40 (2555, หนา้ 144) ได้ศึกษาการพฒั นางานกิจการนกั เรียน โรงเรียนบ้านกุดฮู สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษา ประถมศึกษาสกลนคร เขต 1 มแี นวทางในการจัดกิจกรรมพฒั นางานกิจการนักเรียนได้เปน็ อย่างดี สามารถนาความรู้ และประสบการณ์ที่ได้รบั ไปประยุกตใ์ ชใ้ นการปฏบิ ตั งิ านกิจกรรมนักเรียนและจัดการจัดกจิ กรรมพฒั นางานกิจการ นกั เรียนท้ัง 3 ด้านได้แก่การบริการสขุ ภาพนกั เรียน การจดั กจิ กรรมนักเรียน และการปกครองเสริมสร้างระเบียบวนิ ัย พบวา่ ครผู ู้รบั ผิดชอบงานกิจการนกั เรียนสามารถดาเนินงานกิจการนักเรียนได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ ขอ้ เสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ 1.1 การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจดั การงานกิจการนกั เรยี น น้ันควรดาเนนิ งานร่วมมอื กนั ในทกุ ภาคส่วน เพื่อการขบั เคลือ่ นกระบวนการทางานอย่างเป็นระบบ 1.2 การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจดั การงานกิจการนักเรยี น โรงเรียนหรือหนว่ ยงานตน้ สังกดั ควรมกี ารตดิ ตามประเมินผลการดาเนินงานอยา่ งต่อเนอ่ื งทุกปี 1.3 การนิเทศ ผู้นิเทศต้องเปน็ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถในการให้คาปรึกษา ให้ขอ้ เสนอแนะทีเ่ ป็น ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาหรอื แกไ้ ขปัญหาทเ่ี กิดข้ึน 2. ขอ้ เสนอแนะสาหรับการทาวิจยั ครง้ั ต่อไป 2.1 ควรมกี ารพฒั นาประสิทธิภาพการบริหารจดั การงานกจิ การนกั เรียนในรูปแบบอน่ื พฒั นาโดยการ ส่งเสริมด้วยการใชก้ ิจกรรมอืน่ ในการดาเนินการ เพื่อชว่ ยให้การพฒั นามีประสิทธิภาพมากยิ่งข้นึ 2.2 ควรมกี ารดาเนนิ การวิจยั เพ่อื พฒั นาในดา้ นอน่ื ๆ อันจะส่งผลดตี อ่ นักเรียน เชน่ พฒั นางานวิชาการ พัฒนาแหล่งเรียนรู้ในชมุ ชน เพ่ือสง่ เสริมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อยา่ งมีประสิทธิภาพ เอกสารอา้ งองิ กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2545). พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแหง่ ชาติ พุทธศกั ราช 2542 และทีแ่ กไ้ ขเพม่ิ เตมิ (ฉบบั ที่ 2) พทุ ธศักราช 2545. กรงุ เทพฯ : ครุ ุสภา ลาดพร้าว. จนั ทร์ไท จนั ทร์พิมพ.์ (2553). การวจิ ยั ปฏบิ ัตกิ ารแบบมสี ่วนร่วม เพ่อื พฒั นางานกิจการนกั เรียนโรงเรียน บ้านโคกขามเลียน สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษามกุ ดาหาร. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวทิ ยาลัยมหาสารคาม. โฉมฉาย กาศโอสถ .(2554) .รปู แบบการบริหารกิจการนกั เรียนแบบมสี ่วนร่วมในสถานศกึ ษาระดบั ประถมศึกษา สงั กัดสานกั งานคณะกรรมการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ดร. : มหาวทิ ยาลยั นเรศวร. พษิ ณโุ ลก ภญิ โญ เพง็ ดา. (2550). การศึกษาสภาพปัญหาการบริหารงานกิจการนักเรียนของสถานศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน สังกดั สานกั งานการศึกษาเอกชน ในจงั หวดั กาแพงเพชร. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. กาแพงเพชร : มหาวทิ ยาลัยราชภัฏกาแพงเพชร. มลรกั ทุมแสง. (2555). การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารแบบมสี าวนร่วมเพ่อื พฒั นางานกิจการนกั เรียน โรงเรียนบ้านกดุ ฮู สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1. วทิ ยานิพนธ์ ค.ม. สกลนคร : มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร. โรงเรียนสนธิราษฎร์วิทยา. (2551). ข้อมลู ท่ัวไปของโรงเรียนสนธิราษฎร์วิทยา. เข้าถึงได้จาก http://data.bopp-obec.info/emis/schooldata-view.php?School. สานักบริหารงานการมัธยมศกึ ษาตอนปลาย. (2552). มาตรฐานการปฏบิ ตั งิ านโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา พ.ศ. 2552. กรุงเทพฯ: สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน. กระทรวงศึกษาธกิ าร.
41 ปจั จยั การบรหิ ารทส่ี ่งผลตอ่ ความสาเรจ็ ของการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรยี น ของโรงเรยี น สังกดั สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศกึ ษานครพนม เขต 2 Administrative Factors Affecting the Effectiveness of School Student Caring and Assisting System of Nakhon Phanom Primary Educational Service Area Office 2 โสพศิ ภาชนะ* ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ไชยา ภาวะบุตร** ดร.สุรพล บญุ มีทองอยู่*** บทคดั ย่อ การวจิ ัยคร้ังนมี้ คี วามมุ่งหมายเพ่อื ศึกษาเปรียบเทียบ หาความสมั พันธ์ หาอานาจพยากรณ์ และหาแนวทาง การพฒั นาปัจจัยการบริหารที่สง่ ผลตอ่ การดาเนินงานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน กลุ่มตวั อย่าง ได้แก่ ผู้บริหาร หัวหน้างานระบบดแู ลนกั เรียน และครูในโรงเรียนสังกดั สานักงานเขตพนื้ ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ปีการศึกษา 2560 จานวน 318 คน ประกอบด้วยผู้บริหาร จานวน 32 คน หัวหนา้ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน จานวน 32 คน และครู จานวน 254 คน เครื่องมอื ที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเปน็ แบบสอบถามแบบมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดบั ซงึ่ มคี ่าอานาจจาแนกรายข้อระหวา่ ง .41- .80 และมีค่าความเชอ่ื มั่นทั้งฉบับเท่ากบั .95 สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่ารอ้ ยละ การวเิ คราะห์ความแปรปรวน ทางเดียว F-test (One way ANOVA) การหาค่าสัมประสิทธิส์ หสมั พนั ธ์แบบ Pearson’s Product Moment Coefficient และการวเิ คราะห์สมการพหคุ ูณแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวจิ ัย พบวา่ 1. ปจั จัยการบริหารตามทศั นะของผู้บริหาร หัวหนา้ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน และครผู ู้สอน โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก 2. การดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน ตามทศั นะของผู้บริหาร หัวหนา้ งานระบบดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียน และครผู ู้สอน โดยรวมอยู่ในระดับมาก 3. ปจั จยั การบริหาร ตามทัศนะของ ผู้บริหาร หัวหนา้ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน และครูผู้สอน จาแนกตามขนาดโรงเรียน โดยรวม พบวา่ มคี วามแตกตา่ งกัน อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 4. ปจั จัยการบริหาร ตามทัศนะของ ผู้บริหาร หวั หนา้ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน และครผู ู้สอน จาแนกตามประสบการณใ์ นการทางาน โดยรวมและรายด้านทกุ ด้าน ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั 5. ปจั จัยการบริหารทีม่ ีความสมั พนั ธ์ทางบวกกบั การดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .01 6. ปัจจัยการบริหารที่สง่ ผลตอ่ การดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน จานวน 2 ปัจจัย ไดแ้ ก่ ด้านการจัดการ ด้านเงิน สามารถพยากรณ์การดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียนได้ อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติ ทีร่ ะดบั .01 โดยมีอานาจพยากรณ์ร้อยละ 28.4 และมีความคลาดเคลื่อนมาตรฐานของการพยากรณ์ ± 0.257 คาสาคญั : ปจั จัยการบรหิ าร, ระบบดูแลช่วยเหลือนกั เรียน * ครศุ าสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร ** อาจารย์ประจาหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต และหลกั สูตรปรชั ญาดษุ ฎีบณั ฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร *** ผู้อานวยการชานาญการพิเศษ โรงเรียนหนองแวงวทิ ยานกุ ูล สานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต 22
42 7. ปัจจัยการบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ การดาเนินงานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน สถานศกึ ษา ทีค่ วรได้รบั การ พฒั นา จานวน 2 ดา้ น ได้แก่ ดา้ นการจัดการ ด้านเงินโดยผู้วจิ ยั ได้นาเสนอแนวทางการพฒั นาไวด้ ้วย ABSTRACT The purposes of this research were to investigate, compare, determine the relationship and predictive power and establish the guidelines for developing administrative factors affecting the effectiveness of school’s student caring and assisting system. The samples consisted of 32 administrators, 32 leader of school’s student caring and assisting system and 254 teachers in schools of Nakhon Phanom Primary Educational Service Area Office 2 in the academic year 2017. The instrument for data collection was a set of 5-level rating scale questionnaires developed by the researcher which had discrimination between .41-.80 with reliability at .95. Statistics for data analysis were mean, standard deviation, percentage, F-test (One way ANOVA), Pearson’s product moment coefficient and Stepwise multiple regression analysis. The results revealed that 1. Management factors as perceived by executives. The supervisors of the student and teacher support system were at a high level. 2. Implementation of Student Support System Management's view The supervisors of the student and teacher support system were at a high level. 3. Management factors as perceived by the administrators, supervisors, students and teacher support system classified by school size as a whole. Are different Statistically significant at the .05 level. 4. Management factors as perceived by administrators, supervisors, student and teacher support systems, by working experience as a whole and Every side No difference 5. Management factors that are positively correlated with the performance of the student support system. At the .01 level of significance 6. Management factors that affect the operation of the student support system are 2 factors: money management can predict the operation of the student support system. At the .01 level, with the predictive power. 28.4% and standard error of ± 0.257 7. Management factors that affect the operation of student support system should be developed in two areas: money management. The researcher has proposed a development approach. Keywords: administrative factors, student support system. ภมู หิ ลงั กระทรวงศึกษาธกิ ารและกระทรวงสาธารณสขุ ได้ตระหนกั ถึงความสาคญั ของการพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของ นกั เรียนทกุ คน โดยมุ่งหวงั วา่ นักเรียนจะเติบโตอยา่ งมีคุณภาพรอบด้าน ทั้งดา้ นสตปิ ัญญา ความสามารถ ด้านคณุ ธรรม จริยธรรม และด้านการดารงชีวิต อยา่ งเปน็ สขุ ในสงั คมพร้อมดว้ ยสขุ ภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี ซึง่ ความมุ่งหวงั นน้ั จาเปน็ ต้องอาศัยความร่วมมอื และความพรอ้ มของบคุ ลากรทกุ คนในโรงเรียน อกี ทง้ั การ ประสานงานกบั พ่อแม่ ผู้ปกครองอยา่ งใกล้ชิด รวมท้ังหน่วยงานภายนอกทเ่ี กี่ยวข้องเพอ่ื ประสิทธิภาพในการ
43 ดาเนนิ งาน และจากที่สงั คมปัจจุบนั ประสบกบั ปญั หาต่างๆ และการมเี ทคโนโลยกี ารสอ่ื สารทีท่ ันสมัย รวดเร็ว ได้ส่งผลกระทบตอ่ วิถีการดารงชวี ติ และจิตใจของผู้คนอย่างมาก ก่อเกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย แมแ้ ตเ่ ยาวชน ก็ได้รับผลกระทบเชน่ กัน ซึ่งเยาวชนเหลา่ นั้นยังเปน็ เด็กวยั เรียนที่ต้องการความดแู ลเอาใจใส่อยา่ งใกล้ชิด ต้องการ คาแนะนาปรึกษาอย่างมเี ทคนิควธิ ี บางครง้ั กต็ ้องการความช่วยเหลอื ในการแก้ไขปญั หาทผ่ี ่านมาในชีวิตอย่างเร่งดว่ น (กรมสขุ ภาพจิต, 2551, คานา) ด้วยสภาพและปัญหาเก่ยี วกบั เดก็ และเยาวชนดงั ได้กลา่ วถึงข้างตน้ สานักงานคณะกรรมการการศึกษา ขั้นพ้ืนฐานจึงเห็นความสาคญั ของระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน ซึง่ เปน็ นวัตกรรมทีเ่ กิดจากความร่วมมอื ของ กรมสุขภาพจิตและกรมสามญั ศกึ ษาในอดตี จะเปน็ เครอ่ื งมืออกี ช้นิ หนง่ึ ทีจ่ ะช่วยให้โรงเรียนและสานักงานเขตพ้นื ที่ การศึกษา ไดใ้ ชเ้ ป็นกลไกในการดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน ในศตวรรษที่ 21 ซึง่ แวดลอ้ มไปด้วยขอ้ มลู ข่าวสาร ปัญหา เศรษฐกิจและสังคมที่มีความรนุ แรงขนึ้ ได้อยา่ งเท่าเทียมกนั ทัว่ ถึง ถูกตอ้ ง และเปน็ ธรรมกบั เด็กและเยาวชนทกุ คน (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน, 2559, หนา้ 6) จากปญั หาดังกล่าวข้างตน้ ผู้วจิ ยั จึงสนใจท่จี ะศกึ ษาปจั จัยการบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ การดาเนินงานระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นักเรียนของโรงเรียน สังกดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ได้มีการวางแผน และปฏบิ ตั ติ ามขนั้ ตอนหรือไม่ ปญั หา อปุ สรรค ในการดาเนนิ งานมากน้อยเพยี งใด ปัจจัยการบริหารใดทีส่ ง่ เสริม ระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน เพ่ือนาผลการศึกษามาเปน็ แนวทางในการปรบั ปรงุ และพัฒนางานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียนของโรงเรียนสังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ให้มีประสิทธิภาพตอ่ ไป คาถามการวิจัย 1. ปัจจยั การบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ ความสาเร็จของการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียนในโรงเรียน สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหาร หัวหน้างานระบบดแู ล ชว่ ยเหลอื นกั เรียน และครผู ู้สอน มีความคดิ เหน็ อยใู่ นระดบั ใด 2. การดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนในโรงเรียน สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษา นครพนม เขต 2 ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร หวั หนา้ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน และครูผู้สอน มีความคิดเหน็ อยู่ในระดับใด 3. ปจั จยั การบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียนในโรงเรียน สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหาร หัวหนา้ งานระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นักเรียนและครูผู้สอน ท่ปี ฏิบตั หิ นา้ ทใ่ี นโรงเรียนทีม่ ีขนาดแตกตา่ งกนั มีความแตกตา่ งกนั หรือไมอ่ ย่างไร 4. ปจั จัยการบริหารที่สง่ ผลตอ่ ความสาเร็จของการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียนในโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร หวั หนา้ งานระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรียน และครผู ู้สอน มีประสบการณ์ในการปฏบิ ตั งิ านทีแ่ ตกต่างกนั มีความคิดเหน็ ต่อแตกตา่ งกนั หรือไม่ อย่างไร 5. ปจั จยั การบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ ความสาเร็จของการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียนในโรงเรียน สังกดั สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร หวั หนา้ งานระบบดแู ล ชว่ ยเหลอื นักเรียน และครผู ู้สอน มีความสัมพันธ์กนั หรือไมอ่ ย่างไร 6. ปัจจยั การบริหารที่สง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียนดา้ นใดบ้าง ที่มีอานาจพยากรณค์ วามสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานระบบดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียน ในโรงเรียนสังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่
44 การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหาร หวั หนา้ งานระบบดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียน และครูผู้สอน 7. แนวทางในการพฒั นาปัจจยั การบริหารการดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนในโรงเรียน สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 เปน็ อยา่ งไร ความมุ่งหมายของการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วจิ ยั กาหนดความมุ่งหมายของการวิจัยไวด้ ังน้ี 1. เพ่อื ศึกษาปจั จัยการบริหารที่ส่งผลตอ่ ความสาเรจ็ ของการดาเนินงานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน ในโรงเรียนสังกัดสานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จาแนกตาม ความคิดเหน็ ของผู้บริหาร หัวหน้างานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน และครผู ู้สอน 2. เพอ่ื เปรียบเทียบความคิดเห็นต่อปจั จยั การบริหารที่สง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นักเรียน ในโรงเรียนสังกัดสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จาแนกตาม ความคิดเหน็ ของผู้บริหาร หวั หนา้ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน และครผู ู้สอน 3. เพ่อื เปรียบเทียบปจั จัยการบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลือ นกั เรียน ในโรงเรียนสงั กัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จาแนกตาม ความคิดเห็นของ ผู้บริหาร หวั หนา้ งานระบบดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียนและครผู ู้สอนทีป่ ฏบิ ัตหิ นา้ ทใ่ี นโรงเรียนที่มขี นาดแตกตา่ งกนั 4. เพอ่ื เปรียบเทียบปจั จยั การบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ ความสาเร็จของการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลือ นกั เรียน ในโรงเรียนสงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จาแนกตาม ความคิดเห็นของ ผู้บริหาร หวั หนา้ งานระบบดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียน และครูผู้สอนทีม่ ีประสบการณ์ในการปฏบิ ตั งิ านที่แตกต่างกนั 5. เพ่อื ศึกษาความสัมพันธ์ระหวา่ งปจั จัยการบริหารทีส่ ง่ ผลและความสาเร็จของการดาเนินงานระบบ ดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน ในโรงเรียนสังกดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหาร หัวหน้างานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน และครผู ู้สอน 6. เพ่อื หาอานาจพยากรณข์ องปจั จยั การบริหารที่สง่ ผลและความสาเร็จของการดาเนนิ งานระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นักเรียน ในโรงเรียนสังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหาร หัวหนา้ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน และครูผู้สอน 7. เพ่อื หาแนวทางในการพฒั นาปจั จยั การบริหารที่สง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรียน ในโรงเรียนสังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 กรอบแนวคดิ การวิจยั จากการศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กีย่ วข้อง ผู้วิจัยได้ทาการสรุปกรอบแนวคิดการวจิ ัย ปจั จัยการบริหารที่สง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนของโรงเรียนสังกดั สานกั งาน เขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ดังภาพประกอบ 1
45 ตวั แปรอสิ ระ ตวั แปรตาม 1. สภาพการดารงตาแหน่ง ปัจจัยการบริหาร 1.1 ผู้บริหาร 1.2 หัวหนา้ ระบบดแู ลช่วยเหลือนกั เรียน 1. บุคคล 2. งบประมาณ 1.3 ครผู ู้สอน 3. วัสดสุ ิง่ ของ 4. การจัดการ 2. ขนาดของโรงเรียน 2.1 ขนาดเลก็ 2.2 ขนาดกลาง ความสาเรจ็ ของการดาเนินงานระบบดแู ลช่วยเหลือนกั เรียน 2.3 ขนาดใหญ่ มีองค์ประกอบสาคญั 5 ประการดงั นี้ 3. ประสบการณ์ในการปฏิบตั ิงาน 1. การรู้จักนักเรียนเปน็ รายบคุ คล 2. การคดั กรองนกั เรียน 3.1 น้อยกว่า 10 ปี 3.2 11-20 ปี 3. การส่งเสรมิ นกั เรียน 4. การป้องกนั และแก้ไขปญั หา 3.3 มากกวา่ 20 ปี 5. การส่งต่อ ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดในการวิจยั วิธีดาเนนิ การวิจยั ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง 1. ประชากรที่ใชใ้ นการวิจยั ครั้งน้ี ประกอบด้วย ผู้บริหาร หัวหนา้ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน และครผู ู้สอนของโรงเรียน สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ในปีการศึกษา 2559 ได้แก่ ผู้บริหาร จานวน 185 คน หัวหนา้ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน จานวน 185 คน และครผู ู้สอนจานวน 1,443 คน รวมท้ังส้นิ 1,813 คน (สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2, 2559) 2. กลุ่มตวั อยา่ งท่ใี ชใ้ นการวิจยั ครงั้ น้ี ประกอบด้วย ผู้บริหาร หวั หน้างานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน และครผู ู้สอนของโรงเรียน สังกดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ในปีการศึกษา 2559 กาหนดขนาดของกลุ่มตัวอยา่ งจากการเทียบตารางของ Krejcie & Morgan (บญุ ชม ศรีสะอาด, 2556, หนา้ 43) ได้แก่ ผู้บริหาร จานวน 32 คน หวั หนา้ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน จานวน 32 คน และครูผู้สอนจานวน 254 คน รวมท้ังส้นิ 318 คน เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มลู เป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) ผู้วิจยั สร้างขนึ้ เอง โดยการศกึ ษา หลกั การ กรอบแนวคิด และงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้อง ซึง่ แบ่งออกเป็น 3 ตอน ดงั นี้ ตอนที่ 1 เป็นแบบสารวจรายการ (Checklist) สอบถามสถานภาพการดารงตาแหน่ง ขนาดโรงเรียน และประสบการณ์ทางาน ตอนที่ 2 แบบสอบถามปัจจัยการบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานระบบดแู ล ชว่ ยเหลอื นกั เรียนของโรงเรียน สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 มลี ักษณะเปน็ แบบ มาตรประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ ตามวธิ ีของ Likert ตอนที่ 3 เป็นแบบสอบถามปลายเปิด เพ่อื รบั ทราบขอ้ เสนอแนะและแนวทางในการสง่ เสริมปัจจัย การบริหารทีม่ ีผลต่อความสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานระบบดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรียนของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขต พ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
46 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผู้วิจยั นาหนังสอื จากสานกั งานบณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร ส่งถึงผู้อานวยการ สถานศกึ ษา สังกัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 เพือ่ ขอความอนุเคราะห์ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล และจดั สง่ แบบสอบถามจานวน 318 ฉบับ ไปยังโรงเรียนทีม่ ีกลมุ่ ตัวอยา่ ง และหลงั จากกลุ่มตวั อยา่ ง ตอบแบบสอบถามแล้ว ผู้วิจัยไปรับแบบสอบถามด้วยตนเอง สถิตทิ ใี่ ช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู ค่าเฉลี่ย (Mean) คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าร้อยละ (Percentage) การวเิ คราะห์ความแปรปรวนทางเดียว F-test (One way ANOVA) การหาค่าสมั ประสิทธิส์ หสมั พนั ธ์แบบ Pearson’s Product Moment Coefficient และการวเิ คราะห์สมการพหุคณู แบบข้ันตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) สรุปผลการวิจัย จากผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู สรปุ ผลการวจิ ัยประเดน็ สาคญั ดังนี้ 1. ปัจจยั การบริหารที่สง่ ผลตอ่ ความสาเร็จของการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียนในโรงเรียน สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 โดยรวมอยใู่ นระดับมาก เมอ่ื พิจารณาเป็นรายดา้ น พบวา่ อยู่ในระดบั มากทกุ ด้าน เรียงลาดบั จากมากไปหาน้อย ดงั น้ี ด้านการจัดการ ด้านวตั ถสุ ิ่งของ ด้านเงิน ด้านคน ตามลาดับ 2. การดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียนของโรงเรียน สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษา ประถมศึกษานครพนม เขต 2 โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก เมอ่ื พิจารณาเป็นรายดา้ น พบว่า อยใู่ นระดบั มากทกุ ด้าน เรียงลาดบั จากมากไปหาน้อย ดงั น้ี การป้องกันและแกไ้ ขปญั หา การคดั กรองนกั เรียน การสง่ เสริมนกั เรียน การส่งต่อ การรู้จกั นกั เรียนเปน็ รายบุคคล ตามลาดบั 3. ปจั จยั การบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ ความสาเร็จของการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียนในโรงเรียน สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จาแนกตาม ผู้บริหาร หวั หนา้ งานระบบดแู ล ชว่ ยเหลอื นกั เรียน และครูผู้สอน ทป่ี ฏบิ ตั หิ นา้ ทใ่ี นโรงเรียนทีม่ ีขนาดแตกต่างกนั โดยรวมพบวา่ มคี วามแตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติที่ระดบั .05 เม่อื พิจารณาเป็นรายดา้ น พบวา่ ด้านเงิน มคี วามแตกตา่ งกนั อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั .05 ส่วนดา้ นคน ด้านวสั ดุส่งิ ของ และด้านการจดั การ ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั 4. ปจั จัยการบริหารที่สง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ ของ การดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนในโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จาแนกตาม ผู้บริหาร หวั หนา้ งานระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรียน และครูผู้สอน จาแนกตามประสบการณ์ในการทางาน โดยรวมและรายด้านทกุ ด้าน ไมม่ คี วาม แตกตา่ งกัน 5. ปจั จยั การบริหารทีม่ ีความสัมพนั ธ์ทางบวกกบั การดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลือนกั เรียน ในแต่ละดา้ น เรียงลาดับจากมากไปหาน้อย ดังน้ี ดา้ นการจดั การ (rx4y=0.665) ด้านเงิน (rx2y=0.535) ด้านคน (rx1y=0.471) ด้านวสั ดุส่งิ ของ (rx3y=0.431) อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 ทุกด้าน 6. ปัจจยั การบริหารที่สง่ ผลตอ่ การดาเนินงานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน จานวน 5 ปัจจยั นามา วเิ คราะห์ มจี านวน 2 ปัจจยั ทีส่ ามารถพยากรณ์การดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียนในโรงเรียนสังกดั สานกั งาน เขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ได้อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ได้แก่ ด้านการจดั การ โดยมีคา่ สัมประสิทธิถ์ ดถอยการพยากรณ์ เท่ากบั .412 รองลงมาคือ ด้านเงิน โดยมีคา่ สัมประสิทธิถ์ ดถอย
47 การพยากรณ์ เท่ากับ .180 ซึง่ ทง้ั 2 ตัวแปรสามารถร่วมกนั พยากรณค์ วามสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานระบบดแู ล ชว่ ยเหลอื นักเรียนในโรงเรียนสงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ได้ร้อยละ 28.4 โดยมีความคลาดเคลือ่ นมาตรฐานของการพยากรณ์ ± .257 7. แนวทางการพัฒนาการดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนในโรงเรียนสงั กดั สานักงานเขตพนื้ ที่ การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ควรได้รับการพัฒนา จานวน 2 ด้าน คือ ด้านการจดั การ ด้านเงินร่วม ซึง่ วิธีการพัฒนาประกอบด้วย จดั สรรงบประมาณให้ครอบคลมุ การดาเนนิ งานท้ังระบบ มอบหมายงานครูที่รบั ผิดชอบ ระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน ควรมงี บประมาณดาเนินการ คอยประสานงานผู้บริหารสถานศกึ ษาและฝา่ ยที่เกีย่ วข้อง นเิ ทศ ตดิ ตามผลการดาเนนิ งาน ควรมกี ารกาหนดนโยบาย เป้าหมาย การดาเนนิ งาน พัฒนาครูและบุคลากรตลอดจน การสร้างทีมงานระบบดแู ลช่วยเหลือนักเรียนโดยการสร้างเครอื ขา่ ยท้ังภายในและภายนอกสถานศึกษา ศกึ ษาดงู าน องคก์ รอืน่ ๆ มกี ารปฏบิ ัตทิ ี่เป็นเลิศ นามาปฏบิ ัตใิ ห้เข้ากับบริบทของสถานศึกษา นเิ ทศ ตดิ ตาม ประเมินผลการ ดาเนนิ งาน อภปิ รายผลการวิจัย 1. ปจั จยั การบริหารที่สง่ ผลตอ่ ความสาเร็จของการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียนในโรงเรียนสังกดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก สอดคล้องกบั สมมตฐิ านที่ผู้วจิ ยั ตง้ั ไว้ สามารถอธิบายเหตุผลประกอบ ได้ดงั น้ี ปจั จัยการบริหารที่สง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นักเรียนเรียงลาดบั จากมากไปหาน้อย ดงั น้ี ด้านการจดั การ ด้านวตั ถุสิง่ ของ ด้านงบประมาณ ด้านบคุ คล ตามลาดบั สอดคลอ้ งกับผลการวจิ ยั ของ อรวรรณ แสนเยยี (2556, หนา้ 153) ได้ศึกษาปัจจยั ที่สง่ ผลตอ่ ประสิทธิผล ของการดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนของโรงเรียนในสังกัดสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2 โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก 2. การดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนในโรงเรียนสงั กัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษา นครพนม เขต 2 โดยรวมอยใู่ นระดับมากสอดคล้องกบั สมมติฐานทีผ่ ู้วจิ ยั ตงั้ ไว้ สามารถอธิบายเหตผุ ลประกอบ ได้ดงั น้ี การสง่ เสริมการดาเนนิ งานเกี่ยวกับระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนเป็นการให้คาแนะนา ปรึกษาแก่นกั เรียน เบอื้ งต้นแก่ครปู ระจาชน้ั การประชุมชแี้ จงครปู ระจาชนั้ ให้เข้าใจแนวปฏบิ ัตใิ นการให้ความดแู ลและชว่ ยเหลอื นกั เรียน จดั กิจกรรมตามความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน สอดคลอ้ งกับผลการวจิ ัยของ สุพรรณี ภแู ก้ว (2555, หนา้ 106) ศึกษาสภาพการดาเนนิ งานระบบการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนในสถานศกึ ษาสังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่ การศึกษาประถมศึกษาบรุ ีรมั ย์ เขต 4 พบวา่ ด้านการป้องกนั ช่วยเหลอื และแก้ไขโดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก 3. ปจั จัยการบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ ของการดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนในโรงเรียน สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จาแนกตาม ผู้บริหาร หัวหนา้ งานระบบดแู ล ชว่ ยเหลอื นกั เรียน และครูผู้สอน ท่ปี ฏบิ ัตหิ นา้ ทีใ่ นโรงเรียนทีม่ ีขนาดแตกต่างกนั โดยรวมพบวา่ มคี วามแตกตา่ งกัน อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติทีร่ ะดบั .05 สอดคล้องกบั สมมตฐิ านที่ผู้วจิ ัยตงั้ ไว้ สอดคล้องกบั ผลการวิจัยของ เพ็ญศรี นิตยา (2551, บทคดั ยอ่ ) ได้ศึกษาสภาพและปัญหาการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียนในโรงเรียน สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาขอนแกน่ เขต 4 ผลการวจิ ยั พบวา่ ผู้บริหารสถานศกึ ษาและหวั หน้างานระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรียน ในโรงเรียนที่มขี นาดแตกต่างกัน มคี วามคดิ เห็นเกี่ยวกบั สภาพการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียนแตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งรายดา้ นและรายข้อ
48 4. ปจั จยั การบริหารที่สง่ ผลตอ่ ความสาเรจ็ ของ การดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียนในโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จาแนกตาม ผู้บริหาร หัวหนา้ งานระบบดแู ล ชว่ ยเหลอื นกั เรียน และครผู ู้สอน จาแนกตามประสบการณ์ในการทางาน โดยรวมและรายด้านทกุ ด้าน ไมม่ คี วาม แตกตา่ งกันสอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ัยของ เพญ็ ศรี นติ ยา (2551, บทคัดยอ่ ) ได้ศึกษาสภาพและปญั หาการดาเนนิ งาน ระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนในโรงเรียนสังกดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาขอนแกน่ เขต 4 ผลการวจิ ยั พบวา่ ผู้บริหาร สถานศกึ ษาและหวั หนา้ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน ในโรงเรียนที่มีตาแหนง่ หนา้ ท่แี ตกตา่ งกนั มีความคดิ เหน็ เกีย่ วกับสภาพการดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน ทง้ั รายดา้ นและรายข้อไมแ่ ตกตา่ งกนั อยา่ งมีนัยสาคัญ ทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 5. ปัจจัยการบริหารที่มีความสมั พันธ์ทางบวกกับการดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน ในทุกด้าน เน่อื งจากเม่อื พิจารณาความสมั พนั ธ์ระหว่างปจั จยั การบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ ความสาเร็จของการดาเนินงานระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรียนตามความคิดเห็นของผู้บริหาร หวั หนา้ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน และครูผู้สอนต้องอาศัย ความร่วมมอื จากทภุ าคส่วนในการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลือนกั เรียน ส่งผลให้การทางานประสบผลสาเร็จ สอดคล้องกบั ผลการวจิ ยั ของ กติ ติศักดิ์ ปัจจวงษ์ (2554, บทคดั ยอ่ ) ศึกษาปัจจยั ทีม่ ีผลต่อความพงึ พอใจในการ ปฏบิ ัตงิ านของครูตามระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน ผลการวจิ ยั พบวา่ สมั พันธภาพระหว่างครูกบั ผู้ปกครอง การนิเทศ ตดิ ตาม ประเมินผลสมั พันธภาพระหว่างครกู ับเพ่อื นร่วมงาน สัมพนั ธภาพระหว่างครูกบั นกั เรียน สัมพนั ธภาพระหว่าง ครกู ับผู้บริหาร แรงจงู ใจใฝ่สมั ฤทธิ์ ความรับผิดชอบในงาน ความสาเรจ็ ในการทางาน อตั มโนทศั น์ ลกั ษณะมงุ่ อนาคต และนโยบายและการบริหารงาน มีความสาคญั ทางบวกกับความพงึ พอใจในการปฏบิ ัตงิ านของครูตามระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นักเรียนอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั จดุ .05 6. ปจั จยั การบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ การดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน จานวน 5 ปจั จัยนามาวิเคราะห์ มจี านวน 2 ปจั จยั ทีส่ ามารถพยากรณ์การดาเนนิ งานระบบดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียนในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตพ้นื ที่ การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ได้อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดับ .01 ได้แก่ ด้านการจดั การ และด้านเงิน ซึง่ ท้ัง 2 ตวั แปรสามารถร่วมกันพยากรณ์ความสาเร็จของการดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนในโรงเรียน สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ได้ร้อยละ 28.4 สอดคล้องกบั สมมตฐิ านที่ผู้วจิ ัย ตง้ั ไว้ สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ยั ของ ษมาภรณ์ สายวงศ์ปญั ญา (2548, หนา้ 70) และชฎารัตน์ พลเดช (2558, หนา้ 117) 7. แนวทางการพัฒนาการดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียนในโรงเรียนสงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ที่ การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ควรได้รับการพฒั นา จานวน 2 ด้าน คือ ด้านการจดั การ ด้านเงินร่วม ซึง่ วิธีการพัฒนาประกอบด้วย จดั สรรงบประมาณให้ครอบคลมุ การดาเนนิ งานท้ังระบบ มอบหมายงานครทู ี่รบั ผิดชอบ ระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน ควรมงี บประมาณดาเนินการ คอยประสานงานผู้บริหารสถานศกึ ษาและฝา่ ยทีเ่ กีย่ วข้อง นเิ ทศ ตดิ ตามผลการดาเนนิ งาน ควรมกี ารกาหนดนโยบาย เป้าหมาย การดาเนนิ งาน พฒั นาครูและบคุ ลากรตลอดจน การสร้างทีมงานระบบดูแลช่วยเหลือนกั เรียนโดยการสร้างเครอื ขา่ ยท้ังภายในและภายนอกสถานศึกษา ศกึ ษาดูงาน องคก์ รอืน่ ๆ มกี ารปฏบิ ตั ทิ ีเ่ ป็นเลิศ นามาปฏบิ ตั ใิ ห้เข้ากบั บริบทของสถานศึกษา นเิ ทศ ตดิ ตาม ประเมินผลการ ดาเนนิ งาน
49 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ 1.1 จากผลการวจิ ัยพบวา่ ปัจจยั การบริหารกับการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน มคี วามสมั พนั ธ์กนั ทางบวก ดงั นนั้ ควรมกี ารสง่ เสริมปจั จยั การบริหารเพ่อื ให้สอดคล้องกับการดาเนนิ งานระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรียน 1.2 จากผลการวิจยั พบวา่ ปัจจยั ทีม่ ีอานาจในการพยากรณก์ ารดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลือนกั เรียน ในโรงเรียนสังกัดสานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 มจี านวน 2 ดา้ น โดยตวั แปรทีม่ ีอานาจ พยากรณ์สงู สดุ คือ ดา้ นการจัดการ และด้านเงิน ตามลาดบั ดังนนั้ ควรมกี ารสง่ เสริมปจั จัยดังกล่าวให้อยู่ในระดบั มากถึงมากทส่ี ดุ โดยเฉพาะปจั จัยดา้ นการจดั การ ทีม่ ีอานาจพยากรณ์สงู สุด โดยมกี ารกาหนดแผนกลยุทธ์ในการดูแล ชว่ ยเหลอื นกั เรียนอยา่ งครอบคลุม มีสายการบังคบั บญั ชาที่เหมาะสม และเอือ้ ต่อการปฏบิ ัตงิ าน มีการระบหุ น้าที่ ลกั ษณะงาน ขอบข่าย อานาจความรับผิดชอบของทกุ ตาแหนง่ ในการปฏบิ ัตงิ านอย่างชัดเจนจดั ทาแผน ปฏิทิน ในการปฏบิ ตั งิ านระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนให้สอดคล้องกบั นโยบายของสานกั งานคณะกรรมการขั้นพ้ืนฐาน จัดทารายงานการดาเนนิ งานตามแผนการปฏบิ ตั งิ านระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียน นาผลการประเมิน การดาเนนิ การปรับปรุงพัฒนาอย่างตอ่ เน่ือง ผู้บริหารใชค้ วามรู้ความสามารถนาปฏบิ ัตแิ ละกากับติดตามผลการปฏบิ ตั งิ านของ บุคลากรในสถานศึกษา เพือ่ ใหก้ ารดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลือนักเรียนมคี วามก้าวหนา้ และบรรลตุ ามเป้าหมาย ที่วางไว้ 2. ข้อเสนอแนะสาหรบั การทาวิจัย คร้ังต่อไป 2.1 ควรศกึ ษาปจั จัยดา้ นอ่นื ๆ ท่สี ่งผลตอ่ การดาเนินงานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนในโรงเรียน สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 เชน่ ปจั จยั การบริหารด้านวิชาการ ปจั จัยบริหาร ด้านบคุ คล ปจั จัยบริหารด้านการวจิ ัยและพัฒนา เปน็ ต้น 2.2 ควรศกึ ษาโรงเรียนที่ประสบความสาเร็จด้านการดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน เพ่ือให้ได้ ผลการวจิ ัยที่ชดั เจนเกี่ยวกบั ปัจจัยทีส่ ง่ ผลตอ่ การดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน 2.3 ควรสร้างรูปแบบการพฒั นาดาเนนิ งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพ่อื ให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากยิง่ ข้นึ เอกสารอา้ งองิ กรมสขุ ภาพจิต. (2551). คู่มอื การบริหารระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน ชว่ งชั้นที่ 3-4 (ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1-6). กรงุ เทพฯ: สานักกิจการโรงพมิ พอ์ งคก์ ารสงเคราะห์ทหารผ่านศกึ . บญุ ชม ศรีสะอาด. (2556). การวจิ ยั เบือ้ งต้น ฉบับปรบั ปรงุ ใหม.่ พมิ พค์ รง้ั ที่ 9. กรุงเทพฯ : สุวรี ิยาสาส์น. พชั รารตั น์ แสงวงค์. (2556). ปัจจัยทางการบริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ การจดั การเรียนรู้ของครูเพ่อื เตรียมความพร้อม สู่ความเป็นประชาคมอาเซียนสงั กดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษา สกลนคร เขต 2. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. สกลนคร: มหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน. (2559). การพฒั นาระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน. กรุงเทพฯ. โรงพมิ พส์ านกั งานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ. ________. (2559). ระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน. กรุงเทพ. โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
50 สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2. (2559) ข้อมลู ขนาดโรงเรียนปีการศึกษา 2559 สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2. (เอกสารอัดสาเนา) นครพนม: สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2. ________. (2559) ระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียนสงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2. (เอกสารอัดสาเนา) นครพนม: สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2. สมศักดิ์ สตุ บิ ตุ ร. (2551). สภาพและปญั หาการดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนของโรงเรียนทีจ่ ัดการศึกษา ในระดับมัธยมศกึ ษา สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาสกลนคร เขต 3. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. สกลนคร: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร. สุพรรณี ภแู ก้ว. (2555). สภาพการดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนในสถานศกึ ษาสังกดั สานักงานเขตพ้นื ที่ การศึกษาประถมศึกษาบรุ ีรัมย์ เขต 4. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. บุรีรมั ย์: มหาวทิ ยาลัยราชภฏั บรุ ีรมั ย์. อรวรรณ แสนเยยี . (2556). ปจั จัยทีส่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลของการดาเนนิ งานระบบการดูแลช่วยเหลอื นกั เรียน ของโรงเรียนในสังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต 2. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. เลย: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เลย. อานาจ ชยางคานนท.์ (2555). ปัจจัยที่สง่ ผลตอ่ ความพึงพอใจในการปฏบิ ัตงิ านของครูผู้รับผิดชอบระบบดูแล ชว่ ยเหลอื นักเรียนในสถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานสงั กดั สานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาจันทบรุ ี. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. จันทบุรี: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏราไพพรรณี.
51 การพัฒนาศกั ยภาพครูในการจดั ประสบการณ์การเสริมสร้างความคดิ สร้างสรรคข์ องเด็ก ปฐมวยั โรงเรยี นมารยี ์พิทักษ์ สังกดั สานักงานเขตพื้นท่กี ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 The Development of Teacher Potential on Learning Experience Management for Creative Thinking Enhancement of Preschool Children in Mariephithak School sunder the Office of Sakon Nakhon Primary Educational Service Area 2 จนั ทร์เพ็ญ บุษบา* ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ไชยา ภาวะบุตร** ดร.ชรินดา พิมพบุตร*** บทคดั ย่อ ในการวิจัยคร้ังนผี้ ู้วจิ ัยได้กาหนดความมงุ่ หมายเพอ่ื 1) ศึกษาสภาพและปญั หาของครูในการจดั ประสบการณ์ การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัยโรงเรียนมารียพ์ ทิ กั ษ์ สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษา ประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 2) หาแนวทางการพัฒนาศักยภาพครูในการจัดประสบการณ์การเสริมสร้างความคิด สร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัย และ 3) ติดตามผลการพฒั นาศกั ยภาพครใู นการจัดประสบการณก์ ารเสริมสร้างความคิด สร้างสรรค์ของเด็กปฐมวยั กลุ่มเป้าหมายของการวจิ ยั ประกอบด้วย ผู้วิจัยและผู้ร่วมวจิ ยั จานวน 13 คน และกลุ่ม ผู้ให้ขอ้ มลู 28 คน โดยใชก้ ระบวนการวิจยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ าร (Action Research) ได้ดาเนินการ 2 วงรอบ ในแต่ละวงรอบ ประกอบไปด้วย 4 ข้ันตอน การวางแผน (Planning) การปฏบิ ัตกิ าร (Action) การสังเกตการณ์ (Observation) และการสะทอ้ นกลบั (Reflection) เคร่อื งมือที่ใช้ ได้แก่ แบบทดสอบก่อน-หลังการอบรมเชงิ ปฏิบัตกิ าร แบบสัมภาษณ์ แบบประเมิน แบบสงั เกตพฤตกิ รรม แบบประเมินแผนการจดั ประสบการณ์ แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ แบบบันทึก การนเิ ทศ แบบประเมินการไปศึกษาดงู าน การวิเคราะห์ขอ้ มูลเชงิ ปริมาณใชค้ ่าเฉลี่ย รอ้ ยละ และค่าเบีย่ งเบน มาตรฐาน การตรวจสอบข้อมลู เชงิ คุณภาพทาการวเิ คราะห์เน้อื หา จัดหมวดหมู่ของเน้อื หา และนาเสนอข้อมลู เชงิ พรรณนาวเิ คราะห์ ผลการวจิ ัย พบวา่ 1. สภาพปัญหาของครปู ฐมวัยในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโรงเรียนมารีย์พิทักษ์ สังกดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 พบว่า ครปู ฐมวัยไม่มคี วามมน่ั ใจ ขาดการพัฒนา ตนเองในดา้ นการจดั ประสบการณ์เพ่อื เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ และขาดความเข้าใจในการสง่ เสริมความคิด สร้างสรรค์จึงสง่ ผลให้ครปู ฐมวยั จดั ประสบการณ์ไม่มปี ระสิทธิภาพเท่าทีค่ วร 2. แนวทางการพัฒนาครปู ฐมวยั ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยโรงเรียน มารีย์พิทกั ษ์ ในวงรอบที่ 1 ใช้แนวทางในการพฒั นา 3 แนวทาง 1) การประอบรมปฏบิ ตั กิ าร 2) การศึกษาดงู าน 3) การนิเทศภายในแบบช้แี นะ และในวงรอบที่ 2 ใชก้ ารนเิ ทศแบบประชุมเชงิ นิเทศ 3. การตดิ ตามผลการพัฒนาครปู ฐมวยั ในการเสริมสร้างความคดิ สร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัยโรงเรียน มารีย์พิทักษ์ สงั กดั สานกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 พบว่าดาเนนิ การเปน็ 2 วงรอบ คาสาคัญ: การพัฒนาศักยภาพครู, ความคดิ สร้างสรรค์, ครปู ฐมวัย * ครศุ าสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร ** อาจารย์ประจาหลกั สตู รครศุ าสตรมหาบณั ฑิต และหลกั สตู รปรัชญาดษุ ฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร *** ผู้อานวยการชานาญการพิเศษ โรงเรียนบ้านปลวกธาตุโสภาวิทยา สงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2
52 ในวงรอบที่ 1 นน้ั สามารถพฒั นาศกั ยภาพครปู ฐมวยั ให้มคี วามรู้ความเข้าใจในการดาเนินการเขียนแผนการจัด ประสบการณ์เพ่อื การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ได้ แต่ยังพบวา่ บางสว่ นยังไมเ่ ปน็ ที่พอใจ ในการดาเนินกิจกรรม บางกิจกรรมเกินความสามารถของเด็กไมม่ คี วามเหมาะสม และเนือ้ หาสาระไมต่ อ่ เนอ่ื งกนั ผู้วจิ ยั และผู้ร่วมวจิ ยั ได้ ดาเนนิ การประชุมกนั อีกครั้งเพอ่ื ร่วมกนั วเิ คราะห์ถงึ จุดท่ยี งั บกพร่อง และเปิดโอกาสให้ทุกทา่ นเสนอแนะถึงขอ้ ทีค่ วร แก้ไข ทีจ่ ะนาไปใชใ้ นการจดั ประสบการณ์ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวยั เพ่อื ให้ได้ประสิทธิภาพ มากยิง่ ข้นึ กว่าเดิมใชก้ ารนิเทศภายใน โดยการสงั เกตและสอบถาม ผลปรากฏวา่ ครปู ฐมวยั ท้ัง 12 คน สามารถเขียน แผนการจัดประสบการณ์และนาแผนน้ันไปทาการจดั ประสบการณ์การสอนได้อยา่ งเหมาะสม และมีประสิทธิภาพ ยง่ิ ขนึ้ โดยมีคา่ เฉลย่ี ร้อยละ 71.26 และมีค่าร้อยละความกา้ วหนา้ 23.82 ABSTACT The objectives of this research were to: 1) examine conditions and problems of teachers in managing learning experience for creative thinking enhancement of preschool children in Mariephithak School sunder the Office of Sakon Nakhon Primary Educational Service Area 2, 2) To establish the guidelines for developing teacher potential in managing learning experience for creative thinking enhancement of preschool children, and 3) To follow up the effects after the intervention. The target group consisted of 13 co-researchers including the researcher and 28 informants. The research was conducted with two spirals of action research, consisting of four stages: planning, action, observation and reflection. The research instruments are the work shop pre and post- tests, Interview forms, assessment forms, behavior observation form, assessment forms for learning experience plans, creative thinking assessment forms, supervision forms, and assessment forms on a study visit. Quantitative data analysis used percentage, mean and standard deviation. Content analysis classifies content and present descriptive data for qualitative data analysis. The research findings were as follows: 1. The problems of preschool teachers in managing learning experience for creative thinking enhancement of preschool children in Mariephithak Schools under the Office of Sakon Nakhon Primary Educational Service Area 2 revealed that teachers did not feel adequately trained and confident to employ the learning experience for students’ creative thinking enhancement into practice. The teachers also reported a lack of knowledge and understandings in managing learning experience for students’ creative thinking enhancement. 2. The guidelines for developing preschool teachers to enhance preschool children creative thinking based on mutual options and action plans, in the first spiral, involving three approaches: 1) a workshop 2) a study visit, and 3) a coaching supervision. The second spiral was then conducted through the supervision conference. 3. The effects after the intervention found that the two spirals of action research were implemented. In the first spiral, teachers gained knowledge and understanding in writing learning experience plans for creative thinking enhancement. However, there were reports of dissatisfaction with the designed activities. For example, teachers performed certain activities, but beyond the capacity of the students’ abilities. In other words, the activities implemented were inappropriate. The contents of the learning experience plans were also discontinued.
53 Therefore, the researcher and co-researchers set up a meeting to analyze the defects and to provide suggestions to refine the learning experience in need of improvement. The internal supervision was then implemented through observation and a set of questionnaires. The results revealed that all teachers were able to write the learning experience plans and put them into practice appropriately and effectively with the percentage of 71.26 and the percentage of progress of 23.82. Keywords: Teacher Development, Creative Thinking, Preschool Teachers. ภูมหิ ลงั จากหลักสตู รการศึกษาปฐมวัย ปีพุทธศกั ราช 2546 ได้กาหนดปรัชญาการศึกษาไวช้ ัดเจน ซึง่ สอดคล้องกบั สภาพปัญหา ความตอ้ งการ และธรรมชาติของเด็ก ซึ่งพัฒนาเดก็ ตั้งแต่แรกเกดิ ถึง 5 ปี บนพืน้ ฐานการอบรมเลยี้ งดู และส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ทีส่ นองต่อธรรมชาติและพฒั นาการของเดก็ ปฐมวยั ทกุ ประเภท ยึดหลกั การอบรม เลยี้ งดูควบคู่กับการให้การศึกษาพัฒนาเด็กโดยเนน้ การเล่นบนพนื้ ฐานของหลกั การจดั กิจกรรม กระทรวงศึกษาธกิ าร จดั การเรียนรู้ให้เอ้ืออาทร ต่อการดารงชีวิตตลอดจนผสานร่วมมอื ระหว่างผู้ปกครอง ชุมชน และสถานศึกษาสาหรบั ขอบข่ายของหลักสตู รกาหนดเปน็ 2 ช่วง คือ สาหรับเด็กอายุต่ากว่า 3 ปี และสาหรับเดก็ อายุ 3-5 ปี ซึ่งกาหนดให้ จดุ มุ่งหมายของหลักสูตรเปน็ มาตรฐานคุณลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์ 12 ประการ โดยครอบคลมุ พฒั นาการทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจสงั คมและสตปิ ญั ญา สานกั งานคณะกรรมการประถมศึกษาแห่งชาติ (2545, บทนา) ความคิดสร้างสรรค์ เป็นกระบวนการคดิ เกี่ยวกับการคดิ ส่งิ ใหมๆ่ ซึง่ ขดั แย้งกบั การคิดแบบเดิมๆ โดยดึงเอา ประสบการณ์เก่านั้นออกมาสองสว่ น คือ ความคิดคลอ่ งตัวเปน็ ความสามารถท่ผี ลิตความคิดนมุ่ นวลและรวดเรว็ ใน การแก้ปญั หา และความยดื หยนุ่ เป็นความสามารถในการการคน้ พบลกั ษณะทีห่ ลากหลายมนษุ ยส์ ามารถคิดเชอ่ื มโยง ประสาทสัมพันธ์กันระหว่างความรู้และประสบการณ์ ทาให้เกิดการตอ่ ยอดความรู้เดิมและจินตนาการออกไป คณุ ค่า ของความคดิ สร้างสรรค์ สามารถสรปุ ได้เป็น 2 มิติ คือ มิตทิ างสงั คมและมติ ทิ างปจั เจกชนเป็นความสามารถในการ สร้างสรรค์ที่มีคุณค่าตอ่ ผู้มคี วามคิดสร้างสรรค์ภาคภมู ิใจและมนั่ ใจในความสามารถของตนเอง จะส่งผลไปถึง แบบแผนบคุ ลกิ ภาพและความสามารถในการปรบั ตัวให้เข้ากับสังคม ความคดิ สร้างสรรค์สามารถชว่ ยในการคดิ แก้ปัญหา สร้างความเข้าใจสิง่ ตา่ งๆ รอบตวั ซึง่ แสดงออกโดยทางการศกึ ษา ค้นคว้า ค้นหา ทดลอง และยังก่อให้เกิด การสร้างสง่ิ แปลกๆ ใหมๆ่ จึงเปน็ ทางเลือกท่สี งั คมตอ้ งการ หมายความวา่ ความคิดสร้างสรรค์จะต้องเกิดการสร้าง สิง่ แปลกใหม่ นาไปประยุกตใ์ ชไ้ ด้ และมคี วามเหมาะสมสอดคลอ้ งตามสภาวการณ์ ผู้ทีม่ ีความคิดสร้างสรรค์ จึงกลายเป็นบคุ คลท่สี าคญั และสงั คมตอ้ งการ การจัดการศึกษาในระดับปฐมวยั จึงเปน็ ช่วงเวลาแหง่ การสร้าง รากฐานของการพฒั นาทรพั ยากรบุคคลให้มีความคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมกระบวนการคิดให้มคี วามฉับไว สามารถ ที่จะรับรู้ปญั หา เหน็ ปัญหาสามารถที่จะเปลีย่ นแปลงความคิดใหมๆ่ ได้ง่าย สร้างหรือแสดงความคิดเห็นใหม่ๆ และปรบั ปรงุ แก้ไขให้ดีข้นึ ซึ่งเปรียบได้กับการนากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มาใชใ้ นการเรียนรู้สามารถค้นพบ ปัญหา วเิ คราะห์ปญั หาทเ่ี กิดข้ึนตง้ั สมมติฐานของปัญหา ทดสอบสมมติฐาน และค้นพบคาตอบ ค้นพบสิ่งใหม่ และนาไปสู่การสร้างผลงานหรอื ส่งิ ประดิษฐ์ใหมๆ่ การเจรญิ เตบิ โตของเด็กปฐมวัยเกีย่ วข้องกับการพัฒนาด้าน ความคิดสร้างสรรค์ โดยมีแบบแผนท่แี ตกตา่ งกันออกไปจากพฒั นาการด้านอื่นๆ Torrance ไดส้ รุปพัฒนาการ ด้านความคิดสร้างสรรค์เดก็ ทารก-ก่อนวยั เรียน (อายุ 0-6 ปี) วา่ เด็กมีความสามารถพฒั นาจนิ ตนาการได้ตง้ั แต่ ขวบปีแรก ด้วยการเรียนรู้จากสิง่ รอบตัว เชน่ เสียง จังหวะ เมื่ออายุครบ 2 ขวบ ความกระตือรอื ร้นทีจ่ ะใชป้ ระสาท สัมผสั เริม่ มมี ากขึ้นตามลาดับ ชว่ งอายุ 2-4 ปี เดก็ สามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากประสบการณ์ตรงและประสาทสัมผัส
54 ทีพ่ ร้อมสาหรบั สิ่งที่แปลกใหมต่ ามธรรมชาติ เริ่มมคี วามรู้สกึ เป็นของตวั เอง มกั ทาในส่งิ ทีเ่ กินความสมารถตนเอง ชอบจินตนาการ จนถึงอายุ 4-6 ปี เด็กเริ่มสนกุ สนานกบั การวางแผน การเล่นและสมารถเชือ่ มโยงเหตุการณ์ต่างๆ แมจ้ ะไมเ่ ข้าใจเหตผุ ลมากนกั เดก็ ชอบทดลองเล่นและสามารถเชอ่ื มโยงเหตุการณ์ต่างๆ โดยจนิ ตนาการของเดก็ เอง กระทรวงสาธารณสขุ (2551, หนา้ 3) ในโรงเรียนมารีย์พิทักษ์ เปิดสอนต้ังแต่ระดับปฐมวยั เปน็ ระดบั ช้ันทีเ่ ป็นพืน้ ฐาน ของการศึกษา เพื่อเป็นการ ส่งเสริมพัฒนาการของเดก็ และเตรียมความพร้อมทางด้านร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสติปัญญา อย่างเหมาะสม ตามวัยตามศกั ยภาพและมาตรฐานการศึกษา และพร้อมเลอ่ื นชนั้ ในระดบั ขน้ั พนื้ ฐานต่อไป จากการศกึ ษาสภาพ และปญั หาการจัดการศึกษาสาหรบั เด็กปฐมวัยของโรงเรียนมารีย์พทิ ักษ์ พบว่าครปู ฐมวัย จดั ประสบการณ์การเรียนรู้ ตามแผนการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 แม้จะมีการปรับปรุงแผนการจัดประสบการณ์ดงั กล่าวให้สอดคล้องกับ การดาเนนิ ชีวิตและวิถสี งั คมของท้องถิน่ กต็ าม กระนน้ั จากการสร้างบรรยากาศที่สง่ เสริมความคิดสร้างสรรค์ เช่น การสนับสนนุ ให้เด็กชว่ ยเหลอื ตนเอง ให้กาลังใจ ชมเชยและสามารถสรา้ งบรรยากาศเป็นกันเอง รวมท้ังการใชเ้ ทคนิค ในการสอนและเชญิ ชวนให้เด็กสามารถแสดงความคิดสร้างสรรค์ โดยให้เด็กปฐมวยั มีความคดิ ริเริม่ ในการแกป้ ญั หา ตา่ งๆ หรือในการร่วมกิจกรรมการเรียนทั้งในหอ้ งเรียนและนอกห้องเรียน เด็กปฐมวัยยังไม่กลา้ แสดงออก ไมม่ คี วาม ม่นั ใจในตนเอง และไมค่ ่อยมีความกระตอื รือร้นในการทางาน ชอบเลียนแบบเพ่อื น ไมค่ ่อยกลา้ ทาสิ่งแปลกใหมใ่ นการ ร่วมกิจกรรมตา่ งๆ โดยการสังเกตได้จากการเข้าร่วมกิจกรรมในชั้นเรียน ของปีการศึกษา 2559 จากสภาพและปญั หาผู้วจิ ยั จึงเหน็ ถึงความสาคญั ของการทีจ่ ะนาวธิ ีวิจยั เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารมาเป็นเครอ่ื งมือ เพอ่ื พฒั นาศกั ยภาพครปู ฐมวยั ให้มีความรู้เรื่องการพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยนาไปจดั ประสบการณ์ การเรียนรู้การศึกษาปฐมวัยที่มุ่งเนน้ พฒั นาความคิดสร้างสรรคข์ องเดก็ ปฐมวยั มีความสอดคลอ้ งกับการดาเนนิ ชีวิต และวิถชี วี ติ ของตนเอง และมีความสอดคล้องกับหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวัย พทุ ธศกั ราช 2546 รวมทั้งครูปฐมวยั สามารถจดั ประสบการณ์การเรียนรู้สาหรับเดก็ ปฐมวยั ตามแผนจดั ประสบการณ์การเรียนรู้การศึกษาปฐมวยั ที่ได้ จดั ทาข้ึนด้วย เพ่อื สง่ เสริมให้เดก็ ปฐมวัยได้มีโอกาสทีจ่ ะพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ของตนเองอยา่ งเตม็ ความสามารถ เพอ่ื เห็นพนื้ ฐานอันยั่งยืนในการเจรญิ ชวี ติ ประจาวนั หรือเรียนในระดบั ทีส่ ูงข้นึ คาถามการวิจัย ในการวิจัยครั้งนผี้ ู้วจิ ัยได้กาหนดคาถามของการวจิ ยั ไวด้ งั น้ี 1. สภาพและปัญหาของครูในการจดั ประสบการณ์การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั ในโรงเรียนมารีย์พิทกั ษ์ สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 เปน็ อยา่ งไร 2. แนวทางการพฒั นาศกั ยภาพครูในการจดั ประสบการณ์การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก ปฐมวยั ในโรงเรียนมารีย์พิทกั ษ์ สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 มีอะไรบ้าง 3. ผลการพัฒนาศกั ยภาพครใู นการจัดประสบการณ์การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ในโรงเรียนมารีย์พิทักษ์ สังกัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 เปน็ อยา่ งไร ความมุง่ หมายของการวิจัย ในการวิจยั คร้ังนผี้ ู้วจิ ัยได้กาหนดความมงุ่ หมายของการวิจัย ไวด้ งั น้ี 1. เพื่อศกึ ษาสภาพและปัญหาของครใู นการจัดประสบการณ์การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของ เด็กปฐมวยั ในโรงเรียนมารีย์พิทักษ์ สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2
55 2. เพ่อื หาแนวทางการพฒั นาศักยภาพครใู นการจัดประสบการณ์การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของ เด็กปฐมวยั ในโรงเรียนมารีย์พิทักษ์ สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 3. เพอ่ื ติดตามผลการพัฒนาศกั ยภาพครใู นการจัดประสบการณ์การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของ เดก็ ปฐมวัยในโรงเรียนมารีย์พิทักษ์ สงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 กรอบแนวคดิ การวิจยั 1. ไดท้ ราบสภาพและปัญหา การจัดประสบการณ์ การเสรมิ สร้างความคิดสรา้ งสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั ข้ันที่ 1 การวางแผน (Planning) 2. ไดแ้ นวทางการจัดประสบการณก์ ารเสรมิ สร้าง 1. ศึกษา วิเคราะห์ สภาพ การจดั ประสบการณ์ ความคดิ สร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย 3. ไดแ้ ผนการดาเนินงาน และการติดตาม การเสรมิ สร้างความคิดสรา้ งสรรค์ของเดก็ ปฐมวัย 2. กาหนดแนวทางและวางแผนการพฒั นา ครปู ฐมวยั ในการจัดประสบการณ์การเสรมิ สร้าง ความคดิ สร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย 3. ร่วมกันวางแผนการติดตามและประเมินผล ข้ันที่ 2 การปฏิบตั ิการ (Action) ไดด้ าเนินการตามแผนทีว่ างไว้และเพมิ่ เติม ปฏิบัติงานตามแผนพฒั นาและติดตามผล ส่วนที่บกพร่อง 1. การอบรมเชิงปฏิบตั ิการ 2. การศึกษาดูงาน 3. การนิเทศภายใน ข้ันที่ 3 การสงั เกตการณ์ (Observation) ไดท้ ราบผลการพัฒนาและได้ข้อมูลสารสนเทศ สังเกต เก็บรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบ ที่เปน็ ประโยชน์ต่อการจดั การเรียนรู้การเสรมิ สร้าง ความคดิ สร้างสรรค์ของเด็กปฐมวยั การเปลี่ยนแปลงที่เกดิ ขึน้ ในขั้นการปฏิบัติการ ขั้นที่ 4 การสะท้อนกลับ (Reflection) ครูปฐมวัยในโรงเรียนมารีย์พทิ กั ษ์ มีการจัด - สรปุ ผลการจดั ประสบการณ์การเสรมิ สร้าง ประสบการณ์การเสรมิ สร้างความคดิ สร้างสรรค์ ของเดก็ ปฐมวยั เพิม่ มากขึน้ ความคดิ สร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย วิธีดาเนนิ การวิจยั ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง 1. กลุ่มผู้ร่วมวจิ ัย จานวน 13 คน ประกอบด้วย 1.1 ผู้วิจัยจานวน 1 คน 1.2 ผู้ร่วมวจิ ยั ได้แก่ ครปู ฐมวยั โรงเรียนมารีย์พิทักษส์ วา่ งแดนดนิ จานวน 6 คน ครปู ฐมวยั โรงเรียนมารีย์พิทักษพ์ งั โคน จานวน 6 คน 2. กลุ่มผู้ให้ขอ้ มูล จานวน 30 คน ประกอบด้วย 2.1 ผู้อานวยการโรงเรียนมารีย์พิทักษส์ วา่ งแดนดิน จานวน 1 คน รองผู้อานวยการโรงเรียนมารีย์พิทกั ษพ์ ังโคน จานวน 1 คน 2.2 ครูหัวหน้าวชิ าการโรงเรียนมารีย์พิทกั ษ์ สวา่ งแดนดนิ จานวน 1 คน ครูหวั หน้าวชิ าการโรงเรียนมารีย์พิทกั ษพ์ ังโคน จานวน 1 คน 2.3 ผู้ปกครองนักเรียนเปน็ ผู้ปกครองนกั เรียนช้ันปฐมวัย โรงเรียนมารีย์พิทักษส์ วา่ งแดนดนิ ห้อง 1/1, 1/2, 2/1, 2/2, 3/1, 3/2 จานวนห้องละ 2 คน รวม 12 คน และผู้ปกครองนักเรียนชั้นปฐมวยั โรงเรียนมารีย์พิทักษพ์ ังโคน ห้อง 1/1, 1/2, 2/1, 2/2, 3/1, 3/2 ทง้ั หมด
56 จานวน 24 คน 2.4 วิทยากร จานวน 2 คน ประกอบด้วย 2.4.1 นายบญุ ไทย แสนอุบล ศกึ ษานเิ ทศก์ สานักงานเขต พน้ื ที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 2.4.2 นางยวุ ดี ชุมปัญญา ศกึ ษานเิ ทศก์ สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษา ประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 เครือ่ งมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล การวจิ ยั คร้ังนี้ ผู้วจิ ัยจะได้จาแนกการใชเ้ ครอ่ื งมือตามลักษณะของการดาเนนิ งานที่สอดคล้องกบั กรอบ แนวคิดของการวจิ ัย และสอดคล้องกบั ความมุ่งหมายที่กาหนดไวเ้ พ่อื เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัย ในโรงเรียนมารีย์พิทกั ษ์ ดงั รายละเอยี ดต่อไปน้ี นริศรา อนิ ทรพานิชย์ (2557, หนา้ 101-105) 1. ประเภทเครือ่ งมอื เครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลมี 7 ประเภท ประกอบด้วย 1.1 แบบทดสอบก่อน-หลงั การอบรมเชงิ ปฏิบัตกิ าร จานวน 1 ฉบับ 1.2 แบบสมั ภาษณ์ จานวน 2 ฉบับ 1.3 แบบสังเกต พฤตกิ รรม จานวน 3 ฉบบั 1.4 แบบประเมินแผนการจดั ประสบการณ์ จานวน 1 ฉบับ 1.5 แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ จานวน 1 ฉบบั 1.6 แบบประเมินการไปศึกษาดูงาน 1 ฉบับ 1.7 แบบวดั ความคิดสร้างสรรค์ 1 ฉบับ 2. ลกั ษณะของเคร่อื งมือ ทใ่ี ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล มีดงั นี้ 2.1 แบบทดสอบ จานวน 1 ฉบบั มลี กั ษณะเปน็ แบบปรนัย มี 4 ตัวเลอื กใช้ทดสอบครปู ฐมวัยเกี่ยวกบั ความรู้ ความเข้าใจ เรือ่ งความคิดสร้างสรรค์ ของเด็กปฐมวัย และหลกั สตู รการศึกษาปฐมวยั ก่อนการอบรม (Pre-test) และทดสอบหลังการอบรม (Post-test) เป็นแบบทดสอบชุดเดียว จานวน 30 ข้อ การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ผู้วิจัยได้ดาเนินการเก็บขอ้ มูล เรื่องการพฒั นาศักยภาพครปู ฐมวยั ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ ของเด็กปฐมวัย ของในโรงเรียนมารีย์พิทักษต์ ง้ั แตเ่ ดอื นพฤษภาคม ถึงเดอื นสิงหาคม โดยแบ่งกจิ กรรม ดังน้ี 1. กิจกรรมที่ 1 การอบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารใช้เวลา 2 วนั โดยเริ่มวนั 20-21 เดอื นพฤษภาคม พ.ศ. 2560 โดย 1.1 ครปู ฐมวัยผู้เข้ารบั การอบรมดาเนนิ กิจกรรม ทาแบบทดสอบก่อนและหลงั การอบรม และการนเิ ทศภายใน ใชเ้ วลา 3 เดอื น โดยเริ่มตง้ั แตเ่ ดอื นกรกฎาคม ถึงเดอื นกนั ยายน 1.2 ผู้นิเทศ คือ ผู้บริหาร 2 คน ครูปฐมวัยฝ่าย วชิ าการ 2 คน และผู้วิจยั 1 คน รวมเป็น 5 คน สังเกตพฤตกิ รรมครปู ฐมวัยเกีย่ วกับความรู้ความสามารถในการ เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์สงั เกตพฤตกิ รรมครูปฐมวัยในการจดั กิจกรรมอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร 2. กิจกรรมพัฒนาความคิดสร้างสรรค์เด็กปฐมวยั หลังการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร โดยครูทาแผนการจัด ประสบการณ์เพอ่ื เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ คนละ 1 แผนและใหผ้ ู้นิเทศทั้ง 5 คน ทาการประเมินแผน 3. กิจกรรมการศึกษาดงู านของครูปฐมวัยโดยไปศึกษาดูงานที่โรงเรียนบ้านถ่อน (ครุ ุราษฎร์สามัคคี) มนี างกิตติมา ศริ ิบุตร ครูชานาญการพเิ ศษประจาชน้ั ปฐมวัยเป็นวทิ ยากร ให้การตอนรับและใหค้ วามรู้ในการศึกษา ดูงานครั้งนี้ 4. กิจกรรมนเิ ทศภายในหลังการไปศกึ ษาดงู าน โดยผู้นิเทศ 5 คน ไปนเิ ทศแผนการจัดประสบการณ์ และการสอนตามแผนการจัดประสบการณ์เพ่อื เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัย 5. ครูปฐมวยั สังเกตพฤตกิ รรมการเรียนรู้ของเดก็ โดยเนน้ การสังเกตพฤตกิ รรมความคิดสร้างสรรค์ และทาการวัดความคิดสร้างสรรค์โดยใช้แบบวัดความคิดสร้างสรรค์ สถิตทิ ใี่ ช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูลการวิจัยคร้ังนี้ ได้แก่ 1. รอ้ ยละ (Percentage)
57 2. ค่าเฉล่ยี (Mean) และค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) 3. ค่ารอ้ ยละความก้าวหนา้ (Percentage Progress) สรุปผลการวิจัย 1. ผลการวเิ คราะห์สภาพเกี่ยวกบั ครปู ฐมวัยในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั โรงเรียน มารีย์พิทักษ์ พบว่า ครูปฐมวยั ยงั ขาดความเข้าใจ ในการเขียนแผนการจัดประสบการณ์เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ สาหรับเด็กปฐมวยั วิธีการประเมินผลเด็กในแต่ละกิจกรรมและบางครง้ั ครปู ฐมวยั ไม่ให้ความสาคัญในการเสริมสร้าง ความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดกับเดก็ 2. จากการวเิ คราะหถ์ ึงปัญหาเกีย่ วกบั ครูปฐมวยั ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัย โรงเรียนมารีย์พิทักษ์ พบว่า ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั นน้ั ครูปฐมวัยได้รับการประชมุ แบบเชงิ ปฏิบัตกิ ารนนั้ ไมเ่ พยี งพอเน่อื งจากการอบรมสว่ นมากจะเปน็ การอบรมแบบบรรยายจึงขาดทกั ษะในการ จัดประสบการณ์เพ่อื เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ 3. แนวทางในการพัฒนาครูปฐมวยั เพื่อใชใ้ นการจัดประสบการณ์เพอ่ื เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของ เด็กปฐมวยั ประกอบด้วย 3.1 การอบรมปฏบิ ัตกิ าร 3.2 การศึกษาดงู าน 3.3 การนิเทศภายใน 1) การนิเทศแบบ ให้คาชีแ้ นะ 2) แบบประชมุ นิเทศ โดยวงรอบที่ 1 ผู้วิจยั ได้ประชุมช้แี จงให้ครปู ฐมวัย ได้ทราบเกี่ยวกบั แนวทางในการพัฒนาในคร้ังนี้ ครปู ฐมวัยมคี วามยนิ ดแี ละสนใจทีจ่ ะเขา้ รว่ มรับการอบรมเชงิ ปฏิบตั กิ าร เพื่อเพ่มิ ความรู้ความเข้าใจในการจัด ประสบการณ์เพ่อื เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวยั และการนเิ ทศภายใน เพ่อื ร่วมรับข้อควรปรับปรุง แก้ไข และเพื่อการพฒั นาในการจัดประสบการณ์เพ่อื เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวยั โรงเรียนมารีย์ พทิ ักษ์ ให้มีประสิทธิภาพมากขนึ้ ในวงรอบที่ 2 ผู้วิจยั และครูปฐมวัยทกุ คนได้ประชุมกัน และได้ขอ้ ตกลงว่าในวงรอบ ที่ 1 ผลยังไมบ่ รรลเุ ป้าหมายเท่าที่ควร จึงควรทาการนเิ ทศภายในอกี ครง้ั เพื่อให้มีการจดั ประสบการณ์เพอ่ื เสริมสร้าง ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวยั ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขน้ึ 4. ผลการติดตามการพัฒนาครปู ฐมวัยในการจัดประสบการณก์ ารเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัยโรงเรียนมารีย์พิทกั ษ์ จากการสัมภาษณ์ผู้ปกครองจากพฤติกรรมของเด็กท่แี สดงออกในการมคี วามคิด สร้างสรรค์ของบตุ รหลังจากที่ครปู ฐมวยั ได้มกี ารจัดประสบการณ์การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวยั พบวา่ ผู้ปกครอง บดิ า มารดา ของเดก็ มีความพงึ พอใจต่อพฤตกิ รรมของบตุ รหลานเป็นอยา่ งมาก สามารถสรุปได้ว่า จากการดาเนินการพัฒนาครปู ฐมวัยเพอ่ื เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวยั โรงเรียนมารีย์พิทกั ษ์ สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 ประสบความสาเรจ็ ตามที่ได้ตงั้ จุดประสงค์ไวโ้ ดยครู ปฐมวยั ได้รับความรู้ และมีความเข้าใจมากขนึ้ ในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ได้รับไปพฒั นา และปรับปรงุ แนวทาง ในการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็กปฐมวยั ตามกิจกรรมประจาวนั ทง้ั 6 กิจกรรม อย่างเปน็ ที่น่าพอใจและมี ประสิทธิภาพ ผลการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวยั โดยการใชแ้ บบวดั ความคิดสร้างสรรค์ เด็กปฐมวยั ได้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในแตล่ ะด้านเพ่มิ มากขึน้ และพบวา่ คะแนนดา้ นความคิดสร้างสรรค์ โดยรวมทั้ง 4 องคป์ ระกอบ หลังจากการได้รบั การจดั ประสบการณ์เพอ่ื เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัยมคี ่าสูงขนึ้ โดยมีคา่ คะแนนเฉลี่ย รอ้ ยละ 75.11 และมคี ่าร้อยละความก้าวหนา้ 23.83
58 อภปิ รายผลการวิจยั 1. สภาพและปญั หาของครูปฐมวัยในการเสริมสร้างความคิดสรา้ งสรรค์ของเดก็ ปฐมวัยโรงเรียนมารีย์พิทักษ์ สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 1.1 จากการวเิ คราะห์สภาพของครปู ฐมวยั ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัยโรงเรียน มารีย์พิทักษ์ สงั กัดสานกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 จากการเก็บขอ้ มลู การวเิ คราะห์เอกสาร ทีเ่ กีย่ วข้อง จากการสมั ภาษณ์ การสังเกต จากการทดสอบความรู้ ความเข้าใจของครปู ฐมวัยเกีย่ วกบั การส่งเสริม ความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั หลกั สตู รการศึกษาระดับปฐมวัยพทุ ธศกั ราช 2546 และหลกั การจัดการศึกษา ระดับปฐมวัย พบวา่ ในหลักการจัดการศกึ ษาระดบั ปฐมวัยจิตวทิ ยาสาหรับเดก็ หลักในการเสรมิ สร้างความคิด สร้างสรรค์ สาหรับเด็กปฐมวยั การเขียนแผนในการจดั ประสบการณ์ในการเสริมสร้างความคดิ สร้างสรรค์สาหรับ เดก็ ปฐมวยั การบนั ทึกผลหลังการจดั ประสบการณ์ และแนวทางการประเมินผลเดก็ ในแต่ละกจิ กรรม สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ นริศรา อนิ ทรพานชิ ย์ (2557, บทคัดยอ่ ) ได้วิจัยเกีย่ วกับการอบรมเชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ่วนร่วมเพอ่ื พฒั นาครูผู้ดแู ลเดก็ ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั ศูนย์อบรมเดก็ ก่อนเกณฑ์ในวดั บ้านกลาง สังกัดเทศบาลตาบลกดุ ไห อาเภอกุดบาก จังหวดั สกลนคร สามารถพฒั นาครูผู้ดูแลเดก็ ให้มีความรู้ความเข้าใจในการ เขียนแผนการจดั ประสบการณ์ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์เป็นที่น่าพอใจและมีประสิทธิภาพมากยิง่ ข้นึ โดยเห็นได้จากค่าเฉลย่ี ที่สูงข้นึ โดยมีคะแนนเฉลี่ย รอ้ ยละ 75.11 และร้อยละความกา้ วหนา้ 23.83 สอดคล้องกับ งานวจิ ัยของ อชินี วงศ์ศรีทา (2553, บทคัดยอ่ ) ได้จากการวจิ ยั การพฒั นาศักยภาพผู้ดแู ลเด็กในการเสริมสร้าง ความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัย ศูนย์พัฒนาเดก็ เลก็ สังกัดเทศบาลตาบลคาฮวน อาเภอเมอื ง จงั หวัดมกุ ดาหาร ผลการศึกษาพบวา่ ตอ้ งมกี ารพฒั นาศักยภาพผู้ดแู ลเด็กเกี่ยวกบั การสามารถในการเขียนแผนการจัดประสบการณ์ การเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั โดยการใชก้ ารวจิ ัยปฏบิ ตั กิ าร 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน ข้ันการปฏบิ ตั ิ ขั้นสงั เกตและขั้นสะทอ้ นผล จากการวจิ ยั พบวา่ ผู้ดูแลเด็กมีความรู้ความเข้าใจ เกีย่ วกบั การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์อยใู่ นระดับต่า ผู้ดเู ดก็ สามารถเขียนแผนการจดั การณก์ ารเรียนรู้ทีม่ ุ่งเนน้ การ เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั โดยรวมอยใู่ นระดบั มาก ( X = 4.07) 1.2 จากการวิเคราะห์ปัญหาเกย่ี วกับครปู ฐมวัยในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัย โรงเรียนมารีย์พิทกั ษ์ สังกดั สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 พบว่า ครปู ฐมวยั ยังขาดความ เข้าที่ถูกต้องในการจัดประสบการณใ์ นการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัย สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของ หฤทยั อนสุ สรราชกิจ (2556, บทคดั ยอ่ ) ได้จากการวิจัยเรื่องกระบวนการเรียนรู้เพ่อื การเปลี่ยนแปลงตนเองสาหรบั การพฒั นาครูปฐมวัย จากโรงเรียนในเขตจังหวัดจนั ทบรุ ี ระยอง และตราด จานวน 20 คน การดาเนนิ การวิจยั ครั้งนี้ เป็นการวิจยั เชงิ คณุ ภาพแบบมกี ารแทรกแซง ผลการวจิ ยั มีดังนี้ 1) กระบวนการเรียนรู้เพอ่ื การเปลย่ี นแปลงตนเอง สาหรบั ครูปฐมวยั ทีพ่ ัฒนาขึ้น เปน็ กระบวนการที่บูรณาการแนวคิดการเรียนรู้เพ่อื การเปลี่ยนแปลง และการเรียนรู้ ของผู้ใหญ่ มุ่งสง่ เสริมการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านองคค์ วามรู้ ด้านเจตคติ และดา้ นทักษะวชิ าชีพ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอนหลัก คือ (1) การสารวจตนเอง (2) การใครค่ รวญอย่างมวี จิ ารณญาณ (3) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ (4) การสะท้อนการเรียนรู้ การวพิ ากษป์ ระสบการณ์เดิมนาสู่การเกิดประสบการณ์ใหม่ 2) ผลการเรียนรู้ของครู สะทอ้ นใน 3 ด้าน คือ (1) ด้านองค์ความรู้ ครไู ด้เกิดการปรบั กระบวนทัศนะของตนเองในความเข้าใจเกีย่ วกับ หลกั สตู ร และการจัดการเรียนรู้สาหรบั เด็กปฐมวยั และครูได้เกดิ การทบทวน และสารวจความรู้ในตนเอง (2) ด้านเจตคติ ครูพัฒนาการยอมรบั และให้คณุ ค่ากับความเป็นเด็ก และพัฒนาความฉลาดทางอารมณข์ องตนเอง และ (3) ด้านทกั ษะวชิ าชีพ ครพู ัฒนาความสามารในการจัดการเรียนรู้
59 2. แนวทางการพัฒนาครปู ฐมวยั ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั โรงเรียนมารีย์พิทักษ์ สังกัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 พบว่า การพัฒนาครดู ว้ ยการอบรมเชงิ ปฏิบัตกิ าร โดยการเชญิ วิทยากรทีม่ ีความรู้ชานาญและเชีย่ วชาญมาใหค้ วามรู้พร้อมกับการบรรยาย และปฏบิ ัตจิ รงิ ในการจัด ประสบการณ์สาหรบั กลุ่มเป้าหมายเปน็ เวลา 2 วัน พบวา่ สามารถพัฒนากลุ่มเป้าหมาย ทง้ั 12 คน สามารถเขียนแผน ในการจัดประสบการณ์เพอ่ื เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั ได้ ครบท้ัง 4 ด้าน ในจานวน 18 กิจกรรม ได้เพ่มิ มากขึน้ สามารถยอมรบั ได้ว่าการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารนนั้ เป็นกิจกรรมในการพัฒนาบุคลากรให้มคี วามรู้ มคี วามสามารถและทกั ษะความชานาญในการปฏบิ ัตกิ ารเรียนการสอนซึ่งสง่ ผลให้องค์กรได้บรรลตุ ามวตั ถปุ ระสงค์ และมีประสิทธิภาพ จากการอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเพอ่ื พัฒนาครใู นการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ ของเดก็ ปฐมวยั ทาให้มีผลเกิดข้ึนกับครปู ฐมวยั ทีส่ ามารถจดั ประสบการณ์ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์อยา่ งมีประสิทธิภาพ ซึง่ สอดคล้องตามกบั งานวจิ ยั ของ รตั นพล บญุ คงท่ี (2550, บทคัดยอ่ ) วิจัยค้นคว้าเรือ่ งการพัฒนาบุคลากร ด้านการ จัดประสบการณ์การเรียนรู้ระดบั ปฐมวัยของศนู ยพ์ ัฒนาเดก็ เล็กตาบลบ้านเขือง อาเภอเชยี งขวัญ จังหวัดร้อยเอด็ โดยใชก้ ิจกรรมการพัฒนา ได้แก่ การอบรมเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร การนเิ ทศให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 2 ด้าน สาหรบั กลุ่มเป้าหมาย ดังนี้ 1) มีความรคู้ วามเข้าใจในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ในระดบั ปฐมวัยได้อยา่ งถูกวธิ ี 2) มีความสามารถในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ในระดับปฐมวยั อยา่ งถกู วธิ ี ทาให้กลมุ่ เป้าหมายมีความรู้เพ่มิ ข้ึน มคี วามม่ันใจ และสามารถจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ เกิดผลกบั ผู้เรียนอยา่ งเตม็ ทีแ่ ละบรรลุ ตามจดุ ประสงค์ ซงึ่ สอดคล้องกบั นริสรา ปิตะระโค (2559, บทคดั ยอ่ ) ได้ทาการวจิ ยั ค้นคว้าเรือ่ งการพัฒนาคู่การจัด ประสบการณ์ดว้ ยกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิตปัญญารว่ มกบั กิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ตามแนวคิดของวลิ เลียมส์ ทีม่ ีผลต่อความคิดสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบ และทกั ษะพืน้ ฐานทางคณิตศาสตร์ของเดก็ ปฐมวยั ให้มีคุณภาพ ตามเกณฑ์มาตรฐานของดชั นปี ระสิทธิผล 3. การตดิ ตามผลการพัฒนาครูปฐมวยั ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวัยโรงเรียนมารีย์ พทิ กั ษ์ สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 จากการติดตามผลในการเสริมสร้างความคิด สร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัยในโรงเรียนมารีย์พิทกั ษ์ สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 พบวา่ การพฒั นาครู โดยใชแ้ นวทางเพือ่ การพฒั นา 3 แนวทาง ดังน้ี การอบรมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร การศกึ ษาดูงาน และการนเิ ทศภายใน ในการดาเนนิ การเปน็ 2 วงรอบในวงรอบที่ 1 น้ันสามารถพัฒนาศกั ยภาพครปู ฐมวัย ให้มีความรู้ ความเข้าใจในการดาเนินการเขียนแผนการจัดประสบการณ์เพอ่ื การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ได้ แต่ยังพบวา่ บางส่วนยงั ไม่สามารถเป็นที่พอใจ ในการดาเนินกิจกรรมบางกิจกรรมเกินความสามารถของเดก็ ไมเ่ หมาะสม และเน้ือหาสาระไม่ตอ่ เนอ่ื งกนั ผู้วิจยั และผู้ร่วมวจิ ัยได้ดาเนินการประชุมกันอีกครั้ง เพอ่ื ร่วมกันวเิ คราะห์ถึงจดุ ท่ี ยงั บกพร่อง และเปิดโอกาสให้ทกุ ทา่ นเสนอแนะถึงขอ้ ที่ควรแก้ไข ท่จี ะนาไปใชใ้ นการนิเทศใหม่อีกครั้ง เพอ่ื การจดั ประสบการณ์ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวยั เพือ่ ให้ได้ประสิทธิภาพมากยิ่งขึน้ กวา่ เดิมใชก้ าร นเิ ทศภายใน โดยการสังเกตและสอบถาม ผลปรากฏว่าครูปฐมวยั ท้ัง 12 คน สามารถเขียนแผนการจัดประสบการณ์ และนาแผนน้ันไปทาการจัดประสบการณ์การสอนได้อยา่ งเหมาะสม และมีประสิทธิภาพยง่ิ ขนึ้ สอดคล้องกับการนเิ ทศ ของ นยั นา ลีดี (2552, หนา้ 82) กล่าวว่าการนิเทศทีจ่ ะเกดิ ผลสาเรจ็ ตามเป้าหมายได้นั้น จะตอ้ งประสานความ ร่วมมอื กันโดยผู้บริหาร ครผู ู้สอน ส่งผลให้ผู้เรียนมผี ลสมั ฤทธิส์ งู ขนึ้ สอดคล้องกบั งานวิจยั ของ กาญจนา จันทะพันธ์ (2554, บทคดั ยอ่ ) ได้ศึกษาเรื่องความตอ้ งการการนเิ ทศการสอนของครใู นโรงเรียนสงั กัดสานกั งานเขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร กล่าววา่ การดาเนนิ การใดๆ ของโรงเรียน ให้เป็นไปตามมาตรฐานของโรงเรียนและของบคุ ลากร ให้สงู ขนึ้ และรักษาไวจ้ นส่งผลให้โรงเรียนเป็นที่ยอมรบั ของผู้รบั ผลประโยชนจ์ ากโรงเรียนทุกฝ่าย อกี ทงั้ ผ่านการ ประเมินทั้งภายในและภายนอก
60 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ 1.1 ในการพฒั นาครปู ฐมวยั ควรให้ดาเนินไปอย่างตอ่ เน่อื งเพ่อื สามารถปรบั ใชไ้ ด้ในสถานการณป์ ัจจุบนั และตามนโยบายของสถานศกึ ษา 1.2 องค์กรควรให้ความสาคญั และสนบั สนนุ เพ่อื การพฒั นาจะสามารถดาเนนิ ได้อยา่ งต่อเน่อื ง 1.3 การกากบั ติดตามผล นิเทศ ควรมกี ารดาเนนิ อยา่ งเป็นประจา ในการช่วยเหลอื ครปู ฐมวยั ในการจัด ประสบการณ์เพอ่ื เสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั 2. ข้อเสนอแนะสาหรับการทาวิจัย ครงั้ ตอ่ ไป 2.1 ผู้บริหารควรทาการวจิ ัยเพ่อื การพัฒนาหลกั สตู รของสถานศกึ ษาปฐมวยั ของสถานศกึ ษา 2.2 สถานศึกษาควรดาเนนิ งานพฒั นาครูปฐมวัยเฉพาะด้านเพอ่ื การพฒั นาเดก็ ปฐมวัยได้อยา่ งมี ประสิทธิภาพมากยิ่งข้นึ และควรทาต่อเนอ่ื ง เอกสารอา้ งองิ กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุข. (2551). คู่มอื ประเมนิ และสง่ เสริมพฒั นาการเด็กปฐมวยั พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: องคก์ ารสงเคราะห์ทหารผ่านศกึ ในพระราชาชปู ถมั ภ.์ กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2542). พระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแหง่ ชาติ พุทธศักราช 2542. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พค์ รุ ุสภาลาดพร้าว. กาญจนา รงุ่ แจ้ง. (2551). การนาเสนอยทุ ธศาสตร์การพฒั นาบคุ ลากรของกลมุ่ เครอื ขา่ ยโรงเรียนบึงพิมพาสามัคคี สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษานครสวรรค์ เขต 2. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. นครสวรรค์: มหาวิทยาลัยราชภฏั นครสวรรค์. กาญจนา จนั ทะพนั ธ์. (2554). ความตอ้ งการการนเิ ทศการสอนของครูในโรงเรียนสังกัดสานักงานเขตหนองจอก กรงุ เทพมหานคร. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. ชลบรุ ี: มหาวิทยาลยั บรู พา. นริศรา อนิ ทรพานชิ ย์. (2557). การพัฒนาครผู ู้ดแู ลเด็กในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเดก็ ปฐมวยั ศนู ยอ์ บรมเด็กก่อนเกณฑ์ในวัดบ้านกลาง อาเภอกดุ บาก จังหวดั สกลนคร. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. สกลนคร: มหาวทิ ยาลัยราชภัฏสกลนคร. นริสรา ปิตะระโค. (2559). การวิจยั เพ่อื พฒั นาคู่การจัดประสบการณ์ดว้ ยกิจกรรมการเรียนรู้แบบจิตปญั ญารว่ มกับ กิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ตามแนวคิดของวลิ เลียมส์ ท่มี ผี ลตอ่ ความคิดสร้างสรรค์ ความรับผิดชอบ และทักษะพ้ืนฐานทางคณิตศาสตร์ของเดก็ ปฐมวัย. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. สกลนคร: มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร. นัยนา ลีด.ี (2552). ความตอ้ งการการนิเทศภายในของครูระดบั ประถมศึกษาในโรงเรียน เอกชน อาเภอบ้านบึง จังหวดั ชลบุรี. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา. รัตนพล บุญคงท่.ี (2550). การพฒั นาบุคลากรด้านการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ระดับปฐมวัยของศนู ยพ์ ัฒนา เด็กเล็กตาบลบ้านเขือง กิง่ อาเภอเชยี งขวัญ จงั หวดั ร้อยเอด็ . การศึกษาค้นควา้ อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม. หฤทยั อนุสสรราชกิจ. (2556). กระบวนการเรียนรู้เพ่อื การเปลี่ยนแปลงตนเองสาหรับการพัฒนาครูปฐมวัย. จนั ทบุรี: มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ราไพพรรณี. อชินี วงค์ศรีทา. (2553). การพฒั นาศักยภาพผู้ดแู ลเดก็ ในการเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์ของเด็กปฐมวัย ศนู ยพ์ ฒั นาเดก็ เล็ก สังกดั เทศบาลตาบลคาฮวน อาเภอเมอื ง จังหวดั มกุ ดาหาร. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. สกลนคร: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร.
61 สภาพ ปญั หา และแนวทางการพัฒนาการดาเนินงานโรงเรยี นประชารัฐ ของโรงเรยี นประถมศกึ ษาในจงั หวัดสกลนคร States Problems and Guidelines for Developing Prasharath School Operational Management in Schools under the Office of Sakon Nakhon Primary Educational Service Area นที อรรคสังข์* ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา คัมภีรปกรณ์** ดร.รัชฏาพร พิมพิชยั *** บทคดั ย่อ การวจิ ัยคร้ังนมี้ จี ุดมุ่งหมายเพ่อื ศกึ ษาสภาพ ปญั หา และแนวทางการพฒั นาการดาเนนิ งานโรงเรียนประชารัฐ ของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร โดยมีประชากรทงั้ หมด 1,275 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน จานวน 73 คน และครผู ู้สอน จานวน 1,202 คน จากโรงเรียนท้ังหมด 76 โรงเรียน ตัวอยา่ งในการวจิ ยั ประกอบด้วย ตัวอยา่ งจากโรงเรียน 47 โรงเรียน ประกอบด้วยผู้บริหารโรงเรียนจานวน 47 คน ครผู ู้สอน 282 คน เครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มลู เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลยี่ ค่าส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน ค่าที t-test (Independent – Sample) และค่าเอฟ (F-test : One – Way ANOVA) ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. สภาพการดาเนนิ งานโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศกึ ษาในจงั หวดั สกลนคร ตามความคิดเห็น ของผู้บริหารและครู โดยรวมและรายด้านอยใู่ นระดบั มาก 2. ปญั หาการดาเนนิ งานโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศกึ ษาในจงั หวัดสกลนคร ตามความ คิดเหน็ ของผู้บริหารและครู โดยรวมและรายด้านอยใู่ นระดบั มาก 3. ผลการเปรียบเทียบสภาพการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศึกษา ในจงั หวดั สกลนคร จาแนกตามความคิดเห็นของผู้บริหาร และตามความคิดเหน็ ของครูผู้สอนในโรงเรียนที่ดาเนนิ งาน ตามโครงการโรงเรียนประชารฐั โดยรวมแตกต่างกัน อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และจาแนกตามขนาดของ โรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกนั 4. ผลการเปรียบเทียบปัญหาการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศึกษา ในจงั หวัดสกลนคร จาแนกตามความคิดเห็นของผู้บริหาร และตามความคิดเห็นครผู ู้สอนในโรงเรียนทีด่ าเนนิ งาน ตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ โดยรวมแตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .01 และจาแนกตามขนาด ของโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกนั 5. แนวทางการพฒั นาโรงเรียนประชารฐั ได้มีการเสนอแนวทางพัฒนา 3 ด้าน โดยด้านที่ 1 ดา้ นพัฒนา คณุ ธรรมของผู้เรียน ได้มีการจดั อบรมเชญิ วิทยากรที่มีความรู้ ความสามารถมาให้ความรู้กบั นักเรียน ด้านที่ 2 ด้านคณุ ลกั ษณะท่พี งึ ประสงค์ของนักเรียน โรงเรียนมกี ารจดั ทาโครงการทีเ่ ปน็ รปู ธรรม เฝ้ากากบั ติดตามฝึกอบรม โดยเนน้ กิจกรรมที่สง่ เสริมคณุ ลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ให้เกิดข้ึนกบั นกั เรียน และด้านที่ 3 ด้านการพฒั นากระบวนการ คาสาคญั : การดาเนินงานโครงการโรงเรียนประชารฐั * ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภฏั สกลนคร ** อาจารย์ประจาหลกั สูตรครศุ าสตรมหาบัณฑิต และหลกั สูตรปรัชญาดษุ ฎีบณั ฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร *** ครชู านาญการพิเศษ โรงเรียนอนุบาลเต่างอย สงั กัดสานกั งานเขตพนื้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1
62 เรียนการสอนในวชิ าหลกั โรงเรียนสร้างแหลง่ เรียนรู้ STEM ใหผ้ ู้เรียนได้ศึกษาค้นควา้ พร้อมสร้างบรรยากาศกระตุ้น การเรียนรู้ ABSTRACT The purposes of this research were to investigate, compare, and establish the guidelines for developing Pracharath School operational management in schools under the Office of Sakon Nakhon Primary Educational Service Area. The population were 73 school administrators and 1,202 teachers and the samples consisted of 47school administrators and 282teachersof 47 Pracharath Schools. The instrument for data collection was a set of 5-level rating scale questionnaires. Statistics for data analysis were mean, standard deviation, percentage, t-test (Independent Samples), F-test (One way ANOVA). The results of this research were as follows: 1. The states of Pracharath School operational management in schools under the Office of Sakon Nakhon Primary Educational Service Area based on administrators and teachers were at the high level in overall. 2. The problems of Pracharath School operational management in schools under the Office of Sakon Nakhon Primary Educational Service Area based on administrators and teachers were at the high level in overall. 3. The states of Pracharath School operational management in schools under the Office of Sakon Nakhon Primary Educational Service Area based on administrators and teachers specified by status was significantly different at the .01 level in overall but specified by school size wasnot different. 4. The problems of Pracharath School operational management in schools under the Office of Sakon Nakhon Primary Educational Service Area based on administrators and teachers specified by status was significantly different at the .01 level in overall but specified by school size was not different. 5. The guidelines for developing Pracharath School operational management comprised of 1) a student moral development by attending training course by expert speaker, 2) a desirable characteristics of student using school project work to enhance desirable characteristics for students and 3) a core subject teaching and learning process development by creating STEM learning resources and enhancing learning atmosphere. Keywords : Pracharath School’s Operation ภมู หิ ลงั การศึกษาเปน็ เครอ่ื งมือที่สาคัญของสงั คมในการพฒั นามนุษยใ์ ห้เปน็ ทรพั ยากรที่มีคณุ ค่าเป็นผู้ที่มีความรู้ ความสามารถตลอดจนมคี ณุ ธรรมอันจะชว่ ยให้สามารถปรบั ตวั ให้สอดคล้องกับสภาพแวดลอ้ มและสามารถประกอบ อาชีพทีเ่ หมาะสมกบั ความสามารถของตนอนั จะชว่ ยให้บุคคลสามารถดารงตนในสงั คมได้อยา่ งปรกติสุขและมี ประสิทธิภาพของอาชพี การงานซึง่ รฐั บาลได้เห็นความสาคญั ของการศึกษาว่าเป็นเคร่อื งมือสาคญั ของสงั คมเพอ่ื ทาให้ มนุษยเ์ ป็นทรพั ยากรที่มีคุณค่าและเปน็ องค์ประกอบที่สาคญั ในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติจึงได้กาหนดนโยบาย ของการศกึ ษาแผนการศึกษาแหง่ ชาติ (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2558, หนา้ 6) สอดคล้องกบั แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสงั คมแหง่ ชาติ ฉบับที่ 12
63 แผนพฒั นาเศรษฐกิจและความมั่นแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – พ.ศ. 2564) ระบุไว้วา่ เป้าหมายอนาคต ประเทศไทยปี 2579 ซึง่ เปน็ เป้าหมายในยทุ ธศาสตร์ชาติ 20 ปี มาเป็นกรอบในการกาหนดเป้าหมายทีจ่ ะบรรลุใน 5 ปีแรก โดยที่เป้าหมายและตัวชวี้ ดั ในด้านต่างๆ มีความสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายทีย่ ่งั ยนื (SDGs) ท้ังนีเ้ ป้าหมาย ประเทศไทยในปี 2579 คือ เศรษฐกิจและสงั คมไทยมีการพฒั นาอย่างมัน่ คงและย่งั ยืนบนฐานการพฒั นาท่ยี ัง่ ยืน สังคมไทยเปน็ สังคมทีเ่ ป็นธรรมมคี วามเหล่อื มล้านอ้ ยคนไทยเปน็ มนษุ ยท์ ี่สมบรู ณ์เปน็ พลเมอื งที่มวี นิ ยั ตืน่ รู้และเรียนรู้ ได้ด้วยตนเองตลอดชวี ติ มคี วามรู้มีทกั ษะและทศั นคติที่เปน็ ค่านิยมที่ดมี สี ขุ ภาพร่างกาย และจิตใจท่สี มบูรณ์ มีความ เจรญิ เตบิ โตทางจิตวญิ ญาณ มจี ิตสาธารณะและทาประโยชนต์ อ่ สว่ นรวมมีความเปน็ พลเมอื งไทย พลเมอื งอาเซียน และพลเมอื งโลกประเทศไทย มีบทบาทที่สาคัญในเวทีนานาชาตริ ะบบเศรษฐกิจต้ังอยบู่ นฐาน ของการใชน้ วัตกรรม นาดิจทิ ลั สามารถแข่งขนั ในการผลิตได้และค้าขายเป็นมคี วามเป็นสงั คมประกอบการมฐี านการผลิต และบริการที่มี คณุ ภาพและรปู แบบทีโ่ ดดเด่น เปน็ ที่ต้องการในตลาดโลก เปน็ ฐานการผลิตและบริการที่สาคญั เชน่ การให้บริการ คุณภาพทั้งดา้ นการเงินระบบโลจิสตกิ ส์บริการด้านสุขภาพและท่องเที่ยวคุณภาพเป็นครวั โลกของอาหารคุณภาพและ ปลอดภัยเป็นฐานอุตสาหกรรมและบริการอจั ฉริยะท่เี ปน็ อุตสาหกรรมแหง่ อนาคตทใ่ี ชน้ วตั กรรมทนุ มนุษยท์ ักษะสูง และเทคโนโลยอี ัจฉรยิ ะมาต่อยอดฐานการผลิตและบริการทีม่ ีศักยภาพในปจั จุบันและพัฒนาฐานการผลิตและบริการ ใหมๆ่ เพ่อื พฒั นาประเทศไทยไปสู่การมรี ะบบเศรษฐกิจสังคมและประชาชนที่มีความเป็นอัจฉริยะ (แผนพฒั นา เศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ, 2559, หนา้ 5) ในขณะเดียวกัน รฐั บาล ได้ประกาศนโยบายขบั เคลื่อนประเทศด้วยกลไก ประชารฐั ซึ่งเปน็ การสานพลงั ความร่วมมอื ระหว่างภาครฐั ภาคเอกชน และภาคประชาสงั คมนบั จากนไี้ ป ทกุ ภาคส่วน ของประเทศ จะร่วมแรงร่วมใจกันสนับสนุนและเสริมสร้างเศรษฐกิจฐานราก ให้เจรญิ เตบิ โตอยา่ งเขม้ แข็งสมดลุ และ ย่งั ยืนผ่านทางการดาเนนิ งานของ 12 คณะทางานทั้งนีภ้ าครฐั และภาคเอกชนได้ใหก้ ารสนบั สนุนและสร้างความร่วมมอื กับภาคประชาชนในรปู แบบของการจดั ตงั้ “วสิ าหกิจเพือ่ สงั คม” (Social Enterprise) เพ่อื ให้ชาวบ้านสามารถพึ่งพา ตนเองได้โดยรฐั บาลยนื ยนั วา่ ผลประโยชนท์ ั้งหมดนนั้ ตกเป็นของพ่นี อ้ งประชาชนและไม่มกี ารเอ้ือประโยชนใ์ ห้กลมุ่ ทุน ใดๆ ภายใต้ “สานพลงั ประชารัฐ” คือพลงั อันยิ่งใหญ่ทีจ่ ะเปลีย่ นแปลงและปฏริ ปู ประเทศไทยเป็นแรงขับเคลือ่ นหลกั ของเศรษฐกิจไทยต้ังแต่ระดับฐานรากและส่งเสริมให้ชุมชนดาเนนิ ธุรกิจบนฐานความรู้ความคิดสร้างสรรค์นวตั กรรม และเอกลักษณ์ทางวฒั นธรรม (จดหมายข่าวรฐั บาลเพอ่ื ประชาชน, 2559) กล่าวคอื หากเปรียบประเทศเป็น “มนษุ ย์ 1 คน” ในการขบั เคลือ่ นประเทศตามแนวทาง “ประชารัฐ” นนั้ ภาคประชาชนเปรียบเสมอื น “ร่างกายและจิตใจ” ที่ควร ได้ทาในสง่ิ ทีต่ นรกั และต้องการมีภาครฐั เป็น “มันสมอง” ชว่ ยขบคิดครบวงจรเพอ่ื ตอบสนองความมงุ่ หวังและต้ังใจน้ัน ไมค่ ิดแทนไม่ยดั เยยี ดไม่เบียดบังโดยมีภาคเอกชนทาหน้าที่ “ระบบตา่ งๆ ในร่างกาย” ทั้งระบบกล้ามเน้ือระบบเลอื ด ระบบประสาทระบบหายใจระบบยอ่ ยอาหารฯลฯทีเ่ ชอ่ื มโยงสมอง–ร่างกาย–จิตใจให้ทางานสอดประสานกันเหมอื นดง่ั 3 ภาคส่วนที่เตมิ เต็มกนั เพ่อื ให้ประเทศชาติมีความสมบูรณ์แบบ แลว้ ประชารัฐคือการแก้ปญั หาที่ยั่งยนื ตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ของพระบาทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหาภูมพิ ลอดลุ ยเดช (รัชกาลที่ 9) (พลเอกประยทุ ธ์ จนั ทร์โอชา, 15 ตุลาคม 2559) ในปัจจุบนั การจัดกจิ กรรมการเรียนการสอนในสถานศึกษาจานวนไม่น้อย ไมส่ ามารถตอบสนองตอ่ ความ ตอ้ งการของชมุ ชนได้ดเี ท่าทีค่ วร ซึ่งอาจจะเปน็ เพราะโรงเรียนกบั ชุมชนอยกู่ ันอย่างเปน็ เอกเทศ หรือตา่ งฝ่ายต่างทา หนา้ ทข่ี องตนเอง บางพ้ืนที่สถานศึกษาไมส่ ามารถเข้าถึงข้อมลู เทคโนโลยสี ารสนเทศที่ทนั สมัยได้ การสอนของครู จึงเป็นแบบอนาล็อก เปน็ การสอนที่ผู้เรียนต้องเรียนในห้องเรียนเพยี งอยา่ งเดียว โดยครูเปน็ ศูนย์กลางการเรียนรู้ นกั เรียนไม่มโี อกาสเข้าไปเรียนรู้ หรือเข้าถึงชมุ ชนของตน การเรียนการสอนที่ผู้เรียนไม่มโี อกาสได้เรียนกบั เจ้าของ ภาษา ซึง่ สังเกตได้จากกระแสเรียกรอ้ งทั้งจากผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงานทีร่ ับผิดชอบ หน่วยงานที่เกีย่ วข้องและ หนว่ ยงานอ่นื ๆ ท่มี คี วามตอ้ งการให้การศกึ ษามคี ุณภาพสูงขึน้ ตอ้ งการให้มีการตรวจสอบมากขนึ้ ในการดาเนนิ งาน
64 ด้านคุณภาพการศึกษา ด้านหลกั สูตรกระบวนการจัดการเรียนรู้ ด้านการบริหารจดั การ (จดหมายขา่ วรัฐบาลเพอ่ื ประชาชน,1 เมษายน 2559) ทาให้ผลการทสอบระดบั ชาติ (O-net) และผลการประเมินนักเรียนร่วมกบั นานาชาติ หรือ PISA (Program me for International Student Assessment) ค่าเฉลี่ยอยู่ในระดบั ตา่ กว่ามาตรฐาน (สถาบัน ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2559, ธันวาคม 2559) จากแนวทาง และนโยบายของรฐั บาลดงั กล่าวทาให้ผู้วจิ ยั ได้รวบรวมขอ้ มลู โรงเรียนประชารัฐในจังหวดั สกลนครสนใจทจี่ ะศกึ ษาสภาพ ปัญหา และแนวการพัฒนาการบริหารการดาเนนิ งานโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียน ประถมศึกษาในจงั หวดั สกลนครโดยโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ คือ โรงเรียนในสังกัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษา ประถมศึกษาสกลนครเขต 1 จานวน 37 โรงเรียน สานักงานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 จานวน 21 โรงเรียน สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 3 จานวน 18 โรงเรียน รวมสงั กดั และสานักงาน เขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามธั ยมศกึ ษา เขต 23 จานวน 3 โรงเรียน รวมท้ังส้นิ จานวน 79 โรงเรียน ผู้วิจยั ได้เลง็ เห็น ความสาคัญของการดาเนนิ โครงการโรงเรียนประชารฐั และแนวทางการพฒั นา โรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียน ประถมศึกษา ในจังหวัดสกลนคร เพื่อเปน็ แนวทางการดาเนนิ งานและพัฒนาการจดั การเรียนรู้ในโรงเรียนหน่วยงาน ครูและบคุ ลากร รวมท้ังนักเรียนให้สอดคล้องกับสภาพสังคมและประเทศไทยในยุค 4.0 มน่ั คง มงั่ คั่ง และยง่ั ยืน ผู้วิจยั จึงสนใจศึกษาสภาพ ปัญหา และแนวการพัฒนาการบริหารการดาเนนิ งานโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวดั สกลนครเพอ่ื จะรวบรวมขอ้ มลู เป็นแนวทางในการพฒั นาใหส้ อดคล้องกับ วัตถปุ ระสงค์ของโครงการต่อไป คาถามการวิจยั 1. สภาพการดาเนนิ งานโรงเรียนประชารัฐของโรงเรียนประถมศกึ ษาในจังหวดั สกลนคร ตามความคิดเห็น ของผู้บริหาร และครู อยใู่ นระดบั ใด 2. ผู้บริหาร และครูผู้สอนในโรงเรียนทีด่ าเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ มคี วามคิดเหน็ ต่อ สภาพการดาเนนิ งานแตกต่างกนั หรือไม่ อยา่ งไร 3. โรงเรียนทีด่ าเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ ทีม่ ีขนาดแตกตา่ งกนั มีสภาพการดาเนนิ งาน แตกตา่ งกนั หรือไม่ อยา่ งไร 4. ปญั หาการดาเนนิ งานโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศกึ ษาในจังหวัดสกลนคร ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหาร และครู อยใู่ นระดบั ใด 5. ผู้บริหาร และครูผู้สอนในโรงเรียนที่ดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั มคี วามคิดเหน็ ต่อปัญหา การดาเนนิ งานแตกต่างกนั หรือไม่ อยา่ งไร 6. โรงเรียนที่ดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ ที่มีขนาดแตกตา่ งกัน มีปญั หาการดาเนินงาน แตกตา่ งกันหรือไม่ อยา่ งไร 7. แนวทางการพฒั นาการดาเนนิ งานโรงเรียนประชารัฐของโรงเรียนประถมศึกษา ในจังหวัดสกลนคร ควรเปน็ อยา่ งไร ความมงุ่ หมายของการวิจยั ในการวิจัยครั้งนผี้ ู้วจิ ัยตงั้ ความมงุ่ หมายการวจิ ัยไว้ ดงั นี้ 1. เพือ่ ศกึ ษาสภาพการดาเนนิ งานโรงเรียนประชารัฐของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหาร และครู
65 2. เพอ่ื เปรียบเทียบสภาพการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ ของโรงเรียนประถมศึกษา ในจงั หวดั สกลนคร จาแนกตามความเห็นของผู้บริหาร และครผู สู้ อนในโรงเรียนที่ดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียน ประชารัฐ 3. เพ่อื เปรียบเทียบสภาพการดาเนินงานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ ของโรงเรียนประถมศึกษา ในจงั หวัดสกลนคร จาแนกตามขนาดของโรงเรียน 4. เพอ่ื ศึกษาปัญหาการดาเนนิ งานของโรงเรียนประชารัฐของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวดั สกลนคร ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร และครู 5. เพอ่ื เปรียบเทียบปัญหาการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศึกษา ในจังหวัดสกลนคร จาแนกตามความเห็นของผู้บริหาร และครผู สู้ อนในโรงเรียนที่ดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียน ประชารัฐ 6. เพอ่ื เปรียบเทียบปัญหาการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศึกษา ในจงั หวดั สกลนคร จาแนกตามขนาดของโรงเรียน 7. เพ่อื เสนอแนะแนวทางการพฒั นาการดาเนนิ งานของโรงเรียนประชารัฐของโรงเรียนประถมศกึ ษา ในจังหวัดสกลนคร กรอบแนวคดิ การวิจัย ในการวิจยั คร้ังนี้ ผู้วิจยั ได้มกี รอบแนวคิดเพอ่ื ศึกษาสภาพ ปญั หา และแนวการพฒั นาการดาเนนิ งานโรงเรียน ประชารัฐ ของโรงเรียนประถมศึกษาในจงั หวัดสกลนครโดยอาศยั กรอบแนวคิดของโครงการโรงเรียนประชารฐั (คู่มอื โรงเรียนประชารัฐ, 2559, หนา้ 25) เกีย่ วกับแนวคิดในการขบั เคลือ่ นกลยทุ ธ์สกู่ ารปฏบิ ตั ิ แสดงได้ดัง ภาพประกอบ 1 ตวั แปรอสิ ระ ตัวแปรตาม สถานภาพของบคุ ลากร สภาพ ปัญหา และแนวการพัฒนาการดาเนินงานโรงเรียนประชารฐั ในโรงเรียน ของโรงเรียนประถมศึกษาในจงั หวัดสกลนครท้ัง 3 ด้าน ดงั นี้ 1. ผู้บริหาร 2. ครผู ู้สอน 1. ด้านคณุ ธรรมของนกั เรียน ขนาดของโรงเรียน 2. ด้านคณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ของนกั เรียน 1. ขนาดเลก็ 3. ด้านพัฒนากระบวนการเรียนการสอนในวิชาหลัก 2. ขนาดกลาง 3. ขนาดใหญ่ แนวทางการพัฒนาการดาเนินงานโรงเรียนประชารัฐ ของโรงเรียน ประถมศึกษา ในจงั หวัดสกลนคร ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดของการวจิ ยั วิธีดาเนนิ การวิจยั ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 1. ประชากรที่ใชใ้ นการวิจยั คร้ังน้ี มี 2 กลุ่ม คือ ผู้บริหารโรงเรียน จานวน 73 คน และครูผู้สอน จานวน 1,202 คน รวมท้ังส้นิ 1,275 คน ในโรงเรียนประถมศึกษา จังหวดั สกลนคร ที่เข้าร่วมโครงการประชารัฐ ประจาปกี ารศึกษา 2559 จานวน 76 โรงเรียน
66 2. กลุ่มตวั อยา่ งทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ครง้ั น้ี ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนและครผู ู้สอน โดยแยกเปน็ ผู้บริหาร โรงเรียน จานวน 47 คน ครูผู้สอน จานวน 282 คน รวม 329 คน การกาหนดกลุ่มตวั อยา่ งผู้บริหารโรงเรียนใชก้ าร เลอื กแบบเจาะจง ครผู ู้สอนใชก้ ารสมุ่ อยา่ งง่ายใชเ้ กณฑ์ร้อยละ 60 เครือ่ งมอื ทใี่ ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มูลเปน็ แบบสอบถาม (Questionnaire) ผู้วิจยั สร้างขนึ้ เอง โดยการศกึ ษา หลักการ กรอบแนวคิด และงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวข้องซึง่ แบ่งออกเป็น 2 ตอน ดงั น้ี ตอนที่ 1 เปน็ แบบสารวจรายการ (Checklist) สอบถามสถานภาพของครู ได้แก่ สถานภาพและขนาด ของโรงเรียน ตอนที่ 2 เปน็ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแบบของ ลิเคิร์ท (Likert Rating Scale) สอบถามเกีย่ วกบั สภาพและปญั หาการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมขอ้ มูลในการวจิ ัยครั้งนี้ ผู้วิจัยไดด้ าเนนิ การตามลาดับดังน้ี 1. ขอความร่วมมอื จากสานกั งานโครงการจัดตง้ั บณั ฑิตศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร ให้ทา หนังสือถึงสานักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษาสกลนคร ท้ัง 3 เขต เพอ่ื ขอความร่วมมอื ในการเก็บขอ้ มูล 2. ผู้อานวยการสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนครท้ัง 3 เขต ออกหนงั สอื ถึงโรงเรียน ในสังกดั ทีเ่ ป็นกลุ่มตัวอยา่ งเพือ่ ขอความร่วมมอื ในการเกบ็ ขอ้ มลู และตอบแบบสอบถาม 3. ผู้ทาวจิ ัยนาแบบสอบถามส่งถึงโรงเรียนดว้ ยตวั เอง พร้อมหนังสอื ขอความร่วมมอื ในการเกบ็ ข้อมูลและตอบแบบสอบถาม 4. ผู้ทาวิจัยต้องเก็บขอ้ มลู แบบสอบถามคืนดว้ ยตัวเองและนามาตรวจสอบให้คะแนนและทาการ วเิ คราะห์ขอ้ มลู ตอ่ ไป สถิตทิ ใี่ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มลู 1. สถิติพนื้ ฐาน 1.1 ค่าร้อยละ (Percentage) 1.2 ค่าเฉลี่ย (Mean) 1.3 ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) 2. สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการหาคณุ ภาพเครื่องมอื 2.1 วิเคราะห์คา่ อานาจจาแนกของแบบสอบถาม จาแนกรายข้อ กบั คะแนนรวม โดยการคานวณสัมประสิทธิส์ หสัมพันธ์อยา่ งน้อย (Item total Correlation) 2.2 การวเิ คราะห์หาค่า ความเชอ่ื มนั่ (Reliability) ของแบบสอบถามให้คา่ สัมประสิทธิแ์ อลฟาของครอนบาค (Cronbach’s α-coeffcient) 3. สถิตทิ ีใ่ ชใ้ นการทดสอบสมมติฐาน 3.1 วิเคราะห์ความแตกต่างของระดบั สภาพและปญั หาการ ดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั ของผู้บริหารและครผู ู้สอน โดยใช้ t–test (Independent-Samples) 3.2 วิเคราะห์ความแปรปรวนของระดบั สภาพและปัญหาการดาเนินงานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ ของโรงเรียน ที่มีขนาดแตกตา่ งกัน ใชก้ ารวเิ คราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One–way ANOVA) สรุปผลการวิจยั ผลการศึกษา สภาพ ปัญหา และแนวการพฒั นาการการบริหารการดาเนนิ งานโรงเรียนประชารัฐ ของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวดั สกลนคร พบว่า
67 1. สภาพการดาเนนิ งานโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศกึ ษาในจงั หวดั สกลนคร ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหาร และครู โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก สอดคล้องกบั สมมติฐาน 2. เปรียบเทียบสภาพการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ ของโรงเรียนประถมศึกษาในจงั หวัด สกลนคร จาแนกตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารสถานศึกษา ครผู ู้สอน พบวา่ สภาพการดาเนนิ งานตามโครงการ โรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวดั สกลนครจาแนกตามความคิดเห็นของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ครูผู้สอน โดยรวมแตกต่างกนั สอดคลอ้ งกบั สมมติฐาน 3. เปรียบเทียบสภาพสภาพการดาเนินงานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศึกษา ในจังหวดั สกลนครจาแนกตามขนาดของโรงเรียน พบวา่ สภาพการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ ของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวดั สกลนคร จาแนกตามขนาดของโรงเรียนโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกนั ไมส่ อดคล้องกบั สมมติฐาน 4. ปญั หาการดาเนนิ งานของโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศกึ ษาในจังหวดั สกลนคร ตามความ คิดเหน็ ของผู้บริหาร และครู โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดบั มากสอดคล้องกบั สมมติฐาน 5. เปรียบเทียบปัญหาการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ ของโรงเรียนประถมศึกษาใน จงั หวัดสกลนคร จาแนกตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารสถานศกึ ษา ครูผู้สอนพบวา่ ปัญหาการดาเนนิ งานตามโครงการ โรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศึกษาในจงั หวดั สกลนคร จาแนกตามความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศกึ ษา ครผู ู้สอนโดยรวมแตกต่างกันสอดคลอ้ งกับสมมติฐาน 6. เปรียบเทียบปัญหาการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศึกษา ในจงั หวัดสกลนคร จาแนกตามขนาดโรงเรียน พบวา่ ปัญหาการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศึกษาในจงั หวัดสกลนคร จาแนกตามความขนาดโรงเรียนโดยรวมและรายด้านไม่แตกต่างกนั ไมส่ อดคล้องกบั สมมติฐาน 7. แนวทางการพัฒนาโรงเรียนประชารฐั ได้มีการเสนอแนวทางพฒั นาท้ัง 3 ดา้ น โดยด้านที่ 1 ด้านพัฒนาคุณธรรมของผู้เรียน ได้มีการจดั อบรมเชญิ วิทยากรที่มีความรู้ ความสามารถมาใหค้ วามรู้กับนักเรียน ด้านที่ 2 ด้านคณุ ลักษณะทพ่ี งึ ประสงค์ของนกั เรียน โรงเรียนมกี ารจดั ทาโครงการที่เป็นรูปธรรม เฝ้ากากบั ตดิ ตาม ฝึกอบรม โดยเนน้ กิจกรรมที่สง่ เสริมคณุ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ให้เกิดข้ึนกบั นกั เรียน และด้านที่ 3 ด้านการพฒั นา กระบวนการเรียนการสอนในวชิ าหลกั โรงเรียนสร้างแหลง่ เรียนรู้ STEM ใหผ้ ู้เรียนได้ศึกษาค้นควา้ พร้อมสร้าง บรรยากาศกระตุ้นการเรียนรู้ อภปิ รายผลการวิจยั จากการวเิ คราะหข์ ้อมลู สภาพ ปัญหา และแนวการพฒั นาการดาเนนิ งานโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียน ประถมศึกษาในจังหวัดสกลนครอภิปรายผลตามสมมติฐานทีต่ ้ังไว้ดังน้ี 1. สภาพการดาเนนิ งานของโรงเรียนประชารัฐของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวดั สกลนคร ตามความ คิดเหน็ ของผู้บริหาร และครู อยใู่ นระดบั มาก ซึ่งเปน็ ไปตามสมมติฐานในการวิจยั ทีต่ ั้งไว้ เมอ่ื พิจารณาเป็นรายดา้ น พบวา่ มีสภาพการดาเนนิ งานอยใู่ นระดับมากทุกด้าน ท้ังนอี้ าจมสี าเหตุมาจาก โครงการโรงเรียนประชารฐั เป็น โครงการที่เกิดข้ึนจากนโยบายการการปฏริ ปู การศึกษาเพือ่ พัฒนาเศรษฐกิจ โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงศึกษาธกิ ารซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในเรือ่ งของการศกึ ษาใหเ้ ปน็ ประสานงาน โครงการน้ี ทั้งนกี้ ระทรวงศึกษาธิการกไ็ ด้มอบหมายให้สานกั คณะกรรมการการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน เป็นหน่วยงาน
68 ดาเนนิ งานและบันทึกข้อตกลงความร่วมมอื ระหว่างหน่วยงานภาครัฐ 3 หนว่ ยงาน คือ กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวง เทคโนโลยสี ารสนเทศและกระทรวงวทิ ยาศาสตร์ ทางานรว่ มกับภาคเอกชนและภาคประชาสังคม (กระทรวงศึกษาธกิ าร, ตลุ าคม 2559) ซึง่ เป็นเหตุผลทาใหโ้ รงเรียนทีจ่ ะเขา้ รว่ มโครงการโรงเรียนประชารฐั นั้น จะต้อง เปน็ โรงเรียนทีไ่ ด้รบั การคดั เลอื กจากเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษา วา่ โรงเรียนดังกลา่ ว เปน็ โรงเรียนดมี คี ุณภาพเพยี งพอทีจ่ ะ เข้าร่วมโครงการโรงเรียนประชารัฐ และสอดคล้องกับงานวิจยั ของ เกือ้ กูล เครอื วลั ย์ (2557, บทคัดยอ่ ) ได้ศึกษา การศึกษาการดาเนนิ งานโรงเรียนดศี รีตาบล ตามเป้าหมายดชั นวี ดั สภาพความสาเรจ็ สงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ที่ การศึกษาประถมศึกษาสุโขทยั เขต 1 ผลการวจิ ยั พบวา่ การดาเนนิ งานโรงเรียนดศี รีตาบล ตามเป้าหมายดชั นวี ดั สภาพความสาเรจ็ สังกดั สานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสโุ ขทัย เขต 1 ภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก และเมอ่ื พิจารณาการดาเนนิ งานเป็นรายดา้ น พบว่า ด้านที่มีคา่ เฉลย่ี สูงสดุ คือ ดา้ นกระบวนการปลกู ฝังนสิ ัยนกั เรียน และด้านที่มีคา่ เฉล่ยี ต่าสดุ คือ ด้านผลผลิต แนวทางการส่งเสรมิ การดาเนนิ งานโรงเรียนดศี รีตาบล ตามเป้าหมายดชั นี วดั สภาพความสาเรจ็ สังกัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทยั เขต 1 จากการสนทนากลุ่มได้แนวทาง การสง่ เสริม ดังนี้ 1) นกั เรียนส่อื สารดว้ ยภาษาองั กฤษหรือภาษาอาเซี่ยน เช่น การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ การสอนเนน้ การปฏบิ ตั ิ การสร้างแรงจงู ใจ เจตคติที่ดี การกาหนดมาตรฐานในหลกั สตู ร มีโครงการพฒั นาทกั ษะนกั เรียนและการ จดั กิจกรรมหลากหลาย 2) ทุกภาคส่วนสนับสนนุ งบประมาณบุคลากรเพ่อื พฒั นาสถานศึกษาเชน่ การสร้างเครือข่าย ความร่วมมอื การมสี ่วนร่วมของทุกฝ่ายในทกุ ขั้นตอน การมเี ป้าหมายชัดเจน ผู้บริหารให้เกียรตแิ ละจงู ใจกับผู้มี ส่วนร่วม 3) สถานศกึ ษาได้รบั รางวลั จากการพฒั นาคุณภาพการศกึ ษา เช่น การมีสว่ นร่วมของทกุ ฝ่ายในการวางแผน ตดิ ตามประเมินผล การกาหนดเป้าหมาย ทมี งานการปฏบิ ัตงิ านตอ้ งเข้มแขง็ การเนน้ ผู้เรียนเป็สาคญั การจัดหา แหลง่ ทรัพยากรและการสร้างความตระหนกั ความสาคัญในการพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา 2. สภาพการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศึกษาในจงั หวัดสกลนคร จาแนกตามความเหน็ ของผู้บริหาร และครผู ู้สอนในโรงเรียนทีด่ าเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั โดยรวม แตกตา่ งกัน อย่างมนี ยั สาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .01 และเม่อื พิจารณาเปน็ รายดา้ น พบว่า ด้านส่งเสริมคณุ ธรรมของ นกั เรียนและดา้ นคุณลักษณะทพี่ งึ ประสงค์ของนักเรียน มีความคิดเหน็ ไม่แตกต่างกัน ส่วนด้านการพัฒนากระบวนการ เรียนการสอนในวชิ าหลัก มีความคิดเหน็ แตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดับ .01 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ซึ่งสาเหตุหลักมาจากงานทไ่ี ด้รับมอบหมายระหว่างผู้บริหารโรงเรียนกับครผู ู้สอนมคี วามแตกตา่ งกนั ทาให้บริบทของ การทางานไมม่ คี วามสอดคล้องกันเท่าที่ควร จึงทาให้สภาพการดาเนนิ งานมีความเห็นที่แตกต่างกันสอดคล้องกบั งานวจิ ยั ของ ฐานิตย์ เนคมานุรักษ์ (2557, บทคดั ยอ่ ) การศึกษาการดาเนนิ งานโครงการโรงเรียนดศี รีตาบล ของโรงเรียนในสังกัดสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษา พระนครศรีอยธุ ยา เขต 1 และ เขต 2 การผลการวจิ ยั พบวา่ สภาพการดาเนนิ งานโครงการโรงเรียนดศี รีตาบลในภาพรวมมีการปฏบิ ตั อิ ยู่ในระดับมากทั้ง 4 ด้าน โดยเรียง ตามลาดบั คือ ด้านบรรยากาศและสิ่งแวดลอ้ ม รองลงมาคือ ด้านการบริหารจัดการ ด้านการมีสว่ นร่วม และด้านการ เรียนรู้ ปัญหาการดาเนนิ งานโครงการโรงเรียนดศี รีตาบลในภาพรวมมีปญั หาอยู่ในระดบั น้อยทั้ง4 ด้าน โดยเรียง ตามลาดับคือ ด้านการเรียนรู้รองลงมาคือด้านบรรยากาศและสิ่งแวดลอ้ ม ด้านการมสี ่วนร่วม และด้านการบริหาร จดั การ และแนวทางพฒั นาการดาเนนิ งานโรงเรียนดศี รีตาบล ด้านบริหารจดั การ ได้แก่ ควรมกี ารวางแผน กาหนด นโยบาย ขอบข่ายงาน ผู้รับผิดชอบให้ชัดเจน และมีการกากับตดิ ตามให้คาแนะนาอย่างตอ่ เน่อื ง สรุป ประเมินผลและ รายงานผลการดาเนนิ งานอยา่ งจรงิ จงั ตามขน้ั ตอนระยะเวลาทกี่ าหนด ด้านการเรียนรู้ ได้แก่ ควรส่งเสริมให้ครผู ลิตส่อื ใชส้ อ่ื เทคโนโลยปี ระกอบกบั การจดั การเรียนรู้ ส่งเสริมให้ครเู ข้ารบั การพัฒนาอบรม ศกึ ษาดูงาน ด้านบรรยากาศและ สิง่ แวดลอ้ ม ได้แก่ ควรหางบประมาณจากทงั้ ภายในและภายนอก เพอ่ื มาสนบั สนนุ การจดั บรรยากาศและสิ่งแวดลอ้ ม
69 ภายในโรงเรียนเพ่อื ให้เอ้ือตอ่ การจัดการเรียนรู้ และด้านการมสี ว่ นร่วม ได้แก่ควรเปิดโอกาสใหค้ ณะครู นักเรียน และชุมชนสามารถเข้ามาบริหารโรงเรียนได้ตามบทบาทและหน้าทีข่ องตนเอง เพ่อื ให้เกิดความร่วมมอื ทีด่ จี ากชมุ ชน 3. สภาพการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศึกษาในจงั หวัดสกลนคร จาแนกตามขนาดของโรงเรียนไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั ซึ่งไมส่ อดคล้องตามสมมตฐิ านทีต่ ั้งไว้ ทง้ั น้อี าจเน่อื งมาจาก โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนประชารัฐ เป็นโรงเรียนทีไ่ ด้รบั การคัดเลอื กวา่ มีความโดดเดน่ ในการบริหารจดั การ งาน มีการจัดระบบงานให้เกิดความคล่องตวั ในการบริหารงานอย่างมปี ระสิทธิภาพ บุคลากรในฝ่ายตา่ งๆ รหู้ นา้ ทข่ี อง ตนเอง และมีความรบั ผิดชอบตอ่ งานที่ได้รับมอบหมาย ทาให้ขนาดของโรงเรียนไม่เปน็ อปุ สรรคในการดาเนินงานตาม โครงการโรงเรียนประชารฐั ซึ่งเปน็ ไปตามแนวคดิ ของ ภัครภรณ์ มานติ ย์ (2550, หนา้ 81) ไดศ้ กึ ษาการจัดการแหลง่ เรียนรู้ของกลุ่มโรงเรียนโปง่ สา จงั หวัดแม่ฮ่องสอน พบวา่ ในดา้ นการจัดการแหล่งเรียนรู้ทีไ่ ด้ศึกษามาน้ัน มีการวาง แผนการใชแ้ หลง่ เรียนรู้ภายในสถานศกึ ษา สารวจข้อมลู พนื้ ฐานเกี่ยวกบั กับแหลง่ เรียนรู้เปิดโอกาสให้นกั เรียนมี ส่วนร่วมในการวางแผนใชแ้ หลง่ เรียนรู้ และกาหนดครูผู้รับผิดชอบด้านแหลง่ เรียนรู้ ส่วนในประเดน็ ดาเนนิ การให้ครู นักเรียน ชุมชนมคี วามรู้ ความเข้าใจและยินดีเข้าร่วมโครงการโรงเรียนดศี รีตาบล แก้ปัญหาท่สี าคญั ให้ลุล่วงไปได้ ด้วยความร่วมมอื กบั ทุกฝ่าย 4. ปัญหาการดาเนนิ งานของโรงเรียนประชารฐั ของโรงเรียนประถมศกึ ษาในจังหวดั สกลนคร ตามความ คิดเหน็ ของผู้บริหาร และครู อยใู่ นระดบั มาก ซึง่ ไมส่ อดคล้องตามสมมติฐานทีต่ ั้งไว้ท้ังนีอ้ าจเนอื่ งมาจาก โครงการ โรงเรียนประชารฐั เปน็ โครงการทีใ่ หม่อาจจะทาให้ขอ้ ปฏบิ ัตหิ ลายๆ ด้าน ไม่เปน็ ไปตามแผนทีว่ างเอาไว้ อีกทั้งนักเรียน เองต้องใชเ้ วลาปรบั ตัวทาความเข้าใจในการดาเนินโครงการ จึงทาให้การดาเนนิ โครงการเกิดปญั หาได้ ปจั จยั หลายๆ อย่างลว้ นมีผลทาให้เกิดปญั หาในการดาเนินโครงการทั้งส้นิ ไมว่ า่ จะเปน็ ดา้ นงบประมาณ ด้านบคุ ลากร ด้านเทคนิค วธิ ีการ ลว้ นแตส่ ่งผลให้เกิดปญั หาทงั้ สนิ้ ซึง่ สอดคล้องกบั บทความวิจัยของโรงเรียนเทศบาลเมืองปทมุ ธานี ทีไ่ ด้ทา บทความวิจัยเรือ่ ง ปัญหาในการจดั การศกึ ษาระดับปฐมวัยตามความคิดเหน็ ของผู้ปกครองนกั เรียน การศกึ ษาครั้งนี้ มวี ตั ถปุ ระสงค์ 1) เพ่อื หาระดับปญั หาในการจดั การศึกษาระดบั ปฐมวัยตามความคิดเห็นของผปู้ กครองนักเรียน โรงเรียนเทศบาลเมอื งปทมุ ธานี และ 2) เพอ่ื เปรียบเทียบปญั หาในการจดั การศึกษาระดับปฐมวัยตามความคิดเหน็ ของ ผู้ปกครองนกั เรียน โรงเรียนเทศบาลเมอื งปทมุ ธานี จาแนกตามระดบั การศกึ ษา กลุ่มตัวอย่างเปน็ ผู้ปกครองนกั เรียน ชน้ั อนบุ าลปที ี่ 1 ถงึ อนุบาลปที ี่ 2 โรงเรียนเทศบาลเมอื งปทมุ ธานี จานวน 170 คนเครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวม ข้อมูลเปน็ แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั มคี ่าความเช่อื ม่นั ท้ังฉบับเท่ากบั .98 สถิตทิ ี่ใชใ้ นการ วเิ คราะห์ขอ้ มลู ได้แก่ ค่ารอ้ ยละ ค่าเฉลีย่ และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน และ t – test ผลการศึกษาพบวา่ 1) ปัญหาใน การจดั การศกึ ษาระดับปฐมวัยตามความคิดเห็นของผู้ปกครองนักเรียน โรงเรียนเทศบาลเมอื งปทุมธานี โดยรวมอยใู่ น ระดบั มากเมอ่ื พิจารณาเปน็ รายดา้ น พบว่า ด้านทีม่ ีปญั หาการดาเนนิ การสงู สุด คือ ดา้ นการบูรณาการการเรียนรู้ รองลงมาคือด้านหลกั สตู รที่เหมาะสม ด้านกิจกรรมสง่ เสริมพฒั นาการด้านการประเมินพฒั นาการ ด้านความสัมพนั ธ์ ระหว่างผู้สอนและผู้ปกครอง และด้านสภาพแวดลอ้ มตามลาดบั 2) ผู้ปกครองที่มีระดับการศกึ ษาตา่ งกันมีปญั หา ในการจดั การศึกษาระดบั ปฐมวัยตามความคิดเหน็ ของผู้ปกครองนักเรียน โดยภาพรวมไม่ตา่ งกนั เมือ่ พจิ ารณา เปน็ รายดา้ น พบว่า ด้านบูรณาการการเรียนรู้ต่างกันอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05 ส่วนดา้ นอ่นื ๆ ไมต่ า่ งกนั 5. ปญั หาการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ ของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวัดสกลนคร จาแนกตามความเหน็ ของผู้บริหาร และครูผู้สอนในโรงเรียนที่ดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ พบวา่ ปัญหา การดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ ของโรงเรียนประถมศึกษาในจงั หวดั สกลนครจาแนกตาม ความคิดเหน็ ของผู้บริหารสถานศกึ ษา และครผู ู้สอนโดยรวมแตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .01 และเม่อื พิจารณาเป็นรายดา้ น พบว่า ความเหน็ ทกุ ด้านไม่แตกตา่ งกัน ซึ่งสอดคล้องตามสมมตฐิ านทีต่ ้ังไว้ ท้ังนีอ้ าจ
70 เน่อื งมาจาก ผู้บริหารเป็นผู้กาหนดแนวทางในการดาเนินงานตามโครงการโรงเรียนประชารฐั ทาให้ครูผู้สอนซึ่งเปน็ ผู้รบั ทราบแนวปฏบิ ัตจิ ากผู้บริหารและเป็นผู้ลงมอื ปฏบิ ตั ยิ งั ขาดความเข้าใจในตัวโครงการโรงเรียนประชารฐั และมี ข้อจากดั อน่ื หลายประการ โดยเฉพาะการกระจายอานาจในการบริหารจดั การแบบมสี ่วนร่วม ซึ่งสอดคล้องกบั งานวจิ ยั ของ เมษ ตัลยารกั ษ์ (2548, บทคดั ยอ่ ) ได้ทาการวิจัยเรื่องการประเมินโครงการหนง่ึ อาเภอ หนึง่ โรงเรียน ในฝัน ของโรงเรียนท้ายเหมอื งวิทยา เขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาพังงา พบวา่ ปญั หา/อุปสรรคในการดาเนินงานโครงการ หน่งึ อาเภอ หนึง่ โรงเรียนในฝัน ด้านคุณภาพผู้เรียน มีประเดน็ สาคัญคือ โรงเรียนมโี ครงการหรือกิจกรรมที่สง่ เสริม นักเรียนให้รกั การอา่ นนอ้ ย บรรยากาศในการเรียนรู้มีน้อย คอมพวิ เตอร์มีไม่เพยี งพอ ส่อื ICT และแหล่งเรียนรู้แต่ละ แห่งมสี ่อื วสั ดอุ ุปกรณน์ อ้ ย กิจกรรมเพ่มิ พนู ทกั ษะภาษาอังกฤษนอกเหนอื จากการเรียนการสอนมนี อ้ ย นักเรียนไม่ได้ สัมผสั กับเจ้าของภาษาโดยตรง การสบื ค้นและใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศภายนอกโรงเรียนทาได้ยาก ครูขาดความรู้ เกี่ยวกบั การใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศและการสร้างส่อื ICT ในการเรียนการสอน และขาดบุคลากรที่สนับสนนุ แนะนา ในเรื่อง ICT ห้องปฏบิ ตั กิ ารที่ใชส้ อ่ื ICT มไี มเ่ พยี งพอ หลักสูตรการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ไมค่ รอบครุมซอฟแวร์ ใหมๆ่ และด้านความเปน็ ไทย กจิ กรรมในชมุ ชนที่สร้างโอกาสใหน้ ักเรียนได้แสดงออกทางศลิ ปะมีน้อย 6. ปัญหาการดาเนนิ งานตามโครงการโรงเรียนประชารัฐ ของโรงเรียนประถมศึกษาในจังหวดั สกลนคร จาแนกตามขนาดของโรงเรียน ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั ซึง่ ไมส่ อดคล้องตามสมมตฐิ านที่ต้ังไว้ ทงั้ น้ีอาจเน่อื งมาจาก โครงการโรงเรียนประชารฐั เป็นโครงการที่มกี ารตอ่ ยอดมาจากโครงการโรงเรียนดปี ระจาตาบล ซึง่ โรงเรียนที่เข้าร่วม โครงการโรงเรียนประชารฐั ส่วนมากก็มาจากโรงเรียนทีผ่ ่านการประเมินโครงการโรงเรียนดปี ระจาตาบล ทาให้พอมี ประสบการณ์ในการดาเนนิ โครงการ เวลาเกิดปญั หา จึงเกิดปญั หาในลกั ษณะท่ใี กล้เคียงกัน เพราะโรงเรียนแตล่ ะ ขนาด ก็มีการจัดวางแผนในการทาโครงการเรียบร้อยก่อนแลว้ สอดคลอ้ งกบั คะนึงนิจ ตัญกาญจน์ (2549, บทคัดยอ่ ) ได้ศึกษาเรื่องการศึกษาสภาพและปัญหาการประเมินสภาพจริงในช่วงช้ันที่ 3 โรงเรียนในสังกัดสานักงาน เขตพ้นื ที่การศึกษาชลบรุ ี เขต 1 จาแนกตามขนาดโรงเรียนพบวา่ ไมแ่ ตกตา่ งกนั สอดคล้องกบั ธนติ ย์ ทองทาย (2549, บทคัดยอ่ ) ได้ศึกษาวิจยั ความสมั พันธ์ระหว่างการใชอ้ านาจกับความพึงพอใจในการปฏบิ ตั งิ านของขา้ ราชการครูใน โรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาสระแก้ว เขต 1 พบวา่ ความพึงพอใจในการปฏบิ ตั งิ านของ ข้าราชการครูจาแนกตามขนาดโรงเรียนไม่แตกต่างกัน เอกสารอา้ งองิ กระทรวงศึกษาธกิ าร สานกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา. (2555). แนวทางการพฒั นาและประเมิน การอา่ น คิด วเิ คราะห์ เขียน ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐานพทุ ธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพมิ พช์ ุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จากัด. กาญจนา หงส์สยาพร. (2554). รายงานการวิจัยการประเมินโครงการโรงเรียนดศี รีตาบลกรณีศกึ ษา โรงเรียนบ้านวงั เกษตร สงั กัดสานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 1 อทุ ยั ธานี. เกสินี ชิวปรีชา. (2555). การพฒั นารูปแบบการบริหารแบบมสี ่วนร่วมสาหรับโรงเรียนดศี รีตาบล. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ด. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. เกือ้ กูล เครอื วลั ย.์ (2557). การศึกษาการดาเนนิ งานโรงเรียนดศี รีตาบล ตามเป้าหมายดัชนวี ดั สภาพความสาเรจ็ สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 1. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. พษิ ณุโลก : มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั พบิ ลู สงคราม.
71 องคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารท่สี ่งผลตอ่ ประสิทธิผลโรงเรยี น สังกดั สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 The Transformation Leadership factors Of Administrators Affecting School Effectiveness In Schools Under The Office Of Nakhon Phanom Primary Education Service Area 2 อัฒนศักดิ์ สิทธิ* รองศาสตราจารย์ ดร.ปรีชา คมั ภีรปกรณ์** ดร.รัชฎาพร พิมพิชยั *** บทคดั ย่อ การวจิ ัยครั้งนมี้ คี วามมุ่งหมายเพอ่ื ศึกษา เปรียบเทียบ หาความสมั พนั ธ์ หาอานาจพยากรณ์ และหาแนวทาง พฒั นาภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนทีส่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลโรงเรียน กลุ่มตวั อยา่ งทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ครงั้ น้ี เปน็ ผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียนสังกดั สานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ปีการศึกษา 2560 จานวน 375 คน ประกอบด้วย ผู้บริหารโรงเรียน จานวน 97 คน และครผู ู้สอน จานวน 278 คน จาก 97 โรงเรียน เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบ สัมภาษณเ์ พอ่ื การวิจยั แบบคร่งึ โครงสร้าง สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ รอ้ ยละ (Percentage) ค่าเฉลีย่ (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าสหสมั พนั ธ์อยา่ งง่ายของเพยี ร์สัน (Pearson’s Product Moment Correlation) การทดสอบค่าที (t-test ชนิด Independent Sample) การวเิ คราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One – Way ANOVA) และวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบเป็นขน้ั ตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวจิ ัย พบวา่ 1. องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอน โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดบั มาก 2. องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอน โดยรวมแตกต่างกันอยา่ งมีนัยสาคญั ทีร่ ะดบั .01 โดยผู้บริหารมคี วามเหน็ มากกวา่ ครูผู้สอน 3. องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอน ทีอ่ ยใู่ นโรงเรียนขนาดต่างกนั โดยรวมและรายด้าน ไม่แตกตา่ งกนั 4. องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารโรงเรียนและ ครผู ู้สอน ทม่ี ปี ระสบการณ์ทางานตา่ งกนั โดยรวมและรายด้านแตกตา่ งกนั อย่างมนี ยั สาคญั ทีร่ ะดบั .01 โดยผู้บริหาร และครูที่มีประสบการณ์ทางานมากกวา่ 20 ปี มีความคิดเห็นสงู กว่าผู้บริหารและครูทีม่ ีประสบการณ์ทางาน 10–20 ปี และนอ้ ยกว่า 10 ปี 5. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดบั มาก 6. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน อยู่โดยรวม แตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสาคัญทร่ี ะดับ .01 โดยผู้บริหารมคี วามเห็นมากกวา่ ครูผู้สอน คาสาคัญ : ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลง, ประสิทธิผลโรงเรียน * ครุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ** อาจารย์ประจาหลกั สูตรครศุ าสตรมหาบัณฑิต และหลกั สูตรปรัชญาดษุ ฎีบณั ฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร *** ครูชานาญการพิเศษ โรงเรียนอนบุ าลเต่างอย สงั กัดสานกั งานเขตพนื้ ที่การศกึ ษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 1
72 7. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน ท่อี ยู่ในโรงเรียนขนาด ตา่ งกนั โดยรวมและรายดา้ น ไมแ่ ตกตา่ งกนั 8. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครผู ู้สอน ทม่ี ปี ระสบการณท์ างาน ตา่ งกนั โดยรวมแตกตา่ งกนั อยา่ งมีนยั สาคัญทีร่ ะดบั .01 โดยผบู้ ริหารและครทู ี่มีประสบการณ์ทางานมากกวา่ 20 ปี มคี วามคิดเหน็ สงู กว่าผู้บริหารและครทู ีม่ ีประสบการณ์ทางาน 10 – 20 ปี และน้อยกวา่ 10 ปี 9. องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารและประสิทธิผลโรงเรียน โดยรวม มคี วามสมั พนั ธ์กันทางบวกอย่างมนี ยั สาคญั ท่รี ะดบั .01 10. องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียน จานวน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านระดม ความร่วมมอื ผกู พัน ดา้ นสร้างวสิ ัยทศั น์ร่วมเชงิ อดุ มการณ์ และด้านสร้างแรงบันดาลใจ ท่สี ามารถพยากรณ์ระดบั ประสิทธิผลโรงเรียน โดยรวม ได้อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .01 โดยมีอานาจพยากรณร์ ้อยละ 65.90 และมีความคลาดเคลือ่ นมาตรฐานของการพยากรณ์ ±0.22726 11. ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนที่ควรได้รบั การพฒั นา จานวน 4 ด้าน ได้แก่ ด้านระดมความร่วมมอื ผกู พนั ดา้ นสร้างวสิ ยั ทศั น์ร่วมเชงิ อุดมการณ์ ด้านสร้างแรงบันดาลใจ ดา้ นกระตนุ้ ปัญญา และความคิดสร้างสรรค์ โดยผู้วจิ ัยได้นาเสนอแนวทางการพฒั นาไวด้ ้วย ABSTRACT The purposes of this research were to investigate, compare, explore relationship, predicted power and guidelines for development transformation leadership factors of administrators affecting school effectiveness in schools. The sample consisted of 97 school administrators and 278 teachers under the office of Nakhon Phanom Primary Education Service Area 2 in the academic year 2017. The data collecting instruments were the set of five level rating scale questionnaires and semi-structure interview. The data analyzing were percentage, mean, standard deviation, t-test (Independent samples), F-test (One way ANOVA), Pearson’s product moment coefficient and stepwise multiple regression analysis. The results of the study were as follows: 1. The transformation leadership factors of administrators in the opinions of school administrators and teachers in each aspects and overall at the high level 2. The transformation leadership factors of administrators in the opinions of school administrators and teachers overall differed significantly at the .01 level with the opinions of school administrators higher than teachers. 3. The transformation leadership factors of administrators in the opinions of school administrators and teachers who working in the school of different size overall was not different. 4. The transformation leadership factors of administrators in the opinions classified by working experience of school administrators and teachers overall differed significantly at the .01 level with the opinions of school administrators and teachers who have working experience more than 20 years higher than who working experience between 10 – 20 years and less than 10 years.
73 5. The effectiveness of schools in the opinions of school administrators and teachers in each aspects and overall at the high level. 6. The effectiveness of schools in the opinions of school administrators and teachers overall differed significantly at the .01 level with the opinions of school administrators higher than teachers. 7. The effectiveness of schools in the opinions of school administrators and teachers classified by school size in each aspects and overall was not different. 8. The effectiveness of schools in the opinions of school administrators and teachers classified by working experiences overall differed significantly at the .05 level with the opinions of school administrators and teachers who have working experience more than 20 years higher than who working experience between 10 – 20 years and less than 10 years. 9. The transformation leadership factors of administrators and the effectiveness of Schools showed the positive relationship at the .01 level of significance. 10. The three factors of the transformation leadership of administrators could predicted the effectiveness of schools were at the .01 level of significance with the predicting power of 65.90 percent and standard error of ±0.22726. 11. The approaches to development The Transformation Leadership factors of Administrators comprising as following : Promotion of collaboration and mobilization, Creation of a shared ideological vision, Inspirational Motivation and Intellectual Stimulating and creativity. Keywords : The Transformation Leadership, Effectiveness In Schools. ภูมหิ ลงั การจัดการศกึ ษาเป็นกลยทุ ธ์หลกั ในการพฒั นาทรพั ยากรดา้ นมนุษยข์ องนานาอารยประเทศ เพ่อื พัฒนา คุณภาพประชากรไปสู่ความสาเรจ็ และสามารถแข่งขันกับนานาชาติ สามารถยืนหยดั อยู่ไดใ้ นสังคมโลกอย่างมศี ักดศ์ิ รี และสอดรบั ตอ่ การเปลีย่ นแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 ดงั นนั้ การจดั การศึกษายคุ ใหมจ่ ึงตอ้ งมกี ารปรับเปลี่ยนท้ัง แนวคิด สาระ ตลอดจนแนวทางในการจัดการศึกษาท่ีมงุ่ เนน้ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการปฏบิ ตั ิ พัฒนาให้ผู้เรียน เกิดทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 อันเปน็ การเตรียมความพร้อมของผู้เรียนให้สามารถปรับตัวได้อยา่ งเหมาะสมกับการ เปลีย่ นแปลงของกระแสสงั คมในโลกทุกรูปแบบ (สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศกึ ษา, 2553, คานา) ซึง่ ประเทศไทย ได้ให้ความสาคัญต่อการพฒั นาด้านการจัดการศึกษาให้สามารถพฒั นาทรัพยากรมนษุ ยเ์ พ่อื ตอบสนองตอ่ ความ ตอ้ งการของสงั คมในระดบั โลกและประเทศชาติมาอย่างตอ่ เน่อื ง โดยในแผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 ได้กาหนดเป้าหมายของการจดั การศึกษา (Aspirations) ให้การศกึ ษาเป็นกลไกหลักในการพัฒนาทรพั ยากรมนุษยใ์ ห้มี ความเป็นพลเมอื งมีทักษะ ความรคู้ วามสามารถ และสมรรถนะในการปฏบิ ัตงิ านที่ตอบสนองความตอ้ งการของ ตลาดแรงงาน และการพัฒนาประเทศ และดารงชวี ติ ในสงั คมอยา่ งเป็นสุขในพลวตั แหง่ ศตวรรษที่ 21 อนั มสี ถานศกึ ษา เปน็ องค์กรหลักในการจดั การศึกษา โดยมีกลไกการบริหารสถานศกึ ษาที่มีประสิทธิภาพเพอ่ื พัฒนาให้สถานศกึ ษานน้ั เกิดประสิทธิผลครอบคลมุ ในทกุ มติ ขิ องการพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ยต์ ามแผนการจดั การศึกษาของประเทศไทย (แผนการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2560 – 2579, 2560, หนา้ 80 - 82)
74 การเปลีย่ นแปลงของสังคมโลกในยคุ ปัจจุบนั สง่ ผลใหผ้ ู้บริหารสถานศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 ตอ้ งเปน็ ผู้บริหาร ทีม่ ีภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง (Transformational Leadership) (Schleicher, 2015, p. 34) โดยมงุ่ เนน้ ทีก่ ระบวนการ กระตนุ้ ส่งเสริม หรอื สร้างแรงจงู ใจ เพอ่ื เข้าถึงจิตใจของผู้ตามให้เกิดความตอ้ งการพฒั นาเปลีย่ นแปลง หรอื ขับเคลื่อน องคก์ รให้บรรลจุ ุดมุ่งหมายร่วมกัน (Bass & Avolio, 1994, pp. 124 – 125) ดงั นั้นภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของ ผู้บริหารสถานศกึ ษาจึงเปรียบเสมอื นพลงั ที่จะผลกั ดันให้สถานศกึ ษานน้ั ก้าวสกู่ ารบริหารจัดการและการจดั การศกึ ษา อย่างมปี ระสิทธิภาพ นาไปสู่การบรรลปุ ระสิทธิผลของโรงเรียน ซึ่งเป็นตวั ชวี้ ดั ทีส่ ะท้อนได้ทั้งความสาเรจ็ และปัญหา ในการบริหารจดั การภายในสถานศกึ ษาของผู้บริหารโรงเรียน ดังนนั้ ผู้บริหารและบุคลากรในสถานศกึ ษาในหลายแหง่ จึงได้นาประสิทธิผลของโรงเรียนมาใช้เป็นแนวทางในการกาหนดกลยุทธ์ในการจดั การศึกษาเพอ่ื ให้บรรลุเป้าหมาย ตามประสิทธิผลโรงเรียน อนั แสดงให้เหน็ ถึงความสามารถในการบริหารจดั การของผู้บริหารในสถานศึกษานั้น โดยใน ปัจจุบนั มกี ารศึกษาจานวนมาก ช้ใี ห้เห็นถึงความเชอ่ื มโยงระหวา่ งภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของสถานศกึ ษากบั การ พฒั นาประสิทธิผลของโรงเรียน โดยในการศึกษาของ อจั ชรา วรีฤทธิ์ (2553, หน้า 75) พบว่า ภาวะผู้นาการ เปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนมคี วามสมั พนั ธ์เชงิ บวกกับประสิทธิผลของโรงเรียนอยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิติ เชน่ เดียวกบั ผลการศึกษาของกันทิมา ชัยอดุ ม และภารดี อนันตน์ าว (2557, หนา้ 23) พบวา่ ภาวะผู้นาการ เปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียนมคี วามสัมพนั ธ์กับประสิทธิผลของสถานศึกษาสังกัดสานกั งานเขตพ้นื ที่การศึกษา ประถมศึกษาอย่างมนี ยั สาคัญทางสถิติ นอกจากนี้ เช่ยี วชาญ ภาระวงค์, อนันต์ ปานศุภวัชร และวาโร เพง็ สวสั ดิ์ (2555, หน้า 104) ยังพบวา่ ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน มีความสัมพันธ์กันในเชงิ บวกในระดับสูง กับประสิทธิผลการบริหารวชิ าการของโรงเรียนมัธยมศกึ ษา ซึง่ สนบั สนุนการศึกษาของโสภิณ มว่ งทอง, ภารดี อนันต์ นาวี และ สิทธิพร นิยมศรีสมศกั ด์ิ (2556, หนา้ 19) ท่พี บวา่ ปจั จัยดา้ นพฤตกิ รรมการบริหารของผู้นาสามารถ พยากรณ์ประสิทธิผลของโรงเรียนได้ร้อยละ 60 อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ สอดคลอ้ งกับการศึกษาของ ลลิตา พลพงษ์, สทุ ธิวรรณ ตนั ตริ จนาวงศ์, สุภมาส องั ศโุ ชติ และทัสนี วงศย์ นื (2559, หน้า 103) ทพ่ี บวา่ ภาวะผู้นาส่งผลตอ่ ทางบวกต่อประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียน สอดคลอ้ งกบั การสงั เคราะห์งานวิจัยเกี่ยวกบั ปจั จัยที่มีอิทธิพลตอ่ ประสิทธิผลของการบริหารสถานศกึ ษา ของ สดุ าพร ทองสวัสดิ์ และสุจิตรา จรจิต (2556, หน้า 338) ทส่ี รปุ ไวว้ า่ ปัจจัยดา้ นผู้บริหารเป็นหนึง่ ในปัจจัยที่มีอิทธิพลตอ่ ประสิทธิผลการบริหารสถานศกึ ษา ดงั นนั้ เพ่อื ให้เกิดความรู้ความเขา้ ใจเกีย่ วกับองคป์ ระกอบของภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงที่ครอบคลุมมากขึน้ ผู้วิจยั จึงสนใจท่จี ะสงั เคราะห์องค์ประกอบของภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงจากการศึกษาท่ผี า่ นมา เพอ่ื ศึกษาถึงอานาจ พยากรณ์ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงทีส่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลโรงเรียนสงั กดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษาประถมศึกษา นครพนม เขต 2 เพอ่ื นาผลการศกึ ษามาประยุกตใ์ ชเ้ ปน็ แนวทางการพฒั นาภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ของโรงเรียนสงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ทง้ั ยังเป็นประโยชน์ต่อบุคลากรด้าน การศึกษาในการพัฒนาภาวะผนู้ าการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนและเปน็ ประโยชนต์ อ่ บคุ ลากรด้านการศกึ ษา ในการพฒั นาภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงและประสิทธิผลของโรงเรียนต่อไป คาถามการวิจยั 1. องคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอน อยู่ในระดบั ใด 2. องคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน มคี วามแตกตา่ งกนั หรือไมอ่ ย่างไร
75 3. องคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน ที่มีความแตกต่างกันในดา้ นขนาดของโรงเรียน มีความแตกต่างกันหรือไม่ อยา่ งไร 4. องคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน ที่มีความแตกต่างกันในดา้ นประสบการณ์การทางาน มคี วามแตกต่างกนั หรือไม่ อยา่ งไร 5. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน อยู่ในระดับใด 6. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารโรงเรียนและครผู ู้สอน มีความแตกตา่ งกนั หรือไมอ่ ย่างไร 7. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครผู ู้สอน ทม่ี คี วามแตกต่างกนั ในดา้ น ขนาดของโรงเรียน มคี วามแตกตา่ งกันหรือไม่ อยา่ งไร 8. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารโรงเรียน และครผู ู้สอน ท่มี คี วามแตกตา่ งกันในด้าน ประสบการณ์การทางาน มคี วามแตกต่างกนั หรือไม่ อยา่ งไร 9. องคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารกับประสิทธิผล ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร และครูผู้สอนมคี วามสัมพนั ธ์กัน หรอื ไม่ อย่างไร 10. องคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารโรงเรียน และครูผู้สอนในแต่ละด้าน มีอานาจพยากรณ์ประสิทธิผลของโรงเรียน หรือไม่ อยา่ งไร 11. แนวทางพฒั นาภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร มีอะไรบ้าง อย่างไร ความมงุ่ หมายของการวิจัย 1. เพ่อื ศึกษาองค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียน และครผู ู้สอน 2. เพอ่ื เปรียบเทียบองคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร ตามความคดิ เหน็ ของผู้บริหาร โรงเรียนและครผู ู้สอน 3. เพอ่ื เปรียบเทียบองคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร ตามความคดิ เห็นของผู้บริหาร โรงเรียนและครูผู้สอน ทีม่ ีลักษณะต่างกันในดา้ นขนาดของโรงเรียน 4. เพอ่ื เปรียบเทียบองคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร ตามความคดิ เห็นของผู้บริหาร โรงเรียนและครูผู้สอน ทีม่ ีลกั ษณะต่างกนั ในดา้ นประสบการณก์ ารทางาน 5. เพอ่ื ศึกษาประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครผู ู้สอน 6. เพอ่ื เปรียบเทียบประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน 7. เพอ่ื เปรียบเทียบประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผบู้ ริหารโรงเรียนและครผู ู้สอน ท่มี ลี ักษณะ ตา่ งกนั ในดา้ นขนาดของโรงเรียน 8. เพอ่ื เปรียบเทียบประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารโรงเรียนและครผู ู้สอน ที่มีลักษณะ ตา่ งกนั ในดา้ นประสบการณก์ ารทางาน 9. เพ่อื ศึกษาความสัมพนั ธ์ระหว่างองค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารและประสิทธิผล โรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอน 10. เพ่อื หาอานาจพยากรณข์ ององคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเห็นของ ผู้บริหารและครูผู้สอน ในแต่ละด้าน ตอ่ ประสิทธิผลของโรงเรียน 11. เพอ่ื หาแนวทางพัฒนาภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียน
76 กรอบแนวคดิ การวิจัย ตัวแปรอิสระ องคป์ ระกอบภาวะผ้นู ากตาัวรแเปปลรยี่ตนามแปลงของผู้บริหาร 6 ด้าน 1. สถานภาพ 1. สรา้ งวิสัยทัศน์ร่วมเชิงอดุ มการณ์ 2. คานึงถงึ ผู้ตามเป็นรายบคุ คล 1.1 ผู้บริหาร 1.2 ครูผู้สอน 2. ขนาดโรงเรียน 3. กระตุ้นปญั ญาและความคิดสรา้ งสรรค์ 4. พฤติกรรมทีเ่ ป็นแบบอย่าง 2.1 ขนาดเลก็ 2.1 ขนาดกลาง 5. สรา้ งแรงบันดาลใจ 6. ระดมความร่วมมือผกู พัน 2.2 ขนาดใหญ่ 3. ประสบการณ์ในการทางาน ประสิทธิผลโรงเรยี น ตามขอบข่ายงาน 4 ด้าน 3.1 น้อยกว่า10 ปี 3.2 10-20 ปี 3.2 มากกว่า 20 ปี 1. ด้านวิชาการ 2. ด้านงบประมาณ วิธีดาเนนิ การวิจัย 3. ด้านการบรหิ ารงานบคุ คล 4. ดา้ นการบรหิ ารทวั่ ไป แนวทางการพัฒนาภาวะผนู้ าการเปลยี่ นแปลงของผู้บริหารสถานศกึ ษา สงั กัดสานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดการวิจัย ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 1. ประชากรทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ครั้งน้ี ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอนในโรงเรียน สงั กดั สานักงานเขต พ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 จานวน 1,813 คน จากโรงเรียน 185 แห่ง จาแนกเป็นโรงเรียน ขนาดใหญ่ 22 แห่ง โรงเรียนขนาดกลาง จานวน 70 แห่ง ขนาดเล็ก จานวน 93 แห่ง 2. กลุ่มตวั อยา่ งท่ใี ชใ้ นการวิจยั ครงั้ น้ีได้แก่ ผู้บริหารและครูผู้สอนสงั กดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศกึ ษา ประถมศึกษานครพนม เขต 2 ปีการศกึ ษา 2560 ผู้วิจัยกาหนดกลุ่มตัวอยา่ งโดยใชต้ ารางกาหนดขนาดกลุ่มตวั อยา่ ง ของเครซีแ่ ละมอร์แกน (Krejcie & Morgan) ได้กลมุ่ ตัวอยา่ งข้ันตา่ จานวน 317 คน แต่ในการวจิ ัยครงั้ น้ี กาหนดกลมุ่ ตัวอยา่ งจานวน 375 คน จาแนกเป็นผู้บริหาร จานวน 97 คน และครผู ู้สอน จานวน 278 คน เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมล เครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการรวบรวมขอ้ มูลเป็นแบบสอบถาม (Questionnaire) ผู้วิจัยสร้างขึน้ เอง ซึ่งแบ่งออกเปน็ 3 ตอน ตอนที่ 1 เปน็ แบบสารวจรายการ (Checklist) สอบถามสถานภาพการดารงตาแหนง่ ขนาดโรงเรียน และประสบการณ์ทางาน ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดบั ตามแบบของลเิ คิร์ท (Likert Rating Scale) สอบถามเกีย่ วกับองคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลง ตอนที่ 3 เป็นแบบสอบถามมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดบั ตามแบบของลเิ คิร์ท (Likert Rating Scale) สอบถามเกีย่ วกบั ประสิทธิผลโรงเรียน ผู้วิจัยสร้างนาแบบสอบถามทผ่ี า่ นการตรวจสอบจากท่ปี รึกษาวทิ ยานพิ นธ์แล้ว เสนอให้ผู้เช่ียวชาญ จานวน 5 ท่าน เพอ่ื ตรวจสอบความตรงเชงิ เน้อื หา (Content Validity) แก้ไขปรับปรงุ นาแบบสอบถามไปทดลองใช้ กับผู้บริหารสถานศกึ ษาและครใู นโรงเรียน สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 จานวน 50 ชุด เพือ่ หาค่าอานาจจาแนกรายข้อโดยการหาค่าสหสัมพันธ์อยา่ งง่าย (Item total Correlation) ของ Pearson และหาค่าความเชอ่ื ม่ันของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) โดยมีคา่ อานาจจาแนก อยรู่ ะหว่าง 0.32 – 0.95 ค่าความเชอ่ื มนั่ ทง้ั ฉบบั เท่ากับ 0.95
77 การเก็บรวบรวมข้อมลู ผู้วิจยั นาหนังสอื จากสานกั งานบณั ฑิตวทิ ยาลัยมหาวทิ ยาลัยราชภฏั สกลนคร ส่งถึงผู้อานวยการ สถานศกึ ษา สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 เพอ่ื ขอความอนุเคราะห์ในการเก็บ รวบรวมขอ้ มูล และจัดสง่ แบบสอบถามจานวน 375 ฉบบั ไปยังโรงเรียนทีม่ ีกลมุ่ ตัวอย่าง และหลงั จากกลุ่มตวั อยา่ ง ตอบแบบสอบถามแล้ว ผู้วิจยั ไปรับแบบสอบถามด้วยตนเอง สถิตทิ ใี่ ชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ค่าเฉลีย่ (Mean) คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ค่าร้อยละ (Percentage) การทดสอบค่า t (t-test) แบบ Independent Samples การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว F-test (One way ANOVA) การหาคา่ สัมประสิทธิส์ หสมั พนั ธ์แบบ Pearson’s Product Moment Coefficient และการวิเคราะห์สมการพหุคณู แบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) สรปุ ผลการวิจัย 1. องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดบั มาก 2. องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอน โดยรวมแตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสาคญั ที่ระดับ .01 โดยผู้บริหารมคี วามเห็นมากกวา่ ครูผู้สอน 3. องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอน ที่อยใู่ นโรงเรียนขนาดต่างกัน โดยรวมและรายด้าน ไม่แตกตา่ งกนั 4. องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและ ครผู ู้สอน ท่มี ปี ระสบการณ์ทางานตา่ งกัน โดยรวมและรายด้านแตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสาคญั ที่ระดับ .01 โดยผู้บริหาร และครูที่มีประสบการณ์ทางานมากกวา่ 20 ปี มีความคิดเห็นสงู กว่าผู้บริหารและครูที่มีประสบการณ์ทางาน 10–20 ปี และนอ้ ยกว่า 10 ปี 5. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารโรงเรียนและครผู ู้สอน โดยรวม และรายด้าน อยู่ในระดบั มาก 6. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารโรงเรียนและครผู ู้สอน อยู่โดยรวม แตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสาคญั ทร่ี ะดบั .01 โดยผู้บริหารมคี วามเห็นมากกวา่ ครูผู้สอน 7. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารโรงเรียนและครผู ู้สอน ทอ่ี ยู่ในโรงเรียนขนาดต่างกัน โดยรวมและรายด้าน ไมแ่ ตกตา่ งกัน 8. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารโรงเรียนและครูผู้สอน ทม่ี ปี ระสบการณท์ างานต่างกนั โดยรวมแตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสาคญั ที่ระดับ .01 โดยผู้บริหารและครทู ีม่ ีประสบการณ์ทางานมากกวา่ 20 ปี มคี วามคิดเหน็ สงู กว่าผู้บริหารและครูทีม่ ีประสบการณ์ทางาน 10 – 20 ปี และน้อยกวา่ 10 ปี 9. องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารและประสิทธิผลโรงเรียน โดยรวมมีความสมั พนั ธ์กนั ทางบวกอย่างมนี ัยสาคญั ทร่ี ะดบั .01 10. องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียน จานวน 3 ด้าน ได้แก่ ด้านระดม ความร่วมมอื ผกู พนั ดา้ นสร้างวสิ ยั ทัศน์ร่วมเชงิ อดุ มการณ์ และด้านสร้างแรงบันดาลใจ ท่สี ามารถพยากรณ์ระดับ ประสิทธิผลโรงเรียน โดยรวม ได้อยา่ งมีนัยสาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดบั .01 โดยมีอานาจพยากรณร์ ้อยละ 65.90 และมีความคลาดเคลือ่ นมาตรฐานของการพยากรณ์ ±0.22726
78 11. แนวทางพัฒนาภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียน ทค่ี วรได้รับการพฒั นา จานวน 4 ด้าน คือ ด้านสร้างวสิ ัยทัศน์ร่วมเชงิ อุดมการณ์ ด้านการระดมความรว่ มมือผูกพนั ด้านสร้างแรงบันดาลใจ และด้านกระตนุ้ ปญั ญาและความคิดสร้างสรรคซ์ ึง่ วิธีการพฒั นาประกอบด้วย การพฒั นาตนเอง การศึกษาดงู านองคก์ รที่ประสบ ผลสาเรจ็ และเปน็ เลิศ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างหน่วยงาน การจดั ประชุมเชงิ ปฏบิ ตั กิ าร อภปิ รายผลการวิจยั 1. องคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษา ประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอน โดยภาพรวมและรายดา้ น อยใู่ นระดบั มาก เมอ่ื พิจารณาเป็นรายดา้ น พบว่าอยู่ในระดบั มากทกุ ด้าน เรียงลาดบั จากมากไปหาน้อย ดังนี้ คอื ด้านพฤติกรรมที่เป็น แบบอย่าง ด้านกระตุ้นปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ ดา้ นสร้างแรงบนั ดาลใจ ด้านสร้างวสิ ัยทัศน์ร่วมเชงิ อุดมการณ์ ด้านระดมความร่วมมอื ผูกพนั และคานงึ ถึงผู้ตามเป็นรายบุคคล ตามลาดับ ซงึ่ สอดคล้องกับสมมตุ ฐิ านทีผ่ ู้วจิ ยั ตง้ั ไว้ ท้ังนีเ้ น่อื งจากในปจั จบุ นั เป็นยุคแห่งการเปลีย่ นแปลง ทุกองค์กรจะตอ้ งเผชญิ สภาวะการเปลีย่ นแปลง ผู้บริหารจึง จาเปน็ ต้องแสดงภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงในทุกดา้ น เพื่อผลักดนั ให้สมาชกิ ในองค์กรปฏบิ ตั งิ านให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากท่สี ุด ซงึ่ สอดคล้องกบั ผลการศึกษาของนฤมล โยคานกุ ูล (2556, หนา้ 95-97) ได้ทาการวจิ ยั เรือ่ งภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารสถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน สังกัดองค์การบริหารส่วนจงั หวัดนครราชสมี า พบวา่ ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารสถานศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน สงั กดั องค์การบริหารส่วนจังหวดั นครราชสมี า โดยรวมและรายดา้ นมกี ารปฏบิ ตั ใิ นระดับมากทีส่ ุด โดยดา้ นทีม่ ี การปฏบิ ัตสิ ูงสุดคอื ด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญา รองลงมา คือ ด้านการสร้างบารมี ส่วนด้านทีม่ ีระดับการปฏบิ ตั ติ ่าสุด คือ ด้านการคานึงถึงความแตกต่างระหว่าง บคุ คล 2. องคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษา ประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน ท่มี สี ถานภาพตา่ งกนั โดยรวมแตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคญั ทร่ี ะดบั .01 ซึ่งสอดคล้องกบั สมมติฐานทีต่ ้ังไว้ เม่อื พิจารณาเป็นรายดา้ นพบวา่ ทกุ ด้าน แตกตา่ งกนั อย่างมนี ยั สาคัญทางสถิตทิ ี่ระดบั .01 โดยผู้บริหารมคี วามคิดเหน็ มากกว่าครผู ู้สอน ทกุ ดา้ น ทงั้ น้เี น่อื งจากการที่ ผู้บริหารและครูผู้สอนอยใู่ นสถานภาพทีแ่ ตกต่างกนั น้ัน ทาให้มมุ มองของการทางานแตกตา่ งกนั หรือมองภาพการ ทางานของอีกฝ่ายได้ไม่ชัดเจนเท่าทีค่ วร โดยผู้บริหารจะมองตนเองว่าเปน็ ผู้นาและผู้แสดงบทบาทหลักของโรงเรียน ทาให้ผู้บริหารมคี วามคิดเหน็ มากกว่าครูผู้สอน ซึง่ สอดคล้องกบั ผลการศึกษาของ จิตรา ทรัพย์โฉม (2556, บทคดั ยอ่ ) ได้ทาการวจิ ยั เรือ่ งความสมั พันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลการ บริหารงานของโรงเรียน สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 พบวา่ ภาวะผู้นาการ เปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียนตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครูผู้สอนในโรงเรียนมคี วามแตกต่างกนั อยา่ งมี นัยสาคญั ทางสถิติทีร่ ะดับ .01 โดยผู้บริหารโรงเรียนมรี ะดบั ความคดิ เห็นมากกวา่ ครผู ู้สอนโดยรวมและรายด้าน 3. องคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษา ประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน ทป่ี ฏบิ ัตหิ นา้ ทใ่ี นโรงเรียนทีม่ ีขนาดแตกตา่ ง กนั มคี วามคิดเห็นเกีย่ วกบั องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหาร โดยภาพรวมและรายด้าน ไม่แตกต่าง กัน ซึ่งไมส่ อดคล้องกับสมมติฐานทีต่ ั้งไว้ ทั้งนเี้ นอ่ื งจาก บริบทในการจดั การศึกษาและสภาการบริหารงานในโรงเรียน แตล่ ะขนาด มีการบริหารจัดการทีค่ ลา้ ยคลึงกนั มีการบริหารเพ่อื รองรบั การเปลีย่ นแปลง อีกทั้งยงั มีความตื่นตัวให้ ตามทันสถานการณท์ ีเ่ ปลีย่ นไปอยตู่ ลอด ดังนั้น ผู้บริหารโรงเรียนแต่ละขนาดจึงแสดงภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลง
79 ในทกุ ๆ ด้านเพอ่ื กระตุ้นให้ครปู ฏบิ ตั งิ านให้บรรลุจุดมุ่งหมายของโรงเรียน ซึง่ สอดคลอ้ งกับผลการศึกษาของ กิตติศกั ดิ์ บุญรงั ศรี (2559, บทคัดยอ่ ) ได้ทาการวจิ ัยเรื่องปจั จยั ที่สง่ ผลตอ่ ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร โรงเรียน สังกัดสานกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาบงึ กาฬ พบวา่ ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน ทป่ี ฏบิ ัตหิ นา้ ทใ่ี นโรงเรียนขนาดต่างกัน โดยรวมและรายด้านทกุ ด้าน ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั 4. องคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษา ประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน ท่มี ปี ระสบการณ์ในการปฏบิ ัตงิ าน ทีแ่ ตกต่างกนั มีความคิดเห็น โดยภาพรวม แตกตา่ งกนั อย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .01 เมอ่ื พิจารณาเป็น รายดา้ น พบว่า ทุกดา้ นมคี วามคิดเห็นแตกต่างกนั อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั .01 ซึ่งสอดคล้องกบั สมมุติฐาน ที่ต้ังไว้ ทั้งนีอ้ าจเป็นเพราะในปัจจุบันน้ันผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีประสบการณ์ในการปฏบิ ัตหิ นา้ ท่มี ายาวนานกว่า มกั ใชป้ ระสบการณ์ในการปฏบิ ตั หิ นา้ ทไ่ี ด้ดีกวา่ ประกอบกบั มคี วามพร้อมดา้ นฐานะจะเขา้ รับการอบรมพฒั นาตนเอง อยู่เสมอ ทาให้การปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ขี องผู้บริหารและครูผู้สอนทีม่ ีประสบการณ์มานานมคี วามคิด แตกตา่ งกนั ซึง่ สอดคล้องกบั ผลการศกึ ษาของกับ กิตติศักดิ์ บญุ รงั ศรี (2559, บทคดั ยอ่ ) ได้ทาการวิจัยเรื่องปัจจยั ทีส่ ง่ ผลตอ่ ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาบงึ กาฬ พบวา่ ภาวะผู้นา การเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอน ท่มี ปี ระสบการณ์ในตาแหน่ง ตา่ งกัน โดยรวมมีความแตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 5. ประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดของผู้บริหารและครผู ู้สอน โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก สอดคล้องกบั สมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนอี้ าจเนือ่ งมาจาก เง่อื นไขของพระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2545) มาตรฐานและการประกนั คุณภาพ ไดก้ าหนดให้สถานศกึ ษาทุกแห่งมรี ะบบประกนั คุณภาพท้ังภายใน และภายนอก จากเหตผุ ลดังกลา่ วทาให้ผู้บริหารและครผู ู้สอนมคี วามต่นื ตวั และกระตือรือร้น ทจ่ี ะพัฒนาโรงเรียน โดยการศกึ ษาดูงานในดา้ นการจดั การ จัดเข้ารับการอบรม ประชุมสัมมนา แลกเปลีย่ นเรียนรู้ ทาให้ผู้บริหารและ ครผู ู้สอนมที ักษะในการทางานเพ่มิ มากขึน้ มีการประสานงานกบั ชุมชนและหนว่ ยงานทีเ่ กีย่ วข้อง มีการบริหารงาน แบบมสี ่วนร่วม โดยรบั ฟังความคิดเห็นจากทุกฝา่ ย มีการระดมสรรพกาลังในทกุ ๆ ด้าน ทาให้โรงเรียนมปี ระสิทธิภาพ และประสิทธิผลสงู ขนึ้ สอดคล้องกบั ผลการศกึ ษาของ ภทั รกร วงศ์สกลุ (2555, บทคัดยอ่ ) ไดท้ างานวิจยั เรือ่ ง ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงกบั ประสิทธิผลของการบริหารงานโรงเรียน สงั กดั กรุงเทพมหานคร ในเขตลาดกระบงั พบวา่ ประสิทธิผลของการบริหารงานโรงเรียน สังกัดกรงุ เทพมหานคร ในเขตลาดกระบัง ในระดบั บุคคลและระดบั องคก์ รมีการปฏบิ ตั อิ ยู่ในระดับมาก โดยครูจะใหค้ วามสาคญั ในระดับองค์กรมากกวา่ ระดบั บคุ คล และสอดคล้องกับ ผลการศึกษาของ ยุวดี ประทมุ (2559, บทคดั ยอ่ ) ได้ทาการวจิ ยั เรื่องปัจจัยการบริหารที่สง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลของ โรงเรียน สงั กดั สานักงานเขตพน้ื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษารอ้ ยเอ็ด เขต 3 พบวา่ ประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ทีการศึกษาประถมศึกษารอ้ ยเอ็ด เขต 2 โดยรวม และรายดา้ นอยู่ในระดบั มาก 6. ประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความ คิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอน ทม่ี สี ถานภาพต่างกัน โดยรวมแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาคญั ที่ระดับ .01 สอดคล้อง กับสมมตฐิ านทีต่ ้ังไว้ เมอ่ื พิจารณาเป็นรายดา้ นพบวา่ ทกุ ด้าน แตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติทีร่ ะดบั 0.1 โดยผู้บริหารมคี วามคิดเหน็ มากกว่าครูผู้สอน ทง้ั น้ีอาจเนือ่ งจาก ผู้บริหารทางานประสานกนั อยา่ งต่อเน่อื ง เน่อื งจาก เป็นหน่วยงานทางการศกึ ษา จึงได้ตระหนกั ถึงความสาคญั ในการยกระดับประสิทธิผลของโรงเรียนให้ดีข้นึ เพื่อให้เป็น ที่ยอมรับจากทกุ ฝ่ายที่เกีย่ วข้อง ซึง่ สอดคล้องกบั ผลการศึกษาของธนติ ทองอาจ (2553, บทคัดยอ่ ) เรื่องภาวะผู้นา การเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลตอ่ ประสิทธิผลของโรงเรียน ในสังกัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษามุกดาหาร
80 พบวา่ การเปรียบเทียบความคิดเห็นของข้าราชการครู จาแนกตามสถานภาพในการทางานทม่ี ตี อ่ ประสิทธิผล ของโรงเรียน แตกตา่ งกนั อย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติที่ระดับ .01 โดยผู้บริหารมคี วามคิดเหน็ มากกว่าครูผู้สอน 7. ประสิทธิผลของโรงเรียน สังกัดสานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความ คิดเห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน ทม่ี ปี ระสบการณ์ในการปฏบิ ัตงิ านที่แตกต่างกนั โดยรวมแตกต่างกันอยา่ งมี นัยสาคัญท่รี ะดบั .01 สอดคล้องกบั สมมติฐานทีต่ ้ังไว้ เม่อื พิจารณาเป็นรายดา้ นพบวา่ ทุกด้าน แตกตา่ งกนั อย่างมี นยั สาคัญทางสถิติทีร่ ะดบั 0.1 ท้ังนอี้ าจเปน็ เพราะในปจั จบุ นั น้ันผู้บริหารและครูผู้สอนทีม่ ีประสบการณ์ในการปฏบิ ตั ิ หนา้ ทม่ี ายาวนานกว่ามกั ใชป้ ระสบการณ์ในการปฏบิ ัตหิ นา้ ทไ่ี ดด้ ีกวา่ ประกอบกับมคี วามพร้อมดา้ นฐานะจะเข้ารับ การอบรมพฒั นาตนเองอยเู่ สมอ ทาให้การปฏบิ ตั หิ นา้ ท่ขี องผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีประสบการณ์มานานมคี วามคดิ แตกตา่ งกนั จึงมมี มุ มองในเรือ่ งประสิทธิผลของโรงเรียนแตกต่างกนั ดว้ ย ซึง่ สอดคล้องกบั ผลการศกึ ษาของ จิตรา ทรพั ย์โฉม (2556, บทคัดยอ่ ) ได้ทาการวจิ ัยเรือ่ งความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหาร โรงเรียนกับประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียน สังกัดสานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 พบวา่ ประสิทธิผลการบริหารงานโรงเรียนตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอนทีม่ ีประสบการณ์ทางาน แตกตา่ งกนั ในโรงเรียนสงั กัดสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 แตกตา่ งกันอย่างมนี ยั สาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดับ .05 8. ประสิทธิผลของโรงเรียน สงั กดั สานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 ตามความ คิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอน ท่อี ยู่ในโรงเรียนขนาดต่างกนั โดยรวมไม่แตกต่างกัน ซึ่งไมส่ อดคล้องกบั สมมติฐาน ท้ังนอี้ าจเปน็ เพราะบริบทในการจดั การศกึ ษาและสภาพการบริหารงานในโรงเรียน มีการบริหารจัดการทีค่ ลา้ ยคลึงกัน เพอ่ื รองรบั การเปลี่ยนแปลง อีกท้ังมีความต่นื ตวั ให้ตามทันเหตกุ ารณท์ ีเ่ ปลี่ยนแปลงไปอยา่ งรวดเรว็ ดังนนั้ ผู้บริหาร โรงเรียนแต่ละขนาดจึงแสดงภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงในทุกๆ ด้านเพ่อื กระตุ้นให้ครูปฏบิ ตั งิ านให้บรรลุจดุ มุ่งหมาย ของโรงเรียน ซึ่งสอดคลอ้ งกับผลการศึกษาของ จิตรา ทรพั ย์โฉม (2556, บทคัดยอ่ ) ได้ทาการวจิ ยั เรื่องความสมั พันธ์ ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนกบั ประสิทธิผลการบริหารงานของโรงเรียน สังกัดสานกั งาน เขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2 พบวา่ ประสทิ ธิผลการบริหารงานโรงเรียนตามความคิดเห็นของ ผู้บริหารและครผู ู้สอนที่มีลักษณะการเปิดสอนแตกต่างกนั ในโรงเรียนสังกดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษา สกลนคร เขต 2 ไมแ่ ตกตา่ งกนั 9. องคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารและประสิทธิผลโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของ ผู้บริหารและครูผู้สอน โดยรวม มคี วามสัมพันธ์กนั ทางบวก อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ี่ระดบั .01 เม่อื พิจารณาเปน็ รายดา้ นพบวา่ ทุกด้านมคี วามสมั พันธ์กนั ทางบวกอย่างมนี ยั สาคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .01 ท้ังนเี้ น่อื งจาก ผู้บริหารใน โรงเรียนสงั กดั สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2 มคี วามมุ่งมนั่ ที่จะทางานให้บรรลุเป้าหมาย สนับสนนุ ให้ผู้ร่วมงานทางานไดอ้ ย่างเต็มศกั ยภาพ ส่งเสริมให้ผรู้ ่วมงานมคี วามใฝ่รู้มากขึ้น สนบั สนนุ ให้ผู้ร่วมงานใช้ เทคโนโลยปี ระกอบการเรียนการสอน และแจ้งขา่ วสารความเปลี่ยนแปลงทางการศกึ ษา และเหตุการณ์ต่างๆ ให้ผู้ร่วมงานทราบสม่าเสมอ อีกทั้งยงั ส่งเสริมให้ผู้ร่วมงานได้พฒั นาตนเองตามศักยภาพให้คาปรึกษาในการปฏบิ ัตงิ าน แก่ผู้ร่วมงานทกุ คน และใหค้ วามเอาใจใส่เป็นกันเองแกผ่ ู้ร่วมงานทกุ คน ส่งผลให้บคุ ลากรในโรงเรียนพัฒนาผู้เรียนจน มคี ณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ตามหลกั สตู ร สอดคลอ้ งกบั ผลการศกึ ษาของพณพร เกษตรเวทิน (2554, บทคัดยอ่ ) ได้ทาการวจิ ัยเรือ่ งภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารที่สง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลของสถานศึกษาในกลุ่มอาเภอสตกึ สังกดั สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศึกษาบรุ ีรมั ย์ เขต 4 พบวา่ ความสมั พนั ธ์ของภาวะผนู้ าการเปลี่ยนแปลงของ ผู้บริหารรายดา้ นกับประสิทธิผลในสถานศึกษาโดยรวม มคี วามสมั พนั ธ์กันอยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .05
81 โดยรวมอยใู่ นระดับสงู โดยเรียงค่าความสัมพนั ธ์จากมากไปนอ้ ยคือ การกระตุ้นใชป้ ัญญา พฤตกิ รรมมงุ่ ความสมั พนั ธ์ รายบุคคล การสร้างบารมี และการสร้างแรงบนั ดาลใจ ตามลาดบั 10. ตวั แปรองคป์ ระกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารที่ส่งผลตอ่ ประสิทธิผลโรงเรียนทาการ ทดสอบโดยใชก้ ารวเิ คราะห์การถดถอยพหคุ ณู แบบเป็นขน้ั ตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) พบวา่ 3 ด้าน ทส่ี ามารถพยากรณ์ประสิทธิผลโรงเรียน โดยภาพรวม ได้อยา่ งมีนยั สาคัญทางสถิตทิ ีร่ ะดับ .01 คือ ด้านระดมความร่วมมอื ผูกพนั ดา้ นสร้างวิสยั ทศั น์ร่วมเชงิ อุดมการณ์ ด้านสร้างแรงบนั ดาลใจ และ พบวา่ 1 ดา้ น ที่สามารถพยากรณ์ระดับประสิทธิผลโรงเรียน โดยภาพรวม ไดอ้ ย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 คือ ดา้ นกระตนุ้ ปญั ญาและความคิดสร้างสรรค์ เม่อื พิจารณาเป็นรายดา้ น พบว่า ด้านทีเ่ ปน็ ตัวทานายทีส่ าคัญ คือ ด้านสร้างวสิ ัยทศั น์ ร่วมเชงิ อุดมการณ์ ด้านระดมความร่วมมอื ผกู พัน ด้านสร้างแรงบันดาลใจ และด้านกระตุ้นปัญญาและความคิด สร้างสรรค์ ทส่ี ามารถร่วมกันพยากรณ์ประสิทธิผลโรงเรียน ได้ร้อยละ 65.90 ซึง่ สอดคล้องกบั สมมติฐานที่ตั้งไว้ ท้ังนี้ เน่อื งจากผู้บริหารสามารถกาหนดอนาคตของโรงเรียนได้อยา่ งเป็นรปู ธรรม สามารถเลอื กใช้ประโยชนจ์ ากครูใน โรงเรียนและทาการพัฒนาระบบให้บริการแตผ่ ู้ทีม่ ีสว่ นได้สว่ นเสีย นอกจากนก้ี ารที่ผู้บริหารสามารถดาเนินการให้ ครผู ู้สอนมสี ภาวะจิตใจท่มี คี วามพร้อม มีความเช่อื มนั่ และเต็มใจท่จี ะร่วมงานกบั เพ่อื ครดู ้วยกันได้ ในขณะเดียวกันการ ทีผ่ ู้บริหารทาให้ครูผู้สอนมคี ่านยิ มที่เหมาะสมเพอ่ื ให้ครูในโรงเรียนยอมรบั การเปลี่ยนแปลงในการปฏบิ ตั งิ าน ที่เกิดข้ึน ซึ่งการกระทาดงั กล่าวจะส่งเสริมให้เกิดความสาเร็จในการบริหารงานในโรงเรียนไม่วา่ จะเปน็ ดา้ นการ บริหารงานวชิ าการ งานงบประมาณ งานบริหารงานบุคคล งานบริหารท่ัวไป ซึง่ การประสบความสาเร็จดงั กล่าวเป็น ตวั บ่งชถี้ ึงประสิทธิผลโรงเรียน ซึง่ เปน็ สง่ิ ทีพ่ ึงปรารถนาของบคุ ลากรทกุ คนในโรงเรียน ซึง่ สอดคล้องกับผลการศกึ ษา ของ ธนติ ทองอาจ (2553, บทคัดยอ่ ) ได้ทาการวจิ ยั เรื่องภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลของโรงเรียน ในสังกัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษามุกดาหาร พบวา่ องค์ประกอบภาวะผู้นาการ เปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนที่สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลของโรงเรียนโดยรวม อย่างมนี ยั สาคัญทางสถิติ ที่ระดบั .01 มี 3 ด้าน คือด้านการกระตุ้นการใช้ปัญญาของผู้บริหาร โดยคา่ สัมประสิทธิ์การพยากรณ์เท่ากับ .592 สามารถอธิบายความแปรปรวนประสิทธิของโรงเรียนได้ร้อยละ 35.00 ดา้ นการคานึงถงึ เอกบคุ คลของผู้บริหาร โดยมี ค่าสมั ประสิทธิ์การพยากรณ์เท่ากับ .629 สามารถอธิบายความแปรปรวนประสิทธิผลของโรงเรียนได้ร้อยละ 39.60 และการสร้างบามีของผู้บริหาร โดยมีคา่ สมั ประสิทธิ์การพยากรณ์เท่ากบั .648 สามารถอธิบายความแปรปรวน ประสิทธิผลของโรงเรียนได้ร้อยละ 41.90 ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะในการนาผลการวิจัยไปใช้ 1.1 จากผลการวจิ ัยพบวา่ องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและ ครูผู้สอน โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากทุกด้านแสดงใหเ้ ห็นว่า องค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงทาให้ โรงเรียนมปี ระสิทธิผลตามมงุ่ หวงั ไว้ ควรมกี ารสง่ เสริมใหผ้ ู้บริหารให้บริหารโรงเรียนในเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาอน่ื มภี าวะ ผู้นาการเปลีย่ นแปลง 1.2 จากผลวจิ ัยพบวา่ ประสิทธิผลของโรงเรียน ตามความคดิ เห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน โรงเรียน ขนาดเลก็ ขนาดกลาง ขนาดใหญ่ อยู่ในระดบั มาก ผู้บริหารและครูผู้สอนพร้อมดว้ ยบุคลกรควรพัฒนาโรงเรียน ให้มีประสิทธิผลมากทส่ี ุด
82 2. ขอ้ เสนอแนะสาหรับการทาวิจัย ครงั้ ต่อไป 2.1 ควรศกึ ษาองค์ประกอบอื่นทีส่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลของโรงเรียนนอกเหนอื จากภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลง 2.2 ควรศกึ ษาองค์ประกอบภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงและประสิทธิผลของโรงเรียนในเขตพ้นื ที่การศึกษา อน่ื หรือจงั หวดั อน่ื เพ่อื นามาเปรียบเทียบกันซึง่ จะเป็นขอ้ มูลในการพัฒนาโรงเรียนเหลา่ นใี้ ห้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เอกสารอา้ งองิ กิตติศักดิ์ บุณรังศรี. (2559). ปจั จยั ทีส่ ง่ ผลตอ่ ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารโรงเรียน สังกัดสานกั งานเขต พ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษาบงึ กาฬ. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. สกลนคร: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร. กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2550). เอกสารประกอบการพัฒนาหลักสูตรพัฒนาผู้นาการเปลี่ยนแปลงเพ่อื รองรับการ กระจายอานาจ. กรงุ เทพฯ : สานักพมิ พค์ ณะรัฐมนตรี และราชกิจจานุเบกษา. จิตรา ทรัพย์โฉม. (2556). ความสมั พันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารโรงเรียนกบั ประสิทธิผล การบริหารงานของโรงเรียน สงั กัดสานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาสกลนคร เขต 2. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. สกลนคร: มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏสกลนคร. ทรงชัย คงเงิน. (2553). ความสมั พันธ์ระหว่างภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารกบั ประสิทธิผลของโรงเรียน ในสังกดั สานกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาปราจีนบรุ ี เขต 2. วทิ ยานพิ นธ์ กศ.ม. ชลบุรี: มหาวิทยาลยั บรู พา. ธนติ ทองอาจ. (2553). ภาวะผนู้ าการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่สง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลของโรงเรียนในสงั กดั สานักงาน เขตพ้นื ทีก่ ารศึกษามุกดาหาร. วทิ ยานพิ นธ์ ค.ม. สกลนคร: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร. นันทิดา บัวสาย. (2552). ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารที่สง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลการบริหารงานโรงเรียน สังกัดสานกงานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษานครพนม เขต 2. บุญชม ศรีสะอาด. (2556). การวจิ ัยเบือ้ งต้น ฉบบั ปรับปรุงใหม่. พิมพค์ รง้ั ที่ 9. กรงุ เทพฯ: สุวริ ิยาศาส์น. บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. (2551). ระเบียบวธิ ีวิจัยทางสังคมศาสตร์. พมิ พค์ รงั้ ที่ 10. กรงุ เทพฯ : จามจรุ โี ปรดกั ส์ ผกาพรรณ์ เช้อื เมอื งพาน. (2553). ปจั จัยทีส่ ง่ ผลตอ่ ภาวะผู้นาการเปลีย่ นแปลงของผู้บริหารสถานศกึ ษา ในจงั หวดั ลาปาง. วทิ ยานพิ นธ์ ศษ.ม. นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช. ภัทรกร วงศ์สกุล. (2555). ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงกับประสิทธิผลของการบริหารโรงเรียน สงั กดั กรงุ เทพมหานคร ในเขต ลาดกระบัง. วทิ ยานพิ นธ์ ศษ.ม. กรงุ เทะมหานคร: มหาวทิ ยาลยั ธุรกิจบณั ฑิตย.์ รตั นา นาคมุสกิ , บรรจง เจรญิ สุข, วรรณะ บรรจบ. (2559). ภาวะผู้นาการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารทีส่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลของโรงเรียนสังกัดสานกั งานเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาประถมศึกษา สุราษฎร์ธานี เขต 3. วารสารราชภัฏสุราษฎร์ธานี, 3(1); 165- 185. Bass, B. M. (1990). Bass and Stogdill’s Handbook of Leadership (3rd ed.). New York: Free Press. Cheng, C. (2002). Leadership and Strategy. In Bush, T., & Bell, L. (Eds.) The Principles and Practice of Educational Management (pp. 51-69). London : Paul Chapman Publishing. Daft, R .L. (1998). Essentials Of Organization Theory and Design. Cincinati,Ohio: South Western College. Leith wood, K., & Sun, J. P. (2012).The nature and effects of transformational school leadership: ameta-analytic review of unpublished research. Educational Administration Quarterly, 48 (3), 387-423.
83 ภาวะผนู้ าทางวิชาการของผูบ้ ริหารโรงเรียนทีส่ ่งผลตอ่ ประสิทธิผลงานวิชาการ ของโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพชู า Instructional Leadership of School Administrators Affecting Academic Affairs Effectiveness of Secondary Schools in Phnom Penh, the Kingdom of Cambodia. Sunkim Lor* ผู้ชว่ ยศาสตราจารย์ ดร.วฒั นา สวุ รรณไตรย์** ดร.สุรพล บุญมีทองอยู่*** บทคดั ย่อ การวจิ ัยคร้ังนมี้ คี วามมุ่งหมายเพอ่ื ศึกษาภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียน และประสิทธิผล งานวชิ าการของโรงเรียน เปรียบเทียบภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียน และประสิทธิผลงานวิชาการของ โรงเรียน จาแนกตามสถานภาพ ประสบการณ์ในการปฏบิ ตั งิ าน และสังกัดของโรงเรียนที่ต่างกัน ศกึ ษาความสมั พันธ์ ระหว่างภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียนและประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ศกึ ษาอานาจพยากรณ์ ของภาวะผู้นาทางวชิ าการของผบู้ ริหารโรงเรียนที่สง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน และหาแนวทางในการ พัฒนาภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียนทีส่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกมั พชู า กลุ่มตัวอยา่ งท่ใี ชใ้ นการศึกษาครง้ั น้ี จานวน 370 คน ได้แก่ ผบู้ ริหารโรงเรียน จานวน 74 คน และครผู ู้สอนจานวน 296 คน เครือ่ งมอื ที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล เป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ มคี า่ ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามด้านภาวะผู้นาทางวชิ าการเท่ากบั 0.806 และดา้ นประสิทธิผลงาน วชิ าการเท่ากับ 0.949 และแบบสัมภาษณเ์ พ่อื หาแนวทางในการพฒั นาภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียน ทีส่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศกึ ษา ในกรงุ พนมเปญ ประเทศกมั พชู า สถิติที่ใชใ้ นการ วเิ คราะห์ขอ้ มลู ได้แก่ ค่าเฉลย่ี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t - test) ชนิด Independent Samples การทดสอบค่าเอฟ (F - test) การวเิ คราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOVA) คา่ สมั ประสิทธิ์สหสมั พันธ์ อย่างง่ายของเพยี ร์สนั (Pearson Product - Moment Correlation Coefficient) และการวเิ คราะหก์ ารถดถอยพหคุ ูณ แตล่ ะขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression analysis) ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียน ทงั้ โดยรวมและรายด้านทกุ ด้านอยใู่ นระดบั มาก 2. ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ทง้ั โดยรวมและรายด้านทุกด้านอยใู่ นระดับมาก 3. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผบู้ ริหารโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน จาแนกตาม สถานภาพ และสังกดั ของโรงเรียน ทง้ั โดยรวมและรายด้านทกุ ด้านไม่แตกต่างกัน แต่จาแนกตามประสบการณ์ในการ ปฏบิ ัตงิ าน โดยรวมแตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติทีร่ ะดบั .01 4. ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผบู้ ริหารและครผู ู้สอน จาแนกตาม สถานภาพ และสังกดั ของโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกนั แต่จาแนกตามประสบการณ์ในการปฏบิ ตั งิ าน โดยรวม แตกตา่ งกันอย่างมนี ัยสาคญั ทางสถิติที่ระดบั .01 คาสาคัญ : ภาวะผู้นาทางวิชาการ, ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียนมธั ยมศึกษา * ครุศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ** อาจารย์ประจาหลักสตู รครุศาสตรมหาบัณฑิต และหลกั สตู รปรัชญาดษุ ฎีบณั ฑิต สาขาวิชาการบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร *** ผู้อานวยการชานาญการพิเศษ โรงเรียนหนองแวงวทิ ยานุกลู สานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 22
84 5. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผบู้ ริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน โดยรวมพบวา่ มคี วามสัมพนั ธ์ทางบวก อยู่ในระดบั สงู อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถติ ทิ ี่ระดบั .01 6. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผบู้ ริหารโรงเรียน ด้านการบริหารจดั การหลกั สูตร (X2) ด้านการสร้าง บรรยากาศการเรียนรู้ (X5) ด้านการพฒั นาผู้เรียน (X3) ด้านการพฒั นาครู (X4) และด้านกาหนดเป้าหมาย และพันธกิจการเรียนรู้ (X1) สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลงานวชิ าการของโรงเรียนได้ โดยสามารถรว่ มกนั พยากรณ์ ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ได้ร้อยละ 55.10 และมีความคลาดเคล่อื นมาตรฐานของการพยากรณ์เท่ากับ ± 0.294 สามารถเขียนสมการวเิ คราะห์การถดถอยพหุคณู ในรปู คะแนนดบิ ได้ดังน้ี Y´ = 0.889 + 0.172 X2 + 0.224 X5 + 0.143 X3 + 0.120 X4 + 0.094 X1 และสามารถเขียนสมการวเิ คราะห์การถดถอยในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้ดงั น้ี Z´ = 0.202 Zx2 + 0.250 Zx5 + 0.175 Zx3 + 0.146 Zx4 +0.109 Zx1 7. การวจิ ยั คร้ังนผี้ ู้วิจยั ได้นาเสนอแนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียน ทีส่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน เสนอแนะไว้ 5 ดา้ น ประกอบด้วย ด้านการกาหนดเป้าหมายและ พันธกิจการเรียนรู้ ด้านการบริหารจดั การหลกั สตู รและการเรียนการสอน ด้านการพัฒนาผู้เรียน ด้านพัฒนาครู และด้านการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ABSTRACT The research aimed to study school administrators’ instructional leadership and the effectiveness of school academic affairs, to compare the relationship between school administrators’ instructional leadership and the effectiveness of school academic affairs based on the opinions of school administrators and teachers classified by status, work experience and types of schools, to identify the predictive power of school administrators’ instructional leadership affecting the effectiveness of school academic affairs in secondary schools in Phnom Penh, the Kingdom of Cambodia; and to establish the guidelines for developing school administrators’ instructional leadership affecting the effectiveness of school academic affairs. The total sample of 370 persons consisted of 74 school administrators, and 296 school teachers. The instruments for data collection were a set of 5-level rating scale questionnaires with the reliability in terms of instructional leadership at 0.806 and the effectiveness of academic affairs at 0.949, and interview forms. Statistics for data analysis were mean, standard deviation Independent Samples t - test, F - test (One - Way ANOVA), Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient and Stepwise Multiple Regression Analysis. The results of this research were as follows: 1. Instructional leadership of school administrators as a whole and each aspect were at a high level in all aspects. 2. The effectiveness of school academic affairs as a whole and each aspect were at a high level in all aspects. 3. Instructional leadership of school administrators as perceived by school administrators and teachers, classified by status and different types of schools as a whole and each aspect showed no differences in all aspects, but there was a significant difference as a whole among those whose work experience were different at the .01 level of significance.
85 4. The effectiveness of school academic affairs as perceived by school administrators and teachers classified by status and different types of schools showed no differences as a whole, but there was a significant difference as a whole among those whose work experience were different at the .01 level of significance. 5. Instructional leadership of school administrators affecting academic effectiveness of secondary schools, as a whole had positive relationship at a high level with the statistical significance of the .01 level 6. Instructional leadership of school administrators comprised: Curriculum and instruction management (X2), Creating learning atmosphere (X5), Student development(X3), Teacher development(X4), and Setting goals and mission of learning(X1). The said factors were able to predict the effectiveness of school academic affairs with the predictive power of 55.10 percent and Standard Error of Estimate of ± 0.294. The equation could be summarized in raw scores as follows; Y´ =0.889 + 0.172 X2 +0.224 X5 + 0.143 X3 +0.120 X4 +0.094 X1 and the predictive equation standardized scores was Z´= 0.202 Zx2 + 0.250Zx5 + 0.175Zx3 +0.146Zx4 +0.109 Zx1 7. The guidelines for developing instructional leadership of school administrators affecting the effectiveness of school academic affairs involved five aspects: Setting goals and mission of learning, Curriculum and instruction management, Student development, Teacher development, and creating learning atmosphere. Keywords: Instructional Leadership, Academic Affairs Effectiveness of Secondary Schools ภูมหิ ลงั ในปจั จบุ นั ระบบการศึกษาของประเทศกมั พชู า ประกอบด้วยการศกึ ษา ในระดับอนบุ าล ซึง่ จะเริ่มรบั นักเรียน เข้าศึกษาตั้งแต่อายุ 3 – 5 ปี แตก่ ารศึกษาในระดับนพี้ บวา่ มีเฉพาะบางพ้ืนทีเ่ ท่านน้ั การศกึ ษาในระดับประถมศึกษา จานวน 6 ปี (เทียบเท่า Grade 1 – 6) การศึกษาในระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนต้น (เทียบเท่า Grade 7 – 9) และการศกึ ษา ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย (เทยี บเท่า Grade 10 – 12) ในสมัยก่อนหลังจาก สาเร็จการศึกษาระดับมธั ยมศกึ ษา ตอนปลาย ผู้สาเรจ็ การศึกษาจะต้องสอบเข้ามหาวทิ ยาลัยโดยใชข้ ้อสอบเข้าเรียนตามทีแ่ ต่ละมหาวิทยาลยั จดั ขึ้นเอง แตใ่ นปัจจบุ นั จะมกี ารสอบมาตรฐานเพ่อื รบั ใบประกาศนียบัตรทีเ่ รียกว่า “Bac Dup” ซึง่ ได้นามาใชเ้ ปน็ ระบบกลาง ในการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย เน่อื งจากโรงเรียนโดยสว่ นใหญ่ มกั ขาดแคลนอุปกรณแ์ ละสอ่ื การเรียนการสอน ดังนนั้ วธิ ีการเรียนการสอนทีน่ ิยมมากทส่ี ุดของกมั พชู าจึงเป็นแบบ “Chalk and Talk” หรือการเขียนบนกระดานแล้ว สอนแก่ผู้เรียนเลย ในด้านการจดั การศึกษาโดยภาคเอกชน พบวา่ เริ่มได้รับความนยิ ม เพิม่ มากขึ้นตง้ั แตป่ ี พ.ศ. 2543 เปน็ ต้นมา สถานศกึ ษาเอกชนสามารถ พบได้ท่วั ไปในทกุ ระดับการศึกษาโดยเฉพาะระดับมัธยมศึกษาขึ้นไป แต่ดว้ ยการ เพ่มิ ขน้ึ อยา่ งรวดเรว็ ของสถานศึกษาเอกชนในระยะเวลา ท่ผี ่านมา ทาให้เป็นการยากสาหรับรัฐบาลในการเข้าไป ตรวจสอบเพอ่ื สร้างมาตรฐาน ของโรงเรียนเอกชนต่างๆ ให้เป็นทีย่ อมรบั ในระบบการศึกษากัมพชู า แตก่ ารศึกษาของ กัมพชู าจะได้เริ่มอย่างจรงิ จงั และกว้างขวางขนึ้ มาเปน็ เวลานานพอสมควร และได้รับการพฒั นาและปรับปรุงแก้ไข มาตลอด ปจั จบุ นั ระบบการศึกษาระดบั มัธยมศกึ ษาของกัมพชู า อยู่ในสังกัดกระทรวงอบรม เยาวชน และกีฬากรุง พนมเปญได้มีการปฏริ ูปด้านการศกึ ษาและดาเนนิ การพฒั นาระบบการศึกษา มกี ารปฏริ ปู หลักสูตรมกี ารเรียน การสอนในระดบั มธั ยมศกึ ษาช้ันปีที่ 1 – 6 จานวน 73 โรงเรียน แตย่ ังมีปญั หาอปุ สรรค ในการจัดการศกึ ษา และการ บริหารการศึกษาหลายประการ ดังนี้ 1) คณุ ภาพการจัดการศึกษายงั ไม่เปน็ ที่น่าพอใจทพ่ี อจะสปู้ ระเทศอื่นในเวทีโลกได้ 2) การบริหารการศึกษาและการจดั การศกึ ษายังรวมศนู ย์อานาจไวส้ ่วนกลาง กอปรท้ังขาดเอกภาพท้ังดา้ นนโยบาย
86 และมาตรฐาน 3) การขาดประสิทธิภาพของการประกันคณุ ภาพการศึกษา 4) การขาดการมสี ว่ นร่วมของประชาชน 5) การขาดการพัฒนานโยบายอย่างตอ่ เน่อื ง และ 6) การขาดความเชอ่ื มโยงกับองคก์ รปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชน (Ministry of Education, Youth and Sport, 2017, ออนไลน)์ จากทก่ี ล่าวมาข้างต้น ผู้วิจยั จึงมคี วามสนใจทีจ่ ะศกึ ษาภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียนที่สง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกมั พชู า เพอ่ื นาผลการวิจยั เสนอตอ่ กระทรวงอบรม เยาวชนและกีฬา กรงุ พนมเปญประเทศกมั พชู า และนาผลการวจิ ัยไปใชเ้ ป็นแนวทางพัฒนาภาวะผู้นา ทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนมธั ยมศกึ ษาในกรงุ พนมเปญ ประเทศกัมพูชา ต่อไป คาถามการวิจัย 1. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร และครผู ู้สอน โรงเรียน มัธยมศกึ ษา ในกรงุ พนมเปญ ประเทศกัมพูชา อยู่ในระดับใด 2. ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผบู้ ริหารและครผู ู้สอน โรงเรียนมธั ยมศกึ ษา ในกรงุ พนมเปญ ประเทศกัมพูชา อยู่ในระดับใด 3. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผบู้ ริหารโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร และครผู ู้สอน โรงเรียน มัธยมศกึ ษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา จาแนกตามสถานภาพ ประสบการณ์ในการปฏบิ ัตงิ าน และสงั กัดของ โรงเรียน แตกตา่ งกันหรือไม่ 4. ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผบู้ ริหาร และครูผู้สอน โรงเรียนมัธยมศกึ ษา ในกรงุ พนมเปญ ประเทศกมั พชู า จาแนกตามสถานภาพ ประสบการณ์ในการปฏบิ ัตงิ าน และสงั กัดของโรงเรียน แตกตา่ งกันหรือไม่ 5. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผบู้ ริหารโรงเรียนกบั ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียนมัธยมศึกษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกมั พชู า ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน มีความสมั พันธก์ นั หรือไม่ 6. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผบู้ ริหารโรงเรียนดา้ นใดบ้าง ท่มี อี านาจพยากรณ์ประสิทธิผลงานวชิ าการ ของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพชู าตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอน 7. แนวทางในการพฒั นาภาวะผนู้ าทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนทีส่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลงานวิชาการ ของโรงเรียนมัธยมศกึ ษา ในกรงุ พนมเปญ ประเทศกัมพูชาเป็นอย่างไร ความม่งุ หมายของการวิจัย 1. เพ่อื ศึกษาภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียนตามความคิดเหน็ ของผู้บริหาร และครผู ู้สอน โรงเรียนมธั ยมศกึ ษา ในกรงุ พนมเปญ ประเทศกมั พูชา 2. เพ่อื ศึกษาประสิทธิผลงานวิชาการ ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครูผู้สอน โรงเรียนมัธยมศกึ ษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกมั พูชา 3. เพ่อื เปรียบเทียบภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหาร และครูผู้สอน โรงเรียนมธั ยมศกึ ษา ในกรงุ พนมเปญ ประเทศกมั พูชา จาแนกตามสถานภาพ ประสบการณใ์ นการปฏบิ ตั งิ าน และสังกัดของโรงเรียน 4. เพ่อื เปรียบเทียบประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหาร และครผู ู้สอน โรงเรียนมัธยมศกึ ษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกมั พูชา จาแนกตามสถานภาพ ประสบการณใ์ นการปฏบิ ตั งิ าน และสังกัดของโรงเรียน
87 5. เพ่อื ศึกษาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งภาวะผู้นาทางวชิ าการของผบู้ ริหารโรงเรียนและประสิทธิผลงานวชิ าการ ของโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครูผู้สอน โรงเรียนมัธยมศกึ ษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกมั พูชา 6. เพ่อื หาอานาจพยากรณข์ องภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บรหิ ารโรงเรียนทีส่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลงาน วชิ าการของโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผู้บริหารและครผู ู้สอนโรงเรียนมัธยมศกึ ษา ในกรงุ พนมเปญ ประเทศกัมพชู า 7. เพ่อื หาแนวทางในการพฒั นาภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บรหิ ารโรงเรียนที่สง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลงาน วชิ าการของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา ในกรงุ พนมเปญ ประเทศกมั พูชา กรอบแนวคดิ การวิจยั ตวั แปรตาม ตัวแปรอสิ ระ 1. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียน ประกอบด้วย 1.1 การกาหนดเป้าหมายและพนั ธกิจ การเรียนรู้ 1. สถานภาพ 1.2 การบริหารจดั การหลักสตู รและการเรียนการสอน 1.1 ผู้บริหารโรงเรียน 1.3 การพฒั นาผู้เรียน 1.2 ครผู ู้สอน 1.4 การพฒั นาครู 1.5 การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ 2. ประสบการณ์ในการปฏบิ ัตงิ าน 2.1 นอ้ ยกว่า 5 ปี 2. ประสิทธิผลการบริหารงานวชิ าการของโรงเรียนประกอบด้วย 2.2 5 - 10 ปี 2.1 ผู้เรียนมคี ุณภาพตามมาตรฐาน 2.3 มากกวา่ 10 ปี 2.2 ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษามอื อาชพี 2.3 หลักสูตรเหมาะสมกับผู้เรียนและท้องถิ่น 3. สังกัดของโรงเรียน 2.4 การจัดการเรียนรู้เนน้ ผู้เรียนสาคัญทส่ี ดุ 3.1 โรงเรียนสังกดั รัฐบาล 2.5 แหลง่ เรียนรู้หลากหลาย สอ่ื และอปุ กรณเ์ ทคโนโลยที นั สมยั 3.2 โรงเรียนสังกัดเอกชน 2.6 สภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศการเรียนรู้เอ้ือตอ่ การพัฒนา คุณภาพผู้เรียน 2.7 การประกันคุณภาพการศกึ ษามปี ระสิทธิภาพ 2.8 การมสี ่วนร่วมของชุมชน แนวทางในการพัฒนาภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนทีส่ ง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลงาน วชิ าการของโรงเรียนมัธยมศกึ ษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ภาพประกอบ 1 กรอบแนวคิดการวิจยั วิธีดาเนนิ การวิจยั ประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง 1. ประชากรที่ใชใ้ นการวิจยั ครั้งน้ี ได้แก่ ผู้บริหารและครผู สู้ อน ในโรงเรียนมธั ยมศกึ ษากรุงพนมเปญ ประเทศกมั พูชา จาแนกเปน็ ผู้บริหารโรงเรียนรฐั บาล จานวน 64 คน ผู้บริหารโรงเรียนเอกชน จานวน 82 คน
88 ครผู ู้สอนโรงเรียนรัฐบาล จานวน 4,764 คน และครูผู้สอนโรงเรียนเอกชน จานวน 1,234 คน รวมประชากรทั้งส้นิ 6,144 คน 2. กลุ่มตวั อยา่ งทใ่ี ชใ้ นการวิจยั ครงั้ น้ี ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน และครผู ู้สอน ในโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา กรุงพนมเปญ ประเทศกมั พชู า วิธีการกาหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างใช้ตารางของเครซีแ่ ละมอร์แกน (Krejcie and Morgan, 1970, pp. 607 – 610, อา้ งถึงใน บญุ ชม ศรีสะอาด, 2556 หนา้ 43) ได้ขนาดของกลุ่มตัวอยา่ งจานวน 362 คน ซึ่งเปน็ เกณฑ์ขนั้ ตา่ แตก่ ารวจิ ัยครั้งนผี้ ู้วิจัยใชก้ ลุ่มตวั อยา่ งจานวน 370 คน จาแนกเปน็ ผู้บริหารโรงเรียน จานวน 74 คน และครผู ู้สอน จานวน 296 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มตวั อย่างแบบแบ่งช้ัน (Stratified Random Sampling) เครื่องมอื ทใี่ ช้ในการเก็บรวบรวมข้อมลู เครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั ได้แก่ แบบสอบถามเกีย่ วกบั ภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียน มคี ่าความเชอ่ื มน่ั เท่ากบั 0.806 แบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิผลงานวชิ าการของโรงเรียน มีค่าความเชอ่ื มั่นเท่ากบั 0.949 จานวน 1 ฉบบั และแบบสัมภาษณแ์ นวทางในการพฒั นาภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บรหิ ารโรงเรียนที่สง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกมั พชู า จานวน 1 ฉบบั การเกบ็ รวมรวบขอ้ มูล 1. การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ผู้วิจยั เสนอคารอ้ งต่อสานกั งานบัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร ให้ออกหนังสอื ขอความร่วมมอื ไปยงั ผู้อานวยการเขตพ้นื ที่การศึกษาของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา ในกรงุ พนมเปญ ประเทศกัมพชู า ทเ่ี ป็นกลุ่มตัวอยา่ ง 2. ขอความอนเุ คราะห์จากผู้อานวยการเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาของโรงเรียนมัธยมศกึ ษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกมั พูชา เพอ่ื ออกหนงั สือขอความร่วมมอื ในการทาวิจัยไปยงั ผู้บริหารสถานศกึ ษาที่เปน็ กลุ่มตัวอยา่ งในการ ให้ขอ้ มูล เพือ่ ขอความร่วมมอื ในการตอบแบบสอบถาม 3. ผู้วจิ ัยได้ส่งแบบสอบถามไปทกุ โรงเรียนที่เปน็ กลุ่มตัวอยา่ ง รวมจานวน 370 ฉบับ พรอ้ มกบั ขอความ อนเุ คราะห์ทางโรงเรียนทีเ่ ปน็ กลุ่มตัวอยา่ งส่งแบบสอบถามคืน โดยผู้วจิ ยั ได้แนบซองเปล่าพร้อมตดิ แสตมป์ จ่าหนา้ ซองถึงผู้วจิ ัยโดยแจ้งระยะเวลาส่งคืนภายใน 15 วัน และสามารถเก็บแบบสอบถามกลบั คืนมา 370 ฉบับ คิดเปน็ ร้อยละ 100 สถิตทิ ใี่ ช้ในการวิเคราะหข์ ้อมลู สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มลู ได้แก่ ค่าเฉลีย่ ส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน การทดสอบที (t-test) ชนดิ Independent Samples การทดสอบเอฟ (F-test) การวเิ คราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOWA) ค่าสมั ประสิทธิ์สหสมั พนั ธ์อยา่ งง่ายของเพยี ร์สัน (Pearson Product-Moment Correlation Coefficient) และการวเิ คราะห์การถดถอยพหคุ ณู แตล่ ะขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression analysis) สรปุ ผลการวิจยั 1. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียน ทง้ั โดยรวมและรายด้านทกุ ด้านอยใู่ นระดับมาก 2. ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ทงั้ โดยรวมและรายด้านทกุ ด้านอยใู่ นระดบั มาก
89 3. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผบู้ ริหารโรงเรียน ตามความคิดเห็นของผู้บริหารและครผู ู้สอน จาแนกตาม สถานภาพ และสังกดั ของโรงเรียน ทงั้ โดยรวมและรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน แต่จาแนกตามประสบการณ์ในการ ปฏบิ ัตงิ าน โดยรวมแตกต่างกนั อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติทีร่ ะดบั .01 4. ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ตามความคิดเหน็ ของผบู้ ริหารและครูผู้สอน จาแนกตามสถานภาพ และสงั กดั ของโรงเรียน โดยรวมไม่แตกต่างกนั แต่จาแนกตามประสบการณ์ในการปฏบิ ัตงิ าน โดยรวมแตกต่างกัน อย่างมนี ัยสาคัญทางสถิติที่ระดบั .01 5. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผบู้ ริหารโรงเรียนกับประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน โดยรวมพบวา่ มคี วามสมั พันธ์ทางบวก อยู่ในระดับสูง อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ทิ ีร่ ะดับ .01 6. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผบู้ ริหารโรงเรียน ด้านการบริหารจดั การหลักสตู รและการเรียนการสอน (X2) ด้านการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ (X5) ด้านการพัฒนาผู้เรียน (X3) ด้านการพฒั นาครู (X4) และด้านกาหนด เป้าหมาย และพนั ธกิจการเรียนรู้ (X1) สามารถพยากรณ์ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียนได้ โดยมีคา่ สมั ประสิทธิ์ ถดถอยของการพยากรณ์ เท่ากบั 0.202, 0.250, 0.175, 0.146 และ 0.109 ตามลาดับ ซึง่ สามารถร่วมกนั พยากรณ์ ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ได้ร้อยละ 55.10 และมีความคลาดเคล่อื นมาตรฐานของการพยากรณ์เท่ากบั ± 0.294 สามารถเขียนสมการวเิ คราะห์การถดถอยพหคุ ณู ในรปู คะแนนดบิ ได้ดงั น้ี Y´ = 0.889 + 0.172 X2 + 0.224 X5 + 0.143 X3 + 0.120 X4 + 0.094 X1 และสามารถเขียนสมการวเิ คราะห์การถดถอยในรปู คะแนนมาตรฐาน ได้ดงั น้ี Z´ = 0.202 Zx2 + 0.250 Zx5 + 0.175 Zx3 + 0.146 Zx4 +0.109 Zx1 7. แนวทางแนวทางในการพฒั นาภาวะผู้นาทางวิชาการของผู้บริหารโรงเรียนที่สง่ ผลตอ่ ประสิทธิผลงาน วชิ าการของโรงเรียนมัธยมศกึ ษา ในกรุงพนมเปญ ประเทศกมั พชู า มีจานวน 5 ด้าน ท่ตี อ้ งได้รบั การพฒั นา ประกอบด้วย ด้านการกาหนดเป้าหมายและพนั ธกิจการเรียนรู้ ด้านการบริหารจดั การหลักสูตรและการเรียนการสอน ด้านการพฒั นาผู้เรียน ด้านพัฒนาครู และด้านการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ อภปิ รายผลการวิจยั 1. ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียน ทั้งโดยรวมและรายด้านทุกด้านอยใู่ นระดบั มาก เป็นไปตาม สมมติฐานที่ต้ังไว้ ท้ังนอี้ าจเป็นเพราะว่าภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารโรงเรียนเป็นพฤติกรรมของผู้บริหารที่สง่ ผล ตอ่ การพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ด้านการบริหารจดั การหลกั สตู รและการเรียนการสอน เน่อื งจากผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษา ในกรงุ พนมเปญ ประเทศกมั พูชา มีการจดั เวลาเพ่อื การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ให้สอดคลอ้ งกบั เป้าหมายของโรงเรียน สอดคลอ้ งกบั ผลการวจิ ัยของ รุ่งฤดี อุทมุ (2559, บทคัดยอ่ ) ได้ศึกษาภาวะ ผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารสถานศกึ ษาในโรงเรียนมัธยมศกึ ษา สงั กดั สานักงานเขตพ้นื ทีก่ ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 32 ผลการวิจัยพบวา่ ภาวะผู้นาทางวชิ าการของผู้บริหารสถานศกึ ษา โดยรวมมีการปฏบิ ัตอิ ยู่ในระดับมาก 2. ประสิทธิผลงานวิชาการของโรงเรียน ทั้งโดยรวมและรายด้านทกุ ด้านอยู่ในระดับมาก ไมเ่ ป็นไปตาม สมมติฐานทีต่ ั้งไว้ ทั้งนอี้ าจเปน็ เพราะว่าประสิทธิผลงานวิชาการเป็นผลสาเร็จท่เี กิดจากการปฏบิ ตั งิ านทางวิชาการ ของโรงเรียน โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ด้านผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศกึ ษามอื อาชพี เพราะในปจั จุบัน ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทีท่ างานด้านการศึกษาในประเทศกัมพชู า มีความเป็นมอื อาชพี มากขนึ้ สามารถบรหิ ารจดั การ และจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพและประสบผลสาเร็จสูงสดุ ตอ่ ผู้เรียน อาจจะเนือ่ งมาจากหลกั สตู ร สถานศกึ ษาในประเทศกัมพูชามคี วามเหมาะสมและสอดคล้องกบั ท้องถิน่ โดยที่สาระหลักสตู รทั้งดา้ นวชิ าการและ วชิ าชีพทีส่ ามารถพฒั นาผู้เรียนให้มี ความสมดุลท้ังความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321