Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การวางโครงการ

การวางโครงการ

Published by lawanwijarn4, 2022-01-03 05:28:32

Description: การวางโครงการ

Search

Read the Text Version

การวางโครงการสง่ เสรมิ สงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษาชุมชน : บูรณาการศาสตร์สูก่ ารปฏิบัติ ผเู้ ขยี น ลาวัณย์ วจิ ารณ์ จานวนหนา้ 205 หน้า ปีทพี่ มิ พ์ 2564 จานวนท่ีพิมพ์ 100 เลม่ พมิ พท์ ี่ โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั รังสติ ถนนพหลโยธนิ เมอื งเอก ปทุมธานี 1200 โทร 0-2997-2200-30 จัดพมิ พแ์ ละเป็นลิขสิทธข์ิ อง ผศ.ดร.ลาวัณย์ วจิ ารณ์ ลาวัณย์ วิจารณ์ การวางโครงการส่งเสรมิ สิ่งแวดล้อมศกึ ษาชุมชน: บรู ณาการ ศาสตร์สกู่ ารปฏิบัติ.- ปทุมธานี : โรงพิมพม์ หาวทิ ยาลัยรังสิต, 2564 205 หนา้ 1.การพิทกั ษ์สิ่งแวดลอ้ ม. 2.ส่งิ แวดลอ้ มศกึ ษา. 3. สังคม วทิ ยาชนบท. I. ช่ือเร่อื ง. 363.7 ISBN 978-616-582-094-3

ก คำนำ ปญั หาสิ่งแวดลอ้ มทีว่ ิกฤตจากอดตี ถึงปัจจุบัน เปน็ ปัจจยั ทที่ าให้เกิดความ ร่วมมือของประชาคมโลก เพ่ือหาแนวทางป้องกัน แก้ไขปัญหาดังกล่าวมาอย่าง ต่อเนื่อง “สิ่งแวดล้อมศึกษา”เป็นเครื่องมือที่นานาชาติเห็นตรงกันว่า คือ ทางออกท่ีจะช่วยลดวิกฤตส่ิงแวดล้อมที่เกิดข้ึน จากความสาคัญของสิ่งแวดล้อม ศึกษา ทาให้มีการวางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาในประเทศไทย แต่จาก การศึกษาข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า การวางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชน ที่ดาเนินมาอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยน้ัน ยังไม่ประสบความสาเร็จ ดังจะเห็น ไดจ้ ากวิกฤตของปญั หาสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยจึงยังคงดาเนนิ อยู่อย่างยากที่ จะแก้ไข จากประสบการณ์การทางานทางด้านส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชน นับจากปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมา ผู้เขียนพบว่า ถึงแม้รูปแบบการวางโครงการส่งเสริม สิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชน มีลาดับขั้นตอนที่ดูแล้ว เหมือนง่ายๆ แต่ว่าต้องอาศัย ความละเอียดอ่อนในการดาเนนิ การแต่ละขั้นตอน จงึ จาเป็นตอ้ งอาศัยการบูรณา การความรจู้ าก 6 ศาสตร์ ซึ่ง แตล่ ะศาสตรน์ ้ัน ผูเ้ ขยี น ได้เลอื กเนือ้ หาสาระเฉพาะ ส่วนท่ีเกี่ยวข้องกับการวางโครงการส่งเสริมส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชน มาบรรจุใน หนงั สอื เลม่ น้ี เนื้อหาสาระจะนาเสนอในลักษณะของความคิดรวบยอด(concept) คือ เนื้อหาข้อเท็จจริงท่ีระบุลักษณะเฉพาะที่สาคัญ (critical attributes)ของ ความคิดรวบยอดนั้น ซึ่งเปน็ ความคดิ ที่ชัดเจน เฉพาะเจาะจง เม่ือกล่าวถึงแล้ว ผู้ ทมี่ ีความคิดรวบยอดในเรือ่ งนนั้ จะมคี วามเข้าใจตรงกัน ศาสตร์ที่นามาบูรณาการน้ันจะก่อให้เกิดเป็นความรู้ความเข้าใจพื้นฐานที่ จะชักนา ช่วยให้ผู้อ่านที่สนใจหรือต้องเก่ียวข้องกับการวางโครงการส่งเสริม สิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชน สามารถนาไปใช้วางโครงการได้ด้วยตนเอง ศาสตร์ ดงั กล่าวมี 6 ศาสตรด์ ว้ ยกนั ประกอบด้วย 1) วิทยาการการศึกษาสิง่ แวดล้อม

ข 2) สงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษา3) การศกึ ษา4) สง่ เสรมิ การเกษตร5) การวจิ ยั และ 6) สังคม วิทยาชนบท การเรียบเรียงหนังสือเล่มน้ี ผู้เขียนพยามยามทาให้ง่ายสาหรับผู้อ่าน ดังน้ันเน้ือหาสาระของเร่ืองต่างๆท่ีปรากฏในหนังสือเล่มน้ี จึงไม่นำเสนอใน รูปแบบวิชำกำร คือ ไม่ได้นำเสนอแนวควำมคิดของนักวิชำกำรที่ไมส่ อดคล้อง กันหรือเห็นพ้องต้องกันแล้วนำมำอภิปรำย..ด้วยผู้เขียนปรารถนาที่จะให้ผู้อ่าน เมื่ออ่านแล้วเข้าใจได้โดยง่าย สามารถใช้เป็นแนวทางในการจัดสิ่งแวดล้อมศึกษา ชุมชนไดจ้ รงิ เนือ้ หาสาระในหนงั สือเล่มน้ี จาแนกออกเป็น 4 สว่ น ส่วนที่ 1 การวางโครงการสง่ เสริมสง่ิ แวดลอ้ มศกึ ษาชมุ ชน ส่วนที่ 2 การสร้างมนุษยสัมพันธ์: หัวใจของการวางโครงการส่งเสริม สงิ่ แวดล้อมศึกษาชุมชน ส่วนท่ี 3 ศาสตร์ 6 สาขา วทิ ยาการการศึกษาสิ่งแวดลอ้ ม สงิ่ แวดล้อมศกึ ษา การศกึ ษา การส่งเสรมิ การเกษตร การวจิ ยั สงั คมวทิ ยาชนบท ส่วนที่ 4 บูรณาการศาสตรส์ กู่ ารปฏิบตั ิ: สาหรบั ผู้วางโครงการ ผู้เขียนขอกราบขอบพระคุณบุรพาจารย์ด้านต่างๆที่ปรากฏอยู่ใน บรรณานุกรมของหนังสือล่มน้ี ซึ่งเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ผ่านงาน เขียนของท่าน จนทาให้ผู้เขียนสามารถนาเนื้อหาความรู้หลากหลายสาขาวิชา มาเชอ่ื มโยงสัมพันธ์ สร้างสรรค์หนงั สือเลม่ น้ไี ดจ้ นเปน็ ผลสาเร็จ ท้ายที่สุดนี้ผู้เขียนขอขอบคุณ คุณแอนจิรา เจริญวงศ์ บุคลากรจาก ภาควิชาวศิ วกรรมสิง่ แวดลอ้ ม วิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั รังสิต และ

ค คุณวราพล เกษมสันต์ บุคลากรจากคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบัน เทคโนโลยีปทุมวัน ผู้ซึ่งเป็นกาลังสาคัญที่ช่วยให้การดาเนินงานโครงการส่งเสริม ส่งิ แวดล้อมศกึ ษาชมุ ชน ประสบความสาเร็จตามวตั ถุประสงคท์ ี่กาหนดไวใ้ นทกุ ๆ โครงการ ลาวณั ย์ วจิ ารณ์ มหาวิทยาลัยรังสิต 2564

ง 1 2 สำรบัญ 5 6 สว่ นที่ 1 การวางโครงการสง่ เสรมิ สิ่งแวดลอ้ มศกึ ษาชมุ ชน 7 ความหมายของโครงการ 11 ความหมายของการวางโครงการ 20 ความหมายของการวางโครงการสง่ เสริมส่ิงแวดลอ้ มศึกษาชมุ ชน 33 รปู แบบการวางโครงการส่งเสรมิ สงิ่ แวดล้อมศกึ ษาชุมชน 34 รปู แบบการวางโครงการแบบ bottom-up approach ตวั อย่างการวางโครงการแบบ bottom- up approach 61 รูปแบบการวางโครงการแบบ top-down approach 63 ตวั อย่างการวางโครงการแบบ top- down approach 66 73 ส่วนท่ี 2 การสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์: หวั ใจของการวางโครงการส่งเสรมิ 76 สิ่งแวดลอ้ มศกึ ษาชมุ ชน 77 78 พรหมวิหาร 4 82 สังคหวตั ถุธรรม 4 93 อิทธบิ าทธรรม 4 103 ขนั ติ – โสรัจจะ 123 เทคนิคชว่ ยสร้างมนุษยสัมพันธ์ 133 ส่วนท่ี 3 ศาสตร์ 6 สาขา 163 ส่วนท่ี 3.1 วทิ ยาการการศึกษาสิ่งแวดล้อม 183 ส่วนที่ 3.2 ส่งิ แวดลอ้ มศกึ ษา 185 สว่ นที่ 3.3 การศกึ ษา 187 ส่วนท่ี 3.4 การสง่ เสริมการเกษตร 189 สว่ นที่ 3.5 การวิจยั ส่วนที่ 3.6 สังคมวิทยาชนบท ส่วนที่ 4 บรู ณาการศาสตรส์ ู่การปฏิบัติ: สาหรับผวู้ างโครงการ วิทยาการการศกึ ษาสงิ่ แวดล้อม ส่ิงแวดลอ้ มศึกษา การศึกษา

จ การส่งเสริมการเกษตร 192 การวจิ ยั 194 สงั คมวทิ ยาชนบท 197 บรรณานุกรม 201



1 ส่วนท่ี 1 การวางโครงการส่งเสรมิ สง่ิ แวดล้อมศึกษาชมุ ชน โครงสร้างเน้อื หาสว่ นที่ 1 ประกอบด้วย ความหมายของโครงการ ความหมายของการวางโครงการ ความหมายของการวางโครงการสง่ เสรมิ สิ่งแวดลอ้ มศกึ ษาชมุ ชน รปู แบบการวางโครงการส่งเสรมิ สิ่งแวดลอ้ มศกึ ษาชุมชน รูปแบบการวางโครงการแบบ bottom-up approach ตัวอย่างการวางโครงการแบบ bottom- up approach รูปแบบการวางโครงการแบบ top-down approach ตวั อยา่ งการวางโครงการแบบ top- down approach

2 ความหมายของโครงการ ได้มีการให้ความหมายของคาว่าโครงการเอาไว้แตกต่างกัน ซึ่งมีทั้งรวบรัด และแบบขยายความ คาว่าโครงการได้มีการนาไปใช้ในการถามสารทุกข์สุกดิบ เช่น “ในช่วงวันหยุดยาวนี้ มีโครงการจะทาอะไรหรือ?” อาจจะมีคาตอบว่า “จะไป พกั ผ่อนชายทะเลภาคใต้ โดยจะน่งั เครือ่ งบินไป จะอยสู่ ัก 2-3 วัน.......และขยายความ ตอ่ วา่ จะทาอะไรบา้ ง......1, 2, 3,…และสุดท้ายสรปุ ว่า สมความต้งั ใจหรอื ไม่ เปน็ ต้น ถ้าศึกษาจากหนังสือวิชาการทางด้านส่งเสริมการเกษตรและการศึกษานอก ระบบ ก็จะพบว่า โครงการน้ัน คือ เร่ืองของความคิด คิดท่ีจะทาในอนาคต แต่มีการ ระบุขั้นตอนของการปฏิบัติกิจกรรมเพ่ือจะบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการตามท่ี กาหนดเอาไว้ กล่าวคือ โครงการนั้นจะมีการกาหนดวิธีทางานที่ค่อนข้างแน่นอนว่า จะทาอะไร มวี ิธปี ฏิบตั ิเป็นขนั้ เปน็ ตอนอยา่ งไร มีระยะเวลาดาเนนิ งานตง้ั แตต่ ้นจนจบ เม่ือเสร็จสิ้นโครงการจะได้อะไรจากผลการปฏิบัติงานและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ หรือไม่ ขั้นตอนต่างๆเหล่าน้ี เป็นการวางโครงการแบบด้ังเดิม หรืออาจพูดได้ว่า เป็นหลกั การเขียนโครงการทีเดยี วโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ สาหรบั หนว่ ยราชการ การวางโครงการมกี ารกาหนดหัวข้อตา่ งๆ มักประกอบดว้ ย 1) ช่อื โครงการ 2) ประเภทโครงการ 3) หน่วยงานรับผิดชอบ 4) ผู้ดาเนินงาน 5) ระยะเวลาของ โครงการ 6) เหตุผลและความจาเป็นในการจดั ทาโครงการ 7) วัตถุประสงค์ 8) เปา้ หมาย 9) แผนปฏบิ ัตงิ าน (รวมการประเมินผล) 10) งบประมาณ 11) อ่นื ๆ เชน่ ทรพั ยากรพวกวสั ดุอปุ กรณ์ กาลงั คน ฯลฯ (บุญธรรม, 2540) จดุ อ่อนอยา่ งยง่ิ ท่ีผู้เขียนวิเคราะหไ์ ดถ้ ึงการเขียนโครงการในลักษณะน้ีท่ีสาคัญ อยา่ งนอ้ ย 3 ประการ 1. การเขียนวัตถปุ ระสงค์ของโครงการ เป็นการเขียนในลกั ษณะวัตถปุ ระสงค์ เชงิ นโยบาย ซ่ึงยากตอ่ การประเมนิ ผล เนอ่ื งจากเปน็ การระบเุ อาไว้อย่างกว้างมาก ไม่ สามารถจะระบตุ วั ชีว้ ดั ความสาเรจ็ ของโครงการตามวตั ถปุ ระสงค์ได้ 2. หวั ข้อการฝึกอบรมน้ัน เขียนเอาไว้อยา่ งกว้างมากเชน่ กนั และไมท่ ราบว่า วิทยากร / ผู้ทรงคุณวุฒิท่ีเป็นผู้นาเสนอ ซ่ึงส่วนใหญ่จะระบุเอาไว้ว่า “บรรยายหัวข้อ เรอ่ื ง” นน้ั จะสอดคล้องหรอื ทาใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ของโครงการหรอื ไมอ่ ย่างไร

3 3. ผลท่คี าดวา่ จะได้รับน้นั เขยี นไว้อยา่ งกว้างมากเชน่ กัน รวมทงั้ อาจจะไม่ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ โดยเขียนเกินไปบ้าง บางโครงการเขียนสั้น มาก ซึง่ สร้างความสับสนอย่างแน่นอนต่อการจะประเมนิ ผลโครงการ จากการศึกษาหนังสือ 1) Project Management: A System Approach to Planning, Scheduling and Controlling (Kerzner,1995) 2) Project Management: A Managerial Approach ( Meredeth และ Mantel, 1995) 3) Project Management: Principles and Practices (Spinner, 1997) และ 4) Practical Project Management ( Ghattas และ Mckee, 2001) ได้กล่าวไว้ ตรงกันวา่ โครงการ คือ กลุ่มของกิจกรรมท้งั หลาย ซึ่งเม่อื บรู ณาการเขา้ ด้วยกนั จะทา ใหบ้ รรลุผลสาเร็จตามท่ีกาหนดไว้ในวตั ถุประสงคข์ องโครงการ เม่ือทาการสังเคราะห์ความคิดเห็นอันหลากหลายของนักวิชาการ จะพบว่า โครงการนัน้ มีลกั ษณะเป็น เค้าโครงของกระบวนการวางแผนในการดาเนนิ กิจกรรม ท้ังหลายและอย่างเป็นข้ันเป็นตอนอย่างเป็นระบบ ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ ของโครงการ อนึ่งคาว่าโครงการนี้ ยังสร้างความสับสนอีกประการหนึ่งว่า ควรใช้คา ภาษาอังกฤษว่า program หรือคาว่า project เพราะมีการใช้ต่างกันในหนังสือ วิชาการหลายเล่ม ในท่ีนี้จะอธิบายโดยยกตัวอย่างจากหนังสือวิชาการทางด้าน ส่งเสริมการเกษตรเพียง 2 เล่มของปรมาจารย์ทางส่งเสริมการเกษตร คือ ศ.ทานอง สิงคาลวณิช และ ศ.ดร.บุญธรรม จิตต์อนันต์ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่าง โดยสงั เขปเทา่ นัน้ ศ.ทานอง สิงคาลวณิช (2514) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ“การเกษตรกับการ พัฒนา” หัวข้อ“แผนงาน” ซึ่งพอสรุปได้ว่า....แผนงานโดยทั่วไปมี 3 ระดับ ได้แก่ ระดับชาติ(national plan) ระดับบริหาร(administrative plan) และระดับ ปฏิบัติการ (operational plan) แผนงานระดับปฏิบัติการนี้ เป็นท่ีรวมของโครงการ ต่างๆ แผนงานหน่ึงๆอาจมีหลายโครงการ (program) แต่ละโครงการก็ย่อมมีหลาย โครงงาน (project)…. ส่วน ศ.ดร.บุญธรรม จิตต์อนันต์ (2540) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “ส่งเสริม การเกษตร” หัวข้อ “การวางแผนและการดาเนินงานส่งเสริม” โดยสรุปได้ว่าแผน

4 (plan )ประกอบด้วย แผนงาน (program) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มโครงการ (projects) ทเ่ี กี่ยวข้องกัน โครงการ (project) หมายถึง เคา้ โครงกิจกรรมการทางานเปน็ ข้ันตอน ท่มี ีการกาหนดวัตถุประสงค์และระยะเวลาทางานแน่ชดั ในท่ีน้ีเพื่อหลีกเล่ียงความสับสน จึงขอใช้คาว่า project เพื่อแปลเป็นคาไทย ว่า โครงการ ด้วยเหตุผลว่ามีความสอดคล้องกับความหมายของ project ในหนังสือ ของนกั วิชาการต่างประเทศทง้ั 4 เล่มขา้ งต้นท่ีมองวา่ project คือ กลมุ่ ของกจิ กรรม ท้ังหลายท่ที าใหบ้ รรลุผลตามวตั ถปุ ระสงค์ของ project น้นั ๆ นัน่ เอง และถ้า project นน้ั ประกอบดว้ ย project อน่ื อกี ก็ให้เรยี กว่า subprojects แปลเป็นไทยว่าโครงการ ย่อย subprojects เหล่านี้จะทาหน้าท่ี (function) ในส่วนของตัว และต้อง ประสานกันกับ การทาหน้าที่ (function) ของ subprojectsอ่ืนๆด้วย เพื่อ ความสาเร็จของ project ใหญ่ ส่วนคาว่า program น้นั จะใหค้ วามหมายว่า หมายถงึ ชดุ ของ projects หรือ กล่มุ ของ projects

5 ความหมายของการวางโครงการ คาว่าการวางโครงการ(project development) น้ี โสภณ ธนะมยั (2550) ได้กล่าวไว้ว่า .....สร้างความสับสนในการทาความเข้าใจ โดยเฉพาะคาว่า“วาง”..... วาง นั้นเป็นคาไทยท่ีเราคุ้นชิน ความหมายว่า “ตั้งไว้”พอมารวมเป็นคาว่า การ วางโครงการ ก็เท่ากับว่า“ต้ังโครงการไว้” ซึ่งยากต่อการจะทาความเข้าใจว่า แล้วจะ ทาอะไรอย่างไรต่อไปหรือ....ท่ีจริงแล้วคาว่า“ตั้ง” มิได้หมายถึง“อยู่นิ่งๆเฉยๆ” ถ้า เราศึกษาพจนานุกรม(2534 ) ก็จะพบคาว่า“วาง” หมายถึง “สร้างให้มีขึ้น ให้เป็น ขน้ึ ”อีกด้วย.... โดยนยั น้ี“การวางโครงการ” จึงหมายถึง “การสร้างโครงการให้มีขึ้น” นัน่ เอง..... นอกจากน้ีคา“development”ก็เช่นเดียวกันท่ีคนไทยคุ้นชินกับคาแปลว่า “การพัฒนา”ทั้งๆที่ยังมีความหมายอื่นอีก ถ้าเราศึกษา Dictionary จะพบคากิริยา ของ “development ว่า“develop”ซ่ึงความหมายหนึ่งของคานี้ ก็คือ “ to make a new idea, plan or product become successful over a period of time.” ดังนั้น“development” ในลักษณะนี้จึงส่ือความหมายถึง“การสร้างข้ึนมาใหม่ใน หว้ งเวลาหนง่ึ ๆ”นน่ั เอง……. จากคากล่าวของโสภณ ธนะมัย ดังกล่าวข้างต้น สามารถประมวลได้ว่า“การ วาง” คือ “การสร้างข้ึนมาใหม่” ดังน้ันการวางโครงการ ก็คือ การสร้างโครงการ ขึ้นมา เช่นเดียวกับคาว่า“การวางแผน”ก็หมายความถึง การสร้างแผนขึ้นมา จะขอ ยกตัวอย่างคาว่า“วางศิลาฤกษ์” ตามพจนานุกรม หมายถึง ทาพิธีเพ่ือเอาฤกษ์ในการ ก่อสร้างอาคารต่างๆ จะเห็นได้ว่า ตามความหมายนี้ สื่อให้ทราบว่าจะมีการสร้าง ขึ้นมา ซ่ึงตอนนยี้ ังไม่ไดส้ ร้างแต่จะสรา้ งข้นึ มาแน่ ถงึ แมค้ าว่าการวางโครงการจะสร้างความสับสนแก่ผู้อา่ น โดยเฉพาะในวินาที แรกทีพ่ บคาวา่ “วาง” แต่สาหรับในทน่ี ีเ้ ต็มใจจะใช้คาน้ี ดว้ ยเหตุผลที่วา่ เปน็ คาไทยซ่ึง นอ้ ยครง้ั ท่ีเราจะพบในหนงั สือทางวิชาการท่ีมักจะใชค้ าศัพท์เปน็ คาสมาส ตัวอยา่ งเช่น คาว่า“ปรัชญา” ก็เป็นคาท่ีมาจากคาภาษาสันสกฤต 2 คา คือ คาว่า“ปร+ชญา” หมายถงึ ความรู้อนั ประเสริฐ เป็นต้น

6 ความหมายของการวางโครงการส่งเสรมิ สิง่ แวดลอ้ มศกึ ษาชุมชน การให้ความหมายของการวางโครงการส่งเสริมสง่ิ แวดลอ้ มศึกษาชุมชน วธิ ี หน่ึงทส่ี ามารถทาได้ กค็ ือ โดยบรู ณาการความหมายของคาวา่ “โครงการ”“ส่งเสรมิ ” “การวางโครงการ” “ส่ิงแวดล้อมศึกษา” และ“ส่งิ แวดล้อมศึกษาชุมชน” เข้าด้วยกัน คาว่าโครงการหมายถึง เค้าโครงของกระบวนการวางแผนในการดาเนิน กจิ กรรมท้ังหลายอย่างเป็นขัน้ เปน็ ตอน เพือ่ ให้บรรลุวัตถุประสงคข์ องโครงการ คาว่าส่งเสริม มาจากคาภาษาอังกฤษว่า extension หมายถึง การขยายผล ให้ถงึ ผู้รับมากข้ึน คาวา่ การวางโครงการหมายถึง การสรา้ งโครงการข้นึ มา คาว่าส่ิงแวดล้อมศึกษา หมายถึง กระบวนการจัดประสบการณ์เพื่อการ เรียนรู้เน้ือหาความรู้ส่ิงแวดล้อม เพื่อให้บุคคล กลุ่มบุคคลเป้าหมายเกิดการเรียนรู้ท่ี จะนาไปสู่การป้องกันและแก้ไขปัญหาสง่ิ แวดล้อม (ลาวัณย์, 2559) ส่วนการให้ความหมายของคาว่า ส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชน มีลักษณะที่ต่าง จากการให้ความหมายของคาว่า การพัฒนาชุมชน “การพัฒนาชุมชน”เป็นคาที่มีความหมายในตวั เอง ไม่ได้มีความหมายตามคา ท่ีมารวมกัน คือ“การพัฒนา”มารวมกับคาว่า“ชุมชน”แล้วหมายถึง การพัฒนาใน ชมุ ชนแต่อย่างใด ส่วนคาว่า“สิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชน” เป็นคาท่ีไม่มีความหมายในตัวเอง หากแตเ่ กิดจากการนาคา 2 คา คือ“สง่ิ แวดลอ้ มศกึ ษา”มารวมกับคาว่า“ชุมชน” แลว้ หมายถงึ ส่ิงแวดลอ้ มศกึ ษาในชุมชน ซึง่ ชมุ ชนในที่น้ีเป็นท้งั กลุม่ คนและเป้าหมายของ ส่ิงแวดล้อมศึกษา ในทีน่ ้ผี ู้เขียนจงึ ให้ความหมายของคาว่า สิง่ แวดลอ้ มศกึ ษาชุมชน วา่ หมายถึง การจัดประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้เรื่อง ปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชน เพื่อให้คนใน ชมุ ชนไดเ้ รยี นรูถ้ งึ การปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาสง่ิ แวดล้อมของชุมชนของตนเอง ดังนั้นเมื่อบูรณาการ 5 คาข้างต้นเข้าด้วยกันแล้ว จึงให้ความหมายของการ วางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชนได้ว่า หมายถึง การสร้างเค้าโครงของ กระบวนการวางแผนอย่างเป็นข้ันเปน็ ตอน เพ่ือขยายผลการจัดประสบการณ์เพ่ือการ

7 เรียนรู้สิ่งแวดล้อม เร่ือง ปัญหาส่ิงแวดล้อมของชุมชน เพ่ือให้คนในชุมชนได้เรียนรู้ถึง การป้องกนั และแก้ไขปัญหาส่งิ แวดล้อมของชมุ ชนของตนได้มากขนึ้ รูปแบบการวางโครงการสง่ เสริมสงิ่ แวดล้อมศึกษาชุมชน โดยหลกั การของส่ิงแวดลอ้ มศึกษา โสภณ ธนะมัย (2550) ได้กลา่ วว่า.... .....การวางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษา เป็นการ วางโครงการทางการศึกษา โดยมีจุดมุ่งหมายหลักเพ่ือ ป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชน โดยต้อง เกิดจากกิจกรรมการศึกษาทท่ี าให้กลุ่มบุคคล (group) ใน ชุมชนน้ันได้รับประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้ (learning experience) ในด้านความรู้(cognitive domain) ด้าน ทักษะ(psychomotor domain) ด้านเจตคติ(affective domain) จากประสบการณ์ของผู้เขียนในการจัดกิจกรรมส่ิงแวดล้อมศึกษากับชุมชน หลากหลายกิจกรรมในจังหวัดปทุมธานี ผู้เขียนพบว่า เมื่อพิจารณาถึงความแตกต่าง ของกิจกรรมเหล่านั้น สามารถจาแนกออกเป็นโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษา ชุมชนไดใ้ น 2 ลักษณะ ไดแ้ ก่ ลกั ษณะท่ี 1 เป็นโครงการทเ่ี ริม่ จากผูว้ างโครงการ (ผูเ้ ขียน)ร่วมกบั ชมุ ชน โดย ยึดหลัก community approach คือ ยึดประชาชนเป็นหลักใน การวินิจฉัย สภาวการณ์ปัญหาส่ิงแวดล้อมของชุมชน ค้นหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา สิ่งแวดล้อมของชุมชน และกาหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะถ่ายทอดความรู้เพ่ือนาไปสู่การ ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปญั หาสิ่งแวดล้อมของชุมชน จากนั้นผู้วางโครงการ จึงนาข้อมลู ท่ีได้ ใชเ้ ปน็ แนวทางในการกาหนดข้นั ตอนการวางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดลอ้ มศกึ ษาชุมชน ซึ่งโครงการที่เกิดข้ึนในลักษณะน้ี ผู้เขียนเรียกช่ือว่า โครงการจากล่างข้ึนบน (bottom-up approach)

8 โครงการลักษณะน้ีมีจุดอ่อน คือ ปัญหาส่ิงแวดล้อมของชุมชนมีหลากหลาย ปัญหา เมื่อผู้วางโครงการเป็นผู้คัดเลือกปัญหามาดาเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหา ให้สอดคล้องกับศักยภาพของชุมชน ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะไม่ตรงกับความต้องการ ของชมุ ชน ลักษณะที่ 2 เป็นโครงการที่ผู้วางโครงการ (ผู้เขียน) เป็นผู้ริเร่ิมวางโครงการ ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชนท่ีสอดคล้องกับสภาวการณ์ปัญหาท่ีชุมชนประสบอยู่ โดยผู้วางโครงการยึดหลัก academic approach คือ ยึดวิชาการเป็นหลักในการ กาหนดองค์ความรู้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชนน้ัน และผู้ วางโครงการได้กาหนดกลุ่มเป้าหมายไว้ชัดเจน ซึ่งโครงการลักษณะน้ีผู้เขียนเรียกช่ือ วา่ โครงการจากบนลงลา่ ง (top-down approach) โครงการลักษณะนี้มีจุดอ่อน คือ การป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของ ชุมชนอาจไม่ถูกจุด ไม่ตรงกับความประสงค์ของชุมชน หรือไม่เข้าใจปัญหาที่แท้จริง ของชุมชน ซง่ึ ชุมชนกอ็ าจไมใ่ หก้ ารสนับสนนุ การกาหนดกลุ่มเป้าหมาย จากประสบการณ์ของผู้เขียนได้พบว่า ....การจะ ให้ชุมชนยอมรับวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชนน้ัน การจัด ประสบการณ์เพ่ือการเรียนรู้ (learning experience: L.E.) 1จะต้องจัดกับกลมุ่ บุคคล และกลุม่ บคุ คลทเี่ หมาะสมท่สี ุด คือ กลุ่มเยาวชนทอี่ ยู่ในช้ันเรียนและนอกชัน้ เรียนใน สถานศึกษา ซ่ึงก็คือโรงเรียนที่เปน็ “สถาบนั สังคมทางการศึกษา” ท่ตี ง้ั อยูใ่ นชุมชนน้ัน น่นั เอง ส่วนความหมายของชุมชนน้ัน ในที่น้ีจะมุ่งไปที่ชุมชนซึ่งมีโรงเรียนต้ังอยู่ใน สภาพภูมิศาสตร์ของพื้นท่ีที่คล้ายคลึงกัน คือ เป็นชุมชนท่ีตั้งอยู่ตามแนวยาวของ แม่น้าเจ้าพระยาและลาคลอง จากประสบการณ์ของผู้เขียนในการจัดกิจกรรม สง่ิ แวดล้อมศึกษาชุมชน จังหวัดปทมุ ธานี ผเู้ ขยี นเลือกชมุ ชนบ้านคลองรังสติ ชมุ ชน วัดรังสิต ชุมชนโรงเรียนวัดดาวเรือง และชุมชนโรงเรียนวัดถั่วทอง เป็นพื้นท่ีศึกษา 1 รายละเอยี ดดสู ่วนที่ 3 ศาสตรท์ างการศกึ ษา

9 ทดลองรูปแบบการวางโครงการส่งเสริมส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชนของผู้เขียน โดย มุ่งหวังให้เยาวชนท่ีอยู่ในโรงเรียนของชุมชนน้ันๆ ได้ถ่ายทอดความรู้ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมของชมุ ชน ขยายผลไปถึงครอบครัวและชุมชนของตนใน ทา้ ยทสี่ ดุ ภาพ ทต่ี ้ังชุมชนวัดรังสิต ต.หลักหก อ.เมอื ง จงั หวัดปทุมธานี ทีต่ ั้งชุมชนโรงเรยี นวดั ดาวเรอื ง ต.บางพูด อ.เมือง จ.ปทมุ ธานี ทตี่ งั้ ชุมชนโรงเรียนวดั ถวั่ ทอง ต.บ้านปทุม อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ที่ต้ังชุมชนบา้ นคลองรงั สติ ต.หลักหก อ.เมอื ง จ.ปทมุ ธานี

10 รูปแบบการวางโครงการส่งเสริมส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชนท่ีจะนาเสนอต่อไปนี้ เป็นรูปแบบที่ได้จากประสบการณ์ ซ่ึงผู้เขียนได้ลงมือทาด้วยตนเอง (hands-on approach ) ในการเป็นผวู้ างโครงการฯ รปู แบบดังกลา่ ว จาแนกออกตามลกั ษณะ ได้แก่ 1.รปู แบบการวางโครงการแบบ bottom-up approach 2.รูปแบบการวางโครงการแบบ top-down approach ทั้ง 2 รูปแบบน้ัน ในส่วนแรกจะนาเสนอข้ันตอนของการวางโครงการฯ แล้ว จึงแสดงตัวอยา่ งจรงิ ท่ีทาโครงการฯกับชมุ ชน ดังนี้ 1.รูปแบบการวางโครงการแบบ bottom-up approach ตัวอย่างได้แก่ โครงการส่งเสรมิ สงิ่ แวดลอ้ มศกึ ษาชมุ ชน: ชุมชนบ้านคลองรงั สิต (พ.ศ.2554-2555) 2.รูปแบบการวางโครงการแบบ top-down approach ตวั อย่างได้แก่ 2.1 การวางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชน: ชุมชนโรงเรียนวัด ดาวเรือง เร่อื ง การตรวจวัดออกซิเจนละลายน้าโดยใช้ DO test kit (8 ตลุ าคม 2558) 2.2 การวางโครงการสง่ เสรมิ ส่งิ แวดล้อมศึกษาชมุ ชน: ชุมชนวดั รังสติ เรอ่ื ง การลดพน้ื ท่จี ดั เก็บขยะขวดพลาสตกิ ของชมุ ชน (14 กันยายน 2562) 2.3 การวางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชน: ชุมชนโรงเรียนวัด ถ่วั ทอง เร่อื ง ตน้ ไมเ้ พ่ือชวี ติ (6 มีนาคม 2563)

11 รปู แบบการวางโครงการแบบ bottom-up approach การวางโครงการส่งเสรมิ สิ่งแวดล้อมศกึ ษาชมุ ชนนี้ ผเู้ ขียน (ผูว้ างโครงการ) ได้ กาหนดขัน้ ตอนขน้ึ โดยแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ข้ันตอนแรกยึดหลัก what to teach?: รู้จริงในตัวปัญหาและแนวทางการ ปอ้ งกันและแก้ไขปญั หา ซึง่ กค็ ือ วนิ จิ ฉยั สภาวการณป์ ัญหาส่ิงแวดล้อมของชุมชน ขั้นตอนที่ 2 น้ันยึดหลัก how to teach?: รู้วิธีการถ่ายทอดความรู้ ซึ่งก็คือ การจดั L.E.การป้องกันและแกไ้ ขปญั หาสงิ่ แวดลอ้ มของชมุ ชน ส่วนขั้นตอนที่ 3 น้ันยึดหลัก how to accomplish?: รู้ว่าการถ่ายทอดนั้น จะ บรรลุความสาเรจ็ หรือไม่ ซงึ่ กค็ อื การทดสอบประสทิ ธภิ าพ L.E. น่ันเอง ขั้นตอนท่ี 1 วินจิ ฉัยสภาวการณ์ปญั หาสิง่ แวดลอ้ มของชุมชน ประกอบดว้ ย 1.1 สร้างความสัมพนั ธก์ บั ชุมชน 1.2 ค้นหาผู้ให้ขอ้ มลู สาคญั 1.3 ค้นหาสภาวการณป์ ัญหาส่ิงแวดล้อมร่วมกับชุมชน 1.4 ค้นหาแนวทางการป้องกนั และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชน 1.5 ค้นหาเนื้อหาความรกู้ ารปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาส่งิ แวดลอ้ มของชมุ ชน ขนั้ ตอนท่ี 2 จดั ทาตาราง L.E. เรื่อง การปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาส่งิ แวดลอ้ ม ของชมุ ชนตามองค์ประกอบของ L.E. 2.1 กาหนดเน้อื หาความรู้ 2.2 กาหนดวัตถปุ ระสงคก์ ารสอน 2.3 กาหนดวตั ถุประสงค์เชิงพฤตกิ รรม 2.4 กาหนดกจิ กรรมการเรียนรู้ 2.5 กาหนดสือ่ ชว่ ยสอน 2.6 ประเมนิ ผล ขัน้ ตอนที่ 3 ทดสอบประสิทธภิ าพ L.E. ต่อไปนจี้ ะขอขยายความแตล่ ะขน้ั ตอนไปตามลาดับโดยสังเขป ดังน้ี

12 ข้ันตอนท่ี 1 วินิจฉยั สภาวการณป์ ัญหาส่ิงแวดล้อมของชมุ ชน 1.1 สร้างความสมั พันธ์กบั ชุมชน จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้รับในการทาวิจัยเพ่ือเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญา เอก ซึ่งผู้เขียนต้องเข้าชุมชนบ้านศาลาแดงเหนือ ตาบลเชียงรากน้อย อาเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี โดยเริ่มจากที่ผู้เขียนได้แนะนาตัวกบั ชุมชนอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะ กับผู้นาชุมชนท้ังท่ีเป็นผู้นาทางการและไม่เป็นทางการ รวมทั้งผู้อาวุโส และบุคคลท่ี ประชาชนให้ความนับถือ โดยการแนะนาว่า เป็นใคร/มาจากไหน/มาทาอะไร/จะนา ผลที่ได้ไปใช้ประโยชน์อะไร ส่ิง ที่ผู้เขียนสังเกตพบก็คือ ชุมชน ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูล เบอ้ื งต้นไมค่ รบถว้ น ภาพ (a) การเข้าพบผู้นาไม่เป็นทางการของชุมชน (ลุงอ๊อด ดอกพิกุล) เพื่อแนะนา ตัวและฟังคาอธิบายกลไกการทางานของภูมิปัญญาการบาบัดน้าเสียท่ีลุงอ๊อด ดอก พิกุล พัฒนาขึ้น และ (b) การเข้าพบเจา้ อาวาสวัดศาลาแดงเหนือเพือ่ แนะนาตวั อย่างไรกต็ าม ผลจากการเข้าชมุ ชนอย่างตอ่ เนือ่ ง ผู้เขยี นได้สังเกตวา่ หลงั จาก ได้สร้างมนุษยสัมพันธ์กับชุมชน จนได้รับความไว้เน้ือเช่ือใจมากข้ึน โดยที่เขามี ความรู้สึกว่า ผู้เขียนมีสถานะเป็น“คนใน”ไม่ใช่“คน นอก”ทาให้ผู้เขียนได้รับข้อมูลเชิงลึกต่อการทาวิจัยใน ครั้งนั้น อีกตัวอย่างหนึ่ง คือ การสร้างความสัมพันธ์กับ ชุมชนบ้านคลองรังสิต ผู้เขียนเร่ิมต้นจากนานักศึกษาจัด กิจกรรมชุมชนสัมพันธ์กับสมาชิกของชุมชนบ้านคลอง รังสิต เพื่อแนะนาตัวและร่วมกิจกรรมต่างๆกับชุมชน อย่างตอ่ เนื่อง ภาพ การจัดกิจกรรมชุมชนสัมพันธ์ เพ่ือทาความรู้จักกับสมาชิกของชุมชนบ้าน คลองรังสิต ตาบลหลกั หก อาเภอเมือง จงั หวดั ปทมุ ธานี

13 สาหรับองค์ความรู้ที่ช่วยสร้างมนุษยสัมพันธ์น้ัน ผู้เขียนได้ใช้หลักธรรมทาง พุทธศาสนา2 ได้แก่ พรหมวิหาร 4 สังคหวัตถุ 4 อิทธิบาท 4 ขันติ – โสรัจจะ รวมท้ังเทคนิคที่จะช่วยในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ในวันแรกของการเข้าชุมชนของ สภุ างค์ จันทวานชิ (2546)3 1.2 ค้นหาผใู้ ห้ข้อมูลสาคัญ การคน้ หาผู้ใหข้ อ้ มลู สาคัญ (key informants) ใช้ snowball technique ( สโนว์บอลเทคนิค / เทคนิคลูกบอลหิมะ) ซึ่งเป็นวิธีการเลือกกลุ่มผู้เชี่ยวชาญโดย อาศัยการแนะนาของผเู้ ชี่ยวชาญคนก่อนหนา้ ทไ่ี ดเ้ กบ็ ขอ้ มูลไปก่อนแลว้ เกณฑ4์ คัดเลอื ก key informants (ลาวัณย,์ 2552) ไดแ้ ก่ 1. เป็นผู้ท่ีอยู่อาศัยในชุมชนไม่น้อยกว่า 10 ปี ซึ่งเห็นการเปล่ียนแปลง สง่ิ แวดลอ้ มของชุมชนมาอย่างต่อเน่อื ง 2. เป็นผู้ที่สามารถถ่ายทอดความรู้เก่ียวกับสถานการณ์ สาเหตุ ผลกระทบ ของปัญหาต่อคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน การป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ของชมุ ชนได้ 3. เป็นผูต้ ้องใช้ประโยชนจ์ ากสง่ิ แวดล้อมชุมชน 4. เปน็ ผมู้ ีสว่ นร่วมในการศกึ ษา / ปอ้ งกันและแก้ไขปญั หา วธิ ีการ: ใช้ snowball technique 1.3 คน้ หาสภาวการณป์ ัญหาส่งิ แวดล้อมร่วมกับชุมชน คน้ หาสภาวการณ์ปญั หาสง่ิ แวดล้อมรว่ มกบั ชุมชนจาก key informants ตาม เกณฑก์ าหนดลักษณะของปัญหา 5 ข้อ (สญั ญา, 2546) 1) มคี วามรุนแรงส่งผลกระทบกับคนส่วนใหญ่ของชมุ ชน 2) กอ่ ให้เกดิ ผลกระทบหรอื ความเดอื ดรอ้ นแกค่ นส่วนใหญ่ของชมุ ชน 2 รายละเอียดดสู ว่ นท่ี 2 การสรา้ งมนุษยสัมพนั ธ์ 3 รายละเอียดดสู ว่ นที่ 2 การสรา้ งมนุษยสมั พนั ธ์ 4 เกณฑ์คัดเลือกประยุกตจ์ ากลาวณั ย์ วิจารณ์ (2552)

14 3) คนส่วนใหญ่ของชุมชนเหน็ วา่ ต้องแกไ้ ขอยา่ งเร่งดว่ น 4) เปน็ ตน้ เหตุหรอื สาเหตุทีจ่ ะก่อให้เกดิ ปัญหาอ่ืนในอนาคต 5) มคี วามเปน็ ไปได้ในการปฏิบตั เิ พอื่ แกไ้ ขปัญหา วิธีการ: สารวจพนื้ ทีพ่ รอ้ มทาการสังเกตแบบมีโครงสร้าง5 สภาพปัญหา ส่งิ แวดลอ้ มของชุมชนพรอ้ มบนั ทกึ ภาพและเสียงระหว่างเก็บรวบรวมข้อมลู : สัมภาษณ์ก่ึงโครงสร้างแบบเจาะลึกรายบุคคล6 (individual in- depth interview) กับผอู้ าวโุ สของชมุ ชนทมี่ ีความจาดีและสนใจเรอ่ื งราวของชุมชน : อภิปรายกลุ่มแบบเจาะจง (focus group discussion) 7 กับ key informants โดยผ้เู ขยี นเป็นผู้ดาเนินการประชมุ (moderator) การสังเกตแบบมโี ครงสร้าง ผู้สังเกตเฝ้าดูหรือสัมผัสกับส่ิงที่ตอ้ งการรวบรวม ข้อมูลด้วยตนเองตามลาพัง โดยคนในชุมชนไม่มีส่วนร่วมในกิจกรรมน้ี ผู้สังเกตสร้าง แบบสังเกตเป็นเครื่องมือในการสังเกต 3 ด้าน คือ 1) พฤติกรรมของคนในชุมชนท่ี เกี่ยวข้องกับปัญหาสิ่งแวดล้อมน้ันๆ เช่น น้าเสีย ก็สังเกตพฤติกรรมการระบายน้าทิ้ง จากกิจกรรมตา่ งๆของคนในชมุ ชน เป็นตน้ 2) สงิ่ ของท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั ปัญหานา้ เสยี เช่น ท่อน้าท้ิง (ระบบบาบัดน้าเสีย เป็นต้น) 3) สถานการณ์สิ่งแวดล้อมท่ีเก่ียวข้องกับน้า เสีย เช่น สภาพทางกายภาพ(สี กล่ิน การเปิด-ปิดประตูระบายน้า เป็นต้น) สภาพ ชีวภาพ(พืชน้า สัตว์น้า เป็นต้น) อุปกรณ์การใช้ประโยชน์จากน้า (โอ่งเก็บน้า ท่อสูบ น้าเขา้ บ้าน เป็นต้น) วิถีชีวิตทเ่ี กี่ยวข้องกบั น้า การใช้น้า การสัมภาษณ์ก่ึงโครงสร้างแบบเจาะลึกรายบุคคล เป็นการเก็บรวบรวม ขอ้ มูลจาก key informants ทมี่ ีความรู้ในประเด็นปัญหาน้าเสีย และจากผอู้ าวโุ สของ ชุมชนท่ีมีความจาดีและสนใจเร่ืองราวของชุมชน โดยการซักถามซักไซ้ไล่เรียงติดตาม ประเด็นที่ต้องการ เพ่ือให้ได้รายละเอียดท่ีลึกซ้ึง ด้วยการใช้แบบสัมภาษณ์แบบก่ึง 5 รายละเอียดดูส่วนท่ี 3 ศาสตร์การวจิ ัย สงั เกตแบบมีโครงสร้าง 6 รายละเอยี ดดสู ่วนท่ี 3 ศาสตร์การวิจยั สัมภาษณก์ งึ่ โครงสรา้ ง 7 รายละเอียดดูส่วนที่ 3 ศาสตร์การวิจยั อภิปรายกลมุ่ แบบเจาะจง

15 โครงสร้าง ซ่ึงลักษณะคาถามในการสัมภาษณ์แยกเป็น 1) คาถามหลัก(main question) เป็นการถามตามประเด็นท่ีกาหนดไว้ในวัตถุประสงค์ 2) คาถามซักไซ้ไล่ เรียง (prove) เป็นคาถามเพ่ือให้ผู้ตอบระบุถึงความรู้สึกเกี่ยวกับประเด็นน้ันๆเพ่ือจะ ได้ตอบให้จบประเด็น 3) คาถามติดตาม(follow up) เป็นการซักถามต่อเนื่องขยาย ความนัยสาคัญของสง่ิ ท่ีไดพ้ ดู ไปแลว้ การอภิปรายกลุ่มแบบเจาะจง เป็นการสนทนาซึ่งสมาชิกกลุ่มมีปฏิสัมพันธ์ โต้ตอบกันในเร่ืองที่ยกมาเป็นประเด็นสนทนา โดยมี moderator (ผู้เขียน)เป็น ผดู้ าเนนิ การอภิปราย เชน่ เพื่อหาข้อสรปุ เกี่ยวกบั สถานการณ์น้าเสียในช่วงเวลาต่างๆ ในรอบปี สาเหตุและแหลง่ กาเนดิ การเกิดน้าเสีย แนวทางการจัดการน้าเสียของชุมชน เป็นต้น 1.4 คน้ หาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปญั หาสงิ่ แวดล้อมของชมุ ชน การค้นหาทาโดยเร่ิมจากค้นหา key informants ผู้ให้ข้อมูลแนวทางการ ปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาสง่ิ แวดล้อมของชมุ ชนตามเกณฑ8์ คือ เปน็ ผ้ทู รงคุณวฒุ ิ เปน็ ปราชญ์ชาวบ้านในเน้ือหาความรู้ท่ีเก่ียวกับหรือเกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับตัวปัญหา ส่ิงแวดล้อมของชุมชน โดยสืบค้นจากแหล่งข้อมูลที่สาคัญ เร่ิมต้นจากหน่วยงาน ภาครัฐ / เอกชนที่ทางานด้านสิ่งแวดล้อม สืบค้นจากฐานข้อมูลนักวิจัยด้าน สง่ิ แวดล้อม สืบคน้ จากนกั วชิ าการ / นกั วิจัยทม่ี ีประสบการณ์จากงานวิจัย สืบค้นจาก ฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ (Thailis ) สืบค้นชุมชนที่ประสบความสาเร็จในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาในทานองเดียวกัน สืบค้นจาก website หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อม หรอื สบื ค้นผา่ น you tube เป็นต้น วิธีการ: ใช้snowball technique ค้นหา key informants ผู้ให้ข้อมูลแนว ทางการป้องกนั และแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมตามเกณฑ์ : ใช้ focus group discussion กบั key informants : ใช้ individual in-depth interview เมือ่ ตอ้ งการทราบขอ้ มลู ท่ลี ึกซึง้ 8 เกณฑ์ ประยุกต์จากลาวัณย์ (2552)

16 1.5 คน้ หาเน้ือหาความรู้การปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หาสิง่ แวดลอ้ มของชมุ ชน 1.5.1 ค้นหา key informants ผู้ให้ข้อมูลเนื้อหาความรู้การป้องกันและ แกไ้ ขปญั หาสิง่ แวดลอ้ มของชุมชน เกณฑ์การคัดเลือก: เป็นผู้มีประสบการณ์หรือมีส่วนร่วมในการป้องกัน / แก้ไขสภาพปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชน หรือ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในเนื้อหาความรู้ท่ี เก่ียวกบั สภาวการณป์ ัญหาสิง่ แวดล้อมของชมุ ชน วิธีการ : snowball technique 1.5.2 รวบรวมเนื้อหาความรู้ วิธีการ: individual in-depth interview ผู้ที่ทางานเก่ียวข้องกับการ ป้องกันและแกไ้ ขปญั หาส่งิ แวดลอ้ มของชมุ ชน ภาพ การเข้าพบผู้นาชุมชน ซึ่งเป็น ทสม.(อาสาสมคั รพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ หมู่บา้ น) ทางานเกี่ยวกบั การปอ้ งกนั และแก้ไขปัญหาสิง่ แวดล้อมของชุมชน

17 สรุปข้ันตอนวนิ จิ ฉยั สภาวการณป์ ัญหาส่ิงแวดล้อมของชุมชน ดงั แผนภาพ แผนภาพ สรุปขัน้ ตอนวินิจฉยั สภาวการณป์ ญั หาส่ิงแวดลอ้ มของชุมชน

18 ขั้นตอนที่ 2 จัดทาตาราง L.E. (learning experience: ประสบการณ์เพื่อการ เรยี นรู้)9 เร่ือง(การปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาสิง่ แวดลอ้ มของชมุ ชน) กาหนดเน้อื หาความรู้ กาหนดเนื้อหาความร้ทู ่ไี ดจ้ ากขนั้ ตอนท่ี 1.5 กาหนดวัตถุประสงค์การสอน วัตถุประสงค์การสอน จะต้องสอดคล้องกบั ลักษณะเนื้อหาความรู้ คือ เน้ือหา ภาคความรู้ (knowing element) และเนอื้ หาภาคปฏิบัติ (doing element) กาหนดวัตถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม เป็นข้อความที่ระบุพฤติกรรมของผู้เรียนที่ทาให้สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ตาม วตั ถปุ ระสงคก์ ารสอนได้ กาหนดกจิ กรรมการเรียนรู้ เป็นการจัดสถานการณ์การเรียนรู้ (learning situation: L.S.) ประกอบด้วย กิจกรรมการเรยี นรใู้ นเนื้อหาความรู้ท่ีผสู้ อนสร้างขนึ้ และกจิ กรรมท่ีผเู้ รยี นกระทา กาหนดส่ือช่วยสอน สื่อชว่ ยสอน จะต้องสอดคล้องกับกจิ กรรมการเรียนร้ทู ่ีผเู้ รียนกระทา ประเมินผล เป็นการวัดผลสัมฤทธ์ิในตัวผู้เรียน โดยวัดจากพฤติกรรมของผู้เรียนท่ี เปล่ียนแปลงไปตามวัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม ผลสมั ฤทธ์ใิ นตวั ผเู้ รียน คอื ผลสัมฤทธ์ขิ องโครงการดว้ ย ตาราง L.E. เรือ่ ง (การปอ้ งกันและแก้ไขปัญหาส่งิ แวดลอ้ ม) เนื้อหา วตั ถปุ ระสงค์ วตั ถปุ ระสงค์ สถานการณก์ ารเรียนรู้ สื่อชว่ ย ประเมนิ ผล ความรู้ การสอน เชิง สอน กจิ กรรมการเรยี นรู้ในเนอื้ หา กิจกรรมที่ พฤตกิ รรม ความรทู้ ีผ่ ้สู อนสร้างข้ึน ผู้เรียนกระทา 9 ตาราง L.E. : รายละเอยี ดดูส่วนท่ี 3 ศาสตรก์ ารศึกษา

19 ขน้ั ตอนที่ 3 ทดสอบประสทิ ธิภาพ L.E. การทดสอบประสิทธิภาพ L.E. โดยใช้แบบทดลอง10แบบกลุ่มเดียวมีการ ทดสอบครั้งเดยี ว (one shot case study: OSC ) ลกั ษณะแบบการทดลอง XT สัญลกั ษณ์ X คือ การใหต้ วั แปรทดลอง (การใชต้ าราง L.E.) แกก่ ลุ่มผถู้ ูกทดลอง T คอื การทดสอบกลุ่มผู้ถกู ทดลองหลงั ทาการทดลอง (การทดสอบผลสัมฤทธ์ิการเรียน) วธิ ีการ 1. มีกลมุ่ ผู้ถกู ทดลอง 1 กลุม่ โดยไม่มีการสมุ่ 2. ทาการทดลองหรือใหต้ ัวแปรทดลอง (Treatment) 3. ทาการทดสอบกลุ่มผู้ถูกทดลองหลงั การทาการทดลอง นาค่าคะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนเป็นรายบุคคลที่ได้จากการประเมินผล มา ทดสอบทางสถิตเิ ปรยี บเทยี บกบั เกณฑม์ าตรฐานร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม โดย 1. หาคา่ คะแนนมาตรฐานร้อยละ 80 ของคะแนนเต็มโดยคานวณจากสูตร คะแนนมาตรฐาน = 80 X คะแนนเตม็ 100 2. นาคา่ คะแนนผลสมั ฤทธิก์ ารเรียนของแตล่ ะคนจัดกลุ่มผูเ้ รียน เปน็ 2 กลมุ่ คือ เท่ากับ/สูงกว่าค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐาน และต่ากว่าค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐาน 3. ใช้สถิติทดสอบไคสแควร์ (Chi-square:  2 ) ตดั สนิ วา่ ผู้เรียนทัง้ 2 กล่มุ ได้คะแนนตา่ งกนั อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถติ ิหรือไม่ สตู ร11  2 = ∑ (O−E)2 E ตวั อยา่ งการวางโครงการแบบ bottom-up approach 10 รายละเอียดดูสว่ นที่ 3 ในศาสตรก์ ารวิจัย 11 รายละเอยี ดดูส่วนที่ 3 ในศาสตร์การวจิ ยั

20 เม่ือผู้เขียนได้สร้างรูปแบบการวางโครงการส่งเสริมส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชน ดงั ท่ไี ดน้ าเสนอแล้วน้ัน ผู้เขยี นจึงคิดทดลองโดยใช้ชมุ ชนบ้านคลองรังสติ หมู่ 5 ตาบล หลักหก อาเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี เป็นกรณีตัวอย่างเรียกว่าโครงการส่งเสริม สิง่ แวดลอ้ มศกึ ษาชมุ ชน: ชุมชนบ้านคลองรงั สติ (พ.ศ.2554-2555) โครงการสง่ เสรมิ ส่งิ แวดล้อมศึกษาชมุ ชน: ชุมชนบ้านคลองรังสิต เร่ือง การเฝ้าระวงั คุณภาพนา้ คลองรงั สติ ฯช่วงไหลผา่ นบ้านคลองรงั สติ ชุมชนบ้านคลองรังสิต เป็นชุมชนชานเมือง ต้ังอยู่ริมคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ช่วงไหลผา่ นตาบลหลกั หก อาเภอเมอื ง จงั หวดั ปทมุ ธานี ชุมชนบา้ นคลองรังสติ ภาพ ที่ตั้งชุมชนบ้านคลองรังสิต หมู่ 5 ต.หลกั หก อ.เมือง จ.ปทุมธานี

21 โครงการส่งเสรมิ สิง่ แวดล้อมศึกษาชุมชน: ชุมชนบ้านคลองรังสติ เร่ืองการเฝ้า ระวงั คุณภาพนา้ คลองรังสิตฯ ชว่ งไหลผา่ นชุมชนบา้ นคลองรงั สิต ประกอบด้วย 4 L.E. ไดแ้ ก่ 1. L.E.เรื่อง ลกั ษณะของนา้ เสีย 12 2. L.E เรอื่ ง แหล่งกาเนิดน้าเสีย 3. L.E.เรือ่ ง สาเหตุการเกดิ นา้ เสยี 4. L.E.เร่ือง การกาหนดจุดตรวจวัดคุณภาพน้าคลองรังสิตฯช่วงไหลผ่าน ชุมชนบ้านคลองรงั สิต ขั้นตอนที่ 1 วินิจฉยั สภาวการณป์ ัญหาสง่ิ แวดลอ้ มของชมุ ชน 1.1 สร้างความสัมพนั ธ์กบั ชมุ ชน ในขนั้ ตอนนี้ผเู้ ขยี นมีความคุน้ เคยกับผูน้ าชมุ ชนและประชาชนบางส่วนอยู่แล้ว ด้วยเพราะผู้เขียนได้ใช้ชุมชนบ้านคลองรังสิตเป็นพื้นท่ีทดสอบแบบสัมภาษณ์ในการ ทาวิจยั ของผูเ้ ขียนและก็ยังตดิ ตอ่ สมั พนั ธก์ นั อยู่อย่างสม่าเสมอๆตลอดมา ภาพ การนานักศึกษาเข้าฝึกทักษะการสัมภาษณ์ และทดสอบแบบสัมภาษณ์ใน โครงการบริการวชิ าการของมหาวทิ ยาลยั รงั สิต 12 น้าเสียในท่ีนี้ หมายถึง นา้ ในแหล่งนา้ ทีไ่ ม่สามารถนามาใช้อุปโภคและบรโิ ภคได้ เน่ืองจากมีสี มีกล่ินทไี่ มพ่ ึงประสงค์

22 1.2 ค้นหาผู้ให้ขอ้ มลู สาคัญ (key informants) โดยใช้ snowball technique ค้นหา key informants ตามเกณฑ์คุณสมบัติ ที่กาหนดไว้ ได้ key informants 5 คน ได้แก่ ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน อสม. (อาสาสมคั รสาธารณสขุ ประจาหมูบ่ า้ น) 2 คน และเป็นผู้อาวโุ ส 1 คน 1.3 คน้ หาสภาวการณ์ปัญหาส่ิงแวดลอ้ มร่วมกบั ชมุ ชน 1.3.1 โดยใช้ focus group discussion กบั key informants 5 คน ตาม ข้อ1.2 โดยผเู้ ขียนเป็นผดู้ าเนนิ รายการ (moderator) 1.3.2 โดยใช้ individual in-depth interview กับนักวิชาการหน่วยงาน ภาครัฐท่ีรับผิดชอบด้านส่ิงแวดล้อมในพ้ืนท่ี จังหวัดปทุมธานี 2 คน และผู้อาวุโสของ ชมุ ชน 2 คน 1.3.3 สารวจพื้นทีพ่ ร้อมกับสงั เกตปญั หาส่ิงแวดลอ้ มของชุมชน ผลการค้นหา พบว่า ตัวปัญหาสิ่งแวดล้อมท่ีแท้จริงของชุมชน คือ มลพิษทาง น้าในคลองรังสิตฯ ช่วงไหลผ่านชุมชนบ้านคลองรังสิต ลักษณะน้ามีสภาพเป็นน้าเสีย ต้ังแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนธันวาคม โดยมีสาเหตุแตกต่างกันตามช่วงเวลา ท้ัง สาเหตุท่ีเกดิ จากธรรมชาติและสาเหตุทีเ่ กิดจากมนุษย์ ดงั น้ี น้าเสียช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคมของทุกปี เป็นผลจากการเปิดประตู ระบายน้า(ปตร.) คลองเปรมประชากรฝ่ังเหนือ และประตูระบายน้าจุฬาลงกรณ์ เพ่ือ ระบายน้าเสียและน้าฝนท่ีท่วมขังพ้ืนที่เกษตร ชุมชน และอุตสาหกรรม จากอาเภอ เชียงรากน้อย จังหวัดปทุมธานี และจากอาเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ทาให้น้า เสียจากแหลง่ กาเนดิ เหลา่ น้ีไหลเขา้ สู่คลองรงั สิตฯ ช่วงไหลผา่ นชุมชนบา้ นคลองรงั สิต นอกจากน้ันยังพบว่า การเปิดประตูระบายน้าคลองเปรมฯฝ่ังใต้ เพื่อระบาย น้าเสียและน้าฝนที่ท่วมขังชุมชน หมู่บ้านจัดสรร ตลาด และคลองเช่ือมต่อกับคลอง เปรมฯฝั่งใต้ในพ้นื ท่ีตาบลหลักหกและกรุงเทพมหานคร ทาให้น้าเสียจากแหล่งกาเนดิ เหล่านี้ไหลจากคลองเปรมฯฝ่ังใต้เข้าสู่คลองรังสิตฯ การเปิด-ปิดประตูระบายน้าจึง เป็นแหลง่ กาเนิดนา้ เสียของคลองรังสติ ฯ ช่วงไหลผา่ นชุมชนบ้านคลองรังสติ

23 ส่วนน้าเสียช่วงเดือนกันยายน-ธนั วาคม เป็นผลจากปรากกฎการณ์ธรรมชาติ ได้แก่ ปรากฏการณ์น้าหลาก ปรากฏการณ์น้าทะเลหนุนทาให้คลองรังสิตฯ ช่วงไหล ผ่านชมุ ชนบา้ นคลองรังสติ มสี ภาพเปน็ ทร่ี องรบั น้าหลากซ่งึ มีลักษณะเปน็ นา้ เสียท่ีเกิด จากน้าฝนทท่ี ว่ มขัง อีกทั้งในชว่ งที่นา้ ทะเลหนุนทาให้เกิดสภาพน้านิ่งไมไ่ หลเวียน เปน็ ผลให้น้าในคลองรังสิตฯช่วงไหลผ่านชุมชนบ้านคลองรังสิตในช่วงเวลาดังกล่าวมี สภาพเป็นนา้ เสยี ภาพ ตาแหน่งประตูระบายนา้ คลองเปรมฯฝั่งเหนือ ประตรู ะบายนา้ คลองเปรมฯฝั่งใต้ และประตูระบายน้าจุฬาลงกรณ์ ที่ระบายน้าฝนท่วมขัง และน้าทิ้งจากกิจกรรมต่างๆ เข้าสู่คลองรังสิตฯช่วงไหลผ่านชุมชนบ้านคลองรังสิต ตาบลหลักหก อาเภอเมือง จังหวัดปทมุ ธานี

24 1.4 ค้นหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปญั หาสิ่งแวดล้อมของชมุ ชน โดยเรมิ่ จาก 1.4.1 ใช้ snowball technique ค้นหา key informants ตามเกณฑ์ที่ กาหนดไว้ ได้ key informants 3 คน ซงึ่ เป็น ทสม. (อาสาสมัครพทิ กั ษท์ รพั ยากรธรรมชาติ หมบู่ า้ น) 1.4.2 ใช้ focus group discussion กับ key informants 3 คนตาม ข้อ 1.4.1 โดยผูเ้ ขยี นเป็นผดู้ าเนนิ รายการ (moderator) 1.4.3 ใชi้ ndividual in-depth interview กบั นักวชิ าการด้านสิ่งแวดล้อม ของมหาวิทยาลยั รงั สติ ทีท่ าวิจัยอยใู่ นพื้นท่ี จานวน 1 คน ผลการค้นหา พบว่า แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ของชุมชน คือ การเฝ้าระวังคุณภาพน้าคลองรังสิตฯ ช่วงไหลผ่านชุมชนบ้านคลอง รังสิต ณ จุดตรวจวัดคุณภาพน้าท่ีถูกต้องตามหลักวิชาการ ทั้งนี้เน่ืองจากทางชุมชน บ้านคลองรังสิตมีโครงการเฝ้าระวังคุณภาพน้าในคลองรังสิตฯช่วงไหลผ่านชุมชนอยู่ แล้ว แต่การตรวจคุณภาพที่ผ่านมา ยังขาดองค์ความรู้ในเร่ืองการกาหนดจุดตรวจวัด คุณภาพน้าตามหลักวิชาการ ทาให้ผลการตรวจวัดคุณภาพน้าที่ทาอยู่ ไม่สามารถ อธบิ ายถึงจุดท่ีเปน็ แหล่งกาเนิดน้าเสยี และจดุ ทไี่ ด้รบั ผลกระทบจากนา้ เสียท่ีถูกตอ้ ง 1.5 คน้ หาเนอ้ื หาความรกู้ ารป้องกนั และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของชมุ ชน 1.5.1 ค้นหา key informants ผู้ให้ข้อมูลเนื้อหาความรู้การป้องกันและ แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชนตามเกณฑ์โดยใช้ snowball technique ได้ key informants 2 คน คอื ผู้ใหญบ่ ้านและผูช้ ว่ ยผ้ใู หญ่บา้ น 1.5.2 รวบรวมเน้ือหาความรู้โดยใช้ individual in-depth interview ผู้ทรงคุณวุฒิเนื้อหาความรู้ท่ีเก่ียวกับการกาหนดจุดตรวจวัดคุณภาพน้าจาก มหาวิทยาลยั รงั สิตท่ีทาวจิ ยั อยูใ่ นพ้นื ท่ี 1 คน ผลการค้นหา พบว่า ได้เนื้อหาความรู้สาเหตุและแหล่งกาเนิดน้าเสียใน คลองรังสิตฯ ช่วงไหลผ่านชุมชนบ้านคลองรังสิตในรอบปี และหลักการกาหนดจุด ตรวจวัดคุณภาพน้าที่ถูกต้องตามหลักวิชาการทางวิศวกรรมส่ิงแวดล้อม หลังจากนั้น

25 ผู้เขียนจึงได้นาเน้ือความรู้ดังกล่าวจัดทา L.E. จานวน 4 เรื่อง 1) L.E. เรื่องลักษณะ ของน้าเสีย 2) L.E. เรื่อง แหล่งกาเนิดน้าเสีย 3) L.E. เร่ืองสาเหตุการเกิดน้าเสีย และ 4) L.E. เรื่องการกาหนดจุดตรวจวัดคุณภาพน้าคลองรังสิตฯช่วงไหลผ่านชุมชน บ้านคลองรังสิต โดยผู้เขียนและผู้นาชุมชนบ้านคลองรังสิตประสานกับผู้นากลุ่ม เยาวชนรักษ์น้าบ้านคลองรังสิต เพื่อจัด L.E.ให้กับเยาวชนดังกล่าว และได้ผู้สมัครใจ จานวน 5 คน ข้ันตอนที่ 2 จดั ทาตาราง L.E. 1) L.E. เรอ่ื ง ลกั ษณะของน้าเสยี 2) L.E. เร่อื ง แหลง่ กาเนิดนา้ เสีย 3) L.E. เรอ่ื ง สาเหตกุ ารเกิดนา้ เสีย 4) L.E. เรอ่ื ง การกาหนดจดุ ตรวจวัดคณุ ภาพน้าคลองรังสติ ฯช่วงไหลผ่าน ชมุ ชนบา้ นคลองรงั สิต รายละเอียดตาราง L.E. ทง้ั 4 เรื่อง มีดงั นี้

26 ตาราง L.E.1 เร่ือง ลกั ษณะของน้าเสยี เน้อื หาความรู้ วตั ถุ วัตถปุ ระสงค์ สถานการณก์ ารเรียนรู้ ส่อื ช่วย การ สมรรถนะ ประสงค์ เชงิ พฤติกรรม สอน ประเมิน การสอน กจิ กรรมการเรียนรู้ กจิ กรรมท่ี ในเนื้อหาความรทู้ ่ี ผเู้ รียน ผล ผู้สอนสร้างขึ้น กระทา ข้อเทจ็ จรงิ พทุ ธิพิสัย: เพือ่ ใหผ้ เู้ รียน 1.อธิบายลักษณะ 1.ฟังและ 1.ภาพ ผู้เรยี น จดจา จา เลอื กลักษณะ นา้ เสีย 3 ลักษณะ ดูการ ลกั ษณะ สามารถ น้าเสยี คอื น้าท่ี เพ่ือให้ น้าเสยี ได้ โดยใช้ สาธิต นา้ เสีย เลือกแผ่น ไม่สามารถ ผเู้ รยี น ถกู ต้องครบ ภาพประกอบ 2.เลือก 2.แผ่น ข้อความ นามาใช้อุปโภค สามารถจา ท้งั 3 ลักษณะ 2.ผูเ้ รยี นเลือก แผ่น ข้อ ลักษณะ บรโิ ภคได้มี ลักษณะ ในเวลา 5นาที แผน่ ภาพคาตอบ ขอ้ ความ ความ นา้ เสียได้ ลักษณะ น้าเสียได้ ลักษณะน้าเสยี ได้ ลกั ษณะ ลกั ษณะ ถูกต้อง 1) มสี ีดา/เขยี ว ถกู ตอ้ งครบ 3 น้าเสีย ของน้า ครบ 3 2)มกี ลนิ่ เหม็น ลักษณะในเวลา 5 เสีย แผน่ ใน เนา่ และ นาที เวลา 5 3)พบปลา นาที ลอยตัวทผ่ี ิวน้า เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 3=ระบุลักษณะน้าเสยี ไดถ้ กู ต้อง 3 ประเดน็ ในเวลา 5 นาที/2=ระบุลักษณะนา้ เสียได้ถูกต้อง 2 ประเด็นในเวลา 5 นาที/1=ระบลุ ักษณะน้าเสยี ไดถ้ ูกต้อง 1 ประเด็นในเวลา 5 นาที

27 ตาราง L.E. 2 เรื่อง แหล่งกาเนดิ นา้ เสีย เนอ้ื หาความรู้ วัตถุ วตั ถปุ ระสงค์ สถานการณก์ ารเรียนรู้ สื่อช่วย การ สมรรถนะ ประสงค์ เชิงพฤตกิ รรม สอน ประเมนิ การสอน กจิ กรรมการเรียนรู้ กิจกรรมท่ี ขอ้ เท็จจริงจดจา เพือ่ ให้ ในเนอื้ หาความรู้ท่ี ผูเ้ รียนกระทา บตั รข้อ ผล พุทธิพิสยั : ผสู้ อนสร้างขนึ้ ผู้เรียน 1.ใหผ้ เู้ รียน 1.ค้นหา แหล่งกาเนิดนา้ จา ผู้เรยี นคน้ หา ค้นหาบัตร บัตร ความ สามารถ เสยี ประกอบดว้ ย เพือ่ ให้ แหล่งกาเนดิ ขอ้ ความ ขอ้ ความ แหล่ง ค้นหา 1) บริเวณชุมชน ผู้เรยี น น้าเสียได้ “แหลง่ กาเนิดน้า “แหล่ง กาเนดิ แหล่ง พ้นื ทกี่ ารเกษตร สามารถ ถกู ต้อง เสีย”คนละ 3 กาเนิด น้าเสยี กาเนดิ น้า ตลาด และ ค้นหา 5 แหลง่ แผน่ นา้ เสยี ”คน เสยี ได้ โรงงาน แหล่ง ในเวลา 5 2. สง่ บัตร ละ 5 ถกู ตอ้ ง อุตสาหกรรมที่ กาเนดิ การ นาที ข้อความในเวลา แหลง่ ครบ 5 เช่อื มโยงกบั แหล่ง เกดิ นา้ เสีย 5 นาที 2. สง่ บตั ร แผ่นใน น้า ได้ ขอ้ ความใน เวลา 5 2) บรเิ วณท่ีมีการ เวลา 5 นาที เปิด ปิดประตู นาที ระบายน้าในคลอง เชอื่ มต่อกับคลอง รังสิตฯ เกณฑก์ ารให้คะแนน 5= คน้ หาแหล่งน้าเสียไดถ้ กู ต้อง 3 ประเดน็ ในเวลา 5 นาที/4=ระบุลกั ษณะน้าเสยี ได้ถูกตอ้ ง 4 ประเด็นในเวลา 5 นาท/ี 3=ระบลุ ักษณะน้าเสยี ได้ถกู ต้อง 3 ประเด็นในเวลา 5 นาที/2=ระบุลกั ษณะน้าเสียได้ถกู ต้อง 2 ประเด็นในเวลา 5 นาที/1=ระบลุ กั ษณะน้าเสยี ไดถ้ กู ต้อง 1 ประเด็นในเวลา 5 นาที

28 ตาราง L.E.3 เรื่อง สาเหตุของนา้ เสยี เนอื้ หาความรู้ วตั ถุ วัตถุประสง สถานการณก์ ารเรียนรู้ ส่ือช่วย การ สมรรถนะ ประสงค์ ค์เชงิ สอน ประเมิน กิจกรรมการ กิจกรรมท่ี การสอน พฤตกิ รรม เรียนร้ใู นเนอ้ื หา ผู้เรยี นกระทา ผล ความรทู้ ผี่ สู้ อน สรา้ งขน้ึ ขอ้ เท็จจริงจดจา พทุ ธิพิสัย: เพอ่ื ให้ 1.อธบิ าย 1. ฟงั คา บัตรขอ้ ผู้เรยี น สาเหตกุ ารเกิดน้าเสีย จา ผู้เรียน สาเหตกุ ารเกิด อธิบาย ความ สามารถ ประกอบด้วย เพื่อให้ ตอบ น้าเสีย โดยใช้ อธิบาย แหล่ง ค้นหา 1) เปดิ ปตร.คลอง ผเู้ รียน สาเหตุ วงลอ้ พยากรณ์ สาเหตุการ กาเนิด แหลง่ เปรมฯ ฝง่ั เหนือ ชว่ ง สามารถ ของการ นา้ เกดิ น้าเสยี น้าเสยี กาเนิดน้า หน้าฝน 2)เปดิ ปตร. บอก เกดิ นา้ 2.ให้ผ้เู รียน โดยใชว้ งล้อ เสยี ได้ คลองเปรมฯ ฝัง่ ใต้ ช่วง สาเหตุ เสยี ได้ เลอื กแผ่นปา้ ย พยากรณน์ ้า ถกู ตอ้ ง หน้าฝน 3) เปดิ ปตร ของการ ถกู ต้อง สาเหตขุ องน้า 2.ผูเ้ รยี น ครบ 3 จฬุ าลงกรณ์ เพอ่ื เกิดน้า 3 สาเหตุ เสีย”คนละ 3 เลอื กแผ่น แผน่ ใน เวลา 5 ระบายนา้ ฝนที่ท่วมขงั เสยี ได้ ในเวลา 5 แผน่ ในเวลา 5 ปา้ ยสาเหตุ และน้าเสียท่อี ยู่ในแต่ นาที นาที ของน้าเสยี ” นาที ละสายคลอง คนละ 3 ระบายน้าจากคลองฯ แผ่น ในเวลา ออกสคู่ ลองรังสติ 5 นาที 4. ชว่ งนา้ ทะเลหนุน ทาให้น้าในคลองรังสติ ฯ ช่วงไหลผา่ น ต.หลกั หก ไมไ่ หลเวียน เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน 3= คน้ หาแหล่งน้าเสยี ได้ถูกต้อง 3 ประเดน็ ในเวลา 5 นาที/2=ระบุลักษณะนา้ เสยี ไดถ้ ูกตอ้ ง 2 ประเด็นในเวลา 5 นาที/1=ระบลุ ักษณะน้าเสยี ไดถ้ ูกต้อง 1 ประเด็นในเวลา 5 นาที

29 ตาราง L.E.4 การกาหนดจุดตรวจวัดคณุ ภาพน้าคลองรังสติ ฯชว่ งไหลผ่านชมุ ชนบา้ น คลองรงั สิต เนอื้ หาความรู้ วัตถุ วัตถุประสง สถานการณก์ ารเรยี นรู้ สอื่ ชว่ ย การ สมรรถนะ ประสงค์ ค์เชิง สอน ประเมนิ การสอน กิจกรรมการเรยี นรใู้ น กจิ กรรมท่ผี เู้ รยี น ข้อเท็จจริง พฤติกรรม แผนที่ ผล พุทธิพิสยั : เน้ือหาความรทู้ ่ีผสู้ อน กระทา เพ่ือให้ แตล่ ะคน สรา้ งขึ้น 1.อธบิ ายหลกั การ 1. ฟงั คา เฉพาะเจาะจง จา ผเู้ รยี น กาหนดจดุ อธิบาย คลอง กาหนด หลกั ในการ เพือ่ ให้ กาหนด ตรวจวดั คุณภาพ หลักการ รงั สิตฯ จดุ กาหนดจดุ ผเู้ รียน จุด นา้ โดยใชแ้ ผนที่ กาหนดจุด ชว่ งไหล ตรวจวดั ตรวจวัด สามารถ ตรวจวดั คลองรังสิตฯช่วง ตรวจวดั ผ่าน คณุ ภาพ คุณภาพน้า กาหนดจดุ คณุ ภาพ ไหลผา่ นตาบล คณุ ภาพน้า ตาบล น้า ลงใน ประกอบด้วย 3 ตรวจวัด น้า ลงใน หลักหก โดยใช้แผนท่ี หลกั หก แผนที่ได้ จดุ คอื คณุ ภาพน้า แผนท่ีได้ 2.ให้ผ้เู รยี นแต่ละ คลองรงั สติ ฯ ถูกตอ้ ง 1)จุดอา้ งอิง คือ ได้ ถูกต้อง คนทาการกาหนด ชว่ งไหลผ่าน กระดาษ ทง้ั 3 จุด ตาแหน่งที่อยู่ ท้งั 3 จุด จุดตรวจวดั ตาบลหลักหก post it (หนา้ ฝน กอ่ นแหลง่ (หนา้ ฝน คุณภาพน้าลงใน 2.แตล่ ะคน หน้าน้า กาเนดิ น้าเสยี หน้าน้า แผนที่ฯ ในหน้า ผู้เรียนแต่ละ สกอ๊ ต หลาก 2)ตาแหน่งท่ี หลาก ฝน หน้านา้ หลาก คนทาการ เทป และช่วง เป็นแหล่ง และช่วง และชว่ งนา้ ทะเล กาหนดจดุ นา้ ทะเล กาเนิดน้าเสีย น้าทะเล หนนุ ในเวลา 5 ตรวจวัด ปากกา หนุน) 3)ตาแหน่งท่ี หนนุ ) นาที คณุ ภาพนา้ ลง ในเวลา ไดร้ บั ในเวลา 5 ในแผนทฯี่ ใน 5นาที ผลกระทบ นาที หนา้ ฝน หน้า จากนา้ เสยี น้าหลาก และ ชว่ งนา้ ทะเล หนุน ในเวลา 5 นาที เกณฑก์ ารให้คะแนน 9=กาหนดจุดตรวจวดั คุณภาพน้าในแผนท่ีได้ถกู 3 จุดใน 3 ช่วงเวลา/ 6= กาหนดจุดตรวจวดั คณุ ภาพนา้ ใน แผนท่ีได้ถกู 3 จดุ ใน 2 ช่วงเวลา/3= กาหนดจดุ ตรวจวัดคุณภาพน้าในแผนท่ีได้ถูก 3 จดุ ใน 1 ช่วงเวลา /0= กาหนดจุดตรวจวดั คณุ ภาพนา้ ในแผนท่ีไมถ่ ูกตอ้ ง 3 จดุ ในแตล่ ะชว่ งเวลา

30 ขัน้ ตอนท่ี 3 ทดสอบประสิทธิภาพ L.E. การทดสอบประสิทธิภาพ L.E. โดยใช้แบบทดลองแบบกลุ่มเดียวมีการ ทดสอบครัง้ เดยี ว (one shot case study: OSC )13 ผลการทดสอบ ดังน้ี ผูเ้ รียน ลักษณะน้าเสีย ค่าคะแนนผลสมั ฤทธิก์ ารเรียน กาหนดจดุ เฝ้าระวัง คะแนนเต็ม ลาดบั ท่ี L.E.1(3 คะแนน) L.E.4(9คะแนน) แหลง่ กาเนดิ นา้ เสีย สาเหตุน้าเสยี (20 คะแนน) L.E.2(5 คะแนน) L.E.3(3 คะแนน) 1 2 4 1 8 15 2 3 5 3 9 20 3 3 4 2 6 15 4 3 5 3 9 20 5 2 3 1 7 13 6 3 5 3 9 20 7 3 5 3 9 20 8 3 5 3 9 20 9 3 4 2 6 15 10 3 5 3 9 20 11 2 4 1 7 14 12 3 5 3 9 20 13 3 5 2 9 19 14 3 4 2 6 15 15 3 5 3 9 20 คา่ คะแนนเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 80 ของคะแนนเต็ม (20 คะแนน) คือ 16 คะแนน 13 รายละเอียดดูสว่ นท่ี 3 ในศาสตรก์ ารวจิ ัย และ ลาวณั ย์ วิจารณ์, 2563

31 การทดสอบทางสถิติเปรยี บเทียบกบั ค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐานร้อยละ 80 ของ คะแนนเตม็ ทาการทดสอบโดยใชส้ ถติ ทิ ดสอบ Chi-square (  2) โดยเรม่ิ จาก 1. ตงั้ สมมตฐิ าน: แบบมที ิศทาง H0: จานวนผู้เรยี นท่ีได้คะแนนเทา่ กบั หรอื มากกวา่ ค่าคะแนนเกณฑ์ มาตรฐานกับผูเ้ รยี นทไี่ ดค้ ะแนนตา่ กวา่ เกณฑ์ ไมแ่ ตกต่างกัน HA: จานวนผเู้ รยี นทไี่ ดค้ ะแนนเทา่ กับหรอื มากกวา่ คา่ คะแนนเกณฑ์ มาตรฐานมากกว่า ผ้เู รียนทไ่ี ดค้ ะแนนต่ากวา่ เกณฑ์ 2. กาหนด α=.05 3. สถติ ิท่ใี ช้:  2 - Test of Goodness of Fit  2 cal. = ∑ (O−E)2 E 4. การคานวณ14 4.1 คานวณค่าคะแนนเกณฑม์ าตรฐาน ในทนี่ ี้ใช้เกณฑ์ร้อยละ 80 ของ คะแนนเตม็ ค่าคะแนนเกณฑ์มาตรฐาน = 80× 20 = 16 คะแนน 100 4.2 แบง่ กลมุ่ ผู้เรียนออกเป็น 2 กลมุ่ ดงั นี้ คะแนน นกั เรียน(จานวน)  16 9  16 6 รวม 15 4.3 คานวณค่า E (ความถคี่ าดหวงั ) = 15/2 =7.5 14 รายละเอียดดูสว่ นที่ 3 ในศาสตรก์ ารวจิ ัย และ ลาวัณย์ วจิ ารณ์, 2563

32 4.4 สร้างตาราง Contingency Table ผูเ้ รียน ความถ่สี งั เกต ความถีค่ าดหวัง O-E (O-E)2 (O) (E) 1.5 2.25 คะแนน 16 9 (15/2) 7.5 -1.5 2.25 คะแนน 16 6 (15/2) 7.5 รวม 15 5. แทนค่าในสตู ร  2 cal. = 2.25 + 2.25 = 0.3 +0.3 = 0.6 7.5 7.5 6. เปดิ ตาราง  2 ท่ี ������������ = 1; α =.05;  2tab. =3.84 แสดงให้เหน็ วา่  2 cal. 0.6 <  2 tab. 3.84 ซ่ึงหมายถึง ยอมรับ H0 แต่ปฏิเสธ HA แสดงวา่ จานวน ผู้เรียนทไ่ี ด้คะแนนเท่ากับหรือมากกวา่ คา่ คะแนนเกณฑม์ าตรฐานกับผูเ้ รยี นท่ี ได้คะแนนตา่ กวา่ เกณฑ์ไม่แตกตา่ งกนั อย่างมนี ยั สาคัญทางสถติ ิท่ีระดบั ความ เชื่อมัน่ .05 หรอื เชอ่ื ถือได้ 95 % ถ้าใชค้ า่ คะแนนเกณฑม์ าตรฐานร้อยละ 60 ของคะแนนเต็ม คา่ คะแนน เกณฑม์ าตรฐาน(60× 20)/100 = 12 คะแนน ผูเ้ รยี นท้ังหมด (100 %) จะผา่ น เกณฑจ์ ึงไม่ตอ้ งดาเนนิ การตามขอ้ 4.1-4.4 และ 5 กับ 6 ต่อไป

33 รปู แบบการวางโครงการแบบ top - down approach การวางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศกึ ษาชุมชนแบบ top-down approach นี้ ผู้เขียนกาหนดขั้นตอนการวางโครงการ โดยยึดหลัก what to teach? how to teach? และ how to accomplish? เช่นเดียวกับรูปแบบการวางโครงการแบบ bottom-up approach สาหรับรูปแบบการวางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชนแบบ top- down approach นี้มี 3 ข้ันตอนหลัก เช่นเดียวกับขั้นตอนการวางโครงการแบบ bottom - up approach คือ ข้นั ตอนท่ี 1 วนิ จิ ฉัยสภาวการณ์ปญั หาสิ่งแวดล้อมของชุมชน ขั้นตอนท่ี 2 จัดทาตาราง L.E. เรอ่ื งการป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาสง่ิ แวดล้อม ของชุมชน ข้นั ตอนท่ี 3 ทดสอบประสทิ ธิภาพ L.E. แต่ส่วนท่ีแตกต่างกันก็คือ ในข้ันตอนที่ 1 การวินิจฉัยสภาวการณ์ปัญหา ส่งิ แวดลอ้ มของชุมชน ซึ่งประกอบดว้ ยขัน้ ตอนย่อย 5 ข้นั ตอน แตใ่ นส่วนของ top - down approach ดาเนนิ การเพียง 3 ข้นั ตอนย่อยเทา่ นนั้ คือ 1) สรา้ งความสมั พนั ธ์กบั ชุมชน 2) ค้นหาผใู้ หข้ อ้ มลู สาคัญ 3) คน้ หาสภาวการณป์ ญั หาสง่ิ แวดลอ้ มรว่ มกับชุมชน ส่วนอีก 2 ขั้นตอนย่อยท่เี หลอื ไดแ้ ก่ 4) คน้ หาแนวทางการปอ้ งกนั และแกไ้ ขปัญหาสิ่งแวดลอ้ มของชมุ ชน 5) ค้นหาและรวบรวมเน้ือหาความรู้การป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ของชุมชน ผู้วางโครงการจะทาหน้าที่เป็นผู้กาหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา สิ่งแวดล้อมของชุมชนตามองค์ความรู้ท่ีผู้วางโครงการมีอยู่ และจากผู้ทรงคุณวุฒิด้าน

34 การป้องกันและแก้ปัญหาส่ิงแวดล้อมชุมชน สาหรับกลุ่มเป้าหมายนั้นผู้วางโครงการ เปน็ ผูก้ าหนดกลุ่มเปา้ หมายไวอ้ ย่างชดั เจนแลว้ ส่วนการค้นหาและรวบรวมเน้ือหาความรู้การป้องกันและแก้ไขปัญหา ส่ิงแวดล้อมของชุมชนน้ัน ก็ดาเนินการโดยตัวผู้วางโครงการเอง ซ่ึงต่างจากการ วางโครงการแบบ bottom-up approach ที่ผู้วางโครงการจะต้องร่วมกับชุมชนใน การดาเนนิ การในขน้ั ตอนยอ่ ยดงั กล่าว ตัวอย่างการวางโครงการแบบ top - down approach ต่อไปนี้ขอนาเสนอตัวอย่างการวางโครงการแบบ top - down approach เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชน 3 ชุมชน พอให้มองเห็นภาพของ การดาเนนิ การตามขนั้ ตอนต่างๆ ดงั ต่อไปน้ี 1. การวางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชน: ชุมชนโรงเรียนวัด ดาวเรือง15 เรอ่ื ง การตรวจวดั ออกซเิ จนละลายนา้ (DO) โดยใช้ DO test kit 2. การวางโครงการส่งเสริมส่ิงแวดล้อมศึกษาชุมชน: ชุมชนวัดรังสิต 16เร่ือง การลดพน้ื ทจ่ี ดั เกบ็ ขยะขวดพลาสตกิ ของชมุ ชน 3. การวางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษาชุมชน: ชุมชนโรงเรียนวัดถ่ัว ทอง17 เร่ือง ต้นไมค้ ือชีวิต รายละเอียดของการวางโครงการฯ ทง้ั 3 โครงการ มีดงั นี้ 15 ชุมชนโรงเรยี นวัดดาวเรือง ตาบลบางพูด อาเภอเมือง จังหวัดปทมุ ธานี 16 ชมุ ชนวดั รังสติ ตาบลหลักหก อาเภอเมือง จังหวดั ปทุมธานี 17 ชุมชนโรงเรยี นวดั ถว่ั ทอง ตาบลบา้ นปทมุ อาเภอสามโคก จังหวดั ปทมุ ธานี

35 การวางโครงการสง่ เสริมส่ิงแวดลอ้ มศึกษาชมุ ชน: ชมุ ชนโรงเรยี นวัดดาวเรอื ง เรือ่ ง การตรวจวดั ออกซเิ จนละลายนา้ โดยใช้ DO test kit18 ชุมชนโรงเรียนวัดดาวเรือง เป็นชุมชนชานเมือง ต้ังอยู่ริมคลองอ้อม ในพ้นื ท่ี ต.บางพูด อ.เมอื ง จ.ปทุมธานี ภาพ ทต่ี ง้ั ชุมชนโรงเรียนวดั ดาวเรอื ง 18 DO คอื dissolve oxygen ออกซเิ จนละลายนา้ DO test kit เครื่องมือการตรวจวดั ออกซเิ จนละลายน้าอย่างง่าย

36 ขัน้ ตอนท่ี 1 วินิจฉยั สภาวการณป์ ญั หาสิ่งแวดล้อมของชุมชน 1.1 สรา้ งความสัมพันธ์กับชมุ ชน ในข้ันตอนน้ี ผู้เขียนมีความคุ้นเคยกับผู้บริหารของโรงเรียน และคุณครูที่ รับผิดชอบกิจกรรมของโรงเรียนอยู่แล้ว ( โรงเรียนนี้เป็นแหล่งบริการวิชาการของ มหาวิทยาลยั รงั สติ ) จงึ ดาเนนิ การตามขนั้ ตอน 1.2 ตอ่ ไป ภาพ การสารวจระบบนิเวศคลองอ้อม สายคลองหน้าโรงเรียนวัดดาวเรือง และ โครงการจัดทาส่ือการสอนภาษาไทยให้กับโรงเรียนวัดดาวเรือง ซ่ึงเป็นส่วนหนึ่งของ โครงการบรกิ ารวิชาการที่ทาร่วมกับโรงเรียนอย่างตอ่ เน่อื ง 1.2 คน้ หาผู้ใหข้ ้อมูลสาคัญ โดยใช้ snowball technique ค้นหา key informants ตามเกณฑ์คุณสมบัติ ท่ีกาหนดไว้ ได้ key informants 4 คน ได้แก่ เจ้าอาวาสวัดดาวเรือง ผู้อาวุโสของ ชุมชน และคณุ ครทู ร่ี ับผดิ ชอบกิจกรรมของโรงเรียน 2 คน 1.3 ค้นหาสภาวการณป์ ญั หาสงิ่ แวดล้อมร่วมกบั ชมุ ชน 1.3.1 โดยใช้ focus group discussion กับ key informants 4 คน ตาม ขอ้ 1.2 โดยผ้เู ขียนเปน็ ผ้ดู าเนินรายการ (moderator) 1.3.2 การสารวจพ้ืนทพี่ ร้อมทากบั สงั เกตปญั หาส่งิ แวดลอ้ มของชมุ ชน ผลค้นหา พบว่า ตัวปัญหาสิ่งแวดล้อมที่แท้จริงของชุมชน คือ มลพิษทางน้าใน คลองออ้ มช่วงไหลผ่านโรงเรียนวดั ดาวเรือง ต.บางพูด อ.เมอื ง จ.ปทมุ ธานี ลักษณะน้าในคลองอ้อม มีสภาพเป็นน้าเสีย ต้ังแต่เดือนมกราคมถึงเดือน ธันวาคม โดยมีสาเหตุแตกต่างกันตามช่วงเวลา ทั้งสาเหตุท่ีเกิดจากธรรมชาติและ สาเหตุที่เกดิ จากมนษุ ย์ ดงั นี้

37 ช่วงตั้งแต่เดือนมกราคมถึงธันวาคม โดยเฉพาะช่วงเดือนใดที่ระดับน้าใน คลองเปรมฯสูงกว่าระดับน้าในคลองอ้อม จะมีการเปิดประตูระบายน้าท่ีเชื่อมต่อ ระหว่างคลองเปรมฯ กบั คลองอ้อม ทาให้นา้ เสยี ในคลองเปรมฯไหลเข้าคลองออ้ ม ทา ใหค้ ลองออ้ มมสี ภาพนา้ เน่าเสยี ขณะทใ่ี นชว่ งน้าหลากช่วงเดือนตลุ าคม-พฤศจิกายน เป็นช่วงที่มกี ารปิดประตู ระบายน้าคลองบ้านพร้าว (A) ประตูระบายน้าเชียงรากใหม่ (B) ประตูระบายน้าบาง หลวงเชยี งราก(D) และประตรู ะบายน้าเชียงรากใหญ(่ C) ทาใหน้ า้ จากคลองบ้านพร้าว และคลองบางหลวงเชียงรากไหลเข้าคลองอ้อม ทาให้คลองอ้อมมีสภาพน้าที่ไม่ สามารถใช้ประโยชน์ได้ ในช่วงน้าทะเลหนุนประมาณเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน ของทุกปี มีการ ปิดประตูระบายน้าคลองบ้านพร้าว ส่งผลให้น้าจากคลองบ้านพร้าว ไหลผ่านคลอง เจรญิ ผลเข้าคลองออ้ ม AB C ภาพ แสดงประตู ระบายนา้ คลองบ้าน พรา้ ว (A) ประตู ระบายนา้ เชยี งราก ใหม่ (B)ประตูระบาย น้าเชียงรากใหญ่(C) D และประตรู ะบายน้า บางหลวงเชียงราก (D)

38 สาหรับในขั้นตอนย่อยท่ี 1.4 ค้นหาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหา ส่ิงแวดล้อมของชุมชน และข้ันตอนย่อยท่ี 1.5 ค้นหาและรวบรวมเน้ือหาความรู้การ ป้องกันและแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อมของชุมชนน้ัน ผู้เขียนซ่ึงเป็นผู้วางโครงการได้ กาหนดแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของชุมชน ซึ่งในคร้ังนั้น กาหนดให้จัด L.E. เรื่อง การตรวจวัดออกซิเจนละลายน้าโดยใช้ DO test kit ให้กับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 และประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรียนวัดดาวเรือง จานวน 16 คน เพ่ือเฝ้าระวังคุณภาพน้าในคลองอ้อม ซึ่งเป็นคลองท่ีไหลผ่านหน้า โรงเรยี นวดั ดาวเรือง โดยจดั L.E.ในชว่ งเดือนตลุ าคม 2558 ภาพ การจัด L.E. เร่ือง การตรวจวัดออกซิเจนละลายน้าโดยใช้ DO test kit ให้กับ นักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 และประถมศึกษาปีท่ี 5 โรงเรยี นวัดดาวเรือง จานวน 16 คน เพอื่ เฝ้าระวังคุณภาพนา้ ในคลองอ้อม

39 ข้นั ตอนที่ 2 จดั ทาตาราง L.E.เร่ืองการตรวจวดั ออกซเิ จนละลายน้า โดยใช้ DO test kit ตาราง L.E. เร่อื ง การตรวจวดั DO โดยใช้ DO test kit วัตถุประสงค์ วัตถปุ ระสงค์ สถานการณก์ ารเรยี นรู้ ส่ือ การ การสอน เชิง ช่วย ประเมนิ เน้อื หาความรู้สมรรถนะ กิจกรรมการเรียนรใู้ น กจิ กรรมท่ี สอน พฤติกรรม ผล เนื้อหาความรู้ทผ่ี สู้ อน ผู้เรยี น สรา้ งข้นึ กระทา เนอ้ื หาภาคปฏิบตั ิ ทกั ษะพสิ ัย: สามารถใช้ 1) อธิบายขนั้ ตอน 1) ดแู ละ DO ผเู้ รียน ขั้นตอนการตรวจวัด DO โดยใช้ ปฏบิ ัตไิ ด้ DO test ประกอบของจริง ฟังการ test สามารถ DO test kit 1)เทนา้ ตัวอย่างให้ ภายใต้คา kit ได้ 2)สาธิตให้ฝึกปฏบิ ัติ อธบิ าย kit ตรวจ เต็มขวด/ปิดฝา 2)เปิดฝา/หยด สารตัวที่ 1:5 หยด/สารตัวที่ 2: แนะนา ถกู ตอ้ งตาม ใช้ 2) ฝกึ ใช้ ตัว วดั 5 หยด 3)ปิดฝา/ เขยา่ ขวดไปมา เพ่อื ให้ผูเ้ รยี น ขน้ั ตอน ใน DO test อย่าง DO 10 ครง้ั /วางไว้ใหต้ กตะกอน ทุกคนสามารถ เวลา 15 DO test kit ตรวจ kit ตาม ได้ถกู ตอ้ ง ตรวจวดั นาที วัด DO คา น้า ในเวลา ประมาณครึง่ ขวด 4) เปดิ ฝา DO โดย แนะนา 15 นาที ขวด/หยดสารตวั ท่ี3:10หยด/ปิด ฝาขวด/เขย่าขวดไปมา 10 ครง้ั ใช้ DO 5)เปิดฝาขวด/เทนา้ ในแกว้ เล็ก 5 test kit ml ที่เตรียมไว้/หยดสารตัวที่ 4: ไดภ้ ายใต้คา หยด/เขย่าขวดเลก็ น้อย 6) ใช้ส แนะนา ลิงค์ฉดี ยา ดูดสารตัวท่ี 5 ใหถ้ ึง ของผสู้ อน ขีดบนสดุ /ค่อยๆ หยดลงไปใน แกว้ เล็กจนกระท่งั น้าเปล่ยี นเปน็ นา้ ใส 7)อา่ นทส่ี ลงิ ค์ฉดี ยาวา่ ใช้ สารไปเท่าใด (= ค่า DO ในนา้ ) เกณฑ์การใหค้ ะแนน 1=ตรวจวัด DO ได้ถกู ต้องในเวลา 15 นาท/ี 0=ตรวจวดั DO ไม่ถกู ต้องในเวลา 15 นาที/

40 ขัน้ ตอนท่ี 3 ทดสอบประสิทธภิ าพ L.E. การจัด L.E. เร่ือง การตรวจวัด DO เพื่อเป็นการเฝ้าระวังคุณภาพน้าคร้ังน้ี เป็น L.E.เน้อื หาความรูป้ ระเภท Doing 19 ซ่งึ ผ้เู รียนตอ้ งลงมือทา และผู้วางโครงการ ได้กาหนดไว้ในเบ้ืองต้นแล้วว่า ผู้เรียนทุกคนจะต้องตรวจ DO ได้ถูกต้องในเวลา กาหนด จึงจัดสถานการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ฝึกซ้อมจนสามารถตรวจวัด DO ได้ถูกตอ้ งตามเวลากาหนด การทดสอบประสิทธิภาพ L.E.ยังคงใช้ แบบ ผูเ้ รียน L.E.การตรวจวดั DO ทดลองแบบกลุ่มเดียวมีการทดสอบคร้ังเดียว (one คนที่ คะแนนเตม็ 1 คะแนน shot case study: OSC) ซ่ึ งหลังจาก ทาจัด L.E. 11 เนอ้ื หาความรดู้ ังกล่าวกับผู้เรยี นจานวน 16 คน แต่ละ 21 คนได้คะแนนผลสัมฤทธิ์การเรียนดังตารางคือ ทุกคน 31 (100 %) สามารถตรวจวัด DO โดยใช้test kit ได้ 4 1 ถูกต้องในเวลากาหนด ซ่ึงเป็นไปตามเกณฑ์การ 5 1 ประเมินผลที่ได้กาหนดไว้ จึงสรุปผลได้โดยทันทีว่า 6 1 L.E.นี้ทาให้การวางโครงการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมศึกษา 7 1 ชุมชน เร่ือง การตรวจวัด DO เพ่ือการเฝ้าระวัง 8 1 9 1 คุ ณ ภ า พ น้ า โ ด ย ใ ช้ DO test kit บ ร ร ลุ ต า ม 10 1 วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรมของ L.E. และบรรลุตาม 11 1 วัตถุประสงค์ของโครงการ ซ่ึงในกรณีนี้ไม่จาเป็นต้อง 12 1 ใช้ Test Statistics มาช่วยในการอธิบาย20ว่า มี 13 1 ความแตกต่างหรือไม่แตกต่างอย่างมีนัยสาคัญทาง 14 1 15 1 สถิตหิ รอื ไม่แต่อยา่ งใด 16 1 19 รายละเอียดดใู นส่วนที่ 3 ศาสตรก์ ารศกึ ษา 20 รายละเอียดดูในส่วนท่ี 3 ศาสตร์การวจิ ยั

41 การวางโครงการสง่ เสรมิ สิ่งแวดลอ้ มศึกษาชุมชน: ชมุ ชนวดั รงั สิต เรือ่ ง การลดพื้นทีจ่ ดั เก็บขยะขวดพลาสติกของชมุ ชน ชุมชนวัดรังสิต เป็นชุมชนชานเมือง ตั้งอยู่ริมคลองเปรมประชากร ในพื้นท่ี หมู่ท่ี 5 ตาบลหลักหก อาเภอเมอื ง จังหวดั ปทุมธานี ภาพ ทต่ี ั้งชมุ ชนวดั รังสติ โครงการส่งเสรมิ สง่ิ แวดลอ้ มศึกษาชมุ ชนนี้ ประกอบด้วย 4 L.E. ได้แก่ L.E.1 เร่อื ง วิธีการจัดการขยะขวดพลาสติกของชมุ ชน L.E.2เรอื่ ง อายุการยอ่ ยสลายของขยะ L.E.3 เรอ่ื ง ประโยชนข์ องการลดขนาดขยะขวดพลาสติก L.E.4 เร่ือง ข้ันตอนการอดั ขยะขวดพลาสตกิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook