Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เกี่ยวกับนายอำเภอ

เกี่ยวกับนายอำเภอ

Description: เกี่ยวกับนายอำเภอ

Search

Read the Text Version

- 45 - 9. นายอําเภอเปน พนักงานสอบสวนมอี ํานาจในการเปรียบเทียบและการสอบสวนคดีอาญา บางประเภทตามระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา ดว ยการเปรยี บเทียบและการสอบสวนคดีอาญาบางประเภท พ.ศ. 2521 10. นายอําเภอมอี ํานาจจบั กุมกรณีประสบเหตคุ วามผิดอาญา และมอี าํ นาจควบคมุ การสอบสวน ตามขอบังคับกระทรวงมหาดไทยวาดว ยระเบยี บการดําเนนิ คดอี าญา พ.ศ. 2523 แกไขเพม่ิ เติม(ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2523 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2523 (ฉบบั ที่ 4) พ.ศ. 2525 (ฉบับท่ี 5) พ.ศ. 2536 (ฉบบั ท่ี 6) พ.ศ. 2537 และ (ฉบบั ท่ี 7) พ.ศ. 2538 11. นายอาํ เภอมีหนาทเ่ี กบ็ รักษาของกลางตามขอ บงั คบั การเกบ็ รักษาของกลาง พ.ศ. 2480 12. นายอาํ เภอเปน พนกั งานสอบสวนฝายปกครองเปรียบเทยี บคดลี ะเมดิ ขอบัญญตั ิทองถ่ินในความผิด ท่ีมโี ทษปรบั สถานเดียวอยา งสูงไมเ กนิ หนงึ่ หมื่นบาทหรือความผิดท่มี ีอัตราโทษจําคุกไมเกินหน่งึ เดอื น หรอื ปรับไมเ กนิ หนงึ่ พนั บาท หรือทัง้ จําท้ังปรับ และมีอาํ นาจตรวจสอบการเปรียบเทยี บของผูมอี ํานาจเปรียบเทียบ คดลี ะเมดิ เทศบญั ญตั ิและขอบัญญตั อิ งคการบรหิ ารสวนตาํ บล และการเปรยี บเทียบของผูมีอาํ นาจเปรียบเทียบ คดลี ะเมิดขอ บัญญัติองคการบริหารสวนจังหวัด ตามขอ บงั คับกระทรวงมหาดไทยวา ดว ยการเปรยี บเทยี บ และการสอบสวนคดลี ะเมิดขอบัญญัติทอ งถิ่น พ.ศ. 2547 13. นายอาํ เภอมหี นา ท่ีในการผูชันสูตรพลิกศพรวมกับพนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนและแพทย กรณีท่ีมีความตายเกดิ ข้นึ โดยการกระทําของเจาพนักงาน ซ่งึ อางวาปฏิบตั ิราชการตามหนาท่ี หรอื ตาย ในระหวางอยูในความควบคุมของเจา พนักงานซ่ึงอางวา ปฏบิ ตั ริ าชการตามหนาท่ี ตามขอบังคับกระทรวงมหาดไทย วา ดวยระเบยี บการปฏิบตั หิ นาที่ชันสูตรพลิกศพของพนกั งานฝายปกครอง พ.ศ. 2543 14. นายอาํ เภอเปน พนกั งานเจา หนา ท่ีผูมีอาํ นาจวินิจฉัยช้ขี าดในเบื้องตน วาผใู ดเปนเจา หนา ท่ี ผจู บั หรอื ผูแจงความนาํ จับในแตล ะคดี ตามระเบียบกรมการปกครองวาดว ยหลักเกณฑและวธิ กี ารจา ยเงนิ สนิ บน รางวลั และเงินคาใชจายในการดาํ เนินงาน พ.ศ. 2548 (2) ประมวลกฎหมายอาญา มาตราที่เกี่ยวของ ลกั ษณะ 2 ความผดิ เกี่ยวกบั การปกครอง หมวด 1 ความผิดตอเจาพนกั งาน หมวด 2 ความผิดตอตําแหนง หนาทร่ี าชการ สรปุ ประเด็นที่นายอําเภอมีอํานาจหนา ที่ นายอาํ เภอเปน เจา พนกั งานตามประมวลกฎหมายอาญา

- 46 - (3) ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย บรรพ 1 ลักษณะ 2 หมวด 2 สวนที่ 2 - 3 สมาคม มูลนธิ ิ มาตราทเี่ ก่ยี วขอ ง สมาคม มาตรา 78 การกอ ต้ังสมาคมเพ่ือกระทําการใดๆ อันมีลกั ษณะตอ เน่ืองรวมกนั และมิใชเ ปนการหา ผลกาํ ไรหรอื รายไดม าแบง ปน กัน ตอ งมีขอบังคับและจดทะเบียนตามบทบญั ญัตแิ หงประมวลกฎหมายน้ี มาตรา 81 การขอจดทะเบียนสมาคมน้นั ใหผ จู ะเปน สมาชิกของสมาคมจํานวนไมน อ ยกวา สามคน รวมกนั ย่ืนคําขอเปนหนังสือตอนายทะเบียนแหงทองทท่ี ่ีสํานักงานใหญของสมาคมจะตั้งขึ้น พรอมกบั แนบขอบังคับของสมาคม รายช่ือ ท่ีอยู และอาชีพของผูจะเปน สมาชกิ ไมน อยกวาสบิ คน และรายชือ่ ท่ีอยู และอาชีพของผูจ ะเปน กรรมการของสมาคมมากบั คําขอดวย มาตรา 82 เมอ่ื นายทะเบยี นไดรบั คําขอจดทะเบยี นพรอมทง้ั ขอบังคับแลว เห็นวาคําขอนนั้ ถกู ตอ งตามมาตรา 81 และขอ บงั คบั ถกู ตองตามมาตรา 79 และวัตถปุ ระสงคข องสมาคมไมขัดตอกฎหมายหรือ ศีลธรรมอนั ดีของประชาชน หรอื ไมเปนภยนั ตรายตอ ความสงบสขุ ของประชาชนหรอื ความมั่นคงของรฐั และรายการซ่ึงจดแจง ในคําขอหรอื ขอบังคับสอดคลอ งกับวัตถปุ ระสงคข องสมาคม และผจู ะเปนกรรมการ ของสมาคมนน้ั มฐี านะและความประพฤตเิ หมาะสมในการดาํ เนนิ การตามวตั ถปุ ระสงคข องสมาคม ใหน ายทะเบยี น รบั จดทะเบยี นและออกใบสาํ คัญแสดงการจดทะเบียนใหแกส มาคมน้นั และประกาศการจัดต้ังสมาคมใน ราชกจิ จานเุ บกษา ถานายทะเบียนเห็นวาคาํ ขอหรือขอบงั คบั ไมถูกตอ งตามมาตรา 81 หรือมาตรา 79 หรือ รายการซ่ึงจดแจง ในคาํ ขอหรือขอบงั คับไมสอดคลองกับวตั ถุประสงคของสมาคม หรือผจู ะเปน กรรมการ ของสมาคมมฐี านะหรือความประพฤติไมเ หมาะสมในการดําเนนิ การตามวตั ถปุ ระสงคของสมาคม ใหม ี คาํ ส่ังใหผ ยู ืน่ คําขอจดทะเบียนแกไขหรือเปลี่ยนแปลงใหถูกตองเมือ่ แกไขหรือเปลี่ยนแปลงถูกตองแลว ใหร ับ จดทะเบยี นและออกใบสาํ คัญแสดงการจดทะเบยี นใหแกส มาคมนัน้ ถานายทะเบยี นเหน็ วา ไมอาจรับจดทะเบยี นไดเ น่อื งจากวัตถุประสงคของสมาคมขดั ตอกฎหมาย หรอื ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน หรอื อาจเปนภยนั ตรายตอความสงบสุขของประชาชนหรือความมน่ั คงของรฐั หรือผยู ืน่ คาํ ขอจดทะเบยี นไมแกไขหรอื เปลย่ี นแปลงใหถ ูกตองภายในสามสบิ วนั นบั แตว นั ทีท่ ราบคําส่ังของ นายทะเบียน ใหนายทะเบียนมคี าํ ส่ังไมร บั จดทะเบียนและแจง คําส่ังพรอมดว ยเหตุผลท่ีไมรับจดทะเบียนไป ยังผยู นื่ คําขอจดทะเบียนโดยมิชกั ชา ผูยืน่ คําขอจดทะเบียนมีสทิ ธิอทุ ธรณคําสัง่ ไมรับจดทะเบียนนน้ั ตอ รฐั มนตรีวา การกระทรวงมหาดไทย โดยทาํ เปนหนงั สอื ยื่นตอนายทะเบียนภายในสามสบิ วันนบั แตว ันทไ่ี ดร บั แจงคําส่ังไมรับการจดทะเบียน ใหรัฐมนตรวี าการกระทรวงมหาดไทยวินิจฉัยอทุ ธรณ และแจง คาํ วนิ จิ ฉัยใหผูอทุ ธรณทราบ ภายในเกาสบิ วนั นับแตวนั ท่นี ายทะเบยี นไดร ับหนังสืออทุ ธรณ คาํ วินิจฉัยของรัฐมนตรีวา การกระทรวงมหาดไทย ใหเปนทส่ี ุด

- 47 - มาตรา 109 ใหร ัฐมนตรวี าการกระทรวงมหาดไทยรกั ษาการตามบทบญั ญัตใิ นสวนน้ี และ ใหมอี ํานาจแตงตง้ั นายทะเบยี นกบั ออกกฎกระทรวงเก่ยี วกับ (1) การยื่นคําขอจดทะเบียนและการรับจดทะเบียน (2) คา ธรรมเนยี มการจดทะเบยี น การขอตรวจเอกสาร การคดั สาํ เนาเอกสารและคาธรรมเนียม การขอใหน ายทะเบยี นดาํ เนินการใด ๆ เกยี่ วกับสมาคม รวมท้ังการยกเวนคาธรรมเนียมดังกลา ว (3) การดําเนินกิจการของสมาคมและการทะเบียนสมาคม (4) การอน่ื ใดเพอ่ื ปฏิบัตใิ หเปนไปตามบทบัญญตั ใิ นสว นนี้ กฎกระทรวงน้ัน เม่อื ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแลวใหใ ชบ ังคับได มลู นิธิ มาตรา 110 มูลนิธไิ ดแกทรัพยส ินที่จดั สรรไวโดยเฉพาะสําหรับวตั ถปุ ระสงคเ พ่ือการกศุ ล สาธารณะ การศาสนา ศลิ ปะ วทิ ยาศาสตร วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อสาธารณประโยชนอ ยา งอน่ื โดย มิไดม ุงหาผลประโยชนม าแบง ปนกัน และไดจดทะเบยี นตามบทบญั ญตั ิแหง ประมวลกฎหมายนี้ การจดั การทรัพยสินของมลู นิธิ ตองมใิ ชเ ปน การหาผลประโยชนเ พอ่ื บุคคลใด นอกจากเพ่ือ ดําเนินการตามวัตถุประสงคของมูลนิธนิ ้นั เอง มาตรา 111 มลู นธิ ิตองมีขอบงั คับ และตองมีคณะกรรมการของมลู นิธปิ ระกอบดว ยบคุ คล อยางนอยสามคน เปน ผูดําเนนิ กิจการของมูลนิธิตามกฎหมายและขอบังคับของมลู นิธิ มาตรา 114 การขอจดทะเบยี นมลู นธิ นิ ัน้ ใหผ ูขอจัดตง้ั มลู นิธิยืน่ คําขอเปน หนังสอื ตอ นายทะเบยี น แหง ทองทที่ ีส่ ํานักงานใหญของมูลนิธิจะต้งั ขนึ้ ในคาํ ขออยางนอยตองระบเุ จาของทรัพยส ินและรายการ ทรัพยส นิ ท่ีจะจัดสรรสําหรบั มูลนธิ ิ รายช่ือ ทอ่ี ยูและอาชีพของผูจะเปนกรรมการของมูลนธิ ิทกุ คน พรอมกบั แนบขอบังคบั ของมลู นธิ มิ ากบั คาํ ขอดวย มาตรา 115 เม่อื นายทะเบยี นไดรบั คําขอแลวเห็นวา คาํ ขอน้ันถูกตองตามมาตรา 114 และขอบังคับถกู ตองตามมาตรา 112 และวตั ถุประสงคเ ปนไปตามมาตรา 110 และไมขดั ตอกฎหมาย หรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน หรือไมเปน ภยันตรายตอ ความสงบสุขของประชาชนหรอื ความมน่ั คงของรฐั และ รายการซ่งึ จดแจงในคาํ ขอหรือขอบังคบั สอดคลองกับวตั ถุประสงคของมูลนธิ ิ และผูจะเปนกรรมการของ มูลนธิ ินัน้ มีฐานะและความประพฤตเิ หมาะสม ในการดาํ เนนิ การตามวัตถปุ ระสงคข องมลู นิธิ ใหน ายทะเบยี นรบั จดทะเบยี นและออกใบสาํ คญั แสดงการจดทะเบียนใหแกมูลนิธนิ ้นั และประกาศการจดั ตง้ั มลู นิธใิ นราชกิจจานุเบกษา ถา นายทะเบยี นเหน็ วาคําขอหรือขอบังคบั ไมถูกตองตามมาตรา 114 หรือมาตรา 112 หรือรายการซง่ึ จดแจงในคําขอหรอื ขอบังคับไมสอดคลอ งกับวัตถปุ ระสงคของมลู นธิ ิ หรือผจู ะเปนกรรมการ ของมูลนธิ มิ ีฐานะหรือวามประพฤติไมเหมาะสมในการดําเนินการตามวัตถุประสงคข องมูลนธิ ิ ใหม ีคาํ สัง่ ใหผ ูข อ จดทะเบียนแกไ ขหรอื เปล่ียนแปลงใหถ กู ตอ ง เมอ่ื แกไขหรือเปลีย่ นแปลงถูกตองแลว ใหรับจดทะเบียนและ ออกใบสําคัญแสดงการจดทะเบียนใหแ กมลู นธิ ินัน้

- 48 - ถานายทะเบียนเหน็ วาไมอ าจรบั จดทะเบยี นไดเน่ืองจากวตั ถปุ ระสงคของมูลนิธไิ มเปนไป ตามมาตรา 110 หรือขดั ตอ กฎหมายหรอื ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชนหรอื อาจเปน ภยนั ตรายตอ ความสงบ สขุ ของประชาชนหรอื ความม่ันคงของรฐั หรอื ผูขอจดทะเบียนไมแกไ ขหรอื เปลยี่ นแปลงใหถูกตองภายใน สามสบิ วนั นบั แตวนั ทที่ ราบคําสั่งของนายทะเบียน ใหน ายทะเบยี นมีคําสัง่ ไมรับจดทะเบียน และแจง คาํ สั่ง พรอมดว ยเหตุผลที่ไมร ับจดทะเบยี นใหผขู อจดทะเบียนทราบโดยมิชักชา ผขู อจดทะเบยี นมสี ทิ ธิอุทธรณคาํ ส่ังไมร ับจดทะเบยี นนั้นตอ รฐั มนตรวี า การกระทรวงมหาดไทย โดยทําเปน หนงั สือย่ืนตอนายทะเบยี นภายในสามสิบวันนบั แตวันท่ีไดรบั แจงคําสงั่ ไมรบั จดทะเบียน ใหรฐั มนตรวี าการกระทรวงมหาดไทยวินิจฉัยอุทธรณแ ละแจงคําวนิ จิ ฉัยใหผ ูอุทธรณท ราบ ภายในเกา สิบวนั นับแตว ันท่ีนายทะเบยี นไดรบั หนงั สืออทุ ธรณ คาํ วนิ ิจฉยั ของรัฐมนตรีวา การกระทรวงมหาดไทย ใหเปน ทีส่ ดุ มาตรา 131 นายทะเบียน พนกั งานอยั การ หรือผูมีสว นไดเ สียคนหน่ึงคนใดอาจรองขอ ตอ ศาลใหมีคาํ สงั่ ใหเลิกมูลนธิ ิไดในกรณหี นง่ึ กรณใี ด ดังตอไปน้ี (1) เมอ่ื ปรากฏวาวตั ถุประสงคของมูลนธิ ขิ ัดตอกฎหมาย (2) เมอื่ ปรากฏวา มูลนธิ กิ ระทาํ การขดั ตอกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรอื อาจเปน ภยันตรายตอความสงบสขุ ของประชาชนหรอื ความมั่นคงของรัฐ (3) เมือ่ ปรากฏวา มูลนิธิไมส ามารถดําเนนิ กิจการตอไปไดไมว าเพราะเหตุใดๆ หรอื หยดุ ดําเนนิ กิจการต้ังแตสองปขึ้นไป มาตรา 136 ใหร ัฐมนตรีวา การกระทรวงมหาดไทยรกั ษาการตามบทบญั ญัติในสว นนี้ และใหมีอํานาจแตงต้งั นายทะเบียนกับออกกฎกระทรวงเกีย่ วกับ (1) การยื่นคําขอจดทะเบียนและการรับจดทะเบียน (2) คา ธรรมเนยี มการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การคัดสําเนาเอกสารและ คา ธรรมเนียมการขอใหน ายทะเบยี นดําเนินการใด ๆ เก่ยี วกบั มลู นิธิรวมทัง้ การยกเวนคาธรรมเนียม ดงั กลาว (3) แบบบัตรประจําตัวของนายทะเบียนและพนักงานเจาหนาที่ (4) การดําเนินกจิ การของมูลนธิ แิ ละการทะเบียนมลู นธิ ิ (5) การอน่ื ใดเพื่อปฏบิ ตั ใิ หเ ปนไปตามบทบัญญัตใิ นสว นนี้ กฎกระทรวงนั้น เมอื่ ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาแลวใหใ ชบ ังคบั ได กฎหมายลําดบั รองทเ่ี กยี่ วของ 1. ประกาศกระทรวงมหาดไทย แตงตง้ั นายทะเบยี นสมาคม ลงวนั ท่ี 15 กนั ยายน 2547 1. ในกรงุ เทพมหานคร ให อธิบดีกรมการปกครอง เปน นายทะเบยี น 2. ในจังหวดั อน่ื ให ผวู า ราชการจงั หวัด เปน นายทะเบยี น

- 49 - 2. ประกาศกระทรวงมหาดไทย แตงตง้ั นายทะเบยี นมลู นธิ ิ 1. ในกรุงเทพมหานคร ให ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปนนายทะเบียน 2. ในจงั หวดั อนื่ ให ผูว าราชการจังหวัด เปน นายทะเบยี น สรปุ ประเดน็ ท่นี ายอําเภอมอี ํานาจหนาที่ 1. กรณีสมาคม นายอาํ เภอ มีหนาท่รี ับคาํ ขอตามแบบ ส.ค.1 พรอมเอกสารหลักฐานที่เก่ียวของ เมื่อตรวจสอบ ครบถวนถูกตองแลวจึงสง มาใหผวู าราชการจังหวัดในฐานะนายทะเบียนสมาคมจงั หวดั พิจารณารับจดทะเบียน และออกใบสาํ คัญแสดงการจดทะเบียนใหแ กสมาคมนัน้ และประกาศการจดั ต้ังสมาคมในราชกจิ จานุเบกษาตอไป 2. กรณีมลู นิธิ นายอาํ เภอ มหี นา ทร่ี ับคําขอตามแบบ ม.น.1 พรอมเอกสารหลกั ฐานทีเ่ กี่ยวของ เม่ือตรวจสอบ ครบถว นถูกตองแลว จึงสง มาใหผูวา ราชการจังหวัดในฐานะนายทะเบียนสมาคมจังหวัดพิจารณารับจดทะเบียน และออกใบสาํ คัญแสดงการจดทะเบยี นใหแ กม ูลนธิ ิน้ัน และประกาศการจัดตง้ั มูลนธิ ใิ นราชกจิ จานเุ บกษาตอ ไป (4) พระราชบญั ญตั กิ ารเกณฑช ว ยราชการทหาร พ.ศ. 2530 มาตราที่เก่ยี วขอ ง มาตรา 4 ในพระราชบญั ญตั ินี้ “เจา พนักงานปกครองทองที่”หมายความวา ผวู า ราชการกรงุ เทพมหานคร ผวู า ราชการจังหวดั ปลดั เมอื งพทั ยา นายอาํ เภอ ผอู ํานวยการเขต ปลดั อาํ เภอ ผเู ปน หัวหนาประจาํ กิ่งอําเภอ และผูดํารงตําแหนง ท่ี เรยี กช่ืออยางอน่ื ซึ่งมีอํานาจและหนา ท่ที ํานองเดียวกับผดู ํารงตาํ แหนงดงั กลาว มาตรา 6 เมอื่ มีการเกณฑชวยราชการทหารแลว เจา พนกั งานปกครองทอ งที่ท่ไี ดรับใบเรียก เกณฑ หรอื บุคคลทไ่ี ดร ับหมายเกณฑตองปฏบิ ัติตามทันที มาตรา 7 ในเดอื นมกราคมของทกุ ป ใหปลัดเมอื งพทั ยา นายอําเภอ ผูอ ํานวยการเขต ปลดั อําเภอผูเปน หวั หนา ประจํากงิ่ อาํ เภอ หรือผดู าํ รงตาํ แหนงท่เี รียกชือ่ อยา งอืน่ ซึ่งมีอาํ นาจและหนาทีท่ ํานอง เดียวกับนายอําเภอ ทําบญั ชสี งไปยังรัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหมหรือสว นราชการทร่ี ัฐมนตรีวาการ กระทรวงกลาโหมกาํ หนด บัญชีดังกลาวใหเ ปนไปตามแบบท่ีกําหนดในกฎกระทรวงซึ่งมีรายการดงั น้ี (1) สถานทีส่ าํ หรบั ใชพักแรม หรือสรา งท่ีพักแรม (2) ยานพาหนะ เสน ทางคมนาคม สถานพยาบาล ประชากร สาธารณูปโภค ผลิตผลทาง กสกิ รรม ปศุสตั ว และสัตวพ าหนะ (3) สถานที่เกบ็ รกั ษาหรือจําหนายเชื้อเพลิง นํ้ามนั เชอ้ื เพลิง สิ่งหลอ ล่ืน หรือกา ซ

- 50 - (4) อาวุธปน เคร่ืองกระสุนปน และวัตถุระเบิด (5) เคร่ืองมือสื่อสารและเคร่ืองมืออิเล็คทรอนิกส (6) โรงงานตามกฎหมายวา ดว ยโรงงาน (7) สถานท่จี ําหนา ยอุปกรณและอะไหลสําหรับยานพาหนะ เคร่อื งมอื ส่ือสารหรือเครอ่ื งมือ อเิ ล็ คทรอนกิ ส (8) เครือ่ งกล เครือ่ งมือ เครอ่ื งใช และสิ่งอ่นื ที่ใชสาํ หรบั การสราง ซอมแซมหรือบํารงุ รักษา เสน ทางคมนาคม (9) สิ่งอน่ื ตามทท่ี างราชการทหารกําหนด มาตรา 9 ในการปฏิบัติหนา ที่ตามพระราชบัญญัติน้ี ใหเจาหนา ทีฝ่ า ยทหาร ผูม ีอาํ นาจตาม มาตรา 17 เจา หนาทฝ่ี ายทหารผมู อี ํานาจตามมาตรา 47 (2) เจาหนาท่ีฝายทหารและเจา พนักงานปกครอง ทอ งที่เปน เจา พนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 16 การเกณฑใ นเวลาปกติ ถาจะกระทาํ ในทองทใ่ี ดเมอื่ ใดใหรฐั มนตรวี า การกระทรวงกลาโหม หรือผูซ่ึงรัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหมมอบหมายเปนหนังสือเปนผูประกาศ และมีหนังสือแจงไปยัง เจาพนกั งานปกครองทองทใ่ี นทอ งทน่ี น้ั และรฐั มนตรวี า การกระทรวงมหาดไทยเพื่อทราบ มาตรา 19 ใหเ จา หนาทฝี่ า ยทหารสงใบเรียกเกณฑแกเ จา พนกั งานปกครองทองท่ใี นทองที่ท่ี มที รพั ยส นิ ทจี่ ะเกณฑกอ นกําหนดเกณฑไมนอยกวา เจด็ วนั หากเปน กรณีจําเปน หรอื เรงดวนจะสง ใบเรียก เกณฑทนั ทีกไ็ ด มาตรา 20 เมอื่ เจา พนกั งานปกครองทอ งท่ตี ามมาตรา 19 ไดร บั ใบเรยี กเกณฑแ ลว ใหอ อก หมายเกณฑไปยังเจา ของหรือผูค รอบครองทรัพยส ินที่ถูกเกณฑโ ดยเรว็ หมายเกณฑ ใหเปนไปตามแบบที่กําหนดในกฎกระทรวง มาตรา 21 เม่อื มีกรณจี ําเปน หรือเรงดวน เจาหนาทฝ่ี า ยทหารผมู ีอํานาจตามมาตรา 17 อาจ เรียกเกณฑโ ดยทางวาจา หรือโดยเครอ่ื งมือสือ่ สารได และใหเ จาพนกั งานปกครองทองที่ตามมาตรา 19 ออกหมายเกณฑหรือดําเนินการเกณฑโ ดยทางวาจา หรือโดยเคร่ืองมือสื่อสารทนั ทโี ดยใหถ ือวาไดร ับใบเรียก เกณฑแลวนบั แตว ันทีไ่ ดร บั แจงจากเจาหนาท่ีฝา ยทหารผมู อี ํานาจ เมอ่ื เจา ของหรือผคู รอบครองทรัพยสนิ ไดร ับทราบการเกณฑจากเจา พนักงานปกครองทองท่ี ตามวรรคหน่ึงแลว ใหถ อื วา ไดรบั หมายเกณฑจ ากเจาพนักงานปกครองทองที่แลว การเกณฑโ ดยทางวาจาหรอื โดยเคร่อื งมือสอื่ สาร จะตอ งออกใบเรยี กเกณฑหมายเกณฑ หรอื เอกสารอน่ื สงตามไปภายในสามวนั นับแตวนั เรียกเกณฑ มาตรา 22 ในการเกณฑทรัพยส นิ ตามมาตรา 11 เจา หนา ที่ฝา ยทหารผูม ีอาํ นาจตามมาตรา 17 อาจขอใหเ จา พนักงานปกครองทองทท่ี มี่ ีทรพั ยสินท่ีจะเกณฑต รวจสอบวามีทรพั ยสินใดท่ีจะใหเกณฑไ ดบ าง มาตรา 23 การเกณฑสถานทสี่ ําหรบั ใชพักแรมหรอื สรา งท่ีพกั แรมตามมาตรา 11(1) เจา หนา ท่ีฝา ยทหารตองแจงไปยงั เจา พนกั งานปกครองทองท่ีท่ไี ดร บั ใบเรยี กเกณฑใหทราบกาํ หนดวันและ เวลาอันแนนอนทจ่ี ะใชห รือสรา งที่พักแรมโดยเรว็ ท่ีสดุ เทาท่จี ะกระทําได

- 51 - มาตรา 24 เมอ่ื เจา พนกั งานปกครองทอ งทต่ี ามมาตรา 23 ไดร บั ใบเรยี กเกณฑสถานท่ีสําหรับใช พกั แรม หรอื สรา งทพ่ี กั แรมตามมาตรา 11 (1) แลว ใหออกหมายเกณฑไ ปยงั เจา ของหรือผูครอบครองทนั ที และ เมอ่ื ถึงกาํ หนดวนั และเวลาในหมายเกณฑใ หไ ปตรวจสอบและอาํ นวยการรว มกบั เจา หนา ทฝ่ี า ยทหาร การออกหมายเกณฑต ามวรรคหน่ึง หา มเกณฑสว นหนงึ่ สว นใดของเคหสถานท่ีเจาของหรือผูครอบครอง จาํ เปนตอ งใชอาศยั อยูกนิ หลับนอน มาตรา 25 เม่อื เจา ของหรือผูครอบครองทรัพยสินไดร บั หมายเกณฑแลว ตองนําทรัพยสนิ ท่ี ถูกเกณฑไปสงตามกําหนดวนั เวลา และสถานทใ่ี นหมายเกณฑ ถาตอ งเสียคาใชจาย ในการนําไปสง ใหเจาของหรือผูครอบครองทรัพยส นิ ทถ่ี ูกเกณฑออกคาใชจายไปกอนแลวขอรบั คนื จากเจาพนกั งานปกครองทอ งทท่ี ่ีออกหมายเกณฑ แตถ าเจา ของหรือผูครอบครองทรพั ยสนิ ที่ถูกเกณฑไมม ีเงนิ เปนคาใชจา ย ใหแจง เจา พนักงานปกครองทองทดี่ งั กลา วเพ่ือขอรับเงนิ สาํ หรับเปนคาใชจา ยนั้นและเมอื่ ไดร บั แจง แลวใหร ีบจายเงนิ ใหเ งินคา ใชจ ายทีเ่ จา พนักงานปกครองทองท่ตี องจา ยตามวรรคหนงึ่ ใหขอรับคืนจาก เจาหนาที่ฝายทหาร มาตรา 26 ใหเ จาพนกั งานปกครองทองที่ที่ออกหมายเกณฑจ ัดใหมกี ารตรวจสอบและควบคมุ การสงมอบทรัพยส ินที่ถูกเกณฑใหเ จาหนาท่ฝี า ยทหารตามกาํ หนดวนั เวลาและสถานท่ี ในหมายเกณฑ มาตรา 27 ถา ในขณะทเ่ี รยี กเกณฑ ไมมีทรัพยส นิ ท่ีถูกเกณฑห รือมีแตไมเพียงพอกบั จํานวน ท่ีเรียกเกณฑใ นทอ งทใี่ ด ใหเจาพนกั งานปกครองทอ งทท่ี ่ีออกหมายเกณฑแจง ใหเจาหนาทีฝ่ ายทหารผูมีอาํ นาจ ตามมาตรา 17 ทราบโดยเรว็ มาตรา 28 การเกณฑทรัพยส ินนนั้ ถา ไมพ บเจาของหรอื ผคู รอบครอง ใหเ จา พนกั งานปกครอง ทองทท่ี ่ีออกหมายเกณฑเรยี กบุคคลท่ีเก่ียวของกับเจาของหรือผูครอบครองใหปฏบิ ัติตามหมายเกณฑนัน้ แทน ในกรณีทีไ่ มม ีบคุ คลทีเ่ กยี่ วของดังกลาว เจาพนักงานปกครองทอ งทีต่ ามวรรคหนง่ึ มีอาํ นาจ ปฏิบตั กิ ารตามหมายเกณฑน ้ัน โดยใหกระทําตอหนา บุคคลอื่นอยา งนอยสองคนซึ่งเจา พนักงานปกครอง ทอ งที่นั้นไดร องขอมาเปนพยาน มาตรา 29 ถาเจา ของหรือผูค รอบครองมที รัพยสินท่ถี ูกเกณฑแตไมสามารถสง มอบทรัพยสินนน้ั ไดต ามกาํ หนดวนั เวลา และสถานทใ่ี นหมายเกณฑ ตองแจงใหเจา พนกั งานปกครองทองที่ที่ออกหมายเกณฑ ทราบทนั ที และใหเ จา พนักงานปกครองทองที่นั้นแจงใหเ จาหนาท่ีฝา ยทหารทราบ ถา เปน กรณจี าํ เปน หรอื เรงดว นทีจ่ ะตอ งเกณฑท รัพยส นิ นนั้ ใหเจาพนักงานปกครองทอ งทท่ี อี่ อกหมายเกณฑจ ดั หาทรพั ยสนิ ทถ่ี กู เกณฑ หรือท่ีใชแ ทนกันไดส งมอบแทนโดยเรว็ และอาจคิดคาใชจ า ยในการสงมอบแทนจากเจาของหรอื ผูครอบครอง ทรพั ยสินที่ถูกเกณฑได มาตรา 30 เจา พนักงานปกครองทองทีท่ ี่ออกหมายเกณฑตอ งมอบใบรบั แสดงทรัพยสนิ ท่ีถูกเกณฑ และระบุวา เจา ของหรือผูครอบครองทรพั ยส ินที่ถูกเกณฑไดปฏบิ ัตติ ามหมายเกณฑแลว ใหไ วแกเ จาของ หรอื ผูครอบครองขณะทร่ี บั เอาทรัพยส ินนน้ั ใบรบั สําหรับการเกณฑสถานท่สี ําหรับใชพกั แรมหรือสรา งท่ี พกั แรมตามมาตรา 11 (1) ใหมอบในขณะท่ีทหารออกจากท่นี ้ัน

- 52 - มาตรา 31 ทรัพยสินที่ถูกเกณฑม านั้นเมื่อหมดความจาํ เปน ท่จี ะใชใ นราชการทหารใหค นื แก เจา ของหรือผูค รอบครองตามกําหนดวนั เวลา และสถานท่ี ซ่งึ เจาหนาท่ีฝา ยทหารจะไดประกาศใหทราบ เมอื่ เจาของหรอื ผูครอบครองไดร ับทรัพยสินทถ่ี กู เกณฑแลว ใหทําใบรบั แสดงทรพั ยส นิ ที่ถกู เกณฑ และระบวุ า เจา ของหรือผูครอบครองไดร บั ทรัพยส นิ ที่ถูกเกณฑคืนไปแลว ใหไ วแกเ จาหนา ทฝ่ี ายทหารหรือเจาพนักงานปกครอง ทองที่ท่ีออกหมายเกณฑ มาตรา 32 ใหเจา หนาทฝ่ี ายทหารผมู ีอาํ นาจตามมาตรา 17 มีอาํ นาจหนาทีใ่ นการกาํ กับ โดยทว่ั ไปซึง่ การเกณฑใหเ ปน ไปตามวัตถปุ ระสงค มาตรา 34 ใหเ จา พนกั งานปกครองทองที่ที่ออกหมายเกณฑเปนผูกําหนดคาทดแทนทรพั ยสนิ ที่ ถูกเกณฑแลว แจง เปนหนงั สือใหเ จาของหรือผคู รอบครองทรพั ยสนิ นนั้ มารับคาทดแทน การกําหนดคาทดแทนใหคํานงึ ถงึ ราคาหรือคา เชา ปานกลางในทองท่ีทที่ รัพยสนิ น้นั ต้ังอยรู วมทง้ั คา ใชจ ายในการนาํ สงทรพั ยส นิ นั้นเปน หลกั เวน แตค า เชา ยานพาหนะใหถ ือตามอตั ราทก่ี ระทรวงกลาโหมกําหนด มาตรา 35 ถา เจา ของหรือผคู รอบครองทรัพยสนิ ไมพอใจจาํ นวนคา ทดแทนท่ี เจาพนักงาน ปกครองทองท่ที ี่ออกหมายเกณฑก าํ หนด ใหยนื่ คําคัดคา นเปนหนังสือตอ เจาพนักงานปกครองทองท่นี ั้น ภายในสามสิบวันนับแตวนั ที่ไดรับหนงั สือแจงใหมารับคาทดแทน และใหเจา พนักงานปกครองทองท่นี ั้นสง คําคัดคาน ไปยงั เจา หนา ท่ฝี า ยทหารโดยเร็ว เมื่อเจา หนาทฝี่ า ยทหารไดรบั คําคัดคา นแลว ใหเ สนอคําคัดคานตอเจาหนา ท่ฝี ายทหารผมู ี อาํ นาจตามมาตรา 17 ภายในเจด็ วนั นบั แตวันที่ไดร บั คาํ คดั คาน ในกรณีน้ใี หเจาหนาทฝี่ ายทหารผูม อี าํ นาจตาม มาตรา 17 แตงตั้งคณะกรรมการเพ่ือพิจารณาคาทดแทนและสง คําส่ังแตงตัง้ พรอมทงั้ คําคดั คานไปยัง ประธานกรรมการภายในสิบหาวันนับแตว ันทไี่ ดร บั คําคัดคานจากเจาหนาทฝี่ า ยทหาร คณะกรรมการตามวรรคสองประกอบดว ยนายทหารสญั ญาบตั รสองคนและเจา พนักงาน ปกครองทอ งทีใ่ นทองท่ีท่ีออกหมายเกณฑหน่ึงคน โดยใหน ายทหารสญั ญาบตั รคนหนง่ึ เปน ประธานกรรมการและ ตอ งพิจารณาและวนิ จิ ฉัยใหเสร็จสน้ิ ภายในสามสบิ วันนบั แตว ันทป่ี ระธานกรรมการไดทราบการแตงต้งั ในการ น้ผี ยู น่ื คาํ คัดคานจะนําพยานหลกั ฐานอันควรแกเ รือ่ งมาแสดงดว ยกไ็ ด ใหประธานกรรมการแจงคําวินิจฉัยของคณะกรรมการไปยังเจา พนักงานปกครองทองท่ีท่ี ออกหมายเกณฑ และผยู น่ื คาํ คัดคา นโดยเรว็ มาตรา 36 ใหเจาพนกั งานปกครองทองทีใ่ นทอ งท่ีท่ีออกหมายเกณฑ เปน ผจู า ยคา ทดแทน การเกณฑทรัพยสินตามจาํ นวนท่ีเจาพนักงานปกครองทองท่กี าํ หนดตามมาตรา 34 หรือทค่ี ณะกรรมการ กาํ หนดตามมาตรา 35 โดยใหเ จา ของหรอื ผคู รอบครองนาํ ใบรับมาแสดง ในกรณที ี่ใบรบั สญู หายหรือไมส ามารถ นาํ มาแสดงได ใหนําหลักฐานอื่นที่เก่ียวขอ งมาแสดงแทน การจา ยคาทดแทนใหกระทําใหเสร็จสิ้นภายในเกาสบิ วนั นับแตว นั ท่ีเจาของหรอื ผคู รอบครอง ทรัพยสินนาํ ใบรับหรือหลกั ฐานอ่ืนท่เี กย่ี วขอ งมาแสดง แลวแตกรณี เมื่อไดจา ยคาทดแทนแลว ใหเ จา พนักงานปกครองทองทต่ี ามวรรคหนง่ึ รวบรวมและสง ใบรบั หรอื หลักฐานแสดงการรับใหเจาหนาทฝี่ า ยทหารเปน คราวๆ แตไมเ กินเดอื นละสองครั้ง และใหเ จาหนาที่ ฝายทหารจายเงินคืนใหโดยเร็ว

- 53 - มาตรา 37 ถา เจาของหรือผคู รอบครองทรัพยสินที่ถูกเกณฑประสงคจะเรียกคาเสียหาย ใหย ่ืนคํารอ ง ตอเจาหนา ท่ีฝา ยทหาร หรือเจาพนักงานปกครองทองทท่ี ี่ออกหมายเกณฑภายในเจ็ดวนั นับแตวนั ท่ีเจาหนา ที่ ฝายทหารไดส ง คืนทรพั ยสินที่ถูกเกณฑ ในกรณที ยี่ ื่นตอเจาพนักงานปกครองทองท่ี ใหเจาพนักงานปกครองทองทีส่ งคาํ รอ งใหเ จา หนาท่ี ฝา ยทหารโดยเรว็ เมื่อเจาหนา ที่ฝายทหารไดร ับคาํ รอ งแลว ใหส อบสวนความเสียหายใหแนชดั โดยไมช ักชา และมหี นังสือแจงผลการสอบสวนหรอื จํานวนคาเสยี หายไปยังเจาของหรือผูครอบครองทรัพยสนิ ท่ีถูกเกณฑ ภายในสิบหา วนั นับแตวันทส่ี อบสวนเสรจ็ มาตรา 38 ถาเจาของหรอื ผคู รอบครองทรัพยส ินไมพอใจผลการสอบสวนหรือจํานวนคาเสียหาย ตามมาตรา 37 วรรคสาม ใหยื่นคําคัดคานเปน หนังสือตอเจา หนาทฝ่ี ายทหารภายในสามสิบวนั นบั แตว นั ที่ ไดรับหนงั สอื แจง เม่อื เจาหนาที่ฝายทหารไดรับคําคัดคานแลวใหเสนอคําคัดคานตอเจาหนาที่ฝายทหารผูมีอาํ นาจ ตามมาตรา 17 ภายในเจ็ดวันนบั แตวันท่ไี ดรบั คําคัดคา น ในกรณีนใ้ี หเ จาหนาที่ฝา ยทหารผมู อี าํ นาจตามมาตรา 17 แตงต้ังคณะกรรมการเพอ่ื พจิ ารณาคา เสียหายและสงคําสงั่ แตง ตงั้ พรอ มทง้ั คําคดั คานไปยงั ประธาน กรรมการภายในสิบหาวันนับแตวนั ที่ไดรบั คําคดั คานจากเจาหนาที่ฝายทหาร คณะกรรมการตามวรรคสองประกอบดวยนายทหารสัญญาบัตรสองคน และเจา พนักงาน ปกครองทองที่ในทองที่ที่ออกหมายเกณฑหนึ่งคน โดยใหน ายทหารสัญญาบัตรคนหน่ึงเปน ประธานกรรมการ และตองพิจารณาและวนิ ิจฉัยใหเสรจ็ ส้ินภายในสามสบิ วัน นบั แตว ันท่ีประธานกรรมการไดทราบการแตงตั้ง ในการนี้ผยู ืน่ คําคัดคา นจะนาํ พยานหลกั ฐานอนั ควรแกเร่ืองมาแสดงดวยก็ได ใหป ระธานกรรมการแจง คาํ วนิ จิ ฉยั ของคณะกรรมการไปยงั เจา หนา ทฝ่ี ายทหารและผูย ืน่ คาํ คดั คา น โดยเร็ว มาตรา 44 เม่ือตองการเกณฑแรงงาน ใหเจาพนักงานปกครองทองท่ที ไี่ ดร ับใบเรยี กเกณฑ ออกหมายเกณฑไปยงั บุคคลทเ่ี หมาะสมแกง านนน้ั เปน การเฉพาะตวั หรอื จะออกหมายเกณฑไปยังพลเมืองทง้ั หมด หรอื บางสวนในทองทท่ี ่ีมีเขตอํานาจก็ไดแลวแตจะเหน็ สมควร มาตรา 47 นับแตว ันเวลาทไ่ี ดมีคําสง่ั หรอื ประกาศตามมาตรา 42 และไดดําเนนิ การตาม มาตรา 16 แลว ใหเจาหนาที่ฝายทหารผูม ีอํานาจดังตอ ไปน้ีออกใบเรยี กเกณฑแ ลว สง ตรงไปยงั เจาพนักงาน ปกครองทองท่ีไดท นั ที (1) เจา หนา ที่ฝายทหารผูม อี าํ นาจตามมาตรา 17 (2) นายทหารซึ่งมีตําแหนง บังคบั บญั ชาทหารสูงสดุ ณ ทนี่ น้ั และมีกําลังในบังคบั บัญชา ตงั้ แตหนึง่ กองพนั หรอื เทียบเทา ขน้ึ ไป เม่ือนาํ ทหารเขา ทาํ การรบหรอื เขาสสู งครามหรือเมื่อบังคบั บญั ชา ทหารอยูใ นเขตท่ีไดประกาศสถานการณฉกุ เฉนิ หรือในเขตท่ไี ดประกาศใชก ฎอัยการศึก มาตรา 48 ในการเกณฑต ามมาตรา 42 เจา หนา ทฝ่ี า ยทหารผมู อี าํ นาจตามมาตรา 47 อาจขอให เจาพนักงานปกครองทองทใี่ นทองทท่ี ีจ่ ะเกณฑตรวจสอบวา มีแรงงานและทรัพยสินใดท่ีจะใหเกณฑไดบ า ง

- 54 - มาตรา 49 ในกรณีจาํ เปนถาเจา หนาทฝี่ ายทหารเหน็ วา จะตอ งจดั ซื้อหรอื เชาทรพั ยสินทอี่ าจจะ เรยี กเกณฑไดตามมาตรา 11 (3) และ (4) แลว ใหมีอาํ นาจบงั คับซ้ือหรือเชาทรัพยสนิ น้ันได ตามราคา หรือคา เชา ที่เจา พนักงานปกครองทองท่แี หงทองท่ที ่ีบังคบั ซื้อหรอื เชาทรัพยสินนน้ั เปนผกู ําหนด โดยใช ราคาหรือคาเชาปานกลางในทอ งท่ีนน้ั เปน หลกั ในการพิจารณา การฟองคดีเรียกใหชําระราคาหรือคา เชาทรัพยส นิ ตามวรรคหนง่ึ เจาของหรอื ผคู รอบครอง ตอ งฟอ งภายในหน่ึงปน ับแตว ันครบกําหนดชาํ ระราคาหรือวนั สงคืนทรพั ยสนิ ทเี่ ชาแลวแตกรณี เม่ือทางราชการทหารหมดความจาํ เปนท่ีจะตองใชทรัพยสนิ ที่จดั ซื้อตามวรรคหนึ่งแลว เจา ของ หรอื ผูค รอบครองทรพั ยส ินที่เจาหนา ทีฝ่ า ยทหารไดซอื้ ไปนั้นมีสิทธทิ จ่ี ะขอซื้อทรัพยสินน้ันคนื ไดต ามราคา ปานกลางในทองทีท่ ่ีซื้อคืนซึ่งท้งั สองฝายจะตกลงกนั มาตรา 51 เมอ่ื มคี วามจาํ เปน ในการปองกนั ประเทศ รฐั มนตรวี า การกระทรวงกลาโหมมีอํานาจ ส่ังใหเจาหนาท่ฝี ายทหารเขา ยึดอสงั หารมิ ทรพั ยไวช่ัวคราวเพอ่ื ประโยชนแ กทางราชการทหาร และใหเจาหนา ท่ี ฝา ยทหารออกใบรบั ใหไ วแกเจา ของหรือผคู รอบครองอสังหารมิ ทรัพย เจา ของหรอื ผคู รอบครองไมมสี ิทธิเรียกรองคาเสยี หายท่เี กดิ จากการยึดอสงั หารมิ ทรพั ยต าม วรรคหนึ่ง ถา เจาหนาทฝ่ี ายทหารเห็นเปน การสมควร อาจจายคาทดแทนการใชอสังหาริมทรัพยนั้นโดยให เจาพนักงานปกครองทองทีแ่ หงทองทีท่ ีอ่ สังหาริมทรัพยนั้นตัง้ อยูเ ปนผูก ําหนดคาทดแทนตามราคาหรือคาเชา ปานกลางในทองที่น้ัน มาตรา 61 เจา พนักงานปกครองทองท่ผี ใู ดออกหมายเกณฑ หรือดําเนนิ การเกณฑโดยทาง วาจา หรือโดยเคร่ืองมือสือ่ สารซง่ึ สงิ่ ที่เกณฑไมไ ดตามพระราชบัญญตั ิน้ี หรอื สง่ิ ทท่ี างราชการทหารไมมี ความตอ งการตองระวางโทษจาํ คกุ ตั้งแตหน่ึงปถึงสบิ ป หรือปรับตง้ั แตหนึ่งหมืน่ บาทถงึ หนง่ึ แสนบาท หรอื ทง้ั จาํ ทงั้ ปรบั มาตรา 62 เจา พนกั งานปกครองทองทผ่ี ูใดไดร ับใบเรยี กเกณฑแ ลว ขดั ขนื หรือละเลยไมออกหมาย เกณฑอนั เปน การฝาฝน มาตรา 20 หรือกระทําการอยางใดอันเปนการขัดขวางการปฏิบัติหนาทีข่ องเจา หนา ท่ี ฝา ยทหาร ตองระวางโทษจาํ คกุ ไมเกนิ หนง่ึ ป หรือปรบั ไมเกนิ หน่ึงหมื่นบาท หรอื ท้ังจําทงั้ ปรับ มาตรา 66 เจา พนักงานปกครองทองท่ีผใู ดไมแจง ใหเจา หนาท่ฝี า ยทหารผูมีอาํ นาจตาม มาตรา 17 ทราบตามมาตรา 27 ตอ งระวางโทษจาํ คุกไมเกินหกเดือน หรือปรับไมเกนิ หา พนั บาท หรอื ทัง้ จําท้ังปรบั มาตรา 67 เจาพนกั งานปกครองทองทีผ่ ใู ดไมแจง ใหเจา หนา ท่ีฝา ยทหารทราบหรือไมจัดหา ทรพั ยส นิ สง มอบแทนตามมาตรา 29 ตอ งระวางโทษจําคกุ ไมเ กินหกเดือน หรือปรบั ไมเ กินหา พันบาท หรอื ทงั้ จาํ ท้ังปรบั มาตรา 68 เจาหนาที่ฝายทหารผใู ดขมขนื ใจเจาพนักงานปกครองทองทีใ่ หปฏิบตั ิการอนั มิชอบ ดวยหนาทห่ี รอื ใหละเวน การปฏิบัติการตามหนา ท่โี ดยใชก าํ ลงั ประทษุ รายหรือขเู ข็ญวา จะใชก าํ ลงั ประทษุ รา ย ตอ งระวางโทษจาํ คุกไมเกนิ สามป หรือปรบั ไมเ กินสามหมืน่ บาท หรือทั้งจําท้ังปรบั

- 55 - มาตรา 69 เจา หนาทฝ่ี ายทหารผใู ดขมขืนใจผอู ื่นในการเกณฑใหกระทาํ หรือละเวน กระทํา การอยา งหนง่ึ อยา งใดโดยมชิ อบ ดวยการใชก ําลงั ประทุษรา ยหรอื ขเู ขญ็ วา จะใชกาํ ลงั ประทษุ รา ย ตอ งระวางโทษ จาํ คกุ ไมเกินสามป หรือปรบั ไมเกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจําหรอื ปรับ มาตรา 70 ผใู ดมหี นาท่ตี อ งปฏบิ ตั ิตามการเกณฑโดยชอบดว ยกฎหมายแลว ขัดขืนหรอื ละเลย ไมปฏบิ ตั ติ ามการเกณฑน้ัน หรือขดั ขวางเจา หนาทฝ่ี ายทหารหรือเจา พนักงานปกครองทองทซี่ ่ึงปฏิบตั ิการ ตามหนา ท่ี หรอื ใหถอยคาํ ซ่ึงตนรูวา เปน เท็จในขอสาระสาํ คัญเพือ่ หลีกเล่ียงไมปฏบิ ัติตามการเกณฑน้ัน ตอ งระวางโทษจาํ คุกไมเ กินหกเดอื น หรือปรบั ไมเกินหาพนั บาท หรือท้งั จาํ ทงั้ ปรบั สรุปประเดน็ ท่ีนายอําเภอมีอํานาจหนาที่ นายอาํ เภอเปนเจาพนักงานปกครองทองท่ตี ามพระราชบญั ญัติการเกณฑชวยราชการทหาร พ.ศ. 2530 มหี นา ทปี่ ฎบิ ตั ิงานชวยเหลือเจา หนา ท่ฝี า ยทหารตามทีบ่ ัญญตั ิไวในพระราชบัญญตั นิ ี้ (5) พระราชบญั ญัติการคา ขาว พทุ ธศกั ราช 2489 มาตราท่เี ก่ียวขอ ง มาตรา 3 ในพระราชบัญญตั ิน้ี “พนักงานเจา หนาที่” หมายความวา ผทู คี่ ณะกรรมการแตง ตั้งขึน้ ตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 4 ใหมีกรรมการคณะหนึ่งประกอบดวยประธานกรรมการหนึ่งนาย และกรรมการอื่น อกี ไมน อยกวา หกนายซง่ึ คณะรัฐมนตรีแตงตั้ง มีอํานาจและหนา ทต่ี ามบทแหงพระราชบัญญัตนิ ี้ มาตรา 5 คณะกรรมการมีอาํ นาจแตงตั้งบุคคลใดหรือคณะบุคคลใดเปน พนักงานเจา หนาท่ี เพอ่ื ปฏิบัติการอนั อยูในอํานาจและหนา ทีข่ องคณะกรรมการทง้ั หมดหรือแตบ างสวนในทองที่ใดทอ งทห่ี น่ึง แทนคณะกรรมการได มาตรา 6 ใหค ณะกรรมการหรอื พนักงานเจา หนา ทีม่ ีอํานาจเขา ไปในสถานท่ี หรอื เคหะสถาน ของบุคคลใดเพื่อตรวจขาว ใบรับในการขาย หรือแลกเปลี่ยนขา ว รายงานการคาขา ว และเอกสารอืน่ ๆ เกยี่ วกับการคาขาวไดในเวลากลางวัน และมีอาํ นาจสง่ั บุคคลใดทเ่ี กย่ี วของมาใหถ อยคาํ ในเรอื่ งทเี่ กย่ี วกับ การน้นั ได มาตรา 12 ผไู ดร ับหนงั สืออนุญาตใหประกอบการคา ขาวตามพระราชบัญญัตินตี้ อ งทาํ รายงาน การคา ขา วประจาํ วนั ตามแบบท่คี ณะกรรมการกาํ หนดเกบ็ ไว ณ สถานท่ที ที่ าํ การคา ขาว และตอ งย่ืนรายงาน การคาขาวตอคณะกรรมการหรือพนักงานเจาหนา ทีต่ ามแบบ ระยะเวลาและเง่ือนไขท่ีคณะกรรมการกาํ หนด การทาํ รายงานการคา ขา วดังกลา วในวรรคกอน คณะกรรมการมีอาํ นาจสง่ั ยกเวน ใหแกผปู ระกอบการ คาขาวประเภทหน่ึงประเภทใดกไ็ ด และใหม ีอํานาจสงั่ ถอนการยกเวนนน้ั ดวย

- 56 - มาตรา 15 ผูไดรับหนังสืออนุญาตคนใดฝาฝนประกาศหรือคําสั่งคณะกรรมการหรือพนักงาน เจาหนาที่หรือปฏิบตั ิผิดเงื่อนไขอยางหนง่ึ อยา งใดท่รี ะบุไวในหนังสืออนุญาตหรือฝาฝน บทบัญญัติใดๆ แหง พระราชบัญญตั ินี้ ใหคณะกรรมการมีอาํ นาจส่ังถอนหนังสืออนุญาตน้นั ได มาตรา 16 หนังสืออนุญาตใหป ระกอบการคาขา วใหใชไดเฉพาะตัว จะโอนกันไมไดและเม่ือ เลิกประกอบการคาขาวแลว ตองแจง ใหคณะกรรมการหรือพนักงานเจาหนา ทท่ี ราบ มาตรา 16 ทวิ เจา ของโรงสีขา วหรือผูประกอบการโรงสีขาวคนใดหยดุ หรือแกลงหยดุ ทาํ การ สขี าวหรือไมทําการสีขาวใหเ ต็มกําลงั ที่โรงสนี ้ันสามารถที่จะทําการสีได คณะกรรมการมีอํานาจท่จี ะเรยี ก ใหก ระทําการสขี าวหรือสขี าวใหเตม็ กําลังตอ ไปภายในระยะเวลาท่ีกําหนดและมีอาํ นาจกาํ หนดคาจางสีขา ว ใหป ฏิบตั ไิ ด เมอ่ื คณะกรรมการไดม ีคาํ สงั่ ตามความในวรรคกอ นแลว เจา ของโรงสขี า ว หรอื ผปู ระกอบการ โรงสีขาว ไมปฏบิ ตั ภิ ายในระยะเวลาทีค่ ณะกรรมการกําหนดใหค ณะกรรมการมีอํานาจเขายดึ โรงสนี ั้นมา ดําเนนิ การเสยี เองได และในการนีเ้ จาโรงสี ไมม สี ทิ ธทิ ีจ่ ะเรียกคา ทดแทนหรือคา เสยี หายใดๆ ทั้งสน้ิ มาตรา 17 ผใู ดฝาฝนประกาศหรือคําส่งั คณะกรรมการหรือพนักงานเจาหนา ทซ่ี ึง่ ออกตาม ความในมาตรา 8 (2) หรอื (3) หรอื (4) หรือ (5) หรอื (6) หรอื ปฏบิ ัตผิ ิดเงอื่ นไขอยางหนง่ึ อยา งใดที่ระบุ ไวใ นหนังสืออนญุ าตซึ่งออกตามความในมาตรา 8 (4) หรือ (5) ผูน้ันมีความผดิ ตองระวางโทษจาํ คุกตั้งแต สามเดือนข้นึ ไปจนถึงหาป และปรับตัง้ แตหน่ึงพันบาทถึงหาพันบาท มาตรา 20 ผใู ดใหถอยคําเท็จในการแจง ปรมิ าณหรือสถานทีเ่ ก็บขา ว หรอื ขัดขืนหรือฝา ฝน คาํ ส่ังคณะกรรมการหรอื พนกั งานเจาหนา ทซ่ี ง่ึ ปฏิบตั กิ ารตามมาตรา 6 หรือใหถ อ ยคําเท็จแกบุคคลน้ันๆ ผนู ัน้ มีความผดิ ตองระวางโทษปรับไมเกนิ หา พันบาท หรือจําคุกไมเกนิ หาป หรอื ทั้งปรบั ทงั้ จํา มาตรา 21 พนกั งานเจาหนา ท่ีผใู ดปฏิบตั กิ ารหรอื ละเวน ปฏบิ ตั กิ ารในหนา ทอ่ี นั เปนการชว ยเหลอื ใหม กี ารฝา ฝนบทบัญญตั ิแหง พระราชบญั ญัติน้ี ไมว า ดว ยประการใดๆ มีความผดิ ตอ งระวางโทษจําคุกไมเ กนิ หา ป และปรับไมเ กินหา พนั บาท กฎหมายลําดับรองทเี่ กยี่ วของ 1. ประกาศคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการคาขาว พทุ ธศกั ราช 2489 ฉบบั ท่ี 144 พ.ศ. 2548 เร่อื ง แตง ตัง้ พนักงานเจา หนาท่ี ขอ 3 แตง ตั้งใหผูดํารงตําแหนงดังตอไปน้เี ปน พนกั งานเจาหนา ที่ (1) อธบิ ดกี รมการคา ภายใน (2) รองอธิบดีกรมการคาภายใน (3) ผอู ํานวยการสํานักสง เสรมิ การคา สนิ คาเกษตร กรมการคา ภายใน (4) ขา ราชการกรมการคาภายในซง่ึ ดํารงตําแหนง ตัง้ แตร ะดับ ๓ ขนึ้ ไป

- 57 - (5) ผูว า ราชการจังหวดั (6) รองผูว าราชการจงั หวัด (7) ปลดั จังหวดั (8) พาณิชยจังหวัด (9) หวั หนาสํานกั งานการคา ภายในจงั หวัด (10) นายอําเภอ (11) ปลัดอาํ เภอผูเปน หวั หนา ประจํากิ่งอําเภอ (12) ปลัดอาํ เภอ (13) ขาราชการตาํ รวจซ่ึงมียศต้ังแตรอ ยตาํ รวจตรีขนึ้ ไป (14) ขา ราชการกระทรวงพาณิชยซ ง่ึ ดํารงตาํ แหนงต้ังแตร ะดับ 3 ขน้ึ ไป ท่ีปฏบิ ตั ิงาน ในจังหวดั นน้ั ขอ 7 ใหพ นักงานเจาหนาท่ีตามขอ 3 (5) (6) (7) (8) (9) (10) (11) (12) (13) และ (14) มีอาํ นาจเขา ไปในสถานท่ีหรอื เคหสถานของบคุ คลใด เพอ่ื ตรวจขา วใบรบั ในการขายหรอื แลกเปลย่ี นขา ว รายงานการคา ขา วและเอกสารอ่ืนๆ เก่ียวกบั การคาขาวไดในเวลากลางวนั และมีอาํ นาจส่ังบคุ คลใดที่ เกยี่ วขอ งมาใหถอยคําในเรื่องท่เี กย่ี วกบั การนัน้ ทัง้ น้ี ภายในทอ งทหี่ รือเขตอํานาจของตน สรปุ ประเด็นที่นายอาํ เภอมอี ํานาจหนาท่ี นายอาํ เภอเปน พนกั งานเจา หนา ทต่ี ามพระราชบญั ญตั กิ ารคา ขา ว พุทธศกั ราช 2489 มอี าํ นาจ เขา ไปในสถานทห่ี รือเคหสถานของบคุ คลใด เพอ่ื ตรวจขา วใบรบั ในการขายหรือแลกเปลย่ี นขาวรายงานการคา ขาว และเอกสารอืน่ ๆ เกีย่ วกับการคาขา วไดในเวลากลางวันและมีอาํ นาจส่งั บุคคลใดท่เี กีย่ วของมาใหถอยคาํ ในเรื่องท่ีเก่ียวกบั การนนั้ ท้ังนี้ ภายในทอ งท่ีหรือเขตอาํ นาจของตน (6) พระราชบัญญัตกิ ารเชาท่ดี นิ เพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ มาตราท่เี กย่ี วขอ ง มาตรา 5 ในพระราชบัญญตั ิน้ี “นายอําเภอ” หมายความรวมถงึ หวั หนาเขตของกรงุ เทพมหานคร มาตรา 9 ในตําบลหนึง่ ๆ ทีม่ กี ารเชา ใหม ี คชก. ตําบล ซง่ึ ประกอบดว ยบุคคลดังตอไปน้ี (1) ในตําบลนอกเขตเทศบาล คชก. ตาํ บล ประกอบดวยกํานันเปนประธาน เกษตรอําเภอ หรอื ผแู ทน ทีด่ นิ อําเภอหรือผูแทน ประมงอําเภอหรอื ผูแทน ปศุสัตวอ ําเภอหรือผูแทน ผแู ทนผเู ชา สค่ี น และผูแ ทนผใู หเชา ส่คี น ซ่งึ นายอําเภอแตง ตง้ั เปน กรรมการ และใหปลดั อาํ เภอหรอื พฒั นากร ซึ่งนายอาํ เภอ แตง ต้งั เปนกรรมการและเลขานุการ อนงึ่ ในการพิจารณาเร่ืองอันเกย่ี วกับการเชาในเขตหมบู า นใด ใหผ ใู หญบ านแหง หมบู านนั้นเปน กรรมการดว ย

- 58 - มาตรา 11 ในกรณที ี่ไมมปี ระมงอาํ เภอหรือปศสุ ัตวอ ําเภอเปนกรรมการตามมาตรา 9 (1) (2) หรอื (4) หรือไมมเี กษตรอาํ เภอประจาํ เขตหรือพนักงานประเมินภาษีเปนกรรมการตามมาตรา 9 (3) ใหน ายอําเภอหรอื หัวหนาเขตแตง ต้งั ขา ราชการซง่ึ มคี วามรคู วามชาํ นาญเกย่ี วกบั การเกษตร ทีด่ นิ ประมง ปศุสตั ว หรอื การประเมินภาษี แลว แตกรณี เปนกรรมการแทน มาตรา 14 ใหน ายอําเภอมีอาํ นาจหนาท่ี (1) ใหค ําปรึกษาแก คชก. จังหวดั เกี่ยวกบั อาํ นาจหนาท่ีตามพระราชบัญญตั นิ ้ี ในสว นท่ีเกี่ยวกบั การเชาในเขตทอ งท่ี (2) ควบคมุ ดแู ลการปฏบิ ตั ิงานของ คชก. ตําบลในเขตทองท่ี (3) ประสานงานระหวา ง คชก. จงั หวดั กบั คชก. ตาํ บล และระหวา ง คชก. ตาํ บลในเขตทอ งท่ี มาตรา 15 กรรมการซ่งึ ผูวา ราชการจงั หวัดหรือผูวา ราชการกรุงเทพมหานครแตง ต้งั ตามมาตรา 7 หรือซึง่ นายอําเภอหรือหวั หนา เขตแตง ต้ังตามมาตรา 9 และมาตรา 11 อยูใ นตําแหนงคราวละสามป กรรมการซง่ึ พนจากตําแหนงตามวาระอาจไดรบั แตง ตงั้ อกี ได กฎหมายลาํ ดับรองที่เกย่ี วของ 1. ระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณแ ละกระทรวงมหาดไทย วา ดวยเลือกตงั้ หรอื คดั เลอื กผแู ทน ผูเชา และผูแทนผูใหเชา ในคณะกรรมการการเชาท่ดี นิ เพ่ือเกษตรกรรมประจําจงั หวดั และประจาํ ตาํ บล พ.ศ. 2524 ขอ 5 การเลอื กตงั้ ผแู ทนผเู ชาและผูแทนผูใหเ ชา ใน คชก. ตาํ บล ใหน ายอําเภอแตง ต้งั คณะกรรมการดาํ เนินการเลือกตง้ั ขึ้นคณะหนึง่ มจี ํานวนไมนอยกวา สามคน ขอ 6 ใหนายอําเภอจดั ทาํ บัญชีรายชื่อผูเชาหรือผูใหเชา ที่มสี ิทธิเลือกตั้งผูแทนผูเชา หรือผแู ทน ผูใหเ ชา ตามแบบ ชก. 4 จาํ นวน 5 ชุด ชุดที่ 1 ใหปดไว ณ ที่วาการอาํ เภอ ชดุ ที่ 2 ใหปด ไว ณ ทีท่ าํ การตาํ บล ชดุ ท่ี 3 ใหปด ไว ณ ท่ีทําการผใู หญบ าน ชดุ ท่ี 4 และชดุ ท่ี 5 มอบใหค ณะกรรมการดําเนินการเลือกตงั้ นําไปใชในวนั เลอื กตง้ั และสาํ รองไวสําหรบั ตดิ ที่ทเี่ ลือกต้งั ๑ ชดุ การปดประกาศบญั ชรี ายชอ่ื ชดุ ท่ี 1 ชุดที่ 2 และชุดท่ี 3 ใหป ด ประกาศกอ นวนั ทาํ การเลือกตั้ง ไมนอ ยกวา เจ็ดวัน เพือ่ ใหผ มู สี ิทธิเลือกต้งั ไดต รวจสอบ และขอแกไ ขใหถูกตอ งกอ นวันเลือกตงั้ ไมนอ ยกวา สามวัน ขอ 9 เมือ่ นายอําเภอประกาศตามขอ 8 แลว ผใู ดประสงคส มัครรบั เลอื กตง้ั เปนผแู ทนผเู ชา หรือผแู ทนผูใ หเชา ใน คชก. ตําบล ใหย น่ื ใบสมคั รตามแบบ ชก. 2 แลว ใหนายอาํ เภอประกาศรายชอ่ื ผสู มัครตามแบบ ชก. 3 ขอ 10 ในกรณีทผ่ี แู ทนผูเชา หรอื ผแู ทนผใู หเชา ใน คชก. ตาํ บลวา งลง ใหท าํ การเลอื กต้ัง ภายในส่ีสบิ หาวนั นบั แตว ันทราบการวาง

- 59 - ขอ 11 ในการเลือกต้ัง ใหนายอําเภอหรือผซู ่ึงไดร บั มอบหมายประกาศใหท่ีประชมุ เสนอ รายชอ่ื ผูมสี ทิ ธเิ ลอื กตั้งเปนผแู ทนที่ประชมุ อยางนอยสองคน เพ่อื สงั เกตการณเ ลือกตัง้ โดยใกลช ิด ผแู ทน ทปี่ ระชุมมสี ทิ ธิทักทวงการปฏบิ ัตขิ องคณะกรรมการดําเนินการเลอื กต้ังเมื่อเหน็ วา ปฏิบตั ไิ มชอบ ขอ 12 เม่อื มกี ารทกั ทวงการปฏบิ ตั ิของคณะกรรมการดําเนนิ การเลือกตั้ง ใหนายอาํ เภอ หรือผูซ่งึ ไดร ับมอบหมายพจิ ารณาชขี้ าด แลว ใหผ ทู กั ทว งและกรรมการทุกคนลงลายมือช่ือไว ถาผูท กั ทว ง ไมย อมลงลายมือชอ่ื ใหคณะกรรมการบันทึกไว ขอ 20 ถา มผี ูสมคั รเขารบั การเลอื กต้ังเปน ผูแทนผูเชาหรอื ผูแทนผใู หเชา เพียงส่คี น ใหถ อื วา ผูสมัครนัน้ เปนผไู ดรบั เลือกตั้งเปนผแู ทนผเู ชา หรือผูแทนผใู หเชา โดยไมตองทาํ การเลือกต้ัง ใหน ายอาํ เภอประกาศรายชอ่ื ผแู ทนผเู ชา หรือผแู ทนผใู หเ ชา ไดท ราบทวั่ กนั ตามแบบ ชก. 6 ขอ 21 เมือ่ เสร็จการเลอื กต้ังปรากฏวา ผใู ดไดร บั การเลือกต้ังเปนผูแทนผเู ชา ใหประธาน กรรมการจัดทํารายงานแสดงผลของการนับคะแนนตามแบบ ชก. 7 และประกาศผลการนับคะแนนตาม แบบ ชก. 8 ปดไว ณ ที่ทาํ การเลือกตั้ง แลว รายงานใหน ายอําเภอประกาศผลการเลอื กตั้งตามแบบ ชก. 9 สรปุ ประเดน็ ที่นายอาํ เภอมอี ํานาจหนา ที่ 1. นายอําเภอมีหนาท่แี ตงต้ังผแู ทนผเู ชา สค่ี น และผแู ทนผใู หเชา สี่คน เปน กรรมการ คชก. ตาํ บล และแตง ต้ังปลดั อําเภอหรือพัฒนากรเปนกรรมการและเลขานุการ คชก. ตําบล ในตาํ บลนอกเขต เทศบาล 2. นายอําเภอมีอาํ นาจหนา ที่ (1) ใหค ําปรึกษาแก คชก. จงั หวดั เกย่ี วกับอํานาจหนาท่ตี ามพระราชบัญญัตินี้ ในสวนที่ เกี่ยวกบั การเชา ในเขตทองที่ (2) ควบคมุ ดแู ลการปฏบิ ตั ิงานของ คชก. ตาํ บลในเขตทองท่ี (3) ประสานงานระหวา ง คชก. จงั หวัดกับ คชก. ตาํ บล และระหวา ง คชก. ตาํ บลในเขตทอ งท่ี 3. นายอําเภอมีหนา ทจี่ ดั ใหม ีการเลอื กตงั้ ผแู ทนผูเชาและผแู ทนผูใหเ ชา ใน คชก. ตาํ บล ตาม ระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณและกระทรวงมหาดไทย วา ดว ยเลอื กตงั้ หรือคัดเลือกผูแทนผเู ชา และ ผูแทนผูใ หเ ชา ในคณะกรรมการการเชาที่ดนิ เพื่อเกษตรกรรมประจาํ จังหวัดและประจาํ ตําบล พ.ศ. 2524 (7) พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตราทเ่ี กี่ยวของ มาตรา 8 ภายใตบังคับมาตรา 8/1 ใหมสี ํานกั ทะเบียนตามพระราชบัญญัติน้ี ดงั นี้ (1) สํานกั ทะเบียนกลาง มีผูอํานวยการทะเบียนกลาง รองผูอํานวยการทะเบียนกลาง และ ผชู วยผอู ํานวยการทะเบียนกลาง เปน นายทะเบียนประจําสํานักทะเบียนกลางมหี นาที่รับผิดชอบและ ควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบยี นราษฎรทว่ั ราชอาณาจักร

- 60 - (2) สาํ นักทะเบยี นกรุงเทพมหานคร มนี ายทะเบยี นกรงุ เทพมหานคร และผชู ว ยนายทะเบียน กรงุ เทพมหานคร เปนนายทะเบียนประจําสํานักทะเบียนกรุงเทพมหานคร มหี นา ที่รบั ผดิ ชอบและควบคมุ การปฏิบัตงิ านการทะเบียนราษฎรในเขตกรงุ เทพมหานคร (3) สาํ นักทะเบียนจังหวดั มนี ายทะเบียนจังหวดั และผูชว ยนายทะเบียนจังหวัดเปนนายทะเบียน ประจําสาํ นกั ทะเบียนจังหวดั มีหนา ทร่ี บั ผดิ ชอบและควบคมุ การปฏบิ ตั งิ านการทะเบยี นราษฎรในเขตจงั หวัด (4) สํานักทะเบียนอําเภอ มนี ายทะเบียนอําเภอและผชู ว ยนายทะเบยี นอําเภอเปน นายทะเบยี น ประจําสาํ นักทะเบยี นอําเภอ มีหนาทีร่ ับผดิ ชอบและควบคุมการปฏิบตั ิงานการทะเบียนราษฎรในเขตอาํ เภอ (5) สาํ นักทะเบยี นทอ งถ่นิ มนี ายทะเบยี นทองถ่ินและผชู วยนายทะเบียนทองถน่ิ เปนนายทะเบียน ประจาํ สํานกั ทะเบยี นทอ งถนิ่ มีหนาท่ีรับผดิ ชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบยี นราษฎรในเขต ปกครองทองถิ่นนั้นๆ มาตรา 8/1 การจดั ตง้ั สาํ นักทะเบียนอําเภอหรอื สาํ นักทะเบยี นทองถนิ่ ตาม มาตรา 8 (4) และ (5) ใหเ ปน ไปตามที่ผอู ํานวยการทะเบยี นกลางประกาศ โดยคาํ นงึ ถึงสภาพแหง ความพรอ มและความ สะดวกในการใหบ รกิ ารประชาชน รวมตลอดถงึ การไมซ ้ําซอนและการประหยัด สํานกั ทะเบียนอําเภอหรือสาํ นกั ทะเบียนทอ งถ่นิ ตามมาตรา 8 (4) และ (5) ท่ไี ดจัดตงั้ ขึน้ แลวน้นั เมอ่ื คํานึงถงึ สภาพตามวรรคหนง่ึ แลว ผอู าํ นวยการทะเบยี นกลางจะยบุ หรือควบรวมเขา ดวยกนั กไ็ ด อํานาจหนา ท่ีและความรับผิดชอบของสาํ นักทะเบียนท่จี ดั ต้ังตามวรรคหนึ่งหรือควบรวมตามวรรคสอง ใหเ ปนไปตามทผ่ี ูอํานวยการทะเบียนกลางประกาศกําหนด มาตรา 8/2 ใหมีนายทะเบยี นเพื่อปฏิบตั หิ นาท่ีตามพระราชบญั ญตั ินี้ดงั น้ี (1) อธิบดกี รมการปกครองเปน ผอู าํ นวยการทะเบียนกลาง มีอาํ นาจออกระเบียบหลกั เกณฑ วธิ ปี ฏิบตั ิ รวมท้งั กาํ หนดแบบพมิ พเ พื่อปฏบิ ตั ติ ามพระราชบญั ญัตนิ ้ี และแตงต้งั รองผูอ ํานวยการทะเบยี น กลาง และผชู วยผูอาํ นวยการทะเบยี นกลาง (2) ปลัดกรุงเทพมหานครเปนนายทะเบียนกรงุ เทพมหานคร และใหม อี ํานาจแตงต้งั ผูชวย นายทะเบียนกรุงเทพมหานคร (3) ผูวาราชการจงั หวดั เปนนายทะเบียนจังหวัด และใหมีอํานาจแตงต้งั ผูชวยนายทะเบยี น จังหวดั (4) นายอําเภอหรอื ปลดั อําเภอผูเปนหวั หนา ประจําก่ิงอําเภอ แลว แตกรณี เปนนายทะเบียน อําเภอ และใหมีอํานาจแตงตง้ั ผูชวยนายทะเบียนอําเภอ (5) ปลดั เทศบาล ผอู าํ นวยการเขต ปลัดเมืองพัทยาหรือหวั หนาผูบริหารของหนวยการปกครอง ทองถน่ิ แลวแตก รณี เปน นายทะเบยี นทอ งถน่ิ และใหม อี าํ นาจแตง ตง้ั ผูชวยนายทะเบยี นทองถ่ิน ผอู าํ นวยการ ทะเบยี นกลางตาม (1) จะมอบอาํ นาจใหร องผอู ํานวยการทะเบยี นกลาง หรือผชู ว ยผูอํานวยการทะเบยี นกลาง ปฏิบัติราชการแทนผอู าํ นวยการทะเบยี นกลาง หรอื จะมอบหมายใหข า ราชการสงั กัดกรมการปกครอง ชว ยเหลอื ในการปฏบิ ัตหิ นา ที่ตามที่กําหนดดว ยก็ได นายทะเบียนกรุงเทพมหานครตาม (2) จะมอบอํานาจใหผ ชู ว ยนายทะเบียนกรงุ เทพมหานคร หรือหัวหนา สว นราชการซงึ่ ไมต าํ่ กวา ระดบั กองในสํานักปลัดกรุงเทพมหานครปฏบิ ัติราชการแทนนายทะเบยี น กรุงเทพมหานครกไ็ ด

- 61 - นายทะเบียนจงั หวดั ตาม (3) จะมอบอาํ นาจใหผ ูชว ยนายทะเบยี นจงั หวดั รองผวู า ราชการจงั หวดั หรอื ปลัดจงั หวัด ปฏบิ ตั ริ าชการแทนนายทะเบยี นจังหวัดก็ได นายทะเบียนอําเภอตาม (4) จะมอบอาํ นาจใหผ ูชว ยนายทะเบยี นอาํ เภอ หรอื ปลัดอาํ เภอปฏิบัติ ราชการแทนนายทะเบียนอาํ เภอก็ได นายทะเบียนทองถ่ินตาม (5) จะมอบอํานาจใหผชู ว ยนายทะเบยี นทอ งถ่นิ รองปลดั เทศบาล ผชู วยผอู ํานวยการเขต รองปลัดเมอื งพัทยา หรือรองหรือผูชว ยหวั หนาผูบรหิ ารของหนว ยการปกครอง ทอ งถน่ิ น้ัน แลว แตกรณี ปฏบิ ตั ิราชการแทนนายทะเบยี นทองถนิ่ ก็ได มาตรา 9 ในกรณีจําเปนตองมีสํานกั ทะเบียนสาขา หรอื สาํ นกั ทะเบียนเฉพาะกิจในเขตทองที่ สํานักทะเบียนอาํ เภอ หรือสาํ นกั ทะเบียนทอ งถ่นิ แลวแตก รณี ใหผ อู ํานวยการทะเบยี นกลางจดั ต้ังและกาํ หนด หนาที่ความรับผดิ ชอบการปฏิบตั งิ าน การทะเบียนราษฎรสําหรับสํานักทะเบยี นสาขาหรอื สาํ นกั ทะเบยี น เฉพาะกจิ ในเขตทองท่ีของสาํ นักทะเบียนดงั กลา ว และใหนายอําเภอ ปลัดอาํ เภอผูเ ปน หัวหนา ประจาํ กง่ิ อําเภอ ปลดั เทศบาล ผอู าํ นวยการเขต ปลดั เมอื งพทั ยา หรอื หัวหนา ผบู รหิ ารของหนว ยการปกครองทอ งถ่ินนัน้ แลว แต กรณี แตงตงั้ นายทะเบียน และผชู วยนายทะเบยี นประจําสํานักทะเบยี นดังกลาวในเขตทองทที่ ่รี ับผิดชอบ มาตรา 10 เพ่อื ความถกู ตองของการทะเบียนราษฎร ใหน ายทะเบยี นมีอาํ นาจเรยี กเจาบา น หรอื บคุ คลใด ๆ มาชแี้ จงขอเทจ็ จริงหรอื ใหแสดงหลักฐานตา งๆ ไดต ามความจําเปน และเมื่อมีเหตุอันควร สงสยั ใหม ีอาํ นาจเขาไปสอบถามผูอยใู นบา นใดๆ ได ตามอํานาจหนาที่ แตตองแจงใหเจาบานทราบกอน ทั้งน้ี ใหกระทําไดใ นระหวางเวลาพระอาทติ ยข นึ้ และพระอาทิตยตก ในการเขาไปสอบถามตามวรรคหนงึ่ ใหน ายทะเบยี นแสดงบัตรประจาํ ตัวตามแบบที่กาํ หนด ในกฎกระทรวง ในกรณีปรากฏหลักฐานเช่ือไดวา การดาํ เนนิ การแจง การรับแจง การบันทึก หรือการลงรายการ เพ่ือดําเนนิ การจัดทําหลักฐานทะเบยี นตางๆ ตามพระราชบัญญัตินี้ ไดดําเนินการไปโดยมิชอบดว ยกฎหมาย ระเบียบ หรอื โดยอาํ พราง หรอื โดยมรี ายการขอ ความผดิ จากความเปน จรงิ ใหนายทะเบียนมีอาํ นาจสั่งไมรบั แจง จําหนา ย รายการทะเบยี น เพิกถอนหลักฐานทะเบยี นและดําเนินการแกไขขอความรายการทะเบียนใหถูกตอง แลว แตกรณี การดาํ เนินการตามวรรคสาม รวมตลอดท้ังวิธกี ารโตแ ยงหรือชีแ้ จงขอเท็จจรงิ และการอุทธรณ ของผซู ง่ึ อาจไดรับผลกระทบจากการดาํ เนนิ การของนายทะเบยี น รวมถงึ การพิจารณาคําอุทธรณใหเปนไป ตามหลักเกณฑและวิธกี ารท่ีกําหนดในกฎกระทรวง ทง้ั นี้ ใหนายทะเบยี นมีอํานาจสง่ั ระงับการเคล่อื นไหว ทางทะเบยี นไวกอนทจี่ ะรบั ฟงคาํ ช้ีแจงหรือการโตแ ยงได มาตรา 11 ในการปฏิบัติหนา ที่ตามพระราชบัญญตั ิน้ี ใหน ายทะเบยี นเปน เจา พนกั งานตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 14 บุคคลผูมีหนาที่แจงการตาง ๆ ตามทีก่ าํ หนดไวในพระราชบัญญตั ิน้ี เจาของประวตั ิ ซึ่งปรากฏในขอมูลทะเบียนประวตั ิราษฎรตามมาตรา 12 หรือผแู ทนโดยชอบธรรมในกรณเี จาของประวตั ิ เปน ผเู ยาว ผูอ นบุ าลในกรณเี จาของประวัตเิ ปน คนไรความสามารถหรือทายาทเจาของประวตั ิ หรือผูร ับมอบ อํานาจจากบุคคลดังกลาวขางตน อาจขอใหน ายทะเบยี นดาํ เนนิ การไดท สี่ าํ นกั ทะเบยี นในวันเวลาราชการดังนี้

- 62 - (1) คดั และรับรองเอกสารขอมลู ทะเบียนประวตั ิราษฎรตามมาตรา 12 และเสยี คาธรรมเนียม ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง (2) แกไขเพ่ิมเติม ลบ หรือทําใหทนั สมยั ซึง่ ขอมูลใด ๆ ในขอมูลทะเบยี นประวตั ริ าษฎรเพ่ือให เกดิ ความถูกตองตามความเปนจริง เม่ือไดร ับคาํ ขอตาม (2) ใหนายทะเบยี นมีคําสั่งโดยเร็ว คําสง่ั ของนายทะเบียนทไ่ี มรบั คําขอ หรือไมดําเนินการตามคําขอท้ังหมดหรือบางสว น ใหค ูกรณยี ่นื อทุ ธรณตอนายทะเบยี นจังหวัด นายทะเบียน กรงุ เทพมหานคร หรือผูอํานวยการทะเบยี นกลาง แลว แตกรณี ภายในสบิ หา วันนับแตว นั รับทราบคาํ ส่ัง จากนายทะเบียน เงือ่ นไข หลกั เกณฑ และวิธีการแกไขเพิม่ เตมิ ลบ หรอื ทําใหทนั สมัยซง่ึ ขอมูลใดๆ ในขอ มลู ทะเบียนประวตั ิราษฎร และการอทุ ธรณใ หกําหนดในกฎกระทรวง มาตรา 17 ขอมูลทะเบยี นประวตั ิราษฎรตอ งถือเปนความลบั และใหนายทะเบียนเปน ผเู ก็บ รกั ษาและใชเพื่อการปฏบิ ตั ิตามท่ีไดบ ัญญัติไวใ นพระราชบญั ญัตนิ ี้เทา นั้น หามมใิ หผ ูใ ดเปด เผยขอความ หรือตวั เลขนั้นแกบุคคลใด ๆ ซึง่ ไมมีหนาทีป่ ฏิบตั กิ ารตามพระราชบัญญัตนิ ้ี หรือแกสาธารณชน เวน แต ผมู สี วนไดเ สยี ขอทราบเก่ียวกบั สถานภาพทางครอบครวั ของผทู ี่ตนจะมนี ิตสิ ัมพนั ธดว ย หรอื เมื่อมคี วามจําเปน เพ่อื ประโยชนแกการสถติ ิ หรอื เพ่ือประโยชนแกการรกั ษาความมน่ั คงของรฐั หรอื การดาํ เนนิ คดีและการ พจิ ารณาคดีหรอื การปฏบิ ตั หิ นาท่ีตามกฎหมาย และไมวา ในกรณีใดจะนาํ ขอมลู ทะเบยี นประวตั ริ าษฎร ไปใชเ ปน หลักฐานท่ีอาจกอใหเกิดความเสยี หายแกเจาของขอมูลมิได มาตรา 18 เมอ่ื มคี นเกดิ ใหแ จง การเกิด ดงั ตอไปน้ี (1) คนเกิดในบาน ใหเ จาบา นหรอื บิดาหรือมารดาแจงตอนายทะเบียนผรู ับแจงแหงทองท่ี ทีค่ นเกิดในบา นภายในสบิ หา วันนับแตวนั เกดิ (2) คนเกิดนอกบา น ใหบิดาหรือมารดาแจงตอนายทะเบยี นผูร บั แจง แหงทองทท่ี ี่มีคนเกิด นอกบานหรือแหงทอ งที่ท่ีจะพงึ แจงได ภายในสิบหา วนั นบั แตว ันเกิด ในกรณีจําเปน ไมอ าจแจง ไดต าม กาํ หนด ใหแ จงภายหลงั ไดแ ตตองไมเ กนิ สามสบิ วนั นบั แตวันเกิด การแจง ตาม (1) และ (2) ใหแ จงตามแบบพมิ พที่ผูอํานวยการทะเบียนกลางกําหนด พรอมท้ัง แจง ช่ือคนเกิดดว ย ในกรณีจาํ เปน เพ่ือประโยชนใ นการอํานวยความสะดวกแกประชาชน การแจง ตามวรรคหน่ึง จะแจงตอนายทะเบียนผูรับแจงแหงทองที่อืน่ ก็ได ท้ังน้ี ตามหลักเกณฑและวธิ ีการทกี่ ําหนดในกฎกระทรวง มาตรา 19 ผูใดพบเดก็ ในสภาพแรกเกดิ หรือเดก็ ไรเดียงสาซึง่ ถูกทอดท้ิงใหนําตัวเดก็ ไปสง และแจง ตอพนักงานฝายปกครองหรอื ตาํ รวจ หรอื เจา หนา ทีข่ องกระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมน่ั คง ของมนษุ ยซ่งึ ปฏิบัติงานในทองท่ีที่พบเดก็ นั้นโดยเรว็ เมอื่ พนักงานฝา ยปกครองหรือตํารวจ หรือเจาหนาที่ ดังกลา วไดร บั ตัวเด็กไวแลว ใหบ ันทึกการรับตวั เด็กไว ในกรณที ี่พนักงานฝา ยปกครองหรือตํารวจรบั เดก็ ไว ใหนําตวั เด็ก พรอมบันทึกการรับตัวเด็กสงใหเจา หนา ทข่ี องกระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมน่ั คงของมนษุ ยใ นเขตทอ งท่ี ในกรณีทีเ่ จาหนา ทีด่ ังกลาวไดรับตัวเดก็ ไวหรือไดรับตวั เด็กจากพนกั งานฝายปกครองหรือตํารวจแลว ใหแ จงการเกดิ ตอ นายทะเบียนผรู บั แจงและใหน ายทะเบยี นออกใบรบั แจง ทั้งน้ี ตามระเบียบและแบบพมิ พทีผ่ อู ํานวยการ ทะเบยี นกลางกําหนด

- 63 - บันทึกการรับตวั เดก็ ตามวรรคหน่ึงใหทาํ เปนสองฉบบั และเกบ็ ไวท ี่เจา หนาทผ่ี ูรบั ตัวเดก็ หน่งึ ฉบับและสงมอบใหกับนายทะเบียนผูรับแจงหนึ่งฉบับ โดยใหม รี ายละเอียดเกีย่ วกับรายการบคุ คลของผทู ี่ พบเด็ก พฤติการณ สถานทแ่ี ละวนั เวลาทพี่ บเด็ก สภาพทางกายภาพโดยทวั่ ไปของเด็ก เอกสารที่ติดตัวมา กับเดก็ และประวัติของเดก็ เทาทท่ี ราบ และในกรณที ไ่ี มอาจทราบสัญชาตขิ องเดก็ ใหบ นั ทึกขอ เทจ็ จรงิ ดงั กลา วไวดว ย มาตรา 19/1 เด็กเรร อนหรือเด็กที่ไมปรากฏบุพการีหรือบุพการีทอดทิง้ ซึง่ อยูในการอปุ การะ ของหนว ยงานของรัฐหรือหนวยงานเอกชนทจ่ี ดทะเบยี นตามกฎหมายโดยมวี ตั ถปุ ระสงคเพ่ือการสงเคราะห ชว ยเหลือเด็กตามท่ีรฐั มนตรปี ระกาศกําหนด ถา เด็กยงั ไมไ ดแจง การเกดิ และไมมรี ายการบุคคลในทะเบยี นบา นให หวั หนาหนวยงานหรอื ผูทไ่ี ดร ับมอบหมายจากหวั หนา หนว ยงานเปนผูแจงการเกดิ ตอนายทะเบียนผูร บั แจง แหงทอ งทที่ หี่ นวยงานน้ันต้ังอยู และใหนายทะเบียนออกใบรับแจง ทัง้ นี้ ตามระเบียบและแบบพิมพท ี่ ผูอํานวยการทะเบียนกลางกําหนด มาตรา 19/2 การพสิ จู นส ถานะการเกดิ และสัญชาตขิ องเดก็ ตามมาตรา 19 และมาตรา 19/1 ใหเปน ไปตามหลักเกณฑและวธิ กี ารทกี่ าํ หนดในกฎกระทรวง ในกรณีที่ไมอาจพิสูจนส ถานะการเกิดและ สัญชาตไิ ด ใหนายทะเบียนอําเภอหรอื นายทะเบยี นทองถิน่ จัดทําทะเบยี นประวัตแิ ละออกเอกสารแสดงตน ใหเดก็ ไวเปน หลกั ฐาน ตามระเบยี บที่ผอู ํานวยการทะเบียนกลางกําหนด มาตรา 19/3 ผูมสี ัญชาติไทยซ่ึงเจาบานหรือบิดามารดามไิ ดแ จง การเกดิ ใหตามมาตรา 18 อาจรองขอตอ นายทะเบียนผรู ับแจง เพ่ือแจง การเกิดไดตามระเบียบทผี่ ูอาํ นวยการทะเบียนกลางกาํ หนด และใหน าํ ความในมาตรา 19/2 มาใชบ ังคบั โดยอนโุ ลม ในกรณีทบี่ คุ คลตามวรรคหนึ่งยังไมบ รรลุนติ ภิ าวะ ใหบดิ ามารดาหรือผปู กครองแจง แทนได แตส าํ หรบั กรณขี องบิดามารดาใหน ายทะเบียนผรู บั แจงดาํ เนนิ การใหตอเมื่อไดชําระคาปรบั ตามทีน่ ายทะเบยี น อาํ เภอหรือนายทะเบียนทองถ่ินเปรยี บเทียบตามมาตรา 47 (2) และมาตรา 51 แลว มาตรา 20 เมอ่ื มกี ารแจง การเกดิ ตามมาตรา 18 มาตรา 19 มาตรา 19/1 หรอื มาตรา 19/3 ทง้ั กรณีของเด็กท่ีมีสญั ชาติไทยหรอื เด็กที่ไมไดส ัญชาติไทยโดยการเกดิ ตามกฎหมายวา ดว ยสญั ชาติ ใหน ายทะเบยี น ผูร บั แจงรบั แจงการเกิดและออกสตู บิ ัตรเปน หลักฐานแกผ แู จง โดยมีขอ เท็จจริงเทาที่สามารถจะทราบได สําหรับการแจง การเกดิ ของเด็กทไ่ี มไดส ญั ชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายวาดว ยสัญชาติ ใหน ายทะเบยี นผรู บั แจง ออกสตู ิบัตรใหต ามแบบพมิ พท ผ่ี ูอํานวยการทะเบียนกลางกาํ หนด โดยใหระบุ สถานะการเกิดไวด ว ย มาตรา 21 เมือ่ มีคนตายใหแจงการตาย ดังตอไปน้ี (1) คนตายในบาน ใหเ จา บา นแจง ตอนายทะเบยี นผรู บั แจงแหง ทองท่ีทีม่ ีคนตายภายในยีส่ ิบส่ี ชัว่ โมง นบั แตเ วลาตาย ในกรณีไมมเี จา บา น ใหผ พู บศพแจงภายในย่สี บิ สชี่ ั่วโมงนบั แตเวลาพบศพ (2) คนตายนอกบาน ใหบคุ คลท่ีไปกับผตู ายหรือผูพบศพแจง ตอนายทะเบยี นผูรบั แจงแหง ทอ งท่ีทม่ี ีการตายหรือพบศพ แลว แตกรณี หรอื แหงทองท่ีท่ีจะพึงแจงไดภายในยส่ี ิบสช่ี ่ัวโมงนับแตเวลาตาย หรอื เวลาพบศพ ในกรณเี ชน น้จี ะแจงตอพนักงานฝายปกครองหรือตํารวจก็ได

- 64 - กําหนดเวลาใหแ จงตาม (1) และ (2) ถา ในทอ งทใี่ ดการคมนาคมไมส ะดวกผูอํานวยการ ทะเบยี นกลางอาจขยายเวลาออกไปตามท่ีเหน็ สมควร แตตองไมเกินเจ็ดวันนับแตเวลาตายหรือเวลาพบศพ การแจงตาม (1) และ (2) ใหแ จงตามแบบพมิ พท่ผี อู าํ นวยการทะเบียนกลางกาํ หนด พรอ ม ทงั้ แจง ชื่อผแู จง ดวย ใหนาํ ความในวรรคสามของมาตรา 18 มาใชบังคับกบั การแจง ตามวรรคหนึ่งดวยโดยอนโุ ลม มาตรา 22 เมอ่ื มกี ารแจง ตามมาตรา 21 ใหน ายทะเบียนผรู บั แจง ออกมรณบัตรเปน หลักฐาน ใหแกผ ูแ จง เวน แตเ ปน กรณีตามมาตรา 25 มาตรา 24 หา มมใิ หผใู ดเก็บ ฝง เผา ทําลาย หรอื ยายศพไปจากสถานทีห่ รือบา นที่มีการตาย เวนแตไ ดรบั อนุญาตจากนายทะเบียนผรู บั แจง เมือ่ ไดรับอนญุ าตตามวรรคหนึ่งแลว หา มมิใหเ ก็บ ฝง เผา ทาํ ลายหรอื ยา ยศพผดิ ไปจากสถานท่ีท่ี ระบุไวในใบอนุญาตนน้ั เวนแตจะไดร ับอนุญาตจากนายทะเบียนผรู ับแจง ในกรณที มี่ คี วามจําเปน ตองยายศพ เพ่ือความปลอดภยั หรือสวสั ดภิ าพของประชาชน ให พนักงานฝา ยปกครองหรือตาํ รวจมีอาํ นาจกระทาํ ได มาตรา 25 ถา มีเหตอุ นั ควรสงสัยวา คนตายดวยโรคตดิ ตอ อนั ตรายหรอื ตายโดยผดิ ธรรมชาติ ใหนายทะเบยี นผรู บั แจง รบี แจงตอเจาพนกั งานผูมีหนา ท่ีตามกฎหมายวา ดว ยโรคติดตอ อันตรายหรอื พนกั งานฝา ยปกครองหรือตํารวจ และใหรอการออกมรณบัตรไวกอนจนกวาจะไดร บั ความเหน็ ชอบจาก เจา พนกั งานดังกลาว มาตรา 26 ใหนายทะเบยี นอําเภอ นายทะเบียนทอ งถ่นิ แลวแตก รณี จัดทําทะเบยี นคนเกดิ ทะเบยี นคนตาย จากสูติบตั รและมรณบัตรตามแบบพิมพแ ละวิธกี ารที่ผอู าํ นวยการทะเบียนกลางกาํ หนด มาตรา 30 ใหเ จาบานแจงการยายทอี่ ยูตอ นายทะเบยี นผูรบั แจง ดงั ตอไปน้ี (1) เมือ่ ผูอยใู นบานยายทอ่ี ยูออกจากบาน ใหแจงการยา ยออกภายในสบิ หาวันนับแตวันทผี่ ู อยใู นบา นยา ยออก (2) เม่ือมผี ูยายที่อยเู ขา อยูใ นบา น ใหแจง การยายเขา ภายในสบิ หา วัน นบั แตวันท่ียายเขาอยู ในบา น นอกจากกรณีตาม (1) และ (2) ผยู ายทอี่ ยจู ะเปนผแู จงการยา ยออกและยา ยเขา โดยไปแจง ตอ นายทะเบียนผรู ับแจง แหงทอ งที่ท่ีไปอยใู หมภายในสบิ หาวันนบั แตวนั ยายออกก็ได โดยใหนําสําเนา ทะเบียนบานพรอ มดว ยคาํ ยนิ ยอมเปนหนังสือของเจาบา นท่ีเขาไปอยใู หมแสดงตอนายทะเบยี นผูร ับแจง และเสียคา ธรรมเนยี มตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง การแจงยายตามมาตรานี้ ใหแจงตามแบบพมิ พใบแจง ยา ยทีอ่ ยูทผ่ี อู าํ นวยการทะเบียนกลาง กาํ หนด ใหน ําความในวรรคสามของมาตรา 18 มาใชบ ังคบั กบั การแจง ตามวรรคหนง่ึ ดวยโดยอนโุ ลม

- 65 - มาตรา 31 ในการแจง การยา ยทอี่ ยูเขา ในบานใด ถา นายทะเบียนผรู ับแจงเห็นวา มผี ยู า ยเขา อยเู ปน จํานวนมาก ไมว า จะเปนคราวเดยี วหรอื หลายคราว และเมื่อไดต รวจสภาพบานแลวเห็นวา การยาย เขาอยใู นบานจะเปนการฝา ฝนกฎหมายวาดวยสาธารณสขุ นายทะเบยี นผูร บั แจงมอี าํ นาจไมร ับแจง การยายเขา อยูในบา นได มาตรา 32 การแจงยา ยผูใดเขาอยูในบา นตามมาตรา 30(2) เจา บานตอ งนําหลกั ฐานการ ยายออกของผูนนั้ ตามมาตรา 30(1) ไปแสดงตอนายทะเบียนผรู ับแจง ดว ย ทัง้ นม้ี ิใหนาํ ความในมาตราน้ี มาใชแกกรณดี ําเนินการยา ยตามมาตรา 30 วรรคสอง และกรณผี ูย ายเขามาจากตา งประเทศโดยมหี ลักฐาน มาตรา 33 เมื่อผอู ยใู นบานใดออกจากบานที่ตนมีช่ืออยูในทะเบียนบา นไปอยูท่ีอนื่ เกินหนง่ึ รอยแปดสิบวนั และเจาบานไมทราบวาผนู นั้ ไปอยทู ีใ่ ด ใหเจาบานแจงการยา ยออกตอนายทะเบียนผรู บั แจงภายในสามสิบวนั นับแตว ันครบหนงึ่ รอ ยแปดสบิ วนั โดยระบุวา ไมท ราบท่ีอยู และใหนายทะเบียนผรู บั แจงเพมิ่ ช่ือและรายการผูน้ันในทะเบียนบา นกลาง มาตรา 34 ใหทุกบานมีเลขประจําบาน บา นใดยงั ไมมเี ลขประจําบาน ใหเจา บา นแจง ตอ นายทะเบยี นผูรับแจง เพ่ือขอเลขประจําบา นภายในสิบหาวันนับแตวันสรา งบานเสรจ็ ใหน ายทะเบียนผูร ับแจง กาํ หนดเลขประจําบา นใหแกผูแจงซึ่งมีบานอยูในเขตสํานักทะเบยี น ทอ งถน่ิ ภายในเจ็ดวัน ถามบี า นอยูนอกเขตสํานักทะเบยี นทองถ่ินใหกําหนดเลขประจําบานภายในสามสิบวนั ใหเจา บา นตดิ เลขประจาํ บา นไวในที่ซึ่งเห็นไดชัดแจง ผูอ ํานวยการทะเบียนกลางจะกาํ หนดใหมีทะเบยี นบานชวั่ คราวตามระเบยี บ เพ่ือประโยชน แกการตรวจสอบทางทะเบยี นกไ็ ด มาตรา 36 ใหน ายทะเบยี นอําเภอหรือนายทะเบยี นทอ งถ่ินจัดทาํ ทะเบยี นบานไวท กุ บาน สาํ หรบั ผูมีสัญชาติไทยและคนซ่ึงไมมสี ญั ชาตไิ ทยแตมีถนิ่ ท่ีอยใู นราชอาณาจักร การจัดทําทะเบียนบานใหเปน ไปตามระเบยี บท่ีผอู ํานวยการทะเบยี นกลางกาํ หนด มาตรา 38 ใหน ายทะเบยี นอําเภอหรือนายทะเบียนทองถิน่ จดั ทําทะเบยี นบานสําหรบั คน ซง่ึ ไมมสี ัญชาตไิ ทยที่ไดร ับอนุญาตใหอาศัยอยูในราชอาณาจกั รเปนการชวั่ คราว และคนซึง่ ไมมสี ญั ชาติไทย ท่ไี ดรับการผอ นผันใหอาศยั อยใู นราชอาณาจักรเปนกรณพี ิเศษเฉพาะรายตามกฎหมายวา ดวยคนเขา เมือง ตามที่รฐั มนตรปี ระกาศกาํ หนด และบตุ รของบุคคลดงั กลา วทีเ่ กิดในราชอาณาจักร ในกรณีผูม รี ายการใน ทะเบยี นบานพนจากการไดร ับอนุญาตหรือผอนผนั ใหอาศัยอยใู นราชอาณาจกั ร ใหน ายทะเบียนจาํ หนาย รายการทะเบยี นของผูน ้นั โดยเร็ว ใหผ อู าํ นวยการทะเบยี นกลางจัดใหมีทะเบียนประวตั สิ ําหรับคนซ่ึงไมมีสัญชาติไทยอน่ื นอกจากท่ี บัญญัติไวตามวรรคหนึ่งตามที่รฐั มนตรปี ระกาศกาํ หนด รายการและการบันทึกรายการตามวรรคหน่ึงและวรรคสอง ใหเปน ไปตามระเบียบท่ผี ูอํานวยการ ทะเบยี นกลางกาํ หนด

- 66 - มาตรา 39 ใหน ายทะเบยี นอาํ เภอ และนายทะเบยี นทอ งถิน่ มอบสาํ เนาทะเบยี นบานใหเ จา บา น เกบ็ รักษา เมือ่ มีการเพิ่ม เปลี่ยนแปลง หรือจาํ หนา ยรายการในทะเบียนบา นใหเ จา บา นนําสําเนาทะเบยี น บา นไปใหน ายทะเบียนบนั ทกึ รายการใหถ ูกตอ งตรงกบั ตนฉบบั ทุกคร้งั ถาสาํ เนาทะเบียนบานชํารดุ จนใชการไมไดหรือสูญหาย ใหเจา บานขอรับสําเนาทะเบยี นบา น ใหมไ ด และเสยี คาธรรมเนยี มตามทก่ี ําหนดในกฎกระทรวง เม่ือผอู าํ นวยการทะเบยี นกลางเห็นวา ไมมคี วามจําเปน ตอ งมีสําเนาทะเบียนบานตอ ไปในเขต สํานกั ทะเบียนใด ใหผ อู าํ นวยการทะเบยี นกลางมีอาํ นาจยกเลิกการใชส าํ เนาทะเบยี นบา นในเขตสํานกั ทะเบียนน้ัน โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา 41 ผใู ดร้อื บานท่มี เี ลขประจําบานโดยไมประสงคจะปลูกบานใหมในท่ดี ินบริเวณนนั้ อีกตอไปหรือรือ้ เพ่ือไปปลูกสรางบานในท่ีอนื่ ใหแจงการรอื้ บานตอนายทะเบยี นผรู ับแจง ภายในสบิ หาวัน นับแตวนั ทีร่ อ้ื บา นเสร็จเพ่อื จาํ หนา ยเลขประจําบา นและทะเบยี นบา น บานทีร่ อ้ื ถอนโดยไมแจงตอนายทะเบียนผรู ับแจงตามวรรคหนงึ่ ใหนายทะเบียนจาํ หนา ยเลข ประจําบา นและทะเบยี นบา นและแจง ยายผูม รี ายชื่ออยูในทะเบียนบานนั้นไปไวใ นทะเบียนบานกลางตาม ระเบยี บทผ่ี ูอํานวยการทะเบยี นกลางกาํ หนด มาตรา 42 การยา ยบานซึ่งเคล่ือนยายได หรือการยายแพหรือเรือหรือยานพาหนะอ่ืนซึ่งใช เปน ทีอ่ ยูประจาํ ไปอยูหรอื จอด ณ ที่อ่ืน ถา อยหู รือจอดเกนิ หน่ึงรอ ยแปดสบิ วัน เจา บา นตองแจงการยาย ออกและยา ยเขาตอนายทะเบียนผูรับแจง แหง ทองทท่ี ่ีไปอยูหรอื จอดใหมภายในสิบหาวนั นบั แตว นั ครบ กําหนดหนง่ึ รอ ยแปดสบิ วัน มาตรา 44 เมือ่ ไดตราพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 43 แลว ใหนายทะเบยี นหรือผูซงึ่ นายทะเบียน มอบหมายเปน หนังสอื มีอาํ นาจเขา ไปในบานในเขตทอ งทที่ ่ีพระราชกฤษฎกี ากําหนดเพ่อื สาํ รวจตรวจสอบ ทะเบยี นราษฎรเทาทจ่ี าํ เปนในระหวา งเวลาพระอาทิตยขึ้นและพระอาทิตยต ก ใหเ จาบานช้แี จงตอบคําถามตามความจรงิ และใหล งลายมือชื่อในรายการสํารวจตรวจสอบ เพื่อรับรองขอความในรายการที่สาํ รวจตรวจสอบนน้ั ในการปฏบิ ัติหนาที่ตามวรรคหน่ึง ใหน ายทะเบยี นแสดงบัตรประจําตวั ขาราชการหรือพนกั งาน ของรฐั หรอื บัตรประจาํ ตัวประชาชน พรอมดว ยหนังสอื หลกั ฐานแหงการเปน พนักงานเจา หนาที่แกเจาบาน กอนเขา ไปสํารวจตรวจสอบ สรปุ ประเด็นท่นี ายอาํ เภอมอี ํานาจหนาท่ี นายอําเภอหรือปลดั อําเภอผูเปนหัวหนาประจาํ กง่ิ อาํ เภอแลวแตกรณี เปน นายทะเบียนอาํ เภอ และใหมีอํานาจแตงตง้ั ผชู ว ยนายทะเบียนอําเภอ

- 67 - (8) พระราชบญั ญตั กิ ารเนรเทศ พ.ศ. 2499 มาตราทเ่ี กี่ยวขอ ง มาตรา 5 เม่ือปรากฏวา มีความจาํ เปน เพ่อื ความสงบเรียบรอยหรอื ศลี ธรรมอันดขี องประชาชน ใหรัฐมนตรีมอี าํ นาจออกคาํ สง่ั ใหเ นรเทศคนตางดา วออกไปนอกราชอาณาจกั รมีกําหนดเวลาตามท่ีจะเหน็ สมควร อนง่ึ เมือ่ พฤติการณเปล่ยี นแปลงไป รัฐมนตรจี ะเพิกถอนคําสั่งเนรเทศเสียก็ได ความในวรรคแรกมิใหใ ชบงั คบั แกผทู ่เี คยไดสญั ชาตไิ ทยโดยการเกิด มาตรา 6 เม่อื ไดออกคาํ สง่ั ใหเ นรเทศผูใดแลว ใหร ฐั มนตรหี รอื เจาพนักงานซึ่งรฐั มนตรมี อบหมาย ส่งั ใหจ บั กุมและควบคุมผนู ั้นไวในที่แหงใดแหงหน่ึงจนกวา จะไดจ ดั การใหเปน ไปตามคําสงั่ เนรเทศ ในขณะท่ดี าํ เนินการขอรับคาํ ส่งั รัฐมนตรเี พื่อเนรเทศผูใ ด พนักงานฝายปกครองหรอื ตาํ รวจ ชน้ั ผใู หญจ ะจบั กุมและควบคุมผูนนั้ ไวก อ นกไ็ ด ในกรณีเชนวาน้ใี หนาํ บทบัญญตั ิแหงประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา วาดว ยการจับกมุ และควบคมุ มาใชบ ังคับโดยอนุโลม ในระหวา งทผี่ ถู ูกส่ังเนรเทศถกู ควบคมุ เพื่อรอการเนรเทศเน่ืองจากยังไมส ามารถสง ตัวผถู ูกส่ัง เนรเทศออกไปนอกราชอาณาจกั รได หากผถู กู สง่ั เนรเทศน้ันรองขอ ใหร ฐั มนตรีมอี าํ นาจสั่งผอ นผนั ใหส ง ไป ประกอบอาชพี ณ ทแ่ี หง ใด แทนการควบคมุ เพอ่ื รอการเนรเทศตามทเ่ี หน็ สมควรได ทง้ั น้ี โดยใหผ ูถูกสัง่ เนรเทศน้นั มปี ระกนั หรอื มที ัง้ ประกนั และหลักประกัน หรือทําทณั ฑบ นไว และใหบ คุ คลดังกลา วมารายงานตน ณ สถานที่ และตามระยะเวลาทร่ี ฐั มนตรกี าํ หนดแตร ะยะเวลาท่ีกาํ หนดใหร ายงานตนตองไมหา งกันเกนิ หกเดอื นตอคร้ัง สรปุ ประเด็นที่นายอาํ เภอมอี ํานาจหนา ท่ี นายอําเภอในฐานะพนักงานฝา ยปกครองหรือตํารวจชนั้ ผูใหญมีอํานาจจับกุมผูท่ีจะถูกเนรเทศ ในขณะท่ีดาํ เนนิ การขอรับคําส่งั รัฐมนตรีเพอื่ เนรเทศผนู ้นั ไวไ ด ตามมาตรา 6 แหงพระราชบัญญตั กิ ารเนรเทศ พ.ศ. 2499 (9) พระราชบัญญัติการพนนั พุทธศกั ราช 2478 มาตราทเ่ี กี่ยวขอ ง มาตรา 4 หามมใิ หอ นุญาตจัดใหมี หรอื เขาเลน หรอื เขาพนนั ในการเลน อันระบุไวใ นบัญชี ก. ทายพระราชบัญญตั นิ ้ี หรอื การเลนซ่ึงมีลักษณะคลา ยกัน หรอื การเลน อนั รายแรงอน่ื ใด ซง่ึ รัฐมนตรีเจาหนา ที่ ไดออกกฎกระทรวงระบเุ พ่ิมเตมิ หา มไว แตเมือ่ รฐั บาลพจิ ารณาเหน็ วา ณ สถานท่ีใดสมควรจะอนญุ าต ภายใตบ งั คับเงื่อนไขใด ๆ ใหมีการเลน ชนดิ ใดก็อนุญาตไดโดยออกพระราชกฤษฎกี า การเลนอันระบไุ วในบัญชี ข. ทายพระราชบัญญัตนิ ี้ หรือการเลน ซึง่ มลี ักษณะคลายกนั หรือ การเลนอืน่ ใดซึ่งรัฐมนตรีเจาหนาทีไ่ ดออกกฎกระทรวงระบุเพิ่มเติมไว จะจัดใหมีขึ้นเพือ่ เปนทางนํามา

- 68 - ซึ่งผลประโยชนแกผ จู ัดโดยทางตรงหรือทางออมไดตอเมื่อรัฐมนตรีเจาหนา ทห่ี รือเจา พนักงานผอู อกใบอนุญาต เหน็ สมควรและออกใบอนุญาตให หรือมกี ฎกระทรวงอนญุ าตใหจ ดั ข้ึนโดยไมตองมีใบอนุญาต ในการเลนอันระบุไวในวรรค ๒ ขา งตนนน้ั จะพนนั กันไดเ ฉพาะเมอ่ื ไดมีใบอนุญาตใหจดั มขี ึ้น หรือมกี ฎกระทรวงอนญุ าตใหจัดขึ้นไดโดยไมต องมีใบอนุญาต การเลน หมายเลข ๕ ถงึ ๑๕ ในบญั ชี ข. หรอื การเลนซงึ่ มีลักษณะคลายกัน หรือการเลนอนื่ ใด ซง่ึ รฐั มนตรเี จา หนา ท่ีไดออกกฎกระทรวงระบุเพิม่ เตมิ ไวน้นั จะใหร างวัลตีราคาเปน เงินไมไ ด และหา มมิให ผูใ ดรบั รางวัลท่ีใหไปแลวกลับคนื หรือรบั ซอื้ หรือแลกเปลย่ี นรางวลั นน้ั ในสถานงานหรือการเลน หรือบรเิ วณ ตอ เนื่องในระหวางมีงานหรือการเลน มาตรา 8 การจัดใหม ีการแถมพกหรือรางวัลดวยการเสี่ยงโชค โดยวธิ ีใดๆ ในการประกอบ กจิ การคาหรืออาชพี จะตอ งไดร บั อนุญาตจากเจา พนักงานผอู อกใบอนุญาตกอนจึงจะทําได มาตรา 9 สลากกนิ แบง สลากกินรวบ และสวีป หรอื การเลน อยางใดท่ีเสยี่ งโชคใหเ งนิ หรอื ประโยชนอยา งอน่ื แกผ เู ลน คนหนึ่งคนใดนนั้ ตอ งสง สลากใหเจา พนักงานผูอ อกใบอนญุ าตประทับตรา เสียกอ น จงึ นําออกจําหนายได ถา ยังมิไดรับอนุญาตใหมกี ารเลนท่กี ลาวไวในวรรคกอน หา มมใิ หป ระกาศโฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรอื ทางออมใหบ ุคคลใด ๆ เขารวมในการเลน นัน้ มาตรา 11 เจา พนกั งานผูออกใบอนุญาตมสี ทิ ธจิ ะเรยี กใบอนญุ าตคืนเมื่อมีเหตุสมควรเช่อื วา ผรู บั ใบอนญุ าตกระทาํ การละเมิดพระราชบญั ญัติน้ี หรอื กฎกระทรวง หรือใบอนุญาตซงึ่ ออกตามพระราชบญั ญัติน้ี กฎหมายลาํ ดับรองท่เี กย่ี วของ 1. กฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 แกไ ขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 44 (พ.ศ. 2548) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิ การพนนั พทุ ธศักราช 2478 ขอ 4 ใหผ ดู ํารงตาํ แหนง ตอไปน้ีเปนเจา พนกั งานผอู อกใบอนุญาตเลนการพนันตามบญั ชี ข. ทายพระราชบญั ญัติ และใบอนญุ าตจัดใหม ีการแถมพกหรอื รางวลั ดว ยการเสีย่ งโชคโดยวธิ ีใดๆ ในการ ประกอบกิจการคา หรืออาชีพตามมาตรา 8 (1) ผูอํานวยการสาํ นักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง สําหรับกรงุ เทพมหานคร (2) นายอาํ เภอ หรอื ปลดั อําเภอผเู ปน หัวหนา ประจํากง่ิ อําเภอแหง ทองที่ สาํ หรบั จงั หวดั อื่น นอกจากกรงุ เทพมหานคร ขอ 14 เจาพนักงานผอู อกใบอนญุ าตอาจผอนผันการอนุญาตใหผ ิดไปจากลักษณะขอจํากัด หรอื เงื่อนไขทก่ี าํ หนดไวหลงั ใบอนุญาตได แตเฉพาะเมื่อไดรับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยแลว

- 69 - ขอ 15 ผใู ดประสงคจ ะจดั ใหม กี ารเลน การพนนั ตามบญั ชี ข. หรอื การจดั ใหมกี ารแถมพกหรอื รางวลั ดว ยการเสยี่ งโชคโดยวธิ ีใดๆ ในการประกอบกิจการคาหรืออาชีพตามมาตรา 8 ใหท ําคําขอตาม แบบทายกฎกระทรวงน้ยี ืน่ ตอเจาพนกั งานผูอ อกใบอนุญาตประจําทองทดี่ งั นี้ (1) ในกรุงเทพมหานคร ใหยื่นท่ีกรมการปกครอง (2) ในจงั หวดั อ่นื นอกจากกรงุ เทพมหานคร ใหยน่ื ทที่ ่ที ําการปกครองอําเภอหรือท่ีทําการปกครอง ก่งิ อาํ เภอ 2. ระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วาดวยการพนันชนไกและกดั ปลา พ.ศ. 2552 ขอ 5 ในระเบียบนี้ “เจา พนกั งานผอู อกใบอนญุ าต” หมายความวา ผอู ํานวยการสํานักการสอบสวนและนติ ิการ กรมการปกครอง สาํ หรบั กรงุ เทพมหานคร และนายอาํ เภอ หรอื ปลดั อาํ เภอผูเ ปนหวั หนา ประจาํ กง่ิ อําเภอแหง ทองท่สี าํ หรบั จงั หวัดอ่นื นอกจากกรงุ เทพมหานคร “ผมู ีอาํ นาจสั่งอนุมตั ”ิ หมายความวา อธบิ ดกี รมการปกครอง สาํ หรับกรงุ เทพมหานครและผูวา ราชการจังหวดั สําหรับจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ขอ 7 กอ นจะกอสรา ง หรือดัดแปลงอาคารเปน สถานท่เี ลนการพนันชนไกขน้ึ ใหมใหผ ูขออนญุ าต ใชสถานที่เลนการพนนั ชนไกย ืน่ คาํ รอ งขออนญุ าตพรอมหลักฐาน ดงั ตอไปนต้ี อ เจา พนักงานผูออกใบอนุญาตเพ่อื เสนอตอ ผมู ีอาํ นาจสั่งอนมุ ตั ิพิจารณา (1) สําเนาทะเบียนบานของผูขออนญุ าต ขอ 10 เมื่อกอสรา งสถานทีเ่ ลนการพนนั ชนไก หรือกัดปลาตามกฎหมายวาดวยการควบคุม อาคารหรือดัดแปลงอาคารเปนสถานทเ่ี ลนการพนนั ชนไกห รอื กดั ปลาแลวเสร็จ หรือกรณีการขออนุญาต ใชสถานที่เลน การพนนั ดงั กลาวเปน สถานทท่ี ี่มีอยูกอนหรอื เคยไดรบั อนญุ าตมากอนแลว ใหผ ขู ออนุญาต แจงเปน หนงั สอื ใหเจาพนักงานผูออกใบอนุญาตเพื่อเสนอใหผมู ีอาํ นาจสงั่ อนุมตั พิ ิจารณาออกหนงั สืออนุญาต ใหใ ชส ถานท่ีดังกลา วเปน สถานทเ่ี ลน การพนันชนไกห รือกัดปลาตอไป โดยใหคณะกรรมการที่ต้งั ข้ึนตามขอ ๘ ไปตรวจสอบสถานที่กอนเสนอผมู อี ํานาจสั่งอนุมัติ ขอ 11 หนังสืออนุญาตใหใชสถานทเ่ี ลน การพนันชนไกหรือกดั ปลาใหมีอายุไมเกินหน่ึงป นับตงั้ แตวันออกหนงั สืออนุญาต แตห ากจะขอตอ อายุการใชสถานทีเ่ ลน การพนันดังกลา วใหย ื่นคาํ รอ งขอ ตอเจา พนักงานผูออกใบอนญุ าตกอ นครบกําหนดการอนุญาตเดิมไมนอยกวาสามสิบวนั เพื่อเสนอใหผ ูมี อาํ นาจส่ังอนุมตั ิพจิ ารณาตอไป ขอ 12 ผูข ออนุญาตจดั ใหมีการเลน การพนันชนไกหรอื กดั ปลาจะตอ งเปน ผูไดร บั อนุญาตใหใ ช สถานที่เลน การพนันชนไกห รือกดั ปลา โดยจะตอ งยน่ื คาํ รองขออนุญาตตามแบบ พ.น. ๑ พรอ มเอกสาร หลกั ฐานประกอบดวยสําเนาหนงั สอื อนญุ าตใหใ ชสถานท่ีเลน การพนันดังกลาว สาํ เนาบตั รประจาํ ตวั ประชาชน และสําเนาทะเบยี นบานของผูขออนญุ าต ตอ เจาพนักงานผูออกใบอนญุ าตเพ่อื เสนอใหผ ูมอี ํานาจสงั่ อนุมตั ิ พิจารณาเดือนละคร้งั เมอ่ื ไดร ับอนมุ ตั แิ ลวเจา พนกั งานผูออกใบอนุญาตจงึ จะออกใบอนุญาตได

- 70 - ขอ 15 ใหเ จา พนกั งานผอู อกใบอนุญาตทําความตกลงกับผูจัดใหมีการเลน การพนนั ชนไกเพ่ือ กาํ หนดเวลาการชนไกใ นแตล ะยก (อนั ) ใหเ ปนมาตรฐาน ทั้งนี้ ตองไมเ กินยี่สิบนาทตี อหนง่ึ ยก (อนั ) รวมแลว ไมเกนิ แปดยก และใหพักระหวางยกไมน อยกวา ย่ีสิบนาที สรุปประเดน็ ทีน่ ายอําเภอมีอํานาจหนาท่ี 1. นายอาํ เภอเปน เจา พนกั งานผอู อกใบอนญุ าตเลน การพนนั ตามบญั ชี ข. ทา ยพระราชบัญญัติ การพนนั พทุ ธศักราช 2478 และใบอนุญาตจดั ใหมกี ารแถมพกหรือรางวลั ดว ยการเสย่ี งโชคโดยวิธใี ดๆ ในการประกอบกจิ การคา หรืออาชพี ตามมาตรา 8 ในเขตอําเภอของตน โดยผใู ดประสงคจ ะจัดใหม กี ารเลน การพนนั ตามบญั ชี ข. หรือการจัดใหมีการแถมพกหรอื รางวัลดว ยการเสีย่ งโชคโดยวิธีใดๆ ในการประกอบ กจิ การคาหรืออาชีพตามมาตรา 8 ใหท ําคําขอตามแบบทายกฎกระทรวงน้ีย่นื ตอนายอาํ เภอทองที่ ณ ท่ีทําการ ปกครองอาํ เภอ 2. นายอาํ เภอเปน เจา พนกั งานผอู อกใบอนญุ าตการพนนั ชนไกแ ละกดั ปลาในเขตอําเภอของตน ตามระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา ดว ยการพนันชนไกและกัดปลา พ.ศ. 2552 (10) พระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ. 2497 มาตราท่เี กย่ี วของ มาตรา 8 กองอาสารักษาดนิ แดนสวนภมู ภิ าค ประกอบดวยกองอาสารักษาดนิ แดนจงั หวัด และกองอาสารักษาดนิ แดนอําเภอ ตามชอื่ ทองท่ีที่ไดป ระกาศต้ังข้ึน มาตรา 9 ตําแหนง ผูบังคับบญั ชาและเจา หนาที่ ตลอดจนอาํ นาจการปกครองบงั คบั บญั ชารวมทง้ั การกาํ หนดอตั รากําลังของแตละหนว ยในกองอาสารักษาดินแดน ใหกําหนดโดยกฎกระทรวง มาตรา 18 ผูบังคับบัญชามอี ํานาจทจี่ ะส่ังใชก ําลังของกองอาสารักษาดนิ แดนใหทาํ การตาม อํานาจหนา ท่ีได ตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง กฎหมายลาํ ดับรองท่ีเก่ียวของ 1. กฎกระทรวงฉบับท่ี 2 (พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบญั ญัติกองอาสารักษา ดินแดน พ.ศ. 2497 ขอ 1 ใหม ีตาํ แหนงผูบังคับบญั ชา และเจา หนาท่กี องอาสารักษาดินแดนด่ังตอไปนี้ 1. ผูบัญชาการ ใชอกั ษรยอ วา ผ.บ.ช. 2. รองผูบัญชาการ ใชอกั ษรยอวา ร.ผ.ช. 3. ผชู วยผูบัญชาการ ใชอกั ษรยอ วา ช.ผ.ช.

- 71 - 4. ผูบ ัญชาการภาค ใชอกั ษรยอวา ผ.บ.ภ. 5. รองผบู ญั ชาการภาค ใชอ กั ษรยอวา ร.บ.ภ. 6. ผูบังคับการจังหวัด ใชอักษรยอวา ผ.ก.จ. 7 รองผบู งั คับการจงั หวัด ใชอ กั ษรยอวา ร.ก.จ. 8. ผูบ ังคับกองรอย ใชอ ักษรยอวา ผ.ก.ร. 9. รองผบู งั คบั กองรอ ย ใชอ ักษรยอวา ร.ก.ร. 10. ผูบงั คบั หมวด ใชอ ักษรยอวา ผ.บ.ม. 11. จา กองรอ ย ใชอกั ษรยอวา จ.ก.ร. 12. ผบู ังคบั หมู ใชอกั ษรยอวา ผ.บ.หมู ขอ 4 ใหน ายอําเภอเปน ผบู ังคับกองรอ ย เวนแตในทอ งที่อาํ เภอใดมอี ัตรากาํ ลงั สมาชกิ กองอาสา รกั ษาดินแดนมากกวา หนง่ึ กองรอยหรือไมถึงหนึ่งกองรอ ยใหผบู ังคบั การเปน ผแู ตงตงั้ บุคคลใดทเี่ หน็ สมควรเปน ผูบังคบั กองรอยนั้น และใหม ีอํานาจถอดถอนดวยผบู ังคับกองรอยเปนผปู กครองบังคับบัญชาเจา หนา ที่ และสมาชกิ กองอาสารักษาดินแดน ซึ่งสงั กัดอยูใ นกองรอยนน้ั ขอ 8 อัตรากําลังของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนใหกาํ หนดดังนี้ (1) กองรอ ย ใหม ีผบู ังคับกองรอยเปนผบู งั คับบัญชา รองผูบงั คับกองรอยเปนผชู ว ยกองรอ ย หน่ึงใหแบง ออกเปน สามหมวด และมีเจา หนา ที่ประจาํ กองรอยอีกตามสมควร (2) หมวด ใหมผี บู งั คับหมวดเปนผบู งั คบั บญั ชาหมวดหน่ึงแบง ออกเปน สี่หมูน อกจากน้ี อาจมผี ชู ว ยหรอื เจา หนา ท่ตี ามท่ีเห็นสมควร (3) หมู ใหม ีผบู งั คบั หมูเ ปน ผูบงั คับบญั ชา มีอัตรากาํ ลังและผูชว ยหรอื เจาหนาทต่ี ามที่ เห็นสมควร ขอ 9 การจัดตั้งกองรอย และการจัดระเบียบภายในกองรอยใหเปนไปตามระเบียบขอบังคับ ทผ่ี ูบัญชาการจะไดก ําหนดขน้ึ 2. กฎกระทรวงฉบบั ท่ี 7 (พ.ศ. 2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ. 2497 ขอ 1 ในกฎกระทรวงน้ี \"การสง่ั ใชก าํ ลงั ของกองอาสารกั ษาดนิ แดน\" หมายความวา การเรยี กรวมกาํ ลงั ของกองอาสารักษา ดินแดนเพื่อปฏบิ ัตหิ นา ที่ ไมวาจะใชอ าวธุ หรอื ไมกต็ าม ขอ 2 ผบู ังคับบัญชามอี ํานาจท่ีจะสั่งใชกําลังของกองอาสารกั ษาดินแดนได ดังน้ี (1) ผบู ัญชาการส่งั ใชกําลงั ของกองอาสารักษาดนิ แดนไดทวั่ ราชอาณาจักร (2) ผบู งั คบั การจังหวดั สง่ั ใชกําลังของกองอาสารกั ษาดนิ แดนไดภายในเขตพ้นื ท่ขี องจังหวดั (3) ผูบังคับกองรอ ยส่งั ใชกาํ ลังของกองอาสารักษาดนิ แดนไดภายในเขตพื้นทข่ี องอาํ เภอ

- 72 - ขอ 3 การส่ังใชก ําลงั ของกองอาสารักษาดนิ แดนเพื่อปฏบิ ัติการตามหนาที่โดยไมใ ชอาวุธ ผมู อี าํ นาจส่งั ใชไดเต็มตามอัตรากําลงั ที่มอี ยู ขอ 4 การสั่งใชกาํ ลังของกองอาสารกั ษาดินแดนเพ่ือปฏิบัตกิ ารตามหนา ท่โี ดยใชอ าวธุ หมายถงึ (1) กรณใี ชอาวุธในเขตพ้นื ที่ (2) กรณีใชอ าวุธนอกเขตพ้นื ที่ ขอ 5 การส่ังใชกาํ ลังของกองอาสารักษาดนิ แดนเพอ่ื ปฏบิ ัติการตามหนา ท่ีโดยใชอาวธุ ในเขต พ้ืนท่ีจะตอ งไดรับอนมุ ัตจิ ากผูบัญชาการกอน เม่ือไดร บั อนมุ ัตแิ ลวจงึ จะกระทําได เวนแต (1) ในกรณมี เี หตจุ าํ เปนและเรง ดวนทจี่ ะตองปฏบิ ัติหนา ทเี่ กี่ยวกับการปองกันการรุกราน ของขา ศึกจากภายนอกประเทศ ใหผ ูบังคับบญั ชาตามขอ ๒ ส่ังใชก าํ ลงั ของกองอาสารักษาดินแดนโดยใช อาวุธไดเตม็ ตามอัตรากําลังท่ีมีอยู (2) ในกรณมี ีความจาํ เปน ที่จะตอ งใชก าํ ลังปองกนั และปราบปรามผกู ระทาํ ผดิ กฎหมาย ใหผูบงั คับบัญชาตามขอ 2 (2) และ (3) สง่ั ใชก าํ ลงั ของกองอาสารกั ษาดนิ แดนโดยใชอ าวธุ ไดต ามความจาํ เปน รวมกับพนักงานฝา ยปกครองหรือตาํ รวจ เมื่อไดส่งั ใชกําลงั ตาม (1) และ (2) แลว ใหผสู ง่ั ใชกําลงั รายงานผบู ังคับบญั ชาตามลําดบั ช้ันจนถงึ ผูบัญชาการทราบ ขอ 7 การส่งั ใชกาํ ลังของกองอาสารักษาดินแดนเพื่อปฏิบัติการตามหนา ที่โดยใชอ าวธุ นอก เขตพืน้ ท่ี ใหผ บู งั คับบัญชาตามขอ 2 (2) และ (3) มีอํานาจกระทําไดในกรณีฉุกเฉินอยางยิง่ และมีความจําเปนเรง ดว น หรือเปนกรณีการตอสูในภาวะติดพันหรือผูบังคับบัญชาตามขอ (2) และ (3) ของเขตพืน้ ที่ขางเคยี งรองขอ โดยใหผ บู ังคบั บัญชาหรือผนู าํ หนวยแจง ผูรบั ผิดชอบพ้นื ท่ที ี่เขาไปปฏบิ ัตหิ นาทท่ี ราบในโอกาสแรกทจ่ี ะกระทําได และเมือ่ เสร็จภารกิจใหกลับพื้นทีท่ ันทีแลวรายงานใหผบู ังคับบัญชาตามลําดับชั้นจนถึงผูบญั ชาการทราบ สรุปประเด็นทีน่ ายอาํ เภอมอี ํานาจหนาท่ี 1. นายอําเภอเปนผูบงั คับกองรอย เวนแตในทองทอ่ี าํ เภอใดมอี ัตรากําลังสมาชกิ กองอาสา รักษาดนิ แดนมากกวา หนงึ่ กองรอยหรือไมถ ึงหนง่ึ กองรอยใหผ ูบ ังคบั การเปน ผแู ตงตั้งบุคคลใดทเ่ี หน็ สมควร เปน ผูบ งั คบั กองรอยนน้ั และใหมีอาํ นาจถอดถอนดว ย ผูบ ังคับกองรอ ยเปน ผูปกครองบังคับบัญชาเจาหนา ที่ และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ซง่ึ สังกดั อยใู นกองรอยนน้ั 2. นายอําเภอในฐานะผบู งั คับกองรอยมีอาํ นาจสั่งใชกําลังของกองอาสารักษาดินแดนได ภายในเขตพน้ื ทข่ี องอาํ เภอ โดยการสงั่ ใชกําลงั ของกองอาสารักษาดินแดนเพื่อปฏบิ ตั ิการตามหนาท่โี ดยไมใ ชอาวธุ ผบู งั คบั กองรอยส่ังใชไดเ ต็มตามอตั รากาํ ลังทม่ี ีอยู สวนการสง่ั ใชก ําลังของกองอาสารักษาดนิ แดนเพ่ือปฏบิ ัตกิ าร ตามหนาทีโ่ ดยใชอ าวธุ ในเขตพื้นทจี่ ะตองไดรับอนมุ ตั จิ ากผบู ญั ชาการกอน เมอ่ื ไดรบั อนุมัติแลว จึงจะกระทําได เวน แตใ นกรณีมเี หตจุ ําเปนและเรง ดว นทีจ่ ะตอ งปฏิบัติหนาทเ่ี ก่ียวกับการปอ งกันการรุกรานของขา ศึกจาก ภายนอกประเทศ ใหส ั่งใชก ําลงั ของกองอาสารักษาดินแดนโดยใชอาวุธไดเต็มตามอัตรากําลงั ท่มี อี ยู หรือ ในกรณีมีความจําเปนทจ่ี ะตองใชกาํ ลังปองกันและปราบปรามผกู ระทําผิดกฎหมาย ใหส งั่ ใชกําลงั ของกอง อาสารกั ษาดนิ แดนโดยใชอ าวธุ ไดต ามความจาํ เปน รว มกบั พนกั งานฝายปกครองหรอื ตาํ รวจ และเม่ือไดส ั่งใช

- 73 - กาํ ลังโดยใชอ าวธุ ในกรณีมีเหตจุ ําเปน และเรง ดว นแลว ใหผูบังคับกองรอยกําลงั รายงานผูบงั คบั บัญชา ตามลาํ ดับชั้นจนถงึ ผูบัญชาการทราบ 3. นายอาํ เภอในฐานะผบู ังคับกองรอยมีอํานาจสงั่ ใชก ําลังของกองอาสารักษาดินแดนเพื่อ ปฏบิ ัตกิ ารตามหนา ทโ่ี ดยใชอ าวธุ นอกเขตพ้ืนที่ ใหผูบงั คบั กองรอยมอี าํ นาจกระทาํ ไดในกรณีฉกุ เฉนิ อยางยง่ิ และ มคี วามจาํ เปนเรง ดว น หรือเปนกรณกี ารตอ สูในภาวะติดพนั หรอื ผูบงั คับกองรอ ยของเขตพนื้ ที่ขางเคียงรองขอ โดยใหผ ูบ งั คบั กองรอ ยหรือผนู าํ หนวยแจง ผรู บั ผิดชอบพืน้ ทท่ี ่ีเขาไปปฏบิ ัติหนาทท่ี ราบในโอกาสแรกทีจ่ ะกระทาํ ได และเม่อื เสรจ็ ภารกจิ ใหกลบั พื้นที่ทันทแี ลวรายงานใหผ บู งั คบั บญั ชาตามลําดับชน้ั จนถึงผูบ ัญชาการทราบ (11) พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ การโฆษณาโดยใชเครือ่ งขยายเสยี ง พ.ศ. 2493 มาตราทเี่ กยี่ วของ มาตรา 4 ผทู ่ีจะทําการโฆษณาโดยใชเ คร่ืองขยายเสียงดว ยกําลงั ไฟฟา จะตองขอรับอนุญาต ตอ พนักงานเจาหนา ท่กี อน เมอื่ ไดร บั อนญุ าตแลว จึงทาํ การโฆษณาได ใหพนักงานเจาหนา ท่ีออกใบอนุญาตใหแกผ ูขอรับอนุญาต และใหมีอาํ นาจกาํ หนดเงื่อนไข ลงในใบอนญุ าตวา ดวยเวลา สถานท่ี และเคร่อื งอุปกรณขยายเสียงและผูรับอนญุ าตตอ งปฏิบัตติ ามเงอ่ื นไข ทีก่ ําหนดนัน้ มาตรา 6 พนักงานเจา หนาทห่ี รือพนกั งานฝา ยปกครองหรือตาํ รวจช้ันผใู หญตามประมวลกฎหมาย วธิ ีพจิ ารณาความอาญา มีอาํ นาจส่งั ผใู ชเสียงหรอื ผคู วบคุมเคร่อื งขยายเสียงใหลดเสียงลงไดเม่ือปรากฏวา เสียงทโี่ ฆษณานน้ั กอ ความรําคาญแกประชาชน ถาการโฆษณากระทําผิดเง่ือนไขในใบอนุญาต หรือไมป ฏบิ ตั ติ ามคาํ สัง่ ของเจา พนกั งานท่สี ั่ง ตามความในวรรคกอ น ใหเ จา พนักงานดงั กลา วมีอํานาจสั่งใหหยดุ โฆษณาได มาตรา 9 ผใู ดฝาฝนมาตรา 4 มาตรา 5 หรอื คาํ สั่งของเจาพนักงานท่สี ่ังตามความในมาตรา 6 มคี วามผดิ ตองระวางโทษปรับไมเ กินสองรอยบาท และใหพ นกั งานเจา หนาท่มี ีอํานาจสงั่ เพิกถอน ใบอนญุ าตไดดวย ผูใ ดฝา ฝน มาตรา 7 มีความผิดตองระวางโทษจาํ คุกไมเกินหน่งึ เดือน หรอื ปรบั ไมเกินหารอย บาท หรอื ทั้งจําทัง้ ปรับ และใหพ นกั งานเจา หนาท่ีสั่งเพกิ ถอนใบอนญุ าตเสยี ดวย กฎหมายลําดับรองท่ีเกีย่ วของ 1. ประกาศสํานกั คณะรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรอ่ื งแตงตงั้ พนกั งานเจาหนา ทต่ี าม พระราชบญั ญัตคิ วบคมุ การโฆษณาโดยใชเ ครอ่ื งขยายเสียง พ.ศ. 2493 (ฉบับท่ี 4) ขอ 2 ในเขตเทศบาล ใหนายกเทศมนตรีเปนพนกั งานเจาหนา ท่ี ขอ 3 ในเขตสขุ าภบิ าล ใหประธานกรรมการสุขาภบิ าลเปนพนักงานเจา หนา ที่ ขอ 4 นอกเขตเทศบาลและนอกเขตสุขาภิบาล ใหน ายอาํ เภอหรือปลดั อําเภอผูเ ปน หวั หนา ประจํากง่ิ อําเภอ เปนพนกั งานเจา หนา ทใี นเขตทอ งทขี่ องตน

- 74 - สรปุ ประเดน็ ทน่ี ายอาํ เภอมอี ํานาจหนาท่ี 1. หลักเกณฑ ขั้นตอน และวธิ กี ารในการขอใบอนญุ าตใบอนญุ าตโฆษณาโดยใชเ ครอ่ื งขยาย เสยี งในปจ จุบันน้สี ามารถสรุปได ดงั น้ี 1) ในกรงุ เทพมหานคร ผขู ออนุญาตยน่ื คําขอไดท ส่ี ํานกั งานเขตพืน้ ที่ ซงึ่ สถานทีโ่ ฆษณานนั้ อยูใ นเขตอํานาจ โดยยนื่ คํารอ งขอพรอมหลักฐานประกอบดว ย บัตรประจาํ ตวั ประชาชน หนังสือยินยอมให ใชสถานที่ กรณีเปนสถานที่สาธารณะ เชน บริเวณวัด หรือสวนสาธารณะฯลฯ เม่ือไดร ับใบอนญุ าต ใหท าํ การโฆษณาโดยใชเ คร่ืองขยายเสยี งแลว จะตองนําใบอนุญาตไปแสดงตอนายตํารวจช้นั สัญญาบัตรเพือ่ ลงนาม รับทราบเสยี กอนจึงจะทําการโฆษณาได สาํ หรบั ผมู อี าํ นาจในการอนุญาตใหท ําการโฆษณาโดยใชเ ครอ่ื งขยายเสยี งในเขตกรงุ เทพมหานคร ในปจจบุ ันนนั้ ไดแ กผ อู าํ นวยการเขตในแตละเขตของกรุงเทพมหานครในฐานะพนักงานเจาหนาทีโ่ ดยถือวา มีฐานะ เทยี บเทา นายอาํ เภอในแตล ะเขตของกรงุ เทพมหานคร ตามประกาศสาํ นกั นายกรฐั มนตรแี ละกระทรวงมหาดไทย เร่อื งแตง ตั้งพนักงานเจาหนา ทีต่ ามพระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใชเ ครื่องขยายเสยี ง พ.ศ. 2493 (ฉบับที่ 4) 2) ในจงั หวดั อืน่ แยกออกเปน ในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาลดังน้ี (1) ในเขตเทศบาล ผูข ออนุญาตยืน่ คําขอไดท ี่สํานักงานเทศบาล ซง่ึ สถานท่ีโฆษณานน้ั อยใู นเขตอํานาจโดยยื่นคํารอ งขอพรอ มหลักฐานประกอบดวย บตั รประจาํ ตัวประชาชน หนังสือยินยอมใหใช สถานท่ี กรณีเปนสถานที่สาธารณะ เชน บรเิ วณวัด หรอื สวนสาธารณะฯลฯ เม่ือไดร บั ใบอนญุ าตใหท าํ การโฆษณา โดยใชเ ครือ่ งขยายเสยี งแลว จะตองนําใบอนุญาตใหไปแสดงตอนายตํารวจชั้นสัญญาบัตรเพื่อลงนาม รับทราบเสียกอนจึงจะทําการโฆษณาได สาํ หรับผมู ีอํานาจในการอนุญาตใหท าํ การโฆษณาโดยใชเ ครื่องขยายเสียงในเขต เทศบาลในปจจุบันนั้น ไดแก นายกเทศมนตรีในฐานะพนักงานเจา หนา ทต่ี ามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและ กระทรวงมหาดไทย เร่ืองแตง ต้ังพนกั งานเจาหนา ทตี่ ามพระราชบญั ญัติควบคุมการโฆษณาโดยใชเ คร่อื งขยายเสยี ง พ.ศ. 2493 (ฉบับท่ี 4) (2) นอกเขตเทศบาล ผูขออนุญาตยื่นคําขอไดทีท่ ี่วาการอําเภอทองที่ซึ่งสถานท่ี โฆษณาน้ันอยูในเขตอํานาจโดยย่ืนคํารองขอพรอมหลกั ฐานประกอบดว ย บัตรประจําตัวประชาชน หนงั สอื ยินยอมใหใชส ถานท่ี กรณีเปนสถานท่ีสาธารณะ เชน บริเวณวัด หรอื สวนสาธารณะฯลฯ เม่ือไดร ับใบอนุญาต ใหทําการโฆษณาโดยใชเ ครื่องขยายเสยี งแลว จะตอ งนําใบอนญุ าตไปแสดงตอ นายตํารวจชน้ั สญั ญาบัตร เพือ่ ลงนามรับทราบเสียกอนจึงจะทําการโฆษณาได สําหรับผมู อี าํ นาจในการอนญุ าตใหท าํ การโฆษณาโดยใชเ คร่ืองขยายเสียงในเขตอาํ เภอ ทอ่ี ยนู อกเขตเทศบาลในปจจุบันนนั้ ไดแก นายอําเภอหรือปลดั อําเภอผเู ปนหวั หนาประจาํ กิ่งอําเภอทองท่ี ในฐานะ พนักงานเจาหนาท่ตี ามประกาศสาํ นักนายกรฐั มนตรีและกระทรวงมหาดไทย เร่ืองแตง ตัง้ พนักงานเจา หนา ที่ ตามพระราชบัญญตั ิควบคมุ การโฆษณาโดยใชเ คร่ืองขยายเสียง พ.ศ. 2493 (ฉบับท่ี 4) 2. อาํ นาจนายอาํ เภอในฐานะพนกั งานเจา หนา ทห่ี รอื พนกั งานฝา ยปกครองหรอื ตํารวจชัน้ ผใู หญ นายอําเภอในฐานะพนักงานเจา หนาท่หี รือพนกั งานฝายปกครองหรือตํารวจชนั้ ผใู หญมีอํานาจ สั่งผูใ ชเสยี งหรอื ผูควบคมุ เคร่ืองขยายเสยี งใหล ดเสียงลงไดเมอื่ ปรากฏวา เสียงทโี่ ฆษณานั้นกอ ความรําคาญ

- 75 - แกประชาชน และถาการโฆษณากระทําผดิ เงื่อนไขในใบอนุญาต หรอื ไมป ฏบิ ัติตามคําสง่ั ของเจา พนกั งานที่ สัง่ ตามความในวรรคกอน ใหเจา พนกั งานดงั กลาวมีอํานาจสั่งใหห ยุดโฆษณาได 3. อํานาจนายอําเภอในฐานะพนกั งานเจา หนา ท่ีในการเพกิ ถอนใบอนุญาต นายอําเภอในฐานะพนักงานเจาหนาที่มอี ํานาจเพิกถอนใบอนุญาตได กรณผี ูไดร ับอนญุ าต ใหใ ชเ สียงฝาฝนมาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 7 หรือคาํ ส่ังของเจาพนักงานทส่ี ั่งตามความในมาตรา 6 (12) พระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและคาของเกา พุทธศักราช 2474 มาตราท่ีเก่ียวของ มาตรา13ในระหวางตง้ั แตพ ระอาทติ ยข้ึนจนถึงพระอาทติ ยตกนายตรวจและเจาพนกั งานซึ่ง รัฐมนตรีตั้งใหม หี นา ที่ควบคุมการขายทอดตลาดและคาของเกา ชอบทีจ่ ะเขา ตรวจใบอนุญาต สมดุ บัญชี และทรัพยส ง่ิ ของในรานคา ได ผูร บั ใบอนุญาตตองนาํ ใบอนญุ าต สมดุ บญั ชี และทรพั ยส ่งิ ของตามท่เี รียก ตรวจ ออกใหต รวจโดยทันที สรปุ ประเดน็ ทน่ี ายอาํ เภอมีอํานาจหนาท่ี อํานาจหนาที่นายอําเภอในฐานะนายตรวจ กฎกระทรวง ฉบบั ท่ี 9 (พ.ศ. 2548) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิควบคุมการขายทอดตลาด และคา ของเกา พทุ ธศกั ราช 2474 ขอ 3 ไดก ําหนดใหอธิบดีกรมการปกครองและขา ราชการพลเรอื น สามญั สงั กดั กรมการปกครอง ตั้งแตระดับ 4 ขึ้นไป เปน นายตรวจในกรงุ เทพมหานคร สว นในจงั หวดั อนื่ นอกจาก กรุงเทพมหานครน้ัน กําหนดใหปลัดจังหวดั นายอาํ เภอ ปลดั อาํ เภอผเู ปน หวั หนาประจํากิง่ อาํ เภอ และปลดั อาํ เภอ แหงทองทน่ี ้นั ๆ เปนนายตรวจ โดยในระหวางต้งั แตพระอาทิตยขน้ึ จนถึงพระอาทิตยตก นายตรวจมีอาํ นาจที่ จะเขา ตรวจใบอนญุ าต สมดุ บญั ชี และทรพั ยส่ิงของในรา นคาได ซง่ึ ผูรับใบอนุญาตมหี นา ทท่ี จ่ี ะตอ งนําใบอนุญาต สมุดบญั ชี และทรัพยสิง่ ของตามทีน่ ายตรวจเรียกตรวจ ออกมาใหตรวจโดยทันที (13) พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ การเรย่ี ไร พทุ ธศกั ราช 2487 มาตราที่เกีย่ วขอ ง มาตรา 8 การเรี่ยไรในถนนหลวงหรือในที่สาธารณะ การเรี่ยไรโดยโฆษณาดวย สิง่ พมิ พ ดว ยวิทยกุ ระจายเสียง หรอื ดว ยเคร่ืองเปลงเสียง จะจัดใหมีหรือทาํ ไดตอเม่ือไดร ับอนุญาตจากพนักงาน เจาหนาทแ่ี ลว ขอ ความในวรรคกอนน้ีมิใหใ ชบ ังคบั แก (1) การเรย่ี ไรซึ่งไดร ับอนุญาตหรือไดรบั ยกเวน ตามมาตรา 6 (2) การเร่ียไรเพือ่ กศุ ลสงเคราะหในโอกาสท่ีบุคคลชมุ นุมกนั ประกอบศาสนกจิ

- 76 - มาตรา 9 เมื่อมผี ขู อรับอนุญาตตามมาตรา 6 คณะกรรมการควบคมุ การเรีย่ ไรมีอาํ นาจส่ัง ไมอนุญาต หรอื สง่ั อนุญาตโดยกาํ หนดเงื่อนไข (1) จาํ นวนเงินหรอื ทรพั ยส นิ อน่ื อยางสูงที่ใหเรย่ี ไรได (2) เขตหรือสถานท่ีและเวลาท่ีอนุญาตใหทําการเรยี่ ไร (3) วธิ กี ารเกบ็ รักษาและทําบัญชเี งิน หรอื ทรัพยสนิ ท่เี ร่ยี ไรได (4) วธิ ที ําการเรยี่ ไร ในกรณีท่สี ง่ั อนุญาต ใหคณะกรรมการกําหนดวันสน้ิ อายุแหงใบอนญุ าตไวดว ยและในกรณีที่ สงั่ ไมอนุญาต ใหแ จงและแสดงเหตุผลใหผ ขู ออนญุ าตทราบ มาตรา 10 เมื่อมผี ขู อรับอนุญาตตามมาตรา 8 ใหนาํ ความในมาตรา 9 มาใชบังคับโดย อนโุ ลม แตถ าสง่ั ไมอนุญาตใหพนักงานเจาหนา ทีแ่ จง และแสดงเหตุผลใหผ ขู ออนุญาตทราบภายในกําหนด สบิ วัน นับแตว ันไดรับคํารองขอ ในกรณีที่สั่งไมอนุญาต ผขู ออนุญาตมสี ิทธยิ ่ืนอุทธรณคําส่ังของพนักงานเจา หนาท่ีภายใน กาํ หนดสิบหา วัน นับแตวนั ไดทราบคําสง่ั ไมอ นญุ าต การยน่ื อทุ ธรณใ นจงั หวัดพระนครและธนบรุ ใี หย่นื ตอ คณะกรรมการซึ่งรฐั มนตรีแตงต้ังข้ึน ในจังหวัดอ่ืนใหย่ืนตอคณะกรมการจังหวัด คาํ ช้ีขาดของคณะกรรมการ หรอื คณะกรมการจังหวัดแลว แตก รณีใหเปนทส่ี ดุ สรปุ ประเดน็ ท่นี ายอาํ เภอมีอํานาจหนาที่ อํานาจหนาที่นายอําเภอในฐานะพนักงานเจา หนาที่ กฎกระทรวง แตงต้ังพนักงานเจาหนาท่ีและกําหนดหลักเกณฑวิธกี ารขออนญุ าตจัดใหมีการ เรี่ยไรและทําการเร่ียไร พ.ศ. 2548 ขอ 2 ไดกาํ หนดใหผ ดู ํารงตําแหนงอธบิ ดีกรมการปกครอง สาํ หรับใน เขตกรงุ เทพมหานคร และนายอําเภอ หรอื ปลัดอาํ เภอผูเ ปนหวั หนา ประจํากง่ิ อาํ เภอ ในทอ งท่ีอาํ เภอหรอื กงิ่ อาํ เภอนั้นๆ เปน พนักงานเจา หนา ท่ีมอี ํานาจหนา ท่ใี นการพิจารณาอนุญาตหรือไมอนุญาตใหมีการเรีย่ ไร ในถนนหลวงหรอื ในท่สี าธารณะ การเรีย่ ไรโดยโฆษณาดว ย ส่งิ พิมพ ดวยวิทยุกระจายเสียง หรอื ดวยเคร่ือ เปลง เสียง ตามมาตรา 8 แหงพระราชบญั ญตั ิควบคุมการเร่ียไร พทุ ธศักราช 2487 (14) พระราชบัญญัตคิ ุมครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 มาตราทเี่ กย่ี วของ มาตรา 5 ใหน ายกรฐั มนตรี รฐั มนตรวี า การกระทรวงกลาโหม รฐั มนตรวี า การกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีวาการกระทรวงยุตธิ รรมรักษาการตามพระราชบญั ญตั ิน้ี และเพื่อการนน้ั ใหมอี ํานาจออก กฎกระทรวงวางระเบียบการงานตามหนา ท่ี กบั ใหมีอํานาจแตงตง้ั พนักงานเจาหนา ทเ่ี พอื่ ปฏิบัตกิ ารตาม พระราชบญั ญัติน้ี ทงั้ น้ี ในสวนทเ่ี กีย่ วกบั อาํ นาจหนาที่ของแตล ะกระทรวง กฎกระทรวงและระเบียบนัน้ เมือ่ ไดประกาศในราชกิจจานุเบกษาแลวใหใชบังคับได

- 77 - กฎหมายลําดบั รองทีเ่ กี่ยวขอ ง 1. กฎกระทรวงกาํ หนดหลกั เกณฑว ิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นและการพิจารณาคํารองขอใช มาตรการพิเศษในการคุมครองพยาน พ.ศ. 2548 ขอ 1 ในกฎกระทรวงนี้ “สาํ นกั งาน” หมายความวา สํานักงานคุมครองพยาน และใหห มายความรวมถงึ หนว ยงานอ่ืนท่ี รฐั มนตรีผรู ักษาการตามกฎหมายวา ดว ยการคุมครองพยานในคดีอาญาประกาศกําหนดในราชกจิ จานเุ บกษา ใหทําหนา ท่รี ับคํารอง ทัง้ นใี้ นสว นทเี่ กยี่ วกับอํานาจหนาที่ของแตล ะกระทรวง 2. ระเบยี บกระทรวงมหาดไทยวา ดวยการคมุ ครองพยานในคดอี าญา พ.ศ. 2551 ขอ 3 ในระเบียบนี้ “การคุมครองพยาน” หมายความถงึ การคุมครองรกั ษาความปลอดภยั แกพ ยานมใิ หเกิดอนั ตราย แกช วี ติ รา งกาย อนามยั เสรภี าพ ชือ่ เสยี ง ทรัพยส นิ หรือสิทธอิ ยา งหนึ่งอยางใดของพยานรวมท้ังบคุ คลตาม มาตรา 7 แหงพระราชบัญญัติคมุ ครองพยานในคดอี าญา พ.ศ. 2546 “พนกั งานเจา หนา ท่ี” หมายความวา พนักงานเจาหนาท่ที ีร่ ัฐมนตรวี า การกระทรวงมหาดไทยแตง ตั้ง ใหป ฏบิ ตั ิหนา ทใ่ี นการคมุ ครองพยานตามระเบยี บนี้ “หนว ยงานคุม ครองพยาน” หมายความถึง กรมการปกครองหรือจังหวัด “หวั หนาหนว ยงานคุมครองพยาน” หมายความถงึ อธบิ ดกี รมการปกครองหรอื ผูวา ราชการจงั หวัด ขอ 5 ในกรณที ่ีพยาน สามี ภรยิ า ผบู พุ การี ผสู ืบสันดานของพยาน หรือบุคคลอ่ืนที่มคี วามสัมพนั ธ ใกลช ดิ กบั พยาน ไมไดร บั ความปลอดภัยหรือถูกขมขูคุกคาม อนั เปนผลจากการท่ีจะมาหรือไดมาเปนพยาน ตอ พนกั งานผมู ีอาํ นาจสืบสวนคดีอาญา พนักงานผมู ีอํานาจสอบสวนคดีอาญา พนักงานผูม ีอาํ นาจฟอ งคดีอาญา หรอื ศาล แลว แตกรณี มคี วามจําเปน ทีจ่ ะใหห นว ยงานคุมครองพยานของกระทรวงมหาดไทยคมุ ครองความ ปลอดภัย ใหพยานมีสิทธริ องขอคุมครองความปลอดภัยไดโดยยื่นตอ หนว ยงานคุมครองพยาน ดงั ตอไปนี้ (1) ในกรุงเทพมหานคร ใหย ืน่ คาํ รองขอทีส่ ํานักการสอบสวนและนิตกิ าร กรมการปกครอง เพ่ือเสนอ อธบิ ดกี รมการปกครองพจิ ารณาสัง่ การ กรณมี ีคําสงั่ ใหค ุมครองพยานตามท่รี องขอ ใหแจงผูร อ งขอทราบ และจัดใหพนกั งานเจา หนาทด่ี ําเนนิ การคุมครองพยาน กรณีมีคําส่งั ไมเห็นชอบใหคุมครองพยานใหแ จง ผูรองขอทราบ (2) ในจังหวดั อ่นื ใหยน่ื คํารองขอทที่ ี่ทําการปกครองจังหวดั หรอื ท่ีทําการปกครองอําเภอหรือท่ีทาํ การ ปกครองกง่ิ อาํ เภอ แลวแตกรณี เพอ่ื เสนอผวู าราชการจงั หวดั พจิ ารณาสง่ั การ กรณมี ีคาํ สั่งใหค มุ ครองพยานตามท่ี รอ งขอ ใหแ จง ใหผูรองทราบและจดั พนักงานเจาหนา ที่ดําเนินการคมุ ครองพยาน กรณมี ีคําสั่งไมเหน็ ชอบ ใหคมุ ครองพยาน ใหแ จง ใหผูรองขอทราบ ในกรณีมกี ารรองขอดวยวาจาใหหวั หนา หนวยงานคมุ ครองพยานจดั ใหม กี ารทาํ เปนหนังสือตาม วรรคหนึ่ง ในกรณีทห่ี ัวหนาหนวยงานคุม ครองพยานสงั่ ไมรบั คํารอง หรอื ไมเ หน็ ชอบใหคุมครองพยาน ใหผยู น่ื คํารองขอมีสิทธอิ ทุ ธรณตามมาตรา 20 แหงพระราชบญั ญตั ิคมุ ครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546

- 78 - 3. ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรอ่ื ง แตง ต้ังพนกั งานเจาหนาที่ตามพระราชบัญญัติคุมครองพยาน ในคดีอาญา พ.ศ. 2546 ขอ 2 ใหผ ูดํารงตําแหนง ดงั ตอ ไปนีเ้ ปนพนกั งานเจา หนาท่เี พ่อื ปฏบิ ตั ิการตามพระราชบัญญัติ คมุ ครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 ก. ราชการสวนกลาง (1) ปลดั กระทรวงมหาดไทย (2) รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (3) ผูตรวจราชการกระทรวงหาดไทย (4) อธบิ ดกี รมการปกครอง (5) รองอธิบดีกรมการปกครอง (6) ผูตรวจราชการกรมการปกครอง (7) ผอู ํานวยการสํานัก ผอู าํ นวยการกอง และผูอํานวยการสวน กรมการปกครอง (8) หัวหนากลุม หัวหนาฝาย หวั หนา งาน เจา พนกั งานปกครอง นติ กิ ร กรมการปกครอง (9) สมาชกิ กองอาสารกั ษาดนิ แดนและเจาหนา ทส่ี าํ นกั อํานวยการกองอาสารักษาดนิ แดน กรมการปกครอง ข. ราชการสว นภมู ภิ าค (1) ผูวาราชการจงั หวัด (2) รองผวู าราชการจังหวัด (3) ปลัดจงั หวัด (4) นายอําเภอ (5) ปลดั อําเภอผูเปนหวั หนาประจําก่งิ อําเภอ (6) จาจงั หวัด (7) ปองกันจงั หวดั (8) เจาพนักงานปกครอง นิตกิ ร กรมการปกครอง (9) กาํ นัน ผูใหญบ าน (10) สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนและเจาหนา ที่สาํ นักอาํ นวยการกองอาสารกั ษาดินแดน กรมการปกครอง ขอ 3 ใหพ นกั งานเจา หนา ทต่ี ามประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบบั น้ี มอี าํ นาจหนา ที่ปฏิบตั กิ ารตาม พระราชบัญญัตคิ ุมครองพยานในคดอี าญา พ.ศ. 2546 โดยใหป ระสานปฏิบตั ิการรว มกบั พนักงานเจาหนา ทีอ่ ื่น ที่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีวาการกระทรวงยุติธรรมแตง ตง้ั สรปุ ประเดน็ ท่นี ายอาํ เภอมีอํานาจหนา ที่ 1. นายอําเภอเปนพนักงานเจา หนา ท่มี ีอํานาจหนา ท่ปี ฏิบตั ิการตามพระราชบญั ญตั ิคุมครอง พยานในคดอี าญา พ.ศ. 2546 ตามทห่ี วั หนา หนว ยงานคมุ ครองพยาน (ผวู า ราชการจังหวัด) สง่ั การ

- 79 - 2. นายอําเภอในฐานะพนักงานเจา หนา ท่ีมหี นา ท่ีรับคาํ รองขอคมุ ครองความปลอดภัยจาก พยานที่ย่ืนตอทที่ ําการปกครองอาํ เภอเพอ่ื เสนอผวู า ราชการจงั หวัดพจิ ารณาสง่ั การ กรณมี ีคําสง่ั ใหค มุ ครองพยาน ตามทร่ี องขอ ใหแ จง ใหผูรองทราบและจัดพนักงานเจาหนาที่ดําเนินการคุมครองพยานกรณีมีคําสัง่ ไมเห็นชอบให คมุ ครองพยาน ใหแ จง ใหผ รู องขอทราบ (15) พระราชบญั ญตั คิ าํ นําหนานามหญิง พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตราทีเ่ กี่ยวขอ ง มาตรา ๔ หญงิ ซึ่งมอี ายุ ๑๕ ปบ รบิ ูรณข ้ึนไป และยงั ไมไดจดทะเบียนสมรสใหใชค าํ นาํ หนา นามวา “นางสาว” มาตรา ๕ หญิงซง่ึ จดทะเบยี นสมรสแลว จะใชคํานาํ หนา นามวา “นาง” หรอื “นางสาว” ได ตามความสมัครใจ โดยใหแ จงตอนายทะเบียนตามกฎหมายวาดว ยการจดทะเบียนครอบครัว มาตรา ๖ หญงิ ซึง่ จดทะเบยี นสมรสแลว หากตอมาการสมรสไดสิน้ สุดลงจะใชค าํ นาํ หนานาม วา “นาง” หรอื “นางสาว” ไดตามความสมคั รใจ โดยใหแ จง ตอ นายทะเบยี นตามกฎหมายวา ดว ยการจดทะเบยี น ครอบครัว สรปุ ประเดน็ ท่ีนายอาํ เภอมอี ํานาจหนา ท่ี นายอําเภอเปน นายทะเบยี นประจาํ สํานักทะเบียนอําเภอตามกฎกระทรวงมหาดไทยออกตาม ความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครวั พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๘ มหี นาทร่ี ับแจงจากหญิงซ่ึงจดทะเบียน สมรสแลว หรือหญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแลวหากตอมาการสมรสไดส นิ้ สุดลงวาจะใชคํานําหนา นามวา “นาง” หรือ“นางสาว” ไดต ามความสมัครใจ (16) พระราชบัญญัตจิ ดทะเบยี นครอบครวั พทุ ธศกั ราช 2478 มาตราท่เี ก่ียวของ มาตรา 3 ในพระราชบญั ญตั นิ ี้ (1) “นายทะเบียน” หมายความวา เจา พนักงานซงึ่ รัฐมนตรผี มู ีหนาท่ีรักษาการตาม พระราชบญั ญตั ินี้ไดแ ตงต้งั ขึน้ มาตรา 6 ภายใตบ ังคบั แหง บทบญั ญัติมาตรา 14 คาํ รองขอจดทะเบยี นตองทําเปน หนงั สือ ตามแบบที่กําหนดไวในกฎกระทรวง เม่ือนายทะเบยี นรบั จดทะเบียน ผูรองตองลงลายมือชอ่ื ไวเปน สําคญั ในทะเบียนตอ หนานาย ทะเบยี นและตอหนา พยานสองคนซง่ึ ตองลงลายมือช่ือไวในทะเบียนในขณะนน้ั ดว ย แตถ าผูรองไมส ามารถ ลงลายมือช่อื ไดโ ดยวธิ ีหนึ่งวธิ ใี ด ใหน ายทะเบียนหมายเหตไุ วในทะเบยี น

- 80 - โดยเฉพาะการจดทะเบียนสมรส นอกจากจะปฏบิ ตั ติ ามความในวรรคกอน ถา ทองท่ีใดขา หลวงประจํา จงั หวดั เหน็ สมควรจะประกาศโดยอนมุ ตั ขิ องรฐั มนตรวี า การกระทรวงมหาดไทย ยอมใหย ่ืนคาํ รอ งขอจดทะเบียน สมรสตอ กํานันทองที่ท่ีชายหรือหญิงฝายใดหรือท้ังสองฝา ยท่มี ถี ิน่ ท่ีอยูก ็ได คาํ รอ งเชนวา นต้ี องมีลายมือช่ือของผูรองและพยาน ๒ คน ลงตอหนากํานัน แตพยานคนหน่ึงนน้ั ตองเปน เจา พนักงานฝา ยปกครอง ซึ่งมีตําแหนงตงั้ แตช้ันผใู หญบา นข้นึ ไป หรือนายตํารวจซง่ึ มียศต้ังแตช ้นั นายรอยตํารวจตรี ขน้ึ ไป หรอื หัวหนาสถานีตํารวจ หรอื ผูแทนราษฎร เทศมนตรสี มาชกิ สภาเทศบาล สมาชิกสภาจังหวัด หรอื ทนายความ เมือ่ ไดร ับคํารอ งโดยถูกตอ งแลว ใหกํานันสง คาํ รอ งนนั้ ตอ ไปยงั นายทะเบียนโดยเร็ว เพ่อื พจิ ารณา รบั จดทะเบยี น ในการจดทะเบยี นนใ้ี หน ายทะเบยี นลงชอ่ื ผรู อ งและพยานในทะเบยี นถอื เปน แทนการลงลายมอื ช่ือ และใหถือวา การสมรสไดส มบูรณแ ตวนั ที่กาํ นันรบั คํารอ งน้นั มาตรา 7 รายการทีล่ งไวในทะเบยี นน้ัน ใหน ายทะเบยี นลง วัน เดือน ป และลายมือชอ่ื นายทะเบียนไว เปนสําคญั มาตรา 8 เม่อื ไดรบั จดทะเบยี นสมรสหรอื หยา โดยความยนิ ยอม นายทะเบยี นตอ งออกใบสําคัญ แสดงการจดทะเบียนนนั้ มอบใหฝายละฉบับโดยไมเ รยี กคาธรรมเนียม มาตรา 9 ผูมีสว นไดเ สียจะขอดูทะเบียนไดโดยมติ องเสยี คาธรรมเนยี ม แตถา ขอสําเนารายการ ในทะเบียนซึ่งนายทะเบียนรับรอง ตองเสียคา ธรรมเนียมตามอตั ราที่กําหนดไวใ นกฎกระทรวง มาตรา 10 เมอ่ื มกี ารรองขอใหจ ดทะเบยี นสมรสแลว ใหนายทะเบียนรับจดทะเบียนสมรสให การจดทะเบยี นสมรสนน้ั จะขอใหน ายทะเบยี นไปทํานอกสาํ นักทะเบยี นก็ได แตตองเสียคา ธรรมเนยี ม ตามอตั ราท่ีกาํ หนดไวใ นกฎกระทรวง มาตรา 11 ถา บคุ คลใดไดร บั อนุญาตใหส มรสไดโ ดยคาํ พิพากษาหรอื คําสั่งของศาล ใหย ื่น สําเนาคาํ พิพากษาหรือคําสงั่ ของศาลท่รี บั รองวาถูกตองแลว น้ันตอนายทะเบียน ในเมอ่ื รองขอจดทะเบียน มาตรา 12 ถา ผูท่ีจะพึงใหความยนิ ยอมไดใ หความยนิ ยอมโดยทาํ เปนหนังสือตามบทบัญญตั ิ แหง มาตรา 1448 (2) แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย ใหผ รู อ งขอนําหนังสือนั้นยน่ื ตอ นายทะเบยี น เพื่อบันทึกในทะเบียนขณะจดทะเบียนสมรส ถาผทู ี่จะพึงใหความยินยอมไดใ หความยนิ ยอมดวยวาจาตอหนาพยานตามบทบัญญตั ิแหงมาตรา 1448 (3) แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย ใหผ รู องขอนําพยานนั้นไปใหถ อ ยคําตอนายทะเบยี น ถอ ยคาํ ซึ่งพยานใหไวนัน้ ใหน ายทะเบียนจดลงไวแ ลวใหพยานลงลายมือชอื่ ไวเปน สําคัญ มาตรา 13 หา มมใิ หน ายทะเบยี นจดทะเบยี นสมรสเม่อื ปรากฏตอนายทะเบยี นวาการมิไดเปน ไป ตามเงอ่ื นไขแหง มาตรา 1445 มาตรา 1446 และมาตรา 1447 แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 14 เม่ือชายหรอื หญงิ ฝา ยใดฝายหน่งึ หรือทงั้ สองฝา ยตกอยใู นอนั ตรายใกลความตาย และโดยพฤตกิ ารณท ี่เปน อยู นายทะเบยี นไมส ามารถจะไปจดทะเบยี นใหไ ด และผูใกลค วามตายจะทําคาํ รอ งตาม แบบก็ไมได ผูน้นั จะรองขอจดทะเบยี นสมรสดว ยวาจาหรือดวยกิริยาก็ได แตต องรองตอพนักงานฝายปกครอง ซ่ึงมตี าํ แหนงต้ังแตช ้นั กาํ นันขึน้ ไป หรอื ตอ นายตาํ รวจซ่ึงมยี ศตง้ั แตนายรอยตํารวจตรีขึ้นไป หรือหัวหนาสถานี ตํารวจหรอื ตอบุคคลซ่ึงเปนพยานไดตามพระราชบัญญตั ิน้ีอยา งนอ ยสองคนซึ่งอยูพรอมกนั

- 81 - ถา ชายหรือหญงิ ฝา ยใดฝายหนึ่ง หรอื ทง้ั สองฝา ยตาย ใหผูที่ไดรับคํารองขอจดทะเบียนตามความ ในวรรคกอน พรอ มดว ยชายหรือหญงิ ท่ียังคงมชี วี ิตอยู ถา หากมี ไปแสดงตนตอนายทะเบยี นโดยไมชักชา เพอื่ ใหถอยคําแสดงพฤตกิ ารณแ หงการรองขอแลว ขอจดทะเบียนสมรส ถา กรณีดงั กลาวในวรรคตน เกิดในเรือเดนิ ทะเลระหวางเดินทางจะรองตอนายเรือเสมือนเปน เจาพนกั งานดังกลาวในวรรคตน ก็ได และใหนําบทบญั ญัติในวรรคสองมาบังคบั โดยอนโุ ลม มาตรา 15 ถานายทะเบียนไมยอมรับจดทะเบียนสมรส ผมู ีสว นไดเสียจะย่นื คาํ รองตอศาล ก็ไดโดยไมตอ งเสียคา ธรรมเนียมศาล เม่อื ศาลไตส วนไดค วามวา การไดเปน ไปตามเงื่อนไขแหงกฎหมายครบถว นแลว กใ็ หศาลมีคาํ สงั่ ไป ใหรบั จดทะเบยี น มาตรา 16 เมอ่ื ศาลไดพพิ ากษาใหเ พิกถอนการสมรสหรือใหห ยา กันแลว ผูมสี ว นไดเ สยี จะ ขอใหน ายทะเบียนบันทกึ ไวในทะเบียนกไ็ ด แตตอ งยน่ื สาํ เนาคาํ พิพากษาอนั ถึงทสี่ ุดทีร่ บั รองวาถกู ตอ งแลว ตอ นายทะเบียน มาตรา 17 ถา การใดๆ อันเกยี่ วกบั ฐานะแหงครอบครวั ไดท าํ ขึ้นในตางประเทศตามแบบซ่ึงกฎหมาย แหงประเทศท่ีทําข้ึนนน้ั บัญญัติไว ผูมสี ว นไดเสยี จะขอใหบ ันทกึ ในประเทศสยามกไ็ ด แตตองย่ืนเอกสารอนั เปน หลกั ฐานแหงการนน้ั โดยมคี ํารับรองถกู ตองพรอมกับคําแปลภาษาไทย ซง่ึ ฝา ยนัน้ ตองเปนผอู อกคาใชจา ย ถาการดังกลาวแลวไดท าํ ขึน้ ในตางประเทศตามแบบซึ่งกฎหมายสยามบัญญตั ิไวใหเ จา พนกั งานทูต หรอื กงสุลสยามสงสาํ เนาทะเบียนหรือบันทกึ ซึ่งไดรับรองถูกตอ งแลวไปยังกระทรวงตา งประเทศเพ่ือสง ตอ ไปยังกระทรวงมหาดไทย มาตรา 18 การจดทะเบยี นการหยา โดยความยนิ ยอมน้นั ใหน ายทะเบยี นรับจดตอ เม่ือสามี และภรยิ ารอ งขอและไดนําหนังสอื ตามทร่ี ะบุไวใ นมาตรา 1498 วรรคสอง แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยม าแสดงตอ นายทะเบยี นดว ย มาตรา 19 ในกรณีท่บี ดิ ามาขอจดทะเบียนเดก็ เปนบุตรชอบดว ยกฎหมาย ถา เดก็ และมารดาเด็ก อยูใ นฐานะใหค วามยนิ ยอมไดและไดมาใหความยินยอมดว ยตนเองแลวก็ใหน ายทะเบยี นรับจดทะเบยี น ถาเดก็ และมารดาเด็กคนหนึ่งคนใดหรือทงั้ สองคนไมม าใหค วามยินยอมดวยตนเอง ใหน ายทะเบยี น มหี นงั สือสอบถามไปยังผทู ี่ไมม าวาจะใหความยนิ ยอมหรือไม เม่ือนายทะเบยี นไดรบั หนังสือแจง ความยนิ ยอม จากบุคคลดังกลาวหรือบุคคลดงั กลา วไดมาใหความยนิ ยอมดวยตนเองแลว กใ็ หน ายทะเบียนรับจดทะเบียน แตถา นายทะเบยี นไมไดรบั แจงความยนิ ยอมภายในระยะเวลาท่กี าํ หนดไวตามประมวลกฎหมายแพง และ พาณชิ ย ใหนายทะเบยี นแจง ใหผ ขู อจดทะเบยี นทราบถงึ เหตทุ ่ีไมอาจรบั จดทะเบยี นไดโ ดยไมชกั ชา บิดาจะรองขอใหนายทะเบียนไปจดทะเบียนนอกสํานักทะเบียนก็ได แตต องเสียคา ธรรมเนยี ม ตามอตั ราท่ีกําหนดในกฎกระทรวง มาตรา 20 เมอ่ื ศาลไดพ ิพากษาวา ผูใ ดเปน บตุ รชอบดวยกฎหมายแลว ผูม ีสวนไดเ สยี จะยน่ื สําเนา คาํ พิพากษาอันถงึ ที่สดุ ซึ่งรับรองถูกตองแลว มาใหบ นั ทึกในทะเบยี นก็ได มาตรา 21 เม่ือมีการเพิกถอนการรับรองบุตร ใหน าํ มาตรา 16 มาบังคบั โดยอนโุ ลม

- 82 - มาตรา 22 การจดทะเบยี นรบั บุตรบญุ ธรรม ใหผูรบั บุตรบญุ ธรรมและบุตรบุญธรรมเปนผูร อ งขอ ใหนายทะเบยี นรบั จดทะเบียนตอ เม่ือทง้ั สองฝายใหถอยคําวา ไดปฏิบตั ิตามเงือ่ นไขแหงกฎหมาย ในเรื่องรบั บุตรบุญธรรมดังทบี่ ัญญตั ิไวในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยแ ลว ถา ปรากฏตอ นายทะเบียน วา การมิไดเปน ไปตามเงื่อนไขทว่ี าน้นั หรือถอยคาํ ท่ีไดใหไวไมเ ปน ความจรงิ หามมใิ หรับจดทะเบยี น ถา นายทะเบยี นไมย อมรบั จดทะเบยี นการรบั บตุ บุญธรรม ผูรองขอจดทะเบียนฝายหนงึ่ ฝายใดจะยื่น คํารอ งตอศาลกไ็ ดโ ดยไมต องเสียคาธรรมเนียมศาล เมือ่ ศาลไตสวนไดค วามวา การไดเ ปน ไปตามเงื่อนไข แหง กฎหมายครบถว นแลว กใ็ หศาลมีคาํ สั่งไปใหรับจดทะเบียน มาตรา 23 การจดทะเบยี นเลกิ รบั บตุ รบญุ ธรรมโดยความตกลงน้นั ใหน ายทะเบยี นรับจดเมือ่ ทั้ง สองฝา ยรองขอ ถา ศาลพพิ ากษาใหเ พกิ ถอนหรือเลกิ การรบั บตุ รบญุ ธรรม ใหน าํ มาตรา 16 มาบังคบั โดยอนโุ ลม มาตรา 24 ถาสามีภรยิ าซึง่ ไดทาํ การสมรสกนั โดยสมบูรณกอนวันใชประมวลกฎหมายแพง และพาณิชยบรรพ 5 รอ งขอใหบนั ทึกฐานะของภรยิ าตามมาตรา 5 แหงพระราชบญั ญตั ิใหใ ชบทบัญญตั ิ บรรพ 5 แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย พ.ศ. 2477 ใหน ายทะเบยี นบนั ทกึ ไวใ นทะเบียนอาํ นาจออก กฎกระทรวงเพ่ือการนน้ั และกําหนดอตั ราคาธรรมเนียมท่ีจะเรยี ก กฎหมายลําดบั รองท่เี กีย่ วของ 1. ระเบียบกระทรวงมหาดไทย วา ดวยการจดทะเบียนครอบครวั พ.ศ. 2541 ขอ ๕ ในระเบียบนี้ “ทะเบียนครอบครัว” ใหห มายความถึง ทะเบียนสมรส ทะเบียนการหยา ทะเบียนรับรอง บตุ ร ทะเบียนรับบุตรบุญธรรม ทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม ทะเบยี นฐานะของภริยา และทะเบยี นฐานะ แหง ครอบครวั “จังหวดั ” หมายความรวมถงึ กรงุ เทพมหานคร ดว ย “ผูวา ราชการจังหวดั ” หมายความรวมถึง ปลัดกรุงเทพมหานครดวย “นายทะเบียน” หมายความวา นายทะเบียนประจําสํานักทะเบียนอาํ เภอ นายทะเบียน ประจาํ สํานักทะเบยี นก่งิ อําเภอ และนายทะเบียนประจําสํานักทะเบียนเขต สรปุ ประเดน็ ทีน่ ายอําเภอมีอํานาจหนา ที่ นายอาํ เภอเปน นายทะเบยี นประจาํ สาํ นกั ทะเบยี นอาํ เภอมอี าํ นาจหนา ทใ่ี นการจดทะเบยี นสมรส ทะเบียนการหยา ทะเบยี นรบั รองบตุ ร ทะเบียนรับบุตรบุญธรรม ทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม ทะเบียน ฐานะของภริยา และทะเบยี นฐานะแหง ครอบครัว ตามพระราชบญั ญตั ิน้ี

- 83 - (17) พระราชบญั ญตั จิ ดั ระเบียบบริหารหมบู า นอาสาพัฒนาและปองกนั ตนเอง พ.ศ. 2522 มาตราท่ีเก่ียวขอ ง มาตรา ๖ การบริหารหมบู านอาสาพัฒนาและปองกนั ตนเอง ใหถ ือเอาหมบู า นตามกฎหมายวา ดว ย ลักษณะปกครองทองที่เปนหลัก สว นการจะกาํ หนดใหหมูบา นใดหมบู านหน่งึ หรือตัง้ แตสองหมูบ านข้นึ ไป เปนหมบู านตามพระราชบัญญตั ินี้ ใหกระทรวงมหาดไทยประกาศเปนคราวๆ ไป ตามความเหมาะสมแหง สภาพทองที่ การแกไขเปลีย่ นแปลงหรือยุบเลิกหมูบาน ใหกระทาํ โดยประกาศกระทรวงมหาดไทย การรวมหมบู า นตา งอาํ เภอมากาํ หนดเปน หมบู า นอาสาพฒั นาและปอ งกนั ตนเองจะกระทาํ มิได มาตรา ๗ ในหมบู า นหนง่ึ ใหมคี ณะกรรมการกลางคณะหนง่ึ ประกอบดวยผใู หญบ านเปน ประธานคณะกรรมการกลาง ผูช วยผใู หญบาน กรรมการสภาตําบลผูทรงคณุ วฒุ ใิ นหมบู านเปน กรรมการ กลางโดยตําแหนง และใหม ีการเลอื กต้งั กรรมการกลางผทู รงคุณวฒุ จิ ากราษฎรในหมูบ า นนัน้ มีจาํ นวน อยา งนอ ยหา คนอยา งมากไมเ กนิ เจด็ คน เปน กรรมการกลาง กรรมการกลางผทู รงคณุ วุฒจิ ะมีเทา ใด ใหเ ปน ไป ตามท่นี ายอาํ เภอกาํ หนดตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมของหมบู าน การเลือกต้ังกรรมการกลางผทู รงคณุ วฒุ ิ ใหเปน ไปตามมาตรา ๑๑ หมูบ านใดมผี ใู หญบา นเปนกาํ นนั อยดู วย ใหกํานนั ของหมบู า นน้นั เปน ประธานคณะกรรมการ กลาง ใหสารวัตรกาํ นนั และหรือแพทยป ระจําตําบล ซงึ่ มภี ูมิลาํ เนาอยใู นเขตหมูบานของกาํ นนั เปน กรรมการกลางโดยตาํ แหนง ใหค ณะกรรมการกลางเลอื กรองประธานคณะกรรมการกลางหนง่ึ คน และเลขานุการหนง่ึ คน จากกรรมการกลาง การออกเสียงลงคะแนนใหกระทําโดยเปด เผยโดยใชว ิธยี กมอื ถา คะแนนเสียงเทากนั ใหใ ชวิธจี บั สลาก ใหม ที ปี่ รึกษาคณะกรรมการกลางและคณะกรรมการฝา ยตา งๆ ประจําหมูบานไดตามจํานวน ทีเ่ ห็นสมควร ซง่ึ นายอําเภอแตงต้ังจากขาราชการหรือผทู ่ีมีความรคู วามสามารถท่ปี ฏิบัติงานเกีย่ วของกับ หมูบานนัน้ มาตรา ๘ ในกรณีท่ีมีการรวมหมบู า นมากกวาหน่งึ หมูบาน ถา ในหมบู านนัน้ มีกาํ นันอยูดว ย ใหก าํ นนั เปน ประธานคณะกรรมการกลาง สาํ หรบั กรรมการกลางอน่ื ๆ ใหเ ปน ไปตามมาตรา ๗ และถา หากหมบู าน ทม่ี ารวมน้นั มีกาํ นันมากกวา หนงึ่ คน ใหค ณะกรรมการกลางเลอื กกาํ นนั คนหนง่ึ เปน ประธานคณะกรรมการกลาง ใหก าํ นนั ทเ่ี หลอื เปน รองประธานคณะกรรมการกลาง และมใิ หนาํ มาตรา ๗ วรรคสาม มาใชบ งั คบั ในการเลอื กรอง ประธานคณะกรรมการกลาง แตถาไมม ีกํานนั ใหคณะกรรมการกลางเลือกผูใหญบานคนหนง่ึ เปน ประธาน คณะกรรมการกลาง และใหประธานคณะกรรมการกลางอยใู นตําแหนง เทากบั วาระของกรรมการกลางผูทรงคุณวุฒิ ถาตําแหนงประธานคณะกรรมการกลางวา งลงกอนถงึ กําหนดออกตามวาระ ใหด าํ เนนิ การเลือกใหม และ ใหผทู ไ่ี ดร บั เลือกอยูใ นตาํ แหนงเพยี งเทากําหนดเวลาของผซู ่ึงตนแทน

- 84 - มาตรา ๙ ประธานคณะกรรมการกลางตามมาตรา ๘ ตอ งพนจากตาํ แหนงดว ยเหตใุ ดเหตหุ นึ่ง ดงั ตอไปน้ี (๑) ตาย (๒) ไดร บั อนุญาตจากนายอําเภอใหลาออก (๓) ผูว า ราชการจังหวัดสง่ั ใหพ นจากตําแหนง เมื่อไดส อบสวนเหน็ วาบกพรองในทางความ ประพฤติ หรือความสามารถไมเ หมาะสมกับตาํ แหนง (๔) พนจากตาํ แหนงกํานันหรอื ผใู หญบาน มาตรา ๑๑ วิธีเลอื กตง้ั กรรมการกลางผทู รงคุณวุฒิ ใหน ายอําเภอหรอื หวั หนา สว นราชการ ประจาํ อาํ เภอ หรอื ปลดั อาํ เภอซง่ึ นายอาํ เภอมอบหมาย เปน ประธาน พรอ มกาํ นันและผูใ หญบ า นในหมูบานน้ัน ประชุมราษฎรผูมีคุณสมบัติและไมอยใู นลักษณะตองหาม ดงั ตอไปน้ี (๑) มสี ญั ชาติไทย (๒) อายยุ ีส่ ิบปบริบูรณตามหลกั ฐานทางทะเบียนราษฎรในวันเลือกตั้ง (๓) มภี ูมิลาํ เนาและถิน่ ที่อยูเปน ประจํา และมีชื่อในทะเบียนบา นตามกฎหมายวาดว ยทะเบยี น ราษฎรในหมบู านนัน้ มาแลวไมน อ ยกวาสามเดอื นในวันเลือกตง้ั (๔) ไมเปนภกิ ษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช (๕) ไมเ ปนผวู ิกลจรติ หรือจิตฟน เฟอนไมสมประกอบ เมอ่ื ราษฎรสว นมากเลือกผูท่ีถูกเสนอชื่อผใู ดเปนกรรมการกลาง และเปนผูม คี ุณสมบตั ิและไมอยู ในลักษณะตองหา มตามมาตรา ๑๐ แลว ใหถ อื วาผนู นั้ เปนกรรมการกลางผูท รงคุณวฒุ ิ และใหน ายอําเภอ รายงานไปยงั ผูวาราชการจังหวัด เพื่อออกหนังสอื สําคัญตามแบบทายระเบยี บกระทรวงมหาดไทยไวเ ปน หลกั ฐาน ในกรณีผรู บั เลือกมีคะแนนเสียงเทากันใหจับสลาก วธิ เี ลอื กตัง้ ใหกระทําโดยวิธลี บั หรือเปด เผย และใหใ ชร ะเบยี บกระทรวงมหาดไทยวาดว ยการ เลอื กตั้งกาํ นัน ผใู หญบ าน เฉพาะในสวนที่วาดวยการเลือกตงั้ ผูใ หญบ านโดยอนโุ ลม มาตรา ๑๒ กรรมการกลางผูทรงคุณวุฒมิ ีวาระอยูในตาํ แหนง คราวละส่ีป และกรรมการกลาง ผูท รงคณุ วฒุ ิตอ งพน จากตําแหนง กอ นวาระดว ยเหตใุ ดเหตุหนง่ึ ดังตอไปน้ี (๑) ตาย (๒) ไดร บั อนญุ าตจากนายอําเภอใหลาออก (๓) นายอาํ เภอใหอ อกเพราะขาดคณุ สมบัตหิ รือมีลกั ษณะตองหา มอยางใดอยา งหน่งึ ตาม มาตรา ๑๐ (๔) คณะกรรมการกลางมีมติใหพ น จากตําแหนง โดยเหน็ วามีความประพฤติในทางซงึ่ จะ นํามาซ่งึ ความเสื่อมเสียประโยชนข องหมบู า น มติดงั กลา วจะตองมคี ะแนนเสยี งไมต่ํากวาสองในสามของ คณะกรรมการกลางท่อี ยูใ นตําแหนง (๕) นายอาํ เภอส่งั ใหออกเพราะไมมาประชมุ สามครัง้ ตดิ ตอกนั โดยไมมีเหตผุ ลอันสมควร (๖) ผวู าราชการจงั หวัดสั่งใหยุบคณะกรรมการกลาง หรอื คณะกรรมการฝา ยตา งๆ ตามมาตรา ๒๙

- 85 - ถา ตาํ แหนง กรรมการกลางผทู รงคณุ วฒุ ิวา งลงกอ นครบวาระ ใหเ ลอื กตง้ั แทนตําแหนงทวี่ า งภายใน หกสบิ วัน ยกเวน กรณตี าม (๖) และใหผูไดร บั เลือกตัง้ แทนอยใู นตําแหนง ตามวาระของผซู ง่ึ ตนแทน ถา ตําแหนงวาง ลงกอ นกําหนดออกตามวาระไมเ กินหนึง่ รอยแปดสบิ วันจะไมเลอื กขนึ้ แทนกไ็ ด มาตรา ๑๓ ทปี่ รึกษาคณะกรรมการตองพนจากตําแหนงดว ยเหตใุ ดเหตุหนง่ึ ดงั ตอ ไปน้ี (๑) ตาย (๒) ไดร ับอนญุ าตจากนายอําเภอใหล าออก (๓) นายอาํ เภอสง่ั ใหพ น จากตาํ แหนง (๔) ถูกยา ยไปดํารงตําแหนงอนื่ ซึ่งทําใหไมส ามารถปฏบิ ตั งิ านทเี่ กย่ี วของกบั หมบู า นน้ันได ตําแหนง ท่ีปรึกษาคณะกรรมการวางลงเมื่อใด ใหนายอาํ เภอทอ งที่พิจารณาแตงตงั้ จากผูทม่ี ี คุณสมบัติตาม มาตรา ๗ วรรคสี่ เปน ทป่ี รึกษาตอไป มาตรา ๒๐ ใหค ณะกรรมการกลางประชมุ กนั ไมน อยกวาเดือนละครง้ั การกําหนดวนั ประชมุ ใหประธานคณะกรรมการกลางเปน ผูกาํ หนดและเรียกประชมุ โดยคํานงึ ถึงความสะดวกและการประกอบ อาชีพของกรรมการกลางเปน หลกั กรณที ี่มกี ารรวมหมบู า นตามมาตรา ๘ ในการประชมุ ครง้ั แรก ใหนายอําเภอหรือหวั หนาสวน ราชการประจําอําเภอ หรือปลัดอําเภอซง่ึ นายอําเภอมอบหมายเปนผูนัดประชมุ และทําหนาที่ประธาน ชว่ั คราวเพอ่ื เลอื กประธานคณะกรรมการกลาง สถานทีส่ ําหรับประชมุ คณะกรรมการกลาง ใหใชสถานทท่ี ี่คณะกรรมการกลางเห็นสมควร มาตรา ๒๓ เม่อื มปี ญหาโตเถยี งเกี่ยวกบั การประชมุ ซ่งึ มิไดก ําหนดไวใ นหมวดนใี้ หประธาน คณะกรรมการกลางนําขอโตเถียงทเ่ี กิดขึ้นเสนอตอนายอําเภอ คาํ วินจิ ฉัยของนายอําเภอใหใ ชบ ังคับได เฉพาะการประชมุ คราวน้ัน และใหน ายอําเภอรายงานพฤติการณด งั กลา วนไี้ ปยังผวู า ราชการจังหวดั เพ่อื รายงานใหก ระทรวงมหาดไทยทราบ มาตรา ๒๖ การใชจ า ยเงินของหมูบ า น ใหเปนไปตามระเบยี บกระทรวงมหาดไทยวาดว ย วธิ ีการงบประมาณและการคลังของหมูบา นอาสาพฒั นาและปองกนั ตนเอง ในระเบียบดังกลาวใหกาํ หนด เร่ืองการจดั ทําแผนและโครงการไวด ว ย มาตรา ๒๗ โครงการใชจายเงนิ ของหมูบา น เมือ่ นายอาํ เภออนมุ ัตแิ ลว ใหน ําเขาขอ บัญญัติจงั หวัด ตามระเบียบและวธิ ีการงบประมาณขององคก ารบริหารสวนจังหวดั สภาจังหวัดจะเปลี่ยนแปลงโครงการใชจ ายเงินของหมูบา นมิได มาตรา ๒๘ ใหน ายอําเภอเปนผูควบคุมการปฏิบตั ิหนา ท่ขี องคณะกรรมการกลางใหเ ปน ไป ตามกฎหมายและระเบยี บแบบแผนของทางราชการและมีอํานาจสัง่ ใหร ะงับการดาํ เนนิ การใดๆ ซึ่งเหน็ วา เปนผลเสยี หายแกท อ งท่หี รอื ราชการ แตถาคณะกรรมการกลางไมเห็นดว ยอาจอทุ ธรณไปยังผูวาราชการ จังหวดั ใหวนิ ิจฉัยช้ีขาดได มาตรา ๒๙ คณะกรรมการกลางหรือคณะกรรมการฝา ยใดดําเนนิ การหรือมีพฤติการณท ีจ่ ะ เปนการเสียหายแกทองทห่ี รือราชการ เมื่อไดท าํ การสอบสวนแลวปรากฏวา เปน ความจรงิ ใหผ วู าราชการ จงั หวดั มีอาํ นาจส่งั ยุบคณะกรรมการกลางหรือคณะกรรมการฝา ยน้นั ได

- 86 - เมอื่ ผูวาราชการจงั หวดั สัง่ ยบุ คณะกรรมการกลางแลว ใหน ายอําเภอดําเนินการเลอื กต้ังกรรมการกลาง ผทู รงคุณวฒุ ขิ ้ึนแทนภายในสส่ี ิบหาวนั นบั แตวนั ทีส่ ั่งยุบ ระหวางที่คณะกรรมกลางถูกยบุ ใหน ายอาํ เภอรบั ผิดชอบ ปฏิบัติงานแทนคณะกรรมการกลาง ในกรณที ีผ่ วู าราชการจังหวดั สั่งยบุ คณะกรรมการฝา ยใด ใหค ณะกรรมการกลางเลือกประธาน คณะกรรมการฝา ยนั้นโดยมิชกั ชา และใหประธานคณะกรรมการฝายดาํ เนนิ การคัดเลือกบคุ คลเขา มารว ม บรหิ ารงานตามมาตรา ๑๗ สรุปประเด็นทีน่ ายอําเภอมอี ํานาจหนาที่ 1. นายอาํ เภอมหี นา ทก่ี าํ หนดจาํ นวนกรรมการกลาง กรรมการกลางผูทรงคุณวฒุ ิในคณะกรรมการ กลางหมูบ านอาสาพฒั นาและปองกันตนเอง ตามสภาพเศรษฐกจิ และสงั คมของหมูบาน 2. นายอาํ เภอมอี ํานาจในการพจิ ารณาและอนุญาตใหประธานคณะกรรมการกลางลาออกจาก ตาํ แหนง 3. นายอาํ เภอมหี นา ทใ่ี นการเลือกต้ังกรรมการกลางผทู รงคณุ วฒุ ิ โดยใหนายอาํ เภอหรอื หวั หนาสว นราชการประจําอําเภอ หรอื ปลัดอาํ เภอซึง่ นายอําเภอมอบหมาย เปนประธาน พรอ มกํานนั และ ผูใหญบานในหมบู านนั้น ประชมุ ราษฎรผูมีคณุ สมบัติและไมอ ยใู นลักษณะตองหาม เมื่อราษฎรสว นมาก เลือกผูท ี่ถกู เสนอชื่อผใู ดเปนกรรมการกลาง และเปนผมู ีคณุ สมบตั แิ ละไมอยูในลักษณะตอ งหามตามมาตรา ๑๐ แลว ใหถอื วา ผนู น้ั เปนกรรมการกลางผทู รงคุณวฒุ ิ และใหน ายอาํ เภอรายงานไปยงั ผวู าราชการจังหวัด เพ่ือออกหนงั สอื สาํ คญั ตามแบบทายระเบียบกระทรวงมหาดไทยไวเ ปน หลกั ฐาน 4. นายอาํ เภอมอี าํ นาจพจิ ารณาอนญุ าตใหกรรมการกลางผูทรงคุณวฒุ ิลาออกจากตาํ แหนง 5. นายอาํ เภอมอี ํานาจพจิ ารณาใหกรรมการกลางผูทรงคุณวฒุ ิออกเพราะขาดคณุ สมบตั ิหรือมี ลกั ษณะตอ งหา ม 6. นายอาํ เภอมอี ํานาจพจิ ารณาใหกรรมการกลางผทู รงคณุ วุฒิลาออกจากตําแหนง เพราะไมมา ประชุมสามคร้งั ติดตอกนั โดยไมม เี หตผุ ลอันสมควร 7. นายอาํ เภอมอี าํ นาจพจิ ารณาอนญุ าตใหทป่ี รึกษาคณะกรรมการลาออกจากตาํ แหนง 8. นายอาํ เภอมอี าํ นาจสั่งใหท่ปี รึกษาคณะกรรมการพน จากตาํ แหนง 9. กรณีท่ีปรกึ ษาคณะกรรมการถูกยา ยไปดาํ รงตําแหนง อ่ืนซงึ่ ทาํ ใหไมส ามารถปฏิบตั ิงานท่ี เก่ยี วขอ งกบั หมบู านนั้นไดทําใหต าํ แหนง ทีป่ รึกษาคณะกรรมการวางลง ใหน ายอาํ เภอทองทีพ่ จิ ารณา แตง ตั้งจากผูท่ีมคี ุณสมบัตทิ ่ีปรกึ ษาคณะกรรมการแทน 10. กรณที ี่มกี ารรวมหมูบา นตามมาตรา ๘ ในการประชุมครั้งแรก ใหน ายอําเภอหรือหวั หนา สว นราชการประจาํ อาํ เภอ หรือปลัดอาํ เภอซึง่ นายอําเภอมอบหมายเปนผนู ดั ประชุม และทาํ หนาทีป่ ระธาน ชว่ั คราวเพือ่ เลือกประธานคณะกรรมการกลาง สถานที่สําหรบั ประชมุ คณะกรรมการกลาง ใหใ ชส ถานทที่ ่ี คณะกรรมการกลางเหน็ สมควร 11. เม่ือมีปญ หาโตเ ถียงเกยี่ วกบั การประชมุ ซึง่ มไิ ดกําหนดไวในหมวดเร่ืองการประชุมตาม พระราชบัญญัตินใ้ี หประธานคณะกรรมการกลางนําขอโตเถยี งที่เกิดขึน้ เสนอตอนายอาํ เภอ คาํ วนิ จิ ฉยั ของนายอาํ เภอ ใหใชบังคับไดเ ฉพาะการประชมุ คราวนัน้ และใหนายอําเภอรายงานพฤติการณดังกลา วนไี้ ปยงั ผวู า ราชการจังหวัด เพื่อรายงานใหกระทรวงมหาดไทยทราบ

- 87 - 12. นายอําเภอมีอํานาจอนุมัติใหนําโครงการใชจายเงินของหมูบ านเขาขอบญั ญัติจังหวัดตามระเบียบ และวิธีการงบประมาณขององคการบริหารสว นจงั หวัด ซ่ึงสภาจงั หวัดจะเปลี่ยนแปลงโครงการใชจ ายเงนิ ของหมูบานมิได 13. นายอําเภอเปน ผคู วบคุมการปฏบิ ตั หิ นาท่ีของคณะกรรมการกลางใหเปนไปตามกฎหมาย และระเบียบแบบแผนของทางราชการและมีอํานาจส่ังใหระงับการดําเนินการใดๆ ซงึ่ เหน็ วาเปนผลเสียหายแก ทอ งที่หรอื ราชการ แตถา คณะกรรมการกลางไมเ ห็นดว ยอาจอุทธรณไ ปยงั ผวู า ราชการจงั หวดั ใหวนิ จิ ฉยั ช้ขี าดได 14. กรณีผวู าราชการจงั หวัดมอี ํานาจสัง่ ยุบคณะกรรมการกลาง เน่อื งจากคณะกรรมการกลางดําเนินการ หรือมีพฤติการณที่จะเปนการเสียหายแกทองทีห่ รือราชการ ใหน ายอาํ เภอดําเนินการเลือกต้ังกรรมการกลาง ผูทรงคณุ วุฒขิ ึ้นแทนภายในสส่ี บิ หาวนั นับแตวนั ที่สงั่ ยุบ ระหวางท่ีคณะกรรมกลางถกู ยบุ ใหน ายอาํ เภอรบั ผดิ ชอบ ปฏิบัติงานแทนคณะกรรมการกลาง (18) พระราชบัญญตั ิจัดรปู ท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตราทีเ่ กีย่ วขอ ง มาตรา ๘ เม่ือไดมพี ระราชกฤษฎีกากาํ หนดเขตโครงการจัดรปู ท่ีดนิ ตามมาตรา ๒๔ ใชบ งั คับในบรเิ วณ ใดในจงั หวดั ใดแลว ใหมคี ณะกรรมการจัดรูปทด่ี ินเพื่อเกษตรกรรมประจําจังหวัดขึ้นคณะหน่ึงในจังหวัดนน้ั เรียกวา “คณะกรรมการจดั รูปท่ีดนิ จงั หวดั ” ประกอบดว ยผวู า ราชการจงั หวดั เปน ประธานกรรมการ ปลดั จังหวดั อยั การจงั หวัด เจา พนกั งานท่ีดินจังหวัด เกษตรจงั หวดั สหกรณจ งั หวดั พฒั นาการจงั หวดั ผแู ทนกรมชลประทาน ผูแทนกรมพัฒนาทด่ี ิน ผแู ทนกรมทางหลวง ผแู ทนธนาคารเพอ่ื การเกษตรและสหกรณก ารเกษตร นายอาํ เภอ และปลดั อาํ เภอผูเ ปนหวั หนาประจาํ กิ่งอาํ เภอทองที่ในทองท่ที ่ีมีการจดั รูปท่ีดนิ เปน กรรมการ และกรรมการอื่น อกี ไมเกินหาคนซง่ึ รฐั มนตรแี ตงตั้งจากเจา ของทด่ี นิ ในเขตโครงการจดั รูปทดี่ ิน และใหหัวหนา สาํ นักงานจัด รปู ทีด่ นิ จงั หวัดเปน กรรมการและเลขานุการ มาตรา ๑๔ ใหค ณะกรรมการจดั รูปที่ดนิ จงั หวัดมีอํานาจหนาท่ีควบคุมดูแลโดยท่วั ไปซึง่ กิจการ ของสํานักงานจัดรปู ท่ีดินจังหวดั และใหมีอํานาจหนาที่ดังตอไปนี้ (๑) จดั ใหมีการสาํ รวจบรเิ วณทด่ี ินท่เี หน็ สมควรจะกําหนดเปนเขตโครงการจัดรูปทดี่ ิน และ สอบถามความสมัครใจของเจาของทีด่ ินวา จะใหดําเนนิ การจดั รปู ท่ดี นิ หรอื ไม และใหจ ัดทาํ บันทึกแสดง ความยินยอมหรือไมยินยอมไวเปนหลักฐาน (๒) ประเมินราคาที่ดินและทรัพยสนิ อนื่ ในท่ดี ินในเขตโครงการจดั รปู ท่ดี ินตามหลักเกณฑ และวธิ กี ารท่ีคณะกรรมการจดั รูปท่ีดนิ กลางกาํ หนด (๓) จัดทํางบประมาณคา ใชจายในการจดั รูปที่ดินในเขตโครงการจดั รปู ที่ดนิ แตละโครงการ เพ่ือเสนอคณะกรรมการจัดรูปที่ดนิ กลาง (๔) พจิ ารณาวางแผนผงั การจดั แปลงทดี่ นิ ระบบชลประทานและการระบายน้ํา การสราง ถนนหรอื ทางลาํ เลยี งในไรน า การปรับระดบั พ้ืนท่ีดนิ การแลกเปลย่ี น การโอน การรับโอนสทิ ธใิ นท่ดี ิน การให เชาซ้อื ที่ดิน และการอน่ื ๆ ทีเ่ ก่ียวกบั การจดั รูปทด่ี นิ ในเขตโครงการจดั รูปทดี่ ินเพือ่ เสนอคณะกรรมการจัดรปู ทด่ี ินกลาง

- 88 - (๕) จดั ใหม ีการประชุมเจา ของทดี่ นิ และผูม ีสิทธิไดร ับท่ีดนิ ในเขตโครงการจดั รปู ทีด่ ินเพื่อชีแ้ จง ใหเขา ใจความมงุ หมายวธิ กี ารจดั รูปที่ดนิ สิทธิ หนา ที่ความรบั ผิดชอบและประโยชนท ่ีเจา ของท่ีดนิ หรอื ผมู ีสิทธิ ไดร บั ทีด่ นิ จะพงึ ไดร บั และทาํ ความตกลงเกยี่ วกบั การจดั รูปทด่ี ิน (๖) ดําเนินการสอบสวนและวนิ จิ ฉัยคํารอ ง ประนปี ระนอมหรอื ไถถ อนการจาํ นองหรอื การขายฝาก ตามมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๖ (๗) ดาํ เนนิ การเก่ียวกบั การเงนิ และการอน่ื ๆ ทีเ่ กี่ยวกับการจัดรปู ท่ดี ินตามระเบยี บหรือขอ บงั คบั หรือมติของคณะกรรมการจัดรปู ทีด่ นิ กลาง หรอื ตามที่คณะกรรมการจดั รปู ท่ดี นิ กลางมอบหมาย (๘) วางระเบียบหรือขอบงั คบั เกย่ี วกับการปฏบิ ตั ิงานของสํานักงานจัดรูปที่ดินจงั หวัดเทา ที่ ไมข ดั หรือแยงกบั ระเบยี บหรือขอบงั คบั หรอื มตขิ องคณะกรรมการจดั รปู ที่ดินกลาง (๘ ทวิ) วางระเบียบหรือขอบังคบั เกี่ยวกบั การเปด หรอื ปด ประตกู ักนา้ํ หรอื สง่ิ อื่นทใ่ี ชในการ บงั คับนํ้าเขาสูทีด่ ินของเจาของที่ดินในเขตโครงการจดั รปู ที่ดนิ (๙) แตง ตั้งเจา หนา ทป่ี ฏบิ ตั งิ านประจําเขตโครงการจัดรูปทดี่ ินตามทส่ี าํ นักงานจัดรปู ท่ีดิน จงั หวัดเสนอ (๑๐) ดําเนินกิจการอื่นทเี่ กี่ยวกับการจัดรปู ที่ดนิ เพ่อื ใหเ ปน ไปตามวตั ถุประสงคของการจัดรปู ทดี่ นิ มาตรา ๒๔ การกําหนดเขตท่ดี ินในทองที่ใดใหเปน เขตโครงการจัดรูปที่ดิน ใหต ราเปนพระราชกฤษฎกี า ในพระราชกฤษฎกี าตามวรรคหนงึ่ ใหร ะบทุ ี่ดนิ หรืออสงั หารมิ ทรัพยอน่ื ที่อยใู นเขตโครงการจดั รูปทดี่ ิน พรอ มทัง้ รายช่ือเจาของหรือผูค รอบครองโดยชอบดวยกฎหมาย และใหม ีแผนท่ีแสดงเขตโครงการ จดั รปู ที่ดินแนบทายพระราชกฤษฎกี าน้ันดวย แผนท่ีดงั กลาวใหถือเปน สว นหน่ึงแหงพระราชกฤษฎีกา สรุปประเด็นทีน่ ายอําเภอมอี ํานาจหนาท่ี เมอ่ื ไดมีพระราชกฤษฎีกากาํ หนดเขตโครงการจดั รูปทด่ี นิ ตามมาตรา ๒๔ แหงพระราชบัญญัตจิ ดั รูป ที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๗ ใชบังคบั ในบริเวณใดในจังหวดั ใด ใหนายอาํ เภอและปลดั อาํ เภอผูเปน หวั หนาประจํากิง่ อาํ เภอทองที่ในทอ งทีท่ ่มี ีการจัดรปู ท่ีดิน เปน กรรมการโดยตาํ แหนงในคณะกรรมการจดั รปู ทีด่ นิ จังหวัด (19) พระราชบญั ญตั ชิ ่ือบคุ คล พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตราทีเ่ กี่ยวขอ ง มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัติน้ี “ชื่อตวั ” หมายความวา ชอื่ ประจาํ บุคคล “ชอ่ื รอง” หมายความวา ชื่อประกอบถดั จากช่ือตวั “ช่อื สกุล” หมายความวา ชอ่ื ประจําวงศส กลุ “นายทะเบยี น” หมายความวา นายทะเบียนทอ งที่ นายทะเบียนจังหวัด หรอื นายทะเบยี นกลาง ซึง่ รฐั มนตรีแตง ตงั้ ใหป ฏบิ ัตกิ ารตามพระราชบญั ญัตินี้

- 89 - มาตรา ๙ ผูมสี ญั ชาติไทยผูใดประสงคจ ะจดทะเบียนตงั้ ช่อื สกุล ใหยืน่ คําขอตอนายทะเบยี นทอ งท่ี ในทอ งทีท่ ่ตี นมชี ่ืออยูในทะเบยี นบา นตามกฎหมายวา ดว ยการทะเบยี นราษฎร เมือ่ นายทะเบียนทอ งท่ีพจิ ารณาเห็นวา ช่ือสกุลที่ขอต้ังน้ันไมขัดตอพระราชบญั ญัตินี้ กใ็ หเสนอตอไป ตามลาํ ดบั จนถงึ นายทะเบยี นกลาง เมอื่ ไดรบั อนุมัติจากนายทะเบยี นกลางแลว ใหนายทะเบยี นทองทร่ี ับจดทะเบยี น ชอ่ื สกลุ นน้ั และออกหนังสอื สาํ คัญแสดงการรบั จดทะเบียนชอ่ื สกุลใหแกผขู อ แตในกรณีที่สาํ นักทะเบียนใด สามารถเชอ่ื มโยงขอ มลู เขากบั เครอื ขา ยขอมลู ของสาํ นักทะเบยี นกลางตามทก่ี ระทรวงมหาดไทยประกาศกาํ หนดแลว ใหน ายทะเบยี นทองท่ีดาํ เนินการดังกลาวไดโ ดยไมต อ งไดร ับอนมุ ตั ิจากนายทะเบยี นกลาง การปฏบิ ตั กิ ารตามมาตรานใ้ี หเ ปน ไปตามหลกั เกณฑและวิธีการทกี่ ําหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๑๑ ผูจดทะเบยี นตง้ั ช่ือสกลุ จะอนญุ าตใหผ ูมีสญั ชาตไิ ทยผูใดรว มใชช อ่ื สกุลของตนก็ได โดยย่ืนคําขอตอ นายทะเบยี นทองทใ่ี นทองท่ีทีต่ นมีชอื่ อยูในทะเบียนบา นตามกฎหมายวาดวยการทะเบียนราษฎร การอนญุ าตตามมาตราน้ี จะสมบรู ณตอ เมื่อนายทะเบียนทอ งทีไ่ ดออกหนังสอื สาํ คัญแสดงการ อนญุ าตใหใชช อ่ื สกุลใหแกผ ทู ่ีจะใชช ่อื สกลุ น้นั ในกรณที ่ีผูจดทะเบียนตัง้ ชอื่ สกุลตายแลว ใหผสู บื สนั ดานของผูจ ดทะเบยี นตั้งชอ่ื สกุลในลําดับ ทีใ่ กลชดิ ทสี่ ุดซ่ึงยังมชี ีวิตอยูและใชช อื่ สกลุ นน้ั มสี ิทธอิ นุญาตตามวรรคหนึ่ง มาตรา ๑๒ คูสมรสมสี ิทธิใชช อื่ สกุลของฝา ยใดฝา ยหน่ึงตามทีต่ กลงกัน หรอื ตางฝา ยตา งใชช ือ่ สกุลเดิมของตน การตกลงกนั ตามวรรคหน่งึ จะกระทาํ เม่ือมีการสมรสหรอื ในระหวางสมรสก็ได ขอตกลงตามวรรคหนึ่ง คสู มรสจะตกลงเปลย่ี นแปลงภายหลังกไ็ ด มาตรา ๑๓ เมอื่ การสมรสสน้ิ สุดลงดวยการหยา หรอื ศาลพพิ ากษาใหเ พกิ ถอนการสมรส ใหฝายซง่ึ ใชช่ือสกลุ ของอีกฝา ยหนงึ่ กลับไปใชช ื่อสกุลเดิมของตน เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงดวยความตาย ใหฝ า ยซ่ึงยงั มีชวี ติ อยูและใชช ื่อสกลุ ของอกี ฝา ยหนงึ่ มี สิทธิใชช่ือสกุลนน้ั ไดตอไป แตเ มอ่ื จะสมรสใหม ใหกลับไปใชชอื่ สกุลเดิมของตน มาตรา ๑๕ ผอู ปุ การะเล้ียงดเู ด็ก หรอื เจา ของสถานพยาบาล สถานสงเคราะหหรอื สถาน อปุ การะเลย้ี งดูเดก็ ประสงคจ ะจดทะเบยี นตง้ั ชอ่ื สกุลของเด็กซ่งึ ตนอปุ การะเล้ยี งดหู รอื เดก็ แหง สถานดังกลาว ซึง่ มสี ญั ชาติไทยแตไมป รากฏช่ือสกลุ ใชรว มกันหรอื แยกกัน ใหย ่นื คําขอตอ นายทะเบียนทองท่ีทผี่ ูอุปการะ เล้ียงดูมชี อ่ื อยูในทะเบียนบา นตามกฎหมายวา ดว ยการทะเบียนราษฎรหรือท่สี ถานดังกลา วตง้ั อยู และให นาํ ความในวรรคสองและวรรคสามของมาตรา ๙ มาใชบงั คับโดยอนโุ ลม มาตรา ๑๖ ผูมีชอ่ื ตัวหรือชือ่ รองอยูแ ลวประสงคจ ะเปล่ียนช่ือตัวหรือช่ือรอง ใหย นื่ คาํ ขอตอ นายทะเบยี นทองที่ในทองท่ีที่ตนมชี ือ่ อยใู นทะเบยี นบานตามกฎหมายวา ดว ยการทะเบียนราษฎร เมอ่ื นายทะเบยี น ทองท่ีเหน็ วาชือ่ ตวั หรือชือ่ รองท่ีขอเปลยี่ นใหมน ัน้ ไมข ัดตอพระราชบัญญัตนิ ้ี ก็ใหอนญุ าตและออกหนงั สือ สาํ คญั แสดงการเปล่ยี นชอื่ ให มาตรา ๑๗ ผมู ีชอ่ื สกุลอยูแลว ประสงคจะขอตั้งช่ือสกุลใหม ใหยื่นคําขอตอนายทะเบียนทองท่ี ในทอ งทีท่ ต่ี นมชี ื่ออยูในทะเบียนบา นตามกฎหมายวาดวยการทะเบียนราษฎร และใหน าํ ความในวรรคสอง และวรรคสามของมาตรา ๙ มาใชบ งั คับโดยอนุโลม

- 90 - มาตรา ๑๘ ในกรณีทน่ี ายทะเบยี นสง่ั ไมร ับจดทะเบยี นชือ่ สกุล ผขู อจดทะเบยี นชื่อสกลุ มสี ิทธิอทุ ธรณ คาํ ส่ังของนายทะเบียนตอรัฐมนตรภี ายในสามสบิ วนั นับแตว ันทราบคําสงั่ โดยย่นื อทุ ธณตอ นายทะเบียนทอ งท่ี คาํ วนิ ิจฉัยของรฐั มนตรใี หเ ปนท่สี ดุ มาตรา ๑๙ ผูใ ดประสงคจะใชราชทินนามของตน ของผูบ ุพการหี รือของผสู ืบสนั ดานเปน ช่อื สกลุ ใหยื่นคําขอตอ นายทะเบียนทอ งท่ีในทองท่ีท่ตี นมชี ่ืออยูในทะเบียนบานตามกฎหมายวาดว ยการ ทะเบียนราษฎร แลว ใหน ายทะเบยี นทองท่นี ัน้ เสนอตอไปตามลําดบั จนถึงนายทะเบยี นกลาง เมอ่ื นายทะเบยี นกลางพิจารณาเหน็ สมควร ใหเ สนอรฐั มนตรีเพื่อนาํ ความกราบบงั คมทลู เมอ่ื ไดร บั พระบรมราชานญุ าตแลว จึงใหน ายทะเบยี นทองท่ีรบั จดทะเบยี นช่ือสกุลน้นั และออกหนังสอื สาํ คัญ แสดงการรบั จดทะเบียนชื่อสกลุ ใหแ กผูขอ กฎหมายลําดับรองท่เี ก่ียวของ 1. ระเบียบกระทรวงมหาดไทยวา ดวยการทะเบยี นช่ือบคุ คล พ.ศ. ๒๕๕๑ ขอ ๕ ผมู สี ัญชาติไทยท่ปี ระสงคจะเปล่ยี นช่ือตัว ใหยืน่ คาํ ขอตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบยี น ทอ งท่ี ณ สาํ นกั งานเขต ที่วา การอาํ เภอหรือทว่ี าการกง่ิ อําเภอ ท่ีตนมีช่ืออยูใ นทะเบยี นบาน ขอ ๖ ผูมีสัญชาติไทยท่ีประสงคจะต้ังหรือเปล่ยี นช่ือรอง ใหย ืน่ คําขอตามแบบ ช. ๑ ตอนายทะเบยี น ทอ งท่ี ณ สํานกั งานเขต ทว่ี าการอาํ เภอหรอื ทวี่ าการกง่ิ อาํ เภอ ที่ตนมชี ื่ออยใู นทะเบยี นบาน ขอ ๗ ผใู ดประสงคจะใชร าชทนิ นามของตนเปนชอื่ ตัวหรือชือ่ รอง ใหยืน่ คําขอตามแบบ ช.๑ ตอนายทะเบยี นทอ งท่ี ณ สาํ นกั งานเขต ทว่ี า การอาํ เภอหรือท่วี า การกิง่ อําเภอ ท่ตี นมชี ่ืออยใู นทะเบยี นบา น ขอ ๘ คนตางดาวผใู ดประสงคจ ะขอหลักฐานการเปลี่ยนชอื่ ตัว เพอ่ื ประกอบการขอแปลงสัญชาติ หรือขอกลับคืนสญั ชาติไทย ใหยน่ื คําขอตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบียนทองท่ี ณ สํานกั งานเขตทว่ี า การอําเภอ หรอื ที่วา การกิ่งอําเภอ ท่ีตนมีชือ่ อยใู นหลกั ฐานตามที่ทางราชการกาํ หนด ขอ ๙ ผมู สี ญั ชาตไิ ทยทปี่ ระสงคจ ะขอจดทะเบียนตั้งชือ่ สกุลหรือขอตั้งชอ่ื สกุลใหมใหย นื่ คําขอ ตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบยี นทอ งที่ ณ สํานักงานเขต ทว่ี าการอาํ เภอหรือทว่ี าการกิ่งอําเภอท่ีตนมชี ื่ออยู ในทะเบียนบาน ขอ ๑๐ คนตา งดา วผูใดประสงคจะขอหลกั ฐานการขอจดทะเบยี นตัง้ ชือ่ สกุล เพ่ือประกอบการขอ แปลงสัญชาตหิ รือขอกลับคืนสญั ชาติไทย ใหย ่ืนคําขอตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบียนทองท่ี ณ สาํ นักงานเขต ที่วา การอําเภอหรือทีว่ า การก่ิงอาํ เภอ ท่ีตนมชี อื่ อยูในหลกั ฐานตามที่ทางราชการกาํ หนด ขอ ๑๑ ผใู ดจะขอใชราชทินนามของตนเปน ชอื่ สกลุ ใหยืน่ คําขอตามแบบ ช. ๑ ตอนายทะเบยี น ทอ งท่ี ณ สาํ นักงานเขต ทวี่ า การอําเภอหรือทวี่ า การกงิ่ อําเภอ ท่ตี นมชี ่อื อยูในทะเบยี นบาน

- 91 - ขอ ๑๒ ผใู ดจะขอใชร าชทินนามของบุพการหี รอื ของผสู บื สนั ดานเปนช่อื สกุล ใหย่นื คาํ ขอ ตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบยี นทอ งที่ ณ สาํ นักงานเขต ท่วี า การอําเภอหรือท่ีวา การกิ่งอําเภอ ท่ตี นมชี ่อื อยใู นทะเบยี นบา น ขอ ๑๓ ผจู ดทะเบียนตั้งชอื่ สกุลผใู ด จะอนญุ าตใหผมู ีสัญชาตไิ ทยผูใดรว มใชช่อื สกลุ ของตนก็ได โดยใหเ จาของชื่อสกลุ ท่ีจดทะเบยี นต้ังชื่อสกุลหรือต้ังชอื่ สกุลใหมไ วแ ลว ยน่ื คําขอตามแบบ ช. ๑ พรอ ม หนังสอื สาํ คญั แสดงการจดทะเบียนชือ่ สกลุ ตามแบบ ช. ๒ ของตนตอนายทะเบยี นทอ งท่ี ณ สาํ นักงานเขต ท่ีวา การอําเภอหรอื ที่วา การกิ่งอําเภอ ทต่ี นมชี อ่ื อยใู นทะเบียนบาน ขอ ๑๔ กรณีท่ีผูจดทะเบียนต้ังช่ือสกุลตายแลว หรือศาลมีคําส่ังถึงที่สุดวา เปน ผสู าบสูญ ผูสืบสันดาน ของผูจดทะเบียนตั้งชื่อสกุลในลําดบั ที่ใกลชิดทีส่ ุดซ่ึงยังมีชวี ติ อยู และใชชอื่ สกุลน้นั จะอนญุ าตใหผูมีสญั ชาตไิ ทย ผูใ ดรว มใชช อื่ สกุลของตนใหย ืน่ คาํ ขอตามแบบ ช. ๑ ตอนายทะเบยี นทองที่ ณ สาํ นกั งานเขต ท่วี าการอาํ เภอ หรอื ทว่ี า การกง่ิ อําเภอ ทีต่ นมชี อื่ อยูในทะเบียนบาน พรอมแสดงหนงั สือสําคัญแสดงการจดทะเบยี นช่ือสกลุ ตามแบบ ช. ๒ ของเจา ของชือ่ สกลุ และหลกั ฐานทางราชการทสี่ ามารถพสิ จู นไ ดว า เปนผูมสี ทิ ธิอนุญาตใหผ อู ่นื รว มใชช่อื สกลุ ได ตามที่กฎหมายบัญญตั ิไว เชน ทะเบียนสมรส ทะเบียนรับรองบุตร คําพิพากษาถึงทส่ี ดุ วาเปน บุตร เปนตน ขอ ๑๕ ผูมีสทิ ธิอนญุ าตใหผ ูอน่ื รว มใชชอ่ื สกุล จะอนญุ าตใหผ ูมีสญั ชาติไทยผูใดรว มใชชือ่ สกลุ ของตนกไ็ ด ใหย ืน่ คาํ ขอตามแบบ ช. ๑ พรอมหนงั สือรับรองเปน ผูมสี ิทธิอนุญาตใหผูอ่ืนรว มใชช อื่ สกลุ ตามแบบ ช. ๗ ตอ นายทะเบยี นทอ งที่ ณ สํานกั งานเขต ที่วาการอําเภอหรอื ทวี่ า การก่ิงอําเภอ ท่ีตนมีชอื่ อยใู นทะเบยี นบา น ขอ ๑๗ คสู มรสท่ีประสงคจะใชช ่ือสกลุ ของอีกฝา ยหนึ่ง หรอื ใชช ื่อสกุลเดิมของตนใหย่นื คําขอ ตามแบบ ช. ๑ ตอนายทะเบยี นทองท่ี ณ สํานักงานเขต ทว่ี า การอาํ เภอหรอื ทว่ี า การก่ิงอําเภอทีต่ นมชี ่ืออยู ในทะเบียนบาน ขอ ๑๘ กรณีคูสมรสเปลย่ี นแปลงขอตกลงในการใชช ือ่ สกุลในภายหลงั ใหคูสมรสยนื่ คาํ ขอ ตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบยี นทอ งท่ี ณ สาํ นกั งานเขต ที่วาการอําเภอหรือทีว่ า การก่ิงอําเภอ ท่ตี นมชี ือ่ อยใู นทะเบียนบา น ขอ ๑๙ กรณคี สู มรสฝายใดจะกลับมาใชช ่อื สกุลเดมิ ของตน ใหย่ืนคําขอตามแบบ ช.๑ ตอ นายทะเบียน ทอ งท่ี ณ สํานกั งานเขต ที่วาการอําเภอหรือท่วี า การก่งิ อาํ เภอ ที่ตนมชี ่อื อยใู นทะเบียนบาน ขอ ๒๐ เม่อื การสมรสสิ้นสดุ ลงโดยการหยา หรอื โดยคาํ พิพากษาของศาล ใหคูส มรสซงึ่ ใชช่ือ สกุลของอกี ฝายหนงึ่ ตอ งกลบั ไปใชช่อื สกุลเดมิ ของตนโดยย่ืนคําขอตามแบบ ช. ๑ ตอนายทะเบียนทองท่ี ณ สํานกั งานเขต ทวี่ าการอาํ เภอหรอื ท่วี าการก่งิ อาํ เภอ ที่ตนมีชอ่ื อยใู นทะเบยี นบา น ขอ ๒๑ เมอ่ื การสมรสสน้ิ สดุ ลงโดยการตาย คสู มรสซง่ึ ใชชื่อสกลุ ของอีกฝา ยหนงึ่ หากจะสมรสใหม ตอ งกลับไปใชชอ่ื สกลุ เดิมของตนโดยยืน่ คําขอตามแบบ ช. ๑ พรอ มหลกั ฐานการตายของคสู มรสอีกฝาย หนง่ึ ตอ นายทะเบียนทองท่ี ณ สํานกั งานเขต ทีว่ า การอําเภอหรือทีว่ าการกง่ิ อาํ เภอ ทตี่ นมีชื่ออยูใ น ทะเบยี นบา น

- 92 - ขอ ๒๒ ผูใดประสงคจะเปลี่ยนช่อื สกลุ ดวยเหตุอืน่ นอกจากที่กลา วมาแลวใหยื่นคาํ ขอตาม แบบ ช. ๑ ตอนายทะเบยี นทองท่ี ณ สาํ นกั งานเขต ท่ีวา การอําเภอหรือทีว่ าการกิ่งอําเภอ ที่ตนมชี ื่ออยูใน ทะเบยี นบาน ขอ ๒๓ กรณนี ายทะเบียนทองทีส่ ั่งไมร บั จดทะเบยี นช่อื สกลุ และผยู ่ืนคําขอจดทะเบยี นช่ือสกลุ ประสงคจะอทุ ธรณค ําสั่ง ใหผ ยู ื่นคาํ ขออุทธรณคําสง่ั ของนายทะเบียนทองที่ตอรัฐมนตรวี าการกระทรวงมหาดไทย ภายในสามสิบวันนบั แตวนั ทราบคําสัง่ โดยใหยนื่ อุทธรณเ ปนหนังสอื โดยระบุขอโตแยง และขอเท็จจริง หรอื ขอ กฎหมายอางอิงประกอบดว ย ตอ นายทะเบียนทอ งท่ี ณ สาํ นกั งานเขต ทีว่ า การอําเภอหรอื ท่วี าการ ก่ิงอําเภอ ท่ตี นมีช่อื อยใู นทะเบยี นบา น และใหนายทะเบียนทองทพี่ ิจารณาคาํ อุทธรณ และรายงานความเหน็ เกยี่ วกับขอเท็จจริงอนั เปนสาระสาํ คญั ขอกฎหมายที่อา งอิง และขอ พจิ ารณาหรือขอ สนับสนุนในการใช ดลุ พนิ จิ ผานนายทะเบียนจังหวัดถงึ นายทะเบยี นกลางโดยเร็ว ขอ ๒๔ กรณีนายทะเบยี นทองท่ีสั่งไมอนุญาตใหเ ปลย่ี นชื่อตวั ต้ังหรือเปลยี่ นชอ่ื รองหรอื รว ม ใชช ือ่ สกุล หรือเปลย่ี นชอ่ื สกลุ ใหน ายทะเบียนทองท่แี จงในคําขอตามแบบ ช. ๑ ใหผูยืน่ คาํ ขอทราบเปน ลายลักษณอกั ษรพรอมเหตผุ ล และหากผยู ่นื คาํ ขอประสงคจะอุทธรณคําสั่งของนายทะเบยี นทองที่ ใหผ ยู ่ืนคาํ ขอ อทุ ธรณเ ปนหนังสือภายในสามสิบวนั นบั แตวนั ทราบคาํ สง่ั ตอนายทะเบยี นทองที่ ณ สาํ นกั งานเขต ทว่ี า การอําเภอ หรือทีว่ าการกิ่งอําเภอ ท่ีตนมีชือ่ อยูในทะเบยี นบา นโดยระบขุ อ โตแ ยงและขอเท็จจรงิ หรอื ขอกฎหมาย อางองิ ประกอบดว ย ขอ ๒๗ กรณีผูรวมใชชือ่ สกุลมคี วามประสงคจ ะขอจดทะเบยี นต้งั ชอื่ สกุลใหมต ามขอ ๙ หรอื รว มใชช่อื สกุลใหมต ามขอ ๑๖ ใหย่นื คาํ ขอพรอมหนงั สือสาํ คัญแสดงการรวมใชช อื่ สกุลตามแบบ ช. ๔ ตอ นายทะเบยี นทอ งที่ ขอ ๒๘ เม่อื ไดร ับจดทะเบยี นหรอื บันทึกทะเบียนหรอื บนั ทกึ เปล่ยี นแปลงเกีย่ วกับช่อื ตวั ชอื่ รอง และชอ่ื สกลุ ไวแลว ใหน ายทะเบียนทองทจ่ี ดั เกบ็ ขอมลู ไวในฐานขอ มูลทะเบียนช่อื บุคคลและใหนายทะเบยี น จังหวดั หรือผูท ไี่ ดร บั มอบหมายตรวจสอบความถูกตองของการรับจดทะเบยี นและการบนั ทกึ ทะเบยี น รวมทง้ั การ บันทึกเปลี่ยนแปลงเกีย่ วกบั ชื่อตวั ช่ือรองและชื่อสกุล จากฐานขอ มลู ทะเบียนช่ือบุคคลภายในวันท่หี า ของ ทกุ เดอื น หากพบขอบกพรองใหแจงนายทะเบียนทองท่ีดาํ เนินการแกไ ขใหถูกตอง ขอ ๓๑ ผูมีสวนไดเ สียจะขอใหน ายทะเบยี นทองท่ีออกใบแทนหนงั สือสําคญั เนื่องจากหนังสือ สาํ คัญแสดงการเปล่ียนชื่อตัว การต้ังหรือเปล่ียนช่ือรอง (ช. ๓) หรือหนังสือสําคัญแสดงการจดทะเบยี นชอ่ื สกลุ (ช. ๒) หรอื หนังสือสาํ คญั แสดงการรว มใชช่ือสกุล (ช. ๔) หรือหนังสอื แสดงการจดทะเบยี นเปล่ียนชอ่ื สกลุ (ช. ๕) ชาํ รดุ ในสาระสาํ คญั หรอื สูญหาย ใหย ่ืนคาํ ขอตามแบบ ช.๑ ตอ นายทะเบียนทองที่ ณ สํานักงานเขต ทีว่ าการอําเภอหรือทวี่ า การก่ิงอาํ เภอ ที่ตนมีชอ่ื อยูในทะเบียนบา น ขอ ๓๓ ผมู ีสวนไดเ สยี จะขอใหนายทะเบียนกลาง หรือนายทะเบียนจังหวัด หรือนายทะเบียน ทอ งท่ี ทาํ สําเนาและรับรองสําเนารายการในฐานขอ มูลทะเบียนชอื่ บคุ คลไดที่สาํ นกั ทะเบียนกลาง สาํ นกั ทะเบยี นจงั หวดั สํานกั ทะเบยี นทองที่อําเภอ ก่งิ อาํ เภอ หรือสํานักงานเขตแหง ใดแหงหนง่ึ กไ็ ด ในวนั และ เวลาราชการ

- 93 - ขอ ๓๔ ผูม สี ว นไดเ สียจะขอทําสําเนาและรับรองสาํ เนารายการในฐานขอ มลู ทะเบียนชือ่ บคุ คล ไดแก คาํ ขอ (ช. ๑) ทะเบียนชื่อสกุล (ช. ๒/๑) ทะเบยี นชอ่ื ตวั ชือ่ รอง (ช. ๓/๑)ทะเบยี นรวมใชชื่อสกลุ (ช. ๔/๑) ทะเบยี นเปลย่ี นชอ่ื สกุล (ช. ๕/๑) ทะเบียนอนญุ าตใหรวมใชชื่อสกุล(ช. ๖/๑) ทะเบียนรับรองเปน ผมู สี ทิ ธิ อนุญาตใหผ ูอนื่ รวมใชช่อื สกลุ (ช. ๗/๑) ทะเบียนรับรองการขอเปล่ียนชือ่ ตวั ของคนตางดาว (ช. ๘/๑) ทะเบยี นรบั รองการขอจดทะเบียนชอ่ื สกลุ ของคนตา งดา ว (ช.๙/๑) ใหย ื่นคาํ ขอตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบยี น กลางหรือนายทะเบียนจังหวัด หรือนายทะเบียน สรุปประเดน็ ทนี่ ายอําเภอมีอํานาจหนาที่ นายอาํ เภอเปนนายทะเบยี นทองทตี่ ามคาํ ส่ังกระทรวงมหาดไทย ท่ี ๑๔๓๗/๒๕๐๕ ลงวันที่ ๖ ธนั วาคม ๒๕๐๕ มีหนา ทต่ี ามทบ่ี ัญญตั ิไวใ นพระราชบญั ญตั ิชอ่ื บุคคล พ.ศ. ๒๕๐๕ เชน การจดทะเบยี น ชอ่ื สกุลและออกหนังสอื สําคัญแสดงการรับจดทะเบยี นช่ือสกลุ การออกหนังสือสําคญั แสดงการอนญุ าตให ใชช อื่ สกลุ ใหแ กผูทจี่ ะใชช ่อื สกุล การอนญุ าตและออกหนงั สอื สาํ คัญแสดงการเปลยี่ นชอื่ ตวั หรอื ชอ่ื รอง เปนตน (20) พระราชบญั ญตั บิ ตั รประจาํ ตวั ประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตราท่เี กยี่ วของ มาตรา ๔ ในพระราชบญั ญัตินี้ “บตั ร” หมายความวา บัตรประจําตัวประชาชน “ผูถอื บตั ร” หมายความวา ผมู ชี ื่อเปน เจาของบัตร “ทะเบยี นบา น” หมายความวา ทะเบยี นบานตามกฎหมายวา ดว ยการทะเบยี นราษฎร “เจาพนักงานออกบัตร” หมายความวา ผูซงึ่ รฐั มนตรแี ตงตงั้ ใหป ฏบิ ตั กิ ารตามพระราชบัญญัตนิ ี้ “เจา พนักงานตรวจบัตร” หมายความวา ผูซ่ึงรัฐมนตรแี ตงตง้ั ใหป ฏิบตั ิการตามพระราชบัญญัตนิ ี้ “พนักงานเจาหนาท่”ี หมายความวา ผซู ึ่งรัฐมนตรีแตงต้งั ใหป ฏบิ ตั ิการตามพระราชบัญญัติน้ี “รัฐมนตรี” หมายความวา รฐั มนตรีผรู ักษาการตามพระราชบญั ญตั นิ ี้ มาตรา ๕ ผมู สี ญั ชาติไทยซง่ึ มีอายุตั้งแตเ จด็ ปบ รบิ ูรณ แตไ มเกินเจด็ สบิ ปบรบิ ูรณแ ละมีช่ือใน ทะเบยี นบานตองมีบัตรตามท่ีกาํ หนดในพระราชบัญญัตนิ ้ี ความในวรรคหนึ่งไมใชบังคบั แกผ ูซึ่งไดรบั การยกเวน ตามท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง ผซู ึ่งไดรับการยกเวน ตามกฎกระทรวงตามวรรคสอง ซึ่งมีบัตรประจาํ ตัวตามกฎหมายอนื่ ใหใ ช บัตรประจําตวั นัน้ แทนได ผซู ่งึ มอี ายเุ กนิ เจ็ดสิบปและผซู ง่ึ ไดรบั การยกเวนตามกฎกระทรวงจะขอมีบัตรกไ็ ด มาตรา ๖ ผซู ง่ึ ตองมีบัตรตามมาตรา ๕ ใหย น่ื คําขอมบี ัตรตอพนกั งานเจา หนาทภ่ี ายในกาํ หนด หกสบิ วันนบั แต (๑) วันท่ีอายุครบเจด็ ปบรบิ ูรณ

- 94 - (๒) วันท่ไี ดสัญชาตไิ ทย สําหรบั ผไู มไ ดสญั ชาติไทยโดยการเกิด หรอื ไดก ลับคืนสัญชาติไทย ตามกฎหมายวาดวยสัญชาติ (๓) วันท่ีนายทะเบียนเพ่มิ ช่ือในทะเบียนบา นตามกฎหมายวาดวยการทะเบยี นราษฎร (๔) วนั ท่ีพนสภาพจากการไดร ับการยกเวน มาตรา ๖ ทวิ บัตรใหใชไดนับแตว ันออกบัตรและมีอายแุ ปดปน บั แตว นั เกิดของผถู ือบัตรที่ถงึ กาํ หนดภายหลังจากวนั ออกบัตร บัตรทย่ี ังไมห มดอายุในวันที่ผูถือบตั รมีอายคุ รบเจ็ดสบิ ปบริบูรณ ใหใ ชบตั รนนั้ ตอไปไดต ลอดชีวติ มาตร ๖ ตรี ผถู อื บตั รตองมบี ัตรใหม โดยยนื่ คาํ ขอตอพนักงานเจาหนา ที่ภายในหกสิบวนั นับแต วันทบี่ ตั รเดิมหมดอายุ ผถู ือบตั รจะขอมีบตั รใหมกอนวนั ทบ่ี ัตรเดิมหมดอายกุ ็ได โดยยน่ื คาํ ขอตอพนักงานเจา หนา ที่ ภายในหกสิบวนั กอนวันทบ่ี ตั รเดมิ หมดอายุ มาตรา ๖ จัตวา ผถู อื บัตรตองมีบัตรใหมหรือเปลย่ี นบัตร แลว แตกรณี โดยยน่ื คําขอตอ พนกั งานเจาหนาท่ีภายในกําหนดหกสบิ วันนบั แต (๑) วันทีบ่ ัตรหายหรือถูกทําลาย (๒) วันที่บัตรชํารดุ ในสาระสําคญั (๓) วนั ท่แี กไขชอ่ื ตวั ชือ่ สกลุ หรือชือ่ ตัวและชื่อสกุลในทะเบียนบาน ผูถอื บัตรผูใ ดยา ยท่ีอยจู ะขอเปลย่ี นบตั รก็ได มาตรา ๘ การขอมีบัตร การขอมีบัตรใหม การขอเปลีย่ นบัตร การออกบัตรและการออก ใบรับและการออกใบแทนใบรับ ใหเ ปน ไปตามแบบ หลกั เกณฑ และวธิ ีการท่กี าํ หนดในกฎกระทรวง ในกรณีทีพ่ นักงานเจา หนาทีไ่ มส ามารถออกบตั รใหผูย่ืนคําขอไดในวันเดียวกันให ออกใบรับแกผยู ืน่ คําขอ ใบรบั หรอื ใบแทนใบรบั นนั้ ใหใ ชไ ดเสมือนบัตรตามระยะเวลาท่ีกําหนดไวใ นใบรับหรือใบแทน ใบรับ และการใชใ บรับหรือใบแทนใบรับใหใชรวมกบั บตั รเดิม เวนแตเปนกรณีการขอมบี ัตรครัง้ แรกหรือ บัตรหายหรือถูกทําลายทั้งหมด มาตรา ๙ ผูถอื บัตรผูใ ดเสยี สัญชาตไิ ทยเมื่อใด ไมว า ดว ยเหตุใดผูนัน้ หมดสทิ ธิท่ีจะใชบ ัตรนนั้ ทนั ที และตองสง มอบบตั รนั้นใหแ กพนักงานเจาหนา ท่แี หงทอ งท่ีท่ตี นมีช่ืออยใู นทะเบยี นบา นภายใน สามสบิ วนั นบั แตว ันที่เสยี สญั ชาติไทย มาตรา ๑๐ ภายใตบ ังคับมาตรา ๗/๑ ผูมีสวนไดเสียโดยตรงจะขอตรวจหลักฐานรายการหรอื ขอมลู ใดเก่ยี วกบั บัตร และจะขอใหพนักงานเจาหนา ท่ีถายเอกสารหรอื คดั และรบั รองสาํ เนาดว ยกไ็ ด ทัง้ น้ี ตามหลักเกณฑ วิธกี าร และเง่ือนไขท่กี ําหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๒๒ บรรดาความผดิ ตามพระราชบัญญัตนิ ซี้ ่งึ มโี ทษปรบั สถานเดียว ใหพนักงานเจาหนา ที่ มีอํานาจเปรียบเทียบปรับได เมอ่ื ผูตอ งหาชําระคาปรับตามท่ีเปรยี บเทียบภายในระยะเวลาท่ีกําหนดแลว ใหถอื วา คดีเลกิ กันตามบทบัญญตั แิ หง ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook