Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2556-063 พระศรีวิสุทธิคุณ (ดร.)

2556-063 พระศรีวิสุทธิคุณ (ดร.)

Published by Thanarat Sa-Ard-Iam, 2023-06-30 00:34:22

Description: 2556-063 พระศรีวิสุทธิคุณ (ดร.)

Search

Read the Text Version

รายงานการวจิ ยั เร่ือง พระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพูชา : ประวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรม และความสมั พันธท์ างสังคม The Buddhism in Cambodia : History Cultural and Social Relationship. โดย พระศรวี สิ ุทธิคณุ (ดร.) พระครูสริ ปิ รยิ ัติวิธาน พระฉลอง แสนดี มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตสรุ ินทร์ พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้รบั ทนุ อุดหนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย MCU RS 610656063

รายงานวิจยั เรอ่ื ง พระพุทธศาสนาในประเทศกัมพชู า : ประวตั ศิ าสตร์ วัฒนธรรม และความสมั พนั ธท์ างสงั คม The Buddhism in Cambodia : History Cultural and Social Relationship. โดย พระศรีวสิ ุทธคิ ุณ (ดร.) พระครสู ริ ิปริยัติวธิ าน พระฉลอง แสนดี มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตสรุ นิ ทร์ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไดร้ ับทุนอดุ หนุนการวิจยั จากมหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั MCU RS 610656063 (ลิขสิทธเ์ิ ป็นของมหาวทิ ยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย)

Research Report The Buddhism in Cambodia : History Cultural and Social Relationship. By Phrasrivisuddhikun (Ph.D.) Phrakhru Siripariyattividhan (M.A.) Phra Chalong Sandee (M.A.) Mahachulalongornrajavidyalaya University, Surin Campus B.E. 2556 Research Project Funded by Mahachulalongkornrajavidyalaya University MCU RS 610656063 (Copyright Mahachulalongkornrajavidyalaya University)

ก ชื่อรายงานวิจยั : พระพทุ ธศาสนาในประเทศกมั พูชา : ประวตั ิศาสตร์วฒั นธรรม และความสัมพันธ์ทางสังคม ผวู้ ิจยั : พระศรีวิสุทธิคณุ ,ดร., พระครูสริ ปิ ริยตั วิ ธิ าน, พระฉลอง แสนดี หน่วยงาน: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วทิ ยาเขตสุรนิ ทร์ ปีงบประมาณ: ๒๕๕๖ ทุนอุดหนุนการวิจยั : สานกั งานคณะกรรมการการวจิ ยั แห่งชาติ บทคัดย่อ งานวจิ ัยน้ี มวี ตั ถุประสงค์เพอ่ื การศึกษาพุทธศาสนาในประเทศกมั พูชา โดยผ่านการศึกษา วิเคราะห์ข้อมลู ทางประวตั ิศาสตร์ การเมืองการปกครอง การจดั การพระพทุ ธศาสนา ความสัมพนั ธ์ ทางสงั คมและวัฒนธรรม เพื่อศกึ ษาวิเคราะหก์ ระบวนการเสรมิ สร้างความสมั พนั ธท์ างศาสนาและ วฒั นธรรม และวิเคราะหถ์ ึงแนวโน้มและทิศทางของพระพุทธศาสนากบั การพฒั นาสงั คมและ วฒั นธรรมในประเทศกัมพชู า การวิจัยนีเ้ ปน็ งานวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพ โดยศึกษาข้อมลู จากเอกสาร การ สัมภาษณ์ การสนทนากลุม่ และจากการสังเกตอย่างไมเ่ ปน็ ทางการ แลว้ ทาการวิเคราะหเ์ ชงิ เน้ือหา ผลการวิจัยสรุปไดด้ งั น้ี ๑) พระพทุ ธศาสนา ได้เข้ามาเผยแผ่ในดินแดนท่ีเรียกวา่ กมั พชู า ตง้ั แต่สมยั หลงั สังคายนา คร้ังท่ี ๓ เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแลว้ พระมหากษตั รยิ ์ทรงยอมรับพระพุทธศาสนาเปน็ หลักในการปฏบิ ตั ิ สบื ทอดกันมาเปน็ ยุคสมัย คอื (๑) ยคุ ฟูนนั ซึ่งมีลักษณะของพระพทุ ธศาสนามหายาน (๒) ยคุ เจนละ ซึง่ มี ลกั ษณะเปน็ พระพุทธศาสนามหายาน (๓) ยคุ พระนครซ่งึ พระพุทธศาสนาลถุ งึ ความเจริญถึงขดี สดุ ใน สมัยพระเจา้ ชยวรมันท่ี ๗ ซ่ึงนับว่าเปน็ ยุคทองของพระพุทธศาสนา และ (๔) ยคุ หลังพระนคร พระพทุ ธศาสนาเถรวาทได้รบั การยอมรบั มากข้ึน แตใ่ นระยะท่ี เขมรแดงมอี านาจ พระพทุ ธศาสนาถูก ปราบปรามจนสิน้ สูญ พอหมดยุคของเขมรแดงแล้ว พระพุทธศาสนาได้รับการฟื้นฟอู กี ครงั้ จนกระทง่ั เปน็ ศาสนาประจาชาติทไ่ี ดร้ บั การบรรจไุ วใ้ นกฎหมายรฐั ธรรมนูญ ๒) เมื่อพระพทุ ธศาสนาได้เขา้ มาเผยแผใ่ นประเทศกมั พูชาแล้ว ไดม้ ี การจดั การ ดา้ น พระพุทธศาสนา เพอ่ื ใหส้ อดคล้องกับความเป็นจรงิ ของแตล่ ะยุค กระทั่งในปัจจุบัน การจดั การ ดา้ น การปกครอง คณะสงฆก์ มั พชู ามอี งคก์ รการปกครองสงู สดุ โดยมีสมเดจ็ พระสงั ฆราชเป็นผ้นู าท้ังฝ่าย มหานกิ ายและธรรมยตุ ิกนกิ าย และมีการปกครอง คณะสงฆ์ ระดบั รัฐถึงระดับวัด พระสงฆ์มีความ ตระหนักถงึ ประวัตศิ าสตร์ มีความเป็น “พระสงฆข์ องชาวบา้ น” การจดั การด้านการศึกษา ปจั จุบันมี

ข องคก์ รจัดการศกึ ษาโดยอิสระคอื จดั การเรียนการสอนที่วดั และองค์กรทีร่ ัฐบาลอปุ ถัมภ์ มี สถาบันการศกึ ษาทม่ี คี วามพร้อมทจ่ี ะรองรับการเปิดประชาคมอาเซยี น เชน่ มหาวทิ ยาลยั พุทธิกศึกษา ๓) ดว้ ยเหตุทพ่ี ระพุทธศาสนาได้เขา้ มาเป็นส่วนหนง่ึ ของประเทศกัมพูชาด้วยระยะเวลานับ พันปีแลว้ เปน็ เหตใุ ห้ สงั คม วัฒนธรรมและพระพุทธศาสนา พัฒนาการเป็นกระบวนการเสริมสร้างซ่งึ กันและกนั อยา่ งเหนียวแน่น ประชาชนยึดมั่นในพระรตั นตรัย แล้วแสดงออกมาดว้ ยการใหท้ าน รักษา ศีล เจรญิ ภาวนา ตามเทศกาล เช่น วันธรรมสวนะ มีประเพณีสิบสองเดอื นทเี่ ชือ่ มโยงระหว่างความ เชือ่ ทางพระพทุ ธศาสนากบั วฒั นธรรมประเพณี สงิ่ เหลา่ นที้ าให้เกดิ กระบวนการ “วถิ ีพทุ ธแบบ กัมพชู า” แมว้ า่ ประเทศกัมพูชาเคยตกเปน็ อาณานคิ มของฝรงั่ เศส แตอ่ ิทธิพลของฝร่งั เศสไมส่ ามารถ เข้ามาแทนทวี่ ฒั นธรรมเชงิ พุทธได้ แม้ถกู เขมรแดงปราบปรามชนิดท่ีเรยี กว่าสน้ิ ซาก แตไ่ ดร้ บั การฟืน้ ฟู อกี ครงั้ ทาให้พระพุทธศาสนายังคงเปน็ ตวั เชอื่ มระหวา่ งสังคมกบั วฒั นธรรมได้เปน็ อย่างดี ๔) ในอนาคต แนวโน้มและทิศทางของพระพุทธศาสนา ขึ้นอยูก่ บั องคป์ ระกอบทางสงั คม และวฒั นธรรมทจ่ี ะกาหนดทิศทางวา่ พระพุทธศาสนาจะขบั เคลื่อนไปในทิศทางใดและอย่างไร ใน ขณะเดียวกัน องคก์ รทางพระพุทธศาสนา พระสงฆ์ และประชาชน อาจจะตอ้ งเรียนรูก้ ระแส ความกา้ วหน้าทางวตั ถอุ ย่างรู้เท่าทนั ซง่ึ ส่ิงเหลา่ นีก้ าลงั เข้ามาพรอ้ มกบั การเปดิ ประเทศ ทั้งนี้เพือ่ ทา้ ทายพลังแห่งจติ วญิ ญาณ และพลังแห่งศรัทธาในพระรตั นตรยั ของแต่ละคนดว้ ย

ค Research Title: The Buddhism in Cambodia : History Cultural and Social Relationship. Researcher: Phrasrivisuddhikun Ph.D. Phrakhru Siripariyattividhan M.A. Phra Chalong Sandee M.A. Department: Buddhist Research Institute Mahachulalongkornraja vidyalaya University Surin Campus. Fiscal year: 2556/2013 Research Scholarship Sponsor: The office of the National Research Council of Thailand. ABSTRACT This research aims to study Buddhism in Cambodia. This research were studied through the analysis of historical data political and Government control, Buddhism Management and Social and cultural relationship. In order to analyze the process of strengthening the relationship of religion and culture, the trends and directions of Buddhism and social development and culture in Cambodia. This research is qualitative research and the data collected from documents, interviews focus groups and unofficial observations. The results of analysis were as follows: 1) Buddhism had spread in the Kingdom of Cambodia after the finishing of the 3rd Buddhist Council.The King accepted Buddhism as the Code of Conduct and carried on for a period of (1) the Funan (2) the Chenla, where characterized in the Mahayana Buddhism (3) of the Old City is the most growing era of Buddhism in Cambodia was found in King Chai Woramun the 7th , which is called the golden age of Buddhism and (4) the latter city. In this era the Theravada Buddhism has been increasingly recognized. However, most of the political power were in the Khmer Rouge so Buddhism was suppressed. Until the end of the Khmer Rouge era the Buddhism in Cambodia was revived again. Moreover, the government accepted the Buddhism is the national religion by stipulated in the Constitution.

ง 2) After Buddhism was spreading in Cambodia. It was managed to reflect the reality of each era. Even today the Cambodia Buddhism ministry, the highest of the Cambodia Buddhism ministry is the primate, is governed and control all Cambodia Buddhism businesses in every level. Moreover, the Monks ministry is considered on history that the word \"priest of the house\" management education. So, it can be seen that not only, the independent educational organization is teaching in the temple and it can be sponsored by Government but it also ready to support the opening of the ASEAN Community, as Buddhists university education. 3) Because the Buddhism was in one important part of Cambodia community of a thousand year. It caused the strong development and relationship in social cultural and religion people rely on Buddha and show that expressed by donation, observation the precepts and meditation in the Buddhism event such as the 12 months Sabbath ceremony caused the strong connection between Buddhism and culture of Cambodian people. The close connection of them has made the Buddhism why of life of Cambodian people. It can be seen that Although Cambodia had a colony of France. The French influence cannot be replaced in Buddhist culture Moreover, the Buddhism eradicated by the Khmer Rouge but it was restored again and again. And this make Buddhism remained as a link between society and culture of Cambodia society. 4) In the future the direction of Buddhism in Cambodia depends on structure of social and culture that will determine the direction of Buddhism. Together with the organization of religion monks and people to study and understand the progression of Buddhism in Cambodia. The most important task to challenge the power of the spirits and the power of faith in Buddhism of Cambodian is the opening of country.

จ กติ ติกรรมประกาศ รายงา นวจิ ยั เร่อื ง “พระพุทธศาสนาในประเทศ กัมพชู า ประวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรมและ ความสมั พนั ธ์ทางสงั คม” เปน็ หนึ่งในหา้ โครงการวิจัยย่อยซ่งึ อย่ภู ายใต้โครงการวิจัยหลกั เรื่อง “พระพทุ ธศาสนาในอาเซียน : ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมและความสัมพนั ธ์ทางสงั คม” โดยมี สถาบนั วิจัยพทุ ธศาสตร์มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย เปน็ ประธานโครงการ ฯ โครงการวิจัยนไ้ี ดร้ บั ทุนอุดหนุนจากสานกั งานคณะกรรมการวิจยั แห่งชาติ (ว ช.) รายงานวจิ ัยนมี้ ุ่ง ศกึ ษาสถานการณ์พระพุทธศาสนาในประเทศ กัมพูชา หรอื ในปจั จบุ ันคอื ราชอาณาจกั รกมั พชู า (Kingdom of Cambodia) ผ่านประวัตศิ าสตร์ วัฒนธรรม และความสัมพนั ธ์ทางสังคม เพอ่ื ส่งเสริมให้ เกดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจในประเด็นทเี่ กย่ี วข้องกับพระพทุ ธศาสนาภายในประเทศ และเพอ่ื ศกึ ษาถึง ทศิ ทางหรอื แนวโนม้ ของพระพทุ ธศาสนาในประเทศนภ้ี ายใต้กระแสประชาคมอาเซียน รายงานวิจยั น้ีสาเร็จลุลว่ งไปด้วยดี เนื่องมาจากบคุ คลทีเ่ กี่ยวขอ้ งหลายฝา่ ย เรมิ่ จากผใู้ ห้ การสนับสนนุ ทุนวจิ ัย โดยเฉพาะผู้ทรงคณุ วุฒิท่ไี ด้ใหค้ าแนะนา ให้ ข้อเสนอแนะทางวิชาการ ตดิ ตามความกา้ วหน้าในการดาเนินโครงการวจิ ัยเปน็ ระยะ ๆ คอื พระมหาสุทิตย์ อาภากโร,ดร. ผู้อานวยการสถาบนั วจิ ยั พุทธศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ร.ศ.ดร. สวุ ิญ รักสัตย์ ผศ.ดร.โกนิฏฐ์ ศรีทอง ผูท้ รงคุณวุฒิ คณะวจิ ยั จงึ ขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสน้ี ขอกราบขอบพระคณุ บคุ ลากรในพ้นื ที่วจิ ัยใน ประเทศกมั พูชา ทอี่ นเุ คราะห์ใหค้ ณะวิจัยได้ สัมภาษณ์ สนทนากล่มุ และสงั เกตการณ์ ได้แก่ ๑) สมเดจ็ พระสงั ฆราชฝ่ายมหานกิ าย ๒) เจา้ คณะ จังหวดั ตาแกว้ เลขานุการเจา้ คณะจังหวัดตาแก้ว ๓) เจ้าคณะจงั หวัดพระตะบอง เลขานุการเจ้าคณะ จังหวดั พระตะบอง และผู้กากับการสถานีตารวจเมืองพระตะบอง ๔) เจา้ คณะจงั หวดั กาปงจาม และ เลขานกุ ารเจ้าคณะจังหวัดกาปงจาม ๕) คณาจารย์ประจามหาวทิ ยาลยั มหาจฬุ าลงกรณรา ชวทิ ยาลัย วทิ ยาเขตสรุ ินทร์ และทา่ นเจา้ คณุ พระสสุ ีลวงศ์ (สมบูรณ์ ป.ธ.๖) ประธานพระธรรมทูตกัมพูชาประจา ประเทศไทย ทไ่ี ด้กรณุ าร่วมเดินทางไปลงพน้ื ทจ่ี ริง ทง้ั เป็นผู้ประสานงาน และสอื่ สารดว้ ยภาษา เขมร กับบุคคล หน่วยงานที่เก่ยี วขอ้ งทั้งหมด ขอเจริญพรขอบคณุ ฯพณฯ ท่าน มิน ฆนิ รัฐมนตรวี า่ การ กระทรวงธรรมการและศาสนาแห่งราชอาณาจักรกมั พูชาและคณะ ทไี่ ดใ้ หค้ วามร่วมมือในการเข้าร่วม กจิ กรรมการวิจัย ตลอดถงึ ดร . รณกฤต น้อยพนั ธ์ และผูม้ สี ว่ นเกี่ยวข้องทกุ ท่าน ทไ่ี ดใ้ ห้ความร่วมมอื แก่คณะผวู้ ิจยั เป็นอยา่ งดยี ง่ิ คณะวิจัยขอขอบคณุ สถาบันวจิ ยั พุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั ที่ ได้ให้โอกาสนกั วิจยั ให้เป็นส่วนหนง่ึ ของโครงการวจิ ยั หลัก ทงั้ นเี้ พื่อเพิ่มพนู ความรทู้ างวิชาการ ประสบการณด์ า้ นพระพุทธศาสนาจากประเทศเพอื่ นบา้ น และเพื่อการศึกษาอย่างมีส่วนรวมกับบคุ คล คณะบุคคลต่างๆ ที่เกยี่ วข้องจนทาใหง้ านวิจัยนสี้ าเร็จลลุ ่วงไปด้วยดี อกี ทัง้ เปน็ การเผยแผ่ชุดความรู้ จากการวจิ ยั นสี้ ่สู าธารณะตอ่ ไป พระศรีวิสทุ ธคิ ุณ,ดร. และคณะ ๙ กันยายน ๒๕๕๖

ฉ สารบญั บทคัดย่อภาษาไทย .............................................................................................................................ก บทคดั ยอ่ ภาษาองั กฤษ.........................................................................................................................ค กติ ตกิ รรมประกาศ ..............................................................................................................................จ สารบญั ...............................................................................................................................................ฉ บทท่ี ๑ บทนา ..............................................................................................................................๑ ๑ .๑ ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา ..................................................................๑ ๑ .๒ วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย .........................................................................................๖ ๑.๓ ขอบเขตของการวจิ ยั ................................................................................................๖ ๑.๔ ปัญหาการวิจยั ........................................................................................................๗ ๑.๕ คานิยามศัพทเ์ ฉพาะทีใ่ ช้ในการวิจยั .........................................................................๓ ๑.๖ กรอบแนวความคดิ ของโครงการวจิ ยั ......................................................................๘ ๑.๗ วธิ กี ารดาเนินการวิจัย ..............................................................................................๘ ๑.๘ ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะไดร้ บั .....................................................................................๑๒ บทท่ี ๒ ประวัติศาสตรพ์ ระพุทธศาสนา การเมอื งและการปกครองในประเทศกมั พชู า ........... ...๑๓ ๒.๑ กัมพชู ากอ่ นประวัตศิ าสตร์ ....................................................................................๑๓ ๒.๒ เผา่ พันธแ์ุ ละชาติภมู ิ .............................................................................................๑๔ ๒.๓ พระพุทธศาสนาสมยั เมืองพนม ............................................................................๑๘ ๒.๔ พระพุทธศาสนาสมัยเจนละ ...................................................................................๒๕ ๒.๕ พระพุทธศาสนาสมยั พระนคร ...............................................................................๒๙ ๒.๖ พระพุทธศาสนาสมยั ไทยมีอิทธพิ ล ........................................................................๔๖ ๒.๗ พระพุทธศาสนาในยุคฝร่งั เศสปกครอง .................................. ...............................๖๒ ๒.๘ พระพทุ ธศาสนาในยคุ ได้รับเอกราช ....................................................................๖๘ ๒.๙ พระพุทธศาสนาในยุคสาธารณรฐั .......................................................................๗๖ ๒.๑๐ พระพุทธศาสนาในยคุ เขมรแดง ..........................................................................๗๙ ๒.๑๑ พระพทุ ธศาสนาสมัยเวียตนาม – เฮงสมั รนิ ...................................... .................๘๗ ๒.๑๒ พระพุทธศาสนาในปจั จบุ ัน .................................................................. ................๙๓

ช บทที่ ๓ พระพุทธศาสนากบั ความสมั พันธท์ างวัฒนธรรมในประเทศกมั พชู า ..............................๑๑๓ ๓.๑ พระพุทธศาสนากบั ความสมั พนั ธท์ างวัฒนธรรมในประเทศกัมพูชา ....................๑๑๓ ๓.๒ วัฒนธรรมในเชงิ นามธรรม ................................................................................๑๑๔ ๓.๓ วัฒนธรรม ในเชิงรปู ธรรม ...................................................................................๑๔๒ ๓.๔ สรุป พระพทุ ธศาสนากับความสมั พนั ธท์ างวฒั นธรรมในประเทศกมั พูชา ............๑๕๙ บทที่ ๔ การจัดการด้านพระพุทธศาสนาในประเทศกัมพชู า............................................................๑๖๒ ๔.๑ การจัดการด้านการศึกษาพระปริยัติธรรมของคณะสงฆ์กมั พชู าในอดีต …............๑๖๒ ๔.๒ การจดั การดา้ นการศกึ ษาพระปรยิ ัติธรรมของคณะสงฆก์ ัมพูชาในปัจจุบัน ..........๒๒๘ ๔.๓ สรุปปัญหาและอุปสรรคการศึกษาของคณะสงฆก์ ัมพูชา .....................................๒๖๕ บทท่ี ๕ วเิ คราะห์กระบวนการเสรมิ สร้างความสมั พนั ธท์ างศาสนาและวฒั นธรรม และแนวโน้มและ ทิศทางของพระพุทธศาสนากบั การพฒั นาสังคมและวฒั นธรรมในประเทศกมั พชู า.........................๒๖๘ ๕.๑ วิเคราะห์กระบวนการเสริมสร้างความสมั พันธ์ทางศาสนาและวฒั นธรรม ในประเทศกัมพูชา ...................................................................................,.........๒๖๘ ๕.๒ แนวโนม้ และทศิ ทางของพระพุทธศาสนากับการพัฒนาสังคมและวฒั นธรรม ในประเทศกัมพูชา ............................................................................................๒๗๒ บทที่ ๖ สรปุ ผลการวิจยั และข้อเสนอแนะ ...................................................................................๒๘๐ ๖.๑ สรุปผลการวิจัย.......................................................... ...........................................๒๘๐ ๖.๒ ขอ้ เสนอแนะ ............................................................ ............................................๒๙๑ บรรณานุกรม ...............................................................................................................................๒๙๓ ภาคผนวก ก บทความวจิ ยั ตามโครงสร้างบทความวจิ ยั ..................................................................๒๙๘ ภาคผนวก ข แบบสอบถาม............................................................................................................๓๒๔ ภาคผนวก ค ภาพภาพกจิ กรรมดาเนนิ การวิจัย..............................................................................๓๓๐ ภาคผนวก ง สรุปโครงการวิจัย......................................................................................................๓๖๖ ประวัตผิ ู้วจิ ัย......................... .........................................................................................................๓๗๑

บทที่ ๑ บทนา ๑.๑ ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) หรือ สมาคมประชาชาติแหง่ เอเชียตะวนั ออก เฉยี งใต้ (Association of South East Asian Nations : ASEAN) เปน็ องคก์ รระหวา่ งประเทศระดับ ภูมภิ าคเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ มีจดุ เริม่ ตน้ โดยประเทศไทย มาเลเซีย และฟิลิปปนิ ส์ ได้รว่ มกนั จัดตั้ง สมาคมอาสา (Association of South East Asia) เมือ่ เดือนกรกฎาคม ๒๕๐๔ เพอื่ การร่วมมือกัน ทาง เศรษฐกิจ สงั คมและวัฒนธรรม สมาคมประชาชาตแิ ห่งเอเชยี ตะวันออกเฉียงใต้ จึงก่อต้ังขนึ้ เม่อื วันที่ ๘ ส.ค. ๒๕๑๐ หลงั จากการลงนามในปฏญิ ญาสมาคมประชาชาตแิ ห่งเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ (Declaration of ASEAN Concord) หรอื เปน็ ทีร่ จู้ ักกันในอีกช่อื หน่งึ ว่า ปฏิญญากรงุ เทพ ( The Bangkok Declaration) โดยสมาชิกผ้กู ่อต้ังมี 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย อนิ โดนเี ซีย มาเลเซีย ฟิลปิ ปนิ ส์ และสงิ คโปร์ ซึง่ ผูแ้ ทนทัง้ ๕ ประเทศทรี่ ว่ มลงนามในปฏิญญากรงุ เทพ ภายใต้ช่อื “อาเซยี น” เพ่อื ตอ่ กรกบั ความซับซอ้ นผนั ผวนของโลก ทงั้ การเมือง เศรษฐกจิ และสงั คม (ประเทศกมั พูชาคือหนง่ึ ใน ประเทศทร่ี ว่ มกอ่ ต้งั อาเซยี น ปี พ.ศ. ๒๕๕๕) กาลเวลาผ่านมาอาเซียนมอี ายคุ รบ ๔๕ ปีพอดี มีความ มั่นคงเปน็ ปึกแผ่น มสี มาชกิ เพ่ิมขน้ึ เป็น ๑๐ ประเทศ และกาลังพจิ ารณารบั ตมิ อรต์ ะวนั ออก และ ปาปัวนวิ กินี ภายในปพี .ศ. ๒๕๕๘ น้ี อาเซยี นจะพฒั นาเปน็ ประชาคมอาเซยี นยกระดับความเปน็ องค์กรทด่ี แู ลประสานประโยชน์ในประเทศสมาชิกอย่างกว้างขวาง ครอบคลมุ ทั้งในมิติการเมือง สังคม เศรษฐกิจ ส่งิ แวดล้อม เพ่อื ความผาสุกม่ันคงอย่างย่งั ยนื ในประเทศสมาชิกและเป็นท่ยี อมรบั ของ ประชาคมโลก แมอ้ าเซียนจะมไิ ดม้ ีสนธสิ ญั ญาหรือกฎบัตรมาตง้ั แต่ต้น แตเ่ ม่ือเวลาผา่ นไปอาเซยี นกไ็ ด้ พัฒนาความร่วมมอื โดยอาศัยฐานในทางกฎหมายระหวา่ งประเทศมากข้ึน เชน่ การท่ีสมาชิกอาเซยี น ได้จัดทาสนธสิ ัญญาไมตรี และความรว่ มมอื ในภมู ิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ ( Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia ๑๙๗๖ หรือ TAC) ซึ่งกเ็ ปน็ การนาหลักกฎหมายระหว่าง ประเทศท่ีมีอย่เู ดมิ แลว้ มาเนน้ ยา้ ระหวา่ งรัฐในภมู ิภาค เชน่ หลักการเคารพอานาจอธิปไตยของรฐั หลักการไมแ่ ทรกแซงกิจการอันเป็นการภายในของแต่ละรฐั ซึ่งปรากฏอยู่ในกฎบตั รสหประชาชาตอิ ยู่ แลว้ ประชาคมอาเซยี นกอ่ ตัง้ ขน้ึ โดยมวี ัตถุประสงคเ์ ร่มิ แรกเพือ่ สร้างสันติภาพในภูมภิ าคเอเชีย

๒ ตะวันออกเฉยี งใต้ อนั นามาซ่งึ เสถยี รภาพทางการเมอื ง และความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และเมอ่ื การคา้ ระหวา่ งประเทศในโลกมีแนวโน้มกีดกันการค้ารุนแรงข้ึน ทาให้อาเซียน ไดห้ นั มามุ่งเนน้ กระชบั และขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการคา้ ระหวา่ งกันมากขน้ึ และอาเซยี นก็ ได้อาศัยหลกั ในสนธสิ ญั ญาดงั กลา่ วมาเป็นหลกั การทอี่ าเซยี นยดึ ถือ และเปน็ ข้อแมใ้ นการต่อรองกบั รัฐ ทีไ่ ม่ใช่สมาชกิ ใหล้ งนามเป็นภาคีก่อนจะได้รบั ใหเ้ ข้ารว่ มประชมุ กบั อาเซียนน่นั เอง ข้อพจิ ารณาสาคญั คือสนธสิ ัญญาดงั กล่าวมิไดเ้ ก่ยี วข้องหรือทาข้นึ กับอาเซียนโดยตรง และอาเซยี นก็มิไดม้ คี วามสามารถ ในการทาสนธสิ ัญญาโดยตนเอง เพียงแตร่ ัฐที่อยใู่ นบรเิ วณเอเชยี อาคเนย์ได้เข้าเปน็ ภาคีสนธสิ ัญญา ดงั กลา่ วเพื่อประโยชนร์ ว่ มกนั ในภูมภิ าคและอาศยั อาเซียนเปน็ เคร่อื งมอื ในการดาเนนิ ความร่วมมือ และพันธกรณีหรอื หนา้ ที่ตามสนธิสญั ญานน้ั ยอ่ มส่งผลกระทบต่อการดาเนนิ ความรว่ มมือภายใตก้ รอบ อาเซียนโดยปรยิ าย นอกจากน้ี อาเซียนยงั ได้เปน็ เวทที ี่ทาใหเ้ กิดสนธสิ ญั ญาในเร่อื งอ่ืน ๆ เชน่ การทา ใหภ้ ูมภิ าคปลอดจากอาวธุ นิวเคลียร์ หรือล่าสุดในด้านการตอ่ ตา้ นการกอ่ การร้าย ตลอดจนความตกลง เร่อื งเศรษฐกจิ และความร่วมมอื เฉพาะด้าน เช่น ด้านการสง่ เสรมิ สวสั ดิการสังคม การศกึ ษา การ ปอ้ งกนั และปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ส่ิงแวดลอ้ ม การจดั การภัยพบิ ัติ ฯลฯ ซง่ึ ล้วนอาศัย อาเซยี นเป็นกลไกสาคัญทงั้ สิน้ ดงั น้ัน แม้ในทางรปู แบบแล้วจะไมถ่ ือว่าอาเซยี นไดต้ งั้ อยูบ่ นฐาน กฎหมายระหวา่ งประเทศ แต่ในทางเนื้อหากฎหมายระหวา่ งประเทศและความตกลงเหลา่ นี้กจ็ ะไดม้ ี อทิ ธิพลต่อการดาเนนิ ของอาเซียนในช่วงเวลาท่ีผา่ นมา ประชาคมอาเซียน ซงึ่ เป็นภาพรวมของการรวมตวั กันของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน โดยตามข้อตกลงบาหลี เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๖ ได้มขี อ้ ตกลงให้มีการจดั ต้ังประชาคมอาเซยี นข้นึ โดย แบง่ แยกออกเปน็ ๓ ประชาคมย่อย โดยทั้ง ๓ ประชาคมย่อยนัน้ เราเรยี กว่า ๓เสาหลกั อาเซยี น นนั่ เอง ซึ่งมีการกาหนดเป้าหมายให้แล้วเสรจ็ ในปี พ.ศ.๒๕๕๓ แตต่ ่อมามีการกาหนดใหแ้ ลว้ เสร็จให้ เรว็ ข้นึ จากเดิมอีก ๕ ปี คอื ตอ้ งแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.๒๕๕๘ ๑. ประชาคมการเมืองความมัน่ คงอาเซียน ( ASEAN POLITICAL-SECURITY COMMUNITY หรอื APSC) วตั ถุประสงคเ์ พอ่ื เสรมิ สร้างและธารงไวซ้ ึง่ สันติภาพและความม่ันคงของ ภูมิภาค เพอ่ื ให้ประเทศในภมู ิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสนั ติสขุ และสามารถแกไ้ ขปญั หาและความขัดแย้ง โดยสันตวิ ธิ ี อาเซยี นจึงได้จดั ทาแผนงานการจัดต้งั ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซยี น คือการ มีกฎเกณฑ์และคา่ นยิ มรว่ มกนั ครอบคลมุ ถงึ กิจกรรมตา่ งๆ ท่จี ะรว่ มกนั ทาเพ่ือสรา้ งความเขา้ ใจใน ระบบสงั คมวัฒนธรรม และประวตั ศิ าสตร์ทแ่ี ตกตา่ งของประเทศสมาชิก สง่ เสรมิ พัฒนาการทาง การเมืองไปในทศิ ทางเดียวกนั สง่ เสริมความสงบสขุ และรับผดิ ชอบร่วมกนั ในการรักษาความมัน่ คง สาหรับประชาชนท่ีครอบคลมุ ในทุกด้าน ครอบคลมุ ความรว่ มมอื เพอื่ เสรมิ สร้างความม่ันคงในรูป แบบเดิม มาตรการสร้างความไวเ้ นือ้ เชอ่ื ใจและการระงบั ขอ้ พพิ าทโดยสนั ติเพือ่ ปอ้ งกันสงคราม และ ให้ประเทศสมาชิกอาเซยี นอยู่ด้วยกันโดยสงบสุขและไมม่ ีความหวาดระแวง และขยายความรว่ มมอื

๓ เพ่อื ต่อตา้ นภยั คุกคามรปู แบบใหม่ การมีพลวตั และปฏสิ ัมพนั ธก์ ับโลกภายนอก เพ่อื เสริมสรา้ งบทบาท ของอาเซยี นในความรว่ มมือระดับภมู ภิ าค เชน่ กรอบอาเซียน+๓ กบั จีน ญีป่ นุ่ เกาหลีใต้ และการ ประชุมสดุ ยอดเอเชยี ตะวันออก ตลอดจนความสมั พนั ธท์ เ่ี ข้มแข็งกบั มติ รประเทศและองคก์ ารระหว่าง ประเทศ เชน่ สหประชาชาติ ๒. ประชาคมเศรษฐกจิ อาเซยี น ( ASEAN ECONOMIC COMMUNITY หรอื AEC) มี วตั ถุประสงคเ์ พ่ือทาใหอ้ าเซียนมีตลาดและฐานการผลิตเดียวกนั และมกี ารเคลอ่ื นยา้ ยสินคา้ บริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานมีฝีมืออยา่ งเสรี อาเซยี นไดจ้ ัดทาแผนงาน การจดั ตั้งประชาคม เศรษฐกจิ อาเซยี น ซ่ึงเป็นแผนงานบูรณาการการดาเนนิ งานในด้านเศรษฐกจิ เพอ่ื ให้บรรลวุ ตั ถุประสงค์ ไดแ้ ก่ การเป็นตลาดและฐานการผลติ เดยี ว ( single market and production base) โดยจะมกี าร เคลอ่ื นย้ายสินคา้ บรกิ าร การลงทุน และแรงงานมีฝมี อื อย่างเสรี และการเคล่อื นย้ายเงินทุนอยา่ งเสรี มากขึน้ การสร้างขีดความสามารถในการแขง่ ขันทางเศรษฐกิจของอาเซยี น โดยใหค้ วามสาคัญกบั ประเด็นนโยบายท่จี ะช่วยส่งเสริมการรวมกลมุ่ ทางเศรษฐกิจ เชน่ นโยบายการแข่งขนั การคุ้มครอง ผู้บริโภค สิทธิในทรัพยส์ นิ ทางปัญญา นโยบายภาษี และการพฒั นาโครงสรา้ งพื้นฐาน การพฒั นา เศรษฐกิจอยา่ งเสมอภาค ใหม้ ีการพัฒนาวสิ าหกจิ ขนาดกลางและขนาดยอ่ ม และการเสริมสร้างขีด ความสามารถผา่ นโครงการต่างๆ การบูรณาการเขา้ กับเศรษฐกิจโลก เนน้ การปรับประสานนโยบาย เศรษฐกจิ ของอาเซยี นกับประเทศภายนอกภมู ิภาคเพื่อใหอ้ าเซียนมที ่าทรี ่วมกนั อยา่ งชดั เจน ๓. ประชาคมสงั คมและวฒั นธรรมอาเซยี น ( ASEAN SOCIO-CULTURAL COMMUNITY หรอื ASCC) อาเซียนได้ต้ังเป้าเป็นประชาคมสงั คมและวัฒนธรรมอาเซยี น ในปี 2558 โดยมุ่งหวงั เปน็ ประชาคมท่ีมีประชาชนเป็นศนู ยก์ ลาง มีสังคมท่เี อื้ออาทรและแบง่ ปัน ประชากรอาเซยี นมีสภาพความ เป็นอยทู่ ด่ี แี ละมกี ารพฒั นาในทกุ ด้านเพ่ือยกระดบั คณุ ภาพชวี ิตของประชาชน สง่ เสริมการใช้ ทรัพยากรธรรมชาตอิ ย่างยงั่ ยืน รวมทั้งส่งเสรมิ อตั ลักษณอ์ าเซียน ( ASEAN Identity) เพอื่ รองรบั การ เป็นประชาคมสังคม และวฒั นธรรมอาเซียน โดยไดจ้ ดั ทาแผนงานการจัดตัง้ ประชาคมสงั คมและ วัฒนธรรมอาเซียน ( ASEAN Socio-Cultural Community Blueprint) ซึง่ ประกอบด้วยความ ร่วมมือในทุกๆ ดา้ น ไดแ้ ก่ การพฒั นาทรพั ยากรมนษุ ย์ การค้มุ ครองและสวสั ดิการสงั คม สิทธิและ ความยุติธรรมทางสังคม ความยง่ั ยนื ด้านสิ่งแวดล้อม การสร้างอัตลักษณ์อาเซยี น การลดชอ่ งวา่ ง ทางการพัฒนา ในดา้ นพระพทุ ธศาสนาและวฒั นธรรมของประชาชนในประชาคมอาเซยี นน้ัน นอกจากจะ เปน็ รากฐานของวัฒนธรรม เอกลักษณ์ และจิตวิญญาณของประชาชนในชมุ ชนและประเทศน้นั ๆ แล้ว ยังเป็นเครื่องเหน่ียวร้ังและควบคุมพฤตกิ รรมของคนในสังคมให้ดาเนนิ ไปตามครรลองหรอื บรรทัดฐาน ของสังคม โดยปราศจากการพนั ธนาการ ดงั น้ัน ศาสนาจึงเป็นประดิษฐกรรมทางความคิดอันสงู สง่ และมีคณุ ูปการต่อโลกและมนษุ ยชาตทิ ้งั มวล ศาสนาสาคญั ของโลกในปัจจบุ ันประกอบด้วย ศาสนา

๔ พราหมณ-์ ฮนิ ดู ศาสนาพทุ ธ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอสิ ลาม โดยศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เปน็ ศาสนา ท่เี กา่ แก่ทีส่ ุดในโลก มีแหล่งกาเนิดในเอเชยี ใตแ้ ถบประเทศสาธารณรัฐอินเดยี และปากีสถาน มีอายุ มากกว่า ๕ ,๐๐๐ ปี ประเทศทมี่ ีประชากรส่วนใหญน่ ับถือ ได้แก่ ประเทศสาธารณรฐั อินเดียและ เนปาล ส่วนศาสนาพุทธ เปน็ ศาสนาเก่าแกเ่ ปน็ อันดับท่ี ๒ เกดิ หลงั ศาสนาพราหมณ-์ ฮินดู ๒ ,๐๐๐ ปี มแี หลง่ กาเนิดในประเทศสาธารณรฐั อินเดยี และเนปาล เกิดก่อนศาสนาคริสตป์ ระมาณ ๕๔๓ ปี ประเทศที่มีประชากรส่วนใหญ่นบั ถอื ไดแ้ ก่ ราชอาณาจกั รไทย สาธารณรฐั ศรีลงั กา สาธารณรัฐแห่ง สหภาพเมยี นมาร์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรฐั สงั คมนยิ มเวียดนาม สาธารณรฐั กัมพชู า สาธารณรฐั สิงคโปร์ และภูฏาน เปน็ ต้น สาหรับศาสนาทเี่ ก่าแกเ่ ป็นอนั ดบั ที่ ๓ คอื ศาสนาครสิ ต์ มีแหล่งกาเนดิ แถบประเทศ ปาเลสไตนแ์ ละอสิ ราเอล หลงั พทุ ธศาสนา ๕๔๓ ปี ประเทศทีม่ ีประชากรนับถือเปน็ ศาสนาประจาชาติ หลายประเทศทว่ั โลก สาหรับศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาเก่าแกเ่ ปน็ อันดับท่ี ๔ มแี หล่งกาเนดิ ในนคร มกั กะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบยี หลงั ศาสนาพุทธ ๑ ,๑๑๓ ปี และหลงั ศาสนาครสิ ต์ ๖๐๐ ปี ประเทศ ทมี่ ีประชากรส่วนใหญ่นบั ถอื ไดแ้ ก่ ประเทศสาธารณรัฐอนิ โดนีเซยี ประเทศมาเลเซยี สาธารณรฐั ปากสี ถาน และสาธารณรัฐบังคลาเทศ ศาสนาหลกั ของประชาชนในรฐั สมาชกิ ประชาคมอาเซยี น รัฐสมาชกิ อาเซยี นท่ปี ระชาชนส่วนใหญน่ บั ถอื ศาสนาพุทธ ประกอบด้วยราชอาณาจกั รกมั พชู า ๙๕% ประเทศสาธารณรัฐประชาธปิ ไตยประชาชนลาว ๗๕% ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ๙๐% ประเทศสาธารณรัฐสิงคโปร์ ๔๒.๕% ราชอาณาจักไทย ๙๕% และประเทศสาธารณรฐั สังคม นิยมเวยี ดนาม ๗๐% ที่นับถอื ศาสนาอสิ ลาม ประกอบดว้ ยประเทศเนการา บรไู น ดารสุ ซาลาม ๖๗% ประเทศสาธารณรัฐอินโดนเี ซยี ๘๗% และประเทศมาเลเซีย ๖๐.๔% ทนี่ ับถอื ศาสนาคริสต์ไดแ้ ก่ ประเทศสาธารณรฐั ฟลิ ิปปนิ ส์ ๙๒% นอกจากนี้ยงั นับถือศาสนาพทุ ธ ในเปอรเ์ ซน็ ตท์ ่สี ูงในประเทศ มาเลเซยี ๑๙.๒% และประเทศเนการา บรูไน ดารสุ ซาลาม ๑๓% ศาสนาคริสต์ในประเทศสาธารณรัฐ สงั คมนยิ มเวียดนาม ๑๕% ประเทศสาธารณรฐั สิงคโปร์ ๑๔.๕% ประเทศมาเลเซีย ๑๑.๖% และ ประเทศเนการา บรูไน ดารุสซาลาม ๑๐% อสิ ลาม ๑๐% ในประเทศสาธารณรัฐสงิ คโปร์ ๑๔.๕% ประชาชนในรัฐสมาชกิ อาเซียนดงั กลา่ วขา้ งตน้ ได้ยดึ หลกั การสาคญั ของศาสนาท่ตี นเองนบั ถอื ซ่ึง สะทอ้ นให้เห็นถงึ วถิ ชี ีวิตหรือแบบแผนของการดาเนนิ ชวี ิต ศิลปะ สถาปัตยกรรมและวฒั นธรรม ตลอดจนการเมอื งการปกครองประเทศอย่างเปน็ อตั ลกั ษณ์ทีเ่ ดน่ ชัดของแต่ละประเทศ การทาความเข้าใจเก่ยี วกบั ศาสนาของประชาชนในรฐั สมาชิกประชาคมอาเซยี น จงึ เป็น พ้นื ฐานสาคญั ที่จะเข้าไปส่หู วั ใจของประชาชาตินน้ั และเปน็ พื้นฐานสาคญั ของการอยรู่ ว่ มกนั อย่าง สนั ตบิ นความหลากหลายทางเชอื้ ชาติและศาสนา ภายใต้เสาหลกั ของประชาคมและวฒั นธรรม อาเซยี น ( ASEAN Socio-Cultural Community-ASCC) ซ่งึ เก้อื กลู และเกือ้ หนนุ ต่อประชาคม การเมอื งและความมน่ั คงอาเซียน ( ASEAN Political-Security Community-APSV) และประชาคม

๕ เศรษฐกจิ อาเซยี น (ASEAN Economic Community-AEC) แนวทางการเตรียมความพร้อมการเข้าสู่ ประชาคมอาเซยี นของประเทศภาคสี มาชกิ ศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู ศาสนาพทุ ธ ศาสนาครสิ ต์ และ ศาสนาอสิ ลาม ลว้ นถือกาเนดิ ข้ึนในทวีปเอเชยี กลา่ วคอื ศาสนาครสิ ต์และศาสนาอิสลามถือกาเนิดใน ประเทศเอเชยี ตะวันตกเฉียงใต้ สว่ นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาพทุ ธถอื กาเนิดในประเทศ เอเชียใตแ้ ละแพรห่ ลายเข้ามาแทนทค่ี วามเช่อื และการเคารพนบั ถอื ของประชาชนในประเทศเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ ซึ่งรวมตัวกันเป็นอาเซียนและจะรวมตัวกนั เป็นประชาคมอาเซียนใน พ.ศ.๒๕๕๘ การทาความเขา้ ใจเก่ยี วกับความเช่อื ถอื ทางศาสนาของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศน้นั ๆ จงึ เป็น วถิ ที างหรือพ้ืนฐานทีส่ าคัญทส่ี ุดท่ีจะเขา้ ไปส่หู วั ใจของประชาชาติน้ันๆ ศาสนาของประชาชนในราชอาณาจกั รกัมพูชา ราชอาณาจักรกัมพูชานัน้ ความเช่อื ดงั้ เดิม ของประชาชน คือ นบั ถือตามบรรพบรุ ุษ ได้แก่ นับถอื โลกธาตุ ดิน น้าลม ไฟ และผี ต่อมาได้รบั เอา วฒั นธรรมอนิ เดยี มาใช้ในพิธกี รรมตา่ งๆ โดยศาสนาแรกที่ประชาชนนบั ถอื ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์ ฮนิ ดู ตอ่ มานับถอื ศาสนาพุทธนิกายมหายานและเถรวาทตามลาดบั ในสมยั พระเจา้ ชยั วรมนั ท่ี ๗ ซง่ึ เริ่มเมอ่ื พ.ศ.๑๗๒๔ ไดท้ รงทานุบารงุ ศาสนาจนเจรญิ รงุ่ เรอื งและไดร้ ับการนบั ถือจากประชาชนทกุ ระดบั ตง้ั แต่กษตั ริยล์ งมา และเป็นศาสนาประจาชาติของราชอาณาจกั รกมั พูชาในปจั จบุ ัน ประชาชน ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพทุ ธนิกายเถรวาท ๙๕% นับถอื ศาสนาอสิ ลาม ๓% ที่เหลอื นบั ถอื ศาสนาครสิ ต์ และศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นบั แต่ประเทศกมั พูชาได้ยอมรบั พระพทุ ธศาสนาแลว้ กท็ าใหศ้ าสนานี้ไดเ้ ผยแผ่ไปอย่าง กว้างขวางทั่วประเทศ ทีส่ าคญั คือช่วงต้นคริสตศ์ ักราช โดยมที งั้ ศิลาจารกึ ท่เี ป็นภาษาสนั สกฤต และ หนงั สือจดหมายเหตขุ องจีนได้บันทกึ ความเชอ่ื มสัมพนั ธร์ ะหวา่ งอาณาจักรท้ังสอง บางครั้งมพี ระภิกษุ สงฆ์เป็นตัวเชือ่ ม และพระสงฆเ์ หลา่ นั้นมบี ทบาทสาคัญมากทสี่ ุดไมเ่ พียงแตเ่ ปน็ ราชทูตเท่านัน้ แต่ยงั เป็นผ้เู ผยแผศ่ าสนาและศลิ ปวัฒนธรรมอกี ดว้ ย จึงทาใหเ้ ข้าใจได้วา่ พระพทุ ธศาสนามคี วามเจรญิ มาก จนสามารถเผยแผ่จากประเทศหนึ่งไปสู่อีกประเทศหนึ่งได้ อยา่ งไรกต็ ามเป็นทน่ี ่าเสยี ดายวา่ หลักฐาน ช้นั ตน้ ดงั กลา่ วได้สูญหายไปตามกาลเวลาจะยังมเี หลอื บ้างกแ็ ต่ศลิ าจารึก ๔ แห่ง ที่คน้ พบที่โวกาญ จงั หวดั ญาตรงั (เวียดนาม) ๑ แหง่ นักตาดา บองแดก จงั หวดั ตาแก้ว ๑ แห่ง ปราสาทปราละแวง กูซงั ซนิ (โคชนิ จีน Cochin China) ๑ แหง่ และทแี่ มน่ ้าบาตี จังหวัดตาแก้ว ๑ แห่ง ศลิ าจารกึ เหล่านไ้ี ด้ กลา่ วถงึ พระราชาผู้เคารพศาสนาพราหมณ์ ขณะที่บางแหง่ กลา่ วถงึ พระราชานบั ถอื พระพทุ ธศาสนา ซึ่งแสดงใหเ้ หน็ ว่าทั้งประชาชนและพระราชานบั ถือศาสนาผสมผสานปะปนกนั ดังนนั้ คณะผูว้ จิ ยั ในฐานะหนว่ ยงานทท่ี าการศกึ ษาและสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ทางดา้ น พระพทุ ธศาสนา จึงสนใจที่จะศึกษาวิเคราะห์ถึงประวตั ิศาสตร์ ความเป็นมา วัฒนธรรม กระบวนการ จัดการ และความสมั พันธ์ทางพุทธศาสนาทม่ี ตี ่อสังคมกมั พูชา และเก็บขอ้ มูลพน้ื ทภ่ี าคสนามโดยการ สัมภาษณ์ผู้บริหารภาครฐั ตวั แทนคณะสงฆ์ องคก์ รท่ีทางานด้านพุทธศาสนาดา้ นวัฒนธรรม ในเขต

๖ จงั หวดั เสียมเรยี บ บัดดาบอง พนมเปญ ตาแกว้ กาปงจาม อนั เปน็ จังหวัดเริ่มแรกของการตงั้ รกราก ของพระพุทธศาสนาทีเ่ ข้ามาเผยแผใ่ นประเทศกมั พชู า มาประกอบกับการศกึ ษาเอกสารต่างๆ ที่ เกยี่ วข้อง ในการวจิ ยั ครัง้ นีจ้ ะทาให้ไดร้ บั องคค์ วามรู้ทางพระพุทธศาสนาในประเดน็ ดังกลา่ วเปน็ อยา่ ง ดี อกี ท้งั ประโยชนท์ ไี่ ด้จากการศึกษานจี้ ะนาไปสู่การสร้างความสมั พันธท์ ด่ี ีต่อกนั ระหว่างประเทศไทย กบั ประเทศกัมพูชาในอนาคตโดยอาศัยพระพทุ ธศาสนามาเปน็ ตวั กลางในการเชอื่ มความสมั พันธ์ เพราะถอื ได้วา่ การเรียนรพู้ ุทธศาสนาระหวา่ งประชาชนชาวไทยกับกมั พชู าย่อมนามาซ่ึงความเขา้ ใจอัน ดีตอ่ กัน อนั จะส่งผลใหเ้ กดิ ประโยชนต์ ่อการเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาใหม้ ีความเจรญิ รุง่ เรืองยิ่งๆ ข้ึน และเปน็ ทพ่ี ึง่ ของมวลมนษุ ยชาติในโลกสืบไป ๑.๒ วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ๑.๒.๑ เพื่อศึกษาประวตั ิศาสตรศ์ าสตร์ การเมือง การปกครอง วัฒนธรรม พระพุทธศาสนาของประเทศกมั พูชา ๑.๒.๒ เพือ่ ศกึ ษาความสัมพันธ์ทางสังคมและวัฒนธรรมของพระพทุ ธศาสนาทมี่ ีต่อ ประชาชนในประเทศกมั พูชา ๑.๒.๓ เพื่อศกึ ษากระบวนการกิจกรรมด้านการศกึ ษาพระพุทธศาสนาของพระสงฆ์ใน ประเทศกมั พูชา ๑.๒.๔ วเิ คราะหแ์ นวโนม้ และทศิ ทางดา้ นพระพทุ ธศาสนากับการพฒั นาสังคมและ วฒั นธรรมในประเทศกัมพูชา ๑.๓ ขอบเขตของการวิจยั การศึกษาวจิ ยั ครั้งน้ี ผวู้ จิ ยั ได้แบง่ ขอบเขตของการศกึ ษาดงั ตอ่ ไปนี้ ๑.๓.๑ ขอบเขตดา้ นเนือ้ หา งานวิจัยนีม้ ุง่ ศึกษาประวัตศิ าสตร์พระพุทธศาสนาในประเทศ กมั พูชา ความสัมพนั ธท์ างสังคมและวัฒนธรรมของพระพทุ ธศาสนาที่มตี อ่ ประชาชนในประเทศ กัมพูชา และแนวโนม้ ทิศทางดา้ นพระพทุ ธศาสนากับการพัฒนาสงั คมและวัฒนธรรมในประเทศ กมั พชู า ๑.๓.๒ ขอบเขตด้านพนื้ ที่ คอื จงั หวัดที่เปน็ พนื้ ทเ่ี ร่ิมแรกของการตง้ั รกราก พระพุทธศาสนาที่เขา้ มาเผยแผ่ในประเทศกัมพูชา จานวน ๕ จงั หวัด ได้แก่ (๑) จงั หวดั ตาแกว้ (๒ ) จังหวดั เสยี มเรียบ (๓) กรุงพนมเปญ (๔) จังหวัดพระตะบอง (๕) จงั หวดั กาปงจาม ๑.๓.๓ ขอบเขตดา้ นประชากรและกลมุ่ ตวั อยา่ ง เป็นการวจิ ัยเชงิ ลกึ นอกจากศกึ ษาข้อมูล จากเอกสาร ยังนามาประกอบกบั การสังเกตเกบ็ ขอ้ มูลพ้นื ทีภ่ าคสนามโดยการสมั ภาษณ์ ผใู้ หข้ ้อมูล สาคญั ไดแ้ ก่ ผู้บริหารภาครฐั จานวน ๒ ทา่ น คอื รัฐมนตรกี ระทรวงธรรมการและศาสนา และ

๗ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ตวั แทนคณะสงฆ์ จานวน ๖ รปู องค์กรท่ีทางานดา้ นพทุ ธศาสนา และด้านวฒั นธรรมในประเทศกัมพชู า จานวน ๖ ท่าน ๑.๔ ปญั หาการวิจยั ๑.๔.๑ พัฒนาการของพระพุทธศาสนาในกมั พูชามปี ระวตั คิ วามเป็นมาอย่างไรบา้ ง ๑.๔.๒ ความสัมพันธ์ทางสงั คมและวฒั นธรรมชาวพทุ ธในกมั พูชาเปน็ อยา่ งไรบ้าง ๑.๔.๓ การจัดกจิ กรรมการศกึ ษาของคณะสงฆใ์ นกัมพูชาเปน็ อยา่ งไรบา้ ง ๑.๔.๔ แนวโนม้ ของพระพทุ ธศาสนาในกัมพูชาเปน็ อย่างไรบ้าง ๑.๕ คานยิ ามศัพท์เฉพาะทใ่ี ช้ในการวิจยั ๑.๕.๑ คาว่า “พระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพูชา” ในงานวิจยั น้ี หมายถงึ ศาสนาพุทธ ทั้งนกิ ายมหายาน และนกิ ายหินยานทปี่ ระชาชนชาวกมั พูชายอมรบั นบั ถือจากอดีตถงึ ปจั จุบนั ๑.๕.๒ คาว่า “ประเทศกัมพูชา” ในงานวิจัยน้ี หมายถงึ ชื่อของประเทศกัมพชู า ที่ เปลยี่ นแปลงจากอดีตจนถงึ ปัจจุบัน ๑.๕.๓ คาวา่ “ประวตั ศิ าสตร์” ในงานวิจยั นี้ หมายถึง ประวัตศิ าสตร์การเขา้ มาและการ ยอมรบั นบั ถือพระพุทธศาสนาจากอดตี ถงึ ปจั จบุ ันของประชาชนชาวกมั พูชา ๑.๕.๔ คาว่า “วัฒนธรรม” ในงานวิจยั นี้ หมายถงึ วฒั นธรรมพระพุทธศาสนา ทเ่ี กี่ยวข้อง กบั วิถีชีวติ ความเป็นอยจู่ ากอดตี ถงึ ปจั จบุ ันของประชาชนชาวกมั พูชา ๑.๕.๕ คาวา่ “ความสมั พันธท์ างสังคม” ในงานวิจัยน้ี หมายถงึ ความสัมพันธ์ทางสงั คม พระพุทธศาสนาจากอดตี ถึงปจั จุบันระหว่างพระสงฆแ์ ละประชาชนชาวกมั พชู า ๑.๕.๖ คาว่า “การศึกษาพระพทุ ธศาสนาของพระสงฆ”์ ในงานวิจัยน้ี หมายถงึ การจัด กิจกรรมการเรียนการสอนทางพระพุทธศาสนาของพระภิกษุสงฆ์ สามเณร จากอดีตถึงปัจจุบันของ ชาวกัมพชู า

๘ ๑.๖ กรอบแนวความคดิ ของโครงการวจิ ัย ในการศกึ ษาวจิ ัยน้ี ผูว้ จิ ยั ได้กาหนดกรอบแนวคดิ ดังน้ี -ประวตั พิ ระพุทธศาสนา -พระพทุ ธศาสนาใน -การเผยแผ่หลกั ธรรม การเมอื งการปกครอง ประเทศกมั พชู า พระพุทธศาสนา -การพฒั นาชุดความรู้และภูมิ -พระพทุ ธศาสนากับ -ประวัตศิ าสตร์ ปญั ญาของประเทศกมั พูชา ความสมั พนั ธ์ทางวัฒนธรรม วัฒนธรรมและการ สรา้ งความสมั พันธ์ -การประยกุ ตใ์ ชห้ ลักการทาง --การบริหารจดั การทาง ทางสงั คม พระพทุ ธศาสนาในการ พระพุทธศาสนากระบวนการ จดั การมรดกทางวฒั นธรรม สรา้ งความสัมพันธท์ าง -พระพุทธศาสนากบั การ ศาสนาและวฒั นธรรม พฒั นาสังคมและวัฒนธรรม นาเสนอในเวทรี ะดับชาติ -วเิ คราะหแ์ นวโน้มและ และนานาชาติ ทิศทางของระพทุ ธศาสนาใน ประเทศกมั พูชา ๑.๗ วธิ กี ารดาเนนิ การวิจยั ๑.๗.๑ วธิ ีการวจิ ยั โครงการวิจยั นเ้ี ป็นการวิจยั เชงิ คุณภาพ โดยอาศัยวธิ ีศกึ ษาจากเอกสาร ( Document)ท่ี เกยี่ วข้องกับการศึกษาพฒั นาการของพระพทุ ธศาสนา รูปแบบการจัดการศึกษา และสภาพปญั หา การจัดการศกึ ษาของคณะสงฆ์ในประเทศกมั พูชา โดยเอกสารทใี่ ช้เปน็ แหลง่ อา้ งอิงจะมาจาก แหลง่ ข้อมูลช้ันปฐมภูมิ (Primary Sources) ได้แก่หนงั สือหรอื เอกสารต่าง ๆ ท่ีเขียนเป็นภาษาเขมร (Khmer Language) ขอ้ มลู ชั้นทตุ ิยภมู ิ (Secondary Sources) ไดแ้ ก่ งานวิจัย วทิ ยานิพนธ์ หนงั สือ ตาราวชิ าการ วารสาร ในภาษาตา่ ง ๆ ท่เี ก่ียวข้องกับงานวิจัย

๙ การศึกษาภาคสนาม ( Field Study) เพือ่ ทาการสมั ภาษณ์ในเชงิ ลกึ ( In-dept interviews) การสนทนากลมุ่ ( Group discussion) และการสงั เกตอย่างไม่เปน็ ทางการ ( Non participant’s observation) ก. การศึกษาเชงิ เอกสาร (Document study) ทาการศกึ ษาและรวบรวมข้อมูลจาก เอกสารและหลกั ฐานท่ีเก่ยี วขอ้ ง ทงั้ หนงั สอื ตาราทีเ่ ปน็ ภาษาเขมร รายงานการวจิ ัย ภาพถ่าย เอกสาร แสดงความสมั พันธ์ท่แี สดงให้เห็นถงึ ประวัติศาสตรค์ วามเป็นมา วัฒนธรรม บทบาท ความสัมพนั ธแ์ ละ การจดั การทางพระพุทธศาสนาของประเทศกมั พชู า ท้ังในระดับนโยบาย ประชาชน องคก์ รทาง พระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพชู า ท้งั น้ีเพื่อใช้เปน็ ขอ้ มูลเบ้อื งตน้ และเป็นแนวทางแห่งการศึกษา ค้นคว้าภาคสนาม โดยดาเนินการ ดงั นี้ ๑) ศึกษา คน้ ควา้ และรวบรวมข้อมลู จากเอกสารและหลกั ฐานที่เกย่ี วขอ้ ง ทั้งหนงั สอื ทเี่ ป็น ภาษาเขมร รายงานการวิจัย ภาพถา่ ย และเอกสารอ่ืนๆ โดยอาศยั ช่วงเวลาเป็นกรอบกรอบเวลาใน การศกึ ษา ๒) ทาการศกึ ษาวเิ คราะหก์ ระบวนการจัดการทางพระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพูชา ผ่าน ขอ้ เทจ็ จริงจากผู้บรหิ าร ประชาชน องค์กรทางพระพทุ ธศาสนา ๓) ศึกษาวิเคราะห์รปู แบบและแนวทางการพฒั นาความสมั พันธ์ทางพระพุทธศาสนาใน ประเทศกมั พูชา ๔) สรปุ ผลการศึกษาทีแ่ สดงให้เหน็ ถงึ ประวตั ศิ าสตร์ ความเป็นมา วฒั นธรรม บทบาท ความสมั พนั ธแ์ ละการจัดการทางพระพทุ ธศาสนาของประเทศกัมพูชา เพอ่ื เป็นแนวทางในการศกึ ษา ค้นคว้าในภาคสนาม ข. การศกึ ษาในภาคสนาม ( Field Study) เพือ่ ดาเนนิ การสมั ภาษณใ์ นเชิงลึก การ สนทนากลุ่ม การสงั เกต เพ่อื ทราบถงึ แนวคิด บทบาท ความสมั พนั ธแ์ ละการจัดการทาง พระพุทธศาสนาของประเทศกัมพชู า ประชาชน องคก์ รทางพระพทุ ธศาสนา ในพื้นทที่ ี่เปน็ กรณศี กึ ษา ในที่น้ีหมายถึงประเทศกัมพูชา โดยดาเนนิ การดังน้ี

๑๐ ๑) ทาการศึกษาและคดั เลอื กองคก์ ารทางพระพทุ ธศาสนาในประเทศกัมพชู าที่มี ความสัมพนั ธ์อันดีกับประชาคมอาเซยี น อย่างน้อย ๒ องค์กร โดยการส่มุ แบบเจาะจง ( Purposive Sampling) ตามความสาคญั ของเร่ือง คอื ก. เปน็ องค์กรที่มีบทบาทและความสัมพนั ธ์ทางพระพทุ ธศาสนาในระดบั ชมุ ชน ระดับนโยบายและระดับนานาชาติ โดยเฉพาะกับประเทศไทยและประชาคมอาเซียน ข. เปน็ องคก์ รท่มี คี วามผกู พนั กับสงั คมไทยและประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะใน ระดบั ประเทศและชาวพทุ ธในประเทศกมั พชู า ๒) ศกึ ษาและรวบรวมขอ้ มลู จากการสมั ภาษณ์ การประชุมกลมุ่ ยอ่ ยกับคณะสงฆ์ ผู้บรหิ าร บคุ ลากร เจ้าหน้าทแี่ ละสว่ นงานท่เี กี่ยวขอ้ งของประเทศกมั พชู า ๓) ดาเนนิ การศึกษาวเิ คราะหร์ ปู แบบ การจดั การและแนวทางการพัฒนาความสัมพนั ธ์ การประยกุ ต์ใชอ้ งค์ความรู้ และกระบวนการบรหิ ารจดั การเกี่ยวกับการบริหารจัดการด้านการเผยแผ่ พระพทุ ธศาสนาในลักษณะของการวิเคราะห์เชิงลึกโดยเนน้ กระบวนการมีสว่ นร่วมของผทู้ เี่ กีย่ วข้องใน การดาเนนิ การศึกษาวจิ ยั ๔) สรุปและนาเสนอผลการศกึ ษาที่ได้จากการศกึ ษาท้งั ในเชงิ เอกสารและภาคสนาม โดย การวเิ คราะหต์ ามประเด็นท่ีสาคัญ คอื ประวตั ศิ าสตรค์ วามเป็นมา บทบาท ความสัมพันธ์ วฒั นธรรม การจดั การกจิ การทางพระพุทธศาสนาและรูปแบบการพัฒนาความสัมพันธใ์ นมิตติ า่ งๆ ๑.๗.๒ ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง ก.องค์กรทางพระพุทธศาสนา (๑) จงั หวัดพระตะบอง เจ้าคณะจังหวัด, เจ้าคณะอาเภอ, เลขานุการเจา้ คณะอาเภอ และผู้ กากบั การตารวจเมอื งพระตะบอง (๒) จังหวัดกัมโพช เจา้ คณะจงั หวดั , พระภกิ ษสุ ามเณรพระปรยิ ตั ธิ รรมแผนกธรรมและบาลี

๑๑ (๓) จังหวดั ตาแก้ว ทีป่ รกึ ษาเจ้าคณะจังหวัด, เจ้าคณะจงั หวดั , รองเจ้าคณะจังหวัด และ พระเลขานุการ (๔) จังหวดั พนมเปญ สมเด็จพระสังฆราชฝ่ายมหานิกายและเลขาธิการสังฆนายกฝ่าย มหานกิ าย, รฐั มนตรีวา่ การกระทรงธรรมการและศาสนา รฐั มนตรีว่าการกระทรวงการท่องเทย่ี ว (๕) จงั หวดั กาปงจาม เจา้ คณะจังหวดั และพระเลานกุ าร (๖) จงั หวดั เสยี มเรียบ รองเจ้าคณะจงั หวัด ข.พื้นท่สี ังเกตการณ์ การสงั เกตการณ์อยา่ งไม่เปน็ ทางการ เพือ่ ดวู ิถีชีวติ และการส่งั สมความเป็น ชาวพุทธของประชาชนในประเทศกมั พชู า ประกอบดว้ ยสถานทีต่ ่างๆ ในเมอื งสาคญั ดังน้ี ๑) จงั หวดั พระตะบอง ได้แก่ วัดทสี่ ถติ เจา้ คณะจงั หวดั พระตะบอง ๒) จงั หวัดกมั โพช ไดแ้ ก่ วัดทส่ี ถิตเจา้ คณะจงั หวัด, สานักเรียนพระ ปริยัตธิ รรมแผนกบาลี ๓) จงั หวดั ตาแก้ว ได้แก่ วดั ที่สถิตเจ้าคณะจงั หวดั , ปราสาทพนมดา พิพิธภัณฑ์อาณาจักรฟนู นั ๔) จงั หวัดพนมเปญ ได้แก่ ทาเนียบรฐั มนตรวี า่ การกระทรวงธรรม การและศาสนา วดั อณุ ณาโลม ๕) จงั หวดั กาปงจาม ได้แก่ วดั ท่สี ถติ เจ้าคณะจงั หวดั ๖) จงั หวัดเสียมเรยี บ ได้แก่ วดั โพธิวงศ์ ทส่ี ถติ รองเจา้ คณะจังหวดั , ปราสาทนครวัต ปราสาทบายน ปราสาทกุฎี (สถานท่ีศึกษาพระปริยตั ธิ รรมสมัยพระเจ้าชยวรมันท่ี ๗), ผอู้ านวยการสานักงานพระพุทธศาสนาจงั หวดั เสียมเรียบ ๗) จังหวดั อดุ รมชี ัย ได้แก่ วดั ปราสาทสาโรงราชา ท่สี ถติ เจา้ คณะ จงั หวัด

๑๒ ๑.๗.๓ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวจิ ัย ในการวจิ ัยนไ้ี ดจ้ าแนกเครือ่ งมือวจิ ัยดงั นี้ ๑) การสมั ภาษณ์ ผู้วิจยั ใช้การสมั ภาษณใ์ นเชงิ ลกึ ( In-depth interviews) สาหรบั พระ ผใู้ หญ่ นกั วชิ าการ ผบู้ รหิ ารที่เกีย่ วขอ้ งกับการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ๒) การสนทนากลุ่ม ( Group discussion) เพือ่ ทราบถงึ ทศิ ทางและการพัฒนา ความสมั พนั ธท์ างพระพุทธศาสนาของประเทศกมั พูชา ๓) การสงั เกตอย่างไมเ่ ปน็ ทางการ ( Non-participants observation) ซง่ึ เป็นการสงั เกต พฤตกิ รรมและการแสดงออกของประชาชนในประเทศกมั พชู าโดยไมไ่ ด้เขา้ ไปแทรกแซงหรือร่วม กจิ กรรมอย่างเปน็ ทางการซ่ึงทาควบคู่กับการสมั ภาษณ์ การสนทนากล่มุ เพอ่ื ใหส้ ามารถมองเห็นถึง กระบวนการการเสริมสรา้ งการเรียนรพู้ ระพทุ ธศาสนา ๑.๗.๔ การวิเคราะหข์ ้อมลู การวิจยั น้เี ป็นการวจิ ัยเชิงคณุ ภาพโดยใช้วิธกี ารศกึ ษาข้อมูลจากเอกสารและขอ้ มลู จาก การลงภาคสนามท่ไี ดจ้ ากการสมั ภาษณ์เชิงลึก ( In-Depth interviews) การสนทนากลมุ่ (Group discussion) และการสังเกตอย่างไมเ่ ปน็ ทางการ ( Non-participants observation) จงึ ใช้วิธีการ วเิ คราะหเ์ ชิงเน้อื หา ( Content analysis) เพอ่ื จับประเด็นสาคัญและสงเคราะห์องค์ความรู้ตาม วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย ๑.๗.๕ ระยะเวลาในการดาเนินการวจิ ยั การวจิ ยั น้ใี ชร้ ะยะเวลาในการวจิ ยั ตงั้ แต่เดือนมกราคม ถงึ เดือนธนั วาคม ๒๕๕๖ ๑.๘ ประโยชนท์ คี่ าดว่าจะได้รับ ๑.๘.๑ ทาใหท้ ราบถงึ ประวัติความเป็นมาของพระพทุ ธศาสนาในประเทศกมั พชู า ๑.๘.๒ ได้องค์ความรดู้ า้ นความสมั พันธ์ทางสงั คมและวัฒนธรรมของพระพทุ ธศาสนาท่ีมี ตอ่ ประชาชนในประเทศกมั พชู า ๑.๘.๓ ได้ทราบถึงการจัดกจิ กรรมการศกึ ษาของคณะสงฆ์ในประเทศกัมพชู า ๑.๘.๔ได้ทราบแนวโน้มและทิศทางด้านพระพุทธศาสนากบั การพัฒนาสังคมและ วัฒนธรรมในประเทศกมั พชู า

บทที่ ๒ ประวตั ศิ าสตร์พระพุทธศาสนา การเมืองและการปกครอง ในประเทศกัมพูชา ๒.๑ กมั พชู ายุคก่อนประวตั ศิ าสตร์ ประเทศกัมพชู า มชี อ่ื อยาํ งเปน็ ทางการวํา พระราชอาณาจักรกมั พูชา Kingdom of Cambodia ชอื่ นไี้ ด๎รบั การฟืน้ ฟอู ีกครง้ั ในปี พ.ศ.๒๕๓๖ หลังการเลือกตง้ั ท่วั ไปทจี่ ดั โดยสหประชาชาติ ในชํวง ๑๐๐ ปมี าน้ี ประเทศกมั พูชาได๎ถูกเปล่ียนชอื่ มากที่สดุ แหงํ หนงึ่ ในโลกตามวิถีแหํงการเมือง คือ พ.ศ.๒๓๒๓-๒๕๑๐ เรยี กวาํ พระราชอาณาจกั รกมั พูชาปกครองโดยราชวงศ๑นโรดม และศรสี วัสดิ์ (สี สวุ ัตถ)ิ์ พ.ศ.๒๕๑๐-๒๕๑๘ เรียกวาํ สาธารณรัฐเขมร(Republic of Cambodia) ปกครองโดยนายพล ลอนนอล พ.ศ.๒๕๑๘-๒๕๒๑ เรียกวาํ กัมพชู าประชาธิปไตย (Democratic of Kampuchea) ปกครองเขมรแดงนําโดยพอล พต พ.ศ.๒๕๒๑-๒๕๓๕ เรยี กวํา สาธารณรฐั ประชาธิปไตยกัมพูชา ปกครองโดยเฮงสัมริน และ พระราชอาณาจักรกมั พชู าปกครองโดยเจา๎ นโรดม รณฤทธิ์ และนายฮนุ เซน ตั้งแตํพ.ศ.๒๕๓๖ เปน็ ตน๎ มา ประเทศกัมพชู า ถอื วาํ เปน็ ชนชาตทิ ี่มอี ารยธรรมเกาํ แกมํ าชา๎ นาน และมอี ํานาจครอบครอง ผืนแผํนดินหลายประเทศ เชนํ บางสวํ นของไทย พมํา ลาว และเวียดนาม ประเทศเหลํานี้ ลว๎ นเคยรบั อารยธรรมจากกัมพูชาโบราณท่เี รยี กวาํ ขอมด๎วยกนั ทงั้ สิน้ ในขณะเดียวกนั ขอมหรือกมั พชู าเองไดร๎ ับ อิทธพิ ลจากทีอ่ น่ื นั้นคืออารยธรรมของอินเดีย แทนที่จะเปน็ อารยธรรมจีนซ่งึ เป็นประเทศใหญํทอี่ ยูใํ กล๎ กวํา ในขณะทเ่ี พ่ือนบ๎านอยํางเวยี ดนามกลบั รับอารยธรรมจากจีนอยํางเตม็ ที่ เราสามารถแยกลักษณะ การรบั วฒั นธรรมอินเดียของกัมพูชาออกเปน็ ลักษณะดงั นีค้ อื ๒.๑.๑ ดา้ นศาสนาชาวกัมพูชานบั ถอื ศาสนาพราหมณท๑ ้ังนิกายไศวะ หรอื ไวศณพ ศาสนา พุทธทง้ั นกิ ายมหายานและเถรวาท ๒.๑.๒ ดา้ นการเมอื งการปกครอกงมั พูชาได๎คติลัทธิเทวราช วษิ ณุราช และพุทธริ าช อนั เปน็ อดุ มคติทางศาสนาของอินเดีย ๒.๑.๓ ดา้ นการเป็นอยู่ ชาวกัมพชู านยิ มรบั ประทานขา๎ วด๎วยมือ โพกผ๎าบนหัว นงุํ โจง พระมหาดาวสยาม วชิรปญ๓ โญ, ดร., พระพทุ ธศาสนาในกัมพูชา, (ขอนแกนํ : หจก.โรงพมิ พ๑คลงั นานาวิทยา, ๒๕๕๕), หนา๎ ๑.

๑๔ กระเบน เทนิ ของบนศีรษะเหมอื นชาวอนิ เดีย ๒.๑.๔ ด้านภาษาภาษาสนั สกฤตและบาลีมอี ทิ ธพิ ลสงู สดุ เปน็ ภาษาในราชสํานัก ใช๎ทั้ง จารกึ ตดิ ตํอขดี เขยี นท่ัวไป อิทธพิ ลทัง้ สองภาษายงั มีในภาษากัมพชู าป๓จจบุ นั อกี ด๎วย ๒.๑๕. ด้านสถาปตั ยกรรมการกํอสร๎างปราสาทราชวงั เทวาลัย การสร๎างวดั วาอาราม การสร๎าง พระพุทธรปู การสรา๎ งเทวรปู ปางตาํ ๆง จนหลายคนกลําววาํ ถา๎ ไมํมอี ารยธรรมอนิ เดยี ก็ไมมํ ีปราสาทนครวดั นครธม เปน็ ตน๎ ชาวกัมพูชานยิ มสวมเสือ้ ผ๎าแบบอินเดยี กนิ ข๎าวดว๎ ยมอื เทินของบนศีรษะ โพกศรี ษะ นํุง ผา๎ ถงุ ซงึ่ ตาํ งจากเวยี ดนามประเทศเพ่อื นบ๎านอยํางมาก การขยายอทิ ธพิ ลของอินเดียสํกู มั พชู าและเพือ่ นบ๎าน ตํางจากจีนกระทาํ ตํอเวยี ดนามอยํางสน้ิ เชิง กลําวคือ อินเดยี ไมํเคยใชก๎ าํ ลงั เขา๎ ยึดครองกมั พชู า แตเํ ป็นการรบั เอาอยาํ งสมคั รใจ ขณะท่จี ีนเขา๎ ยึดครองพรอ๎ มบงั คับเวียดนามใหอ๎ ยูใํ ตอ๎ าํ นาจถงึ พันกวาํ ปี กมั พชู าไมํเคย ตํอต๎านอินเดียทง้ั ทอ่ี นิ เดียไมํใชรํ ฐั ท่เี ป็นปึกแผนํ มน่ั คง ในขณะทเี่ วียดนามประจนั หน๎ากบั จีนอยตูํ ลอดเวลา พรอ๎ มตอํ ตา๎ นจนี ทุกรูปแบบ กมั พชู าเคยเป็นรัฐมหาอาํ นาจทเี่ คยครอบครองแผนํ ดินไทย ลาว เวียดนาม มา กอํ นและยังสงํ อทิ ธพิ ลใหไ๎ ทยทงั้ ด๎านภาษา วัฒนธรรมประเพณีหลายอยาํ งดว๎ ย ชาวกมั พชู าโดยมากเป็นเชอื้ สายมองโกลอยด๑เชํนเดียวกับชนชาวเอเชยี สํวนมาก แมป๎ จ๓ จุบันจะมีชาวเวียดนาม ชาวจาม ชาวจีนเขา๎ มาอาศัย อยบูํ ๎างก็ตาม ๒.๒ เผ่าพันธแ์ุ ละชาตภิ มู ิ ความเปน็ มาของชาวกมั พชู าน้นั เปน็ ประเด็นทนี่ าํ สนใจย่งิ เพราะมีหลายแหลงํ ทีอ่ ๎างแตกตํางกัน ในหนงั สอื พงศาวดารเขมรของทองสบื ศภุ มารค๑ กลาํ ววาํ ชาวกมั พชู าสบื เช้อื สายมาจากอินเดยี โบราณ โดย กลาํ ววาํ ในคร้ังดึกดาํ บรรพ๑ มีชาวชมพทู วีปตระกลู หนึง่ รปู รํางลนั ทัด จมกู สน้ั ผิวคลํ้า แบงํ เปน็ หลายพวก หลายเผํา นกั ประวัติศาสตร๑เรยี กคนพวกน้ีวํา มอน-แขมฺ ร๑ ตอํ มาเป็นตน๎ ตระกูลชาวมอญ และเขมรในป๓จจุบนั หลายพนั ปีตํอมาได๎อพยพจากรฐั อัสลมั อนิ เดีย เข๎าสเํู ขมรและมณฑลยูนนาน แลว๎ จงึ อพยพลงสูํแหลมทอง แลว๎ แยกออกเปน็ ๒ สาย คือ สายตะวันตกเรียกตวั เองวํามอญ สวํ นพวกตะวนั ออกเรียกตัวเองวําแขมฺ ร๑ นอกจากนนั้ ยังมพี วกมอญ-แขฺมร๑ ตกค๎างในปุาเขาในประเทศลาว และเขมรอีกหลายพวกคอื พวกปอร๑ สาํ แร กวย ขมุ ขํา พนอง ลวา๎ ปะหลํอง สวํ ย และ เยอ เปน็ ต๎น จากสถิตปิ ระชากรในป๓จจบุ ัน (๒๕๕๕) กัมพชู ามปี ระชากรทง้ั สิ้น ๑๔,๘๐๕,๐๐๐ คน เปน็ ชาวกมั พูชาแท๎ร๎อยละ ๙๐ ชาวญวนรอ๎ ยละ ๕ ชาวจนี รอ๎ ยละ ๑ ชาวจามร๎อยละ ๑ นอกนัน้ เปน็ ชาว ไทย ลาว จะรวย ระแดว๑ เสตยี ง เปอร๑ รวมแลว๎ ร๎อยละ ๕ ชาวเขมรนิยมต้งั บ๎านเรือนในทส่ี ูง พวกที่ตง้ั บา๎ นเรือนอยแํู ถวสุรินทร๑ บรุ รี ัมย๑ ศรีสะเกษ เรียกตัวเองวํา แขฺมร๑-เลอ (เขมรสูง) สํวนพวกที่อยแํู ถว ทองสืบ ศภุ ะมารค๑ , ราชพงศาวดารเขมร, (กรงุ เทพฯ: โรงพมิ พค๑ ุรสุ ภาลาดพรา๎ ว, ๒๕๒๖), หนา๎ ๑. เรอ่ื งเดียวกัน หน๎า ๒.

๑๕ ทะเลสาบเขมรและผ๎ูคนโดยมากในเขมรป๓จจุบัน เรียกวาํ แขมฺ ร๑-กฺรอม (เขมรต่าํ ) เขมรตํ่านีร้ วมถึงชาว เขมรท่อี าศยั ในเวียดนามตอนใตด๎ ว๎ ย สํวนคนไทย ลาว เรยี กเขมรกรอมวําเขมรขอม หรือขอมเฉยๆ เพราะเรานยิ มออกเสียง กร เป็น ข คําวํา กรอม จงึ กลายเปน็ ขอม ในที่สดุ ตาํ นานพน้ื เมืองของกัมพูชากลาํ ววาํ พวกเขาสบื เชอื้ สายมาจากพราหมณ๑ท่ีชอื่ โกณฑญั ญะ หรือเกาฑิณยะ ซึง่ เดินทางมาจากอนิ เดีย ตอํ มาธิดาพญานาคแหํงบาดาลนามวําโสมาพร๎อมผู๎ติดตาม ไดพ๎ ายเรอื มาตอ๎ นรับพราหมณโ๑ กณฑัญญะผู๎มธี นวู เิ ศษในมอื ใชธ๎ นูวเิ ศษยงิ เรอื จนเรอื จะอับปาง จนเจา๎ หญิงตกพระทัยจึงอ๎อนวอนและยอมสมรสดว๎ ย กํอนวันสมรส พราหมณโ๑ กณฑัญญะได๎รับมอบเครือ่ ง ทรงให๎เจา๎ หญิง สํวนพญานาคผพู๎ ํอตาก็ ตอบแทนดว๎ ยการดื่มน้ําทท่ี วํ มแผนํ ดินจนแหง๎ สรา๎ งเมืองให๎ ธดิ ากบั บุตรเขยแล๎วให๎นามเมืองวํากัมโพช ซึ่งคําวํากมั พูชากเ็ ปน็ ช่อื รัฐทางเหนือของอินเดียตดิ กับคันธา ระ แปลวํา ผ๎ูเกิดในดนิ แดนกัมพุ อันเป็นเครื่องยนื ยนั ถึงการรบั อิทธิพลจากอินเดยี อยาํ งชดั เจน กษตั ริย๑ ในยคุ ตํอมากส็ ืบเชื้อสายมาจากพราหมณโ๑ กณฑัญญะท้ังสิ้น ๒.๒.๑ประชากร กัมพชู าเปน็ ประเทศหน่งึ ที่มีช่ือเรียกตวั เองหลายชอ่ื ตง้ั แตอํ ดตี จนถึงปจ๓ จบุ นั ชือ่ เหลาํ นม้ี าจาก หลายแหลงํ ท่เี รยี กขานผคู๎ นท่ีอาศยั ในกมั พูชา คอื ๒.๒.๑.๑ กมั พูชา หรือกมั พุช เป็นช่อื เดิมของชนเผาํ น้ีโดยไดร๎ บั อิทธิพลมาจากภาษาอนิ เดยี และคําวาํ กัมพูชา เป็นรฐั โบราณทางตอนเหนือของอินเดียดว๎ ย ๒.๒.๑.๒ ฟูนัน หรือพนมปรากฏหลกั ฐานโดยมากในจดหมายเหตขุ องจนี เปน็ หลัก คาํ นมี้ าจาก คาํ วาํ พนม ซึ่งแปลวาํ ภเู ขาในภาษาเขมร ๒.๒.๑.๓ เจนละ คาํ น้ีปรากฏในจดหมายเหตุของจีนเชํนกัน และคาํ น้ีบางทาํ นกลาํ ววาํ นาํ จะ เพ้ยี นมาจากคาํ สันสกฤตวาํ จ“นั ทรวงศ์”แปลวาํ วงศแ๑ หงํ พระจันทร๑ เพราะกษัตรยิ ๑อาณาจักรน้ีเช่อื วําตวั เอง เปน็ ตระกลู พระจนั ทร๑ ๒.๒.๑.๔ ขอมคํานีไ้ มปํ รากฏวําพบในจารึกเขมร แตเํ ป็นคาํ ทไี่ ทยเรียกขานชนเผาํนี้ ไทยเร่มิ ใช๎ คํานตี้ งั้ แตํสมยั สโุ ขทยั และอยธุ ยา และคาํ ท่คี ๎นุ หทู ่ีสุดคอื ขอมดาํ ดนิ ๒.๒.๑.๕ เขมร คาํ นี้พบครง้ั แรกในจารึกสมยั พระเจา๎ ชยั วรมนั ที่ ๗ คอื คําวาํ เขฺมร ใน พจนานกุ รมเขมรกลาํ ววาํ แขมฺ ร๑ ในจารกึ โบราณเขยี นเป็น เกฺมร และตอํ มาเขียนเป็น เขมฺ ร และกลายมาเปน็ ภาษาบาลวี าํ เขมระ แปลวาํ เกษม ๒.๒.๒ การเข้ามาของพระพุทธศาสนาในกมั พชู า ประเทศกมั พชู าไดร๎ บั อารยธรรมทร่ี ุงํ เรืองมาจากอนิ เดยี ไวเ๎ ปน็ มรดกต้งั แตโํ บราณกาลมาแล๎ว ถา๎ ดู พรรณงาม เหงาํ ธรรมสารและคณะ (แปล), ประวัตศิ าสตรก์ ัมพชู า, (พิมพค๑ ร้ังท่ี ๔, กรุงเทพฯ: โรง พมิ พ๑ มหาวิทยาลัยธรรมคาสตร๑, ๒๕๔๓), หน๎า ๒๐.

๑๖ ตามทีต่ ง้ั ทางภมู ศิ าสตรแ๑ ล๎ว เขมรอยํูใกลจ๎ ีนมากกวําอนิ เดีย นาํ จะไดร๎ บั อารยธรรมจากจีนมากกวํา แตํเขมร กลับเลอื กรบั เอาอารยธรรมอินเดยี มาเป็นสมบตั ขิ องชาติ หลกั ฐานน้ีบงํ บอกให๎ทราบเป็นนยั ๆ วาํ อารยธรรม อินเดียมคี วามเจรญิ และเขม๎ แขง็ มากกวาํ จนี มาก โดยเฉพาะสมัยนัน้ ศาสนาที่เขมรนับถอื ซ่งึ รับมาจากอนิ เดยี คอื ศาสนาพราหมณ๑และศาสนาพทุ ธ ทงั้ สองศาสนาตาํ งพยายามชงิ อทิ ธพิ ลกันอยํางหนักในหมูปํ ระชาชน ธรรมดาไปจนถึงชนชัน้ สูง พระราชวงศ๑ในชํวงต๎นๆ ศาสนาพราหมณ๑สามารถทาํ ไดส๎ ําเร็จโดยยึดฐานชนชนั้ ผปู๎ กครองไดม๎ ากกวาํ อนั จะเหน็ ไดจ๎ ากรายชอ่ื พระมหากษตั รยิ ๑ของกมั พูชาตง้ั แตยํ ุคแเปรน็กตน๎ มา จนถงึ ราว พ.ศ. ๑๗๐๐ เศษ ล๎วนมีนามเป็นสันสกฤต พระมหากษตั ริยก๑ มั พชู าจึงกลายมาเปน็ พุทธมามกะโดยสมบรู ณ๑ บรรพบุรุษของกมั พชู าเดิมทีกเ็ หมอื นบรรพบรุ ุษของมนษุ ยท๑ งั้ หลายบนพืน้ โลกนี้ โดยมากเคารพ ธรรมชาตริ อบตวั เป็นทพ่ี ่งึ ไดแ๎ กํ ดนิ น้าํ ไฟ ลม ภเู ขา จอมปลวก แมนํ ํา้ ตน๎ ไม๎ ปุาเขา ก๎อนหิน เปน็ ที่พ่ึงยาม มีภยั คกุ คาม ความเชื่อน้ี แม๎ป๓จจบุ นั ก็ยงั หลงเหลอื อยทูํ ่ัวไปไมเํ ฉพาะกัมพชู าเทํานั้น แตรํ วมถงึ ผู๎คนในเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต๎ดว๎ ย กมั พชู าได๎รบั พระพุทธศาสนาในสมยั ของพระเจา๎ อโศกมหาราชสงํ สมณทตู เขา๎ มาในสวุ รรณภมู ิ อนั มพี ระโสณะและพระอตุ ตระเป็นหวั หน๎าคณะสายท่ี ๘ แม๎นวาํ คาํ วํา สุวรรณภูมิจะเปน็ ทถ่ี กเถียงกันวําคือ ทใ่ี ดกันแนํ แตชํ าวกัมพูชากเ็ ชอื่ มน่ั วาํ หมายถงึ ดินแดนกัมพูชาในปจ๓ จุบันคือสุวรรณภมู ิอยาํ งแท๎จริง สํวนพระ ธรรมทตู ทั้ง ๙ สายคือ ๒.๒.๒.๑ พระมัชฌันตกิ เถระไปแควน๎ กศั มรี ๑ และคันธาระอยทํู างทศิ ตะวนั ตกเฉียงเหนือ ของอินเดีย ซ่งึ ไดแ๎ กํ แคว๎นกัศมีร๑(แคชเมยี ร๑)ในป๓จจบุ ันนี้ ๒.๒.๒ .๒ พระมหาเทวเถระไปมหสิ สกมณฑล อยูํทางทิศใตข๎ องแมํนาํ้ โคธาวารี ซ่งึ ได๎แกํ ไม ซอรใ๑ นป๓จจบุ นั (อยํูทางทิศใต๎ของอินเดียตดิ กบั เมอื งมทั ราส) ๒.๒.๒. ๓ พระรกั ขิตเถระไปวนวาสีประเทศ อยใูํ นเขตกนราเหนือ ภาคตะวนั ตกเฉยี งใตข๎ อง อนิ เดีย ๒.๒.๒. ๔ พระโยนกธัมมรกั ขติ เถระไปอปรันตชนบท อยฝํู ง๓่ ทะเลอาระเบยี นทศิ เหนือของ บอมเบย๑ (มุมโบ) ๒.๒.๒ .๕ พระมหาธัมมรกั ขิตเถรไะปแควน๎ มหาราษฎร๑ ภาคตะวันตก ไมํหาํ งจากบอมเบย๑ ในป๓จจบุ ัน ๒.๒.๒ .๖ พระมหารกั ขิตเถระ ไปโยนกประเทศ ไดแ๎ กํ เขตแดนบากตรยี ในเปอรเ๑ ซยี สุเทพ พรหมเลิศ, ผศ. คัมภรี ์มหาวงศ์ ภาค ๑ (กรุงเทพฯ : โรงพมิ พ๑มหาจุฬาลงกรณราช วทิ ยาลัย, ๒๕๕๓), หนา๎ ๕๑. ทองสบื ศุภะมาร๑ค (ผู๎แปล), พระพุทธศาสนาในกัมพชู า, (กรงุ เทพฯ: โรงพิมพอ๑ รุ สุ ภาลาดพร๎าว, ๒๕๑๕), หน๎า ๑๔.

๑๗ (อิหรําน) ป๓จจุบัน ๒.๒.๒ .๗ พระมชั ฌิมเถระไปหมิ วนั ประเทศ ได๎แกํ เนปาล ซึ่งอยํูทางตอนเหนอื ของอินเดยี ๒.๒.๒. ๘ พระโสณะและพระอตุ ตระและคณไะปสวุ รรณภมู ิ ได๎แกํ ไทย พมํา เขมร และ มอญในทุกวนั น้ี ๒.๒.๒ .๙ พระมหินทเถระพระอิฏฐิยเถระ พระอตุ ตยิ เถระ พระสัมพลเถระ และ พระภทั ทสาลเถระ ไปเกาะสิงหล หรือประเทศศรีลงั กา แนวคดิ เรือ่ งพระโสณะและพระอตุ ตระเข๎ามาเผยแผํพระพุทธศาสนาในดนิ แดนสวุ รรณภูมินั้น นักปราชญช๑ าวกมั พูชาเชือ่ อยาํ งม่นั คงวํา สวุ รรณภมู นิ นั้ หมายถึงดนิ แดนทเ่ี ป็นกมั พูชาป๓จจบุ นั โดยอา๎ ง หลกั ฐานของจีนหลายชิ้น ถา๎ เราเชอื่ ตามแนวคิดนีแ้ สดงวาํ กัมพูชาเรมิ่ นับถอื พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ตงั้ แตํน้ันมา แม๎วาํ กมั พชู าจะได๎รับพระพทุ ธศาสนาโดยตรงจากคณะพระธรรมทตู คือพระโสณะและพระอุตตระ อนั เป็นนิกายเถรวาท หรอื หนิ ยาน แตกํ ลบั ไมเํ จริญรงํุ เรอื ง เพราะตอํ มาพระพทุ ธศาสนาแบบมหายาน และ ศาสนาพราหมณน๑ กิ ายไศวะ และไวศณพ ไดเ๎ ข๎าเจรญิ มนั่ คงแทน โดยมภี าษาลันสกฤเปต็นภาษาสาํ คัญของ ราชวงศ๑ และของพวกพราหมผณ๎ูท๑ าํ หน๎าท่ีสือ่ กลางระหวาํ งมนุษยก๑ บั พระเจา๎ แนวความเชื่อของศาสนาทั้งสอง นี้ได๎หยงั่ รากลกึ ลงในหัวใจของชาวกัมพูชาทุกคน ตัง้ แตชํ นช้ันปกครองจนถงึ ประชาชนธรรมดา ผลงานทบ่ี ํง บอกถึงความศรทั ธาท่ีมนั่ คงแนวํ แนํตํอศาสนาของพวกเขา คือการกํอสร๎างศาสนสถานด๎วยหนิ ศลิ าของทง้ั สอง ศาสนาเกือบ ๒,๐๐๐ แหํงทว่ั แผํนดินกัมพชู า ลาว เวยี ดนาม ซ่ึงแตํละแหงํ สรา๎ งไดอ๎ ยํางใหญํโตมโหฬาร ผ๎ูท่ไี มํ มศี รัทธาม่ันคง ยํอมไมอํ าจสร๎างผลงานมหึมาเหลําน้อี ยํางแนนํ อน แลศะาสนสถาน ๑ ในสองพัน ได๎รับการ ยอมรบั ใหเ๎ ป็นสิง่ มหัศจรรยอ๑ ันดับเจด็ ของโลกดว๎ ยน่ันคือปราสาทหินนครวัด การเผยแผํของพระพทุ ธศาสนามาสูดํ ินแดนแถบน้ี มดี ๎วยกนั ๒ ทาง คือทางบกและทางนาํ้ ในทาง บกน้นั พระพทุ ธศาสนาไดเ๎ ผยแผํตามพอํ คา๎ ขบวนเกวยี น ซ่ึงเดินทางค๎าขายตามเมืองใหญนํ อ๎ ยในเขตอนิ เดีย และนอกเขตอนิ เดยี สวํ นทางทะเลได๎ตามพอํ ค๎าเดินทะเลมาสดูํ ินแดนแถบน้ี ตามธรรมเนียมชาวพทุ ธแม๎จะ เป็นพอํ คา๎ กต็ าม เวลาเดินทางไกลคร้งั หนง่ึ มักจะนิมนตพ๑ ระสงฆ๑หรือพระพุทธรปู เอาไปด๎วย เพ่อี ปูองกนั อันตรายตามทางผําน และเพือ่ ความเจรญิ รงุํ เรอื งของการค๎าขายดว๎ ย หลักฐานทางด๎านพระพุทธศาสนาที่ ปรากฏเห็นในภูมิภาคนี้มี ๖ ศนู ย๑กลางดว๎ ยกัน ไดแ๎ กํ ภาคตะวนั ออกประเทศจามปา (ภาคใตข๎ องเวยี ดนาม) เป็นดินแดนของชาวจามในอดตี นับ ถือพระพทุ ธศาสนา มนี ิกายทเ่ี จรญิ รงํุ เรอื งอยํู ๒ นิกาย คือ นิกายอารยะ สมั มติ ยิ นกิ าย และสรวาสติวาท นิกาย ในดนิ แดนแถบนี้ได๎มีการคน๎ พบพระพทุ ธรปู สาํ รดิ องค๑หน่งึ สวยงามพิเศษ ศิลปะแบบอมราวดี ที่ เมอื งดงํ เชือง จังหวัดกวํางนาม ประเทศเวียดนาม อายรุ าวพุทธศตวรรษท่ี ๑๓ ถึง ๑๔ สเุ ทพ พรมเลิศ, ผศ., คัมภีร์มทาวงส์ ภาค ๑ , (กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ๑มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๓), หนา๎ ๕๑.

๑๘ ภาคตะวันออกตอนกลางประเทศพนม (ฟูนัน) หลกั ฐานของจีนกลําววํา พระเจา๎ หุน เทียน (โกณฑญั ญะ) พระนางเลียวย่ี (โสมา) เป็นปฐมกษัตริยส๑ ถาปนาประเทศนีข้ ึน้ ในราว พ.ศ. ๕๐๐ มศี ิลาจารกึ หลายแหงํ ของพระเจา๎ ฟานเจมัน (ศรมี าระ) และการคน๎ พบพระพทุ ธรูปเป็นจํานวนมากในสมยั นี้ ซึง่ บงํ บอก อทิ ธิพลของพระพุทธศาสนาในยคุ นี้ได๎เป็นอยํางดี ภาคตะวันตกตอนกลางอนั เป็นทตี่ ้งั ประเทศไทยในป๓จจบุ ัน มจี ารกึ กลําววํา\"เย ธมมฺ า\" หลายแหํง นอกจากนั้นยงั พบพระพุทธรูปสํารดิ องค๑หนึง่ ทโี่ บราณสถานพงดึก ศิลปกรรมแบบอฺ มราวดี นอกจากนน้ั ยงั พบทีน่ ครราชสมี า และท่ตี าแกว ภาคตะวนั ตก ประเทศมอญ (ประเทศพมาํ ในป๓จจบุ ัน) มีลานทองหลายแผํนจารึกวาํ เย ธมฺมา หลายแหํงเชํนกัน อยทํู ม่ี าซาและมองกานใกลเ๎ มืองโปรม และทีเ่ มอื งเกําช่อื สธุ รรมวดี หรอื เมืองสะโตง ซ่ึงเป็นอาณาจกั รศรีเกษตร แหลมมาลายู (มาเลเซีย) ในหลกั ฐานของฝาุ ยจนี กลาํ ววํา ณ ทีน่ ่มี ีรฐั เลก็ ๆ ถอื ตาม วัฒนธรรมอนิ เดยี ต้ังแตํครสิ ตศตวรรษที่ ๒ เรยี กอาณาจกั รเหลาํ นว้ี ํา อาณาจกั รศรวี ชิ ยั และลงั กาสุกะ หมูเ่ กาะสมุ าตรา(อินโดนเี ซยี ) มีศลิ าจารกึ หลายแหงํ พบศิลาจารกึ ของพระเจา๎ มลู วรมันใน เมอื งกุไต เกาะบอร๑เนียว และศลิ าจารกึ ของพระเจา๎ ปรู ณวรมัน ณ ภาคตะวนั ตกของเกาะชวา ที่นพ่ี บ พระพทุ ธรปู ทปี ๓งกรหลายองค๑ ศลิ ปะอมราวดี องค๑หน่ึงคน๎ พบทีเ่ มอื งเซ็มเบอร๑ ในเกาะเซลเี บส อกี องค๑หนึ่ง ค๎นพบที่เมอื งเซมเบอร๑ ชวาตะวันออก ๒.๓ พระพุทธศาสนาสมัยเมืองพนม(ฟนู นั ) (พ.ศ. ๕๔๓ - พ.ศ. ๑๐๙๓) ราว พ.ศ. ๕๔๓ ถึง พ.ศ. ๑๐๙๓ คาํ วาํ พนม แปลวาํ ภเู ขา ชาวจีนเรียกอาณาจกั รน้วี าํ ฟูนนั (Funan) บางทเี ขียนเปน็ ฟูนาน โปหนํา และ ฟูหนาํ กม็ ี ในศลิ าจารึกภาษาสันสกฤต เรียกวํา วรฺ วานํ เมืองหลวงต้ังอยทํู ่เี กาะตน๎ หมนั อาํ เภอไพรกปั บาส จงั หวัดตาแก๎ว เรียกวํากรุงโคกธลอก เรียก เปน็ ภาษาสนั สกฤตวาํ อังครปรุ ะ เมอื งนีเ้ ป็นเมอื งหลวงราว ๓๐๐ ปี ประวัติศาสตรข๑ องกมั พูชายคุ นี้ คลุมเครอื มานาน เพราะมีหลกั ฐาน ให๎สบื ค๎นไดน๎ อ๎ ยมาก หลกั ฐานโดยมากจงึ อาศัยจดหมายเหตุของจีน เปน็ หลกั แตํไมํไดม๎ าจากอนิ เดยี เลย ทัง้ ทีอ่ าณาจักรเหลาํ นีล้ ว๎ นได๎รับอิทธิพลจากอนิ เดยี ทุกรูปแบบ อาจจะเป็นเพราะชนชาตอิ นิ เดียไมํขยันในการจดจารึกเหมอื นจนี ในจดหมายของจนี สมยั ราชวง ศ๑จิน้ ราว พ.ศ. ๘๐๘ - ๙๖๒ กลําวถึงอาณาจกั รน้วี ํา “อาณาจักรฟนู ันตงั้ อยูํทางทิศตะวนั ตกของหลินยี่ พระมหาดาวสยาม วชิรปญ๓ โญ, ดร., พระพุทธศาสนาในกมั พชู า, หนา๎ ๘.

๑๙ (จัมปา ประมาณ ๑,๐๐๐ ล้ี) ด๎านรมิ ทะเลเปน็ อาํ วใหญํ มอี าณาเขตกวา๎ งขวางกวาํ ๓,๐๐๐ ลี้ มีแมํน้าํ สายใหญํไหลมาจากทศิ ตะวันตกหรือตะวันตกเฉียงเหนือลงสทูํ ะเล” นอกจากนั้นเรายงั ได๎หลักฐานจากราชทูตของพระเจา๎ ซุนํ กวนท่ีเดินทางมายงั อาณาจกั รฟนู ันนาม วาํ กังไถ่ (Kang Tai) และจูหยงิ (Chu Ying) เดนิ ทางมา พ.ศ. ๗๖๘ ได๎เข๎าเฝาู กษัตรยิ แ๑ หํงฟนู ันด๎วย เมอ่ื เดินทางกลับได๎เขยี นรายงานการเดนิ ทางเกบ็ ไว๎ แตโํ ชครา๎ ยท่ีรายงานฉบับดงั กลําวไดส๎ ูญหายไป จึงเหลอื แตํ หลกั ฐานรายงานการเดินทางมาฟูนนั ในหอจดหมายเหตขุ องจนี เทาํ นน้ั คณะทูตจีนนน้ี บั เปน็ ชดุ แรกท่ีมาเยือน ราชสาํ นกั กัมพูชาอยาํ งเปน็ ทางการ ในรายงานท่ีพอมีหลักฐานเหลืออยูไํ ดก๎ ลําววาํ ปฐมกษตั รยิ ๑ของฟนู ัน เดินทางมาจากโมฟูทรงพระนามวํา ฮนุ เถียน (โกณฑัญญะ) ได๎อภเิ ษกกับพระนางหลวิ -เย๎ (โสมา) ซึ่งผ๎ูเปน็ ราชนิ ี ของชาวพื้นเมอื ง เปน็ ธดิ าพระยานาคกลายเป็นตน๎ ราชวงศท๑ ปี่ กครองอาณาจักรนี้ ในด๎านขนบธรรมเนยี มการ ปลงศพ จดหมายเหตุของจีนกลาํ ววํา การปลงศพของชาวฟนู ันมี ๔ วิธคี อื ๑) การโยนศพให๎ลอยไปตามกระแสนา้ํ ๒) การเผาศพให๎เป็นเถ๎าถําน ๓) การขุดหลมุ ฝ๓งศพไว๎ ๔) การนําศพไปโยนท้ิงใหเ๎ ปน็ เหย่อื ของแร๎งกา ลักษณะการปลงศพนัน้ คงได๎คตมิ าจากอนิ เดีย สวํ นศาสนาชาวฟนู ันหรอื พนม นบั ถอื พระพทุ ธศาสนาและศาสนาฮินดูควบคกํู ันไป และผลดั เปล่ยี นกนั เจริญรํุงเรือง แตถํ า๎ ผปู๎ กครองนับถอื ศาสนา พุทธ ศาสนาพทุ ธกเ็ จริญรุํงเรือง จากหลกั ฐานท่ีพอค๎นได๎ ผู๎ปกครองของอาณาจักรน้ีสํวนมากนับถือศาสนา พทุ ธโดยมาก ๒.๓.๑ ท่ตี ั้งของฟูนัน เกี่ยวกบั สถานท่ตี ง้ั ของอาณาจักร ฟูนัน'นี้ ไดม๎ คี วามเห็นขดั แย๎งกันหลายคน จึงขอยกบางทํานมา ดังน้ี ๒.๓.๑.๑. ศาสตราจารยย๑ อร๑จ เซเดย๑ กลาํ ว วําอาณาจกั รฟนู ันต้ังอยํทู ี่เวียดนามภาคใต๎ บริเวณ ปากแมํนํ้าโขง คือ เมอื งออกแกว๎ ปจ๓ จบุ นั ซ่ึงปจ๓ จบุ ันไดค๎ น๎ พบเหรยี ญและซากโบราณสถานลายแหํงในเมอื งน้ี ๒.๓.๑.๒ สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานภุ าพ กลําววาํ อาณาจกั รนี้นําจะอยทํู ภี่ าค ตะวนั ออกเฉียงเหนอื ของไทย เพราะคาํ วาํ พนม มีความหมายตรงกับคาํ วํา ฟนู นั โดยเฉพาะเมอื งนครพนม ๒.๓.๑.๓ ศาสตราจารย๑บวสเซอริเยรช๑ าวฝรั่งเศสไดก๎ ลําววาํ อาณาจกั รน้ีตอนแรกนํา จะมี ศูนย๑กลางอยํูในภาคกลางของไทย บรเิ วณลมํุ แมนํ ํ้าเจา๎ พระยา (ตํอมานกั โบราณทคาํดนี น้กี ไ็ ดเ๎ ปลยี่ นแนวคิด แลว๎ ) กษตั รยิ ๑ท่ีปกครองอาณาจักรฟนู ันหรอื พนม มีหลายพระองค๑ ดังมรี ายละเอยี ดตอํ ไปนี้ สงวน บุญรอด, รศ., พุทธสศลิ ปะลาว, พิมพ๑คร้ังท่ี ๒, (กรงุ เทพฯ: บรษิ ทั โรงพมิ พเ๑ ดือนตลุ าจํากดั , ๒๕๔๕), หนา๎ ๒๕. Lan Mabbett and David Chandler, The Khmer, (London: Oxford press, 1995), P 70.

๒๐ ๒.๓.๒ พระเจ้าโกณฑัญญะ(พ.ศ.๕๐-๐๕๑๔) ได๎มีพราหมณช๑ าวอินเดยี คนหนง่ึ นามวาํ โกณฑัญญะ หรือเกาณฑยิ ะ ในภาษาสันสกฤต ได๎ เดนิ ทางมาทน่ี ่ีเพ่อื เผยแพรคํ าํ สอนชองศาสนาพราหมณต๑อํ มาได๎แตํงงานกบั เจ๎าหญงิ ท๎องถ่นิ ตาํ นานท๎องถิน่ ของกัมพูชากลําววํา พราหมณ๑ได๎สมสูกํ ับนางนาคช่อื วําโสมา (จีนเรยี ก หลวิ เย๎) จึงได๎เปน็ ปฐมกษัตริย๑ อาณาจกั รพนมหรือฟนู นั ตอํ มา มีเมืองหลวงช่อื วยาธปุระ แปลวาํ เมืองของกษตั ริยน๑ ายพราน ปจ๓ จบุอยันใูํ น เขตเมอื งออกแกว๎ จงั หวดั อันยาง เวยี ดนาม แผํอิทธพิ ลออกไปอยํางกวา๎ งขวาง ในยคุ นอ้ี ารยธรรมอนิ เดียได๎ หลัง่ ไหลเขา๎ มาอยํางไมขํ าดสายโดยเฉพาะศาสนาพราหมณ๑ ซึ่งตํอมาไดก๎ ํอสร๎างสถาป๓ตยกรรมท่ใี หญโํ ตได๎แกํ ปราสาทตํางๆ ในกมั พชู า ซ่ึงโดยมากเปน็ เทวสถานของพราหมณม๑ ากกวําเปน็ ของพระพทุ ธศาสนา พระองค๑มี โอรส ๑ พระองคพ๑ ระนามวาํ ฮวนพันฮวนั (ตามสําเนยี งจนี ) ๒.๓.๓ พระเจ้าศรีมาระ (ฟันซิมัน) พระเจา๎ ศรีมาระเดมิ เปน็ ขนุ นางผ๎ภู ักดใี นราชสํานกั พระเจ๎าศรมี าระSr(imara) ได๎ขนึ้ ครองราชย๑ สมบตั ติ อํ จากพระเจ๎าพันพนั ราว พ.ศ. ๗๖๓ หลกั ฐานของฝาุ ยจีนเรยี กพระนามพขรอะงองคว๑ าํ ฝานมนั หรือ ฝานเจมนั ปกครองอาณาจักรพนม เปน็ ผฉ๎ู ลาดในการบรหิ าร เข๎มแข็งในการรบ ทรงขยายอาณาจักรพนมหรือ ฟูนนั ไดก๎ วา๎ งขวางกวําเดมิ โดยยกกองทพั ไปโจมตอี าณาจักรใกลเ๎ คียงให๎มาอยูใํ นอํานาจท้งั หมด ในศลิ าจารกึ โว-กาญ V( o Chanh) จังหวดั ญาตรงัของเวียดนาม จารึกน้เี ป็นภาษาสันสกฤต เขยี นด๎วยอักษรอินเดียโบราณ ในยุคพุทธศตวรรษท่ี ๗ ได๎กลาํ วถึงราชสกุลของพระเจา๎ ศรีมาระ ไดก๎ ลําวถึงพระเจ๎าศรีมาระวํา “ฟานเจมัน” จารึกอธบิ ายวํา“ชีวิตเวยี นวํายตายเกดิ แหงํ สตั ว๑โลกในทํงุ วัฏฏสงสาร จงึ ทรงเห็นแจง๎ ในแนวทางดาํ เนินชีวติ ประกอบดว๎ ยความเมตตา กรณุ าตอํ สรรสพตั ว”๑ จากจารึกนี้ทําให๎ทราบวาํ พระองค๑นบั ถือพทุ ธศาสนาอยาํ ง เครํงครัด ทรงบรจิ าคทรัพยข๑ องพระองค๑เปน็ ทาน พระองคส๑ งั่ บงั คับวาํ “ขอให๎พระราชาผู๎เสวยราชย๑ในอนาคต จงปฏิบัติตามประกาศนี้ เพือ่ ประโยชน๑ใหญํแหํงสรรพส”ตั ถวา๎๑ จารึกนเ้ี ป็นจริง เราพอเชอ่ื มนั่ ได๎วาํ พระเจ๎าศรี มาระทรงเปน็ กษัตริยอ๑ งคต๑ น๎ ๆ ของกมั พูชาที่นบั ถือพระพทุ ธศาสนาอยํางชัดเจน พระองค๑สวรรคตเม่ือ พ.ศ. ๗๗๓ ๒.๓.๔ พระเจา้ ฟันจัน พระเจ๎าฟ๓นจนั เปน็ ภาคิไนย (หลาน) ของพระเจ๎าศรมี าระ ตอํ มาไดย๎ ดึ อาํ นาจโดยการกบฏชิง บัลลงั ก๑พระโอรสองคโ๑ ตของพระเจา๎ ศรมี าระ เม่อื พ.ศ. ๗๗๓-๗๙๑ พระเจา๎ ฟน๓Faจnันca(n) ครองราชย๑ได๎ ๒๐ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยุตฺโต), พระพุทธศาสนาในเอเชีย, (กรงุ เทพฯ: ธรรมสภา, ๒๕๔๐), หน๎า ๔. ศานติ ภกั ดีคาํ (แปล), ประวัตศิ าสตร์กัมพชู า แบบเรยี นของเขมรที่เกีย่ วข้องกบั ไทย, (กรงุ เทพฯ: บริษทั พฆิ เนศ ปร๊ินติ้ง เซนเตอร๑ จาํ กัด, ๒๕๙๖), หน๎า ๑๒. สิรวิ ัฒน๑ คําวนั สา, ผศ., อทิ ธพิ ลวัฒนธรรมอนิ เดียในเอเชีย, (กรงุ เทพฯ: อักษรเจรญิ ทัศน,๑ ๒๕๒๒), หน๎า ๕๗.

๒๑ ปี ถูกชงิ บลั ลังก๑โดยโอรสอกี องค๑ของพระเจา๎ ศรีมาระ จดหมายเหตุของจีนกลาํ ววาํ ไดม๎ ภี กิ ษชุ าวอินเดียนามวาํ เกีย-เสียง-ลี (ตามสําเนียงจนี ) ไดเ๎ ดนิ ทางมาอาณาจกั รฟูนันไดเ๎ ข๎าเฝูากษตั ริยแ๑ หงํ ฟนู ัน พรอ๎ มรายงานวาํ ประเทศอนิ เดียเปน็ เมอื งที่มั่งคงั่ พระศาสนากําลังเจริญรํงุ เรือง พระเถระยังได๎แนะนําใหพ๎ ระราชานับถือ พระพุทธศาสนาดว๎ ย ในยุคน้ีศาสนาพราหมณ๑ได๎กลายเป็นศาสนาประจําชาตอิ ยํางสมบูรณ๑ โดยการสนับสนุน ของกษตั ริยห๑ ลายพระองค๑ สํวนพทุ ธศาสนามหายานมผี ู๎นับถืออยูํบ๎าง ขณะนี้พุทธศาสนานกิ ายเถรวาทยงั มีผู๎ นับถืออยูํบ๎างในหมูชํ นสามญั แตํไมํแพรหํ ลาย เพราะไมไํ ดร๎ บั การอปุ ถมั ภ๑จากกษตั รยิ ๑ ๒.๓.๕ พระเจ้าอัสสเจยยะ (สยี ุน) พระเจ๎าอสั สเจยยะ เปน็ ขนุ นางในราชสาํ นกั ของพระเจา๎ ศรีมาระ ได๎ปลงพระชนมโ๑ อรสของพระ เจา๎ ศรีมาระแลว๎ ข้ึนครองราชย๑ พระเจา๎ อสั สเจยยะA(ssajayya) เป็นกษตั ริย๑ที่รกั สนั ตภิ าพ ในยคุ น้ีไดม๎ กี าร ติดตํอกบั จีนโดยการสํงเครอ่ื งบรรณาการไปให๎จกั รพรรดิจีน นอกจากนน้ั ยังมีการติดตอํ กบั อินเดียอีกด๎วย ตลอดท้งั ได๎ผูกสมั พันธไมตรีกบั อาณาจกั รจามปา รฐั เพือ่ นบ๎านด๎วย ในดา๎ นศาสนา พระองค๑ทรงนบั ถอื ศาสนา พราหมณเ๑ หมือนกษตั ริยห๑ ลายพระองคแ๑ ตํไมทํ รงเครงํ ครัดนัก ๒.๓.๖ พระเจา้ โกณฑัญญะที่ ๒ เรื่องราวในยคุ น้ี (พ.ศ. ๙๐๐) นับวาํ สบั สนมาก พระเจา๎ โกณฑญั ญะท่ี ๒ น้ัน นัก ประวตั ศิ าสตร๑หลายทํานเห็นวําเปน็ องค๑เดียวกบั องคท๑ ี่ ๑ ทาํ ให๎เกดิ ความสบั สนมาก เพราะ พ.ศ.ทีห่ าํ ง กันพอสมควร แตํกัมพชู าเองถือวําเปน็ คนละองค๑ ตามตาํ นานกลาํ ววํา พราหมณช๑ อ่ื โกณฑัญญะไดย๎ นิ เสยี งเพลงจากเทพเจ๎าให๎มาเสวยราชย๑ในประเทศพนมหรอื ฟูนัน คร้ันเดนิ ทางมาถงึ อาณาจกั รพนม ชาวเมืองจึงอัญเชญิ เปน็ กษัตริย๑ ใหน๎ ามวาํ พระเจา๎ โกณฑญั ญะท่ี ๒ พระองค๑นับถอื ศาสนาพราหมณ๑ นิกายไศวะ ทําให๎ศาสนาพราหมณ๑เจริญรุงํ เรืองมาก ในขณะที่พทุ ธศาสนามหายานกร็ งุํ เรอื งเชนํ กัน เพราะได๎รบั การนบั ถอื จากราษฎรท่ัวไป การนบั ถอื วรรณะในสมยั พระองค๑ไมํเข๎มงวด เพราะมอี ทิ ธิพล ของพทุ ธศาสนาต๎านทานไว๎ ชาวเมืองร๎จู กั การนํงุ หมํ ร๎ูจักแบกหามสมั ภาระด๎วยศรี ษะ ในสมัยนี้ อาณาจกั รเจนละเรมิ่ เข๎มแข็งขึ้น พ.ศ. ๑๐๐๓ ไดม๎ พี ระเถระทีม่ ีชือ่ เสียง ๒ รปู จากพนมเดนิ ทางไป เมอื งจีนไดแ๎ กํ ๒.๓.๖.๑ พระสังฆปาละ (Sanghapala) เกิดพ.ศ.๑๐๐๓ หรือ เส็งโปโล ในภาษาจนี ได๎ เดนิ ทางไปเมอื งจีนแล๎วได๎ศกึ ษาพุทธศาสนากบั พระคณุ ภทั รซง่ึ เป็นพระสงฆ๑อนิ เดียทมี่ าจาํ พรรษาทีน่ ัน้ ด๎วย ทําใหแ๎ ตกฉานในภาษาสันสกฤตและพทุ ธศาสนามากขึน้ ทํานได๎แปลพระไตรปฎิ กทเ่ี มอื งจีนและ คมั ภรี ว๑ มิ ุตตมิ รรคเปน็ ภาษาจีน เป็นทเ่ี คารพศรัทธา ของจักรพรรดิเหลียงบูตํ ม้ี าก ฟนู นั หรอื พนมมี ความสัมพันธ๑ที่ดีกับจีน รวมเวลาท่พี าํ นกั ในจนี ๑๖ ปี พระสงั ฆปาละมรณภาพที่เมืองจนี ใน พ.ศ. ๑๐๖๗ ผลงานการแปลของทาํ นยังติดอยูํในชื่อพระไตรปิฎกจีนตลอดมา ๒.๓.๖.๒ พระมันตรเสน ( Mantarasen) ได๎เดนิ ทางไปจีนเมอ่ื พ.ศ. ๑๐๙๖ พระ จกั รพรรดิวไู ดร๎ ับสงั่ ใหแ๎ ปลพระคัมภรี ๑รวํ มกับพระสงั ฆปาละ แตทํ ํานไมํมคี วามรูใ๎ นภาษาจนี เลย จงึ ตอ๎ ง

๒๒ ศึกษาอยํางหนกั ในหลักฐานของจนี กลาํ ววาํ ฟูนนั มีกําแพงลอ๎ มรอบ มปี ราสาทราชวังและบา๎ นเรอื น ราษฎรชาวฟูนันผมหยกิ ผวิ ดํา เดนิ เท๎าเปลํา ทําอาชพี เพาะปลูก ชอบแกะสลักเคร่อื งประดับและการ สลกั หินเปน็ รูปราํ งตํางๆ ประติมากรรมเปน็ รปู เคารพทางศาสนามีมากมาย อาณาจักรพนมหรือฟูนนั รบั เอาวฒั นธรรมอินเดยี ทงั้ รูปแบบการปกครอง ศาสนา ภาษา ประเพณีความเชือ่ สงั คมและ วฒั นธรรม โดยเฉพาะในหมูชํ นชั้นสูง แตํชาวบ๎านยงั ยดึ ในประเพณีด้งั เดิม ตํอมาอาณาจกั รพนมที่ ยงิ่ ใหญํกอ็ ํอนแอลง ๒.๓.๗ พระเจ้าโกณฑญั ญะชัยวรมนั ท่ี ๒ ในจดหมายเหตุของจนี กลําววาํ พระราชาทเี่ มอื งพนมนับถอื พระพุทธศาสนา พระองคเ๑ ปน็ ราชวงศ๑ กาว-จนิ -จู (เกาณฑนิ ยะ หรอื โกณทญั ญะ) นามวาํ เกาณฑินยชยั วรมนั ท่ี ๒ เสวยราชยเ๑ ม่ือ พ.ศ. ๑๐๒๘ ทรงย๎ายเมอื งหลวงจากโคกธลอก มาตงั้ ทภี่ ูเขาบาพนม จังหวดั ตาแก๎ว เรียกในภาษาสันสกฤตวํา วยาธ ปุระ ในภาษาเขมรเรยี กวาํ ทมัก เมืองหลวงนี้มอี ายุ ๑๔๐ ปี จนถงึ สมยั พระเจา๎ อศิ านวรมัน พ.ศ. ๑๑๖๘ จงึ ย๎ายไปรมิ ฝ๓งแมํนา้ํ สะตรงึ แสน เมืองสมบรู ณไ๑ พรกกุ จังหวดั กําปงธม เรียกอวิศาํ านปรุ ะ (Isanpura) ตามนาม ของพระองค๑ พระเจ๎าโกณฑัญญะชัยวรมันเดมิ ทรงนับถือศาสนาพราหมณ๑ เคารพพระอศิ วร ตํอมาไดห๎ ันมานบั ถือพระพทุ ธศาสนา พ.ศ. ๑๐๒๙ ได๎มีการสงํ พระเถระนามวศําากยนาคเสน(Shakya Nagasen) ชาวอินเดยี เปน็ ทูตไปสํูราชสาํ นักของพระเจา๎ เหลียงวตํู ี้ พร๎อมเครอ่ื งบรรณาการ เชนํ สถปู ทําด๎วยงาช๎าง เปน็ ตน๎ เมือ่ ภกิ ษุ ศากยนาคเสนไปถงึ ราชสํานกั กรุงจนี แลว๎ ไดพ๎ รรณนาถงึ สถานะของประเทศพนมวํา “ประเทศนบั ถอื ศาสนา พราหมณ๑ เคารพพระอิศวร (ศิวะ) สํวนพระพทุ ธศาสนากเ็ จรญิ มากขนึ้ เชนํ กนั มสี มณะมากมาย ฝุายการ ปฏิบัติพระพุทธวจนะมน่ั คง เครงํ ครดั ย”่ิง หลักฐานนแี้ สดงให๎เหน็ วาํ อาณาจักรพนมนบั ถือศาสนาพราหมณ๑ สํวนพุทธศาสนามีความเจรญิ มากเชนํ กนั มสี มณะมากมาย เครงํ ครัดในการปฏบิ ตั ิ เม่อื ทํานกลับพมราะเจ๎า กรุงจนี ได๎ประทานเครอ่ื งบรรณาการ เชนํ ผา๎ แพรสีใบตองมํวง มีดอกสเี ขียว เหลอื งอยาํ งละ ๕ พับ กลบั มา ถวายพระเจา๎ โกณฑญั ญะด๎วย พระเจ๎าโกณฑญั ญะมีโอรส ๒ พระองค๑๑ ค.ือเจา้ ชายรทุ รวรมันเป็นพระโอรส องค๑ใหญเํ กดิ จากนางสนม ๒.เจ้าชายคณุ วรมนั พระโอรสองค๑รองเกดิ จากพระมเหสี พระองคส๑ วรรคต พ.ศ. ๑๐๕๗ ในยคุ นศี้ าสนาฮนิ ดูมคี วามเจริญรงุํ เรืองย่ิง โดยเฉพาะไศวนกิ าย สวํ นพระพุทธศาสนาเป็นที่ ยอมรับเชํนกัน นิกายท่เี ดํนชัดคือมหายาน สํวนเถรวาทยงั ไมแํ พรหํ ลายมากนกั ในจดหมายเหตขุ องจนี อีก บงั อร ปยิ พนั ธ,๑ ผศ., ประวตั ศิ าสตร์เอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้, (กรงุ เทพฯ: โอ.เอส.พร้นิ ตงิ้ เฮ๎าส๑ ,๒๕๓๗), หน๎า ๒๕. ทองสบื ศุภะมาร๑ค (ผแู๎ ปล), พระพุทธศาสนาในกมั พชู า, หนา๎ ๓๖. Lan Mabbett and David Chandler, The Khmer, P 75.

๒๓ เลมํ หน่งึ กลําววํา “ในใจกลางนครหลวงวยาธปุระของฟนู นั มีภเู ขาศักดสิ์ ทิ ธิ์แหงํ หนึ่งช่ือวาํ โมตัน กษตั ริย๑โกณ ฑญั ญะทท่ี รงสร๎างศิวลงึ คเ๑ รียกวํามเหศวร ภายใตพ๎ ระนามวําคริ ศิ ะ หมายถงึ เทพเจ๎าแหํงภูเขา เปน็ เทวสถานท่ี ศกั ดสิ์ ิทธขิ์ องฟูนัน” ๒.๓.๘ พระเจา้ รุทรวรมนั พ.ศ. ๑๐๕-๑๗๐๓ พระเจ๎ารุทรวรมัน (Rndva Vavman) เขยี นเป็นสาํ เนยี ง จีนวํา หลวิ โตปะโม พระองค๑ขึน้ ครองราชย๑เมื่อ พ.ศ. ๑๐๕๗-๑๐๙๓ เป็นโอรสของพระเจ๎าโกณฑญั ญะชยั วรมนั ทรงมีความศรทั ธาในพทุ ธ ศาสนาแบบเถรวาทอยํางม่นั คง ได๎ถวายตัวเปน็ อบุ าสกในพทุ ธศาสนา หลักฐานท่ีสาํ คัญคือจารึกที่ปราสาทตา พรม กลาํ ววาํ “กุศลกรรมใด ท่ที รงกระทาและบูชาแล้วซงึ่ พระธรรมมใิ ช่แคพ่ ระกรณียกิจนีเ้ ทา่ นั้น โดยทรง กระทาเพี่ออนเุ คราะหแ์ ก่ชาวโลกทงั้ มวล ทรงเคารพสักการะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทรงประกาศถวาย พระองคว์ า่ เปน็ อุบาสกผู้เว้นแลว้ จากบาปอกศุ ลทง้ั ปว”ง ในสมยั น้ีไดส๎ ํงคณะทูตของฟนู ันหรือพนมไปเมือง จนี หลายครงั้ เชํน เม่อื พ.ศ. ๑๐๖๐, ๑๐๖๓, ๑๐๖๘ ตามลาํ ดับ ในการเสดจ็ ไปแตลํ ะคร้งั ไดป๎ ระทาน พระพทุ ธรูปไมแ๎ กนํ จันทรพ๑ รอ๎ มด๎วยก่งิ พระศรมี หาโพไขธ์ิํมุก สตั วแ๑ รด ผลิตผลทางการเกษตรและส่ิงมีคําอืน่ ๆ ไปถวายพระจักรพรรดิจีนดว๎ ย ด๎วยบรรณาการดังกลาํ วมา นักประวตั ิศาสตรจ๑ งึ เชอื่ วํา พระองค๑นบั ถือพระพุทธศาสนานกิ ายมหายาน พวกราชทตู กรุงจีน กลําววาํ “ท่ปี ระเทศพนมมพี ระธาตเุ จดยี ค๑ ือพระเกศาเสน๎ หน่งึ ยาวเม๓ตร” จกั รพรรดิจนี จึงให๎ภิกษเุ จ ยนุํ ปาว พร๎อมทตู มาดู เมือ่ ถึงเขมรแล๎วจงึ ได๎แบํงสํวนหนง่ึ ไปบรรจใุ นประเทศจนี แตํในหนขงั อสงอื ทํานชาร๑ล อี เลียต (Charles Eliot) กลา่ ววา่ ”พระเจ้ารทุ รวรมนั ส่งพระเกศาไปถวายเ”อ’งแมเ๎ นือ้ ความจะขดั แย๎งกนั แตสํ งิ่ หนึ่งท่ีเราไดร๎ บั คือ พุทธศาสนาคงเจรญิ รงํุ เรอื งในดินแดนแถบนีแ้ ลว๎ พ.ศ.๑๐๙๓ เกดิ กบฏข้ึน พระเจ๎ารุทรวร มนั เสดจ็ หนีไปทางใต๎ เจา๎ ชายภววรมนั และเจ๎าชายจิตรเสนจากกรุงภวปรุ ะใกล๎เคยี งไดย๎ กกองทพั เขา๎ มายึด ครอง เม่ือพระองคส๑ วรรคตแล๎วอาณาจักรพนมส้นิ สุดลง ในจารกึ ของพระองค๑ท่ปี ราสาทตาพรม ได๎พรรณนา คณุ ของพระเกตุธาตเุ ป็นจาํ นวนมาก พรอ๎ มประกาศพระองคเ๑ ป็นอบุ าสกผูน๎ ับถอื พระรัตนตรัย พระองค๑ไดส๎ ร๎าง ปราสาทหินหลายหลงั ทภ่ี ูเขาพนมดาP(hnom Da) จังหวัดตาแกว๎ ด๎วย หลงั จากพระองค๑เสด็จสวรรคตแล๎ว อาณาจกั รก็สูญสลายไปขึ้นกบั อาณาจักรเจนละ ๒.๓.๙ พุทธศลิ ป์ฟูนัน ในยุคนี้ไดม๎ ีการสรา๎ งพระพุทธรูปหลากหลายปาง พระพุทธรูปที่เกําแกํเปน็ กลํมุ แรกพบท่ีวดั บรม โลกใกล๎นครบรุ มี ีทั้งปางประทบั ยนื และปางประทับนงั่ มอี ายุราว ๑,๐๐๐ ถงึ ๑,๑๐๐ ปี รวมทง้ั เทวรปู ตํางๆ พบทพ่ี นมดา เขมรซึง่ ไดร๎ บั อิทธพิ ลมาจากสมัยคปุ ตะขออนิ งเดีย ดงั นั้น พทุ ธศลิ ปย์ คุ ฟนู ันได๎รับอิทธพิ ลจาก พระมหาดาวสยาม วชิรปญ๓ โญ, ดร., พระพทุ ธศาสนาในกมั พชู า, หนา๎ ๑๕. Lan Mabbett and David Chandler, The Khmer, P 75.

๒๔ อนิ เดียหลายสกุลชําง เชนํ ๒.๓.๙ .๑ สมัยแรกไดร๎ บั อทิ ธิพลจากสมัยอมราวอดนิี เดียใต๎ ๒.๓.๙.๒ สมยั กลางไดร๎ ับอทิ ธพิ ลจากสมัยคุปตะ อนิ เดียเหนือ ๒.๓.๙ .๓ สมยั หลังไดร๎ บั อิทธพิ ลจากสมยั ปล๓ ลวะอินเดียใต๎ ๒.๓.๙.๔ ตํอมาชํางพ้นื เมืองฟนู ันจึงไดพ๎ ฒั นารปู แบบใหเ๎ ป็นลกั ษณะเฉพาะของฟนู นั เอง ซ่งึ ลดความเปน็ อนิ เดียใหน๎ ๎อยลงแลว๎ ใสํคตทิ ๎องถ่ินเข๎าไปมากขึน้ สรปุ เหตกุ ารณส์ ําคญั พระเถระ ๒ รูปไดเ๎ ดนิ ทางไปเมืองจคนี ือ พระสังฆปาละหรือเสง็ โปโลในภาษาจนี และพระมนั ตร เสนใน พ.ศ. ๑๐๐๓ พร๎อมแปลพระไตรปิฎกทจ่ี นี ตารางสรุปกษตั รยิ ์ราชวงศพ์ นมหรือฟูนัน ที่ นามกษตั รยิ ๑ พ.ศ. เมอื งหลวง ศาสนาทน่ี ับถอื ๑ พระเจา๎ โกณฑญั ญะ ๕๐๐-๕๑๔ วยาธปรุ ะ อาณาจักรพนม พราหมณ๑ นิกายไศวะ ๒ พระเจ๎าฮวนพนั ฮวนั ๗๔๑-๗๖๐ วยาธปุระ อาณาจกั รพนม พราหมณ๑ นกิ ายไศวะ ๓ พระเจา๎ พันพัน ๗๖๐-๗๖๓ วยาธปุระอาณาจักรพนม พราหมณ๑ นกิ ายไศวะ ๔ พระเจา๎ ศรีมาระ ๗๖๓-๗๗๓ วยาธปุระอาณาจกั รพนม พุทธ นิกายมหายาน ๕ พระเจา๎ ฟน๓ จนั ๗๗๓-๗๙๑ วยาธปุระอาณาจักรพนม พุทธ นกิ ายมหายาน ๖ พระเจ๎าอัสสเจยยะ (สุน) ๗๙๑-๘๓๑ วยาธปรุ ะอาณาจกั รพนม พทุ ธ นิกายมหายาน ๗ พระเจ๎าโกณฑัญญะที่ ๒ ๑๒๐๘-๑๐๕๗ วยาธปุระอาณาจักรพนม พุทธ นกิ ายมหายาน ๘ พระเจา๎ รทุ รวรมัน ๑๐๕๗-๑๐๙๓ วยาธปุระอาณาจกั รพนม พุทธ นกิ ายมหายาน พระมหาดาวสยาม วชริ ปญ๓ โญ, ดร., พระพุทธศาสนาในกัมพชู า, หน๎า ๑๖.

๒๕ ๒.๔. พทุ ธศาสนาสมัยเจนละ พ.ศ. ๑-๐๑๙๓๓๙๓ คําวาํ เจนละ หรือ เจิ้นลา เปน็ สาํ เนียงของจนี ในขณะท่ีกัมพชู าเรียกวจําอนเลอแปลวาํ ชั้นบน หรอื ช้นั สูง อาณาจกั รนี้เริม่ กอํ กาํ เนดิ ข้ึนใน พ.ศ. ๑๐๙๓ ไมมํ ีหลกั ฐานสบื แนํชัดวาํ ช่ือภาษาสันสกฤตเปน็ อยํางไร บางคนสนั นษิ ฐานวาํ นาํ จะมาจากคาํ วํา จ“ันทรวงศ”์ เพราะกษตั รยิ ๑ราชวงศน๑ ี้มีความเชื่อวําตนเอง สืบสายมาจากพระจนั ทร๑ ฝุายจีนกลําววํา อาณาจักรเจนละเป็นอาณาจักรอยทูํ างทศิ ตะวนั ตกเฉียงใตข๎ องหลิน อี้ (จามปา) เดมิ เจนละชนกบั ฟูนนั แตกํ ษตั ริย๑เจนละนามวาํ “พระเจ๎าจิตรเสน” ได๎มีอาํ นาจสามารถยดึ ครอง ฟนู นั มาไว๎ในอาณาจกั รจนฟูนนั ลมํ สลายลง เจนละเหมือนกบั อาณาจกั อรนื่ ๆ ในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใตท๎ ี่ ได๎รับอทิ ธิพลวัฒนธรรมจากประเทศอินเดยี มากกจวนี ํา ท้งั ด๎านศาสนา ภาษา ประเพณี ขนบธรรมเนยี ม อารย ธรรม จงึ ไมํแปลกใจทีช่ อื่ เมือง ช่อื กษัตริย๑ อาํ มาตยแ๑ ละอ่ืนๆจึงเหมือนอินเดียทกุ อยาํ ง สถานท่ตี ้ังของอาณาจกั รเจนละยงั เป็นท่ีถกเถียงกนั ในแวดวงวชิ าการ แตสํ รุปวําแ๒หํง คือ ๑. อย่ทู ่ีอิศานปรุ ะ ใกลก๎ าํ ปงธม ทางตอนเหนือของทะเลสาบ๒.อยูห่ างใต้ของประเทศลาวตรงปราสาทวัดภู แขวงจําปาศกั ดิ์ มตินไี้ ด๎รบั การยอมรับจากนายยอรจ๑ เซเดช๑ นักโบราณดีชาวฝรั่งเศส อาณาจกั รนีส้ ถาปนาโดย พระเจา้ ภววรมนั (Bhavavarman) พระองค๑เปน็ กษตั รยิ เ๑ ช้ือสายฟนู นั ทรงอภิเษกกบั เจ๎าหญิงซาวกัมพชุ นาม วาํ กมั พูชาราชลักษมี ตํอมาพระเจา๎ อิสานแสน พระโอรสปกครอง ตํอมาอาณาจกั รเจนละย๎ายมาตั้งอยูํ ตะวันออกเฉยี งเหนือของทะเลสาบเขมร มเี มอื งหลวงช่อื เชษฐาปุระ ผ๎คู นทงั้ อาณาจักรพนมและเจนละตําง แตํงงานผสมผสานกันโดยตํางฝาุ ยตํางรับวฒั นธรรมของกันและอกยันาํ งไรก็ตามอาณาจกั รนีม้ ีเอกสารกลาํ วถึง นอ๎ ยมาก สํวนมากไดจ๎ ากจดหมายเหตขุ องจีน ในจดหมายเหตขุ องพระถังชมั จง๋ั กลาํ ววาํ อาณาจักรอสิ านปรุ ะ (เจนละ) ไดร๎ วมอาณาจักรทวารวดีและมหานครจมั ปาเข๎าดว๎ ยกลันายเปน็ อาณาจักรขนาดใหญํ ตอํ มาเจนละแตกแยกออกเปน็ ๒ อาณาจกั ร คอื เจนละบกและเจนละนา้ํพ.ใศน. ๑,๓๐๐ ในสมยั ทีอ่ าณาจกั รเจนละรํุงเรอื ง เจนละบกมอี าณาเขตตดิ ตอํ กบั อนั นมั (ตงั เกย๋ี หรอื เวียดนามในปจ๓ จบุ ัน) ทางทิศ ตะวันออกเฉียงเหนือตดิ ตอํ อาณาจักรนํานเจ๎าทางทิศเหนือ จดหมายเหตุของจนี นามวําหมําตวนหลินกลาํ ววํา “....ชาวเจนละสวํ นมากนับถือพทุ ธศาสนา แตํ บางคนนบั ถอื ศาสนาเต๐า ไดป๎ ระดิษฐานพระพุทธรปู และรูปศกั ด์สิ ทิ ธิใ์ นลทั ธเิ ต๐าไวใ๎ นบา๎ นซึ่งเปน็ ที่พกั แรมของ คนเดินทางไกลดว๎ ย” ในยุคน้ไี ด๎มีกษัตริยท๑ ี่เข๎มแขง็ ปกครองเจนละหลายพระองคคอื ๑ ๒.๔.๑ พระเจ้าภววรมันท(B่ี h๑avavarman1) พระเจ๎าภววรมนั เป็นโอรสของพระเจ๎าวีรวรมัน แหํงภวปรุ ะ (บนั ทายไพรนคร) ขึน้ ครองราชย๑ ธิดา สารยา, รศ.ดร., อาณาจักรเจนละ, (กรงุ เทพฯ: บริษทั พิฆเนศ พรินดงิ้ เซน็ เตอร๑ จาํ กดั , ๒๕๔๐), หนา๎ ๗. จาํ นงค๑ ทองประเสรฐิ , ประวตั ศิ าศตร์ททุ ธศาสนาในเอเชียอาคเนย์, (กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ๑ครุ ุสภา ลาดพร๎าว, ๒๕๓๔), หนา๎ ๒๕๙.

๒๖ พ.ศ. ๑๐๙๓ สถาปนาอาณาจักรเจนละข้ึนแทนทีอ่ าณาจกั รพนม พระองค๑เป็นกษตั รยิ ท๑ ี่มีแสนยานุภาพมาก ทรงมเี ช้อื สายฟูนนั ผลงานท่ียิ่งใหญทํ ี่สดุ คือเอาชนะอาณาจกั รพนมหรอื ฟูนนั ได๎ ทําให๎อาณาเขตกว๎างใหญํ มากกวาํ เดิม พระองคม๑ พี ระอนชุ า ๑ พระองคค๑ ือเจ๎าชายจติ รเสน ซ่งึ ตอํ มาไดป๎ กครองอาณาจักรเจตนํอลมะา พระเจ๎าภววรมนั นบั ถอื ศาสนาพราหมณ๑นกิ ายไศวะ แตํไมํได๎เบียดเบยี นพทุ ธศาสนา ไดส๎ ถาปนาเทวสถาน สําหรับประดษิ ฐานศิวลิงคใ๑ หญํ ชอื่ วํา “ศิวภัทเรศวร” ที่ออกยม สวํ นประชาชนนับถือทงั้ พราหมณ๑-พุทธ ปะปนกันไป พระองคส๑ วรรคตเมอ่ื พ.ศ. ๑๑๔๓ ๒.๔.๒ พระเจา้ มเหนทรวรมันM(ahendravarman) เมื่อ พ.ศ. ๑,๑๔๓ พระเจ๎ามเหนทรวรมันนามเดมิ วาํ จติ รเสน เป็นอนชุ าขึ้นครองราชย๑เป็นองค๑ท่ี ๒ ในราชวงศน๑ ี้ทรงขยายอาณาเขตเพม่ิ เติมยดึ ไดเ๎ ขตกัณดาล ไพรแวง ตาแกว๎ จนั ทบรุ ี ในจดหมายของจนี กลาํ ววาํ พระองคไ๑ ด๎สํงเกสาของพระพทุ ธเจา๎ ยาวถึง ๑๒ ฟตุ ไปถวายพระเจ๎ากรงุ จนี พระองคท๑ รงพิชติ อาณาจกั รพนมหรือฟนู นั ลงได๎ แล๎วสถาปนาอาณาเจนละสบื ตอํ มา ทรงสนพระทยั โนม๎ เอียงมาทาง พระพทุ ธศาสนามากกวาํองค๑อื่นๆ แตํยังนับถอื พระศิวะเชํนเดิม โปรดให๎สรา๎ งพระศิวะ คิริศะ เป็นอแงครก๑ ท่ี เขาบาพนม ใกล๎นครหลวงเกําคือ วยาธปุระ ในสมัยนลี้ ทั ธิมคี วามเจรญิ รุํงเรืองยิง่พระองค๑ทรงสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๑๑๕๘ ๒.๔.๓ พระเจา้ อิสานวรมันIsทan่ี ๑var(man1) ราว พ.ศ. ๑๑๕๙-๑๑๗๘ (๖๑๖-๖๓๕) พระเจ๎าอิสานวรมันที่ ๑ ขึ้นครองอาณาจักร ทรงเป็นโอรส ของพระเจา๎ มเหนทรวรมนั เป็นกษัตริยท๑ ่ียงิ่ ใหญพํ ระองคห๑ นึง่ ได๎ขยายอํานาจให๎กวา๎ งขวาง ทรงตงั้ เมอื งหลวง ทีอ่ สิ านปรุ ะ ตามพระนามของพระองค๑ สนั นษิ ฐานวาํ อยํูทีส่ มโบร๑ไพรก๏ุกทางตอนเหนอื ของนครธม พระองค๑ได๎ สร๎างปราสาทท่ีหลายแหงํ คือ ๑.พนมบายงั (Phnom Bayang) จังหวดั ตาแก๎ว เพื่อบชู าพระศวิ ะ ๒. ปราสาทสมั โบรไ์ พรก๊กุ (Sambo Preykuk) หรือสมโบร๑ไพรกกุ๏ จงั หวดั กาํ ปงธม ศาสนาพราหมณไ๑ ด๎ เจรญิ รุํงเรืองเป็นอยาํ งมาก ได๎เกิดลทั ธิการบชู าพระหรหิ ระ (เปน็ การรวมกนั ระหวาํ งพระวิษณแุ ละพระศวิ ะ) ขน้ึ พระองค๑นับถอื ฮนิ ดูนกิ ายไศวะ ในยคุ น้ีมพี ราหมณค๑ นหนึ่งช่ือวาํ ปศปุ ติ (Pashupati) เป็นนกั ปราชญม๑ ี ความรอู๎ ยํางสงู สดุ ท้ังพราหมณแ๑ ละพทุ ธ เปน็ ท่ีปรกึ ษาของกษตั รยิ ๑ จารกึ ท่เี ขาพนมบายงั ได๎กลําวถึงพราหมณ๑ ปศปุ ตเิ ชนํ กัน อกี ทั้งยงั มเี ร่ืองราวการทําบุญในพทุ ธศาสนาดว๎ ย ทาํ นจอร๑จ เซเดชก๑ ลําววาํ “นเี้ ปน็ จารึกคร้งั แรกทางพทุ ธศาสนาของอาณาจักรเจนละ” แตํตํอมาพระราชาได๎รบั แรงยยุ งของมหาอํามาตยไ๑ ดก๎ าํ จัดพุทธ ศาสนาลงมาก จนพระพทุ ธศาสนาไดถ๎ ูกทําลายลงเกือบหมดไปจากอาณาจกั ร เพราะคลั่งในลทั ธิไศวะของ พระองค๑ ตอํ มาถึงยคุ พระเจา๎ ชัยวรมันท่ี ๑ พระองค๑หนั มานบั ถือพทุ ธศาสนามหายานโดยมีหลักฐานคือศิลา จารกึ ทวี่ ัดไพรเวียรซ่งึ มีอายุราว พ.ศ. ๑๒๐๗ หม่าตวนหลิน(Ma Tuan Lin) นักแสวงโชคชาวจีนไดเ๎ ขยี นจดหมายเหตเุ รื่อง การเดนิ ทาง มาสํูอาณาจกั รเจนละ ได๎พรรณนาถงึ ความอุดมสมบูรณ๑ ความเจรญิ รุํงเรอื ง ของอาณาจักร เขากลําววํา อาณาจกั รเจนละผคู๎ นนบั ถือทง้ั ศาสนาพราหมณแ๑ ละพุทธ คละเคลา๎ กนั ไป มีการนาํ เอาความเชื่อเรื่อง

๒๗ พญานาคมจุ ลนิ ท๑มาปรับเป็นคตทิ างพทุ ธศาสนา เขากลําววํา “ที่ใกลก๎ รุงมภี ูเขาลูกหน่ึง ช่อื ลิงคปปู ู (ลงิ คปุระ, ลิงคบรรพต) มีเทวาลยั หลงั หนง่ึ บนยอดเขา มีการบูชายญั ด๎วยคน มที หารเฝูารกั ษา ๑,๐๐๐ คน” นอกจากน้ันยงั มจี ดหมายเหตุของพระถังซัมจั๋ง ( Hsuan Tsang) ที่เดนิ ทางมาอินเดีย พ.ศ.๑๑๗๓ ไดเ๎ ขียนไว๎ในจดหมายเหตุวํา “ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (ของอนิ เดยี ) จากนไ้ี ปตามฝ๓่งทะเล พน๎ ภเู ขาและหุบเขาไปแล๎วจะมีแควน๎ ศรีเกษตร (พมํา) ถดั ไปทางตะวนั ออกเฉียงใต๎ปากอําวเป็นแคว๎นกาม ลังกา จากนัน้ เปน็ แควน๎ ทวาราวดี (ไทย) ตอํ ไปทศิ ตะวนั ออก คือแคว๎นอิสานปุระ ตอํ นัน้ ไปทาง ตะวนั ออกถึงมหาจามปา (จาม เวยี ดนาม)และตอํ ไปทางทิศตะวันตกเป็นแควน๎ ยมนุ ทวีป” จาก หลักฐานน้ที ําใหท๎ ราบวําแคว๎นอิสานปุระของกัมพชู าเปน็ ทร่ี ๎ูจักกนั โดยท่วั ไป ๒.๔.๔ พระเจ้าภววรมนั ที่ ๒B(havavarman 2) เม่อื พระเจา๎ อิสานวรมันสวรรคต เกดิ การแยํงชิงราชสมบตั ิ ตํอมาพระเจา๎ ภววรมนั ไดข๎ ึน้ ปกครอง อาณาจักรเมือ่ พ.ศ. ๑๑๗๘ (๑๑๘๒) พระองคน๑ บั ถือพทุ ธศาสนานกิ ายมหายาน แตเํ คารพพระศวิ ะเชํนกนั เพือ่ ไมใํ ห๎กระทบกระเทือนตํอราชบัลลงั ก๑ ทง้ั นี้เพราะราชสํานักข๎าราชบรพิ ารนับถือศาสนาพราหมณ๑นกิ าย ไศวะหรือศวิ ะอยํไู มนํ ๎อย พระพุทธรูปในเจนละยุคแรกท่ีคน๎ พบเรยี กวาํ พระพุทธรปู แบบนครบุรี อนั เป็นการ ผสมผสาน หลายยุคสมัยท้ังอินเดยี และเจนละเองดว๎ ย ในจารกึ ชิ้นหนง่ึ พบทเ่ี ขารงั ใกลอ๎ รญั ประเทศ ประเทศ ไทยกลําววาํ อบุ าสกคนหน่ึง ลีนาหวะไดส๎ ร๎างวหิ ารหลงั หน่งึ อุทศิ ถวายพระพทุ ธศาสนา พรอ๎ มทงั้ ถวายทรัพย๑ สําหรบั วหิ ารและทาสทง้ั แกํและเดก็ จาํ นวน ๓๒ คน ท้งั ผู๎รักษาสวนมะพร๎าว สวนหมากหลายรอ๎ ยตน๎ ด๎วย ด๎านศาสนานัน้ ศาสนาพราหมณเ๑ จรญิ รงุํ เรอื งเปน็ อยาํ งยิ่ง มลี ทั ธทิ ีน่ บั ถอื พระหรหิ ระเป็นอยํางมาก พระหริ หระเป็นนามหนึง่ ของพระวิษณุเจ๎า ตามความเช่ือศาสนาฮนิ ดลู ัทธิไวศณพ ประตมิ ากรรมที่แพรํหลายคอื รปู ปน้๓ ของพระวษิ ณุและพระศวิ ะ สวํ นพุทธศาสนามคี วามเจรญิ พอสมควร โดยเฉพาะฝุายมหายาน พระองค๑ สวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๑๒๐๙ ๒.๔.๕ พระเจา้ ชยั วรมันที่ ๑Ja(yavarman 1) ข้นึ ครองราชยเ๑ มื่อ พ.ศ. ๑๑๙๘-๑๒๐๖ ในยุคนี้มีจารกึ ๒ แหํง แหํงแรกที่วดั ไพรเวียงราว พ.ศ. ๑๒๐๖ แจง๎ วาํ มภี กิ ษสุ องพ่ีนอ๎ ง เปน็ เช้ือกษัตริยอ๑ อกบวชแลว๎ ประทับทวี่ ดั ไพรเวยี งน้ี ในดินแดนที่ครอบครอง น้ี มพี ระภิกษุสองพ่นี อ๎ งทอ๎ งเดียวกัน ทงั้ สอง มศี ลี เปน็ พหุสตู สุภาพ มีขันตธิ รรม มีตนอบรมดีแลว๎ มีกรณุ า มสี มาธิจิตเปน็ อริยทรัพย๑ คอื \"ภกิ ษุรัตนะภาณุและภิกษุรตั นสิงหะ'’ วดั ไพรเวยี งเปน็ วัดโบราณทส่ี าํ คญั ชาวเมอื งเลําสืบตํอเรือ่ งเหลําน้ีไดช๎ ัดเจน กลําววํา พระราชาสมยั เดมิ ได๎ถวายวดั นีแ้ กพํ ระภกิ ษุ ๒ รูป และหา๎ ม ไมํใหผ๎ ู๎ใดไปเบยี ดเบยี นสตั วใ๑ นบรเิ วณน้ัน ชาวเมอื งจึงได๎บอกเลําและห๎ามปรามลูกหลานไมใํ ห๎ทาํ อนั ตรายแกํ สตั วท๑ งั้ ปวง สํวนจารึกอันท่สี อง ทวี่ ัดปราสาท จงั หวดั ไพรเวียง กลําวถงึ การถวายทาสแดํพระโพธสิ ัตว๑ ๓ องค๑ คือ คัสตะ ไมเตรยะ อวโลกเิ ตศวร และอีกจารกึ หนึ่งกลําวถงึ การสร๎างรูปพระโพธสิ ัตวอ๑ วโลกเิ ตศวรไวเ๎ พ่ือ เคงเหลยี น สบี ญุ เรือง, ประวตั ิพระถงั ชัมจ๋งั , (กรุงเทพฯ: Freelance, ๒๕๔๒), หนา๎ ๑๕๓.

๒๘ เคารพบชู าสักการะซ่ึงปจ๓ จุบันเรียกวําปราสาทตาเกียม สวํ นจารกึ ของจีนกลําวไว๎เชนํ กันวํา “มีพระราชากรุง อ-ี จ-ู นา (อิศานปุระ) เป็นผนู๎ บั ถอื อิศวร ใกลก๎ รุงมเี ขาลกู หนง่ึ ช่อื ลงิ คา-ปู-ปู (ลงิ คบรรพต) บนยอดเขามีเทวาลยั แหงํ หนึ่ง เป็นทีส่ ําหรบั คนทํายัญพธิ ี (อาจจะเป็นปราสาทเขาพระวหิ าร) มีทหารหนง่ึ พนั คนอยเํู ฝูา เจนละ ประชาชนสํวนมากนับถือพทุ ธศาสนา ชาวเมอื งทํานา ทาํ สวน ผลงานท่ีเดนํ ท่สี ดุ ของพระองค๑คือการสรา๎ งปราสาทเขาพระวหิ าร ณ ผามออแี ดง บนพืน้ ที่ ชายแดนไทย-กมั พชู า เพีอ่ ถวายพระอศิ วรเจ๎าผ๎ูเป็นใหญํ นบั เป็นความพยายามอยํางยงิ่ ของพระองค๑ เพราะ สภาพยอดภเู ขาทสี่ งู ชนั แตกํ ็สรา๎ งไดส๎ วยงามใหญํโต เพราะความเชอ่ื มั่นในศาสนาอยาํ งม่นั คง ในสมยั นี้มี พระสงฆ๑จีนรูปหน่งึ แวะผํานอาณาจักรเพอ่ื เดินทางไปอินเดีย พ.ศ.๑๒๑๔ ไดก๎ ลําววาํ มพี ระเจ๎าแผํนดนิ องค๑ หนงึ่ ของฟนู นั โหดรา๎ ยไดท๎ าํ ลายพทุ ธศาสนาอยํางยบั เยนิ แตหํ ลกั ฐานฝาุ ยกมั พชู าไมํปรากฏวําพระองค๑ร๎ายกาจ แตํอยํางใด จากหลักฐานเหลําน้ที าํ ให๎เราทราบวํา พระองคน๑ บั ถือศาสนาพราหมณ๑ แตํนกั ประวัตศิ าสตร๑เช่ือ วาํ พระองค๑อาจนับถือทั้งสองศาสนา เพราะงานทางดา๎ นพทุ ธศาสนาทีพ่ ระองค๑สรา๎ งไวม๎ ากมายเชนํ กันหลงั จาก พระเจ๎าชัยวรมันที่ ๑ เสด็จสวรรคตแล๎ว พระองค๑ไมมํ ีรชั ทายาท ดังน้ัน พระนางชยั เทวมี เหสีของพระองคไ๑ ด๎ ครองราชยส๑ มบัตแิ ทนแลว๎ อาณาจกั รเจนละก็ออํ นแอลงจนแตกออกเปน็ ๒ ฝุาฝยุายเหนอื (เจนละบก) กบั ฝุายใต๎ (เจนละน้ํา) ฝุายเหนอื เรียกวาํ เจนละบก อยูํทางทศิ เหนือ ต้ังอยทูํ างภาคใต๎และภาคกลางของลาว มี เมืองหลวงช่อื ศัมภปุ ระ มีพระเจา๎ บษุ กร เปน็ กษตั รยิ ป๑ กครอง แตํบางทาํ นเห็นวาํ อาณาจักรนน้ี าํ จะตัง้ อยแูํ ถว ปากเซของลาวมากกวาํ ฝุายใต๎เรยี กวาํ เจนละนํ้า ตงั้ อยูบํ ริเวณแมํนํ้าโขงตอนลําง และติดชายทะเลทางดา๎ น ทศิ ใต๎ ตง้ั อยูํในอาณาจักรฟนู นั หรอื พนมเดิม ตาํ บลแมนํ ํ้าโขง ปกครองโดยพระเจ๎าพาลาทติ ย๑ มนี ครหลวงอยูทํ ่ี พาลาทติ ยปรุ ะ (วยาธปุระ) ในบนั ทกึ ของจีนเรยี กวํา “โพ-โล-ลิ-โป” พ.ศ.๑๒๑๔ พระสมณะอีจ้ ิงพระสงฆช๑ าว จีน กลับจากการเดนิ ทางไปแสวงบญุ ที่อนิ เดยี ไดแ๎ วะผํานอาณาจกั รโบราณเหลํานี้ได๎กลาํ วถงึ สภาพการณใ๑ น ประเทศเหลาํ นีว้ าํ “ในอาณาจกั รเจนละ พระพทุ ธศาสนาได๎เส่ือมคลายลงเปน็ อนั มาก สํวนศาสนาพราหมณม๑ ี ความรงํุ เรอื ง เพราะกษัตรยิ ๑ได๎ทําลายพทุ ธศาสนาอยาํ งสน้ิ เชงิ ” สถานการณ๑ในชํวงนจ้ี ึงลาํ บากอยํางยงิ่ เม่ือราว พ.ศ. ๑๓๐๐ เป็นตน๎ มา อาณาจักรเจนละบก ไดร๎ บั การพฒั นาใหเ๎ จริญก๎าวหน๎า เปน็ อาณาจักรท่ีม่ังคัง่ และเปน็ ปึกแผํนมั่นคง เนอื่ งจากอยลูํ กึ เขา๎ มาซง่ึ ไกล จากทะเล เศรษฐกจิ ของรัฐยงั ต๎องพงึ่ แรงคน ระบบชลประทานมากกวาํ ทจี่ ะพ่งึ การคา๎ อยาํ งอนื่ ตํอมาไมนํ าน อาณาจกั รเจนละก็ไดต๎ กเปน็ เมืองข้ึนของอาณาจักรชวา ราว พ.ศ. ๑๒๙๖ ราชกุมารแหงํ เจนละบกได๎เดนิ ทางไป ราชสาํ นกั จนี และได๎รับการตอ๎ นรบั อยาํ งสมเกียรติ ขณะนน้ั ฝาุ ยจนี กําลงั ทําศึกกับนํานเจ๎าจึงไดข๎ อร๎องใหเ๎ จน ละบกชวํ ยเหลอื ปูองกันเขตแดนทางภาคตะวนั ตกเฉียงใตข๎ องจนี ตํอมาเจนละได๎สงํ กองทัพเข๎ารํวมกับกองทพั J Takskusa, A Record of the Buddhist Religion as practiced in India and Malay Achipilago, (Delhi: Motilal Banarsidas, 1998), P 13. พวงนิล คาํ ป๓งสุ๑ (แปลา),วและกมั พูชา(ก, รุงเทพฯ: บริษัท สํานกั พมิ พห๑ นา๎ ตาํ งสูํโลกกว๎าง, ๒๕๔๔). หน๎า ๑๘๔.

๒๙ จนี เพ่อื ตํอสก๎ู บั นาํ นเจา๎ แตกํ ็ตอ๎ งประสบความพํายแพ๎ ศลิ ปะยุคเจนละสวํ นมากเป็นสญั ลักษณ๑ทางศาสนา โดยเฉพาะศาสนาฮินดู แตยํ งั มพี ุทธศาสนานกิ ายมหายานปะปนอยํบู า๎ ง เชนํ๑. รูปพระนารายณท๑ รงหมวก แขก(ทรงกระบอก) ๒. รูปเทวี ๔ กร จากพนม๓. รูปพระหริหระ (พระศวิ ะ) ทส่ี มโบรไ๑ พรก๏กุ ปจ๓ จุบันอยูํใน พิพิธภณั ฑ๑ ๔. รปู พระอนิ ทร๑ ๕. รูปพระสวิ ะปางนาฏราช (พระสวิ ะฟอู นราํ ) ๖.รูปพระนารายณ๑บรรทมสินธ๑, รปู พระยานาค ๗. รปู พระโพธสิ ตั ว๑อวโลกิเตศวรของพระพทุ ธศาสนานิกายมหายาน ในยุคอาณาจกั รเจนละนี้ ได๎รับอิทธพิ ลจากอนิ เดยี ใตโ๎ ดยเฉพาะทป่ี ล๓ ลวะ สํวนอิทธพิ ลศิลปะคุปตะจากทางเหนือมีนอ๎ ย ในยคุ ตอํ มาจงึ ได๎พฒั นาเป็นลกั ษณะเฉพาะของตนเอง สรปุ กษตั รยิ ์ราชวงศเ์ จนละ ที่ นามกษตั รยิ ๑ พ.ศ. เมืองหลวง ศาสนาทีน่ บั ถือ ๑ พระเจ๎าภววรมัน ๑๐๙๓-๑๑๔๓ ภวปรุ ะ พราหมณ๑ (ฮินดู) นิกายไศวะ ๒ พระเจ๎ามเหนทรวรมัน ๑๑๔๓-๑๑๕๘ อสิ านปุระ พราหมณ๑ (ฮนิ ดู) นกิ ายไศวะ ๓ พระเจา๎ อสิ านวรมนั ๑๑๕๙-๑๑๗๘ อิสานปรุ ะ พราหมณ๑ (ฮินดู) นิกายไศวะ ๔ พระเจา๎ ภววรมันท่ี๒ ๑๑๗๘-๑๑๙๘ อสิ านปรุ ะ พราหมณ๑ (ฮนิ ดู) นกิ ายไศวะ ๕ พระเจ๎าชัยวรมนั ท่ี ๑ ๑๑๙๘-๑๒๐๙ องั กอรโ๑ บเร็ย พทุ ธนกิ ายมหายานและพราหมณ๑ ๖ พระเจ๎าราเชนทรวรมนั ท่ี ๑ ๑๒๐๙-๑๒๒๔ ศัมภุปรุ ะ พราหมณ๑ (ฮนิ ดู) นิกายไศวะ ๗ พระเจ๎ามหปิ ตวิ รมนั ๑๒๒๔-............ ศัมภุประ ไมํปรากฎ ๒.๕ พระพทุ ธศาสนาสมัยพระนคร พ.ศ. ๑๓๔๕- ๑๙๗๕ ในยุคพระนครนี้ เป็นยคุ ที่นครวดั นครธมมีบทบาทเป็นราชธานี โดยไดน๎ ามวํา ยโสธรปรุ ะ (Yasodharapura) เป็นยุคที่ประวัตศิ าสตร๑ของกัมพูชาเริ่มชดั เจนมากทีส่ ดุ และเปน็ ยคุ ทีม่ กี ารปกครองยาวนานและ สถาป๓ตยกรรมกัมพูชาเขา๎ สูํยคุ รงํุ เรืองสดุ ขดี กวาํ สมยั ใด ๆ เรือ่ งราวโดยมากได๎จากจดหมายเหตุของจีนเปน็ สวํ นใหญํ ในดา๎ นศาสนา ศาสนาฮินดเู ขา๎ มามีบทบาทในราชสาํ นกั มากกวําศาสนาพทุ ธนิกายมหายาน สํวนพุทธศาสนาแบบเถร วาทยังมบี ทบาทอยํบู า๎ งในหมูํประชาชน จนอาจกลําวไดว๎ าํ “ศาสนาพราหมณแ๑ ละพทุ ธมหายาน เปน็ ของเจ๎าแผํนดนิ สํวนพุทธเถรวาทเป็นของประชาชนด”งั มรี ายละเอียดดงั น้ี ๒.๕.๑ พระเจา้ ชัยวรมันที่J๒aya(varaman 2) พระเจา๎ ชัยวรมนั ที่ ๒ เป็นผูส๎ ถาปนาอาณาจกั รมหานครขึ้น ใน พ.ศ. ๑๓๔๕- ๑๔๑๒ ในจารึกที่ ปราสาทสตอ๏ กกอ๏ กธมกลําววํา พระองคเ๑ คยไปอาศยั อยํใู นอาณาจักรชวา (อินโดนเี ซีย) แล๎วกลับมาครองราชย๑ ท่กี ัมพชู า พระองค๑ได๎นําเอาลัทธไิ ศเลนทร๑ของฮินดู จากชวามาเผยแผํ เมืองหลวงของพระองคอ๑ ยํูทีอ่ ินทรปรุ ะ (บางแหํงวํา หรหิ ราลัย) ประกาศเอกราชไมํขึ้นตรงตอํ ชวาอีก พระองค๑ได๎เชิญพราหมมีชณอื่ ๑เสียงคนหนึ่งนาม พระมหาดาวสยาม วชริ ปญ๓ โญ, ดร., พระพทุ ธศาสนาในกมั พูชา, หน๎า ๒๔.

๓๐ วําหริ ัญยทา มาทําพิธีประกาศตวั เปน็ พระจกั รพรรดิราช ท่เี ขาพนมกุเลน แลว๎ ยกพระองคเ๑ ปล็นทั ธิเทวราช (Devaraja Theory) เป็นคร้งั แรกในประวตั ิศาสตรก๑ ัมพชู า แลว๎ ขยายอาณาจักรออกไปมาก พระองคม๑ ีอํานาจ แผํไพศาล อาณาจกั รเจนละบนและลํางท่ีเคยแตกแยกถกู รวมเป็นหน่งึ เดยี วในสมยั น้ี มศี ิลาจารึกหลักหน่งึ กลาํ ววํา พระองค๑แผํอานภุ าพไปถงึ จนี จามปา มหาสมุทรและอาณาจกั รกระวานและมะมํวง (อาจจะหมายถงึ ภาคกลางของไทย) ตํอมาพระองคย๑ า๎ ยเมอื งหลวงมาท่ีเมอื งหริหราลัย (ปจ๓ จุบนั คอืขทอง่ตี โัง้บราณสถานรํอลวย ซ่งึ หาํ งจากเสยี มราฐ ๑๓ กโิ ลเมตร) ในจารกึ เมืองพระนครสมัยพระเจา๎ ชัยวรมันที่ ๒ เรม่ิ มกี ารใช๎คาํ วํา กมั พชู า หรอื กัมพชุ เทศเปน็ คร้ังแรก และตอํ มกาลายเป็นชอื่ เรียกขานชนชาติเขมรจนถงึ ป๓จจบุ นั ในดา๎ นศาสนา พระองค๑นบั ถอื ศาสนาพราหมณ๑ นิกายไศวะ ทําใหศ๎ าสนา พราหมณเ๑ จรญิ รํงุ เรือง ยิง่ ศาสนสถานทางศาสนาท่สี รา๎ งในสมยั ของพระองคค๑ อื ปราอสอาทกยม, ปราสาทบนั ทายฉมาร๑, ปราสาทพนม กเุ ลน และปราสาทพระขรรค๑ ใกลน๎ ครธพมระองคท๑ รงเผยแผ“ํ ลทั ธเิ ทวราช”(Devaraja) อยาํ งกว๎างขวาง แตํ พทุ ธศาสนามหายานและเถรวาทสามารถอยํดู ว๎ ยกนั อยํางสงบโดยโมํโด๎ร๎บการเบยี ดเบยี นแตํอยาํ งใด พระองค๑ ครองราชย๑ยาวนานถึง ๖๗ ปี ตงั้ แตยํ คุ น้ันเป็นตน๎ มา ถา๎ พระราชานับถอื ศาสนาพราหมณ(ฮ๑ นิ ดู) มุขมนตรี ตอ๎ งเป็นพทุ ธ และถ๎ากษตั รยิ ๑เปน็ พทุ ธ มุขมนตรตี ๎องเป็นพราหมณ๑ สลบั กันไปเพอ่ื คานอาํ นาจซง่ึ กนั และกนั พระองค๑ไดพ๎ ระนามใหมํวําปรเมศวร สวรรคตเมพื่อ.ศ. ๑๓๙๖ ในสมยั นี้ได๎มีพอํ คา๎ ชาวมุสลิมอาหรบั นามวาํ สุไลมานS(ulaiman) ไดเ๎ ดนิ ทางเข๎ามาคา๎ ขายที่ เมืองนครศรธี รรมราช ไดเ๎ ขยี นจดหมายเหตตุ อนหนง่ึ ไว๎วาํ ประเทศเขมรห๎ามการประพฤตติ ัวสํามะเลเทเมา หา๎ มการดมื่ ของดองทุกประเภท จะหาผ๎ูประพฤติเสเพลนอกลูํนอกทางสกั คนไมมํ ี จากจดหมายเหตฉุ บบั นท้ี าํ ใหเ๎ ราทราบวําสงั คมกัมพชู าเพยี บพรอ๎ มไปดว๎ ยศลี ธรรม จรยิ ธรรมอยํางนาํ ยกยํอง ๒.๕.๒ พระเจาั ชยั วรมนั ท่ี ๓ (Jayavarman 3) เมือ่ พระบิดาเสด็จสวรรคตแล๎ว พระเจ๎าชัยวรมนั ที่ ๓ ซึง่ เปน็ พระราชโอรสได๎ไปปกครองพระนคร ตํอมา ราว พ.ศ. ๑๓๙๖ มเี มอื งหลวงอยทํู ห่ี ริหราลัย ในจารึกกลาํ วพวาํระองคท๑ รงเป็นนกั ลาํ ชา๎ ง นบั ถือพระ ศิวะและสนบั สนนุ ลัทธเิ ทวราชตํอจากพระบดิ า ในสมยั พระองคไ๑ ดป๎ รากฏหลักฐานศลิ าจารกึ ทีบ่ ํออีกา นครราชสีมา และนครศรีอยธุ ยา กลําวถึงเมืองศรีจนาศะ พระองค๑ทรงสน้ิ พระชนม๑เมอ่ื พ.ศ. ๑๔๒๐ ไดพ๎ ระ นามใหมํวาํ พระวิษณุในยคุ น้พี ระองค๑ไมมํ บี ทบาทอะไรมากนัก ๒.๕.๓ พระเจ้าอนิ ทรวรม๑ันท(In่ี dravarman1) พระเจ๎าอนิ ทรวรมนั ข้ึนครองราชย๑เม่อื พ.ศ. ๑๔๒๐-๑๔๓๒ (๘๗๗-๘๘๙) เป็นยุคท่ีอาณาจกั ร เจรญิ รงํุ เรืองอยาํ งย่งิ มีเมืองหลวงคือเมืองหริหราลัย อาํ เภอสูตรนคิ ม เสียมเรยี บ ทรงนบั ถอื ศาสนาพราหมณ๑ นกิ ายหรหิ ระ ในขณะเดียวกันทรงสนับสนนุ พทุ ธศาสนาด๎วยในบางกรณี พระองค๑สถาปนาธรรมเนีย“มตรี กรณียกิจ”ให๎เป็นแบบอยาํ งตอํ มา คือ ทองสบื ศุภะมารค๑ (ผ๎แู ปล), พระพุทธศาสนาในกมั พูชา, หน๎า ๓๔.

๓๑ ๑. สรา๎ งเครอื ขํายชลประทานเพ่อี เพม่ิ ผลผลิต ๒. สรา๎ งเทวรูปแทนบิดามารดาและญาตพิ ่ีนอ๎ ง ๓. สร๎างเทวาลยั บนภูเขาถวายแดพํ ระเจ๎าบนสรวงสวรรค๑ ศาสนสถานทถ่ี กู สร๎างในสมัย พระองค๑ คือ ๑.ปราสาทบากอง (Bakong) ๒.ปราสาทพระโค (Prenh Kor) เป็นตน๎ ยุคนพี้ ทุ ธศาสนา มหายานได๎เจริญรํุงเรืองเคียงคํูไปกับศาสนาพราหมณ๑หรือฮินดู สํวนเถรวาทได๎ลดบทบาทลง ปราสาทที่ทรง สรา๎ ง คอื ปราสาทพะโค มจี ารกึ แหํงหน่งึ ทบ่ี ๎านปนุ เก บอกวาํ ในสมัยพระเจา๎ อินทรวรมนั มีมขุ มนตรที าํ นหน่งึ ชอื่ โสมาทติ ยะ(Somaditya) ไดส๎ ร๎างพระพทุ ธรปู องคห๑ นึ่งเปน็ ศาสดาลา้ํ เลศิ กวาํ ศาสดาท้ังหลาย และถวาย นามวาํ พระไตรโลกนาถเพอ่ี ใหม๎ นษุ ย๑รอดพน๎ จากการเวียนวาํ ยตายเกดิ ในยุคนเี้ ชํนกนั มกี ารคน๎ พบการใชค๎ ํา วํา กมั พูชะ หรอื กัมพชู าเทศ (แปลวาํ ประเทศกัมพชู า) ในปราสาทพระโค จนนามนไี้ ด๎กลายมาเป็นชอ่ื ประเทศในปจ๓ จุบนั พระองคไ๑ ดพ๎ ระนามใหมํหลังสวรรคตพวรําะอศิ วรโลก ๒.๕.๔ พระเจา้ ยโสวรมนั ที่ ๑Ya(sovarman 1) ตํอมาพระโอรสคอื พระเจ๎ายโสวรมันที่ ๑ หรือ ยโศวรมนั ในภาษาสนั สกฤต ได๎ปกครองตอํ มาใน พ.ศ. ๑๔๓๒-๑๔๕๑ ทรงให๎ยา๎ ยเมอื งหลวงมาทเ่ี มอื งพระนคร คือ ยโสธรปYุรaะso( dharapura) อนั เป็นทต่ี ้ัง นครธมในป๓จจบุ นั น้ี ใหส๎ ร๎างบารายหรอื อาํ งเกบ็ นํ้าขนาดใหญทํ างทิศใต๎ของเทวาลัยทีเ่ ริม่ สร๎าง ในด๎านศาสนา ทรงนบั ถือพทุ ธศาสนามหายานอยาํ งเป็นทางการของราชวงศ๑นี้ แตมํ มี หาอํามาตยน๑ ับถือศาสนาฮินดู นามวํา วามศิวะ (Vamshiva) พระองคไ๑ ด๎สรา๎ งศาสนสถานที่สําคญั คอื ๑. ปราสาทวัดเลไลย์ หรอื โรเลย (Lolei) เปน็ ศาสนสถานทางศาสนาพุทธ“๒. ปราสาทพนมบาเคง็ สรา๎ งลดหลน่ั เป็น ๕ ชน้ั คลา๎ ยปริ ามิดของอยี ปิ ต๑ รายล๎อมด๎วยปราสาทขนาดยํอม รวมแล๎ว ๔๔ หล๓งั . ปราสาทบารายตะวนั ออก๔. ปราสาทพนมโบก ๕. ปราสาทพนมโกรมนอกน้นั ยังมกี ารสร๎างอาศรมของพราหมณห๑ ลายแหงํ นอกจากนี้ยังไดส๎ ร๎างเมืองรอบปราสาทบายนดว๎ ย คือ เมืองยโสธรปุระ เมอื งกมั พชุ ะปุระ เปน็ ต๎น สมัยพระองคไ๑ ด๎สถาปนาลัทธเิ ทวราชขน้ึ เปน็ อดุ มการณข๑ องชาตเิ พือ่ ยกยํองศาสนาพราหมณ๑หรอื ฮนิ ดูใน ขณะเดยี วกันได๎ยกยอํ งพระพทุ ธศาสนาเปน็ บางครั้งทาํ ให๎ศาสนาทัง้ สองอยูํรํวมกันอยํางสันติ และพระองค๑ นับถอื ศาสนาพทุ ธนกิ ายมหายาน โปรดสร๎างศาสนสถานทัง้ สองศาสนาในที่ใกลเ๎ คียงกันเสมอ ๒.๕.๕ พระเจ้าหรรษวรมันท่ี ๑ (Harshavarman 1) เป็นโอรสของพระเจา๎ ยโสวรมันท่ี ๑ ปกครองอาณาจกั รราว พ.ศ. ๑๔๕๓ ทรงประทบั ท่ี เมอื งยโสธรปรุ ะ ตอํ มาเปลีย่ นชื่อเมืองหลวงใหมํตามนามของพระองค๑วาํ หรรษปรุ ะ พระองค๑นบั ถือ ศาสนาฮินดู นิกายไศวะ โปรดให๎จดั พธิ สี มโภชปราสาทพิมานอากาศทพ่ี ระบดิ าสร๎างไว๎ นอกจากนั้น ยงั ได๎สรา๎ งศาสนสถานท่สี ําคญั คอื ๑. ปราสาทป๓กษีจาํ กรง (แปลวาํ นกรกั ษาเมอื ง) เพี่อประดษิ ฐานศิว ลึงคอ๑ นั ศักดิ์สิทธ๑ ตามลัทธไิ ศวะ ๒.ปราสาทกระวาน ( Kravan) พระองค๑สวรรคตเมอ่ื พ.ศ. ๑๔๖๕ ได๎ พระนามหลงั สวรรคตวาํ รทุ รโลก (Rudraloka)

๓๒ ๒.๕.๖ พระเจา้ ราเชนทรวรมนั ที่ ๒Ra(jendravarman 2) ในสมยั พระเจ๎าราเชนทรวรมันท่ี ๒ พ.ศ. ๑๔๖๕-๑๔๗๑ พระองค๑ได๎สถาปนานครธมเป็น เมืองหลวงอีกคร้ัง ในจดหมายเหตขุ องจนี กลําววําพระเจา๎ ราเชนทรวรมันไดท๎ ําสงครามกบั จามปา หลายครงั้ และมีชยั ชนะ ทาํ ใหอ๎ าณาจกั รของพระองคก๑ ว๎างขวางยงิ่ ขนึ้ แม๎พระองคจ๑ ะเป็นฮนิ ดแู ตํก็ บํารุงพทุ ธศาสนาอยาํ งดี นอกจากนั้นยังไดแ๎ ตํงตง้ั เสนาบดชี าวพทุ ธนามวํา กาวนิ ทราวมิ ทั ทนะ ตอํ มา เสนาบดีผ๎ูนีย้ ังได๎สรา๎ งพทุ ธสถานหลายแหงํ ในกัมพชู าเพอ่ี ถวายเป็นพทุ ธบชู า และพระโพธสิ ตั วป๑ รัชญา ปารมติ า โดยการสนับสนนุ ของพระเจา๎ แผนํ ดินด๎วย ปราสาทสําคญั ท่สี รา๎ ง คือ ๑ ปราสาทแมํบุญ ๒ ปราสาทแปรรูปบนภเู ขา ๓ ปราสาทปก๓ ษีจํากรง (สรา๎ งตอํ ) ๔ ปราสาทพิมานอากาศ เมอื่ พระองค๑เสด็จสวรรคตแลว๎ เจา๎ ชายชยั วรมันที่ ๕ ผเู๎ ปน็ โอรสไดป๎ กครองตํอมา พระองค๑ ได๎สรา๎ งพุทธรปู ๓ องค๑ คอื ๑ พระพุทธชนิ ศรี ๒ พระพทุ ธโลกนาถและรปู นางเทวี ๒ องค๑ ๓. พระ ปฏมิ ากรพุทธชนิ ศรีและทิพยเทวี พระองค๑จารกึ เร่อื งราวการสร๎างปราสาทไวท๎ ่ปี ราสาทแมํบุญ ตะวนั ออก โดยกลาํ ววาํ ทรงสนับสนนุ ท้งั พราหมณแ๑ ละพุทธศาสนา ในรชั กาลของพระองคศ๑ าสนาทงั้ สองเขา๎ กนั ไดเ๎ ป็นอยาํ งดี ไมํมีข๎อขัดแยง๎ กนั แตํอยาํ งใด เพราะพระองคท๑ รงสนับสนนุ ทั้งสองศาสนา อยํางเทําเทยี มกนั ตํอมาไดพ๎ ระนามใหมํวําพระบรมรทุ รโลก ๒.๕.๗ พระเจาั ชัยวรมันท่ี ๔Ja(yavarman 4) ปกครองอาณาจักรเมอื่ พ.ศ. ๑๔๗๑ พระองค๑ไมไํ ดเ๎ ปน็ โอรสของพระเจ๎ายโสวรมนั แตเํ ปน็ ราช บุตรเขยของพระเจ๎าอินทรวรมนั ที่ ๑ มเี หตุการณค๑ วามไมสํ งบหลายคร้งั โดยเฉพาะจากพวกจาม ทําให๎ กองทัพกมั พูชาต๎องเขา๎ ขัดขวางเป็นเหตใุ หท๎ หารทั้งสองฝาุ ยเสียชวี ิตเป็นจํานวนมาก เหตุการณท๑ ่สี าํ คญั ใน รชั กาลคือทรงตํอเติมปราสาทปก๓ ษจี ํากรงให๎สมบูรณย๑ ิ่งข้นึ สรา๎ งเทวาลยั บนภูเขาหลายแหํง ค๑อื .ปราสาท เกาะแกร์ ๒.ปราสาทเชน(Chen) ทรงนบั ถอื ศาสนาพราหมณน๑ กิ ายไศวะ สํงเสรมิ ลทั ธเิ ทวราช โดยถือวํา พระองค๑เปน็ ภาคหนงึ่ ของเทพเจา๎ ซึง่ ประดิษฐานบนเทวาลัยบนภเู ขาที่พระองคส๑ ร๎าง พ.ศ. ๑๒๗๒ พระองค๑ ยา๎ ยราชธานไี ปที่เกาะแกร๑ สวํ นนครธมราชธานีถกู ทิ้งร๎าง จนกลายเปน็ ปาุ ดงไป และสวรรคตเม่ือ พ.ศ. ๑๔๘๕ ทีเ่ กาะแกร๑ แลว๎ พระโอรสองค๑หนึง่ นามวหาํ รรษะวรมันปกครองตอํ มาไดส๎ องปีเจา๎ ชายราเชนทรวรมนั ท๒ี่ ผ๎ู เปน็ พระนดั ดา จไึงดส๎ ิทธปิ์ กครองแทน พระองคไ๑ ดน๎ ามใหมํวพาํ ระบรมสวิ บท ๒.๕.๘ พระเจา้ พรรษวรมันที่ ๒H(arshavarman 2) พระองค๑ข้ึนครองราชยเ๑ มอ่ื พ.ศ. ๑๔๘๕ เปน็ โอรสของพระเจ๎าชยั วรมันที่ ๔ ขน้ึ เสวยราชย๑ ณ กรงุ เกาะแกร๑ ในสมยั ของพระองค๑มเี หตุการณส๑ าํ คัญเกดิ ข้นึ คอื ราษฎรทน่ี ับถือพทุ ธศาสนาไดช๎ วํ ยกนั สร๎าง พระพุทธรปู องค๑ใหญํองคห๑ นงึ่ ถวายพระนามวพําระพทุ ธโคกธลอกประดษิ ฐานไว๎ใกล๎ปราสาทบายนในพระ

๓๓ นครธม ในศีลาจารึกทปี่ ราสาทพระอินทรโ๑ กสยี ๑ ทรงกลําวยกยํองสรรเสริญพระเจา๎ หรรษวรมันท่ี ๒ วําเป็น กษัตรยิ ท๑ ี่มเี ดชานภุ าพกล๎าแขง็ อยํางย่ิง ทรงนับถือศาสนาพราหมณ๑ นิกายไศวะ พระองค๑ปกครองได๎เพียง ๒ ปี ถกู พระเจ๎าราเชนทรวรมนั ที่ ๒ แยํงอํานาจไปในปี พ.ศ.๑๔๘๗โดยความชํวยเหลอื ของพราหมณป๑ ุโรหติ ๒.๕.๙ พระเจา้ ราเชนทรวรมนั ท่ี ๒ (Rajendravarman 2) ทรงมีพระนามเรียกอกี อยาํ งหนึ่งวํา อนิ ทรวรมันท่ี ๒ พระองคข๑ ้ึนครองราชย๑พ.ศ. ๑๔๘๗ ขณะที่ พระองค๑ยังทรงพระเยาว๑มาก ดว๎ ยเหตุน้รี าชกิจทุกอยํางจงึ ตกอยํทู ม่ี หาปโุ รหิตใหญํ บุคคล ๒ ทาํ นที่มีบทบาท มากทีส่ ดุ คือ พราหมณศ์ ิวาจารย์ และพราหมณ์ยชั ญวราหะ ในการตาํ งประเทศทรงเว๎นการทําสงครามกบั อาณาจกั รจัมปา แล๎วนาํ เทวรทปู องคําจากปราสาทโพนครจากเมอื งญาตรัง เวียดนามมากัมพชู าด๎วย ปราสาท ท่ีพระองคท๑ รงสร๎างคอื ๑. ปราสาทแมบํ ุญตะวนั ออก ๒. ปราสาทแปรรูปเพอ่ื ประดษิ ฐานองคพ๑ ระศวิ ะ ๓. พระราชวงั หลวง ๔. ปราสาทพิมานอากาศ ๕.ปราสาทบันทายศรี สวํ นพราหมณ๑ปุโรหติ ชอ่ื ยชั ญวราหะทรงสร๎างปราสาทท่สี าํ คัญช่ือบนั ทายศรี สํวนมหามนตรี ผู๎ใหญํคนหนงึ่ เป็นชาวพุทธชอื่ กวินทรารมิ ถนะ มคี วามชํานาญในสถาป๓ตยกรรมมากที่สดุ ไดก๎ อํ สร๎างวิหาร ๓ แหงํ อีกท้ังไดส๎ รา๎ งพระพุทธรูปและรปู เคารพ ในลัทธิมหายานมากมาย เชนํ พระพุทธชินศรี พระวัชรปาณี และพระนางปรัชญาปารมติ าพระองคน๑ บั ถอื ศาสนาพราหมณ๑ นิกายไศวะ แตทํ รงสนับสนนุ พระพทุ ธศาสนา ดว๎ ย มีอารามทางพทุ ธศาสนาหลายแหํงที่ไดร๎ ับการอปุ ถมั ภ๑จากพระองค๑ พระองค๑สนิ้ พระชนม๑ เม่ือ พ.ศ. ๑๕๑๑ แล๎วไดพ๎ ระทนิ นามใหมํวําพระศวิ โลก ๒.๕.๑๐ พระเจา้ ชัยวรมนั ที่ ๕Ja(yavarman5) พระเจา๎ ชัยวรมนั ที่ ๕ ข้นึ ครองราชย๑ตงั้ แตยํ งั พระเยาว๑ โดยมพี ราหมณ๑นายมัชวําญวราหะเป็นท่ี ปรกึ ษา อาณาจักรมน่ั คงเป็นปึกแผนํ สํวนทางด๎านศาสนามกี ารหลํอหลอมศาสนาพราหมณ๑และพุทธให๎เป็น อันหน่ึงอนั เดียวกนั พระองค๑เป็นโอรสของพระเจ๎าราเชนทรวรมนั ที่ ๒ ข้ึนปกครอพง.ศ. ๑๕๑๑ ทรงนับถอื ศาสนาพราหมณ๑ แตมํ หาอาํ มาตย๑นับถอื พุทธศาสนาไดร๎ บั การสนับสนนุ จากพราหมณย๑ ชั ญวราหะเป็นอยํางดี ราชกิจทีส่ าํ คัญจะตอ๎ งขอคาํ ปรึกษาจากพราหมณ๑เฒาํ ทาํ นน้ีกํอนเสมอ เมืองพระนครอันเปน็ เมอื งหลวงได๎ส่ัง ให๎ขยายใหญโํ ตข้ึน ทรงใหส๎ รา๎ งปราสาทหลายแหงํ ทงั้ ในเขตกัมพูชาและในเขตภาคอีสานของไทยดว๎ ย พระองคท๑ รงนับถือศาสนาพราหมณ๑ นิกายพระศวิ ะ หรือไศวะนกิ าย แตยํ อมรบั เคารพพุทธศาสนาเชนํ กัน โดยเฉพาะฝุายมหายาน สํวนเถรวาทไดร๎ บั การเคารพจากสามัญชนทั่วไป ในจารกึ ท่วี ดั ศรีสนั ธร ทส่ี รา๎ งสมัย พระองคไ๑ ด๎กลาํ วถึงการนมสั การพระพทุ ธเจา๎ ๓ กาย พระธรรม และพระสงฆ๑ และพระโพธสิ ัตวด๑ ๎วย เสนาบดีของพระองค๑ทํานหนง่ึ นามวาํ กีรตบิ ณั ฑติ เคยนับถือศาสนาพราหมณ๑ ตํอมาหันมา นบั ถอื พุทธศาสนาไดก๎ ลําววํา พระองคส๑ นบั สนนุ การปฏิบตั ธิ รรมทางพุทธศาสนาและได๎นําตําราทางพทุ ธ ทองสืบ ศภุ ะมาร๑ค (ผ๎แู ปล), พระพทุ ธศาสนาในกัมพชู า, หนา๎ ๔๑. จํานงค๑ ทองประเสริฐ,ประวตั พิ ระพุทธศาสนาในเอเชียอาคเนย์, หน๎า ๒๖๗.

๓๔ ศาสนามาจากตาํ งประเทศเปน็ จาํ นวนมาก และปุโรหติ ทาํ นนข้ี องพระองคก๑ ท็ รงชาํ่ ชองพระพุทธศาสนาเปน็ อยํางยิ่ง ในงานพธิ ตี าํ งๆจะตอ๎ งมีการสรงนา้ํ พระพุทธรปู และนมิ นตม๑ าทําพิธดี ๎วย และกรี ติบณั ฑติ รับราชการ ถึง ๒ รัชกาล คอื ตง้ั แตํสมัยพระเจา๎ ราเชนทรวรมันท่ี ๒ ในจารึกแหงํ หนึ่งกลาํ วถึงมหามนตรขี องพระองค๑คน หน่งึ นามวํา ตรภี วู นะวชั ระ ไดส๎ ร๎างปฏมิ ากรปรชั ญาปารมติ า สวํ นมขุ มนตรที าํ นหนงึ่ นามวํา โสมวชั ระไดส๎ ร๎าง ปฏมิ ากรอวโลกิเตศวรอกี ด๎วย และตํอมาในรัชกาลของพระเจ๎าชยั วรมันท่ี ๕ ไดส๎ ร๎างศาสนสถาน ๒ แหงํ คือ ๑. ปราสาทบันทายศรี (เพิ่มเติม) ๒. ปราสาทตาแกว๎ เป็นวดั ในพุทธศาสนา เมอ่ื พ.ศ. ๑๕๔๐ และในตาํ นานพระแกว๎ มรกตกลําววาํ ไดถ๎ ูกอญั เชญิ มาประทับทีป่ ราสาทแหงํ นี้ระยะหนง่ึ พระองค๑ส้ินพระชนม๑ เมือ่ พ.ศ. ๑๕๔๔ ๒.๕.๑๑ พระเจ้าสูรยวรมันท่ี ๑Su(ryavarman1) ครนั้ เมอื่ พระเจ๎าสรู ยวรมนั ที่ ๑ (สุรยิ วรมนั ) ขน้ึ ครองราชยส๑ บื ตํอจากพระเจา๎ ชัยวรมันท่ี ๕ ในปี พ.ศ. ๑๕๔๔-๑๕๙๓ รวมเวลาครองราชยย๑ าวนาน ๔๙ ปี พระองคเ๑ ปน็ โอรสของกษัตรยิ ๑ตามพรลงิ ค๑ กบั เจ๎า หญิงเขมรราชสกลุ สปั ตเทวกุล นามวาํพระนางศรีวีรลกั ษมีทรงมีพระโอรส ๒ องค๑ คอื อทุ ยั ทติ ยวรมัน และ หรรษวรมนั ในด๎านศาสนาทรงมีใจเอนเอียงมาทางพระพทุ ธศาสนามหายาน จนกลเปาย็นพทุ ธศาสนิกชนใน ท่ีสดุ แตยํ งั อปุ ถมั ภศ๑ าสนาพราหมณ๑ ทรงอาราธนาพระสงฆ๑แคลัมะภรี ท๑ างพุทธศาสนามาจากอาณาจกั รตามพร ลิงคะ ทางใต๎ของไทย โปรดให๎สรา๎ งศาสนสถานหลายแหงํ เชนํ ๑. ปราสาทเขาพระวิหาร(พรมแดนไทย- กัมพชู า) บนเทอื กเขาพนมดงรกั๒. ปราสาทพิมานอากาศจังหวัดเสยี มเรยี บ๓.ปราสาทพนมชสี รู (Phnom Chisor) ตง้ั อยูบํ นภูเขาจงั หวดั ตาแก๎ว๔. ปราทหินพมิ าย จังหวดั นครราชสีมา ปราสาทเหลํานส้ี ร๎างในศาสนา พรมหมณ๑ ถวายอทุ ิศแดบํ รรพชนและถวายเป็นพทุ ธบชู าหลายแหํง นอกจากนั้นยังไดส๎ รา๎ งพระนาคปรกรํุน แรกของกัมพชู าข้ึนอีกดว๎ ย ซงึ่ ไมํเคยมีมากอํ น เปน็ กษตั รยิ ๑ทเี่ ข๎มแข็งและทาํ ให๎ แผนํ ดินของพระองคแ๑ ผํ ออกไปอยาํ งกวา๎ งขวางรวมทง้ั เมอื งละโว๎หรอื ลพบรุ ีด๎วย สวํ นสงั กรบณั ฑติ (Shankarapandit) ผ๎เู ป็นมหา มนตรีกลบั นบั ถือศาสนาพราหมณ๑ ในสมยั นีไ้ ด๎เกิดขอ๎ ขัดแย๎งแลว๎ ทําลายกันของศาสนาพุทธและศาสนา พราหมณ๑ อยํางเชํนในศลิ าจารึกทีส่ ดอ็ กก๏อกธมกลําววาํ ด๎วยสาเหตุดงั กลาํ ว พระเจ๎าสูรยวรมนั ที่ ๑ จึงตงั้ กอง ทหารขนึ้ เพอื่ ดแู ลศาสนสถานและรูปเคารพของท้งั สองศาสนา แมพ๎ ระองค๑จะเป็นพุทธก็ตาม เม่ือพระองค๑ สวรรคตแลว๎ ไดเ๎ รียกขานวาํ พระนิรวานบทเพือ่ ยกยอํ งพระองค๑ ๒.๕.๑๒ พระเจ้าอุทยั ทิตยวรมันที่ ๒U(dayadityavarman 2) พระโอรสคอื พระเจา๎ อทุ ัยทติ ยวรมนั ขึ้นครองราชย๑ พ.ศ. ๑๕๙๓ จนถึง พ.ศ.๑๖๒๙ ทรงมี ทป่ี รึกษาเปน็ ราชครแู ละพราหมณ๑ราชสาํ นกั นามวาํ ทิวากรบัณฑิต ( Divakarapandita) พราหมณ๑ผู๎นี้ ชํานาญในพระเวทและมคี วามสามารถในการปกครองเป็นทย่ี อมรับของกษตั ริย๑องค๑กอํ น ทําให๎ พระองคศ๑ รทั ธาในศาสนาพราหมณ๑ นิกายไศวะ อยํางแรงกล๎า โปรดใหส๎ รา๎ งเทวาลยั ทัว่ อาณาเขตของ พระองคห๑ ลายแหงํ คือ ๑. ปราสาทบาปวน (แปลวํา ปราสาทที่เป็นทเ่ี ลนํ ซํอนหาของลกู กษตั รยิ ๑) เพีอ่ ประดษิ ฐานศิวลึงค๑ตลอดกาล อยูหํ ํางจากนครวัด ๓๐ กม. จงั หวดั ตาแก๎ว ๒. ปราสาทพนมชีสรู (ตอํ

๓๕ เติม)๓.ปราสาทบารายตะวนั ตก ๔. ปราสาทแม่บุญตะวันตก จารกึ หลกั หนง่ึ ในปราสาทบาปวน กลาํ ววํา “เนือ่ งจากทรงเหน็ วาํ ทํามกลางชมพูทวีปซง่ึ เปน็ ทป่ี ระทับของเทวดา เป็นทีต่ งั้ ของพระสุเมรุ พระองค๑จึงได๎โปรดใหส๎ ร๎าง เขาพระสุเมรุ (ภูเขาทอง) ขึ้นกลางราชธานขี องพระองค๑ บนยอดเขานภ้ี ายในเปน็ ปราสาท ทส่ี รา๎ งดว๎ ยทองคําเปลํงประกายดจุ สรวงสวรรค๑ และพระองค๑ได๎สร๎างศิวลึงคท๑ องไว๎” กษัตริยพ๑ ระองคน๑ ีไ้ มทํ รงโปรดพุทธศาสนา ในยคุ ของ พระองคไ๑ ดม๎ กี ารปฏวิ ัตขิ ึ้นในปี พ.ศ. ๑๖๑๙ สดุ ทา๎ ยพระองค๑ไดส๎ ละราชสมบัตใิ นปีเดียวกัน สาเหตกุ าร ปฏวิ ตั ิเกิดจากมหาอาํ มาตย๑ทเ่ี ปน็ ชาวพุทธไมํพอใจจงึ ไดพ๎ ยายามสถาปนาพระเจา๎ สรู ยวรมนั ท่ี ๒ ขนึ้ แทน ๒.๕.๑๓ พระเจ้าหรรษวรมันที่ ๓Ha(rshavarman 3) ข้ึนปกครองเมอื่ พ.ศ. ๑๖๐๙ เปน็ พระราชนัดดาของพระเจา๎ สรู ยวรมันที่ ๑ เป็นอนชุ าองค๑ เล็กของพระเจา๎ อุทยั ทติ ยวรมนั ท่ี ๒ ขนึ้ ครองราชย๑ ณ กรุงยโสธรปุระ (นครธม) ในเอกสารของจีน กลาํ ววาํ เขมรและจามได๎ชํวยจีนรบกบั ญวนตามสัญญารวํ มรบที่ทาํ ไว๎ จนจนี มชี ยั ชนะ ตง้ั แตํนน้ั มา ญวนจงึ ผกู ใจเจบ็ กัมพชู าและหาโอกาสทจี่ ะโจมตีตลอดเวลา พระองคท๑ รงนับถือศาสนาพราหมณ๑ นกิ ายไศวะ พระองคส๑ วรรคตเมื่อ พ.ศ. ๑๖๒๓ ได๎รบั พระนามใหมวํ ํา พระสทาศิวบท หลังจากพระองคส๑ ิ้นพระชนมแ๑ ลว๎ พํอขนุ บางกลางท๎าว กส็ ามารถสถาปนากรุงสุโขทยั เปน็ อิสระจากขอมสําเร็จ ตง้ั แตนํ ้นั เป็นต๎นมาอาณาของไทยไดเ๎ ขม๎ แข็งขน้ึ สํวนขอมกลบั อํอนแอลงอยําง มาก ๒.๕.๑๔ พระเจา้ ชยั วรมันท่ี ๖ (Jayavarman 6) พระองค๑เปน็ กษัตรยิ ๑ทสี่ ําคัญพระองคห๑ น่งึ ในประวตั ศิ าสตร๑กมั พูชา พระองค๑ปกครองราว พ.ศ. ๑๖๒๓ จนถงึ พ.ศ. ๑๖๕๐ ทรงนับถือศาสนาฮนิ ดโู ปรดใหส๎ ร๎างศาสนสถานขึ้นหลายแหํงในอาณาจกั รของ พระองค๑คือ๑. ปราสาทวดั ภู(จําปาศักดิ์ ลาว) ๒. ตอ่ เตมิ ปราสาทหนิ พิมาย(นครราชสมี า)๓. ปราสาทบงึ มาลา๔. ปราสาททีส่ ณั ฎากในขณะเดียวกันไดส๎ ร๎างปราสาททางพุทธศาสนานกิ ายมหายานหลายแหงํ ๒.๕.๑๕ พระเจา้ ธรณินทรวรมันที่ ๑(Dharnindravarman1) พระองคป๑ กครองเมื่อ พ.ศ. ๑๖๕๐ เป็นราชบตุ รองค๑ใหญํของพระเจ๎าชัยวรมนั ท่ี ๖ เป็นพระ เชษฐา (พี่ชาย) ของพระเจ๎าศรยี ุวราช ในสมยั ของพระองค๑นับเปน็ ปรากฏการณ๑ทแ่ี ปลกอยาํ งย่ิงคอื พระองค๑ ไดเ๎ ล่ือมใสและศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนามาก จนถึงกับลาออกผนวชเป็นภิกษุตัง้ แตํสมยั พระเจา๎ ชัยวรมันที่ ๖ นับเปน็ กษัตริย๑กมั พูชาองค๑แรกทอ่ี อกผนวชในบวรพทุ ธศาสนา แตํเมอ่ื พระอนุชาสวรรคตแลว๎ ไมํมผี สู๎ ืบราช บลั ลังก๑ ข๎าราชบรพิ ารจงึ ได๎ทลู เชิญขน้ึ ครองราชย๑สมบตั ิ แตเํ ม่ือเปน็ กษัตริย๑แล๎วพระองคท๑ รงอปุ ถัมภพ๑ ุทธ ศาสนาอยาํ งดีย่งิ จนทําใหศ๎ าสนาพราหมณ๑ท่ีนับถอื กันมาหลายรัชกาลเร่ิมออํ นลง สรา๎ งความไมํพอใจให๎ พราหมณป๑ ุโรหติ พอสมควร พระองคป๑ กครองถงึ พ.ศ. ๑๖๕๕ รวม๕ ปี กส็ วรรคต ได๎พระนามใหมํวาํ พระ บรมนกิ ลั ปบท

๓๖ ๒.๕.๑๖ พระเจ้าสรู ยวรมนั ทS่ี u๒ry(avarman 2) คร้ันถึงสมัยพระเจา๎ สรู ยวรมันที่ ๒ หรือ สุริยวรวนั ที่ ๒ ทรงครองราชย๑ตงั้ แตํพ.ศ. ๑๖๕๖ ถงึ พ.ศ. ๑๖๙๓ รวมเวลา ๓๗ ปี เปน็ กษตั ริย๑ท่ีมีอํานาจมาก ทรงปกครองเขมรใหเ๎ ป็นปกึ แผนํ อยํางยง่ิ พระองค๑ยกทัพไปตีเวยี ดนามและ จามปา และผนวกอาณาจกั รจามปาไว๎ในอาณาจกั รของพระองค๑ ทรงเปดิ สัมพันธ๑กบั จีนอีกครั้งหลังจากเลิกราไปเปน็ เวลานาน ในดา๎ นศาสนาพระองค๑ทรงนบั ถือศาสนาพราหมณน๑ ิกายไศวณพอยศาํ างลแนรสงกถลานา๎ ท่โี ปรดใหส๎ รา๎ ง คอื ๑. ปราสาทนครวัดA(ngkor Wat) เป็นปราสาทอันยิ่งใหญตํ ระการกตนิ าเน้อื ท,ี่๒๕๐ ไรํมีลกั ษณะเป็นส่เี หล่ียม จตุรัส มคี นู ้ําล๎อม'รอบคนู า้ํ แตลํ ะฝ๓งกวา๎ ง ๕๐ เมตร เกิดจากการขุดของมมนีนษุ าํ้ ยข๑ งั ตลอดปีใชเ๎ วลาในการสร๎าง นานเกือบ ๑๐๐ ปี ตดิ ตํอกนั หลายพระองค๑ เป็นการจําลองเขาพระสเุ มรุมาไวใ๎ นโลก คนู ํา้ แทนมหาสมทุ รทห่ี มุ๎ โลก ระเบยี งทางเดินลอ๎ มปราสาทคอื แนวเขาท่รี ายรอบเขาสเุ มรุ ปปรราะงธคา๑ นสูง ๖๕ เมตรใช๎หนิ ประมาณ ๖ แสน ลูกบาศกเ๑ มตรมีเสาหิน ๑,๘๐๐ ตน๎ แตลํ ะตน๎ หนัก ๑๐ ตนั เปน็ อยํางน๎อย ใช๎ช๎างชกั ลา๙ก๐,๐๐๐ เชอื ก ใช๎ แรงงานคนนับแสน นาํ หนิ มาจากภเู ขาพนมกุเลนหาํ งไป ๕๐ กิโลเมตร ขนมาทุกวัน ใชช๎ าํ งแกะสลกั ราว ๕,๐๐๐ คน ใช เวลาสร๎างอยาํ งนอ๎ ย ๑ ปี มีการแกะสลักนางเทพ๑อ,๕ปั ๐ส๐ร นางรายรอ๖บ กลํมุ ปรางคป๑ ราสาทห๕ลงั ภายในคอื ยอดเขาสเุ มรุเปน็ ท่ีอยํขู องเทวดาและสวรรค๑ชัน้ ตําง ๆ เพราะความตอ๎ งการ สร๎างให๎เปน็ วดั บูชาพระวษิ ณแุ ตใํ หญโํ ตจงึ เรียกวํา นครวัด แตํในจารึกเขียน เปน็ บรมวษิ ณุโลก หมายถงึ โลกพระวษิ ณุอเพันรยา่ิงะใหคญวาํ มใหญํโตมโหฬารนเี้ อง นครวดั จึงจดั ใหเ๎ ป็นสงิ่ มหศั จรรย๑ของโลกยคุ ใหมํ ได๎รับการยอมรบั ให๎เป็นมรดพกโ.ศล.ก๒ใน๕ป๓ี ๗ อีกทงั้ ยังปรากฏ ในธงชาติของกัมพชู าทกุ สมยั แม๎ในยคุ เขมรแดงทไ่ี มใํ สใจในมรดกทางด๎านวัฒนธรรม ยงั นําไปใชน๎ใอนกธจงาชกาติ นครวดั แลว๎ ยังมปี ราสาทหลายแหงํ ท่ีทรงสร๎าง ๒ค.อื ปราสาทเจา้ สาย๓.ปราสาทธัมมานนท์ ๔. ปราสาทท่ี พนมชสี รู ๕. ปราสาทวดัภู (ตํอเตมิ )๖. ปราสาทพระวหิ าร (ต่อเตมิ ) ๗. ปราสาทบงึ มาลา ๘. ปราสาทพระ ขรรค์ ๙. ปราสาทนครบาชัยN(okor Bachay Temple) พระองคท๑ รงสร๎างศาสนสถานเหลําน้ีเพือ่ ถวายพระ วษิ ณเุ จา๎ ผ๎เู ป็นใหญํ และบางแหงํ ถวายไว๎ในพุทธศถาสึงแนมา๎วาํ พระองค๑จะนบั ถือศาสนาพราหมณ๑นกิ ายไศวณพ แตํ ก็ไมไํ ด๎ขัดขวางพุทธศาสนาทัง้ ฝาุ ยมหายานหรอื เถรวาท อยํางไรกต็ าม ฝุายเถรวาทไดฝ๎ ง๓ รากลกึ กับสามัญชนทว่ั ไปแลว๎ พระองคท๑ รงสวรรคตเมอื่ พ.ศ. ๑๖๙๓ ไดร๎ บั พระนาพมรใะหบมรํวมําวษิ ณโุ ลก ๒.๕.๑๗พระเจา้ ธรณินทรวรมันท่ี ๒ (Dharanindravarman 2) ถงึ สมัยของพระเจ๎าธรณินทรวรมนั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๖๙๓-๑๗๐๓) มพี ระอคั รมเหสีนามวาํ พระนางศรีชัยราช จฑุ ามณี พระองค๑นับถือศาสนาพราหมณต๑ ามพระบดิ า แตํได๎สนับสนนุ พระพทุ ธศาสนาดว๎ ย เม่อื พระองค๑สวรรคตแลว๎ พระโอรส ๒ พระองคพ๑คอืระเจ๎ายโสวรมันท่ี ๒ และพระเจ๎าชัยวรมนั ท่ี ๗ เม่ือพระบดิ าสวรรคตแล๎ว พระเจ๎ายโสวรมนั ท่ี ๒ (พ.ศ. ๑๗๐๓-๑๗๐๙) ขน้ึ ครองราชยส๑ มบตั ิตอํ มา แตํก็อยูํได๎เพเทียํางน๕ั้นกป็ถี กู ปลงพระชนมโ๑ ดยพระเจ๎าตรีภู วนาทิตยวรมนั แตพํ ระองคป๑ กครองได๎ ๑๕ ปีเสดจ็ หนีอีก ธรี ภาพ โลหิตกุล, นครวัด นครธม, (พิมพค๑ ร้งั ที่ ๒, กรงุ เทพฯ: บรษิ ัทภคั ธรรศ, ๒๕๔๓), หน๎า ๒๑.

๓๗ ๒.๕.๑๘ พระเจ้าตรีภวู นาทติ ยวรมัน(Tribhuvanadityavarman) พระองค๑ปกครองเมอื่ พ.ศ. ๑๗๐๘ โดยการยึดอํานาจจากพระเจ๎ายโสวรมันที่ ๒พระองค๑เปน็ ขา๎ ราชการชั้นผใ๎ู หญํ เม่ือกอํ กบฏสาํ เรจ็ จงึ ไดค๎ รองราชยส๑ มบัตสิ บื มา พระองค๑นบั ถือศาสนาพทุ ธนกิ ายเถรวาท ในสมยั พระองค๑มเี หตุการณท๑ ่ีสําคัญคือ อาณาจักรจามกําลงั หาชอํ งทางโจมตีอยํแู ล๎วไดเ๎ ปน็ พันธมติ รกับจีน จึง ขอกาํ ลังจากจีนเขา๎ โจมตีกรุงยโสธรปุระ การตํอส๎ใู ชเ๎ วลายาวนาน จนในทสี่ ุดจามและจีนได๎ชัยชนะ ทรัพย๑สิน ถูกปลน๎ ประชาชนถูกต๎อนไปเปน็ เชลยเป็นอันมาก สํวนพระองคถ๑ กู ข๎าศกึ สังหารเมอ่ื พ.ศ. ๑๗๒๐ รวม ครองราชย๑ ๑๒ปี ไดร๎ ับพระนามใหมหํ ลงั สิน้ พระชนม๑วพํา ระมหาบรมนิรวาณบาท ๒.๕.๑๙ พระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ (Jayavarman7) คร้ันถึงยคุ ของพระเจา๎ ชยั วรมนั ท่ี ๗ (พ.ศ. ๑๗๒๔-๑๗๔๙) เปน็ ต๎นมา นบั เป็นยุคทองของ อาณาจักรกัมพชู าและของพทุ ธศาสนาอยํางแทจ๎ รงิ พระองคเ๑ ปน็ โอรส พระเจา๎ ธรณินทรวรมันท่ี ๒ พระมารดา ชอื่ จุฑามณี (Chudamani) มีมเหสนี ามวาํ อินทรเทวี (Indradevi) และราเชนทรเทวีR(ajendradevi) พระองค๑ ปกครองกัมพชู าเมื่อพระชนมายุได๎ ๕๐ พรรษาแลว๎ ในสมัยนพ้ี วกจามจากเวียดนามได๎เข๎ามาโจมตีกมั พชู า พระองคไ๑ ดส๎ รา๎ งนครธมเปน็ ราชธานี แตสํ ดุ ทา๎ ยพระองคก๑ ็เอาชนะพวกจามได๎ พระองค๑นับถอื ศาสนาพทุ ธ มหายาน มีศรัทธาอยํางมัน่ คง ได๎แปรเปลี่ยนนโยบายการบริหารบ๎านเมอื งจากโลกทัศนข๑ องฮ“ินเดทู วราช” เปน็ “พทุ ธราช” แทน ทาํ ให๎บทบาทของศาสนาฮินดูในราชสาํ นกั ตกตํ่าลง โดยมีพุทธศาสนามหายานโดดเดนํ เขา๎ มาแทนที่ พระองค๑มีจรยิ าวัตรที่งดงาม ไดส๎ ร๎างสงิ่ ทีเ่ ปน็ ประโยชน๑หลายด๎านคอื ๑.ดา้ นสถาปัตยกรรมไดโ๎ ปรดใหส๎ ร๎างปราสาทหลายแหงํ ค๑อื .ปราสาทบายน ๒.ปราสาทนคร ธม ทม่ี ีรูปหนา๎ พระโพธิสัตวม๑ องไปท้ังสด่ี ๎านดง่ั พระองคม๑ องดูพสกนกิ รของพระองค๓๑ . ปราสาทตาพรหม “ในหนงั สอื วงพกั ตรแ๑ หงํ หินผา อัปสราแหงํ บันเตยี ของเทพมนตรี ลิมปพะยอม กลาํ ววาํ ท่ีปราสาท ตา พรมเคยมีพระราชาคณะอยํูอาศัยถงึ ๑๘ รูป และพระลกู วัด ๒,๘๔๐ รปู ชาวบา๎ นอุปถมั ภ๑ถึง ๑๒,๖๔๐ คน” แลว๎ ให๎ชอื่ วาํ พระราชวิหาร อทุ ิศให๎พระราชมารดาถวายไวใ๎ ห๎เปน็ สงั ฆารามในพระพุทธศาสนา ๔. ปราสาทพระขรรค์หรอื ปราสาทชยั ศรี สร๎างเป็นท่ีประดษิ ฐานรูปป๓น้ ของพระราชบิดา๔. ปราสาทตาแก้ว ๖. ปราสาทตาโสม ๗. ปราสาทบนั ทายก๘ุฏ.ิ ปราสาทนาคพันธเ์ ป็นท่ีประดิษฐานพระพทุ ธรปู ชัยนาคมุนี (ปางนาคปรก)๙. ปราสาทบันทายฉมาร(แ์ ปลวาํ วัดที่มีกําแพงเป็นสงั ฆาวาส) ปราสาทเหลํานล้ี ๎วนกํอดว๎ ยศิลา ทนี่ ําฉงน เปน็ อยาํ งยิ่ง โดยเป็นการผสมผสานระหวาํ ง สถาป๓ตยกรรมอนิ เดยี และกมั พูชาเข๎าด๎วยกัน ๒. ดา้ นสาธารณสขุ พระองค๑ยงั โปรดให๎สร๎างโรงพยาบาล ๑๐๒ แหํง อโรคยาศาลา ๑๒๑ แหํง สรา๎ งชลประทาน บํอนํ้า ธรรมศาลาเปน็ ที่พักอาศัยของประชาซนระหวาํ งทาง เปน็ ต๎น พระองคไ๑ ด๎แตํงตัง้ พราหมณ๑นามวาํ หฤษีเกศะ เปน็ ปโุ รหติ ประจําราชสํานัก ๓. ดา้ นการบริจาคทานทรงสละพระราชทรพั ยเ๑ พอื่ ถวายสงฆแ๑ ละประชาชนผูท๎ กุ ขย๑ ากมากมาย ๔. ดา้ นการสรา้ งพระพุทธรูป ทรงสรา๎ งพระพุทธรูปที่สรา๎ งจากเงนิ สํารดิ หิน จํานวนถงึ ๒๐,๔๐๐ องค๑เพอ่ี แจกจํายทั้งในและนอกอาณาจักร ในศิลาจารึกพบท่ปี ราสาทตาพรมได๎พรรณนาการมอบ

๓๘ ถวายปราสาท ไวอ๎ ยํางดยี งิ่ ดนงั ี้ “..พระพุทธเจา๎ ผ๎ูมบี ญุ พระองค๑ใด มกี ายแบํงเปน็ ๓ สํวนคอื ธรรมกาย ๑ สัมกโภาคย ๑ นริ มาน กาย ๑ ซ่ึงเปน็ ผลมาจากสัมภาระคือบุญ เรานมสั การตอํ องค๑พระพทุ ธเจพา๎ ระองคน๑ น้ั ซ่งึ เป็นสํวนหนึง่ แหงํ รํางกายแหํงพระชนิ ศรี บุตรแหงํ พระชนิ ศรแี ละได๎เกิดเปน็ สรณะแหํงสตั วโ๑ ลก...’’ สํวนจารึกท่ีปราสาทพระขรรค๑ เมอื งพระนครได๎กลําวถึงพระเจา๎ ชัยวรมนั ที่ ๗ วาํ \"พระองค๑ทรง พบกบั ความยนิ ดใี นนํ้าอมฤตนนั้ คือคาํ ส่ังสอนของพระศรีศากยมุนี” ในยคุ พระองคเ๑ ป็นต๎นมา อทิ ธพิ ลของ ศาสนาพราหมณห๑ รอื ฮนิ ดูได๎เริ่มลดลงอยาํ งมาก แลศะมาสี นาพุทธทงั้ นิกายมหายานและเถรวาทเข๎ามาแทนท่ี ไดเ๎ ปล่ียนลทั ธเิ ทวราชของฮินดู (ลทั ธทิ ่เี ชอื่ วํากษัตริยเ๑ ปน็ สมมตุ ิเทพ เปน็ ตวั แทนของพระวษิ ณุเจา๎ ) มาเปน็ พุทธราช (ลทั ธทิ ่เี ชอื่ วํากษัตรยิ เ๑ ปน็ ตวั แทนพระพทุ ธองค๑ ขจัดทุกข๑ บํารุงสขุ ประชาราษฎร๑) แทน เป็นเพราะ พระองคย๑ กทพั เขา๎ โจมตไี ทยและมอญซ่งึ นับถือพุทธศาสนาเถรวาททําให๎ไดแ๎ บบอยํางจากเถรวาทมาดว๎ ย ประกอบกบั ไดม๎ พี ระสงฆเ๑ ถรวา ทนามวาํ ตามลนิ ทะ (Tamalinda) ไปศึกษาพทุ ธศาสนาที่ลงั กา ซงึ่ นัก ประวัตศิ าสตรห๑ ลายทาํ นเช่ือวาํ เป็นโอรสองคห๑ นง่ึ ของพระเจ๎าชยั วรมันที่ ๗ ไดน๎ ําพทุ ธศาสนาแบบลังกามา กมั พูชา ทําใหพ๎ ทุ ธศาสนาแบบเถรวาทเจรญิ รงุํ เรอื งอยาํ งมาก แม๎วาํ ราชสํานกั จะนบั ถอื แบบมหายานอยูํกต็ าม\" นอกจากนพี้ ระองค๑ยงั ไดส๎ รา๎ งพระพุทธรปู สาํ คัญให๎นาํ ไปประดิษฐานทวั่ ราชอาณาจักร (ในเขต ไทยที่อยํใู นราชอํานาจคอื สพุ รรณบุรี ราชบรุ ี สงิ ห๑บุรี เพชรบรุ ี และลพบรุ ี) พระองค๑สวรรคตเม่ือ พ.ศ. ๑๗๖๒ในยคุ ของพระองคจ๑ งึ นับไดว๎ าํเปน็ ยุคทองของกมั พูชาอยา่ งแท้จรงิ หลงั พระองค๑เสดจ็ สวรรคตแลว๎ เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าตํอต๎านพระพุทธศาสนา เพราะ พวกพราหมณม๑ ีความ อจิ ฉาพุทธศาสนา พวกพราหมณ๑นาํ โดชยยั มหาปธาน(Jaya Mahapradhan)พราหมณ๑ประจาํ ราชสํานกั ได๎นาํ พุทธรปู ในพุทธวหิ ารบายนออก แล๎วเอาศวิ ลงึ ค๑ขึน้ แทน แม๎ในอืน่ ๆ ก็เชนํ กนั ในวหิ ารท่สี รา๎ งถวายพทุ ธศาสนา ถ๎ามรี ปู แกะสลักเป็นพระพุทธรูปจะถกู ขูดออกแลว๎ ทําเป็นรปู ศิวลึงคแ๑ ทน เชนํ ท่ปี ราสาทบายน ต้ังแตํพทุ ธ ศตวรรษท่ี ๑๘ เป็นต๎นมา พุทธศาสนาแบบเถรวาทไดค๎ ํอยเข๎ามามีบทบาทแทนท่ศี าสนาพราหมณท๑ ้ังสองนกิ าย และพทุ ธศาสนามหายาน จนหายไปหมดสิน้ เหลอื ไว๎แตํศาสนสถานขนาดใหญํโตมโหฬารในกลางปาุ โดยทช่ี าว กมั พชู ายุคหลงั ไมํมีอะไรผกู พันกับศาสนสถานเหลาํ นเ้ี ลย หลงั จากสมยั พระเจ๎าชัยวรมันที่ ๗ แล๎วประวตั ิก็ขาด ตอนไปกวําร๎อยปี พระองค๑สวรรคต พ.ศ. ๑๗๔๔ (บางฉบับเป็น พ.ศ.๑๗๖๑) นับเปน็ กษัตรยิ ท๑ ่มี ชี ื่อเสียงมาก ท่สี ดุ ของกัมพชู า รปู ปน๓้ ของพระองคม๑ ปี ระดิษฐานอยํทู ่ัวไป ๒.๕.๒๐ พระเจ้าอนิ ทรวรมันทIn่ี ๒dra(varman 2) พระองคป๑ กครองอาณาจกั รนครธมเมอื่ พ.ศ. ๑๗๔๔-๑๗๘๖ เป็นโอรสของพระเจ๎าชยั วรมันท่ี ๗ ในยคุ นี้ พระองคต๑ อ๎ งตํอส๎ูกบั อิทธพิ ลของไทยและเวยี ดนามท่เี ข๎มแข็งกวาํ กัมพชู า โดยราชธานีของไทยคืออาณาจักรสโุ ขทัย สริ วิ ัฒน๑ คาํ วนั สา, ผศ., อิทธพิ ลวัฒนธรรมอนิ เดยี ในเอเชียอาคเนย์, หน๎า ๘๐. พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโฺ ต), พระพุทธศาสนาในเอเชยี , (กรงุ เทพฯ: ธรรมสภา, ๒๕๔๐), หน๎า๒๑.

๓๙ กําลังรํุงเรอื งย่งิ ทั้งสองอาณาจกั รไดท๎ ําสงครามกนั หลายคร้ัง ตาํ งกผ็ ลัดกนั แพช๎ นะ พระองค๑ทรงนบั ถอื พทุ ธศาสนา ตามพระบดิ าในศิลาจารึกภาษาบาลีพบทีว่ ัดกกขะพส หรือกกสวายเชค จงั หวดั เสียมราฐ ไดก๎ ลําววาํ พระเจ๎าอนิ ทรวรมนั ได๎ถวายหมบํู า๎ นแหงํ หน่ึงแดํพระเถระรปู หน่ึง และไดส๎ ละราชสมบตั ิออกผนวชเม่ือ พ.ศ. ๑๘๕๑ เปน็ เวลา ๑ พรรษา ๒.๕.๒๑ พระเจา้ ชยั วรมนั ทJี่ a๘ya(varman 8) พระองค๑ปกครอเมงอ่ื พ.ศ. ๑๗๕๖ ในยคุ พระองกคอ๑ งทัพมองโกลได๎เขา๎ โจมตีอาณาจักรเพอื่ นบา๎ นคือ อาณาจกั รจมั ปา จึงเป็นแรงกดดันให๎พระองค๑ต๎องยอมรบั อํานาจของมองโกลด๎วยการสงํ เครื่องบรรณาการ พระองคม๑ ี มเหสผี ๎ูเลอโฉมนามวาํ พระนางจักรวรรดิราชเทวี เปน็ บุตรขี องพราหมณ๑ปุโรหติ จงึ ทําใหพ๎ ระองค๑นับถือศาสนา พราหมณ๑ นิกายไศวะตามมเหสไี ปด๎วย สํวนประชาชนสวํ นมากยงั นับถือพทุ ธศาสนา พระองคป๑ กครองจนถงึ พ.ศ. ๑๘๒๖ รวมเปน็ ๔ป๐ี ไดพ๎ ระนามใหมวํ พาํ ระปรเมศวรบท ในยุคนม้ี เี หตกุ ารณ๑สาํ คัญทางศาสนาคอื พวกพราหมณ๑ ทอ่ี จิ ฉาความเจรญิ รํงุ เรืองของพทุ ธศาสนาในสมัยพระเจา๎ ชยั วรมนั ที่ ๗ และพระเจ๎าอินทรวรมนั ท่ี ๒ เมือ่ ไดโ๎ อกาสที่ กษัตรยิ ๑นบั ถือพราหมณอ๑ ยํางตนจึงไดเ๎ ร่มิ ทาํ ลายพระพุทธรปู และศาสนสถานของพทุ ธศาสนา จนไดร๎ ับความเสยี หาย อยํางมาก ปราสาทท่เี ป็นของพทุ ธ ปเรชานํ สาทตาพรมได๎ถกู ดดั แปลงเป็นของพราหมณ๑ พระพทุ ธรปู ถกู นําออก แล๎ว นาํ สิวลึงค๑ข้ึนไปตั้งแทน ป๓จจบุ นั ปราสาทหลายแหงํ ยงั มหี ลกั ฐานการดดั แปลงปรากฏอยูํอยาํ งชัดเจน นับจากนเ้ี ป็นตน๎ ไปอวสานของศาสนาพราหมณ๑และพทุ ธศาสนามหายานกําลงั จะใกล๎เขา๎ มา เพราะอิทธพิ ลพทุ ธศาสนาเถรวาทจากไทย และมอญกาํ ลังจะเขา๎ ครอบครองแทนที่ เพราะพระสงฆ๑เถรวาทอยูใกลช๎ ดิ กับประชาชนมาจากคนรากหญา๎ จงึ เข๎ากนั ได๎ กับประชาชนทว่ั ไปมากกวาํ ๒.๕.๒๒ พระเจา้ อินทรวรมันทInี่ ๓dra(barman 3) พระเจา๎ อนิ ทรวรมันเป็นบตุ รเขยของพระเจ๎าชยั วรมันท่ี ๘ พระองคข๑ ้ึนครราอชงยส๑ มบตั เิ มอื่ พ.ศ. ๑๘๓๗ โดยการชํวยเหลอื ของพระเมเหสชี งึ่ เป็นพระธดิ าของพระเจ๎าชยั วรมนั ที่ ๘ ในยคุ นี้นบั วาํ เปน็ ยคุ พลิก ผันโฉมหนา๎ ประวัติศาสตร๑ของกมั พูชา กลําวคอื พระองคไ๑ ดห๎ นั มานับถอื พุทธศาสนาแบบเถรวาท ทบ่ี ํมตัวมา นานเป็นศาสนาสามญั ของสามัญชนทว่ั ไป ทาํ ใหศ๎ าสนาพุทธนิกายเถรวาท เริ่มโดดเดนํ ขึ้นมาในสมัยรชั กาลน้ี พระองคไ๑ ด๎ถวายหมํบู ๎านแหงํ หน่ึงสาํ หรบั กํอสรา๎ งวดั วาอาราม อุทศิ ถวายพระพทุ ธศาสนาในสมยั นี้มีจารึก ภาษาบาลเี กิดข้นึ เป็นครั้งแรก (ทีผ่ าํ นมาล๎วนจารึกด๎วยภาษาสนั สกฤตอ)ันแสดงใหเ๎ หน็ ถึงอิทธิพลของพทุ ธ ศาสนานิกายเถรวาทอยํางชัดเจน พระองค๑แม๎จะเปน็ พทุ ธมามกะแตกํ บ็ าํ รงุ พวกพราหมณ๑เชํนเดิม เพ่อื รักษา ฐานอาํ นาจชองพระองค๑ใหม๎ ัน่ คงปลายพระชนม๑ชีพได๎มอบราชสมบัตใิ ห๎พระราชโอรส แลว๎ เสด็จออกผนวช นับเปน็ กษตั รยิ อ๑ งคท๑ ่อี อกบวชในพระพุทธศาสนาอยํางถาวร ทรงสวรรคตในเพศสมณะเมือ่ พ.ศ.๑๘๕๑ (๑๓๐๘) เปน็ ทน่ี ําสงั เกตวาํ เมอ่ื อิทธิพลพทุ ธศาสนาแบบเถรวาทเขา๎ ครอบงาํ แลว๎ การสรา๎ งปราสาทหนิ ทั้ง พราหมณแ๑ ละพทุ ธทด่ี ําเนินมาหลายศตวรรษเพ่ืออวดอ๎างความยิ่งใหญใํ นบารมไี ดย๎ ตุ ลิ งอยาํ งสนิ้ เชงิ นบั จากนี้ เปน็ ตน๎ ไป กษัตรยิ ท๑ ่ีนบั ถอื พทุ ธศาสนาได๎หนั มาสร๎างวดั ตามแบบเถรวาทซ่งึ กํอดว๎ ยอิฐ และมสี ถาป๓ตยธรรมที่ คลา๎ ยคลึงวัดในไทยแทน

๔๐ ๒.๕.๒๓ จดหมายเหตขุ องจูต้ากวน ในยคุ นี้ มคี ณะทูตจนี นาํ โดยจตู ้ากวน (Chou Da guan) หรือโจ ต๎า กวน ได๎เดินทางมาถงึ เมืองพระนคร เขาเกดิ พ.ศ.๑๘๐๙ (๑๒๖๖) ท่ีเมืองเหวินจู ใกล๎เมืองหางโจว มณฑลหางโจวใกลช๎ ายฝง๓่ ตะวันออกของจนี ไดร๎ ับคําสัง่ จากองค๑จักรพรรดทิ ีมูร๑แหงํ ราชวงศ๑หยวนหรอื มองโกลใหเ๎ ปน็ ตัวแทน เดนิ ทางมาเป็นทตู ตดิ ตอํ กัมพูชา เขาเดนิ ทางมาถึงยโสธรปรุ ะ (นครธม) พ.ศ. ๑๘๓๙ได๎เข๎าฟูาพระเจา๎ อนิ ทรวรมันที่ ๓ ในนามของทูตจนี จากนน้ั ไดพ๎ าํ นักในนครหลวงเกือบปี เขาไดห๎ นงั สอื จดหมายเหตชุ ื่อ “กัมพชู า แผน่ ดนิ และประชากร” (Cambodia The Lane and its people) ในบางตอน เขาได๎ เขียนวํา “พระทางพุทธศาสนาเรียกวําจูกู (เจ๎าคณุ ,เจ๎าก)ู สํวนพระเตา๐ (ฮนิ ดู) เรียกวํา บาสิเหวํย (Basiwei)ทุกคนในเมืองนน้ี ับถือพระพุทธเจ๎านบั ถือเจา๎ กู (นามเรยี กพระสงฆ)๑ เจา๎ นายชอบมาปรกึ ษา เจา๎ กูเสมอ เจา๎ กูเหลํานโ้ี กนศีรษะ นุํงสบงจีวรสีเหลือง ปิดไหลซํ า๎ ย เปดิ ไหลขํ วา เดินโดยไมํสวมรองเท๎า โบสถ๑มุงด๎วยกระเบอื้ ง ในโบสถป๑ ระดษิ ฐานพระพทุ ธรูปซึง่ เขาเรียกวํา โบไล (พระพทุ ธเจา๎ ) ปน้๓ ดว๎ ยดิน เหนยี ว ทาด๎วยสหี ลายสี นอกนั้น ไมํมรี ปู ป๓้นอนื่ ๆ ในวดั พระพทุ ธรปู จะมีอยูํหลายปาง สํวนใหญํทาํ ด๎วย ทองสําริด ไมํมรี ะฆัง กลอง ฉิง่ ฉาบ ไมํมกี ารตดิ ผา๎ มํานหรือปูพรม พระท้งั หมดฉันปลา เน้อี ไมํฉนั สรุ า ฉันวันละ ๑ มอื้ ยังถวายปลาเน้ือตอํ พระพุทธเจ๎าด๎วย ในวดั วาอารามไมํมโี รงครัวเลย ภกิ ษุสามเณร บณิ ฑบาต สวดมนตด๑ ว๎ ยคัมภรี จ๑ าํ นวนมาก จารลงในใบตาล (ลาน) พระมเี สล่ียงและรํม เสาทาํ จากทอง และเงิน พระราชาทรงวนิ ิจฉัยการใหญๆํ กับพระสงฆ๑ ไมมํ ีภกิ ษณุ เี ลย’’ เขายงั ได๎เขียนถึงนกั บวชฮินดู หรอื พราหมณไ๑ วว๎ าํ “สํวนพระเต๐า (ฮินดู)เหมอื นคนท่ัวไป ยกเว๎นจะโพกผ๎าขาวหรือแดงเป็นบางครั้ง มันเหมอื นเครอื่ งประดับศรี ษะของสาวตาตา๎ ในจนี เปน็ แตวํ ําสน้ั กวํา พวกเขามวี ดั แตเํ ลก็ กวําวดั ทาง พุทธศาสนา โดยท่วั ไปจาํ นวนพระ เต๐า(ฮินดู) จะมีนอ๎ ยกวาํ พระพทุ ธ พวกเขาไมมํ ขี องถวายรปู เคารพ พระทเ่ี ปน็ ผห๎ู ญงิ ก็มี วดั ก็มงุ ด๎วยกระเบอื้ งเชนํ กนั พวกเขาไมํกนิ อาหารจากคนอ่นื ให๎และจะไมใํ ห๎คนอื่น เหน็ เขากนิ เชนํ กัน พวกเขาไมดํ ม่ื เหลา๎ ฉันยงั ไมเํ หน็ ทอํ งบนํ คัมภีร๑หรือศกึ ษาคัมภรี ๑อะไร เมือ่ เดก็ ๆ จาก ครอบครัวชาวบ๎านจะไปศึกษาจะต๎องได๎รบั การฝึกจากพระสงฆท๑ างพทุ ธศาสนา\" จาก จดหมายเหตนุ ้ีทาํ ใหท๎ ราบถึงสถานการณพ๑ ุทธศาสนาท่ีเรมิ่ มีบทบาทในสังคมแทนพระในศาสนา พราหมณห๑ รือฮินดู เข๎าพํานกั ทนี่ ่ี ๑๑ เดอื นจึงเดนิ ทางกลับ อนั เป็นเครอื่ งยืนยยคุ ันนวีช้ าํ าวกัมพูชาไดน๎ บั ถอื พทุ ธ ศาสนาเกือบหมดแลว๎ โดยเฉพาะฝุายเถรวาท ๒.๕.๒๔ พระเจ้าศรอี นิ ทรชยั วรมSันri In(drajayavarman) พระองค๑ข้ึนครองราชย๑เม่อื พ.ศ. ๑๘๕๑ พระองคก๑ ลับไปนับถือศาสนาพราหมณ๑ นิกายไศวะ ยกยํอง ศาสนาพราหมณเ๑ ป็นศาสนาประจาํ ชาติ และเบียดเบียนพทุ ธศาสนา พวกพราหมณไ๑ ดโ๎ อกาสเบียดเบียนพทุ ธศาสนาตาม อาํ เภอใจพระพทุ ธรปู และศาสนสถานถูกทําลายมากมาย เป็นเหตุใหก๎ องทัพไทยซึง่ แขง็ แกรงํ กวาํ ใชเ๎ ปน็ ขอ๎ อ๎างในการ ศานติ ภกั ดคี ํา (แปล), ประวตั ิศาสตรก์ มั พชู า แบบเรียนของเขมรทเี่ กีย่ วขอ้ งกับไทย, หน๎า ๔๒.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook