- 45 - 9. นายอําเภอเปน พนักงานสอบสวนมอี ํานาจในการเปรียบเทียบและการสอบสวนคดีอาญา บางประเภทตามระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา ดว ยการเปรยี บเทียบและการสอบสวนคดีอาญาบางประเภท พ.ศ. 2521 10. นายอําเภอมอี ํานาจจบั กุมกรณีประสบเหตคุ วามผิดอาญา และมอี าํ นาจควบคมุ การสอบสวน ตามขอบังคับกระทรวงมหาดไทยวาดว ยระเบยี บการดําเนนิ คดอี าญา พ.ศ. 2523 แกไขเพม่ิ เติม(ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2523 (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2523 (ฉบบั ที่ 4) พ.ศ. 2525 (ฉบับท่ี 5) พ.ศ. 2536 (ฉบบั ท่ี 6) พ.ศ. 2537 และ (ฉบบั ท่ี 7) พ.ศ. 2538 11. นายอาํ เภอมีหนาทเ่ี กบ็ รักษาของกลางตามขอ บงั คบั การเกบ็ รักษาของกลาง พ.ศ. 2480 12. นายอาํ เภอเปน พนกั งานสอบสวนฝายปกครองเปรียบเทยี บคดลี ะเมดิ ขอบัญญตั ิทองถ่ินในความผิด ท่ีมโี ทษปรบั สถานเดียวอยา งสูงไมเ กนิ หนงึ่ หมื่นบาทหรือความผิดท่มี ีอัตราโทษจําคุกไมเกินหน่งึ เดอื น หรอื ปรับไมเ กนิ หนงึ่ พนั บาท หรือทัง้ จําท้ังปรับ และมีอาํ นาจตรวจสอบการเปรียบเทยี บของผูมอี ํานาจเปรียบเทียบ คดลี ะเมดิ เทศบญั ญตั ิและขอบัญญตั อิ งคการบรหิ ารสวนตาํ บล และการเปรยี บเทียบของผูมีอาํ นาจเปรียบเทียบ คดลี ะเมิดขอ บัญญัติองคการบริหารสวนจังหวัด ตามขอ บงั คับกระทรวงมหาดไทยวา ดว ยการเปรยี บเทยี บ และการสอบสวนคดลี ะเมิดขอบัญญัติทอ งถิ่น พ.ศ. 2547 13. นายอาํ เภอมหี นา ท่ีในการผูชันสูตรพลิกศพรวมกับพนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนและแพทย กรณีท่ีมีความตายเกดิ ข้นึ โดยการกระทําของเจาพนักงาน ซ่งึ อางวาปฏิบตั ิราชการตามหนาท่ี หรอื ตาย ในระหวางอยูในความควบคุมของเจา พนักงานซ่ึงอางวา ปฏบิ ตั ริ าชการตามหนาท่ี ตามขอบังคับกระทรวงมหาดไทย วา ดวยระเบยี บการปฏิบตั หิ นาที่ชันสูตรพลิกศพของพนกั งานฝายปกครอง พ.ศ. 2543 14. นายอาํ เภอเปน พนกั งานเจา หนา ท่ีผูมีอาํ นาจวินิจฉัยช้ขี าดในเบื้องตน วาผใู ดเปนเจา หนา ท่ี ผจู บั หรอื ผูแจงความนาํ จับในแตล ะคดี ตามระเบียบกรมการปกครองวาดว ยหลักเกณฑและวธิ กี ารจา ยเงนิ สนิ บน รางวลั และเงินคาใชจายในการดาํ เนินงาน พ.ศ. 2548 (2) ประมวลกฎหมายอาญา มาตราที่เกี่ยวของ ลกั ษณะ 2 ความผดิ เกี่ยวกบั การปกครอง หมวด 1 ความผิดตอเจาพนกั งาน หมวด 2 ความผิดตอตําแหนง หนาทร่ี าชการ สรปุ ประเด็นที่นายอําเภอมีอํานาจหนา ที่ นายอาํ เภอเปน เจา พนกั งานตามประมวลกฎหมายอาญา
- 46 - (3) ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย บรรพ 1 ลักษณะ 2 หมวด 2 สวนที่ 2 - 3 สมาคม มูลนธิ ิ มาตราทเี่ ก่ยี วขอ ง สมาคม มาตรา 78 การกอ ต้ังสมาคมเพ่ือกระทําการใดๆ อันมีลกั ษณะตอ เน่ืองรวมกนั และมิใชเ ปนการหา ผลกาํ ไรหรอื รายไดม าแบง ปน กัน ตอ งมีขอบังคับและจดทะเบียนตามบทบญั ญัตแิ หงประมวลกฎหมายน้ี มาตรา 81 การขอจดทะเบียนสมาคมน้นั ใหผ จู ะเปน สมาชิกของสมาคมจํานวนไมน อ ยกวา สามคน รวมกนั ย่ืนคําขอเปนหนังสือตอนายทะเบียนแหงทองทท่ี ่ีสํานักงานใหญของสมาคมจะตั้งขึ้น พรอมกบั แนบขอบังคับของสมาคม รายช่ือ ท่ีอยู และอาชีพของผูจะเปน สมาชกิ ไมน อยกวาสบิ คน และรายชือ่ ท่ีอยู และอาชีพของผูจ ะเปน กรรมการของสมาคมมากบั คําขอดวย มาตรา 82 เมอ่ื นายทะเบยี นไดรบั คําขอจดทะเบยี นพรอมทง้ั ขอบังคับแลว เห็นวาคําขอนนั้ ถกู ตอ งตามมาตรา 81 และขอ บงั คบั ถกู ตองตามมาตรา 79 และวัตถปุ ระสงคข องสมาคมไมขัดตอกฎหมายหรือ ศีลธรรมอนั ดีของประชาชน หรอื ไมเปนภยนั ตรายตอ ความสงบสขุ ของประชาชนหรอื ความมั่นคงของรฐั และรายการซ่ึงจดแจง ในคําขอหรอื ขอบังคับสอดคลอ งกับวัตถปุ ระสงคข องสมาคม และผจู ะเปนกรรมการ ของสมาคมนน้ั มฐี านะและความประพฤตเิ หมาะสมในการดาํ เนนิ การตามวตั ถปุ ระสงคข องสมาคม ใหน ายทะเบยี น รบั จดทะเบยี นและออกใบสาํ คัญแสดงการจดทะเบียนใหแกส มาคมน้นั และประกาศการจัดต้ังสมาคมใน ราชกจิ จานเุ บกษา ถานายทะเบียนเห็นวาคาํ ขอหรือขอบงั คบั ไมถูกตอ งตามมาตรา 81 หรือมาตรา 79 หรือ รายการซ่ึงจดแจง ในคาํ ขอหรือขอบงั คับไมสอดคลองกับวตั ถุประสงคของสมาคม หรือผจู ะเปน กรรมการ ของสมาคมมฐี านะหรือความประพฤติไมเ หมาะสมในการดําเนนิ การตามวตั ถปุ ระสงคของสมาคม ใหม ี คาํ ส่ังใหผ ยู ืน่ คําขอจดทะเบียนแกไขหรือเปลี่ยนแปลงใหถูกตองเมือ่ แกไขหรือเปลี่ยนแปลงถูกตองแลว ใหร ับ จดทะเบยี นและออกใบสาํ คัญแสดงการจดทะเบยี นใหแกส มาคมนัน้ ถานายทะเบยี นเหน็ วา ไมอาจรับจดทะเบยี นไดเ น่อื งจากวัตถุประสงคของสมาคมขดั ตอกฎหมาย หรอื ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน หรอื อาจเปนภยนั ตรายตอความสงบสุขของประชาชนหรือความมน่ั คงของรฐั หรือผยู ืน่ คาํ ขอจดทะเบยี นไมแกไขหรอื เปลย่ี นแปลงใหถ ูกตองภายในสามสบิ วนั นบั แตว นั ทีท่ ราบคําส่ังของ นายทะเบียน ใหนายทะเบียนมคี าํ ส่ังไมร บั จดทะเบียนและแจง คําส่ังพรอมดว ยเหตุผลท่ีไมรับจดทะเบียนไป ยังผยู นื่ คําขอจดทะเบียนโดยมิชกั ชา ผูยืน่ คําขอจดทะเบียนมีสทิ ธิอทุ ธรณคําสัง่ ไมรับจดทะเบียนนน้ั ตอ รฐั มนตรีวา การกระทรวงมหาดไทย โดยทาํ เปนหนงั สอื ยื่นตอนายทะเบียนภายในสามสบิ วันนบั แตว ันทไ่ี ดร บั แจงคําส่ังไมรับการจดทะเบียน ใหรัฐมนตรวี าการกระทรวงมหาดไทยวินิจฉัยอทุ ธรณ และแจง คาํ วนิ จิ ฉัยใหผูอทุ ธรณทราบ ภายในเกาสบิ วนั นับแตวนั ท่นี ายทะเบยี นไดร ับหนังสืออทุ ธรณ คาํ วินิจฉัยของรัฐมนตรีวา การกระทรวงมหาดไทย ใหเปนทส่ี ุด
- 47 - มาตรา 109 ใหร ัฐมนตรวี าการกระทรวงมหาดไทยรกั ษาการตามบทบญั ญัตใิ นสวนน้ี และ ใหมอี ํานาจแตงตง้ั นายทะเบยี นกบั ออกกฎกระทรวงเก่ยี วกับ (1) การยื่นคําขอจดทะเบียนและการรับจดทะเบียน (2) คา ธรรมเนยี มการจดทะเบยี น การขอตรวจเอกสาร การคดั สาํ เนาเอกสารและคาธรรมเนียม การขอใหน ายทะเบยี นดาํ เนินการใด ๆ เกยี่ วกับสมาคม รวมท้ังการยกเวนคาธรรมเนียมดังกลา ว (3) การดําเนินกิจการของสมาคมและการทะเบียนสมาคม (4) การอน่ื ใดเพอ่ื ปฏิบัตใิ หเปนไปตามบทบัญญตั ใิ นสว นนี้ กฎกระทรวงน้ัน เม่อื ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแลวใหใ ชบ ังคับได มลู นิธิ มาตรา 110 มูลนิธไิ ดแกทรัพยส ินที่จดั สรรไวโดยเฉพาะสําหรับวตั ถปุ ระสงคเ พ่ือการกศุ ล สาธารณะ การศาสนา ศลิ ปะ วทิ ยาศาสตร วรรณคดี การศึกษา หรือเพื่อสาธารณประโยชนอ ยา งอน่ื โดย มิไดม ุงหาผลประโยชนม าแบง ปนกัน และไดจดทะเบยี นตามบทบญั ญตั ิแหง ประมวลกฎหมายนี้ การจดั การทรัพยสินของมลู นิธิ ตองมใิ ชเ ปน การหาผลประโยชนเ พอ่ื บุคคลใด นอกจากเพ่ือ ดําเนินการตามวัตถุประสงคของมูลนิธนิ ้นั เอง มาตรา 111 มลู นธิ ิตองมีขอบงั คับ และตองมีคณะกรรมการของมลู นิธปิ ระกอบดว ยบคุ คล อยางนอยสามคน เปน ผูดําเนนิ กิจการของมูลนิธิตามกฎหมายและขอบังคับของมลู นิธิ มาตรา 114 การขอจดทะเบยี นมลู นธิ นิ ัน้ ใหผ ูขอจัดตง้ั มลู นิธิยืน่ คําขอเปน หนังสอื ตอ นายทะเบยี น แหง ทองทที่ ีส่ ํานักงานใหญของมูลนิธิจะต้งั ขนึ้ ในคาํ ขออยางนอยตองระบเุ จาของทรัพยส ินและรายการ ทรัพยส นิ ท่ีจะจัดสรรสําหรบั มูลนธิ ิ รายช่ือ ทอ่ี ยูและอาชีพของผูจะเปนกรรมการของมูลนธิ ิทกุ คน พรอมกบั แนบขอบังคบั ของมลู นธิ มิ ากบั คาํ ขอดวย มาตรา 115 เม่อื นายทะเบยี นไดรบั คําขอแลวเห็นวา คาํ ขอน้ันถูกตองตามมาตรา 114 และขอบังคับถกู ตองตามมาตรา 112 และวตั ถุประสงคเ ปนไปตามมาตรา 110 และไมขดั ตอกฎหมาย หรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน หรือไมเปน ภยันตรายตอ ความสงบสุขของประชาชนหรอื ความมน่ั คงของรฐั และ รายการซ่งึ จดแจงในคาํ ขอหรือขอบังคบั สอดคลองกับวตั ถุประสงคของมูลนธิ ิ และผูจะเปนกรรมการของ มูลนธิ ินัน้ มีฐานะและความประพฤตเิ หมาะสม ในการดาํ เนนิ การตามวัตถปุ ระสงคข องมลู นิธิ ใหน ายทะเบยี นรบั จดทะเบยี นและออกใบสาํ คญั แสดงการจดทะเบียนใหแกมูลนิธนิ ้นั และประกาศการจดั ตง้ั มลู นิธใิ นราชกิจจานุเบกษา ถา นายทะเบยี นเหน็ วาคําขอหรือขอบังคบั ไมถูกตองตามมาตรา 114 หรือมาตรา 112 หรือรายการซง่ึ จดแจงในคําขอหรอื ขอบังคับไมสอดคลอ งกับวัตถปุ ระสงคของมลู นธิ ิ หรือผจู ะเปนกรรมการ ของมูลนธิ มิ ีฐานะหรือวามประพฤติไมเหมาะสมในการดําเนินการตามวัตถุประสงคข องมูลนธิ ิ ใหม ีคาํ สัง่ ใหผ ูข อ จดทะเบียนแกไ ขหรอื เปล่ียนแปลงใหถ กู ตอ ง เมอ่ื แกไขหรือเปลีย่ นแปลงถูกตองแลว ใหรับจดทะเบียนและ ออกใบสําคัญแสดงการจดทะเบียนใหแ กมลู นธิ ินัน้
- 48 - ถานายทะเบียนเหน็ วาไมอ าจรบั จดทะเบยี นไดเน่ืองจากวตั ถปุ ระสงคของมูลนิธไิ มเปนไป ตามมาตรา 110 หรือขดั ตอ กฎหมายหรอื ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชนหรอื อาจเปน ภยนั ตรายตอ ความสงบ สขุ ของประชาชนหรอื ความม่ันคงของรฐั หรอื ผูขอจดทะเบียนไมแกไ ขหรอื เปลยี่ นแปลงใหถูกตองภายใน สามสบิ วนั นบั แตวนั ทที่ ราบคําสั่งของนายทะเบียน ใหน ายทะเบยี นมีคําสัง่ ไมรับจดทะเบียน และแจง คาํ สั่ง พรอมดว ยเหตุผลที่ไมร ับจดทะเบยี นใหผขู อจดทะเบียนทราบโดยมิชักชา ผขู อจดทะเบยี นมสี ทิ ธิอุทธรณคาํ ส่ังไมร ับจดทะเบยี นนั้นตอ รฐั มนตรวี า การกระทรวงมหาดไทย โดยทําเปน หนงั สือย่ืนตอนายทะเบยี นภายในสามสิบวันนบั แตวันท่ีไดรบั แจงคําสงั่ ไมรบั จดทะเบียน ใหรฐั มนตรวี าการกระทรวงมหาดไทยวินิจฉัยอุทธรณแ ละแจงคําวนิ จิ ฉัยใหผ ูอุทธรณท ราบ ภายในเกา สิบวนั นับแตว ันท่ีนายทะเบยี นไดรบั หนงั สืออทุ ธรณ คาํ วนิ ิจฉยั ของรัฐมนตรีวา การกระทรวงมหาดไทย ใหเปน ทีส่ ดุ มาตรา 131 นายทะเบียน พนกั งานอยั การ หรือผูมีสว นไดเ สียคนหน่ึงคนใดอาจรองขอ ตอ ศาลใหมีคาํ สงั่ ใหเลิกมูลนธิ ิไดในกรณหี นง่ึ กรณใี ด ดังตอไปน้ี (1) เมอ่ื ปรากฏวาวตั ถุประสงคของมูลนธิ ขิ ัดตอกฎหมาย (2) เมอื่ ปรากฏวา มูลนธิ กิ ระทาํ การขดั ตอกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรอื อาจเปน ภยันตรายตอความสงบสขุ ของประชาชนหรอื ความมั่นคงของรัฐ (3) เมือ่ ปรากฏวา มูลนิธิไมส ามารถดําเนนิ กิจการตอไปไดไมว าเพราะเหตุใดๆ หรอื หยดุ ดําเนนิ กิจการต้ังแตสองปขึ้นไป มาตรา 136 ใหร ัฐมนตรีวา การกระทรวงมหาดไทยรกั ษาการตามบทบญั ญัติในสว นนี้ และใหมีอํานาจแตงต้งั นายทะเบียนกับออกกฎกระทรวงเกีย่ วกับ (1) การยื่นคําขอจดทะเบียนและการรับจดทะเบียน (2) คา ธรรมเนยี มการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การคัดสําเนาเอกสารและ คา ธรรมเนียมการขอใหน ายทะเบยี นดําเนินการใด ๆ เก่ยี วกบั มลู นิธิรวมทัง้ การยกเวนคาธรรมเนียม ดงั กลาว (3) แบบบัตรประจําตัวของนายทะเบียนและพนักงานเจาหนาที่ (4) การดําเนินกจิ การของมูลนธิ แิ ละการทะเบียนมลู นธิ ิ (5) การอน่ื ใดเพื่อปฏบิ ตั ใิ หเ ปนไปตามบทบัญญัตใิ นสว นนี้ กฎกระทรวงนั้น เมอื่ ประกาศในราชกจิ จานุเบกษาแลวใหใ ชบ ังคบั ได กฎหมายลําดบั รองทเ่ี กยี่ วของ 1. ประกาศกระทรวงมหาดไทย แตงตง้ั นายทะเบยี นสมาคม ลงวนั ท่ี 15 กนั ยายน 2547 1. ในกรงุ เทพมหานคร ให อธิบดีกรมการปกครอง เปน นายทะเบยี น 2. ในจังหวดั อน่ื ให ผวู า ราชการจงั หวัด เปน นายทะเบยี น
- 49 - 2. ประกาศกระทรวงมหาดไทย แตงตง้ั นายทะเบยี นมลู นธิ ิ 1. ในกรุงเทพมหานคร ให ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปนนายทะเบียน 2. ในจงั หวดั อนื่ ให ผูว าราชการจังหวัด เปน นายทะเบยี น สรปุ ประเดน็ ท่นี ายอําเภอมอี ํานาจหนาที่ 1. กรณีสมาคม นายอาํ เภอ มีหนาท่รี ับคาํ ขอตามแบบ ส.ค.1 พรอมเอกสารหลักฐานที่เก่ียวของ เมื่อตรวจสอบ ครบถวนถูกตองแลวจึงสง มาใหผวู าราชการจังหวัดในฐานะนายทะเบียนสมาคมจงั หวดั พิจารณารับจดทะเบียน และออกใบสาํ คัญแสดงการจดทะเบียนใหแ กสมาคมนัน้ และประกาศการจดั ต้ังสมาคมในราชกจิ จานุเบกษาตอไป 2. กรณีมลู นิธิ นายอาํ เภอ มหี นา ทร่ี ับคําขอตามแบบ ม.น.1 พรอมเอกสารหลกั ฐานทีเ่ กี่ยวของ เม่ือตรวจสอบ ครบถว นถูกตองแลว จึงสง มาใหผูวา ราชการจังหวัดในฐานะนายทะเบียนสมาคมจังหวัดพิจารณารับจดทะเบียน และออกใบสาํ คัญแสดงการจดทะเบยี นใหแ กม ูลนธิ ิน้ัน และประกาศการจัดตง้ั มูลนธิ ใิ นราชกจิ จานเุ บกษาตอ ไป (4) พระราชบญั ญตั กิ ารเกณฑช ว ยราชการทหาร พ.ศ. 2530 มาตราที่เก่ยี วขอ ง มาตรา 4 ในพระราชบญั ญตั ินี้ “เจา พนักงานปกครองทองที่”หมายความวา ผวู า ราชการกรงุ เทพมหานคร ผวู า ราชการจังหวดั ปลดั เมอื งพทั ยา นายอาํ เภอ ผอู ํานวยการเขต ปลดั อาํ เภอ ผเู ปน หัวหนาประจาํ กิ่งอําเภอ และผูดํารงตําแหนง ท่ี เรยี กช่ืออยางอน่ื ซึ่งมีอํานาจและหนา ท่ที ํานองเดียวกับผดู ํารงตาํ แหนงดงั กลาว มาตรา 6 เมอื่ มีการเกณฑชวยราชการทหารแลว เจา พนกั งานปกครองทอ งที่ท่ไี ดรับใบเรียก เกณฑ หรอื บุคคลทไ่ี ดร ับหมายเกณฑตองปฏบิ ัติตามทันที มาตรา 7 ในเดอื นมกราคมของทกุ ป ใหปลัดเมอื งพทั ยา นายอําเภอ ผูอ ํานวยการเขต ปลดั อําเภอผูเปน หวั หนา ประจํากงิ่ อาํ เภอ หรือผดู าํ รงตาํ แหนงท่เี รียกชือ่ อยา งอืน่ ซึ่งมีอาํ นาจและหนาทีท่ ํานอง เดียวกับนายอําเภอ ทําบญั ชสี งไปยังรัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหมหรือสว นราชการทร่ี ัฐมนตรีวาการ กระทรวงกลาโหมกาํ หนด บัญชีดังกลาวใหเ ปนไปตามแบบท่ีกําหนดในกฎกระทรวงซึ่งมีรายการดงั น้ี (1) สถานทีส่ าํ หรบั ใชพักแรม หรือสรา งท่ีพักแรม (2) ยานพาหนะ เสน ทางคมนาคม สถานพยาบาล ประชากร สาธารณูปโภค ผลิตผลทาง กสกิ รรม ปศุสตั ว และสัตวพ าหนะ (3) สถานที่เกบ็ รกั ษาหรือจําหนายเชื้อเพลิง นํ้ามนั เชอ้ื เพลิง สิ่งหลอ ล่ืน หรือกา ซ
- 50 - (4) อาวุธปน เคร่ืองกระสุนปน และวัตถุระเบิด (5) เคร่ืองมือสื่อสารและเคร่ืองมืออิเล็คทรอนิกส (6) โรงงานตามกฎหมายวา ดว ยโรงงาน (7) สถานท่จี ําหนา ยอุปกรณและอะไหลสําหรับยานพาหนะ เคร่อื งมอื ส่ือสารหรือเครอ่ื งมือ อเิ ล็ คทรอนกิ ส (8) เครือ่ งกล เครือ่ งมือ เครอ่ื งใช และสิ่งอ่นื ที่ใชสาํ หรบั การสราง ซอมแซมหรือบํารงุ รักษา เสน ทางคมนาคม (9) สิ่งอน่ื ตามทท่ี างราชการทหารกําหนด มาตรา 9 ในการปฏิบัติหนา ที่ตามพระราชบัญญัติน้ี ใหเจาหนา ทีฝ่ า ยทหาร ผูม ีอาํ นาจตาม มาตรา 17 เจา หนาทฝ่ี ายทหารผมู อี ํานาจตามมาตรา 47 (2) เจาหนาท่ีฝายทหารและเจา พนักงานปกครอง ทอ งที่เปน เจา พนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 16 การเกณฑใ นเวลาปกติ ถาจะกระทาํ ในทองทใ่ี ดเมอื่ ใดใหรฐั มนตรวี า การกระทรวงกลาโหม หรือผูซ่ึงรัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหมมอบหมายเปนหนังสือเปนผูประกาศ และมีหนังสือแจงไปยัง เจาพนกั งานปกครองทองทใ่ี นทอ งทน่ี น้ั และรฐั มนตรวี า การกระทรวงมหาดไทยเพื่อทราบ มาตรา 19 ใหเ จา หนาทฝี่ า ยทหารสงใบเรียกเกณฑแกเ จา พนกั งานปกครองทองท่ใี นทองที่ท่ี มที รพั ยส นิ ทจี่ ะเกณฑกอ นกําหนดเกณฑไมนอยกวา เจด็ วนั หากเปน กรณีจําเปน หรอื เรงดวนจะสง ใบเรียก เกณฑทนั ทีกไ็ ด มาตรา 20 เมอื่ เจา พนกั งานปกครองทอ งท่ตี ามมาตรา 19 ไดร บั ใบเรยี กเกณฑแ ลว ใหอ อก หมายเกณฑไปยังเจา ของหรือผูค รอบครองทรัพยส ินที่ถูกเกณฑโ ดยเรว็ หมายเกณฑ ใหเปนไปตามแบบที่กําหนดในกฎกระทรวง มาตรา 21 เม่อื มีกรณจี ําเปน หรือเรงดวน เจาหนาทฝ่ี า ยทหารผมู ีอํานาจตามมาตรา 17 อาจ เรียกเกณฑโ ดยทางวาจา หรือโดยเครอ่ื งมือสือ่ สารได และใหเ จาพนกั งานปกครองทองที่ตามมาตรา 19 ออกหมายเกณฑหรือดําเนินการเกณฑโ ดยทางวาจา หรือโดยเคร่ืองมือสื่อสารทนั ทโี ดยใหถ ือวาไดร ับใบเรียก เกณฑแลวนบั แตว ันทีไ่ ดร บั แจงจากเจาหนาท่ีฝา ยทหารผมู อี ํานาจ เมอ่ื เจา ของหรือผคู รอบครองทรัพยสนิ ไดร ับทราบการเกณฑจากเจา พนักงานปกครองทองท่ี ตามวรรคหน่ึงแลว ใหถ อื วา ไดรบั หมายเกณฑจ ากเจาพนักงานปกครองทองที่แลว การเกณฑโ ดยทางวาจาหรอื โดยเคร่อื งมือสอื่ สาร จะตอ งออกใบเรยี กเกณฑหมายเกณฑ หรอื เอกสารอน่ื สงตามไปภายในสามวนั นับแตวนั เรียกเกณฑ มาตรา 22 ในการเกณฑทรัพยส นิ ตามมาตรา 11 เจา หนา ที่ฝา ยทหารผูม ีอาํ นาจตามมาตรา 17 อาจขอใหเ จา พนักงานปกครองทองทท่ี มี่ ีทรพั ยสินท่ีจะเกณฑต รวจสอบวามีทรพั ยสินใดท่ีจะใหเกณฑไ ดบ าง มาตรา 23 การเกณฑสถานทสี่ ําหรบั ใชพักแรมหรอื สรา งท่ีพกั แรมตามมาตรา 11(1) เจา หนา ท่ีฝา ยทหารตองแจงไปยงั เจา พนกั งานปกครองทองท่ีท่ไี ดร บั ใบเรยี กเกณฑใหทราบกาํ หนดวันและ เวลาอันแนนอนทจ่ี ะใชห รือสรา งที่พักแรมโดยเรว็ ท่ีสดุ เทาท่จี ะกระทําได
- 51 - มาตรา 24 เมอ่ื เจา พนกั งานปกครองทอ งทต่ี ามมาตรา 23 ไดร บั ใบเรยี กเกณฑสถานท่ีสําหรับใช พกั แรม หรอื สรา งทพ่ี กั แรมตามมาตรา 11 (1) แลว ใหออกหมายเกณฑไ ปยงั เจา ของหรือผูครอบครองทนั ที และ เมอ่ื ถึงกาํ หนดวนั และเวลาในหมายเกณฑใ หไ ปตรวจสอบและอาํ นวยการรว มกบั เจา หนา ทฝ่ี า ยทหาร การออกหมายเกณฑต ามวรรคหน่ึง หา มเกณฑสว นหนงึ่ สว นใดของเคหสถานท่ีเจาของหรือผูครอบครอง จาํ เปนตอ งใชอาศยั อยูกนิ หลับนอน มาตรา 25 เม่อื เจา ของหรือผูครอบครองทรัพยสินไดร บั หมายเกณฑแลว ตองนําทรัพยสนิ ท่ี ถูกเกณฑไปสงตามกําหนดวนั เวลา และสถานทใ่ี นหมายเกณฑ ถาตอ งเสียคาใชจาย ในการนําไปสง ใหเจาของหรือผูครอบครองทรัพยส นิ ทถ่ี ูกเกณฑออกคาใชจายไปกอนแลวขอรบั คนื จากเจาพนกั งานปกครองทอ งทท่ี ่ีออกหมายเกณฑ แตถ าเจา ของหรือผูครอบครองทรพั ยสนิ ที่ถูกเกณฑไมม ีเงนิ เปนคาใชจา ย ใหแจง เจา พนักงานปกครองทองทดี่ งั กลา วเพ่ือขอรับเงนิ สาํ หรับเปนคาใชจา ยนั้นและเมอื่ ไดร บั แจง แลวใหร ีบจายเงนิ ใหเ งินคา ใชจ ายทีเ่ จา พนักงานปกครองทองท่ตี องจา ยตามวรรคหนงึ่ ใหขอรับคืนจาก เจาหนาที่ฝายทหาร มาตรา 26 ใหเ จาพนกั งานปกครองทองที่ที่ออกหมายเกณฑจ ัดใหมกี ารตรวจสอบและควบคมุ การสงมอบทรัพยส ินที่ถูกเกณฑใหเ จาหนาท่ฝี า ยทหารตามกาํ หนดวนั เวลาและสถานท่ี ในหมายเกณฑ มาตรา 27 ถา ในขณะทเ่ี รยี กเกณฑ ไมมีทรัพยส นิ ท่ีถูกเกณฑห รือมีแตไมเพียงพอกบั จํานวน ท่ีเรียกเกณฑใ นทอ งทใี่ ด ใหเจาพนกั งานปกครองทอ งทท่ี ่ีออกหมายเกณฑแจง ใหเจาหนาทีฝ่ ายทหารผูมีอาํ นาจ ตามมาตรา 17 ทราบโดยเรว็ มาตรา 28 การเกณฑทรัพยส ินนนั้ ถา ไมพ บเจาของหรอื ผคู รอบครอง ใหเ จา พนกั งานปกครอง ทองทท่ี ่ีออกหมายเกณฑเรยี กบุคคลท่ีเก่ียวของกับเจาของหรือผูครอบครองใหปฏบิ ัติตามหมายเกณฑนัน้ แทน ในกรณีทีไ่ มม ีบคุ คลทีเ่ กยี่ วของดังกลาว เจาพนักงานปกครองทอ งทีต่ ามวรรคหนง่ึ มีอาํ นาจ ปฏิบตั กิ ารตามหมายเกณฑน ้ัน โดยใหกระทําตอหนา บุคคลอื่นอยา งนอยสองคนซึ่งเจา พนักงานปกครอง ทอ งที่นั้นไดร องขอมาเปนพยาน มาตรา 29 ถาเจา ของหรือผูค รอบครองมที รัพยสินท่ถี ูกเกณฑแตไมสามารถสง มอบทรัพยสินนน้ั ไดต ามกาํ หนดวนั เวลา และสถานทใ่ี นหมายเกณฑ ตองแจงใหเจา พนกั งานปกครองทองที่ที่ออกหมายเกณฑ ทราบทนั ที และใหเ จา พนักงานปกครองทองที่นั้นแจงใหเ จาหนาท่ีฝา ยทหารทราบ ถา เปน กรณจี าํ เปน หรอื เรงดว นทีจ่ ะตอ งเกณฑท รัพยส นิ นนั้ ใหเจาพนักงานปกครองทอ งทท่ี อี่ อกหมายเกณฑจ ดั หาทรพั ยสนิ ทถ่ี กู เกณฑ หรือท่ีใชแ ทนกันไดส งมอบแทนโดยเรว็ และอาจคิดคาใชจ า ยในการสงมอบแทนจากเจาของหรอื ผูครอบครอง ทรพั ยสินที่ถูกเกณฑได มาตรา 30 เจา พนักงานปกครองทองทีท่ ี่ออกหมายเกณฑตอ งมอบใบรบั แสดงทรัพยสนิ ท่ีถูกเกณฑ และระบุวา เจา ของหรือผูครอบครองทรพั ยส ินที่ถูกเกณฑไดปฏบิ ัตติ ามหมายเกณฑแลว ใหไ วแกเ จาของ หรอื ผูครอบครองขณะทร่ี บั เอาทรัพยส ินนน้ั ใบรบั สําหรับการเกณฑสถานท่สี ําหรับใชพกั แรมหรือสรา งท่ี พกั แรมตามมาตรา 11 (1) ใหมอบในขณะท่ีทหารออกจากท่นี ้ัน
- 52 - มาตรา 31 ทรัพยสินที่ถูกเกณฑม านั้นเมื่อหมดความจาํ เปน ท่จี ะใชใ นราชการทหารใหค นื แก เจา ของหรือผูค รอบครองตามกําหนดวนั เวลา และสถานท่ี ซ่งึ เจาหนาท่ีฝา ยทหารจะไดประกาศใหทราบ เมอื่ เจาของหรอื ผูครอบครองไดร ับทรัพยสินทถ่ี กู เกณฑแลว ใหทําใบรบั แสดงทรพั ยส นิ ที่ถกู เกณฑ และระบวุ า เจา ของหรือผูครอบครองไดร บั ทรัพยส นิ ที่ถูกเกณฑคืนไปแลว ใหไ วแกเ จาหนา ทฝ่ี ายทหารหรือเจาพนักงานปกครอง ทองที่ท่ีออกหมายเกณฑ มาตรา 32 ใหเจา หนาทฝ่ี ายทหารผมู ีอาํ นาจตามมาตรา 17 มีอาํ นาจหนาทีใ่ นการกาํ กับ โดยทว่ั ไปซึง่ การเกณฑใหเ ปน ไปตามวัตถปุ ระสงค มาตรา 34 ใหเ จา พนกั งานปกครองทองที่ที่ออกหมายเกณฑเปนผูกําหนดคาทดแทนทรพั ยสนิ ที่ ถูกเกณฑแลว แจง เปนหนงั สือใหเ จาของหรือผคู รอบครองทรพั ยสนิ นนั้ มารับคาทดแทน การกําหนดคาทดแทนใหคํานงึ ถงึ ราคาหรือคา เชา ปานกลางในทองท่ีทที่ รัพยสนิ น้นั ต้ังอยรู วมทง้ั คา ใชจ ายในการนาํ สงทรพั ยส นิ นั้นเปน หลกั เวน แตค า เชา ยานพาหนะใหถ ือตามอตั ราทก่ี ระทรวงกลาโหมกําหนด มาตรา 35 ถา เจา ของหรือผคู รอบครองทรัพยสนิ ไมพอใจจาํ นวนคา ทดแทนท่ี เจาพนักงาน ปกครองทองท่ที ี่ออกหมายเกณฑก าํ หนด ใหยนื่ คําคัดคา นเปนหนังสือตอ เจาพนักงานปกครองทองท่นี ั้น ภายในสามสิบวันนับแตวนั ที่ไดรับหนงั สือแจงใหมารับคาทดแทน และใหเจา พนักงานปกครองทองท่นี ั้นสง คําคัดคาน ไปยงั เจา หนา ท่ฝี า ยทหารโดยเร็ว เมื่อเจา หนาทฝี่ า ยทหารไดรบั คําคัดคา นแลว ใหเ สนอคําคัดคานตอเจาหนา ท่ฝี ายทหารผมู ี อาํ นาจตามมาตรา 17 ภายในเจด็ วนั นบั แตวันที่ไดร บั คาํ คดั คาน ในกรณีน้ใี หเจาหนาทฝี่ ายทหารผูม อี าํ นาจตาม มาตรา 17 แตงตั้งคณะกรรมการเพ่ือพิจารณาคาทดแทนและสง คําส่ังแตงตัง้ พรอมทงั้ คําคดั คานไปยัง ประธานกรรมการภายในสิบหาวันนับแตว ันทไี่ ดร บั คําคัดคานจากเจาหนาทฝี่ า ยทหาร คณะกรรมการตามวรรคสองประกอบดว ยนายทหารสญั ญาบตั รสองคนและเจา พนักงาน ปกครองทอ งทีใ่ นทองท่ีท่ีออกหมายเกณฑหน่ึงคน โดยใหน ายทหารสญั ญาบตั รคนหนง่ึ เปน ประธานกรรมการและ ตอ งพิจารณาและวนิ จิ ฉัยใหเสร็จสน้ิ ภายในสามสบิ วันนบั แตว ันทป่ี ระธานกรรมการไดทราบการแตงต้งั ในการ น้ผี ยู น่ื คาํ คัดคานจะนําพยานหลกั ฐานอันควรแกเ รือ่ งมาแสดงดว ยกไ็ ด ใหประธานกรรมการแจงคําวินิจฉัยของคณะกรรมการไปยังเจา พนักงานปกครองทองท่ีท่ี ออกหมายเกณฑ และผยู น่ื คาํ คัดคา นโดยเรว็ มาตรา 36 ใหเจาพนกั งานปกครองทองทีใ่ นทอ งท่ีท่ีออกหมายเกณฑ เปน ผจู า ยคา ทดแทน การเกณฑทรัพยสินตามจาํ นวนท่ีเจาพนักงานปกครองทองท่กี าํ หนดตามมาตรา 34 หรือทค่ี ณะกรรมการ กาํ หนดตามมาตรา 35 โดยใหเ จา ของหรอื ผคู รอบครองนาํ ใบรับมาแสดง ในกรณที ี่ใบรบั สญู หายหรือไมส ามารถ นาํ มาแสดงได ใหนําหลักฐานอื่นที่เก่ียวขอ งมาแสดงแทน การจา ยคาทดแทนใหกระทําใหเสร็จสิ้นภายในเกาสบิ วนั นับแตว นั ท่ีเจาของหรอื ผคู รอบครอง ทรัพยสินนาํ ใบรับหรือหลกั ฐานอ่ืนท่เี กย่ี วขอ งมาแสดง แลวแตกรณี เมื่อไดจา ยคาทดแทนแลว ใหเ จา พนักงานปกครองทองทต่ี ามวรรคหนง่ึ รวบรวมและสง ใบรบั หรอื หลักฐานแสดงการรับใหเจาหนาทฝี่ า ยทหารเปน คราวๆ แตไมเ กินเดอื นละสองครั้ง และใหเ จาหนาที่ ฝายทหารจายเงินคืนใหโดยเร็ว
- 53 - มาตรา 37 ถา เจาของหรือผคู รอบครองทรัพยสินที่ถูกเกณฑประสงคจะเรียกคาเสียหาย ใหย ่ืนคํารอ ง ตอเจาหนา ท่ีฝา ยทหาร หรือเจาพนักงานปกครองทองทท่ี ี่ออกหมายเกณฑภายในเจ็ดวนั นับแตวนั ท่ีเจาหนา ที่ ฝายทหารไดส ง คืนทรพั ยสินที่ถูกเกณฑ ในกรณที ยี่ ื่นตอเจาพนักงานปกครองทองท่ี ใหเจาพนักงานปกครองทองทีส่ งคาํ รอ งใหเ จา หนาท่ี ฝา ยทหารโดยเรว็ เมื่อเจาหนา ที่ฝายทหารไดร ับคาํ รอ งแลว ใหส อบสวนความเสียหายใหแนชดั โดยไมช ักชา และมหี นังสือแจงผลการสอบสวนหรอื จํานวนคาเสยี หายไปยังเจาของหรือผูครอบครองทรัพยสนิ ท่ีถูกเกณฑ ภายในสิบหา วนั นับแตวันทส่ี อบสวนเสรจ็ มาตรา 38 ถาเจาของหรอื ผคู รอบครองทรัพยส ินไมพอใจผลการสอบสวนหรือจํานวนคาเสียหาย ตามมาตรา 37 วรรคสาม ใหยื่นคําคัดคานเปน หนังสือตอเจา หนาทฝ่ี ายทหารภายในสามสิบวนั นบั แตว นั ที่ ไดรับหนงั สอื แจง เม่อื เจาหนาที่ฝายทหารไดรับคําคัดคานแลวใหเสนอคําคัดคานตอเจาหนาที่ฝายทหารผูมีอาํ นาจ ตามมาตรา 17 ภายในเจ็ดวันนบั แตวันท่ไี ดรบั คําคัดคา น ในกรณีนใ้ี หเ จาหนาที่ฝา ยทหารผมู อี าํ นาจตามมาตรา 17 แตงต้ังคณะกรรมการเพอ่ื พจิ ารณาคา เสียหายและสงคําสงั่ แตง ตงั้ พรอ มทง้ั คําคดั คานไปยงั ประธาน กรรมการภายในสิบหาวันนับแตวนั ที่ไดรบั คําคดั คานจากเจาหนาที่ฝายทหาร คณะกรรมการตามวรรคสองประกอบดวยนายทหารสัญญาบัตรสองคน และเจา พนักงาน ปกครองทองที่ในทองที่ที่ออกหมายเกณฑหนึ่งคน โดยใหน ายทหารสัญญาบัตรคนหน่ึงเปน ประธานกรรมการ และตองพิจารณาและวนิ ิจฉัยใหเสรจ็ ส้ินภายในสามสบิ วัน นบั แตว ันท่ีประธานกรรมการไดทราบการแตงตั้ง ในการนี้ผยู ืน่ คําคัดคา นจะนาํ พยานหลกั ฐานอนั ควรแกเร่ืองมาแสดงดวยก็ได ใหป ระธานกรรมการแจง คาํ วนิ จิ ฉยั ของคณะกรรมการไปยงั เจา หนา ทฝ่ี ายทหารและผูย ืน่ คาํ คดั คา น โดยเร็ว มาตรา 44 เม่ือตองการเกณฑแรงงาน ใหเจาพนักงานปกครองทองท่ที ไี่ ดร ับใบเรยี กเกณฑ ออกหมายเกณฑไปยงั บุคคลทเ่ี หมาะสมแกง านนน้ั เปน การเฉพาะตวั หรอื จะออกหมายเกณฑไปยังพลเมืองทง้ั หมด หรอื บางสวนในทองทท่ี ่ีมีเขตอํานาจก็ไดแลวแตจะเหน็ สมควร มาตรา 47 นับแตว ันเวลาทไ่ี ดมีคําสง่ั หรอื ประกาศตามมาตรา 42 และไดดําเนนิ การตาม มาตรา 16 แลว ใหเจาหนาที่ฝายทหารผูม ีอํานาจดังตอ ไปน้ีออกใบเรยี กเกณฑแ ลว สง ตรงไปยงั เจาพนักงาน ปกครองทองท่ีไดท นั ที (1) เจา หนา ที่ฝายทหารผูม อี าํ นาจตามมาตรา 17 (2) นายทหารซึ่งมีตําแหนง บังคบั บญั ชาทหารสูงสดุ ณ ทนี่ น้ั และมีกําลังในบังคบั บัญชา ตงั้ แตหนึง่ กองพนั หรอื เทียบเทา ขน้ึ ไป เม่ือนาํ ทหารเขา ทาํ การรบหรอื เขาสสู งครามหรือเมื่อบังคบั บญั ชา ทหารอยูใ นเขตท่ีไดประกาศสถานการณฉกุ เฉนิ หรือในเขตท่ไี ดประกาศใชก ฎอัยการศึก มาตรา 48 ในการเกณฑต ามมาตรา 42 เจา หนา ทฝ่ี า ยทหารผมู อี าํ นาจตามมาตรา 47 อาจขอให เจาพนักงานปกครองทองทใี่ นทองทท่ี ีจ่ ะเกณฑตรวจสอบวา มีแรงงานและทรัพยสินใดท่ีจะใหเกณฑไดบ า ง
- 54 - มาตรา 49 ในกรณีจาํ เปนถาเจา หนาทฝี่ ายทหารเหน็ วา จะตอ งจดั ซื้อหรอื เชาทรพั ยสินทอี่ าจจะ เรยี กเกณฑไดตามมาตรา 11 (3) และ (4) แลว ใหมีอาํ นาจบงั คับซ้ือหรือเชาทรัพยสนิ น้ันได ตามราคา หรือคา เชา ที่เจา พนักงานปกครองทองท่แี หงทองท่ที ่ีบังคบั ซื้อหรอื เชาทรัพยสินนน้ั เปนผกู ําหนด โดยใช ราคาหรือคาเชาปานกลางในทอ งท่ีนน้ั เปน หลกั ในการพิจารณา การฟองคดีเรียกใหชําระราคาหรือคา เชาทรัพยส นิ ตามวรรคหนง่ึ เจาของหรอื ผคู รอบครอง ตอ งฟอ งภายในหน่ึงปน ับแตว ันครบกําหนดชาํ ระราคาหรือวนั สงคืนทรพั ยสนิ ทเี่ ชาแลวแตกรณี เม่ือทางราชการทหารหมดความจาํ เปนท่ีจะตองใชทรัพยสนิ ที่จดั ซื้อตามวรรคหนึ่งแลว เจา ของ หรอื ผูค รอบครองทรพั ยส ินที่เจาหนา ทีฝ่ า ยทหารไดซอื้ ไปนั้นมีสิทธทิ จ่ี ะขอซื้อทรัพยสินน้ันคนื ไดต ามราคา ปานกลางในทองทีท่ ่ีซื้อคืนซึ่งท้งั สองฝายจะตกลงกนั มาตรา 51 เมอ่ื มคี วามจาํ เปน ในการปองกนั ประเทศ รฐั มนตรวี า การกระทรวงกลาโหมมีอํานาจ ส่ังใหเจาหนาท่ฝี ายทหารเขา ยึดอสงั หารมิ ทรพั ยไวช่ัวคราวเพอ่ื ประโยชนแ กทางราชการทหาร และใหเจาหนา ท่ี ฝา ยทหารออกใบรบั ใหไ วแกเจา ของหรือผคู รอบครองอสังหารมิ ทรัพย เจา ของหรอื ผคู รอบครองไมมสี ิทธิเรียกรองคาเสยี หายท่เี กดิ จากการยึดอสงั หารมิ ทรพั ยต าม วรรคหนึ่ง ถา เจาหนาทฝ่ี ายทหารเห็นเปน การสมควร อาจจายคาทดแทนการใชอสังหาริมทรัพยนั้นโดยให เจาพนักงานปกครองทองทีแ่ หงทองทีท่ ีอ่ สังหาริมทรัพยนั้นตัง้ อยูเ ปนผูก ําหนดคาทดแทนตามราคาหรือคาเชา ปานกลางในทองที่น้ัน มาตรา 61 เจา พนักงานปกครองทองท่ผี ใู ดออกหมายเกณฑ หรือดําเนนิ การเกณฑโดยทาง วาจา หรือโดยเคร่ืองมือสือ่ สารซง่ึ สงิ่ ที่เกณฑไมไ ดตามพระราชบัญญตั ิน้ี หรอื สง่ิ ทท่ี างราชการทหารไมมี ความตอ งการตองระวางโทษจาํ คกุ ตั้งแตหน่ึงปถึงสบิ ป หรือปรับตง้ั แตหนึ่งหมืน่ บาทถงึ หนง่ึ แสนบาท หรอื ทง้ั จาํ ทงั้ ปรบั มาตรา 62 เจา พนกั งานปกครองทองทผ่ี ูใดไดร ับใบเรยี กเกณฑแ ลว ขดั ขนื หรือละเลยไมออกหมาย เกณฑอนั เปน การฝาฝน มาตรา 20 หรือกระทําการอยางใดอันเปนการขัดขวางการปฏิบัติหนาทีข่ องเจา หนา ท่ี ฝา ยทหาร ตองระวางโทษจาํ คกุ ไมเกนิ หนง่ึ ป หรือปรบั ไมเกนิ หน่ึงหมื่นบาท หรอื ท้ังจําทงั้ ปรับ มาตรา 66 เจา พนักงานปกครองทองท่ีผใู ดไมแจง ใหเจา หนาท่ฝี า ยทหารผูมีอาํ นาจตาม มาตรา 17 ทราบตามมาตรา 27 ตอ งระวางโทษจาํ คุกไมเกินหกเดือน หรือปรับไมเกนิ หา พนั บาท หรอื ทัง้ จําท้ังปรบั มาตรา 67 เจาพนกั งานปกครองทองทีผ่ ใู ดไมแจง ใหเจา หนา ท่ีฝา ยทหารทราบหรือไมจัดหา ทรพั ยส นิ สง มอบแทนตามมาตรา 29 ตอ งระวางโทษจําคกุ ไมเ กินหกเดือน หรือปรบั ไมเ กินหา พันบาท หรอื ทงั้ จาํ ท้ังปรบั มาตรา 68 เจาหนาที่ฝายทหารผใู ดขมขนื ใจเจาพนักงานปกครองทองทีใ่ หปฏิบตั ิการอนั มิชอบ ดวยหนาทห่ี รอื ใหละเวน การปฏิบัติการตามหนา ท่โี ดยใชก าํ ลงั ประทษุ รายหรือขเู ข็ญวา จะใชก าํ ลงั ประทษุ รา ย ตอ งระวางโทษจาํ คุกไมเกนิ สามป หรือปรบั ไมเ กินสามหมืน่ บาท หรือทั้งจําท้ังปรบั
- 55 - มาตรา 69 เจา หนาทฝ่ี ายทหารผใู ดขมขืนใจผอู ื่นในการเกณฑใหกระทาํ หรือละเวน กระทํา การอยา งหนง่ึ อยา งใดโดยมชิ อบ ดวยการใชก ําลงั ประทุษรา ยหรอื ขเู ขญ็ วา จะใชกาํ ลงั ประทษุ รา ย ตอ งระวางโทษ จาํ คกุ ไมเกินสามป หรือปรบั ไมเกินสามหมื่นบาท หรือทั้งจําหรอื ปรับ มาตรา 70 ผใู ดมหี นาท่ตี อ งปฏบิ ตั ิตามการเกณฑโดยชอบดว ยกฎหมายแลว ขัดขืนหรอื ละเลย ไมปฏบิ ตั ติ ามการเกณฑน้ัน หรือขดั ขวางเจา หนาทฝ่ี ายทหารหรือเจา พนักงานปกครองทองทซี่ ่ึงปฏิบตั ิการ ตามหนา ท่ี หรอื ใหถอยคาํ ซ่ึงตนรูวา เปน เท็จในขอสาระสาํ คัญเพือ่ หลีกเล่ียงไมปฏบิ ัติตามการเกณฑน้ัน ตอ งระวางโทษจาํ คุกไมเ กินหกเดอื น หรือปรบั ไมเกินหาพนั บาท หรือท้งั จาํ ทงั้ ปรบั สรุปประเดน็ ท่ีนายอําเภอมีอํานาจหนาที่ นายอาํ เภอเปนเจาพนักงานปกครองทองท่ตี ามพระราชบญั ญัติการเกณฑชวยราชการทหาร พ.ศ. 2530 มหี นา ทปี่ ฎบิ ตั ิงานชวยเหลือเจา หนา ท่ฝี า ยทหารตามทีบ่ ัญญตั ิไวในพระราชบัญญตั นิ ี้ (5) พระราชบญั ญัติการคา ขาว พทุ ธศกั ราช 2489 มาตราท่เี ก่ียวขอ ง มาตรา 3 ในพระราชบัญญตั ิน้ี “พนักงานเจา หนาที่” หมายความวา ผทู คี่ ณะกรรมการแตง ตั้งขึน้ ตามพระราชบัญญัตินี้ มาตรา 4 ใหมีกรรมการคณะหนึ่งประกอบดวยประธานกรรมการหนึ่งนาย และกรรมการอื่น อกี ไมน อยกวา หกนายซง่ึ คณะรัฐมนตรีแตงตั้ง มีอํานาจและหนา ทต่ี ามบทแหงพระราชบัญญัตนิ ี้ มาตรา 5 คณะกรรมการมีอาํ นาจแตงตั้งบุคคลใดหรือคณะบุคคลใดเปน พนักงานเจา หนาท่ี เพอ่ื ปฏิบัติการอนั อยูในอํานาจและหนา ทีข่ องคณะกรรมการทง้ั หมดหรือแตบ างสวนในทองที่ใดทอ งทห่ี น่ึง แทนคณะกรรมการได มาตรา 6 ใหค ณะกรรมการหรอื พนักงานเจา หนา ทีม่ ีอํานาจเขา ไปในสถานท่ี หรอื เคหะสถาน ของบุคคลใดเพื่อตรวจขาว ใบรับในการขาย หรือแลกเปลี่ยนขา ว รายงานการคาขา ว และเอกสารอืน่ ๆ เกยี่ วกับการคาขาวไดในเวลากลางวัน และมีอาํ นาจสง่ั บุคคลใดทเ่ี กย่ี วของมาใหถ อยคาํ ในเรอื่ งทเี่ กย่ี วกับ การน้นั ได มาตรา 12 ผไู ดร ับหนงั สืออนุญาตใหประกอบการคา ขาวตามพระราชบัญญัตินตี้ อ งทาํ รายงาน การคา ขา วประจาํ วนั ตามแบบท่คี ณะกรรมการกาํ หนดเกบ็ ไว ณ สถานท่ที ที่ าํ การคา ขาว และตอ งย่ืนรายงาน การคาขาวตอคณะกรรมการหรือพนักงานเจาหนา ทีต่ ามแบบ ระยะเวลาและเง่ือนไขท่ีคณะกรรมการกาํ หนด การทาํ รายงานการคา ขา วดังกลา วในวรรคกอน คณะกรรมการมีอาํ นาจสง่ั ยกเวน ใหแกผปู ระกอบการ คาขาวประเภทหน่ึงประเภทใดกไ็ ด และใหม ีอํานาจสงั่ ถอนการยกเวนนน้ั ดวย
- 56 - มาตรา 15 ผูไดรับหนังสืออนุญาตคนใดฝาฝนประกาศหรือคําสั่งคณะกรรมการหรือพนักงาน เจาหนาที่หรือปฏิบตั ิผิดเงื่อนไขอยางหนง่ึ อยา งใดท่รี ะบุไวในหนังสืออนุญาตหรือฝาฝน บทบัญญัติใดๆ แหง พระราชบัญญตั ินี้ ใหคณะกรรมการมีอาํ นาจส่ังถอนหนังสืออนุญาตน้นั ได มาตรา 16 หนังสืออนุญาตใหป ระกอบการคาขา วใหใชไดเฉพาะตัว จะโอนกันไมไดและเม่ือ เลิกประกอบการคาขาวแลว ตองแจง ใหคณะกรรมการหรือพนักงานเจาหนา ทท่ี ราบ มาตรา 16 ทวิ เจา ของโรงสีขา วหรือผูประกอบการโรงสีขาวคนใดหยดุ หรือแกลงหยดุ ทาํ การ สขี าวหรือไมทําการสีขาวใหเ ต็มกําลงั ที่โรงสนี ้ันสามารถที่จะทําการสีได คณะกรรมการมีอํานาจท่จี ะเรยี ก ใหก ระทําการสขี าวหรือสขี าวใหเตม็ กําลังตอ ไปภายในระยะเวลาท่ีกําหนดและมีอาํ นาจกาํ หนดคาจางสีขา ว ใหป ฏิบตั ไิ ด เมอ่ื คณะกรรมการไดม ีคาํ สงั่ ตามความในวรรคกอ นแลว เจา ของโรงสขี า ว หรอื ผปู ระกอบการ โรงสีขาว ไมปฏบิ ตั ภิ ายในระยะเวลาทีค่ ณะกรรมการกําหนดใหค ณะกรรมการมีอํานาจเขายดึ โรงสนี ั้นมา ดําเนนิ การเสยี เองได และในการนีเ้ จาโรงสี ไมม สี ทิ ธทิ ีจ่ ะเรียกคา ทดแทนหรือคา เสยี หายใดๆ ทั้งสน้ิ มาตรา 17 ผใู ดฝาฝนประกาศหรือคําส่งั คณะกรรมการหรือพนักงานเจาหนา ทซ่ี ึง่ ออกตาม ความในมาตรา 8 (2) หรอื (3) หรอื (4) หรือ (5) หรอื (6) หรอื ปฏบิ ัตผิ ิดเงอื่ นไขอยางหนง่ึ อยา งใดที่ระบุ ไวใ นหนังสืออนญุ าตซึ่งออกตามความในมาตรา 8 (4) หรือ (5) ผูน้ันมีความผดิ ตองระวางโทษจาํ คุกตั้งแต สามเดือนข้นึ ไปจนถึงหาป และปรับตัง้ แตหน่ึงพันบาทถึงหาพันบาท มาตรา 20 ผใู ดใหถอยคําเท็จในการแจง ปรมิ าณหรือสถานทีเ่ ก็บขา ว หรอื ขัดขืนหรือฝา ฝน คาํ ส่ังคณะกรรมการหรอื พนกั งานเจาหนา ทซ่ี ง่ึ ปฏิบตั กิ ารตามมาตรา 6 หรือใหถ อ ยคําเท็จแกบุคคลน้ันๆ ผนู ัน้ มีความผดิ ตองระวางโทษปรับไมเกนิ หา พันบาท หรือจําคุกไมเกนิ หาป หรอื ทั้งปรบั ทงั้ จํา มาตรา 21 พนกั งานเจาหนา ท่ีผใู ดปฏิบตั กิ ารหรอื ละเวน ปฏบิ ตั กิ ารในหนา ทอ่ี นั เปนการชว ยเหลอื ใหม กี ารฝา ฝนบทบัญญตั ิแหง พระราชบญั ญัติน้ี ไมว า ดว ยประการใดๆ มีความผดิ ตอ งระวางโทษจําคุกไมเ กนิ หา ป และปรับไมเ กินหา พนั บาท กฎหมายลําดับรองทเี่ กยี่ วของ 1. ประกาศคณะกรรมการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติการคาขาว พทุ ธศกั ราช 2489 ฉบบั ท่ี 144 พ.ศ. 2548 เร่อื ง แตง ตัง้ พนักงานเจา หนาท่ี ขอ 3 แตง ตั้งใหผูดํารงตําแหนงดังตอไปน้เี ปน พนกั งานเจาหนา ที่ (1) อธบิ ดกี รมการคา ภายใน (2) รองอธิบดีกรมการคาภายใน (3) ผอู ํานวยการสํานักสง เสรมิ การคา สนิ คาเกษตร กรมการคา ภายใน (4) ขา ราชการกรมการคาภายในซง่ึ ดํารงตําแหนง ตัง้ แตร ะดับ ๓ ขนึ้ ไป
- 57 - (5) ผูว า ราชการจังหวดั (6) รองผูว าราชการจงั หวัด (7) ปลดั จังหวดั (8) พาณิชยจังหวัด (9) หวั หนาสํานกั งานการคา ภายในจงั หวัด (10) นายอําเภอ (11) ปลัดอาํ เภอผูเปน หวั หนา ประจํากิ่งอําเภอ (12) ปลัดอาํ เภอ (13) ขาราชการตาํ รวจซ่ึงมียศต้ังแตรอ ยตาํ รวจตรีขนึ้ ไป (14) ขา ราชการกระทรวงพาณิชยซ ง่ึ ดํารงตาํ แหนงต้ังแตร ะดับ 3 ขน้ึ ไป ท่ีปฏบิ ตั ิงาน ในจังหวดั นน้ั ขอ 7 ใหพ นักงานเจาหนาท่ีตามขอ 3 (5) (6) (7) (8) (9) (10) (11) (12) (13) และ (14) มีอาํ นาจเขา ไปในสถานท่ีหรอื เคหสถานของบคุ คลใด เพอ่ื ตรวจขา วใบรบั ในการขายหรอื แลกเปลย่ี นขา ว รายงานการคา ขา วและเอกสารอ่ืนๆ เก่ียวกบั การคาขาวไดในเวลากลางวนั และมีอาํ นาจส่ังบคุ คลใดที่ เกยี่ วขอ งมาใหถอยคําในเรื่องท่เี กย่ี วกบั การนัน้ ทัง้ น้ี ภายในทอ งทหี่ รือเขตอํานาจของตน สรปุ ประเด็นที่นายอาํ เภอมอี ํานาจหนาท่ี นายอาํ เภอเปน พนกั งานเจา หนา ทต่ี ามพระราชบญั ญตั กิ ารคา ขา ว พุทธศกั ราช 2489 มอี าํ นาจ เขา ไปในสถานทห่ี รือเคหสถานของบคุ คลใด เพอ่ื ตรวจขา วใบรบั ในการขายหรือแลกเปลย่ี นขาวรายงานการคา ขาว และเอกสารอืน่ ๆ เกีย่ วกับการคาขา วไดในเวลากลางวันและมีอาํ นาจส่งั บุคคลใดท่เี กีย่ วของมาใหถอยคาํ ในเรื่องท่ีเก่ียวกบั การนนั้ ท้ังนี้ ภายในทอ งท่ีหรือเขตอาํ นาจของตน (6) พระราชบัญญัตกิ ารเชาท่ดี นิ เพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ มาตราท่เี กย่ี วขอ ง มาตรา 5 ในพระราชบัญญตั ิน้ี “นายอําเภอ” หมายความรวมถงึ หวั หนาเขตของกรงุ เทพมหานคร มาตรา 9 ในตําบลหนึง่ ๆ ทีม่ กี ารเชา ใหม ี คชก. ตําบล ซง่ึ ประกอบดว ยบุคคลดังตอไปน้ี (1) ในตําบลนอกเขตเทศบาล คชก. ตาํ บล ประกอบดวยกํานันเปนประธาน เกษตรอําเภอ หรอื ผแู ทน ทีด่ นิ อําเภอหรือผูแทน ประมงอําเภอหรอื ผูแทน ปศุสัตวอ ําเภอหรือผูแทน ผแู ทนผเู ชา สค่ี น และผูแ ทนผใู หเชา ส่คี น ซ่งึ นายอําเภอแตง ตง้ั เปน กรรมการ และใหปลดั อาํ เภอหรอื พฒั นากร ซึ่งนายอาํ เภอ แตง ต้งั เปนกรรมการและเลขานุการ อนงึ่ ในการพิจารณาเร่ืองอันเกย่ี วกับการเชาในเขตหมบู า นใด ใหผ ใู หญบ านแหง หมบู านนั้นเปน กรรมการดว ย
- 58 - มาตรา 11 ในกรณที ี่ไมมปี ระมงอาํ เภอหรือปศสุ ัตวอ ําเภอเปนกรรมการตามมาตรา 9 (1) (2) หรอื (4) หรือไมมเี กษตรอาํ เภอประจาํ เขตหรือพนักงานประเมินภาษีเปนกรรมการตามมาตรา 9 (3) ใหน ายอําเภอหรอื หัวหนาเขตแตง ต้งั ขา ราชการซง่ึ มคี วามรคู วามชาํ นาญเกย่ี วกบั การเกษตร ทีด่ นิ ประมง ปศุสตั ว หรอื การประเมินภาษี แลว แตกรณี เปนกรรมการแทน มาตรา 14 ใหน ายอําเภอมีอาํ นาจหนาท่ี (1) ใหค ําปรึกษาแก คชก. จังหวดั เกี่ยวกบั อาํ นาจหนาท่ีตามพระราชบัญญตั นิ ้ี ในสว นท่ีเกี่ยวกบั การเชาในเขตทอ งท่ี (2) ควบคมุ ดแู ลการปฏบิ ตั ิงานของ คชก. ตําบลในเขตทองท่ี (3) ประสานงานระหวา ง คชก. จงั หวดั กบั คชก. ตาํ บล และระหวา ง คชก. ตาํ บลในเขตทอ งท่ี มาตรา 15 กรรมการซ่งึ ผูวา ราชการจงั หวัดหรือผูวา ราชการกรุงเทพมหานครแตง ต้งั ตามมาตรา 7 หรือซึง่ นายอําเภอหรือหวั หนา เขตแตง ต้ังตามมาตรา 9 และมาตรา 11 อยูใ นตําแหนงคราวละสามป กรรมการซง่ึ พนจากตําแหนงตามวาระอาจไดรบั แตง ตงั้ อกี ได กฎหมายลาํ ดับรองที่เกย่ี วของ 1. ระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณแ ละกระทรวงมหาดไทย วา ดวยเลือกตงั้ หรอื คดั เลอื กผแู ทน ผูเชา และผูแทนผูใหเชา ในคณะกรรมการการเชาท่ดี นิ เพ่ือเกษตรกรรมประจําจงั หวดั และประจาํ ตาํ บล พ.ศ. 2524 ขอ 5 การเลอื กตงั้ ผแู ทนผเู ชาและผูแทนผูใหเ ชา ใน คชก. ตาํ บล ใหน ายอําเภอแตง ต้งั คณะกรรมการดาํ เนินการเลือกตง้ั ขึ้นคณะหนึง่ มจี ํานวนไมนอยกวา สามคน ขอ 6 ใหนายอําเภอจดั ทาํ บัญชีรายชื่อผูเชาหรือผูใหเชา ที่มสี ิทธิเลือกตั้งผูแทนผูเชา หรือผแู ทน ผูใหเ ชา ตามแบบ ชก. 4 จาํ นวน 5 ชุด ชุดที่ 1 ใหปดไว ณ ที่วาการอาํ เภอ ชดุ ที่ 2 ใหปด ไว ณ ทีท่ าํ การตาํ บล ชดุ ท่ี 3 ใหปด ไว ณ ท่ีทําการผใู หญบ าน ชดุ ท่ี 4 และชดุ ท่ี 5 มอบใหค ณะกรรมการดําเนินการเลือกตงั้ นําไปใชในวนั เลอื กตง้ั และสาํ รองไวสําหรบั ตดิ ที่ทเี่ ลือกต้งั ๑ ชดุ การปดประกาศบญั ชรี ายชอ่ื ชดุ ท่ี 1 ชุดที่ 2 และชุดท่ี 3 ใหป ด ประกาศกอ นวนั ทาํ การเลือกตั้ง ไมนอ ยกวา เจ็ดวัน เพือ่ ใหผ มู สี ิทธิเลือกต้งั ไดต รวจสอบ และขอแกไ ขใหถูกตอ งกอ นวันเลือกตงั้ ไมนอ ยกวา สามวัน ขอ 9 เมือ่ นายอําเภอประกาศตามขอ 8 แลว ผใู ดประสงคส มัครรบั เลอื กตง้ั เปนผแู ทนผเู ชา หรือผแู ทนผูใ หเชา ใน คชก. ตําบล ใหย น่ื ใบสมคั รตามแบบ ชก. 2 แลว ใหนายอาํ เภอประกาศรายชอ่ื ผสู มัครตามแบบ ชก. 3 ขอ 10 ในกรณีทผ่ี แู ทนผูเชา หรอื ผแู ทนผใู หเชา ใน คชก. ตาํ บลวา งลง ใหท าํ การเลอื กต้ัง ภายในส่ีสบิ หาวนั นบั แตว ันทราบการวาง
- 59 - ขอ 11 ในการเลือกต้ัง ใหนายอําเภอหรือผซู ่ึงไดร บั มอบหมายประกาศใหท่ีประชมุ เสนอ รายชอ่ื ผูมสี ทิ ธเิ ลอื กตั้งเปนผแู ทนที่ประชมุ อยางนอยสองคน เพ่อื สงั เกตการณเ ลือกตัง้ โดยใกลช ิด ผแู ทน ทปี่ ระชุมมสี ทิ ธิทักทวงการปฏบิ ัตขิ องคณะกรรมการดําเนินการเลอื กต้ังเมื่อเหน็ วา ปฏิบตั ไิ มชอบ ขอ 12 เม่อื มกี ารทกั ทวงการปฏบิ ตั ิของคณะกรรมการดําเนนิ การเลือกตั้ง ใหนายอาํ เภอ หรือผูซ่งึ ไดร ับมอบหมายพจิ ารณาชขี้ าด แลว ใหผ ทู กั ทว งและกรรมการทุกคนลงลายมือช่ือไว ถาผูท กั ทว ง ไมย อมลงลายมือชอ่ื ใหคณะกรรมการบันทึกไว ขอ 20 ถา มผี ูสมคั รเขารบั การเลอื กต้ังเปน ผูแทนผูเชาหรอื ผูแทนผใู หเชา เพียงส่คี น ใหถ อื วา ผูสมัครนัน้ เปนผไู ดรบั เลือกตั้งเปนผแู ทนผเู ชา หรือผูแทนผใู หเชา โดยไมตองทาํ การเลือกต้ัง ใหน ายอาํ เภอประกาศรายชอ่ื ผแู ทนผเู ชา หรือผแู ทนผใู หเ ชา ไดท ราบทวั่ กนั ตามแบบ ชก. 6 ขอ 21 เมือ่ เสร็จการเลอื กต้ังปรากฏวา ผใู ดไดร บั การเลือกต้ังเปนผูแทนผเู ชา ใหประธาน กรรมการจัดทํารายงานแสดงผลของการนับคะแนนตามแบบ ชก. 7 และประกาศผลการนับคะแนนตาม แบบ ชก. 8 ปดไว ณ ที่ทาํ การเลือกตั้ง แลว รายงานใหน ายอําเภอประกาศผลการเลอื กตั้งตามแบบ ชก. 9 สรปุ ประเดน็ ที่นายอาํ เภอมอี ํานาจหนา ที่ 1. นายอําเภอมีหนาท่แี ตงต้ังผแู ทนผเู ชา สค่ี น และผแู ทนผใู หเชา สี่คน เปน กรรมการ คชก. ตาํ บล และแตง ต้ังปลดั อําเภอหรือพัฒนากรเปนกรรมการและเลขานุการ คชก. ตําบล ในตาํ บลนอกเขต เทศบาล 2. นายอําเภอมีอาํ นาจหนา ที่ (1) ใหค ําปรึกษาแก คชก. จงั หวดั เกย่ี วกับอํานาจหนาท่ตี ามพระราชบัญญัตินี้ ในสวนที่ เกี่ยวกบั การเชา ในเขตทองที่ (2) ควบคมุ ดแู ลการปฏบิ ตั ิงานของ คชก. ตาํ บลในเขตทองท่ี (3) ประสานงานระหวา ง คชก. จงั หวัดกับ คชก. ตาํ บล และระหวา ง คชก. ตาํ บลในเขตทอ งท่ี 3. นายอําเภอมีหนา ทจี่ ดั ใหม ีการเลอื กตงั้ ผแู ทนผูเชาและผแู ทนผูใหเ ชา ใน คชก. ตาํ บล ตาม ระเบียบกระทรวงเกษตรและสหกรณและกระทรวงมหาดไทย วา ดว ยเลอื กตงั้ หรือคัดเลือกผูแทนผเู ชา และ ผูแทนผูใ หเ ชา ในคณะกรรมการการเชาที่ดนิ เพื่อเกษตรกรรมประจาํ จังหวัดและประจาํ ตําบล พ.ศ. 2524 (7) พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. 2534 มาตราทเ่ี กี่ยวของ มาตรา 8 ภายใตบังคับมาตรา 8/1 ใหมสี ํานกั ทะเบียนตามพระราชบัญญัติน้ี ดงั นี้ (1) สํานกั ทะเบียนกลาง มีผูอํานวยการทะเบียนกลาง รองผูอํานวยการทะเบียนกลาง และ ผชู วยผอู ํานวยการทะเบียนกลาง เปน นายทะเบียนประจําสํานักทะเบียนกลางมหี นาที่รับผิดชอบและ ควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบยี นราษฎรทว่ั ราชอาณาจักร
- 60 - (2) สาํ นักทะเบยี นกรุงเทพมหานคร มนี ายทะเบยี นกรงุ เทพมหานคร และผชู ว ยนายทะเบียน กรงุ เทพมหานคร เปนนายทะเบียนประจําสํานักทะเบียนกรุงเทพมหานคร มหี นา ที่รบั ผดิ ชอบและควบคมุ การปฏิบัตงิ านการทะเบียนราษฎรในเขตกรงุ เทพมหานคร (3) สาํ นักทะเบียนจังหวดั มนี ายทะเบียนจังหวดั และผูชว ยนายทะเบียนจังหวัดเปนนายทะเบียน ประจําสาํ นกั ทะเบียนจังหวดั มีหนา ทร่ี บั ผดิ ชอบและควบคมุ การปฏบิ ตั งิ านการทะเบยี นราษฎรในเขตจงั หวัด (4) สํานักทะเบียนอําเภอ มนี ายทะเบียนอําเภอและผชู ว ยนายทะเบยี นอําเภอเปน นายทะเบยี น ประจําสาํ นักทะเบยี นอําเภอ มีหนาทีร่ ับผดิ ชอบและควบคุมการปฏิบตั ิงานการทะเบียนราษฎรในเขตอาํ เภอ (5) สาํ นักทะเบยี นทอ งถ่นิ มนี ายทะเบยี นทองถ่ินและผชู วยนายทะเบียนทองถน่ิ เปนนายทะเบียน ประจาํ สํานกั ทะเบยี นทอ งถนิ่ มีหนาท่ีรับผดิ ชอบและควบคุมการปฏิบัติงานการทะเบยี นราษฎรในเขต ปกครองทองถิ่นนั้นๆ มาตรา 8/1 การจดั ตง้ั สาํ นักทะเบียนอําเภอหรอื สาํ นักทะเบยี นทองถนิ่ ตาม มาตรา 8 (4) และ (5) ใหเ ปน ไปตามที่ผอู ํานวยการทะเบยี นกลางประกาศ โดยคาํ นงึ ถึงสภาพแหง ความพรอ มและความ สะดวกในการใหบ รกิ ารประชาชน รวมตลอดถงึ การไมซ ้ําซอนและการประหยัด สํานกั ทะเบียนอําเภอหรือสาํ นกั ทะเบียนทอ งถ่นิ ตามมาตรา 8 (4) และ (5) ท่ไี ดจัดตงั้ ขึน้ แลวน้นั เมอ่ื คํานึงถงึ สภาพตามวรรคหนง่ึ แลว ผอู าํ นวยการทะเบยี นกลางจะยบุ หรือควบรวมเขา ดวยกนั กไ็ ด อํานาจหนา ท่ีและความรับผิดชอบของสาํ นักทะเบียนท่จี ดั ต้ังตามวรรคหนึ่งหรือควบรวมตามวรรคสอง ใหเ ปนไปตามทผ่ี ูอํานวยการทะเบียนกลางประกาศกําหนด มาตรา 8/2 ใหมีนายทะเบยี นเพื่อปฏิบตั หิ นาท่ีตามพระราชบญั ญตั ินี้ดงั น้ี (1) อธิบดกี รมการปกครองเปน ผอู าํ นวยการทะเบียนกลาง มีอาํ นาจออกระเบียบหลกั เกณฑ วธิ ปี ฏิบตั ิ รวมท้งั กาํ หนดแบบพมิ พเ พื่อปฏบิ ตั ติ ามพระราชบญั ญัตนิ ้ี และแตงต้งั รองผูอ ํานวยการทะเบยี น กลาง และผชู วยผูอาํ นวยการทะเบยี นกลาง (2) ปลัดกรุงเทพมหานครเปนนายทะเบียนกรงุ เทพมหานคร และใหม อี ํานาจแตงต้งั ผูชวย นายทะเบียนกรุงเทพมหานคร (3) ผูวาราชการจงั หวดั เปนนายทะเบียนจังหวัด และใหมีอํานาจแตงต้งั ผูชวยนายทะเบยี น จังหวดั (4) นายอําเภอหรอื ปลดั อําเภอผูเปนหวั หนา ประจําก่ิงอําเภอ แลว แตกรณี เปนนายทะเบียน อําเภอ และใหมีอํานาจแตงตง้ั ผูชวยนายทะเบียนอําเภอ (5) ปลดั เทศบาล ผอู าํ นวยการเขต ปลัดเมืองพัทยาหรือหวั หนาผูบริหารของหนวยการปกครอง ทองถน่ิ แลวแตก รณี เปน นายทะเบยี นทอ งถน่ิ และใหม อี าํ นาจแตง ตง้ั ผูชวยนายทะเบยี นทองถ่ิน ผอู าํ นวยการ ทะเบยี นกลางตาม (1) จะมอบอาํ นาจใหร องผอู ํานวยการทะเบยี นกลาง หรือผชู ว ยผูอํานวยการทะเบยี นกลาง ปฏิบัติราชการแทนผอู าํ นวยการทะเบยี นกลาง หรอื จะมอบหมายใหข า ราชการสงั กัดกรมการปกครอง ชว ยเหลอื ในการปฏบิ ัตหิ นา ที่ตามที่กําหนดดว ยก็ได นายทะเบียนกรุงเทพมหานครตาม (2) จะมอบอํานาจใหผ ชู ว ยนายทะเบียนกรงุ เทพมหานคร หรือหัวหนา สว นราชการซงึ่ ไมต าํ่ กวา ระดบั กองในสํานักปลัดกรุงเทพมหานครปฏบิ ัติราชการแทนนายทะเบยี น กรุงเทพมหานครกไ็ ด
- 61 - นายทะเบียนจงั หวดั ตาม (3) จะมอบอาํ นาจใหผ ูชว ยนายทะเบยี นจงั หวดั รองผวู า ราชการจงั หวดั หรอื ปลัดจงั หวัด ปฏบิ ตั ริ าชการแทนนายทะเบยี นจังหวัดก็ได นายทะเบียนอําเภอตาม (4) จะมอบอาํ นาจใหผ ูชว ยนายทะเบยี นอาํ เภอ หรอื ปลัดอาํ เภอปฏิบัติ ราชการแทนนายทะเบียนอาํ เภอก็ได นายทะเบียนทองถ่ินตาม (5) จะมอบอํานาจใหผชู ว ยนายทะเบยี นทอ งถ่นิ รองปลดั เทศบาล ผชู วยผอู ํานวยการเขต รองปลัดเมอื งพัทยา หรือรองหรือผูชว ยหวั หนาผูบรหิ ารของหนว ยการปกครอง ทอ งถน่ิ น้ัน แลว แตกรณี ปฏบิ ตั ิราชการแทนนายทะเบยี นทองถนิ่ ก็ได มาตรา 9 ในกรณีจําเปนตองมีสํานกั ทะเบียนสาขา หรอื สาํ นกั ทะเบียนเฉพาะกิจในเขตทองที่ สํานักทะเบียนอาํ เภอ หรือสาํ นกั ทะเบียนทอ งถ่นิ แลวแตก รณี ใหผ อู ํานวยการทะเบยี นกลางจดั ต้ังและกาํ หนด หนาที่ความรับผดิ ชอบการปฏิบตั งิ าน การทะเบียนราษฎรสําหรับสํานักทะเบยี นสาขาหรอื สาํ นกั ทะเบยี น เฉพาะกจิ ในเขตทองท่ีของสาํ นักทะเบียนดงั กลา ว และใหนายอําเภอ ปลัดอาํ เภอผูเ ปน หัวหนา ประจาํ กง่ิ อําเภอ ปลดั เทศบาล ผอู าํ นวยการเขต ปลดั เมอื งพทั ยา หรอื หัวหนา ผบู รหิ ารของหนว ยการปกครองทอ งถ่ินนัน้ แลว แต กรณี แตงตงั้ นายทะเบียน และผชู วยนายทะเบยี นประจําสํานักทะเบยี นดังกลาวในเขตทองทที่ ่รี ับผิดชอบ มาตรา 10 เพ่อื ความถกู ตองของการทะเบียนราษฎร ใหน ายทะเบยี นมีอาํ นาจเรยี กเจาบา น หรอื บคุ คลใด ๆ มาชแี้ จงขอเทจ็ จริงหรอื ใหแสดงหลักฐานตา งๆ ไดต ามความจําเปน และเมื่อมีเหตุอันควร สงสยั ใหม ีอาํ นาจเขาไปสอบถามผูอยใู นบา นใดๆ ได ตามอํานาจหนาที่ แตตองแจงใหเจาบานทราบกอน ทั้งน้ี ใหกระทําไดใ นระหวางเวลาพระอาทติ ยข นึ้ และพระอาทิตยตก ในการเขาไปสอบถามตามวรรคหนงึ่ ใหน ายทะเบยี นแสดงบัตรประจาํ ตัวตามแบบที่กาํ หนด ในกฎกระทรวง ในกรณีปรากฏหลักฐานเช่ือไดวา การดาํ เนนิ การแจง การรับแจง การบันทึก หรือการลงรายการ เพ่ือดําเนนิ การจัดทําหลักฐานทะเบยี นตางๆ ตามพระราชบัญญัตินี้ ไดดําเนินการไปโดยมิชอบดว ยกฎหมาย ระเบียบ หรอื โดยอาํ พราง หรอื โดยมรี ายการขอ ความผดิ จากความเปน จรงิ ใหนายทะเบียนมีอาํ นาจสั่งไมรบั แจง จําหนา ย รายการทะเบยี น เพิกถอนหลักฐานทะเบยี นและดําเนินการแกไขขอความรายการทะเบียนใหถูกตอง แลว แตกรณี การดาํ เนินการตามวรรคสาม รวมตลอดท้ังวิธกี ารโตแ ยงหรือชีแ้ จงขอเท็จจรงิ และการอุทธรณ ของผซู ง่ึ อาจไดรับผลกระทบจากการดาํ เนนิ การของนายทะเบยี น รวมถงึ การพิจารณาคําอุทธรณใหเปนไป ตามหลักเกณฑและวิธกี ารท่ีกําหนดในกฎกระทรวง ทง้ั นี้ ใหนายทะเบยี นมีอํานาจสง่ั ระงับการเคล่อื นไหว ทางทะเบยี นไวกอนทจี่ ะรบั ฟงคาํ ช้ีแจงหรือการโตแ ยงได มาตรา 11 ในการปฏิบัติหนา ที่ตามพระราชบัญญตั ิน้ี ใหน ายทะเบยี นเปน เจา พนกั งานตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 14 บุคคลผูมีหนาที่แจงการตาง ๆ ตามทีก่ าํ หนดไวในพระราชบัญญตั ิน้ี เจาของประวตั ิ ซึ่งปรากฏในขอมูลทะเบียนประวตั ิราษฎรตามมาตรา 12 หรือผแู ทนโดยชอบธรรมในกรณเี จาของประวตั ิ เปน ผเู ยาว ผูอ นบุ าลในกรณเี จาของประวัตเิ ปน คนไรความสามารถหรือทายาทเจาของประวตั ิ หรือผูร ับมอบ อํานาจจากบุคคลดังกลาวขางตน อาจขอใหน ายทะเบยี นดาํ เนนิ การไดท สี่ าํ นกั ทะเบยี นในวันเวลาราชการดังนี้
- 62 - (1) คดั และรับรองเอกสารขอมลู ทะเบียนประวตั ิราษฎรตามมาตรา 12 และเสยี คาธรรมเนียม ตามที่กําหนดในกฎกระทรวง (2) แกไขเพ่ิมเติม ลบ หรือทําใหทนั สมยั ซึง่ ขอมูลใด ๆ ในขอมูลทะเบยี นประวตั ริ าษฎรเพ่ือให เกดิ ความถูกตองตามความเปนจริง เม่ือไดร ับคาํ ขอตาม (2) ใหนายทะเบยี นมีคําสั่งโดยเร็ว คําสง่ั ของนายทะเบียนทไ่ี มรบั คําขอ หรือไมดําเนินการตามคําขอท้ังหมดหรือบางสว น ใหค ูกรณยี ่นื อทุ ธรณตอนายทะเบยี นจังหวัด นายทะเบียน กรงุ เทพมหานคร หรือผูอํานวยการทะเบยี นกลาง แลว แตกรณี ภายในสบิ หา วันนับแตว นั รับทราบคาํ ส่ัง จากนายทะเบียน เงือ่ นไข หลกั เกณฑ และวิธีการแกไขเพิม่ เตมิ ลบ หรอื ทําใหทนั สมัยซง่ึ ขอมูลใดๆ ในขอ มลู ทะเบียนประวตั ิราษฎร และการอทุ ธรณใ หกําหนดในกฎกระทรวง มาตรา 17 ขอมูลทะเบยี นประวตั ิราษฎรตอ งถือเปนความลบั และใหนายทะเบียนเปน ผเู ก็บ รกั ษาและใชเพื่อการปฏบิ ตั ิตามท่ีไดบ ัญญัติไวใ นพระราชบญั ญัตนิ ี้เทา นั้น หามมใิ หผ ูใ ดเปด เผยขอความ หรือตวั เลขนั้นแกบุคคลใด ๆ ซึง่ ไมมีหนาทีป่ ฏิบตั กิ ารตามพระราชบัญญัตนิ ้ี หรือแกสาธารณชน เวน แต ผมู สี วนไดเ สยี ขอทราบเก่ียวกบั สถานภาพทางครอบครวั ของผทู ี่ตนจะมนี ิตสิ ัมพนั ธดว ย หรอื เมื่อมคี วามจําเปน เพ่อื ประโยชนแกการสถติ ิ หรอื เพ่ือประโยชนแกการรกั ษาความมน่ั คงของรฐั หรอื การดาํ เนนิ คดีและการ พจิ ารณาคดีหรอื การปฏบิ ตั หิ นาท่ีตามกฎหมาย และไมวา ในกรณีใดจะนาํ ขอมลู ทะเบยี นประวตั ริ าษฎร ไปใชเ ปน หลักฐานท่ีอาจกอใหเกิดความเสยี หายแกเจาของขอมูลมิได มาตรา 18 เมอ่ื มคี นเกดิ ใหแ จง การเกิด ดงั ตอไปน้ี (1) คนเกิดในบาน ใหเ จาบา นหรอื บิดาหรือมารดาแจงตอนายทะเบียนผรู ับแจงแหงทองท่ี ทีค่ นเกิดในบา นภายในสบิ หา วันนับแตวนั เกดิ (2) คนเกิดนอกบา น ใหบิดาหรือมารดาแจงตอนายทะเบยี นผูร บั แจง แหงทองทท่ี ี่มีคนเกิด นอกบานหรือแหงทอ งที่ท่ีจะพงึ แจงได ภายในสิบหา วนั นบั แตว ันเกิด ในกรณีจําเปน ไมอ าจแจง ไดต าม กาํ หนด ใหแ จงภายหลงั ไดแ ตตองไมเ กนิ สามสบิ วนั นบั แตวันเกิด การแจง ตาม (1) และ (2) ใหแ จงตามแบบพมิ พที่ผูอํานวยการทะเบียนกลางกําหนด พรอมท้ัง แจง ช่ือคนเกิดดว ย ในกรณีจาํ เปน เพ่ือประโยชนใ นการอํานวยความสะดวกแกประชาชน การแจง ตามวรรคหน่ึง จะแจงตอนายทะเบียนผูรับแจงแหงทองที่อืน่ ก็ได ท้ังน้ี ตามหลักเกณฑและวธิ ีการทกี่ ําหนดในกฎกระทรวง มาตรา 19 ผูใดพบเดก็ ในสภาพแรกเกดิ หรือเดก็ ไรเดียงสาซึง่ ถูกทอดท้ิงใหนําตัวเดก็ ไปสง และแจง ตอพนักงานฝายปกครองหรอื ตาํ รวจ หรอื เจา หนา ทีข่ องกระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมน่ั คง ของมนษุ ยซ่งึ ปฏิบัติงานในทองท่ีที่พบเดก็ นั้นโดยเรว็ เมอื่ พนักงานฝา ยปกครองหรือตํารวจ หรือเจาหนาที่ ดังกลา วไดร บั ตัวเด็กไวแลว ใหบ ันทึกการรับตวั เด็กไว ในกรณที ี่พนักงานฝา ยปกครองหรือตํารวจรบั เดก็ ไว ใหนําตวั เด็ก พรอมบันทึกการรับตัวเด็กสงใหเจา หนา ทข่ี องกระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมน่ั คงของมนษุ ยใ นเขตทอ งท่ี ในกรณีทีเ่ จาหนา ทีด่ ังกลาวไดรับตัวเดก็ ไวหรือไดรับตวั เด็กจากพนกั งานฝายปกครองหรือตํารวจแลว ใหแ จงการเกดิ ตอ นายทะเบียนผรู บั แจงและใหน ายทะเบยี นออกใบรบั แจง ทั้งน้ี ตามระเบียบและแบบพมิ พทีผ่ อู ํานวยการ ทะเบยี นกลางกําหนด
- 63 - บันทึกการรับตวั เดก็ ตามวรรคหน่ึงใหทาํ เปนสองฉบบั และเกบ็ ไวท ี่เจา หนาทผ่ี ูรบั ตัวเดก็ หน่งึ ฉบับและสงมอบใหกับนายทะเบียนผูรับแจงหนึ่งฉบับ โดยใหม รี ายละเอียดเกีย่ วกับรายการบคุ คลของผทู ี่ พบเด็ก พฤติการณ สถานทแ่ี ละวนั เวลาทพี่ บเด็ก สภาพทางกายภาพโดยทวั่ ไปของเด็ก เอกสารที่ติดตัวมา กับเดก็ และประวัติของเดก็ เทาทท่ี ราบ และในกรณที ไ่ี มอาจทราบสัญชาตขิ องเดก็ ใหบ นั ทึกขอ เทจ็ จรงิ ดงั กลา วไวดว ย มาตรา 19/1 เด็กเรร อนหรือเด็กที่ไมปรากฏบุพการีหรือบุพการีทอดทิง้ ซึง่ อยูในการอปุ การะ ของหนว ยงานของรัฐหรือหนวยงานเอกชนทจ่ี ดทะเบยี นตามกฎหมายโดยมวี ตั ถปุ ระสงคเพ่ือการสงเคราะห ชว ยเหลือเด็กตามท่ีรฐั มนตรปี ระกาศกําหนด ถา เด็กยงั ไมไ ดแจง การเกดิ และไมมรี ายการบุคคลในทะเบยี นบา นให หวั หนาหนวยงานหรอื ผูทไ่ี ดร ับมอบหมายจากหวั หนา หนว ยงานเปนผูแจงการเกดิ ตอนายทะเบียนผูร บั แจง แหงทอ งทที่ หี่ นวยงานน้ันต้ังอยู และใหนายทะเบียนออกใบรับแจง ทัง้ นี้ ตามระเบียบและแบบพิมพท ี่ ผูอํานวยการทะเบียนกลางกําหนด มาตรา 19/2 การพสิ จู นส ถานะการเกดิ และสัญชาตขิ องเดก็ ตามมาตรา 19 และมาตรา 19/1 ใหเปน ไปตามหลักเกณฑและวธิ กี ารทกี่ าํ หนดในกฎกระทรวง ในกรณีที่ไมอาจพิสูจนส ถานะการเกิดและ สัญชาตไิ ด ใหนายทะเบียนอําเภอหรอื นายทะเบยี นทองถิน่ จัดทําทะเบยี นประวัตแิ ละออกเอกสารแสดงตน ใหเดก็ ไวเปน หลกั ฐาน ตามระเบยี บที่ผอู ํานวยการทะเบียนกลางกําหนด มาตรา 19/3 ผูมสี ัญชาติไทยซ่ึงเจาบานหรือบิดามารดามไิ ดแ จง การเกดิ ใหตามมาตรา 18 อาจรองขอตอ นายทะเบียนผรู ับแจง เพ่ือแจง การเกิดไดตามระเบียบทผี่ ูอาํ นวยการทะเบียนกลางกาํ หนด และใหน าํ ความในมาตรา 19/2 มาใชบ ังคบั โดยอนโุ ลม ในกรณีทบี่ คุ คลตามวรรคหนึ่งยังไมบ รรลุนติ ภิ าวะ ใหบดิ ามารดาหรือผปู กครองแจง แทนได แตส าํ หรบั กรณขี องบิดามารดาใหน ายทะเบียนผรู บั แจงดาํ เนนิ การใหตอเมื่อไดชําระคาปรบั ตามทีน่ ายทะเบยี น อาํ เภอหรือนายทะเบียนทองถ่ินเปรยี บเทียบตามมาตรา 47 (2) และมาตรา 51 แลว มาตรา 20 เมอ่ื มกี ารแจง การเกดิ ตามมาตรา 18 มาตรา 19 มาตรา 19/1 หรอื มาตรา 19/3 ทง้ั กรณีของเด็กท่ีมีสญั ชาติไทยหรอื เด็กที่ไมไดส ัญชาติไทยโดยการเกดิ ตามกฎหมายวา ดว ยสญั ชาติ ใหน ายทะเบยี น ผูร บั แจงรบั แจงการเกิดและออกสตู บิ ัตรเปน หลักฐานแกผ แู จง โดยมีขอ เท็จจริงเทาที่สามารถจะทราบได สําหรับการแจง การเกดิ ของเด็กทไ่ี มไดส ญั ชาติไทยโดยการเกิดตามกฎหมายวาดว ยสัญชาติ ใหน ายทะเบยี นผรู บั แจง ออกสตู ิบัตรใหต ามแบบพมิ พท ผ่ี ูอํานวยการทะเบียนกลางกาํ หนด โดยใหระบุ สถานะการเกิดไวด ว ย มาตรา 21 เมือ่ มีคนตายใหแจงการตาย ดังตอไปน้ี (1) คนตายในบาน ใหเ จา บา นแจง ตอนายทะเบยี นผรู บั แจงแหง ทองท่ีทีม่ ีคนตายภายในยีส่ ิบส่ี ชัว่ โมง นบั แตเ วลาตาย ในกรณีไมมเี จา บา น ใหผ พู บศพแจงภายในย่สี บิ สชี่ ั่วโมงนบั แตเวลาพบศพ (2) คนตายนอกบาน ใหบคุ คลท่ีไปกับผตู ายหรือผูพบศพแจง ตอนายทะเบยี นผูรบั แจงแหง ทอ งท่ีทม่ี ีการตายหรือพบศพ แลว แตกรณี หรอื แหงทองท่ีท่ีจะพึงแจงไดภายในยส่ี ิบสช่ี ่ัวโมงนับแตเวลาตาย หรอื เวลาพบศพ ในกรณเี ชน น้จี ะแจงตอพนักงานฝายปกครองหรือตํารวจก็ได
- 64 - กําหนดเวลาใหแ จงตาม (1) และ (2) ถา ในทอ งทใี่ ดการคมนาคมไมส ะดวกผูอํานวยการ ทะเบยี นกลางอาจขยายเวลาออกไปตามท่ีเหน็ สมควร แตตองไมเกินเจ็ดวันนับแตเวลาตายหรือเวลาพบศพ การแจงตาม (1) และ (2) ใหแ จงตามแบบพมิ พท่ผี อู าํ นวยการทะเบียนกลางกาํ หนด พรอ ม ทงั้ แจง ชื่อผแู จง ดวย ใหนาํ ความในวรรคสามของมาตรา 18 มาใชบังคับกบั การแจง ตามวรรคหนึ่งดวยโดยอนโุ ลม มาตรา 22 เมอ่ื มกี ารแจง ตามมาตรา 21 ใหน ายทะเบียนผรู บั แจง ออกมรณบัตรเปน หลักฐาน ใหแกผ ูแ จง เวน แตเ ปน กรณีตามมาตรา 25 มาตรา 24 หา มมใิ หผใู ดเก็บ ฝง เผา ทําลาย หรอื ยายศพไปจากสถานทีห่ รือบา นที่มีการตาย เวนแตไ ดรบั อนุญาตจากนายทะเบียนผรู บั แจง เมือ่ ไดรับอนญุ าตตามวรรคหนึ่งแลว หา มมิใหเ ก็บ ฝง เผา ทาํ ลายหรอื ยา ยศพผดิ ไปจากสถานท่ีท่ี ระบุไวในใบอนุญาตนน้ั เวนแตจะไดร ับอนุญาตจากนายทะเบียนผรู ับแจง ในกรณที มี่ คี วามจําเปน ตองยายศพ เพ่ือความปลอดภยั หรือสวสั ดภิ าพของประชาชน ให พนักงานฝา ยปกครองหรือตาํ รวจมีอาํ นาจกระทาํ ได มาตรา 25 ถา มีเหตอุ นั ควรสงสัยวา คนตายดวยโรคตดิ ตอ อนั ตรายหรอื ตายโดยผดิ ธรรมชาติ ใหนายทะเบยี นผรู บั แจง รบี แจงตอเจาพนกั งานผูมีหนา ท่ีตามกฎหมายวา ดว ยโรคติดตอ อันตรายหรอื พนกั งานฝา ยปกครองหรือตํารวจ และใหรอการออกมรณบัตรไวกอนจนกวาจะไดร บั ความเหน็ ชอบจาก เจา พนกั งานดังกลาว มาตรา 26 ใหนายทะเบยี นอําเภอ นายทะเบียนทอ งถ่นิ แลวแตก รณี จัดทําทะเบยี นคนเกดิ ทะเบยี นคนตาย จากสูติบตั รและมรณบัตรตามแบบพิมพแ ละวิธกี ารที่ผอู าํ นวยการทะเบียนกลางกาํ หนด มาตรา 30 ใหเ จาบานแจงการยายทอี่ ยูตอ นายทะเบยี นผูรบั แจง ดงั ตอไปน้ี (1) เมือ่ ผูอยใู นบานยายทอ่ี ยูออกจากบาน ใหแจงการยา ยออกภายในสบิ หาวันนับแตวันทผี่ ู อยใู นบา นยา ยออก (2) เม่ือมผี ูยายที่อยเู ขา อยูใ นบา น ใหแจง การยายเขา ภายในสบิ หา วัน นบั แตวันท่ียายเขาอยู ในบา น นอกจากกรณีตาม (1) และ (2) ผยู ายทอี่ ยจู ะเปนผแู จงการยา ยออกและยา ยเขา โดยไปแจง ตอ นายทะเบียนผรู ับแจง แหงทอ งที่ท่ีไปอยใู หมภายในสบิ หาวันนบั แตวนั ยายออกก็ได โดยใหนําสําเนา ทะเบียนบานพรอ มดว ยคาํ ยนิ ยอมเปนหนังสือของเจาบา นท่ีเขาไปอยใู หมแสดงตอนายทะเบยี นผูร ับแจง และเสียคา ธรรมเนยี มตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง การแจงยายตามมาตรานี้ ใหแจงตามแบบพมิ พใบแจง ยา ยทีอ่ ยูทผ่ี อู าํ นวยการทะเบียนกลาง กาํ หนด ใหน ําความในวรรคสามของมาตรา 18 มาใชบ ังคบั กบั การแจง ตามวรรคหนง่ึ ดวยโดยอนโุ ลม
- 65 - มาตรา 31 ในการแจง การยา ยทอี่ ยูเขา ในบานใด ถา นายทะเบียนผรู ับแจงเห็นวา มผี ยู า ยเขา อยเู ปน จํานวนมาก ไมว า จะเปนคราวเดยี วหรอื หลายคราว และเมื่อไดต รวจสภาพบานแลวเห็นวา การยาย เขาอยใู นบานจะเปนการฝา ฝนกฎหมายวาดวยสาธารณสขุ นายทะเบยี นผูร บั แจงมอี าํ นาจไมร ับแจง การยายเขา อยูในบา นได มาตรา 32 การแจงยา ยผูใดเขาอยูในบา นตามมาตรา 30(2) เจา บานตอ งนําหลกั ฐานการ ยายออกของผูนนั้ ตามมาตรา 30(1) ไปแสดงตอนายทะเบียนผรู ับแจง ดว ย ทัง้ นม้ี ิใหนาํ ความในมาตราน้ี มาใชแกกรณดี ําเนินการยา ยตามมาตรา 30 วรรคสอง และกรณผี ูย ายเขามาจากตา งประเทศโดยมหี ลักฐาน มาตรา 33 เมื่อผอู ยใู นบานใดออกจากบานที่ตนมีช่ืออยูในทะเบียนบา นไปอยูท่ีอนื่ เกินหนง่ึ รอยแปดสิบวนั และเจาบานไมทราบวาผนู นั้ ไปอยทู ีใ่ ด ใหเจาบานแจงการยา ยออกตอนายทะเบียนผรู บั แจงภายในสามสิบวนั นับแตว ันครบหนงึ่ รอ ยแปดสบิ วนั โดยระบุวา ไมท ราบท่ีอยู และใหนายทะเบียนผรู บั แจงเพมิ่ ช่ือและรายการผูน้ันในทะเบียนบา นกลาง มาตรา 34 ใหทุกบานมีเลขประจําบาน บา นใดยงั ไมมเี ลขประจําบาน ใหเจา บา นแจง ตอ นายทะเบยี นผูรับแจง เพ่ือขอเลขประจําบา นภายในสิบหาวันนับแตวันสรา งบานเสรจ็ ใหน ายทะเบียนผูร ับแจง กาํ หนดเลขประจําบา นใหแกผูแจงซึ่งมีบานอยูในเขตสํานักทะเบยี น ทอ งถน่ิ ภายในเจ็ดวัน ถามบี า นอยูนอกเขตสํานักทะเบยี นทองถ่ินใหกําหนดเลขประจําบานภายในสามสิบวนั ใหเจา บา นตดิ เลขประจาํ บา นไวในที่ซึ่งเห็นไดชัดแจง ผูอ ํานวยการทะเบียนกลางจะกาํ หนดใหมีทะเบยี นบานชวั่ คราวตามระเบยี บ เพ่ือประโยชน แกการตรวจสอบทางทะเบยี นกไ็ ด มาตรา 36 ใหน ายทะเบยี นอําเภอหรือนายทะเบยี นทอ งถ่ินจัดทาํ ทะเบยี นบานไวท กุ บาน สาํ หรบั ผูมีสัญชาติไทยและคนซ่ึงไมมสี ญั ชาตไิ ทยแตมีถนิ่ ท่ีอยใู นราชอาณาจักร การจัดทําทะเบียนบานใหเปน ไปตามระเบยี บท่ีผอู ํานวยการทะเบยี นกลางกาํ หนด มาตรา 38 ใหน ายทะเบยี นอําเภอหรือนายทะเบียนทองถิน่ จดั ทําทะเบยี นบานสําหรบั คน ซง่ึ ไมมสี ัญชาตไิ ทยที่ไดร ับอนุญาตใหอาศัยอยูในราชอาณาจกั รเปนการชวั่ คราว และคนซึง่ ไมมสี ญั ชาติไทย ท่ไี ดรับการผอ นผันใหอาศยั อยใู นราชอาณาจักรเปนกรณพี ิเศษเฉพาะรายตามกฎหมายวา ดวยคนเขา เมือง ตามที่รฐั มนตรปี ระกาศกาํ หนด และบตุ รของบุคคลดงั กลา วทีเ่ กิดในราชอาณาจักร ในกรณีผูม รี ายการใน ทะเบยี นบานพนจากการไดร ับอนุญาตหรือผอนผนั ใหอาศัยอยใู นราชอาณาจกั ร ใหน ายทะเบียนจาํ หนาย รายการทะเบยี นของผูน ้นั โดยเร็ว ใหผ อู าํ นวยการทะเบยี นกลางจัดใหมีทะเบียนประวตั สิ ําหรับคนซ่ึงไมมีสัญชาติไทยอน่ื นอกจากท่ี บัญญัติไวตามวรรคหนึ่งตามที่รฐั มนตรปี ระกาศกาํ หนด รายการและการบันทึกรายการตามวรรคหน่ึงและวรรคสอง ใหเปน ไปตามระเบียบท่ผี ูอํานวยการ ทะเบยี นกลางกาํ หนด
- 66 - มาตรา 39 ใหน ายทะเบยี นอาํ เภอ และนายทะเบยี นทอ งถิน่ มอบสาํ เนาทะเบยี นบานใหเ จา บา น เกบ็ รักษา เมือ่ มีการเพิ่ม เปลี่ยนแปลง หรือจาํ หนา ยรายการในทะเบียนบา นใหเ จา บา นนําสําเนาทะเบยี น บา นไปใหน ายทะเบียนบนั ทกึ รายการใหถ ูกตอ งตรงกบั ตนฉบบั ทุกคร้งั ถาสาํ เนาทะเบียนบานชํารดุ จนใชการไมไดหรือสูญหาย ใหเจา บานขอรับสําเนาทะเบยี นบา น ใหมไ ด และเสยี คาธรรมเนยี มตามทก่ี ําหนดในกฎกระทรวง เม่ือผอู าํ นวยการทะเบยี นกลางเห็นวา ไมมคี วามจําเปน ตอ งมีสําเนาทะเบียนบานตอ ไปในเขต สํานกั ทะเบียนใด ใหผ อู าํ นวยการทะเบยี นกลางมีอาํ นาจยกเลิกการใชส าํ เนาทะเบยี นบา นในเขตสํานกั ทะเบียนน้ัน โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา มาตรา 41 ผใู ดร้อื บานท่มี เี ลขประจําบานโดยไมประสงคจะปลูกบานใหมในท่ดี ินบริเวณนนั้ อีกตอไปหรือรือ้ เพ่ือไปปลูกสรางบานในท่ีอนื่ ใหแจงการรอื้ บานตอนายทะเบยี นผรู ับแจง ภายในสบิ หาวัน นับแตวนั ทีร่ อ้ื บา นเสร็จเพ่อื จาํ หนา ยเลขประจําบา นและทะเบยี นบา น บานทีร่ อ้ื ถอนโดยไมแจงตอนายทะเบียนผรู ับแจงตามวรรคหนงึ่ ใหนายทะเบียนจาํ หนา ยเลข ประจําบา นและทะเบยี นบา นและแจง ยายผูม รี ายชื่ออยูในทะเบียนบานนั้นไปไวใ นทะเบียนบานกลางตาม ระเบยี บทผ่ี ูอํานวยการทะเบยี นกลางกาํ หนด มาตรา 42 การยา ยบานซึ่งเคล่ือนยายได หรือการยายแพหรือเรือหรือยานพาหนะอ่ืนซึ่งใช เปน ทีอ่ ยูประจาํ ไปอยูหรอื จอด ณ ที่อ่ืน ถา อยหู รือจอดเกนิ หน่ึงรอ ยแปดสบิ วัน เจา บา นตองแจงการยาย ออกและยา ยเขาตอนายทะเบียนผูรับแจง แหง ทองทท่ี ่ีไปอยูหรอื จอดใหมภายในสิบหาวนั นบั แตว นั ครบ กําหนดหนง่ึ รอ ยแปดสบิ วัน มาตรา 44 เมือ่ ไดตราพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา 43 แลว ใหนายทะเบยี นหรือผูซงึ่ นายทะเบียน มอบหมายเปน หนังสอื มีอาํ นาจเขา ไปในบานในเขตทอ งทที่ ่ีพระราชกฤษฎกี ากําหนดเพ่อื สาํ รวจตรวจสอบ ทะเบยี นราษฎรเทาทจ่ี าํ เปนในระหวา งเวลาพระอาทิตยขึ้นและพระอาทิตยต ก ใหเ จาบานช้แี จงตอบคําถามตามความจรงิ และใหล งลายมือชื่อในรายการสํารวจตรวจสอบ เพื่อรับรองขอความในรายการที่สาํ รวจตรวจสอบนน้ั ในการปฏบิ ัติหนาที่ตามวรรคหน่ึง ใหน ายทะเบยี นแสดงบัตรประจําตวั ขาราชการหรือพนกั งาน ของรฐั หรอื บัตรประจาํ ตัวประชาชน พรอมดว ยหนังสอื หลกั ฐานแหงการเปน พนักงานเจา หนาที่แกเจาบาน กอนเขา ไปสํารวจตรวจสอบ สรปุ ประเด็นท่นี ายอาํ เภอมอี ํานาจหนาท่ี นายอําเภอหรือปลดั อําเภอผูเปนหัวหนาประจาํ กง่ิ อาํ เภอแลวแตกรณี เปน นายทะเบียนอาํ เภอ และใหมีอํานาจแตงตง้ั ผชู ว ยนายทะเบียนอําเภอ
- 67 - (8) พระราชบญั ญตั กิ ารเนรเทศ พ.ศ. 2499 มาตราทเ่ี กี่ยวขอ ง มาตรา 5 เม่ือปรากฏวา มีความจาํ เปน เพ่อื ความสงบเรียบรอยหรอื ศลี ธรรมอันดขี องประชาชน ใหรัฐมนตรีมอี าํ นาจออกคาํ สง่ั ใหเ นรเทศคนตางดา วออกไปนอกราชอาณาจกั รมีกําหนดเวลาตามท่ีจะเหน็ สมควร อนง่ึ เมือ่ พฤติการณเปล่ยี นแปลงไป รัฐมนตรจี ะเพิกถอนคําสั่งเนรเทศเสียก็ได ความในวรรคแรกมิใหใ ชบงั คบั แกผทู ่เี คยไดสญั ชาตไิ ทยโดยการเกิด มาตรา 6 เม่อื ไดออกคาํ สง่ั ใหเ นรเทศผูใดแลว ใหร ฐั มนตรหี รอื เจาพนักงานซึ่งรฐั มนตรมี อบหมาย ส่งั ใหจ บั กุมและควบคุมผนู ั้นไวในที่แหงใดแหงหน่ึงจนกวา จะไดจ ดั การใหเปน ไปตามคําสงั่ เนรเทศ ในขณะท่ดี าํ เนินการขอรับคาํ ส่งั รัฐมนตรเี พื่อเนรเทศผูใ ด พนักงานฝายปกครองหรอื ตาํ รวจ ชน้ั ผใู หญจ ะจบั กุมและควบคุมผูนนั้ ไวก อ นกไ็ ด ในกรณีเชนวาน้ใี หนาํ บทบัญญตั ิแหงประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา วาดว ยการจับกมุ และควบคมุ มาใชบ ังคับโดยอนุโลม ในระหวา งทผี่ ถู ูกส่ังเนรเทศถกู ควบคมุ เพื่อรอการเนรเทศเน่ืองจากยังไมส ามารถสง ตัวผถู ูกส่ัง เนรเทศออกไปนอกราชอาณาจกั รได หากผถู กู สง่ั เนรเทศน้ันรองขอ ใหร ฐั มนตรีมอี าํ นาจสั่งผอ นผนั ใหส ง ไป ประกอบอาชพี ณ ทแ่ี หง ใด แทนการควบคมุ เพอ่ื รอการเนรเทศตามทเ่ี หน็ สมควรได ทง้ั น้ี โดยใหผ ูถูกสัง่ เนรเทศน้นั มปี ระกนั หรอื มที ัง้ ประกนั และหลักประกัน หรือทําทณั ฑบ นไว และใหบ คุ คลดังกลา วมารายงานตน ณ สถานที่ และตามระยะเวลาทร่ี ฐั มนตรกี าํ หนดแตร ะยะเวลาท่ีกาํ หนดใหร ายงานตนตองไมหา งกันเกนิ หกเดอื นตอคร้ัง สรปุ ประเด็นที่นายอาํ เภอมอี ํานาจหนา ท่ี นายอําเภอในฐานะพนักงานฝา ยปกครองหรือตํารวจชนั้ ผูใหญมีอํานาจจับกุมผูท่ีจะถูกเนรเทศ ในขณะท่ีดาํ เนนิ การขอรับคําส่งั รัฐมนตรีเพอื่ เนรเทศผนู ้นั ไวไ ด ตามมาตรา 6 แหงพระราชบัญญตั กิ ารเนรเทศ พ.ศ. 2499 (9) พระราชบัญญัติการพนนั พุทธศกั ราช 2478 มาตราทเ่ี กี่ยวขอ ง มาตรา 4 หามมใิ หอ นุญาตจัดใหมี หรอื เขาเลน หรอื เขาพนนั ในการเลน อันระบุไวใ นบัญชี ก. ทายพระราชบัญญตั นิ ้ี หรอื การเลนซ่ึงมีลักษณะคลา ยกัน หรอื การเลน อนั รายแรงอน่ื ใด ซง่ึ รัฐมนตรีเจาหนา ที่ ไดออกกฎกระทรวงระบเุ พ่ิมเตมิ หา มไว แตเมือ่ รฐั บาลพจิ ารณาเหน็ วา ณ สถานท่ีใดสมควรจะอนญุ าต ภายใตบ งั คับเงื่อนไขใด ๆ ใหมีการเลน ชนดิ ใดก็อนุญาตไดโดยออกพระราชกฤษฎกี า การเลนอันระบไุ วในบัญชี ข. ทายพระราชบัญญัตนิ ี้ หรือการเลน ซึง่ มลี ักษณะคลายกนั หรือ การเลนอืน่ ใดซึ่งรัฐมนตรีเจาหนาทีไ่ ดออกกฎกระทรวงระบุเพิ่มเติมไว จะจัดใหมีขึ้นเพือ่ เปนทางนํามา
- 68 - ซึ่งผลประโยชนแกผ จู ัดโดยทางตรงหรือทางออมไดตอเมื่อรัฐมนตรีเจาหนา ทห่ี รือเจา พนักงานผอู อกใบอนุญาต เหน็ สมควรและออกใบอนุญาตให หรือมกี ฎกระทรวงอนญุ าตใหจ ดั ข้ึนโดยไมตองมีใบอนุญาต ในการเลนอันระบุไวในวรรค ๒ ขา งตนนน้ั จะพนนั กันไดเ ฉพาะเมอ่ื ไดมีใบอนุญาตใหจดั มขี ึ้น หรือมกี ฎกระทรวงอนญุ าตใหจัดขึ้นไดโดยไมต องมีใบอนุญาต การเลน หมายเลข ๕ ถงึ ๑๕ ในบญั ชี ข. หรอื การเลนซงึ่ มีลักษณะคลายกัน หรือการเลนอนื่ ใด ซง่ึ รฐั มนตรเี จา หนา ท่ีไดออกกฎกระทรวงระบุเพิม่ เตมิ ไวน้นั จะใหร างวัลตีราคาเปน เงินไมไ ด และหา มมิให ผูใ ดรบั รางวัลท่ีใหไปแลวกลับคนื หรือรบั ซอื้ หรือแลกเปลย่ี นรางวลั นน้ั ในสถานงานหรือการเลน หรือบรเิ วณ ตอ เนื่องในระหวางมีงานหรือการเลน มาตรา 8 การจัดใหม ีการแถมพกหรือรางวัลดวยการเสี่ยงโชค โดยวธิ ีใดๆ ในการประกอบ กจิ การคาหรืออาชพี จะตอ งไดร บั อนุญาตจากเจา พนักงานผอู อกใบอนุญาตกอนจึงจะทําได มาตรา 9 สลากกนิ แบง สลากกินรวบ และสวีป หรอื การเลน อยางใดท่ีเสยี่ งโชคใหเ งนิ หรอื ประโยชนอยา งอน่ื แกผ เู ลน คนหนึ่งคนใดนนั้ ตอ งสง สลากใหเจา พนักงานผูอ อกใบอนญุ าตประทับตรา เสียกอ น จงึ นําออกจําหนายได ถา ยังมิไดรับอนุญาตใหมกี ารเลนท่กี ลาวไวในวรรคกอน หา มมใิ หป ระกาศโฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรอื ทางออมใหบ ุคคลใด ๆ เขารวมในการเลน นัน้ มาตรา 11 เจา พนกั งานผูออกใบอนุญาตมสี ทิ ธจิ ะเรยี กใบอนญุ าตคืนเมื่อมีเหตุสมควรเช่อื วา ผรู บั ใบอนญุ าตกระทาํ การละเมิดพระราชบญั ญัติน้ี หรอื กฎกระทรวง หรือใบอนุญาตซงึ่ ออกตามพระราชบญั ญัติน้ี กฎหมายลาํ ดับรองท่เี กย่ี วของ 1. กฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 แกไ ขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 44 (พ.ศ. 2548) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิ การพนนั พทุ ธศักราช 2478 ขอ 4 ใหผ ดู ํารงตาํ แหนง ตอไปน้ีเปนเจา พนกั งานผอู อกใบอนุญาตเลนการพนันตามบญั ชี ข. ทายพระราชบญั ญัติ และใบอนญุ าตจัดใหม ีการแถมพกหรอื รางวลั ดว ยการเสีย่ งโชคโดยวธิ ีใดๆ ในการ ประกอบกิจการคา หรืออาชีพตามมาตรา 8 (1) ผูอํานวยการสาํ นักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง สําหรับกรงุ เทพมหานคร (2) นายอาํ เภอ หรอื ปลดั อําเภอผเู ปน หัวหนา ประจํากง่ิ อําเภอแหง ทองที่ สาํ หรบั จงั หวดั อื่น นอกจากกรงุ เทพมหานคร ขอ 14 เจาพนักงานผอู อกใบอนญุ าตอาจผอนผันการอนุญาตใหผ ิดไปจากลักษณะขอจํากัด หรอื เงื่อนไขทก่ี าํ หนดไวหลงั ใบอนุญาตได แตเฉพาะเมื่อไดรับอนุญาตจากกระทรวงมหาดไทยแลว
- 69 - ขอ 15 ผใู ดประสงคจ ะจดั ใหม กี ารเลน การพนนั ตามบญั ชี ข. หรอื การจดั ใหมกี ารแถมพกหรอื รางวลั ดว ยการเสยี่ งโชคโดยวธิ ีใดๆ ในการประกอบกิจการคาหรืออาชีพตามมาตรา 8 ใหท ําคําขอตาม แบบทายกฎกระทรวงน้ยี ืน่ ตอเจาพนกั งานผูอ อกใบอนุญาตประจําทองทดี่ งั นี้ (1) ในกรุงเทพมหานคร ใหยื่นท่ีกรมการปกครอง (2) ในจงั หวดั อ่นื นอกจากกรงุ เทพมหานคร ใหยน่ื ทที่ ่ที ําการปกครองอําเภอหรือท่ีทําการปกครอง ก่งิ อาํ เภอ 2. ระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วาดวยการพนันชนไกและกดั ปลา พ.ศ. 2552 ขอ 5 ในระเบียบนี้ “เจา พนกั งานผอู อกใบอนญุ าต” หมายความวา ผอู ํานวยการสํานักการสอบสวนและนติ ิการ กรมการปกครอง สาํ หรบั กรงุ เทพมหานคร และนายอาํ เภอ หรอื ปลดั อาํ เภอผูเ ปนหวั หนา ประจาํ กง่ิ อําเภอแหง ทองท่สี าํ หรบั จงั หวัดอ่นื นอกจากกรงุ เทพมหานคร “ผมู ีอาํ นาจสั่งอนุมตั ”ิ หมายความวา อธบิ ดกี รมการปกครอง สาํ หรับกรงุ เทพมหานครและผูวา ราชการจังหวดั สําหรับจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ขอ 7 กอ นจะกอสรา ง หรือดัดแปลงอาคารเปน สถานท่เี ลนการพนันชนไกขน้ึ ใหมใหผ ูขออนญุ าต ใชสถานที่เลนการพนนั ชนไกย ืน่ คาํ รอ งขออนญุ าตพรอมหลักฐาน ดงั ตอไปนต้ี อ เจา พนักงานผูออกใบอนุญาตเพ่อื เสนอตอ ผมู ีอาํ นาจสั่งอนมุ ตั ิพิจารณา (1) สําเนาทะเบียนบานของผูขออนญุ าต ขอ 10 เมื่อกอสรา งสถานทีเ่ ลนการพนนั ชนไก หรือกัดปลาตามกฎหมายวาดวยการควบคุม อาคารหรือดัดแปลงอาคารเปนสถานทเ่ี ลนการพนนั ชนไกห รอื กดั ปลาแลวเสร็จ หรือกรณีการขออนุญาต ใชสถานที่เลน การพนนั ดงั กลาวเปน สถานทท่ี ี่มีอยูกอนหรอื เคยไดรบั อนญุ าตมากอนแลว ใหผ ขู ออนุญาต แจงเปน หนงั สอื ใหเจาพนักงานผูออกใบอนุญาตเพื่อเสนอใหผมู ีอาํ นาจสงั่ อนุมตั พิ ิจารณาออกหนงั สืออนุญาต ใหใ ชส ถานท่ีดังกลา วเปน สถานทเ่ี ลน การพนันชนไกห รือกัดปลาตอไป โดยใหคณะกรรมการที่ต้งั ข้ึนตามขอ ๘ ไปตรวจสอบสถานที่กอนเสนอผมู อี ํานาจสั่งอนุมัติ ขอ 11 หนังสืออนุญาตใหใชสถานทเ่ี ลน การพนันชนไกหรือกดั ปลาใหมีอายุไมเกินหน่ึงป นับตงั้ แตวันออกหนงั สืออนุญาต แตห ากจะขอตอ อายุการใชสถานทีเ่ ลน การพนันดังกลา วใหย ื่นคาํ รอ งขอ ตอเจา พนักงานผูออกใบอนญุ าตกอ นครบกําหนดการอนุญาตเดิมไมนอยกวาสามสิบวนั เพื่อเสนอใหผ ูมี อาํ นาจส่ังอนุมตั ิพจิ ารณาตอไป ขอ 12 ผูข ออนุญาตจดั ใหมีการเลน การพนันชนไกหรอื กดั ปลาจะตอ งเปน ผูไดร บั อนุญาตใหใ ช สถานที่เลน การพนันชนไกห รือกดั ปลา โดยจะตอ งยน่ื คาํ รองขออนุญาตตามแบบ พ.น. ๑ พรอ มเอกสาร หลกั ฐานประกอบดวยสําเนาหนงั สอื อนญุ าตใหใ ชสถานท่ีเลน การพนันดังกลาว สาํ เนาบตั รประจาํ ตวั ประชาชน และสําเนาทะเบยี นบานของผูขออนญุ าต ตอ เจาพนักงานผูออกใบอนญุ าตเพ่อื เสนอใหผ ูมอี ํานาจสงั่ อนุมตั ิ พิจารณาเดือนละคร้งั เมอ่ื ไดร ับอนมุ ตั แิ ลวเจา พนกั งานผูออกใบอนุญาตจงึ จะออกใบอนุญาตได
- 70 - ขอ 15 ใหเ จา พนกั งานผอู อกใบอนุญาตทําความตกลงกับผูจัดใหมีการเลน การพนนั ชนไกเพ่ือ กาํ หนดเวลาการชนไกใ นแตล ะยก (อนั ) ใหเ ปนมาตรฐาน ทั้งนี้ ตองไมเ กินยี่สิบนาทตี อหนง่ึ ยก (อนั ) รวมแลว ไมเกนิ แปดยก และใหพักระหวางยกไมน อยกวา ย่ีสิบนาที สรุปประเดน็ ทีน่ ายอําเภอมีอํานาจหนาท่ี 1. นายอาํ เภอเปน เจา พนกั งานผอู อกใบอนญุ าตเลน การพนนั ตามบญั ชี ข. ทา ยพระราชบัญญัติ การพนนั พทุ ธศักราช 2478 และใบอนุญาตจดั ใหมกี ารแถมพกหรือรางวลั ดว ยการเสย่ี งโชคโดยวิธใี ดๆ ในการประกอบกจิ การคา หรืออาชพี ตามมาตรา 8 ในเขตอําเภอของตน โดยผใู ดประสงคจ ะจัดใหม กี ารเลน การพนนั ตามบญั ชี ข. หรือการจัดใหมีการแถมพกหรอื รางวัลดว ยการเสีย่ งโชคโดยวิธีใดๆ ในการประกอบ กจิ การคาหรืออาชีพตามมาตรา 8 ใหท ําคําขอตามแบบทายกฎกระทรวงน้ีย่นื ตอนายอาํ เภอทองที่ ณ ท่ีทําการ ปกครองอาํ เภอ 2. นายอาํ เภอเปน เจา พนกั งานผอู อกใบอนญุ าตการพนนั ชนไกแ ละกดั ปลาในเขตอําเภอของตน ตามระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วา ดว ยการพนันชนไกและกัดปลา พ.ศ. 2552 (10) พระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ. 2497 มาตราท่เี กย่ี วของ มาตรา 8 กองอาสารักษาดนิ แดนสวนภมู ภิ าค ประกอบดวยกองอาสารักษาดนิ แดนจงั หวัด และกองอาสารักษาดนิ แดนอําเภอ ตามชอื่ ทองท่ีที่ไดป ระกาศต้ังข้ึน มาตรา 9 ตําแหนง ผูบังคับบญั ชาและเจา หนาที่ ตลอดจนอาํ นาจการปกครองบงั คบั บญั ชารวมทง้ั การกาํ หนดอตั รากําลังของแตละหนว ยในกองอาสารักษาดินแดน ใหกําหนดโดยกฎกระทรวง มาตรา 18 ผูบังคับบัญชามอี ํานาจทจี่ ะส่ังใชก ําลังของกองอาสารักษาดนิ แดนใหทาํ การตาม อํานาจหนา ท่ีได ตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง กฎหมายลาํ ดับรองท่ีเก่ียวของ 1. กฎกระทรวงฉบับท่ี 2 (พ.ศ. 2497) ออกตามความในพระราชบญั ญัติกองอาสารักษา ดินแดน พ.ศ. 2497 ขอ 1 ใหม ีตาํ แหนงผูบังคับบญั ชา และเจา หนาท่กี องอาสารักษาดินแดนด่ังตอไปนี้ 1. ผูบัญชาการ ใชอกั ษรยอ วา ผ.บ.ช. 2. รองผูบัญชาการ ใชอกั ษรยอวา ร.ผ.ช. 3. ผชู วยผูบัญชาการ ใชอกั ษรยอ วา ช.ผ.ช.
- 71 - 4. ผูบ ัญชาการภาค ใชอกั ษรยอวา ผ.บ.ภ. 5. รองผบู ญั ชาการภาค ใชอ กั ษรยอวา ร.บ.ภ. 6. ผูบังคับการจังหวัด ใชอักษรยอวา ผ.ก.จ. 7 รองผบู งั คับการจงั หวัด ใชอ กั ษรยอวา ร.ก.จ. 8. ผูบ ังคับกองรอย ใชอ ักษรยอวา ผ.ก.ร. 9. รองผบู งั คบั กองรอ ย ใชอ ักษรยอวา ร.ก.ร. 10. ผูบงั คบั หมวด ใชอ ักษรยอวา ผ.บ.ม. 11. จา กองรอ ย ใชอกั ษรยอวา จ.ก.ร. 12. ผบู ังคบั หมู ใชอกั ษรยอวา ผ.บ.หมู ขอ 4 ใหน ายอําเภอเปน ผบู ังคับกองรอ ย เวนแตในทอ งที่อาํ เภอใดมอี ัตรากาํ ลงั สมาชกิ กองอาสา รกั ษาดินแดนมากกวา หนง่ึ กองรอยหรือไมถึงหนึ่งกองรอ ยใหผบู ังคบั การเปน ผแู ตงตงั้ บุคคลใดทเี่ หน็ สมควรเปน ผูบังคบั กองรอยนั้น และใหม ีอํานาจถอดถอนดวยผบู ังคับกองรอยเปนผปู กครองบังคับบัญชาเจา หนา ที่ และสมาชกิ กองอาสารักษาดินแดน ซึ่งสงั กัดอยูใ นกองรอยนน้ั ขอ 8 อัตรากําลังของสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนใหกาํ หนดดังนี้ (1) กองรอ ย ใหม ีผบู ังคับกองรอยเปนผบู งั คับบัญชา รองผูบงั คับกองรอยเปนผชู ว ยกองรอ ย หน่ึงใหแบง ออกเปน สามหมวด และมีเจา หนา ที่ประจาํ กองรอยอีกตามสมควร (2) หมวด ใหมผี บู งั คับหมวดเปนผบู งั คบั บญั ชาหมวดหน่ึงแบง ออกเปน สี่หมูน อกจากน้ี อาจมผี ชู ว ยหรอื เจา หนา ท่ตี ามท่ีเห็นสมควร (3) หมู ใหม ีผบู งั คบั หมูเ ปน ผูบงั คับบญั ชา มีอัตรากาํ ลังและผูชว ยหรอื เจาหนาทต่ี ามที่ เห็นสมควร ขอ 9 การจัดตั้งกองรอย และการจัดระเบียบภายในกองรอยใหเปนไปตามระเบียบขอบังคับ ทผ่ี ูบัญชาการจะไดก ําหนดขน้ึ 2. กฎกระทรวงฉบบั ท่ี 7 (พ.ศ. 2527) ออกตามความในพระราชบัญญัติกองอาสารักษาดินแดน พ.ศ. 2497 ขอ 1 ในกฎกระทรวงน้ี \"การสง่ั ใชก าํ ลงั ของกองอาสารกั ษาดนิ แดน\" หมายความวา การเรยี กรวมกาํ ลงั ของกองอาสารักษา ดินแดนเพื่อปฏบิ ัตหิ นา ที่ ไมวาจะใชอ าวธุ หรอื ไมกต็ าม ขอ 2 ผบู ังคับบัญชามอี ํานาจท่ีจะสั่งใชกําลังของกองอาสารกั ษาดินแดนได ดังน้ี (1) ผบู ัญชาการส่งั ใชกําลงั ของกองอาสารักษาดนิ แดนไดทวั่ ราชอาณาจักร (2) ผบู งั คบั การจังหวดั สง่ั ใชกําลังของกองอาสารกั ษาดนิ แดนไดภายในเขตพ้นื ท่ขี องจังหวดั (3) ผูบังคับกองรอ ยส่งั ใชกาํ ลังของกองอาสารักษาดนิ แดนไดภายในเขตพื้นทข่ี องอาํ เภอ
- 72 - ขอ 3 การส่ังใชก ําลงั ของกองอาสารักษาดนิ แดนเพื่อปฏบิ ัติการตามหนาที่โดยไมใ ชอาวุธ ผมู อี าํ นาจส่งั ใชไดเต็มตามอัตรากําลงั ที่มอี ยู ขอ 4 การสั่งใชกาํ ลังของกองอาสารกั ษาดินแดนเพ่ือปฏิบัตกิ ารตามหนา ท่โี ดยใชอ าวธุ หมายถงึ (1) กรณใี ชอาวุธในเขตพ้นื ที่ (2) กรณีใชอ าวุธนอกเขตพ้นื ที่ ขอ 5 การส่ังใชกาํ ลังของกองอาสารักษาดนิ แดนเพอ่ื ปฏบิ ัติการตามหนา ท่ีโดยใชอาวธุ ในเขต พ้ืนท่ีจะตอ งไดรับอนมุ ัตจิ ากผูบัญชาการกอน เม่ือไดร บั อนมุ ัตแิ ลวจงึ จะกระทําได เวนแต (1) ในกรณมี เี หตจุ าํ เปนและเรง ดวนทจี่ ะตองปฏบิ ัติหนา ทเี่ กี่ยวกับการปองกันการรุกราน ของขา ศึกจากภายนอกประเทศ ใหผ ูบังคับบญั ชาตามขอ ๒ ส่ังใชก าํ ลงั ของกองอาสารักษาดินแดนโดยใช อาวุธไดเตม็ ตามอัตรากําลังท่ีมีอยู (2) ในกรณมี ีความจาํ เปน ที่จะตอ งใชก าํ ลังปองกนั และปราบปรามผกู ระทาํ ผดิ กฎหมาย ใหผูบงั คับบัญชาตามขอ 2 (2) และ (3) สง่ั ใชก าํ ลงั ของกองอาสารกั ษาดนิ แดนโดยใชอ าวธุ ไดต ามความจาํ เปน รวมกับพนักงานฝา ยปกครองหรือตาํ รวจ เมื่อไดส่งั ใชกําลงั ตาม (1) และ (2) แลว ใหผสู ง่ั ใชกําลงั รายงานผบู ังคับบญั ชาตามลําดบั ช้ันจนถงึ ผูบัญชาการทราบ ขอ 7 การส่งั ใชกาํ ลังของกองอาสารักษาดินแดนเพื่อปฏิบัติการตามหนา ที่โดยใชอ าวธุ นอก เขตพืน้ ท่ี ใหผ บู งั คับบัญชาตามขอ 2 (2) และ (3) มีอํานาจกระทําไดในกรณีฉุกเฉินอยางยิง่ และมีความจําเปนเรง ดว น หรือเปนกรณีการตอสูในภาวะติดพันหรือผูบังคับบัญชาตามขอ (2) และ (3) ของเขตพืน้ ที่ขางเคยี งรองขอ โดยใหผ บู ังคบั บัญชาหรือผนู าํ หนวยแจง ผูรบั ผิดชอบพ้นื ท่ที ี่เขาไปปฏบิ ัตหิ นาทท่ี ราบในโอกาสแรกทจ่ี ะกระทําได และเมือ่ เสร็จภารกิจใหกลับพื้นทีท่ ันทีแลวรายงานใหผบู ังคับบัญชาตามลําดับชั้นจนถึงผูบญั ชาการทราบ สรุปประเด็นทีน่ ายอาํ เภอมอี ํานาจหนาท่ี 1. นายอําเภอเปนผูบงั คับกองรอย เวนแตในทองทอ่ี าํ เภอใดมอี ัตรากําลังสมาชกิ กองอาสา รักษาดนิ แดนมากกวา หนงึ่ กองรอยหรือไมถ ึงหนง่ึ กองรอยใหผ ูบ ังคบั การเปน ผแู ตงตั้งบุคคลใดทเ่ี หน็ สมควร เปน ผูบ งั คบั กองรอยนน้ั และใหมีอาํ นาจถอดถอนดว ย ผูบ ังคับกองรอ ยเปน ผูปกครองบังคับบัญชาเจาหนา ที่ และสมาชิกกองอาสารักษาดินแดน ซง่ึ สังกดั อยใู นกองรอยนน้ั 2. นายอําเภอในฐานะผบู งั คับกองรอยมีอาํ นาจสั่งใชกําลังของกองอาสารักษาดินแดนได ภายในเขตพน้ื ทข่ี องอาํ เภอ โดยการสงั่ ใชกําลงั ของกองอาสารักษาดินแดนเพื่อปฏบิ ตั ิการตามหนาท่โี ดยไมใ ชอาวธุ ผบู งั คบั กองรอยส่ังใชไดเ ต็มตามอตั รากาํ ลังทม่ี ีอยู สวนการสง่ั ใชก ําลังของกองอาสารักษาดนิ แดนเพ่ือปฏบิ ัตกิ าร ตามหนาทีโ่ ดยใชอ าวธุ ในเขตพื้นทจี่ ะตองไดรับอนมุ ตั จิ ากผบู ญั ชาการกอน เมอ่ื ไดรบั อนุมัติแลว จึงจะกระทําได เวน แตใ นกรณีมเี หตจุ ําเปนและเรง ดว นทีจ่ ะตอ งปฏิบัติหนาทเ่ี ก่ียวกับการปอ งกันการรุกรานของขา ศึกจาก ภายนอกประเทศ ใหส ั่งใชก ําลงั ของกองอาสารักษาดินแดนโดยใชอาวุธไดเต็มตามอัตรากําลงั ท่มี อี ยู หรือ ในกรณีมีความจําเปนทจ่ี ะตองใชกาํ ลังปองกันและปราบปรามผกู ระทําผิดกฎหมาย ใหส งั่ ใชกําลงั ของกอง อาสารกั ษาดนิ แดนโดยใชอ าวธุ ไดต ามความจาํ เปน รว มกบั พนกั งานฝายปกครองหรอื ตาํ รวจ และเม่ือไดส ั่งใช
- 73 - กาํ ลังโดยใชอ าวธุ ในกรณีมีเหตจุ ําเปน และเรง ดว นแลว ใหผูบังคับกองรอยกําลงั รายงานผูบงั คบั บัญชา ตามลาํ ดับชั้นจนถงึ ผูบัญชาการทราบ 3. นายอาํ เภอในฐานะผบู ังคับกองรอยมีอํานาจสงั่ ใชก ําลังของกองอาสารักษาดินแดนเพื่อ ปฏบิ ัตกิ ารตามหนา ทโ่ี ดยใชอ าวธุ นอกเขตพ้ืนที่ ใหผูบงั คบั กองรอยมอี าํ นาจกระทาํ ไดในกรณีฉกุ เฉนิ อยางยง่ิ และ มคี วามจาํ เปนเรง ดว น หรือเปนกรณกี ารตอ สูในภาวะติดพนั หรอื ผูบงั คับกองรอ ยของเขตพนื้ ที่ขางเคียงรองขอ โดยใหผ ูบ งั คบั กองรอ ยหรือผนู าํ หนวยแจง ผรู บั ผิดชอบพืน้ ทท่ี ่ีเขาไปปฏบิ ัติหนาทท่ี ราบในโอกาสแรกทีจ่ ะกระทาํ ได และเม่อื เสรจ็ ภารกจิ ใหกลบั พื้นที่ทันทแี ลวรายงานใหผ บู งั คบั บญั ชาตามลําดับชน้ั จนถึงผูบ ัญชาการทราบ (11) พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ การโฆษณาโดยใชเครือ่ งขยายเสยี ง พ.ศ. 2493 มาตราทเี่ กยี่ วของ มาตรา 4 ผทู ่ีจะทําการโฆษณาโดยใชเ คร่ืองขยายเสียงดว ยกําลงั ไฟฟา จะตองขอรับอนุญาต ตอ พนักงานเจาหนา ท่กี อน เมอื่ ไดร บั อนญุ าตแลว จึงทาํ การโฆษณาได ใหพนักงานเจาหนา ท่ีออกใบอนุญาตใหแกผ ูขอรับอนุญาต และใหมีอาํ นาจกาํ หนดเงื่อนไข ลงในใบอนญุ าตวา ดวยเวลา สถานท่ี และเคร่อื งอุปกรณขยายเสียงและผูรับอนญุ าตตอ งปฏิบัตติ ามเงอ่ื นไข ทีก่ ําหนดนัน้ มาตรา 6 พนักงานเจา หนาทห่ี รือพนกั งานฝา ยปกครองหรือตาํ รวจช้ันผใู หญตามประมวลกฎหมาย วธิ ีพจิ ารณาความอาญา มีอาํ นาจส่งั ผใู ชเสียงหรอื ผคู วบคุมเคร่อื งขยายเสียงใหลดเสียงลงไดเม่ือปรากฏวา เสียงทโี่ ฆษณานน้ั กอ ความรําคาญแกประชาชน ถาการโฆษณากระทําผิดเง่ือนไขในใบอนุญาต หรือไมป ฏบิ ตั ติ ามคาํ สัง่ ของเจา พนกั งานท่สี ั่ง ตามความในวรรคกอ น ใหเ จา พนักงานดงั กลา วมีอํานาจสั่งใหหยดุ โฆษณาได มาตรา 9 ผใู ดฝาฝนมาตรา 4 มาตรา 5 หรอื คาํ สั่งของเจาพนักงานท่สี ่ังตามความในมาตรา 6 มคี วามผดิ ตองระวางโทษปรับไมเ กินสองรอยบาท และใหพ นกั งานเจา หนาท่มี ีอํานาจสงั่ เพิกถอน ใบอนญุ าตไดดวย ผูใ ดฝา ฝน มาตรา 7 มีความผิดตองระวางโทษจาํ คุกไมเกินหน่งึ เดือน หรอื ปรบั ไมเกินหารอย บาท หรอื ทั้งจําทัง้ ปรับ และใหพ นกั งานเจา หนาท่ีสั่งเพกิ ถอนใบอนญุ าตเสยี ดวย กฎหมายลําดับรองท่ีเกีย่ วของ 1. ประกาศสํานกั คณะรัฐมนตรีและกระทรวงมหาดไทย เรอ่ื งแตงตงั้ พนกั งานเจาหนา ทต่ี าม พระราชบญั ญัตคิ วบคมุ การโฆษณาโดยใชเ ครอ่ื งขยายเสียง พ.ศ. 2493 (ฉบับท่ี 4) ขอ 2 ในเขตเทศบาล ใหนายกเทศมนตรีเปนพนกั งานเจาหนา ท่ี ขอ 3 ในเขตสขุ าภบิ าล ใหประธานกรรมการสุขาภบิ าลเปนพนักงานเจา หนา ที่ ขอ 4 นอกเขตเทศบาลและนอกเขตสุขาภิบาล ใหน ายอาํ เภอหรือปลดั อําเภอผูเ ปน หวั หนา ประจํากง่ิ อําเภอ เปนพนกั งานเจา หนา ทใี นเขตทอ งทขี่ องตน
- 74 - สรปุ ประเดน็ ทน่ี ายอาํ เภอมอี ํานาจหนาท่ี 1. หลักเกณฑ ขั้นตอน และวธิ กี ารในการขอใบอนญุ าตใบอนญุ าตโฆษณาโดยใชเ ครอ่ื งขยาย เสยี งในปจ จุบันน้สี ามารถสรุปได ดงั น้ี 1) ในกรงุ เทพมหานคร ผขู ออนุญาตยน่ื คําขอไดท ส่ี ํานกั งานเขตพืน้ ที่ ซงึ่ สถานทีโ่ ฆษณานนั้ อยูใ นเขตอํานาจ โดยยนื่ คํารอ งขอพรอมหลักฐานประกอบดว ย บัตรประจาํ ตวั ประชาชน หนังสือยินยอมให ใชสถานที่ กรณีเปนสถานที่สาธารณะ เชน บริเวณวัด หรือสวนสาธารณะฯลฯ เม่ือไดร ับใบอนญุ าต ใหท าํ การโฆษณาโดยใชเ คร่ืองขยายเสยี งแลว จะตองนําใบอนุญาตไปแสดงตอนายตํารวจช้นั สัญญาบัตรเพือ่ ลงนาม รับทราบเสยี กอนจึงจะทําการโฆษณาได สาํ หรบั ผมู อี าํ นาจในการอนุญาตใหท ําการโฆษณาโดยใชเ ครอ่ื งขยายเสยี งในเขตกรงุ เทพมหานคร ในปจจบุ ันนนั้ ไดแ กผ อู าํ นวยการเขตในแตละเขตของกรุงเทพมหานครในฐานะพนักงานเจาหนาทีโ่ ดยถือวา มีฐานะ เทยี บเทา นายอาํ เภอในแตล ะเขตของกรงุ เทพมหานคร ตามประกาศสาํ นกั นายกรฐั มนตรแี ละกระทรวงมหาดไทย เร่อื งแตง ตั้งพนักงานเจาหนา ทีต่ ามพระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใชเ ครื่องขยายเสยี ง พ.ศ. 2493 (ฉบับที่ 4) 2) ในจงั หวดั อืน่ แยกออกเปน ในเขตเทศบาลและนอกเขตเทศบาลดังน้ี (1) ในเขตเทศบาล ผูข ออนุญาตยืน่ คําขอไดท ี่สํานักงานเทศบาล ซง่ึ สถานท่ีโฆษณานน้ั อยใู นเขตอํานาจโดยยื่นคํารอ งขอพรอ มหลักฐานประกอบดวย บตั รประจาํ ตัวประชาชน หนังสือยินยอมใหใช สถานท่ี กรณีเปนสถานที่สาธารณะ เชน บรเิ วณวัด หรอื สวนสาธารณะฯลฯ เม่ือไดร บั ใบอนญุ าตใหท าํ การโฆษณา โดยใชเ ครือ่ งขยายเสยี งแลว จะตองนําใบอนุญาตใหไปแสดงตอนายตํารวจชั้นสัญญาบัตรเพื่อลงนาม รับทราบเสียกอนจึงจะทําการโฆษณาได สาํ หรับผมู ีอํานาจในการอนุญาตใหท าํ การโฆษณาโดยใชเ ครื่องขยายเสียงในเขต เทศบาลในปจจุบันนั้น ไดแก นายกเทศมนตรีในฐานะพนักงานเจา หนา ทต่ี ามประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีและ กระทรวงมหาดไทย เร่ืองแตง ต้ังพนกั งานเจาหนา ทตี่ ามพระราชบญั ญัติควบคุมการโฆษณาโดยใชเ คร่อื งขยายเสยี ง พ.ศ. 2493 (ฉบับท่ี 4) (2) นอกเขตเทศบาล ผูขออนุญาตยื่นคําขอไดทีท่ ี่วาการอําเภอทองที่ซึ่งสถานท่ี โฆษณาน้ันอยูในเขตอํานาจโดยย่ืนคํารองขอพรอมหลกั ฐานประกอบดว ย บัตรประจําตัวประชาชน หนงั สอื ยินยอมใหใชส ถานท่ี กรณีเปนสถานท่ีสาธารณะ เชน บริเวณวัด หรอื สวนสาธารณะฯลฯ เม่ือไดร ับใบอนุญาต ใหทําการโฆษณาโดยใชเ ครื่องขยายเสยี งแลว จะตอ งนําใบอนญุ าตไปแสดงตอ นายตํารวจชน้ั สญั ญาบัตร เพือ่ ลงนามรับทราบเสียกอนจึงจะทําการโฆษณาได สําหรับผมู อี าํ นาจในการอนญุ าตใหท าํ การโฆษณาโดยใชเ คร่ืองขยายเสียงในเขตอาํ เภอ ทอ่ี ยนู อกเขตเทศบาลในปจจุบันนนั้ ไดแก นายอําเภอหรือปลดั อําเภอผเู ปนหวั หนาประจาํ กิ่งอําเภอทองท่ี ในฐานะ พนักงานเจาหนาท่ตี ามประกาศสาํ นักนายกรฐั มนตรีและกระทรวงมหาดไทย เร่ืองแตง ตัง้ พนักงานเจา หนา ที่ ตามพระราชบัญญตั ิควบคมุ การโฆษณาโดยใชเ คร่ืองขยายเสียง พ.ศ. 2493 (ฉบับท่ี 4) 2. อาํ นาจนายอาํ เภอในฐานะพนกั งานเจา หนา ทห่ี รอื พนกั งานฝา ยปกครองหรอื ตํารวจชัน้ ผใู หญ นายอําเภอในฐานะพนักงานเจา หนาท่หี รือพนกั งานฝายปกครองหรือตํารวจชนั้ ผใู หญมีอํานาจ สั่งผูใ ชเสยี งหรอื ผูควบคมุ เคร่ืองขยายเสยี งใหล ดเสียงลงไดเมอื่ ปรากฏวา เสียงทโี่ ฆษณานั้นกอ ความรําคาญ
- 75 - แกประชาชน และถาการโฆษณากระทําผดิ เงื่อนไขในใบอนุญาต หรอื ไมป ฏบิ ัติตามคําสง่ั ของเจา พนกั งานที่ สัง่ ตามความในวรรคกอน ใหเจา พนกั งานดงั กลาวมีอํานาจสั่งใหห ยุดโฆษณาได 3. อํานาจนายอําเภอในฐานะพนกั งานเจา หนา ท่ีในการเพกิ ถอนใบอนุญาต นายอําเภอในฐานะพนักงานเจาหนาที่มอี ํานาจเพิกถอนใบอนุญาตได กรณผี ูไดร ับอนญุ าต ใหใ ชเ สียงฝาฝนมาตรา 4 มาตรา 5 มาตรา 7 หรือคาํ ส่ังของเจาพนักงานทส่ี ั่งตามความในมาตรา 6 (12) พระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและคาของเกา พุทธศักราช 2474 มาตราท่ีเก่ียวของ มาตรา13ในระหวางตง้ั แตพ ระอาทติ ยข้ึนจนถึงพระอาทติ ยตกนายตรวจและเจาพนกั งานซึ่ง รัฐมนตรีตั้งใหม หี นา ที่ควบคุมการขายทอดตลาดและคาของเกา ชอบทีจ่ ะเขา ตรวจใบอนุญาต สมดุ บัญชี และทรัพยส ง่ิ ของในรานคา ได ผูร บั ใบอนุญาตตองนาํ ใบอนญุ าต สมดุ บญั ชี และทรพั ยส ่งิ ของตามท่เี รียก ตรวจ ออกใหต รวจโดยทันที สรปุ ประเดน็ ทน่ี ายอาํ เภอมีอํานาจหนาท่ี อํานาจหนาที่นายอําเภอในฐานะนายตรวจ กฎกระทรวง ฉบบั ท่ี 9 (พ.ศ. 2548) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิควบคุมการขายทอดตลาด และคา ของเกา พทุ ธศกั ราช 2474 ขอ 3 ไดก ําหนดใหอธิบดีกรมการปกครองและขา ราชการพลเรอื น สามญั สงั กดั กรมการปกครอง ตั้งแตระดับ 4 ขึ้นไป เปน นายตรวจในกรงุ เทพมหานคร สว นในจงั หวดั อนื่ นอกจาก กรุงเทพมหานครน้ัน กําหนดใหปลัดจังหวดั นายอาํ เภอ ปลดั อาํ เภอผเู ปน หวั หนาประจํากิง่ อาํ เภอ และปลดั อาํ เภอ แหงทองทน่ี ้นั ๆ เปนนายตรวจ โดยในระหวางต้งั แตพระอาทิตยขน้ึ จนถึงพระอาทิตยตก นายตรวจมีอาํ นาจที่ จะเขา ตรวจใบอนญุ าต สมดุ บญั ชี และทรพั ยส่ิงของในรา นคาได ซง่ึ ผูรับใบอนุญาตมหี นา ทท่ี จ่ี ะตอ งนําใบอนุญาต สมุดบญั ชี และทรัพยสิง่ ของตามทีน่ ายตรวจเรียกตรวจ ออกมาใหตรวจโดยทันที (13) พระราชบญั ญตั คิ วบคมุ การเรย่ี ไร พทุ ธศกั ราช 2487 มาตราที่เกีย่ วขอ ง มาตรา 8 การเรี่ยไรในถนนหลวงหรือในที่สาธารณะ การเรี่ยไรโดยโฆษณาดวย สิง่ พมิ พ ดว ยวิทยกุ ระจายเสียง หรอื ดว ยเคร่ืองเปลงเสียง จะจัดใหมีหรือทาํ ไดตอเม่ือไดร ับอนุญาตจากพนักงาน เจาหนาทแ่ี ลว ขอ ความในวรรคกอนน้ีมิใหใ ชบ ังคบั แก (1) การเรย่ี ไรซึ่งไดร ับอนุญาตหรือไดรบั ยกเวน ตามมาตรา 6 (2) การเร่ียไรเพือ่ กศุ ลสงเคราะหในโอกาสท่ีบุคคลชมุ นุมกนั ประกอบศาสนกจิ
- 76 - มาตรา 9 เมื่อมผี ขู อรับอนุญาตตามมาตรา 6 คณะกรรมการควบคมุ การเรีย่ ไรมีอาํ นาจส่ัง ไมอนุญาต หรอื สง่ั อนุญาตโดยกาํ หนดเงื่อนไข (1) จาํ นวนเงินหรอื ทรพั ยส นิ อน่ื อยางสูงที่ใหเรย่ี ไรได (2) เขตหรือสถานท่ีและเวลาท่ีอนุญาตใหทําการเรยี่ ไร (3) วธิ กี ารเกบ็ รักษาและทําบัญชเี งิน หรอื ทรัพยสนิ ท่เี ร่ยี ไรได (4) วธิ ที ําการเรยี่ ไร ในกรณีท่สี ง่ั อนุญาต ใหคณะกรรมการกําหนดวันสน้ิ อายุแหงใบอนญุ าตไวดว ยและในกรณีที่ สงั่ ไมอนุญาต ใหแ จงและแสดงเหตุผลใหผ ขู ออนญุ าตทราบ มาตรา 10 เมื่อมผี ขู อรับอนุญาตตามมาตรา 8 ใหนาํ ความในมาตรา 9 มาใชบังคับโดย อนโุ ลม แตถ าสง่ั ไมอนุญาตใหพนักงานเจาหนา ทีแ่ จง และแสดงเหตุผลใหผ ขู ออนุญาตทราบภายในกําหนด สบิ วัน นับแตว ันไดรับคํารองขอ ในกรณีที่สั่งไมอนุญาต ผขู ออนุญาตมสี ิทธยิ ่ืนอุทธรณคําส่ังของพนักงานเจา หนาท่ีภายใน กาํ หนดสิบหา วัน นับแตวนั ไดทราบคําสง่ั ไมอ นญุ าต การยน่ื อทุ ธรณใ นจงั หวัดพระนครและธนบรุ ใี หย่นื ตอ คณะกรรมการซึ่งรฐั มนตรีแตงต้ังข้ึน ในจังหวัดอ่ืนใหย่ืนตอคณะกรมการจังหวัด คาํ ช้ีขาดของคณะกรรมการ หรอื คณะกรมการจังหวัดแลว แตก รณีใหเปนทส่ี ดุ สรปุ ประเดน็ ท่นี ายอาํ เภอมีอํานาจหนาที่ อํานาจหนาที่นายอําเภอในฐานะพนักงานเจา หนาที่ กฎกระทรวง แตงต้ังพนักงานเจาหนาท่ีและกําหนดหลักเกณฑวิธกี ารขออนญุ าตจัดใหมีการ เรี่ยไรและทําการเร่ียไร พ.ศ. 2548 ขอ 2 ไดกาํ หนดใหผ ดู ํารงตําแหนงอธบิ ดีกรมการปกครอง สาํ หรับใน เขตกรงุ เทพมหานคร และนายอําเภอ หรอื ปลัดอาํ เภอผูเ ปนหวั หนา ประจํากง่ิ อาํ เภอ ในทอ งท่ีอาํ เภอหรอื กงิ่ อาํ เภอนั้นๆ เปน พนักงานเจา หนา ท่ีมอี ํานาจหนา ท่ใี นการพิจารณาอนุญาตหรือไมอนุญาตใหมีการเรีย่ ไร ในถนนหลวงหรอื ในท่สี าธารณะ การเรีย่ ไรโดยโฆษณาดว ย ส่งิ พิมพ ดวยวิทยุกระจายเสียง หรอื ดวยเคร่ือ เปลง เสียง ตามมาตรา 8 แหงพระราชบญั ญตั ิควบคุมการเร่ียไร พทุ ธศักราช 2487 (14) พระราชบัญญัตคิ ุมครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 มาตราทเี่ กย่ี วของ มาตรา 5 ใหน ายกรฐั มนตรี รฐั มนตรวี า การกระทรวงกลาโหม รฐั มนตรวี า การกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีวาการกระทรวงยุตธิ รรมรักษาการตามพระราชบญั ญตั ิน้ี และเพื่อการนน้ั ใหมอี ํานาจออก กฎกระทรวงวางระเบียบการงานตามหนา ท่ี กบั ใหมีอํานาจแตงตง้ั พนักงานเจาหนา ทเ่ี พอื่ ปฏิบัตกิ ารตาม พระราชบญั ญัติน้ี ทงั้ น้ี ในสวนทเ่ี กีย่ วกบั อาํ นาจหนาที่ของแตล ะกระทรวง กฎกระทรวงและระเบียบนัน้ เมือ่ ไดประกาศในราชกิจจานุเบกษาแลวใหใชบังคับได
- 77 - กฎหมายลําดบั รองทีเ่ กี่ยวขอ ง 1. กฎกระทรวงกาํ หนดหลกั เกณฑว ิธีการ และเงื่อนไขในการยื่นและการพิจารณาคํารองขอใช มาตรการพิเศษในการคุมครองพยาน พ.ศ. 2548 ขอ 1 ในกฎกระทรวงนี้ “สาํ นกั งาน” หมายความวา สํานักงานคุมครองพยาน และใหห มายความรวมถงึ หนว ยงานอ่ืนท่ี รฐั มนตรีผรู ักษาการตามกฎหมายวา ดว ยการคุมครองพยานในคดีอาญาประกาศกําหนดในราชกจิ จานเุ บกษา ใหทําหนา ท่รี ับคํารอง ทัง้ นใี้ นสว นทเี่ กยี่ วกับอํานาจหนาที่ของแตล ะกระทรวง 2. ระเบยี บกระทรวงมหาดไทยวา ดวยการคมุ ครองพยานในคดอี าญา พ.ศ. 2551 ขอ 3 ในระเบียบนี้ “การคุมครองพยาน” หมายความถงึ การคุมครองรกั ษาความปลอดภยั แกพ ยานมใิ หเกิดอนั ตราย แกช วี ติ รา งกาย อนามยั เสรภี าพ ชือ่ เสยี ง ทรัพยส นิ หรือสิทธอิ ยา งหนึ่งอยางใดของพยานรวมท้ังบคุ คลตาม มาตรา 7 แหงพระราชบัญญัติคมุ ครองพยานในคดอี าญา พ.ศ. 2546 “พนกั งานเจา หนา ท่ี” หมายความวา พนักงานเจาหนาท่ที ีร่ ัฐมนตรวี า การกระทรวงมหาดไทยแตง ตั้ง ใหป ฏบิ ตั ิหนา ทใ่ี นการคมุ ครองพยานตามระเบยี บนี้ “หนว ยงานคุม ครองพยาน” หมายความถึง กรมการปกครองหรือจังหวัด “หวั หนาหนว ยงานคุมครองพยาน” หมายความถงึ อธบิ ดกี รมการปกครองหรอื ผูวา ราชการจงั หวัด ขอ 5 ในกรณที ่ีพยาน สามี ภรยิ า ผบู พุ การี ผสู ืบสันดานของพยาน หรือบุคคลอ่ืนที่มคี วามสัมพนั ธ ใกลช ดิ กบั พยาน ไมไดร บั ความปลอดภัยหรือถูกขมขูคุกคาม อนั เปนผลจากการท่ีจะมาหรือไดมาเปนพยาน ตอ พนกั งานผมู ีอาํ นาจสืบสวนคดีอาญา พนักงานผมู ีอํานาจสอบสวนคดีอาญา พนักงานผูม ีอาํ นาจฟอ งคดีอาญา หรอื ศาล แลว แตกรณี มคี วามจําเปน ทีจ่ ะใหห นว ยงานคุมครองพยานของกระทรวงมหาดไทยคมุ ครองความ ปลอดภัย ใหพยานมีสิทธริ องขอคุมครองความปลอดภัยไดโดยยื่นตอ หนว ยงานคุมครองพยาน ดงั ตอไปนี้ (1) ในกรุงเทพมหานคร ใหย ืน่ คาํ รองขอทีส่ ํานักการสอบสวนและนิตกิ าร กรมการปกครอง เพ่ือเสนอ อธบิ ดกี รมการปกครองพจิ ารณาสัง่ การ กรณมี ีคําสงั่ ใหค ุมครองพยานตามท่รี องขอ ใหแจงผูร อ งขอทราบ และจัดใหพนกั งานเจา หนาทด่ี ําเนนิ การคุมครองพยาน กรณีมีคําส่งั ไมเห็นชอบใหคุมครองพยานใหแ จง ผูรองขอทราบ (2) ในจังหวดั อ่นื ใหยน่ื คํารองขอทที่ ี่ทําการปกครองจังหวดั หรอื ท่ีทําการปกครองอําเภอหรือท่ีทาํ การ ปกครองกง่ิ อาํ เภอ แลวแตกรณี เพอ่ื เสนอผวู าราชการจงั หวดั พจิ ารณาสง่ั การ กรณมี ีคาํ สั่งใหค มุ ครองพยานตามท่ี รอ งขอ ใหแ จง ใหผูรองทราบและจดั พนักงานเจาหนา ที่ดําเนินการคมุ ครองพยาน กรณมี ีคําสั่งไมเหน็ ชอบ ใหคมุ ครองพยาน ใหแ จง ใหผูรองขอทราบ ในกรณีมกี ารรองขอดวยวาจาใหหวั หนา หนวยงานคมุ ครองพยานจดั ใหม กี ารทาํ เปนหนังสือตาม วรรคหนึ่ง ในกรณีทห่ี ัวหนาหนวยงานคุม ครองพยานสงั่ ไมรบั คํารอง หรอื ไมเ หน็ ชอบใหคุมครองพยาน ใหผยู น่ื คํารองขอมีสิทธอิ ทุ ธรณตามมาตรา 20 แหงพระราชบญั ญตั ิคมุ ครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546
- 78 - 3. ประกาศกระทรวงมหาดไทยเรอ่ื ง แตง ต้ังพนกั งานเจาหนาที่ตามพระราชบัญญัติคุมครองพยาน ในคดีอาญา พ.ศ. 2546 ขอ 2 ใหผ ูดํารงตําแหนง ดงั ตอ ไปนีเ้ ปนพนกั งานเจา หนาท่เี พ่อื ปฏบิ ตั ิการตามพระราชบัญญัติ คมุ ครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 ก. ราชการสวนกลาง (1) ปลดั กระทรวงมหาดไทย (2) รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (3) ผูตรวจราชการกระทรวงหาดไทย (4) อธบิ ดกี รมการปกครอง (5) รองอธิบดีกรมการปกครอง (6) ผูตรวจราชการกรมการปกครอง (7) ผอู ํานวยการสํานัก ผอู าํ นวยการกอง และผูอํานวยการสวน กรมการปกครอง (8) หัวหนากลุม หัวหนาฝาย หวั หนา งาน เจา พนกั งานปกครอง นติ กิ ร กรมการปกครอง (9) สมาชกิ กองอาสารกั ษาดนิ แดนและเจาหนา ทส่ี าํ นกั อํานวยการกองอาสารักษาดนิ แดน กรมการปกครอง ข. ราชการสว นภมู ภิ าค (1) ผูวาราชการจงั หวัด (2) รองผวู าราชการจังหวัด (3) ปลัดจงั หวัด (4) นายอําเภอ (5) ปลดั อําเภอผูเปนหวั หนาประจําก่งิ อําเภอ (6) จาจงั หวัด (7) ปองกันจงั หวดั (8) เจาพนักงานปกครอง นิตกิ ร กรมการปกครอง (9) กาํ นัน ผูใหญบ าน (10) สมาชิกกองอาสารักษาดินแดนและเจาหนา ที่สาํ นักอาํ นวยการกองอาสารกั ษาดินแดน กรมการปกครอง ขอ 3 ใหพ นกั งานเจา หนา ทต่ี ามประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบบั น้ี มอี าํ นาจหนา ที่ปฏิบตั กิ ารตาม พระราชบัญญัตคิ ุมครองพยานในคดอี าญา พ.ศ. 2546 โดยใหป ระสานปฏิบตั ิการรว มกบั พนักงานเจาหนา ทีอ่ ื่น ที่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีวาการกระทรวงยุติธรรมแตง ตง้ั สรปุ ประเดน็ ท่นี ายอาํ เภอมีอํานาจหนา ที่ 1. นายอําเภอเปนพนักงานเจา หนา ท่มี ีอํานาจหนา ท่ปี ฏิบตั ิการตามพระราชบญั ญตั ิคุมครอง พยานในคดอี าญา พ.ศ. 2546 ตามทห่ี วั หนา หนว ยงานคมุ ครองพยาน (ผวู า ราชการจังหวัด) สง่ั การ
- 79 - 2. นายอําเภอในฐานะพนักงานเจา หนา ท่ีมหี นา ท่ีรับคาํ รองขอคมุ ครองความปลอดภัยจาก พยานที่ย่ืนตอทที่ ําการปกครองอาํ เภอเพอ่ื เสนอผวู า ราชการจงั หวัดพจิ ารณาสง่ั การ กรณมี ีคําสง่ั ใหค มุ ครองพยาน ตามทร่ี องขอ ใหแ จง ใหผูรองทราบและจัดพนักงานเจาหนาที่ดําเนินการคุมครองพยานกรณีมีคําสัง่ ไมเห็นชอบให คมุ ครองพยาน ใหแ จง ใหผ รู องขอทราบ (15) พระราชบญั ญตั คิ าํ นําหนานามหญิง พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตราทีเ่ กี่ยวขอ ง มาตรา ๔ หญงิ ซึ่งมอี ายุ ๑๕ ปบ รบิ ูรณข ้ึนไป และยงั ไมไดจดทะเบียนสมรสใหใชค าํ นาํ หนา นามวา “นางสาว” มาตรา ๕ หญิงซง่ึ จดทะเบยี นสมรสแลว จะใชคํานาํ หนา นามวา “นาง” หรอื “นางสาว” ได ตามความสมัครใจ โดยใหแ จงตอนายทะเบียนตามกฎหมายวาดว ยการจดทะเบียนครอบครัว มาตรา ๖ หญงิ ซึง่ จดทะเบยี นสมรสแลว หากตอมาการสมรสไดสิน้ สุดลงจะใชค าํ นาํ หนานาม วา “นาง” หรอื “นางสาว” ไดตามความสมคั รใจ โดยใหแ จง ตอ นายทะเบยี นตามกฎหมายวา ดว ยการจดทะเบยี น ครอบครัว สรปุ ประเดน็ ท่ีนายอาํ เภอมอี ํานาจหนา ท่ี นายอําเภอเปน นายทะเบยี นประจาํ สํานักทะเบียนอําเภอตามกฎกระทรวงมหาดไทยออกตาม ความในพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครวั พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๘ มหี นาทร่ี ับแจงจากหญิงซ่ึงจดทะเบียน สมรสแลว หรือหญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแลวหากตอมาการสมรสไดส นิ้ สุดลงวาจะใชคํานําหนา นามวา “นาง” หรือ“นางสาว” ไดต ามความสมัครใจ (16) พระราชบัญญัตจิ ดทะเบยี นครอบครวั พทุ ธศกั ราช 2478 มาตราท่เี ก่ียวของ มาตรา 3 ในพระราชบญั ญตั นิ ี้ (1) “นายทะเบียน” หมายความวา เจา พนักงานซงึ่ รัฐมนตรผี มู ีหนาท่ีรักษาการตาม พระราชบญั ญตั ินี้ไดแ ตงต้งั ขึน้ มาตรา 6 ภายใตบ ังคบั แหง บทบญั ญัติมาตรา 14 คาํ รองขอจดทะเบยี นตองทําเปน หนงั สือ ตามแบบที่กําหนดไวในกฎกระทรวง เม่ือนายทะเบยี นรบั จดทะเบียน ผูรองตองลงลายมือชอ่ื ไวเปน สําคญั ในทะเบียนตอ หนานาย ทะเบยี นและตอหนา พยานสองคนซง่ึ ตองลงลายมือช่ือไวในทะเบียนในขณะนน้ั ดว ย แตถ าผูรองไมส ามารถ ลงลายมือช่อื ไดโ ดยวธิ ีหนึ่งวธิ ใี ด ใหน ายทะเบียนหมายเหตไุ วในทะเบยี น
- 80 - โดยเฉพาะการจดทะเบียนสมรส นอกจากจะปฏบิ ตั ติ ามความในวรรคกอน ถา ทองท่ีใดขา หลวงประจํา จงั หวดั เหน็ สมควรจะประกาศโดยอนมุ ตั ขิ องรฐั มนตรวี า การกระทรวงมหาดไทย ยอมใหย ่ืนคาํ รอ งขอจดทะเบียน สมรสตอ กํานันทองที่ท่ีชายหรือหญิงฝายใดหรือท้ังสองฝา ยท่มี ถี ิน่ ท่ีอยูก ็ได คาํ รอ งเชนวา นต้ี องมีลายมือช่ือของผูรองและพยาน ๒ คน ลงตอหนากํานัน แตพยานคนหน่ึงนน้ั ตองเปน เจา พนักงานฝา ยปกครอง ซึ่งมีตําแหนงตงั้ แตช้ันผใู หญบา นข้นึ ไป หรือนายตํารวจซง่ึ มียศต้ังแตช ้นั นายรอยตํารวจตรี ขน้ึ ไป หรอื หัวหนาสถานีตํารวจ หรอื ผูแทนราษฎร เทศมนตรสี มาชกิ สภาเทศบาล สมาชิกสภาจังหวัด หรอื ทนายความ เมือ่ ไดร ับคํารอ งโดยถูกตอ งแลว ใหกํานันสง คาํ รอ งนนั้ ตอ ไปยงั นายทะเบียนโดยเร็ว เพ่อื พจิ ารณา รบั จดทะเบยี น ในการจดทะเบยี นนใ้ี หน ายทะเบยี นลงชอ่ื ผรู อ งและพยานในทะเบยี นถอื เปน แทนการลงลายมอื ช่ือ และใหถือวา การสมรสไดส มบูรณแ ตวนั ที่กาํ นันรบั คํารอ งน้นั มาตรา 7 รายการทีล่ งไวในทะเบยี นน้ัน ใหน ายทะเบยี นลง วัน เดือน ป และลายมือชอ่ื นายทะเบียนไว เปนสําคญั มาตรา 8 เม่อื ไดรบั จดทะเบยี นสมรสหรอื หยา โดยความยนิ ยอม นายทะเบยี นตอ งออกใบสําคัญ แสดงการจดทะเบียนนนั้ มอบใหฝายละฉบับโดยไมเ รยี กคาธรรมเนียม มาตรา 9 ผูมีสว นไดเ สียจะขอดูทะเบียนไดโดยมติ องเสยี คาธรรมเนยี ม แตถา ขอสําเนารายการ ในทะเบียนซึ่งนายทะเบียนรับรอง ตองเสียคา ธรรมเนียมตามอตั ราที่กําหนดไวใ นกฎกระทรวง มาตรา 10 เมอ่ื มกี ารรองขอใหจ ดทะเบยี นสมรสแลว ใหนายทะเบียนรับจดทะเบียนสมรสให การจดทะเบยี นสมรสนน้ั จะขอใหน ายทะเบยี นไปทํานอกสาํ นักทะเบยี นก็ได แตตองเสียคา ธรรมเนยี ม ตามอตั ราท่ีกาํ หนดไวใ นกฎกระทรวง มาตรา 11 ถา บคุ คลใดไดร บั อนุญาตใหส มรสไดโ ดยคาํ พิพากษาหรอื คําสั่งของศาล ใหย ื่น สําเนาคาํ พิพากษาหรือคําสงั่ ของศาลท่รี บั รองวาถูกตองแลว น้ันตอนายทะเบียน ในเมอ่ื รองขอจดทะเบียน มาตรา 12 ถา ผูท่ีจะพึงใหความยนิ ยอมไดใ หความยนิ ยอมโดยทาํ เปนหนังสือตามบทบัญญตั ิ แหง มาตรา 1448 (2) แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย ใหผ รู อ งขอนําหนังสือนั้นยน่ื ตอ นายทะเบยี น เพื่อบันทึกในทะเบียนขณะจดทะเบียนสมรส ถาผทู ี่จะพึงใหความยินยอมไดใ หความยนิ ยอมดวยวาจาตอหนาพยานตามบทบัญญตั ิแหงมาตรา 1448 (3) แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย ใหผ รู องขอนําพยานนั้นไปใหถ อ ยคําตอนายทะเบยี น ถอ ยคาํ ซึ่งพยานใหไวนัน้ ใหน ายทะเบียนจดลงไวแ ลวใหพยานลงลายมือชอื่ ไวเปน สําคัญ มาตรา 13 หา มมใิ หน ายทะเบยี นจดทะเบยี นสมรสเม่อื ปรากฏตอนายทะเบยี นวาการมิไดเปน ไป ตามเงอ่ื นไขแหง มาตรา 1445 มาตรา 1446 และมาตรา 1447 แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณิชย มาตรา 14 เม่ือชายหรอื หญงิ ฝา ยใดฝายหน่งึ หรือทงั้ สองฝา ยตกอยใู นอนั ตรายใกลความตาย และโดยพฤตกิ ารณท ี่เปน อยู นายทะเบยี นไมส ามารถจะไปจดทะเบยี นใหไ ด และผูใกลค วามตายจะทําคาํ รอ งตาม แบบก็ไมได ผูน้นั จะรองขอจดทะเบยี นสมรสดว ยวาจาหรือดวยกิริยาก็ได แตต องรองตอพนักงานฝายปกครอง ซ่ึงมตี าํ แหนงต้ังแตช ้นั กาํ นันขึน้ ไป หรอื ตอ นายตาํ รวจซ่ึงมยี ศตง้ั แตนายรอยตํารวจตรีขึ้นไป หรือหัวหนาสถานี ตํารวจหรอื ตอบุคคลซ่ึงเปนพยานไดตามพระราชบัญญตั ิน้ีอยา งนอ ยสองคนซึ่งอยูพรอมกนั
- 81 - ถา ชายหรือหญงิ ฝา ยใดฝายหนึ่ง หรอื ทง้ั สองฝา ยตาย ใหผูที่ไดรับคํารองขอจดทะเบียนตามความ ในวรรคกอน พรอ มดว ยชายหรือหญงิ ท่ียังคงมชี วี ิตอยู ถา หากมี ไปแสดงตนตอนายทะเบยี นโดยไมชักชา เพอื่ ใหถอยคําแสดงพฤตกิ ารณแ หงการรองขอแลว ขอจดทะเบียนสมรส ถา กรณีดงั กลาวในวรรคตน เกิดในเรือเดนิ ทะเลระหวางเดินทางจะรองตอนายเรือเสมือนเปน เจาพนกั งานดังกลาวในวรรคตน ก็ได และใหนําบทบญั ญัติในวรรคสองมาบังคบั โดยอนโุ ลม มาตรา 15 ถานายทะเบียนไมยอมรับจดทะเบียนสมรส ผมู ีสว นไดเสียจะย่นื คาํ รองตอศาล ก็ไดโดยไมตอ งเสียคา ธรรมเนียมศาล เม่อื ศาลไตส วนไดค วามวา การไดเปน ไปตามเงื่อนไขแหงกฎหมายครบถว นแลว กใ็ หศาลมีคาํ สงั่ ไป ใหรบั จดทะเบยี น มาตรา 16 เมอ่ื ศาลไดพพิ ากษาใหเ พิกถอนการสมรสหรือใหห ยา กันแลว ผูมสี ว นไดเ สยี จะ ขอใหน ายทะเบียนบันทกึ ไวในทะเบียนกไ็ ด แตตอ งยน่ื สาํ เนาคาํ พิพากษาอนั ถึงทสี่ ุดทีร่ บั รองวาถกู ตอ งแลว ตอ นายทะเบียน มาตรา 17 ถา การใดๆ อันเกยี่ วกบั ฐานะแหงครอบครวั ไดท าํ ขึ้นในตางประเทศตามแบบซ่ึงกฎหมาย แหงประเทศท่ีทําข้ึนนน้ั บัญญัติไว ผูมสี ว นไดเสยี จะขอใหบ ันทกึ ในประเทศสยามกไ็ ด แตตองย่ืนเอกสารอนั เปน หลกั ฐานแหงการนน้ั โดยมคี ํารับรองถกู ตองพรอมกับคําแปลภาษาไทย ซง่ึ ฝา ยนัน้ ตองเปนผอู อกคาใชจา ย ถาการดังกลาวแลวไดท าํ ขึน้ ในตางประเทศตามแบบซึ่งกฎหมายสยามบัญญตั ิไวใหเ จา พนกั งานทูต หรอื กงสุลสยามสงสาํ เนาทะเบียนหรือบันทกึ ซึ่งไดรับรองถูกตอ งแลวไปยังกระทรวงตา งประเทศเพ่ือสง ตอ ไปยังกระทรวงมหาดไทย มาตรา 18 การจดทะเบยี นการหยา โดยความยนิ ยอมน้นั ใหน ายทะเบยี นรับจดตอ เม่ือสามี และภรยิ ารอ งขอและไดนําหนังสอื ตามทร่ี ะบุไวใ นมาตรา 1498 วรรคสอง แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ยม าแสดงตอ นายทะเบยี นดว ย มาตรา 19 ในกรณีท่บี ดิ ามาขอจดทะเบียนเดก็ เปนบุตรชอบดว ยกฎหมาย ถา เดก็ และมารดาเด็ก อยูใ นฐานะใหค วามยนิ ยอมไดและไดมาใหความยินยอมดว ยตนเองแลวก็ใหน ายทะเบยี นรับจดทะเบยี น ถาเดก็ และมารดาเด็กคนหนึ่งคนใดหรือทงั้ สองคนไมม าใหค วามยินยอมดวยตนเอง ใหน ายทะเบยี น มหี นงั สือสอบถามไปยังผทู ี่ไมม าวาจะใหความยนิ ยอมหรือไม เม่ือนายทะเบยี นไดรบั หนังสือแจง ความยนิ ยอม จากบุคคลดังกลาวหรือบุคคลดงั กลา วไดมาใหความยนิ ยอมดวยตนเองแลว กใ็ หน ายทะเบียนรับจดทะเบียน แตถา นายทะเบยี นไมไดรบั แจงความยนิ ยอมภายในระยะเวลาท่กี าํ หนดไวตามประมวลกฎหมายแพง และ พาณชิ ย ใหนายทะเบยี นแจง ใหผ ขู อจดทะเบยี นทราบถงึ เหตทุ ่ีไมอาจรบั จดทะเบยี นไดโ ดยไมชกั ชา บิดาจะรองขอใหนายทะเบียนไปจดทะเบียนนอกสํานักทะเบียนก็ได แตต องเสียคา ธรรมเนยี ม ตามอตั ราท่ีกําหนดในกฎกระทรวง มาตรา 20 เมอ่ื ศาลไดพ ิพากษาวา ผูใ ดเปน บตุ รชอบดวยกฎหมายแลว ผูม ีสวนไดเ สยี จะยน่ื สําเนา คาํ พิพากษาอันถงึ ที่สดุ ซึ่งรับรองถูกตองแลว มาใหบ นั ทึกในทะเบยี นก็ได มาตรา 21 เม่ือมีการเพิกถอนการรับรองบุตร ใหน าํ มาตรา 16 มาบังคบั โดยอนโุ ลม
- 82 - มาตรา 22 การจดทะเบยี นรบั บุตรบญุ ธรรม ใหผูรบั บุตรบญุ ธรรมและบุตรบุญธรรมเปนผูร อ งขอ ใหนายทะเบยี นรบั จดทะเบียนตอ เม่ือทง้ั สองฝายใหถอยคําวา ไดปฏิบตั ิตามเงือ่ นไขแหงกฎหมาย ในเรื่องรบั บุตรบุญธรรมดังทบี่ ัญญตั ิไวในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยแ ลว ถา ปรากฏตอ นายทะเบียน วา การมิไดเปน ไปตามเงื่อนไขทว่ี าน้นั หรือถอยคาํ ท่ีไดใหไวไมเ ปน ความจรงิ หามมใิ หรับจดทะเบยี น ถา นายทะเบยี นไมย อมรบั จดทะเบยี นการรบั บตุ บุญธรรม ผูรองขอจดทะเบียนฝายหนงึ่ ฝายใดจะยื่น คํารอ งตอศาลกไ็ ดโ ดยไมต องเสียคาธรรมเนียมศาล เมือ่ ศาลไตสวนไดค วามวา การไดเ ปน ไปตามเงื่อนไข แหง กฎหมายครบถว นแลว กใ็ หศาลมีคาํ สั่งไปใหรับจดทะเบียน มาตรา 23 การจดทะเบยี นเลกิ รบั บตุ รบญุ ธรรมโดยความตกลงน้นั ใหน ายทะเบยี นรับจดเมือ่ ทั้ง สองฝา ยรองขอ ถา ศาลพพิ ากษาใหเ พกิ ถอนหรือเลกิ การรบั บตุ รบญุ ธรรม ใหน าํ มาตรา 16 มาบังคบั โดยอนโุ ลม มาตรา 24 ถาสามีภรยิ าซึง่ ไดทาํ การสมรสกนั โดยสมบูรณกอนวันใชประมวลกฎหมายแพง และพาณิชยบรรพ 5 รอ งขอใหบนั ทึกฐานะของภรยิ าตามมาตรา 5 แหงพระราชบญั ญตั ิใหใ ชบทบัญญตั ิ บรรพ 5 แหง ประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย พ.ศ. 2477 ใหน ายทะเบยี นบนั ทกึ ไวใ นทะเบียนอาํ นาจออก กฎกระทรวงเพ่ือการนน้ั และกําหนดอตั ราคาธรรมเนียมท่ีจะเรยี ก กฎหมายลําดบั รองท่เี กีย่ วของ 1. ระเบียบกระทรวงมหาดไทย วา ดวยการจดทะเบียนครอบครวั พ.ศ. 2541 ขอ ๕ ในระเบียบนี้ “ทะเบียนครอบครัว” ใหห มายความถึง ทะเบียนสมรส ทะเบียนการหยา ทะเบียนรับรอง บตุ ร ทะเบียนรับบุตรบุญธรรม ทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม ทะเบยี นฐานะของภริยา และทะเบยี นฐานะ แหง ครอบครวั “จังหวดั ” หมายความรวมถงึ กรงุ เทพมหานคร ดว ย “ผูวา ราชการจังหวดั ” หมายความรวมถึง ปลัดกรุงเทพมหานครดวย “นายทะเบียน” หมายความวา นายทะเบียนประจําสํานักทะเบียนอาํ เภอ นายทะเบียน ประจาํ สํานักทะเบยี นก่งิ อําเภอ และนายทะเบียนประจําสํานักทะเบียนเขต สรปุ ประเดน็ ทีน่ ายอําเภอมีอํานาจหนา ที่ นายอาํ เภอเปน นายทะเบยี นประจาํ สาํ นกั ทะเบยี นอาํ เภอมอี าํ นาจหนา ทใ่ี นการจดทะเบยี นสมรส ทะเบียนการหยา ทะเบยี นรบั รองบตุ ร ทะเบียนรับบุตรบุญธรรม ทะเบียนเลิกรับบุตรบุญธรรม ทะเบียน ฐานะของภริยา และทะเบยี นฐานะแหง ครอบครัว ตามพระราชบญั ญตั ิน้ี
- 83 - (17) พระราชบญั ญตั จิ ดั ระเบียบบริหารหมบู า นอาสาพัฒนาและปองกนั ตนเอง พ.ศ. 2522 มาตราท่ีเก่ียวขอ ง มาตรา ๖ การบริหารหมบู านอาสาพัฒนาและปองกนั ตนเอง ใหถ ือเอาหมบู า นตามกฎหมายวา ดว ย ลักษณะปกครองทองที่เปนหลัก สว นการจะกาํ หนดใหหมูบา นใดหมบู านหน่งึ หรือตัง้ แตสองหมูบ านข้นึ ไป เปนหมบู านตามพระราชบัญญตั ินี้ ใหกระทรวงมหาดไทยประกาศเปนคราวๆ ไป ตามความเหมาะสมแหง สภาพทองที่ การแกไขเปลีย่ นแปลงหรือยุบเลิกหมูบาน ใหกระทาํ โดยประกาศกระทรวงมหาดไทย การรวมหมบู า นตา งอาํ เภอมากาํ หนดเปน หมบู า นอาสาพฒั นาและปอ งกนั ตนเองจะกระทาํ มิได มาตรา ๗ ในหมบู า นหนง่ึ ใหมคี ณะกรรมการกลางคณะหนง่ึ ประกอบดวยผใู หญบ านเปน ประธานคณะกรรมการกลาง ผูช วยผใู หญบาน กรรมการสภาตําบลผูทรงคณุ วฒุ ใิ นหมบู านเปน กรรมการ กลางโดยตําแหนง และใหม ีการเลอื กต้งั กรรมการกลางผทู รงคุณวฒุ จิ ากราษฎรในหมูบ า นนัน้ มีจาํ นวน อยา งนอ ยหา คนอยา งมากไมเ กนิ เจด็ คน เปน กรรมการกลาง กรรมการกลางผทู รงคณุ วุฒจิ ะมีเทา ใด ใหเ ปน ไป ตามท่นี ายอาํ เภอกาํ หนดตามสภาพเศรษฐกิจและสังคมของหมบู าน การเลือกต้ังกรรมการกลางผทู รงคณุ วฒุ ิ ใหเปน ไปตามมาตรา ๑๑ หมูบ านใดมผี ใู หญบา นเปนกาํ นนั อยดู วย ใหกํานนั ของหมบู า นน้นั เปน ประธานคณะกรรมการ กลาง ใหสารวัตรกาํ นนั และหรือแพทยป ระจําตําบล ซงึ่ มภี ูมิลาํ เนาอยใู นเขตหมูบานของกาํ นนั เปน กรรมการกลางโดยตาํ แหนง ใหค ณะกรรมการกลางเลอื กรองประธานคณะกรรมการกลางหนง่ึ คน และเลขานุการหนง่ึ คน จากกรรมการกลาง การออกเสียงลงคะแนนใหกระทําโดยเปด เผยโดยใชว ิธยี กมอื ถา คะแนนเสียงเทากนั ใหใ ชวิธจี บั สลาก ใหม ที ปี่ รึกษาคณะกรรมการกลางและคณะกรรมการฝา ยตา งๆ ประจําหมูบานไดตามจํานวน ทีเ่ ห็นสมควร ซง่ึ นายอําเภอแตงต้ังจากขาราชการหรือผทู ่ีมีความรคู วามสามารถท่ปี ฏิบัติงานเกีย่ วของกับ หมูบานนัน้ มาตรา ๘ ในกรณีท่ีมีการรวมหมบู า นมากกวาหน่งึ หมูบาน ถา ในหมบู านนัน้ มีกาํ นันอยูดว ย ใหก าํ นนั เปน ประธานคณะกรรมการกลาง สาํ หรบั กรรมการกลางอน่ื ๆ ใหเ ปน ไปตามมาตรา ๗ และถา หากหมบู าน ทม่ี ารวมน้นั มีกาํ นันมากกวา หนงึ่ คน ใหค ณะกรรมการกลางเลอื กกาํ นนั คนหนง่ึ เปน ประธานคณะกรรมการกลาง ใหก าํ นนั ทเ่ี หลอื เปน รองประธานคณะกรรมการกลาง และมใิ หนาํ มาตรา ๗ วรรคสาม มาใชบ งั คบั ในการเลอื กรอง ประธานคณะกรรมการกลาง แตถาไมม ีกํานนั ใหคณะกรรมการกลางเลือกผูใหญบานคนหนง่ึ เปน ประธาน คณะกรรมการกลาง และใหประธานคณะกรรมการกลางอยใู นตําแหนง เทากบั วาระของกรรมการกลางผูทรงคุณวุฒิ ถาตําแหนงประธานคณะกรรมการกลางวา งลงกอนถงึ กําหนดออกตามวาระ ใหด าํ เนนิ การเลือกใหม และ ใหผทู ไ่ี ดร บั เลือกอยูใ นตาํ แหนงเพยี งเทากําหนดเวลาของผซู ่ึงตนแทน
- 84 - มาตรา ๙ ประธานคณะกรรมการกลางตามมาตรา ๘ ตอ งพนจากตาํ แหนงดว ยเหตใุ ดเหตหุ นึ่ง ดงั ตอไปน้ี (๑) ตาย (๒) ไดร บั อนุญาตจากนายอําเภอใหลาออก (๓) ผูว า ราชการจังหวัดสง่ั ใหพ นจากตําแหนง เมื่อไดส อบสวนเหน็ วาบกพรองในทางความ ประพฤติ หรือความสามารถไมเ หมาะสมกับตาํ แหนง (๔) พนจากตาํ แหนงกํานันหรอื ผใู หญบาน มาตรา ๑๑ วิธีเลอื กตง้ั กรรมการกลางผทู รงคุณวุฒิ ใหน ายอําเภอหรอื หวั หนา สว นราชการ ประจาํ อาํ เภอ หรอื ปลดั อาํ เภอซง่ึ นายอาํ เภอมอบหมาย เปน ประธาน พรอ มกาํ นันและผูใ หญบ า นในหมูบานน้ัน ประชุมราษฎรผูมีคุณสมบัติและไมอยใู นลักษณะตองหาม ดงั ตอไปน้ี (๑) มสี ญั ชาติไทย (๒) อายยุ ีส่ ิบปบริบูรณตามหลกั ฐานทางทะเบียนราษฎรในวันเลือกตั้ง (๓) มภี ูมิลาํ เนาและถิน่ ที่อยูเปน ประจํา และมีชื่อในทะเบียนบา นตามกฎหมายวาดว ยทะเบยี น ราษฎรในหมบู านนัน้ มาแลวไมน อ ยกวาสามเดอื นในวันเลือกตง้ั (๔) ไมเปนภกิ ษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช (๕) ไมเ ปนผวู ิกลจรติ หรือจิตฟน เฟอนไมสมประกอบ เมอ่ื ราษฎรสว นมากเลือกผูท่ีถูกเสนอชื่อผใู ดเปนกรรมการกลาง และเปนผูม คี ุณสมบตั ิและไมอยู ในลักษณะตองหา มตามมาตรา ๑๐ แลว ใหถ อื วาผนู นั้ เปนกรรมการกลางผูท รงคุณวฒุ ิ และใหน ายอําเภอ รายงานไปยงั ผูวาราชการจังหวัด เพื่อออกหนังสอื สําคัญตามแบบทายระเบยี บกระทรวงมหาดไทยไวเ ปน หลกั ฐาน ในกรณีผรู บั เลือกมีคะแนนเสียงเทากันใหจับสลาก วธิ เี ลอื กตัง้ ใหกระทําโดยวิธลี บั หรือเปด เผย และใหใ ชร ะเบยี บกระทรวงมหาดไทยวาดว ยการ เลอื กตั้งกาํ นัน ผใู หญบ าน เฉพาะในสวนที่วาดวยการเลือกตงั้ ผูใ หญบ านโดยอนโุ ลม มาตรา ๑๒ กรรมการกลางผูทรงคุณวุฒมิ ีวาระอยูในตาํ แหนง คราวละส่ีป และกรรมการกลาง ผูท รงคณุ วฒุ ิตอ งพน จากตําแหนง กอ นวาระดว ยเหตใุ ดเหตุหนง่ึ ดังตอไปน้ี (๑) ตาย (๒) ไดร บั อนญุ าตจากนายอําเภอใหลาออก (๓) นายอาํ เภอใหอ อกเพราะขาดคณุ สมบัตหิ รือมีลกั ษณะตองหา มอยางใดอยา งหน่งึ ตาม มาตรา ๑๐ (๔) คณะกรรมการกลางมีมติใหพ น จากตําแหนง โดยเหน็ วามีความประพฤติในทางซงึ่ จะ นํามาซ่งึ ความเสื่อมเสียประโยชนข องหมบู า น มติดงั กลา วจะตองมคี ะแนนเสยี งไมต่ํากวาสองในสามของ คณะกรรมการกลางท่อี ยูใ นตําแหนง (๕) นายอาํ เภอส่งั ใหออกเพราะไมมาประชมุ สามครัง้ ตดิ ตอกนั โดยไมมีเหตผุ ลอันสมควร (๖) ผวู าราชการจงั หวัดสั่งใหยุบคณะกรรมการกลาง หรอื คณะกรรมการฝา ยตา งๆ ตามมาตรา ๒๙
- 85 - ถา ตาํ แหนง กรรมการกลางผทู รงคณุ วฒุ ิวา งลงกอ นครบวาระ ใหเ ลอื กตง้ั แทนตําแหนงทวี่ า งภายใน หกสบิ วัน ยกเวน กรณตี าม (๖) และใหผูไดร บั เลือกตัง้ แทนอยใู นตําแหนง ตามวาระของผซู ง่ึ ตนแทน ถา ตําแหนงวาง ลงกอ นกําหนดออกตามวาระไมเ กินหนึง่ รอยแปดสบิ วันจะไมเลอื กขนึ้ แทนกไ็ ด มาตรา ๑๓ ทปี่ รึกษาคณะกรรมการตองพนจากตําแหนงดว ยเหตใุ ดเหตุหนง่ึ ดงั ตอ ไปน้ี (๑) ตาย (๒) ไดร ับอนญุ าตจากนายอําเภอใหล าออก (๓) นายอาํ เภอสง่ั ใหพ น จากตาํ แหนง (๔) ถูกยา ยไปดํารงตําแหนงอนื่ ซึ่งทําใหไมส ามารถปฏบิ ตั งิ านทเี่ กย่ี วของกบั หมบู า นน้ันได ตําแหนง ท่ีปรึกษาคณะกรรมการวางลงเมื่อใด ใหนายอาํ เภอทอ งที่พิจารณาแตงตงั้ จากผูทม่ี ี คุณสมบัติตาม มาตรา ๗ วรรคสี่ เปน ทป่ี รึกษาตอไป มาตรา ๒๐ ใหค ณะกรรมการกลางประชมุ กนั ไมน อยกวาเดือนละครง้ั การกําหนดวนั ประชมุ ใหประธานคณะกรรมการกลางเปน ผูกาํ หนดและเรียกประชมุ โดยคํานงึ ถึงความสะดวกและการประกอบ อาชีพของกรรมการกลางเปน หลกั กรณที ี่มกี ารรวมหมบู า นตามมาตรา ๘ ในการประชมุ ครง้ั แรก ใหนายอําเภอหรือหวั หนาสวน ราชการประจําอําเภอ หรือปลัดอําเภอซง่ึ นายอําเภอมอบหมายเปนผูนัดประชมุ และทําหนาที่ประธาน ชว่ั คราวเพอ่ื เลอื กประธานคณะกรรมการกลาง สถานทีส่ ําหรับประชมุ คณะกรรมการกลาง ใหใชสถานทท่ี ี่คณะกรรมการกลางเห็นสมควร มาตรา ๒๓ เม่อื มปี ญหาโตเถยี งเกี่ยวกบั การประชมุ ซ่งึ มิไดก ําหนดไวใ นหมวดนใี้ หประธาน คณะกรรมการกลางนําขอโตเถียงทเ่ี กิดขึ้นเสนอตอนายอําเภอ คาํ วินจิ ฉัยของนายอําเภอใหใ ชบ ังคับได เฉพาะการประชมุ คราวน้ัน และใหน ายอําเภอรายงานพฤติการณด งั กลา วนไี้ ปยังผวู า ราชการจังหวดั เพ่อื รายงานใหก ระทรวงมหาดไทยทราบ มาตรา ๒๖ การใชจ า ยเงินของหมูบ า น ใหเปนไปตามระเบยี บกระทรวงมหาดไทยวาดว ย วธิ ีการงบประมาณและการคลังของหมูบา นอาสาพฒั นาและปองกนั ตนเอง ในระเบียบดังกลาวใหกาํ หนด เร่ืองการจดั ทําแผนและโครงการไวด ว ย มาตรา ๒๗ โครงการใชจายเงนิ ของหมูบา น เมือ่ นายอาํ เภออนมุ ัตแิ ลว ใหน ําเขาขอ บัญญัติจงั หวัด ตามระเบียบและวธิ ีการงบประมาณขององคก ารบริหารสวนจังหวดั สภาจังหวัดจะเปลี่ยนแปลงโครงการใชจ ายเงินของหมูบา นมิได มาตรา ๒๘ ใหน ายอําเภอเปนผูควบคุมการปฏิบตั ิหนา ท่ขี องคณะกรรมการกลางใหเ ปน ไป ตามกฎหมายและระเบยี บแบบแผนของทางราชการและมีอํานาจสัง่ ใหร ะงับการดาํ เนนิ การใดๆ ซึ่งเหน็ วา เปนผลเสยี หายแกท อ งท่หี รอื ราชการ แตถาคณะกรรมการกลางไมเห็นดว ยอาจอทุ ธรณไปยังผูวาราชการ จังหวดั ใหวนิ ิจฉัยช้ีขาดได มาตรา ๒๙ คณะกรรมการกลางหรือคณะกรรมการฝา ยใดดําเนนิ การหรือมีพฤติการณท ีจ่ ะ เปนการเสียหายแกทองทห่ี รือราชการ เมื่อไดท าํ การสอบสวนแลวปรากฏวา เปน ความจรงิ ใหผ วู าราชการ จงั หวดั มีอาํ นาจส่งั ยุบคณะกรรมการกลางหรือคณะกรรมการฝา ยน้นั ได
- 86 - เมอื่ ผูวาราชการจงั หวดั สัง่ ยบุ คณะกรรมการกลางแลว ใหน ายอําเภอดําเนินการเลอื กต้ังกรรมการกลาง ผทู รงคุณวฒุ ขิ ้ึนแทนภายในสส่ี ิบหาวนั นบั แตวนั ทีส่ ั่งยุบ ระหวางที่คณะกรรมกลางถูกยบุ ใหน ายอาํ เภอรบั ผิดชอบ ปฏิบัติงานแทนคณะกรรมการกลาง ในกรณที ีผ่ วู าราชการจังหวดั สั่งยบุ คณะกรรมการฝา ยใด ใหค ณะกรรมการกลางเลือกประธาน คณะกรรมการฝา ยนั้นโดยมิชกั ชา และใหประธานคณะกรรมการฝายดาํ เนนิ การคัดเลือกบคุ คลเขา มารว ม บรหิ ารงานตามมาตรา ๑๗ สรุปประเด็นทีน่ ายอําเภอมอี ํานาจหนาที่ 1. นายอาํ เภอมหี นา ทก่ี าํ หนดจาํ นวนกรรมการกลาง กรรมการกลางผูทรงคุณวฒุ ิในคณะกรรมการ กลางหมูบ านอาสาพฒั นาและปองกันตนเอง ตามสภาพเศรษฐกจิ และสงั คมของหมูบาน 2. นายอาํ เภอมอี ํานาจในการพจิ ารณาและอนุญาตใหประธานคณะกรรมการกลางลาออกจาก ตาํ แหนง 3. นายอาํ เภอมหี นา ทใ่ี นการเลือกต้ังกรรมการกลางผทู รงคณุ วฒุ ิ โดยใหนายอาํ เภอหรอื หวั หนาสว นราชการประจําอําเภอ หรอื ปลัดอาํ เภอซึง่ นายอําเภอมอบหมาย เปนประธาน พรอ มกํานนั และ ผูใหญบานในหมบู านนั้น ประชมุ ราษฎรผูมีคณุ สมบัติและไมอ ยใู นลักษณะตองหาม เมื่อราษฎรสว นมาก เลือกผูท ี่ถกู เสนอชื่อผใู ดเปนกรรมการกลาง และเปนผมู ีคณุ สมบตั แิ ละไมอยูในลักษณะตอ งหามตามมาตรา ๑๐ แลว ใหถอื วา ผนู น้ั เปนกรรมการกลางผทู รงคุณวฒุ ิ และใหน ายอาํ เภอรายงานไปยงั ผวู าราชการจังหวัด เพ่ือออกหนงั สอื สาํ คญั ตามแบบทายระเบียบกระทรวงมหาดไทยไวเ ปน หลกั ฐาน 4. นายอาํ เภอมอี าํ นาจพจิ ารณาอนญุ าตใหกรรมการกลางผูทรงคุณวฒุ ิลาออกจากตาํ แหนง 5. นายอาํ เภอมอี ํานาจพจิ ารณาใหกรรมการกลางผูทรงคุณวฒุ ิออกเพราะขาดคณุ สมบตั ิหรือมี ลกั ษณะตอ งหา ม 6. นายอาํ เภอมอี ํานาจพจิ ารณาใหกรรมการกลางผทู รงคณุ วุฒิลาออกจากตําแหนง เพราะไมมา ประชุมสามคร้งั ติดตอกนั โดยไมม เี หตผุ ลอันสมควร 7. นายอาํ เภอมอี าํ นาจพจิ ารณาอนญุ าตใหทป่ี รึกษาคณะกรรมการลาออกจากตาํ แหนง 8. นายอาํ เภอมอี าํ นาจสั่งใหท่ปี รึกษาคณะกรรมการพน จากตาํ แหนง 9. กรณีท่ีปรกึ ษาคณะกรรมการถูกยา ยไปดาํ รงตําแหนง อ่ืนซงึ่ ทาํ ใหไมส ามารถปฏิบตั ิงานท่ี เก่ยี วขอ งกบั หมบู านนั้นไดทําใหต าํ แหนง ทีป่ รึกษาคณะกรรมการวางลง ใหน ายอาํ เภอทองทีพ่ จิ ารณา แตง ตั้งจากผูท่ีมคี ุณสมบัตทิ ่ีปรกึ ษาคณะกรรมการแทน 10. กรณที ี่มกี ารรวมหมูบา นตามมาตรา ๘ ในการประชุมครั้งแรก ใหน ายอําเภอหรือหวั หนา สว นราชการประจาํ อาํ เภอ หรือปลัดอาํ เภอซึง่ นายอําเภอมอบหมายเปนผนู ดั ประชุม และทาํ หนาทีป่ ระธาน ชว่ั คราวเพือ่ เลือกประธานคณะกรรมการกลาง สถานที่สําหรบั ประชมุ คณะกรรมการกลาง ใหใ ชส ถานทที่ ่ี คณะกรรมการกลางเหน็ สมควร 11. เม่ือมีปญ หาโตเ ถียงเกยี่ วกบั การประชมุ ซึง่ มไิ ดกําหนดไวในหมวดเร่ืองการประชุมตาม พระราชบัญญัตินใ้ี หประธานคณะกรรมการกลางนําขอโตเถยี งที่เกิดขึน้ เสนอตอนายอาํ เภอ คาํ วนิ จิ ฉยั ของนายอาํ เภอ ใหใชบังคับไดเ ฉพาะการประชมุ คราวนัน้ และใหนายอําเภอรายงานพฤติการณดังกลา วนไี้ ปยงั ผวู า ราชการจังหวัด เพื่อรายงานใหกระทรวงมหาดไทยทราบ
- 87 - 12. นายอําเภอมีอํานาจอนุมัติใหนําโครงการใชจายเงินของหมูบ านเขาขอบญั ญัติจังหวัดตามระเบียบ และวิธีการงบประมาณขององคการบริหารสว นจงั หวัด ซ่ึงสภาจงั หวัดจะเปลี่ยนแปลงโครงการใชจ ายเงนิ ของหมูบานมิได 13. นายอําเภอเปน ผคู วบคุมการปฏบิ ตั หิ นาท่ีของคณะกรรมการกลางใหเปนไปตามกฎหมาย และระเบียบแบบแผนของทางราชการและมีอํานาจส่ังใหระงับการดําเนินการใดๆ ซงึ่ เหน็ วาเปนผลเสียหายแก ทอ งที่หรอื ราชการ แตถา คณะกรรมการกลางไมเ ห็นดว ยอาจอุทธรณไ ปยงั ผวู า ราชการจงั หวดั ใหวนิ จิ ฉยั ช้ขี าดได 14. กรณีผวู าราชการจงั หวัดมอี ํานาจสัง่ ยุบคณะกรรมการกลาง เน่อื งจากคณะกรรมการกลางดําเนินการ หรือมีพฤติการณที่จะเปนการเสียหายแกทองทีห่ รือราชการ ใหน ายอาํ เภอดําเนินการเลือกต้ังกรรมการกลาง ผูทรงคณุ วุฒขิ ึ้นแทนภายในสส่ี บิ หาวนั นับแตวนั ที่สงั่ ยุบ ระหวางท่ีคณะกรรมกลางถกู ยบุ ใหน ายอาํ เภอรบั ผดิ ชอบ ปฏิบัติงานแทนคณะกรรมการกลาง (18) พระราชบัญญตั ิจัดรปู ท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตราทีเ่ กีย่ วขอ ง มาตรา ๘ เม่ือไดมพี ระราชกฤษฎีกากาํ หนดเขตโครงการจัดรปู ท่ีดนิ ตามมาตรา ๒๔ ใชบ งั คับในบรเิ วณ ใดในจงั หวดั ใดแลว ใหมคี ณะกรรมการจัดรูปทด่ี ินเพื่อเกษตรกรรมประจําจังหวัดขึ้นคณะหน่ึงในจังหวัดนน้ั เรียกวา “คณะกรรมการจดั รูปท่ีดนิ จงั หวดั ” ประกอบดว ยผวู า ราชการจงั หวดั เปน ประธานกรรมการ ปลดั จังหวดั อยั การจงั หวัด เจา พนกั งานท่ีดินจังหวัด เกษตรจงั หวดั สหกรณจ งั หวดั พฒั นาการจงั หวดั ผแู ทนกรมชลประทาน ผูแทนกรมพัฒนาทด่ี ิน ผแู ทนกรมทางหลวง ผแู ทนธนาคารเพอ่ื การเกษตรและสหกรณก ารเกษตร นายอาํ เภอ และปลดั อาํ เภอผูเ ปนหวั หนาประจาํ กิ่งอาํ เภอทองที่ในทองท่ที ่ีมีการจดั รูปท่ีดนิ เปน กรรมการ และกรรมการอื่น อกี ไมเกินหาคนซง่ึ รฐั มนตรแี ตงตั้งจากเจา ของทด่ี นิ ในเขตโครงการจดั รูปทดี่ ิน และใหหัวหนา สาํ นักงานจัด รปู ทีด่ นิ จงั หวัดเปน กรรมการและเลขานุการ มาตรา ๑๔ ใหค ณะกรรมการจดั รูปที่ดนิ จงั หวัดมีอํานาจหนาท่ีควบคุมดูแลโดยท่วั ไปซึง่ กิจการ ของสํานักงานจัดรปู ท่ีดินจังหวดั และใหมีอํานาจหนาที่ดังตอไปนี้ (๑) จดั ใหมีการสาํ รวจบรเิ วณทด่ี ินท่เี หน็ สมควรจะกําหนดเปนเขตโครงการจัดรูปทดี่ ิน และ สอบถามความสมัครใจของเจาของทีด่ ินวา จะใหดําเนนิ การจดั รปู ท่ดี นิ หรอื ไม และใหจ ัดทาํ บันทึกแสดง ความยินยอมหรือไมยินยอมไวเปนหลักฐาน (๒) ประเมินราคาที่ดินและทรัพยสนิ อนื่ ในท่ดี ินในเขตโครงการจดั รปู ท่ดี ินตามหลักเกณฑ และวธิ กี ารท่ีคณะกรรมการจดั รูปท่ีดนิ กลางกาํ หนด (๓) จัดทํางบประมาณคา ใชจายในการจดั รูปที่ดินในเขตโครงการจดั รปู ที่ดนิ แตละโครงการ เพ่ือเสนอคณะกรรมการจัดรูปที่ดนิ กลาง (๔) พจิ ารณาวางแผนผงั การจดั แปลงทดี่ นิ ระบบชลประทานและการระบายน้ํา การสราง ถนนหรอื ทางลาํ เลยี งในไรน า การปรับระดบั พ้ืนท่ีดนิ การแลกเปลย่ี น การโอน การรับโอนสทิ ธใิ นท่ดี ิน การให เชาซ้อื ที่ดิน และการอน่ื ๆ ทีเ่ ก่ียวกบั การจดั รูปทด่ี นิ ในเขตโครงการจดั รูปทดี่ ินเพือ่ เสนอคณะกรรมการจัดรปู ทด่ี ินกลาง
- 88 - (๕) จดั ใหม ีการประชุมเจา ของทดี่ นิ และผูม ีสิทธิไดร ับท่ีดนิ ในเขตโครงการจดั รปู ทีด่ ินเพื่อชีแ้ จง ใหเขา ใจความมงุ หมายวธิ กี ารจดั รูปที่ดนิ สิทธิ หนา ที่ความรบั ผิดชอบและประโยชนท ่ีเจา ของท่ีดนิ หรอื ผมู ีสิทธิ ไดร บั ทีด่ นิ จะพงึ ไดร บั และทาํ ความตกลงเกยี่ วกบั การจดั รูปทด่ี ิน (๖) ดําเนินการสอบสวนและวนิ จิ ฉัยคํารอ ง ประนปี ระนอมหรอื ไถถ อนการจาํ นองหรอื การขายฝาก ตามมาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๖ (๗) ดาํ เนนิ การเก่ียวกบั การเงนิ และการอน่ื ๆ ทีเ่ กี่ยวกับการจัดรปู ท่ดี ินตามระเบยี บหรือขอ บงั คบั หรือมติของคณะกรรมการจัดรปู ทีด่ นิ กลาง หรอื ตามที่คณะกรรมการจดั รปู ท่ดี นิ กลางมอบหมาย (๘) วางระเบียบหรือขอบงั คบั เกย่ี วกับการปฏบิ ตั ิงานของสํานักงานจัดรูปที่ดินจงั หวัดเทา ที่ ไมข ดั หรือแยงกบั ระเบยี บหรือขอบงั คบั หรอื มตขิ องคณะกรรมการจดั รปู ที่ดินกลาง (๘ ทวิ) วางระเบียบหรือขอบังคบั เกี่ยวกบั การเปด หรอื ปด ประตกู ักนา้ํ หรอื สง่ิ อื่นทใ่ี ชในการ บงั คับนํ้าเขาสูทีด่ ินของเจาของที่ดินในเขตโครงการจดั รปู ที่ดนิ (๙) แตง ตั้งเจา หนา ทป่ี ฏบิ ตั งิ านประจําเขตโครงการจัดรูปทดี่ ินตามทส่ี าํ นักงานจัดรปู ท่ีดิน จงั หวัดเสนอ (๑๐) ดําเนินกิจการอื่นทเี่ กี่ยวกับการจัดรปู ที่ดนิ เพ่อื ใหเ ปน ไปตามวตั ถุประสงคของการจัดรปู ทดี่ นิ มาตรา ๒๔ การกําหนดเขตท่ดี ินในทองที่ใดใหเปน เขตโครงการจัดรูปที่ดิน ใหต ราเปนพระราชกฤษฎกี า ในพระราชกฤษฎกี าตามวรรคหนงึ่ ใหร ะบทุ ี่ดนิ หรืออสงั หารมิ ทรัพยอน่ื ที่อยใู นเขตโครงการจดั รูปทดี่ ิน พรอ มทัง้ รายช่ือเจาของหรือผูค รอบครองโดยชอบดวยกฎหมาย และใหม ีแผนท่ีแสดงเขตโครงการ จดั รปู ที่ดินแนบทายพระราชกฤษฎกี าน้ันดวย แผนท่ีดงั กลาวใหถือเปน สว นหน่ึงแหงพระราชกฤษฎีกา สรุปประเด็นทีน่ ายอําเภอมอี ํานาจหนาท่ี เมอ่ื ไดมีพระราชกฤษฎีกากาํ หนดเขตโครงการจดั รูปทด่ี นิ ตามมาตรา ๒๔ แหงพระราชบัญญัตจิ ดั รูป ที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๗ ใชบังคบั ในบริเวณใดในจังหวดั ใด ใหนายอาํ เภอและปลดั อาํ เภอผูเปน หวั หนาประจํากิง่ อาํ เภอทองที่ในทอ งทีท่ ่มี ีการจัดรปู ท่ีดิน เปน กรรมการโดยตาํ แหนงในคณะกรรมการจดั รปู ทีด่ นิ จังหวัด (19) พระราชบญั ญตั ชิ ่ือบคุ คล พ.ศ. ๒๕๐๕ มาตราทีเ่ กี่ยวขอ ง มาตรา ๔ ในพระราชบัญญัติน้ี “ชื่อตวั ” หมายความวา ชอื่ ประจาํ บุคคล “ชอ่ื รอง” หมายความวา ชื่อประกอบถดั จากช่ือตวั “ช่อื สกุล” หมายความวา ชอ่ื ประจําวงศส กลุ “นายทะเบยี น” หมายความวา นายทะเบียนทอ งที่ นายทะเบียนจังหวัด หรอื นายทะเบยี นกลาง ซึง่ รฐั มนตรีแตง ตงั้ ใหป ฏบิ ัตกิ ารตามพระราชบญั ญัตินี้
- 89 - มาตรา ๙ ผูมสี ญั ชาติไทยผูใดประสงคจ ะจดทะเบียนตงั้ ช่อื สกุล ใหยืน่ คําขอตอนายทะเบยี นทอ งท่ี ในทอ งทีท่ ่ตี นมชี ่ืออยูในทะเบยี นบา นตามกฎหมายวา ดว ยการทะเบยี นราษฎร เมือ่ นายทะเบียนทอ งท่ีพจิ ารณาเห็นวา ช่ือสกุลที่ขอต้ังน้ันไมขัดตอพระราชบญั ญัตินี้ กใ็ หเสนอตอไป ตามลาํ ดบั จนถงึ นายทะเบยี นกลาง เมอื่ ไดรบั อนุมัติจากนายทะเบยี นกลางแลว ใหนายทะเบยี นทองทร่ี ับจดทะเบยี น ชอ่ื สกลุ นน้ั และออกหนังสอื สาํ คัญแสดงการรบั จดทะเบียนชอ่ื สกุลใหแกผขู อ แตในกรณีที่สาํ นักทะเบียนใด สามารถเชอ่ื มโยงขอ มลู เขากบั เครอื ขา ยขอมลู ของสาํ นักทะเบยี นกลางตามทก่ี ระทรวงมหาดไทยประกาศกาํ หนดแลว ใหน ายทะเบยี นทองท่ีดาํ เนินการดังกลาวไดโ ดยไมต อ งไดร ับอนมุ ตั ิจากนายทะเบยี นกลาง การปฏบิ ตั กิ ารตามมาตรานใ้ี หเ ปน ไปตามหลกั เกณฑและวิธีการทกี่ ําหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๑๑ ผูจดทะเบยี นตง้ั ช่ือสกลุ จะอนญุ าตใหผ ูมีสญั ชาตไิ ทยผูใดรว มใชช อ่ื สกุลของตนก็ได โดยย่ืนคําขอตอ นายทะเบยี นทองทใ่ี นทองท่ีทีต่ นมีชอื่ อยูในทะเบียนบา นตามกฎหมายวาดวยการทะเบียนราษฎร การอนญุ าตตามมาตราน้ี จะสมบรู ณตอ เมื่อนายทะเบียนทอ งทีไ่ ดออกหนังสอื สาํ คัญแสดงการ อนญุ าตใหใชช อ่ื สกุลใหแกผ ทู ่ีจะใชช ่อื สกลุ น้นั ในกรณที ่ีผูจดทะเบียนตัง้ ชอื่ สกุลตายแลว ใหผสู บื สนั ดานของผูจ ดทะเบยี นตั้งชอ่ื สกุลในลําดับ ทีใ่ กลชดิ ทสี่ ุดซ่ึงยังมชี ีวิตอยูและใชช อื่ สกลุ นน้ั มสี ิทธอิ นุญาตตามวรรคหนึ่ง มาตรา ๑๒ คูสมรสมสี ิทธิใชช อื่ สกุลของฝา ยใดฝา ยหน่ึงตามทีต่ กลงกัน หรอื ตางฝา ยตา งใชช ือ่ สกุลเดิมของตน การตกลงกนั ตามวรรคหน่งึ จะกระทาํ เม่ือมีการสมรสหรอื ในระหวางสมรสก็ได ขอตกลงตามวรรคหนึ่ง คสู มรสจะตกลงเปลย่ี นแปลงภายหลังกไ็ ด มาตรา ๑๓ เมอื่ การสมรสสน้ิ สุดลงดวยการหยา หรอื ศาลพพิ ากษาใหเ พกิ ถอนการสมรส ใหฝายซง่ึ ใชช่ือสกลุ ของอีกฝา ยหนงึ่ กลับไปใชช ื่อสกุลเดิมของตน เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงดวยความตาย ใหฝ า ยซ่ึงยงั มีชวี ติ อยูและใชช ื่อสกลุ ของอกี ฝา ยหนงึ่ มี สิทธิใชช่ือสกุลนน้ั ไดตอไป แตเ มอ่ื จะสมรสใหม ใหกลับไปใชชอื่ สกุลเดิมของตน มาตรา ๑๕ ผอู ปุ การะเล้ียงดเู ด็ก หรอื เจา ของสถานพยาบาล สถานสงเคราะหหรอื สถาน อปุ การะเลย้ี งดูเดก็ ประสงคจ ะจดทะเบยี นตง้ั ชอ่ื สกุลของเด็กซ่งึ ตนอปุ การะเล้ยี งดหู รอื เดก็ แหง สถานดังกลาว ซึง่ มสี ญั ชาติไทยแตไมป รากฏช่ือสกลุ ใชรว มกันหรอื แยกกัน ใหย ่นื คําขอตอ นายทะเบียนทองท่ีทผี่ ูอุปการะ เล้ียงดูมชี อ่ื อยูในทะเบียนบา นตามกฎหมายวา ดว ยการทะเบียนราษฎรหรือท่สี ถานดังกลา วตง้ั อยู และให นาํ ความในวรรคสองและวรรคสามของมาตรา ๙ มาใชบงั คับโดยอนโุ ลม มาตรา ๑๖ ผูมีชอ่ื ตัวหรือชือ่ รองอยูแ ลวประสงคจ ะเปล่ียนช่ือตัวหรือช่ือรอง ใหย นื่ คาํ ขอตอ นายทะเบยี นทองที่ในทองท่ีที่ตนมชี ือ่ อยใู นทะเบยี นบานตามกฎหมายวา ดว ยการทะเบียนราษฎร เมอ่ื นายทะเบยี น ทองท่ีเหน็ วาชือ่ ตวั หรือชือ่ รองท่ีขอเปลยี่ นใหมน ัน้ ไมข ัดตอพระราชบัญญัตนิ ้ี ก็ใหอนญุ าตและออกหนงั สือ สาํ คญั แสดงการเปล่ยี นชอื่ ให มาตรา ๑๗ ผมู ีชอ่ื สกุลอยูแลว ประสงคจะขอตั้งช่ือสกุลใหม ใหยื่นคําขอตอนายทะเบียนทองท่ี ในทอ งทีท่ ต่ี นมชี ื่ออยูในทะเบียนบา นตามกฎหมายวาดวยการทะเบียนราษฎร และใหน าํ ความในวรรคสอง และวรรคสามของมาตรา ๙ มาใชบ งั คับโดยอนุโลม
- 90 - มาตรา ๑๘ ในกรณีทน่ี ายทะเบยี นสง่ั ไมร ับจดทะเบยี นชือ่ สกุล ผขู อจดทะเบยี นชื่อสกลุ มสี ิทธิอทุ ธรณ คาํ ส่ังของนายทะเบียนตอรัฐมนตรภี ายในสามสบิ วนั นับแตว ันทราบคําสงั่ โดยย่นื อทุ ธณตอ นายทะเบียนทอ งท่ี คาํ วนิ ิจฉัยของรฐั มนตรใี หเ ปนท่สี ดุ มาตรา ๑๙ ผูใ ดประสงคจะใชราชทินนามของตน ของผูบ ุพการหี รือของผสู ืบสนั ดานเปน ช่อื สกลุ ใหยื่นคําขอตอ นายทะเบียนทอ งท่ีในทองท่ีท่ตี นมชี ่ืออยูในทะเบียนบานตามกฎหมายวาดว ยการ ทะเบียนราษฎร แลว ใหน ายทะเบยี นทองท่นี ัน้ เสนอตอไปตามลําดบั จนถึงนายทะเบยี นกลาง เมอ่ื นายทะเบยี นกลางพิจารณาเหน็ สมควร ใหเ สนอรฐั มนตรีเพื่อนาํ ความกราบบงั คมทลู เมอ่ื ไดร บั พระบรมราชานญุ าตแลว จึงใหน ายทะเบยี นทองท่ีรบั จดทะเบยี นช่ือสกุลน้นั และออกหนังสอื สาํ คัญ แสดงการรบั จดทะเบียนชื่อสกลุ ใหแ กผูขอ กฎหมายลําดับรองท่เี ก่ียวของ 1. ระเบียบกระทรวงมหาดไทยวา ดวยการทะเบยี นช่ือบคุ คล พ.ศ. ๒๕๕๑ ขอ ๕ ผมู สี ัญชาติไทยท่ปี ระสงคจะเปล่ยี นช่ือตัว ใหยืน่ คาํ ขอตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบยี น ทอ งท่ี ณ สาํ นกั งานเขต ที่วา การอาํ เภอหรือทว่ี าการกง่ิ อําเภอ ท่ีตนมีช่ืออยูใ นทะเบยี นบาน ขอ ๖ ผูมีสัญชาติไทยท่ีประสงคจะต้ังหรือเปล่ยี นช่ือรอง ใหย ืน่ คําขอตามแบบ ช. ๑ ตอนายทะเบยี น ทอ งท่ี ณ สํานกั งานเขต ทว่ี าการอาํ เภอหรอื ทวี่ าการกง่ิ อาํ เภอ ที่ตนมชี ื่ออยใู นทะเบยี นบาน ขอ ๗ ผใู ดประสงคจะใชร าชทนิ นามของตนเปนชอื่ ตัวหรือชือ่ รอง ใหยืน่ คําขอตามแบบ ช.๑ ตอนายทะเบยี นทอ งท่ี ณ สาํ นกั งานเขต ทว่ี า การอาํ เภอหรือท่วี า การกิง่ อําเภอ ท่ตี นมชี ่ืออยใู นทะเบยี นบา น ขอ ๘ คนตางดาวผใู ดประสงคจ ะขอหลักฐานการเปลี่ยนชอื่ ตัว เพอ่ื ประกอบการขอแปลงสัญชาติ หรือขอกลับคืนสญั ชาติไทย ใหยน่ื คําขอตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบียนทองท่ี ณ สํานกั งานเขตทว่ี า การอําเภอ หรอื ที่วา การกิ่งอําเภอ ท่ีตนมีชือ่ อยใู นหลกั ฐานตามที่ทางราชการกาํ หนด ขอ ๙ ผมู สี ญั ชาตไิ ทยทปี่ ระสงคจ ะขอจดทะเบียนตั้งชือ่ สกุลหรือขอตั้งชอ่ื สกุลใหมใหย นื่ คําขอ ตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบยี นทอ งที่ ณ สํานักงานเขต ทว่ี าการอาํ เภอหรือทว่ี าการกิ่งอําเภอท่ีตนมชี ื่ออยู ในทะเบียนบาน ขอ ๑๐ คนตา งดา วผูใดประสงคจะขอหลกั ฐานการขอจดทะเบยี นตัง้ ชือ่ สกุล เพ่ือประกอบการขอ แปลงสัญชาตหิ รือขอกลับคืนสญั ชาติไทย ใหย ่ืนคําขอตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบียนทองท่ี ณ สาํ นักงานเขต ที่วา การอําเภอหรือทีว่ า การก่ิงอาํ เภอ ท่ีตนมชี อื่ อยูในหลกั ฐานตามที่ทางราชการกาํ หนด ขอ ๑๑ ผใู ดจะขอใชราชทินนามของตนเปน ชอื่ สกลุ ใหยืน่ คําขอตามแบบ ช. ๑ ตอนายทะเบยี น ทอ งท่ี ณ สาํ นักงานเขต ทวี่ า การอําเภอหรือทวี่ า การกงิ่ อําเภอ ท่ตี นมชี ่อื อยูในทะเบยี นบาน
- 91 - ขอ ๑๒ ผใู ดจะขอใชร าชทินนามของบุพการหี รอื ของผสู บื สนั ดานเปนช่อื สกุล ใหย่นื คาํ ขอ ตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบยี นทอ งที่ ณ สาํ นักงานเขต ท่วี า การอําเภอหรือท่ีวา การกิ่งอําเภอ ท่ตี นมชี ่อื อยใู นทะเบยี นบา น ขอ ๑๓ ผจู ดทะเบียนตั้งชอื่ สกุลผใู ด จะอนญุ าตใหผมู ีสัญชาตไิ ทยผูใดรว มใชช่อื สกลุ ของตนก็ได โดยใหเ จาของชื่อสกลุ ท่ีจดทะเบยี นต้ังชื่อสกุลหรือต้ังชอื่ สกุลใหมไ วแ ลว ยน่ื คําขอตามแบบ ช. ๑ พรอ ม หนังสอื สาํ คญั แสดงการจดทะเบียนชือ่ สกลุ ตามแบบ ช. ๒ ของตนตอนายทะเบยี นทอ งท่ี ณ สาํ นักงานเขต ท่ีวา การอําเภอหรอื ที่วา การกิ่งอําเภอ ทต่ี นมชี อ่ื อยใู นทะเบียนบาน ขอ ๑๔ กรณีท่ีผูจดทะเบียนต้ังช่ือสกุลตายแลว หรือศาลมีคําส่ังถึงที่สุดวา เปน ผสู าบสูญ ผูสืบสันดาน ของผูจดทะเบียนตั้งชื่อสกุลในลําดบั ที่ใกลชิดทีส่ ุดซ่ึงยังมีชวี ติ อยู และใชชอื่ สกุลน้นั จะอนญุ าตใหผูมีสญั ชาตไิ ทย ผูใ ดรว มใชช อื่ สกุลของตนใหย ืน่ คาํ ขอตามแบบ ช. ๑ ตอนายทะเบยี นทองที่ ณ สาํ นกั งานเขต ท่วี าการอาํ เภอ หรอื ทว่ี า การกง่ิ อําเภอ ทีต่ นมชี อื่ อยูในทะเบียนบาน พรอมแสดงหนงั สือสําคัญแสดงการจดทะเบยี นช่ือสกลุ ตามแบบ ช. ๒ ของเจา ของชือ่ สกลุ และหลกั ฐานทางราชการทสี่ ามารถพสิ จู นไ ดว า เปนผูมสี ทิ ธิอนุญาตใหผ อู ่นื รว มใชช่อื สกลุ ได ตามที่กฎหมายบัญญตั ิไว เชน ทะเบียนสมรส ทะเบียนรับรองบุตร คําพิพากษาถึงทส่ี ดุ วาเปน บุตร เปนตน ขอ ๑๕ ผูมีสทิ ธิอนญุ าตใหผ ูอน่ื รว มใชชอ่ื สกุล จะอนญุ าตใหผ ูมีสญั ชาติไทยผูใดรว มใชชือ่ สกลุ ของตนกไ็ ด ใหย ืน่ คาํ ขอตามแบบ ช. ๑ พรอมหนงั สือรับรองเปน ผูมสี ิทธิอนุญาตใหผูอ่ืนรว มใชช อื่ สกลุ ตามแบบ ช. ๗ ตอ นายทะเบยี นทอ งที่ ณ สํานกั งานเขต ที่วาการอําเภอหรอื ทวี่ า การก่ิงอําเภอ ท่ีตนมีชอื่ อยใู นทะเบยี นบา น ขอ ๑๗ คสู มรสท่ีประสงคจะใชช ่ือสกลุ ของอีกฝา ยหนึ่ง หรอื ใชช ื่อสกุลเดิมของตนใหย่นื คําขอ ตามแบบ ช. ๑ ตอนายทะเบยี นทองท่ี ณ สํานักงานเขต ทว่ี า การอาํ เภอหรอื ทว่ี า การก่ิงอําเภอทีต่ นมชี ่ืออยู ในทะเบียนบาน ขอ ๑๘ กรณีคูสมรสเปลย่ี นแปลงขอตกลงในการใชช ือ่ สกุลในภายหลงั ใหคูสมรสยนื่ คาํ ขอ ตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบยี นทอ งท่ี ณ สาํ นกั งานเขต ที่วาการอําเภอหรือทีว่ า การก่ิงอําเภอ ท่ตี นมชี ือ่ อยใู นทะเบียนบา น ขอ ๑๙ กรณคี สู มรสฝายใดจะกลับมาใชช ่อื สกุลเดมิ ของตน ใหย่ืนคําขอตามแบบ ช.๑ ตอ นายทะเบียน ทอ งท่ี ณ สํานกั งานเขต ที่วาการอําเภอหรือท่วี า การก่งิ อาํ เภอ ที่ตนมชี ่อื อยใู นทะเบียนบาน ขอ ๒๐ เม่อื การสมรสสิ้นสดุ ลงโดยการหยา หรอื โดยคาํ พิพากษาของศาล ใหคูส มรสซงึ่ ใชช่ือ สกุลของอกี ฝายหนงึ่ ตอ งกลบั ไปใชช่อื สกุลเดมิ ของตนโดยย่ืนคําขอตามแบบ ช. ๑ ตอนายทะเบียนทองท่ี ณ สํานกั งานเขต ทวี่ าการอาํ เภอหรอื ท่วี าการก่งิ อาํ เภอ ที่ตนมีชอ่ื อยใู นทะเบยี นบา น ขอ ๒๑ เมอ่ื การสมรสสน้ิ สดุ ลงโดยการตาย คสู มรสซง่ึ ใชชื่อสกลุ ของอีกฝา ยหนงึ่ หากจะสมรสใหม ตอ งกลับไปใชชอ่ื สกลุ เดิมของตนโดยยืน่ คําขอตามแบบ ช. ๑ พรอ มหลกั ฐานการตายของคสู มรสอีกฝาย หนง่ึ ตอ นายทะเบียนทองท่ี ณ สํานกั งานเขต ทีว่ า การอําเภอหรือทีว่ าการกง่ิ อาํ เภอ ทตี่ นมีชื่ออยูใ น ทะเบยี นบา น
- 92 - ขอ ๒๒ ผูใดประสงคจะเปลี่ยนช่อื สกลุ ดวยเหตุอืน่ นอกจากที่กลา วมาแลวใหยื่นคาํ ขอตาม แบบ ช. ๑ ตอนายทะเบยี นทองท่ี ณ สาํ นกั งานเขต ท่ีวา การอําเภอหรือทีว่ าการกิ่งอําเภอ ที่ตนมชี ื่ออยูใน ทะเบยี นบาน ขอ ๒๓ กรณนี ายทะเบียนทองทีส่ ั่งไมร บั จดทะเบยี นช่อื สกลุ และผยู ่ืนคําขอจดทะเบยี นช่ือสกลุ ประสงคจะอทุ ธรณค ําสั่ง ใหผ ยู ื่นคาํ ขออุทธรณคําสง่ั ของนายทะเบียนทองที่ตอรัฐมนตรวี าการกระทรวงมหาดไทย ภายในสามสิบวันนบั แตวนั ทราบคําสัง่ โดยใหยนื่ อุทธรณเ ปนหนังสอื โดยระบุขอโตแยง และขอเท็จจริง หรอื ขอ กฎหมายอางอิงประกอบดว ย ตอ นายทะเบียนทอ งท่ี ณ สาํ นกั งานเขต ทีว่ า การอําเภอหรอื ท่วี าการ ก่ิงอําเภอ ท่ตี นมีช่อื อยใู นทะเบยี นบา น และใหนายทะเบียนทองทพี่ ิจารณาคาํ อุทธรณ และรายงานความเหน็ เกยี่ วกับขอเท็จจริงอนั เปนสาระสาํ คญั ขอกฎหมายที่อา งอิง และขอ พจิ ารณาหรือขอ สนับสนุนในการใช ดลุ พนิ จิ ผานนายทะเบียนจังหวัดถงึ นายทะเบยี นกลางโดยเร็ว ขอ ๒๔ กรณีนายทะเบยี นทองท่ีสั่งไมอนุญาตใหเ ปลย่ี นชื่อตวั ต้ังหรือเปลยี่ นชอ่ื รองหรอื รว ม ใชช ือ่ สกุล หรือเปลย่ี นชอ่ื สกลุ ใหน ายทะเบียนทองท่แี จงในคําขอตามแบบ ช. ๑ ใหผูยืน่ คาํ ขอทราบเปน ลายลักษณอกั ษรพรอมเหตผุ ล และหากผยู ่นื คาํ ขอประสงคจะอุทธรณคําสั่งของนายทะเบยี นทองที่ ใหผ ยู ่ืนคาํ ขอ อทุ ธรณเ ปนหนังสือภายในสามสิบวนั นบั แตวนั ทราบคาํ สง่ั ตอนายทะเบยี นทองที่ ณ สาํ นกั งานเขต ทว่ี า การอําเภอ หรือทีว่ าการกิ่งอําเภอ ท่ีตนมีชือ่ อยูในทะเบยี นบา นโดยระบขุ อ โตแ ยงและขอเท็จจรงิ หรอื ขอกฎหมาย อางองิ ประกอบดว ย ขอ ๒๗ กรณีผูรวมใชชือ่ สกุลมคี วามประสงคจ ะขอจดทะเบยี นต้งั ชอื่ สกุลใหมต ามขอ ๙ หรอื รว มใชช่อื สกุลใหมต ามขอ ๑๖ ใหย่นื คาํ ขอพรอมหนงั สือสาํ คัญแสดงการรวมใชช อื่ สกุลตามแบบ ช. ๔ ตอ นายทะเบยี นทอ งที่ ขอ ๒๘ เม่อื ไดร ับจดทะเบยี นหรอื บันทึกทะเบียนหรอื บนั ทกึ เปล่ยี นแปลงเกีย่ วกับช่อื ตวั ชอื่ รอง และชอ่ื สกลุ ไวแลว ใหน ายทะเบียนทองทจ่ี ดั เกบ็ ขอมลู ไวในฐานขอ มูลทะเบียนช่อื บุคคลและใหนายทะเบยี น จังหวดั หรือผูท ไี่ ดร บั มอบหมายตรวจสอบความถูกตองของการรับจดทะเบยี นและการบนั ทกึ ทะเบยี น รวมทง้ั การ บันทึกเปลี่ยนแปลงเกีย่ วกบั ชื่อตวั ช่ือรองและชื่อสกุล จากฐานขอ มลู ทะเบียนช่ือบุคคลภายในวันท่หี า ของ ทกุ เดอื น หากพบขอบกพรองใหแจงนายทะเบียนทองท่ีดาํ เนินการแกไ ขใหถูกตอง ขอ ๓๑ ผูมีสวนไดเ สียจะขอใหน ายทะเบยี นทองท่ีออกใบแทนหนงั สือสําคญั เนื่องจากหนังสือ สาํ คัญแสดงการเปล่ียนชื่อตัว การต้ังหรือเปล่ียนช่ือรอง (ช. ๓) หรือหนังสือสําคัญแสดงการจดทะเบยี นชอ่ื สกลุ (ช. ๒) หรอื หนังสือสาํ คญั แสดงการรว มใชช่ือสกุล (ช. ๔) หรือหนังสอื แสดงการจดทะเบยี นเปล่ียนชอ่ื สกลุ (ช. ๕) ชาํ รดุ ในสาระสาํ คญั หรอื สูญหาย ใหย ่ืนคาํ ขอตามแบบ ช.๑ ตอ นายทะเบียนทองที่ ณ สํานักงานเขต ทีว่ าการอําเภอหรือทวี่ า การก่ิงอาํ เภอ ที่ตนมีชอ่ื อยูในทะเบียนบา น ขอ ๓๓ ผมู ีสวนไดเ สยี จะขอใหนายทะเบียนกลาง หรือนายทะเบียนจังหวัด หรือนายทะเบียน ทอ งท่ี ทาํ สําเนาและรับรองสําเนารายการในฐานขอ มูลทะเบียนชอื่ บคุ คลไดที่สาํ นกั ทะเบียนกลาง สาํ นกั ทะเบยี นจงั หวดั สํานกั ทะเบยี นทองที่อําเภอ ก่งิ อาํ เภอ หรือสํานักงานเขตแหง ใดแหงหนง่ึ กไ็ ด ในวนั และ เวลาราชการ
- 93 - ขอ ๓๔ ผูม สี ว นไดเ สียจะขอทําสําเนาและรับรองสาํ เนารายการในฐานขอ มลู ทะเบียนชือ่ บคุ คล ไดแก คาํ ขอ (ช. ๑) ทะเบียนชื่อสกุล (ช. ๒/๑) ทะเบยี นชอ่ื ตวั ชือ่ รอง (ช. ๓/๑)ทะเบยี นรวมใชชื่อสกลุ (ช. ๔/๑) ทะเบยี นเปลย่ี นชอ่ื สกุล (ช. ๕/๑) ทะเบียนอนญุ าตใหรวมใชชื่อสกุล(ช. ๖/๑) ทะเบียนรับรองเปน ผมู สี ทิ ธิ อนุญาตใหผ ูอนื่ รวมใชช่อื สกลุ (ช. ๗/๑) ทะเบียนรับรองการขอเปล่ียนชือ่ ตวั ของคนตางดาว (ช. ๘/๑) ทะเบยี นรบั รองการขอจดทะเบียนชอ่ื สกลุ ของคนตา งดา ว (ช.๙/๑) ใหย ื่นคาํ ขอตามแบบ ช. ๑ ตอ นายทะเบยี น กลางหรือนายทะเบียนจังหวัด หรือนายทะเบียน สรุปประเดน็ ทนี่ ายอําเภอมีอํานาจหนาที่ นายอาํ เภอเปนนายทะเบยี นทองทตี่ ามคาํ ส่ังกระทรวงมหาดไทย ท่ี ๑๔๓๗/๒๕๐๕ ลงวันที่ ๖ ธนั วาคม ๒๕๐๕ มีหนา ทต่ี ามทบ่ี ัญญตั ิไวใ นพระราชบญั ญตั ิชอ่ื บุคคล พ.ศ. ๒๕๐๕ เชน การจดทะเบยี น ชอ่ื สกุลและออกหนังสอื สําคัญแสดงการรับจดทะเบยี นช่ือสกลุ การออกหนังสือสําคญั แสดงการอนญุ าตให ใชช อื่ สกลุ ใหแ กผูทจี่ ะใชช ่อื สกุล การอนญุ าตและออกหนงั สอื สาํ คัญแสดงการเปลยี่ นชอื่ ตวั หรอื ชอ่ื รอง เปนตน (20) พระราชบญั ญตั บิ ตั รประจาํ ตวั ประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตราท่เี กยี่ วของ มาตรา ๔ ในพระราชบญั ญัตินี้ “บตั ร” หมายความวา บัตรประจําตัวประชาชน “ผูถอื บตั ร” หมายความวา ผมู ชี ื่อเปน เจาของบัตร “ทะเบยี นบา น” หมายความวา ทะเบยี นบานตามกฎหมายวา ดว ยการทะเบยี นราษฎร “เจาพนักงานออกบัตร” หมายความวา ผูซงึ่ รฐั มนตรแี ตงตงั้ ใหป ฏบิ ตั กิ ารตามพระราชบัญญัตนิ ี้ “เจา พนักงานตรวจบัตร” หมายความวา ผูซ่ึงรัฐมนตรแี ตงตง้ั ใหป ฏิบตั ิการตามพระราชบัญญัตนิ ี้ “พนักงานเจาหนาท่”ี หมายความวา ผซู ึ่งรัฐมนตรีแตงต้งั ใหป ฏบิ ตั ิการตามพระราชบัญญัติน้ี “รัฐมนตรี” หมายความวา รฐั มนตรีผรู ักษาการตามพระราชบญั ญตั นิ ี้ มาตรา ๕ ผมู สี ญั ชาติไทยซง่ึ มีอายุตั้งแตเ จด็ ปบ รบิ ูรณ แตไ มเกินเจด็ สบิ ปบรบิ ูรณแ ละมีช่ือใน ทะเบยี นบานตองมีบัตรตามท่ีกาํ หนดในพระราชบัญญัตนิ ้ี ความในวรรคหนึ่งไมใชบังคบั แกผ ูซึ่งไดรบั การยกเวน ตามท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง ผซู ึ่งไดรับการยกเวน ตามกฎกระทรวงตามวรรคสอง ซึ่งมีบัตรประจาํ ตัวตามกฎหมายอนื่ ใหใ ช บัตรประจําตวั นัน้ แทนได ผซู ่งึ มอี ายเุ กนิ เจ็ดสิบปและผซู ง่ึ ไดรบั การยกเวนตามกฎกระทรวงจะขอมีบัตรกไ็ ด มาตรา ๖ ผซู ง่ึ ตองมีบัตรตามมาตรา ๕ ใหย น่ื คําขอมบี ัตรตอพนกั งานเจา หนาทภ่ี ายในกาํ หนด หกสบิ วันนบั แต (๑) วันท่ีอายุครบเจด็ ปบรบิ ูรณ
- 94 - (๒) วันท่ไี ดสัญชาตไิ ทย สําหรบั ผไู มไ ดสญั ชาติไทยโดยการเกิด หรอื ไดก ลับคืนสัญชาติไทย ตามกฎหมายวาดวยสัญชาติ (๓) วันท่ีนายทะเบียนเพ่มิ ช่ือในทะเบียนบา นตามกฎหมายวาดวยการทะเบยี นราษฎร (๔) วนั ท่ีพนสภาพจากการไดร ับการยกเวน มาตรา ๖ ทวิ บัตรใหใชไดนับแตว ันออกบัตรและมีอายแุ ปดปน บั แตว นั เกิดของผถู ือบัตรที่ถงึ กาํ หนดภายหลังจากวนั ออกบัตร บัตรทย่ี ังไมห มดอายุในวันที่ผูถือบตั รมีอายคุ รบเจ็ดสบิ ปบริบูรณ ใหใ ชบตั รนนั้ ตอไปไดต ลอดชีวติ มาตร ๖ ตรี ผถู อื บตั รตองมบี ัตรใหม โดยยนื่ คาํ ขอตอพนักงานเจาหนา ที่ภายในหกสิบวนั นับแต วันทบี่ ตั รเดิมหมดอายุ ผถู ือบตั รจะขอมีบตั รใหมกอนวนั ทบ่ี ัตรเดิมหมดอายกุ ็ได โดยยน่ื คาํ ขอตอพนักงานเจา หนา ที่ ภายในหกสิบวนั กอนวันทบ่ี ตั รเดมิ หมดอายุ มาตรา ๖ จัตวา ผถู อื บัตรตองมีบัตรใหมหรือเปลย่ี นบัตร แลว แตกรณี โดยยน่ื คําขอตอ พนกั งานเจาหนาท่ีภายในกําหนดหกสบิ วันนบั แต (๑) วันทีบ่ ัตรหายหรือถูกทําลาย (๒) วันที่บัตรชํารดุ ในสาระสําคญั (๓) วนั ท่แี กไขชอ่ื ตวั ชือ่ สกลุ หรือชือ่ ตัวและชื่อสกุลในทะเบียนบาน ผูถอื บัตรผูใ ดยา ยท่ีอยจู ะขอเปลย่ี นบตั รก็ได มาตรา ๘ การขอมีบัตร การขอมีบัตรใหม การขอเปลีย่ นบัตร การออกบัตรและการออก ใบรับและการออกใบแทนใบรับ ใหเ ปน ไปตามแบบ หลกั เกณฑ และวธิ ีการท่กี าํ หนดในกฎกระทรวง ในกรณีทีพ่ นักงานเจา หนาทีไ่ มส ามารถออกบตั รใหผูย่ืนคําขอไดในวันเดียวกันให ออกใบรับแกผยู ืน่ คําขอ ใบรบั หรอื ใบแทนใบรบั นนั้ ใหใ ชไ ดเสมือนบัตรตามระยะเวลาท่ีกําหนดไวใ นใบรับหรือใบแทน ใบรับ และการใชใ บรับหรือใบแทนใบรับใหใชรวมกบั บตั รเดิม เวนแตเปนกรณีการขอมบี ัตรครัง้ แรกหรือ บัตรหายหรือถูกทําลายทั้งหมด มาตรา ๙ ผูถอื บัตรผูใ ดเสยี สัญชาตไิ ทยเมื่อใด ไมว า ดว ยเหตุใดผูนัน้ หมดสทิ ธิท่ีจะใชบ ัตรนนั้ ทนั ที และตองสง มอบบตั รนั้นใหแ กพนักงานเจาหนา ท่แี หงทอ งท่ีท่ตี นมีช่ืออยใู นทะเบยี นบา นภายใน สามสบิ วนั นบั แตว ันที่เสยี สญั ชาติไทย มาตรา ๑๐ ภายใตบ ังคับมาตรา ๗/๑ ผูมีสวนไดเสียโดยตรงจะขอตรวจหลักฐานรายการหรอื ขอมลู ใดเก่ยี วกบั บัตร และจะขอใหพนักงานเจาหนา ท่ีถายเอกสารหรอื คดั และรบั รองสาํ เนาดว ยกไ็ ด ทัง้ น้ี ตามหลักเกณฑ วิธกี าร และเง่ือนไขท่กี ําหนดในกฎกระทรวง มาตรา ๒๒ บรรดาความผดิ ตามพระราชบัญญัตนิ ซี้ ่งึ มโี ทษปรบั สถานเดียว ใหพนักงานเจาหนา ที่ มีอํานาจเปรียบเทียบปรับได เมอ่ื ผูตอ งหาชําระคาปรับตามท่ีเปรยี บเทียบภายในระยะเวลาท่ีกําหนดแลว ใหถอื วา คดีเลกิ กันตามบทบัญญตั แิ หง ประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความอาญา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295