148 ลกั ษณะคาประพนั ธข์ องกลอนแปด 1. บท บทหนึ่งมี 4 วรรค วรรคท่ีหนึ่งเรียกวา วรรคสดับ วรรคทีส่ องเรยี กวรรครบั วรรคท่ีสามเรยี กวรรครอง วรรคที่สี่เรียกวรรคสง แตล ะวรรคมแี ปดคํา จงึ เรียกวา กลอนแปด 2. เสยี งคํา กลอนแปดและกลอนทุกประเภทจะกําหนดเสยี งทายวรรคเป็นสําคัญโดยกาํ หนดดังน้ี คําทา ยวรรคสดบั กาํ หนดใหใ ชไดท ุกเสยี ง คาํ ทา ยวรรครับ กําหนดหามใชเสียงสามญั และตรี คาํ ทายวรรครอง กําหนดใหใชเ ฉพาะเสียงสามญั และตรี คําทา ยวรรคสง กําหนดใหใ ชไดเ ฉพาะเสียงสามญั และตรี 3. สัมผสั ก. สัมผัสนอก หรือสัมผัสระหวางวรรค เป็นสัมผัสบังคับมีดังน้ีคําสุดทายของวรรคท่ีหนึ่ง(วรรค สดบั ) สมั ผัสกบั คาํ ท่สี ามหรือทหี่ า ของวรรคท่ีสอง(วรรครับ) คําสุดทายของวรรคท่ีสอง (วรรครับ) สัมผัสกับคําสุดทายของวรรคที่สาม (วรรครอง)และคําท่ี สามหรอื คาํ ท่หี าของวรรคท่ีสี่ (วรรคสง) สัมผสั ระหวางบท ของกลอนแปด คอื คําสุดทายของวรรคที่ส่ี (วรรคสง) เป็นคําสงสัมผัสบังคับ ใหบทตอไปตอ งรับสมั ผสั ท่ี คาํ สดุ ทา ยของวรรคทีส่ อง (วรรครับ) ข. สมั ผสั ใน แตละวรรคของกลอนแปด แบงชว งจังหวะออกเป็นสามชวงดังนี้ อนั กลอนแปด แปดคํา ประจําวรรค วางเปน็ หลัก อักษร สุนทรศรี 4. การเขยี นสอ่ื สาร เขยี นสอ่ื สาร หมายถึง การเขียนทผ่ี อู ื่นอา นแลวไดความตามจุดมุง หมายของผเู ขียน เชน 1. การเขียนประวัตติ นเอง การเขียนประวัติตนเองเป็นการเขียนขอความเพื่อแสดงตนใหผูอ่ืนรูจักรายละเอียดเกี่ยวกับ เจาของประวัติ โดยมแี นวการเขียนดังนี้ ประวัติตนเอง ช่อื ______________________________ นามสกุล _______________________ เกดิ วันที่ __________ เดอื น _________________ พ.ศ. _________ อายุ _________ สถานภาพสมรส ________ อาชพี _____________________ ท่อี ยู _______________________________________________________________ สถานทท่ี าํ งาน ________________________________________________________ ประวตั การศึกษา ______________________________________________________ ประสบการณ์ในการทาํ งาน ______________________________________________ ความรูความสามารถพิเศษ ______________________________________________
149 2. การเขียนเรียงความ การเขียนเรียงความ คือ การนําคํามาประกอบแตงเป็นเรื่องราว เป็นการแสดงออกทาง ความคดิ และประสบการณ์ของผเู ขียนเพ่ือใหผูอืน่ ทราบ องค์ประกอบของการเขียนเรียงความ การเขยี นเรยี งความประกอบดวย 3 สว นคือ 1. คํานํา เป็นการเร่มิ ตน ของเรยี งความที่เป็นสวนดงึ ดดู ใจ ใหผูอานสนใจ 2. เน้อื เร่ือง เป็นเนื้อหาสาระของเรยี งความทัง้ เรอ่ื ง 3. บทสรปุ เป็นการสรปุ แกน ของเร่ือง ไมควรจะยาวมาก 3. การเขียนย่อความ การยอความ คือ การนําเร่ืองราวตาง ๆ มาเขียนใหมดวยสํานวนภาษาของผูยอเอง เมื่อ เขียนแลวเนื้อความเดิมจะส้ันลง แตยังมีใจความสําคัญครบถวนสมบูรณ์ ใจความสําคัญ คือ ขอความ สาํ คัญในการพูดหรือการเขียนท่ีเป็นรายละเอียด นํามาขยาย ใจความสําคัญใหชัดเจนย่ิงขึ้น ถาตัดออก ผฟู ังหรอื ผูอา นกย็ งั เขา ใจเรื่องน้ันได หลักการย่อความ 1. อานเนอื้ เร่ืองที่จะยอ ใหเขา ใจ 2. จบั ใจความสําคญั ท่จี ะยอ หนา 3. นาํ ใจความสาํ คัญแตล ะยอหนา มาเขยี นใหมด วยภาษาของตนเอง โดยตอ งคํานึงถึง สงิ่ ตา ง ๆ ดงั น้ี 3.1 ไมใชอักษรยอ ในขอความทยี่ อ 3.2 ถา มีราชาศัพท์ ใหค งไวไ มต องแปล 3.3 ไมใชเ คร่อื งหมายตาง ๆ ในขอความทยี่ อ 3.4 เน้ือเร่ืองท่ียอแลว เขียนติดตอ กนั ในยอ หนาเดยี วควรมีความยาวประมาณ1 ใน 4 ของ เรอ่ื งเดมิ 4. การเขียนขา่ ว การเขียนขาว ประกาศและแจงความ เป็นสวนหน่ึงของจดหมายราชการหรือหนังสือราชการ ซ่ึงเป็น หนงั สือทใี่ ชต ดิ ตอกันระหวา งเจาหนา ที่ของรัฐกับบุคคลภายนอกดวยเร่ืองเก่ียวกับราชการการเขียนขาว ประกาศ และแจงความ จัดอยูในจดหมายราชการประเภทหนังสือสั่งการและโฆษณา ซ่ึงประกอบดวย ขอบังคับ ระเบียบ คาํ สงั่ คําแนะนาํ คําช้ีแจง ประกาศ แจง ความแถลงการณ์ และขาว ซึ่งจะยกตัวอยาง ในการเขยี นขา วดังน้ี การเขียนขาว คือ บรรดาขอความที่ทางราชการเหน็ สมควรเปิดเผย เพ่ือแจง เหตุการณ์ท่นี า สนใจใหทราบ รูปแบบการเขียนข่าว ขาว ..................................... ชือ่ สวนราชการที่ออกขาว .................................................. เรอื่ ง ........................................................................ ขอ ความที่เปน็ ขาว .......................................................................................................... สวนราชการเจา หนา ท่ี วัน เดือน ปี
150 5. การเขยี นรายงาน การค้นคว้าและอ้างองิ ความรู้ การเขยี นรายงานการคน้ ควา้ การเขยี นรายงานเป็นการเขียนผลการศกึ ษาจากการคน ควา เพ่ือนําเสนอผูบ ังคับบัญชาหรอื ผสู อน หลักการเขยี นรายงาน 1. ขอ มลู ท่ีเขียนตอ งเปน็ ความจรงิ 2. ขอมูลทนี่ าํ มาจากผรู อู น่ื ตอ งเขียนเป็นเชิงอรรถและบรรณานุกรม 3. เขียนเปน็ ทางการ ใชภาษาถูกตอง และชัดเจน สว่ นประกอบของรายงาน 1. ปกหนา ประกอบดวยชือ่ เรอื่ ง ชอ่ื ผูเขยี น และนําเสนอผูใด 2. คํานํา เป็นความเรียงมี 3 สวน คือ ความเป็นมาและวัตถุประสงค์ สาระของรายงานประโยชน์ที่ ไดร บั และขอบคณุ ผมู สี วนชวยเหลอื 3. สารบญั 4. เนือ้ หาสาระ 5. บรรณานกุ รม การเขยี นอา้ งอิงความรู้ การเขยี นอางองิ ความรู หมายถงึ การเขียนเชิงอรรถและบรรณานุกรม 1. เชงิ อรรถ เชิงอรรถเป็นชอื่ ผเู ขยี น ปที ี่พิมพ์และเลขหนา หนังสือทนี่ าํ ไปใชป ระกอบการเขยี น เชน อุทัย ศิริศักด์ิ (2550, หนา 16) การฟัง หมายถึง การรับสารและตีความสารที่ไดยินหรือ อาน การเขียนอางอิงลักษณะนี้จะไมไดเขียนช่ือหนังสือ ชื่อหนังสือจะเขียนในหนา บรรณานุกรม 2. บรรณานุกรม บรรณานุกรม ประกอบดวยรายชือ่ หนังสอื ท่ใี ชประกอบการเขียน โดยจะตอ งเขียน เรียงตามตัวอักษรชื่อผูแตง โดยเขียนชื่อผูแตง ช่ือหนังสือ ช่ือสถานท่ีพิมพ์ ช่ือโรงพิมพ์และปีท่ี พมิ พ์ เชน กนกอร ทองคาํ . การใชภาษาไทย, กรงุ เทพฯ: ไทยววิ ัฒน์, 2549 ศริ อิ ร ทองคําไพ. หลกั การใชภ าษา, นนทบุรี: ไทยเจริญ, 2550 6. การกรอกแบบรายงาน การกรอกแบบรายงาน เป็นการกรอกแบบฟอร์มของหนวยราชการหรือหนวยงานตาง ๆที่ใหกรอก เพื่อแสดงขอมูลท่ีหนวยงานน้ัน ๆ ตองการทราบ เชน การกรอกใบสมัครเรียน การกรอกแบบฟอร์ม ธนาณตั ิ แบบฟอร์มฝากเงิน เป็นตน หลักการกรอกแบบรายการ 1. อานขอ ความในแบบรายการนนั้ ๆ ใหเขา ใจกอนจะเขยี นขอ ความ 2. เขียนใหถูกตองและสะอาด 3. กรอกขอ ความตามความจริง 4. ใชถอยคําสั้น ๆ และกะทัดรดั 5. ปฏบิ ัตติ ามขอบังคับ หรือคาํ แนะนาํ ของแบบรายการนั้น ๆ
151 แบบรายการท่ีใช้ในชีวติ ประจาวัน 1. แบบฟอรม์ ธนาณัติ 2. แบบฟอรม์ สงพสั ดทุ างไปรษณยี ์ 3. แบบฟอรม์ สมัครงาน 4. แบบฟอร์มคํารอ ง 5. แบบฟอร์มสัญญา 6. แบบฟอร์มฝากเงิน ถอนเงนิ ของสถาบนั การเงนิ ประโยชน์ของการกรอกแบบรายการ 1. ชวยใหผกู รอกไมต องเขียนขอความทยี่ ืดยาวลงไปท้งั หมดจะเขยี นแตเฉพาะรายละเอยี ด ท่ผี จู ัดทําแบบรายการตอ งการเทา นนั้ ทําใหเ กดิ ความสะดวกรวดเร็ว 2. ชวยใหผ จู ดั ทาํ ขอมลู สามารถเกบ็ ขอ มลู ที่ตองการไดรวดเร็วและใชเ ปน็ หลกั ฐานเอกสาร ไดด ว ย 7. มารยาทในการเขียนและนิสัยรักการเขียน มารยาทในการเขยี น ประกอบดว ย 1. มีความรบั ผิดชอบ 2. มกี ารตรวจสอบความถูกตองเพ่ือใหผอู า นไดอา นงานเขียนทถ่ี ูกตอง 3. มกี ารอางองิ แหลง ขอมูล เพอื่ ใหเ กยี รติแกเจาของความคดิ ที่อา งอิง 4. มคี วามเท่ยี งธรรม ตองคํานงึ ถึงเหตุมากกวาความรูสึกสว นตน 5. ความสะอาดเรียบรอย เขียนดวยลายมืออา นงา ย รวมทงั้ การเลือกใชกระดาษและสนี าํ้ หมึก 6. เขยี นเชิงสรา งสรรคไ์ มเ ขยี นเพื่อทาํ ลายหรือทําใหเ กดิ ความเสียหายแกผ ูอนื่ 7. ไมเ ขียนในท่ไี มส มควร เชน สถานท่ีสาธารณะ 8. ไมข ีดหรือเขยี นขอ ความในหนังสือเอกสารอื่น ๆ ทเี่ ป็นของประชาชนโดยรวม เชน หนังสือ หอ งสมดุ การสร้างนสิ ัยรักการอ่าน 1. เร่มิ ตนดวยการเขยี นส่ิงที่งาย และไมใชเวลามาก 2. เขยี นตอ เนื่องจากการเขียนคร้ังแรก เชน การเขียนบันทกึ ประจําวัน 3. เรมิ่ เขยี นดวยขอความที่งา ยและสั้น และกําหนดเวลากบั ตนเองใหพ ยายามเขยี นทกุ วนั ตามระยะเวลาทพ่ี อใจจะทาํ ใหเขียนไดโดยไมเ บ่อื การเขยี นบนั ทกึ การเขียนบนั ทกึ เป็นวิธกี ารเรยี นรแู ละจดจาํ ที่ดี ขอมูลทีถ่ ูกบันทึกไวย ังสามารถนําไปเป็นหลกั ฐาน อา งองิ ได เชน การจดบันทึกจากการฟงั บนั ทึกการประชุม บนั ทกึ ประจําวนั บันทึกจากประสบการณ์ ตรง เป็นตน การเขยี นบันทึกประจําวนั ซึง่ เป็นบนั ทึกท่ผี ูเขยี นไดจดบันทึกสมาํ่ เสมอ มีแนวทางในการเขียนดังนี้ 1. บันทกึ เป็นประจาํ ทุกวันตามความเป็นจริง 2. บอก วนั เดอื น ปี ทีบ่ ันทึกไวอยา งชดั เจน 3. บันทกึ เรอ่ื งทส่ี ําคญั และนา สนใจ
152 4. การบันทกึ อาจแสดงความรูสึกสว นตัวลงไปดวย 5. การใชภ าษาไมมีรูปแบบตายตัว ใชภ าษางา ย ๆ
153 การเขียนเรยี งความ ความหมายของเรยี งความ เรียงความ เป็นงานเขียนชนิดหน่ึงที่ผูเขียนมีจุดประสงค์จะถายทอด ความรู ความคิด ทรรศนะ ความรูส ึก ความเขาใจออกมาเป็นเรื่องราว ดวยถอยคําสํานวนที่เรียบเรียงอยางชัดเจนและทวงทํานอง การเขยี นที่นาอาน การเลือกเรือ่ งท่ีจะเขียนเรียงความ หากจะตอ งเปน็ ผูเลือกเร่อื งเอง ควรเลอื กตามความชอบหรือความถนัดของตนเอง การคนควาหา ขอ มลู อาจทาํ ไดโ ดยการคน ควา จากหนังสือ นิตยสาร วารสาร อนิ เทอรเ์ น็ต หรอื สือ่ อืน่ ๆ ประเภทของเร่อื งที่จะเขียนเรยี งความ 1. เร่ืองทีเ่ ขียนเพอ่ื ความรู 2. เรอ่ื งท่เี ขียนเพื่อความเขา ใจ 3 .เรือ่ งที่เขียนเพื่อโนมนา วใจ องค์ประกอบของเรยี งความ เรยี งความมีองคป์ ระกอบ 3 สว น คือ คํานาํ เนื้อเร่ือง และสรปุ งานเขียนทุกประเภทจะตอง ประกอบดว ยองค์ประกอบสามสว นน้ี ดังจะไดกลา วถึงรายละเอียดขององคป์ ระกอบพรอมกบั กลวิธกี าร เขยี นตอไปน้ี 1. คานา เป็นสวนหน่ึงของเรียงความสวนแรกท่ีมีหนาที่เปิดประเด็นเขาสูเรื่อง เป็นการบอก ใหผูอานทราบวาผูเขียนจะเขียนเรื่องอะไร เพ่ือชักนําใหคนสนใจอานเนื้อเร่ืองตอไป คํานําเป็นสวนท่ี สําคัญสวนหน่ึงของเรียงความเพราะเป็นสวนชวยดึงดูดใหผูอานหันมาสนใจเร่ืองราวท่ีเขียน ผูอานจะ อานเรอื่ งตอไปหรอื ไมกอ็ ยูทค่ี ํานาํ นน้ั เอง 2. เน้ือเรื่อง หรือ เนื้อความ เป็นสวนท่ีสําคัญท่ีสุดของการเขียนเรียงความ เพราะเป็นสวนท่ี เสนอความรูความคิดความเขาใจทรรศนะหรือความรูสึกของผูเขียนใหแจมแจงโดยอาจจะยก อุทาหรณ์ สุภาษิตและประสบการณ์ของผูเขียนมาสนับสนุนเรื่องท่ีเขียนได นักเรียนจะตองคิดกอนเป็น ข้ันแรกวา จะเลือกเขียนเรื่องอะไร มีวัตถุประสงค์และมีขอบเขตในการเขียนกวางหรือแคบ เพียงใด เม่ือคดิ วางแผนเปน็ ลาํ ดับดงั กลา วแลว กเ็ รมิ่ เขยี นโครงเรือ่ งเพ่อื เป็นแนวทางในการเขียน ขั้นตอนตอไปคอื การเรียงเนื้อหาไปตามโครงเร่อื งท่ไี ดกาํ หนดไว โครงเรอื่ งที่กําหนดไวเป็นขอ ๆ นั้นก็คือเน้ือหาในยอหนาหน่ึง ๆ น้ันเอง เมื่อจะขยายความแตละหัวขอก็ยอมจะไดยอหนาที่มีเน้ือหา เป็นเอกภาพและมีน้ําหนัก และถาเขียนแตละยอหนามีประโยคใจความสําคัญ และมีประโยคขยาย ความที่สนับสนุนประโยคใจความสําคัญอยางชัดเจนแลว เรียงความเรื่องน้ันก็จะเป็นเรียงความที่มี เน้ือหาสมบูรณ์เรียงความแตละเรื่องจะมียอหนาเรื่องเทาใดก็ได แตเป็นไปไมไดท่ีเรียงความเรื่อง หนึ่งจะมยี อหนาเนือ้ เรอ่ื งเพยี งพอหนาเดยี ว ในการเขียนเรียงความนั้น การใชถอยคําภาษาเป็นสิ่งสําคัญมาก นักเรียนจะตองพิถีพิถันใน การใชภ าษา ภาษาท่ใี ชต อ งเปน็ ภาษาแบบเป็นทางการ กลาวคือภาษาจะถูกตองตามหลักการเขียน มี การเลอื กสรรถอ ยคาํ มาเรียบเรียงใหกะทัดรัดชัดเจนอานเขาใจงาย ราบรื่น สละสลวย และมีลีลาการ เขยี นทีน่ า สนใจ
154 3. สรุป เป็นสวนสุดทายของเรียงความท่ีผูเขียนจะเนนความรู ความคิดหลักหรือประเด็น สาํ คญั ของเรอ่ื งท่เี ขยี นอกี ครั้งหน่งึ การสรุปนับวามสี วนสําคัญเทา กับคาํ นาํ เพราะเป็นสวนชวยเสริมให เรยี งความมีคุณคาขึน้ การวางโครงเรอ่ื งกอ่ นเขียน เมอ่ื ไดหวั ขอ เรื่องแลว ตอ งวางโครงเรื่องโดยคํานึงถึงการจัดการจัดลําดับหัวขอเรื่องที่จะเขียนให สัมพนั ธ์ ตอเนื่องกนั เชน จัดลําดับหวั ขอ ตามเวลาท่ีเกิด จดั ลําดบั หัวขอ จากหนว ยเลก็ ไปสหู นวยใหญ จัดลําดบั ตามความนยิ ม โครงเร่ืองของงานเขียนควรจัดหมวดหมูของแนวคิดสําคัญเพ่ือเป็นแนวทางในการเขียน โครงเร่ืองเปรียบเสมือนแปลนบานผูสรางบานจะตองใชแปลนบานเป็นแนวทางในการสรางบาน การเขียนโครงเรอื่ งจึงมีความสาํ คัญทาํ ใหผ ูเขยี นเรียงความเขียนไดต รงตามจุดประสงค์ท่ตี ั้งไว ถาไมเขียน โครงเรอื่ งหรอื ไมว างโครงเร่อื งเรียงความอาจจะออกมาไมตรงตามทผ่ี ูเขียนตองการ การเขยี นยอ่ หนา้ การยอหนาเป็นสิ่งจําเป็นอีกอยางหนึ่ง เพราะจะชวยใหผูอานอานเขาใจงายและอานไดเร็ว มีชองวาง ใหไดพักสายตา ผูเขียนเรียงความไดดีตองรูหลักในการเขียนยอหนา และนํายอหนาแตละยอหนามา เช่ือมโยงใหสัมพันธ์กัน ในยอหนาหน่ึง ๆ ตองมีสาระเพียงประการเดียว ถาจะข้ึนสาระสําคัญใหมให เขียนในยอหนาตอไป ดังนั้นการยอหนาจะมากหรือนอย ข้ึนอยูกับสาระสําคัญที่ตองการเขียนถึงใน เน้ือเรื่อง แตอ ยางนอ ยเรยี งความตองมี 3 ยอ หนา คือยอหนาทีเ่ ป็นคํานาํ เนื้อเร่อื ง และสรุป การเชื่อมโยงย่อหนา้ การเชือ่ มโยงยอหนา ทําใหเกดิ สัมพันธภาพระหวางยอ หนา เรยี งความเรอ่ื งหน่ึงยอม ประกอบดว ยยอ หนาหลายยอหนา การเรียงลาํ ดบั ยอหนาตามความเหมาะสมจะทาํ ใหขอ ความเกี่ยวเนอื่ ง เป็นเรอ่ื งเดยี วกัน วธิ ีการเชือ่ มโยงยอ หนาแตละยอหนากเ็ ชนเดยี วกันกับการจัดระเบียบความคิดในการ วางโครงเรอ่ื งซ่ึงมดี ว ยกนั 4 วิธีคอื 1. การลาํ ดบั ยอหนาตามเวลาอาจลําดับตามเวลาในปฏิทินหรือตามเหตุการณ์ทเี่ กดิ ข้ึนกอนไป ยงั เหตุการณ์ท่เี กดิ ขึน้ ภายหลงั 2. การลําดับยอหนาตามสถานทีเ่ รียงลําดับขอมลู ตามสถานที่หรือตามความเป็นจรงิ ที่เกดิ ข้นึ 3. การลําดบั ยอ หนาตามความสาํ คัญ เรียงลาํ ดบั ตามความสาํ คัญมากที่สุด สาํ คัญรองลงมาไป ถงึ สําคัญนอยทีส่ ดุ 4. การลําดบั ยอ หนา ตามเหตุผล อาจเรียงลําดับจากเหตไุ ปหาผลหรอื ผลไปหาเหตุ วิดโี อใหค้ วามร้เู ร่ืองการเขียนเรยี งความ
155 การเขียนบรรยาย ความหมายการเขยี นบรรยาย การเขียนบรรยาย เป็นการเขยี นเลาเหตุการณ์ใดเหตุการณห์ นึง่ ทีเ่ กดิ ขึ้น เพื่อใหผ ูอา นเหน็ ภาพ เหตกุ ารณ์ ลาํ ดบั เวลา สถานที่ บุคคล ผูเขยี นควรกลา วถึง เหตุการณ์ใหช ัดเจน โดยมีขอมูลและเน้ือหา สาระของเรือ่ งทจี่ ะแสดงความคิด บางคร้ังอาจแทรกบทสนทนาตวั ละครทําใหผ อู า นเขา ใจลักษณะ อารมณ์ความคิดของตวั ละครและเขา ใจเรือ่ งทง้ั หมด จดุ มงุ่ หมายของการเขียนบรรยาย การเขียนบรรยายใชแสดงความคิดเห็นไดหลายรูปแบบ เชน ใชในคําประพันธ์แบบเลาเร่ือง เลาเหตุการณ์ การเขียนชีวประวัติ การเขียนบันทึก การใหขอมูล การรายงานขาว เป็นตน การเขียน บรรยายเปน็ การเขยี นเลา ขอ เท็จจริงหรือรายละเอยี ดของเร่ืองตามท่ีเปน็ อยโู ดยคํานงึ ถึงความตอ เนื่อง ประเภทของเรอ่ื งทีใ่ ชว้ ิธีการเขียนบรรยาย งานเขียนท่ีใชกลวิธกี ารเขยี นบรรยาย แบง ออกเปน็ ประเภทตางๆ ดงั ตอไปน้ี 1. อตั ชวี ประวัตหิ รือการเลาประวตั ชิ ีวิตบคุ คลตา งๆ 2. ขอ เท็จจริงหรอื เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ 3.เรือ่ งทีแ่ ตง ขน้ึ หรือเหตุการณ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ ขอ้ สงั เกตการเขยี นบรรยาย การเขียนบรรยายกลาวขางตน เป็นการเรียนบรรยายตามความจริง สามารถใชเป็นหลักฐาน อา งองิ ไมม ีการสอดแทรกอารมณห์ รือความรสู ึกลงไปในงานเขยี น กลวธิ ีในการบรรยาย กอนทจ่ี ะบรรยายเร่ืองตางๆ เราจะตองกําหนดวาจะบรรยายเรื่องอะไรขอบเขตแคไหน เพราะการกําหนดเรื่องและขอบเขตของเรื่อง จะตองสัมพันธ์กับกาลเทศะ ประเภทของผูอาน ผูฟ งั เม่ือกาํ หนดเร่อื งและขอบเขตของเร่ืองไดแลว ขั้นตอไปจึงเลือกกลวิธีในการบรรยาย ซึ่งอาจแบง ไดเ ปน็ 3 วิธี คอื 1. การบรรยายแบบละคร 2. การบรรยายลักษณะท่วั ไป 3. การบรรยาย วดิ โี อให้ความรู้เรื่องการเขยี นบรรยาย
156 การเขยี นยอ่ ความ การเขียนยอความ หมายถึง การเก็บใจความสําคญั ของเรื่องมาเรียบเรยี งใหม ใหสัน้ กวาเดิม แตม ีใจความสาํ คัญ ครบถวนสมบรู ณ์ วาใคร ทาํ อะไร ท่ไี หน เม่อื ไร อยา งไร ประโยชน์ของการย่อความ 1. ชวยใหก ารอา นและการฟังไดผลดียิง่ ขึ้น ชวยใหเขาใจและจดจาํ ขอความสาํ คญั ที่ได จากการอานการฟงั สะดวกและรวดเร็ว 2. ชว ยในการจดบันทกึ เมื่อไดฟ ังหรอื ศกึ ษาวชิ าใดก็ตาม รูจ กั จดขอ ความที่สาํ คญั ลงสมุดได ทันเวลาและไดเ รื่องราว 3. ชวยในการเขยี นตอบแบบฝกึ หัดหรอื ขอสอบ กลา วคือผูตอบจะตองยอความรูทั้งหมด ท่ีมีอยู ใหอยใู นรปู ของขอเขียนสั้นๆ แตม ีใจความครบถวน 4. ชวยเตือนความทรงจํา นักเรียนอานหนังสือแลวทําบทยอเป็นตอนๆ หรือเป็นระยะๆ ควรทํา ติดตอกนั อยา งสมํ่าเสมอ จะชวยใหไมตองอานหนังสือซ้ําใหมต ลอดเลม 5. ชวยประหยัดเงินในการเขียนขอความในโทรเลข หรือการสื่อสารทางอิเลกทรอนิกส์ได ถา รูจ ักยอความจะเขียนขอ ความไดส ้ันๆ เนือ้ ความกะทดั รดั ชดั เจน ผอู า นเขาใจเร่ืองราว วธิ ีการเขยี นยอ่ ความ ทําได ดังนี้ 1. อ่านเร่ืองทจ่ี ะยอความใหจบอยา งนอ ย 2 ครง้ั เพอ่ื ใหท ราบวา เรือ่ งนน้ั กลา วถึงใคร ทําอะไร ท่ไี หน อยางไร เม่ือไร และผลเปน็ อยางไร 2. บันทกึ ใจความสาคญั ของเรื่องที่อา่ น แลว นาํ มาเขยี นเรยี บเรยี งใหมดว ยสาํ นวนของตนเอง 3. อ่านทบทวนใจความสาคัญท่ีเขียนเรยี บเรียงแลว จากนัน้ แกไขใหส มบูรณ์ โดยตัดขอ ความ ทซ่ี ํ้าซอนกนั ออก เพ่ือใหเ น้ือหากระชบั และเชื่อมขอความใหส ัมพนั ธ์กนั ต้งั เเตตน จนจบ 4. เขยี นย่อความให้สมบูรณ์ โดยเขียนแบบขึ้นตน ของยอความตามรูปแบบของประเภท ขอ ความนน้ั ๆ เชน การยอ นิทาน การยอบทความ 5. การใชส้ รรพนาม การเขียนยอ ความไมน ยิ มใชส รรพยามบุรษุ ที่ 1 และสรรพนามบรุ ุษท่ี 2 คือ ฉัน คุณ ทา น แตจะใชสรรพนามบุรษุ ที่ 3 เชน เขา และไมเขียนโดยใชอ ักษรยอ นอกจากน้ี หากมี การใชค ําราชาศัพทต์ องเขยี นใหถ ูกตอง ไมควรตัดทอน วิดีโอให้ความรเู้ ร่อื งการเขยี นย่อความ ใบงานท่ี 4
157 ใบกจิ กรรม บทเรยี นออนไลน์ที่ 3 เรอ่ื ง การเขยี น ใหผูเรียนศกึ ษาวดี โี อ เรื่อง ภาษาไทยเพ่ือการส่ือสารการพฒั นาทักษะการเขยี น, การเขยี นรายงานโดย สแกนควิ อาโคด และศึกษาใบความรเู รอ่ื ง การเขยี น ศึกษาวดี โี อเร่ือง ภาษาไทยเพ่ือการส่ือสารการพฒั นาทกั ษะการเขียน ศกึ ษาวีดโี อเรื่อง การเขียนแผนผังความคดิ ศึกษาวดี ีโอเร่ือง การเขยี นรายงาน
158 ใบงาน บทเรยี นออนไลนท์ ี่ 3 เร่อื ง การเขียน 1. ใหผูเรียนรวบรวมคําท่ีมักเขียนผิดตามส่ือ รานคา โฆษณา และท่ีสาธารณะตาง ๆ มาจํานวน 15 คํา พรอมท้งั แกไ ขใหถูกตองดวย คาท่เี ขยี นผิด คาที่แก้ไข คลนี คิ คลินิก 2. รปู แบบของแผนภาพความคดิ มกี แ่ี บบ อะไรบา ง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. เรียงความคอื อะไร และมีองคป์ ระกอบอะไรบาง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. แนวทางในการเขียนเรยี งความมีอะไรบา ง (ตอบโดยสรุป) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ใหผูเรยี นศึกษาเร่ืองท่ีตนเองสนใจคนละเร่ือง 1 เร่ือง และเขยี นรายงาน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………
159 แบบทดสอบหลงั เรียน บทเรยี นออนไลน์ท่ี 3 เรอ่ื ง การเขยี น จงทาเคร่อื งหมายกากบาท เลอื กขอท่ีถูกตองลงในกระดาษคําตอบดานลาง 1. คําใดสะกดผดิ ก. อทุ ธรณ์ ข. อาถรรพณ์ ค. เพฌชฆาต ง. ลูกนิมติ 2. ขอใดสะกดถูกตองทุกคํา ก. ตาํ รวจลอมชอมคูกรณีอยา งขะมกั เขมน ข. อยา มวั ทําชมดชะมอยฉันขยกั ขยอนเตม็ ที ค. ฉันชอบกินขา วผัดกระเพรา ง. ตาสวี พิ ากษ์วจิ ารณเ์ รอ่ื งท่ีชาวบา นโจษจันกันทว่ั 3. ขอ ใดมีคําที่สะกดผิด ก. ชบา ชโย ยโส ข. ชอุม ชะตา ชโลม ค. คะนงึ ทะนุบาํ รงุ ฉะนนั้ ง. ขะมุกขะมอม ขะมักเขมน ขมุกขะมวั 4. ขอใดมีคาํ ทส่ี ะกดผดิ ก. สะกด สะกดั สะกดิ ข. สะดุง สะดดุ สะดึง ค. สะบกั สะบดั สะบนั้ ง. สะอาด สะอึก สะอ้ืน 5. ขอ ใดเขียนถกู ทุกคาํ ก. ตวั้ โผ เตา หู เกีย้ มไฉ ข. เกยี ร์ ฟิล์ม ฟุตบอลล์ ค. อุทัจ อฏั จารส อัชญาสัย ง. รืน่ รมย์ ประสบการณ์ สถาณการณ์
160 6. ขอ ใดมีคาํ เขียนสะกดคาํ ถูกท้งั หมด ก. ตะไคร สาบาน ไหหลาํ ปฏิสันฐาน ข. อะไหล บณุ ฑริก ยมบาล เอิกกะเหรกิ ค. เปรียญ สรภญั ญะ เวนคืน จนั ทรเกษม ง. สไบ กระษาปณ์ เช๊ิต ผรุสวาท 7. ขอ ความใดไมไ่ ด้กลา วถึงวธิ กี ารยอ ความ ก. เขียนคาํ นาํ ตามแบบ ข. คงราชาศพั ทไ์ ว ค. คงสรรพนามเดิมไว ง. ใชสํานวนภาษาของผยู อ 8. ขอควรทําในการเรียบเรยี งยอความคอื ขอใด ก. เรียงลําดบั เรอื่ งตามแบบเรอ่ื งเดมิ เสมอ ข. เรยี งใหก ลบั กันกบั เร่อื งเดมิ ค. เรียงลําดบั ตามความพอใจของผูยอ ง. เรยี งใหส มั พันธต์ อ เน่ืองกัน 9. ยอ ความควรมีก่ียอ หนา ก. ยอ หนาเดยี ว ข. เทา จํานวนยอ หนา ของเน้อื เรอื่ งเดมิ ค. สามยอหนา คือ คาํ นาํ เน้ือเรอ่ื ง สรุป ง. สองยอ หนา คือ ยอหนา คาํ นํา และยอหนา เน้อื ความซึ่งมักยอเหลือเพยี งยอหนาเดียว 10. ขอใดเป็นหัวขอเรยี งความเก่ยี วกับเรื่องในโลกของจนิ ตนาการทเ่ี กี่ยวกับอนาคต ก. ใตรมอินทนลิ ข. เด็กขายพวงมาลยั ค. สถานการณ์โรคเอดส์ ง. เกบ็ หอมรอมรบิ ไวเถิด
161 เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น บทเรียนออนไลนท์ ่ี 3 เรื่อง การเขียน 1. ข 2. ง 3. ค 4. ข 5. ก 6. ก 7. ข 8. ก 9. ค 10. ง
162 แบบทดสอบก่อนเรียน บทเรยี นออนไลนท์ ี่ 4 เรอื่ ง หลกั การใช้ภาษา คาสั่ง ใหเลือกคาํ ตอบที่ถูกตอ งท่ีสดุ เพยี งคาํ ตอบเดยี ว 1. คาํ นาม คืออะไร ก. คําท่ีเปน็ ช่ือของคน สัตว์ สถานที่ สิ่งของ ข. คําที่ใชเ รียกคน สตั ว์ สถานที่ ส่งิ ของ ค. คําที่สรางมาจากคํากรยิ า โดยใชค ําวา \"การ\" และ \"ความ\" นาํ หนา ง. คําทแ่ี สดงลักษณะของคําอ่นื วาเปน็ อยางไรรวมท้ังบอกการกระทําวา ทําอะไร 2. ขอ ใดใชลกั ษณะนามผดิ ก. ขลุย – เลา ข. สวิง – ปาก ค. งาชา ง – งา ง. สักวา - บท 3. ขอ ใดเป็นอาการนาม ก. การงาน ข. การเมือง ค. การกิน ง. การพาณชิ ย์ 4. ขอ ใดมีคาํ นามทที่ ําหนา ทเี่ ป็นนามเรยี กขาน ก. ฉนั คือนาฬิกาดาํ แลว ข เขาชอบดม่ื นมมากกวาสิ่งอืน่ ค. เขาชอบด่ืมนมมาก ๆ เวลากลางคนื ง. นักเรยี นฟงั ครูอธบิ ายใหเขาใจกอน 5. ประโยคมคี วามหมายตรงตามขอ ใดมากทสี่ ุด ก. คาํ หรือกลุมคาํ ข. การนํากลุมคํามาเรียบเรียงกนั ค. มภี าคประธานและภาคแสดง ง. คาํ หรือกลุม คาํ ทนี่ าํ มาเรียงกนั แลวมคี วามหมายสมบูรณ์ประกอบดวยภาคประธานและภาคแสดง 6. ขอ ใดไมมีคาํ วเิ ศษณ์ ก. รานองใหขอคิดในการทํางานแกพระเจา แปร ข. ขนมหวานท่แี มซอ้ื มาอรอ ยมากมาก ค. อดีตเขาอาจเกเรแตปจั จุบนั เขาเป็นคนดี ง. ปใี หมนจ้ี ะไปฉลองท่ีไหนดี
163 7. ประโยคใดเป็นประโยคความรวม ก. นกั กีฬาทีมชาตไิ ทยมงุ ม่ันไปสจู ุดหมาย ข. กมลอานหนังสอื สารคดีซึ่งแมซื้อมาให ค. พอพอกลับถึงบานแมก็เตรยี มอาหารเยน็ เสรจ็ แลว ง. นกั แสดงท่ีมีความสามรถยอ มไดร ับการกลา วขาน 8. ขอ ใดเป็นประโยคความเดียว ก.“นกพิราบ” ข. “ฉันกนิ ขา วผดั ” ค. “กระเปา ท่วี างอยูบนโซฟาเป็นของพอ” ง. “เขาชอบอา นหนังสือหรอื ชอบเขียนหนังสอื ” 9. ขอใดเป็นประโยคความซอน ก. ฉนั รองเพลง ข. ฉันและแมก ินขา ว ค. ฉันชอบบานที่อยูชายทะเล ง. ฉันจะรองเพลงแตพ่ีจะเตะฟุตบอล 11. อักษรยอจะตอ งมเี ครื่องหมายใดกาํ กับอยเู สมอ ก. มหัพภาค ข. จลุ ภาค ค. เสมอภาค ง. วิภชั ภาค 10. ขอใดควรใชเคร่ืองหมาย “ๆ” ก. ตํารวจไลกวดจับผูรายผรู า ยพยายามหนี ข. ฉันทาํ การบานบานคณุ ยาย ค. ยายนอนนอนอยูกเ็ ผลอหลบั ไป ง. เขาไปดทู ่ีที่ตา งจงั หวดั 11. ขอใดใชเคร่อื งหมายวรรคตอนถูก ก. (สวัสดคี รับ) ชายคนหนง่ึ พูด ข. อุย฿ ? อะไรเนีย่ ค. เพลง ? อะไรแตก ง. ในนา้ํ มี ปลา,กงุ ,ปู และ หอย 12. ขอ ใดถกู ตองที่สดุ เกีย่ วกบั การสะกดคํา ก. การออกเสียงตามพยัญชนะตน และพยัญชนะทาย ข. การอานไมออกเสียงสระ ค. การออกเสยี งตามพยัญชนะและสระ ง. การออกเสยี งตามสระและวรรณยกุ ต์
164 13. ขอ ใดกลาวถึงคําราชาศพั ท์ถูกตองที่สุด ก. ถอ ยคาํ ท่ีใชกับพระมหากษัตริย์ ข. ขอความที่ใชก บั พระราชวงศ์ ค. ภาษาท่ใี ชใ หเ หมาะสมกบั ฐานะของบุคคล ง. คําสภุ าพท่ใี ชยกยองบุคคลในสงั คม 14. ขอ ใดเปน็ คําราชาศัพท์ทุกคาํ ก. เสน พระเจา ทรงกลด ประพาส ข. พระโขนง พระท่ี พระสาง ค. พระเครื่อง โปรด เสวย ง. เรอื นตน คลุมบรรทม ทรงปืน 15. สํานวนหมายความวาอยางไร ก. ถอ ยคาํ ทเี่ รยี บเรยี งเป็นขอความ หรอื คาํ พูดที่ชัน้ เชงิ ข. ถอยคําท่ีกลาวแนะนาํ สัง่ สอน เตือนสติ ดวยหลกั ความจริง ค. เป็นการกลาวเปรยี บเทยี บตอเหตุการณ์ทเี่ กดิ ขน้ึ ง. ขอความท่ีคอยเตอื นใจ 16. สุภาษติ หมายความวาอยางไร ก. การกลาวเปรยี บเทยี บตอ เหตกุ ารณ์ที่เกดิ ข้ึน ข. ขอ ความท่ีคอยเตือนใจ ค. ถอยคําทเ่ี รียบเรยี งเป็นขอ ความ หรือคําพดู ทชี่ ้นั เชิง ง. ถอยคําที่กลาวแนะนํา สง่ั สอน เตือนสติ ดวยหลักความจริง 17. คําพังเพยหมายความวา อยา งไร ก. ถอ ยคาํ ท่เี รียบเรียงเป็นขอความ หรือคาํ พดู ที่ช้นั เชิง ข. ถอ ยคาํ ทีก่ ลาวแนะนํา สั่งสอน เตือนสติ ดวยหลักความจรงิ ค. การเปรยี บเทียบตอ เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ข้ึน ง. ขอความท่ีคอยเตือนใจ 18. ไกไดพ ลอย\" หมายถึง ก. เมอื่ เกิดความเสยี หายแลวจงึ คดิ หาทางปูองกัน ข. เกบ็ เล็กผสมนอยจนสาํ เรจ็ ค. ยืนกรานไมยอมรบั ง. ไดส ่งิ ท่ีมคี าแตก ็ไมร ูคุณคา
165 19. สํานวนใดทส่ี ะทอนใหเ ห็นถึงความเป็นอยูเก่ียวกบั การทาํ มาหากนิ ก. ของหายตะพายบาป ข. ขนุ ไมเช่ือง ค. นํา้ ขนึ้ ใหร บี ตัก ง. เกลือจ้มิ เกลอื 20. ขอ ใดตรงกับประโยชน์จากสาํ นวน สภุ าษิต และคําพังเพยมากท่ีสดุ ก. นําหลกั คําสอนมาประยุกตใ์ ช ข. ทาํ ใหทราบความหมายของแตล ะสํานวน ค. ทาํ ใหเยาวชนประพฤติ ปฏบิ ตั ิตนดีขนึ้ ง. ขดั เกลานิสยั เยาวชนใหอยูใ นกรอบและระเบยี บมากข้ึน
166 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น บทเรียนออนไลน์ที่ 4 เรอื่ ง หลักการใช้ภาษา 1. ข 2. ง 3. ค 4. ง 5. ง 6. ก 7. ค 8. ข 9. ค 10. ก 11. ก 12. ง 13. ค 14. ง 15. ก 16. ง 17. ค 18. ง 19. ค 20. ก
167 ใบความรู้ บทเรยี นออนไลนท์ ่ี 4 เร่ือง หลกั การใชภ้ าษา หลักการใชภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใชภาษาใหถูกตองเหมาะสม กบั โอกาสและบคุ คล การแตงบทประพันธป์ ระเภทตา งๆ และอทิ ธิพลของภาษาตา งประเทศในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาที่เกาแกท่ีสุดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต มีรากฐานมาจาก อ อ ส โ ต ร ไ ท ย ซึ่ ง มี ค ว า ม ค ล า ย ค ลึ ง กั บ ภ า ษ า จี น มี ห ล า ย คํ า ท่ี ข อ ยื ม ม า จ า ก ภ า ษ า จี น พอขุนรามคําแหงไดประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเม่ือปี พ.ศ.1826 มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสียง), สระ 21 รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์ 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรีจัตวา ภาษาไทย ดัดแปลงมาจาก บาลี และ สันสกฤต คนไทยเป็นผูท่ีโชคดีท่ีมีภาษาของตนเอง และมีอักษรไทย เป็นตัวอักษร ประจําชาติ อันเป็นมรดกลํ้า คา ทบ่ี รรพบรุ ุษไดสรา งไว ซงึ่ เป็นเคร่อื งแสดงวา ไทยเราเปน็ ชาติทม่ี ีวัฒนธรรมสูงสง มาแตโบราณกาลและ ย่ังยืนมาจนปัจจุบัน คนไทยผเู ป็นเจา ของภาษา ควรภาคภมู ิใจที่ชาตไิ ทยใชภาษาไทย เป็นภาษาประจําชาติ มากวา 700 ปี และจะย่งั ยนื ตลอดไป ถาทุกคนตระหนักในความสาํ คญั ของภาษาไทย หากแตในปัจจุบันเทคโนโลยีการติดตอส่ือสารผานทางอินเตอร์เน็ตไดเขามามีบทบาทใน ชีวิตประจําวันของคนไทยอยางมาก ความสะดวกรวดเร็วในการติดตอสื่อสารกลายเป็นส่ิงที่สําคัญ มากกวาการใชภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติใหถูกตอง อีกทั้งวัยรุนกลับมองวาการใชภาษาท่ีผิด กลายเปน็ เรอื่ งของแฟชัน่ ทใี่ คร ๆ ก็ทํากันทําใหเกิดภาษาใหมท่ีเป็นท่ีแพรหลายบนโลกอินเตอร์เน็ตหรือ เรียกวาภาษาแชท(Chat) ข้ึน และถาหากคนในสังคมไทยยังคงใชภาษาไทย เขียนภาษาไทยแบบผิดๆ และไมคิดใสใจท่ีจะใชภาษาไทยใหถูกตอง ตอไปอาจทําใหเกิดความเคยชินจนติดนํามาใชสื่อสารกัน ในชีวิตประจําวัน จนทําใหภาษาไทยที่เป็นรากเหงาของคนไทย ความภาคภูมิใจในภาษาท่ีบรรพบุรุษ คิดคนขึ้นมา ภาษาที่มีความสวยงาม ก็คงตองเลือนหายไป และถูกแทนที่ดวยภาษาแปลกๆท่ีผุด ขน้ึ มาบนโลกอินเตอรเ์ น็ตอยา งเชน ในปจั จบุ นั ดังนัน้ คณะผูจดั ทาํ จึงไดจัดทําเว็บไซต์ ท่ีเป็นแหลงรวบรวม ขอ มลู การใชภ าษาไทยทีถ่ กู ตอ งในการสอื่ สาร เพื่อย้ําเตือนและใหความรูในการใชภ าษาไทยทเ่ี ป็นภาษา ประจําชาติและเปน็ ความภาคภูมใิ จใหค งอยูในสงั คมไทยสบื ไป หลักการใช้ภาษาไทยเพือ่ การส่อื สารในอินเตอร์เน็ต 1. ใชคําใหถูกตองตรงตามความหมาย กลาวคือ กอนนําคําไปเรียงเขาประโยค ควรทราบ ความหมายของคําคําน้ันกอน เชน คําวา “ปอก” กับ “ปลอก” สองคํานี้มีความหมายไมเหมือนกัน คําวา “ปอก” เป็นคํากริยา แปลวา เอาเปลือกหรือส่ิงที่หอหุมออก แตคําวา “ปลอก” เป็นคํานาม แปลวา สงิ่ ทที่ ําสําหรับสวมหรือรัดของตางๆ เป็นตน ลองพิจารณาตัวอยางตอไปนี้ “วันน้ีไดพบกับทาน อธิการบดี ผมขอฉวยโอกาสอันงดงามนี้เล้ียงตอนรับทานนะครับ” (ท่ีจริงแลวควรใช ถือโอกาส เพราะฉวยโอกาสใชในความหมายทไ่ี มดี) 2. ใชคําใหเหมาะสม เลือกใชคําใหเหมาะสมกับกาลเทศะและเหมาะสมกับบุคคล เชนโอกาส ท่ีเป็นทางการ โอกาสท่ีเป็นกันเอง หรือโอกาสที่เป็นภาษาเขียน เชน “ขาพเจาไมทราบวาทานจะคิด ยังไง” คําวา “ยังไง” เป็นภาษาพูด ถาเป็นภาษาเขียนควรใช “อยางไร” “เม่ือสมชายเห็นรูปก็โกรธ ก ร ะ ฟั ด ก ร ะ เ ฟี ย ด ม า ก ( ค ว ร ใ ช โ ก ร ธ ปึ ง ปั ง เ พ ร า ะ ก ร ะ ฟั ด ก ร ะ เ ฟี ย ด ใ ช กั บ ผู ห ญิ ง )
168 3. การใชคําลักษณะนาม ใชคําท่ีบอกลักษณะของนามตางๆ ใหถูกตอง เชน ปากกา มีลักษณะนามเป็น ดาม เล่ือย มีลักษณะนามเป็น ป้ืน ฤๅษี มีลักษณะนามเป็น ตน เป็นตน 4. การเรียงลาํ ดับคาํ เป็นเรือ่ งทส่ี ําคญั มากในภาษาไทย หากเรียงผิดที่ความหมายก็จะเปล่ียนไป ดวย ท้ังน้ี เพราะคําบางคําอาจมีความหมายไดหลายความหมายซ่ึงข้ึนอยูกับตําแหนงท่ีจัดเรียงไวใน ประโยค เชน แมเกลียดคนใชฉัน ฉันเกลียดคนใชแม คนใช เกลียดแมฉัน แมคนใชเกลียด ฉันเกลียดแมคนใช แมฉันเกลียดคนใช ขอบกพรองในการเรียงลําดับคํามักปรากฏดังน้ี - เรียงลําดับ คาํ ผิดตําแหนง เชน เขาไมท ราบสง่ิ ท่ีดีงามน้ัน วา คืออะไร (ควรเรยี งวา เขาไมทราบ วา สิ่งที่ดีงามนั้นคือ อะไร) - เรียงลําดับคําขยายผิดท่ี เชน ขอขอบคุณมา ณ โอกาสน้ีดวย เป็นอยางสูง (ควรเรียงวา ขอขอบคณุ เปน็ อยางสูง มา ณ โอกาสนี้ดวย) - เรียงลําดับคําไมเหมาะสม เชน จงไปเลือกตั้งลงคะแนน เสยี ง นายกสโมสรนักศกึ ษา (ควรเรยี งวา จงไปลงคะแนนเสยี งเลอื กตั้ง นายกสโมสรนักศึกษา) 5. แตง ประโยคใหจบกระแสความ หมายถงึ แตง ประโยคใหม คี วามสมบูรณ์ครบถวนท้ังสวนท่ีเป็น ภาคประธานและภาคแสดง ซึ่งประโยคท่ีจบกระแสความน้ันจะตองตอบคําถามวา ใคร ทํา อะไร ไดช ัดเจน สาเหตุที่ทําใหประโยคไมจ บกระแสความอาจเกดิ จากขาดคําบางคําหรือขาดสวนประกอบของ ประโยคบางสว นไป เชน เม่ือตอนยังเด็กเขาชอบนอนหนุนตักแม บัดน้ีเขาอายุย่ีสิบกวาแลว(ควรแกเป็น เม่ือตอนยังเด็กเขาชอบนอนหนุนตักแม บัดน้ีเขาอายุยี่สิบกวาแลวก็ ยังชอบอยูเหมือนเดิม) 6. ใชภาษาใหชัดเจน ใชภาษาที่ใหความหมายเพียงความหมายเดียว เป็นความหมายท่ีไม สามารถจะแปลความเป็นอยางอ่ืนได เชน “คุณแมไมชอบคนใชฉัน” อาจแปลได 2 ความหมายคือ คุณแมไมชอบใครก็ตามที่ใชใหฉันทําโนนทํานี่ หรือคุณแมไมชอบคนรับใชของฉัน ทั้งน้ีเพราะคําวา “คนใช” เปน็ คาํ ท่ีมีหลายความหมายนัน่ เอง 7. ใชภาษาใหสละสลวย ใชภาษาอยางไพเราะราบรื่น ฟังไมขัดหู และมีความกะทัดรัด - ไมใชคําฟุมเฟือย หมายถึง การใชคําที่ไมจําเป็น หรือใชคําท่ีมีความหมายซ้ําซอน เชน “วันนี้อาจารย์ไมมาทําการสอน” คําวา “ทําการ” เป็นคําที่ไมจําเป็น เพราะแมจะคงไวก็ไมไดชวย ใหความหมายชดั เจนข้นึ กวา เดมิ หรือถา ตดั ท้ิง ความหมายก็ไมไดเสยี ไป ดังนัน้ จึงควรแกไขเปน็ “วันน้ี อาจารยไ์ มม าสอน” - ใชคําใหคงที่ หมายถึง ในประโยคเดียวกัน หรือในเนื้อความเดียวกัน ควรใชคําเดียวกัน ใหตลอด ดังประโยคตอไปน้ี “หมอถือวาคนปุวยทุกคนเป็นคนไขของหมอเหมือนกัน - ไมใ ชส าํ นวนตา งประเทศ เชน “มันเป็นความจาํ เปน็ อยา งยง่ิ ทเ่ี ขาตองจากไป” ขอ้ สงั เกตและจดจาในการเขยี นภาษาไทย 1. หลักการประวิสรรชนีย์ในภาษาไทย - คําท่ีข้ึนตนดวยกระ/กะ ในภาษาไทยให ประวิสรรชนีย์ เชน กระเชา กระเซา กระแส กระโปรง กระทรวง กระทะ กระพริบ กะปิ เป็นตน 2. คําท่เี ป็นคาํ ประสมทค่ี าํ หนา กอ นเป็นเสยี งอะ ใหป ระวสิ รรชนยี ์ - เชน ตาวัน เป็น ตะวัน , ฉันน้ัน เป็น ฉะน้ัน, ฉันน้ี เป็นฉะนี้, หมากมวง เป็น มะมวง, สาวใภ เป็น สะใภ, วับวับ เป็น วะวับ, เรอ่ื ยเร่ือย เปน็ ระเรอื่ ย เป็นตน 3. คาํ ท่ยี ืมมาจากภาษาบาลี สนั สกฤต ตวั ทา ยทอี่ อกเสียง อะ ตองประวสิ รรชนยี ์ - เชน ศิลปะ มรณะ สาธารณะ วาระ เปน็ ตน
169 4. คําทีพ่ ยัญชนะตน ออกเสียงอะ แตไ มใ ชอักษรนํา ตอ งประวสิ รรชณยี ์ - เชน ขะมุกขะมอม ขะมักเขมน ทะเลอทะลา เปน็ ตน ชนดิ ของคาและความหมายของคา คาํ นาม (noun) เป็นคําท่ีใชเป็นประธานหรือกรรมของประโยค บางทีก็ใชขยายคํานามดวยกัน ได (มกั จะหมายถงึ วัสดทุ ่ใี ชท ํา) เชน ขวานทองคํา leather bag คําสรรพนาม (pronoun) เป็นคําที่ใชแทนคํานามในประโยค เมื่อคํานามน้ันถูกกลาวถึง หรือ เป็นทรี่ ูกันอยแู ลว เชน ฉนั คุณ he she it คํากริยา (verb) เป็นคําหลักของภาคแสดงในประโยค ใชบอกถึงทาทาง อาการและสภาพของ สง่ิ ตา งๆ เชน เดนิ หนาว have คําวิเศษณ์ หรือ คําคุณศัพท์ (adjective) เป็นคําที่ใชขยายความของคําตางๆ เชน ฉันหิวมาก the beautiful day คําบุพบท (preposition) เป็นคําที่ใชเชื่อมคํานามกับคํานาม และแสดงความสัมพันธ์ของ คํานามน้ัน เชน กระเปา ของ ฉัน the revolution in 2006 คําสันธาน (conjunction) เป็นคําที่เชื่อมประโยคกับประโยค ใหกลายเป็นประโยคความรวม หรอื ประโยคความซอ น เชน เพราะฉะนน้ั therefore คําอุทาน (interjection) เป็นคําที่เสริมขึ้นมาในประโยค เพื่อใหประโยคมีอรรถรสยิ่งข้ึน เชน โอโห อืม ในภาษาอนื่ ๆ อาจมีคําประเภทอื่นนอกเหนือจากท่ีกลาวไวแ ลว ขา งตน เชน คํากริยาวิเศษณ์ (adverb) เป็นคําขยายคลายกับคําวิเศษณ์ แตขยายเฉพาะคํากริยาหรือคํา วิเศษณด์ วยกนั เทา น้นั เชน generally continuously หลักการเขยี นสะกดคา 1. ต้งั ใจฟังคาํ ทีค่ รูบอกใหชดั เจน โดยนึกถึงความหมายของคําควบคูกันไปดวย เพ่ือจะไดเขียน ไดอ ยางถูกตอ ง 2. เขียนตัวหนังสือใหช ดั เจน เชน อยาใหหัวขาด หยกั ใหถ กู ท่ี อยาเขียนลายมือติดกัน ซึ่งจะ ทาํ ใหตัวอกั ษรคลา ยกัน 3. เขยี นหนังสอื ตามหลกั ตวั อักษรไทย วางเครื่องหมาย สระ และวรรณยกุ ต์ใหถูกท่ี 4. อยา เขยี นหนงั สือเลนหาง หรอื เขียนตวั หนังสอื เหมอื นในหนงั สอื การ์ตนู 5. เขยี นใหลายมอื สม่าํ เสมอ อยา ใหโยไ ปหนาบา งหลงั บาง 6. อยาเขียนตวั เล็กเกินไป อา นแลวปวดสายตา 7. อยาเขียน ลบ ขีด ฆา สกปรก นอกจากดูไมงามแลว ยังแสดงถึงการทํางานไมเป็น ระเบียบเรยี บรอ ยอกี ดวย 8. ควรเขียนดวยหมึกสีเขม สีท่ีนิยมกันวาสุภาพ คือ “ สีน้ําเงิน ” อยาใหหมึกจางทําใหอาน ไมช ดั
170 9. เวน ชองไฟ ( เวน ระยะระหวางตวั อักษร ) ใหเ ทากนั 10. เขยี นสะกดการนั ต์ ใหถ กู ตองตามพจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ 11. เมื่อเขียนเสร็จแลว กอนสงครูตรวจตองตรวจทานดูความถูกตองทั้งหมดอีกคร้ังหนึ่งกอน เสมอ 12. การประอักษร คําหรอื พยางค์ จะประกอบดวย เสียงพยัญชนะ เสียงสระ เสียงวรรณยุกต์ เป็นอยางนอ ย ซ่ึงมวี ิธกี ารเขียนได 4 วธิ ี 12.1 การประสมสามสวน ประกอบดวย พยัญชนะตน สระ และวรรณยุกต์ อาจเป็น วรรณยุกตม์ รี ปู หรอื ไมม รี ปู กไ็ ด 12.2 การประสมส่ีสวน ประกอบดวย พยัญชนะตน สระ พยัญชนะทายพยางค์ และ วรรณยุกต์ 12.3 การประสมสี่สวนพิเศษ ประกอบดวย พยัญชนะตน สระ พยัญชนะทายพยางค์ ท่ีไมออกเสยี งหรอื ตวั การันต์ และวรรณยุกต์ 12.4 การประสมหาสวน ประกอบดวย พยัญชนะตน สระ พยัญชนะทายพยางค์ พยญั ชนะทา ยพยางค์ที่ไมออกเสียงหรอื ตวั การนั ต์ และวรรณยุกต์ 13. ตัวอยา งการเขียนคาํ ภาษาไทย 13.1 คาํ ทป่ี ระวิสรรชนีย์ และไมป ระวิสรรชนยี ์ 13.1.1 พยางค์ทายคําที่มีเสียง อะ จะตองประวิสรรชนีย์ดวย เชน ธุระ สุขะ ศิลปะ พละ วรรณะ สาธารณะ ฯ 13.1.2 คําไทยแทสวนมาก ประวิสรรชนีย์ ตรงพยางค์ท่ีออกเสียง อะ เต็มมาตรา เชน กะทัดรัด กะทันหัน กะละมัง ขะมักเขมน คะแนน มะละกอ สะอาด สะดวก สะเทือน อะลมุ อลว ย ฯ 13.1.3 คําที่มีอักษรควบกับ ร เม่ือออกเสียง อะ สวนมากประวิสรรชนีย์ เชน กระเบียดกระเสียร ตระกูล ฯ 13.1.4 พยางคท์ อี่ อกเสียง อะ ซ่งึ กรอ นมาจากคาํ อืน่ สว นมากประวิสรรชนยี ์ 13.1.5 คําท่ีมาจากภาษาบาลี สันสกฤต ไมตองประวิสรรชนีย์ ตรงพยางค์ท่ีออก เสยี ง อะ ถงึ แมจะออกเสียง อะ เตม็ มาตรา และ ไมใชพยางคท์ ายคาํ 13.1.6 คําที่ออกเสียง อะ ไมเต็มมาตรา หรือคําที่เป็นอักษรนํา ไมตองประ วิสรรชนีย์ ตรงพยางค์ที่ออกเสียง อะ เชน ขโมย ขมุกขมัว เฉพาะ ฉบับ ชนวน ชนิด ชนัก ชวา ทลาย ทแยง เสบียง สบู สไบ สกดั ฯ 13.2 การใช บนั บรร 13.2.1 บัน- ใชเ ปน็ พยางคห์ นาของคําบางคาํ เชน บนั ดาล บันได บันทึก บันเทิง บันลอื
171 13.2.2 บรร- ใชเ ป็นพยางคห์ นาของคําซึ่งแผลงมาจาก 13.3 การใช อํา- อาํ ม- อัม- มีหลักการใชด งั นี้ การสร้างคาในภาษาไทย คําที่ใชในภาษาไทยด้ังเดิม สวนมากจะเป็นคําพยางค์เดียว เชน พ่ีนอง เดือนดาว จอบไถ หมูหมา กิน นอน ดี ชั่ว สอง สาม เป็นตน เม่ือโลกวิวัฒนาการ มีส่ิงแปลกใหมเพ่ิมขึ้น ภาษาไทยก็จะตองพัฒนาทั้งรูปคําและการเพิ่มจํานวนคํา เพ่ือใหมีคําใชในการส่ือสาร ใหเพียงพอ กับการเปลี่ยนแปลงของวัตถุส่ิงของและเหตุการณ์ตาง ๆ ดวยการสรางคํา ยืมคํา แบบสรางคํา คือ วิธีการนําอักษรมาประสมเป็นคําเกิดความหมายและเสียงของแตละ พยางค์ ใน 1 คํา จะตองมีสวนประกอบ ๓ สวน เป็นอยางนอย คือ สระ พยัญชนะและวรรณยุกต์ อยางมากไม เกนิ 5 สว น คือ สระ พยญั ชนะ วรรณยุกต์ ตวั สะกด ตัวการนั ต์ รูปแบบของคา คาํ ไทยทใี่ ชอยูปัจจบุ นั มีทง้ั คําท่เี ปน็ คาํ ไทยด้ังเดิม คาํ ทีม่ าจากภาษาตางประเทศ คําศัพท์ เฉพาะทางวิชาการคําที่ใชเฉพาะในภาษาพูด คําชนิดตาง ๆ เหลานี้มีช่ือเรียกตามลักษณะและ แบบสรางของคํา เชน คํามูล คําประสม คําสมาส คําสนธิ คําพองรูป คําพองเสียง คําเหลานี้มีลักษณะ พิเศษเฉพาะ ผูเรียนจะเขาใจลักษณะแตกตางของคําเหลาน้ีไดจากแบบสรางของคํา ความหมายและแบบสรา้ งของคาชนดิ ต่าง ๆ คามลู คํามูล คือ คํา ๆ เดียวที่มิไดประสมกับคําอื่น อาจมี 1 พยางค์ หรือหลายพยางค์ก็ไดแต เ มื่อแยกพยางค์แลวแตละพยางค์ไมมีความหมาย คําภาษาไทยท่ีใชมาแตเดิมสวนใหญ เป็นคํามูลที่มี พยางคเ์ ดียวโดด ๆ เชน พอ แม กิน เดิน คาประสม คอื คําทีส่ รา งข้นึ ใหมโ ดยนําคาํ มลู ตง้ั แต ๒ คาํ ข้นึ ไปมาประสมกัน เกิดเป็นคาํ ใหมข ึ้นอีก คาํ หนึง่ 1. เกดิ ความหมายใหม 2. ความหมายคงเดิม 3. ความหมายใหกระชบั ขน้ึ ชนิดของคาประสม การนาํ คาํ มูลมาประสมกัน เพอ่ื ใหเ กิดคาํ ใหมขึ้นเรยี กวา “คาํ ประสม” น้นั มวี ิธสี รา งคาํ ตามแบบ สราง อยู 5 วธิ ดี วยกัน คอื 1. คาํ ประสมทีเ่ กิดจากคํามูลท่มี ีรปู เสยี ง และความหมายตางกัน เมื่อประสมกันเกดิ เปน็ ความหมายใหม ไมตรงกบั ความหมายเดิม คาํ ประสมชนิดนม้ี ีมากมาย เชน แมค รัว ลูกเรือ พอตา มือลิง ลกู นา้ํ ลูกนอ ง ปากกา 2. คําประสมท่ีเกิดจากคํามลู ท่ีมรี ปู เสียง และความหมายตางกัน เมื่อประสมกนั แลว เกดิ ความหมายใหมแตย ังคงรักษาความหมายของคําเดมิ แตละคําได
172 3. คําประสมทีเ่ กิดจากคํามูลท่มี รี ปู เสยี ง ความหมายเหมอื นกนั เม่ือประสมแลวเกิดความหมายตาง จากความหมายเดมิ เลก็ นอย อาจมคี วามหมายทางเพม่ิ ขึ้นหรือลดลงก็ไดการเขียนคําประสมแบบนี้จะใช ไมย มก (ๆ) เตมิ ขางหลงั 4. คําประสมที่เกิดจากคํามูลที่มีรูปและเสียงตางกัน แตมีความหมายเหมือนกัน เมื่อนํา มาประสมกนั แลวความหมายไมเ ปลย่ี นไปจากเดิม เชน 5. คําประสมท่ีเกดิ จากคํามูลทีม่ ีรูป เสยี ง และความหมายตา งกนั เมื่อนาํ มาประสมจะตดั พยางค์ หรอื ยนพยางค์ใหส ้ันเขา คาสมาส คําสมาสเป็นวิธีสรางคําในภาษาบาลีและสันสกฤต โดยนําคําต้ังแต 2 คําขึ้นไปมาประกอบกัน คลายคําประสม แตคําที่นํามาประกอบแบบคําสมาสน้ัน นํามาประกอบหนาศัพท์ การแปลคําสมาส จงึ แปลจากขา งหลังมาขางหนา การนําคาํ มาสมาสกัน อาจเป็นคาํ บาลสี มาสกบั บาลี สนั สกฤตสมาสกับสันสกฤต หรือบาลีสมาส กบั สันสกฤตก็ได ในบางคร้ัง คําประสมที่เกิดจากคําไทยประสมกับคําบาลีหรือคําสันสกฤตบางคํา มีลักษณะ คลายคําสมาสเพราะแปลจากขางหลังมาขางหนา เชน ราชวัง แปลวา วังของพระราชา อาจจัดวาเป็น คาํ สมาสได สวนคําประสมที่มีความหมายจากขางหนาไปขางหลังและมิไดทําให ความหมาย ผิดแผกแม คาํ นัน้ ประสมกบั คําบาลีหรอื สันสกฤตก็ถอื วาเป็นคําประสม เชน มูลคา ทรพั ย์สนิ เป็นตน การเรียงคาตามแบบสรา้ งของคาสมาส 1. ถา เปน็ คาํ ที่มาจากบาลีและสันสกฤต ใหเ รียงบทขยายไวขา งหนา เชน อทุ กภยั หมายถึง ภยั จากนา้ํ อายขุ ยั หมายถงึ ส้นิ อายุ 2. ถา พยางคท์ ายของคําหนา ประวสิ รรชนยี ์ ใหต ัดวิสรรชนียอ์ อก เชน ธุระ สมาสกบั กิจ เป็น ธรุ กจิ พละ สมาสกบั ศกึ ษา เปน็ พลศกึ ษา 3. ถาพยางค์ทา ยของคาํ หนามตี วั การันตใ์ หต ัดการตั น์ออกเมื่อเขา สมาส เชน ทัศน์ สมาสกับ ศึกษา เป็น ทศั นศกึ ษา แพทย์ สมาสกับ สมาคม เป็น แพทยสมาคม 4. ถาคําซํา้ ความ โดยคาํ หนึ่งไขความอีกคําหน่ึง ไมมวี ิธเี รียงคาํ ทแ่ี นน อน เชน นร (คน) สมาสกบั ชน (คน) เปน็ นรชน (คน) วิถี (ทาง) สมาสกับ ทาง (ทาง) เป็น วถิ ีทาง (ทาง) คช (ชาง) สมาสกับ สาร (ชาง) เปน็ คชสาร (ชาง)
173 การอ่านคาสมาส การอา นคําสมาสมีหลักอยูวา ถาพยางค์ทายของคาํ ลงทา ยดวย สระอะ, อิ, อุ เวลาเขา สมาสใหอ านออกเสียง อะ อิ อุ นัน้ เพียงคร่ึงเสยี ง ข้อสังเกต 1. มีคาํ ไทยบางคาํ ทีค่ าํ แรกมาจากภาษาบาลสี นั สกฤต สว นคาํ หลังเปน็ คําไทย คําเหลา น้ี ไดแ ปล ความหมายตามกฎเกณฑ์ของคําสมาส แตอานเหมือนกบั วา เป็นคําสมาส ท้งั น้ี เปน็ การอานตามความ นยิ ม 2. โดยปกตกิ ารอา นคาํ ไทยที่มมี ากกวา 1 พยางค์ มักอานตรง แตม ีคาํ ไทยบางคาํ ท่เี ราอานออกเสยี ง ตวั สะกดดวย ทงั้ ทเ่ี ปน็ คําไทยมใิ ชคาํ สมาส คาสนธิ การสนธิ คือ การเช่ือมเสียงใหกลมกลืนกันตามหลักไวยกรณ์บาลีสันสกฤต เปน็ การเชอ่ื ม อกั ษรให ตอเนอื่ งกนั เพ่ือตัดอักษรใหน อยลง ทาํ ใหค ําพดู สละสลวย นาํ ไปใชป ระโยชนใ์ นการแตง คําประพันธ์ คาํ สนธิ เกดิ จากการเช่อื มคาํ ในภาษาบาลีและสนั สกฤตเทาน้ัน ถาคาํ ที่นํามาเช่ือมกัน ไมใ ชภาษา บาลีสันสกฤต ไมถือวาเปน็ สนธิ เชน กระยาหาร มาจากคํา กระยา + อาหาร ไมใชส นธิ เพราะ กระยา เป็นคําไทยและถงึ แมว า คําทนี่ ํามารวมกนั แตไมไดเ ชอื่ มกนั เป็นเพียงประสมคาํ เทา นั้น ก็ไมถ ือวา สนธิ แบบสรา งของคาํ สนธิทใี่ ชในภาษาบาลีและสันสกฤต มีอยู 3 ประเภท คือ 1. สระสนธิ 2. พยญั ชนะสนธิ 3. นคิ หิตสนธิ สาํ หรบั การสนธิในภาษาไทย สว นมากจะใชแ บบสรางของสระสนธิ แบบสรา้ งของคาสนธิทีใ่ ชใ้ นภาษาไทย 1. สระสนธิ การสนธสิ ระทําได 3 วธิ ี คอื 1.1 ตัดสระพยางคท์ าย แลวใชส ระพยางคห์ นา ของคาํ หลงั แทน เชน มหา สนธิกับ อรรณพ เป็น มหรรณพ นร สนธิกับ อนิ ทร์ เป็น นรินทร์ ปรมะ สนธิกบั อินทร์ เป็น ปรมนิ ทร์ รตั นะ สนธกิ ับ อาภรณ์ เป็น รัตนาภรณ์ วชิร สนธิกับ อาวธุ เป็น วชิราวุธ ฤทธิ สนธิกบั อานุภาพ เป็น ฤทธานภุ าพ มกร สนธิกับ อาคม เป็น มกราคม
174 1.2 ตัดสระพยางคท์ ายของคาํ หนา แลว ใชสระพยางค์หนาของคาํ หลงั แตเปลีย่ นรูป อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู หรือ โอ ตัวอยา งเชน เปลี่ยนรูป อะ เป็นอา เทศ สนธิกับ อภบิ าล เป็น เทศาภิบาล ราช สนธกิ บั อธิราช เป็น ราชาธริ าช ประชา สนธิกบั อธปิ ไตย เป็น ประชาธปิ ไตย จุฬา สนธิกบั อลงกรณ์ เป็น จุฬาลงกรณ์ เปลีย่ นรปู อิ เป็น เอ นร สนธกิ บั อศิ วร เป็น นเรศวร ปรม สนธิกบั อินทร์ เป็น ปรเมนทร์ คช สนธกิ บั อินทร์ เป็น คเชนทร์ เปลี่ยนรูป อุ เป็น อู หรอื โอ ราช สนธิกบั อุปถมั ภ์ เป็น ราชปู ถัมภ์ สาธารณะ สนธกิ ับ อุปโภค เป็น สาธารณูปโภค วิเทศ สนธกิ ับ อุบาย เป็น วิเทโศบาย สุข สนธิกบั อุทัย เป็น สุโขทัย นย สนธกิ ับ อุบาย เป็น นโยบาย 1.3 เปล่ยี นสระพยางคท์ ายของคาํ หนา อิ อี เป็น ย อุ อู เปน็ ว แลวใชสระ พยางค์หนาของ คาํ หลังแทน เชน เปลีย่ น อิ อี เป็น ย มต ิ สนธกิ บั อธิบาย เป็น มตั ยาธบิ าย รังสี สนธกิ บั โอภาส เป็น รังสโยภาส, รังสโิ ยภาส สามัคคี สนธกิ บั อาจารย์ เป็น สามัคยาจารย์ เปลี่ยน อุ อู เปน็ ว สนิ ธุ สนธิกับ อานนท์ เป็น สินธวานนท์ จักษุ สนธกิ บั อาพาธ เป็น จกั ษวาพาธ ธนู สนธกิ บั อาคม เป็น ธันวาคม 2. พยญั ชนะสนธิ พยัญชนะสนธิในภาษาไทยมีนอย คอื เมือ่ นําคํา 2 คํามาสนธิกัน ถาหากวาพยัญชนะ ตัวสุดทาย ของคําหนา กบั พยัญชนะตวั หนาของคาํ หลังเหมือนกนั ใหต ัดพยัญชนะทเี่ หมือนกนั ออกเสยี ตัวหน่งึ
175 3. นคิ หติ สนธิ นิคหิตสนธิในภาษาไทย ใชวิธีเดียวกับวิธีสนธิในภาษาบาลีและสันสกฤต คือ ใหสังเกต พยัญชนะตัวแรกของคําหลังวาอยูในวรรคใด แลวแปลงนิคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดทายของวรรคนั้น คาแผลง คําแผลง คือ คําที่สรางข้ึนใชในภาษาไทยอีกวิธีหน่ึง โดยเปล่ียนแปลงอักษรท่ีประสมอยูใน คําไทยหรือคําที่มาจากภาษาอ่ืนใหผิดไปจากเดิม ดวยวิธีตัด เติม หรือเปล่ียนรูป แตยังคงรักษา ความหมายเดมิ หรอื เคา ความเดิมอยู แบบสร้างของการแผลงคา การแผลงคาํ ทําได 3 วธิ ี คอื 1. การแผลงสระ 2. การแผลงพยัญชนะ 3. การแผลงวรรณยกุ ต์ 1. การแผลงสระ เปน็ การเปลยี่ นรปู สระของคาํ น้ัน ๆ ใหเ ป็นสระรปู อนื่ ตวั อยา่ ง คาเดมิ คาแผลง คาเดมิ คาแผลง ชยะ ชัย สายดือ สะดอื โอชะ โอชา สรุ ิยะ สรุ ีย์ วชิระ วิเชยี ร ดริ ัจฉาน เดรจั ฉาน พัชร เพชร พิจติ ร ไพจิตร คะนงึ คํานงึ พีช พชื ครหะ เคราะห์ กีรติ เกียรติ ชวนะ เชาวน์ สคุ นธ์ สวุ คนธ์ สรเสริญ สรรเสริญ ยวุ ชน เยาวชน ทูรเลข โทรเลข สุภา สุวภา 2. การแผลงพยัญชนะ การแผลงพยัญชนะกเ็ ชน เดยี วกบั การแผลงสระ คือ ไมมกี ฎเกณฑ์ตายตัวเกดิ จาก ความเจรญิ ของ ภาษา การแผลงพยัญชนะเป็นการเปล่ยี นรปู พยญั ชนะตัวหนง่ึ ใหเป็นอีกตัวหน่ึง หรอื เพ่มิ พยัญชนะลงไป ใหเ สียงผิดจากเดิม หรือมีพยางค์มากกวาเดมิ หรือตัดรปู พยัญชนะ การศึกษาที่มาของถอ ยคําเหลา นีจ้ ะ ชวยใหเ ขาใจความหมายของคาํ ไดถูกตอง ตัวอย่าง คาเดิม คาแผลง คาเดมิ คาแผลง กราบ กําราบ บวช ผนวช เกิด กําเนิด ผทม ประทม, บรรเทา
176 ขจาย กาํ จาย เรยี บ ระเบยี บ แข็ง กําแหง, คาํ แหง แสดง สาํ แดง คณู ควณ, คํานวณ, คาํ นูณ พรั่ง สะพรั่ง เจียร จาํ เนยี ร รวยรวย ระรวย เจาะ จาํ เพาะ, เฉพาะ เชญิ อัญเชิญ เฉียง เฉลยี ง, เฉวยี ง เพญ็ บําเพ็ญ ชว ย ชาํ รวย ดาล บันดาล ตรัย ตาํ รบั อัญชลี ชลี, ชลุ ี ถก ถลก อบุ าสกิ า สกี า 3. การแผลงวรรณยุกต์ การแผลงวรรณยุกต์ การแผลงวรรณยกุ ต์เปน็ การเปลีย่ นแปลงรูป หรือเปล่ียนเสียงวรรณยุกต์ เพ่ือใหเ สียงหรอื รปู วรรณยุกตผ์ ิดไปจากเดมิ ตวั อย่าง คาเดมิ คาแผลง คาเดิม คาแผลง เพยี ง เพย้ี ง พทุ โธ พุทโธ เสนหะ เสนห ์ บ บ คาซ้า คําซา้ํ คือ การสรางคําดว ยการนาํ คาํ ทีม่ เี สยี ง และความหมายเหมือนกนั มาซาํ้ กนั เพื่อเปลี่ยน แปลง ความหมายของคํานัน้ ใหแ ตกตางไปหลายลักษณะ 1. ความหมายคงเดิม คือ คาํ ที่ซํ้ากันจะมคี วามหมายคงเดมิ แตอาจจะใหความหมายออนลง หรือไม แนใจจะมีความหมายเทากับความหมายเดิม เชน ตอนเย็น ๆ คอยมาใหมน ะ รสู กึ จะอยแู ถว ๆ นล้ี ะ คํา วา เย็น ๆ และ แถว ๆ ดูจะมีความหมาย ออนลง 2. ความหมายเดนขึ้น เฉพาะเจาะจงขึ้นกวา ความหมายเดมิ เชน สอนเทาไหร ๆ กไ็ มจํา พระเอกคน น้ี ลอ หลอ เปน็ ตน 3. ความหมายแยกเป็นสวน ๆ แยกจํานวน เชน กรณุ าแจกเปน็ คน ๆ ไปนะ จา ยเปน็ งวด ๆ (ทลี ะ งวด) เปน็ ตน 4. ความหมายบอกจาํ นวนเพมิ่ ข้นึ เปน็ เด็ก ๆ ชอบวิ่ง เธอทําอะไร ๆ ก็ดดู หี มด เปน็ ตน 5. ความหมายผดิ ไปจากเดมิ เชน เร่ืองหมู ๆ แบบนีส้ บายมาก (เรื่องงาย) รูเพียงงู ๆ ปลา ๆ เทานนั้ (รไู มจ รงิ ) เปน็ ตน คาซอ้ น คําซอน คอื คําประสมชนดิ หนง่ึ ที่เกิดจากการนําเอาคาํ ต้ังแตสองคําขึ้นไปซึ่งมเี สยี งตา งกัน แตมี ความหมายเหมือนกนั หรือคลายคลึงกันหรอื เปน็ ไปในทาํ นองเดยี วกันมาซอนคู กนั เชน เลก็ นอ ยใหญโต
177 เปน็ ตน ปกตคิ าํ ที่นาํ มาซอนกันนัน้ นอกจากจะมีความหมายเหมือนกนั หรือใกลเคียงกันแลว มักจะมี เสยี งใกลเคยี งกันดวย เพื่อใหออกเสยี งงา ย สะดวกปาก คําทน่ี ํา มาซอนแลว ทําใหเ กดิ ความหมายน้ันแบงเปน็ 2 ลกั ษณะ คือ 1. ซ้อนคาแล้วมคี วามหมายคงเดิม คาํ ซอนลกั ษณะน้ีจะนําคาํ ทม่ี ีความหมายเหมือนกัน มาซอนกนั เพื่อขยายความซ่ึงกนั และกนั เชน ขาทาส รูปรา ง วา งเปลา โงเ ขลา เป็นตน 2. ซ้อนคาแลว้ มีความหมายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 2.1 ความหมายเชิงอุปมา คาํ ซอ นลักษณะนจี้ ะเป็นคําซอนทค่ี ําเดิมมีความหมาย เปน็ รปู แบบ เมอ่ื นํามาซอนกับความหมายของคําซอนนนั้ จะเปล่ียนไปเป็นนามธรรม เชน ออ่ นหวาน ออนมคี วามหมายวา ไมแ ขง็ เชน ไมออ น หวานมคี วามหมายวารสหวาน เชน ขนมหวาน ออ่ นหวาน มีความหมายวาเรยี บรอ ย นา รัก เชน เธอชางออนหวานเหลอื เกิน หมายถึง กิริยาอาการ ทีแ่ สดงออกถงึ ความเรยี บรอยนา รกั คาอ่นื ๆ เชน คํ้าจุน เดด็ ขาด ยงุ ยาก เป็นตน 2.2 ความหมายกวางออก คาํ ซอนบางคาํ มีความหมายกวางออกไมจ ํากัดเฉพาะ ความหมายเดิม ของคําสองคาํ ท่ีมาซอนกัน เชน เจบ็ ไข้ หมายถึง อาการเจ็บปุวยของโรคตาง ๆ และคําวา พนี่ อง ถวยชาม ทบุ ตี ฆา ฟัน เปน็ ตน 2.3 ความหมายแคบเขา คาํ ซอนบางคํามีความหมายเดน อยูคําใดคําหน่ึง ซึ่งอาจจะเป็นคําหนา หรอื คาํ หลังก็ได เชน ความหมายเดนอยูค าํ หนา ใจดาํ หวั หู ปากคอ บาบอคอแตก ความหมายเดน อยคู าํ หลัง หยิบยมื เอร็ดอร่อย น้ําพักนา้ แรง วานอนสอนงา่ ย เปน็ ตน ตวั อยา่ งคาซอ้ น 2 คา เชน บานเรือน สวยงาม ขา วของ เงินทอง มดื คํา่ อดทน เกีย่ วของ เยบ็ เจยี๊ บ ทรพั ย์สนิ รปู ภาพ ควบคุม ปอู งกนั ลี้ลบั ซับซอน เป็นตน ตัวอยา งคําซอนมากกวา 2 คาํ เชน ยากดีมีจน เจ็บไขไ ดป ุวย ขาวยากหมากแพง เวียนวายตายเกดิ ถกู อกถูกใจ จบั ไมไดไลไมทนั ฉกชงิ วิ่งราว เปน็ ตน
178 ใบกิจกรรม บทเรียนออนไลนท์ ี่ 4 เรือ่ ง หลักการใช้ภาษา ใหผ เู รยี น ศกึ ษาสื่อวีดโี อเรื่อง วิชาภาษาไทย ภาษาพูด และภาษาเขียน และศึกษาใบความรู เรือ่ งหลกั การใชภ าษา ใหน กั ผูเรยี นศกึ ษาสื่อวดี ีโอเร่ือง หลกั การใชภ าษา (PART 1) , หลกั การใชภ าษา (PART 2) และศึกษาใบความรูเรื่องหลกั การใชภ าษา
179 ใบงาน บทเรยี นออนไลน์ที่ 4 เรอ่ื ง หลกั การใช้ภาษา ตอนท่ี 1 การใช้ระดับภาษาทีเ่ ป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ 1. ใหผูเ รยี นเขยี นประโยคภาษาทเ่ี ปน็ ทางการ และภาษาไมเป็นทางการ อยา งละ 3 ประโยค ภาษาทีเ่ ป็นทางการ 1............................................................................................................................ .................... 2................................................................................................................................................ 3.................................................................................................................. .............................. ภาษาไมเ ปน็ ทางการ 1............................................................................................................................. ................... 2.............................................................................................................. ................................. 3............................................................................................................................ .................... ตอนที่ 2 คาสงั่ ให้ผเู้ รียนเขยี นบอกชนิดของประโยคตอ่ ไปน้ีลงในชอ่ งวา่ ง ( บอกเลา่ , ปฏเิ สธ, คาถาม, คาส่ัง, ขอร้อง, แสดงความต้องการ) 1. คณุ ไมอยากไปเรียนตอ เมอื งนอกหรือ ............................................................................................................................. ....... 2. ผมอยากดูเขาเชดิ หนงั ตะลงุ ............................................................................................................................... 3. อยา แตะตองสิง่ เสพยต์ ดิ ทกุ ชนดิ ............................................................................................................. ....................... 4. กรุณาเอือ้ เฟ้ือทนี่ ัง่ แกเ ด็ก สตรี และคนชรา ............................................................................................................................. ....... 5. บานของปูาเปน็ แหลง อนรุ กั ษ์ศิลปะหตั กรรมการทําต฿ุกตาไทย ............................................................................................................................. ....... 6. คนรนุ ใหมไมสูบบุหรี่ ................................................................................................... ................................. 7. จงอยา ทจุ ริตในการสอบ มฉิ ะนั้นจะปรับตกทุกวชิ า ...................................................................................................................................
180 ตอนที่ 3 เร่ือง การใชค้ าและการสร้างคาในภาษาไทย จงบอกพยางคต์ อ ไปนี้ 1. อนุโมทนา ออกเสยี งวา ............................................................ 2. ยถากรรม ออกเสียงวา ............................................................. 3. สวรรค์ ออกเสยี งวา ............................................................. 4. พรหมจรรย์ ออกเสยี งวา ............................................................ 5. วิทยาลยั ออกเสียงวา ........................................................... 6. พราหมณ์ ออกเสยี งวา .......................................................... 7. พิสดาร ออกเสียงวา ............................................................ 8. ถลอก ออกเสียงวา ........................................................... 9. มหัศจรรย์ ออกเสยี งวา ........................................................... 10. ศลิ ปกรรม ออกเสยี งวา .......................................................
181 แบบทดสอบหลงั เรียน บทเรยี นออนไลน์ท่ี 4 เรอื่ ง หลกั การใช้ภาษา คาสัง่ ใหเลอื กคาํ ตอบทถี่ กู ตองท่ีสดุ เพียงคําตอบเดียว 1. คํานาม คอื อะไร ก. คาํ ที่เป็นชื่อของคน สตั ว์ สถานท่ี ส่งิ ของ ข. คาํ ทใ่ี ชเรียกคน สตั ว์ สถานท่ี สงิ่ ของ ค. คําทส่ี รางมาจากคาํ กรยิ า โดยใชค ําวา \"การ\" และ \"ความ\" นําหนา ง. คําที่แสดงลักษณะของคําอ่ืนวาเป็นอยางไรรวมทั้งบอกการกระทําวา ทําอะไร 2. ขอ ใดใชลกั ษณะนามผิด ก. ขลยุ – เลา ข. สวงิ – ปาก ค. งาชา ง – งา ง. สักวา - บท 3. ขอใดเปน็ อาการนาม ก. การงาน ข. การเมอื ง ค. การกนิ ง. การพาณิชย์ 4. ขอ ใดมีคาํ นามทที่ าํ หนา ทเี่ ป็นนามเรียกขาน ก. ฉันคือนาฬิกาดาํ แลว ข เขาชอบดม่ื นมมากกวาสงิ่ อ่นื ค. เขาชอบด่ืมนมมาก ๆ เวลากลางคืน ง. นักเรยี นฟงั ครูอธิบายใหเขาใจกอน 5. ประโยคมคี วามหมายตรงตามขอใดมากทส่ี ุด ก. คาํ หรอื กลมุ คํา ข. การนํากลมุ คํามาเรยี บเรียงกัน ค. มภี าคประธานและภาคแสดง ง. คําหรือกลุม คําที่นาํ มาเรียงกนั แลว มคี วามหมายสมบูรณ์ ประกอบดวยภาคประธานและภาคแสดง 6. ขอใดไมม ีคําวิเศษณ์ ก. รานองใหขอคดิ ในการทํางานแกพระเจา แปร ข. ขนมหวานทแ่ี มซอ้ื มาอรอ ยมากมาก ค. อดตี เขาอาจเกเรแตปจั จุบนั เขาเปน็ คนดี ง. ปใี หมนี้จะไปฉลองที่ไหนดี
182 7. ประโยคใดเป็นประโยคความรวม ก. นกั กีฬาทีมชาตไิ ทยมงุ ม่ันไปสจู ุดหมาย ข. กมลอานหนังสอื สารคดีซึ่งแมซื้อมาให ค. พอพอกลับถึงบานแมก็เตรยี มอาหารเยน็ เสรจ็ แลว ง. นกั แสดงท่ีมีความสามรถยอ มไดร ับการกลา วขาน 8. ขอ ใดเป็นประโยคความเดียว ก.“นกพิราบ” ข. “ฉันกนิ ขา วผดั ” ค. “กระเปา ท่วี างอยูบนโซฟาเป็นของพอ” ง. “เขาชอบอา นหนังสือหรอื ชอบเขียนหนังสอื ” 9. ขอใดเป็นประโยคความซอน ก. ฉนั รองเพลง ข. ฉันและแมก ินขา ว ค. ฉันชอบบานที่อยูชายทะเล ง. ฉันจะรองเพลงแตพ่ีจะเตะฟุตบอล 11. อักษรยอจะตอ งมเี ครื่องหมายใดกาํ กับอยเู สมอ ก. มหัพภาค ข. จลุ ภาค ค. เสมอภาค ง. วิภชั ภาค 10. ขอใดควรใชเคร่ืองหมาย “ๆ” ก. ตํารวจไลกวดจับผูรายผรู า ยพยายามหนี ข. ฉันทาํ การบานบานคณุ ยาย ค. ยายนอนนอนอยูกเ็ ผลอหลบั ไป ง. เขาไปดทู ่ีที่ตา งจงั หวดั 11. ขอใดใชเคร่อื งหมายวรรคตอนถูก ก. (สวัสดคี รับ) ชายคนหนง่ึ พูด ข. อุย฿ ? อะไรเนีย่ ค. เพลง ? อะไรแตก ง. ในนา้ํ มี ปลา,กงุ ,ปู และ หอย 12. ขอ ใดถกู ตองที่สดุ เกีย่ วกบั การสะกดคํา ก. การออกเสียงตามพยัญชนะตน และพยัญชนะทาย ข. การอานไมออกเสียงสระ ค. การออกเสยี งตามพยัญชนะและสระ ง. การออกเสยี งตามสระและวรรณยกุ ต์
183 13. ขอใดกลาวถึงคําราชาศพั ท์ถูกตองที่สุด ก. ถอยคําท่ีใชก ับพระมหากษัตริย์ ข. ขอความท่ีใชก บั พระราชวงศ์ ค. ภาษาทใ่ี ชใ หเหมาะสมกบั ฐานะของบุคคล ง. คําสภุ าพท่ใี ชย กยองบุคคลในสงั คม 14. ขอใดเปน็ คําราชาศัพท์ทุกคาํ ก. เสน พระเจา ทรงกลด ประพาส ข. พระโขนง พระท่ี พระสาง ค. พระเครื่อง โปรด เสวย ง. เรอื นตน คลุมบรรทม ทรงปืน 15. สาํ นวนหมายความวาอยางไร ก. ถอยคําทีเ่ รียบเรยี งเป็นขอความ หรอื คาํ พดู ที่ชนั้ เชงิ ข. ถอยคําท่ีกลาวแนะนาํ สัง่ สอน เตือนสติ ดวยหลกั ความจริง ค. เปน็ การกลา วเปรียบเทยี บตอเหตุการณ์ที่เกดิ ขน้ึ ง. ขอ ความท่ีคอยเตอื นใจ 16. สุภาษติ หมายความวา อยางไร ก. การกลาวเปรยี บเทยี บตอ เหตกุ ารณ์ที่เกดิ ขึน้ ข. ขอความที่คอยเตือนใจ ค. ถอ ยคําทเ่ี รยี บเรียงเป็นขอ ความ หรือคําพดู ทชี่ ้ันเชิง ง. ถอ ยคําที่กลา วแนะนํา สง่ั สอน เตือนสติ ดวยหลกั ความจรงิ 17. คาํ พงั เพยหมายความวา อยา งไร ก. ถอ ยคําทเ่ี รียบเรียงเป็นขอความ หรือคาํ พดู ที่ชั้นเชิง ข. ถอยคาํ ทีก่ ลาวแนะนํา สั่งสอน เตือนสติ ดว ยหลักความจรงิ ค. การเปรยี บเทียบตอ เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ข้ึน ง. ขอความท่ีคอยเตือนใจ 18. ไกไ ดพ ลอย\" หมายถึง ก. เม่อื เกิดความเสยี หายแลวจงึ คดิ หาทางปูองกัน ข. เกบ็ เล็กผสมนอยจนสาํ เรจ็ ค. ยืนกรานไมยอมรบั ง. ไดส ิง่ ท่ีมคี าแตก ็ไมร ูคุณคา
184 19. สํานวนใดทส่ี ะทอนใหเ ห็นถึงความเป็นอยูเก่ียวกบั การทาํ มาหากนิ ก. ของหายตะพายบาป ข. ขนุ ไมเช่ือง ค. นํา้ ขนึ้ ใหร บี ตัก ง. เกลือจ้มิ เกลอื 20. ขอ ใดตรงกับประโยชน์จากสาํ นวน สภุ าษิต และคําพังเพยมากท่ีสดุ ก. นําหลกั คําสอนมาประยุกตใ์ ช ข. ทาํ ใหทราบความหมายของแตล ะสํานวน ค. ทาํ ใหเยาวชนประพฤติ ปฏบิ ตั ิตนดีขนึ้ ง. ขดั เกลานิสยั เยาวชนใหอยูใ นกรอบและระเบยี บมากข้ึน
185 เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น บทเรยี นออนไลน์ท่ี 4 เร่อื ง หลักการใชภ้ าษา 1. ข 2. ง 3. ค 4. ง 5. ง 6. ก 7. ค 8. ข 9. ค 10. ก 11. ก 12. ง 13. ค 14. ง 15. ก 16. ง 17. ค 18. ง 19. ค 20. ก
186 แบบทดสอบก่อนเรยี น บทเรียนออนไลน์ที่ 5 เร่ือง วรรณคดแี ละวรรณกรรม คาสงั่ ใหเลอื กคําตอบทถ่ี กู ตองทส่ี ดุ เพียงคําตอบเดียว 1. ขอใดคือความหมายของวรรณคดี ก. หนงั สือดีที่ใชศ ลิ ปะในการแตง สรา งจินตภาพ แสดงความรู ความคิด เป็นภาพแทนสงั คม ข. หนงั สือท่ใี ชส ภาพปจั จุบันในการเลา เร่ืองเปน็ ภาพ และการแสดงออกทางอารมณ์ ค. หนังสือทใ่ี ชเรอ่ื งราวในอดตี บอกเลาผานเรื่องราวทเ่ี กิดขนึ้ จริงในสังคม ง. หนังสือทใี่ หแงค ิดทเ่ี ป็นการเตอื นใจ บอกเลาความเป็นจรงิ ในสังคม 2. ขอ ใดคือหลกั การพนิ จิ วรรณคดแี ละวรรณกรรมจากขอความขางตน ก. ทําความเขา ใจเร่ือง ข. ตีความ วเิ คราะห์ ค. วิจารณ์ ประเมนิ คา ง. ถูกทุกขอ 3. ขอใดเป็นวรรณคดี ก. แตงขน้ึ เพือ่ ใหคณุ คาทางอารมณแ์ ละความรูสึก ข. แตง ข้นึ เพ่อื มงุ เนน ความสนุกสนาน ค. แตง ข้ึนเพ่ือแสดงความคิดเหน็ ง. แตงขึน้ เพอื่ มุงเนนใหค วามรู 4. ขอ ใดเป็นรสวรรณคดีของไทย ก. โวหารภาพพจน์ ข. โวหารอติพจน์ ค. บุคลาธิฐาน ง. พโิ รธวาธงั 5. เพลงพืน้ บานประเภทใดตองใชไ หวพริบ ก. ใชภาษาธรรมดาไมมบี าลีสันสกฤตปน ข. สอดแทรกแนวคดิ ชดั เจน ค. สะทอ นสภาพสงั คม ง. เพลงกลอ มเดก็ 6. ขอ ใดคือลกั ษณะเดนของเพลงพืน้ บาน ก. ใชภาษาธรรมดาไมมีบาลสี ันสกฤตปน ข. เพลงประกอบการละเลน ค. เพลงปฏิพากย์ ง. จังหวะออนน่ิม
187 7. ขอ ใดเป็นเพลงกลอมเด็ก ก. มอญซอ นผา ข. รีรีขา วสาร ค. นกขมิน้ ง. ผมเปีย 8. จดุ ประสงคข์ องเพลงกลอมเดก็ คือขอใด ก. ใหเกดิ ความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ ข. ใหสบายใจไดน อนหลับ ค. ลอ เลียนใหเด็กอารมณ์ดี ง. ปลอบใหหายตกใจ 9. ขาดเสรจ็ เด็ดกนั ในวันน้ี ไมมีอาลัยเทาปลายกอย ถงึ พระอินทรล์ งมากอ็ ยาคอย ที่วนั ทองนั้นจะถอย มาคนื ดบี ทรอยกรองดังกลาวใชศ ลิ ปะการประพันธ์แบบใดอยางไรจึงจะเหมาะสมทส่ี ดุ ก. เกรยี้ วกราด ข. เคยี ดแคน ค. ประชด ง. ยว่ั ลอ 10. ขอใดคือคณุ คาทางปัญญาของวรรณคดีและวรรณกรรม ก. เปน็ ประสบการณ์ทางออมใหชวี ิต ข. ประเทอื งอารมณใ์ หอาหารใจ ค. ใหค วามสนกุ สนาน ง. กอ ใหเกดิ มโนภาพ
188 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน บทเรียนออนไลนท์ ี่ 5 เร่ือง วรรณคดีและวรรณกรรม 1. ก 2. ง 3. ก 4. ง 5. ง 6. ก 7. ค 8. ข 9. ข 10. ก
189 ใบความรู้ บทเรียนออนไลน์ที่ 5 เรื่อง วรรณคดแี ละวรรณกรรม วรรณกรรมท้องถ่นิ 1. ความหมาย วรรณกรรมท้องถ่ิน หมายถึง วรรณกรรมที่ปรากฎอยูในทองถ่ินภาคตางๆ ของไทย ท้ังท่ีเป็น ลายลักษณ์ หรือมุขปาฐะ ซึ่งแตกตางไปจากวรรณกรรมแบบฉบับ เพราะวรรณกรรมทองถิ่นน้ันชาว ทองถิ่นสรางข้ึนมา ชาวทองถ่ินใช (อาน,ฟัง)และชาวทองถ่ินเป็นผูอนุรักษ์ โดยมีวัดเป็น ศูนยก์ ลาง รปู แบบของฉันทลกั ษณจ์ ึงเปน็ ไปตามความนยิ มของทองถ่ินน้ัน ๆวรรณกรรมทองถิ่นมีเน้ือหา สาระ และคตินิยมเก่ียวกับพุทธศาสนาเป็นสวนใหญ เน่ืองจากคนไทยทุกภาพในอดีตมีคตินิยมในการ สรา งหนงั สือถวายวดั โดยเช่ือกันวาจะไดอานิสงส์อยางแรง อีกประการหนึ่งวัดก็เป็นสํานักเลาเรียนของ กุลบุตร กุลธิดาของประชาชน ฉะนั้นการสรางสรรค์วรรณกรรมทองถิ่นยังมีสวนใหนักเรียนไดฝึกอาน หรอื ทวบทวนนอกเหนอื ไปจากแบบเรียน (จนิ ดามณี ปฐมมาลา ปฐม ก.กา) ซ่ึงสวนใหญเป็นวรรณกรรม ประเภทนิทานคตธิ รรม 2. ความเป็นมาของการศกึ ษาวรรณกรรมท้องถน่ิ การศึกษาวรรณกรรมไทยน้ัน เราจะมาเริ่มศึกษากัน เม่ือสมัยรัชกาลที่ 5 กลาวคือมีการจัดต้ัง โบราณคดีสโมสรขน้ึ เมื่อ พ.ศ.2450 ในครั้งนั้นไดรวบรวม ชําระ ซอมแซมวรรณกรรมท่ีกระจัดกระจาย และมีการพิมพ์เผยแพร ซ่ึงเป็นการอนุรักษ์วรรณกรรมโบราณของไทยไวไดสวนหนึ่ง คณะกรรมการ โบราณคดีสโมสรไดศึกษารวบรวมวรรณกรรมที่ทานมีประสบการณ์ คือรูจักและเคยอานสมัยเลาเรียน ซ่ึงสวนใหญเป็นวรรณกรรมที่แพรหลายอยูในกลุมชนช้ันนําคือ ขุนนาง นักปราชญ์ ราชบัณฑิต สวนวรรณกรรมท่ี แพรหลายอยูในกลุมชาวบาน หรือชาววัด หรือในทองถิ่นท่ีหางไกล เขาใจวาทานเหลานั้นคงยังมิไดศึกษา รวบรวม อีกประการหนึง่ ในชั่วระยะเวลาอันส้ันที่จัดตั้งโบราณคดสี โมสรน้ัน ขอ มลู ในสวนกลางหรือราช สาํ นกั คงมมี ากเกนิ กวา ทจ่ี ะศกึ ษารวบรวมในระยะเวลาอนั สนั้ ในสมัยรัชกาลที่6 แหงกรุงรัตนโกสินทร์ ไดจัดตั้งวรรณคดีสโมสรข้ึน เมื่อ พ.ศ.2457 คงจะสืบ เนื่องมาจากโบราณคดีสโมสรน่ันเอง คณะกรรมการชุดน้ีไดพยายามที่จะจัดจําแนกวรรณกรรม โดย พิจารณาวาเป็นระยะเวลาใดควรแกการยกยอง ในสมัยจัดตั้งวรรณคดีสโมสรนั้นเป็นระยะเวลาไมนาน นักก็ส้ินสมัยรัชกาลที่ 6 จากน้ันก็ขาดแรงสนับสนุนการศึกษารวบรวมวรรณกรรม จึงอยูในวงจํากัด ยังมิไดขยายขอบเขตไปศึกษาวรรณกรรมที่แพรหลายอยูในกลุมชาวบาน ชาววัดและวรรณกรรมใน ทอ งถ่ินท่หี า งไกล หลังจากนั้นเป็นตนมารวมเวลาประมาณก่ึงศตวรรษ กุลบุตร กุลธิดาชาวไทย ก็ไดศึกษาเลา เรียนเฉพาะวรรณกรรมที่ไดศึกษารวบรวมชําระกันในคร้ังน้ันเทาน้ัน ไมปรากฎวา ไดมีการศึกษา ชาํ ระ รวบรวมวรรณกรรมอน่ื ๆ ใหกวา งขวางตอ ไป วรรณกรรมชาวบา น ชาววดั เหลาน้ันจึงถูกทอดท้ิง มาเป็นเวลาเน่ินนาน ตอมาเมอ่ื ราว พ.ศ. 2502 สถาบันการศกึ ษาระดับอุดมศึกษาไดแนวคิดมาจากตะวันตกท่ีนิยม ศึกษาเร่ืองราวทางพื้นบาน และเสนอเป็นวิทยากรในหลักสูตรเรียกช่ือวา Folklore จึงนําวิธีการ เหลา นั้นมาจดั เขาในหลักสูตรระดับอุดมศึกษา เรยี กชื่อวา \"คตชิ าวบา น\" บาง \"คติชนวทิ ยา\" บา ง
190 จากการศึกษาวิชาสาขาคติชนวิทยานั้น ทําใหเราทราบถึงแนวคิด คตินิยม ปรัชญาชีวิตของ สังคมในทองถนิ่ ตางๆ ของไทย ซ่ึงมรี ายละเอียดปลกี ยอ ยตา งไปจากคตินิยม ปรัชญาชีวิตและสังคมของ ภาคกลางเกือบสิ้นเชิง ฉะน้ันจึงมีการศึกษาท่ีลึกซ้ึงลงไปในเอกสารทองถิ่นตางๆ จึงพบวาในเอกสาร ทองถิ่นเหลานั้น เป็นคลังของแนวคิด คานิยมของสังคมทองถ่ิน อันแอบแฝงอยูในรูปนิทานเหลาน้ัน ฉะน้ันจึงทําใหนักวิชาการในสาขาอ่ืนๆ เริ่มตระหนักถึงคุณคาความสําคัญของขอมูลทางคติชนวิทยา โดยเฉพาะวรรณกรรม ประจวบกับ เม่ือชวงปี พ.ศ.2510- พ.ศ.2520 นักศึกษาเริ่มมีปฏิกิริยาตอตาน การศึกษาวรรณคดี โดยมีทัศนคติตอวรรณคดีท่ีอยูในหลักสูตรระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และ อุดมศึกษาน้ัน เป็นวรรณคดีของชนชั้นสูง หรือวรรณกรรมเพ่ือรับใชศักดินา ไมกอใหเกิดแนวคิด สรางสรรค์ใดๆ รังแตใหเกิดความเบ่ือหนายฉะนั้นเม่ือตอนปลายปี พ.ศ.2519 จึงมีการจัดรายวิชา วรรณกรรมทองถ่ิน ในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา สวนระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มีการ เสนอใหอา นวรรณกรรมทองถน่ิ ของภาคตางๆ เปน็ หนังสอื อา นประกอบอยบู าง 3. ขอ้ แตกต่างระหวา่ งวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมทอ้ งถิน่ จากการศึกษาวรรณกรรมทองถ่ินของภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต และภาคกลางแลว พบวา มีรปู แบบตา งไปจากวรรณกรรมแบบฉบับอยมู าก ตามลําดับความใกลชิดกับรัฐบาลกลางหรือราชสํานัก ที่เป็นเชนนี้ เพราะวาพื้นฐานของสังคม มโนทัศน์ของกวี ตลอดจนบันทึกสภาพสังคมในสมัยท่ีกําเนิด วรรณกรรมน้นั ๆ ตามมโนทัศน์ของกวี วิทย์ ศิวะศรียานนท์ (2504 : 183) กลาววากวีคนเดียวก็เปรียบ เหมือน 3 คน คือ นอกจากเป็นผูแตงหนังสือแลว ยังเป็นหนวยหนึ่งของคนรุนน้ัน และเป็นพลเมืองดวย เนื่องจากเหตุน้ี นอกจากจะตองสังวรในอาชีพประพันธ์ของตนในฐานะที่เป็นกวี ในฐานะท่ีเป็นหนวย หนึง่ ของคนสมยั นั้น ก็ยอ มจะทาํ เอาหูไปนาเอาตาไปไรเสียกับเหตุการณ์ที่ตนเห็นตําตาประจักษ์อยูแกใจ หาไดไม และในฐานะท่ีเป็นพลเมืองอีกเลา ก็จะตองใสใจเหตุการณ์บานเมือง ความเคลื่อนไหวของ ประเทศชาติ ตลอดจนชนชั้นและอาชีพทีต่ นเป็นหนวยหน่ึงอีกดว ย กวีหรือผูเขียนยอมสอดแทรกสภาพของสังคมสมัยน้ันๆ ลงไปในวรรณกรรมท่ีเขาได สรางสรรค์ และในฐานะที่เป็นหนวยหน่ึงของประชาคมน้ัน ยอมจะใสความคิดเห็น มโนทัศน์ของตน ลงไปดว ย แตใ นขณะเดียวกันในบทบาทของกวีหรือนักประพันธ์ จึงเสนอทัศนคติในบทบาทฐานะน้ันอีก ดว ย ฉะนน้ั ปัจจัยดังกลา วขางตน จึงมีสวนสําคัญท่ีแยกรูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรม ทองถน่ิ ใหแ ตกตางกนั เมอ่ื พจิ ารณารปู แบบของวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมทองถ่ินที่แตกตางกันไปน้ัน ทําให เห็นวาวรรณกรรมแบบฉบับเป็นวรรณกรรมท่ีแพรหลาย และเจริญอยูในราชสํานัก เร่ิมตั้งแตกวีผู สรางสรรค์ ซ่ึงเป็นผูคงแกเรียน พื้นฐานการศึกษาสูง และอยูในฐานะเหนือกวาทางดานสังคม ฉะนั้น คา นิยม สภาวะของสงั คม จนทัศนะทีก่ วสี อดแทรกในวรรณกรรมน้ันจึงเป็นมโนทัศน์ของสังคมชั้นสูง ซึ่ง ตางไปจากวรรณกรรมทองถ่ินที่กวีเป็นชาวบานธรรมดาหรือภิกษุ และอยูในภาวะของสังคมแบบ ชาวบานโดยท่ัวไป ฉะนั้นคานิยม สภาวะของสังคม และทัศนะท่ีกวีสอดแทรกลงไปในวรรณกรรมที่เขา สรา งสรรคน์ ้นั จะเป็นมโนทัศน(์ คาํ บาลี สันสกฤต)หรือบทกวนี พิ นธท์ ี่ซบั ซอน เชน ฉนั ท์ สว นใหญจะใชกวี นพิ นธ์ทีน่ ิยมในทอ งถ่นิ นน้ั ๆ
191 4. ประโยชน์ของการศกึ ษาวรรณกรรมท้องถิน่ ขอมูลทางคติชนวิทยา เป็นท่ีสนใจของนักศึกษาทางดานมานุษยวิทยามาโดยตลอด เพราะ ขอมูลเหลาน้ีเป็นขอมูลเบ้ืองตนที่สืบทอดกันมาในประชาคมทองถ่ินตางๆ ในการวิเคราะห์ขอมูล ทางดานคติชนน้ันทําใหนักมานุษยวิทยาสามารถเขาใจลักษณะของสังคม คานิยม ปรัชญาชีวิตและ วถิ ที างแหงชีวติ ตลอดจนระบบของสังคมของกลมุ ชนน้นั ๆ วรรณกรรมทองถิ่นเป็นขอมูลสําคัญในขอมูล ทั้งหลาย ทางดานคติชนวิทยา ที่จะสะทอนใหเห็นสภาวะของประชาคมนั้นๆ เป็นอยางดีประโยชน์ใน การศกึ ษาวรรณกรรมทองถ่ิน สรุปได 3 ประการ ดงั น้ี 4.1 ประโยชน์ทางด้านวชิ าการ ผศู ึกษาวรรณกรรมทองถนิ่ จะเขาใจในสิง่ ตอ ไปน้ี 4.1.1 ปรัชญาชีวิตและสังคมของทองถ่ิน อันเป็นพ้ืนฐานของสังคม เชน ความเช่ือ คตินิยม จารีตประเพณี เปน็ ตน 4.1.2 การจัดระเบยี บสงั คม หรือการควบคมุ สงั คม อันเป็นพันธกรณีของกลุมชนตองประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อความสงบสุขของประชาคมน้ันๆ บทบัญญัติตางๆ อันเป็นปทัสฐานของสังคมนั้นไดส่ังสอน สืบตอกันมาโดยมิไดมีการจดบันทึกไว แตก็ปรากฎอยูในวรรณกรรมทองถ่ินเหลาน้ัน ในขอน้ีตองเขาใจ รวมกันวา สังคมชนบทในสมัยอดีต กฎหมายของของรัฐบาลกลางมิไดมีสวนเกี่ยวของในการควบคุม สังคมมากนัก แตปรัชญาพุทธศาสนา จารีต ความเชื่อ คตินิยม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของประชาคมจะมี บทบาทควบคมุ สังคมอยางยิ่ง 4.1.3 ประวัติศาสตร์สังคมของทองถ่ิน วรรณกรรมทองถิ่นเป็นขอมูลสําคัญในการศึกษา ประวตั ศิ าสตรส์ งั คมของทองถ่ิน โดยเฉพาะทางดานการจัดระบบสังคมการควบคุมสังคมตลอดจนจารีต ประเพณีของสังคมน้นั 4.1.4 ภาษาถิ่น วรรณกรรมทองถ่ินโดยเฉพาะวรรณกรรมลายลักษณ์ที่ไดบันทึกไวต้ังแตสมัย อดีตจําเป็นคลังแหงคําภาษาถ่ิน ถึงแมบางคําจะเลิกใชไปแลวในปัจจุบันแตก็ยังปรากฎในเอกสาร วรรณกรรมทองถ่ินเหลานั้น นอกจากใหนักภาษาศาสตร์ ยังสามารถเห็นการคลี่คลายของคําภาษาไทย ไดด ีจากเอกสารวรรณกรรมทอ งถิน่ ตาง ๆ ของไทย 4.1.5 เปน็ การกา วหนา ทางวิชาการ การตระหนกั ถึงคุณคาของวรรณกรรมทอ งถิ่น จนไดมีการ นํามาจัดอยูในหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา ซ่ึงมีแนวโนมในการท่ีจะสงเสริมการศึกษารวบรวม คนควาวรรณกรรมทองถ่ินเหลา นน้ั ใหก วา งขวางย่งิ ข้ึน อนั เปน็ ปัจจัยสาํ คัญในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ทอ งถนิ่ ซง่ึ หมายถึงเอกลักษณข์ องชนชาตไิ ทย 4.1.6 เป็นการอนุรกั ษว์ รรณกรรมทองถน่ิ ตา ง ๆ ของไทยไมใหสาปสญู กอนภาวะอันควร 4.2 ประโยชนท์ างด้านปจั เจกบคุ คล 4.2.1 เพื่อใหนักศึกษาหรือผูศึกษาวรรณกรรมทองถิ่น มีมโนทัศน์อันกวาง ยอมรับแนวคิด ปรัชญาชีวติ ของชนทุกชนั้ ทุกทองถ่ิน ทุกสังคม 4.2.2 ผูศึกษาวรรณกรรมทองถ่ิน จะทราบถึงความเป็นอัจฉริยะของบรรพบุรุษของตน และ ของทอ งถน่ิ อน่ื อีกดวย 4.2.3 ยอมรับแนวคิดของชนชาติตา งทองถิ่นตา งสังคมและตา งยคุ สมัย 4.2.4 ไดร บั ประสบการณ์ของชวี ิตกวางขวางย่งิ ขนึ้ 4.2.5 มโี อกาสไดเ รียนรูภ าษาถิ่น วัฒนธรรมของทองถิน่ อน่ื ๆ อกี ดวย
192 4.3 ประโยชนท์ างด้านการเมืองการปกครอง 4.3.1 ผูศ กึ ษาวรรณกรรมทอ งถิ่น จะเกิดความรัก ความเขาใจ ความภูมิใจในอดีตของทองถ่ิน ที่ตนมีภูมลิ ําเนาอยูแ ละทองถน่ิ อ่ืน ๆ ของคติดวย ซึ่งกอใหเ กิดชาตินยิ ม ภมู ใิ จในวัฒนธรรมของชาติ 4.3.2 ผูศึกษาวรรณกรรมทองถิ่นจะเกิดความรักความเขาใจในทองถิ่นของตน ผูศึกษา วรรณกรรมทองถิ่น จะตระหนักในคุณคา และยอมมีความหวงแหนซึ่งจะกอใหเกิดการอนุรักษ์ วรรณกรรมทองถ่นิ อีกดว ย 4.3.3 ทาํ ใหความเขา ใจอนั ดรี ะหวา งชนในชาติ และยอ มมีความสมานสามคั คีกนั 4.3.4 กอใหเกิดการพัฒนา ระบบสังคมของชาติยอมมีทิศทาง โดยอาศัยระบบสังคมทองถิ่น ปรัชญาชีวิตในสังคมทองถ่ิน อันเป็นพื้นฐานในการพัฒนาการเปรียบเทียบความแตกตางระหวาง วรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมทองถิ่นมีดงั นี้ วรรณกรรมแบบฉบับ วรรณกรรมท้องถน่ิ 1. ชนชั้นสูง เจานาย ขา ราชสํานกั มีสิทธมิ ีสว น 1. ชาวบา นทั่วไปมีสทิ ธิเป็นเจาของ เปน็ เจาของ - ผูสรางสรรค์ - ผสู รางสรรค์ รวมถึงจดบันทกึ คัดลอก - ผูใช - ผใู ช (อา น, ฟัง) - ผูอนรุ ักษ์ - ผูอนรุ กั ษ์ - แพรห ลายในหมบู าน - แพรหลายในราชสาํ นัก 2. กวีประพันธ์เปน็ นักปราชญ์ ราชบัณฑิต หรือ 2. กวี ผปู ระพนั ธ์ เป็นชาวพื้นบาน หรือ เจานาย ฉะนนั้ คานยิ ม มโนทัศน์ ท่เี หน็ สังคมสมยั พระภิกษุ สรา งสรรค์วรรณกรรมขนึ้ มาดวย น้นั จงึ จํากดั อยใู นรัว้ ในวังหรือมกี ารสอดแทรก ใจรกั มากกวา\"บําเรอทาวไธธิราชผูม บี ญุ \" สภาวะของสังคมกเ็ ปน็ แบบมองเหน็ สงั คมแบบ ฉะนั้นมโนทัศนเ์ ก่ียวกบั สภาวะของสังคม เบื้องบน จึงเปน็ สงั คมชาวบานแบบประชาคมทองถน่ิ 3. ภาษาและกวีโวหารนยิ มการใชคาํ ศัพท์บาลี 3. ภาษาทีใ่ ชเ ปน็ ภาษางาย เรยี บ ๆ มงุ การ สันสกฤต โดยเชอื่ วา เป็นการแสดงภมู ปิ ัญญาของ สื่อความหมายเปน็ สําคัญ สวนใหญเป็น กวแี พรวพราวไปดว ยกวโี วหารทีเ่ ขา ใจยาก ภาษาทองถ่นิ นน้ั ละเวน คาํ ศพั ท์ บาลี สนั สกฤต โวหารนิยมสาํ นวนทใี่ ชในทองถิ่น 4. เน้ือหาสวนใหญ มงุ ในการยอพระเกยี รติ ทงั้ 4. เนื้อหาสว นใหญมุงในทางระบายอารมณ์ ทางตรงและทางออม แตก็มเี น้ือหาทเี่ ก่ียวกบั การ บนั เทงิ ใจ แตแ ฝงคติธรรมทางพทุ ธศาสนา ผอนคลายทางดา นอารมณ์ และศาสนาอยูไ มนอย แมว า ตัวเอกของเรื่องจะเป็นกษตั ริย์ก็ตาม แต มิไดมุงยอพระเกียรติมากนกั 5. คานยิ ม อดุ มคติ ยดึ ปรัชญาชวี ติ แบบสงั คม 5. เหมอื นกับวรรณกรรมแบบฉบับ ยกยองสถาบัน ชาวพุทธ และยกยองสถาบันกษตั ริย์อกี ดว ย กษตั ริย์ แตไมเนน มากนัก
193 ใบกิจกรรม บทเรยี นออนไลน์ท่ี 5 เร่อื ง วรรณคดแี ละวรรณกรรม ใหผเู รยี นศึกษาวดี ีโอเรื่อง สอนศาสตร์ ม.ตน ภาษาไทย พื้นฐานวรรณคดีไทย และใบความรู วรรณคดแี ละวรรณกรรม
194 ใบงาน บทเรยี นออนไลน์ที่ 5 เรื่อง วรรณคดีและวรรณกรรม ตอนท่ี 1 เร่อื ง วรรณคดีและวรรณกรรม 1. ใหผเู รยี นสรปุ ลักษณะของวรรณคดแี ละวรรณกรรมมาพอสังเขป “วรรณคดี” มีลักษณะดงั น้ี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… “วรรณกรรม” มลี ักษณะดังน้ี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ใหผูเ รียนบอกหลกั การและแนวทางการพิจารณาวรรณคดมี าเปน็ ขอ ๆ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การทผ่ี ูเรยี นจะพนิ ิจคณุ คาวรรณคดแี ละวรรณกรรมมีก่ีประเด็นอะไรบาง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. การทผี่ ูเ รียนพจิ ารณาคณุ คา วรรณคดีดานวรรณศิลปคือการสรา งความงดงามไพเราะสละสลวยของ ภาษากวี การสรรคําทําไดอยา งไรบา ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ใหผ ูเรยี นศึกษาสื่อวดี โี อ เรอื่ ง ประวตั คิ วามเปน็ มาและเร่ืองยอของวรรณคดสี ภุ าษิตพระรวง และ เรอ่ื ง การวิเคราะห์ วรรณคดี วรรณกรรมและบทละคร เร่ือง ประวัตคิ วามเปน็ มาและเรือ่ งยอของวรรณคดสี ภุ าษติ พระรว ง
195 เรอื่ งการวิเคราะห์ วรรณคดี วรรณกรรมและบทละคร 5. ใหผูเรียนเลอื กศึกษาคน ควาหนังสอื วรรณคดีทก่ี ําหนดใหคนละ 1 เร่อื ง แลวพจิ ารณาวรรณคดีแตละ เร่ืองในดานวรรณกรรมศิลปและดา นสังคม เร่ืองที่เลือกศึกษาใหสาระขอคิดในการดาํ เนินชวี ิตอยางไร บาง สามก฿ก ราชาธิราช กลอนเสภาขนุ ชา งขุนแผน กลอนบทละครเร่ืองรามเกยี รต์ิ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
196 ตอนที่ 2 เรอ่ื ง วรรณกรรมท้องถน่ิ เพลงพนื้ บ้าน เพลงพื้นเมือง ใหผ้ เู้ รยี นตอบคาถามต่อไปน้ีให้ถูกต้อง 6. ใหผเู รยี นคดิ วา คาํ วา “เพลงพ้นื บา น” ความหมายวา อยางไร ....…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. “เพลงพน้ื บาน” มีอะไรบาง และในทองถิ่นของผูเรยี นมีการละเลน พ้นื บานอะไรบาง ....…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 8. “เพลงพ้นื บา น” ในชุมชนหรอื ทองถ่ินแตล ะภาคมีความเหมือนกนั หรือแตกตา งอยา งไรบา ง ยกตวั อยา งประกอบ ....…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 9. ใหผเู รยี นคน ควา บทเพลงกลอ มเด็กทม่ี ีอยูในทองถน่ิ ของตน บนั ทึกไวพรอ มท้ังแปลความหมายหรอื อธบิ ายคําภาษาถิน่ นนั้ ๆ บทเพลงกลอมเดก็ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………
197 แบบทดสอบหลังเรยี น บทเรียนออนไลน์ที่ 5 เร่ือง วรรณคดแี ละวรรณกรรม คาส่งั ใหเ ลอื กคําตอบทถ่ี กู ตองทส่ี ดุ เพียงคําตอบเดียว 1. ขอ ใดคือความหมายของวรรณคดี ก. หนงั สือดีทใี่ ชศ ลิ ปะในการแตง สรา งจินตภาพ แสดงความรู ความคิด เป็นภาพแทนสงั คม ข. หนังสือที่ใชสภาพปจั จบุ ันในการเลา เร่ืองเปน็ ภาพ และการแสดงออกทางอารมณ์ ค. หนังสือท่ใี ชเรือ่ งราวในอดตี บอกเลาผานเรื่องราวท่ีเกิดขนึ้ จริงในสังคม ง. หนงั สอื ที่ใหแงค ิดทีเ่ ป็นการเตอื นใจ บอกเลาความเป็นจรงิ ในสังคม 2. ขอ ใดคือหลกั การพนิ จิ วรรณคดแี ละวรรณกรรมจากขอความขางตน ก. ทําความเขา ใจเรื่อง ข. ตคี วาม วิเคราะห์ ค. วจิ ารณ์ ประเมนิ คา ง. ถูกทกุ ขอ 3. ขอ ใดเปน็ วรรณคดี ก. แตงข้ึนเพื่อใหคุณคาทางอารมณแ์ ละความรูสึก ข. แตงขน้ึ เพอ่ื มงุ เนน ความสนุกสนาน ค. แตงขึ้นเพื่อแสดงความคิดเหน็ ง. แตงข้นึ เพอ่ื มุงเนน ใหค วามรู 4. ขอใดเปน็ รสวรรณคดีของไทย ก. โวหารภาพพจน์ ข. โวหารอตพิ จน์ ค. บคุ ลาธิฐาน ง. พิโรธวาธัง 5. เพลงพ้นื บานประเภทใดตองใชไ หวพริบ ก. ใชภาษาธรรมดาไมมบี าลีสันสกฤตปน ข. สอดแทรกแนวคดิ ชดั เจน ค. สะทอ งสภาพสังคม ง. เพลงกลอ มเดก็ 6. ขอใดคือลักษณะเดนของเพลงพืน้ บาน ก. ใชภ าษาธรรมดาไมมีบาลสี ันสกฤตปน ข. เพลงประกอบการละเลน ค. เพลงปฏพิ ากย์ ง. จงั หวะออ นน่ิม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304