สถานการณท่ีชวยใหบุคคลไดเ จริญกาวหนาในการทํางานทเ่ี ขารับผิดชอบอยูนนั้ 2.3 ความสัมพันธกับเพื่อนรวมงานหมายถึง ลักษณะการติดตอสอ่ื สารการพบปะกนั โดยทางวาจา หรอื ทางพฤตกิ รรม 2.4 สภาพการทํางานหมายถึง สภาวะทางกายภาพ เชน แสง เสียงอากาศหองน้าํ ชั่วโมงการทํางาน และอื่น ๆ ที่สงผลตอการทํางาน 2.5 ลักษณะของงาน หมายถึง สถานการณท่ีเก่ียวของกับงาน เชนความรูส ึกมั่นคง ระยะเวลาในการทํางาน และความปลอดภัย เปน ตนในการพัฒนาตน บคุ คลจาํ เปน ตองสาํ รวจ ปจจัยทส่ี ง ผลตอความรสู กึ ความตองการ หรือ แรงจูงใจในการพัฒนาตนของตนเอง เพ่ือการพัฒนาตนท่มี ปี ระสทิ ธิภาพ แนวคิด อีอารจี ของอลั เดอรเ ฟอร (Alderfer’s ERG theory) ทฤษฎีอีอารจี ของอัลเดอรเฟอร (Alderfer’s ERG theory) ทฤษฎีความตองการน้ีไดประยุกตมาจากแนวคิดทฤษฎีความตองการของมาสโลวจากลําดับข้ันความตองการ 5ประการใหมีความตอ งการเพยี ง 3 ประการ ดังน้ี 1. ความตองการเพ่ือความอยูรอดของชีวิต (existence needs)เปน ความรสู ึกท่ดี ีทางรา งกายใกลเ คียงกับความตองการดานรางกาย และความปลอดภยั ของมาสโลว 2. ความตองการในดานความสัมพันธ (related needs) เก่ียวของกับความตอ งการเปนเจาของของมาสโลว136
การพัฒนาตน 3. ความตองการความกาวหนา (growth needs) เปนความตองการรวมกันท่ีจะไดรับความนิยมยกยอง และความตองการท่ีจะรูสึกถึงความสามารถท่ีแทจริง ซ่ึงเปนความตอ งการระดับสงู สุดของมาสโลว อลั เดอรเฟอร เห็นวาความตอ งการของแตละบุคคลยอมเปนไปตามลําดับข้ัน แตในกรณที ่ีพยายามแลวเกดิ ความลมเหลวในความตองการดานอ่ืน ๆ ก็อาจหันไปสูความตองการในระดับตํ่าอีก เชน เม่ือเราพัฒนาตนเองแลวลมเหลวในความกาวหนาอาจทําใหเกิดแรงจูงใจที่จะพฒั นาตนเองในระดับทนี่ อยกวาเดมิ เปนตน แนวคิด แมคคลแี ลนด (McCleland’s theory) ทฤษฎีความตองการของแมคคลีแลนด (McCleland’s theory) ทฤษฎีเกี่ยวของกับสงิ่ แวดลอมรวมกนั กบั ความตองการของแตละบคุ คลทาํ ใหเปนแรงขับข้นั พ้นื ฐานของมนุษย 3 ประการ ดงั น้ี 1 ความตองการเพอ่ื ประสบผลสําเรจ็ (needs for achievenment)ผทู มี่ ีความตองการในดานนี้สงู จะเปนผูทมี่ คี วามสามารถในการแกปญหา มพี ลงั งานสงู และพอทจี่ ะทาํ งานหนักเล็งเห็นคุณคาของความสําเรจ็ จากการไดท าํ งานท่ที าทายในความสามารถ 2 ความตองการมีพลังความสามารถ (needs for power) เปนความตองการที่จะมีอาํ นาจหรอื อทิ ธิพลเหนือผูอื่น ผทู ี่มีความตองการดานน้ีสูงจะเปน คนทช่ี อบแขง ขันเผชญิ หนา ถาเปนการใชความสามารถในทางบวกจะทําใหบุคคลนนั้ เกิดความพยายามท่ีจะปฏบิ ตั งิ าน จนเปนผลสําเร็จ แตถาใชค วามสามารถในดา นลบก็จะหาวิธีปฏิบตั ิท่ีเกิดประโยชนตอ ตนเอง แตเ ปน ผลเสยี ตอ องคก าร 3 ความตองการท่ีจะผกู พนั กับผอู น่ื (needs for affiliation) ผูท่ีมีความตอ งการดานน้สี ูงจะเปนผูท ี่มีความพยายามสรางและรักษาความสัมพนั ธไวอ ยากใหผอู น่ืชอบงานสรางสรรค และกิจกรรมทางสงั คม แตล ะความตองการของแมคคลีแลนด แสดงใหเ ห็นถงึ ความแตกตา งของความพงึ พอใจในแตล ะแบบ การพฒั นาตนใหไดผ ลและมปี ระสิทธภิ าพขึน้ อยูกับการรวมกนั ของน้ําหนักและความตอ งการอยางอนื่ คณุ คาสาเหตุจากการพัฒนาและความเปนไปไดท จี่ ะใหการพัฒนาประสบผลสําเร็จ บุคคลแตละคนมจี ติ ใจสวนหน่งึ อยูกบั ความทุม เทในการพฒั นาตน แตอีก สวน 137
การพฒั นาตนหนึ่งอาจจะมีความหวงใยอยูกับงานภายนอก อาจเปน เรื่องของการดํารงชวี ิต ครอบครัวหรอืเศรษฐกิจ ความหวงใยเหลานีท้ ําใหความต้ังใจทีจ่ ะพฒั นาตน ลดนอยลง ในบางครง้ั บุคคลอาจมีปญหาเก่ียวกับการปฏิบัติงานทาํ ใหมผี ลกระทบกับการพัฒนาตน ควรจะตอ งแกไขใหหมดไป หรือลดนอยลงโดยผูพัฒนาตนอาจจะไมท ราบปญ หาตาง ๆ ในการพฒั นาตน จงึ ตองใชก ารสังเกตตนเอง หรือ การสอบถาม การสัมภาษณ การสาํ รวจความคดิ เห็นกบั บคุ คลรอบขาง เพอื่ สะทอนใหเหน็ อปุ สรรคในการพฒั นาตน แนวคดิ จิตวิทยาเชงิ พทุ ธ (Buddhist Psychology) จติ วทิ ยาแนวพทุ ธ คือการนําศาสตรที่ศึกษาถึงจิตใจ และกระบวนการทางจติ ใจคอื จติ วทิ ยา มาอธิบายกระบวนการการเกิดทุกขและการพนทุกข อันเปนสาระสําคัญของพุทธศาสนานนั้ เอง (ยงยทุ ธ วงศภ ิรมยศานต,ิ์ 2552) มมุ มองธรรมชาติของมนุษยของจติ วิทยาเชิงพทุ ธ พระเทพเวที (ประยุทธ ปยุตฺโต, 2532) ไดกลาวถึงความเช่ือเก่ียวกับธรรมชาติมนษุ ยตามแนวพุทธศาสตร ไวดังน้ี 1. มนุษยเกิดมาพรอมกับความไมรู ความไมเขาใจตอส่ิงแวดลอมทั้งหลายตามความเปนจริงไมรูจักโลก ไมรูจักชีวิตท่ีแทจริงหรือเรียกวามนุษยเกิดมาพรอมกับอวิชชา ทําใหมนุษยปฏิบัติตอสิ่งทั้งหลายไมถูกตอง เกิดความติดขัดเพราะส่ิงเหลานั้นไมเปนไปตามท่ีมนษุ ยต องการ ซึ่งเรียกวาเกิดปญหาหรอื เกิดทกุ ขน่นั เอง 2. มนษุ ยทกุ คนมีความอยาก ความอยากท่ีเปนพ้ืนฐานคือความอยากใหชีวติ รอดเม่ือมนษุ ยไมม ีความรู (อวชิ ชา) ไมเ ขา ใจเก่ยี วกับชีวิตและสภาพแวดลอมตรงตามความเปนจริง มนุษยก็นําความอยากเปนตัวนําชีวิตก็ย่ิงทําใหเกิดปญหา เมื่อปญหายิ่งซับซอนมากข้ึนหรอื มคี วามทกุ ขมากข้ึน 3. มนุษยสามารถแกปญหาไดโดยการพัฒนาสิ่งท่ีเรียกวา ปญญามนุษยจ ะตอ งมคี วามรคู วามเขา ใจสงิ่ ท้ังหลายใหถกู ตอ งตามความเปน จรงิ โดยรูและเขาใจชีวิตของตนเองและส่ิงทั้งหลายท่ีอยูแวดลอมท้ังสังคมและธรรมชาติภายนอก เมื่อมีความรูตอสิ่งท้ังหลายแลวกส็ ามารถปฏบิ ตั ติ อสง่ิ ทัง้ หลายไดถกู ตอ ง และทําไปสกู ารแกปญ หาไดดับทกุ ขได138
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296