Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เกี่ยวกับนายอำเภอ

เกี่ยวกับนายอำเภอ

Description: เกี่ยวกับนายอำเภอ

Search

Read the Text Version

- 95 - มาตรา ๒๓ ใหรฐั มนตรีวาการกระทรวงมหาดไทยรกั ษาการตามพระราชบัญญตั ิน้แี ละใหมี อาํ นาจแตงต้ังเจา พนกั งานออกบัตร เจาพนักงานตรวจบัตร และพนักงานเจา หนาท่ี ออกกฎกระทรวงกําหนด อตั ราคาธรรมเนยี มไมเกินอัตราทา ยพระราชบัญญตั ินี้ ยกเวน คาธรรมเนยี มและกาํ หนดกิจการอนื่ เพือ่ ปฏบิ ตั ิการใหเปนไปตามพระราชบญั ญตั ินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อไดป ระกาศในราชกจิ จานุเบกษาแลวใหใชบ งั คับได กฎหมายลําดบั รองทเี่ กยี่ วของ 1. คาํ สัง่ กระทรวงมหาดไทย ที่ 452/2542 เรอ่ื งแตงตง้ั เจา พนกั งานตรวจบตั รและ พนกั งานเจา หนา ที่ ลงวนั ท่ี 3 พฤศจิกายน 2542 1. ใหพนักงานฝายปกครองหรอื ตํารวจชัน้ ผใู หญ ปลัดอําเภอ และขาราชการตาํ รวจซงึ่ มียศ ตั้งแตรอ ยตํารวจตรหี รือเทยี บเทารอยตํารวจตรขี ้นึ ไป เปนเจาพนักงานตรวจบตั รภายในเขตอํานาจหนาท่ี 2. ใหพนักงานฝายปกครองหรือตํารวจ สมาชกิ กองอาสารักษาดนิ แดน และเจาหนา ทก่ี อง อาํ นวยการรกั ษาความมน่ั คงภายใน ซ่ึงปฏบิ ัตงิ านอยูตามดา นตรวจทต่ี ั้งขึ้นโดยชอบดว ยกฎหมายเปน เจาพนักงาน ตรวจบตั รเฉพาะดานตรวจนัน้ 7. ใหน ายอําเภอ ปลัดอาํ เภอผูเปน หวั หนา ประจาํ กงิ่ อาํ เภอ และปลดั อาํ เภอ เปน พนกั งาน เจา หนาทต่ี ามมาตรา 6 มาตรา 6ตรี มาตรา 6จตั วา มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 และมาตรา 14 และในอาํ เภอหรือกิง่ อําเภอนั้น ยกเวนในจงั หวดั ท่กี ระทรวงมหาดไทยประกาศกําหนดใหเปนทองที่ สาํ หรับการออกบตั รดวยระบบคอมพิวเตอร ใหเ ปน พนักงานเจาหนาท่ีตามมาตรา 10 ท่ัวราชอาณาจกั ร 13. ใหนายอําเภอ ปลดั อําเภอผูเ ปนหวั หนาประจาํ ก่งิ อาํ เภอ ผูอํานวยการเขต ปลดั เทศบาล หวั หนา สาํ นักปลดั เมืองพทั ยา และหัวหนาแขวง เปน พนักงานเจา หนา ท่ีตามมาตรา 22 เฉพาะในอําเภอ กิง่ อําเภอ สํานักงานเขต เทศบาล เมืองพัทยา หรือแขวง สรปุ ประเด็นทนี่ ายอําเภอมีอํานาจหนาท่ี นายอาํ เภอเปน พนกั งานเจา หนา ทต่ี ามมาตรา 6 มาตรา 6 ตรี มาตรา 6 จตั วา มาตรา 8 มาตรา 9 มาตรา 10 และมาตรา 14 ตามพระราชบัญญตั บิ ตั รประจาํ ตวั ประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ ในอําเภอหรอื กิ่งอาํ เภอนนั้ ยกเวน ในจงั หวดั ทก่ี ระทรวงมหาดไทยประกาศกําหนดใหเปน ทองท่สี ําหรับการออกบตั รดว ยระบบคอมพวิ เตอร ใหเปนพนักงานเจาหนาทีต่ ามมาตรา 10 ตามพระราชบัญญัติบัตรประจาํ ตัวประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ ทว่ั ราชอาณาจกั ร และนายอาํ เภอ ปลดั อาํ เภอผเู ปน หวั หนา ประจาํ กง่ิ อาํ เภอ เปน พนกั งานเจา หนา ทต่ี ามมาตรา 22 ตามพระราชบัญญัตบิ ตั รประจาํ ตัวประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ เฉพาะในอําเภอ กิ่งอําเภอ

- 96 - (21) พระราชบญั ญตั โิ รงแรม พ.ศ. 2547 มาตราท่เี กยี่ วขอ ง มาตรา 45 ในการปฏบิ ตั ิหนา ที่ ใหพนักงานเจาหนา ทท่ี ไี่ ดรบั มอบหมายเปน หนังสือจาก นายทะเบยี นมีอาํ นาจ ดังตอไปนี้ (1) เขาไปในโรงแรมในระหวางเวลาพระอาทิตยข ึ้นจนถึงพระอาทติ ยตกเพื่อตรวจสอบ ใบอนุญาต ทะเบียนผูพกั บัตรทะเบยี นผพู ัก สภาพและลกั ษณะของโรงแรม หรือตรวจสอบหองพกั ทีว่ าง หรือสวนหนึ่งสว นใดของโรงแรมทีเ่ ปดใชร วมกันหรือเขา ไปในโรงแรมในเวลาทาํ การเพื่อตรวจสอบจาํ นวน และประวัติของพนักงานโรงแรม ทัง้ น้ี เพ่ือควบคุมใหก ารเปนไปตามพระราชบัญญตั นิ ้ี (2) มีหนงั สอื เรียกผปู ระกอบธุรกิจโรงแรม ผูจดั การ หรอื เจา หนา ทข่ี องโรงแรมมาใหถอยคาํ หรือช้ีแจงหรอื สง เอกสารหรือหลักฐานท่ีเก่ยี วของมาเพื่อประกอบการพจิ ารณา เมอ่ื ไดเ ขาไปและลงมือทําการตรวจสอบตาม (1) แลว ถายังดําเนนิ การไมเ สร็จจะกระทําตอไป ในเวลากลางคนื หรือนอกเวลาทาํ การของโรงแรมน้นั ก็ได ท้ังนี้ เฉพาะในกรณีทีก่ ารตรวจสอบใกลจ ะเสร็จ สน้ิ หรือมเี หตุอนั ควรสงสัยวาหากเนิ่นชา ในการตรวจสอบจะมีการปกปดหรือแกไขเปลี่ยนแปลงเอกสาร หรือหลกั ฐานไปจากเดิม มาตรา 46 ในการปฏบิ ตั หิ นาที่ พนักงานเจาหนาที่ตองแสดงบัตรประจําตัวและหนังสือมอบหมาย จากนายทะเบียนแกบคุ คลซ่ึงเกี่ยวของ บัตรประจําตวั พนกั งานเจาหนาท่ี ใหเปนไปตามแบบท่รี ัฐมนตรปี ระกาศกาํ หนด มาตรา 47 ในการปฏบิ ัตหิ นาท่ีตามพระราชบัญญตั ินี้ ใหก รรมการสง เสริมและกํากับธรุ กจิ โรงแรม นายทะเบียน และพนักงานเจาหนา ทีเ่ ปน เจา พนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา สรปุ ประเดน็ ทนี่ ายอาํ เภอมอี ํานาจหนา ท่ี 1. อํานาจหนาที่นายอําเภอในฐานะพนกั งานเจาหนาทเี่ ม่ือไดร ับมอบหมายเปนหนังสอื จากนายทะเบยี น การที่นายอําเภอจะมีอํานาจในฐานะพนกั งานเจาหนาทตี่ ามพระราชบัญญัตโิ รงแรม พ.ศ. 2547 นัน้ จะตองไดรับมอบหมายเปน หนังสือจากนายทะเบียนเสยี กอน ซ่ึงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แตง ต้ังนายทะเบยี นตามพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 ไดกําหนดใหผดู ํารงตาํ แหนง อธิบดี กรมการปกครอง เปน นายทะเบยี นในเขตกรุงเทพมหานคร และผวู าราชการจงั หวดั เปนนายทะเบยี นในเขต จังหวัดนน้ั ๆ เมื่อนายอาํ เภอไดร ับมอบหมายแลวกจ็ ะมีอํานาจตามมาตรา 45 คือ (1) เขาไปในโรงแรมในระหวางเวลาพระอาทิตยข้ึนจนถึงพระอาทิตยต กเพ่ือตรวจสอบ ใบอนญุ าต ทะเบียนผูพัก บตั รทะเบียนผูพัก สภาพและลกั ษณะของโรงแรม หรอื ตรวจสอบหองพกั ท่วี าง หรือสวนหน่ึงสว นใดของโรงแรมที่เปดใชร ว มกันหรือเขา ไปในโรงแรมในเวลาทาํ การเพื่อตรวจสอบจํานวน และประวัติของพนักงานโรงแรม ท้งั นี้ เพื่อควบคุมใหก ารเปนไปตามพระราชบญั ญตั นิ ี้

- 97 - (2) มหี นังสอื เรียกผูประกอบธรุ กิจโรงแรม ผูจัดการ หรอื เจา หนา ท่ีของโรงแรมมาใหถอ ยคาํ หรอื ช้แี จงหรอื สงเอกสารหรือหลักฐานทเ่ี ก่ียวของมาเพื่อประกอบการพจิ ารณา เมอ่ื ไดเขาไปและลงมือทาํ การตรวจสอบตาม (1) แลว ถายงั ดาํ เนินการไมเสร็จจะกระทํา ตอ ไปในเวลากลางคนื หรือนอกเวลาทําการของโรงแรมน้นั ก็ได ทั้งน้ี เฉพาะในกรณีทีก่ ารตรวจสอบใกลจ ะ เสร็จสิ้นหรือมีเหตุอนั ควรสงสัยวาหากเน่ินชาในการตรวจสอบจะมีการปกปด หรอื แกไขเปล่ียนแปลงเอกสาร หรอื หลักฐานไปจากเดิม (22) พระราชบัญญัติโรงรบั จํานํา พ.ศ. 2505 มาตราทเ่ี ก่ียวขอ ง มาตรา 28 เจาพนักงานตรวจโรงรับจาํ นาํ ซง่ึ รัฐมนตรีแตง ตงั้ มอี าํ นาจเขาไปในโรงรบั จาํ นํา เพ่อื ตรวจทรัพยจ ํานําและเอกสารทเ่ี ก่ียวกับการรับจํานํา และผรู ับจํานําตอ งใหความสะดวกตามสมควร เจาพนักงานตรวจโรงรับจํา นํา ตองมีบตั รประจาํ ตวั ตามแบบที่กําหนดในกฎกระทรวง และ ตองแสดงบัตรประจาํ ตวั เม่ือผูที่เก่ยี วของรองขอ มาตรา 43 ใหรฐั มนตรวี าการกระทรวงมหาดไทยรกั ษาการตามพระราชบัญญัตินี้ และใหมี อาํ นาจแตงตัง้ เจา พนกั งานผูออกใบอนญุ าต เจาพนักงานตรวจโรงรบั จาํ นํา และออกกฎกระทรวงกาํ หนด คา ธรรมเนียมไมเกินอัตราทายพระราชบัญญตั นิ ้ี และกําหนดกจิ การอ่ืนเพื่อปฏบิ ัติการตามพระราชบัญญัตนิ ้ี กฎกระทรวงนั้น เม่อื ประกาศในราชกิจจานเุ บกษาแลว ใหใ ชบ งั คบั ได กฎหมายลําดบั รองทเี่ ก่ียวของ 1. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เร่ือง แตง ต้ังเจาพนักงานผอู อกใบอนญุ าต และเจา พนักงานตรวจ โรงรบั จํานํา ตามพระราชบัญญัติโรงรับจํานํา พ.ศ. 2505 ขอ 3 ใหแตง ต้ังผูดํารงตําแหนงตอไปน้ี เปนเจา พนักงานตรวจโรงรับจํานํา (1) อธิบดีกรมการปกครอง และขาราชการพลเรือนสามัญ สังกดั กรมการปกครองตั้งแต ระดับ 4 ข้นึ ไป ในเขตกรุงเทพมหานคร (2) ปลัดจงั หวัด นายอําเภอ ปลัดอําเภอผูเปนหัวหนาประจํากิ่งอําเภอ ปลัดอําเภอแหง ทอ งที่ในเขตจังหวดั อื่น สรปุ ประเด็นทีน่ ายอาํ เภอมีอํานาจหนาท่ี นายอาํ เภอเปนเจาพนกั งานตรวจโรงรบั จาํ นําในเขตอาํ เภอมีอํานาจหนาท่ีเขาไปในโรงรับ จํานาํ เพื่อตรวจทรพั ยจาํ นาํ และเอกสารทีเ่ ก่ียวกับการรับจํานาํ โดยผรู ับจํานาํ ตองใหค วามสะดวกตาม

- 98 - สมควร ท้ังนนี้ ายอําเภอในฐานะเจาพนักงานตรวจโรงรับจํานํา ตอ งมีบัตรประจาํ ตวั ตามแบบทก่ี ําหนดใน กฎกระทรวงและตองแสดงบัตรประจําตัวเม่ือผทู เ่ี กีย่ วของรองขอ (23) พระราชบญั ญตั ริ บั ราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตราที่เกย่ี วขอ ง มาตรา ๔ ในพระราชบญั ญตั ิน้ี (๙) “อําเภอ” หมายความรวมถึงก่งิ อําเภอดวย (๑๐) “ท่ีวาการอําเภอ” หมายความรวมถงึ ทวี่ าการก่ิงอําเภอดว ย (๑๑) “นายอําเภอ” หมายความรวมถึงปลดั อาํ เภอผเู ปน หัวหนา ประจาํ กิง่ อาํ เภอดว ย มาตรา ๕ บคุ คลซง่ึ ตอ งลงบัญชที หารกองเกนิ ใหล งบญั ชที อ่ี ําเภอดังตอไปนี้ (๑) บุคคลซงึ่ บดิ ายังมีชวี ิตอยู หรอื ถา บดิ าถึงแกก รรมแลวมารดายังมชี ีวิตอยู หรือถาทั้งบิดา และมารดาถึงแกกรรมแลวมีผปู กครอง ใหล งบัญชที หารกองเกินท่อี าํ เภอทอ งท่ีทบ่ี ดิ าหรือมารดาหรอื ผปู กครอง มภี มู ลิ าํ เนา แลว แตก รณี (๒) บุคคลซ่งึ เกดิ นอกสมรสและบดิ ามิไดจ ดทะเบยี นรบั รองบุตร หรอื ถา มารดาถงึ แกกรรม แลว มผี ปู กครอง ใหล งบัญชีทหารกองเกนิ ที่อาํ เภอทอ งท่ีทมี่ ารดาหรือผปู กครองมีภูมิลาํ เนาแลวแตก รณี (๓) บุคคลนอกจากทก่ี ลา วใน (๑) และ (๒) หรือบุคคลทไ่ี มอาจลงบัญชีทหารกองเกินตาม (๑) หรอื (๒) ได ไมวา ดว ยกรณใี ดก็ตาม ใหล งบญั ชีทหารกองเกนิ ทอี่ าํ เภอทองทีท่ ี่บุคคลนั้นมีภูมลิ ําเนา ถา บคุ คลนน้ั ไมปรากฏภูมลิ ําเนากใ็ หล งบัญชที หารกองเกินท่ีอําเภอทอ งที่ทีพ่ บตวั บุคคลนน้ั เมอื่ ไดลงบัญชที หารกองเกนิ แลว ใหถือวา ผูนนั้ มีภูมลิ ําเนาทหารอยใู นทองท่ีอําเภอท่ีไดล งบญั ชี ทหารกองเกนิ ภมู ลิ ําเนาทหารใหมไี ดเพยี งแหง เดยี ว มาตรา ๙ ทหารกองเกนิ ซึ่งมีอายุตงั้ แตส บิ แปดปบริบูรณแ ละยงั ไมถึงสามสิบปบรบิ ูรณ เปนผทู ีอ่ ยู ในระหวา งที่จะตองเขา รบั ราชการทหารกองประจาํ การ และเมอื่ ตอ งเขากองประจําการจะตอ งเขา รบั ราชการ ทหารกองประจําการมีกําหนดสองป สวนผูซง่ึ มีคุณวุฒิพิเศษหรอื เม่ือมีกรณีพเิ ศษ จะใหรับราชการทหาร กองประจาํ การนอยกวา สองปตามท่กี ําหนดในกฎกระทรวงกไ็ ดแ ตส ําหรับผซู ง่ึ มีคุณวุฒพิ เิ ศษนั้น จะอาง สทิ ธดิ งั กลา วไดตอเมื่อไดแสดงหลกั ฐานตอ คณะกรรมการตรวจเลอื กในวนั ตรวจเลอื ก หรอื ตอ หนวยทหาร ที่ตนรอ งขอเขา รบั ราชการในวนั รองขอ วนั เร่มิ เขา รบั ราชการทหารกองประจาํ การ ใหน ับแตวนั ขน้ึ ทะเบียนกองประจําการ ในกรณที ่ี ทหารกองเกนิ เขา รบั ราชการทหารกองประจาํ การแลว แตยังข้ึนทะเบียนกองประจําการใหไมไดใ นวนั ท่ที หาร กองเกนิ เขา รบั ราชการทหารกองประจาํ การนน้ั จะขน้ึ ทะเบยี นกองประจาํ การภายหลงั จากวนั เขา รบั ราชการ ทหารกองประจําการก็ได และใหถือวาผูนัน้ ไดข้ึนทะเบยี นกองประจาํ การต้งั แตว ันท่ีเขารบั ราชการทหาร กองประจาํ การ เม่ืออยูในกองประจาํ การจนครบกําหนดแลว ใหป ลดเปนทหารกองหนนุ ประเภทท่ี ๑ ดังนี้ กองหนุนชั้นที่ ๑ เจด็ ป

- 99 - กองหนนุ ช้ันท่ี ๒ สิบป กองหนุนชั้นท่ี ๓ หกป ตามลาํ ดับช้ันไปจนปลดพน ราชการทหารประเภทท่ี ๑ บคุ คลซึ่งสําเร็จการฝก วิชาทหารตามหลักสูตรท่กี ระทรวงกลาโหมกาํ หนดตามกฎหมายวา ดว ย การสง เสรมิ การฝก วชิ าทหาร และมลี กั ษณะตามท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง จะใหร บั ราชการทหารกองประจําการ นอยกวา สองป หรือใหขึ้นทะเบียนกองประจําการแลวปลดเปนทหารกองหนุนประเภทท่ี ๑ โดยมิตองเขา รับราชการทหารกองประจาํ การกไ็ ด ทงั้ น้ี ตามหลกั เกณฑและวธิ ีการท่กี าํ หนดในกฎกระทรวง แตจะอาง สทิ ธิดงั กลา วไดตอเม่ือไดแสดงหลักฐานตอ คณะกรรมการตรวจเลอื กในวันตรวจเลือก หรือตอ หนวยทหาร ที่ตนรองขอเขารบั ราชการในวนั รอ งขอ หรือตอ หนวยท่ีขนึ้ ทะเบียนกองประจําการ แลว แตกรณี สวนทจ่ี ะ ใหอ ยูในกองหนุนชัน้ ใดและเปนเวลาเทาใดน้ัน ใหป ฏิบัติเชนเดยี วกับการปลดทหารกองเกินทต่ี อ งเขารบั ราชการทหารกองประจําการตามวรรคสอง ใหผ วู าราชการจงั หวัดและสสั ดจี ังหวัดออกหนังสอื สําคญั ใหแกทหารท่ีถูกปลดเปน ทหาร กองหนนุ ไวเ ปน หลกั ฐาน หากหนังสือสําคัญชาํ รดุ หรือสูญหาย ใหผถู ือแจง ตอนายอําเภอทองที่เพ่ือขอรบั หนงั สือสําคญั ใหม โดยเสียคาธรรมเนียมฉบับละหนึ่งบาท แตถาการชํารดุ หรือสญู หายน้นั เปน เพราะเหตุ สุดวิสยั ก็ไมต องเสยี คาธรรมเนียม มาตรา ๑๒ บคุ คลซึ่งไดล งบัญชีทหารกองเกินตามมาตรา ๑๖ หรอื ทหารกองเกนิ หรอื ทหาร กองหนุนผใู ดประสงคจ ะไปอยตู างทองที่ในอําเภอเดียวกนั หรอื ตา งอําเภอเปนการชว่ั คราวเกนิ สามสบิ วนั ใหแจง ตอนายอําเภอทองท่ีที่ตนเขามาอยู และใหนายอาํ เภอทไ่ี ดร ับแจง ทาํ การสอบสวนและออกใบรับให แลวแจงใหนายอําเภอทองทีท่ ี่ผนู ั้นมีภูมิลาํ เนาทหารทราบ ถาบคุ คลตามวรรคหนึ่งประสงคจะยายภมู ลิ ําเนาทหาร ใหแจงตอนายอําเภอทอ งท่ีทีต่ นเขามา อยูน นั้ ใหน ายอําเภอที่ไดร ับแจงทําการสอบสวน เม่อื พจิ ารณาเห็นวาผขู อยา ยไดม าตั้งทาํ มาหาเลี้ยงชพี เปน ประจาํ หรือมที ีอ่ ยเู ปนหลักฐานและไมประสงคจะหลีกเลีย่ งการรับราชการทหาร กใ็ หแ จง ไปยงั นายอําเภอ ทอ งท่ีทเี่ ปน ภมู ิลําเนาทหารเดิมทราบ เมือ่ ไดรบั ตอบยืนยนั เปน การถูกตอ งจึงใหรับแจงการยา ยภูมิลาํ เนา ทหารของบุคคลนั้นและออกใบรับให แลว ใหน ายอาํ เภอท่ีเก่ียวของแจง ใหผ วู า ราชการจังหวัดของตนทราบ การแจง ยายตามวรรคหนึ่งและวรรคสองใหกระทําภายในสามสบิ วันนับแตว นั ทยี่ ายเขามาอยูในทอ งท่ี มาตรา ๑๒ ทวิ บุคคลซึ่งไดล งบญั ชีทหารกองเกินตามมาตรา ๑๖ หรือทหารกองเกินหรือ ทหารกองหนุนผใู ดไดรบั อนญุ าตใหเปลีย่ นชือ่ ตัวหรอื ชือ่ สกุล ใหผ ูน ั้นนําหลกั ฐานไปแจง ตอนายอําเภอ ทองท่ีทเ่ี ปนภูมลิ าํ เนาทหารทราบภายในสามสบิ วันนบั แตว นั ท่ไี ดรับอนุญาต ใหน ายอําเภอออกใบรับให และแกใบสําคญั และบญั ชใี หถูกตอง ในกรณีหนังสือสําคญั หรือใบสําคัญท่จี งั หวัดเปน ผูออก ใหสงผูวา ราชการจังหวดั และสสั ดีจังหวัดจัดการแก มาตรา ๑๓ บคุ คลดังตอไปนี้ ยกเวน ไมตองเขา รับราชการทหารกองประจาํ การ คอื (๑) พระภิกษทุ ี่มีสมณศักดิ์ หรือท่เี ปน เปรียญ และนกั บวชในพระพุทธศาสนาแหง นกิ ายจนี หรือญวนทมี่ สี มณศักดิ์ (๒) คนพิการทุพพลภาพ ซ่ึงไมส ามารถเปนทหารได (๓) บุคคลซึง่ ไมมีคุณวฒุ ทิ ่จี ะเปนทหารไดเฉพาะบางทองที่ ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง

- 100 - มาตรา ๑๔ บคุ คลดงั ตอไปน้ี เม่ือลงบัญชีทหารกองเกนิ แลวไมเรยี กมาตรวจเลอื กเขา รับ ราชการทหารกองประจําการในยามปกติ คอื (๑) พระภิกษุ สามเณร และนักบวชในพระพทุ ธศาสนาแหงนกิ ายจีนหรือญวน ซง่ึ เปน นักธรรมตามที่กระทรวงศึกษาธิการรบั รอง (๒) นกั บวชศาสนาอนื่ ซึง่ มหี นาท่ปี ระจํา ในกจิ ของศาสนาตามทก่ี ําหนดในกฎกระทรวง และ ผูวา ราชการจังหวัดออกใบสําคัญใหไ ว (๓) บุคลซึง่ อยใู นระหวา งการฝก วิชาทหารตามหลักสูตรทรี่ ะทรวงกลาโหมกาํ หนด ตาม กฎหมายวา ดว ยการสงเสริมการฝก วิชาทหาร (๔) นักเรียนโรงเรียนเตรียมทหารของกระทรวงกลาโหม (๕) ครซู ึง่ ประจําทาํ การสอนหนังสอื หรอื วิชาการตาง ๆ ทอ่ี ยูในความควบคุมของกระทรวง ทบวง กรม หรอื ราชการสวนทองถิน่ ท้งั นี้ ตามทกี่ ําหนดในกฎกระทรวง และผวู าราชการจังหวัดออก ใบสําคัญใหไว (๖) นกั ศึกษาของศนู ยก ลางอบรมการศึกษาผใู หญข องกระทรวงศกึ ษาธกิ าร (๗) นกั ศึกษาของศนู ยฝ ก การบินพลเรือนของกระทรวงคมนาคม (๘) บุคคลซงึ่ ไดส ัญชาติไทยโดยการแปลงสญั ชาติ (๙) บคุ คลซึ่งไดร ับโทษจําคกุ โดยคําพิพากษาถึงที่สุดใหจ ําคุกครั้งเดียวตัง้ แตสบิ ปข ึ้นไป หรอื เคยไดร ับโทษจําคุกโดยคาํ พิพากษาถงึ ทส่ี ดุ ใหจ ําคกุ หลายครั้งรวมกันตั้งแตสิบปขนึ้ ไป หรอื เคยถูกศาล พพิ ากษาใหก กั กนั การไมเ รยี กมาตรวจเลอื กเขา รบั ราชการทหารกองประจาํ การในยามปกติ และการออก ใบสาํ คญั ตาม (๒) และ (๕) ใหเปนไปตามหลักเกณฑ วิธกี าร และแบบท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง มาตรา ๑๕ บคุ คลซ่ึงพนจากฐานะตามทกี่ ําหนดไวใ นมาตรา ๑๓ (๑) มาตรา ๑๔(๑) (๒) (๓) (๕) (๖) หรือ (๗) มาตรา ๒๗ (๒) หรอื มาตรา ๒๙ (๓) ใหแ จงดว ยตนเองตอนายอําเภอทองทที่ ี่ตนอยูหรือ ทาํ การประจํา ภายในสามสิบวันนบั แตวนั ท่พี น จากฐานะเชนน้นั และใหนายอําเภอออกใบรบั ให ถาผูนนั้ มี ภูมลิ ําเนาทหารอยใู นทองที่อําเภออน่ื ใหนายอาํ เภอทไี่ ดรับแจง แจงตอไปยงั นายอาํ เภอทองทท่ี ่ีเปน ภมู ิลาํ เนาทหารของผนู ัน้ มาตรา ๑๖ บรรดาชายซ่ึงมีสัญชาติไทย เมื่อมีอายยุ างเขา สิบแปดปในพทุ ธศักราชใด ใหไ ป แสดงตนเพื่อลงบัญชีทหารกองเกนิ ภายในพุทธศกั ราชนนั้ ผูใดไมส ามารถไปลงบัญชที หารกองเกนิ ดว ยตนเองได ตอ งใหบ คุ คลซ่ึงบรรลุนิติภาวะและ เชื่อถือไดไปแจง แทน ใหนายอาํ เภอสอบสวน เม่อื เห็นวา ถูกตอ ง ใหล งบัญชที หารกองเกินไว ถา ไมมีผูมา แจง แทน ใหถือวาผนู ั้นหลีกเลี่ยงขัดขนื ไมม าลงบญั ชที หารกองเกิน เมือ่ ไดร บั การขอลงบญั ชที หารกองเกนิ ตามมาตราน้ี ใหน ายอําเภอออกใบสําคญั หรือใบรับให ผขู อลงบัญชีทหารกองเกนิ ไวเ ปน หลักฐาน หากใบสาํ คญั ชํารดุ หรอื สูญหาย ใหผ ูถือแจงตอนายอาํ เภอ ทอ งท่ีเพ่ือขอรบั ใบสาํ คัญใหมโดยเสยี คาธรรมเนียมฉบบั ละหนึ่งบาท แตถาการชํารุดหรือสูญหายน้ันเปน เพราะเหตุสุดวสิ ยั ก็ไมตองเสียคา ธรรมเนยี ม

- 101 - ผูซึ่งไดล งบญั ชีทหารกองเกินตามมาตราน้แี ลว ใหถอื วา เปนทหารกองเกินต้งั แตวันท่ี ๑ มกราคม ของพทุ ธศักราชถดั ไป การลงบญั ชที หารกองเกินตามมาตรานี้ ใหเ ปน ไปตามหลกั เกณฑ วิธกี าร และแบบท่ีกาํ หนด ในกฎกระทรวง มาตรา ๑๗ ในเดือนกนั ยายนทกุ ป ใหนายอําเภอจัดการประกาศใหผ ูที่มอี ายุถึงเขตทจี่ ะตอง ลงบัญชที หารกองเกินไปลงบัญชที หารกองเกนิ ตามทก่ี ําหนดไวใ นมาตรา ๑๖ ประกาศเชนวา น้ี ให นายอาํ เภอปดไว ณ ท่วี า การอาํ เภอและ ณ ทเี่ ปด เผยตามชุมนมุ ชนในทอ งท่นี ัน้ กับใหน ายอาํ เภอสง ประกาศใหก าํ นนั ผูใหญบ า นเพ่ือนาํ ไปแจง ใหร าษฎรในทองทขี่ องตนทราบดว ย มาตรา ๑๘ บคุ คลซึ่งยงั มิไดลงบัญชีทหารกองเกนิ ทีอ่ ําเภอพรอมกบั คนชัน้ ปเ ดียวกันเพราะ เหตุใด ๆ กด็ ี ถา อายยุ งั ไมถงึ ส่ีสบิ หกปบรบิ ูรณ ใหป ฏบิ ัติทาํ นองเดียวกับมาตรา ๑๖ ภายในสามสบิ วันนบั แตว นั ท่ีสามารถจะปฏิบตั ิได แตจ ะใหผูอ่ืนแจง แทนไมได ถา นายอาํ เภอจะเรียกตวั ลงบัญชที หารกองเกินก็ ยอมทาํ ไดโดยไมต องคาํ นึงถงึ กําหนดเวลาดังกลาวแลว เมื่อไดร บั การลงบญั ชีทหารกองเกนิ ตามมาตราน้ี ใหน ายอําเภอออกใบสาํ คัญหรอื ใบรบั ใหไว เปนหลกั ฐาน หากใบสําคัญชาํ รุดหรือสูญหาย ใหผ ถู ือแจงตอนายอาํ เภอทองท่ีเพ่ือขอรบั ใบสาํ คัญใหมโดยเสยี คา ธรรมเนยี มฉบบั ละหนง่ึ บาท แตถาการชํารุดหรือสญู หายนัน้ เปนเพราะเหตสุ ดุ วิสัยก็ไมต องเสียคาธรรมเนียม ผซู ่ึงไดล งบัญชที หารกองเกนิ ตามมาตราน้แี ลว ใหถอื วา เปน ทหารกองเกินตัง้ แตวันลงบัญชี ทหารกองเกิน แตถามีอายคุ รบกําหนดปลดเปน ทหารกองหนุนประเภทท่ี ๒ ตามมาตรา ๓๙ เมือ่ ไดล งบญั ชที หารกองเกนิ แลว ใหปลดเปน ทหารกองหนุนประเภทท่ี ๒ ทันทีการลงบัญชี ทหารกองเกนิ ตามมาตรานี้ใหเปนไปตามหลักเกณฑ วิธีการ และแบบท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง มาตรา ๑๙ เม่ือจาํ เปน นายอําเภอมีอาํ นาจประกาศเรียกบุคคลที่ไดลงบญั ชที หารกองเกนิ ไว ท่ีอําเภอตามมาตรา ๑๖ หรอื มาตรา ๑๘ แลว ไปแสดงตนเพอื่ ลงบัญชที หารกองเกินใหมไดภายในกาํ หนด เกาสบิ วันนบั ตง้ั แตวนั ประกาศ ประกาศเชนวา นี้ ใหนายอําเภอปด ไว ณ ทว่ี า การอาํ เภอและ ณ ทีเ่ ปด เผยตามชุมนมุ ชนใน ทอ งท่ีนน้ั กบั ใหนายอําเภอสงประกาศใหกาํ นนั ผใู หญบานเพื่อนาํ ไปแจง ใหร าษฎรในทอ งทขี่ องตนทราบดว ย ผใู ดไมส ามารถจะไปลงบัญชีทหารกองเกนิ ดว ยตนเองได ตอ งใหบคุ คลซง่ึ บรรลุนติ ภิ าวะและ พอจะเช่อื ถือไดไปแจง แทน ถาไมมผี แู ทนใหถือวา ผนู ั้นหลกี เลย่ี งขดั ขนื เม่อื ไดรบั การขอลงบญั ชีทหารกองเกนิ ตามมาตรานี้ ใหนายอาํ เภอออกใบสําคญั หรอื ใบรับให ผขู อลงบญั ชที หารกองเกินไวเปนหลกั ฐาน ตามทกี่ ําหนดในกฎกระทรวง หากใบสาํ คัญชํารดุ หรอื สูญหาย ใหผ ูถอื แจงตอนายอําเภอทอ งที่เพื่อขอรบั ใบสาํ คัญใหมโดยเสียคา ธรรมเนยี มฉบบั ละหน่ึงบาท แตถ า การ ชํารุดหรอื สญู หายนน้ั เปน เพราะเหตุสุดวิสัย ก็ไมตอ งเสียคาธรรมเนยี ม มาตรา ๒๑ บุคคลดงั ตอไปน้ีไมต องไปแสดงตนตอ นายอําเภอ ตามมาตรา ๑๖ มาตรา ๑๘ หรือมาตรา ๑๙ คือ (๑) สามเณรเปรียญ (๒) ผซู งึ่ อยูใ นระหวา งควบคมุ หรือคุมขังของเจาพนักงาน แตใ หลงบญั ชีทหารกองเกินไวต ามหลักเกณฑ วิธกี าร และแบบท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง

- 102 - มาตรา ๒๔ การเรียกทหารกองเกนิ เขา รับราชการทหารกองประจาํ การน้ัน ใหนายอําเภอ ออกหมายเรยี กทหารกองเกนิ ซึง่ ลงบัญชีทหารกองเกินไวต ามมาตรา ๑๖ มาตรา ๑๘ และมาตรา ๑๙ มาตรวจเลอื ก ทง้ั นี้ ใหเปน ไปตามหลักเกณฑ วธิ ีการ และแบบทก่ี าํ หนดในกฎกระทรวง มาตรา ๒๕ ทหารกองเกินเมื่อมีอายุยา งเขา ยี่สิบเอด็ ปในพทุ ธศักราชใด ตอ งไปแสดงตนเพื่อ รับหมายเรียกท่ีอําเภอทอ งท่ีซึ่งเปนภมู ลิ าํ เนาทหารของตน ภายในพุทธศักราชนัน้ ทหารกองเกินท่ีพน จาก ฐานะการยกเวน ตามมาตรา ๑๔ (๓) หรอื การผอ นผนั ตามมาตรา ๒๗ (๒) และมาตรา ๒๙ (๓) ในพุทธศกั ราชใด ตองไปแสดงตนเพอื่ รบั หมายเรียกหรือเพ่ือจําหนายบัญชเี รียกทหารกองเกินตามแตกรณี ท่ีอําเภอทอ งท่ี ซึ่งเปนภมู ิลาํ เนาทหารของตน ภายในพทุ ธศกั ราชน้ัน ผูใ ดไมสามารถจะไปรับหมายเรยี กดวยตนเองได ตอ งใหบ ุคคลซ่ึงบรรลนุ ิติภาวะ และพอจะ เชือ่ ถือไดไปรบั หมายเรยี กแทน ถาไมมผี ูแทนใหถือวาผนู ้ันหลีกเลยี่ งขัดขนื มาตรา ๒๖ ในเดือนตลุ าคมทกุ ป ใหน ายอําเภอจดั การประกาศใหทหารกองเกินที่มีอายุยา ง เขาย่สี ิบเอ็ดปในพุทธศกั ราชน้ัน ไปแสดงตนเพอื่ รับหมายเรียกท่ีอําเภอตามทีก่ ําหนดไวในมาตรา ๒๕ ประกาศเชน วา นใ้ี หน ายอาํ เภอปด ไว ณ ทว่ี า การอาํ เภอและ ณ ทีเ่ ปดเผยตามชุมนมุ ชนในทอ งที่นั้น กับใหน ายอําเภอสงประกาศใหก าํ นนั ผูใหญบ า นเพ่ือนาํ ไปแจงใหราษฎรในทองท่ีของตนทราบดวย มาตรา ๒๗ ทหารกองเกินซ่งึ ถูกเรยี กตองมาใหคณะกรรมการตรวจเลอื กทําการตรวจเลือก ตามกาํ หนดหมายน้นั โดยนําใบสําคัญทหารกองเกนิ บัตรประจาํ ตัวประชาชน และประกาศนียบัตรหรือ หลักฐานการศกึ ษามาแสดงดวย ถาไมม าหรือมาแตไ มเ ขารับการตรวจเลอื กหรือไมอยจู นกวาการตรวจ เลอื กแลวเสร็จ ใหถอื วาทหารกองเกินน้ันหลกี เล่ียงขัดขนื ไมมาใหค ณะกรรมการตรวจเลือกทําการตรวจ เลือก เวน แต (๑) ขา ราชการซึ่งไดรบั คําสัง่ ของผบู งั คับบัญชาโดยปจ จุบันทันดว นใหไ ปราชการอนั สําคญั ย่ิง หรอื ไปราชการตางประเทศโดยคาํ ส่งั ของเจากระทรวง (๒) นักเรยี นซึ่งออกไปศึกษาวิชา ณ ตางประเทศ ตามทีก่ ําหนดในกฎกระทรวง (๓) ขา ราชการหรอื ผปู ฏิบัติงานในสถานท่ีราชการ หรอื โรงงานอ่ืนใด ในระหวางท่มี กี ารรบ หรือการสงคราม อันเปนอุปกรณในการรบหรือการสงครามและอยูในความควบคุมของกระทรวงกลาโหม (๔) บุคคลซึ่งกําลังปฏิบตั ิงานรว มกบั หนว ยทหารในราชการสนาม (๕) เกิดเหตสุ ุดวิสยั (๖) ไปเขาตรวจเลือกที่อ่นื (๗) ปว ยไมส ามารถจะมาได โดยใหบคุ คลซึ่งบรรลนุ ิติภาวะและเชือ่ ถอื ไดมาแจงตอ คณะกรรมการ ตรวจเลอื กในวันตรวจเลอื ก กรณตี าม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) ตองไดร ับการผอนผันเฉพาะคราวจากรฐั มนตรีวา การกระทรวงมหาดไทย หรือผูซงึ่ รัฐมนตรีวา การกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย

- 103 - มาตรา ๒๘ จัตวา ใหน ายอําเภอทองทที่ มี่ ีการตรวจเลือกมหี นา ท่ีดังตอ ไปนี้ (๑) จดั สถานที่ทําการตรวจเลือก (๒) จัดเจาหนาท่ีและเอกสารเกีย่ วกับการตรวจเลอื กเพอื่ ใหคณะกรรมการตรวจเลอื ก ตรวจสอบไดใ นวนั ตรวจเลอื ก (๓) จัดคนซึง่ มาตรวจเลือกใหรวมอยูเ ปนตําบลเพื่อฟงเรยี กช่ือ (๔) สอบสวนบคุ คลซ่ึงรองขอในเหตผุ ลตาง ๆ แลว มอบเร่อื งใหคณะกรรมการตรวจเลือก พจิ ารณา (๕) ตรวจทานและบนั ทึกบัญชเี รยี กของอาํ เภอตามผลการตรวจเลือก (๖) ปฏบิ ัติการอื่นตามทีก่ ําหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๒๙ เมื่อไดค ัดคนท่ียกเวนดว ยเหตุตาง ๆ ออกแลว ถา มจี ํานวนทหารกองเกินท่ีจะรบั ราชการ เปนทหารกองประจาํ การไดม ากกวา จํานวนท่ีฝา ยทหารตองการ ใหผอ นผนั แกป ระเภทบุคคล ดงั ตอไปน้ี (๑) บคุ คลท่จี ําเปนตอ งหาเล้ยี งบิดาหรือมารดาซ่ึงไรค วามสามารถ หรือพิการทุพพลภาพ หรอื ชราจนหาเลยี้ งชพี ไมไ ดและไมมีผูอ ่นื เลยี้ งดู แตถ า มบี ุตรหลายคนจะตอ งเขา กองประจาํ การพรอมกนั คงผอ นผัน ใหค นเดียวตามแตบิดาหรอื มารดาจะเลือก ถาบิดาหรือมารดาไมส ามารถจะเลือกได กใ็ หคณะกรรมการ ตรวจเลือกพิจารณาผอนผันใหหน่ึงคน (๒) บคุ คลที่จาํ เปนตองหาเลี้ยงบตุ รซ่ึงมารดาตายหรือไรความสามารถ หรือพกิ ารทุพพลภาพ และบุคคลท่ีจาํ เปนตองหาเล้ียงพหี่ รือนองรวมบดิ ามารดา หรือรว มแตบ ดิ าหรือมารดาซึง่ บิดามารดาตาย ท้ังน้ี เมอื่ บุตรหรอื พ่หี รอื นองน้นั หาเลี้ยงชพี ไมได และไมมีผูอ่ืนเลีย้ งดู (๓) บคุ คลท่ีอยูใ นระหวางการศึกษาตามที่กาํ หนดในกฎกระทรวงผูอางสิทธติ าม (๑) หรือ (๒) แหง มาตรานี้ ตองรอ งขอผอนผนั ตอนายอําเภอทองท่ีกอนวันตรวจเลอื กเขา กองประจาํ การไมน อ ยกวา สามสิบวัน เวนแตในกรณพี ิเศษซง่ึ ไมใ ชค วามผดิ ของผูรอง และผูรอ งตองรอ งตอ คณะกรรมการตรวจเลอื ก ในวันตรวจเลือกตามมาตรา ๓๐ อกี ครงั้ หนง่ึ นายอาํ เภอตอ งสอบสวนหลกั ฐานไวเ สียกอนวันตรวจเลือก เพื่อคณะกรรมการตรวจเลือกจะ ไดตดั สินไดทันที การขอผอนผันตาม (๓) ใหป ฏิบตั ิตามท่กี ําหนดในกฎกระทรวง ถา ไมส ามารถจะผอนผนั พรอมกนั ทง้ั สามประเภทได เพราะจะทําใหค นไมพอจํานวนท่ีฝาย ทหารตอ งการ ใหผอนผันคนประเภทที่ ๑ และประเภทท่ี ๒ รวมกนั กอ น ถาคนยงั เหลือจงึ ผอนผันคน ประเภทท่ี ๓ ถาจํานวนคนในประเภทใดจะผอ นผนั ไมไดท้ังหมดตอ งใหคนประเภทนั้นจับสลาก มาตรา ๓๒ ถาปรากฏวา ทหารกองเกนิ ซึ่งมีอายุเกนิ ย่สี บิ เอ็ดปบริบูรณ และยงั ไมถ ึงสามสิบป บรบิ ูรณในปท ่ีจะเขารับราชการทหารกองประจาํ การ ไปทํามาหาเล้ียงชีพในทองท่ีอําเภออืน่ และนายอําเภอ ทองท่ที ี่เปน ภูมิลําเนาทหารไดสงหมายเรยี กไปยังนายอําเภอทองท่ีท่ผี ูน ั้นไปอยูม อบแทนให เม่ือไดร ับหมายเรียกแลว แตไมสามารถจะไปตามหมายนั้นได เพราะไมม คี าพาหนะหรือจะไปไมท ัน ผนู ้นั ตองรบี ชีแ้ จงตอนายอําเภอ ทอ งที่ท่ีไปอยู เม่ือนายอําเภอทอ งทน่ี ้นั สอบสวนไดความจริงก็ใหเขา รับการตรวจเลือกพรอมกับคนในอําเภอ ทอ งที่ท่ีไปอยู แตถ า ไมส ามารถสง เขารบั การตรวจเลอื กในอําเภอทองที่นน้ั ได ก็ใหนายอาํ เภอรีบจัดสง ผนู นั้ ไปรบั การตรวจเลอื กยงั อาํ เภอทอ งท่ีใกลเคยี งตามทีเ่ หน็ สมควร

- 104 - ใหนายอําเภอทองทที่ รี่ บั เขาตรวจเลือกแจงตอนายอําเภอทองที่ที่ออกหมายเรียก มาตรา ๓๓ ทหารกองเกนิ ทีห่ ลกี เล่ียงขัดขืนตามมาตรา ๒๗ ถา ไมข ัดตอการเปน ทหารกอง ประจําการ ก็ใหสง ผนู ้ันเขา รบั ราชการทหารกองประจาํ การในปนน้ั หรอื ปถดั ไปโดยไมใหจ ับสลาก มาตรา ๓๔ ทหารกองเกนิ ท่ถี ูกเขากองประจําการผใู ด จักตอ งเร่มิ เขา รบั ราชการทหารกอง ประจาํ การเมือ่ ใด ใหน ายอําเภอทองทที่ ่รี บั เขา ตรวจเลือกเปนผกู าํ หนด และใหนายอําเภอออกหมายนัด เพือ่ ใหทหารกองเกนิ ผูนนั้ มา ณ ท่อี ําเภอทองทีต่ ามที่ไดกําหนดไวนัน้ เพอ่ื เขา รบั ราชการทหารกองประจําการ ถา ทหารกองเกินผนู ้ันไมมาตามนัด ใหถอื วาหลีกเล่ียงขดั ขืน มาตรา ๔๐ ทหารกองประจาํ การ ถา ตองจําขงั หรือจําคกุ ครั้งเดียว หรอื หลายครง้ั เมอ่ื มีกาํ หนด วนั ทจ่ี ะตองทณั ฑหรือตองโทษรวมไดไ มนอ ยกวา หนง่ึ ปก ด็ ี หรอื ทหารกองประจาํ การผใู ดซ่งึ กระทรวงกลาโหม เห็นวา จะกระทาํ ใหเ ส่ือมเสียแกราชการทหารดว ยประการใด ๆ ก็ดี จะปลดเปนทหารกองหนุนประเภท ท่ี ๒ ก็ได ใหผ วู า ราชการจังหวดั พรอ มดวยสัสดจี งั หวดั ออกใบสาํ คัญใหแกทหารทถี่ ูกปลดนี้ไวเปน หลักฐาน ใบสาํ คัญน้ี หากชาํ รดุ หรือสญู หาย ใหผถู ือแจงตอนายอําเภอทอ งท่ีเพื่อรับใหมโ ดยเสียคา ธรรมเนียม ฉบับละหนึ่งบาท แตถาการชํารุดหรือสญู หายนั้นเปน เพราะเหตสุ ดุ วิสัย กไ็ มต องเสยี คาธรรมเนยี ม สรปุ ประเดน็ ทน่ี ายอาํ เภอมีอํานาจหนา ท่ี 1. กรณหี นงั สือสาํ คญั ของทหารท่ีถกู ปลดเปน ทหารกองหนุนสูญหาย ใหผูถ อื แจง ตอ นายอาํ เภอ ทองท่ีเพ่ือขอรบั หนังสอื สาํ คัญใหม โดยเสยี คาธรรมเนียมฉบับละหนึง่ บาท แตถาการชาํ รุดหรอื สญู หายน้ัน เปนเพราะเหตสุ ุดวิสยั ก็ไมตอ งเสยี คาธรรมเนียม 2. กรณบี ุคคลซง่ึ ไดลงบญั ชที หารกองเกินตามมาตรา 16 หรอื ทหารกองเกนิ หรอื ทหารกองหนนุ ผูใดประสงคจ ะไปอยตู า งทอ งท่ใี นอําเภอเดียวกันหรือตางอําเภอเปนการชัว่ คราวเกินสามสิบวัน ใหแ จง ตอ นายอาํ เภอทอ งท่ที ่ตี นเขา มาอยู และใหน ายอําเภอท่ีไดรบั แจงทาํ การสอบสวนและออกใบรับให แลว แจง ใหนายอาํ เภอทองทีท่ ี่ผูนน้ั มีภูมลิ ําเนาทหารทราบ 3. กรณีบุคคลซงึ่ ไดลงบัญชีทหารกองเกินตามมาตรา 16 หรอื ทหารกองเกนิ หรอื ทหารกองหนนุ ผใู ดประสงคจ ะยายภูมิลาํ เนาทหาร ใหแจง ตอนายอําเภอทองทีท่ ี่ตนเขามาอยูนนั้ ใหนายอาํ เภอที่ไดรบั แจง ทาํ การสอบสวน เมอื่ พจิ ารณาเห็นวา ผูข อยายไดมาตัง้ ทํามาหาเลี้ยงชพี เปนประจาํ หรือมที ่อี ยเู ปนหลักฐานและไม ประสงคจ ะหลีกเล่ียงการรบั ราชการทหาร กใ็ หแ จงไปยงั นายอาํ เภอทองท่ีที่เปน ภูมลิ าํ เนาทหารเดิมทราบ เม่อื ไดรับตอบยืนยนั เปน การถูกตอ งจึงใหร บั แจงการยา ยภมู ิลําเนาทหารของบุคคลนนั้ และออกใบรับให แลว ใหน ายอาํ เภอท่ีเก่ยี วของแจงใหผ วู า ราชการจังหวดั ของตนทราบ 4. กรณีบคุ คลซึง่ ไดล งบัญชีทหารกองเกนิ ตามมาตรา 16 หรอื ทหารกองเกนิ หรอื ทหารกองหนนุ ผใู ดไดร ับอนญุ าตใหเ ปลย่ี นชอื่ ตัวหรอื ชื่อสกุล ใหผ ูน้ันนําหลกั ฐานไปแจงตอนายอาํ เภอทอ งทท่ี ีเ่ ปน ภูมลิ ําเนา ทหารทราบภายในสามสิบวันนบั แตวันทไ่ี ดร บั อนุญาต ใหน ายอาํ เภอออกใบรับใหและแกใบสาํ คัญและ บัญชใี หถ ูกตอง ในกรณหี นงั สือสาํ คญั หรือใบสําคัญทจ่ี งั หวดั เปน ผอู อก ใหส งผวู า ราชการจังหวดั และสัสดี จงั หวดั จดั การแก

- 105 - 5. บุคคลซ่งึ พนจากฐานะตามท่กี ําหนดไวใ นมาตรา ๑๓ (๑) มาตรา ๑๔(๑) (๒) (๓) (๕) (๖) หรือ (๗) มาตรา ๒๗ (๒) หรอื มาตรา ๒๙ (๓) ใหแ จง ดวยตนเองตอนายอําเภอทองที่ทีต่ นอยูหรือทําการ ประจํา ภายในสามสิบวันนบั แตวันท่พี นจากฐานะเชนน้นั และใหน ายอาํ เภอออกใบรบั ให ถาผนู ้นั มี ภูมลิ ําเนาทหารอยใู นทอ งทอ่ี ําเภออน่ื ใหนายอําเภอทีไ่ ดรบั แจงแจง ตอไปยงั นายอาํ เภอทองทที่ ่ีเปน ภูมิลาํ เนาทหารของผนู ้ัน 6. บรรดาชายซ่ึงมสี ญั ชาติไทย เมื่อมอี ายยุ า งเขาสบิ แปดปผ ใู ดไมสามารถไปลงบญั ชที หาร กองเกนิ ดวยตนเองได ตองใหบคุ คลซ่ึงบรรลุนิตภิ าวะและเชอ่ื ถือไดไปแจง แทน ใหนายอําเภอสอบสวน เมื่อเหน็ วา ถูกตอง ใหลงบญั ชีทหารกองเกินไว ถาไมม ผี มู าแจง แทน ใหถ อื วา ผูน ั้นหลกี เลีย่ งขัดขนื ไมมา ลงบัญชที หารกองเกิน เมอื่ ไดรบั การขอลงบญั ชที หารกองเกินตามมาตรานี้ ใหนายอาํ เภอออกใบสําคัญ หรือใบรบั ใหผ ขู อลงบัญชีทหารกองเกินไวเ ปนหลกั ฐาน หากใบสาํ คัญชาํ รดุ หรือสญู หาย ใหผถู อื แจงตอ นายอําเภอทองทเ่ี พือ่ ขอรับใบสาํ คัญใหมโดยเสียคา ธรรมเนยี มฉบบั ละหน่งึ บาท แตถ า การชาํ รดุ หรอื สูญหายนน้ั เปน เพราะเหตสุ ุดวิสยั ก็ไมตอ งเสียคาธรรมเนียม 7. ในเดือนกันยายนทกุ ป ใหน ายอาํ เภอมีหนา ทป่ี ระกาศใหผ ทู ี่มีอายุถงึ เขตที่จะตอ งลงบญั ชี ทหารกองเกินไปลงบญั ชที หารกองเกนิ ตามที่กาํ หนดไวในมาตรา ๑๖ ประกาศเชน วาน้ี ใหนายอําเภอปด ไว ณ ท่วี าการอําเภอและ ณ ทเี่ ปดเผยตามชุมนมุ ชนในทองท่ีนน้ั กบั ใหน ายอาํ เภอสงประกาศใหกํานนั ผูใหญบา นเพื่อนําไปแจงใหราษฎรในทองท่ขี องตนทราบดวย 8. บคุ คลซึ่งยังมิไดล งบัญชีทหารกองเกินท่ีอําเภอพรอ มกบั คนชัน้ ปเ ดยี วกันเพราะเหตุใดๆ ก็ดี ถา อายุยงั ไมถ ึงสี่สิบหกปบ ริบูรณ ใหปฏิบตั ทิ ํานองเดียวกับมาตรา ๑๖ ภายในสามสบิ วันนับแตวันที่ สามารถจะปฏิบัติได แตจะใหผูอ่ืนแจงแทนไมได ถานายอําเภอจะเรียกตวั ลงบัญชีทหารกองเกนิ ก็ยอมทาํ ได โดยไมต อ งคํานงึ ถงึ กําหนดเวลาดงั กลา วแลว และเม่อื ไดร บั การลงบัญชที หารกองเกินดงั กลาว ใหน ายอาํ เภอออก ใบสาํ คญั หรือใบรบั ใหไ วเ ปนหลักฐาน หากใบสาํ คญั ชํารุดหรือสูญหาย ใหผ ูถือแจงตอนายอําเภอทองท่เี พ่ือ ขอรบั ใบสาํ คัญใหมโดยเสยี คาธรรมเนียมฉบับละหนง่ึ บาท แตถา การชํารดุ หรือสูญหายน้นั เปนเพราะเหตุ สดุ วสิ ยั กไ็ มตอ งเสียคา ธรรมเนียม 9. เม่ือจาํ เปน นายอาํ เภอมีอาํ นาจประกาศเรียกบคุ คลท่ีไดล งบญั ชที หารกองเกินไวท่อี ําเภอ ตามมาตรา ๑๖ หรอื มาตรา ๑๘ แลว ไปแสดงตนเพ่ือลงบัญชที หารกองเกินใหมไดภ ายในกําหนดเกาสบิ วนั นับต้งั แตว ันประกาศ โดยประกาศเชนวา นี้ ใหนายอําเภอปดไว ณ ท่ีวาการอาํ เภอและ ณ ทเี่ ปดเผยตาม ชุมนุมชนในทองทน่ี ้นั กบั ใหน ายอําเภอสงประกาศใหกํานนั ผูใ หญบ า นเพ่ือนาํ ไปแจง ใหร าษฎรในทองท่ี ของตนทราบดวย หากผใู ดไมสามารถจะไปลงบัญชีทหารกองเกินดวยตนเองได ตองใหบุคคลซงึ่ บรรลนุ ิติ ภาวะและพอจะเช่ือถือไดไปแจง แทน ถาไมม ผี แู ทนใหถ ือวาผูน้ันหลกี เล่ียงขดั ขืน และเม่ือไดร บั การขอ ลงบัญชที หารกองเกนิ ตามมาตรานี้ ใหนายอําเภอออกใบสําคญั หรอื ใบรับใหผูข อลงบัญชีทหารกองเกินไว เปน หลกั ฐาน ตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง หากใบสาํ คัญชํารดุ หรือสูญหายใหผ ูถือแจงตอ นายอําเภอ ทอ งท่ีเพ่ือขอรับใบสาํ คัญใหมโดยเสียคาธรรมเนียมฉบบั ละหนง่ึ บาท แตถา การชํารุดหรือสูญหายน้ันเปน เพราะเหตสุ ุดวสิ ยั กไ็ มตองเสียคา ธรรมเนียม

- 106 - 10. การเรยี กทหารกองเกนิ เขา รบั ราชการทหารกองประจาํ การนน้ั ใหน ายอาํ เภอออกหมายเรยี ก ทหารกองเกนิ ซ่ึงลงบญั ชที หารกองเกนิ ไวต ามมาตรา ๑๖ มาตรา ๑๘ และมาตรา ๑๙ มาตรวจเลอื ก ทง้ั น้ี ใหเปน ไปตามหลกั เกณฑ วิธีการ และแบบท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง 11. ใหนายอาํ เภอทอ งทท่ี ี่มีการตรวจเลือกมีหนา ทด่ี ังตอไปนี้ (๑) จัดสถานทที่ ําการตรวจเลือก (๒) จดั เจาหนา ที่และเอกสารเกีย่ วกับการตรวจเลือกเพ่ือใหคณะกรรมการตรวจเลือก ตรวจสอบไดในวนั ตรวจเลอื ก (๓) จดั คนซึ่งมาตรวจเลือกใหร วมอยเู ปน ตําบลเพ่ือฟง เรยี กชื่อ (๔) สอบสวนบคุ คลซึ่งรอ งขอในเหตผุ ลตาง ๆ แลว มอบเร่ืองใหคณะกรรมการตรวจเลอื ก พิจารณา (๕) ตรวจทานและบนั ทึกบัญชเี รยี กของอําเภอตามผลการตรวจเลือก (๖) ปฏิบตั กิ ารอืน่ ตามที่กาํ หนดในกฎกระทรวง 12. เม่อื ไดคัดคนทยี่ กเวน ดว ยเหตุตาง ๆ ออกแลว ถา มีจํานวนทหารกองเกินทีจ่ ะรบั ราชการเปน ทหารกองประจาํ การไดมากกวาจํานวนท่ีฝา ยทหารตองการ ใหผ อ นผนั แกป ระเภทบุคคล โดยนายอําเภอ ตอ งสอบสวนหลกั ฐานไวเ สยี กอนวนั ตรวจเลอื ก เพื่อคณะกรรมการตรวจเลอื กจะไดต ดั สินไดทันที 13. ถา ปรากฏวา ทหารกองเกนิ ซ่ึงมีอายุเกินย่ีสบิ เอด็ ปบรบิ รู ณ และยงั ไมถึงสามสบิ ปบ รบิ รู ณ ในปท จี่ ะเขา รบั ราชการทหารกองประจําการ ไปทํามาหาเล้ียงชพี ในทองท่ีอาํ เภออื่น และนายอําเภอทอ งท่ี ทีเ่ ปน ภมู ลิ ําเนาทหารไดสงหมายเรยี กไปยงั นายอําเภอทองท่ีที่ผูนน้ั ไปอยูมอบแทนให เม่อื ไดร ับหมายเรียกแลว แตไมส ามารถจะไปตามหมายนนั้ ได เพราะไมม คี าพาหนะหรอื จะไปไมท นั ผูน น้ั ตองรบี ช้แี จงตอนายอาํ เภอ ทอ งทท่ี ่ีไปอยู เม่ือนายอําเภอทองทนี่ ัน้ สอบสวนไดความจริงก็ใหเขารับการตรวจเลอื กพรอมกับคนในอาํ เภอ ทองท่ีที่ไปอยู แตถ าไมสามารถสงเขา รบั การตรวจเลือกในอําเภอทองท่ีน้นั ได กใ็ หน ายอาํ เภอรบี จัดสงผูนนั้ ไปรับการตรวจเลือกยังอําเภอทองที่ใกลเคียงตามทเ่ี ห็นสมควร โดยใหน ายอาํ เภอทองทที่ ี่รับเขาตรวจเลอื ก แจง ตอนายอาํ เภอทองท่ที ่ีออกหมายเรียก 14. ทหารกองประจําการ ถา ตองจาํ ขงั หรือจําคุกคร้ังเดยี ว หรอื หลายครัง้ เมื่อมีกาํ หนดวนั ที่ จะตอ งทัณฑหรอื ตองโทษรวมไดไมนอ ยกวา หนึง่ ปก ็ดี หรอื ทหารกองประจาํ การผใู ดซ่งึ กระทรวงกลาโหมเหน็ วา จะกระทาํ ใหเ ส่ือมเสยี แกราชการทหารดว ยประการใด ๆ ก็ดี จะปลดเปนทหารกองหนุนประเภทที่ ๒ ก็ได และใหผูวาราชการจังหวัดพรอมดว ยสสั ดีจังหวดั ออกใบสําคญั ใหแกทหารที่ถกู ปลดน้ีไวเ ปน หลกั ฐาน หากใบสาํ คญั น้ชี าํ รดุ หรอื สญู หาย ใหผ ูถือแจง ตอนายอาํ เภอทอ งทเี่ พื่อรบั ใหมโดยเสียคา ธรรมเนยี มฉบบั ละหน่งึ บาท แตถ า การชํารุดหรือสูญหายน้นั เปนเพราะเหตุสุดวิสยั ก็ไมต องเสียคาธรรมเนยี ม (24) พระราชบญั ญัติลกั ษณะปกครองทองท่ี พุทธศกั ราช 2457 มาตราทเี่ กี่ยวขอ ง มาตรา 13 การเลอื กผูใหญบานตองเปนไปโดยสจุ ริตและเทีย่ งธรรม และใหกระทําโดยวธิ ลี บั ทั้งนี้ ตามหลกั เกณฑและวิธกี ารทีก่ ระทรวงมหาดไทยกําหนดโดยประกาศในราชกจิ จานุเบกษา

- 107 - เพ่อื ประโยชนในการเลือกผใู หญบาน ใหมีคณะกรรมการคณะหน่ึงซ่ึงนายอําเภอแตงตั้งจากเจา หนาที่ ของรฐั ไมเ กินสามคน และราษฎรผูมสี ิทธเิ ลือกผใู หญบ า นในหมูบาน ซ่ึงเปนทยี่ อมรับนบั ถอื ของราษฎร ในหมบู านจํานวนไมน อยกวาสี่คนแตไมเกินเจ็ดคน เพือ่ ทําหนาทีต่ รวจสอบคุณสมบัติและลักษณะตองหาม ของผูสมัครรับเลือกเปน ผใู หญบาน การแตงตัง้ กรรมการ วิธกี ารเลอื กประธานคณะกรรมการ และวธิ ีการตรวจสอบตามวรรคสอง ใหเ ปน ไปตามหลักเกณฑและวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกําหนดโดยประกาศในราชกิจจานเุ บกษา เมือ่ ราษฎรสวนใหญเลือกผูใ ดเปน ผูใหญบ า นแลว ใหนายอาํ เภอออกคําส่งั เพ่ือแตง ตั้งและ ใหถือวา ผนู น้ั เปนผูใหญบ านนับแตว ันทไี่ ดรบั แตง ต้งั ในกรณที ่ีผูร ับเลอื กมคี ะแนนเสยี งเทา กันใหใชวธิ ีจับสลาก ท้ังน้ี เมือ่ นายอําเภอไดมคี าํ สงั่ แตง ตั้งผูใหญบา นแลว ใหร ายงานใหผ ูว าราชการจงั หวดั เพ่อื ออกหนงั สือสาํ คญั ใหไว เปน หลักฐาน ในกรณที ่ีมีการคัดคา นวา ผูซึ่งไดรับเลือกเปนผใู หญบ านตามวรรคส่ีไดร ับเลือกมาโดยไมส จุ ริตและ เทย่ี งธรรม ใหน ายอําเภอดําเนนิ การสอบสวน และถา ผลการสอบสวนไดความตามทม่ี ีผูคัดคา นใหรายงานผวู าราชการ จงั หวดั และใหผวู า ราชการจังหวัดส่ังใหพนจากตําแหนงโดยเร็ว ทงั้ น้ี ภายในเกา สบิ วันนับแตวันทีน่ ายอําเภอ มีคาํ สัง่ แตงต้ัง การพนจากตาํ แหนง ของผูใ หญบานตามวรรคหา ไมกระทบกระเทอื นกิจการทผ่ี ูใหญบ า นไดก ระทํา ลงไปในขณะทดี่ ํารงตําแหนง มาตรา 14 ผใู หญบานตอ งพนจากตําแหนง ดว ยเหตใุ ดเหตุหนึ่งดังตอไปน้ี (1) มีอายุครบหกสิบป (2) ขาดคุณสมบัติหรอื มีลักษณะตองหามตามมาตรา 12 เวน แตในกรณีทไ่ี ดร ับอนญุ าตจาก ผูวาราชการจงั หวดั ใหล าอปุ สมบทหรอื บรรพชาตามประเพณี มิใหถือวา มลี ักษณะตองหามตามมาตรา 12 (5) (3) ตาย (4) ไดร ับอนญุ าตจากนายอําเภอใหลาออก (5) หมบู านทป่ี กครองถกู ยุบ (6) เมอื่ ราษฎรผมู คี ุณสมบัติและไมม ีลักษณะตอ งหา มตามมาตรา 11 ในหมบู า นนนั้ จํานวนไมนอ ย กวา ก่งึ หนง่ึ ของราษฎรผมู ีคณุ สมบตั แิ ละไมมลี กั ษณะตองหา มตามมาตรา 11 ท้งั หมดเขา ชือ่ กนั ขอใหออกจาก ตําแหนง ในกรณเี ชน นั้นใหน ายอําเภอสั่งใหพน จากตาํ แหนง (7) ผวู าราชการจังหวดั สัง่ ใหพน จากตาํ แหนง เม่ือไดร บั รายงานการสอบสวนของนายอาํ เภอวาบกพรอง ในหนาท่ี หรอื ประพฤตติ นไมเหมาะสมกับตําแหนง (8) ไปเสียจากหมูบา นที่ตนปกครองตดิ ตอกนั เกินสามเดือน เวนแตเมื่อมเี หตุอนั สมควรและ ไดรบั อนุญาตจากนายอําเภอ (9) ขาดการประชมุ ประจําเดอื นของกํานนั ผูใ หญบ านทน่ี ายอําเภอเรียกประชุมสามครง้ั ตดิ ตอกันโดยไมมีเหตอุ ันควร มาตรา 17 เมื่อผใู ดไดรับคดั เลอื กเปนผชู วยผใู หญบานฝายปกครองหรือผชู ว ยผใู หญบ าน ฝายรกั ษาความสงบ ใหกาํ นันรายงานไปยังนายอาํ เภอเพอ่ื ออกหนงั สือสาํ คัญไวเปนหลักฐาน และใหถือวา ผูน ั้นเปน ผูชวยผูใหญบ านฝา ยปกครองหรอื ผูช วยผูใ หญบ า นฝา ยรักษาความสงบตงั้ แตว นั ทน่ี ายอาํ เภอออกหนงั สือสําคัญ

- 108 - มาตรา 19 เม่ือปรากฏเหตอุ ยา งใดอยางหนงึ่ ดังตอไปน้ี ใหเ ลือกผูใหญบานขนึ้ ใหม (1) กรณที ี่หมูบานใดมจี ํานวนราษฎรเพิม่ ขน้ึ ไมวาดว ยเหตุใดกต็ าม เมื่อกํานันและผูใหญบานในตาํ บล น้ันปรึกษากนั เหน็ วา จาํ นวนราษฎรนัน้ เกินกวา ความสามารถของผใู หญบา นคนเดยี วจะดแู ลปกครองใหเรยี บรอยได ใหกาํ นันรายงานตอ นายอําเภอเพอ่ื พจิ ารณาและเสนอความเหน็ ไปยงั ผูวาราชการจังหวัด ในกรณีทีผ่ ูว า ราชการ จงั หวดั เหน็ สมควร ใหต ง้ั หมูบานข้นึ ใหมแ ละเลือกผใู หญบานเพิม่ เติมข้ึนใหมได (2) กรณที ีผ่ ูใหญบา นของหมบู า นใดวางลง ใหเ ลือกผใู หญบานภายในกาํ หนดสามสบิ วนั นบั แต วนั ท่ีผูใ หญบ านของหมบู านนั้นวา งลง ในกรณีมีความจําเปนไมอาจจัดใหมีการเลือกผูใ หญบานภายในกําหนดตาม (2)ได ใหผวู า ราชการจังหวัด ขยายเวลาออกไปไดเทาทจี่ ําเปน และในระหวา งทย่ี ังมิไดมีการเลอื กผูใหญบ าน ผวู าราชการจงั หวดั จะแตงตั้ง ผูใหญบ า นในตําบลน้ันคนหนึ่งเปน ผูรกั ษาการแทนผูใหญบ าน หรือจะแตงตัง้ บุคคลผูมีคณุ สมบัติและไมมีลกั ษณะ ตอ งหา มตามมาตรา 12 เปนผรู ักษาการผูใ หญบานจนกวา จะมกี ารเลอื กผูใหญบา นกไ็ ด มาตรา 20 เม่ือผูใหญบา นตองออกจากตําแหนง ดวยเหตปุ ระการใดๆ เปนหนาที่ของกํานนั นายตาํ บลนนั้ จะตอ งเรียกหมายตั้งและสํามะโนครัวทะเบียนบัญชที ไี่ ดท าํ ขึน้ ไวในหนาทผ่ี ูใหญบ า นนน้ั คนื มารกั ษาไว เมื่อผูใ ดรับตําแหนง เปน ผูใ หญบ า นแทน ก็ใหมอบสํามะโนครวั และทะเบียนบัญชีท้ังปวงให แตห มายตงั้ น้ันกํานนั ตอ งรบี สง ใหก รมการอาํ เภอ อนงึ่ การท่จี ะเรียกคืนหมายต้งั และสํามะโนครวั ทะเบียนบญั ชีทีไ่ ดก ลา วมา ในขอน้ี ถา ขัดของประการใด กาํ นันตอ งรบี แจงความตอ กรมการอําเภอ มาตรา 21 ถาผูใหญบานคนใดจะทาํ การในหนา ทีไ่ มไดใ นคร้งั หน่ึงคราวหน่ึงใหมอบหนาท่ี ใหแ กผ ชู ว ยผูใ หญบานฝา ยปกครองคนใดคนหนง่ึ เปนผูรกั ษาการแทนจนกวาผูใ หญบ านน้นั จะทาํ การในหนาทีไ่ ด และรายงานใหก าํ นนั ทราบ ถา การมอบหนาที่น้ันเกนิ กวา สิบหา วนั ใหก าํ นนั รายงานใหน ายอาํ เภอทราบดว ย มาตรา 22 ถา ในทองที่อาํ เภอใดมรี าษฎรไปตั้งชุมนุมทาํ การหาเล้ยี งชีพแตใ นบางฤดู ถา และ จํานวนราษฎรซงึ่ ไปตั้งทําการอยมู ากพอสมควรจะจดั เปน หมูบานไดตามพระราชบัญญัตลิ กั ษณะปกครองทอ งท่ี เพอ่ื ความสะดวกแกการปกครอง กใ็ หน ายอาํ เภอประชมุ ราษฎรในหมูน ั้นเลอื กวา ทผี่ ใู หญบา นคนหน่ึง หรอื หลายคนตามควรแกกาํ หนดที่วา ไวในพระราชบัญญัติลกั ษณะปกครองทอ งทน่ี ี้ มาตรา 24 ผูใหญบา นเชนนี้ ใหเ รยี กวา วาทผ่ี ูใ หญบาน เพราะเหตุทีเ่ ปน ตาํ แหนงช่ัวครัง้ หนงึ่ คราวหนง่ึ แตม ีอํานาจและหนา ท่ีเทาผูใหญบ านทุกประการ ถา ราษฎรเลือกผหู นึ่งผใู ดอันสมควรจะวา ท่ีผูใ หญบ านได ก็ใหร ายงานขอหมายตั้งตอผูวาราชการเมือง มาตรา 21 ตรี ในหมูบานหน่งึ ใหมีคณะกรรมการหมบู านประกอบดวยผูใหญบ า นเปนประธาน ผชู วยผูใหญบาน สมาชกิ สภาองคกรปกครองสวนทองถิ่นท่ีมีภูมลิ าํ เนาในหมูบาน ผนู ําหรอื ผแู ทนกลุมหรือ องคกรในหมูบ าน เปนกรรมการหมูบานโดยตําแหนง และกรรมการหมูบา นผทู รงคุณวุฒซิ ง่ึ นายอําเภอแตงตงั้ จากผซู ึ่งราษฎรในหมบู านเลอื กเปนกรรมการหมูบ านผูทรงคณุ วฒุ ิจํานวนไมน อ ยกวา สองคนแตไ มเกินสบิ คน คณะกรรมการหมบู า นมีหนาท่ชี ว ยเหลอื แนะนาํ และใหค ําปรึกษาแกผ ูใ หญบ านเกย่ี วกบั กิจการ อันเปนอํานาจหนา ทข่ี องผใู หญบ า น และปฏิบัตหิ นา ท่ีอน่ื ตามกฎหมาย หรือระเบียบแบบแผนของทาง ราชการ หรอื ทน่ี ายอําเภอมอบหมาย หรือท่ีผใู หญบานรอ งขอ

- 109 - ใหค ณะกรรมการหมูบ า นเปนองคก รหลักที่รบั ผิดชอบในการบรู ณาการจัดทําแผนพัฒนาหมบู า น และบริหารจดั การกิจกรรมท่ีดาํ เนินงานในหมบู านรวมกับองคกรอนื่ ทกุ ภาคสว น ผูนาํ หรือผแู ทนกลุม หรือองคก รใดจะมีสิทธิเปนกรรมการหมูบานตามวรรคหนึ่งใหเ ปนไปตาม หลกั เกณฑทก่ี ระทรวงมหาดไทยกําหนดโดยประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา กรรมการหมบู า นผทู รงคณุ วุฒติ องมคี ุณสมบัติเชนเดียวกบั ผูมสี ทิ ธิเลือกผูใหญบ า น วธิ กี ารเลือกและการแตงตั้ง วาระการดาํ รงตาํ แหนง และการพนจากตาํ แหนง ของกรรมการผทู รงคณุ วฒุ ิ และการปฏบิ ตั หิ นาท่ี การประชมุ และการวนิ จิ ฉยั ช้ีขาด ของคณะกรรมการหมบู า นใหเ ปน ไปตามหลกั เกณฑ และวธิ กี ารที่กระทรวงมหาดไทยกําหนดโดยประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา คาใชจ า ยในการจัดประชมุ คณะกรรมการหมบู าน ใหก ระทรวงมหาดไทยจา ยเปนเงนิ อดุ หนุน ใหตามหลักเกณฑทกี่ ระทรวงมหาดไทยกําหนด โดยความเหน็ ชอบของกระทรวงการคลงั มาตรา 29 ทวิ ในตําบลหน่ึงใหม ีกํานนั คนหน่ึง มีอาํ นาจหนา ทป่ี กครองราษฎรท่ีอยูในเขตตําบลน้ัน กาํ นันจะไดรับเงนิ เดือนแตมิใชจ ากเงนิ งบประมาณประเภทเงินเดอื น ในตาํ บลหนึง่ ใหมคี ณะกรรมการตําบลคณะหนงึ่ มหี นาที่เสนอขอ แนะนําและใหคําปรึกษาตอ กํานนั เก่ียวกบั กจิ การที่จะปฏบิ ัติตามอํานาจหนาทข่ี องกํานัน คณะกรรมการตําบลประกอบดว ยกํานนั ทองท่ี ผูใ หญบานทุกหมบู านในตําบลและแพทยป ระจําตําบล เปน กรรมการตําบลโดยตําแหนง และครูประชาบาลในตาํ บลหนง่ึ คนกรรมการหมูบานผูทรงคุณวุฒหิ มูบานละ หนง่ึ คน เปนกรรมการตาํ บลผทู รงคุณวุฒิ โดยนายอาํ เภอเปนผคู ดั เลือกแลว รายงานไปยังผวู า ราชการจังหวดั เพื่อออกหนงั สือสาํ คัญใหไวเ ปน หลักฐานและใหถ ือวาผูน้นั เปน กรรมการตําบลผูทรงคุณวฒุ ติ ง้ั แตวนั ที่ผวู าราชการ จงั หวัดออกหนงั สอื สําคัญ กรรมการตาํ บลผูทรงคณุ วุฒิอยูในตาํ แหนงคราวละหาป นอกจากออกจากตาํ แหนงตามวาระ กรรมการตาํ บลผูทรงคุณวุฒติ องออกจากตาํ แหนง เพราะ พนจากตาํ แหนง ครปู ระชาบาลหรือกรรมการหมูบา นผทู รงคณุ วุฒิ ถาตําแหนงกรรมการตําบลผทู รงคุณวุฒิวางลง ใหมกี ารคัดเลอื กข้นึ แทนใหเ ต็มตําแหนงทว่ี าง และใหอ ยูในตําแหนง ตามวาระของผซู ่ึงตนแทน การคัดเลอื กกรรมการตาํ บลผูทรงคณุ วฒุ ิข้ึนแทนตําแหนงท่ีวา ง ใหกระทําภายในหกสิบวันนับแตว ันท่ี ตาํ แหนงน้ันวา ง ถา ตาํ แหนงน้นั วางลงกอ นถงึ กาํ หนดออกตามวาระไมเ กนิ หน่งึ รอยแปดสิบวัน จะไมคัดเลอื กขน้ึ แทนก็ได มาตรา 30 ใหนายอําเภอเปน ประธานประชุมผใู หญบา นในตําบลนนั้ เพื่อปรึกษาหารือ คดั เลอื กผูใหญบานคนหนึง่ ในตําบลนนั้ ขนึ้ เปนกํานัน เม่ือผใู หญบ า นท่ีมาประชมุ เห็นชอบคดั เลอื กผูใดแลว ใหนายอาํ เภอคัดเลือกผูนน้ั เปนกาํ นัน ในกรณีที่มีผูสมควรไดรับการคัดเลือกเปน กํานนั มากกวาหนึง่ คน ใหน ายอําเภอจัดใหม กี าร ออกเสยี งลงคะแนน เมือ่ ผใู หญบานคนใดไดรับคะแนนสูงสุดใหน ายอําเภอคดั เลือกผูน ัน้ เปนกํานนั ในกรณี ท่ไี ดร ับคะแนนเทา กัน ใหใชว ิธีจับสลาก การลงคะแนนตองเปนไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม และใหก ระทําโดยวธิ ลี ับตามหลกั เกณฑ และวธิ กี ารทก่ี ระทรวงมหาดไทยกาํ หนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

- 110 - เมอื่ คดั เลือกผูใดเปนกาํ นันตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองแลว ใหน ายอาํ เภอรายงานไปยังผวู าราชการ จังหวัดเพอ่ื ออกหนงั สือสําคัญใหไวเปน หลักฐาน การประชุมผูใ หญบ า นตามวรรคหนึ่งตองมีผใู หญบานมาประชุมไมน อยกวา กง่ึ หน่งึ ของจาํ นวน ผใู หญบา นทัง้ หมดทมี่ ีอยูใ นตาํ บลนั้น จงึ เปน องคประชมุ ใหน ําบทบญั ญตั ใิ นวรรคหาและวรรคหกของมาตรา 13 มาใชบังคับกับการเลือกกํานันดวย โดยอนโุ ลม มาตรา 32 ในกรณที ต่ี าํ แหนงกํานนั วางลง ใหค ัดเลอื กกํานนั ข้ึนใหมภายในกาํ หนดเวลาสสี่ ิบ หา วนั นบั แตว ันท่ีนายอําเภอไดทราบการวา งนน้ั หากมีความจาํ เปน ไมอ าจจดั ใหม กี ารคดั เลอื กกาํ นันภายในกาํ หนดตามวรรคหนง่ึ ได ใหผูวา ราชการ จังหวดั ขยายเวลาออกไปไดเ ทาท่จี ําเปน และในระหวางท่ียงั มิไดมีการเลอื กกาํ นนั ผวู าราชการจงั หวดั จะแตงต้ัง บคุ คลผูมคี ุณสมบัติและไมม ลี ักษณะตองหา มตามมาตรา 12 เปนผรู ักษาการกํานันจนกวา จะมีการคัดเลือก กาํ นันก็ได มาตรา 33 ถากํานันทําการในหนาที่ไมได ในชัว่ คราวเวลาใด เชน ไปทางไกลเปนตน ใหม อบ อาํ นาจและหนาทไ่ี วแ กผ ใู หญบ านคนใดคนหนึ่ง ซ่งึ อยใู นตาํ บลเดียวกนั ใหท ําการแทน และใหผ ูแทนนมี้ อี ํานาจ เตม็ ทใี่ นตําแหนง กาํ นนั แตการทก่ี ํานนั จะมอบหมายหนา ที่ใหแ กผใู หญบานทําการแทนเชนนี้ ใหบ อก ผใู หญบ า นท้ังหลายในตาํ บลเดยี วกันและบอกกรมการอําเภอใหท ราบไวดว ย มาตรา 61 ทวิ กาํ นัน ผูใหญบ าน และแพทยประจาํ ตําบลตองรกั ษาวินยั โดยเครงครัดอยเู สมอ ผใู ดฝาฝนใหถือวาผนู ้ันกระทําผดิ ตองไดรบั โทษวินยั และโทษผดิ วินัยใหใชกฎหมายวาดว ยระเบยี บขา ราชการ พลเรือนโดยอนโุ ลมอํานาจการลงโทษ กาํ นนั ผใู หญบ าน และแพทยประจําตําบลใหเ ปน ไปดังนี้ (1) กาํ นนั มีอํานาจลงโทษภาคทัณฑผใู หญบา น (2) นายอําเภอมีอํานาจลงโทษกาํ นนั ผใู หญบาน และแพทยป ระจําตําบลดังน้ี (ก) ลดอันดับเงินเดือนไมเกินหนึ่งอันดับ (ข) ตดั เงินเดือน โดยเทียบในฐานะเปน ผูบังคับบัญชาช้นั หัวหนา แผนกกับผูกระทําผิดชน้ั เสมยี นพนกั งาน ตามท่ีกาํ หนดไวใ นกฎหมายวาดว ยระเบยี บขาราชการพลเรือน (ค) ลงโทษภาคทณั ฑ เมื่อกาํ นันผูใหญบานคนใดถูกฟองในคดีอาญา เวน แตคดคี วามผิดในลักษณะฐานลหุโทษ หรือ ความผดิ อนั ไดก ระทาํ โดยประมาท หรอื มีกรณีท่ีตอ งหาวาทําผดิ วินัยอยางรา ยแรงถกู สอบสวนเพอ่ื ไลออก หรอื ปลดออก ถานายอาํ เภอเหน็ วาจะคงใหอยูในตาํ แหนงจะเปน การเสยี หายแกราชการจะส่ังใหพักหนา ท่ี ก็ได แลว รายงานใหข า หลวงประจําจงั หวัดทราบการสัง่ ใหก ลบั เขารับหนาท่ตี ลอดถึงการวนิ ิจฉัยวา จะควร จา ยเงินเดอื นระหวางพักใหเพียงใดหรือไม ใหข า หลวงประจําจงั หวัดเปนผูพจิ ารณาสงั่ อนุโลมตาม กฎหมายวาดว ยระเบียบขา ราชการพลเรือน (3) ขาหลวงประจาํ จงั หวัดมอี ํานาจลงโทษกํานันผใู หญบ านและแพทยประจาํ ตาํ บลในทุกสถาน ในกรณีการลดอนั ดบั และตดั เงินเดือน ใหเทยี บขาหลวงประจาํ จงั หวดั ในฐานะเปน ผบู ังคับบัญชาชั้นหวั หนา กอง และกาํ นันผูใหญบานแพทยประจําตาํ บลเปนชั้นเสมยี นพนักงานตามที่กําหนดไวในกฎหมายวาดวยระเบยี บ ขาราชการพลเรือน

- 111 - โดยเฉพาะโทษปลด หรอื ไลอ อก ถา กาํ นันผูใหญบานและแพทยประจาํ ตาํ บลผถู ลู งโทษเห็น วาตนไมไดร บั ความเปนธรรม ก็มสี ทิ ธ์ริ อ งทุกขตอกระทรวงมหาดไทย การรองทกุ ขใหท ําคาํ รอ งลงลายมือช่ือย่นื ตอนายอาํ เภอภายในกาํ หนดสบิ หา วันนบั แตวนั ได ทราบคําส่ังการลงโทษเพ่ือนายอําเภอจักไดเ สนอตอไปยังขา หลวงประจําจังหวดั และกระทรวงมหาดไทยตามลาํ ดับ ภายในกาํ หนดสบิ หา วนั นับแตว นั ไดร ับคํารองทุกข พรอ มดวยคําชี้แจง ถา จะพึงมี ใหก ระทรวงมหาดไทยมี อาํ นาจส่งั ใหย กคํารองทุกขห รือเพิกถอนคําสัง่ การลงโทษหรือลดโทษ มาตรา 66 อําเภอหนึ่ง ใหมีพนักงานปกครองคณะหนง่ึ เรยี กรวมกนั วา กรมการอาํ เภอๆ แยกเปน รายตาํ แหนง ดังน้ี คอื (1) นายอาํ เภอ หรอื ถา เปน ตําแหนง พิเศษ เรยี กวา ผวู า ราชการอาํ เภอ เปน หวั หนา การปกครอง ทั่วไปในอําเภอ และข้ึนตรงตอผวู าราชการเมือง มอี าํ เภอละคนหน่ึง (2) ปลดั อําเภอเปน ผชู ว ยและผแู ทนนายอําเภออยูในบงั คับนายอาํ เภอ อําเภอหน่งึ มีจาํ นวน ปลัดอําเภอมากนอยตามสมควรแกราชการ (3) สมหุ บัญชอี ําเภอ คอื ขาราชการมสี ังกัดในกรมสรรพากรมีหนาทเ่ี ปน ผูชวยนายอําเภอ ในการเกบ็ ภาษอี ากรและผลประโยชนแผนดนิ อยูใ นบังคบั นายอาํ เภอ มาตรา 67 นายอาํ เภอ ปลดั อาํ เภอ สมหุ บญั ชซี งึ่ รวมเรยี กกันวา กรมการอําเภอน้ี แมม ีตาํ แหนง ตา งกนั ยอมมีหนา ท่แี ละความรับผดิ ชอบรวมกนั ในการท่จี ะใหก ารปกครองอาํ เภอน้นั เรียบรอ ย และเม่ือ ตาํ แหนงใดการมากเหลอื มือ หรอื วาวา งพนกั งานกรมการอําเภอ แมอยูในตําแหนงอนื่ ตองชวยและตอง ทาํ แทนกนั จะถือวาเปน พนักงานตา งกนั น้ันไมได มาตรา 68 นายอําเภอมีอํานาจในสวนธรุ การฝา ยพลเรือนเหนือขาราชการทุกแผนกท่ปี ระจาํ รกั ษาราชการในอําเภอน้นั อํานาจทว่ี า น้ไี มม ีแกอําเภอทต่ี ั้งที่วา การเมอื ง หรือทวี่ าการมณฑล มาตรา 75 เวลาตาํ แหนง ปลดั อาํ เภอ หรือสมหุ บ ัญชอี ําเภอวา ง ใหน ายอาํ เภอมอี ํานาจท่ีจะจัด ผูห น่ึงผใู ดในขณะกรมการอําเภอ หรือเสมียนพนักงานคนหนง่ึ คนใดเขาทําการในตําแหนงนัน้ ๆ ไดชัว่ คราว แตตอ งรีบบอกไปยังผูวา ราชการเมือง และใหผ นู ้ันทาํ การในตําแหนงนน้ั ไปกวาจะไดรบั คําสง่ั จากเจา พนักงาน ผูใหญใ หเ ปน ประการใด เวลาตาํ แหนง เสมยี นพนกั งานในอาํ เภอวา ง ใหน ายอาํ เภอมีอาํ นาจท่ีจะจดั คนเขา ทําการในตาํ แหนง นัน้ ๆ ไดช ว่ั คราว แตตอ งบอกขออนมุ ัติของผวู าราชการเมืองภายในเดอื นหน่งึ แลวแตผูวา ราชการเมืองจะ ต้ังผูน้นั หรอื ผูอ น่ื ใหเ ปนแทนในตําแหนงท่ีวา ง มาตรา 76 บรรดาขา ราชการซง่ึ มีสงั กดั ทําราชการอยูใ นที่วาการอําเภอนายอาํ เภอมีอาํ นาจ ทจี่ ะใหล าไดคราวละไมเกิน 15 วนั มาตรา 77 ถาและผูใ ดมีเหตอุ นั นายอาํ เภอเห็นวาจะใหท ําราชการอยใู นตาํ แหนงจะเสยี ราชการ นายอําเภอจะใหผ ูนัน้ พกั ราชการเสยี ชวั่ คราวกไ็ ด แตในการทีส่ ัง่ ใหพักราชการน้ี ตองบอกใหผูวาราชการเมอื ง ทราบภายใน 15 วัน คาํ ตัดสินเปนเด็ดขาดในเรื่องนนั้ ใหเปนหนา ทข่ี องผมู ีอํานาจที่จะตงั้ ตาํ แหนง ทีเ่ กิด เหตุนน้ั

- 112 - มาตรา 81 หนาทก่ี รมการอาํ เภอที่กลา วไวใ นพระราชบัญญตั ิน้กี ด็ ี หรอื ในท่ีอืน่ ก็ดี ถามไิ ด ระบวุ า เปน หนา ท่ีเฉพาะนายอําเภอ หรอื เฉพาะตําแหนง ใดในกรมการอําเภอไซร ใหพ ึงเขาใจวาเปนหนา ท่ี และรับผิดชอบรวมกัน นายอําเภอเปนหวั หนา จะทาํ การน้นั เอง หรือจะมอบหมายใหกรมการอําเภอคนใด ทําโดยอนุมตั ิของนายอาํ เภอก็ได แตน ายอําเภอจะหลกี ความรับผิดชอบในการทง้ั ปวง เพราะเหตุที่อางวา ไดใ หผูอ่นื ทาํ แทนน้นั ไมได มาตรา 82 ในการทีจ่ ะฟง บังคบั บญั ชาราชการทั่วไป กรมการอาํ เภออยใู นบังคบั บัญชาผวู า ราชการ เมอื งโดยตรง จะลบลางคําสงั่ ผูวา ราชการเมืองได แตผ สู ําเร็จราชการมณฑลหรือเสนาบดีเจา กระทรวงในกรงุ เทพฯ ผบู ัญชาการน้นั ๆ แตก ารโดยปกตซิ ่งึ ยอมมขี าราชการเปนเจาแผนกจากเมืองหรือมณฑลไปตรวจการเฉพาะแผนก ในทีว่ า การอําเภอ ถา และผตู รวจนนั้ กระทําการตามคาํ สั่งและรบั อํานาจไปจากผวู าราชการเมืองหรือผูส ําเรจ็ ราชการมณฑลหรือเจากระทรวง กรมการอาํ เภอตองเชือ่ ฟง เหมอื นคําสั่งผวู าราชการเมอื งผสู าํ เร็จราชการ มณฑลและเจา กระทรวงทใ่ี ชมาน้ัน ถาหากวา ผตู รวจการนนั้ มาโดยลําพังหนา ที่ของตน จะสง่ั ใหจ ัดการในแผนกนนั้ ๆ ประการใดกรมการอําเภอควรทาํ ตาม ตอเมื่อคําสง่ั ไมข ัดกับคําสง่ั ผูวา ราชการเมืองและนายอําเภอเหน็ ชอบดวย ถา มีเจา พนักงานมาส่ังการประการใดๆ กรมการอําเภอตองรายงานใหผ วู า ราชการเมืองทราบดว ยจงทุกคราว มาตรา 83 กรมการอาํ เภอตองตรวจตราและจดั การปกครองตําบลและหมูบา นใหเ ปนไปได จริงดงั พระราชบญั ญตั นิ น้ี อกจากอาํ นาจหนาท่ที ่ีกลาวโดยเฉพาะใหเปน อํานาจหนา ทขี่ องกรมการอําเภอ ใหก รมการอําเภอมีอาํ นาจหนาทีเ่ ชน เดยี วกับกํานนั ผูใหญบานดว ย มาตรา 84 กรมการอําเภอตองเอาใจใสสมาคมใหค ุนเคยกับกํานนั ผใู หญบ า นแพทยป ระจํา ตาํ บลเปน ท่ีปรึกษาหารอื และเปน ผรู ับชว ยแกไขความขดั ของใหแ กเ ขา มาตรา 85 ใหกรมการอําเภอเรยี กประชุมกาํ นนั ผูใหญบานแพทยป ระจําตําบลพรอมกัน หรือเรยี ก ประชมุ แตเฉพาะตาํ แหนงมปี ระชมุ กํานนั เปนตน ในเวลามีการจะตองปรึกษาหรือตอ งถามตอ งสง่ั ตาม สมควร มาตรา 86 กรมการอําเภอรับผดิ ชอบทจ่ี ะรักษาสถานทีว่ าการอําเภอสรรพหนังสือและบญั ชี ตลอดจนบริเวณทว่ี าการอําเภอใหเรียบรอ ย มาตรา 87 กรมการอําเภอตองใหราษฎรท่ีมกี จิ ธุระหาไดทุกเมื่อ ถา ราษฎรมารองทกุ ขอ ยางใด ซง่ึ กรมการอําเภอควรชวยได ตอ งชว ยตามสมควร มาตรา 88 กรมการอาํ เภอตอ งหมน่ั ตรวจทอ งท่ีในเขตอาํ เภอของตน และทองท่ีอําเภออื่นที่ ติดตอ กนั ใหร ูความเปนไปในทองทีน่ ้นั ๆ มาตรา 89 บรรดาหนงั สอื สาํ คญั ทต่ี อ งทาํ ตามกฎหมาย ถากฎหมายและขอบังคับมิไดร ะบุไวว า เปนหนา ทีข่ องพนักงานอ่ืนทําแลว ใหเปนหนาท่ีของกรมการอําเภอทจี่ ะทาํ สําหรับการในอาํ เภอนนั้ มาตรา 90 กรมการอาํ เภอเปนพนักงานทาํ หนังสือเดินทางสาํ หรบั ราษฎรในทอ งท่ีอําเภอนัน้ จะไปมาคาขายในที่อนื่

- 113 - มาตรา 91 หนา ที่ของกรมการอําเภอในการทําทะเบยี นบัญชีนน้ั คอื ทําบัญชสี ํามะโนครัว และทะเบียนทุกๆ อยาง บรรดาท่ตี อ งการใชใ นราชการ มาตรา 92 รายงานราชการทีก่ รมการอาํ เภอจะตอ งทํานัน้ จาํ แนกเปน กจิ ตางๆ ดังนี้ คอื ขอ 1 กรมการอําเภอเปน หูเปนตาของรัฐบาลตองเอาใจใสตรวจตราสืบสวนความทุกขส ขุ ของ ราษฎรและเหตุการณทีเ่ กิดมใี นทองท่ขี องตน การอันใดท่รี ฐั บาลควรรูเพื่อความสขุ ของราษฎรและประโยชนข องราชการ กรมการอําเภอตองถือเปนหนาที่ๆ จะรายงานใหร ฐั บาลทราบความตามท่ีเปน จริง ขอ 2 โดยปกตใิ หก รมการอาํ เภอรายงาน ตอผวู า ราชการเมอื งของตน แตถ ามีคาํ สง่ั โดยเฉพาะวาให รายงานการอยา งใดตอ ผูใดก็ดหี รือวา เหตกุ ารณอ ันใดเกดิ ขึน้ กรมการอาํ เภอเหน็ วา จะรายงานตอ ผวู า ราชการเมอื ง ของตนกอนจะไมท ันประโยชนของราชการจะรายงานไปยงั ทแ่ี หง นน้ั ๆ ซึง่ เห็นวาจะเปน ประโยชนอ ยางดีแก ราชการกไ็ ดแตต องบอกใหผ ูว าราชการเมืองของตนทราบจงทกุ คราว ขอ 3 รายงานประจาํ บอกเหตกุ ารณ และขอ ราชการบรรดามใี นอาํ เภอ ควรย่ืนตอ ผวู าราชการเมือง ไมนอยกวาเดือนละคร้ังหนงึ่ รายงานการจรนน้ั แลว แตก ําหนดในขอบงั คบั หรือเหตุการณอ นั ควรรายงาน สว นรายงาน ดว นบอกเหตุสาํ คญั ซ่งึ เปน ปจจบุ นั ทนั ดวนเกดิ ขึน้ นนั้ ตองรีบรายงานทนั ที และสง โดยโทรเลข หรอื โทรศพั ท อยา งเรว็ ที่สุดทจ่ี ะสงได มาตรา 93 เวลามกี ารประชมุ ชนมากในทใ่ี ด เชน ในเวลามกี ารนักขตั ฤกษเปน ตน กรมการอาํ เภอ กับกํานนั ผูใหญบ านตําบลนน้ั ตอ งจดั การรกั ษาความเรียบรอยในท่ปี ระชุมชน มาตรา 94 กรมการอาํ เภอตอ งคอยตรวจตราตักเตอื นกํานันผใู หญบา นใหมเี ครอ่ื งสัญญาเรียก ลกู บา นชว ยกันดบั ไฟ หรอื ระงับเหตุภยันตรายอยางอื่น หรือจบั โจรผูรายทกุ หมูบา น มาตรา 95 เม่ือกรมการอําเภอไดปรึกษากํานนั ผูใหญบ า นในทองท่ีน้ันแลว เห็นวาหมูบานใดอยูในท่ี ซึง่ สมควรจะจดั การลอมรว้ั ปองกันโจรได ใหกรมการอําเภอนาํ เสนอตอผวู าราชการเมอื ง เมื่อผวู าราชการเมอื ง เหน็ ชอบดว ยแลว กใ็ หกรมการอาํ เภอชี้แจงและส่ังผใู หญบ านและราษฎรในหมูบานนัน้ ทาํ รวั้ ลอมรอบหมบู าน มปี ระตูเปน ทางเขาออกกี่แหงแลว แตชาวบานน้นั จะเหน็ ควร เวลากลางคนื ใหผูใ หญบ านจัดราษฎรผลัดเปล่ียน กนั รกั ษาประตูปองกนั โจรผูรายใหท ัง้ หมูบ าน มาตรา 96 หมูบ านใดตัง้ อยใู กลป าพงอันเปนเช้อื ไฟ เม่อื ถงึ ฤดูพงแหง ใหกรมการอําเภอสง่ั ราษฎรในหมบู า นน้นั ใหชว ยกันถางพงใหเตียนออกไปหางบานเรือน ปองกันอยา ใหเปนอัคคีภัยแกหมบู านน้ัน มาตรา 97 เมือ่ กํานนั ตาํ บลใดรายงานมาวาเจา ของหรอื ผทู อี่ ยูในเหยา เรือนแหงใดที่รา งหรอื ทรุด โทรม ไมกระทําการตามคําสัง่ ใหจัดการซอมแซมรักษาเรือนนั้น ใหดีตามความที่กลาวไวในมาตรา 55 ใหกรมการอาํ เภอไตสวนและบังคบั ตามควรแกการ ถาไมทําตามบังคับใหกรมการอําเภอมีอํานาจรื้อเรือน น้ันได และเรยี กเอาคา รื้อแกเ จาของ มาตรา 98 ราษฎรคนใดไปปลูกเรือนอยใู นทเ่ี ปลยี่ ว อนั นา กลัวอันตรายดวยโจรผรู า ยกด็ ี หรือนา กลัวจะเปนท่ซี อนของโจรผูรา ยกด็ ี เมอ่ื กรมการอําเภอไดปรึกษากบั กํานนั ในทองที่น้ันเห็นดวยกนั แลว กใ็ หบังคบั ใหผนู ัน้ ยา ยเขา มาอยูเสียในหมบู า น

- 114 - มาตรา 99 ในเวลาอตั คดั อาหาร ใหกรมการอาํ เภอประกาศตกั เตือนราษฎรใหเ ก็บรักษาเขาไวใหพอ บริโภค มาตรา 100 ถาแหงใดขาวไมพ อแกร าษฎรในเวลาอัตคดั ใหก รมการอาํ เภอรบี รายงานและกะประมาณ จาํ นวนขาวท่ีขาด อันราษฎรจะไมพงึ ขวนขวายหาเองได แจงตอผูวาราชการเมือง ถาและรัฐบาลจัดสง ขาว หลวงมาแกอ ัตคดั ไซร เปน หนา ทีข่ องกรมการอาํ เภอทจี่ ะจัดการจําหนายขา วตามวิธีท่สี มควร คอื (1) ผูใดมที ุนพอซือ้ ใหผูน้ันซอื้ ไดเทาราคาทุน (2) ผูใดทาํ นาไวย งั ไมไดผล ใหผ ูน ัน้ ยืมโดยสัญญาสง เงนิ เมื่อขายขา วใหมไ ดเทา ราคาทนุ ทรี่ ับ ขา วไปในเวลาน้นั หรือใชดว ยขา วใหมเ ม่ือทาํ ได คดิ ตามราคาขา วใหมในเวลานั้นเทาทนุ ท่ีรฐั บาลใหยืมไป (3) ผใู ดทําการเพาะปลูก หรือหาสินคา ปาอันอาจจะหาสินคามาแลกขาวได กย็ อมรบั สินคาจาก ผูนั้น แลกขา วโดยคิดราคาตามสมควรและพอใจทง้ั ๒ ฝาย (4) ผใู ดอาจจะทําการไดแตดว ยแรง ก็หางานอันประกอบดวยสาธารณประโยชนเชน ขดุ สระ นํา้ ทําถนนหรอื ซอมแซมสถานทีท่ ําราชการเปน ตน ใหผนู ัน้ รับจา งทําคดิ ขา วใหตามราคาทุนเปน คา จา ง โดยอตั ราสูงกวา ท่เี ขาจางกนั ทําการในทน่ี นั้ 1 ใน 4 สวน คอื ถาอตั ราคาจา งเขาจา งกันโดยปกตวิ ันละ บาทหนงึ่ ใหใ หขา วเทา ราคาวันละ 1 บาท 25 สตางค เปนตน (5) หามมิใหๆ ขาวแกผูที่ยังสามารถกระทําการแลกไดดวยประการใดๆ แตผูซึ่งไมสามารถ กระทาํ การแลกไดจ รงิ ๆ เชน คนเจบ็ ไข ชรา ทพุ พลภาพ หรอื ทารกน้ัน ควรใหไ ดร บั ขาวของหลวงพอสมควรแตที่ จะเลีย้ งชีวิตในเวลาอัตคัดน้นั มาตรา 101 หนาทแี่ ละอํานาจของกรมการอําเภอในการท่ีเกย่ี วดว ยความอาญานน้ั มีดังตอไปนี้ คอื ขอ 1 บรรดาอาํ นาจซ่งึ กฎหมายกําหนดไวส ําหรบั ผใู หญบ านและกาํ นนั นนั้ ใหก รมการอําเภอ ใชไ ดท ุกอยา ง ขอ 2 ความอาญาเกิดข้ึนในทองทีอ่ ําเภอใด หรือตัวจําเลยมาอาศัยอยูในทองทีอ่ ําเภอใด ใหกรมการอําเภอมีอาํ นาจทีจ่ ะสั่งใหจ ับผตู อ งหามาไตส วนคดีเร่ืองนั้นในชนั้ ตน ขอ 3 ในการไตสวนในชั้นตน ก็ดี หรอื จดั การตามหมายอยา งใดๆ หรอื ตามคาํ สง่ั ของศาล หรอื คําสง่ั ในทางราชการอยางใดๆ ก็ดี ใหก รมการอาํ เภอมีอํานาจทีจ่ ะออกหมายเรยี กตัวคนมาสาบานใหก าร เปน พยานหมายคนบานเรือน หรอื หมายยดึ สิง่ ของได ขอ 4 ในการคน บานเรอื น หรอื ยดึ ส่ิงของน้ัน ถา นายอาํ เภอไปคน หรอื ยึดเองไมต องมีหมาย ถา จะ แตง ใหผูอ่นื ไปคนหรือยดึ กใ็ หนายอําเภอมหี มายสงั่ เจาพนกั งานผถู อื หมายมีอํานาจที่จะคนและยึดไดตามหมาย ขอ 5 ตวั ผตู องหาในคดีอาญา ซึ่งไดต ัวมาตอหนากรมการอําเภอน้นั โดยปกตนิ ายอําเภอควร ยอมใหม ีประกนั แตถา นายอาํ เภอเห็นวามีเหตุการณอยา งหนึ่งอยา งใดทจ่ี ะกลาวในมาตราน้ี กใ็ หเอาตัวไว คอื (ก) เปน คดีฉกรรจท ีต่ องดวยโทษจาํ คุกต้ังแต 10 ปข น้ึ ไปอยางหนึง่ หรอื (ข) ถาผตู องหาหลบหนจี ะจบั ได โดยยากอยางหนงึ่ หรอื (ค) เห็นไดวา ถา ปลอ ยผูนั้นไปจะทาํ ใหเ กิดเหตุอนั ตรายอยา งหน่ึง หรือ (ง) ถา ปลอยไปจะขัดของหรอื ลําบากแกการไตสวนคดใี นช้ันตน อยางหนึง่

- 115 - ขอ 6 การไตสวนคดใี นช้ันตน นั้น ตอ งลงมอื ภายใน 48 ชว่ั โมง ตั้งแตเวลาท่ีจับผตู องหา นายอาํ เภอ ตองรีบจัดการโดยเรว็ ทจ่ี ะทําได แลวสงตวั ผูต องหายังเมือง ใหสงตอไปยังศาลซึง่ มหี นา ทพี่ ิจารณาคดนี ั้น โดยวธิ ที ก่ี ลาวตอ ไปนี้ ถา เปนตําบลทมี่ ีศาลซ่ึงมีอํานาจ และที่วา การอาํ เภอตัง้ อยดู ว ยกัน ใหส งตัวผตู อ งหาตอศาล ภายใน 48 ชั่วโมง ต้งั แตเวลาท่ผี ูตอ งหาไดตกมาอยใู นความควบคมุ ของกรมการอําเภอ ถาเปน ที่อื่นๆ ใหส ง ตัวผูตองหายังศาลโดยเรว็ ท่ีจะทําได และหามมิใหกักขังตัวไวท่ีๆวาการอําเภอ เกนิ กวา 48 ชัว่ โมง โดยไมม ีเหตจุ าํ เปน ถาเมือ่ สง ผตู องหาไปยังศาล นายอาํ เภอทําการไตส วนคดใี นช้นั ตน ยงั ไมส ําเร็จ กใ็ หเจาพนกั งานเมือง รอ งตอศาลขอผัดใหม ีเวลาไตสวนตอ ไปตามสมควร ขอ 7 ในการไตส วนความอาญา ถานายอําเภอเห็นวาไมมหี ลักฐานขางฝา ยโจทกใหปลอ ยตวั ผตู องหาไป ถา ผูตอ งหาตองดว ยหมายส่ังจบั ของศาลอยแู ลว ก็ใหเ จา พนักงานเมอื งรองขอตอ ศาลใหสงั่ ปลอยตวั ผตู อ งหา มาตรา 102 กรมการอําเภอตองจดั พนกั งานออกตรวจตระเวนรักษาความเรียบรอย และ คอยสืบจับโจรผูรา ยในทองทขี่ องตน มาตรา 103 เม่ือมีเหตผุ คู นถูกกระทํารายตายลงในทองท่อี ําเภอใดกด็ ี ฟกชํ้าหรือมบี าดแผล เจบ็ ปวยสาหสั ก็ดี ผูท ่ีถกู กระทํารายฟกชํา้ หรือมบี าดแผลมาขอใหชันสูตรกด็ ี เปน หนา ท่ขี องกรมการอําเภอท่ีจะ ตรวจชันสตู รหรอื พลิกศพตามพระราชบัญญตั ิ และจดคําใหการพรอมดว ยพยาน และทําหนงั สือชนั สตู รไว เปนหลักฐาน มาตรา 104 เม่ือเกิดเหตเุ สียทรัพยแกผ ูหนึ่งผใู ดเชนถูกโจรภัยเปน ตนเปนหนาทข่ี องกรมการอาํ เภอ ทีจ่ ะทําคําตราสินตามคําขอรองของเจาทรัพย หรือเพื่อหลกั ฐานในราชการ มาตรา 105 ความผดิ อยางใดๆ อนั ตอ งตามประมวลกฎหมายอาญา หรือกฎหมายอนื่ กําหนดเปนลหโุ ทษก็ดี ความผดิ ลวงละเมิดพระราชบัญญัตภิ าษอี ากร อันเบี้ยปรับกําหนดไวใ นพระราชบญั ญัติ ไมเ กิน 200 บาทกด็ ี เม่อื กรมการอาํ เภอไตสวนเหน็ วา จาํ เลยมีพิรุธใหก รมการอําเภอมีอํานาจท่จี ะเปรียบเทียบ ใหตกลงกนั ไดถ าไมตกลงกันไดกด็ ี หรือกรมการอําเภอเหน็ วา โทษของจาํ เลยเกนิ กวา ปรับ 200 บาท หรือ เปน โทษทัง้ ปรับทั้งจาํ หรอื โทษจาํ อยางเดยี วก็ดี ก็ใหสงคดีเร่ืองน้ันไปยังเมือง มาตรา 106 ถามผี ูขอรองอายัดตวั คน หรอื สิ่งของโดยชอบดว ยกฎหมาย เปนหนา ท่ขี องกรมการ อาํ เภอทจี่ ะรับอายดั และทําหนงั สอื หลักฐานในการอายดั นั้น มาตรา 107 เงนิ กลางหรอื ของกลางในคดที ี่จะตอ งรกั ษาไวในอาํ เภอน้ันหรอื จะตอ งนําสงไปยงั เมือง เปนหนาที่ของกรมการอําเภอทจี่ ะจัดการรกั ษาและนําสง มาตรา 109 กรมการอําเภอตองคอยระวงั อยา ใหโ รครายแพรห ลายไปในประชมุ ชน ตองคอย ดูแลปอ งกนั หรอื เม่ือโรคเกิดขนึ้ กต็ องจดั การรักษาอยา ใหต ิดตอลกุ ลามไป มาตรา 110 เพราะเหตทุ โ่ี สโครกเปน แดนเกดิ ของโรครา ย คอื อหวิ าตกโรคและกาฬโรค เปนตน กรมการอําเภอตองคอยตรวจตราวากลาวคนในทองทีอ่ ยาใหทอดทิง้ หรือปลอยใหเกิดความโสโครกอันจะเปน เหตุใหเกิดโรคภยั ไขเจบ็ แกประชาชน

- 116 - มาตรา 111 กรมการอําเภอตองเอาเปนธุระตรวจตราอุดหนุนใหแพทยประจําตําบล ดแู ลการรกั ษาพยาบาล คอื การปลกู ทรพศิ ม และจาํ หนา ยยาหลวงเปน ตน และใหราษฎรไดร ับความปอ งกัน และรักษาโรคตามสมควรแกการทจ่ี ะเปนได มาตรา 112 ในเวลาเกดิ โรครายติดตอ ขึ้นในอําเภอนั้น หรือในทอ งทอ่ี ําเภออื่น ซง่ึ อาจจะลุกลาม มาถึงอําเภอน้ัน ใหกรมการอําเภอประกาศตักเตอื นแกราษฎรใหจดั การปอ งกนั และรักษาโรค ถา หากวาจะ ควรจดั การปองกันไดอยา งใด หรอื วา ควรจะรีบรอ งเรียนตอ ผใู หญขอกําลังอดุ หนนุ ประการใด ก็ใหก รมการอาํ เภอ จัดการตามสมควร มาตรา 113 ถาเกิดโรครา ยท่ตี ดิ ตอ ขน้ึ ในอาํ เภอใด ใหก รมการอาํ เภอนน้ั รบี บอกขา วโดยทางอยา ง เร็วที่สุดท่จี ะบอกไดใ หผ ใู หญเ หนือตนทราบ แลว ใหร ายงานเหตุความไขน้นั ตอ ไปเนอื งๆ จนกวา โรคจะสงบ มาตรา 114 กรมการอําเภอตองตรวจใหร ทู ําเลที่ทาํ มาหาเลย้ี งชีพของราษฎรในอําเภอน้นั คอื ท่ีนา ทส่ี วน ทจ่ี บั สัตวน ํา้ เปนตน และตองสอบสวนใหร วู า ทเี่ หลา น้ันอาศัยสายน้ําทางใด ควรทําบญั ชมี ที ะเบียนไว ในท่วี า การอําเภอ มาตรา 115 การบํารุงผลประโยชนในการหาเลยี้ งชพี ของราษฎรกด็ ี การปอ งกนั ภยนั ตราย มิใหเ กดิ แกการหาเลย้ี งชพี ของราษฎรก็ดี อันตองการความพรอมเพรยี งชว ยกันในหมรู าษฎร ยกตวั อยางดังบางคราว จะตอ งทําทํานบปด นํา้ บางคราวตอ งระบายนาํ้ สาํ หรบั การเพาะปลกู การเหลา นี้เปน หนาท่ีของกรมการอาํ เภอ จะตองเอาใจใสคอยตรวจตราและปรึกษากาํ นันผใู หญบาน ถามีการสมควรจะตองทําเพือ่ ใหเจริญผลประโยชนแก ราษฎรกด็ ี หรือเพ่ือปองกนั ความเสียหายแกผลประโยชนนน้ั ก็ดี ใหกรมการอําเภอเรยี กราษฎรชว ยกนั ทาํ การนั้นๆ ใหสําเร็จทนั ฤดกู าล มาตรา 116 การรกั ษาผลประโยชนใ นการหาเล้ยี งชพี ของราษฎร เชน การปด นํา้ และระบายนํ้า เชนกลา วมาในมาตรากอ นเปน ตน ตลอดจนอยา งอน่ื ๆ ถาหากเกิดเกย่ี งแยง กนั ในประโยชนทจ่ี ะพงึ ไดย กตวั อยาง ดังเชนชาวนาตองการใหปดนา้ํ ชาวเรือตองการใหเ ปดนาํ้ ใหเ รือเดินเปนตน ใหกรมการอาํ เภอเรียกกาํ นัน ประชุมปรกึ ษาหาวิธีที่จะรักษาประโยชนทั้ง 2 ฝาย หรอื ถา จะใหไ ดป ระโยชนไมไดท้ัง 2 ฝา ย ก็ใหร ักษาประโยชนใ หญโ ดยยอมทิ้งประโยชนนอยดวย ความจาํ เปนเมื่อเห็นดวยกันโดยมากประการใด ก็ใหกรรมการอําเภอจัดการตามน้นั มาตรา 117 หว ย คลอง และลํานาํ้ ตา งๆ ยอ มเปนของที่รัฐบาลปกปกรักษาเปนหนาที่ของ กรมการอําเภอจะตองตรวจตราอยา ใหเสยี และอยา ใหผใู ดทํา ใหเสยี สาธารณประโยชน ถา จะตองซอมแซม ตกแตงใหกรมการอําเภอเรยี กราษฎรชว ยกนั ทําอยา งกันปดนาํ้ ฉะนั้น มาตรา 118 กรมการอําเภอมหี นา ทจ่ี ะตองตรวจตราและจดั การรกั ษาทางบกทางนาํ้ อนั เปนทาง ท่รี าษฎรไปมาคา ขาย ใหไปมาโดยสะดวกตามที่จะเปนไดทุกฤดกู าลอันนี้ ถาจะตองทําการซอมแซม หรือ แกไ ขความขดั ของ ใหกรมการอาํ เภอเรียกราษฎรชวยกันทาํ อยางวามาแลว มาตรา 119 กรมการอําเภอตองตรวจตรารกั ษาปา ไม ซึง่ รฐั บาลหวงหามตามขอ บังคบั การ ปา ไม

- 117 - มาตรา 120 ทว่ี า งซึ่งรฐั บาลอนุญาตใหราษฎรทาํ การเพาะปลูกนน้ั เปน หนา ท่ีของกรมการอาํ เภอท่ี จะตอ งตรวจตราจดั การ ปองกนั การเกี่ยงแยง ในระหวา งราษฎรทีไ่ ปตงั้ ทําการเพาะปลกู กอนไดร ับโฉนด มาตรา 121 ท่ีนํา้ อนั เปน ที่รักษาพนั ธส ตั วนํา้ เปน หนา ทข่ี องกรมการอาํ เภอทจ่ี ะตรวจตรารกั ษา ปองกันมใิ หพืชพนั ธสัตวน้าํ สญู ไป มาตรา 122 นายอาํ เภอมหี นา ทร่ี ว มกับองคกรปกครองสว นทองถ่ินในการดูแลรกั ษาและคมุ ครอง ปอ งกนั ที่ดนิ อนั เปน สาธารณสมบตั ขิ องแผน ดินทป่ี ระชาชนใชป ระโยชนร ว มกนั และสง่ิ ซึ่งเปน สาธารณประโยชน อน่ื อันอยูในเขตอาํ เภอ นายอําเภอและองคกรปกครองสว นทองถิ่นไมมีอํานาจใชห รือยินยอมใหบุคคลอ่ืนใชท่ีดินตามวรรคหนึง่ เวน แตจะไดรับความเหน็ ชอบจากผวู า ราชการจังหวัดและปฏบิ ตั ิตามประมวลกฎหมายทีด่ ินและกฎหมายอ่นื ที่เกย่ี วของ ในกรณีทม่ี ีขอพิพาทหรอื คดีเกย่ี วกบั ท่ดี ินตามวรรคหนง่ึ นายอาํ เภอและองคกรปกครองสว นทองถน่ิ จะรว มกันดําเนินการหรอื ฝายใดฝา ยหน่ึงจะเปน ผดู ําเนนิ การ ก็ใหมอี ํานาจกระทาํ ได ทงั้ นี้ กระทรวงมหาดไทยจะ วางระเบียบกําหนดหลักเกณฑเ ปน แนวปฏบิ ตั ิดว ยกไ็ ด คา ใชจ า ยในการดาํ เนนิ การตามวรรคหนง่ึ และวรรคสามใหจ า ยจากงบประมาณขององคก รปกครอง สว นทองถ่นิ ตามระเบยี บทีก่ ระทรวงมหาดไทยกําหนด มาตรา 123 ทว่ี ัดหรือกศุ ลสถานอยา งอ่นื ซง่ึ เปนของกลางสําหรบั มหาชนกใ็ หอ ยูในหนาทกี่ รมการ อําเภอจะตอ งคอยตรวจตราอุดหนุนผปู กปกรกั ษาอยาใหผูใดรุกลํา้ เบียดเบียนที่อนั นัน้ มาตรา 124 กรมการอําเภอตองปรึกษาดวยกํานัน ผูใหญบาน และผูอุปการะการศึกษา ในทองท่ี มีพระภิกษุสงฆเปน ตน ชวยกนั แนะนาํ และจัดใหมีสถานที่เลาเรยี นใหพอแกเ ด็กในอาํ เภอน้นั มาตรา 125 กรมการอําเภอตองตรวจตราปรึกษาดวยกาํ นัน ผูใ หญบ าน และผูอปุ การะ การศึกษาในทองท่ี จดั บาํ รุงการส่ังสอนอยาใหเส่อื มทราม มาตรา 126 กรมการอําเภอตองคอยชีแ้ จงตักเตือนแกก ํานนั ผใู หญบ าน บดิ ามารดา และผปู กครอง เด็กใหสงบุตรหลานไปเลา เรยี น มาตรา 127 บรรดาภาษีอากร ซง่ึ มิไดมีกฎหมายหรือขอบังคบั ใหพ นักงานอ่ืนเกบ็ แลว เปน หนา ท่ขี องกรมการอําเภอท่จี ะจัดการเกบ็ ในอําเภอนนั้ มาตรา 128 ในการเกบ็ ภาษีอากร กรมการอําเภอตองคอยตรวจตราเวลาเกดิ อุบตั ิเหตุ หรอื เปนเวลาราษฎรอตั คดั ขัดสนเมือ่ ถึงกําหนดทจ่ี ะเกบ็ ภาษีอากรนั้นๆ ใหรูแ ละรายงานพรอมทัง้ ความเหน็ ท่คี วรจะ จดั การผอ นผนั อยางใด ใหผวู าราชการเมืองทราบ มาตรา 129 เงินหลวงทเ่ี กบ็ ภาษีอากรไดกด็ ี หรือทไี่ ดจากประเภทอนื่ กด็ ี ซึง่ จะตองนําสง พระคลงั เปน หนา ทขี่ องกรมการอาํ เภอทจี่ ะรักษาและนําสงถึงพระคลัง มาตรา 130 ในหนาทข่ี องกรมการอาํ เภอทจ่ี ะจดั การท้งั ปวงในอาํ เภอใหเรียบรอ ยน้ัน ถา หากวา กรมการอาํ เภอเหน็ วธิ กี ารงานอยา งใดยงั บกพรอ ง ใหร ายงานชแ้ี จงความเหน็ ตอ ผูวา ราชการเมอื ง ขออนุญาตแกไขตามท่ีคิดเหน็ วา เปนอยา งดี

- 118 - มาตรา 131 กรมการอําเภอมหี นา ที่จะตอ งชว ยราชการของอาํ เภออนื่ ท่ีใกลเคยี ง แมตา งเมอื งกัน และในการท่ีชว ยนี้ไมจ ําจะตองรอจนอําเภอนน้ั ขอใหช วย ถารูเหตุการณซ่ึงเหน็ วาตนควรจะชว ยเหลอื จงึ จะเปน ประโยชนแกราชการ ตองชว ยเหลือทเี ดยี ว มาตรา 132 หนา ท่ีของกรมการอาํ เภอนอกจากท่ีกลาวไวใ นพระราชบัญญตั ลิ ักษณะปกครอง ทอ งที่น้ี ยังตองทําตามความซ่ึงกําหนดไวใ นพระราชกําหนดกฎหมายอยา งอนื่ ๆอนั กําหนดไววา เปน หนาที่ ของกรมการอาํ เภอ แมพ ระราชกาํ หนดกฎหมายใดมไิ ดร ะบไุ วใ นพระราชกาํ หนดกฎหมายนน้ั ๆ วา เปน หนาทีข่ อง ผูใด ก็ใหพึงเขาใจวาเปนหนาทีข่ องกรมการอําเภอที่จะรักษาการใหเปนไปตามพระราชบัญญัตินั้นๆ กฎหมายลาํ ดับรองที่เก่ียวของ 1. ระเบียบกระทรวงมหาดไทย วาดว ยการเลือกผใู หญบาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ขอ ๔ ในระเบียบนี้ “หนวยเลือกผูใหญบ าน” หมายความวา ทองที่ทก่ี ํา หนดใหทํา การเลอื กผใู หญบ า น “ทเี่ ลอื กผใู หญบ าน” หมายความวา สถานทีท่ ่ีกาํ หนดใหท าํ การลงคะแนนเลือกผใู หญบาน และใหหมายความรวมถงึ บรเิ วณท่กี ําหนดขน้ึ โดยรอบทเ่ี ลือกผูใ หญบ า น “ผมู ีสิทธิเลือก” หมายความวา ผมู สี ทิ ธเิ ลือกผูใหญบา นซ่ึงมคี ุณสมบัติและไมมลี กั ษณะตองหาม ตามทีก่ ฎหมายวาดว ยลกั ษณะปกครองทองที่กําหนดไว “ผูส มัคร” หมายความวา ผสู มัครรับเลอื กเปน ผูใ หญบ าน “คณะกรรมการเลอื ก” หมายความวา คณะกรรมการเลือกผูใหญบานตามคําส่งั แตง ตงั้ ของ นายอาํ เภอ “คณะกรรมการตรวจสอบ” หมายความวา คณะกรรมการตรวจสอบคณุ สมบตั แิ ละลกั ษณะ ตองหา มของผสู มัครรับเลือกเปน ผใู หญบ านตามคําสง่ั แตงตั้งของนายอําเภอ ขอ ๕ การปฏบิ ัติหนา ทตี่ ามระเบยี บนี้ นายอาํ เภออาจมอบหมายใหผ ูใตบังคับบัญชาปฏบิ ัติ หนา ท่ีแทนได ขอ ๖ ใหปลัดกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามระเบียบนี้ และใหม ีอาํ นาจตีความวินิจฉัย ปญ หากําหนดหลักเกณฑ และวิธีปฏิบตั ิเพือ่ ดาํ เนนิ การใหเ ปนไปตามระเบียบนี้ แบบพมิ พ รูปแบบและลกั ษณะของบัตรเลือก ใหเปน ไปตามแบบทายระเบียบน้ี ขอ ๗ เม่ือมีการจัดต้งั หมบู านใหม หรือตําแหนง ผูใหญบ านวางลงไมวาดว ยเหตุใดใหน ายอาํ เภอ จดั ใหมกี ารเลือกผูใหญบานโดยวธิ ีลับ ภายในกําหนดเวลาสามสิบวนั นบั แตว นั ทม่ี กี ารจัดต้ังหมูบ า นใหม หรอื ตาํ แหนงผูใ หญบ านวางลง ขอ ๑๑ กรณีที่ตําแหนงผูใหญบา นของหมูบานใดวา งลง ใหน ายอําเภอจัดใหมกี ารเลอื ก ผูใหญบ า นภายในสามสบิ วันนบั แตวนั ทีต่ าํ แหนงผูใหญบานของหมูบา นนั้นวางลงเพ่ือประโยชนในการ จัดการเลอื กผใู หญบาน วันท่ีตาํ แหนงผูใหญบา นวา งใหเ ปนไป ดังนี้

- 119 - (๑) ในกรณที ่ผี ูใหญบา นตองพน จากตาํ แหนงตามมาตรา ๑๔ (๑) ใหถอื วา วันท่ีผูใหญบ า นมีอายุ ครบหกสิบปบริบูรณ เปน วันทต่ี าํ แหนงผใู หญบ า นของหมูบา นนน้ั วา งลง (๒) ในกรณีที่ผูใหญบา นตองพนจากตําแหนงตามมาตรา ๑๔ (๒) (๖) (๗)(๘) (๙) (๑๐) หรอื (๑๑) ใหถ ือวาวันท่ีมคี าํ สงั่ ใหผ ูใหญบาพนจากตําแหนง เปนวันท่ตี าํ แหนง ผใู หญบ า นของหมบู า นนนั้ วางลง (๓) ในกรณีท่ีผใู หญบา นตองพน จากตาํ แหนงตามมาตรา ๑๔ (๓) ใหถอื วา วันท่ีผใู หญบานน้ัน ตาย หรือวันทีน่ ายอําเภอรับทราบการตายของผูใหญบานน้ันเปน วนั ท่ตี าํ แหนง ผใู หญบ านของหมูบานน้ัน วางลง แลว แตก รณี (๔) ในกรณีทีผ่ ูใหญบ า นตองพน จากตําแหนง ตามมาตรา ๑๔ (๔) ใหถ อื วา วันทค่ี ําส่ังอนุญาต ใหล าออกไดระบุไวเ ปน วันท่ตี ําแหนง ผูใ หญบานของหมูบานน้นั วา งลง ถา นายอาํ เภอเห็นวา ไมอ าจจดั ใหม ีการเลือกผูใหญบา นไดภายในกาํ หนดเวลาสามสบิ วนั ให รายงานผูวา ราชการจงั หวดั ขยายเวลาออกไปไดเทา ทีจ่ าํ เปน ขอ ๑๒ การเลือกผใู หญบานใหนายอาํ เภอดําเนินการดงั นี้ (๑) ประกาศกําหนดใหมกี ารเลือกผใู หญบานตามแบบ ผญ. ๑ และปดประกาศภายในสามวัน นับแตว ันทตี่ ําแหนงผใู หญบ านของหมูบานนน้ั วา งลง หรือวันทีจ่ ัดต้ังหมูบานใหม ในประกาศตามแบบ ผญ. ๑ อยางนอยตองมสี าระสําคญั ดังนี้ ก. กําหนดหนวยเลอื กผใู หญบาน โดยระบุชอื่ หมูบ า น หมทู ่ี ตําบล อาํ เภอจงั หวดั วา เปน ทอ งทท่ี ่ี กาํ หนดใหทาํ การเลือกผูใหญบาน ข. กาํ หนดทเี่ ลอื กผใู หญบา น โดยกาํ หนดสถานท่ีใหเ ปนท่ีทาํ การลงคะแนนเลือกผใู หญบ า น ค. กําหนดระยะเวลาการรับสมัคร ตอ งกําหนดวันรบั สมคั รรบั เลอื กเปนผใู หญบาน ภายหลังการประชุมราษฎรแลว และตองอยภู ายในระยะเวลาสบิ วันนับแตว นั ที่ตาํ แหนง ผูใหญบ า นของ หมูบ า นน้นั วางลง ระยะเวลาการรับสมคั รตองไมน อยกวาสามวันไมเ วน วันหยุดราชการ ง. กําหนดวันเลือกตองไมเ กินสามสบิ วันนับแตวันที่ตาํ แหนงผใู หญบานของหมูบา นนน้ั วางลง จ. กําหนดระยะเวลาการลงคะแนน ใหเริม่ ต้ังแตเ วลา ๐๘.๐๐ นาฬิกา และสน้ิ สดุ การ ลงคะแนนเวลา ๑๕.๐๐ นาฬิกา ฉ. กาํ หนดใหมีการเพิ่มช่อื ถอนชือ่ ในบญั ชรี ายช่ือผูม ีสทิ ธิเลือกผใู หญบานไดว ันสดุ ทาย กอนวันเลือกไมนอยกวาสามวัน ช. กาํ หนดวันประชุมราษฎรในหมูบ า น ภายในเจ็ดวนั นับแตว ันท่ีตาํ แหนง ผูใหญบ า น ของหมูบา นนั้นวา งลง เพอื่ แจงรายละเอยี ดเก่ยี วกบั การเลอื ก การทาํ ความเขาใจในเร่ืองรูแพ รูชนะ รอู ภัย และการรูรักสามัคคี ตลอดจนการดาํ รงรักษาความเปนมติ ร เปนเพ่ือนบา นและความเปน ญาตพิ นี่ องในพ้ืนท่ี ทั้งกอนและหลงั การเลอื ก และใหราษฎรเสนอชื่อผสู มควรไดร บั การแตงต้ังเปนกรรมการตรวจสอบโดยให ทาํ บันทกึ รายงานการประชุมไวเ ปน หลกั ฐานตามแบบผญ. ๑๐ (๒) จดั ทาํ ประกาศบญั ชรี ายช่ือผูม สี ทิ ธเิ ลอื กผใู หญบ านตามแบบ ผญ. ๒ (๓) รับสมัครผูส มคั รรบั เลือกเปน ผใู หญบ านตามแบบ ผญ. ๓ (๔) ประกาศรายชื่อผยู ่นื ใบสมัครรบั เลือกเปน ผูใหญบา นตามแบบ ผญ. ๔

- 120 - (๕) ประกาศบญั ชรี ายชื่อผูสมคั ร ซึง่ มีคุณสมบัตแิ ละไมม ีลกั ษณะตองหาม สมัครรับเลือกเปน ผใู หญบ า นตามแบบ ผญ. ๖ (๖) ออกคาํ สง่ั แตงตั้งคณะกรรมการเลอื กและเจา หนา ทีร่ ักษาความสงบเรียบรอยตามแบบ ผญ. ๘ (๗) ออกคําสงั่ แตงต้งั คณะกรรมการตรวจสอบตามแบบ ผญ. ๙แบบตาม (๑) (๒) (๔) (๕) (๖) และ (๗) ใหปดประกาศไว ณ ทว่ี าการอาํ เภอที่เลือกผใู หญบาน สถานทีท่ นี่ ายอําเภอกาํ หนดตามขอ ๙ และสาํ รองแบบดังกลา วอยางละหน่ึงชดุ ไวใหคณะกรรมการเลือกนําไปใชห รือปด ณ ทเ่ี ลือกผูใหญบ านในวัน เลอื กผใู หญบาน ยกเวน แบบตาม (๒) ใหส ํารองไวส องชดุ สาํ หรับนาํ ไปใชหรือปด ณ ที่เลือกผูใหญบ า นในวัน เลือกผูใหญบ า น ขอ ๘๖ เม่อื การเลือกผูใหญบา นไดม ีการนบั คะแนนเสร็จสิ้นแลวใหค ณะกรรมการเลือกปดประกาศ ผลการนบั คะแนนตามแบบ ผญ. ๑๔ ไว ณ ท่ีเลอื กผใู หญบา นที่วา การอาํ เภอ และสถานทีท่ ี่นายอําเภอกาํ หนด ตามขอ ๘ ขอ ๘๗ เมอื่ นายอําเภอไดร ับรายงานผลการนับคะแนนตามแบบ ผญ. ๑๕ แลวใหออกคําสง่ั แตงตง้ั ผทู ่ีไดรับคะแนนสูงสดุ หรือผูท่จี ับสลากไดข อความวา “ไดรบั เลอื กเปนผูใหญบ าน” หรือผูส มคั รคนเดยี ว ตามขอ ๓๘ เปนผูใหญบานนับแตวนั ที่นายอาํ เภอมคี ําสัง่ แตง ต้งั แลวรายงานผวู าราชการจงั หวัดเพ่ือออก หนงั สอื สาํ คญั ใหแกผ ไู ดรับแตงต้ังเปน ผใู หญบา น ขอ ๘๘ เม่ือนายอาํ เภอมีคําสั่งแตงต้ังผูใ หญบา นแลว ผูใดเห็นวา การเลอื กเปนไปโดยไมสจุ ริต และเทย่ี งธรรม ใหทําคํารองคัดคา นเปน หนงั สอื ย่ืนตอ นายอําเภอไดภ ายในสิบหาวนั นับแตวนั ทน่ี ายอําเภอ มีคําส่งั แตง ตงั้ เมือ่ นายอาํ เภอไดร ับหนงั สือรองคัดคา นแลว ใหด าํ เนนิ การสอบสวน แลว รายงานผลการสอบสวน พรอ มความเห็นและหลกั ฐานใหผ ูว าราชการจังหวดั วินิจฉยั ช้ีขาด หากเหน็ วา การเลือกผใู หญบ านน้นั เปน ไปตามที่ ไดมกี ารรอ งคัดคา น หรอื ไดมกี ารกระทาํ ไปโดยไมส ุจรติ และเทย่ี งธรรม ใหผูว า ราชการจงั หวัดสงั่ ใหผ ใู หญบา นนนั้ พนจากตําแหนงภายในเกาสบิ วันนบั แตวันที่นายอําเภอมีคาํ ส่ังแตง ตั้ง กรณนี ายอําเภอไดด าํ เนินการตามวรรคสองแลว เห็นวามีความจําเปนตองเปดหีบบัตรเพือ่ ทําการ ตรวจสอบผลการนับคะแนน ใหร ายงานผวู า ราชการจงั หวดั แตงต้ังคณะกรรมการข้ึนทําการตรวจสอบ เพ่ือประกอบการ วนิ ิจฉยั ส่ังการของผูวาราชการจงั หวัดตอ ไป ขอ ๘๙ กรณมี ผี ูทักทวงการวนิ ิจฉยั บัตรเลือกในระหวา งการนับคะแนนเน่ืองจากการวนิ จิ ฉยั บัตรดี บตั รไมป ระสงคลงคะแนน หรอื บัตรเสยี วา เปน ไปโดยไมถูกตองตามระเบียบนี้ไวแ ลว และไดรอ ง คดั คานเรื่องดังกลา วตอนายอาํ เภอกอ นทนี่ ายอาํ เภอจะมีคาํ สั่งแตง ต้ังผูใหญบ า น ใหน ายอาํ เภอทาํ การตรวจสอบ ใหเสรจ็ ส้นิ ภายในสามวนั นบั แตว นั ที่ไดรบั การรองคัดคา น หากผลการตรวจสอบปรากฏวา มีมลู ใหนายอาํ เภอ เปดหบี บัตร เพอ่ื ทาํ การนบั คะแนนใหมโ ดยมนี ายอาํ เภอเปน ประธาน หวั หนา สว นราชการท่นี ายอําเภอ เหน็ สมควร ปลดั อาํ เภอ กรรมการเลอื กทีท่ าํ หนา ทน่ี บั คะแนน และผสู มคั รทุกคนรวมในการนับคะแนน ใหมด ว ยและรายงานผวู าราชการจังหวัดทราบ

- 121 - ถา การนบั คะแนนใหมป รากฏวา จาํ นวนผมู าใชส ทิ ธกิ บั จาํ นวนบตั รทใ่ี ชใ นการลงคะแนนมีจํานวน เทา กนั ผลการนบั คะแนนใหมเ ปน เชน ไรใหเ ปน ไปตามน้นั และใหน ายอําเภอมคี าํ สง่ั แตงต้งั ผูท ่ไี ดรับคะแนน สงู สุดในการนบั คะแนนใหมเปนผใู หญบ านนับแตวันท่ีนายอําเภอมคี ําส่ังแตงต้ัง ถา จาํ นวนผูมาใชส ิทธกิ บั จํานวนบัตรท่ีใชใ นการลงคะแนนมีจํานวนไมเทากนั ใหร ายงานผูวา ราชการ จงั หวดั จดั ใหม ีการลงคะแนนใหมต ามระเบยี บน้ี เวน แตผ ลการนับคะแนนทีไ่ มตรงกบั จํานวนผูมาใชส ิทธิ ลงคะแนนไมทําใหผ ลการเลือกน้ันเปลยี่ นแปลงไปไมตองจดั ใหม กี ารลงคะแนนใหม ขอ ๙๐ เมื่อนายอาํ เภอไดรบั คาํ รองคัดคา นการเลอื กผูใ หญบานวา เปน ไปโดยไมส จุ รติ และ เท่ยี งธรรม ถานายอาํ เภอพิจารณาขอ มลู คํารองคัดคา นแลวเห็นวา ผูรอ งคัดคา นสําคัญผิดในขอ กฎหมาย หรอื ขอ เท็จจรงิ เพือ่ ประโยชนแ หง การรรู กั สามัคคี ดว ยความพอใจของคูกรณใี หน ายอําเภอเรยี กผรู องคัดคา น และผูถ กู คัดคานเสนอขอเทจ็ จรงิ หรือขอมลู เพ่ิมเติม และชี้แจงทาํ ความเขา ใจเก่ยี วกับขอกฎหมายหรือ ขอเท็จจริงท่ีถูกตองแลว หากผูรอ งคัดคานไดเขาใจขอกฎหมาย หรือเขาใจในขอเทจ็ จริงท่ีถูกตองแลวผรู อง คดั คานไดขอถอนคาํ รองคัดคาน หรือไมประสงคใหพ ิจารณาเรอื่ งคํารองคัดคานตอไปใหบ นั ทกึ ถอยคาํ ผรู อง คัดคา นไวแ ละส่งั ยตุ เิ ร่ือง หากผรู อ งคดั คานยงั ไมพ อใจใหนายอาํ เภอทําการสอบสวน และจดั ทําความเห็น ประกอบขอฎหมายและขอเท็จจรงิ คํารอ งคดั คานเสนอตอผูวาราชการจังหวดั เพอ่ื พิจารณา ขอ ๙๑ กรณีท่ผี วู า ราชการจังหวดั มีคําส่งั ใหผ ูใ หญบ านพนจากตาํ แหนง ตามขอ ๘๘ ไมก ระทบกระเทอื นตอกิจการท่ีผูใ หญบา นนน้ั ไดกระทาํ ลงไปในขณะดาํ รงตําแหนง ขอ ๙๒ นายอําเภอจะทําลายบัตรเลือกและเอกสารท่ีเก็บอยูในหบี บตั รนั้นไดเม่อื พนกําหนด ระยะเวลาคดั คา นการเลอื กตามขอ ๘๘ แลว ไมน อยกวา เจ็ดวนั ในกรณีทีม่ กี ารคัดคา นการเลือกใหนายอาํ เภอ เกบ็ รักษาหบี บตั รจนกวาจะถึงทสี่ ุด 2. ระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา ดว ยการคัดเลือกกาํ นัน พ.ศ. ๒๕๕๑ ขอ ๔ ในระเบียบนี้ “ทค่ี ัดเลือกกํานัน” หมายความวา สถานท่ที ี่กําหนดใหทําการคัดเลอื กกํานัน “ผมู สี ิทธลิ งคะแนน” หมายความวา ผใู หญบ านในตําบลที่มีการคัดเลือกกํานันซ่งึ ไดมาประชุม เพอ่ื คดั เลอื กกาํ นนั และอยูในท่ปี ระชมุ น้นั ขณะถึงเวลาลงคะแนน ณ ท่คี ัดเลอื กนั้น” ขอ ๕ การปฏิบัตหิ นา ทตี่ ามระเบยี บนี้นายอาํ เภออาจมอบหมายใหผใู ตบงั คับบญั ชาปฏิบัติ หนาท่แี ทนได ขอ ๖ ใหปลัดกระทรวงมหาดไทยรักษาการตามระเบียบนี้ และใหมีอาํ นาจตีความวินจิ ฉัย ปญหา กาํ หนดหลกั เกณฑ และวธิ ปี ฏบิ ัตเิ พอ่ื ดาํ เนินการใหเปนไปตามระเบยี บนแ้ี บบพมิ พ รูปแบบ และ ลกั ษณะของบตั รเลือกใหเ ปนไปตามแบบทายระเบยี บ ขอ ๗ เม่อื ตาํ แหนง กาํ นันวางลงใหคดั เลือกกํานันข้นึ ใหมภายในกาํ หนดเวลาส่สี บิ หา วันนบั แตว ันที่ นายอาํ เภอไดทราบการวางนั้น หากมีความจาํ เปน ไมอาจจัดใหม ีการคัดเลือกกํานันไดภายในกาํ หนดเวลาส่สี บิ หา วันใหนายอาํ เภอ รายงานผวู าราชการจงั หวัดขอขยายเวลาออกไปไดเทา ท่จี าํ เปน

- 122 - ขอ ๘ การคัดเลือกกาํ นนั ตองเปน ไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม (๑) นับแตว นั ที่นายอําเภอประกาศใหม ีการคัดเลอื กกํานันจนถงึ วนั คัดเลือกหา มมใิ หผูใด กระทําการอยา งหนึ่งอยางใดเพื่อจูงใจใหผใู หญบานคนใด เสนอช่ือหรืองดเวน การเสนอช่ือหรือการลงคะแนน ใหแ กผ ใู หญบา นคนหนึ่งคนใดเพอ่ื รบั การคดั เลอื กเปน กาํ นนั หรอื มใิ หไดรบั การคัดเลือกเปก ํานัน ดว ยวิธีการ ดงั ตอ ไปน้ี ก. จัดทาํ ให เสนอให สญั ญาวา จะให หรอื จัดเตรยี มเพ่ือจะใหทรพั ยสินหรือผลประโยชน อืน่ ใดอันอาจคํานวณเปนเงนิ ไดแกผูใด ข. ให เสนอให หรือสญั ญาวา จะให เงินหรือทรัพยส นิ หรือประโยชนอ่ืนใดไมวา โดยทางตรง หรอื ทางออมแกช ุมชน สมาคม มูลนธิ ิ วัด มสั ยิด สเุ หรา ศาลเจา โรงเจ โบสถคริสต โบสถพราหมณ สาํ นักปฏิบัตธิ รรม สถาบนั การศึกษา สถานสงเคราะห สหกรณ กองทนุ สงเคราะห ชมุ นุม ชมรม สโมสร กลุม องคกร หรอื สถาบนั อืน่ ใดตามท่ีคณะกรรมการเลอื กตงั้ ตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนญู วาดวยการเลือกตงั้ สมาชิกสภาผแู ทน ราษฎรและการไดมาซงึ่ สมาชิกวฒุ สิ ภากาํ หนด ค. จดั ใหมีมหรสพหรือการรน่ื เริงตางๆ รวมทง้ั การแสดง และการละเลนอ่ืนๆ ง. เลย้ี งหรือรับจะจัดเลยี้ งผูใด รวมถงึ การจดั เล้ยี งหรอื รับจะจัดเล้ียง การประชุม อบรม สมั มนา ทศั นศกึ ษา หรือดงู าน เปนตน จ. หลอกลวง บงั คับ ขเู ข็ญ ใชอ ิทธพิ ลคุกคาม ใสร า ยดว ยความเท็จ หรอื จูงใจผูใดใหเขา ใจผิด ในคะแนนนิยมของผใู หญบ านรายอ่ืน (๒) ในวันคดั เลือก หา มมใิ หผ ใู ดทาํ การโฆษณาหาเสยี ง โดยวธิ กี ารใดๆ ไมว า จะเปน การไดเปรียบ หรอื เสยี เปรียบแกผใู หญบานคนใดจนสนิ้ สุดการคัดเลอื ก (๓) นับแตวันทนี่ ายอําเภอประกาศใหมีการคดั เลอื กกํานันจนสนิ้ สุดการคดั เลือกใหเจาหนาท่ี ผูรบั ผิดชอบในการคัดเลอื ก วางตวั เปน กลางโดยเครงครัด หามมใิ หก ารกระทําใดๆ อนั เปนการชว ยเหลอื หรอื สนบั สนุนผูใ หญบา นคนหน่ึงคนใด (๔) นบั แตว ันทน่ี ายอาํ เภอประกาศใหม ีการคดั เลือกกํานันจนส้นิ สุดการลงคะแนน หา มมใิ ห เจา หนาทข่ี องรัฐผูใดใชตําแหนง หนาท่ีโดยมชิ อบดว ยกฎหมายกระทําการใดๆ เพ่ือใหเ กดิ การไดเปรยี บ หรือเสยี เปรียบแกผ ูสมัครคนใด การกระทาํ ทฝ่ี า ฝนตาม (๑) (๒) (๓) หรือ (๔) เปนการคดั เลือกท่ีไมส ุจรติ และเทีย่ งธรรม ขอ ๙ กอ นวันคัดเลอื กกํานันตามขอ ๑๐ (๑) ข. หากปรากฏวาในตําบลน้นั มีตาํ แหนง ผใู หญบานวา งหรือมีหมบู า นที่ประกาศตง้ั ข้ึนใหม ใหด าํ เนนิ การเลือกผูใหญบ านน้นั เสยี กอน เวน แตจ ะมี ระยะเวลาไมเพียงพอทจ่ี ะดําเนนิ การเลอื กไดหรือมีเหตทุ ี่ไมสามารถเลือกผูใหญบา นนนั้ ไดใ หดําเนนิ การ คดั เลอื กกํานนั ตอไปโดยไมตองรอผลการเลือกผใู หญบ านในหมูบานน้นั ขอ ๑๐ การคัดเลือกกํานันใหนายอําเภอดาํ เนินการดังนี้ (๑) ประกาศกาํ หนดใหมกี ารคดั เลือกกาํ นนั ภายในสามวันนับแตวนั ทน่ี ายอําเภอไดท ราบการวา ง ตามแบบ กน. ๑ อยา งนอยตองมีสาระสาํ คญั ดังนี้ ก. กาํ หนดที่คัดเลอื กกาํ นนั

- 123 - ข. กาํ หนดวัน และเวลาประชุมคัดเลือกกํานัน โดยใหก ําหนดวนั คัดเลอื กกาํ นนั ภายหลังท่ี ไดดาํ เนนิ การเลอื กผใู หญบ านทวี่ างอยูกอนหรือวางอยูใ นวันท่มี ีประกาศใหมกี ารคดั เลอื กกํานัน แตทง้ั นี้ ตองไมเกนิ ส่สี บิ หา วนั นับแตวันทีน่ ายอําเภอไดทราบเหตุนน้ั (๒) ปดประกาศกาํ หนดใหม ีการประชมุ คัดเลือกกาํ นนั ตามแบบ กน. ๑ ณ ทีว่ า การอําเภอ หรอื สถานทที่ น่ี ายอําเภอกําหนดใหม ีการคัดเลือกกาํ นนั และท่ที ําการผูใ หญบานทุก หมบู านในตาํ บลท่ีมีการคัดเลือกกาํ นันภายในเจด็ วันนบั แตวนั ทนี่ ายอําเภอทราบเหตุนั้น (๓) แจงใหผูใหญบานทุกหมบู านในตําบลทราบเปน ลายลักษณอักษรลวงหนาไมน อยกวาสามวัน กอนวันประชุมคัดเลอื ก (๔) มคี ําสั่งแตงตัง้ คณะกรรมการคัดเลือกกาํ นันประกอบดวย นายอาํ เภอเปน ประธาน ผูท ่ีนายอาํ เภอ เห็นสมควรเปนกรรมการ และปลัดอําเภอเปนกรรมการและเลขานกุ ารทําหนาท่ีชว ยเหลือนายอาํ เภอ (๕) จัดประชุมผใู หญบ านในตําบลนัน้ เพือ่ ปรึกษาหารือคัดเลือกผูใ หญบานคนหนึ่งขึน้ เปนกํานนั ตามวนั เวลา และสถานทท่ี ี่กําหนดไวในแบบ กน. ๑ (๖) กรณที ผี่ ูใหญบานไดถ ูกเสนอชื่อเพื่อรับการคดั เลือกจากท่ีประชุมตาม (๕)มากกวาหนง่ึ คน ตองจดั ใหมกี ารลงคะแนนโดยวธิ ลี บั (๗) จดั เตรียมหีบบัตร บัตรเลอื ก บัญชรี ายชื่อผใู หญบา นในตําบลน้ัน แบบพมิ พแ ละอปุ กรณ ตา งๆ ท่ีตองใชในวันคัดเลือก ขอ ๑๑ ใหน ายอําเภอกาํ หนดใหทวี่ าการอําเภอเปน สถานที่คัดเลือกกํานัน หากมีความจาํ เปน ไมส ามารถใชสถานทีด่ ังกลาวได จะกาํ หนดสถานทอี่ ืน่ ทมี่ ีความสะดวกเหมาะสมเปน สถานที่คดั เลือกและ ไมเ ปนการไดเปรียบหรือเสียเปรยี บแกผ ูใหญบ า นคนหน่งึ คนใดเปนท่ีคดั เลือกกํานันก็ได ขอ ๑๒ ในการประชมุ คดั เลือกกํานัน ใหนายอําเภอเปนประธานในที่ประชมุ ปลัดอาํ เภอเปน เลขานกุ ารทาํ หนาทรี่ บั ลงทะเบียนผใู หญบ า นและกรรมการทีเ่ ขารว มประชมุ และจดั ทําบันทึกรายงานการ ประชมุ คดั เลือกกํานนั ตามแบบ กน. ๒ ใหนายอําเภอชแี้ จงรายละเอยี ด เพื่อทาํ ความเขา ใจในเร่ืองรูแ พ รชู นะ รอู ภัยและการรูร ัก สามคั คี ตลอดจนการดํารงรักษาความเปนมติ ร เปนเพ่ือนบาน และความเปน ญาติพ่ีนองในพ้ืนทท่ี ้ังกอน และหลังการคดั เลือกใหผใู หญบา นและราษฎรท่สี นใจติดตามการคดั เลือกกํานนั ไดรับทราบ ขอ ๑๓ การประชมุ คดั เลือกกาํ นันตองเปนไปโดยเปดเผยและตอ งมผี ูใ หญบา นมาประชุมไมนอ ย กวา ก่ึงหนึ่งของจาํ นวนผใู หญบา นท้ังหมดท่ีมีอยูในตําบลน้ัน กรณีมีความจําเปนนายอาํ เภออาจสั่งใหม ีการประชุมลับ และวนิ ิจฉัยวาสมควรจะใหผูใดอยใู นท่ี ประชมุ ลบั นัน้ กไ็ ด ผใู หญบ านในตาํ บลนนั้ คนหนึง่ มสี ิทธิเสนอชื่อผูใหญบานในตําบลนน้ั หรอื เสนอชือ่ ตนเองเปน กํานนั ไดหนงึ่ คน ผใู หญบ านท่ไี ดร บั การเสนอชื่อตองอยูใ นทปี่ ระชมุ และตองยนิ ยอมใหเ สนอชื่อตนได เวน แตมี เหตุจาํ เปน อยางยิ่งทไ่ี มอ าจเขา รว มประชุมไดใหทําหนงั สือยินยอมใหเสนอช่อื ตนเปน กํานันพรอ มท้ังแจง เหตุท่ี ไมสามารถเขา รว มประชุมตอนายอําเภออยางชา ในวันประชุมคัดเลอื ก

- 124 - ขอ ๑๔ กรณีมีการเสนอชื่อผสู มควรไดรับการคัดเลือกเปนกาํ นนั เพยี งคนเดียว ใหน ายอาํ เภอ คัดเลอื กผูนนั้ เปนกํานนั แลว ใหน ายอาํ เภอประกาศผลการคัดเลือกกํานันตามแบบกน. ๓ โดยปดประกาศ ณ ทวี่ าการอําเภอ และท่ที ําการผใู หญบ า นทกุ หมบู า นในตําบลนั้น ขอ ๑๕ กรณีมีการเสนอชื่อผูส มควรไดร ับการคัดเลือกเปน กํานันมากกวาหน่ึงคน ใหนายอาํ เภอ จดั ใหม กี ารออกเสยี งลงคะแนนโดยวธิ ลี บั และใหเ สรจ็ สน้ิ ในวนั ประชมุ คดั เลอื กการลงคะแนนโดยวธิ ลี บั ใหใชบ ัตร เลือกผูใหญบ านโดยอนโุ ลม ขอ ๑๖ กรณีมีการเสนอช่ือผูสมควรไดรับการคัดเลือกเปนกาํ นันมากกวาหนึ่งคน ใหนายอาํ เภอ ตกลงกับผไู ดรบั การเสนอช่ือเพ่ือกาํ หนดหมายเลขประจําตวั หากไมสามารถตกลงกนั ไดใหดําเนินการจบั สลาก สองคร้ัง ดงั น้ี (๑) การจับสลากคร้ังท่ีหน่ึง ใหนายอําเภอเขียนช่ือผูไดรบั การเสนอชื่อทตี่ องจับสลากบนสลากท่ี เหมอื นกนั แลว ใสในภาชนะใหสลากคละกัน แลว ใหน ายอําเภอเปน ผจู ับสลากจากในภาชนะดงั กลาวข้ึนมา ทลี ะหนึ่งใบ ชือ่ ผใู ดทีถ่ ูกจบั มาเปน ลาํ ดบั แรกใหถอื วาผนู ้นั เปน ผมู ีสิทธิจบั สลากในคร้งั ที่สองกอน ช่อื ผูใดท่ี ถกู จบั มาเปน ลําดบั ตอ ไป ใหถอื วาผนู ้ันเปนผมู สี ิทธิจับสลากในครัง้ ท่สี องเปน ลําดบั ถัดไปจนครบทกุ คน (๒) การจบั สลากครั้งที่สอง ใหน ายอาํ เภอเขยี นหมายเลขหน่ึงจนถงึ หมายเลขทเ่ี ทากบั จาํ นวน ผไู ดรับการเสนอชอ่ื บนสลากท่ีเหมือนกันแลว ใสในภาชนะใหส ลากคละกัน แลว ใหผไู ดรับการเสนอช่อื ตามลําดบั ของผลการจับสลากในครง้ั ที่หนึง่ ทําการจับสลากจากในภาชนะดังกลาว ผไู ดร ับการเสนอชื่อผูใดจบั สลาก ไดห มายเลขใดใหถ ือเปนหมายเลขประจาํ ตัวผนู น้ั ขอ ๑๗ กรณที ีไ่ มมีผูใดเสนอชื่อผสู มควรไดร ับการคดั เลือกเปน กาํ นนั ใหถอื วาผใู หญบ า นทกุ คน ทม่ี าประชุมไดรับการเสนอชอื่ และใหนายอําเภอจัดใหล งคะแนนโดยวิธลี บั โดยใหถือวาลาํ ดับทีข่ องหมูบ าน เปนหมายเลขประจําตวั ของผูใ หญบา น กรณผี ูใ หญบ านคนใดไมประสงคจะไดรบั การคดั เลอื กเปน กํานัน ใหแจงการสละสิทธิตอนายอําเภอ และใหบันทึกเปนหลกั ฐานไวใ นรายงานการประชุมตามแบบ กน. ๒ เมอ่ื ถึงเวลาลงคะแนนแลว ผูใ หญบ านคนใดไมอยใู นที่ประชมุ นนั้ ใหถอื วา ผูใหญบา นนั้นสละสิทธิ ลงคะแนน ขอ ๑๘ กรณมี กี ารออกเสียงลงคะแนนโดยวธิ ีลับ ใหค ณะกรรมการคดั เลือกทนี่ ายอําเภอ แตง ต้งั ตามขอ ๑๐ (๔) ทาํ หนา ท่ีจดั ใหผ ูใหญบ านลงช่ือในบญั ชรี ายชอ่ื ผใู หญบ า น มอบบตั รเลอื กใหผใู หญบาน ดแู ลคูหาลงคะแนน ดแู ลหบี บตั ร และดาํ เนินการในเร่อื งอ่ืนๆ เพื่อใหก ารออกเสยี งลงคะแนนคัดเลอื ก เปนไปดวยความเรียบรอย ขอ ๓๖ เมอ่ื ผวู าราชการจังหวดั ไดร บั รายงานประกาศผลการนับคะแนนตามแบบ กน. ๖ หรอื ผลการประชคุ ัดเลือกกาํ นันตามแบบ กน. ๓ แลว ใหออกหนังสือสําคัญใหแกผไู ดร บั คัดเลอื กเปนกํานันไว เปน หลักฐาน โดยใหถอื วา ผูนั้นเปนกํานนั นับแตวันที่ไดร บั การคัดเลอื กเปนตน ไป

- 125 - ขอ ๓๗ เมอ่ื นายอาํ เภอมปี ระกาศผลการนบั คะแนนตามแบบ กน. ๖ แลว ผใู ดเหน็ วา การคัดเลอื ก เปนไปโดยไมสุจริตและเทีย่ งธรรม ประสงคจะใหม ีการคัดเลือกกํานนั ใหม ใหทาํ คาํ รองคัดคา นเปนหนังสอื ย่ืนตอ นายอําเภอไดภายในสบิ หา วนั นับแตว นั ทมี่ ีประกาศดังกลา ว เมือ่ นายอาํ เภอไดรับคาํ รองคัดคานแลว ใหรายงานผูวา ราชการจังหวดั ทราบ และดําเนินการ สอบสวนแลว รายงานผลพรอมความเห็นและหลกั ฐานใหผ วู า ราชการจังหวดั วินจิ ฉัยช้ีขาดภายในสามสิบวัน นบั แตวันทไ่ี ดร ับคาํ รอ งคดั คาน หากผวู า ราชการจังหวัดเห็นวาการคดั เลือกกํานันคร้ังน้นั เปนไปตามที่ไดมี การรองคดั คา นหรือไดม ีการกระทําไปโดยไมสุจรติ และเทีย่ งธรรม ใหผวู าราชการจังหวดั สงั่ ใหกาํ นนั คนนัน้ พน จากตําแหนง ภายในเกา สิบวนั นบั แตวันทไ่ี ดร บั การคดั เลอื ก แลว ใหน ายอาํ เภอดาํ เนนิ การคดั เลอื กกาํ นนั ใหม ภายในสามสบิ วันนบั แตวนั ท่ไี ดม คี าํ สัง่ ใหกํานันดังกลาวพนจากตําแหนง ขอ ๓๘ เมอ่ื นายอาํ เภอไดร ับคาํ รองคัดคานการคัดเลอื กกาํ นนั วา เปนไปโดยไมส ุจรติ และเที่ยงธรรม ถา นายอาํ เภอพจิ ารณาขอมูลคาํ รองคดั คานแลวเห็นวาผรู องคัดคานสาํ คัญผิดในขอกฎหมายหรอื ขอ เทจ็ จริง เพ่ือประโยชนแหงการรรู ักสามัคคดี วยความพอใจของคูกรณี ใหน ายอําเภอเรียกผรู องคดั คา นและผูถ ูกคดั คา น เสนอขอเท็จจรงิ หรือขอมลู เพ่ิมเติมและชี้แจงทาํ ความเขา ใจเกี่ยวกับขอกฎหมายหรือขอเท็จจริงท่ถี ูกตองแลว หากผูรองคัดคา นไดเขา ใจขอกฎหมายหรอื เขาใจในขอ เท็จจรงิ ทถ่ี กู ตองแลวผูร อ งคดั คานไดข อถอนคํารอง คดั คาน หรือไมประสงคใหพิจารณาเรื่องคํารองคัดคานตอไป ใหบันทึกถอยคําผรู อ งคัดคานไวและส่ังยตุ เิ ร่ือง หากผรู องคัดคานยงั ไมพอใจ ใหน ายอาํ เภอทําการสอบสวนและจัดทาํ ความเหน็ ประกอบขอกฎหมาย และ ขอ เทจ็ จริงคํารอ งคดั คานเสนอตอผูวา ราชการจงั หวดั เพอื่ พิจารณา ขอ ๓๙ กรณีท่ีผูวาราชการจงั หวัดมคี าํ สั่งใหกํานนั พน จากตําแหนงตามขอ ๓๗คาํ สงั่ ดังกลาว ไมก ระทบกระเทือนตอกิจการทก่ี าํ นันน้ันไดกระทาํ ลงไปในขณะดาํ รงตําแหนง ขอ ๔๐ นายอําเภอจะทาํ ลายบตั รเลือกและเอกสารท่ีเกบ็ อยูในหีบบัตรนนั้ ไดเ มอ่ื พน กาํ หนด ระยะเวลาคัดคานการคดั เลือกตามขอ ๓๗ แลว ไมน อยกวาเจ็ดวนั ในกรณที ี่มกี ารคัดคา นการคัดเลือก ให นายอําเภอเกบ็ รกั ษาหบี บตั รจนกวา เรื่องคัดคานดังกลาวจะถงึ ที่สุด 3. ระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา ดวยหลักเกณฑการเปนกรรมการหมบู าน การปฏิบัตหิ นา ท่แี ละ การประชุมของคณะกรรมการหมบู า น พ.ศ. ๒๕๕๑ ขอ ๕ ในหมวดน้ี “กลุม” หมายความรวมถงึ องคก รในหมูบ านหรอื กลมุ อาชีพ “กลมุ บาน” หมายความวา บา นเรอื นทตี่ ั้งอยูในบริเวณเดยี วกนั เปน กลุมยอยภายในหมูบ า น โดยอาจแบงตามสภาพภูมปิ ระเทศ ประวตั ิความเปนมา วฒั นธรรมประเพณี หรือระบบเครือญาติ และให หมายความรวมถึง คุม บา น เขตบา น บานจดั สรร หรอื ทีเ่ รยี กชือ่ อยางอ่ืนทีม่ ลี กั ษณะเชนเดยี วกับกลมุ บา น “กลุมอาชพี ” หมายความวา กลุมท่ีมีการจัดตั้งขนึ้ มาโดยมีวตั ถปุ ระสงคเพื่อประโยชนในการ ประกอบอาชีพ เพิ่มพนู รายไดหรอื การพัฒนาอาชีพ “กลุมกิจกรรม” หมายความวา กลมุ ท่ีมีการจดั ตั้งขึ้นมาโดยมีวตั ถปุ ระสงคเพื่อกระทําการ อยา งใดอยา งหนงึ่ เพ่ือประโยชนข องสมาชิกในกลุมหรอื เพื่อประโยชนของสว นรวม

- 126 - “ผนู ํา” หมายความวา บุคคลซงึ่ ทําหนาท่ีเปน ประธาน หรอื หวั หนา ของกลมุ และหมายความ รวมถงึ ผแู ทนดว ย “ผแู ทน” หมายความวา บคุ คลที่ผูน ําของกลุมมอบหมาย หรือในกรณที ี่กลุมใดไมมผี ูน ํา ใหกลมุ ประชมุ เลอื กสมาชิกของกลมุ เปนผแู ทน ขอ ๖ ผูนําของกลุม ดังตอ ไปน้ี เปนกรรมการหมบู า นโดยตําแหนง (๑) กลุม บา น ตามประกาศของนายอําเภอ (๒) กลมุ หรือกลุมกิจกรรมทมี่ าจากการรวมตัวกันของสมาชิก ซ่งึ ตั้งขึน้ ตามกฎหมายระเบียบ ขอ บังคับ หรือคาํ สงั่ ของทางราชการ ตามท่ีกระทรวงมหาดไทยประกาศ (๓) กลุมอาชพี หรือกลุมกิจกรรมท่ีมาจากการรวมตวั กนั ของสมาชกิ หรอื ต้ังข้ึนเพือ่ ดําเนนิ กิจกรรมรวมกันระหวางสมาชิกภายในกลุม และตองมีลกั ษณะดงั ตอไปนี้ (ก) เปน กลมุ ท่ีมีสมาชกิ ไมนอยกวายสี่ ิบคน (ข) สมาชกิ ของกลุมไมนอยกวา กง่ึ หนง่ึ มีภมู ิลําเนาในหมูบา น (ค) เปนกลุมทีม่ ีการดาํ เนินกิจกรรมในหมูบา น อยา งตอเนอื่ งมาแลว ไมนอ ยกวาหกเดือน (ง) เปน กลมุ ทม่ี กี ฎระเบยี บทีก่ ําหนดไวช ัดเจน และตองเกิดจากสมาชกิ รวมกนั กาํ หนด ทั้งน้ี นายอําเภออาจพิจารณายกเวน ลกั ษณะตาม (ก) ได ในกรณที เ่ี หน็ สมควร ขอ ๗ ใหน ายอาํ เภอจัดทาํ ประกาศจํานวนและรายชอื่ ของกลมุ บานตามขอ ๖ (๑) ในแตล ะหมบู านปด ประกาศใหร าษฎรในหมบู า นทราบ โดยในกลุมบานหนึง่ ใหป ระกอบดวย บานเรือนจาํ นวนสิบหาถึงย่ีสิบหลงั คาเรือนโดยประมาณ เวนแตใ นกรณจี ําเปน นายอําเภออาจกาํ หนดใหม ี จํานวนบานเรือนมากหรือนอยกวา ทีก่ ําหนดไวนีก้ ็ได ขอ ๘ ใหผ ูใหญบ าน สมาชิกกลมุ อาชพี หรอื กลุมกจิ กรรมทีม่ ีคุณสมบัติตามขอ ๖ (๓) เสนอชอ่ื กลมุ อาชีพหรือกลุม กจิ กรรมใหน ายอาํ เภอพิจารณา โดยใหน ายอําเภอแตง ตง้ั คณะกรรมการคณะหนง่ึ จํานวนไมน อยกวาหา คนแตไมเกินเจด็ คน เพ่ือทาํ หนาท่ีพจิ ารณาตรวจสอบคุณสมบตั ิ ใหน ายอาํ เภอจดั ทําบัญชรี ายชอ่ื กลมุ อาชพี หรือกลุม กิจกรรมตามขอ ๖ (๓) ท่ไี ดรับความ เห็นชอบแลว ปดประกาศใหราษฎรในหมูบ านทราบ ขอ ๙ เมือ่ ไดมีประกาศตามขอ ๗ แลว ใหต ัวแทนครวั เรือนในกลุมบานเลือกบคุ คลในกลุมบา นคนหนง่ึ เปน ผนู ํากลมุ บา นในคณะกรรมการหมบู า น ผูนาํ กลมุ บา นตองมีคุณสมบตั เิ ชนเดียวกับผูม สี ิทธิเลอื กผูใ หญบาน ผูนํากลมุ บานมีหนา ท่ชี วยเหลอื การปฏิบัตงิ านของผูใหญบ าน ตามทผี่ ูใหญบานมอบหมาย ขอ ๑๒ การเปนกรรมการหมูบา นโดยตําแหนงของผูนาํ กลุมในหมูบ านส้ินสุดลงเมื่อมีการเลือก ผนู าํ ตามขอ ๙ หรอื ขอ ๑๐ ขน้ึ ใหม นอกจากการพน จากตาํ แหนงตามวรรคหนงึ่ แลว การเปนกรรมการหมบู า นโดยตําแหนง ของ ผูนาํ กลุม ในหมูบา นตองสน้ิ สดุ ลง ดว ยเหตใุ ดเหตหุ น่ึง ดงั ตอไปน้ี (๑) ขาดคุณสมบัติของผูม สี ิทธเิ ลือกผใู หญบาน (๒) ตาย

- 127 - (๓) เม่ือนายอําเภอมปี ระกาศใหกลมุ ตามขอ ๖ (๑) หรือ (๓) สน้ิ สุดสภาพของการเปนกลุม หรอื ขาดคณุ สมบตั ิของการเปนกลุม ขอ ๑๓ ในกรณที ่ีกลุมหรือองคกรตามขอ ๖ ถกู ยุบ เลกิ หรอื ไมมีการดําเนินกจิ กรรมตอ เน่ืองกัน เปนเวลาเกนิ หนึง่ ป ใหถือวาส้ินสดุ สภาพของการเปนกลมุ หรือขาดคุณสมบตั ิของการเปนกลุม และให กรรมการหมูบานรายงานใหนายอําเภอประกาศตามขอ ๘ ขอ ๑๔ ในหมวดน้ี “คณะกรรมการ” หมายความวา คณะกรรมการดําเนินการประชุมเลือกกรรมการหมูบ า น ผูทรงคณุ วุฒิ “วันประชุม” หมายความวา วันประชมุ เลือกกรรมการหมูบา นผูท รงคณุ วุฒิ “การประชุม” หมายความวา การประชมุ เลอื กกรรมการหมูบา นผูทรงคุณวฒุ ิ “ปลดั อาํ เภอประจาํ ตาํ บล” หมายความวา ปลดั อําเภอที่นายอาํ เภอมคี าํ สงั่ แตง ตั้งใหร บั ผดิ ชอบ ประจาํ ตําบล ขอ ๑๕ การประชุมเลือกกรรมการหมูบานผทู รงคุณวฒุ ิ ใหน ายอาํ เภอจดั ทําประกาศกําหนด วัน เวลา และสถานท่ีในการประชมุ เลือกกรรมการหมูบา นผูทรงคณุ วุฒิ ปด ประกาศและประชาสมั พันธให ราษฎรในหมบู านทราบลว งหนา ไมน อยกวา เจด็ วันกอนวนั ประชุม ขอ ๑๖ ในการประชุมเลือกกรรหมูบานผทู รงคุณวุฒิ ใหมีคณะการประกอบดว ยผใู หญบ า น เปน ประธาน ผชู ว ยผใู หญบ า นเปนกรรมการ ทาํ หนาที่ดําเนินการเลอื กและใหน ายอาํ เภอแตงต้ังปลัดอําเภอประจํา ตําบล ขา ราชการในอาํ เภอหนง่ึ คน และกาํ นันหรือผใู หญบาน ในอาํ เภอน้นั หน่ึงคน เปน ท่ปี รกึ ษาและทําหนาที่ สกั ขพี ยานดวย ผูมสี ิทธิเขา ประชุมตอ งมีคณุ สมบตั เิ ชนเดยี วกับผูม ีสิทธิเลือกผใู หญบ า น และใหน ายอาํ เภอ จัดทําบัญชรี ายช่อื ผมู ีสทิ ธเิ ขาประชุม ในวันประชุม ใหคณะกรรมการพรอมดวยที่ปรึกษาตามวรรคหนึ่ง ประชมุ ราษฎรผมู ีสิทธเิ ลอื ก ผใู หญบานในหมูบ าน เพ่ือแจงวัตถปุ ระสงคใ นการเลือก จาํ นวนและคุณสมบตั ขิ องกรรมการหมูบานผทู รงคุณวุฒิ ตลอดจนวิธีการเลอื กใหผ ูเขาประชุมไดทราบ เมือ่ ดําเนินการตามวรรคสามแลว ใหคณะกรรมการประกาศใหผ เู ขา ประชุมชวยกันตรวจสอบ วา มีบคุ คลที่ไมมสี ิทธเิ ขา ประชุมอยใู นที่ประชมุ หรือไม หากมีใหผ ูเ ขาประชมุ คดั คา นขึน้ ในขณะนน้ั แลว ใหค ณะกรรมการและที่ปรึกษา รวมกันตรวจสอบ ถา ไดค วามวา บุคคลน้นั เปนผไู มม สี ทิ ธเิ ขาประชมุ จริง ก็ใหคณะกรรมการเชิญบุคคลดังกลา วออกจากทีป่ ระชุม ขอ ๒๑ เมอ่ื ไดกรรมการหมบู า นผทู รงคุณวุฒแิ ลว ใหคณะกรรมการจัดทํารายงานการประชุม ไวเ ปนหลกั ฐานโดยใหท ี่ปรึกษาลงช่ือรับรอง แลวใหผ ใู หญบานรายงานใหนายอําเภอทราบเพอื่ แตง ตงั้ เปน กรรมการหมูบา นผทู รงคุณวฒุ ติ อไป ใหน ายอําเภอจัดทําประกาศแตงตั้งกรรมการหมูบา นผูทรงคุณวฒุ ิ ปด ประกาศใหราษฎร ในหมบู านทราบ พรอมทัง้ จัดทําทะเบยี นและออกหนังสือสําคญั ไวเ ปน หลกั ฐาน

- 128 - ขอ ๒๒ กรรมการหมูบานผูทรงคุณวฒุ ิอยูในตําแหนง คราวละสี่ป นบั แตว ันท่นี ายอําเภอไดม ปี ระกาศ แตง ต้งั นอกจากออกจากตาํ แหนง ตามวาระ กรรมการหมูบา นผทู รงคุณวฒุ ิตอ งออกจากตําแหนง ดว ย เหตใุ ดเหตหุ น่ึง ดังตอไปน้ี (1) ขาดคุณสมบัติของผมู สี ิทธิเลอื กผใู หญบาน (๒) ตาย (๓) ไดรบั อนญุ าตจากนายอําเภอใหลาออก (๔) นายอําเภอมีคาํ สั่งใหอ อก เม่อื สอบสวนแลวเหน็ วา มีความประพฤตเิ ส่ือมเสยี หรอื หากอยู ในตําแหนงตอไปอาจกอใหเ กิดความไมสงบเรียบรอ ยแกห มูบานได ขอ ๒๓ ในกรณีท่กี รรมการหมูบา นผทู รงคณุ วุฒิวางลง ถา กรรมการหมบู า นผูทรงคุณวุฒิ ทเ่ี หลืออยูมจี ํานวนไมน อยกวาสองคน ใหกรรมการหมูบานผูทรงคณุ วุฒเิ หลือเทาจํานวนท่มี ีอยู กรณีที่กรรมการหมูบา นผูทรงคุณวุฒวิ า งลง จนเปนเหตุใหกรรมการหมบู านผทู รงคุณวฒุ ทิ เี่ หลอื อยู มีจาํ นวนนอยกวา สองคน และกรรมการหมบู านผทู รงคุณวุฒิทีเ่ หลอื มวี าระการดํารงตําแหนงไมน อยกวา หนง่ึ รอยแปดสบิ วนั ใหน ายอาํ เภอจัดใหม ีการประชุมเลือกกรรมการหมูบานผทู รงคุณวฒุ ขิ น้ึ แทนตาํ แหนง ท่วี างภายในสามสิบวันนับแตวันท่ที ราบวาตําแหนง วางลงและใหอ ยูในตาํ แหนง ตามวาระของผูซ ึ่งตนแทน กรรมการหมูบ า นผูทรงคณุ วุฒิครบวาระการดํารงตาํ แหนง หรือพนจากตาํ แหนงพรอ มกัน ใหน ายอําเภอดาํ เนินการจัดใหมีการประชมุ เลือกกรรมการหมูบานผทู รงคุณวฒุ ิขึ้นใหมภ ายในสามสบิ วนั นบั แตว ันที่กรรมการหมูบ า นผูทรงคุณวุฒิครบวาระการดํารงตาํ แหนง หรือพนจากตําแหนง พรอ มกนั ขอ ๔๗ ใหน ายอําเภอมีอํานาจหนาทค่ี วบคุมดูแลการปฏิบตั ิหนา ทีข่ องคณะกรรมการหมูบาน หรือมติที่ประชมุ ประชาคมหมบู านใหเ ปน ไปตามกฎหมาย ระเบียบขอ บงั คบั ของทางราชการและใหปลดั อาํ เภอ ประจาํ ตาํ บล เปน ผูชว ยเหลอื นายอําเภอในการปฏบิ ตั ติ ามอาํ นาจหนา ที่ของนายอาํ เภอในตาํ บลท่ีรบั ผิดชอบ ในการปฏิบตั ิหนา ที่ตามวรรคหนึ่ง ใหน ายอาํ เภอและปลดั อาํ เภอประจําตําบล มีอาํ นาจเรียก กรรมการหมูบา นมาชแ้ี จงหรือใหขอเท็จจริง ตลอดจนเรยี กรายงานและเอกสารใดๆ จากคณะกรรมการ หมบู านมาตรวจสอบกไ็ ด ในกรณที ป่ี ลดั อาํ เภอประจาํ ตาํ บลเหน็ วา คณะกรรมการหมูบานปฏบิ ตั ิหนาที่ในทางท่อี าจ กอ ใหเกิดความเสยี หายแกห มูบา น หรอื เสยี หายแกทางราชการ และปลดั อําเภอประจาํ ตําบลไดชี้แจง แนะนําตักเตอื นแลวไมป ฏบิ ตั ิตาม ในกรณีฉุกเฉนิ หรือจําเปนเรงดว นทจ่ี ะรอชามิได ใหป ลดั อําเภอประจาํ ตาํ บลมีอาํ นาจออกคําส่ังระงับการปฏบิ ัตหิ นาท่ีของคณะกรรมการหมบู า นหรือมติทปี่ ระชุมประชาคมหมบู า น เปนการชว่ั คราวไวตามที่เห็นสมควรได แลวรีบรายงานนายอําเภอทราบภายในเจ็ดวนั เพือ่ ใหน ายอําเภอ วินจิ ฉยั ตามทเี่ หน็ สมควรโดยเรว็ การกระทาํ ของกรรมการหมูบ าน ทฝี่ า ฝน คาํ สง่ั ของปลดั อาํ เภอประจาํ ตาํ บลตามวรรคสาม ไมมผี ลผูกพนั กบั คณะกรรมการหมบู า น

- 129 - 4. ระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา ดว ยการชว ยเหลอื เจา พนักงานของหนว ยกําลงั คุมครองและรกั ษา ความสงบเรียบรอ ยภายในหมบู า น พ.ศ. ๒๕๕๑ ขอ ๓ ในระเบียบนี้ “หนว ยกําลังคมุ ครองและรกั ษาความสงบเรยี บรอ ยภายในหมูบา น” หมายความวา หนว ยกําลัง คมุ ครองและรกั ษาความสงบเรียบรอ ยภายในหมบู า น ตามกฎหมายวาดว ยจัดระเบียบบริหารหมูบ านอาสา พัฒนาและปองกนั ตนเอง และใหห มายความรวมถงึ ชุดรักษาความปลอดภัยหมบู า นตามระเบียบนี้ “ชุดรักษาความปลอดภยั หมบู า น” หมายความถงึ ราษฎรอาสาสมคั รในพน้ื ท่ี ท่ีผา นการฝกอบรม ตามหลักสูตรชุดรกั ษาความปลอดภยั หมบู าน ซ่งึ ไดรับการแตงตัง้ จากนายอําเภอใหปฏิบัติหนาทร่ี กั ษา ความปลอดภัยหมูบาน และใหเปนผชู ว ยเหลือเจา พนักงาน ตามกฎหมายวาดว ยลกั ษณะปกครองทองที่ เรยี กโดยยอ วา “ชรบ.” “หลกั สูตร ชรบ.” หมายความวา หลักสูตรชุดรักษาความปลอดภัยหมูบาน “นายอําเภอ” ใหห มายความรวมถงึ ปลัดอาํ เภอผูเปนหวั หนา ประจํากงิ่ อําเภอ “ปลัดอาํ เภอประจาํ ตําบล” หมายความวา ปลัดอําเภอซ่ึงทไี่ ดรับแตง ตั้งใหปฏบิ ัติหนาท่ี ประจําตาํ บลหรือเปน ปลดั อาํ เภอผเู ปนหวั หนาประจําตําบล ขอ ๔ ใหป ลัดกระทรวงมหาดไทยเปนผูรักษาการใหเปนไปตามระเบียบนี้ มีอํานาจตีความ วินจิ ฉัยปญหา และกาํ หนดหลักเกณฑแ ละวธิ กี ารปฏิบตั เิ พื่อดาํ เนนิ การใหเปน ไปตามระเบียบน้ี ขอ ๕ ใหก รมการปกครองจัดใหม ีการฝกอบรมหลกั สตู ร ชรบ. แกร าษฎรในพืน้ ท่ี ใหม จี าํ นวน เพยี งพอในการรกั ษาความสงบเรียบรอ ยและความปลอดภัยหมบู าน ตามความจําเปน และเหมาะสมของสถานการณ โดยในการฝกอบรมจะดําเนินการเองหรือหนวยงานอืน่ เปน ผดู ําเนินการก็ได ในกรณมี คี วามจาํ เปจงั หวัด หรอื อาํ เภอจะจดั ใหมกี ารฝกอบรมหลักสตู รดังกลาวในพ้ืนท่ีของตนเองก็ได ขอ ๙ ในอาํ เภอหนงึ่ ใหมีกองพันหนวยรักษาความปลอดภยั หมูบ า น โดยมนี ายอาํ เภอเปน ผูบังคบั กองพันหนว ยรักษาความปลอดภยั หมูบา น และมีปลดั อําเภอ นายตาํ รวจช้นั สญั ญาบตั ร และขา ราชการ ในพน้ื ที่ตามที่นายอาํ เภอแตงตัง้ เปนรองผูบ งั คับกองพนั หนวยรกั ษาความปลอดภัยหมูบาน ฝา ยยทุ ธการ และการขาว ฝายกจิ การมวลชน ฝา ยกําลงั พลและสง กําลงั บาํ รงุ และฝา ยสอ่ื สารและงบประมาณ ขอ ๑๐ ในตําบลหนึ่งใหม กี องรอ ย ชรบ. โดยมีปลัดอาํ เภอประจําตําบลเปน ผูบังคบั กองรอย ชรบ. และมขี าราชการอน่ื ตามทนี่ ายอาํ เภอแตงต้ัง เปนรองผูบังคับกองรอย ชรบ.ฝา ยยุทธการและการขาว ฝา ยกิจการมวลชน ฝา ยกาํ ลังพลและสงกําลังบาํ รุง และฝายส่ือสารและงบประมาณ โดยใหก ํานันในตาํ บลน้นั เปน ผูชวยผบู งั คับกองรอย ชรบ. ขอ ๑๑ ในหมูบานหนึง่ ใหม หี มวด ชรบ. โดยมีผใู หญบ านเปน ผูบังคบั หมวดชรบ. ทหาร ตํารวจหรอื สมาชกิ กองอาสารักษาดินแดน จํานวนสองคนเปนเจา หนา ทโี่ ครง ทําหนาทเ่ี ปน ผูชว ยผบู ังคับ หมวด ชรบ. ในหมวด ชรบ. ใหแ บง การปกครองบงั คับบัญชาออกเปน อยางนอยสองหมเู รียกวา “หมชู ุด รกั ษาความปลอดภัยหมบู า นที่ ๑ หมูช ดุ รักษาความปลอดภัยหมูบา นท่ี ๒ และหมชู ุดรกั ษาความปลอดภยั

- 130 - หมูบานที่ ... ตามลาํ ดับตอ ไป” โดยมผี ูชวยผใู หญบานเปนผูบงั คบั หมูช รบ. และหมู ชรบ. ใหมีจํานวนไมน อ ยกวา เจ็ดคน แตไมเกินสิบหา คน ตามความเหมาะสมโดยพิจารณาจากอัตรากําลังพลและสถานการณใ นพ้นื ท่ี ขอ ๑๒ ใหผ ูใหญบานพจิ ารณาคดั เลอื กราษฎรท่ผี านการฝกอบรมตาม ขอ ๕ ซึ่งมีคณุ สมบตั ิ ตามขอ ๖ และไมมีลักษณะตองหามตามขอ ๗ เสนอใหน ายอาํ เภอพิจารณาแตง ต้งั เปน ชรบ. ขอ ๑๓ ใหน ายอําเภอจดั ทาํ ทะเบยี นประวตั ิ ชรบ. ตามแบบทา ยระเบยี บน้ี และแกไ ขเปลี่ยนแปลง ใหเ ปนปจ จบุ นั แลวเก็บรักษาไวท่ีหมบู า น อาํ เภอ และจงั หวัด แหงละหนง่ึ ชดุ ขอ ๑๔ ชรบ. พนจากการปฏบิ ัตหิ นาที่เฉพาะตัว เมือ่ (๑) ตาย (๒) ลาออก โดยไดร ับการอนุมัติจากนายอาํ เภอ (๓) นายอาํ เภอสั่งใหพ นจากการปฏบิ ัตหิ นา ที่ตามขอ ๒๐ (๔) นายอําเภอสั่งใหพ นจากการปฏิบัตหิ นาท่ี โดยเห็นวาเปน ผขู าดคณุ สมบัติตามขอ ๖ หรอื มี ลักษณะตอ งหามตามขอ ๗ ขอ ๒๒ ใหนายอาํ เภอผสู ่งั ใหป ฏิบัตหิ นา ทอ่ี อกบัตรประจาํ ตวั ใหแก ชรบ. ตามแบบทา ยระเบียบนี้ บตั รประจําตวั ชรบ. มอี ายุหกป เมือ่ บตั รประจาํ ตวั ชาํ รดุ สญู หาย หมดอายุ หรือมกี าร เปล่ยี นแปลงในสาระสาํ คัญ เชน ชือ่ ตวั ชอื่ สกุล เปนตน ใหผ ขู อมีบัตรยน่ื คาํ ขอตามแบบทา ยระเบียบนี้ ตอ นายอําเภอ เพอ่ื ออกบัตรประจําตวั ใหม ในกรณที ่ี ชรบ. พนจากการปฏบิ ัตหิ นาที่กอนหกป ใหคนื บัตรประจาํ ตวั ชรบ.ตอผูบ งั คบั บญั ชา เหนือตนภายในเจ็ดวนั ใหนายอาํ เภอจดั ใหม ีทะเบยี นควบคุมบตั รประจาํ ตวั ตามแบบทะเบยี นควบคุมทา ยระเบียบนี้ โดยใหใ ชเ ลขลาํ ดับในทะเบยี นบัตรเปน เลขทบี่ ัตรตามลําดบั เมื่อส้นิ ปป ฏิทนิ ใหเ ริ่มเลขท่ใี หม เมอ่ื ออกบัตร ประจาํ ตัวใหแ กผ ูใดแลว ใหส าํ เนารายการบัตรประจําตัวไว แลวจดั เก็บพรอมแบบคําขอมีบัตรและหลกั ฐาน ประกอบอื่นๆ (ถา มี) ของแตล ะคน เพ่ือเปนหลกั ฐาน และแกไขเปลี่ยนแปลงใหเปนปจจุบันอยูเสมอ 5. ระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา ดวยการดูแลรักษาและคมุ ครองปอ งกนั ทด่ี ินอันเปนสาธารณสมบตั ิ ของแผนดนิ สาํ หรับพลเมืองใชรวมกนั พ.ศ. ๒๕๕๓ ขอ ๕ ท่ดี นิ อนั เปนสาธารณสมบตั ิของแผนดินสําหรบั พลเมืองใชรวมกันที่อยใู นบังคบั ของระเบียบน้ี หมายถึง ทด่ี นิ สําหรบั ประชาชนใชป ระโยชนร ว มกัน ไมว า เปนโดยสภาพธรรมชาตโิ ดยการใชรวมกันของประชาชน โดยทางนิติกรรม หรอื โดยผลของกฎหมาย เชน ทช่ี ายตล่งิ ทป่ี า ชา ทางบก ทางนํ้า สวนสาธารณะ ทเี่ ลี้ยงสตั ว และทีส่ าธารณะประจําตาํ บลหรือหมูบาน ขอ ๖ อํานาจหนา ทีใ่ นการดูแลรกั ษาและคุมครองปองกนั ที่ดนิ ตามขอ ๕ ใหเ ปน อาํ นาจหนา ที่ ของนายอําเภอรวมกับองคกรปกครองสว นทองถิ่นตามกฎหมายวา ดว ยลกั ษณะปกครองทองที่

- 131 - ในกรณมี ีขอพิพาทหรอื คดเี กี่ยวกับทดี่ ินตามวรรคหนึง่ ใหองคกรปกครองสว นทองถ่ินเปน ผดู าํ เนนิ การ ระงบั ขอพิพาทหรือรอ งทุกขก ลาวโทษภายในสามสบิ วนั นับแตร เู หตแุ หง ขอพิพาทหรือคดีน้ัน เวนแตคดจี ะขาด อายุความใหรอ งทุกขกลาวโทษโดยทันที หากมิไดม ีการดาํ เนนิ การตามวรรคสอง ใหอ งคกรปกครองสว นทองถน่ิ แจงเหตผุ ลและความ จําเปน ใหนายอําเภอทราบภายในเจด็ วนั นับแตวนั ท่คี รบกําหนด และใหนายอําเภอเปนผูดาํ เนนิ การหรือ นายอาํ เภอรวมกับองคกรปกครองสวนทองถ่นิ ดาํ เนินการก็ได การดําเนินการระงับขอพิพาทหรอื การดําเนนิ คดที ่อี งคกรปกครองสว นทองถิ่นหรอื นายอําเภอ ไดด ําเนินการไปกอ นระเบียบนี้ใชบ ังคบั ใหองคก รปกครองสว นทอ งถิ่น หรือนายอําเภอดําเนนิ การตอไป จนกวา จะถึงท่ีสุดความในวรรคสอง ไมเปนการตดั อาํ นาจหนาท่ขี องนายอําเภอทีจ่ ะดาํ เนินการฝายเดยี ว ขอ ๗ นายอําเภอและองคกรปกครองสวนทองถน่ิ ไมมีอํานาจใช หรือยินยอมใหบ คุ คลอ่ืนใช ท่ดี นิ อนั เปน สาธารณสมบตั ขิ องแผน ดนิ สําหรบั พลเมืองใชรวมกนั เวน แตจ ะไดรับความเห็นชอบจากผูวาราชการ จังหวดั และปฏบิ ัติตามประมวลกฎหมายทดี่ ิน กฎหมายอ่ืนท่เี ก่ยี วของ และระเบยี บท่ีกระทรวงมหาดไทย กาํ หนด ขอ ๘ การขอถอนสภาพที่ดนิ อนั เปน สาธารณสมบัตขิ องแผนดินสําหรับพลเมอื งใชร วมกนั ตามมาตรา ๘ วรรคสอง การขออนุญาตใชป ระโยชนใ นทด่ี ินของรัฐตามมาตรา ๙ และการขอสมั ปทาน ตามมาตรา ๑๒ แหง ประมวลกฎหมายท่ดี ิน ใหปฏิบตั ติ ามกฎ หรือระเบียบวาดวยการนัน้ ที่กระทรวงมหาดไทยกาํ หนด ขอ ๙ ทบวงการเมืองตามประมวลกฎหมายทด่ี นิ อาจขอเปลยี่ นสภาพการใชท ่ดี ินอนั เปน สาธารณ สมบตั ขิ องแผนดนิ สําหรับพลเมืองใชรว มกนั จากการใชเ พื่อประโยชนอ ยา งหนึ่งเปน อกี อยางหนึง่ ได ทั้งน้ี ใหปฏบิ ัติตามระเบียบวา ดวยการเปลยี่ นสภาพทีด่ ินอนั เปน สาธารณสมบัตขิ องแผนดนิ สาํ หรับพลเมืองใช รวมกนั ที่กระทรวงมหาดไทยกําหนด ขอ ๑๐ ที่ดนิ ตามขอ ๕ เวน แตท ่ชี ายตลิ่ง ทางบก ทางนาํ้ ลาํ กระโดง ลาํ รางสาธารณะหรือ ทางระบายนาํ้ รวมท้งั ท่เี รยี กช่อื อยา งอ่ืนในทํานองเดียวกัน ใหนายอาํ เภอรว มกบั องคกรปกครองสวนทอ งถ่ิน ดาํ เนินการจัดทําทะเบียนท่ดี ินสาธารณประโยชนต ามแบบทกี่ ระทรวงมหาดไทยกําหนดจาํ นวน ๔ ชุด โดยใหเก็บรกั ษาไวท ี่อาํ เภอ องคกรปกครองสว นทองถนิ่ สาํ นักงานท่ีดนิ จังหวดั และกรมที่ดิน แหงละ ๑ ชดุ ถาทดี่ นิ แปลงใดยังไมมีหนังสอื สาํ คญั สําหรับทหี่ ลวง ใหผ มู อี าํ นาจหนาท่ดี แู ลรักษาและคมุ ครอง ปองกนั ตามกฎหมาย เปน ผูดําเนินการขอออกหนังสือสําคัญสําหรับทีห่ ลวง สาํ หรบั ทะเบยี นท่ีดนิ สาธารณประโยชนท ี่ไดจ ัดทาํ ไวก อนระเบียบน้ี ใหอ งคกรปกครองสว น ทอ งถ่นิ ขอคดั สําเนามาเพ่ือจดั เกบ็ ไวท ี่องคกรปกครองสวนทองถนิ่ ทอ งท่ีดว ย ในการดาํ เนนิ การขา งตนใหสาํ นกั งานที่ดินจังหวดั หรือสาํ นกั งานที่ดนิ จังหวัดสาขาใหก าร สนับสนุนในการดําเนนิ การ เชน ดานขอมลู และการรังวัดทําแผนท่ี

- 132- ขอ ๑๑ กรณีท่ีไดดาํ เนินการออกหนังสือสําคัญสาํ หรบั ที่หลวงแลว ใหผูดูแลรักษาตรวจสอบทะเบียน ทดี่ ินสาธารณประโยชนฉ บบั ที่ผูด ูแลรักษาเก็บไว หากไมปรากฏหลกั ฐานในทะเบียนทีด่ ินสาธารณประโยชน หรือปรากฏหลกั ฐานแตรายละเอยี ดไมต รงกนั ใหแ จงเจาพนกั งานทีด่ ินดําเนนิ การลงรายการเกี่ยวกบั ทีด่ นิ แปลงนน้ั ในทะเบยี นใหครบถว น หรือดาํ เนนิ การแกไขทะเบียนท่ดี ินสาธารณประโยชนใหต รงตามขอ เท็จจริง เสร็จแลวลงลายมอื ชอื่ พรอมช่ือตวั บรรจงตําแหนง และวัน เดือน ป กาํ กับไว กรณีท่ไี ดมีพระราชบัญญัตหิ รอื พระราชกฤษฎีกาถอนสภาพทด่ี ินตามขอ ๕ หรอื มีพระราชบัญญตั ิ ใหโ อนที่ดนิ หรือมคี าํ พิพากษาหรอื คําส่งั ของศาลอันถงึ ท่ีสุดวาทด่ี ินดงั กลา วไมเปนทด่ี ินสาธารณประโยชน ทง้ั แปลง ใหเ จาพนักงานท่ีดินจําหนา ยทะเบียนโดยการขีดฆารายการทะเบยี นทีด่ นิ สาธารณประโยชน ตลอดทง้ั รายการ แตห ากกรณีเปนที่ดนิ สาธารณประโยชนบางสวน ใหเจา พนักงานทีด่ นิ แกไ ขรายการใหถูกตอ ง พรอ มท้ังหมายเหตุทา ยทะเบียนของทดี่ ินแปลงนน้ั ตามแตกรณวี า ทีด่ ินสาธารณประโยชนดงั กลา วไดโ อน หรอื ถอนสภาพตามพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา คาํ พิพากษา หรอื คําสง่ั ศาลใด ต้ังแตเ ม่ือใด เสรจ็ แลว ลงลายมอื ชื่อพรอมชอ่ื ตัวบรรจงตาํ แหนง และวัน เดือน ป กาํ กับไว กรณที ่ียังมไิ ดมีการออกหนังสือสําคญั สําหรับที่หลวง เมอ่ื ปรากฏวา การจัดทําทะเบียนทดี่ นิ สาธารณประโยชนผ ิดพลาดคลาดเคล่ือน ใหส าํ นกั งานท่ดี นิ จงั หวดั รวบรวมขอ เทจ็ จริงและความเห็นของ องคกรปกครองสว นทองถน่ิ และอาํ เภอ เพ่ือรายงานผูวา ราชการจังหวัดใหค วามเห็นเพ่ือนําเสนอกระทรวงมหาดไทย พจิ ารณาสง่ั การ หากกระทรวงมหาดไทยเหน็ ชอบใหแ กไ ขหรอื จําหนา ยรายการทะเบยี นทด่ี นิ สาธารณประโยชน ใหเ จาพนักงานทด่ี ินแกไขรายการในทะเบียนที่ดินสาธารณประโยชนหรือหมายเหตุไวตอนทายของทะเบยี นวา “ไมมที ด่ี นิ ตามท่ีระบไุ วในทะเบยี นเดิม” เสร็จแลว ลงลายมือช่ือพรอมชื่อตัวบรรจง ตาํ แหนง และวัน เดอื น ป กํากบั ไว เมื่อไดม กี ารแกไขหรือหมายเหตุในทะเบียนทีด่ ินสาธารณประโยชนตามวรรคหน่งึ วรรคสอง และวรรคสามเสร็จแลว ใหจดั สง สาํ เนาทะเบียนท่ดี ินสาธารณประโยชนใหห นวยงานตามขอ ๑๐ แกไข หลกั ฐานทะเบยี นใหถกู ตองตรงกัน ขอ ๑๒ การตรวจสอบขอ เท็จจรงิ เกยี่ วกบั ทีด่ นิ ตามขอ ๕ เชน ประวตั ิความเปนมา ที่ตงั้ ขอบเขต สภาพปญ หาและการแกไ ขปญ หา ใหเ ปนหนาท่ีของนายอาํ เภอรวมกบั องคกรปกครองสวนทอ งถิ่น โดยใหส ํานักงานทดี่ ินจงั หวดั หรอื สาํ นักงานท่ีดนิ จังหวัดสาขาใหการสนับสนนุ ในการดําเนินการดว ย ขอ ๑๓ คาใชจายในการดําเนินการดูแลรักษาและคุมครองปองกันทีด่ ินอันเปนสาธารณสมบัติ ของแผน ดนิ สําหรบั พลเมืองใชประโยชนรวมกัน เชน การออกหนงั สือสําคัญสําหรับทหี่ ลวงการตรวจสอบ หนงั สอื สาํ คัญสาํ หรบั ทห่ี ลวง การดาํ เนนิ คดีกรณีมขี อพิพาท การรังวัดทาํ แผนที่การจัดทําทะเบียนที่ดิน สาธารณประโยชน รวมทงั้ คาใชจา ยอ่นื ใดทเี่ กี่ยวของ ใหเบิกจา ยจากงบประมาณขององคก รปกครอง สวนทอ งถ่ิน

- 133 - สรปุ ประเด็นท่นี ายอําเภอมอี ํานาจหนา ท่ี 1. การเลอื กผใู หญบา น ตามความในมาตรา ๑๓ แหงพระราชบญั ญัตลิ ักษณะปกครองทองที่ พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๗ ซง่ึ แกไขเพมิ่ เตมิ โดยพระราชบัญญัตลิ กั ษณะปกครองทองท่ี (ฉบบั ท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับระเบียบกระทรวงมหาดไทยวาดว ยการเลอื กผูใหญบ า น พ.ศ. ๒๕๕๑ 1.1 นายอาํ เภอมีอํานาจหนา ที่แตง ต้ังเจาหนาทีข่ องรัฐไมเ กินสามคน และราษฎรผูมสี ทิ ธิ เลือกผใู หญบ า นในหมบู า น ซึ่งเปน ท่ยี อมรบั นับถือของราษฎรในหมบู านจํานวนไมน อยกวา ส่คี นแตไมเกนิ เจด็ คนเปนคณะกรรมการ เพื่อทาํ หนาที่ตรวจสอบคุณสมบัตแิ ละลักษณะตองหา มของผูสมคั รรบั เลอื กเปน ผใู หญบา น 1.2 เมอื่ ราษฎรสวนใหญเลือกผใู ดเปนผใู หญบ านแลว ใหน ายอาํ เภอออกคาํ สัง่ เพ่ือแตง ต้ัง และใหถือวา ผูนนั้ เปนผใู หญบ า นนับแตวนั ท่ีไดรบั แตง ต้ัง ในกรณีทผ่ี ูรบั เลอื กมีคะแนนเสยี งเทากนั ใหใชว ธิ ีจับสลาก ทั้งนี้ เม่ือนายอําเภอไดมีคาํ ส่ังแตงต้ังผูใหญบ า นแลว ใหร ายงานใหผวู า ราชการจังหวดั เพื่อออกหนังสอื สาํ คัญ ใหไ วเ ปนหลักฐาน 1.3 ในกรณที ่ีมกี ารคัดคานวา ผซู ่ึงไดรบั เลือกเปน ผูใ หญบานตามวรรคส่ีไดรบั เลอื กมาโดยไมส จุ ริต และเทย่ี งธรรม ใหน ายอําเภอดําเนินการสอบสวน และถาผลการสอบสวนไดความตามท่ีมีผูค ัดคานใหร ายงาน ผวู าราชการจังหวัดและใหผูว าราชการจังหวดั สง่ั ใหพ นจากตาํ แหนงโดยเร็ว ทงั้ น้ี ภายในเกา สิบวันนับแต วนั ที่นายอาํ เภอมีคําสั่งแตงตงั้ 2. การพน จากตาํ แหนงผูใหญบา น 2.1 อนญุ าตใหผใู หญบ า นลาออกลาออก 2.2 ส่ังใหผูใหญบา นพน จากตาํ แหนง เม่ือราษฎรผมู ีคณุ สมบัตแิ ละไมมลี ักษณะตอ งหา มตาม มาตรา 11 ในหมูบา นน้ันจาํ นวนไมน อ ยกวากึ่งหนง่ึ ของราษฎรผูมีคณุ สมบัติและไมมีลักษณะตอ งหามตามมาตรา 11 ทั้งหมดเขาชอ่ื กนั ขอใหออกจากตาํ แหนง 2.3 สอบสวนผูใหญบ านกรณีบกพรองในหนา ที่ หรอื ประพฤติตนไมเหมาะสมกับตาํ แหนง และเสนอรายงานการสอบสวนตอ ผวู า ราชการจงั หวดั เพ่ือสง่ั ใหผูใหญบ านพน จากตาํ แหนง 3. การออกหนังสือสําคัญแกผ ูชว ยผูใ หญบาน นายอําเภอมีอาํ นาจหนาท่ีออกหนังสอื สาํ คัญไวเ ปน หลักฐานใหแ กผูไดร ับคัดเลือกเปนผูช ว ย ผใู หญบ า นฝายปกครอง หรอื ผชู ว ยผูใหญบ า นฝายรกั ษาความสงบ 4. การเลือกผใู หญบ านขึน้ ใหม 4.1 กรณีทห่ี มูบา นใดมจี ํานวนราษฎรเพ่มิ ขน้ึ ไมวา ดวยเหตใุ ดก็ตาม เม่อื กํานนั และผใู หญบ า น ในตําบลนน้ั ปรึกษากันเห็นวา จํานวนราษฎรน้ันเกินกวาความสามารถของผูใหญบ า นคนเดยี วจะดูแลปกครอง ใหเรยี บรอยได ใหก าํ นันรายงานตอ นายอาํ เภอเพื่อพิจารณาและเสนอความเหน็ ไปยงั ผวู าราชการจงั หวดั ในกรณีท่ี ผูวา ราชการจังหวดั เห็นสมควร ใหตัง้ หมูบานขน้ึ ใหมและเลอื กผูใหญบ า นเพ่ิมเตมิ ข้ึนใหมได 4.2 กรณีทผ่ี ูใหญบานของหมบู านใดวา งลง ใหเ ลอื กผูใ หญบานภายในกําหนดสามสิบวัน นบั แตว นั ทผ่ี ูใ หญบ า นของหมูบา นนน้ั วา งลง

- 134 - 5. การรบั มอบคนื หนังสอื สําคญั นายอําเภอในฐานะกรมการอําเภอ มีหนาที่รับมอบคืนหนังสือสําคัญเมื่อผูใ หญบาน ตองออกจากตาํ แหนงดวยเหตุประการใดๆ จากกาํ นนั ตําบลนัน้ 6. การรับรายงานกรณีผูใ หญบานคนใดมอบหนาทีใ่ หแกผูชวยผูใหญบานฝายปกครอง คนใดคนหนึ่งเปน ผูร ักษาการแทนเกนิ กวา สิบหา วัน นายอําเภอมีหนาทีร่ ับรายงานจากกํานันกรณีผูใหญบานคนใดมอบหนาที่ใหแก ผูช วยผใู หญบา นฝา ยปกครองคนใดคนหนึง่ เปนผูรักษาการแทนเกนิ กวา สบิ หา วนั 7. การเลือกวา ทผ่ี ูใ หญบา น ถาในทอ งท่ีอําเภอใดมีราษฎรไปตัง้ ชมุ นุมทําการหาเลีย้ งชีพแตในบางฤดู ถา และจาํ นวนราษฎร ซง่ึ ไปตัง้ ทําการอยูมากพอสมควรจะจดั เปนหมบู า นไดตามพระราชบญั ญตั ิลกั ษณะปกครองทองทีเ่ พอ่ื ความสะดวก แกการปกครอง ก็ใหนายอําเภอประชุมราษฎรในหมนู ้ันเลือกวาทีผ่ ใู หญบ านคนหน่งึ หรอื หลายคนตามควร แกกาํ หนดทว่ี าไวในพระราชบัญญัตลิ กั ษณะปกครองทองที่น้ี ผูใหญบ านเชนน้ี ใหเ รียกวา วาทผ่ี ูใ หญบ าน เพราะเหตทุ ่ีเปน ตาํ แหนงชว่ั ครั้งหน่ึงคราวหนึ่ง แตมีอํานาจและหนาที่เทาผูใหญบ า นทุกประการ ถา ราษฎรเลอื กผหู นงึ่ ผูใดอนั สมควรจะวา ทีผ่ ูใหญบานได กใ็ หร ายงานขอหมายตง้ั ตอผวู าราชการเมือง 8. คณะกรรมการหมบู าน ในหมูบานหนึ่งใหมีคณะกรรมการหมูบ านประกอบดว ยผใู หญบ า นเปนประธาน ผูชวยผูใหญบ าน สมาชิกสภาองคก รปกครองสว นทอ งถ่ินท่ีมีภูมิลําเนาในหมูบ า นผนู าํ หรือผูแทนกลุมหรอื องคกรในหมบู านเปน กรรมการ หมบู า นโดยตําแหนง และกรรมการหมบู านผูทรงคุณวฒุ ซิ ่ึงนายอําเภอแตงต้ังจากผูซ ึ่งราษฎรในหมบู า นเลอื ก เปนกรรมการหมูบ านผทู รงคณุ วฒุ ิจํานวนไมนอยกวาสองคนแตไมเ กินสบิ คน ตาม ระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา ดวยหลกั เกณฑการเปน กรรมการหมบู า น การปฏิบัติหนา ท่แี ละการประชมุ ของคณะกรรมการหมบู าน พ.ศ. ๒๕๕๑ คณะกรรมการหมบู า นมีหนาทช่ี วยเหลอื แนะนํา และใหคาํ ปรึกษาแกผ ใู หญบานเก่ยี วกับ กิจการอันเปน อาํ นาจหนา ท่ขี องผูใหญบ าน และปฏิบตั ิหนาท่อี นื่ ตามกฎหมาย หรือระเบียบแบบแผนของ ทางราชการ หรือท่ีนายอาํ เภอมอบหมาย หรอื ทีผ่ ูใหญบ า นรองขอ 9. คณะกรรมการตาํ บล ในตาํ บลหน่ึงใหม ีคณะกรรมการตาํ บลคณะหนงึ่ มหี นา ที่เสนอขอแนะนําและใหค ําปรึกษา ตอกํานนั เกยี่ วกบั กิจการทจี่ ะปฏบิ ตั ติ ามอํานาจหนา ที่ของกํานนั คณะกรรมการตําบลประกอบดว ยกํานนั ทอ งท่ี ผูใหญบ า นทุกหมบู านในตําบลและแพทยประจาํ ตาํ บล เปน กรรมการตําบลโดยตาํ แหนง และครูประชาบาล ในตําบลหน่ึงคนกรรมการหมบู านผูท รงคุณวฒุ หิ มบู านละหน่ึงคน เปน กรรมการตาํ บลผทู รงคุณวุฒิ โดยนายอําเภอ เปนผคู ดั เลือกแลวรายงานไปยังผวู า ราชการจงั หวดั เพ่ือออกหนงั สอื สาํ คญั ใหไวเ ปนหลกั ฐานและใหถ ือวา ผูนน้ั เปนกรรมการตาํ บลผูทรงคณุ วุฒติ ้ังแตว ันทีผ่ วู า ราชการจังหวดั ออกหนงั สอื สําคัญ กรรมการตาํ บล ผทู รงคณุ วฒุ อิ ยูในตาํ แหนง คราวละหาป

- 135 - นอกจากออกจากตาํ แหนง ตามวาระ กรรมการตาํ บลผูทรงคุณวฒุ ิตองออกจากตําแหนง เพราะพน จากตําแหนง ครปู ระชาบาลหรอื กรรมการหมบู านผูทรงคุณวฒุ ิ ถา ตําแหนงกรรมการตาํ บลผูทรงคณุ วุฒิ วางลง ใหม กี ารคัดเลือกขึน้ แทนใหเตม็ ตาํ แหนงทีว่ างและใหอยูในตําแหนงตามวาระของผูซ่งึ ตนแทน การคัดเลือกกรรมการตําบลผทู รงคุณวฒุ ิขึ้นแทนตาํ แหนงทีว่ า ง ใหก ระทาํ ภายในหกสบิ วนั นบั แตวันทีต่ าํ แหนง นั้นวา ง ถาตําแหนงน้นั วา งลงกอนถึงกาํ หนดออกตามวาระไมเกินหนง่ึ รอยแปดสบิ วัน จะไมค ัดเลือกขนึ้ แทนกไ็ ด 10. การเลอื กกํานัน ตามมาตรา ๓๐ และมาตรา ๓๒ แหง พระราชบัญญัติลักษณะปกครอง ทอ งท่ี พระพทุ ธศักราช ๒๔๕๗ ซึ่งแกไ ขเพ่ิมเตมิ โดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองทองที่ (ฉบบั ท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบกับระเบยี บกระทรวงมหาดไทยวา ดว ยการคดั เลือกกํานนั พ.ศ. ๒๕๕๑ ใหนายอาํ เภอเปนประธานประชมุ ผูใหญบานในตําบลนั้น เพื่อปรกึ ษาหารอื คัดเลือก ผูใหญบ านคนหน่ึงในตําบลนัน้ ขึ้นเปนกํานัน เมือ่ ผใู หญบ า นทมี่ าประชมุ เห็นชอบคัดเลือกผูใดแลว ให นายอาํ เภอคัดเลอื กผูนน้ั เปน กํานัน ในกรณที ี่มผี สู มควรไดร บั การคดั เลือกเปนกํานนั มากกวาหนึ่งคน ใหนายอาํ เภอจัดใหม ี การออกเสยี งลงคะแนน เม่อื ผูใหญบา นคนใดไดรับคะแนนสูงสุดใหนายอาํ เภอคัดเลือกผูนั้นเปน กาํ นนั ในกรณที ี่ไดร บั คะแนนเทา กัน ใหใชว ธิ ีจบั สลาก การลงคะแนนตอ งเปน ไปโดยสจุ รติ และเทย่ี งธรรม และใหกระทาํ โดยวิธีลับตามหลกั เกณฑ และวธิ กี ารที่กระทรวงมหาดไทยกาํ หนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อคดั เลือกผใู ดเปนกํานนั ตามวรรคหน่ึงหรอื วรรคสองแลว ใหน ายอาํ เภอรายงานไปยงั ผูวา ราชการจังหวัดเพ่ือออกหนังสอื สาํ คญั ใหไวเปน หลกั ฐาน 11. การเลอื กกํานันข้ึนใหม ในกรณที ่ตี ําแหนงกํานันวางลง ใหค ัดเลอื กกํานนั ขนึ้ ใหมภายในกําหนดเวลาสสี่ บิ หา วนั นบั แตวนั ที่นายอําเภอไดทราบการวา งน้นั หากมีความจําเปน ไมอาจจัดใหมีการคัดเลือกกํานนั ภายในกาํ หนดตามวรรคหนง่ึ ได ใหผ วู า ราชการจังหวัดขยายเวลาออกไปไดเ ทา ทีจ่ าํ เปน และในระหวา งท่ียังมิไดมีการเลือกกาํ นัน ผวู า ราชการจังหวดั จะแตง ต้ังบุคคลผูมีคุณสมบตั ิและไมมลี ักษณะตอ งหา มตามมาตรา 12 เปนผูรกั ษาการกํานนั จนกวา จะมี การคดั เลือกกํานนั ก็ได 12. การรบั รายงานกรณกี าํ นันมอบหนา ทใี่ หแกผ ูชวยผูใหญบานฝายปกครองคนใดคนหน่งึ ในตาํ บลเดียวกัน เปนผูทําการแทน ถา กํานนั ทําการในหนาท่ีไมได ในช่ัวคราวเวลาใด เชนไปทางไกลเปน ตน ใหมอบอาํ นาจ และหนา ที่ไวแ กผูใหญบานคนใดคนหนึง่ ซ่งึ อยูใ นตําบลเดียวกันใหท าํ การแทน และใหผูแทนน้มี ีอาํ นาจ เตม็ ท่ีในตําแหนงกาํ นัน แตก ารท่ีกาํ นันจะมอบหมายหนาที่ใหแ กผใู หญบา นทําการแทนเชน น้ี ใหบ อกผูใหญบ า น ทงั้ หลายในตําบลเดียวกนั และบอกกรมการอาํ เภอใหทราบไวด ว ย 13. อาํ นาจในการลงโทษ กํานนั ผูใหญบา น และแพทยประจําตาํ บล นายอาํ เภอมีอํานาจลงโทษกํานัน ผใู หญบาน และแพทยประจําตําบลดงั น้ี (ก) ลดอันดบั เงนิ เดือนไมเ กนิ หน่งึ อันดับ

- 136 - (ข) ตดั เงนิ เดือน โดยเทียบในฐานะเปน ผบู งั คบั บัญชาชั้นหวั หนา แผนกกบั ผกู ระทาํ ผิด ชัน้ เสมียนพนกั งาน ตามที่กาํ หนดไวในกฎหมายวา ดวยระเบียบขาราชการพลเรอื น (ค) ลงโทษภาคทณั ฑ เม่อื กํานันผูใ หญบานคนใดถกู ฟองในคดีอาญา เวนแตคดคี วามผิดในลกั ษณะฐานลหโุ ทษ หรอื ความผดิ อันไดกระทาํ โดยประมาท หรอื มีกรณีท่ีตองหาวาทําผิดวินยั อยางรา ยแรงถูกสอบสวนเพื่อไลออก หรอื ปลดออก ถา นายอาํ เภอเหน็ วาจะคงใหอยใู นตาํ แหนง จะเปนการเสียหายแกราชการจะสัง่ ใหพ ักหนา ที่ กไ็ ด แลว รายงานใหขาหลวงประจําจงั หวดั ทราบการส่งั ใหก ลับเขารบั หนา ทต่ี ลอดถงึ การวนิ จิ ฉัยวา จะควร จา ยเงนิ เดือนระหวางพักใหเพยี งใดหรือไม ใหขาหลวงประจาํ จังหวัดเปน ผูพจิ ารณาสัง่ อนโุ ลมตามกฎหมายวา ดวย ระเบียบขา ราชการพลเรือน โดยเฉพาะโทษปลด หรอื ไลอ อก ถา กํานันผใู หญบา นและแพทยป ระจําตําบลผูถูลงโทษ เหน็ วา ตนไมไดรบั ความเปน ธรรม ก็มสี ทิ ธร์ิ องทกุ ขตอ กระทรวงมหาดไทย การรอ งทุกขใหท าํ คํารอ งลงลายมือช่ือยน่ื ตอนายอําเภอภายในกําหนดสิบหาวนั นบั แตวนั ไดทราบ คําสั่งการลงโทษเพ่อื นายอาํ เภอจกั ไดเสนอตอไปยงั ขาหลวงประจาํ จังหวดั และกระทรวงมหาดไทยตามลาํ ดบั ภายในกําหนดสบิ หาวนั นบั แตว ันไดรบั คํารองทุกข พรอมดว ยคําชแ้ี จง ถา จะพงึ มี ใหก ระทรวงมหาดไทยมีอาํ นาจ สงั่ ใหยกคํารองทุกขห รือเพิกถอนคาํ สั่งการลงโทษหรือลดโทษ 14. นายอําเภอในฐานะกรมการอําเภอ อําเภอหนง่ึ ใหมีพนักงานปกครองคณะหนึ่ง เรยี กรวมกนั วา กรมการอาํ เภอ โดยกรมการอาํ เภอ แยกเปน รายตําแหนง ดงั นี้ คอื (1) นายอําเภอ หรือถา เปนตาํ แหนง พิเศษ เรยี กวา ผวู า ราชการอําเภอ เปน หวั หนา การปกครอง ทั่วไปในอําเภอ และขึ้นตรงตอผวู า ราชการเมอื ง มอี ําเภอละคนหนง่ึ (2) ปลัดอาํ เภอเปน ผชู ว ยและผูแทนนายอําเภออยูใ นบังคับนายอาํ เภอ อําเภอหนงึ่ มีจํานวน ปลัดอําเภอมากนอยตามสมควรแกร าชการ (3) สมุหบญั ชอี าํ เภอ คอื ขาราชการมีสังกัดในกรมสรรพากรมหี นา ท่ีเปน ผูชวยนายอาํ เภอ ในการเกบ็ ภาษอี ากรและผลประโยชนแผนดินอยูใ นบงั คับนายอําเภอ นายอาํ เภอ ปลดั อาํ เภอ สมุหบ ัญชีซึ่งรวมเรยี กกนั วา กรมการอําเภอนี้ แมมีตําแหนงตางกัน ยอมมีหนาทแ่ี ละความรับผิดชอบรวมกนั ในการทจ่ี ะใหการปกครองอําเภอน้ันเรียบรอย และเมือ่ ตาํ แหนงใด การมากเหลือมือ หรือวาวางพนักงานกรมการอําเภอ แมอ ยใู นตําแหนงอ่นื ตอ งชว ยและตองทาํ แทนกนั จะถือวา เปน พนักงานตา งกนั นั้นไมได 15. อํานาจการบริหารงานอาํ เภอของนายอําเภอ นายอําเภอมอี าํ นาจในสวนธรุ การฝายพลเรือนเหนอื ขาราชการทุกแผนกท่ปี ระจาํ รักษา ราชการในอําเภอนน้ั อํานาจทีว่ า นไ้ี มมีแกอาํ เภอทตี่ ง้ั ทีว่ าการเมอื ง หรือที่วาการมณฑล กรณีตาํ แหนง ปลดั อาํ เภอ หรอื สมหุ บัญชอี ําเภอวาง ใหนายอําเภอมอี าํ นาจท่ีจะจดั ผหู นงึ่ ผูใด ในขณะกรมการอําเภอ หรอื เสมยี นพนักงานคนหนง่ึ คนใดเขาทาํ การในตําแหนงนน้ั ๆ ไดช วั่ คราว แตต อ งรีบ บอกไปยังผวู าราชการเมือง และใหผูน ้นั ทาํ การในตาํ แหนง น้ันไปกวา จะไดรับคําส่ังจากเจา พนักงานผูใหญใ หเ ปน ประการใด

- 137 - กรณตี ําแหนง เสมยี นพนักงานในอําเภอวา ง ใหน ายอาํ เภอมอี ํานาจทจ่ี ะจัดคนเขาทาํ การในตําแหนง นน้ั ๆ ไดช่วั คราว แตตองบอกขออนุมัติของผวู า ราชการเมืองภายในเดอื นหนึง่ แลวแตผ ูว าราชการเมืองจะตั้ง ผนู ้นั หรอื ผูอ่นื ใหเปน แทนในตําแหนง ทวี่ าง นายอําเภอมีอาํ นาจที่จะใหบ รรดาขาราชการซ่ึงมีสงั กัดทาํ ราชการอยูในท่วี า การอาํ เภอ นายอําเภอมอี ํานาจท่ีจะใหลาไดคราวละไมเกนิ 15 วัน ถาและผูใดมเี หตอุ ันนายอําเภอเหน็ วา จะใหทําราชการอยูใ นตําแหนง จะเสยี ราชการ นายอาํ เภอ จะใหผนู ั้นพกั ราชการเสยี ช่ัวคราวก็ได แตใ นการที่ส่ังใหพกั ราชการนี้ ตอ งบอกใหผ ูวาราชการเมืองทราบภายใน 15 วนั คาํ ตดั สินเปนเดด็ ขาดในเร่อื งน้นั ใหเปน หนาท่ีของผูมีอํานาจทจ่ี ะต้งั ตาํ แหนงทเ่ี กิดเหตุนัน้ หนา ทกี่ รมการอาํ เภอที่กลา วไวในพระราชบัญญัตินีก้ ด็ ี หรือในทอี่ ื่นกด็ ี ถามิไดร ะบวุ าเปนหนาท่ี เฉพาะนายอําเภอ หรือเฉพาะตําแหนงใดในกรมการอําเภอไซร ใหพึงเขาใจวาเปนหนาทีแ่ ละรับผิดชอบรวมกัน นายอําเภอเปนหวั หนาจะทําการนน้ั เอง หรอื จะมอบหมายใหกรมการอําเภอคนใดทาํ โดยอนมุ ัตขิ องนายอําเภอ ก็ได แตน ายอําเภอจะหลกี ความรบั ผิดชอบในการท้ังปวง เพราะเหตทุ ่ีอา งวาไดใ หผูอืน่ ทาํ แทนนั้นไมไ ด 16. นายอําเภอมีหนาทต่ี ามท่ีกฎหมายกําหนดไวว า เปน หนาทข่ี องกรมการอาํ เภอ เชน - กรมการอําเภอตอ งตรวจตราและจัดการปกครองตําบลและหมูบา นใหเ ปนไปไดจรงิ ดงั พระราชบญั ญตั ินี้ - นอกจากอาํ นาจหนา ทีท่ ก่ี ลาวโดยเฉพาะใหเ ปน อํานาจหนา ท่ขี องกรมการอาํ เภอแลว ให กรมการอาํ เภอมีอํานาจหนา ท่เี ชนเดียวกบั กํานันผใู หญบานดวย - กรมการอําเภอตอ งเอาใจใสส มาคมใหค ุนเคยกับกํานันผูใหญบา นแพทยป ระจําตาํ บลเปนท่ี ปรกึ ษาหารือ และเปน ผูรบั ชว ยแกไขความขดั ของใหแ กเ ขา - ใหกรมการอําเภอเรยี กประชุมกํานนั ผูใหญบานแพทยป ระจําตําบลพรอมกัน หรอื เรียก ประชุมแตเฉพาะตําแหนง มีประชุมกํานัน เปนตน ในเวลามกี ารจะตองปรึกษาหรือตองถามตอ งสงั่ ตาม สมควร - กรมการอําเภอรับผิดชอบที่จะรกั ษาสถานท่วี าการอําเภอสรรพหนงั สอื และบญั ชตี ลอดจน บริเวณท่ีวาการอําเภอใหเรียบรอ ย - กรมการอําเภอตองใหราษฎรท่มี ีกจิ ธุระหาไดทุกเมื่อ ถา ราษฎรมารองทุกขอยางใด ซ่ึงกรมการ อาํ เภอควรชวยได ตอ งชว ยตามสมควร - หนา ท่ีของกรมการอําเภอนอกจากท่ีกลาวไวใ นพระราชบัญญตั ลิ ักษณะปกครองทองทีน่ ้ี ยัง ตองทําตามความซ่ึงกําหนดไวในพระราชกําหนดกฎหมายอยา งอ่นื ๆอันกําหนดไวว า เปน หนาที่ของกรมการ อาํ เภอ แมพ ระราชกาํ หนดกฎหมายใดมิไดร ะบุไวใ นพระราชกาํ หนดกฎหมายนน้ั ๆ วา เปน หนาที่ของผูใ ด ก็ให พึงเขาใจวาเปนหนาที่ของกรมการอําเภอที่จะรักษาการใหเปนไปตามพระราชบัญญตั ิน้นั ๆ 17. การดแู ลรกั ษาและคุมครองปองกันทด่ี นิ อันเปน สาธารณสมบัติของแผนดินท่ปี ระชาชนใช ประโยชนร ว มกัน และสิ่งซงึ่ เปนสาธารณประโยชนอน่ื ตามระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา ดว ยการดูแล รักษาและคุมครองปองกันทด่ี ินอนั เปน สาธารณสมบตั ิของแผน ดนิ สาํ หรับพลเมืองใชร วมกนั พ.ศ. ๒๕๕๓

- 138 - นายอาํ เภอมีหนาที่รว มกับองคกรปกครองสวนทอ งถนิ่ ในการดแู ลรักษาและคุมครองปองกันที่ดนิ อันเปนสาธารณสมบัติของแผน ดนิ ท่ีประชาชนใชประโยชนร ว มกัน และส่ิงซ่ึงเปนสาธารณประโยชนอ ่ืนอันอยู ในเขตอําเภอ นายอาํ เภอและองคกรปกครองสวนทองถิ่นไมม ีอาํ นาจใชห รือยนิ ยอมใหบุคคลอน่ื ใชท่ีดิน ตามวรรคหนึง่ เวน แตจ ะไดรบั ความเห็นชอบจากผูวาราชการจังหวดั และปฏบิ ัติตามประมวลกฎหมายทีด่ ินและ กฎหมายอืน่ ที่เก่ยี วของ ในกรณีท่ีมีขอพิพาทหรือคดีเกย่ี วกับที่ดินตามวรรคหนึ่ง นายอําเภอและองคกรปกครองสว น ทองถิ่นจะรวมกนั ดําเนนิ การหรือฝายใดฝายหนง่ึ จะเปนผดู าํ เนนิ การก็ใหม ีอาํ นาจกระทาํ ได ทงั้ นี้ กระทรวงมหาดไทย จะวางระเบียบกาํ หนดหลกั เกณฑเปนแนวปฏบิ ัตดิ วยก็ได คาใชจ ายในการดําเนินการดูแลรักษาและคุมครองปองกันท่ีดินอันเปนสาธารณสมบัติของแผนดิน สาํ หรับพลเมืองใชป ระโยชนร วมกนั เชน การออกหนังสอื สาํ คัญสําหรับท่ีหลวงการตรวจสอบหนังสือสําคัญ สําหรบั ท่หี ลวง การดําเนินคดีกรณีมีขอพิพาท การรังวัดทําแผนที่การจัดทําทะเบียนท่ีดินสาธารณประโยชน รวมท้ังคาใชจ ายอื่นใดทเ่ี กี่ยวขอ ง ใหเบกิ จา ยจากงบประมาณขององคกรปกครองสวนทองถิ่น 18. อํานาจหนาที่นายอําเภอตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย วา ดวยการชวยเหลือ เจา พนกั งานของหนวยกําลังคมุ ครองและรักษาความสงบเรียบรอ ยภายในหมูบาน พ.ศ. ๒๕๕๑ (1) ในอําเภอหน่งึ ใหม กี องพันหนวยรักษาความปลอดภยั หมบู าน โดยมีนายอําเภอ เปน ผูบ ังคับกองพันหนว ยรักษาความปลอดภยั หมบู า น และมปี ลดั อาํ เภอ นายตาํ รวจชน้ั สญั ญาบตั ร และขา ราชการ ในพ้ืนท่ีตามทนี่ ายอาํ เภอแตงต้ัง เปน รองผบู ังคับกองพันหนวยรักษาความปลอดภยั หมูบา น ฝา ยยทุ ธการและการขาว ฝายกจิ การมวลชน ฝายกาํ ลังพลและสง กําลังบาํ รงุ และฝายสอื่ สารและงบประมาณ (2) ในตําบลหนงึ่ ใหม ีกองรอ ย ชรบ. โดยมปี ลดั อําเภอประจําตําบลเปนผบู งั คับกองรอ ย ชรบ. และมีขา ราชการอื่นตามทน่ี ายอาํ เภอแตง ตัง้ เปนรองผูบังคับกองรอ ย ชรบ.ฝา ยยุทธการและการขาว ฝา ยกจิ การ มวลชน ฝายกําลังพลและสงกําลังบาํ รงุ และฝายสอื่ สารและงบประมาณ โดยใหก าํ นันในตําบลนน้ั เปน ผูช ว ย ผูบงั คบั กองรอย ชรบ. (3) ในหมูบา นหนึ่ง ใหม หี มวด ชรบ. โดยมผี ใู หญบา นเปน ผบู ังคับหมวดชรบ. ทหาร ตาํ รวจ หรอื สมาชิกกองอาสารักษาดนิ แดน จาํ นวนสองคนเปนเจาหนาทโ่ี ครง ทาํ หนา ที่เปนผูช ว ยผบู ังคับหมวด ชรบ. ในหมวด ชรบ. ใหแบงการปกครองบังคับบัญชาออกเปนอยางนอยสองหมูเรียกวา “หมูชุด รกั ษาความปลอดภยั หมูบา นที่ ๑ หมชู ุดรกั ษาความปลอดภยั หมบู านท่ี ๒ และหมูชดุ รักษาความปลอดภัย หมบู านท่ี ... ตามลําดบั ตอไป” โดยมีผชู ว ยผใู หญบานเปนผูบงั คบั หมชู รบ. และหมู ชรบ. ใหม จี ํานวนไมน อย กวา เจ็ดคน แตไมเ กนิ สบิ หาคน ตามความเหมาะสมโดยพจิ ารณาจากอัตรากาํ ลังพลและสถานการณในพื้นที่ (4) ใหผ ใู หญบ านพจิ ารณาคัดเลือกราษฎรทผ่ี า นการฝกอบรม และไมม ลี ักษณะตองหา ม เสนอใหนายอําเภอพจิ ารณาแตง ตั้งเปน ชรบ. (5) ใหนายอาํ เภอจัดทําทะเบียนประวัติ ชรบ. และแกไขเปลี่ยนแปลงใหเปนปจจุบัน แลว เกบ็ รกั ษาไวทห่ี มบู าน อาํ เภอ และจงั หวดั แหง ละหนึง่ ชดุ

- 139 - (25) กฎเสนาบดีวาดว ยท่กี ศุ ลสถานชนิดศาลจา ว มาตราทีเ่ กีย่ วของ ขอ 5 ผใู ดมีความปรารถนาจะอทุ ิศท่ีดินของตนทม่ี หี รอื ยงั ไมมศี าลจาวตั้งอยูแลวใหเ ปนสมบตั ิ สําหรับศาลจาวโดยสิทธ์ิขาด ใหยืน่ เรื่องราวสําแดงความปราถนาเปนลายลักษณอักษรมอบหมายใหแก นายอําเภอผปู กครองทองท่ๆี ท่ดี นิ ตงั้ อยูในเร่ืองราวที่จะยืน่ ตองมีขอ ความดงั ตอไปน้ี คอื (ก) ช่อื และท่ีอยูของผซู ึง่ จะอทุ ิศท่ีดนิ ให (ข) รายการละเอียดของทดี่ นิ ซึ่งจะอุทิศใหพรอ มทั้งนาโฉนดหรือหลกั ถานสิ่งสาํ คญั สาํ หรบั ท่ีดนิ นั้นกํากับไปดวย ขอ 6 ที่ศาลจา วแหงใดซึง่ ตกอยูในความปกครองของรฐั บาลตามกฎน้ี ถา ผใู ดจะกระทําการ กอสรา งสิง่ หนง่ึ ส่ิงใดลงหรือมีความประสงคจ ะทาํ การสฐาปนาตอเตมิ ข้ึนใหมกด็ ี ใหแ จง ความประสงคเปนลายลกั ษณ อักษรตอนายอําเภอผปู กครองทองทีๆ่ ท่ดี ิน ตัง้ อยเู ม่ือไดร บั อนุญาตจากอธิบดกี รมพระนครบาลหรือนครบาล จังหวดั สมุหเทศาภิบาลหรือผูวาราชการจังหวดั แลวจึงกระทาํ การน้นั ได ขอ 17 เมื่อใดความปรากฎขึ้นชดั เจน หรือสงไสยวามีการสมคบกับเปนอัง้ ยี้หรือสองโจรผูราย หรือสมคบกนั เลน การพนนั ท่กี ฎหมายหา ม ในศาลจาวหรอื ในสถานท่ตี างๆ ซ่งึ อยูในบรเิ วณท่ีศาลจา วใด ใหผ ูจดั การปกครองหรือผูตรวจสอดสอ งศาลจา วนั้นรายงานแจง เหตกุ ารณตอ นายอําเภอผูปกครองทองที่ โดยละเอยี ด สรุปประเดน็ ทนี่ ายอาํ เภอมีอํานาจหนา ท่ี 1. นายอําเภอมีหนาทรี่ ับเรอื่ งการอุทิศทีด่ นิ จากผูท่ตี อ งการอุทิศท่ีดนิ ของตนท่มี หี รอื ยงั ไมมี ศาลจา วต้ังอยแู ลวใหเปนสมบัติสาํ หรับศาลจา วโดยสิทธิข์ าด โดยผูอทุ ิศตอ งทาํ เปน หนงั สือมขี อ ความแสดง ช่ือและท่ีอยขู องผซู ึ่งจะอทุ ิศที่ดินให และรายการละเอยี ดของท่ดี ินซ่งึ จะอทุ ิศใหพ รอมทั้งโฉนดหรือหลกั ฐาน ส่ิงสําคญั สําหรับท่ีดินนน้ั กํากับไปดว ย 2. ในกรณศี าลจา วซึ่งอยใู นความปกครองของรฐั บาลตามกฎนี้ ถา ผใู ดจะตอเติมกอ สรางสิง่ หน่ึงสง่ิ ใดลงในบริเวณศาลเจา ใหแ จง ความประสงคเ ปนลายลกั ษณอักษรตอนายอําเภอผูปกครองทองท่ีๆ ทีด่ นิ ต้งั อยเู ม่อื ไดรบั อนุญาตจากอธิบดกี รมการปกครองหรือผวู าราชการจงั หวัดแลว จงึ กระทําการนัน้ ได 3. นายอําเภอมีหนา ทร่ี ับรายงานเหตุการณจ ากผจู ดั การปกครองหรือผูตรวจสอดสองศาลจาว กรณคี วามปรากฏข้ีนชัดเจนหรือสงสยั วามกี ารสมคบกันเปน อั้งยี่หรือซองโจร หรือสมคบกันเลนการพนนั ที่ กฎหมายหา ม ในศาลจาวหรอื ในสถานทีต่ างๆ ซ่งึ อยูในบริเวณที่ศาลจาวน้นั

- 140 - (26) พระราชบญั ญัติวินยั กองอาสารกั ษาดินแดน พ.ศ. ๒๕๐๙ มาตราท่เี กย่ี วขอ ง มาตรา ๕ ผูบ งั คบั บญั ชา เจาหนา ที่ และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน เฉพาะในขณะท่ี รวมกนั อยเู ปนหมู หมวด กองรอ ย หรอื ในเวลาปฏิบัติงานตามหนา ที่ ตอ งรกั ษาวินยั ตามทบ่ี ญั ญัติไวใ น หมวดน้ีโดยเครงครดั ผูกระทําผดิ วินัยตองรบั ทณั ฑต ามทีบ่ ัญญตั ิไวในหมวด ๒ มาตรา ๗ ผบู ังคบั บัญชามีหนา ที่สอดสองอบรมเจาหนาท่ีและสมาชิกกองอาสารกั ษาดนิ แดน ใหประพฤตหิ รอื ปฏิบตั ิตนอยใู นวนิ ยั โดยเครงครดั มาตรา ๑๓ ผใู ดมีอาํ นาจเปน ผลู งทณั ฑชน้ั ใด และผใู ดเปนผรู ับทณั ฑช้นั ใด ใหเ ปน ไปตามตาราง ช้ันผูลงทัณฑแ ละผรู ับทัณฑ และตารางกําหนดทณั ฑทายพระราชบัญญตั ิน้ี ผูรักษาการในตาํ แหนง ผรู กั ษาการแทน หรือผทู าํ การแทนในตําแหนงใด ใหถ อื เสมอื นเปนผูดาํ รง ตําแหนง นน้ั แตถ า ผูนั้นมียศตัง้ แตชัน้ นายหมูลงมา จะใชอาํ นาจของตําแหนง ผบู ังคับหมวดขึ้นไปในการลงทณั ฑ ดงั กลา วไมได ผูที่เปนวาท่ยี ศช้ันใด ใหถ อื เสมือนมยี ศชนั้ นัน้ สรปุ ประเด็นทน่ี ายอาํ เภอมอี ํานาจหนาท่ี นายอาํ เภอมฐี านะเปน ผบู งั คับกองรอยอาสารักษาดินแดนอาํ เภอ เปน ผบู ังคับบัญชาสมาชิกกอง อาสารกั ษาดินแดนสังกดั กองรอ ยอาสารักษาดนิ แดนอําเภอมีหนาที่สอดสองอบรมสมาชิกกองอาสารกั ษ ดนิ แดนใหประพฤตหิ รอื ปฏิบัตติ นอยใู นวนิ ยั โดยเครงครดั (27) พระราชบญั ญตั สิ ญั ชาติ พ.ศ. 2508 มาตราทีเ่ ก่ียวของ มาตรา 9 หญงิ ซึง่ เปนคนตา งดา วและไดส มรสกับผูมสี ัญชาตไิ ทย ถาประสงคจะไดส ญั ชาติ ไทย ใหยืน่ คําขอตอพนกั งานเจาหนา ที่ตามแบบและวิธกี ารทก่ี าํ หนดในกฎกระทรวง การอนญุ าตหรอื ไมอ นุญาตใหไ ดสัญชาติไทยใหอยใู นดลุ พนิ ิจของรฐั มนตรี มาตรา 12 ผใู ดประสงคจะขอแปลงสัญชาตเิ ปนไทย ใหย นื่ คําขอตอพนกั งานเจา หนาทีต่ ามแบบ และวิธีการทกี่ ําหนดในกฎกระทรวง ถา ผปู ระสงคจ ะขอแปลงสญั ชาติเปน ไทยตามวรรคหน่งึ มบี ุตรซ่ึงยงั ไมบรรลุนิติภาวะตามกฎหมายไทย และบุตรน้ันมีภมู ลิ ําเนาอยูในประเทศไทย อาจขอแปลงสัญชาตเิ ปนไทยใหแกบุตรพรอมกับตนได โดยบุตรนน้ั ไดร ับการยกเวน ไมตองมีคุณสมบัตติ ามมาตรา 10 (1) (3) (4) และ (5) การอนญุ าตหรอื ไมอ นญุ าตใหแ ปลงสญั ชาตเิ ปน ไทย ใหอ ยูในดุลพนิ จิ ของรฐั มนตรี เมื่อรัฐมนตรี เห็นสมควรอนุญาตใหน ําความกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต เมอื่ ไดรับพระราชทาน พระบรมราชานญุ าตแลว ใหผ ูข อแปลงสญั ชาติเปน ไทยปฏิญาณตนวา จะมคี วามซ่อื สัตยสจุ รติ ตอ ประเทศไทย

- 141 - เมือ่ มปี ระกาศตามมาตรา 5 แลว ใหพ นกั งานเจาหนา ท่ีออกหนงั สือสําคัญการแปลงสญั ชาติ เปนไทยใหไวแกผนู นั้ เปนหลกั ฐาน มาตรา 12/1 ในการขอแปลงสัญชาติเปนไทยตามมาตรา 12 นน้ั บุคคลอื่นอาจขอแปลง สญั ชาติเปน ไทยใหแกบ คุ คลซ่ึงไมมีสัญชาติไทยที่มีภูมิลาํ เนาอยใู นประเทศไทยไดใ นกรณี ดังตอ ไปน้ี (1) ผูอนุบาลตามคาํ ส่ังของศาลอาจขอแปลงสญั ชาตเิ ปนไทยใหแกค นไรความสามารถซ่ึงมี หลักฐานแสดงใหเ ช่อื ไดวาเปนผูเกิดในราชอาณาจักรไทย โดยใหไดรบั ยกเวน ไมต องมีคณุ สมบัติตามมาตรา 10 (3) และ (5) และรัฐมนตรีจะยกเวน ใหไมต องปฏญิ าณตนกไ็ ด (2) ผูป กครองสถานสงเคราะหของรฐั ตามท่รี ฐั มนตรกี าํ หนด เม่อื ไดรับความยินยอมของ ผูเ ยาวแลวอาจขอแปลงสัญชาตเิ ปนไทยใหแกผูเยาวซึ่งอยูในความดูแลของสถานสงเคราะหมาไมนอยกวา สิบป โดยใหไดร บั ยกเวนไมตอ งมคี ุณสมบตั ติ ามมาตรา 10 (1) และ (3) (3) ผูร บั บุตรบญุ ธรรมซึง่ เปน ผูมีสัญชาตไิ ทยอาจขอแปลงสัญชาตเิ ปนไทยใหแกบ ุตรบญุ ธรรม ที่ยงั ไมบ รรลนุ ิตภิ าวะซ่งึ ไดจ ดทะเบยี นรับบุตรบุญธรรมมาแลวไมน อยกวาหา ปและมีหลักฐานแสดงใหเช่ือ ไดวาเปนผูเกิดในราชอาณาจักรไทย โดยใหไดรับการยกเวนไมตองมคี ุณสมบตั ติ ามมาตรา 10 (1) และ (3) การขอแปลงสัญชาตเิ ปนไทยแทนบุคคลอน่ื ตามวรรคหน่ึงใหเปนไปตามหลกั เกณฑว ธิ ีการ และเงื่อนไขที่กาํ หนดในกฎกระทรวง มาตรา 13 ชายหรอื หญิงซึ่งมสี ัญชาตไิ ทยและไดส มรสกับคนตางดาวและอาจถอื สญั ชาตขิ อง ภรยิ าหรอื สามีไดตามกฎหมายวาดวยสญั ชาติของภริยาหรอื สามี ถา ประสงคจ ะสละสัญชาตไิ ทยใหแสดง ความจาํ นงตอพนักงานเจา หนาทีต่ ามแบบและวิธกี ารท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง มาตรา 14 ผูมสี ัญชาติไทยซึง่ เกดิ ในขณะท่ีบิดาหรือมารดาเปน คนตา งดา วและไดสัญชาติ ของบดิ าหรอื มารดาดว ยตามกฎหมายวา ดวยสญั ชาติของบิดาหรอื มารดา หรือผูซ ่ึงไดส ญั ชาตไิ ทยตาม มาตรา 12 วรรคสอง หรือมาตรา 12/1 (2) และ (3) ถา ยังประสงคจ ะถือสญั ชาตอิ ื่นอยูตอไป ใหแ สดง ความจํานงสละสัญชาติไทยตามแบบและวิธีการทก่ี าํ หนดในกฎกระทรวง ภายในหนง่ึ ปนับแตวนั ที่มอี ายุ ครบยี่สิบปบริบูรณ เมอื่ ไดพ ิจารณาความจํานงดงั กลาวแลว เหน็ วามหี ลกั ฐานเชื่อถือไดว า ผูนัน้ อาจถอื สญั ชาตขิ อง บิดาหรือมารดาหรือสญั ชาติอื่นไดจริงก็ใหรัฐมนตรีอนุญาต เวน แตใ นระหวา งประเทศไทยมกี ารรบหรอื อยู ในสถานะสงคราม รฐั มนตรจี ะสัง่ ระงบั การสละสญั ชาติไทยรายใดก็ได มาตรา 15 นอกจากกรณตี ามมาตรา 14 ผซู ง่ึ มีสญั ชาติไทยและสัญชาติอื่น หรอื ผซู ึ่งไดส ัญชาติ ไทยโดยการแปลงสญั ชาติ ถา ประสงคจะสละสัญชาตไิ ทย ใหย ่ืนคําขอตอ พนักงานเจาหนาทตี่ ามแบบและ วิธีการท่ีกําหนดในกฎกระทรวง การอนญุ าตหรอื ไมอนุญาตใหสละสญั ชาติไทย ใหอยใู นดลุ พินจิ ของรฐั มนตรี มาตรา 23 ชายหรือหญิงซึ่งมสี ัญชาติไทยและไดสละสัญชาติไทยในกรณที ่ีไดสมรสกับคนตาง ดาวตามมาตรา 13 ถาไดข าดจากการสมรสแลว ไมวาดวยเหตุใดๆ ยอ มมีสทิ ธิขอกลบั คืนสัญชาตไิ ทยได การขอกลบั คืนสัญชาตไิ ทยใหยนื่ แสดงความจํานงตอพนกั งานเจา หนา ท่ตี ามแบบและวธิ กี ารที่ กําหนดในกฎกระทรวง

- 142 - มาตรา 24 ผูซ่งึ มีสัญชาติไทยและไดเสยี สัญชาติไทยตามบิดาหรือมารดาขณะทต่ี นยงั ไมบรรลุนิตภิ าวะ ถา ประสงคจะกลบั คนื สัญชาติไทย ใหย ื่นคําขอตอพนักงานเจาหนาท่ีตามแบบและวธิ กี ารท่ีกําหนดในกฎกระทรวง ภายในสองปนับแตวันท่ีบรรลุนิติภาวะตามกฎหมายไทยและกฎหมายที่บุคคลนั้นมสี ัญชาติ การอนญุ าตหรอื ไมอ นุญาตใหกลบั คืนสญั ชาติไทย ใหอ ยูใ นดุลพนิ ิจของรัฐมนตรี กฎหมายลาํ ดบั รองที่เกย่ี วของ 1. ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง แตงตั้งเจาพนกั งานตามพระราชบัญญตั สิ ญั ชาติ พ.ศ. 2508 แกไขเพ่มิ เติม (ฉบบั ท่ี 2) (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2535 อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 6 แหงพระราชบัญญัติสญั ชาติ พ.ศ. 2508 แกไขเพม่ิ เติม (ฉบบั ท่ี 2) (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2535 รัฐมนตรีวาการกระทรวงมหาดไทย จงึ แตง ตงั้ ให (1) ปลดั กระทรวงมหาดไทย (2) อธบิ ดกี รมการปกครอง (3) ผูวา ราชการจังหวัด (4) ผูอํานวยการสาํ นกั บรหิ ารการทะเบียน (5) นายอาํ เภอ (6) ปลัดอาํ เภอผูเปนหวั หนา ประจําก่งิ อําเภอ เปนพนักงานเจาหนาที่ตามพระราชบัญญัติสญั ชาติ พ.ศ. 2508 แกไ ขเพิ่มเตมิ (ฉบบั ท่ี 2)( ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2535 โดยใหด าํ เนินการเกี่ยวกับสัญชาตทิ เี่ กย่ี วกับชนกลุมนอ ยทกุ กลุมทก่ี ระทรวงมหาดไทยได จดั ทําทะเบียนประวัติและบัตรประจาํ ตวั ไวต ามมตคิ ณะรัฐมนตรีและนโยบายทีก่ ําหนด สรุปประเด็นทีน่ ายอําเภอมอี ํานาจหนา ท่ี นายอําเภอเปนเจาพนักงานตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 แกไขเพม่ิ เติม (ฉบับท่ี 2) (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2535 โดยใหดําเนินการเก่ียวกับสัญชาติที่เกี่ยวกับชนกลุม นอยทุกกลุม ทีก่ ระทรวงมหาดไทย ไดจัดทาํ ทะเบียนประวัตแิ ละบัตรประจําตัวไวตามมติคณะรัฐมนตรีและนโยบายที่กําหนด (28) พระราชบญั ญตั สิ ถานบรกิ าร พ.ศ. 2509 มาตราทเี่ กยี่ วขอ ง มาตรา 19 ในการจัดใหมีการแสดงเพือ่ ความบันเทิง ผูรับอนุญาตต้ังสถานบรกิ ารมีหนาทต่ี อง ควบคุมการแสดงมิใหเ ปน ไปในทางลามกหรืออนาจาร และมิใหมสี ัตวร ายเขา รวมการแสดงในสภาพที่อาจ กอใหเกิดอันตรายแกผ ชู ม

- 143 - มาตรา 20 เม่ือปรากฏวา ผูไดรับอนุญาตต้ังสถานบริการฝาฝนมาตรา 19 ในกรงุ เทพมหานคร นายตาํ รวจทองที่ต้งั แตชัน้ สารวตั รขึ้นไป ในจงั หวดั อ่นื ตัง้ แตน ายอําเภอทอ งทข่ี น้ึ ไปมีอาํ นาจสัง่ ใหงดการ แสดงน้นั ได มาตรา 24 เม่ือพนกั งานฝา ยปกครองหรือตํารวจชัน้ ผูใ หญต ามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญามเี หตอุ นั ควรเชอ่ื หรือสงสัยวา มีการฝาฝน หรอื ไมปฏิบัตติ ามบทแหงพระราชบัญญตั นิ ้ี หรอื กฎกระทรวงซง่ึ ออกตามพระราชบัญญัตินใ้ี นสถานบรกิ ารแหงใด ใหเ จา พนกั งานนน้ั มอี าํ นาจเขา ไปตรวจภายในสถานบริการนัน้ ไดไ มว า ในเวลาใด ๆ ในการปฏิบัติหนา ท่ตี ามวรรคหน่ึง ใหเ จา พนกั งานผมู อี าํ นาจตรวจแสดงบตั รประจาํ ตวั ตอ บคุ คลที่ เกย่ี วของ มาตรา 25 ผูร บั อนุญาตตงั้ สถานบรกิ าร ผูด าํ เนนิ กจิ การ ลูกจา งหรอื คนรับใชข องสถานบรกิ าร ผใู ดสามารถใหความสะดวกแกเจา พนักงานซง่ึ ปฏบิ ัติการตามมาตรา 24 ได แตไมย อมใหความสะดวกนัน้ เมื่อเจาพนักงานรองขอ ตอ งระวางโทษจําคุกไมเ กนิ หน่งึ เดือน หรอื ปรับไมเกนิ หน่ึงพันบาท หรือท้ังจําท้ังปรับ สรปุ ประเดน็ ทน่ี ายอําเภอมอี ํานาจหนา ที่ 1. นายอาํ เภอมีอาํ นาจสง่ั ใหง ดการแสดงในสถานบริการทเี่ ปนไปในทางลามกหรอื อนาจาร และมิใหมสี ัตวรา ยเขา รวมการแสดงในสภาพที่อาจกอใหเกิดอนั ตรายแกผ ชู ม 2. หากมเี หตอุ ันควรเชอ่ื หรอื สงสัยวา มีการฝา ฝน หรอื ไมปฏบิ ัตติ ามบทแหงพระราชบญั ญัตนิ ี้ หรอื กฎกระทรวงซ่ึงออกตามพระราชบญั ญตั ิน้ใี นสถานบริการแหง ใด นายอาํ เภอในฐานะพนกั งานฝา ยปกครองหรอื ตาํ รวจชั้นผูใหญตามประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความอาญามอี ํานาจมีอํานาจเขาไปตรวจภายในสถานบริการ น้นั ไดไมวา ในเวลาใดๆ โดยในการปฏิบตั ิหนา ทดี่ ังกลา ว ใหเ จา พนักงานผูมอี ํานาจตรวจแสดงบัตรประจําตวั ตอบุคคล ที่เกยี่ วของ (29) พระราชบญั ญัตสิ ตั วพาหนะ พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๒ มาตราที่เกีย่ วขอ ง มาตรา ๔ ในพระราชบัญญตั ินี้ “สัตวพาหนะ” หมายความวา ชาง มา โค กระบอื ลอ ลา ซง่ึ ไดท ําหรอื ตองทําต๋วั รปู พรรณ ตามพระราชบญั ญัตินี้ “ตําหนิรปู พรรณ” หมายความวา ลกั ษณะสณั ฐานโดยเฉพาะของสัตวพ าหนะแตละตัวซ่ึงเปน อยูเอง หรอื ซึง่ ทําใหมขี ้นึ ใชเปน เครอื่ งหมาย “ตัว๋ รูปพรรณ” หมายความวา เอกสารแสดงตําหนิรปู พรรณสตั วพ าหนะ “นายทะเบียน” หมายความวา นายอาํ เภอหรือผทู ําการแทน หรือผูซ ง่ึ รฐั มนตรีวา การ กระทรวงมหาดไทยแตงต้ังขึน้ ตามพระราชบัญญัติน้ี

- 144 - “เจา พนักงาน” หมายความวา พนกั งานฝายปกครองหรือตํารวจตามประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญาและนายทะเบยี น มาตรา ๗ ใหร ัฐมนตรีวาการกระทรวงมหาดไทยมหี นา ที่รักษาการใหเ ปนไปตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี และใหม ีอํานาจแตงตง้ั เจาพนักงานกบั ใหม ีอํานาจออกกฎกระทรวงกาํ หนดคาธรรมเนียมซ่งึ ตอ งไมเกนิ กวา อตั ราทายพระราชบัญญัตินี้ และกิจการอน่ื เพ่ือปฏิบตั ิการตามพระราชบัญญตั ินี้ กฎกระทรวงนั้น เมอ่ื ไดประกาศในราชกิจจานเุ บกษาแลว ใหใชบังคับได มาตรา ๘ เมือ่ สัตวพ าหนะดงั ตอ ไปนี้ คอื (๑) ชา งมอี ายยุ างเขาปท ่แี ปด (๒) สัตวอนื่ นอกจากโคตวั เมียมีอายุยา งเขา ปท ี่หก (๓) สัตวใ ดไดใ ชข ับขีล่ ากเข็นหรือใชง านแลว (๔) สัตวใดทีม่ ีอายุยางเขาปที่ส่ี เมอ่ื จะนาํ ออกนอกราชอาณาจักร (๕) โคตัวเมียมีอายยุ า งเขา ปท ่หี ก เมอื่ จะทําการโอนกรรมสิทธ์ิ เวน แตในกรณรี ับมรดก ใหเ จาของหรือตัวแทนพรอมดว ยผใู หญบานหรือพยาน ในกรณที ี่ไมมผี ูใหญบานหรือผูใหญบาน ไปดว ยไมได นําสัตวน้นั ไปขอจดทะเบียนทาํ ตั๋วรูปพรรณจากนายทะเบียนทองท่ีที่สัตวน้นั อยภู ายในกาํ หนด ดังตอ ไปนี้ เวน แตไมสามารถท่ีจะนาํ ไปได ก. สตั วในอนุมาตรา ๑ และอนมุ าตรา ๒ ตามท่ีนายทะเบียนจะไดประกาศเปนรายตาํ บลและ กําหนดระยะเวลาไมน อยกวา เกา สิบวนั ข. สตั วในอนุมาตรา ๓ ภายในกําหนดเกาสิบวันนับแตว ันไดใ ชข ับขลี่ ากเขน็ หรือใชง านแลว ค. สัตวในอนมุ าตรา ๔ และอนมุ าตรา ๕ ตองขอจดทะเบียนทําตว๋ั รูปพรรณกอ นนาํ ออกนอก ราชอาณาจักรหรือทําการโอนกรรมสิทธ์ิ สัตวท ีม่ ิไดอยูในบทบงั คับแหงอนุมาตรา ๑ ถงึ อนุมาตรา ๕ เจา ของจะขอจดทะเบยี นทาํ ตว๋ั รูปพรรณก็ได เมือ่ นายทะเบียนพรอมดวยเจาของหรือตวั แทนไดตรวจสอบตําหนิรูปพรรณเห็นเปนการถูกตอ ง และเจาของหรอื ตวั แทนไดช ําระคาธรรมเนยี มแลว ใหน ายทะเบยี นจดทะเบียนทําต๋ัวรปู พรรณให มาตรา ๙ สตั วพ าหนะซ่งึ นาํ จากตา งประเทศเขามาในราชอาณาจักรตอ งขอจดทะเบยี นทําตั๋ว รปู พรรณตามความในมาตรา ๘ โดยอนโุ ลม ถา ไดน าํ เขา มาเมอ่ื พนกาํ หนดระยะเวลาหรอื ภายในกาํ หนดนัน้ แตยงั เหลือเวลานอยกวา สามสิบวันตามประกาศในมาตรา ๘ ตอ งขอจดทะเบียนทําตว๋ั รปู พรรณภายในกาํ หนด สามสบิ วัน เวน แตน าํ เขามาชว่ั ครงั้ คราว มาตรา ๑๐ ตวั๋ รปู พรรณสัตวพาหนะของผูใ ดเปน อนั ตรายหรือสูญหาย ใหน ําพยานหลักฐาน ไปแจง ความตอ นายทะเบยี นทองท่ีที่มที ะเบียนสัตวน ้นั เพื่อขอรับใบแทนตวั๋ รปู พรรณ เมือ่ นายทะเบียนสอบสวนเห็นความบริสทุ ธ์ิแลว ใหเรยี กคาธรรมเนียมและออกใบแทนตว๋ั รปู พรรณให


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook