Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ม.ต้นแก้ไข2

แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ม.ต้นแก้ไข2

Published by fangza_8894, 2021-12-02 03:46:56

Description: แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ออนไลน์ม.ต้นแก้ไข2

Search

Read the Text Version

148 ลกั ษณะคาประพนั ธข์ องกลอนแปด 1. บท บทหนึ่งมี 4 วรรค วรรคท่ีหนึ่งเรียกวา฽ วรรคสดับ วรรคทีส่ องเรยี กวรรครบั วรรคท่ีสามเรยี กวรรครอง วรรคที่สี่เรียกวรรคสง฽ แตล฽ ะวรรคมแี ปดคํา จงึ เรียกวา฽ กลอนแปด 2. เสยี งคํา กลอนแปดและกลอนทุกประเภทจะกําหนดเสยี งท฾ายวรรคเป็นสําคัญโดยกาํ หนดดังน้ี คําทา฾ ยวรรคสดบั กาํ หนดใหใ฾ ช฾ไดท฾ ุกเสยี ง คาํ ทา฾ ยวรรครับ กําหนดห฾ามใช฾เสียงสามญั และตรี คาํ ท฾ายวรรครอง กําหนดให฾ใชเ฾ ฉพาะเสียงสามญั และตรี คําทา฾ ยวรรคสง฽ กําหนดใหใ฾ ช฾ไดเ฾ ฉพาะเสียงสามญั และตรี 3. สัมผสั ก. สัมผัสนอก หรือสัมผัสระหว฽างวรรค เป็นสัมผัสบังคับมีดังน้ีคําสุดท฾ายของวรรคท่ีหนึ่ง(วรรค สดบั ) สมั ผัสกบั คาํ ท่สี ามหรือทหี่ า฾ ของวรรคท่ีสอง(วรรครับ) คําสุดท฾ายของวรรคท่ีสอง (วรรครับ) สัมผัสกับคําสุดท฾ายของวรรคที่สาม (วรรครอง)และคําท่ี สามหรอื คาํ ท่หี ฾าของวรรคท่ีสี่ (วรรคส฽ง) สัมผสั ระหว฽างบท ของกลอนแปด คอื คําสุดท฾ายของวรรคที่ส่ี (วรรคส฽ง) เป็นคําส฽งสัมผัสบังคับ ให฾บทต฽อไปตอ฾ งรับสมั ผสั ท่ี คาํ สดุ ทา฾ ยของวรรคทีส่ อง (วรรครับ) ข. สมั ผสั ใน แต฽ละวรรคของกลอนแปด แบ฽งชว฽ งจังหวะออกเป็นสามช฽วงดังนี้ อนั กลอนแปด แปดคํา ประจําวรรค วางเปน็ หลัก อักษร สุนทรศรี 4. การเขยี นสอ่ื สาร เขยี นสอ่ื สาร หมายถึง การเขียนทผ่ี อู฾ ื่นอา฽ นแล฾วได฾ความตามจุดมุง฽ หมายของผเ฾ู ขียน เช฽น 1. การเขียนประวัตติ นเอง การเขียนประวัติตนเองเป็นการเขียนข฾อความเพื่อแสดงตนให฾ผ฾ูอ่ืนรู฾จักรายละเอียดเกี่ยวกับ เจ฾าของประวัติ โดยมแี นวการเขียนดังนี้ ประวัติตนเอง ช่อื ______________________________ นามสกุล _______________________ เกดิ วันที่ __________ เดอื น _________________ พ.ศ. _________ อายุ _________ สถานภาพสมรส ________ อาชพี _____________________ ท่อี ยู฽ _______________________________________________________________ สถานทท่ี าํ งาน ________________________________________________________ ประวตั การศึกษา ______________________________________________________ ประสบการณ์ในการทาํ งาน ______________________________________________ ความร฾ูความสามารถพิเศษ ______________________________________________

149 2. การเขียนเรียงความ การเขียนเรียงความ คือ การนําคํามาประกอบแต฽งเป็นเรื่องราว เป็นการแสดงออกทาง ความคดิ และประสบการณ์ของผ฾เู ขียนเพ่ือให฾ผู฾อืน่ ทราบ องค์ประกอบของการเขียนเรียงความ การเขยี นเรยี งความประกอบด฾วย 3 สว฽ นคือ 1. คํานํา เป็นการเร่มิ ตน฾ ของเรยี งความที่เป็นส฽วนดงึ ดดู ใจ ให฾ผ฾ูอ฽านสนใจ 2. เน้อื เร่ือง เป็นเนื้อหาสาระของเรยี งความทัง้ เรอ่ื ง 3. บทสรปุ เป็นการสรปุ แกน฽ ของเร่ือง ไม฽ควรจะยาวมาก 3. การเขียนย่อความ การย฽อความ คือ การนําเร่ืองราวต฽าง ๆ มาเขียนใหม฽ด฾วยสํานวนภาษาของผ฾ูย฽อเอง เมื่อ เขียนแล฾วเนื้อความเดิมจะส้ันลง แต฽ยังมีใจความสําคัญครบถ฾วนสมบูรณ์ ใจความสําคัญ คือ ข฾อความ สาํ คัญในการพูดหรือการเขียนท่ีเป็นรายละเอียด นํามาขยาย ใจความสําคัญให฾ชัดเจนย่ิงขึ้น ถ฾าตัดออก ผฟ฾ู ังหรอื ผู฾อา฽ นกย็ งั เขา฾ ใจเรื่องน้ันได฾ หลักการย่อความ 1. อ฽านเนอื้ เร่ืองที่จะยอ฽ ให฾เขา฾ ใจ 2. จบั ใจความสําคญั ท่จี ะยอ฽ หนา฾ 3. นาํ ใจความสาํ คัญแตล฽ ะย฽อหนา฾ มาเขยี นใหมด฽ ฾วยภาษาของตนเอง โดยตอ฾ งคํานึงถึง สงิ่ ตา฽ ง ๆ ดงั น้ี 3.1 ไม฽ใช฾อักษรยอ฽ ในข฾อความทยี่ อ฽ 3.2 ถา฾ มีราชาศัพท์ ใหค฾ งไวไ฾ มต฽ ฾องแปล 3.3 ไม฽ใชเ฾ คร่อื งหมายต฽าง ๆ ในข฾อความทยี่ ฽อ 3.4 เน้ือเร่ืองท่ีย฽อแล฾ว เขียนติดตอ฽ กนั ในยอ฽ หน฾าเดยี วควรมีความยาวประมาณ1 ใน 4 ของ เรอ่ื งเดมิ 4. การเขียนขา่ ว การเขียนข฽าว ประกาศและแจ฾งความ เป็นส฽วนหน่ึงของจดหมายราชการหรือหนังสือราชการ ซ่ึงเป็น หนงั สือทใี่ ชต฾ ดิ ต฽อกันระหวา฽ งเจ฾าหนา฾ ที่ของรัฐกับบุคคลภายนอกด฾วยเร่ืองเก่ียวกับราชการการเขียนข฽าว ประกาศ และแจ฾งความ จัดอยู฽ในจดหมายราชการประเภทหนังสือสั่งการและโฆษณา ซ่ึงประกอบด฾วย ข฾อบังคับ ระเบียบ คาํ สงั่ คําแนะนาํ คําช้ีแจง ประกาศ แจง฾ ความแถลงการณ์ และข฽าว ซึ่งจะยกตัวอย฽าง ในการเขยี นขา฽ วดังน้ี การเขียนข฽าว คือ บรรดาข฾อความที่ทางราชการเหน็ สมควรเปิดเผย เพ่ือแจง฾ เหตุการณ์ท่นี า฽ สนใจให฾ทราบ รูปแบบการเขียนข่าว ข฽าว ..................................... ชือ่ ส฽วนราชการที่ออกข฽าว .................................................. เรอื่ ง ........................................................................ ขอ฾ ความที่เปน็ ข฽าว .......................................................................................................... ส฽วนราชการเจา฾ หนา฾ ท่ี วัน เดือน ปี

150 5. การเขยี นรายงาน การค้นคว้าและอ้างองิ ความรู้ การเขยี นรายงานการคน้ ควา้ การเขยี นรายงานเป็นการเขียนผลการศกึ ษาจากการคน฾ ควา฾ เพ่ือนําเสนอผูบ฾ ังคับบัญชาหรอื ผส฾ู อน หลักการเขยี นรายงาน 1. ขอ฾ มลู ท่ีเขียนตอ฾ งเปน็ ความจรงิ 2. ข฾อมูลทนี่ าํ มาจากผ฾รู อ฾ู น่ื ตอ฾ งเขียนเป็นเชิงอรรถและบรรณานุกรม 3. เขียนเปน็ ทางการ ใช฾ภาษาถูกต฾อง และชัดเจน สว่ นประกอบของรายงาน 1. ปกหนา฾ ประกอบด฾วยชือ่ เรอื่ ง ชอ่ื ผู฾เขยี น และนําเสนอผ฾ูใด 2. คํานํา เป็นความเรียงมี 3 ส฽วน คือ ความเป็นมาและวัตถุประสงค์ สาระของรายงานประโยชน์ที่ ไดร฾ บั และขอบคณุ ผ฾มู สี ฽วนช฽วยเหลอื 3. สารบญั 4. เนือ้ หาสาระ 5. บรรณานกุ รม การเขยี นอา้ งอิงความรู้ การเขยี นอ฾างองิ ความรู฾ หมายถงึ การเขียนเชิงอรรถและบรรณานุกรม 1. เชงิ อรรถ เชิงอรรถเป็นชอื่ ผ฾เู ขยี น ปที ี่พิมพ์และเลขหนา฾ หนังสือทนี่ าํ ไปใชป฾ ระกอบการเขยี น เช฽น อุทัย ศิริศักด์ิ (2550, หน฾า 16) การฟัง หมายถึง การรับสารและตีความสารที่ได฾ยินหรือ อ฽าน การเขียนอ฾างอิงลักษณะนี้จะไม฽ได฾เขียนช่ือหนังสือ ชื่อหนังสือจะเขียนในหน฾า บรรณานุกรม 2. บรรณานุกรม บรรณานุกรม ประกอบด฾วยรายชือ่ หนังสอื ท่ใี ช฾ประกอบการเขียน โดยจะตอ฾ งเขียน เรียงตามตัวอักษรชื่อผ฾ูแต฽ง โดยเขียนชื่อผ฾ูแต฽ง ช่ือหนังสือ ช่ือสถานท่ีพิมพ์ ช่ือโรงพิมพ์และปีท่ี พมิ พ์ เช฽น กนกอร ทองคาํ . การใช฾ภาษาไทย, กรงุ เทพฯ: ไทยววิ ัฒน์, 2549 ศริ อิ ร ทองคําไพ. หลกั การใชภ฾ าษา, นนทบุรี: ไทยเจริญ, 2550 6. การกรอกแบบรายงาน การกรอกแบบรายงาน เป็นการกรอกแบบฟอร์มของหน฽วยราชการหรือหน฽วยงานต฽าง ๆที่ให฾กรอก เพื่อแสดงข฾อมูลท่ีหน฽วยงานน้ัน ๆ ต฾องการทราบ เช฽น การกรอกใบสมัครเรียน การกรอกแบบฟอร์ม ธนาณตั ิ แบบฟอร์มฝากเงิน เป็นตน฾ หลักการกรอกแบบรายการ 1. อ฽านขอ฾ ความในแบบรายการนนั้ ๆ ให฾เขา฾ ใจก฽อนจะเขยี นขอ฾ ความ 2. เขียนให฾ถูกต฾องและสะอาด 3. กรอกขอ฾ ความตามความจริง 4. ใช฾ถ฾อยคําสั้น ๆ และกะทัดรดั 5. ปฏบิ ัตติ ามข฾อบังคับ หรือคาํ แนะนาํ ของแบบรายการนั้น ๆ

151 แบบรายการท่ีใช้ในชีวติ ประจาวัน 1. แบบฟอรม์ ธนาณัติ 2. แบบฟอรม์ ส฽งพสั ดทุ างไปรษณยี ์ 3. แบบฟอรม์ สมัครงาน 4. แบบฟอร์มคํารอ฾ ง 5. แบบฟอร์มสัญญา 6. แบบฟอร์มฝากเงิน ถอนเงนิ ของสถาบนั การเงนิ ประโยชน์ของการกรอกแบบรายการ 1. ช฽วยให฾ผก฾ู รอกไมต฽ ฾องเขียนข฾อความทยี่ ืดยาวลงไปท้งั หมดจะเขยี นแต฽เฉพาะรายละเอยี ด ท่ผี จ฾ู ัดทําแบบรายการตอ฾ งการเทา฽ นนั้ ทําใหเ฾ กดิ ความสะดวกรวดเร็ว 2. ช฽วยใหผ฾ จู฾ ดั ทาํ ข฾อมลู สามารถเกบ็ ขอ฾ มลู ที่ต฾องการได฾รวดเร็วและใชเ฾ ปน็ หลกั ฐานเอกสาร ไดด฾ ว฾ ย 7. มารยาทในการเขียนและนิสัยรักการเขียน มารยาทในการเขยี น ประกอบดว฾ ย 1. มีความรบั ผิดชอบ 2. มกี ารตรวจสอบความถูกต฾องเพ่ือให฾ผ฾อู า฽ นได฾อา฽ นงานเขียนทถ่ี ูกต฾อง 3. มกี ารอ฾างองิ แหลง฽ ข฾อมูล เพอื่ ใหเ฾ กยี รติแก฽เจ฾าของความคดิ ที่อา฾ งอิง 4. มคี วามเท่ยี งธรรม ต฾องคํานงึ ถึงเหตุมากกว฽าความรู฾สึกสว฽ นตน 5. ความสะอาดเรียบร฾อย เขียนด฾วยลายมืออา฽ นงา฽ ย รวมทงั้ การเลือกใช฾กระดาษและสนี าํ้ หมึก 6. เขยี นเชิงสรา฾ งสรรคไ์ มเ฽ ขยี นเพื่อทาํ ลายหรือทําใหเ฾ กดิ ความเสียหายแกผ฽ ฾ูอนื่ 7. ไมเ฽ ขียนในท่ไี มส฽ มควร เชน฽ สถานท่ีสาธารณะ 8. ไมข฽ ีดหรือเขยี นขอ฾ ความในหนังสือเอกสารอื่น ๆ ทเี่ ป็นของประชาชนโดยรวม เชน฽ หนังสือ หอ฾ งสมดุ การสร้างนสิ ัยรักการอ่าน 1. เร่มิ ต฾นด฾วยการเขยี นส่ิงที่ง฽าย และไม฽ใช฾เวลามาก 2. เขยี นตอ฽ เนื่องจากการเขียนคร้ังแรก เช฽น การเขียนบันทกึ ประจําวัน 3. เรมิ่ เขยี นด฾วยข฾อความที่งา฽ ยและสั้น และกําหนดเวลากบั ตนเองใหพ฾ ยายามเขยี นทกุ วนั ตามระยะเวลาทพ่ี อใจจะทาํ ให฾เขียนได฾โดยไมเ฽ บ่อื การเขยี นบนั ทกึ การเขียนบนั ทกึ เป็นวิธกี ารเรยี นร฾แู ละจดจาํ ที่ดี ข฾อมูลทีถ่ ูกบันทึกไวย฾ ังสามารถนําไปเป็นหลกั ฐาน อา฾ งองิ ได฾ เชน฽ การจดบันทึกจากการฟงั บนั ทึกการประชุม บนั ทกึ ประจําวนั บันทึกจากประสบการณ์ ตรง เป็นตน฾ การเขยี นบันทึกประจําวนั ซึง่ เป็นบนั ทึกท่ผี ู฾เขยี นได฾จดบันทึกสมาํ่ เสมอ มีแนวทางในการเขียนดังนี้ 1. บันทกึ เป็นประจาํ ทุกวันตามความเป็นจริง 2. บอก วนั เดอื น ปี ทีบ่ ันทึกไว฾อยา฽ งชดั เจน 3. บันทกึ เรอ่ื งทส่ี ําคญั และนา฽ สนใจ

152 4. การบันทกึ อาจแสดงความรู฾สึกสว฽ นตัวลงไปด฾วย 5. การใชภ฾ าษาไม฽มีรูปแบบตายตัว ใชภ฾ าษางา฽ ย ๆ

153 การเขียนเรยี งความ ความหมายของเรยี งความ เรียงความ เป็นงานเขียนชนิดหน่ึงที่ผู฾เขียนมีจุดประสงค์จะถ฽ายทอด ความร฾ู ความคิด ทรรศนะ ความรูส฾ ึก ความเข฾าใจออกมาเป็นเรื่องราว ด฾วยถ฾อยคําสํานวนที่เรียบเรียงอย฽างชัดเจนและท฽วงทํานอง การเขยี นที่น฽าอ฽าน การเลือกเรือ่ งท่ีจะเขียนเรียงความ หากจะตอ฾ งเปน็ ผู฾เลือกเร่อื งเอง ควรเลอื กตามความชอบหรือความถนัดของตนเอง การค฾นคว฾าหา ขอ฾ มลู อาจทาํ ไดโ฾ ดยการคน฾ ควา฾ จากหนังสือ นิตยสาร วารสาร อนิ เทอรเ์ น็ต หรอื สือ่ อืน่ ๆ ประเภทของเร่อื งที่จะเขียนเรยี งความ 1. เร่ืองทีเ่ ขียนเพอ่ื ความร฾ู 2. เรอ่ื งท่เี ขียนเพื่อความเขา฾ ใจ 3 .เรือ่ งที่เขียนเพื่อโน฾มนา฾ วใจ องค์ประกอบของเรยี งความ เรยี งความมีองคป์ ระกอบ 3 สว฽ น คือ คํานาํ เนื้อเร่ือง และสรปุ งานเขียนทุกประเภทจะต฾อง ประกอบดว฾ ยองค์ประกอบสามสว฽ นน้ี ดังจะได฾กลา฽ วถึงรายละเอียดขององคป์ ระกอบพร฾อมกบั กลวิธกี าร เขยี นต฽อไปน้ี 1. คานา เป็นส฽วนหน่ึงของเรียงความส฽วนแรกท่ีมีหน฾าที่เปิดประเด็นเข฾าสู฾เรื่อง เป็นการบอก ให฾ผ฾ูอ฽านทราบว฽าผ฾ูเขียนจะเขียนเรื่องอะไร เพ่ือชักนําให฾คนสนใจอ฽านเนื้อเร่ืองต฽อไป คํานําเป็นส฽วนท่ี สําคัญส฽วนหน่ึงของเรียงความเพราะเป็นส฽วนช฽วยดึงดูดให฾ผู฾อ฽านหันมาสนใจเร่ืองราวท่ีเขียน ผ฾ูอ฽านจะ อ฽านเรอื่ งต฽อไปหรอื ไม฽กอ็ ย฽ูทค่ี ํานาํ นน้ั เอง 2. เน้ือเรื่อง หรือ เนื้อความ เป็นส฽วนท่ีสําคัญท่ีสุดของการเขียนเรียงความ เพราะเป็นส฽วนท่ี เสนอความรู฾ความคิดความเข฾าใจทรรศนะหรือความรู฾สึกของผ฾ูเขียนให฾แจ฽มแจ฾งโดยอาจจะยก อุทาหรณ์ สุภาษิตและประสบการณ์ของผู฾เขียนมาสนับสนุนเรื่องท่ีเขียนได฾ นักเรียนจะต฾องคิดก฽อนเป็น ข้ันแรกว฽า จะเลือกเขียนเรื่องอะไร มีวัตถุประสงค์และมีขอบเขตในการเขียนกว฾างหรือแคบ เพียงใด เม่ือคดิ วางแผนเปน็ ลาํ ดับดงั กลา฽ วแลว฾ กเ็ รมิ่ เขยี นโครงเรือ่ งเพ่อื เป็นแนวทางในการเขียน ขั้นตอนต฽อไปคอื การเรียงเนื้อหาไปตามโครงเร่อื งท่ไี ด฾กาํ หนดไว฾ โครงเรอื่ งที่กําหนดไว฾เป็นข฾อ ๆ นั้นก็คือเน้ือหาในย฽อหน฾าหน่ึง ๆ น้ันเอง เมื่อจะขยายความแต฽ละหัวข฾อก็ย฽อมจะได฾ย฽อหน฾าที่มีเน้ือหา เป็นเอกภาพและมีน้ําหนัก และถ฾าเขียนแต฽ละย฽อหน฾ามีประโยคใจความสําคัญ และมีประโยคขยาย ความที่สนับสนุนประโยคใจความสําคัญอย฽างชัดเจนแล฾ว เรียงความเรื่องน้ันก็จะเป็นเรียงความที่มี เน้ือหาสมบูรณ์เรียงความแต฽ละเรื่องจะมีย฽อหน฾าเรื่องเท฽าใดก็ได฾ แต฽เป็นไปไม฽ได฾ท่ีเรียงความเรื่อง หนึ่งจะมยี ฽อหน฾าเนือ้ เรอ่ื งเพยี งพอหน฾าเดยี ว ในการเขียนเรียงความนั้น การใช฾ถ฾อยคําภาษาเป็นสิ่งสําคัญมาก นักเรียนจะต฾องพิถีพิถันใน การใชภ฾ าษา ภาษาท่ใี ชต฾ อ฾ งเปน็ ภาษาแบบเป็นทางการ กล฽าวคือภาษาจะถูกต฾องตามหลักการเขียน มี การเลอื กสรรถอ฾ ยคาํ มาเรียบเรียงให฾กะทัดรัดชัดเจนอ฽านเข฾าใจง฽าย ราบรื่น สละสลวย และมีลีลาการ เขยี นทีน่ า฽ สนใจ

154 3. สรุป เป็นส฽วนสุดท฾ายของเรียงความท่ีผ฾ูเขียนจะเน฾นความรู฾ ความคิดหลักหรือประเด็น สาํ คญั ของเรอ่ื งท่เี ขยี นอกี ครั้งหน่งึ การสรุปนับว฽ามสี ฽วนสําคัญเทา฽ กับคาํ นาํ เพราะเป็นส฽วนช฽วยเสริมให฾ เรยี งความมีคุณค฽าขึน้ การวางโครงเรอ่ื งกอ่ นเขียน เมอ่ื ได฾หวั ขอ฾ เรื่องแล฾ว ตอ฾ งวางโครงเรื่องโดยคํานึงถึงการจัดการจัดลําดับหัวข฾อเรื่องที่จะเขียนให฾ สัมพนั ธ์ ต฽อเนื่องกนั เช฽น จัดลําดับหวั ขอ฾ ตามเวลาท่ีเกิด จดั ลําดบั หัวขอ฾ จากหนว฽ ยเลก็ ไปส฽หู น฽วยใหญ฽ จัดลําดบั ตามความนยิ ม โครงเร่ืองของงานเขียนควรจัดหมวดหมู฽ของแนวคิดสําคัญเพ่ือเป็นแนวทางในการเขียน โครงเร่ืองเปรียบเสมือนแปลนบ฾านผ฾ูสร฾างบ฾านจะต฾องใช฾แปลนบ฾านเป็นแนวทางในการสร฾างบ฾าน การเขียนโครงเรอื่ งจึงมีความสาํ คัญทาํ ใหผ฾ ฾ูเขยี นเรียงความเขียนไดต฾ รงตามจุดประสงค์ท่ตี ั้งไว฾ ถ฾าไม฽เขียน โครงเรอื่ งหรอื ไมว฽ างโครงเร่อื งเรียงความอาจจะออกมาไม฽ตรงตามทผ่ี ฾ูเขียนต฾องการ การเขยี นยอ่ หนา้ การย฽อหน฾าเป็นสิ่งจําเป็นอีกอย฽างหนึ่ง เพราะจะช฽วยให฾ผ฾ูอ฽านอ฽านเข฾าใจง฽ายและอ฽านได฾เร็ว มีช฽องว฽าง ให฾ได฾พักสายตา ผู฾เขียนเรียงความได฾ดีต฾องร฾ูหลักในการเขียนย฽อหน฾า และนําย฽อหน฾าแต฽ละย฽อหน฾ามา เช่ือมโยงให฾สัมพันธ์กัน ในย฽อหน฾าหน่ึง ๆ ต฾องมีสาระเพียงประการเดียว ถ฾าจะข้ึนสาระสําคัญใหม฽ให฾ เขียนในย฽อหน฾าต฽อไป ดังนั้นการย฽อหน฾าจะมากหรือน฾อย ข้ึนอย฽ูกับสาระสําคัญที่ต฾องการเขียนถึงใน เน้ือเรื่อง แตอ฽ ย฽างนอ฾ ยเรยี งความต฾องมี 3 ยอ฽ หนา฾ คือย฽อหน฾าทีเ่ ป็นคํานาํ เนื้อเร่อื ง และสรุป การเชื่อมโยงย่อหนา้ การเชือ่ มโยงย฽อหนา฾ ทําให฾เกดิ สัมพันธภาพระหว฽างยอ฽ หนา฾ เรยี งความเรอ่ื งหน่ึงย฽อม ประกอบดว฾ ยยอ฽ หน฾าหลายย฽อหนา฾ การเรียงลาํ ดบั ย฽อหน฾าตามความเหมาะสมจะทาํ ให฾ขอ฾ ความเกี่ยวเนอื่ ง เป็นเรอ่ื งเดยี วกัน วธิ ีการเชือ่ มโยงยอ฽ หน฾าแต฽ละย฽อหน฾ากเ็ ช฽นเดยี วกันกับการจัดระเบียบความคิดในการ วางโครงเรอ่ื งซ่ึงมดี ว฾ ยกนั 4 วิธีคอื 1. การลาํ ดบั ย฽อหน฾าตามเวลาอาจลําดับตามเวลาในปฏิทินหรือตามเหตุการณ์ทเี่ กดิ ข้ึนก฽อนไป ยงั เหตุการณ์ท่เี กดิ ขึน้ ภายหลงั 2. การลําดับย฽อหน฾าตามสถานทีเ่ รียงลําดับข฾อมลู ตามสถานที่หรือตามความเป็นจรงิ ที่เกดิ ข้นึ 3. การลําดบั ยอ฽ หน฾าตามความสาํ คัญ เรียงลาํ ดบั ตามความสาํ คัญมากที่สุด สาํ คัญรองลงมาไป ถงึ สําคัญน฾อยทีส่ ดุ 4. การลําดบั ยอ฽ หนา฾ ตามเหตุผล อาจเรียงลําดับจากเหตไุ ปหาผลหรอื ผลไปหาเหตุ วิดโี อใหค้ วามร้เู ร่ืองการเขียนเรยี งความ

155 การเขียนบรรยาย ความหมายการเขยี นบรรยาย การเขียนบรรยาย เป็นการเขยี นเล฽าเหตุการณ์ใดเหตุการณห์ นึง่ ทีเ่ กดิ ขึ้น เพื่อใหผ฾ ฾ูอา฽ นเหน็ ภาพ เหตกุ ารณ์ ลาํ ดบั เวลา สถานที่ บุคคล ผ฾ูเขยี นควรกลา฽ วถึง เหตุการณ์ใหช฾ ัดเจน โดยมีข฾อมูลและเน้ือหา สาระของเรือ่ งทจี่ ะแสดงความคิด บางคร้ังอาจแทรกบทสนทนาตวั ละครทําใหผ฾ ฾อู า฽ นเขา฾ ใจลักษณะ อารมณ์ความคิดของตวั ละครและเขา฾ ใจเรือ่ งทง้ั หมด จดุ มงุ่ หมายของการเขียนบรรยาย การเขียนบรรยายใช฾แสดงความคิดเห็นได฾หลายรูปแบบ เช฽น ใช฾ในคําประพันธ์แบบเล฽าเร่ือง เล฽าเหตุการณ์ การเขียนชีวประวัติ การเขียนบันทึก การให฾ข฾อมูล การรายงานข฽าว เป็นต฾น การเขียน บรรยายเปน็ การเขยี นเลา฽ ขอ฾ เท็จจริงหรือรายละเอยี ดของเร่ืองตามท่ีเปน็ อยโู฽ ดยคํานงึ ถึงความตอ฽ เนื่อง ประเภทของเรอ่ื งทีใ่ ชว้ ิธีการเขียนบรรยาย งานเขียนท่ีใช฾กลวิธกี ารเขยี นบรรยาย แบง฽ ออกเปน็ ประเภทต฽างๆ ดงั ต฽อไปน้ี 1. อตั ชวี ประวัตหิ รือการเล฽าประวตั ชิ ีวิตบคุ คลตา฽ งๆ 2. ขอ฾ เท็จจริงหรอื เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ 3.เรือ่ งทีแ่ ตง฽ ขน้ึ หรือเหตุการณ์ทีเ่ กดิ ขน้ึ ขอ้ สงั เกตการเขยี นบรรยาย การเขียนบรรยายกล฽าวข฾างต฾น เป็นการเรียนบรรยายตามความจริง สามารถใช฾เป็นหลักฐาน อา฾ งองิ ไมม฽ ีการสอดแทรกอารมณห์ รือความรส฾ู ึกลงไปในงานเขยี น กลวธิ ีในการบรรยาย ก฽อนทจ่ี ะบรรยายเร่ืองต฽างๆ เราจะต฾องกําหนดว฽าจะบรรยายเรื่องอะไรขอบเขตแค฽ไหน เพราะการกําหนดเรื่องและขอบเขตของเรื่อง จะต฾องสัมพันธ์กับกาลเทศะ ประเภทของผ฾ูอ฽าน ผูฟ฾ งั เม่ือกาํ หนดเร่อื งและขอบเขตของเร่ืองได฾แล฾ว ขั้นต฽อไปจึงเลือกกลวิธีในการบรรยาย ซึ่งอาจแบ฽ง ไดเ฾ ปน็ 3 วิธี คอื 1. การบรรยายแบบละคร 2. การบรรยายลักษณะท่วั ไป 3. การบรรยาย วดิ โี อให้ความรู้เรื่องการเขยี นบรรยาย

156 การเขยี นยอ่ ความ การเขียนย฽อความ หมายถึง การเก็บใจความสําคญั ของเรื่องมาเรียบเรยี งใหม฽ ให฾สัน้ กว฽าเดิม แตม฽ ีใจความสาํ คัญ ครบถ฾วนสมบรู ณ์ ว฽าใคร ทาํ อะไร ท่ไี หน เม่อื ไร อยา฽ งไร ประโยชน์ของการย่อความ 1. ช฽วยใหก฾ ารอา฽ นและการฟังได฾ผลดียิง่ ขึ้น ช฽วยให฾เข฾าใจและจดจาํ ข฾อความสาํ คญั ที่ได฾ จากการอ฽านการฟงั สะดวกและรวดเร็ว 2. ชว฽ ยในการจดบันทกึ เมื่อไดฟ฾ ังหรอื ศกึ ษาวชิ าใดก็ตาม รูจ฾ กั จดขอ฾ ความที่สาํ คญั ลงสมุดได฾ ทันเวลาและไดเ฾ รื่องราว 3. ช฽วยในการเขยี นตอบแบบฝกึ หัดหรอื ข฾อสอบ กลา฽ วคือผ฾ูตอบจะต฾องย฽อความร฾ูทั้งหมด ท่ีมีอย฽ู ให฾อยใ฽ู นรปู ของข฾อเขียนสั้นๆ แตม฽ ีใจความครบถ฾วน 4. ช฽วยเตือนความทรงจํา นักเรียนอ฽านหนังสือแล฾วทําบทย฽อเป็นตอนๆ หรือเป็นระยะๆ ควรทํา ติดต฽อกนั อยา฽ งสมํ่าเสมอ จะช฽วยให฾ไม฽ต฾องอ฽านหนังสือซ้ําใหมต฽ ลอดเล฽ม 5. ช฽วยประหยัดเงินในการเขียนข฾อความในโทรเลข หรือการสื่อสารทางอิเลกทรอนิกส์ได฾ ถา฾ รูจ฾ ักย฽อความจะเขียนขอ฾ ความไดส฾ ้ันๆ เนือ้ ความกะทดั รดั ชดั เจน ผอู฾ า฽ นเข฾าใจเร่ืองราว วธิ ีการเขยี นยอ่ ความ ทําได฾ ดังนี้ 1. อ่านเร่ืองทจ่ี ะย฽อความให฾จบอยา฽ งนอ฾ ย 2 ครง้ั เพอ่ื ใหท฾ ราบวา฽ เรือ่ งนน้ั กลา฽ วถึงใคร ทําอะไร ท่ไี หน อย฽างไร เม่ือไร และผลเปน็ อย฽างไร 2. บันทกึ ใจความสาคญั ของเรื่องที่อา่ น แลว฾ นาํ มาเขยี นเรยี บเรยี งใหม฽ดว฾ ยสาํ นวนของตนเอง 3. อ่านทบทวนใจความสาคัญท่ีเขียนเรยี บเรียงแลว฾ จากนัน้ แก฾ไขใหส฾ มบูรณ์ โดยตัดขอ฾ ความ ทซ่ี ํ้าซ฾อนกนั ออก เพ่ือใหเ฾ น้ือหากระชบั และเชื่อมข฾อความใหส฾ ัมพนั ธ์กนั ต้งั เเต฽ตน฾ จนจบ 4. เขยี นย่อความให้สมบูรณ์ โดยเขียนแบบขึ้นตน฾ ของย฽อความตามรูปแบบของประเภท ขอ฾ ความนน้ั ๆ เช฽น การยอ฽ นิทาน การย฽อบทความ 5. การใชส้ รรพนาม การเขียนยอ฽ ความไมน฽ ยิ มใชส฾ รรพยามบุรษุ ที่ 1 และสรรพนามบรุ ุษท่ี 2 คือ ฉัน คุณ ทา฽ น แต฽จะใช฾สรรพนามบุรษุ ที่ 3 เช฽น เขา และไม฽เขียนโดยใชอ฾ ักษรย฽อ นอกจากน้ี หากมี การใชค฾ ําราชาศัพทต์ ฾องเขยี นใหถ฾ ูกต฾อง ไม฽ควรตัดทอน วิดีโอให้ความรเู้ ร่อื งการเขยี นย่อความ ใบงานท่ี 4

157 ใบกจิ กรรม บทเรยี นออนไลน์ที่ 3 เรอ่ื ง การเขยี น ให฾ผ฾ูเรียนศกึ ษาวดี โี อ เรื่อง ภาษาไทยเพ่ือการส่ือสารการพฒั นาทักษะการเขยี น, การเขยี นรายงานโดย สแกนควิ อาโคด฾ และศึกษาใบความรเ฾ู รอ่ื ง การเขยี น ศึกษาวดี โี อเร่ือง ภาษาไทยเพ่ือการส่ือสารการพฒั นาทกั ษะการเขียน ศกึ ษาวีดโี อเรื่อง การเขียนแผนผังความคดิ ศึกษาวดี ีโอเร่ือง การเขยี นรายงาน

158 ใบงาน บทเรยี นออนไลนท์ ี่ 3 เร่อื ง การเขียน 1. ให฾ผู฾เรียนรวบรวมคําท่ีมักเขียนผิดตามส่ือ ร฾านค฾า โฆษณา และท่ีสาธารณะต฽าง ๆ มาจํานวน 15 คํา พร฾อมท้งั แกไ฾ ขให฾ถูกต฾องด฾วย คาท่เี ขยี นผิด คาที่แก้ไข คลนี คิ คลินิก 2. รปู แบบของแผนภาพความคดิ มกี แ่ี บบ อะไรบา฾ ง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. เรียงความคอื อะไร และมีองคป์ ระกอบอะไรบ฾าง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. แนวทางในการเขียนเรยี งความมีอะไรบา฾ ง (ตอบโดยสรุป) ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. ให฾ผู฾เรยี นศึกษาเร่ืองท่ีตนเองสนใจคนละเร่ือง 1 เร่ือง และเขยี นรายงาน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………

159 แบบทดสอบหลงั เรียน บทเรยี นออนไลน์ท่ี 3 เรอ่ื ง การเขยี น จงทาเคร่อื งหมายกากบาท เลอื กข฾อท่ีถูกต฾องลงในกระดาษคําตอบด฾านล฽าง 1. คําใดสะกดผดิ ก. อทุ ธรณ์ ข. อาถรรพณ์ ค. เพฌชฆาต ง. ลูกนิมติ 2. ข฾อใดสะกดถูกต฾องทุกคํา ก. ตาํ รวจลอมชอมคู฽กรณีอยา฽ งขะมกั เขมน฾ ข. อยา฽ มวั ทําชมดชะม฾อยฉันขยกั ขย฽อนเตม็ ที ค. ฉันชอบกินขา฾ วผัดกระเพรา ง. ตาสวี พิ ากษ์วจิ ารณเ์ รอ่ื งท่ีชาวบา฾ นโจษจันกันทว่ั 3. ขอ฾ ใดมีคําที่สะกดผิด ก. ชบา ชโย ยโส ข. ชอ฽ุม ชะตา ชโลม ค. คะนงึ ทะนุบาํ รงุ ฉะนนั้ ง. ขะมุกขะมอม ขะมักเขม฾น ขมุกขะมวั 4. ข฾อใดมีคาํ ทส่ี ะกดผดิ ก. สะกด สะกดั สะกดิ ข. สะดุง฾ สะดดุ สะดึง ค. สะบกั สะบดั สะบนั้ ง. สะอาด สะอึก สะอ้ืน 5. ขอ฾ ใดเขียนถกู ทุกคาํ ก. ตวั้ โผ เตา฾ ห฾ู เกีย้ มไฉ฽ ข. เกยี ร์ ฟิล์ม ฟุตบอลล์ ค. อุทัจ อฏั จารส อัชญาสัย ง. รืน่ รมย์ ประสบการณ์ สถาณการณ์

160 6. ขอ฾ ใดมีคาํ เขียนสะกดคาํ ถูกท้งั หมด ก. ตะไคร฽ สาบาน ไหหลาํ ปฏิสันฐาน ข. อะไหล฽ บณุ ฑริก ยมบาล เอิกกะเหรกิ ค. เปรียญ สรภญั ญะ เวนคืน จนั ทรเกษม ง. สไบ กระษาปณ์ เช๊ิต ผรุสวาท 7. ขอ฾ ความใดไมไ่ ด้กลา฽ วถึงวธิ กี ารยอ฽ ความ ก. เขียนคาํ นาํ ตามแบบ ข. คงราชาศพั ทไ์ ว฾ ค. คงสรรพนามเดิมไว฾ ง. ใช฾สํานวนภาษาของผ฾ยู ฽อ 8. ข฾อควรทําในการเรียบเรยี งย฽อความคอื ข฾อใด ก. เรียงลําดบั เรอื่ งตามแบบเรอ่ื งเดมิ เสมอ ข. เรยี งใหก฾ ลบั กันกบั เร่อื งเดมิ ค. เรียงลําดบั ตามความพอใจของผู฾ย฽อ ง. เรยี งใหส฾ มั พันธต์ อ฽ เน่ืองกัน 9. ยอ฽ ความควรมีก่ียอ฽ หน฾า ก. ยอ฽ หน฾าเดยี ว ข. เทา฽ จํานวนยอ฽ หนา฾ ของเน้อื เรอื่ งเดมิ ค. สามย฽อหน฾า คือ คาํ นาํ เน้ือเรอ่ื ง สรุป ง. สองยอ฽ หนา฾ คือ ย฽อหนา฾ คาํ นํา และย฽อหนา฾ เน้อื ความซึ่งมักย฽อเหลือเพยี งย฽อหน฾าเดียว 10. ข฾อใดเป็นหัวข฾อเรยี งความเก่ยี วกับเรื่องในโลกของจนิ ตนาการทเ่ี กี่ยวกับอนาคต ก. ใต฾ร฽มอินทนลิ ข. เด็กขายพวงมาลยั ค. สถานการณ์โรคเอดส์ ง. เกบ็ หอมรอมรบิ ไว฾เถิด

161 เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น บทเรียนออนไลนท์ ่ี 3 เรื่อง การเขียน 1. ข 2. ง 3. ค 4. ข 5. ก 6. ก 7. ข 8. ก 9. ค 10. ง

162 แบบทดสอบก่อนเรียน บทเรยี นออนไลนท์ ี่ 4 เรอื่ ง หลกั การใช้ภาษา คาสั่ง ให฾เลือกคาํ ตอบที่ถูกตอ฾ งท่ีสดุ เพยี งคาํ ตอบเดยี ว 1. คาํ นาม คืออะไร ก. คําท่ีเปน็ ช่ือของคน สัตว์ สถานที่ สิ่งของ ข. คําที่ใชเ฾ รียกคน สตั ว์ สถานที่ ส่งิ ของ ค. คําที่สร฾างมาจากคํากรยิ า โดยใชค฾ ําวา฽ \"การ\" และ \"ความ\" นาํ หน฾า ง. คําทแ่ี สดงลักษณะของคําอ่นื ว฽าเปน็ อย฽างไรรวมท้ังบอกการกระทําว฽า ทําอะไร 2. ขอ฾ ใดใช฾ลกั ษณะนามผดิ ก. ขลุ฽ย – เลา ข. สวิง – ปาก ค. งาชา฾ ง – งา ง. สักวา - บท 3. ขอ฾ ใดเป็นอาการนาม ก. การงาน ข. การเมือง ค. การกิน ง. การพาณชิ ย์ 4. ขอ฾ ใดมีคาํ นามทที่ ําหนา฾ ทเี่ ป็นนามเรยี กขาน ก. ฉนั คือนาฬิกาดาํ แลว฾ ข เขาชอบดม่ื นมมากกว฽าสิ่งอืน่ ค. เขาชอบด่ืมนมมาก ๆ เวลากลางคนื ง. นักเรยี นฟงั ครูอธบิ ายให฾เข฾าใจก฽อน 5. ประโยคมคี วามหมายตรงตามขอ฾ ใดมากทสี่ ุด ก. คาํ หรือกล฽ุมคาํ ข. การนํากล฽ุมคํามาเรียบเรียงกนั ค. มภี าคประธานและภาคแสดง ง. คาํ หรือกลุม฽ คาํ ทนี่ าํ มาเรียงกนั แล฾วมคี วามหมายสมบูรณ์ประกอบด฾วยภาคประธานและภาคแสดง 6. ขอ฾ ใดไม฽มีคาํ วเิ ศษณ์ ก. รานองให฾ข฾อคิดในการทํางานแก฽พระเจา฾ แปร ข. ขนมหวานท่แี ม฽ซอ้ื มาอรอ฽ ยมากมาก ค. อดีตเขาอาจเกเรแต฽ปจั จุบนั เขาเป็นคนดี ง. ปใี หม฽นจ้ี ะไปฉลองท่ีไหนดี

163 7. ประโยคใดเป็นประโยคความรวม ก. นกั กีฬาทีมชาตไิ ทยม฽งุ ม่ันไปส฽จู ุดหมาย ข. กมลอ฽านหนังสอื สารคดีซึ่งแม฽ซื้อมาให฾ ค. พอพ฽อกลับถึงบ฾านแม฽ก็เตรยี มอาหารเยน็ เสรจ็ แลว฾ ง. นกั แสดงท่ีมีความสามรถยอ฽ มไดร฾ ับการกลา฽ วขาน 8. ขอ฾ ใดเป็นประโยคความเดียว ก.“นกพิราบ” ข. “ฉันกนิ ขา฾ วผดั ” ค. “กระเปา฻ ท่วี างอยู฽บนโซฟาเป็นของพ฽อ” ง. “เขาชอบอา฽ นหนังสือหรอื ชอบเขียนหนังสอื ” 9. ข฾อใดเป็นประโยคความซ฾อน ก. ฉนั ร฾องเพลง ข. ฉันและแมก฽ ินขา฾ ว ค. ฉันชอบบ฾านที่อยู฽ชายทะเล ง. ฉันจะร฾องเพลงแต฽พ่ีจะเตะฟุตบอล 11. อักษรย฽อจะตอ฾ งมเี ครื่องหมายใดกาํ กับอยเู฽ สมอ ก. มหัพภาค ข. จลุ ภาค ค. เสมอภาค ง. วิภชั ภาค 10. ข฾อใดควรใช฾เคร่ืองหมาย “ๆ” ก. ตํารวจไล฽กวดจับผ฾ูร฾ายผร฾ู า฾ ยพยายามหนี ข. ฉันทาํ การบ฾านบ฾านคณุ ยาย ค. ยายนอนนอนอย฽ูกเ็ ผลอหลบั ไป ง. เขาไปดทู ่ีที่ตา฽ งจงั หวดั 11. ข฾อใดใช฾เคร่อื งหมายวรรคตอนถูก ก. (สวัสดคี รับ) ชายคนหนง่ึ พูด ข. อุย฿ ? อะไรเนีย่ ค. เพลง฾ ? อะไรแตก ง. ในนา้ํ มี ปลา,กง฾ุ ,ปู และ หอย 12. ขอ฾ ใดถกู ต฾องที่สดุ เกีย่ วกบั การสะกดคํา ก. การออกเสียงตามพยัญชนะตน฾ และพยัญชนะท฾าย ข. การอ฽านไม฽ออกเสียงสระ ค. การออกเสยี งตามพยัญชนะและสระ ง. การออกเสยี งตามสระและวรรณยกุ ต์

164 13. ขอ฾ ใดกล฽าวถึงคําราชาศพั ท์ถูกต฾องที่สุด ก. ถอ฾ ยคาํ ท่ีใช฾กับพระมหากษัตริย์ ข. ข฾อความที่ใชก฾ บั พระราชวงศ์ ค. ภาษาท่ใี ชใ฾ หเ฾ หมาะสมกบั ฐานะของบุคคล ง. คําสภุ าพท่ใี ช฾ยกย฽องบุคคลในสงั คม 14. ขอ฾ ใดเปน็ คําราชาศัพท์ทุกคาํ ก. เสน฾ พระเจ฾า ทรงกลด ประพาส ข. พระโขนง พระท่ี พระสาง ค. พระเครื่อง โปรด เสวย ง. เรอื นตน฾ คลุมบรรทม ทรงปืน 15. สํานวนหมายความว฽าอย฽างไร ก. ถอ฾ ยคาํ ทเี่ รยี บเรยี งเป็นข฾อความ หรอื คาํ พูดที่ชัน้ เชงิ ข. ถ฾อยคําท่ีกล฽าวแนะนาํ สัง่ สอน เตือนสติ ด฾วยหลกั ความจริง ค. เป็นการกล฽าวเปรยี บเทยี บต฽อเหตุการณ์ทเี่ กดิ ขน้ึ ง. ข฾อความท่ีคอยเตอื นใจ 16. สุภาษติ หมายความว฽าอย฽างไร ก. การกล฽าวเปรยี บเทยี บตอ฽ เหตกุ ารณ์ที่เกดิ ข้ึน ข. ขอ฾ ความท่ีคอยเตือนใจ ค. ถ฾อยคําทเ่ี รียบเรยี งเป็นขอ฾ ความ หรือคําพดู ทชี่ ้นั เชิง ง. ถ฾อยคําที่กล฽าวแนะนํา สง่ั สอน เตือนสติ ด฾วยหลักความจริง 17. คําพังเพยหมายความวา฽ อยา฽ งไร ก. ถอ฾ ยคาํ ท่เี รียบเรียงเป็นข฾อความ หรือคาํ พดู ที่ช้นั เชิง ข. ถอ฾ ยคาํ ทีก่ ล฽าวแนะนํา สั่งสอน เตือนสติ ด฾วยหลักความจรงิ ค. การเปรยี บเทียบตอ฽ เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ข้ึน ง. ข฾อความท่ีคอยเตือนใจ 18. ไก฽ไดพ฾ ลอย\" หมายถึง ก. เมอื่ เกิดความเสยี หายแล฾วจงึ คดิ หาทางปูองกัน ข. เกบ็ เล็กผสมน฾อยจนสาํ เรจ็ ค. ยืนกรานไม฽ยอมรบั ง. ไดส฾ ่งิ ท่ีมคี ฽าแตก฽ ็ไมร฽ ู฾คุณค฽า

165 19. สํานวนใดทส่ี ะท฾อนใหเ฾ ห็นถึงความเป็นอยู฽เก่ียวกบั การทาํ มาหากนิ ก. ของหายตะพายบาป ข. ขนุ ไม฽เช่ือง ค. นํา้ ขนึ้ ใหร฾ บี ตัก ง. เกลือจ้มิ เกลอื 20. ขอ฾ ใดตรงกับประโยชน์จากสาํ นวน สภุ าษิต และคําพังเพยมากท่ีสดุ ก. นําหลกั คําสอนมาประยุกตใ์ ช฾ ข. ทาํ ให฾ทราบความหมายของแตล฽ ะสํานวน ค. ทาํ ให฾เยาวชนประพฤติ ปฏบิ ตั ิตนดีขนึ้ ง. ขดั เกลานิสยั เยาวชนให฾อยูใ฽ นกรอบและระเบยี บมากข้ึน

166 เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรยี น บทเรียนออนไลน์ที่ 4 เรอื่ ง หลักการใช้ภาษา 1. ข 2. ง 3. ค 4. ง 5. ง 6. ก 7. ค 8. ข 9. ค 10. ก 11. ก 12. ง 13. ค 14. ง 15. ก 16. ง 17. ค 18. ง 19. ค 20. ก

167 ใบความรู้ บทเรยี นออนไลนท์ ่ี 4 เร่ือง หลกั การใชภ้ าษา หลักการใช฾ภาษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช฾ภาษาให฾ถูกต฾องเหมาะสม กบั โอกาสและบคุ คล การแต฽งบทประพันธป์ ระเภทตา฽ งๆ และอทิ ธิพลของภาษาตา฽ งประเทศในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นภาษาที่เก฽าแก฽ท่ีสุดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต฾ มีรากฐานมาจาก อ อ ส โ ต ร ไ ท ย ซึ่ ง มี ค ว า ม ค ล฾ า ย ค ลึ ง กั บ ภ า ษ า จี น มี ห ล า ย คํ า ท่ี ข อ ยื ม ม า จ า ก ภ า ษ า จี น พ฽อขุนรามคําแหงได฾ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเม่ือปี พ.ศ.1826 มี พยัญชนะ 44 ตัว (21 เสียง), สระ 21 รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์ 5 เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรีจัตวา ภาษาไทย ดัดแปลงมาจาก บาลี และ สันสกฤต คนไทยเป็นผู฾ท่ีโชคดีท่ีมีภาษาของตนเอง และมีอักษรไทย เป็นตัวอักษร ประจําชาติ อันเป็นมรดกลํ้า คา฽ ทบ่ี รรพบรุ ุษได฾สรา฾ งไว฾ ซงึ่ เป็นเคร่อื งแสดงวา฽ ไทยเราเปน็ ชาติทม่ี ีวัฒนธรรมสูงสง฽ มาแต฽โบราณกาลและ ย่ังยืนมาจนปัจจุบัน คนไทยผเ฾ู ป็นเจา฾ ของภาษา ควรภาคภมู ิใจที่ชาตไิ ทยใช฾ภาษาไทย เป็นภาษาประจําชาติ มากว฽า 700 ปี และจะย่งั ยนื ตลอดไป ถ฾าทุกคนตระหนักในความสาํ คญั ของภาษาไทย หากแต฽ในปัจจุบันเทคโนโลยีการติดต฽อส่ือสารผ฽านทางอินเตอร์เน็ตได฾เข฾ามามีบทบาทใน ชีวิตประจําวันของคนไทยอย฽างมาก ความสะดวกรวดเร็วในการติดต฽อสื่อสารกลายเป็นส่ิงที่สําคัญ มากกว฽าการใช฾ภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติให฾ถูกต฾อง อีกทั้งวัยร฽ุนกลับมองว฽าการใช฾ภาษาท่ีผิด กลายเปน็ เรอื่ งของแฟชัน่ ทใี่ คร ๆ ก็ทํากันทําให฾เกิดภาษาใหม฽ท่ีเป็นท่ีแพร฽หลายบนโลกอินเตอร์เน็ตหรือ เรียกว฽าภาษาแชท(Chat) ข้ึน และถ฾าหากคนในสังคมไทยยังคงใช฾ภาษาไทย เขียนภาษาไทยแบบผิดๆ และไม฽คิดใส฽ใจท่ีจะใช฾ภาษาไทยให฾ถูกต฾อง ต฽อไปอาจทําให฾เกิดความเคยชินจนติดนํามาใช฾สื่อสารกัน ในชีวิตประจําวัน จนทําให฾ภาษาไทยที่เป็นรากเหง฾าของคนไทย ความภาคภูมิใจในภาษาท่ีบรรพบุรุษ คิดค฾นขึ้นมา ภาษาที่มีความสวยงาม ก็คงต฾องเลือนหายไป และถูกแทนที่ด฾วยภาษาแปลกๆท่ีผุด ขน้ึ มาบนโลกอินเตอรเ์ น็ตอยา฽ งเชน฽ ในปจั จบุ นั ดังนัน้ คณะผู฾จดั ทาํ จึงได฾จัดทําเว็บไซต์ ท่ีเป็นแหล฽งรวบรวม ขอ฾ มลู การใชภ฾ าษาไทยทีถ่ กู ตอ฾ งในการสอื่ สาร เพื่อย้ําเตือนและให฾ความรู฾ในการใชภ฾ าษาไทยทเ่ี ป็นภาษา ประจําชาติและเปน็ ความภาคภูมใิ จใหค฾ งอย฽ูในสงั คมไทยสบื ไป หลักการใช้ภาษาไทยเพือ่ การส่อื สารในอินเตอร์เน็ต 1. ใช฾คําให฾ถูกต฾องตรงตามความหมาย กล฽าวคือ ก฽อนนําคําไปเรียงเข฾าประโยค ควรทราบ ความหมายของคําคําน้ันก฽อน เช฽น คําว฽า “ปอก” กับ “ปลอก” สองคํานี้มีความหมายไม฽เหมือนกัน คําว฽า “ปอก” เป็นคํากริยา แปลว฽า เอาเปลือกหรือส่ิงที่ห฽อหุ฾มออก แต฽คําว฽า “ปลอก” เป็นคํานาม แปลวา฽ สงิ่ ทที่ ําสําหรับสวมหรือรัดของต฽างๆ เป็นต฾น ลองพิจารณาตัวอย฽างต฽อไปนี้ “วันน้ีได฾พบกับท฽าน อธิการบดี ผมขอฉวยโอกาสอันงดงามนี้เล้ียงต฾อนรับท฽านนะครับ” (ท่ีจริงแล฾วควรใช฾ ถือโอกาส เพราะฉวยโอกาสใช฾ในความหมายทไ่ี ม฽ดี) 2. ใช฾คําให฾เหมาะสม เลือกใช฾คําให฾เหมาะสมกับกาลเทศะและเหมาะสมกับบุคคล เช฽นโอกาส ท่ีเป็นทางการ โอกาสท่ีเป็นกันเอง หรือโอกาสที่เป็นภาษาเขียน เช฽น “ข฾าพเจ฾าไม฽ทราบว฽าท฽านจะคิด ยังไง” คําว฽า “ยังไง” เป็นภาษาพูด ถ฾าเป็นภาษาเขียนควรใช฾ “อย฽างไร” “เม่ือสมชายเห็นรูปก็โกรธ ก ร ะ ฟั ด ก ร ะ เ ฟี ย ด ม า ก ( ค ว ร ใ ช฾ โ ก ร ธ ปึ ง ปั ง เ พ ร า ะ ก ร ะ ฟั ด ก ร ะ เ ฟี ย ด ใ ช฾ กั บ ผ฾ู ห ญิ ง )

168 3. การใช฾คําลักษณะนาม ใช฾คําท่ีบอกลักษณะของนามต฽างๆ ให฾ถูกต฾อง เช฽น ปากกา มีลักษณะนามเป็น ด฾าม เล่ือย มีลักษณะนามเป็น ป้ืน ฤๅษี มีลักษณะนามเป็น ตน เป็นต฾น 4. การเรียงลาํ ดับคาํ เป็นเรือ่ งทส่ี ําคญั มากในภาษาไทย หากเรียงผิดที่ความหมายก็จะเปล่ียนไป ด฾วย ท้ังน้ี เพราะคําบางคําอาจมีความหมายได฾หลายความหมายซ่ึงข้ึนอย฽ูกับตําแหน฽งท่ีจัดเรียงไว฾ใน ประโยค เช฽น แม฽เกลียดคนใช฾ฉัน ฉันเกลียดคนใช฾แม฽ คนใช฾ เกลียดแม฽ฉัน แม฽คนใช฾เกลียด ฉันเกลียดแม฽คนใช฾ แม฽ฉันเกลียดคนใช฾ ข฾อบกพร฽องในการเรียงลําดับคํามักปรากฏดังน้ี - เรียงลําดับ คาํ ผิดตําแหน฽ง เชน฽ เขาไมท฽ ราบสง่ิ ท่ีดีงามน้ัน ว฽า คืออะไร (ควรเรยี งวา฽ เขาไม฽ทราบ วา฽ สิ่งที่ดีงามนั้นคือ อะไร) - เรียงลําดับคําขยายผิดท่ี เช฽น ขอขอบคุณมา ณ โอกาสน้ีด฾วย เป็นอย฽างสูง (ควรเรียงว฽า ขอขอบคณุ เปน็ อย฽างสูง มา ณ โอกาสนี้ด฾วย) - เรียงลําดับคําไม฽เหมาะสม เช฽น จงไปเลือกตั้งลงคะแนน เสยี ง นายกสโมสรนักศกึ ษา (ควรเรยี งวา฽ จงไปลงคะแนนเสยี งเลอื กตั้ง นายกสโมสรนักศึกษา) 5. แตง฽ ประโยคให฾จบกระแสความ หมายถงึ แตง฽ ประโยคใหม฾ คี วามสมบูรณ์ครบถ฾วนท้ังส฽วนท่ีเป็น ภาคประธานและภาคแสดง ซึ่งประโยคท่ีจบกระแสความน้ันจะต฾องตอบคําถามว฽า ใคร ทํา อะไร ไดช฾ ัดเจน สาเหตุที่ทําให฾ประโยคไมจ฽ บกระแสความอาจเกดิ จากขาดคําบางคําหรือขาดส฽วนประกอบของ ประโยคบางสว฽ นไป เชน฽ เม่ือตอนยังเด็กเขาชอบนอนหนุนตักแม฽ บัดน้ีเขาอายุย่ีสิบกว฽าแล฾ว(ควรแก฾เป็น เม่ือตอนยังเด็กเขาชอบนอนหนุนตักแม฽ บัดน้ีเขาอายุยี่สิบกว฽าแล฾วก็ ยังชอบอย฽ูเหมือนเดิม) 6. ใช฾ภาษาให฾ชัดเจน ใช฾ภาษาที่ให฾ความหมายเพียงความหมายเดียว เป็นความหมายท่ีไม฽ สามารถจะแปลความเป็นอย฽างอ่ืนได฾ เช฽น “คุณแม฽ไม฽ชอบคนใช฾ฉัน” อาจแปลได฾ 2 ความหมายคือ คุณแม฽ไม฽ชอบใครก็ตามที่ใช฾ให฾ฉันทําโน฽นทํานี่ หรือคุณแม฽ไม฽ชอบคนรับใช฾ของฉัน ทั้งน้ีเพราะคําว฽า “คนใช฾” เปน็ คาํ ท่ีมีหลายความหมายนัน่ เอง 7. ใช฾ภาษาให฾สละสลวย ใช฾ภาษาอย฽างไพเราะราบรื่น ฟังไม฽ขัดหู และมีความกะทัดรัด - ไม฽ใช฾คําฟุมเฟือย หมายถึง การใช฾คําที่ไม฽จําเป็น หรือใช฾คําท่ีมีความหมายซ้ําซ฾อน เช฽น “วันนี้อาจารย์ไม฽มาทําการสอน” คําว฽า “ทําการ” เป็นคําที่ไม฽จําเป็น เพราะแม฾จะคงไว฾ก็ไม฽ได฾ช฽วย ให฾ความหมายชดั เจนข้นึ กวา฽ เดมิ หรือถา฾ ตดั ท้ิง ความหมายก็ไม฽ได฾เสยี ไป ดังนัน้ จึงควรแก฾ไขเปน็ “วันน้ี อาจารยไ์ มม฽ าสอน” - ใช฾คําให฾คงที่ หมายถึง ในประโยคเดียวกัน หรือในเนื้อความเดียวกัน ควรใช฾คําเดียวกัน ให฾ตลอด ดังประโยคต฽อไปน้ี “หมอถือว฽าคนปุวยทุกคนเป็นคนไข฾ของหมอเหมือนกัน - ไมใ฽ ชส฾ าํ นวนตา฽ งประเทศ เชน฽ “มันเป็นความจาํ เปน็ อยา฽ งยง่ิ ทเ่ี ขาต฾องจากไป” ขอ้ สงั เกตและจดจาในการเขยี นภาษาไทย 1. หลักการประวิสรรชนีย์ในภาษาไทย - คําท่ีข้ึนต฾นด฾วยกระ/กะ ในภาษาไทยให฾ ประวิสรรชนีย์ เช฽น กระเช฾า กระเซ฾า กระแส กระโปรง กระทรวง กระทะ กระพริบ กะปิ เป็นต฾น 2. คําท่เี ป็นคาํ ประสมทค่ี าํ หนา฾ กอ฽ นเป็นเสยี งอะ ใหป฾ ระวสิ รรชนยี ์ - เช฽น ตาวัน เป็น ตะวัน , ฉันน้ัน เป็น ฉะน้ัน, ฉันน้ี เป็นฉะนี้, หมากม฽วง เป็น มะม฽วง, สาวใภ฾ เป็น สะใภ฾, วับวับ เป็น วะวับ, เรอ่ื ยเร่ือย เปน็ ระเรอื่ ย เป็นตน฾ 3. คาํ ท่ยี ืมมาจากภาษาบาลี สนั สกฤต ตวั ทา฾ ยทอี่ อกเสียง อะ ต฾องประวสิ รรชนยี ์ - เชน฽ ศิลปะ มรณะ สาธารณะ วาระ เปน็ ต฾น

169 4. คําทีพ่ ยัญชนะตน฾ ออกเสียงอะ แตไ฽ มใ฽ ช฽อักษรนํา ตอ฾ งประวสิ รรชณยี ์ - เชน฽ ขะมุกขะมอม ขะมักเขม฾น ทะเล฽อทะลา฽ เปน็ ต฾น ชนดิ ของคาและความหมายของคา คาํ นาม (noun) เป็นคําท่ีใช฾เป็นประธานหรือกรรมของประโยค บางทีก็ใช฾ขยายคํานามด฾วยกัน ได฾ (มกั จะหมายถงึ วัสดทุ ่ใี ชท฾ ํา) เช฽น ขวานทองคํา leather bag คําสรรพนาม (pronoun) เป็นคําที่ใช฾แทนคํานามในประโยค เมื่อคํานามน้ันถูกกล฽าวถึง หรือ เป็นทรี่ ฾ูกันอยแู฽ ล฾ว เช฽น ฉนั คุณ he she it คํากริยา (verb) เป็นคําหลักของภาคแสดงในประโยค ใช฾บอกถึงท฽าทาง อาการและสภาพของ สง่ิ ตา฽ งๆ เชน฽ เดนิ หนาว have คําวิเศษณ์ หรือ คําคุณศัพท์ (adjective) เป็นคําที่ใช฾ขยายความของคําต฽างๆ เช฽น ฉันหิวมาก the beautiful day คําบุพบท (preposition) เป็นคําที่ใช฾เชื่อมคํานามกับคํานาม และแสดงความสัมพันธ์ของ คํานามน้ัน เช฽น กระเปา฻ ของ ฉัน the revolution in 2006 คําสันธาน (conjunction) เป็นคําที่เชื่อมประโยคกับประโยค ให฾กลายเป็นประโยคความรวม หรอื ประโยคความซอ฾ น เชน฽ เพราะฉะนน้ั therefore คําอุทาน (interjection) เป็นคําที่เสริมขึ้นมาในประโยค เพื่อให฾ประโยคมีอรรถรสยิ่งข้ึน เช฽น โอ฾โห อืม ในภาษาอนื่ ๆ อาจมีคําประเภทอื่นนอกเหนือจากท่ีกล฽าวไวแ฾ ลว฾ ขา฾ งต฾น เชน฽ คํากริยาวิเศษณ์ (adverb) เป็นคําขยายคล฾ายกับคําวิเศษณ์ แต฽ขยายเฉพาะคํากริยาหรือคํา วิเศษณด์ ฾วยกนั เทา฽ น้นั เชน฽ generally continuously หลักการเขยี นสะกดคา 1. ต้งั ใจฟังคาํ ทีค่ รูบอกให฾ชดั เจน โดยนึกถึงความหมายของคําควบคู฽กันไปด฾วย เพ่ือจะได฾เขียน ไดอ฾ ย฽างถูกตอ฾ ง 2. เขียนตัวหนังสือใหช฾ ดั เจน เช฽น อย฽าให฾หัวขาด หยกั ใหถ฾ กู ท่ี อย฽าเขียนลายมือติดกัน ซึ่งจะ ทาํ ให฾ตัวอกั ษรคลา฾ ยกัน 3. เขยี นหนังสอื ตามหลกั ตวั อักษรไทย วางเครื่องหมาย สระ และวรรณยกุ ต์ให฾ถูกท่ี 4. อยา฽ เขยี นหนงั สือเล฽นหาง หรอื เขียนตวั หนังสอื เหมอื นในหนงั สอื การ์ตนู 5. เขยี นให฾ลายมอื สม่าํ เสมอ อยา฽ ให฾โยไ฾ ปหน฾าบา฾ งหลงั บ฾าง 6. อย฽าเขียนตวั เล็กเกินไป อา฽ นแล฾วปวดสายตา 7. อย฽าเขียน ลบ ขีด ฆ฽า สกปรก นอกจากดูไม฽งามแล฾ว ยังแสดงถึงการทํางานไม฽เป็น ระเบียบเรยี บรอ฾ ยอกี ด฾วย 8. ควรเขียนด฾วยหมึกสีเข฾ม สีท่ีนิยมกันว฽าสุภาพ คือ “ สีน้ําเงิน ” อย฽าให฾หมึกจางทําให฾อ฽าน ไมช฽ ดั

170 9. เวน฾ ช฽องไฟ ( เวน฾ ระยะระหว฽างตวั อักษร ) ใหเ฾ ท฽ากนั 10. เขยี นสะกดการนั ต์ ใหถ฾ กู ต฾องตามพจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ 11. เมื่อเขียนเสร็จแล฾ว ก฽อนส฽งครูตรวจต฾องตรวจทานดูความถูกต฾องทั้งหมดอีกคร้ังหนึ่งก฽อน เสมอ 12. การประอักษร คําหรอื พยางค์ จะประกอบด฾วย เสียงพยัญชนะ เสียงสระ เสียงวรรณยุกต์ เป็นอย฽างนอ฾ ย ซ่ึงมวี ิธกี ารเขียนได฾ 4 วธิ ี 12.1 การประสมสามส฽วน ประกอบด฾วย พยัญชนะต฾น สระ และวรรณยุกต์ อาจเป็น วรรณยุกตม์ รี ปู หรอื ไมม฽ รี ปู กไ็ ด฾ 12.2 การประสมส่ีส฽วน ประกอบด฾วย พยัญชนะต฾น สระ พยัญชนะท฾ายพยางค์ และ วรรณยุกต์ 12.3 การประสมสี่ส฽วนพิเศษ ประกอบด฾วย พยัญชนะต฾น สระ พยัญชนะท฾ายพยางค์ ท่ีไม฽ออกเสยี งหรอื ตวั การันต์ และวรรณยุกต์ 12.4 การประสมห฾าส฽วน ประกอบด฾วย พยัญชนะต฾น สระ พยัญชนะท฾ายพยางค์ พยญั ชนะทา฾ ยพยางค์ที่ไม฽ออกเสียงหรอื ตวั การนั ต์ และวรรณยุกต์ 13. ตัวอยา฽ งการเขียนคาํ ภาษาไทย 13.1 คาํ ทป่ี ระวิสรรชนีย์ และไมป฽ ระวิสรรชนยี ์ 13.1.1 พยางค์ท฾ายคําที่มีเสียง อะ จะต฾องประวิสรรชนีย์ด฾วย เช฽น ธุระ สุขะ ศิลปะ พละ วรรณะ สาธารณะ ฯ 13.1.2 คําไทยแท฾ส฽วนมาก ประวิสรรชนีย์ ตรงพยางค์ท่ีออกเสียง อะ เต็มมาตรา เช฽น กะทัดรัด กะทันหัน กะละมัง ขะมักเขม฾น คะแนน มะละกอ สะอาด สะดวก สะเทือน อะลมุ฾ อลว฽ ย ฯ 13.1.3 คําที่มีอักษรควบกับ ร เม่ือออกเสียง อะ ส฽วนมากประวิสรรชนีย์ เช฽น กระเบียดกระเสียร ตระกูล ฯ 13.1.4 พยางคท์ อี่ อกเสียง อะ ซ่งึ กรอ฽ นมาจากคาํ อืน่ สว฽ นมากประวิสรรชนยี ์ 13.1.5 คําท่ีมาจากภาษาบาลี สันสกฤต ไม฽ต฾องประวิสรรชนีย์ ตรงพยางค์ท่ีออก เสยี ง อะ ถงึ แม฾จะออกเสียง อะ เตม็ มาตรา และ ไม฽ใช฽พยางคท์ ฾ายคาํ 13.1.6 คําที่ออกเสียง อะ ไม฽เต็มมาตรา หรือคําที่เป็นอักษรนํา ไม฽ต฾องประ วิสรรชนีย์ ตรงพยางค์ที่ออกเสียง อะ เช฽น ขโมย ขมุกขมัว เฉพาะ ฉบับ ชนวน ชนิด ชนัก ชวา ทลาย ทแยง เสบียง สบ฽ู สไบ สกดั ฯ 13.2 การใช฾ บนั บรร 13.2.1 บัน- ใชเ฾ ปน็ พยางคห์ น฾าของคําบางคาํ เชน฽ บนั ดาล บันได บันทึก บันเทิง บันลอื

171 13.2.2 บรร- ใชเ฾ ป็นพยางคห์ น฾าของคําซึ่งแผลงมาจาก 13.3 การใช฾ อํา- อาํ ม- อัม- มีหลักการใชด฾ งั นี้ การสร้างคาในภาษาไทย คําที่ใช฾ในภาษาไทยด้ังเดิม ส฽วนมากจะเป็นคําพยางค์เดียว เช฽น พ่ีน฾อง เดือนดาว จอบไถ หมูหมา กิน นอน ดี ชั่ว สอง สาม เป็นต฾น เม่ือโลกวิวัฒนาการ มีส่ิงแปลกใหม฽เพ่ิมขึ้น ภาษาไทยก็จะต฾องพัฒนาทั้งรูปคําและการเพิ่มจํานวนคํา เพ่ือให฾มีคําใช฾ในการส่ือสาร ให฾เพียงพอ กับการเปลี่ยนแปลงของวัตถุส่ิงของและเหตุการณ์ต฽าง ๆ ด฾วยการสร฾างคํา ยืมคํา แบบสร฾างคํา คือ วิธีการนําอักษรมาประสมเป็นคําเกิดความหมายและเสียงของแต฽ละ พยางค์ ใน 1 คํา จะต฾องมีส฽วนประกอบ ๓ ส฽วน เป็นอย฽างน฾อย คือ สระ พยัญชนะและวรรณยุกต์ อย฽างมากไม฽ เกนิ 5 สว฽ น คือ สระ พยญั ชนะ วรรณยุกต์ ตวั สะกด ตัวการนั ต์ รูปแบบของคา คาํ ไทยทใี่ ช฾อยู฽ปัจจบุ นั มีทง้ั คําท่เี ปน็ คาํ ไทยด้ังเดิม คาํ ทีม่ าจากภาษาต฽างประเทศ คําศัพท์ เฉพาะทางวิชาการคําที่ใช฾เฉพาะในภาษาพูด คําชนิดต฽าง ๆ เหล฽านี้มีช่ือเรียกตามลักษณะและ แบบสร฾างของคํา เช฽น คํามูล คําประสม คําสมาส คําสนธิ คําพ฾องรูป คําพ฾องเสียง คําเหล฽านี้มีลักษณะ พิเศษเฉพาะ ผ฾ูเรียนจะเข฾าใจลักษณะแตกต฽างของคําเหล฽าน้ีได฾จากแบบสร฾างของคํา ความหมายและแบบสรา้ งของคาชนดิ ต่าง ๆ คามลู คํามูล คือ คํา ๆ เดียวที่มิได฾ประสมกับคําอื่น อาจมี 1 พยางค์ หรือหลายพยางค์ก็ได฾แต฽ เ฽ มื่อแยกพยางค์แล฾วแต฽ละพยางค์ไม฽มีความหมาย คําภาษาไทยท่ีใช฾มาแต฽เดิมส฽วนใหญ฽ เป็นคํามูลที่มี พยางคเ์ ดียวโดด ๆ เชน฽ พอ฽ แม฽ กิน เดิน คาประสม คอื คําทีส่ รา฾ งข้นึ ใหมโ฽ ดยนําคาํ มลู ตง้ั แต฽ ๒ คาํ ข้นึ ไปมาประสมกัน เกิดเป็นคาํ ใหมข฽ ึ้นอีก คาํ หนึง่ 1. เกดิ ความหมายใหม฽ 2. ความหมายคงเดิม 3. ความหมายให฾กระชบั ขน้ึ ชนิดของคาประสม การนาํ คาํ มูลมาประสมกัน เพอ่ื ใหเ฾ กิดคาํ ใหม฽ขึ้นเรยี กว฽า “คาํ ประสม” น้นั มวี ิธสี รา฾ งคาํ ตามแบบ สร฾าง อยู฽ 5 วธิ ดี ฾วยกัน คอื 1. คาํ ประสมทีเ่ กิดจากคํามูลท่มี ีรปู เสยี ง และความหมายต฽างกัน เมื่อประสมกันเกดิ เปน็ ความหมายใหม฽ ไม฽ตรงกบั ความหมายเดิม คาํ ประสมชนิดนม้ี ีมากมาย เช฽น แมค฽ รัว ลูกเรือ พ฽อตา มือลิง ลกู นา้ํ ลูกนอ฾ ง ปากกา 2. คําประสมท่ีเกิดจากคํามลู ท่ีมรี ปู เสียง และความหมายต฽างกัน เมื่อประสมกนั แลว฾ เกดิ ความหมายใหม฽แตย฽ ังคงรักษาความหมายของคําเดมิ แต฽ละคําได฾

172 3. คําประสมทีเ่ กิดจากคํามูลท่มี รี ปู เสยี ง ความหมายเหมอื นกนั เม่ือประสมแล฾วเกิดความหมายต฽าง จากความหมายเดมิ เลก็ น฾อย อาจมคี วามหมายทางเพม่ิ ขึ้นหรือลดลงก็ได฾การเขียนคําประสมแบบนี้จะใช฾ ไมย฾ มก (ๆ) เตมิ ข฾างหลงั 4. คําประสมที่เกิดจากคํามูลที่มีรูปและเสียงต฽างกัน แต฽มีความหมายเหมือนกัน เมื่อนํา มาประสมกนั แล฾วความหมายไมเ฽ ปลย่ี นไปจากเดิม เช฽น 5. คําประสมท่ีเกดิ จากคํามูลทีม่ ีรูป เสยี ง และความหมายตา฽ งกนั เมื่อนาํ มาประสมจะตดั พยางค์ หรอื ย฽นพยางค์ใหส฾ ้ันเข฾า คาสมาส คําสมาสเป็นวิธีสร฾างคําในภาษาบาลีและสันสกฤต โดยนําคําต้ังแต฽ 2 คําขึ้นไปมาประกอบกัน คล฾ายคําประสม แต฽คําที่นํามาประกอบแบบคําสมาสน้ัน นํามาประกอบหน฾าศัพท์ การแปลคําสมาส จงึ แปลจากขา฾ งหลังมาข฾างหนา฾ การนําคาํ มาสมาสกัน อาจเป็นคาํ บาลสี มาสกบั บาลี สนั สกฤตสมาสกับสันสกฤต หรือบาลีสมาส กบั สันสกฤตก็ได฾ ในบางคร้ัง คําประสมที่เกิดจากคําไทยประสมกับคําบาลีหรือคําสันสกฤตบางคํา มีลักษณะ คล฾ายคําสมาสเพราะแปลจากข฾างหลังมาข฾างหน฾า เช฽น ราชวัง แปลว฽า วังของพระราชา อาจจัดว฽าเป็น คาํ สมาสได฾ ส฽วนคําประสมที่มีความหมายจากข฾างหน฾าไปข฾างหลังและมิได฾ทําให฾ ความหมาย ผิดแผกแม฾ คาํ นัน้ ประสมกบั คําบาลีหรอื สันสกฤตก็ถอื ว฽าเป็นคําประสม เช฽น มูลค฽า ทรพั ย์สนิ เป็นตน฾ การเรียงคาตามแบบสรา้ งของคาสมาส 1. ถา฾ เปน็ คาํ ที่มาจากบาลีและสันสกฤต ใหเ฾ รียงบทขยายไว฾ขา฾ งหน฾า เชน฽ อทุ กภยั หมายถึง ภยั จากนา้ํ อายขุ ยั หมายถงึ ส้นิ อายุ 2. ถา฾ พยางคท์ ฾ายของคําหนา฾ ประวสิ รรชนยี ์ ใหต฾ ัดวิสรรชนียอ์ อก เชน฽ ธุระ สมาสกบั กิจ เป็น ธรุ กจิ พละ สมาสกบั ศกึ ษา เปน็ พลศกึ ษา 3. ถ฾าพยางค์ทา฾ ยของคาํ หน฾ามตี วั การันตใ์ หต฾ ัดการตั น์ออกเมื่อเขา฾ สมาส เชน฽ ทัศน์ สมาสกับ ศึกษา เป็น ทศั นศกึ ษา แพทย์ สมาสกับ สมาคม เป็น แพทยสมาคม 4. ถ฾าคําซํา้ ความ โดยคาํ หนึ่งไขความอีกคําหน่ึง ไม฽มวี ิธเี รียงคาํ ทแ่ี นน฽ อน เชน฽ นร (คน) สมาสกบั ชน (คน) เปน็ นรชน (คน) วิถี (ทาง) สมาสกับ ทาง (ทาง) เป็น วถิ ีทาง (ทาง) คช (ช฾าง) สมาสกับ สาร (ช฾าง) เปน็ คชสาร (ช฾าง)

173 การอ่านคาสมาส การอา฽ นคําสมาสมีหลักอย฽ูวา฽ ถ฾าพยางค์ท฾ายของคาํ ลงทา฾ ยด฾วย สระอะ, อิ, อุ เวลาเขา฾ สมาสใหอ฾ ฽านออกเสียง อะ อิ อุ นัน้ เพียงคร่ึงเสยี ง ข้อสังเกต 1. มีคาํ ไทยบางคาํ ทีค่ าํ แรกมาจากภาษาบาลสี นั สกฤต สว฽ นคาํ หลังเปน็ คําไทย คําเหลา฽ น้ี ไดแ฾ ปล ความหมายตามกฎเกณฑ์ของคําสมาส แต฽อ฽านเหมือนกบั วา฽ เป็นคําสมาส ท้งั น้ี เปน็ การอ฽านตามความ นยิ ม 2. โดยปกตกิ ารอา฽ นคาํ ไทยที่มมี ากกวา฽ 1 พยางค์ มักอ฽านตรง แตม฽ ีคาํ ไทยบางคาํ ท่เี ราอ฽านออกเสยี ง ตวั สะกดด฾วย ทงั้ ทเ่ี ปน็ คําไทยมใิ ช฽คาํ สมาส คาสนธิ การสนธิ คือ การเช่ือมเสียงให฾กลมกลืนกันตามหลักไวยกรณ์บาลีสันสกฤต เปน็ การเชอ่ื ม อกั ษรให฾ ต฽อเนอื่ งกนั เพ่ือตัดอักษรใหน฾ ฾อยลง ทาํ ใหค฾ ําพดู สละสลวย นาํ ไปใชป฾ ระโยชนใ์ นการแตง฽ คําประพันธ์ คาํ สนธิ เกดิ จากการเช่อื มคาํ ในภาษาบาลีและสนั สกฤตเท฽าน้ัน ถ฾าคาํ ที่นํามาเช่ือมกัน ไมใ฽ ช฽ภาษา บาลีสันสกฤต ไม฽ถือว฽าเปน็ สนธิ เชน฽ กระยาหาร มาจากคํา กระยา + อาหาร ไม฽ใชส฽ นธิ เพราะ กระยา เป็นคําไทยและถงึ แมว฾ า฽ คําทนี่ ํามารวมกนั แต฽ไม฽ไดเ฾ ชอื่ มกนั เป็นเพียงประสมคาํ เทา฽ นั้น ก็ไมถ฽ ือวา฽ สนธิ แบบสรา฾ งของคาํ สนธิทใี่ ช฾ในภาษาบาลีและสันสกฤต มีอย฽ู 3 ประเภท คือ 1. สระสนธิ 2. พยญั ชนะสนธิ 3. นคิ หิตสนธิ สาํ หรบั การสนธิในภาษาไทย สว฽ นมากจะใชแ฾ บบสร฾างของสระสนธิ แบบสรา้ งของคาสนธิทีใ่ ชใ้ นภาษาไทย 1. สระสนธิ การสนธสิ ระทําได฾ 3 วธิ ี คอื 1.1 ตัดสระพยางคท์ ฾าย แล฾วใชส฾ ระพยางคห์ นา฾ ของคาํ หลงั แทน เชน฽ มหา สนธิกับ อรรณพ เป็น มหรรณพ นร สนธิกับ อนิ ทร์ เป็น นรินทร์ ปรมะ สนธิกบั อินทร์ เป็น ปรมนิ ทร์ รตั นะ สนธกิ ับ อาภรณ์ เป็น รัตนาภรณ์ วชิร สนธิกับ อาวธุ เป็น วชิราวุธ ฤทธิ สนธิกบั อานุภาพ เป็น ฤทธานภุ าพ มกร สนธิกับ อาคม เป็น มกราคม

174 1.2 ตัดสระพยางคท์ ฾ายของคาํ หน฾า แลว฾ ใช฾สระพยางค์หน฾าของคาํ หลงั แต฽เปลีย่ นรูป อะ เป็น อา อิ เป็น เอ อุ เป็น อู หรือ โอ ตัวอยา฽ งเช฽น เปลี่ยนรูป อะ เป็นอา เทศ สนธิกับ อภบิ าล เป็น เทศาภิบาล ราช สนธกิ บั อธิราช เป็น ราชาธริ าช ประชา สนธิกบั อธปิ ไตย เป็น ประชาธปิ ไตย จุฬา สนธิกบั อลงกรณ์ เป็น จุฬาลงกรณ์ เปลีย่ นรปู อิ เป็น เอ นร สนธกิ บั อศิ วร เป็น นเรศวร ปรม สนธิกบั อินทร์ เป็น ปรเมนทร์ คช สนธกิ บั อินทร์ เป็น คเชนทร์ เปลี่ยนรูป อุ เป็น อู หรอื โอ ราช สนธิกบั อุปถมั ภ์ เป็น ราชปู ถัมภ์ สาธารณะ สนธกิ ับ อุปโภค เป็น สาธารณูปโภค วิเทศ สนธกิ ับ อุบาย เป็น วิเทโศบาย สุข สนธิกบั อุทัย เป็น สุโขทัย นย สนธกิ ับ อุบาย เป็น นโยบาย 1.3 เปล่ยี นสระพยางคท์ ฾ายของคาํ หน฾า อิ อี เป็น ย อุ อู เปน็ ว แล฾วใช฾สระ พยางค์หน฾าของ คาํ หลังแทน เช฽น เปลีย่ น อิ อี เป็น ย มต ิ สนธกิ บั อธิบาย เป็น มตั ยาธบิ าย รังสี สนธกิ บั โอภาส เป็น รังสโยภาส, รังสโิ ยภาส สามัคคี สนธกิ บั อาจารย์ เป็น สามัคยาจารย์ เปลี่ยน อุ อู เปน็ ว สนิ ธุ สนธิกับ อานนท์ เป็น สินธวานนท์ จักษุ สนธกิ บั อาพาธ เป็น จกั ษวาพาธ ธนู สนธกิ บั อาคม เป็น ธันวาคม 2. พยญั ชนะสนธิ พยัญชนะสนธิในภาษาไทยมีน฾อย คอื เมือ่ นําคํา 2 คํามาสนธิกัน ถ฾าหากว฽าพยัญชนะ ตัวสุดท฾าย ของคําหนา฾ กบั พยัญชนะตวั หน฾าของคาํ หลังเหมือนกนั ใหต฾ ัดพยัญชนะทเี่ หมือนกนั ออกเสยี ตัวหน่งึ

175 3. นคิ หติ สนธิ นิคหิตสนธิในภาษาไทย ใช฾วิธีเดียวกับวิธีสนธิในภาษาบาลีและสันสกฤต คือ ให฾สังเกต พยัญชนะตัวแรกของคําหลังว฽าอยู฽ในวรรคใด แล฾วแปลงนิคหิตเป็นพยัญชนะตัวสุดท฾ายของวรรคนั้น คาแผลง คําแผลง คือ คําที่สร฾างข้ึนใช฾ในภาษาไทยอีกวิธีหน่ึง โดยเปล่ียนแปลงอักษรท่ีประสมอย฽ูใน คําไทยหรือคําที่มาจากภาษาอ่ืนให฾ผิดไปจากเดิม ด฾วยวิธีตัด เติม หรือเปล่ียนรูป แต฽ยังคงรักษา ความหมายเดมิ หรอื เคา฾ ความเดิมอยู฽ แบบสร้างของการแผลงคา การแผลงคาํ ทําได฾ 3 วธิ ี คอื 1. การแผลงสระ 2. การแผลงพยัญชนะ 3. การแผลงวรรณยกุ ต์ 1. การแผลงสระ เปน็ การเปลยี่ นรปู สระของคาํ น้ัน ๆ ใหเ฾ ป็นสระรปู อนื่ ตวั อยา่ ง คาเดมิ คาแผลง คาเดมิ คาแผลง ชยะ ชัย สายดือ สะดอื โอชะ โอชา สรุ ิยะ สรุ ีย์ วชิระ วิเชยี ร ดริ ัจฉาน เดรจั ฉาน พัชร เพชร พิจติ ร ไพจิตร คะนงึ คํานงึ พีช พชื ครหะ เคราะห์ กีรติ เกียรติ ชวนะ เชาวน์ สคุ นธ์ สวุ คนธ์ สรเสริญ สรรเสริญ ยวุ ชน เยาวชน ทูรเลข โทรเลข สุภา สุวภา 2. การแผลงพยัญชนะ การแผลงพยัญชนะกเ็ ชน฽ เดยี วกบั การแผลงสระ คือ ไม฽มกี ฎเกณฑ์ตายตัวเกดิ จาก ความเจรญิ ของ ภาษา การแผลงพยัญชนะเป็นการเปล่ยี นรปู พยญั ชนะตัวหนง่ึ ให฾เป็นอีกตัวหน่ึง หรอื เพ่มิ พยัญชนะลงไป ใหเ฾ สียงผิดจากเดิม หรือมีพยางค์มากกว฽าเดมิ หรือตัดรปู พยัญชนะ การศึกษาที่มาของถอ฾ ยคําเหลา฽ นีจ้ ะ ช฽วยใหเ฾ ข฾าใจความหมายของคาํ ได฾ถูกต฾อง ตัวอย่าง คาเดิม คาแผลง คาเดมิ คาแผลง กราบ กําราบ บวช ผนวช เกิด กําเนิด ผทม ประทม, บรรเทา

176 ขจาย กาํ จาย เรยี บ ระเบยี บ แข็ง กําแหง, คาํ แหง แสดง สาํ แดง คณู ควณ, คํานวณ, คาํ นูณ พรั่ง สะพรั่ง เจียร จาํ เนยี ร รวยรวย ระรวย เจาะ จาํ เพาะ, เฉพาะ เชญิ อัญเชิญ เฉียง เฉลยี ง, เฉวยี ง เพญ็ บําเพ็ญ ชว฽ ย ชาํ ร฽วย ดาล บันดาล ตรัย ตาํ รบั อัญชลี ชลี, ชลุ ี ถก ถลก อบุ าสกิ า สกี า 3. การแผลงวรรณยุกต์ การแผลงวรรณยุกต์ การแผลงวรรณยกุ ต์เปน็ การเปลีย่ นแปลงรูป หรือเปล่ียนเสียงวรรณยุกต์ เพ่ือใหเ฾ สียงหรอื รปู วรรณยุกตผ์ ิดไปจากเดมิ ตวั อย่าง คาเดมิ คาแผลง คาเดิม คาแผลง เพยี ง เพย้ี ง พทุ โธ พุทโธ฽ เสนหะ เสนห฽ ์ บ บ฽ คาซ้า คําซา้ํ คือ การสร฾างคําดว฾ ยการนาํ คาํ ทีม่ เี สยี ง และความหมายเหมือนกนั มาซาํ้ กนั เพื่อเปลี่ยน แปลง ความหมายของคํานัน้ ใหแ฾ ตกต฽างไปหลายลักษณะ 1. ความหมายคงเดิม คือ คาํ ที่ซํ้ากันจะมคี วามหมายคงเดมิ แต฽อาจจะให฾ความหมายอ฽อนลง หรือไม฽ แน฽ใจจะมีความหมายเท฽ากับความหมายเดิม เช฽น ตอนเย็น ๆ ค฽อยมาใหมน฽ ะ รส฾ู กึ จะอยแู฽ ถว ๆ นล้ี ะ คํา ว฽า เย็น ๆ และ แถว ๆ ดูจะมีความหมาย อ฽อนลง 2. ความหมายเด฽นขึ้น เฉพาะเจาะจงขึ้นกวา฽ ความหมายเดมิ เช฽น สอนเท฽าไหร฽ ๆ กไ็ ม฽จํา พระเอกคน น้ี ลอ฾ หลอ฽ เปน็ ตน฾ 3. ความหมายแยกเป็นส฽วน ๆ แยกจํานวน เช฽น กรณุ าแจกเปน็ คน ๆ ไปนะ จา฽ ยเปน็ งวด ๆ (ทลี ะ งวด) เปน็ ต฾น 4. ความหมายบอกจาํ นวนเพมิ่ ข้นึ เปน็ เด็ก ๆ ชอบวิ่ง เธอทําอะไร ๆ ก็ดดู หี มด เปน็ ต฾น 5. ความหมายผดิ ไปจากเดมิ เชน฽ เร่ืองหมู ๆ แบบนีส้ บายมาก (เรื่องง฽าย) รู฾เพียงงู ๆ ปลา ๆ เท฽านนั้ (รไ฾ู มจ฽ รงิ ) เปน็ ตน฾ คาซอ้ น คําซ฾อน คอื คําประสมชนดิ หนง่ึ ที่เกิดจากการนําเอาคาํ ต้ังแต฽สองคําขึ้นไปซึ่งมเี สยี งตา฽ งกัน แต฽มี ความหมายเหมือนกนั หรือคล฾ายคลึงกันหรอื เปน็ ไปในทาํ นองเดยี วกันมาซ฾อนคู฽ กนั เช฽น เลก็ นอ฾ ยใหญ฽โต

177 เปน็ ตน฾ ปกตคิ าํ ที่นาํ มาซ฾อนกันนัน้ นอกจากจะมีความหมายเหมือนกนั หรือใกล฾เคียงกันแล฾ว มักจะมี เสยี งใกล฾เคยี งกันด฾วย เพื่อให฾ออกเสยี งงา฽ ย สะดวกปาก คําทน่ี ํา มาซ฾อนแลว฾ ทําใหเ฾ กดิ ความหมายน้ันแบ฽งเปน็ 2 ลกั ษณะ คือ 1. ซ้อนคาแล้วมคี วามหมายคงเดิม คาํ ซ฾อนลกั ษณะน้ีจะนําคาํ ทม่ี ีความหมายเหมือนกัน มาซ฾อนกนั เพื่อขยายความซ่ึงกนั และกนั เชน฽ ข฾าทาส รูปรา฽ ง วา฽ งเปล฽า โงเ฽ ขลา เป็นตน฾ 2. ซ้อนคาแลว้ มีความหมายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม 2.1 ความหมายเชิงอุปมา คาํ ซอ฾ นลักษณะนจี้ ะเป็นคําซ฾อนทค่ี ําเดิมมีความหมาย เปน็ รปู แบบ เมอ่ื นํามาซ฾อนกับความหมายของคําซ฾อนนนั้ จะเปล่ียนไปเป็นนามธรรม เช฽น ออ่ นหวาน อ฽อนมคี วามหมายวา฽ ไมแ฽ ขง็ เช฽น ไม฾ออ฽ น หวานมคี วามหมายว฽ารสหวาน เชน฽ ขนมหวาน ออ่ นหวาน มีความหมายว฽าเรยี บรอ฾ ย นา฽ รัก เช฽น เธอช฽างอ฽อนหวานเหลอื เกิน หมายถึง กิริยาอาการ ทีแ่ สดงออกถงึ ความเรยี บร฾อยนา฽ รกั คาอ่นื ๆ เชน฽ คํ้าจุน เดด็ ขาด ย฽งุ ยาก เป็นตน฾ 2.2 ความหมายกว฾างออก คาํ ซ฾อนบางคาํ มีความหมายกว฾างออกไมจ฽ ํากัดเฉพาะ ความหมายเดิม ของคําสองคาํ ท่ีมาซ฾อนกัน เช฽น เจบ็ ไข้ หมายถึง อาการเจ็บปุวยของโรคต฽าง ๆ และคําวา฽ พนี่ ฾อง ถ฾วยชาม ทบุ ตี ฆา฽ ฟัน เปน็ ตน฾ 2.3 ความหมายแคบเขา฾ คาํ ซ฾อนบางคํามีความหมายเดน฽ อย฽ูคําใดคําหน่ึง ซึ่งอาจจะเป็นคําหนา฾ หรอื คาํ หลังก็ได฾ เช฽น ความหมายเด฽นอยูค฽ าํ หนา฾ ใจดาํ หวั หู ปากคอ บ฾าบอคอแตก ความหมายเดน฽ อยคู฽ าํ หลัง หยิบยมื เอร็ดอร่อย น้ําพักนา้ แรง ว฽านอนสอนงา่ ย เปน็ ต฾น ตวั อยา่ งคาซอ้ น 2 คา เชน฽ บ฾านเรือน สวยงาม ขา฾ วของ เงินทอง มดื คํา่ อดทน เกีย่ วข฾อง เยบ็ เจยี๊ บ ทรพั ย์สนิ รปู ภาพ ควบคุม ปอู งกนั ลี้ลบั ซับซ฾อน เป็นต฾น ตัวอยา฽ งคําซ฾อนมากกว฽า 2 คาํ เช฽น ยากดีมีจน เจ็บไขไ฾ ดป฾ ุวย ข฾าวยากหมากแพง เวียนว฽ายตายเกดิ ถกู อกถูกใจ จบั ไม฽ได฾ไล฽ไม฽ทนั ฉกชงิ วิ่งราว เปน็ ต฾น

178 ใบกิจกรรม บทเรียนออนไลนท์ ี่ 4 เรือ่ ง หลักการใช้ภาษา ใหผ฾ ฾เู รยี น ศกึ ษาสื่อวีดโี อเรื่อง วิชาภาษาไทย ภาษาพูด และภาษาเขียน และศึกษาใบความร฾ู เรือ่ งหลกั การใชภ฾ าษา ใหน฾ กั ผู฾เรยี นศกึ ษาสื่อวดี ีโอเร่ือง หลกั การใชภ฾ าษา (PART 1) , หลกั การใชภ฾ าษา (PART 2) และศึกษาใบความร฾ูเรื่องหลกั การใชภ฾ าษา

179 ใบงาน บทเรยี นออนไลน์ที่ 4 เรอ่ื ง หลกั การใช้ภาษา ตอนท่ี 1 การใช้ระดับภาษาทีเ่ ป็นทางการและไมเ่ ป็นทางการ 1. ให฾ผูเ฾ รยี นเขยี นประโยคภาษาทเ่ี ปน็ ทางการ และภาษาไม฽เป็นทางการ อยา฽ งละ 3 ประโยค ภาษาทีเ่ ป็นทางการ 1............................................................................................................................ .................... 2................................................................................................................................................ 3.................................................................................................................. .............................. ภาษาไมเ฽ ปน็ ทางการ 1............................................................................................................................. ................... 2.............................................................................................................. ................................. 3............................................................................................................................ .................... ตอนที่ 2 คาสงั่ ให้ผเู้ รียนเขยี นบอกชนิดของประโยคตอ่ ไปน้ีลงในชอ่ งวา่ ง ( บอกเลา่ , ปฏเิ สธ, คาถาม, คาส่ัง, ขอร้อง, แสดงความต้องการ) 1. คณุ ไม฽อยากไปเรียนตอ฽ เมอื งนอกหรือ ............................................................................................................................. ....... 2. ผมอยากดูเขาเชดิ หนงั ตะลงุ ............................................................................................................................... 3. อยา฽ แตะต฾องสิง่ เสพยต์ ดิ ทกุ ชนดิ ............................................................................................................. ....................... 4. กรุณาเอือ้ เฟ้ือทนี่ ัง่ แกเ฽ ด็ก สตรี และคนชรา ............................................................................................................................. ....... 5. บ฾านของปูาเปน็ แหลง฽ อนรุ กั ษ์ศิลปะหตั กรรมการทําต฿ุกตาไทย ............................................................................................................................. ....... 6. คนรน฽ุ ใหม฽ไม฽สูบบุหรี่ ................................................................................................... ................................. 7. จงอยา฽ ทจุ ริตในการสอบ มฉิ ะนั้นจะปรับตกทุกวชิ า ...................................................................................................................................

180 ตอนที่ 3 เร่ือง การใชค้ าและการสร้างคาในภาษาไทย จงบอกพยางคต์ อ฽ ไปนี้ 1. อนุโมทนา ออกเสยี งว฽า ............................................................ 2. ยถากรรม ออกเสียงว฽า ............................................................. 3. สวรรค์ ออกเสยี งวา฽ ............................................................. 4. พรหมจรรย์ ออกเสยี งวา฽ ............................................................ 5. วิทยาลยั ออกเสียงว฽า ........................................................... 6. พราหมณ์ ออกเสยี งว฽า .......................................................... 7. พิสดาร ออกเสียงวา฽ ............................................................ 8. ถลอก ออกเสียงวา฽ ........................................................... 9. มหัศจรรย์ ออกเสยี งวา฽ ........................................................... 10. ศลิ ปกรรม ออกเสยี งวา฽ .......................................................

181 แบบทดสอบหลงั เรียน บทเรยี นออนไลน์ท่ี 4 เรอื่ ง หลกั การใช้ภาษา คาสัง่ ให฾เลอื กคาํ ตอบทถี่ กู ต฾องท่ีสดุ เพียงคําตอบเดียว 1. คํานาม คอื อะไร ก. คาํ ที่เป็นชื่อของคน สตั ว์ สถานท่ี ส่งิ ของ ข. คาํ ทใ่ี ช฾เรียกคน สตั ว์ สถานท่ี สงิ่ ของ ค. คําทส่ี ร฾างมาจากคาํ กรยิ า โดยใชค฾ ําวา฽ \"การ\" และ \"ความ\" นําหนา฾ ง. คําที่แสดงลักษณะของคําอ่ืนว฽าเป็นอย฽างไรรวมทั้งบอกการกระทําว฽า ทําอะไร 2. ขอ฾ ใดใช฾ลกั ษณะนามผิด ก. ขลย฽ุ – เลา ข. สวงิ – ปาก ค. งาชา฾ ง – งา ง. สักวา - บท 3. ข฾อใดเปน็ อาการนาม ก. การงาน ข. การเมอื ง ค. การกนิ ง. การพาณิชย์ 4. ขอ฾ ใดมีคาํ นามทที่ าํ หนา฾ ทเี่ ป็นนามเรียกขาน ก. ฉันคือนาฬิกาดาํ แล฾ว ข เขาชอบดม่ื นมมากกว฽าสงิ่ อ่นื ค. เขาชอบด่ืมนมมาก ๆ เวลากลางคืน ง. นักเรยี นฟงั ครูอธิบายให฾เข฾าใจก฽อน 5. ประโยคมคี วามหมายตรงตามข฾อใดมากทส่ี ุด ก. คาํ หรอื กลม฽ุ คํา ข. การนํากลมุ฽ คํามาเรยี บเรียงกัน ค. มภี าคประธานและภาคแสดง ง. คําหรือกลุม฽ คําที่นาํ มาเรียงกนั แลว฾ มคี วามหมายสมบูรณ์ ประกอบด฾วยภาคประธานและภาคแสดง 6. ข฾อใดไมม฽ ีคําวิเศษณ์ ก. รานองให฾ข฾อคดิ ในการทํางานแก฽พระเจา฾ แปร ข. ขนมหวานทแ่ี ม฽ซอ้ื มาอรอ฽ ยมากมาก ค. อดตี เขาอาจเกเรแต฽ปจั จุบนั เขาเปน็ คนดี ง. ปใี หม฽นี้จะไปฉลองที่ไหนดี

182 7. ประโยคใดเป็นประโยคความรวม ก. นกั กีฬาทีมชาตไิ ทยม฽งุ ม่ันไปส฽จู ุดหมาย ข. กมลอ฽านหนังสอื สารคดีซึ่งแม฽ซื้อมาให฾ ค. พอพ฽อกลับถึงบ฾านแม฽ก็เตรยี มอาหารเยน็ เสรจ็ แลว฾ ง. นกั แสดงท่ีมีความสามรถยอ฽ มไดร฾ ับการกลา฽ วขาน 8. ขอ฾ ใดเป็นประโยคความเดียว ก.“นกพิราบ” ข. “ฉันกนิ ขา฾ วผดั ” ค. “กระเปา฻ ท่วี างอยู฽บนโซฟาเป็นของพ฽อ” ง. “เขาชอบอา฽ นหนังสือหรอื ชอบเขียนหนังสอื ” 9. ข฾อใดเป็นประโยคความซ฾อน ก. ฉนั ร฾องเพลง ข. ฉันและแมก฽ ินขา฾ ว ค. ฉันชอบบ฾านที่อยู฽ชายทะเล ง. ฉันจะร฾องเพลงแต฽พ่ีจะเตะฟุตบอล 11. อักษรย฽อจะตอ฾ งมเี ครื่องหมายใดกาํ กับอยเู฽ สมอ ก. มหัพภาค ข. จลุ ภาค ค. เสมอภาค ง. วิภชั ภาค 10. ข฾อใดควรใช฾เคร่ืองหมาย “ๆ” ก. ตํารวจไล฽กวดจับผ฾ูร฾ายผร฾ู า฾ ยพยายามหนี ข. ฉันทาํ การบ฾านบ฾านคณุ ยาย ค. ยายนอนนอนอย฽ูกเ็ ผลอหลบั ไป ง. เขาไปดทู ่ีที่ตา฽ งจงั หวดั 11. ข฾อใดใช฾เคร่อื งหมายวรรคตอนถูก ก. (สวัสดคี รับ) ชายคนหนง่ึ พูด ข. อุย฿ ? อะไรเนีย่ ค. เพลง฾ ? อะไรแตก ง. ในนา้ํ มี ปลา,กง฾ุ ,ปู และ หอย 12. ขอ฾ ใดถกู ต฾องที่สดุ เกีย่ วกบั การสะกดคํา ก. การออกเสียงตามพยัญชนะตน฾ และพยัญชนะท฾าย ข. การอ฽านไม฽ออกเสียงสระ ค. การออกเสยี งตามพยัญชนะและสระ ง. การออกเสยี งตามสระและวรรณยกุ ต์

183 13. ข฾อใดกล฽าวถึงคําราชาศพั ท์ถูกต฾องที่สุด ก. ถ฾อยคําท่ีใชก฾ ับพระมหากษัตริย์ ข. ข฾อความท่ีใชก฾ บั พระราชวงศ์ ค. ภาษาทใ่ี ชใ฾ ห฾เหมาะสมกบั ฐานะของบุคคล ง. คําสภุ าพท่ใี ชย฾ กย฽องบุคคลในสงั คม 14. ข฾อใดเปน็ คําราชาศัพท์ทุกคาํ ก. เสน฾ พระเจ฾า ทรงกลด ประพาส ข. พระโขนง พระท่ี พระสาง ค. พระเครื่อง โปรด เสวย ง. เรอื นตน฾ คลุมบรรทม ทรงปืน 15. สาํ นวนหมายความว฽าอย฽างไร ก. ถ฾อยคําทีเ่ รียบเรยี งเป็นข฾อความ หรอื คาํ พดู ที่ชนั้ เชงิ ข. ถ฾อยคําท่ีกล฽าวแนะนาํ สัง่ สอน เตือนสติ ด฾วยหลกั ความจริง ค. เปน็ การกลา฽ วเปรียบเทยี บต฽อเหตุการณ์ที่เกดิ ขน้ึ ง. ขอ฾ ความท่ีคอยเตอื นใจ 16. สุภาษติ หมายความวา฽ อย฽างไร ก. การกล฽าวเปรยี บเทยี บตอ฽ เหตกุ ารณ์ที่เกดิ ขึน้ ข. ข฾อความที่คอยเตือนใจ ค. ถอ฾ ยคําทเ่ี รยี บเรียงเป็นขอ฾ ความ หรือคําพดู ทชี่ ้ันเชิง ง. ถอ฾ ยคําที่กลา฽ วแนะนํา สง่ั สอน เตือนสติ ด฾วยหลกั ความจรงิ 17. คาํ พงั เพยหมายความวา฽ อยา฽ งไร ก. ถอ฾ ยคําทเ่ี รียบเรียงเป็นข฾อความ หรือคาํ พดู ที่ชั้นเชิง ข. ถ฾อยคาํ ทีก่ ล฽าวแนะนํา สั่งสอน เตือนสติ ดว฾ ยหลักความจรงิ ค. การเปรยี บเทียบตอ฽ เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ข้ึน ง. ข฾อความท่ีคอยเตือนใจ 18. ไกไ฽ ดพ฾ ลอย\" หมายถึง ก. เม่อื เกิดความเสยี หายแล฾วจงึ คดิ หาทางปูองกัน ข. เกบ็ เล็กผสมน฾อยจนสาํ เรจ็ ค. ยืนกรานไม฽ยอมรบั ง. ไดส฾ ิง่ ท่ีมคี ฽าแตก฽ ็ไมร฽ ู฾คุณคา฽

184 19. สํานวนใดทส่ี ะท฾อนใหเ฾ ห็นถึงความเป็นอยู฽เก่ียวกบั การทาํ มาหากนิ ก. ของหายตะพายบาป ข. ขนุ ไม฽เช่ือง ค. นํา้ ขนึ้ ใหร฾ บี ตัก ง. เกลือจ้มิ เกลอื 20. ขอ฾ ใดตรงกับประโยชน์จากสาํ นวน สภุ าษิต และคําพังเพยมากท่ีสดุ ก. นําหลกั คําสอนมาประยุกตใ์ ช฾ ข. ทาํ ให฾ทราบความหมายของแตล฽ ะสํานวน ค. ทาํ ให฾เยาวชนประพฤติ ปฏบิ ตั ิตนดีขนึ้ ง. ขดั เกลานิสยั เยาวชนให฾อยูใ฽ นกรอบและระเบยี บมากข้ึน

185 เฉลยแบบทดสอบหลังเรยี น บทเรยี นออนไลน์ท่ี 4 เร่อื ง หลักการใชภ้ าษา 1. ข 2. ง 3. ค 4. ง 5. ง 6. ก 7. ค 8. ข 9. ค 10. ก 11. ก 12. ง 13. ค 14. ง 15. ก 16. ง 17. ค 18. ง 19. ค 20. ก

186 แบบทดสอบก่อนเรยี น บทเรียนออนไลน์ที่ 5 เร่ือง วรรณคดแี ละวรรณกรรม คาสงั่ ให฾เลอื กคําตอบทถ่ี กู ต฾องทส่ี ดุ เพียงคําตอบเดียว 1. ข฾อใดคือความหมายของวรรณคดี ก. หนงั สือดีที่ใชศ฾ ลิ ปะในการแตง฽ สรา฾ งจินตภาพ แสดงความร฾ู ความคิด เป็นภาพแทนสงั คม ข. หนงั สือท่ใี ชส฾ ภาพปจั จุบันในการเลา฽ เร่ืองเปน็ ภาพ และการแสดงออกทางอารมณ์ ค. หนังสือทใ่ี ช฾เรอ่ื งราวในอดตี บอกเล฽าผ฽านเรื่องราวทเ่ี กิดขนึ้ จริงในสังคม ง. หนังสือทใี่ ห฾แงค฽ ิดทเ่ี ป็นการเตอื นใจ บอกเล฽าความเป็นจรงิ ในสังคม 2. ขอ฾ ใดคือหลกั การพนิ จิ วรรณคดแี ละวรรณกรรมจากข฾อความข฾างตน฾ ก. ทําความเขา฾ ใจเร่ือง ข. ตีความ วเิ คราะห์ ค. วิจารณ์ ประเมนิ ค฽า ง. ถูกทุกข฾อ 3. ข฾อใดเป็นวรรณคดี ก. แต฽งขน้ึ เพือ่ ให฾คณุ ค฽าทางอารมณแ์ ละความร฾ูสึก ข. แตง฽ ข้นึ เพ่อื มงุ฽ เนน฾ ความสนุกสนาน ค. แตง฽ ข้ึนเพ่ือแสดงความคิดเหน็ ง. แต฽งขึน้ เพอื่ ม฽ุงเน฾นใหค฾ วามรู฾ 4. ขอ฾ ใดเป็นรสวรรณคดีของไทย ก. โวหารภาพพจน์ ข. โวหารอติพจน์ ค. บุคลาธิฐาน ง. พโิ รธวาธงั 5. เพลงพืน้ บ฾านประเภทใดต฾องใชไ฾ หวพริบ ก. ใช฾ภาษาธรรมดาไม฽มบี าลีสันสกฤตปน ข. สอดแทรกแนวคดิ ชดั เจน ค. สะทอ฾ นสภาพสงั คม ง. เพลงกลอ฽ มเดก็ 6. ขอ฾ ใดคือลกั ษณะเด฽นของเพลงพืน้ บ฾าน ก. ใช฾ภาษาธรรมดาไม฽มีบาลสี ันสกฤตปน ข. เพลงประกอบการละเล฽น ค. เพลงปฏิพากย์ ง. จังหวะอ฽อนน่ิม

187 7. ขอ฾ ใดเป็นเพลงกล฽อมเด็ก ก. มอญซอ฽ นผ฾า ข. รีรีขา฾ วสาร ค. นกขมิน้ ง. ผมเปีย 8. จดุ ประสงคข์ องเพลงกล฽อมเดก็ คือข฾อใด ก. ให฾เกดิ ความสนุกสนานเพลดิ เพลนิ ข. ให฾สบายใจไดน฾ อนหลับ ค. ลอ฾ เลียนให฾เด็กอารมณ์ดี ง. ปลอบให฾หายตกใจ 9. ขาดเสรจ็ เด็ดกนั ในวันน้ี ไม฽มีอาลัยเท฽าปลายก฾อย ถงึ พระอินทรล์ งมากอ็ ย฽าคอย ที่วนั ทองนั้นจะถอย มาคนื ดบี ทร฾อยกรองดังกล฽าวใชศ฾ ลิ ปะการประพันธ์แบบใดอย฽างไรจึงจะเหมาะสมทส่ี ดุ ก. เกรยี้ วกราด ข. เคยี ดแค฾น ค. ประชด ง. ยว่ั ล฾อ 10. ข฾อใดคือคณุ ค฽าทางปัญญาของวรรณคดีและวรรณกรรม ก. เปน็ ประสบการณ์ทางอ฾อมให฾ชวี ิต ข. ประเทอื งอารมณใ์ ห฾อาหารใจ ค. ใหค฾ วามสนกุ สนาน ง. กอ฽ ให฾เกดิ มโนภาพ

188 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน บทเรียนออนไลนท์ ี่ 5 เร่ือง วรรณคดีและวรรณกรรม 1. ก 2. ง 3. ก 4. ง 5. ง 6. ก 7. ค 8. ข 9. ข 10. ก

189 ใบความรู้ บทเรียนออนไลน์ที่ 5 เรื่อง วรรณคดแี ละวรรณกรรม วรรณกรรมท้องถ่นิ 1. ความหมาย วรรณกรรมท้องถ่ิน หมายถึง วรรณกรรมที่ปรากฎอยู฽ในท฾องถ่ินภาคต฽างๆ ของไทย ท้ังท่ีเป็น ลายลักษณ์ หรือมุขปาฐะ ซึ่งแตกต฽างไปจากวรรณกรรมแบบฉบับ เพราะวรรณกรรมท฾องถิ่นน้ันชาว ท฾องถิ่นสร฾างข้ึนมา ชาวท฾องถ่ินใช฾ (อ฽าน,ฟัง)และชาวท฾องถ่ินเป็นผู฾อนุรักษ์ โดยมีวัดเป็น ศูนยก์ ลาง รปู แบบของฉันทลกั ษณจ์ ึงเปน็ ไปตามความนยิ มของท฾องถ่ินน้ัน ๆวรรณกรรมท฾องถิ่นมีเน้ือหา สาระ และคตินิยมเก่ียวกับพุทธศาสนาเป็นส฽วนใหญ฽ เน่ืองจากคนไทยทุกภาพในอดีตมีคตินิยมในการ สรา฾ งหนงั สือถวายวดั โดยเช่ือกันว฽าจะได฾อานิสงส์อย฽างแรง อีกประการหนึ่งวัดก็เป็นสํานักเล฽าเรียนของ กุลบุตร กุลธิดาของประชาชน ฉะนั้นการสร฾างสรรค์วรรณกรรมท฾องถิ่นยังมีส฽วนให฾นักเรียนได฾ฝึกอ฽าน หรอื ทวบทวนนอกเหนอื ไปจากแบบเรียน (จนิ ดามณี ปฐมมาลา ปฐม ก.กา) ซ่ึงส฽วนใหญ฽เป็นวรรณกรรม ประเภทนิทานคตธิ รรม 2. ความเป็นมาของการศกึ ษาวรรณกรรมท้องถน่ิ การศึกษาวรรณกรรมไทยน้ัน เราจะมาเริ่มศึกษากัน เม่ือสมัยรัชกาลที่ 5 กล฽าวคือมีการจัดต้ัง โบราณคดีสโมสรขน้ึ เมื่อ พ.ศ.2450 ในครั้งนั้นได฾รวบรวม ชําระ ซ฽อมแซมวรรณกรรมท่ีกระจัดกระจาย และมีการพิมพ์เผยแพร฽ ซ่ึงเป็นการอนุรักษ์วรรณกรรมโบราณของไทยไว฾ได฾ส฽วนหนึ่ง คณะกรรมการ โบราณคดีสโมสรได฾ศึกษารวบรวมวรรณกรรมที่ท฽านมีประสบการณ์ คือร฾ูจักและเคยอ฽านสมัยเล฽าเรียน ซ่ึงส฽วนใหญ฽เป็นวรรณกรรมที่แพร฽หลายอย฽ูในกล฽ุมชนช้ันนําคือ ขุนนาง นักปราชญ์ ราชบัณฑิต ส฽วนวรรณกรรมท่ี แพร฽หลายอย฽ูในกลุ฽มชาวบ฾าน หรือชาววัด หรือในท฾องถิ่นท่ีห฽างไกล เข฾าใจว฽าท฽านเหล฽านั้นคงยังมิได฾ศึกษา รวบรวม อีกประการหนึง่ ในชั่วระยะเวลาอันส้ันที่จัดตั้งโบราณคดสี โมสรน้ัน ขอ฾ มลู ในส฽วนกลางหรือราช สาํ นกั คงมมี ากเกนิ กวา฽ ทจ่ี ะศกึ ษารวบรวมในระยะเวลาอนั สนั้ ในสมัยรัชกาลที่6 แห฽งกรุงรัตนโกสินทร์ ได฾จัดตั้งวรรณคดีสโมสรข้ึน เมื่อ พ.ศ.2457 คงจะสืบ เนื่องมาจากโบราณคดีสโมสรน่ันเอง คณะกรรมการชุดน้ีได฾พยายามที่จะจัดจําแนกวรรณกรรม โดย พิจารณาว฽าเป็นระยะเวลาใดควรแก฽การยกย฽อง ในสมัยจัดตั้งวรรณคดีสโมสรนั้นเป็นระยะเวลาไม฽นาน นักก็ส้ินสมัยรัชกาลที่ 6 จากน้ันก็ขาดแรงสนับสนุนการศึกษารวบรวมวรรณกรรม จึงอยู฽ในวงจํากัด ยังมิได฾ขยายขอบเขตไปศึกษาวรรณกรรมที่แพร฽หลายอยู฽ในกลุ฽มชาวบ฾าน ชาววัดและวรรณกรรมใน ทอ฾ งถ่ินท่หี า฽ งไกล หลังจากนั้นเป็นต฾นมารวมเวลาประมาณก่ึงศตวรรษ กุลบุตร กุลธิดาชาวไทย ก็ได฾ศึกษาเล฽า เรียนเฉพาะวรรณกรรมที่ได฾ศึกษารวบรวมชําระกันในคร้ังน้ันเท฽าน้ัน ไม฽ปรากฎว฽า ได฾มีการศึกษา ชาํ ระ รวบรวมวรรณกรรมอน่ื ๆ ให฾กวา฾ งขวางตอ฽ ไป วรรณกรรมชาวบา฾ น ชาววดั เหล฽าน้ันจึงถูกทอดท้ิง มาเป็นเวลาเน่ินนาน ต฽อมาเมอ่ื ราว พ.ศ. 2502 สถาบันการศกึ ษาระดับอุดมศึกษาได฾แนวคิดมาจากตะวันตกท่ีนิยม ศึกษาเร่ืองราวทางพื้นบ฾าน และเสนอเป็นวิทยากรในหลักสูตรเรียกช่ือว฽า Folklore จึงนําวิธีการ เหลา฽ นั้นมาจดั เข฾าในหลักสูตรระดับอุดมศึกษา เรยี กชื่อวา฽ \"คตชิ าวบา฾ น\" บ฾าง \"คติชนวทิ ยา\" บา฾ ง

190 จากการศึกษาวิชาสาขาคติชนวิทยานั้น ทําให฾เราทราบถึงแนวคิด คตินิยม ปรัชญาชีวิตของ สังคมในท฾องถนิ่ ต฽างๆ ของไทย ซ่ึงมรี ายละเอียดปลกี ยอ฽ ยตา฽ งไปจากคตินิยม ปรัชญาชีวิตและสังคมของ ภาคกลางเกือบสิ้นเชิง ฉะน้ันจึงมีการศึกษาท่ีลึกซ้ึงลงไปในเอกสารท฾องถิ่นต฽างๆ จึงพบว฽าในเอกสาร ท฾องถิ่นเหล฽านั้น เป็นคลังของแนวคิด ค฽านิยมของสังคมท฾องถ่ิน อันแอบแฝงอย฽ูในรูปนิทานเหล฽าน้ัน ฉะน้ันจึงทําให฾นักวิชาการในสาขาอ่ืนๆ เริ่มตระหนักถึงคุณค฽าความสําคัญของข฾อมูลทางคติชนวิทยา โดยเฉพาะวรรณกรรม ประจวบกับ เม่ือช฽วงปี พ.ศ.2510- พ.ศ.2520 นักศึกษาเริ่มมีปฏิกิริยาต฽อต฾าน การศึกษาวรรณคดี โดยมีทัศนคติต฽อวรรณคดีท่ีอยู฽ในหลักสูตรระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และ อุดมศึกษาน้ัน เป็นวรรณคดีของชนชั้นสูง หรือวรรณกรรมเพ่ือรับใช฾ศักดินา ไม฽ก฽อให฾เกิดแนวคิด สร฾างสรรค์ใดๆ รังแต฽ให฾เกิดความเบ่ือหน฽ายฉะนั้นเม่ือตอนปลายปี พ.ศ.2519 จึงมีการจัดรายวิชา วรรณกรรมท฾องถ่ิน ในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษา ส฽วนระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มีการ เสนอให฾อา฽ นวรรณกรรมท฾องถน่ิ ของภาคต฽างๆ เปน็ หนังสอื อา฽ นประกอบอยบู฽ ฾าง 3. ขอ้ แตกต่างระหวา่ งวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมทอ้ งถิน่ จากการศึกษาวรรณกรรมท฾องถ่ินของภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต฾ และภาคกลางแล฾ว พบว฽า มีรปู แบบตา฽ งไปจากวรรณกรรมแบบฉบับอยมู฽ าก ตามลําดับความใกล฾ชิดกับรัฐบาลกลางหรือราชสํานัก ที่เป็นเช฽นนี้ เพราะว฽าพื้นฐานของสังคม มโนทัศน์ของกวี ตลอดจนบันทึกสภาพสังคมในสมัยท่ีกําเนิด วรรณกรรมน้นั ๆ ตามมโนทัศน์ของกวี วิทย์ ศิวะศรียานนท์ (2504 : 183) กล฽าวว฽ากวีคนเดียวก็เปรียบ เหมือน 3 คน คือ นอกจากเป็นผู฾แต฽งหนังสือแล฾ว ยังเป็นหน฽วยหนึ่งของคนรุ฽นน้ัน และเป็นพลเมืองด฾วย เนื่องจากเหตุน้ี นอกจากจะต฾องสังวรในอาชีพประพันธ์ของตนในฐานะที่เป็นกวี ในฐานะท่ีเป็นหน฽วย หนึง่ ของคนสมยั นั้น ก็ยอ฽ มจะทาํ เอาหูไปนาเอาตาไปไร฽เสียกับเหตุการณ์ที่ตนเห็นตําตาประจักษ์อยู฽แก฽ใจ หาได฾ไม฽ และในฐานะท่ีเป็นพลเมืองอีกเล฽า ก็จะต฾องใส฽ใจเหตุการณ์บ฾านเมือง ความเคลื่อนไหวของ ประเทศชาติ ตลอดจนชนชั้นและอาชีพทีต่ นเป็นหน฽วยหน่ึงอีกดว฾ ย กวีหรือผ฾ูเขียนย฽อมสอดแทรกสภาพของสังคมสมัยน้ันๆ ลงไปในวรรณกรรมท่ีเขาได฾ สร฾างสรรค์ และในฐานะที่เป็นหน฽วยหน่ึงของประชาคมน้ัน ย฽อมจะใส฽ความคิดเห็น มโนทัศน์ของตน ลงไปดว฾ ย แตใ฽ นขณะเดียวกันในบทบาทของกวีหรือนักประพันธ์ จึงเสนอทัศนคติในบทบาทฐานะน้ันอีก ดว฾ ย ฉะนน้ั ปัจจัยดังกลา฽ วข฾างต฾น จึงมีส฽วนสําคัญท่ีแยกรูปแบบของวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรม ท฾องถน่ิ ใหแ฾ ตกต฽างกนั เมอ่ื พจิ ารณารปู แบบของวรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมท฾องถ่ินที่แตกต฽างกันไปน้ัน ทําให฾ เห็นว฽าวรรณกรรมแบบฉบับเป็นวรรณกรรมท่ีแพร฽หลาย และเจริญอย฽ูในราชสํานัก เร่ิมตั้งแต฽กวีผ฾ู สร฾างสรรค์ ซ่ึงเป็นผ฾ูคงแก฽เรียน พื้นฐานการศึกษาสูง และอยู฽ในฐานะเหนือกว฽าทางด฾านสังคม ฉะนั้น คา฽ นิยม สภาวะของสงั คม จนทัศนะทีก่ วสี อดแทรกในวรรณกรรมน้ันจึงเป็นมโนทัศน์ของสังคมชั้นสูง ซึ่ง ต฽างไปจากวรรณกรรมท฾องถ่ินที่กวีเป็นชาวบ฾านธรรมดาหรือภิกษุ และอยู฽ในภาวะของสังคมแบบ ชาวบ฾านโดยท่ัวไป ฉะนั้นค฽านิยม สภาวะของสังคม และทัศนะท่ีกวีสอดแทรกลงไปในวรรณกรรมที่เขา สรา฾ งสรรคน์ ้นั จะเป็นมโนทัศน(์ คาํ บาลี สันสกฤต)หรือบทกวนี พิ นธท์ ี่ซบั ซ฾อน เชน฽ ฉนั ท์ สว฽ นใหญ฽จะใช฾กวี นพิ นธ์ทีน่ ิยมในทอ฾ งถ่นิ นน้ั ๆ

191 4. ประโยชน์ของการศกึ ษาวรรณกรรมท้องถิน่ ข฾อมูลทางคติชนวิทยา เป็นท่ีสนใจของนักศึกษาทางด฾านมานุษยวิทยามาโดยตลอด เพราะ ข฾อมูลเหล฽าน้ีเป็นข฾อมูลเบ้ืองต฾นที่สืบทอดกันมาในประชาคมท฾องถ่ินต฽างๆ ในการวิเคราะห์ข฾อมูล ทางด฾านคติชนน้ันทําให฾นักมานุษยวิทยาสามารถเข฾าใจลักษณะของสังคม ค฽านิยม ปรัชญาชีวิตและ วถิ ที างแห฽งชีวติ ตลอดจนระบบของสังคมของกลมุ฽ ชนน้นั ๆ วรรณกรรมท฾องถิ่นเป็นข฾อมูลสําคัญในข฾อมูล ทั้งหลาย ทางด฾านคติชนวิทยา ที่จะสะท฾อนให฾เห็นสภาวะของประชาคมนั้นๆ เป็นอย฽างดีประโยชน์ใน การศกึ ษาวรรณกรรมท฾องถ่ิน สรุปได฾ 3 ประการ ดงั น้ี 4.1 ประโยชน์ทางด้านวชิ าการ ผ฾ศู ึกษาวรรณกรรมท฾องถนิ่ จะเข฾าใจในสิง่ ตอ฽ ไปน้ี 4.1.1 ปรัชญาชีวิตและสังคมของท฾องถ่ิน อันเป็นพ้ืนฐานของสังคม เช฽น ความเช่ือ คตินิยม จารีตประเพณี เปน็ ตน฾ 4.1.2 การจัดระเบยี บสงั คม หรือการควบคมุ สงั คม อันเป็นพันธกรณีของกล฽ุมชนต฾องประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อความสงบสุขของประชาคมน้ันๆ บทบัญญัติต฽างๆ อันเป็นปทัสฐานของสังคมนั้นได฾ส่ังสอน สืบต฽อกันมาโดยมิได฾มีการจดบันทึกไว฾ แต฽ก็ปรากฎอยู฽ในวรรณกรรมท฾องถ่ินเหล฽าน้ัน ในข฾อน้ีต฾องเข฾าใจ ร฽วมกันว฽า สังคมชนบทในสมัยอดีต กฎหมายของของรัฐบาลกลางมิได฾มีส฽วนเกี่ยวข฾องในการควบคุม สังคมมากนัก แต฽ปรัชญาพุทธศาสนา จารีต ความเชื่อ คตินิยม ซึ่งเป็นที่ยอมรับของประชาคมจะมี บทบาทควบคมุ สังคมอย฽างยิ่ง 4.1.3 ประวัติศาสตร์สังคมของท฾องถ่ิน วรรณกรรมท฾องถิ่นเป็นข฾อมูลสําคัญในการศึกษา ประวตั ศิ าสตรส์ งั คมของท฾องถ่ิน โดยเฉพาะทางด฾านการจัดระบบสังคมการควบคุมสังคมตลอดจนจารีต ประเพณีของสังคมน้นั 4.1.4 ภาษาถิ่น วรรณกรรมท฾องถ่ินโดยเฉพาะวรรณกรรมลายลักษณ์ที่ได฾บันทึกไว฾ต้ังแต฽สมัย อดีตจําเป็นคลังแห฽งคําภาษาถ่ิน ถึงแม฾บางคําจะเลิกใช฾ไปแล฾วในปัจจุบันแต฽ก็ยังปรากฎในเอกสาร วรรณกรรมท฾องถ่ินเหล฽านั้น นอกจากให฾นักภาษาศาสตร์ ยังสามารถเห็นการคลี่คลายของคําภาษาไทย ไดด฾ ีจากเอกสารวรรณกรรมทอ฾ งถิน่ ต฽าง ๆ ของไทย 4.1.5 เปน็ การกา฾ วหนา฾ ทางวิชาการ การตระหนกั ถึงคุณค฽าของวรรณกรรมทอ฾ งถิ่น จนได฾มีการ นํามาจัดอย฽ูในหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา ซ่ึงมีแนวโน฾มในการท่ีจะส฽งเสริมการศึกษารวบรวม ค฾นคว฾าวรรณกรรมท฾องถ่ินเหลา฽ นน้ั ใหก฾ วา฾ งขวางย่งิ ข้ึน อนั เปน็ ปัจจัยสาํ คัญในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม ทอ฾ งถนิ่ ซง่ึ หมายถึงเอกลักษณข์ องชนชาตไิ ทย 4.1.6 เป็นการอนุรกั ษว์ รรณกรรมท฾องถน่ิ ตา฽ ง ๆ ของไทยไม฽ให฾สาปสญู ก฽อนภาวะอันควร 4.2 ประโยชนท์ างด้านปจั เจกบคุ คล 4.2.1 เพื่อให฾นักศึกษาหรือผ฾ูศึกษาวรรณกรรมท฾องถิ่น มีมโนทัศน์อันกว฾าง ยอมรับแนวคิด ปรัชญาชีวติ ของชนทุกชนั้ ทุกท฾องถ่ิน ทุกสังคม 4.2.2 ผู฾ศึกษาวรรณกรรมท฾องถ่ิน จะทราบถึงความเป็นอัจฉริยะของบรรพบุรุษของตน และ ของทอ฾ งถน่ิ อน่ื อีกด฾วย 4.2.3 ยอมรับแนวคิดของชนชาติตา฽ งท฾องถิ่นตา฽ งสังคมและตา฽ งยคุ สมัย 4.2.4 ไดร฾ บั ประสบการณ์ของชวี ิตกว฾างขวางย่งิ ขนึ้ 4.2.5 มโี อกาสไดเ฾ รียนรูภ฾ าษาถิ่น วัฒนธรรมของท฾องถิน่ อน่ื ๆ อกี ด฾วย

192 4.3 ประโยชนท์ างด้านการเมืองการปกครอง 4.3.1 ผูศ฾ กึ ษาวรรณกรรมทอ฾ งถิ่น จะเกิดความรัก ความเข฾าใจ ความภูมิใจในอดีตของท฾องถ่ิน ที่ตนมีภูมลิ ําเนาอยูแ฽ ละท฾องถน่ิ อ่ืน ๆ ของคติด฾วย ซึ่งก฽อใหเ฾ กิดชาตินยิ ม ภมู ใิ จในวัฒนธรรมของชาติ 4.3.2 ผู฾ศึกษาวรรณกรรมท฾องถิ่นจะเกิดความรักความเข฾าใจในท฾องถิ่นของตน ผู฾ศึกษา วรรณกรรมท฾องถิ่น จะตระหนักในคุณค฽า และย฽อมมีความหวงแหนซึ่งจะก฽อให฾เกิดการอนุรักษ์ วรรณกรรมท฾องถ่นิ อีกดว฾ ย 4.3.3 ทาํ ให฾ความเขา฾ ใจอนั ดรี ะหวา฽ งชนในชาติ และยอ฽ มมีความสมานสามคั คีกนั 4.3.4 ก฽อให฾เกิดการพัฒนา ระบบสังคมของชาติย฽อมมีทิศทาง โดยอาศัยระบบสังคมท฾องถิ่น ปรัชญาชีวิตในสังคมท฾องถ่ิน อันเป็นพื้นฐานในการพัฒนาการเปรียบเทียบความแตกต฽างระหว฽าง วรรณกรรมแบบฉบับกับวรรณกรรมท฾องถิ่นมีดงั นี้ วรรณกรรมแบบฉบับ วรรณกรรมท้องถน่ิ 1. ชนชั้นสูง เจ฾านาย ขา฾ ราชสํานกั มีสิทธมิ ีสว฽ น 1. ชาวบา฾ นทั่วไปมีสทิ ธิเป็นเจ฾าของ เปน็ เจ฾าของ - ผ฾ูสร฾างสรรค์ - ผส฾ู ร฾างสรรค์ รวมถึงจดบันทกึ คัดลอก - ผ฾ูใช฾ - ผใู฾ ช฾ (อา฽ น, ฟัง) - ผ฾ูอนรุ ักษ์ - ผู฾อนรุ กั ษ์ - แพรห฽ ลายในหมบู฽ ฾าน - แพร฽หลายในราชสาํ นัก 2. กวีประพันธ์เปน็ นักปราชญ์ ราชบัณฑิต หรือ 2. กวี ผป฾ู ระพนั ธ์ เป็นชาวพื้นบ฾าน หรือ เจ฾านาย ฉะนนั้ ค฽านยิ ม มโนทัศน์ ท่เี หน็ สังคมสมยั พระภิกษุ สรา฾ งสรรค์วรรณกรรมขนึ้ มาด฾วย น้นั จงึ จํากดั อยใ฽ู นรัว้ ในวังหรือมกี ารสอดแทรก ใจรกั มากกว฽า\"บําเรอท฾าวไธ฾ธิราชผูม฾ บี ญุ \" สภาวะของสังคมกเ็ ปน็ แบบมองเหน็ สงั คมแบบ ฉะนั้นมโนทัศนเ์ ก่ียวกบั สภาวะของสังคม เบื้องบน จึงเปน็ สงั คมชาวบ฾านแบบประชาคมท฾องถน่ิ 3. ภาษาและกวีโวหารนยิ มการใช฾คาํ ศัพท์บาลี 3. ภาษาทีใ่ ชเ฾ ปน็ ภาษาง฽าย เรยี บ ๆ มงุ฽ การ สันสกฤต โดยเชอื่ วา฽ เป็นการแสดงภมู ปิ ัญญาของ สื่อความหมายเปน็ สําคัญ ส฽วนใหญ฽เป็น กวแี พรวพราวไปดว฾ ยกวโี วหารทีเ่ ขา฾ ใจยาก ภาษาท฾องถ่นิ นน้ั ละเวน฾ คาํ ศพั ท์ บาลี สนั สกฤต โวหารนิยมสาํ นวนทใี่ ช฾ในท฾องถิ่น 4. เน้ือหาส฽วนใหญ฽ ม฽งุ ในการยอพระเกยี รติ ทงั้ 4. เนื้อหาสว฽ นใหญ฽มุ฽งในทางระบายอารมณ์ ทางตรงและทางอ฾อม แต฽ก็มเี น้ือหาทเี่ ก่ียวกบั การ บนั เทงิ ใจ แตแ฽ ฝงคติธรรมทางพทุ ธศาสนา ผ฽อนคลายทางดา฾ นอารมณ์ และศาสนาอยูไ฽ ม฽น฾อย แมว฾ า฽ ตัวเอกของเรื่องจะเป็นกษตั ริย์ก็ตาม แต฽ มิได฾ม฽ุงยอพระเกียรติมากนกั 5. ค฽านยิ ม อดุ มคติ ยดึ ปรัชญาชวี ติ แบบสงั คม 5. เหมอื นกับวรรณกรรมแบบฉบับ ยกย฽องสถาบัน ชาวพุทธ และยกย฽องสถาบันกษตั ริย์อกี ดว฾ ย กษตั ริย์ แต฽ไม฽เนน฾ มากนัก

193 ใบกิจกรรม บทเรยี นออนไลน์ท่ี 5 เร่อื ง วรรณคดแี ละวรรณกรรม ให฾ผ฾เู รยี นศึกษาวดี ีโอเรื่อง สอนศาสตร์ ม.ต฾น ภาษาไทย พื้นฐานวรรณคดีไทย และใบความร฾ู วรรณคดแี ละวรรณกรรม

194 ใบงาน บทเรยี นออนไลน์ที่ 5 เรื่อง วรรณคดีและวรรณกรรม ตอนท่ี 1 เร่อื ง วรรณคดีและวรรณกรรม 1. ให฾ผเ฾ู รยี นสรปุ ลักษณะของวรรณคดแี ละวรรณกรรมมาพอสังเขป “วรรณคดี” มีลักษณะดงั น้ี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… “วรรณกรรม” มลี ักษณะดังน้ี ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ให฾ผูเ฾ รียนบอกหลกั การและแนวทางการพิจารณาวรรณคดมี าเปน็ ขอ฾ ๆ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. การทผ่ี ฾ูเรยี นจะพนิ ิจคณุ ค฽าวรรณคดแี ละวรรณกรรมมีก่ีประเด็นอะไรบ฾าง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. การทผี่ ูเ฾ รียนพจิ ารณาคณุ คา฽ วรรณคดีด฾านวรรณศิลป฼คือการสรา฾ งความงดงามไพเราะสละสลวยของ ภาษากวี การสรรคําทําได฾อยา฽ งไรบา฾ ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ใหผ฾ ฾ูเรยี นศึกษาสื่อวดี โี อ เรอื่ ง ประวตั คิ วามเปน็ มาและเร่ืองย฽อของวรรณคดสี ภุ าษิตพระร฽วง และ เรอ่ื ง การวิเคราะห์ วรรณคดี วรรณกรรมและบทละคร เร่ือง ประวัตคิ วามเปน็ มาและเรือ่ งย฽อของวรรณคดสี ภุ าษติ พระรว฽ ง

195 เรอื่ งการวิเคราะห์ วรรณคดี วรรณกรรมและบทละคร 5. ให฾ผู฾เรียนเลอื กศึกษาคน฾ คว฾าหนังสอื วรรณคดีทก่ี ําหนดให฾คนละ 1 เร่อื ง แล฾วพจิ ารณาวรรณคดีแต฽ละ เร่ืองในด฾านวรรณกรรมศิลป฼และดา฾ นสังคม เร่ืองที่เลือกศึกษาให฾สาระข฾อคิดในการดาํ เนินชวี ิตอย฽างไร บ฾าง  สามก฿ก  ราชาธิราช  กลอนเสภาขนุ ชา฾ งขุนแผน  กลอนบทละครเร่ืองรามเกยี รต์ิ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………

196 ตอนที่ 2 เรอ่ื ง วรรณกรรมท้องถน่ิ เพลงพนื้ บ้าน เพลงพื้นเมือง ใหผ้ เู้ รยี นตอบคาถามต่อไปน้ีให้ถูกต้อง 6. ให฾ผเู฾ รยี นคดิ ว฽า คาํ วา฽ “เพลงพ้นื บา฾ น” ความหมายวา฽ อย฽างไร ....…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 7. “เพลงพน้ื บ฾าน” มีอะไรบ฾าง และในท฾องถิ่นของผ฾ูเรยี นมีการละเลน฽ พ้นื บ฾านอะไรบ฾าง ....…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………… 8. “เพลงพ้นื บา฾ น” ในชุมชนหรอื ท฾องถ่ินแตล฽ ะภาคมีความเหมือนกนั หรือแตกตา฽ งอยา฽ งไรบา฾ ง ยกตวั อยา฽ งประกอบ ....…………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………… 9. ให฾ผ฾เู รยี นคน฾ ควา฾ บทเพลงกลอ฽ มเด็กทม่ี ีอย฽ูในท฾องถน่ิ ของตน บนั ทึกไว฾พรอ฾ มท้ังแปลความหมายหรอื อธบิ ายคําภาษาถิน่ นนั้ ๆ บทเพลงกล฽อมเดก็ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………

197 แบบทดสอบหลังเรยี น บทเรียนออนไลน์ที่ 5 เร่ือง วรรณคดแี ละวรรณกรรม คาส่งั ใหเ฾ ลอื กคําตอบทถ่ี กู ต฾องทส่ี ดุ เพียงคําตอบเดียว 1. ขอ฾ ใดคือความหมายของวรรณคดี ก. หนงั สือดีทใี่ ชศ฾ ลิ ปะในการแตง฽ สรา฾ งจินตภาพ แสดงความร฾ู ความคิด เป็นภาพแทนสงั คม ข. หนังสือที่ใช฾สภาพปจั จบุ ันในการเลา฽ เร่ืองเปน็ ภาพ และการแสดงออกทางอารมณ์ ค. หนังสือท่ใี ช฾เรือ่ งราวในอดตี บอกเล฽าผ฽านเรื่องราวท่ีเกิดขนึ้ จริงในสังคม ง. หนงั สอื ที่ให฾แงค฽ ิดทีเ่ ป็นการเตอื นใจ บอกเล฽าความเป็นจรงิ ในสังคม 2. ขอ฾ ใดคือหลกั การพนิ จิ วรรณคดแี ละวรรณกรรมจากข฾อความข฾างต฾น ก. ทําความเขา฾ ใจเรื่อง ข. ตคี วาม วิเคราะห์ ค. วจิ ารณ์ ประเมนิ ค฽า ง. ถูกทกุ ขอ฾ 3. ขอ฾ ใดเปน็ วรรณคดี ก. แต฽งข้ึนเพื่อให฾คุณค฽าทางอารมณแ์ ละความร฾ูสึก ข. แต฽งขน้ึ เพอ่ื ม฽งุ เนน฾ ความสนุกสนาน ค. แต฽งขึ้นเพื่อแสดงความคิดเหน็ ง. แต฽งข้นึ เพอ่ื มุ฽งเนน฾ ใหค฾ วามรู฾ 4. ข฾อใดเปน็ รสวรรณคดีของไทย ก. โวหารภาพพจน์ ข. โวหารอตพิ จน์ ค. บคุ ลาธิฐาน ง. พิโรธวาธัง 5. เพลงพ้นื บ฾านประเภทใดต฾องใชไ฾ หวพริบ ก. ใช฾ภาษาธรรมดาไม฽มบี าลีสันสกฤตปน ข. สอดแทรกแนวคดิ ชดั เจน ค. สะทอ฾ งสภาพสังคม ง. เพลงกลอ฽ มเดก็ 6. ข฾อใดคือลักษณะเด฽นของเพลงพืน้ บ฾าน ก. ใชภ฾ าษาธรรมดาไม฽มีบาลสี ันสกฤตปน ข. เพลงประกอบการละเล฽น ค. เพลงปฏพิ ากย์ ง. จงั หวะออ฽ นน่ิม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook