รายงานการวจิ ัยในช้นั เรยี น การพฒั นาทกั ษะการเขียนมาตราตัวสะกด โดยใช้แบบฝกึ การแยกสว่ นประกอบของคำสำหรบั นักเรยี น ช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นบา้ นโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จังหวดั นราธวิ าส โดย นาวสาวดารสุ มี ซาและ รหัสนักศกึ ษา 406201010 รายงานการวจิ ยั นี้เป็นส่วนหนง่ึ ของรายวชิ า การปฏบิ ตั กิ ารสอนในสถานศึกษา 4 ระดบั ปรญิ ญาตรี หลักสูตรครศุ าสตรบณั ฑติ สาขาวชิ าภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ยะลา ปกี ารศึกษา 2565
ชอื่ วิจัย การพัฒนาทกั ษะการเขยี นมาตราตวั สะกดโดยใชแ้ บบฝกึ การแยก ส่วนประกอบของคำสำหรบั นักเรยี นชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 2 โรงเรยี นบา้ นโคก อำเภอเจาะไอร้อง จงั หวดั นราธิวาส ผวู้ ิจัย นางสาวดารสุ มี ซาและ สาขา ภาษาไทย คณะกรรมการที่ปรึกษา กรรมการ ( นางสรุ สั วดี นราพงศ์เกษม ) อาจารยน์ ิเทศประจำหลักสูตร กรรมการ ( นางซากเี ราะ อาแวกอื จิ ) ครูพ่เี ล้ยี ง รายงานการวจิ ัยน้ีเปน็ ส่วนหน่งึ ของรายวชิ า การปฏบิ ตั ิการสอนในสถานศึกษา 4 ระดบั ปรญิ ญาตรี หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ยะลา ปกี ารศึกษา 2565
ก ชื่อวิจยั การพัฒนาทักษะการเขยี นมาตราตวั สะกดโดยใช้แบบฝึกการแยกส่วนประกอบของ คำสำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอร้อง ผูว้ จิ ยั จังหวดั นราธิวาส สาขาวิชา ดารสุ มี ซาและ ปีการศกึ ษา ภาษาไทย 2565 บทคัดยอ่ การวิจัยในคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาทักษะการเขียนมาตราตัวสะกด โดยใช้ แบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำสำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอ เจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส 2) เพ่ือศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกการแยก ส่วนประกอบของคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส กลุ่มเป้าหมายท่ีใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส จำนวน 25 คน เครื่องมือท่ีใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการ จัดการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนมาตราตัวสะกด 2) แบบฝึกการแยกส่วนประกอบของ คำ 3) แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนการแยกส่วนประกอบของคำ และ 4) แบบประเมินความ พึงพอใจของนักเรียนต่อการใช้แบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คอื คา่ รอ้ ยละ คา่ เฉลยี่ (������̅) คา่ เบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และ T - test ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนมาตราตัวสะกด โดยใช้แบบฝึกการแยก ส่วนประกอบของคำสำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียน นักเรียนมีคะแนนเฉล่ีย 8.88 คะแนน มี ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 4.78 และหลังเรียน มีคะแนนเฉลี่ย 12.72 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากบั 3.25 มีค่าการทดสอบที (t - test) เท่ากบั 9.63 และมนี ัยสำคัญทางสถติ ิทีร่ ะดับ .05 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึก การแยกส่วนประกอบของคำในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( ���̅��� = 2.83, S.D. = 0.37) และเมื่อพิจารณา พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกการแยก ส่วนประกอบของคำ ด้านแบบฝึกการแยกส่วนประกบอของคำ มีความเหมาะสมของขนาดตัวอักษร และการใชส้ ี ด้านแบบฝกึ การแยกสว่ นประกอของคำ มคี วามนา่ สนใจ สะดวกตอ่ การใช้งานของผ้เู รียน ด้านฉันสามารถอ่านสะกดคำจากแบบฝึกการแยกส่วนประกอของคำ ด้านฉันชอบแบบฝึกการแยก สว่ นประกอของคำ อยใู่ นระดบั มาก ( ������̅ = 2.84, S.D. = 0.36) และ ด้านแบบฝกึ การแยกส่วนประกอ ของคำ มีเนื้อหาชัดเจน เข้าใจง่าย มีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( ������̅ = 2.80, S.D. = 0.40) เช่นเดียวกนั คำสำคญั : แบบฝกึ ทกั ษะการแยกสว่ นประกอบของคำ, การเขียนสะกดคำ, นักเรียนช้ันประถมศกึ ษา ปีท่ี 2
ข Title The development of spelling writing skills by using the word decomposition exercise for Prathomsuksa 2 students at Ban Author Khok School Cho Ai Rong District Narathiwat Province Degree Darusmee Salaeh Academic Year Thai language 2565 Abstract The objectives of this research were 1) to improve spell writing skills. 2) to study the students' satisfaction with the word-components exercise for primary school students. 2nd year Ban Khok School Cho Ai Rong District Narathiwat Province The target group used in this research were Prathomsuksa 2 students at Ban Khok School. Cho Ai Rong District The research instruments were 1) a learning management plan on the development of spelling writing skills, 2) word-component- separation exercises, 3) pre- and post-learning test on word composition, and 4) Assessment form for students' satisfaction with the use of word fragmentation exercises. The statistics used in the data analysis were percentage, mean (������̅), standard deviation (S.D.), and T - test. The results of the research showed that 1) the achievement of writing the spelling section by using the word-component-separating form for Prathomsuksa 2 students at Ban Khok School Cho Ai Rong District Narathiwat Province After school, the students had an average score of 8.88, a standard deviation of 4.78, and after school, a mean score of 12.72 with a standard deviation of 3.25, and a t-test of 9.63 and It was statistically significant at the .05 level. 2) The students were satisfied with the exercises. The overall word composition was at a high level ( ������̅= 2.83, S.D. = 0.37) and when considering, it was found that the students were satisfied with the word component exercise. Practicing on the separation of word components There is appropriateness of font size and use of colors in the word composition exercises. interesting Easy to use for students On my side, I can read the spelling from the word decomposition exercises. On the other hand, I like the word composition exercises. At the high level ( ������̅= 2.84, S.D. = 0.36) and on the word component practice exercise The content was clear, easy to understand, and the satisfaction level was at a high level ( ������̅= 2.80, S.D. = 0.40) as well. Keywords : word separator skills, spelling, grade 2 students.
ค กติ ติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้ สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยความกรุณาอย่างยิ่งจากอาจารย์สุรัสวดี นราพงศ์เกษม อาจารยท์ ี่ปรึกษา ทีไ่ ด้ให้คำแนะนนำและคำปรกึ ษา ตลอดจนตรวจแกไ้ ขข้อบกพรอ่ งต่าง ๆ ดว้ ยความ เอาใจใสอ่ ยา่ งยิ่ง จนทำใหง้ านวจิ ยั เสรจ็ สมบูรณ์ ผู้วจิ ยั ขอกราบขอบพระคุณเปน็ อยา่ งสงู ไว้ ณ ทน่ี ้ี ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญ นางซากีเราะ อาแวกือจิ นางเสาวภา สุปัตติ และนางจุฑารัตน์ จอมคำสิงห์ ท่ีกรุณาตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือวิจัย ช่วยแก้ไขข้อบกพร่อง และให้คำแนะนำใน การสร้างเคร่ืองมือวิจัยให้ถูกต้อง สมบูรณ์ยิ่งขึ้น รวมม้ังบุคคลที่ผู้วิจัยได้อ้างอิงทางวิชาการตามที่ ปรากฏในบรรณานุกรม ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส และ นางซากีเราะ อาแวกือจิ ครูพี่เล้ียงท่ีให้ความอนุเคราะหแ์ ละอำนวยความสะดวกในการเก็บข้อมูลวิจัย และขอขอบใจนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จังหวัดนราธวิ าส ที่ ใหค้ วามร่วมมอื ในการเก็บขอ้ มลู วจิ ัยในครั้งนี้ ขอขอบคุณ กลั ยาณมติ รทุกท่านสำหรบั คำแนะนำ ความช่วยเหลอื และกำลังใจในการทำวจิ ัย ฉบับนี้จนสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นอกจากน้ียังมีผู้ท่ีให้ความช่วยเหลืออีกหลายท่าน ซึ่งผู้วิจัยไม่สามารถ กลา่ วนามในนไ้ี ด้ท้งั หมด จงึ ขอขอบคณุ ทุกทา่ นเหลา่ นี้ไว้ ณ โอกาสนดี้ ว้ ยคณุ ค่า และประโยชน์อันพงึ มี จากงานวจิ ัยฉบบั น้ีผู้วจิ ัยขออุทศิ แด่ผูม้ ีพระคุณทุก ๆ ทา่ น ดารุสมี ซาและ กันยายน 2565
ง สารบัญ หน้า บทคัดยอ่ ภาษาไทย ก บทคดั ย่อภาษาอังกฤษ ข กติ ติกรรมประกาศ ค สารบญั ง สารบัญตาราง ฉ สารบญั ภาพ ช ที่มาและความสำคญั ของปญั หา 1 วัตถปุ ระสงคว์ ิจัย 2 ประโยชนข์ องการวจิ ยั 2 เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้อง 4 1.หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 กลมุ่ สาระการเรียนรู้ 4 ภาษาไทย 5 5 1.1 ความจำเป็นของการเรยี นภาษาไทย 6 1.2 การเรียนรู้ในภาษาไทย 6 1.3 สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้ 1.4 ตวั ชว้ี ดั และสาระการเรียนรู้แกนกลาง ชนั้ ประถมศึกษาปที ี่ 2 9 2. การเขียนสะกดคำ 9 2.1 ความหมายของการเขยี นสะกดคำ 10 2.2 ความสำคญั ของการเขยี นสะกดคำ 12 2.3 สาเหตแุ ละปัญหาการเขียนสะกดคำ 2.4 หลักการสอนเขยี นสะกดคำ 14 3. แบบฝึกทกั ษะ 15 3.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝึกทกั ษะ 17 3.2 ลกั ษณะของแบบฝกึ ทักษะทดี่ ี 18 3.3 หลักการสรา้ งแบฝึกทักษะ 19 3.4 ส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะ 3.5 ประโยชนข์ องแบบฝกึ ทักษะ 20 4. วจิ ัยทเี่ ก่ยี วข้อง 21 4.1 วิจัยที่เกยี่ วข้องกับการเขียนสะกดคำ 4.2 วจิ ัยที่เกย่ี วขอ้ งกบั แบบฝกึ ทกั ษะ
สารบัญ (ตอ่ ) จ วิธีดำเนินการวิจยั หน้า 1. ประชากรและกล่มุ เป้าหมาย 2. เครือ่ งมอื ทใี่ ชใ้ นการวิจัย 23 3. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 23 4. การวิเคราะหข์ อ้ มูล 24 25 ผลการวจิ ัย 29 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 31 1. สรุปผลการวิจัย 31 2. อภปิ รายผลการวิจยั 32 3. ข้อเสนอแนะ 33 บรรณานกุ รม 35 ภาคผนวก 36 ภาคผนวก ก รายนามผเู้ ช่ียวชาญ 38 ภาคผนวก ข การหาคณุ ภาพเคร่อื งมอื วจิ ยั 46 ภาคผนวก ค เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจยั 85 ภาคผนวก ง แผนการจดั การเรยี นรู้ 207 ภาคผนวก จ ภาพแสดงการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 212 ประวัติผวู้ ิจัย
ฉ สารบญั ตาราง หนา้ ตารางท่ี 1 เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเขยี นมาตราตัวสะกด ตารางที่ 2 การวิเคราะหข์ ้อมูลเพอ่ื ประเมินประเมินความพึงพอใจของนกั เรียนท่มี ีต่อแบบฝึกการแยก สว่ นประกอบของคำ ตารางท่ี 3 ผลการประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบเคร่ืองมือวิจัยของผู้เช่ียวชาญที่มี ต่อแบบทดสอบ ตารางท่ี 4 ผลการประเมินประสิทธิภาพของชุดแบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำในมาตรา ตวั สะกด ตารางที่ 5 ผลการประเมนิ ประสทิ ธภิ าพของแผนการจดั การเรียนรู้ เรอื่ ง มาตราตวั สะกด
สารบญั ภาพ ช ภาพที่ 1 การเล่นกิจกรรมทายคำปรศิ นามาตราแมก่ ม หน้า ภาพท่ี 2 การเลน่ กิจกรรมทายคำจากภาพมาตราแม่เกอว 208 ภาพที่ 3 การเลน่ กิจกรรมมาตราแมก่ ด 209 ภาพที่ 4 การใช้ส่อื กจิ กรรมสรุปบทเรียนมาตราตัวสะกด 210 211
1. ท่มี าและความสำคญั ของปญั หา ภาษาไทยเปน็ เอกลักษณป์ ระจำชาติ เปน็ สมบตั ทิ างวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเปน็ เอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเคร่ืองมือในการติดต่อสื่อสาร ความเข้าใจและความสัมพันธ์ท่ีดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงานและดำรงชีวิตร่วมกัน ในสังคม และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพ่ือพัฒนาความรู้ ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความม่ันคง ทางสังคมและเศรษฐกิจ นอกจากน้ียังเป็นส่ือที่แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรม ประเพณี ชีวทัศน์ โลกทัศน์ และสุนทรียภาพ โดยบันทึกไว้เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมอันล้ำค่า ภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ เพ่ืออนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทย ตลอดไป จากความสำคัญของภาษาไทย สามารถสรุปได้ว่า ภาษาไทยมีความสำคัญในฐานะภาษา ประจำชาติ อันเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมของคนไทย เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เชื่อม ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อีกทั้งภาษาไทยยังเป็นเครื่องมือท่ีใช้ในการแสวงหาความรู้ เพ่ือพัฒนา ศักยภาพของตนเอง ดังนั้น ภาษาไทยจึงมีความสำคัญยิ่งที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ และควรอนุรักษ์ ภาษาไทยสบื ไป การเขียนเป็นทักษะหน่ึงที่ใช้ในการส่งสารเพื่อส่ือความคิดหรือเร่ืองราวเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งผู้ส่งสารต้องการถ่ายทอดไปยัง ผู้รับ เป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมสติปัญญา ความรู้ความคิด ความรสู้ ึกของมนุษย์และเปน็ เครอื่ งมือในการบันทกึ เร่ืองราวขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมอีกทั้ง ยังช่วยสืบทอดวิชาความรู้ต่างๆจากอดีตต่อเนื่องจากปัจจุบันไปจนถึงอนาคตเพ่ือให้การส่ือสาร ระหว่างผู้ส่ือสารและผู้รับมีความเข้าใจท่ีตรงกันจำต้องอาศัยการเขียนท่ีมีประสิทธิภาพเพื่อให้ผู้รับ สามารถรับสารได้ถูกต้องและเข้าใจง่ายขึ้น ปัจจัยสำคัญในการเขียนเพ่ือส่ือความหมายได้ตรงตามที่ ต้องการคือ การเขียนสะกดคำท่ีประสมกับสระและตัวสะกด ให้ถูกต้องเพราะจะช่วยให้ผู้อ่านสารได้ ถูกต้องและรวดเร็วซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการศึกษาวิชาต่างๆต่อไป หากสะกดคำไม่ถูกต้องย่อมเกิด ผ ล เสี ย ต่ อ ก าร เขี ย น อ า จ ท ำ ให้ เกิ ด ค ว าม เข้ าใจ ผิ ด แ ล ะ ไม่ ส าม า ร ถ ส่ื อ ส าร ได้ ต ร งต า ม ที่ ต้ อ งก า ร นอกจากนั้นผอู้ า่ นอาจเกิดความรู้สกึ ที่ไม่ดตี ่องานเขียนและผู้เขยี นไดอ้ ีกด้วย ผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในการจัดการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยพร้อมท้ัง วัดและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอ เจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส สำนักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษานราธิวาส เขต 3 พบว่า นักเรียนส่วนใหญ่มีปัญหาในด้านการเขียนสะกดคำ คือ การเขียนคำที่ประสมกับสระและตัวสะกด ไม่ได้ เนื่องจาก จำพยัญชนะและสระไม่ได้ ปัญหาดังกล่าวจึงควรได้รบั การแก้ไขเพื่อพัฒนาสมรรถนะ ด้านการเขียนของนักเรียน ซ่ึงหากนักเรียนไม่ได้รับการส่งเสริมการเขียนแยกส่วนประกอบของคำ ยอ่ มส่งผลให้เกดิ ปญั หา ตอ่ พฒั นาการดา้ นการเรียนรใู้ นทกั ษะดา้ นกลุ่มสาระอ่นื ๆ ต่อไป
2 ผู้วิจัยจึงได้พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ เพ่ือเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการใช้แบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำ เป็นส่ือในการแก้ปัญหาและพัฒนาทักษะการเขียน สะกดคำ สำหรับนักเรียนช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนโรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จังหวัด นราธิวาส เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนมีพัฒนาการด้านการเขียนสะกดอย่างถูกต้องตามหลักภาษาไทย และมผี ลสัมฤทธทิ์ างการเรียนที่ดียงิ่ ข้ึน 2. วัตถปุ ระสงค์ของวจิ ัย 1. เพ่ือพฒั นาทักษะการเขยี นมาตราตัวสะกด โดยใชแ้ บบฝกึ การแยกส่วนประกอบของคำ สำหรับนกั เรียนชนั้ ประถมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรยี นบา้ นโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จังหวดั นราธวิ าส 2. เพือ่ ศึกษาความพงึ พอใจของนักเรยี นทีม่ ีต่อแบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำสำหรับ นักเรียนชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จงั หวัดนราธิวาส 3. ประโยชนข์ องวจิ ยั 1. ผเู้ รยี นมีความสามารถในการเขียนมาตราตวั สะกด 2. ได้แนวทางในการสรา้ งแบบฝึกการแยกสว่ นประกอบของคำ 3. เป็นแนวทางในการศึกษาสำหรับผู้ท่ีสนใจในเรอ่ื งลักษณะเดยี วกันนี้ 4. เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวขอ้ ง การวิจยั เรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนมาตราตัวสะกดโดยใช้แบบฝกึ การแยกส่วนประกอบ ของคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กับการ ดำเนินการวจิ ัย ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรยี นรู้ ภาษาไทย 1.1 ความจำเปน็ ของการเรยี นภาษาไทย 1.2 การเรยี นร้ใู นภาษาไทย 1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 1.4 ตัวช้วี ดั และสาระการเรียนร้แู กนกลาง ช้นั ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 2. การเขยี นสะกดคำ 2.1 ความหมายของการเขยี นสะกดคำ 2.2 ความสำคญั ของการเขียนสะกดคำ 2.3 สาเหตุและปัญหาการเขียนสะกดคำ 2.4 หลักการสอนเขยี นสะกดคำ 3. แบบฝกึ ทักษะ 3.1 ความหมายและความสำคัญของแบบฝกึ ทักษะ 3.2 ลกั ษณะของแบบฝึกทกั ษะทด่ี ี .3 หลกั การสร้างแบฝึกทักษะ
3 3.4 สว่ นประกอบของแบบฝึกทักษะ 3.5 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ 4. วจิ ยั ท่ีเกยี่ วขอ้ ง 4.1 วิจยั ทเี่ กี่ยวขอ้ งกับการเขียนสะกดคำ 4.2 วจิ ยั ทีเ่ กี่ยวข้องกับแบบฝึกทกั ษะ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 สามารถสรปุ ได้ดังนี้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551 : 1 - 15) 1.1 ความจำเป็นของการเรยี นภาษาไทย ภาษาไทยเปน็ เอกลักษณข์ องชาติเป็นสมบัตทิ างวฒั นธรรมอนั ก่อให้เกดิ ความเป็น เอกภาพและเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อส่ือสาร เพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทำให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และ ดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข และเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพ่ือพัฒนาความรู้ พัฒนากระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังเป็นสื่อ แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสุนทรียภาพ เป็นสมบตั ลิ ำ้ ค่าควรแกก่ าร เรยี นรู้ อนรุ ักษ์ และสบื สานให้ คงอยคู่ ูช่ าติไทยตลอดไป 1.2 การเรียนรู้ในภาษาไทย ภาษาไทยเป็นทกั ษะทีต่ ้องฝกึ ฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสอ่ื สาร การเรยี นรู้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ และเพอื่ นำไปใช้ในชวี ิตจริง โดยมสี าระการเรียนรู้ ดังนี้ 1.2.1 การอา่ น การอ่านออกเสยี งคำ ประโยค การอา่ นบทร้อยแกว้ คำประพนั ธ์ ชนิดต่าง ๆ การอ่านในใจเพื่อสร้างความเข้าใจ และการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ความรู้จากส่ิงท่ีอ่าน เพ่อื นำไปปรบั ใช้ในชวี ติ ประจำวัน 1.2.2 การเขยี น การเขยี นสะกดตามอกั ขรวิธี การเขียนสอ่ื สาร โดยใชถ้ ้อยคำและ รูปแบบต่าง ๆ ของการเขียน ซ่ึงรวมถึงการเขียนเรียงความ ย่อความ รายงานชนิดต่าง ๆ การเขียน ตามจนิ ตนาการ วเิ คราะหว์ จิ ารณ์และเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์ 1.2.3 การฟัง การดู และการพูด การฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ การพูดแสดง ความคิดเห็น ความรู้สึก พูดลำดับเร่ืองราวต่าง ๆ อย่างเป็นเหตุเป็นผล การพูดในโอกาสต่าง ๆ ทัง้ เป็นทางการและไม่เป็นทางการ และการพดู เพอื่ โน้มน้าวใจ 1.2.4 หลกั การใชภ้ าษาไทย ธรรมชาตแิ ละกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใชภ้ าษา ให้ ถูกต้อง เหมาะสมกับโอกาสและบุคคล การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่าง ๆ และอิทธิพลของ ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย
4 1.2.5 วรรณคดแี ละวรรณกรรม วเิ คราะหว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมเพื่อศกึ ษาข้อมลู แนวความคิด คุณค่าของงานประพันธ์และความเพลิดเพลิน การเรียนรู้และทำความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของเด็ก เพลงพ้ืนบ้านท่ีเป็นภูมิปัญญาท่ีมีคุณค่าของไทย ซ่ึงได้ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ค่านิยม ขนบธรรมเนียมประเพณี เรื่องราวของสังคมในอดีต และความงดงามของภาษา เพื่อให้เกิด ความซาบซง้ึ และภูมใิ จในบรรพบุรษุ ทไ่ี ด้สงั่ สมสืบทอดมาจนถงึ ปจั จบุ นั 1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 1 การอา่ น มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิดเพ่ือนำไปใช้ตัดสินใจ แกป้ ญั หาในการดำเนนิ ชีวติ และมนี สิ ัยรักการอ่าน สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เร่ืองราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมี ประสิทธิภาพ สาระท่ี 3 การฟงั การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความรสู้ กึ ในโอกาสตา่ ง ๆ อย่างมวี จิ ารณญาณและสร้างสรรค์ สาระที่ 4 หลกั การใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลง ของ ภาษาและพลงั ของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบตั ิของชาติ สาระที่ 5 วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เห็นคุณค่าและนำมาประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตจริง 1.4 ตัวชวี้ ัด และสาระการเรียนรแู้ กนกลาง ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้แกนกลางตามมาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ในระดบั ชัน้ ประถมศึกษาปีท่ี 2 มีรายละเอยี ด ดงั นี้ สาระที่ 1 การอา่ น มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความร้แู ละความคิดเพ่ือนำไปใช้ตัดสนิ ใจ แก้ปัญหาในการดำเนนิ ชีวิต และมีนิสยั รกั การอ่าน ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรูแ้ กนกลาง 1. อ่านออกเสียงคำ คำคล้องจอง • การอ่านออกเสียงและการบอกความหมายของ ข้อความ และบทร้อยกรองง่ายๆ ได้ คำ คำคล้องจอง ข้อความและบทร้อยกรองง่าย ถกู ตอ้ ง ๆ ทป่ี ระกอบด้วยคำพ้ืนฐานเพิ่มจาก ป.๑ ไม่นอ้ ย 2. อธิบายความหมายของคำ และ กว่า ๘๐๐ คำ รวมท้ังคำที่ใช้เรียนรู้ในกลุ่มสาระ ขอ้ ความทอี่ ่าน การเรยี นรอู้ ืน่ ประกอบดว้ ย
5 ตวั ชวี้ ัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง - คำที่มรี ปู วรรณยุกต์และไมม่ รี ูปวรรณยุกต์ - คำท่ีมีตัวสะกดตรงตามมาตราและไม่ตรงตาม มาตรา - คำที่มพี ยญั ชนะควบกล้ำ - คำที่มอี ักษรนำ - คำที่มตี ัวการันต์ - คำที่มี รร - คำที่มพี ยญั ชนะและสระไม่ออกเสยี ง 3. ต้ังคำถามและตอบคำถามเก่ียวกับ • การอา่ นจบั ใจความจากส่อื ตา่ ง ๆ เช่น เรื่องทอ่ี า่ น - นิทาน 4. ร ะ บุ ใ จ ค ว า ม ส ำ คั ญ แ ล ะ - เรื่องส้นั ๆ รายละเอยี ดจากเรอื่ งทอ่ี า่ น - บทเพลงและบทรอ้ ยกรองง่าย ๆ 5. แสดงความคิดเห็นและคาดคะเน - เร่ืองราวจากบทเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ เหตกุ ารณจ์ ากเร่ืองที่อา่ น ภาษาไทยและกลุ่มสาระการเรียนรูอ้ ื่น - ข่าวและเหตุการณป์ ระจำวนั 6. อา่ นหนังสอื ตามความสนใจ • อา่ นหนงั สอื ตามความสนใจ เช่น อย่างสม่ำเสมอและนำเสนอเร่ืองท่ี - หนังสือทนี่ กั เรียนสนใจและเหมาะสมกับวยั อ่าน - หนังสอื ทคี่ รแู ละนักเรียนกำหนดร่วมกนั 7. อ่านข้อเขียนเชิงอธิบาย และปฏิบัติ • อ่ าน ข้ อ เขี ย น เชิ งอ ธิบ าย แ ล ะป ฏิ บั ติ ห รือ ตามคำส่ัง หรือขอ้ แนะนำ ขอ้ แนะนำ - การใช้สถานที่สาธารณะ คำแนะนำการใช้เครื่องใชท้ ีจ่ ำเป็นในบ้านและในโรงเรยี น 8.มมี ารยาทในการอ่าน • มมี ารยาทในการอา่ น เช่น - ไม่อา่ นเสียงดังรบกวนผอู้ นื่ - ไมเ่ ลน่ กนั ขณะที่อา่ น - ไม่ทำลายหนงั สอื - ไม่ควรแย่งอ่านหรือชะโงกหน้าไปอ่านขณะที่ผู้อ่ืน กำลังอ่านอยู่
6 สาระที่ 2 การเขียน มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียนเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศ และรายงานการศึกษาค้นคว้า อย่างมี ประสิทธิภาพ ตวั ชี้วัด สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 1. คดั ลายมือตวั บรรจงเต็มบรรทัด • การคดั ลายมือตัวบรรจงเตม็ บรรทดั ตามรูปแบบ การเขียนตวั อกั ษรไทย 2เขียนเรื่องสั้นๆ เก่ียวกับประสบการณ์ 3. เขียนเรอื่ งสน้ั ๆ ตามจินตนาการ • การเขยี นเรอื่ งส้ันๆ เกี่ยวกับประสบการณ์ 4. มมี ารยาทในการเขียน • การเขียนเรื่องส้ันๆ ตามจนิ ตนาการ • มีมารยาทในการเขยี น เช่น - เขียนใหอ้ ่านงา่ ย สะอาด ไม่ขีดฆา่ - มีขีดเขียนในที่สาธารณะ - ใช้ภาษาเขียนเหมาะสมกับเวลา สถานที่และ บุคคล - ไมเ่ ขยี นล้อเลยี นผู้อ่ืนหรือทำให้ผู้อืน่ เสียหาย สาระท่ี 3 การฟงั การดู และการพูด มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และความร้สู กึ ในโอกาสตา่ ง ๆ อย่างมวี จิ ารณญาณและสรา้ งสรรค์ ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง 1. ฟังคำแนะนำ คำส่ังทซ่ี บั ซอ้ น และ • การฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำ คำส่ังท่ี ปฏบิ ัตติ าม ซับซอ้ น 2. เลา่ เรือ่ งท่ีฟังและดทู ัง้ ที่เปน็ ความรู้ และความบันเทงิ • การจบั ใจความและพดู แสดงความคดิ เหน็ 3. บอกสาระสำคัญของเรอ่ื งทฟ่ี ังและดู ความรู้สึกจากเร่ืองที่ฟังและดู ทัง้ ที่เปน็ ความรู้ 4. ต้งั คำถามและตอบคำถามเก่ยี วกับ และความบันเทงิ เชน่ เรือ่ งที่ฟงั และดู - เรือ่ งเลา่ และสารคดีสำหรับเด็ก 5. พูดแสดงความคิดเห็นและความรู้สกึ - นทิ าน การต์ ูน และเร่ืองขบขนั จากเร่ืองทีฟ่ ังและดู - รายการสำหรบั เดก็ - ข่าวและเหตุการณป์ ระจำวนั 6. พดู สอ่ื สารไดช้ ดั เจนตรงตาม - เพลง วตั ถุประสงค์ • การพูดส่อื สารในชีวิตประจำวนั เช่น - การแนะนำตนเอง
7 ตัวชวี้ ดั สาระการเรียนร้แู กนกลาง - การขอความช่วยเหลือ - การกล่าวคำขอบคณุ - การกล่าวคำขอโทษ - การพดู ขอร้องในโอกาสตา่ งๆ - การเลา่ ประสบการณ์ในชีวิตประจำวนั 7. มีมารยาทในการฟัง การดู และการ • มารยาทในการฟงั เชน่ พดู - ต้งั ใจฟัง ตามองผพู้ ดู - ไม่รบกวนผอู้ ืน่ ขณะทฟ่ี ัง - ไมค่ วรนำอาหารหรือเครอื่ งดมื่ ไปรับประทาน ขณะท่ีฟงั - ไมพ่ ดู สอดแทรกขณะที่ฟงั • มารยาทในการดู เชน่ - ต้งั ใจดู - ไมส่ ง่ เสียงดงั หรือแสดงอาการรบกวนสมาธิ ของผอู้ นื่ • มารยาทในการพดู เชน่ - ใชถ้ ้อยคำและกริ ิยาทส่ี ุภาพ เหมาะสมกับกาลเทศะ - ใช้นำ้ เสยี งนุม่ นวล - ไม่พดู สอดแทรกในขณะท่ีผอู้ ืน่ กำลงั พูด - ไมพ่ ดู ลอ้ เลียนใหผ้ อู้ นื่ ไดร้ ับความอบั อายหรือ เสียหาย สาระที่ 4 หลักการใชภ้ าษาไทย มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษา และพลงั ของภาษา ภูมปิ ญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบัตขิ องชาติ ตวั ช้วี ดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง • พยัญชนะ สระ และวรรณยุกตเ์ ลขไทย 1. บ อ ก แ ล ะ เขี ย น พ ยั ญ ช น ะ ส ระ วรรณยกุ ต์และเลขไทย • การสะกดคำ การแจกลูก และการอ่านเป็นคำ • มาตราตัวสะกดที่ตรงตามมาตราและไม่ตรง 2. เขยี นสะกดคำและบอกความหมาย ของคำ ตามมาตรา • การผนั อกั ษรกลาง อักษรสงู และอกั ษรตำ่
8 3. เรยี บเรยี งคำเป็นประโยคได้ตรงตาม • คำทม่ี ตี ัวการันต์ เจตนาของการสอ่ื สาร • คำท่มี พี ยญั ชนะควบกล้ำ • คำทมี อี ักษรนำ 4. บอกลักษณะคำคลอ้ งจอง • คำที่มคี วามหมายตรงข้ามกัน • คำท่ีมี รร 5. เลือกใชภ้ าษาไทยมาตรฐานและ • ความหมายของคำ ภาษาถนิ่ ได้เหมาะสมกับกาลเทศะ • การแตง่ ประโยค • การเรยี บเรยี งประโยคเป็นข้อความสน้ั ๆ • คำคล้องจอง • ภาษาไทยมาตรฐาน • ภาษาถ่ิน สาระที่ 5 วรรณคดแี ละวรรณกรรม มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอย่าง เหน็ คุณคา่ และนำมาประยุกต์ใช้ในชีวติ จรงิ ตัวช้ีวัด สาระการเรยี นรูแ้ กนกลาง 1. ระบขุ ้อคดิ ทไ่ี ด้จากการอ่านหรือ • วรรณกรรมร้อยแก้วและร้อยกรองสำหรับเด็ก การฟงั วรรณกรรมสำหรับเด็ก เพื่อ เชน่ นำไปใชใ้ นชวี ิตประจำวัน - นทิ าน - เรื่องสัน้ ง่ายๆ - ปริศนาคำทาย - บทอาขยาน - บทร้อยกรอง - วรรณคดีและวรรณกรรมในบทเรียน 2. รอ้ งบทร้องเล่นสำหรับเดก็ ในทอ้ งถนิ่ • บทรอ้ งเลน่ ทีม่ คี ุณคา่ - บทรอ้ งเลน่ ในทอ้ งถนิ่ - บทรอ้ งเลน่ ในการละเลน่ ของเด็กไทย 3. ท่องจำบทอาขยานตามท่ีกำหนด • บทอาขยานและบทร้อยกรองท่ีมีคุณคา่ และบทร้อยกรองทีม่ ีคณุ ค่าตามความ - บทอาขยานตามทีก่ ำหนด สนใจ - บทรอ้ ยกรองตามความสนใจ
9 จากหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สรุปได้ว่า ภาษาไทยนั้นมีความสำคัญ ต่อการดำรงชวี ิต เนื่องจากภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการเรียนรู ดังน้ันคนไทยจะตองศกึ ษาหลักเกณฑ์ ทางภาษา และฝกฝนใหเกิดทักษะ โดยเฉพาะทักษะการอ่าน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถใช้ทักษะการอ่าน ไปต่อยอดทักษะอื่น ๆ ได้ เช่น ทักษะการเขียน ทักษะการฟัง ทักษะการดู และทักษะการพูด และเพ่ือให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนักเรียนชั้นประถมศึกษาชั้นปีท่ี 2 นัน้ ควรมีทกั ษะพื้นฐานที่ดใี นด้านการเขยี นสะกดคำ ดังน้ัน การวิจัยคร้ังนี้ผูว้ ิจัยจึงเลือกเนื้อหาในสาระ การเรียนรู้แกนกลางเก่ียวกับการเขียนและหลกั ภาษาไทย ซึ่งสอดคลองกับตัวชี้วัดในชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 ดงั นี้ ท 4.1 ป.1/2 การเขียนสะกดคำและบอกความหมายของคำ 2. การเขียนสะกดคำ 2.1 ความหมายของการเขียนสะกดคำ พจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (2646 : 1149) ให้ความหมายของการเขียน สะกดคำไวว้ ่า หมายถึงการ เขยี นคาํ คาํ หนึ่งคำใดอันประกอบด้วยพยญั ชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด และตัวการนั ตไ์ ด้ถกู ต้องตาม พจนานุกรมฉบบราชบณั ฑติ ยสถาน นอกจากน้ีมผี ใู้ ห้ความหมายของการ เขียนสะกดคำไว้ อาทิ ณัฐกานต์ ชาติเพชร (2549 : 25-26) กล่าวไวว้ า่ การเขยี นสะกดคำ หมายถงึ ความสามารถใน การเขียนสะกดคำ โดยเรียงพยัญชนะ สระ วรรณยกุ ต์ และตัวสะกดการันตไ์ ด้ถกู ต้องตามหลักภาษา และเป็นคำทถี่ ูกต้องตามหลกั พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พุทธศักราช 2542 และสอื่ ความหมายได้ถกู ตอ้ ง กดู๊ (Good 1973 : 383) กล่าวถงึ การเขยี นสะกดคำไวว้ า่ คือวธิ ีการจำตวั อักษรไดเ้ กิดจาก การ ใช้ส่ือหรืออักษรเป็นตวั ๆ ไป และเชอ่ื มเข้ากันเปน็ เสียงคำ ๆ หนงึ่ ทุกคนยอมรับ เมรี งา้ วทอง (2555 : 35) กลา่ วว่า การเขยี นสะกดคาํ เปน็ ศิลปะการเขียนทสี่ ำคญั มาก มี วธิ ีการเขยี นโดยเรยี งลำดับพยัญชนะ สระ และวรรณยุกตไ์ ว้ด้วยกนั ใหเปนคาํ ทถ่ี กู ตองตามหลักเกณฑ ทางภาษา สามารถส่ือความหมายใหเขาใจได้และมีความหมายตรงกับพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ สถาน พุทธศักราช 2542 เพ่ือจะได้อ่านออกเสียงได้ชัดเจน เขียนได้ถูกต้อง และมีความหมาย สามารถส่ือสารกนั ไดอยางเขาใจในสังคมผู้ใช้ภาษาเหลานน้ั วรรณี โสมประยูร (2544 : 156) ไดใ้ ห้ความหมายของ การเขยี นสะกดคำไว้วา่ การเขยี น สะกดคำหมายถงึ วิธเี ขียนคำโดยเรยี งลำดบั ตวั อกั ษรภายในคำหน่งึ ๆ เพื่อออกเสียงได้ชดั เจนและสอ่ื ความหมายได้ตามทีผ่ ู้เขยี นตอ้ งการ จากความหมายข้างตน้ สรุปได้ว่า การเขยี นสะกดคำ คอื การเขียนคำโดยเรยี งพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ และตัวสะกดได้ถูกตอ้ งตามอักขรวธิ ี ถกู ต้องตรงตามหลกั เกณฑข์ องหลกั ภาษา และถกู ต้อง ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน รวมท้งั สามารถเขียนส่อื สารในชวี ิตประจำวนั ได้ 2.2 ความสำคญั ของการเขียนสะกดคำ ปิยวรรณ สงั ขจ์ นั ทร์เพชร (2548 : 18) ได้กล่าวถงึ การเขยี นสะกดคำนนั้ วา่ เปน็ ทกั ษะการ เขียนทสี่ ำคญั ยง่ิ ท่ีครผู สู้ อนภาษาไทยทุกคนควรใหน้ ักเรยี นมกี ารฝึกฝนต้งั แตเ่ รมิ่ เรียน และปลูกฝังการ
10 เขียนสะกดคำทถ่ี กู ตอ้ งให้กับนักเรียนเพ่ือใหน้ กั เรียนมคี วามมนั่ ใจในการเขยี นสะกดคําใหถ้ กู ตอ้ ง และ สามารถนำไปใช้ประโยชน์จากการเขียนไปใชใ้ นวิชาอืน่ ๆ ไดอ้ ย่างมีประสิทธภิ าพ กาํ ชัย ทองหลอ่ (2543 : 160) ได้กล่าววา่ ตัวอักษรเป็นสญั ลกั ษณท์ ่ใี ช้แทนเสียงพูด เพราะฉะน้ันการเขยี นคำจงึ นบั เปน็ ความสำคญั ส่วนหน่ึงของการใชภ้ าษา การเขยี นสะกดคำผิดทำให้ ความหมายเปล่ยี นไปหรอื อาจจะไม่มคี วามหมายเลยกไ็ ด้ อรทัย นุตรดษิ ฐ์ (2540: 11) ไดก้ ลา่ วถึง ความสำคัญของการเขยี นสะกดคำว่า การเขียน สะกดคำใหถ้ ูกตอ้ ง นอกจากจะมผี ลดีตอ่ การส่ือความหมายระหว่างผู้เขียนกบั ผู้อา่ นแลว้ ยังมผี ลต่อ การประเมินคณุ ค่าของผูอ้ ่านท่มี ตี ่อผูเ้ ขยี นด้วย เนอื่ งจากการเขยี นสะกดคำน้นั เปน็ สว่ นหนึ่งของการ เขยี น ผู้เขยี นตอ้ งมคี วามประณตี และรับผดิ ชอบในงานเขยี นของตนเอง ขจดั งานเขียนลงให้เหลอื น้อย ท่สี ดุ โดยการเขยี นสะกดคำให้ถูกต้องตามอกั ขรวิธี พรชนา พรหมหิตาทร (2542 : 12) ไดก้ ลา่ วถึงความสาํ คญั ของการเขียนสะกดคําว่า การ เขียนสะกดคําหรือการเขียนสะกดการันต์เป็นส่ิงสําคัญมาก เพราะนอกจากจะสื่อความหมายได้ถูก ต้องแล้วยังจะช่วยให้เกดิ ผลดีต่อผู้เขยี นขอ้ ความน้นั ไดถ้ กู ต้องและผู้เขยี นก็เกิดความมั่นใจในตัวเอง สามารถอธบิ ายและถ่ายทอดแนวคดิ ให้ผู้อ่ืนเขาใจได้รวดเรว็ ถกู ต้อง จากความสำคัญของการเขยี นสะกดคำดังกลา่ ว จะเหน็ ได้ว่าข้อบกพร่องทีพ่ บเหน็ ในการเขียน สะกดคาํ มคี วามสำคญั ต่อการเขียนสะกดคำเป็นอันมาก เพราะถ้าเขยี นผิดทำใหเ้ กิดการเข้าใจผดิ ใน การส่ือความหมาย และทำให้การสอ่ื สารไมส่ ัมฤทธ์ิผล 2.3 สาเหตแุ ละปญั หาในการเขียนสะกดคำ สุทธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (2545 : 290-331) ได้ให้ความเห็นเก่ียวกับสาเหตุของการเขียนสะกด คำผิดไว้ดงั น้ี 1. เขียนผดิ เพราะไมท่ ราบความหมายของคำ คำในภาษาไทยเรามีเสียงที่ตรงกันมากแต่สะกด การันต์ต่างกัน และมีความหมายต่างกัน เมื่อเป็นเช่นน้ีอาจจะทำให้ผิดในเร่ืองสะกดการันต์ได้ง่าย ถ้า หากจำเสียงโดยไม่พิจารณาความหมายเฉพาะของคำนัน้ เช่น มเี สยี ง (พัน) เสียงเดยี วอาจจะเขยี นเป็น พัน พรรณ พันธ์ พันธุ์ ภัณฑ์ พรรค์ เหลา่ น้ีเป็นต้น ซ่ึงแต่ละคำมีความหมายต่างกัน หากใครไม่เคยได้ ยินคำว่า “ครุภัณฑ์” และไม่ทราบความหมายของคำนี้มาก่อน อาจจะเขียน ผิดเป็นครุพันหรือ ครุ พันธก์ ็ได้ 2. เขียนหนังสือผิดเพราะใช้แนวเทียบผิด คำบางคำเม่ือจะเขียนผู้เขียนไม่มั่นใจมักจะนึก เทียบเคียงกับคำอื่น ๆ ซ่ึงเคยรู้มาแล้วเป็นอย่างดี วิธีการเช่นน้ีเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เขียนหนังสือผิด เพราะคำบางคำมีความหมาย หรือรูปศัพท์ตลอดจนหลักภาษาต่างกัน เราใช้กฎอันเดียวกันไม่ได้ คำ พวกนี้จึงควรพิจารณาจดจำเป็นคำไป เช่น แกงบวด มักเขียนเป็น แกงบวช เพราะใช้เทียบกับคำว่า บวช เปน็ ต้น 3. เขยี นผดิ เพราะออกเสียงผิด คำบางคำ บางคนออกเสียงไม่ตรง หรือออกเสียงไม่ชดั เลยติด นิสัยเม่ือเขียนเลยผิดด้วย แต่ค าบางคำคนส่วนมากออกเสียงอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ตรงกับรูปที่เขียนตาม พจนานุกรม พวกหลังนี้นับเป็นสิ่งแก้ยาก อาจจะถือว่าเป็นเพราะพจนานุกรมรักษาการจนไม่เอื้อเฟ้ือ ตอ่ ผใู้ ชภ้ าษากไ็ ด้ เชน่ ขะมกั เขม้น เขยี นผิดเปน็ ขะมักเขมน้ เปน็ ตน้
11 4. เขียนผดิ เพราะมีประสบการณ์ผดิ การเขียนผิด เพราะมีประสบการณ์ผิด กลา่ วคือเคยเห็น คำนัน้ ๆ มาจนเคยชนิ และเปน็ คำท่ีใช้กันผิดเสมอจนจำไดต้ ิดตา อาจจะเห็นหนงั สือพิมพ์หรือส่ิงพิมพ์ อ่ืน ๆ เช่น ในบัตรเชิญ ประกาศโฆษณา แจ้งความ ฯลฯ ควรจะพิจารณาอย่าใช้ตามโดยไม่ได้ศึกษา ความจริง เช่น อนุญาต เขยี นผิดเปน็ อนญุ าติ เปน็ ต้น 5. เขียนหนังสือผิดเพราะไม่รู้หลักภาษา หลักภาษานับเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเรียน ภาษา การท่ีจะเรียนโดยไม่รู้หลักนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เน่ืองจากหลักภาษาไทยมีข้อยกเว้นมากมาย จึง ควรได้ตระหนักในข้อนี้ โดยเฉพาะการเขียน เช่น หลักการ ประวิสรรชนีย์ คำที่มาจากภาษาบาลี สันสกฤต ภาษาเขมร หลักการใช้ ศ, ษ, ส หลกั การใช้ รร หลกั การใช้ บรร, บัน เป็นตน้ เพ็ตตี้ (Petty 1980) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ท่ีมีต่อความสามารถในการเขียน สะกดคํา เช่น ความสามารถในการอ่าน การฟัง การพูด เจตคติท่ีมีต่อการสะกดคํา ความเอาใจใส่ใน การเรียน สุขภาพทั่ว ไป และความสามารถพเิ ศษของแต่ละคน องค์ประกอบเหล่าน้จี ะมีผลกระทบตอ่ ความสามารถทางการเขียนสะกดคาของนักเรียนทั้งส้ิน สอดคล้องกับวรรณีโสมประยูร (2544 : 157) สรุปสาเหตขุ องการเขียนผิดไว้ดงั นี้ 1) นักเรียนมปี ระสบการณ์เกี่ยวกบั คาํ ผิดโดยเหน็ แบบอย่างท่ีสะกดผิด 2) นักเรียนไม่รู้จักหลักภาษา เช่น ไม่รู้จักมาตราตัวสะกดหลัก สะกดการันต์หลักการผัน วรรณยุกต์ หลักมาตราตัวสะกดอ่นื ๆ 3) นักเรยี นไม่ทราบความหมายเพราะคําไทยมีคําพ้องเสยี ง ทำใหค้ วามหมายสบั สน 4) นักเรียนฟงั ไม่ชดั เพราะคำไทยมีคําควบกล้ำ 5) นักเรียนไม่สามารถถ่ายทอดคำตามเสียง คําท่ีมาจากภาษาอังกฤษซ่ึงเขียนแตกต่างจาก เสียงได้ 6) นกั เรียนใชค้ าํ ทม่ี ี ร ล ไม่ถูกตอ้ ง พัชรีวร จรัสรังสี (2542 : 52) กล่าวว่า สาเหตุท่ีทำให้นักเรียนสะกดคำผิดน้ัน มีหลาย ประการบาง สาเหตุมาจากตัวของนักเรียน บางสาเหตุมากจากตัวผูส้ อน ครผู ู้สอนอาจจะละเลยทักษะ กาเขียน เพราะเห็นว่าใช้เวลามาก ตรวจลำบากต้องใช้เวลานานในการตรวจ ทำให้ตัดทักษะทางกา เขียนออกไปให้น้อยลง นักเรียนจึงขาดประสบการณ์และขาดความเช่ียวชาญในการเขียน ในบาง โรงเรียนไม่ได้กำหนดการฝึกการเขียนการสะกดคำไว้ในตารางอย่างชัดเจน ทำให้ครูผู้สอนไม่ได้ฝึก ทกั ษะการเขียนสะกดคำใหก้ ับนักเรยี น ทำให้นกั เรยี นเขยี นสะกดคำผิดจำนวนมาก วลิ าวัณย์ สภุ ิรักษ์ (2550 : 20 -21) กลา่ วว่า การเขียนสะกดคำ เกิดจากผู้เขียนเปน็ สำคัญ ซึ่ง ส่วนใหญ่เกิดจากการขาดการสังเกต ขาดการฝึกฝน มีความรู้ความเข้าใจในหลักการทางภาษาที่ไม่ดี พอ ตลอดจนมีความไม่ระมัดระวัง ในเร่ืองของการเขียนสะกดคำให้ถูกต้องตามความหมายของคำ น้นั ๆ จนเกดิ ความเคยชนิ ในการเขียนสะกดคำ ประญัติ บุญมาลา (2548 : 21) ไดก้ ล่าวถึงสาเหตุของการสะกดคำผิดไว้ดงั น้ี 1. นกั เรยี นไม่มีประสบการณ์เกีย่ วกับคำนนั้ เช่น ไมเ่ คยพดู ไมเ่ คยเหน็ ไมเ่ คยเขียน 2. นักเรยี นไมร่ ู้หลกั การใช้ภาษา เช่น หลักการเขียนคำทปี่ ระและไมป่ ระวสิ รรชนีย์ หลกั การใช้ศ ษ ส หลกั การใช้ตัวการันต์ หลกั การผนั วรรณยุกต์ หลกั การใช้ ไ- ใ- อยั ไ-ย หลักการใช้ มาตราตวั สะกด
12 3. นักเรยี นไม่ทราบความหมายของคำนนั้ ๆ เชน่ คำพอ้ งเสียง 4. นกั เรียนฟงั ไม่ชัด เชน่ คำควบกล้า คำท่ีมอี ักษรนำ คำทม่ี ี ร ล 5. นักเรยี นใชห้ ลกั การเทียบผิด เชน่ สาเหตุ กบั สงั เกต ญาติ กบั อนุญาต 6. นกั เรยี นไม่คุ้นเคยกบั คำทม่ี าจากภาษาอน่ื ๆ เช่น ปรารถนา ทกั ษณิ นิวเคลยี ร์ จากการศึกษาข้างตน้ เห็นได้ว่า สาเหตุของการเขยี นสะกดคำผดิ น้นั มสี าเหตุมาจากนักเรยี น เขียน สะกดคำผิด เนื่องจากความไม่แม่นยำในหลักเกณฑ์ทางภาษา รวมถึงนักเรียนไม่ทราบ ความหมายของคำที่ใช้อย่างแท้จริง หรือคำบางคำทน่ี ักเรยี นไม่ม่ันใจว่าเขียนอย่างไร ก็มกั จะใช้วิธีการ นึกเทียบเคียงกับคำอื่น ๆ ซ่ึงเคยรู้มาแล้ว และอาศัยการใช้แนวเทียบจากคำใกล้เคียงจึงทำให้เขียน สะกดคำผิด อกี ท้ังคำบางคำ คนส่วนมากออกเสยี งอย่างหนึง่ ซึ่งไมต่ รงกบั รูปท่ีเขียนตามพจนานกุ รมซ่ึง เป็นสาเหตุของการเขียนผิด เพราะออกเสียงผิดตลอดจน สภาพแวดล้อมอื่น ๆ เช่น การใช้ ภาษาต่างประเทศในภาษาไทยที่นักเรียนได้รับรู้มาอย่างไม่ถูกต้อง จนเกิดการจดจำแบบผิด ๆ และ ไม่ไดร้ บั การแก้ไขจากครูผ้สู อนอย่างจรงิ จัง 2.4 หลักการสอนเขียนสะกดคำ พนมวัน วรดลย์ (2542 : 36) ไดเ้ สนอแนะกจิ กรรมการเรียนการสอน เร่ือง การสะกดคำไว้ ดงั นี้ 1. เลือกคำจากประมวลคำในหนงั สือประกอบการเรียนมาเป็นหลกั ในการฝกึ 2. เลือกคำที่นกั เรียนพบ และใชใ้ นชวี ิตประจำวัน ฝกึ ฟัง พูด อา่ น เขียนไปพรอ้ ม ๆกัน 3. เลือกฝึกคำที่มีในประมวลคำอ่านในหนังสือประกอบการเขียนคำง่าย ๆ ที่สะกดในมาตรา แม่ ก กา มาฝึกกอ่ น 4. ใชข้ องจริง กริ ิยาทา่ ทาง ภาพ และคำอธบิ าย เพื่อให้รู้ความหมาย 5. เลน่ ปรศิ นาคำทาย โดยใช้คำเกา่ เป็นพนื้ ฐาน 6. เรียนรู้คำใหม่ ๆ โดยใชค้ ำเกา่ เปน็ พน้ื ฐาน 7. ฝกึ ต่อคำ เตมิ คำ เพอื่ ให้ได้คำใหม่ 8. ให้ฟัง พดู อ่าน เขียนด้วยการฝึกด้วยตนเอง 9. ให้คิดหาคำเพมิ่ จากคำทกี่ ำหนดให้ด้วยตนเอง 10. หาคำตอบไว้ด้วยตนเอง เมื่อปฏิบัติครบข้ันตอน โดยอาจใช้การบอก การแสดงกิริยา ท่าทาง การเขยี น และการตัง้ คำถาม 11. กิจกรรมเน้นจากรูปแบบง่าย ๆ ไปหายาก โดยเร้าความสนใจปฏบิ ัติดว้ ยตนเองดว้ ยความ สนกุ สนาน และใช้วิธกี ารหลากหลายไมซ่ ้ำวธิ กี ารเดมิ ทัศนีย์ ศุภเมธี (2542 : 39) ได้เสนอแนะกิจกรรมการสอนเขียนสะกดคำที่ครูสามารถจัดทำ ได้ ดังนี้ 1. ครนู ำบทความ หรอื หนังสือมาใหน้ กั เรยี นอ่านก่อนในเวลาท่ีกำหนดแล้ว ครู เลือกคำในนั้นมา บอกให้เขยี นอกี ทหี น่งึ 2. ครูและนกั เรียนร่วมกนั ทำบญั ชีคำยากในบทเรียน ตดิ ไว้ทีแ่ ผนภมู แิ ลว้ หลังจาก น้ันคอ่ ยให้นกั เรียนเขยี น
13 3. ครูแตง่ ประโยคทมี่ ักประกอบไปด้วยคำท่ีมักสะกดผิดแล้ว เขยี นเส้นใตค้ ำนน้ั ให้ นกั เรยี นแก้ 4. แบ่งนักเรยี นออกเป็นกลมุ่ และใหห้ าคำพอ้ งเสียงจากพจนานุกรม วิภา รอดสุด (2542 : 13) ไดก้ ลา่ วถึงวธิ ีการสอนเขียนสะกดคำไวว้ ่า การสอนเขียนสะกดคำ มีวิธที ี่ หลากหลาย ครสู ามารถเลอื กใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั นักเรียนหลายวธิ ีดว้ ยกนั ทง้ั นขี้ ้ึนอยูก่ บั ความ เหมาะสมซ่ึงครจู ะเป็นผู้พจิ ารณาจดุ ประสงค์เพ่ือให้นกั เรียนสนใจ และสนุกสนานไม่เบ่ือหน่ายในการ เรียน มีความสามารถในการเขยี นสะกดคำสงู ข้นึ สุจติ ตรา แก้วโต (2545 : 20) กล่าววา่ หลกั การและเทคโนโลยีการสอนเขยี นสะกดคำนัน้ เป็น สิ่งสำคญั ทีค่ รูผสู้ อนภาษาไทยควรจะไดน้ ำมาใช้เพ่ือฝึกฝนให้นกั เรียนเขียนสะกดคำไดถ้ ูกต้อง ซง่ึ อยู่ใน ดุลยพินิจและ ศิลปะของผู้สอนท่ีจะใช้เทคนิควิธีการสอนหลาย ๆ รูปแบบ เพ่ือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิด ความสนใจไม่เบ่ือหน่ายต่อ การเขียนสะกดคำ โดยสอนไปเป็นตามลำดับขั้นตอน เริ่มจากการเห็น ลักษณะภาพรวมของคำนัน้ กอ่ นแล้ว จึงค่อยๆ ต่อใหย้ ากขึ้น ขั้นการอ่านสะกดคำ จดจำคำน้นั ให้ได้ว่า มีลักษณะการเรียงพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์อย่างไรบ้าง จึงเขียนคำทบทวน และตรวจสอบความ ถูกต้องอีกคร้ังหนึ่ง โดยใช้พจนานุกรมหรือบัตรคำท่ีครูเตรียมให้ นอกจากนั้นวิธีการสอนโดยกิจกรรม ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการแสดงออกมาก ๆ เช่น แบ่งกลมุ่ แข่งขันสะกดคำ เล่นเกมต่าง ๆ คน้ หาคำมา แลกเปลี่ยนกัน นำคำท่ีมักเขียนผิดมาเขียนเป็นประโยคเรียบเรียงเป็นเร่ืองราวมาเขียน ตามคำบอก กจิ กรรมตา่ ง ๆ เหลา่ น้ีจะช่วยใหก้ ารเขยี นสะกดคำมปี ระสิทธภิ าพยิง่ ขน้ึ ฐะปะนยี ์ นาครทรรพ (2545 : 55-56) และคงิ (King. 1965 : 15) ได้เสนอแนะวิธกี ารสอน เขียนสะกดคำไว้ในทำนองเดยี วกนั ดงั นี้ 1) กอ่ นสอนครคู วรพูดจูงใจใหน้ ักเรยี นเห็นความสำคัญของการเขียนหนงั สือให้ ถูกต้องชัดเจนว่าการเขียนหนงั สอื ที่ถูกตอ้ งชัดเจนเปน็ การแสดงว่า ผู้เขยี นเป็นผมู้ ีการศึกษาดใี ครอ่าน ข้อความนั้น ๆ กเ็ ขา้ ใจงา่ ยไมม่ กี ารเข้าใจผดิ และควรอธิบายใหเ้ ขา้ ใจประโยชนท์ ่ีจะไดจ้ ากการเขยี น แตล่ ะประเภทดว้ ย 2) พยายามสอนใหก้ ารเขียนสัมพนั ธก์ บั การฟังการพูด และการอ่าน คอื กอ่ นที่จะ เขยี นสงิ่ ใดควรเริ่มตน้ ด้วยการฝึกใหร้ ้จู ักการฟังเสียก่อนแล้วจึงเขยี น เช่น ฟังคำถามแลว้ เขียนตอบให้ ตรงคำถาม เก็บส่งิ ท่ีไดจ้ ากการฟงั ไปเขียน ใหน้ ักเรยี นอ่านหรอื ค้นควา้ เพิ่มเติมจากหนังสือในห้องสมุด มาเขยี น 3) ในกรณที ี่นกั เรียนสะกดผิดพลาด ควรหาวธิ แี ก้โดยรวบรวมคำที่ นักเรยี นมกั สะกด ผดิ เสมอๆ เขยี นบนกระดานดำ หรอื บัตรคำ มีการแข่งขนั สะกดคำและทดสอบเป็นระยะ เปน็ การช่วย ให้นกั เรยี นร้จู กั ระวังตัวมิใหเ้ ขียนผดิ 4) การจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ให้ทำหนังสอื เขยี นสำหรับช้นั หรือประกวดเขยี น นิทาน ประกวดเขียนเรื่องที่ไดป้ ระสบมาดว้ ยตนเอง กเ็ ป็นการส่งเสริมทกั ษะการเขยี นของนักเรียน 5) ในการสอนวชิ าตา่ ง ๆ ควรมกี ารบรู ณาการ เพอื่ ช่วยกันหรอื ร่วมมอื กนั สอนให้ทุก วิชาสมั พนั ธ์กนั โดยใชเ้ นอ้ื หาวิชาอ่นื สำหรบั ฝึกทกั ษะการเขียน การฝึกให้มีความสามารถในการเขยี น สะกดคํา ซ่ึงมี 6 ข้ันตอนดังน้ี 1) การตรวจสอบ (Examine) ได้แก่ การตรวจสอบคำท่ีให้นักเรียน สะกดอยา่ งระมัดระวัง เช่น คําที่มีอปุ สรรค (Prefix) และคำที่มปี จั จยั (Suffix) แล้วบันทึกไว้ 2) การ
14 ออกเสียง (Pronounce) ได้แก่ การออกเสยี งคำท่จี ะเขยี นให้ถกู ต้อง 3) การสะกดคาํ (Spell) ไดแ้ ก่ การฝึกหดั สะกดคำที่จะเขยี นดว้ ยปากเปลา่ โดยออกเสียงดงั ๆ ทำเช่นนหี้ ลายๆ ครง้ั 4) การเขียน (Write) ไดแ้ กก่ ารฝึกเขยี นคำที่สะกดน้นั ๆ 8 - 10 ครง้ั แลว้ ตรวจ 5) ใช(้ Use) นาํ คำทเ่ี ขยี นสะกดคำ มาแตง่ ประโยค 6) ทบทวน (Review) ทบทวนคำทเ่ี ขยี นสะกดคำแต่ละคํา ในโอกาสต่อไป จากหลักการสอนเขยี นสะกดคำดังกลา่ วพบว่า การทจ่ี ะใหน้ ักเรียนสามารถเขียนสะกดคำได้ ถูกต้องน้ันครผู ้สู อนตอ้ งใชก้ ลวิธีการสอนหลายวธิ ี เพื่อเร้าความสนใจให้นักเรียนเขยี นสะกดคำอย่าง สนุกสนาน มคี วามตั้งใจทจ่ี ะฝกึ ทักษะการเขียนสะกดคำและใหน้ กั เรียนทราบถึงความสำคัญในการ เขยี นสะกดคำใหถ้ กู ต้อง เปดิ โอกาสใหไ้ ด้ฝกึ ฝนเขยี นคำยากเหล่านน้ั บ่อย ๆ จงึ จะทำใหน้ กั เรียนจดจำ คำเหล่านน้ั ได้และเขียนถูกตอ้ ง 3. แบบฝกึ ทักษะ 3.1 ความหมายและความสำคญั ของแบบฝึกทักษะ นกั การศึกษาหลายทา่ นได้ใหค้ วามหมายของแบบฝึกทกั ษะ ไวด้ งั นี้ สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53) ได้สรุปความสำคัญของแบบฝึก ทักษะว่า แบบฝึกทักษะมีความสำคัญต่อผู้เรียนไม่น้อย ในการที่จะช่วยส่งเสริมสร้างทักษะให้กับ ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น กว้างขวางขึ้น ทำให้การสอนของครู และการเรยี นของนักเรียนประสบผลสำเรจ็ อย่างมีประสทิ ธิภาพ กาญจนา ชลเกริกเกียรติ (2561 : 28) ได้สรุปความหมายและความสำคัญของแบบฝึกว่า แบบ ฝึกทักษะ หมายถึง ชุดฝึกทักษะที่ครูสร้างข้ึนให้นักเรียนได้ทบทวนเน้ือหาท่ีเรียนรู้มาแล้ว เพื่อสร้าง ความเข้าใจ และช่วยเพิ่มทักษะความชำนาญและฝึกกระบวนการคิดให้มากข้ึน ทำให้ครูทราบความ เข้าใจของนกั เรยี นท่ีมตี ่อบทเรยี น ฝกึ ใหเ้ ดก็ มีความเช่ือมั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได้ ท้ังยัง มีประโยชนช์ ่วยลดภาระการสอนของครู และยงั ชว่ ยพัฒนาตามความแตกตา่ ง อัจฉรา ศรธี ารา (2562 : 23) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกว่า แบบฝึก หมายถึง ส่ิงท่สี รา้ งขึ้น เพ่ือเสริมสร้างทักษะให้แก่นักเรียน มีลักษณะเป็นแบบฝึกหัด ให้นักเรียนได้กระทำกิจกรรม โดยมี จดุ มุ่งหมายเพอื่ พฒั นาความสามารถของนักเรยี นให้ดีขนึ้ บรัสกร คงเปี่ยม (2561: 26) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกว่า แบบฝึกหรือแบบฝกึ หัด เป็นส่ือ การเรียนการสอนชนิดหนึ่ง ท่ีชว่ ยให้นักเรียนเกดิ ความรู้ ความเขา้ ใจ โดยกิจกรรมที่ได้ปฏิบัติ ในแบบ ฝึกทักษะ ครอบคลุมในเน้ือหาท่ีไดเ้ รยี นไปแล้ว จะทำให้นักเรียนมีความรู้และมีทกั ษะมากขึ้น เพราะมี รูปแบบหรือลักษณะที่หลากหลาย ฝึกกระทำด้วยตนเอง จนเกิดทักษะหรือความชำชาญเพิ่มข้ึน หลงั จากได้เรยี นร้เู นอื้ หาสาระในบทเรียนแลว้ ชว่ ยใหน้ กั เรยี นแก้ไขขอ้ บกพร่องทางการเรียน จากความหมายและความสำคัญของแบบฝึก ท่ีได้กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า แบบฝึก หมายถึง งาน กิจกรรม เครื่องมือหรือสื่อการเรียนการสอนอย่างหน่ึงที่สร้างขึ้น ประกอบด้วยกิจกรรมท่ี หลากหลาย น่าสนใจท่ีมุ่งให้นักเรียน ได้นำมาใช้ฝึกฝน ปฏิบัติ เพื่อทบทวนเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ ท่ี เรียนมาแล้ว ทำให้เปล่ียนแปลงพฤติกรรมการเรียนรู้ เกิดความชำนาญและความแม่นยำ ซ่งึ จะเปน็ ไปโดยอตั โนมัติ
15 3.2 ลกั ษณะของแบบฝกึ ทกั ษะทด่ี ี แบบฝึกเป็นเคร่ืองมือที่สำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้แก่ผู้เรียน การสร้างแบบฝึกให้มี ประสิทธิภาพ จึงจำเป็นจะต้องศึกษาองค์ประกอบและลักษณะของแบบฝึก เพื่อใช้ให้เหมาะสมกับ ระดบั ความสามารถของนกั เรียน สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60 - 61) ได้สรุปลักษณะของแบบฝึกท่ีดีว่า ควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุมความสอดคล้องกับ เน้อื หา รปู แบบน่าสนใจ และคำสงั่ ชดั เจน และไดส้ รปุ ลักษณะของแบบฝึก ไว้ดงั น้ี 1. ใช้หลกั จิตวทิ ยา 2. สำนวนภาษาไทย 3. ใหค้ วามหมายตอ่ ชีวิต 4. คิดไดเ้ ร็วและสนกุ 5. ปลกุ ความนา่ สนใจ 6. เหมาะสมกับวยั และความสามารถ 7. อาจศึกษาได้ด้วยตนเอง และไดแ้ นะนำใหผ้ ู้สรา้ งแบบฝึกให้ยึดลกั ษณะของแบบฝกึ ไวด้ ังน้ี 1. แบบฝึกหัดท่ีดี ควรมีความชัดเจนทั้งคำส่ังและวิธีทำคำส่ังหรอื ตัวอย่าง วิธีทำท่ีใช้ ไม่ควรยาวเกินไป เพราะจะทำให้เข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียน สามารถศกึ ษาดว้ ยตนเองได้ถ้าต้องการ 2. แบบฝึกหัดที่ดี ควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดมุ่งหมายของการฝึก ลงทุนนอ้ ยใช้ไดน้ าน ๆ และทนั สมัยอยเู่ สมอ 3. ภาษาและภาพท่ีใช้ในแบบฝึกหัด ควรเหมาะสมกับวัยและพ้ืนฐานความรู้ ของผู้เรียน 4. แบบฝึกหัดท่ีดี ควรแยกฝึกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเร่ืองไม่ควรยาวเกินไป แต่ควรมี กิจกรรมหลายรูปแบบ เพ่ือเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหน่ายในการทำ และเพ่ือฝึก ทักษะใดทกั ษะหนง่ึ จนเกิดความชำนาญ 5. แบบฝึกหัดที่ดี ควรมีทั้งแบบกำหนดให้โดยเสรี การเลือกใช้คำ ข้อความหรือ รูปภาพในแบบฝึกหัด ควรเป็นส่ิงที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความในใจของนักเรียน เพ่ือว่า แบบฝึกหัดที่สร้างขึ้นจะไดก้ ่อให้เกดิ ความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผใู้ ช้ ซ่ึงตรงกับหลกั การเรยี นรไู้ ด้เร็ว ในการกระทำทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความพึงพอใจ 6. แบบฝึกหัดที่ดี ควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาด้วยตนเอง ให้รู้จักค้นคว้า รวบรวมส่ิงที่พบเห็นบ่อย ๆ หรือท่ีตนเองเคยใช้ จะทำให้นักเรียนสนใจเรื่องน้ัน ๆ มากยิ่งขึ้น และจะรู้จักความรู้ในชีวิตประจำวันอย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่า สิ่งท่ีเขาได้ฝึกฝนน้ัน มีความหมายตอ่ เขาตลอดไป 7. แบบฝึกหัดที่ดี ควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผเู้ รียนแต่ละคนมีความ แตกต่างกันหลาย ๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญา และ ประสบการณ์ ฉะนั้นการทำแบบฝึกหัดแต่ละเร่ือง ควรจัดทำให้มากพอและมีทุกระดับ ตั้งแต่ง่าย
16 ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพ่ือว่าทั้งเด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกทำได้ ตามความสามารถ ทัง้ นเี้ พ่ือให้เด็กทกุ คนประสบความสำเรจ็ ในการทำแบบฝึกหดั 8. แบบฝึกหัดท่ีดี ควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ ตั้งแต่หน้าปก ไปจนถึงหนา้ สุดทา้ ย 9. แบบฝึกหัดที่ดี ควรได้รับการปรับปรุงควบคู่กับหนังสือแบบเรียนอยู่เสมอ และควรใช้ไดด้ ีท้ังในและนอกบทเรยี น 10. แบบฝึกหัดที่ดี ควรเป็นแบบที่สามารถประเมิน และจำแนกความเจริญงอกงาม ของเดก็ ไดด้ ว้ ย ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 20) ได้สรุปและอธิบายถึงลักษณะของแบบฝึกหัด และแบบฝึกทักษะทดี่ ี ไวด้ งั นี้ 1. จดุ ประสงค์ 1.1 จุดประสงค์ชัดเจน 1.2 สอดคล้องกับการพัฒนาทักษะตามสาระการเรียนรู้ และกระบวนการเรียนรู้ ของกลุ่มสาระการเรยี นรู้ 2. เน้อื หา 2.1 ถูกต้องตามหลกั วชิ า 2.2 ใช้ภาษาเหมาะสม 2.3 มคี ำอธบิ ายและคำสง่ั ทช่ี ดั เจน งา่ ยตอ่ การปฏิบตั ิตาม 2.4 สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ นำผู้เรียนสู่การสรุปความคิดรวบยอด และ หลักการสำคัญของกลุ่มสาระการเรียนรู้ 2.5 เป็นไปตามลำดับข้ันตอนการเรียนรู้สอดคล้องกับวิธีการเรียนรู้ และความ แตกตา่ งระหว่างบคุ คล 2.6 มีคำถามและกิจกรรมที่ท้ าทายส่งเสริมทักษ ะกระบ วน การเรียนรู้ ของธรรมชาตวิ ชิ า 2.7 มีกลยุทธ์การนำเสนอและการต้ังคำถามท่ีชัดเจน น่าสนใจ ปฏิบัติได้ สามารถ ใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับเพื่อปรับปรงุ การเรียนได้อยา่ งต่อเนื่อง กาญจนา ชลเกริกเกียรติ (2561 : 30-31) ได้สรุปลกั ษณะของแบบฝึกทดี่ ีไดว้ ่า แบบฝกึ ท่ดี ีและมี ประสิทธิภาพ ช่วยทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี และแบบฝึกที่ดี เปรียบเสมือนผู้ช่วยที่สำคัญของครู ทำให้ครูลดภาระการสอนลงได้ ทำให้ผู้เรียนพัฒนาความสามารถ ของตน เพ่ือความมั่นใจในการเรียนได้เป็นอย่างดี ดังน้ันครูยงั จำเป็นต้องศึกษาเทคนิควิธีการ ข้ันตอน ในการฝกึ ทักษะตา่ ง ๆ มีประสิทธิภาพที่สุด อันส่งผลให้ผู้เรียนมีการพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้อย่างเต็มท่ี และแบบฝึกที่ดีน้ันจะต้องคำนึงถึงองค์ประกอบหลาย ๆ ด้าน ตรงตามเน้ือหา เหมาะสมกับวัย เวลา ความสามารถ ความสนใจ และสภาพปญั หาของผู้เรียน อัจฉรา ศรีธารา (2562 : 23) ได้สรุปลักษณะของแบบฝึกท่ีดีว่า ต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมกับ นักเรียน ตลอดจนคำนึงถึงจิตวทิ ยาเกี่ยวกับสิ่งเรา้ และการตอบสนองพฒั นาการของเด็ก และลำดับขั้น ของการเรียน นอกจากน้ันจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับวัย และความสามารถของเด็กซงึ่ แบบฝึกจะ
17 ประกอบด้วย คำชี้แจงและตัวอย่างสั้น ๆ ท่ีจะทำให้เด็กเข้าใจง่าย ใช้เวลาเหมาะสมและมีลักษณะที่ เกี่ยวข้องกับบทเรียนท่ีเรียนไปแล้ว นอกจากน้ีแบบฝึกควรมีหลายแบบเพ่ือสร้างความสนใจและท้า ทายใหแ้ สดงความสามารถ บรัสกร คงเปี่ยม (2561: 31) ) ได้สรุปลักษณะของแบบฝึกที่ดีว่า ควรมีเน้ือหา เหมาะสมกับวัยของนักเรียน เร้าความสนใจโดยใช้หลักจิตวิทยา ใช้เวลาเหมาะสม มีความหมายต่อ ผู้เรียน มีคำส่ังหรือคำชี้แจงสั้นชัดเจน เรียงลำดับความยากง่าย มีกิจกรรมที่ใชฝ้ ึกหลากหลายรูปแบบ เกิดความสนุกสนานในการกระทำ และตอบสนองต่อความแตกต่างระหว่างบคุ คลของนักเรียน ณัฏฐนาถ สุกส (2558 : 44) ) ได้สรุปลักษณะของแบบฝึกที่ดีวา่ แบบฝึกท่ีดีควรมีจุดหมายและ ตรงตามจุดประสงค์ ภาษาท่ีใช้และรูปภาพควรมีความเหมาะสมกับวัยและ พ้ืนฐานความรู้ของผู้เรียน อีกทั้งยงั ตอบสนองต่อความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล แบบฝกึ ควรมีความสนุกสนานและกิจกรรมก็ควรมี ความหลากหลาย นักเรียนสามารถนำไปฝึกดว้ ยตนเอง นอกจากนี้ ควรมีแบบฝึกครบทุกระดบั ตงั้ แต่ งา่ ย ปานกลาง และยาก เพอ่ื นักเรยี นจะได้เลอื กทำได้ ตามความสามารถของตนเอง นอกจากนีไ้ ด้ครกู ็ จะมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของนักเรียน ได้ชัดเจน ซ่ึงจะช่วยให้ครูดำเนนิ การปรบั ปรุงแกไ้ ข ปญั หานนั้ ๆ ได้ทนั ที จากลักษณะของแบบฝึกทักษะท่ีดี ที่ได้กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า แบบฝึกท่ีดีจะต้อง มี ประสิทธิภาพ ช่วยทำให้นักเรียนประสบความสำเร็จในการฝึกทักษะได้เป็นอย่างดี และแบบฝึกที่ดี เปรียบเสมือนผู้ช่วยที่สำคัญของครู ซึ่งแบบฝึกทักษะที่ดีควรมีเนื้อหาเหมาะสมกับวัยของนักเรียน มีกิจกรรมที่ใช้ฝึกหลากหลายรูปแบบ เพ่ือให้เกิดความสนุกสนานและตอบสนองต่อความแตกต่าง ระหว่างบุคคลของนักเรียน อีกทั้งแบบฝึกทักษะควรครบทุกระดับ ตั้งแต่ง่าย ปานกลาง และยาก เพื่อนักเรยี นจะไดเ้ ลอื กทำ 3.3 หลกั การสร้างแบบฝกึ ทักษะ นักการศกึ ษาได้กล่าวถงึ หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ ไว้ดังน้ี สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 54 - 55) ได้สรุปหลักในการสร้าง แบบฝึกว่า ต้องมีการกำหนดเงื่อนไขท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนทุกคนสามารถผ่านลำดับข้ันตอนของ ทุกหน่วยการเรียนได้ ถ้านักเรียนได้เรียนตามอัตราการเรียนของตน ก็จะทำให้นักเรียนประสบ ความสำเร็จมากขน้ึ อัจฉรา ศรีธารา (2562 : 24) ไดส้ รุปหลักในการสร้างแบบฝึกทกั ษะว่า การสรา้ งแบบฝึก เสริมทักษะ ควรมหี ลกั ในการสรา้ ง ดงั น้ี 1. ตง้ั จดุ ประสงคใ์ นการฝึกว่าตอ้ งการฝกึ เสริมทกั ษะใด ใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรียนรู้อะไร 2. ตอ้ งคำนึงถงึ ความสามารถ ความสนใจ แรงจูงใจของนักเรียน 3. เรียงลำ ดบั แบบฝึกเสรมิ ทกั ษะจากงา่ ยไปหายาก 4. แบบฝึกเสรมิ ทกั ษะควรมหี ลายรปู แบบ หลายลักษณะ เพ่ือจูงใจในการทำ 5. ควรมีการทดลองใชเ้ พื่อหาข้อบกพร่องตา่ ง ๆ ก่อนนำไปใชจ้ ริง ปิยฉัตร ศรีสุราช (2561 : 8) ได้สรุปหลักการสร้างแบบฝึกทักษะว่า หลักการสร้าง แบบฝึกทักษะน้ัน ผู้สร้างต้องรู้ในเน้ือหาวิชาท่ีจะสร้างแบบฝึกหัดนั้น ๆ อย่างถ่องแท้ กำหนดกรอบ การสร้างให้ชัดเจน มีส่วนประกอบที่ครบถ้วนสมบูรณ์ และมีการเรียงลำดับความยากง่ายไว้ตาม
18 ความเหมาะสม และในระยะเวลาท่ีเหมาะสมในการฝึกแต่ละคร้ัง เพ่ือท่ีจะช่วยกำหนดข้ันตอน ในการสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากหลักการในการสร้างแบบฝึกทักษะ ที่ได้กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า ควรศึกษาปัญหาของ เนือ้ หาทจี่ ะนำมาสร้างแบบฝึก โดยนำมาตั้งจุดประสงคต์ ลอดจนรปู แบบที่หลากหลาย เพือ่ ดึงดดู ความ สนใจ หลักการสร้างแบบฝึกทักษะนั้น ผู้สร้างจะต้องรู้ในเน้ือหาวิชาท่ีจะสร้างแบบฝึกหัด และมีการ เรยี งลำดบั ความยากง่ายไว้ตามความเหมาะสม และในระยะเวลาทเ่ี หมาะสมในการฝึกแตล่ ะคร้ัง 3.4 ส่วนประกอบของแบบฝึกทกั ษะ นักการศึกษาไดก้ ล่าวถงึ สว่ นประกอบของแบบฝึกทักษะ ไว้ดงั นี้ สุวทิ ย์ มูลคำ และสุนนั ทา สนุ ทรประเสรฐิ (2550 : 61 - 62) ได้กำหนดสว่ นประกอบของ แบบฝกึ ทกั ษะ ไว้ดงั น้ี 1. คู่มือการใช้แบบฝึก เป็นเอกสารสำคัญประกอบการใช้แบบฝึกว่า ใช้เพื่ออะไร และมีวิธีใช้อย่างไร เช่น ใช้เป็นงานฝึกท้ายบทเรียน ใช้เป็นการบ้าน หรือใช้สอนซ่อมเสริม ประกอบด้วย - ส่วนประกอบของแบบฝึก จะระบุว่าในแบบฝึกชุดน้ี มีแบบฝึกท้ังหมดกี่ชุด อะไรบา้ ง และมีสว่ นประกอบอนื่ ๆ หรือไม่ เช่น แบบทดสอบ หรอื แบบบนั ทึกผลการประเมิน - ส่ิงทคี่ รูหรอื นกั เรยี นต้องเตรยี ม (ถ้ามี) จะเป็นการบอกให้ครหู รือนักเรยี น เตรยี มตัวให้พรอ้ มลว่ งหน้าก่อนเรียน - จดุ ประสงค์ในการใช้แบบฝกึ - ขั้นตอนในการใช้ บอกข้อตามลำดับการใช้ และอาจเขียนในรูปแบบของแนวการ สอนหรือแผนการสอนจะชัดเจนย่ิงข้นึ - เฉลยแบบฝึกในแต่ละชุด 2. แบบฝึก เป็นสื่อที่สร้างข้ึนเพื่อให้ผู้เรียนฝึกทักษะ เพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ที่ถาวร ควรมีองค์ประกอบ ดงั นี้ - ชื่อชุดฝึกในแต่ละชุดย่อย - จดุ ประสงค์ - คำสั่ง - ตวั อยา่ ง - ชุดฝึก - ภาพประกอบ - ข้อทดสอบก่อนและหลังเรยี น - แบบประเมนิ บนั ทกึ ผลการใช้ จากส่วนประกอบของแบบฝึกทักษะ ท่ีได้กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ ควรมีองค์ประกอบที่สำคญั ดังต่อไปนี้ 1. คู่มือการใช้แบบฝึก ซ่ึงเปน็ เอกสารที่สำคญั ประกอบการใช้แบบฝึกว่าใช้เพื่ออะไร และมีวธิ ใี ช้อยา่ งไร
19 2. แบบฝึก ซึ่งเป็นสื่อท่ีสร้างข้ึนเพ่ือให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการเรยี นรู้ โดยในแบบฝึก ทักษะควรประกอบด้วย ชอื่ ชุดฝึกในแต่ละชดุ ย่อย จดุ ประสงค์ คำสั่ง และชดุ ฝึก เป็นต้น 3.5 ประโยชนข์ องแบบฝึกทักษะ ภาษาไทยเป็นวิชาทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เพราะการฝึกฝนจะทำให้เกิด ความชำนาญ ความแม่นยำ มีพัฒนาทางภาษา แบบฝึกจึงเป็นสื่อการเรียนท่ีอำนวยประโยชน์ ต่อการเรียนภาษาไทย ซ่ึงมีนักการศึกษาได้เสนอประโยชนข์ องแบบฝึก ไว้ดงั นี้ ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ (2550 : 21) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกหัดและ แบบฝึก ทักษะว่า เปน็ ส่ือการเรียนรู้ท่ีมุ่งเน้นในเร่ืองของการแก้ปัญหา และการพฒั นาในการ จัดการเรียนรใู้ น หน่วยการเรียนรู้ และสามารถเรยี นร้ไู ด้ โดยสรปุ ไดด้ ังนี้ 1. เป็นสอ่ื การเรยี นรู้ เพ่ือพัฒนาการเรียนรใู้ หแ้ กผ่ เู้ รยี น 2. ผเู้ รยี นมีสอื่ สำหรบั ฝึกทกั ษะด้านการอา่ น การคดิ การคดิ วิเคราะห์ และการเขยี น 3. เป็นสื่อการเรยี นรู้ สำหรับการแกป้ ญั หาในการเรยี นร้ขู องผเู้ รียน 4. พัฒนาความรู้ ทกั ษะ และเจตคตดิ า้ นตา่ ง ๆ ของผเู้ รียน จากประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ท่ีกล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะท่ีดี และมี ประสทิ ธิภาพ จะชว่ ยทำให้นกั เรยี นประสบผลสำเร็จในการฝกึ ทกั ษะได้เป็นอยา่ งดี ณัฏฐนาถ สุกส (2558 : 45) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะว่า แบบฝึกทักษะมี ความสำคัญและเป็นส่ือการเรียนที่อำนวยประโยชน์ต่อการเรียนภาษาไทย เนื่องจากแบบฝึก ช่วย เสรมิ ทักษะทางภาษาให้ดีขึ้น ช่วยเร่ืองความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล ดังน้นั นักเรียนจะได้ทำ แบบฝึกท่ี ช่วยแก้ไขและพัฒนาความสามารถของนักเรียนได้ตรงตามจุดประสงค์ นักเรียนจะมีทักษะทางภาษาท่ี คงทน ประหยัดเวลาและแรงงาน นักเรียนไม่ต้องเสียเวลาในการคัดลอกแบบฝึก และครูยังสามารถ เห็นจุดเด่นหรือจุดบกพร่องของนักเรียน ซึ่งจะเป็นการช่วยให้ครูสามารถแก้ไขปัญหาได้ ทันที เนื่องจากแบบฝึกช่วยลดภาระการเตรียมการสอนของครูลง และครูจะได้มีเวลาแก้ไขปัญหาหรือ ส่งเสรมิ ความสามารถของนักเรียนให้ดีขึ้น สมศรี อภัย (2553 : 22) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ว่า เป็นเครื่องมือการ เรียนรู้ นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองอย่างเต็มความสามารถ ของ แต่ละบุคคล ก่อให้เกิดความชำนาญในการแก้ไขปัญหา อีกท้ังเป็นเครื่องมือประเมินผลการเรียนและ การสอนของครู จากประโยชน์ในการสร้างแบบฝึกทักษะ ท่ีได้กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ มี ประโยชน์ต่อตัวนักเรียน โดยนักเรยี นจะเกิดความชำนาญและมีทักษะที่ดีข้ึนนั้น ต้องอาศัยการฝึกฝน อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งแบบฝึกทักษะจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ เกิดความสนุกสนานกับเนื้อหา แบบฝึกหัด นอกจากน้ียังเป็นเคร่ืองมือสำคัญต่อการเรียนของนักเรียน และยังมีประโยชน์สำหรับ ครูผู้สอน เน่ืองจากครูผู้สอนสามารถเห็นจุดเด่นหรือจุดบกพร่องของนักเรียน ซ่ึงจะเป็นการช่วยให้ครู สามารถแกไ้ ขปญั หาได้ทนั ที 4. วิจยั ทีเ่ ก่ียวขอ้ ง 4.1 วิจยั ท่ีเก่ียวข้องกบั การเขียนสะกดคำ
20 เมรี ง้าวทอง (2555) ได้ทำการวิจัยเร่ือง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขยี นคําทีม่ ีตัวสะกดไม่ ตรงมาตรา สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ ทางเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการใชแบบฝึกทักษะการเขียนคําที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา สำหรับนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปท่ี 2 2)เพ่ือพัฒนาความพึงพอใจในการใช้แบบฝึกทักษะการเขยี นคํา ทม่ี ีตวั สะกดไมต่ รงมาตรา สำหรบั นักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 กลมุ ตัวอยา่ งที่ใชในการวิจัยในครง้ั น้ี ได้แก่นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนม่วงสามสิบ (อํานวยปัญญา) อําเภอม่วงสามสิบ สังกัด สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2554 จํานวน 31 คน ซึ่งได้มาโดยการสุมอยางงาย (Simple Random Sampling) ใชแบบแผนเชิง ทดลอง ในครงั้ เป็นการศึกษาเชิงทองลองกลุมเดยี ว แบบ One – Group Pretest –Posttest Design เครื่องมือท่ีใชในการเก็บรวบรวมขอมูลของการวิจัยคร้ังนี้ประกอบด้วย แบบฝึกทักษะการเขียนสะกด คําที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา สําหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 2 ซ่ึงมีแผนการจัดการเรียนรู ประกอบ จํานวน 12 ชุด แบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนคําที่มีตัวสะกดไม่ ตรงมาตรา แบบ ปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จํานวน 1 ฉบับจํานวน 30 ขอ ซ่ึงมีคา IOC .80 – 1.00 คาความ ยากงาย ต้ังแต่ .40 – .80 ค่าอาํ นาจจาํ แนกต้งั แต่ .38 – .83 และมคี าความเช่อื มัน่ ท้ังฉบับเทากับ .92 แบบสอบถามความความพึงพอใจในการใชแบบฝึกทกั ษะการเขียนคําที่มตี วั สะกดไม่ตรงมาตรา สถิตทิ ่ี ใชในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ค่าเฉล่ยี สวนเบ่ียงเบนมาตรฐาน ค่ารอยละ และการทดสอบค่า t ธนพร ดวงพรกชกร (2559) ได้ทำการวิจัยเรอ่ื ง การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิการเขยี นสะกดคำ ของ นกั เรยี นชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 3 ด้วยการเรยี นร้แู บบรว่ มมือเทคนิค TGT รว่ มกบั แบบฝกึ การวจิ ัยครั้งน้ี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธ์ิการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อน และหลังเรียน ที 2) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ท่ีมีต่อการจัดการเรียนรู้ ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดดอนยายหอม (หลวงพ่อเงินอุปถัมภ์) สังกัดสำนักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาประถมศึกษานครปฐม เขต 1 ท่ีกำลังศึกษาในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2558 นักเรียน จำนวน 30 คนโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ 17 ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึก แบบทดสอบพัฒนาผลสัมฤทธิ์การเขียน สะกดคำทางการเรยี น ก่อนเรียนและหลังเรียน และแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนท่มี ีตอ่ การ เรียนรู้ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึกผลการวิจัยพบว่า 1. ผลสัมฤทธ์ิการ เขียนสะกดคำ หลังการจัดการเรียนรู้ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึก สูงกว่า ก่อนจดั การเรียนรดู้ ้วยการเรยี นรู้แบบร่วมมอื เทคนคิ TGT ร่วมกบั แบบฝึก อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ ระดับ .05 2. นักเรียนมีความคิดเห็น ต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยการเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิค TGT ร่วมกับแบบฝึก ในภาพรวมมีความเห็นเชิงบวกอยู่ในระดับมากที่สุด พัทธนันท์ พาป้อ (2560) ได้ทำ การวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปีที่ 4 โดยมี วัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนการเขียนสะกด คำของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนและหลังได้รับการพัฒนาโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียน สะกดคำ และ 2) เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4 โดย ใช้แบบฝึกทักษะ การเขียนสะกดคำ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งน้ีเป็นนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4/2 ปี
21 การศึกษา 2560 โรงเรยี นศรแี ก้งคร้อ สำนกั งานเขตพน้ื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาชยั ภูมิ เขต 2 จำนวน 34 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1)แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการ เรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การเขียนสะกดคำ จำนวน 8 แผน ผลการวิจัยพบว่า หลัง ได้รับการพัฒนาโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ ระดบั .05 4.2 วิจัยท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั แบบฝึกทกั ษะ กาญจนา ชลเกริกเกียรติ (2561 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเร่ือง การพัฒนาทักษะ การอ่านและเขียนคำพ้ืนฐานภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 ปีการศึกษา 2561 โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพ่ือพัฒนาผลสัมฤทธ์ิ ทางการเรียนและความสามารถในการอ่านและเขียนคำพ้ืนฐานภาษาไทย ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 1 2) เพ่ือพัฒนาแบบฝึกทักษะสาระภาษาไทย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 16 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบฝึกทักษะเพ่ือพัฒนาทักษะ การอ่านและเขียนคำพ้ืนฐาน จำนวน 6 แบบฝึก และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ แบบแผนการทดลองใช้แบบกลุ่มเดียว (One Group Pre-test Post-test Design) สถิติท่ีใช้คือ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ และค่าส่วนเบ่ียงเบน มาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. การพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำพ้ืนฐานภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 มีประสิทธิภาพ 80.51./83.33 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ต้ังไว้ คือ 80/80 2. ผลท่ีเกิดกับนักเรียนหลังการพัฒนา ทักษะการอ่านและเขียนคำพ้ืนฐานภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 พบว่านกั เรียนมีทักษะการอ่านและเขยี นดีขึน้ ซึ่งส่งผลให้นักเรียน มผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นดา้ นทักษะการอ่านและเขียนคำพืน้ ฐานสูงขนึ้ มคี ่าเฉลย่ี รอ้ ยละ 83.33 ปิยฉัตร ศรีสุราช (2561 : บทคัดย่อ) ได้ทำการวิจัยเร่ือง การพัฒนาแบบฝึกทักษะ การอ่านจับใจความภาษาไทย สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรียนชุมชนบ้านเขาสมิง จังหวัดตราด โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่าน จบั ใจความภาษาไทย ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพ่ือเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์กิ ารอ่านจับใจความ ภาษาไทยก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาไทย และ 3) เพ่ือศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาไทย กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 25 คน โดยสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือท่ีใช้ ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะการอ่านจับความภาษาไทย 2) แบบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการอ่าน จับใจความภาษาไทย 3) แผนการจัดการเรียนรู้การอ่านจับใจความภาษาไทย 4) แบบสอบถาม วัดความพึงพอใจ สถิติท่ีใช้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (S.D.) และทดสอบค่าที (t-test) ผลการวิจับพบว่า ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาไทย สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่สร้างข้ึน มีค่าเท่ากับ 82.16/88.80 ซ่ึงสูงกว่าเกณฑ์ 2) ผลสัมฤทธ์ิการอ่าน จับใจความภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
22 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 3) ความพึงพอพอใจของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อแบบฝึก ทกั ษะการอ่านจับใจความภาษาไทย อยใู่ นระดบั มาก อัจฉรา ศรีธารา (2562 : บทคัดยอ่ ) ได้ทำการวิจัยเร่ือง ผลของการสอนโดยใชแ้ บบ ฝกึ ทักษะการอ่านสะกดคำที่มีต่อผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวิชาภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 โรงเรียนวัดสุวรรณนิมิต โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนก่อนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 1 2) เพ่ือเปรียบเทียบผลการทดสอบหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 ที่ได้รับ การจัดการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ ที่มีคะแนนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ของ คะแนนเต็มกับจำนวนนักเรียนท้ังหมด กับจำนวนร้อยละ 80 ของจำนวนนักเรียนท้ังหมด 3) ศึกษา ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนวดั สวุ รรณนมิ ิต ปีการศึกษา 2562 จำนวน 6 คน โดยนำคะแนนการทดสอบการอ่านสะกด คำจากบัญชีคำพื้นฐานช้ันประถมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสะกด คำมาวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แบบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำ แบบบันทึก คะแนนการอ่านสะกดคำ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 1 จำนวน 6 คน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนใช้แบบฝึกทักษะเท่ากับ 15.00 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 4.00 และมี นักเรียนผา่ นเกณฑร์ ้อยละ 70 จำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 66.67 ของจำนวนนกั เรยี นทั้งหมด และมี คะแนนเฉลี่ยหลังใช้แบบฝึกทักษะเท่ากับ 17.33 ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากับ 2.80 และมีนักเรียน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 83.33 ของจำนวนนักเรียนท้ังหมด ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำเท่ากับ 0.47 น่ันคือ นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลังการใช้แบบฝึกทักษะการอ่าน สะกดคำสูงกว่าก่อนการใช้แบบฝึกทักษะการอา่ นสะกดคำอยา่ งมีนยั สำคัญทางสถติ ิที่ระดบั 0.05 จากงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกทักษะ ท่ีได้กลา่ วมาข้างต้น สรุปได้วา่ งานวจิ ัย ท่ีเกี่ยวข้อง กับแบบฝกึ ทักษะ เป็นส่ือการเรียนการสอนที่สามารถกระตุ้นให้ผ้เู รียนเกิดการเรยี นรู้ ได้เป็นอย่างดี มี ประสิทธภิ าพและส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธิ์ทางการอ่านเพ่มิ สงู ข้ึน จากผลการศึกษาเอกสารงานวิจัยที่เก่ียวข้องกับการอ่านแจกลูกสะกดคำ และงานวิจัยท่ี เก่ียวข้องกับแบบฝึกทักษะ พบว่า การพัฒนาทักษะการอ่านแจกลูกสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมและพัฒนาทักษะการอ่านแจกลูกสะกดของผู้เรียนได้เป็นอย่างดี ซ่ึงเหมาะสมกับวัยของผู้เรยี น และทำใหผ้ ลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นสูงข้นึ
23 5. วิธดี ำเนินการวิจยั 5.1 กลุ่มเปา้ หมาย เปน็ นักเรียนช้ันประถมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรยี นบา้ นโคก อำเภอเจาะไอร้อง จงั หวดั นราธวิ าส จำนวน 25 คน 5.2 เครอ่ื งมอื ท่ีใชใ้ นการวิจยั 1. เครอ่ื งมอื กาวจิ ัย 1.1 เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ได้แก่ - แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 1 เรอ่ื ง มาตราแมก่ ง - แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 2 เรอ่ื ง มาตราแม่กม - แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 3 เรือ่ ง มาตราแม่เกย - แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 4 เรื่อง มาตราแม่เกอว - แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 5 เรื่อง มาตราแมก่ ก - แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 6 เรื่อง มาตราแมก่ น - แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 7 เร่ือง มาตราแมก่ บ - แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง มาตราแมก่ ด 1.2 เครื่องมอื ทีใ่ ช้ในการศึกษาผลการเรยี นรู้ ได้แก่ แบบฝกึ การแยกส่วนประกอบ ของคำในมาตราตัวสะกด 1.3 เคร่ืองมือทีใ่ ชส้ ะทอ้ นผลการเรียนรู้ ได้แก่ แบบสังเกตพฤติกรรมการเรยี นของ นักเรียน แบบประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ และแบบประเมินความเหมาะสม ของแบบฝกึ การแยกส่วนประกอบของคำในมาตราตัวสะกด 2. วธิ กี ารสร้างเครือ่ งมือ 2.1 ศึกษาแนวคิดและทฤษฎที ีเ่ ก่ียวข้องโดยผ้วู จิ ยั ศกึ ษาแนวคิดการจดั การเรียนการ สอนการเขยี นมาตราตัวสะกดและแนวทางการสรา้ งแบบฝกึ แยกส่วนประกอบของคำ 2.2 จัดทำแบบฝึกการแยกสว่ นประกอบของคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ท่ี 2 โรงเรยี นบา้ นโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จงั หวัดนราธิวาส 2.3 ผูว้ ิจยั นำแบบประเมินความสอดคลอ้ งของแบบประเมินแบบทดสอบการเขียน มาตราตัวสะกดก่อนเรียนและหลงั เรยี นการแยกส่วนประกอบของคำ ไปหาคุณภาพของเคร่ืองมือ โดย ให้ผู้เช่ียวชาญทำการตรวจสอบความเท่ียงตรงเชิงเน้ือหา และทำการวิเคราะห์ความสอดคล้องของ แบบประเมินแบบทดสอบการเขียนมาตราตวั สะกดก่อนเรยี นและหลังเรยี นการแยกส่วนประกอบของ คำเพ่ือหาค่าเฉลี่ยสำหรับแบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำ โดยใช้สูตร IOC (Index of item – objective congruence) (รุ้งลาวัลย์ จนั ทรตั นา, 2561 : 87) โดยมผี ู้เช่ียวชาญ 3 ท่าน 2.4 นำผล 2.3 ไปปรับปรงุ แกไ้ ข แลว้ นำแบบทดสอบการเขียนมาตราตวั สะกดก่อน เรียนและหลังเรียนการแยกส่วนประกอบของคำไปทดลองใช้กับผ้เู รียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 25 คน ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 เพื่อหาความยากง่าย (P) ค่าความเชื่อม่ัน (r) และค่า อำนาจจำแนก (r)
24 2.5 นำผลท่ไี ดจ้ าก 2.4 ปรบั ปรงุ แกไ้ ข จากนน้ั นำไปใชจ้ ริงกับผู้เรียนช้ัน ประถมศกึ ษาปที ่ี 2 จำนวนทง้ั สนิ้ 25 คน ในภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565 2.6 ผู้วิจัยนำแบบประเมินความเหมาะสมของแบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำ และแผนการจัดการเรียนรู้ ให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน ประเมินความเหมาะสมขององค์ประกอบ โดยใช้แบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ตามแนวคิดของบุญชม ศรีสะอาด (2545 : 165-166) มีการใหค้ ะแนนระดับความเหมาะสม ดังนี้ เหมาะสมน้อยทีส่ ุด ใหค้ ะแนนเปน็ 1 เหมาะสมนอ้ ย ให้คะแนนเปน็ 2 เหมาะสมปานกลาง ใหค้ ะแนนเป็น 3 เหมาะสมมาก ใหค้ ะแนนเป็น 4 เหมาะสมมากท่สี ดุ ใหค้ ะแนนเป็น 5 นำคะแนนการประเมินจากผเู้ ชี่ยวชาญในแตล่ ะข้อมารวมกนั หารดว้ ยจำนวนข้อจงึ ได้คา่ เฉล่ีย แล้วนำมาเทยี บกบั เกณฑ์ ดังน้ี คา่ เฉล่ียคะแนน 1.00 - 1.50 หมายถึง เหมาะสมนอ้ ยที่สดุ คา่ เฉล่ยี คะแนน 1.51 - 2.50 หมายถึง เหมาะสมน้อย ค่าเฉล่ยี คะแนน 2.51 - 3.50 หมายถึง เหมาะสมปานกลาง ค่าเฉลยี่ คะแนน 3.51 - 4.50 หมายถึง เหมาะสมมาก ค่าเฉลยี่ คะแนน 4.51 - 5.00 หมายถึง เหมาะสมมากท่สี ดุ จากน้ันจึงนำคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และข้อเสนอแนะจากผู้เช่ียวชาญ มาวเิ คราะห์เพอ่ื นำไปพฒั นา และปรบั ปรงุ คณุ ภาพของเคร่ืองมือ 5.3 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ผวู้ ิจัยไดด้ ำเนนิ การเกบ็ รวบรวมข้อมูลการวิจยั เรือ่ ง การพฒั นาทกั ษะการเขยี นมาตรตัวสะกด โดยใช้แบบฝึกการแยกสว่ นประกอบของคำสำหรบั นักเรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบา้ นโคก อำเภอเจาะไอร้อง จงั หวดั นราธิวาส ตามขนั้ ตอนต่อไปนี้ 1. จดั ทำแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 8 ชดุ 2. จดั ทำแบบฝกึ การแยกส่วนประกอบของคำในมาตราตัวสะกด 1 ชุด 3. ประเมินความสอดคล้องของแบบทดสอบก่อนและหลังเรยี นการแยก สว่ นประกอบของคำ 4. ประเมนิ ความเหมาะสมของแผนการจดั การเรียนรู้และประเมินความพึงพอใจ ของนักเรยี นตอ่ การใช้แบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำ 5. ทดลองการจัดการเรียนการสอนโดยการใช้แบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำ สำหรบั นกั เรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 2
25 5.4 การวเิ คราะหข์ ้อมูล ผวู้ จิ ยั นำข้อมูลทไี่ ดจ้ ากการพฒั นาทกั ษะการเขยี นมาตราตวั สะกดโดยใช้แบบฝกึ การแยก ส่วนประกอบของคำสำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอร้อง จงั หวดั นราธิวาส ไปวิเคราะห์ขอ้ มูล ดังนี้ 1.1 วิเคราะห์ความสอดคลอ้ งของแบบประเมนิ แบบทดสอบการเขียนมาตรา ตัวสะกดกอ่ นเรียนและหลงั เรยี นการแยกสว่ นประกอบของคำ 1.2 วเิ คราะห์ความเหมาะสมของแผนการจัดการเรยี นรู้ ผู้วิจยั นำคะแนนจากแบบ ประเมินในแต่ละข้อมารวมกัน หารด้วยจำนวนข้อจึงได้ค่าเฉล่ีย แล้วนำมาเทียบกับเกณฑ์คุณภาพท่ี กำหนดไว้ จากน้นั จึงนำคะแนนเฉลยี่ และคา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน มาวเิ คราะห์แยกเปน็ รายด้าน 1.3 เปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นร้กู ลมุ่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทยของ นักเรยี น ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 2 กอ่ นและหลงั การเรียนดว้ ยแบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำ 1.4 วิเคราะหค์ วามพึงพอใจของนักเรยี นท่ีมีต่อแบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำ สำหรบั นักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรยี นบา้ นโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จังหวดั นราธวิ าส สถติ ิทีใ่ ชใ้ นการวเิ คราะหข์ ้อมูล สถิติสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน มีรายละเอียดดังน้ี (รุง้ ลาวลั ย์ จนั ทรัตนา, 2561 : 87-97) 1. การหาคุณภาพของแบบทดสอบการเขียนมาตราตัวสะกดก่อนเรียนและหลังเรียน การแยก ส่วนประกอบของคำ 2. ค่าความสอดคลอ้ ง (IOC) ของแบบประเมนิ ความสอดคลอ้ งของแบบทดสอบ การเขียนมาตราตัวสะกดก่อนเรียนและหลังเรียนการแยกสว่ นประกอบของคำ สตู ร IOC = เม่อื IOC แทน ค่าดัชนคี วามสอดคลอ้ งระหว่างขอ้ คำถามกบั วตั ถุประสงค์ แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผู้เชีย่ วชาญ N แทน จำนวนผู้เชีย่ วชาญ 1.2 คุณภาพของแบบทดสอบ 1) ค่าความยากงา่ ย (p) สตู ร เมือ่ และ โดยที่ แทน ความยากง่าย แทน จำนวนผูต้ อบถกู ในกลุ่มสูง
26 แทน จำนวนผตู้ อบถกู ในกลมุ่ ตำ่ แทน จำนวนคนทัง้ หมด แทน จำนวนคนกลุ่มสงู ทต่ี อบถูก แทน จำนวนคนกลมุ่ ต่ำที่ตอบถูก แทน จำนวนคนกลุ่มสูงทัง้ หมด แทน จำนวนคนกลุ่มสงู ตำ่ ท้งั หมด 2) คา่ อำนาจจำแนก (r) สูตร โดยที่ แทน คา่ อำนาจจำแนก แทน จำนวนผตู้ อบถูกในกลมุ่ สงู แทน จำนวนผตู้ อบถูกในกลุ่มต่ำ แทน จำนวนทัง้ หมดในกลุ่มสงู และกลุม่ ตำ่ 3) ค่าความเช่อื มน่ั (reliability) แบบอิงเกณฑโ์ ดยใชส้ ูตร KR20 (Kuder- Richardson formula 20) KR20 โดยที่ rtt แทน สัมประสทิ ธิ์ สหสมั พนั ธข์ องความเช่อื มั่น k แทน จำนวนขอ้ คำถาม S2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมทัง้ ฉบบั P แทน สดั ส่วนของคนทำถกู แตล่ ะข้อ q แทน สัดส่วนของคนทำผดิ แต่ละขอ้ (q = 1 - p) 1.3 แบบประเมินความพงึ พอใจ 1.3.1 ค่าอำนาจจำแนก โดยการทดสอบคา่ ที (t-test) โดยที่ แทน ค่าเฉล่ยี ของคะแนนรายข้อของกลุม่ ที่ได้คะแนนสงู แทน ค่าเฉลีย่ ของคะแนนรายข้อของกลมุ่ ท่ีได้คะแนนต่ำ
27 แทน คา่ ความแปรปรวน ของกล่มุ คนคะแนนสูง แทน คา่ ความแปรปรวน ของกลมุ่ คนคะแนนตำ่ แทน จำนวนคนในกลุ่มคะแนนสูง แทน จำนวนคนในกลุ่มคะแนนต่ำ 1.3.3 ค่าความเช่ือมั่น โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟา (-Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach alpha coefficient) โดยที่ แทน ความเชื่อมัน่ ของแบบสอบถาม แทน จำนวนข้อคำถาม แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวมทัง้ ฉบับ แทน ผลรวมของความแปรปรวนของคะแนนแต่ละข้อ 2. สถิติที่ใช้ในการวเิ คราะห์ข้อมลู 2.1 สถติ ิพน้ื ฐาน คอื ค่าเฉล่ยี ร้อยละ ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน 2.1.1 ค่าเฉล่ีย (mean) คือ ผลรวมของคะแนนทั้งหมดหารด้วยจำนวนข้อมูล ในชุดน้ัน ๆ - ขอ้ มลู ทไี่ ม่มกี ารแจกแจงความถี่ สูตร โดยที่ แทน ค่าเฉลี่ยเลขคณติ แทน ผลรวมของข้อมูลท้งั หมด แทน จำนวนข้อมูล - ข้อมูลท่มี จี ำนวนมากและมีการแจกแจงความถี่ สูตร โดยที่ แทน ค่าเฉลีย่ เลขคณิต แทน ผลรวมของผลคูณของความถ่ีกับคา่ กึ่งกลางของข้อมูล ในแต่ละชั้น แทน จำนวนข้อมูล
28 2.1.2 ร้อยละ (percentage) คือ เป็นการหาสัดส่วนของข้อมูล โดยเทียบกับจำนวน รอ้ ยละ สูตร โดยท่ี PC แทน คา่ ร้อยละ แทน จำนวนของขอ้ มลู ที่ตอ้ งการหาค่า แทน จำนวนของข้อมูลท้งั หมด 2.1.3 ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน (standard deviation) คือ ค่าเฉล่ียของผลตา่ งระหวา่ ง ขอ้ มูลแต่ละตัวกับค่าเฉลยี่ ใชข้ ้อมลู ชดุ น้นั โดยยกกำลงั และถอดรากท่ี 2 (square root) สตู ร หรือ หรอื โดยท่ี แทน สว่ นเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน ขอ้ มลู แตล่ ะตวั แทน ข้อมลู แตล่ ะตวั ยกกำลังสอง แทน ค่าเฉล่ยี ของคะแนน แทน ความถข่ี องข้อมลู แทน จำนวนขอ้ มูล
29 6. ผลการวจิ ยั การพฒั นาทักษะการเขยี นมาตราตัวสะกดโดยใช้แบบฝึกการแยกสว่ นประกอบของคำสำหรับ นกั เรยี นชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จงั หวัดนราธวิ าส ผวู้ จิ ยั นำเสนอ ผลการวิจยั ตามลำดบั ดังนี้ ตอนท่ี 1 การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเขียนมาตราตัวสะกด โดยใช้แบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จังหวดั นราธวิ าส ตอนที่ 2 การวิเคราะห์ระดับความพึงพอใจของนักเรียนท่ีมีต่อแบบฝึกแบบฝึกการแยก สว่ นประกอบของคำ สัญลักษณท์ างสถติ ใิ นการวิเคราะหข์ ้อมูล n แทน จำนวนนักเรยี น x̅ แทน ค่าเฉลยี่ ของคะแนนผลสัมฤทธท์ิ างการเขียนมาตราตวั สะกด โดยใช้แบบฝกึ การแยกส่วนประกอบของคำ S.D. แทน ค่าส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน t แทน ค่าสถิตทิ ใ่ี ช้ในการทดสอบสมมติฐาน ผลการวจิ ัย ผู้วจิ ัยได้นำเสนอผลการวจิ ัยตามลำดับ ดังนี้ ตอนที่ 1 การวิเคราะห์ข้อมูลเพ่ือเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเขียนมาตราตัวสะกด โดยใช้แบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำสำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จงั หวดั นราธวิ าส ปรากฏดังตาราง ที่ 1 ตารางที่ 1 เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเขยี นมาตราตัวสะกด โดยใช้แบบฝึกการแยกส่วนประกอบ ของคำสำหรบั นกั เรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จังหวัดนราธวิ าส การทดสอบ N คะแนนเฉลยี่ สว่ นเบยี่ งเบน t (̅������) มาตรฐาน S.D. กอ่ นเรียน 25 8.88 4.78 9.63* หลงั เรยี น 25 12.72 3.25 ** มีนัยสำคญั ทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05 การวิเคราะห์ข้อมูลจากตารางที่ 1 พบว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเขียนมาตราตัวสะกด โดยใช้ แบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำสำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอ เจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียน นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 8.88 คะแนน มีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 4.78 และหลังเรียน มีคะแนนเฉล่ีย 12.72 คะแนน มีส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากบั 3.25 มีค่าการทดสอบที (t - test) เทา่ กับ 9.63 และมีนัยสำคญั ทางสถติ ทิ ่ี ระดบั .05
30 ตอนท่ี 2 การวเิ คราะห์ข้อมูลเพื่อประเมนิ ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึก การแยกสว่ นประกอบของคำ ปรากฏดงั ตาราง ท่ี 2 ตารางท่ี 2 การวเิ คราะห์ข้อมูลเพอื่ ประเมนิ ประเมนิ ความพึงพอใจของนกั เรียนทมี่ ีต่อแบบฝึกการแยก ส่วนประกอบของคำ ที่ รายการประเมนิ ���̅��� S.D. ระดบั ความ พงึ พอใจ 1 แบบฝึกการแยกส่วนประกอของคำ มี 2.80 0.40 มาก เนอ้ื หาชดั เจน เขา้ ใจง่าย 2 แบบฝึกการแยกส่วนประกอของคำ มี ความเหมาะสมของขนาดตัวอักษร และ 2.84 0.36 มาก การใช้สี 3 แบบฝึกการแยกส่วนประกอของคำ มี ความน่าสนใจ สะดวกต่อการใช้งานของ 2.84 0.36 มาก ผู้เรียน 0.36 มาก 0.36 มาก 4 ฉันสามารถอ่านสะกดคำจากแบบฝึกการ 2.84 0.37 มาก แยกส่วนประกอของคำ 5 ฉันชอบแบบฝึกการแยกส่วนประกอของ 2.84 คำ ค่าเฉล่ยี นรวม 2.83 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลในตารางที่ 2 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึก การแยก ส่วนประกอบของคำในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( ������̅ = 2.83, S.D. = 0.37) และเม่ือพิจารณา พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำ ด้านแบบฝึกการแยกส่วนประกบอ ของคำ มีความเหมาะสมของขนาดตัวอักษร และการใช้สี ด้านแบบฝึกการแยกส่วนประกอของคำ มี ความนา่ สนใจ สะดวกต่อการใช้งานของผูเ้ รยี น ด้านฉนั สามารถอ่านสะกดคำจากแบบฝึกการแยกสว่ น ประกอของคำ ด้าน ฉันชอบแบบฝึกการแยกส่วนประกอของคำ อยู่ในระดับมาก ( ������̅ = 2.84, S.D. = 0.36) และ ด้านแบบฝึกการแยกส่วนประกอของคำ มีเนื้อหาชัดเจน เข้าใจง่าย มีความพึงพอใจอยู่ ในระดบั มาก ( ������̅ = 2.80, S.D. = 0.40) เช่นเดยี วกัน
31 7. สรปุ ผล อภปิ รายผล และขอ้ เสนอแนะ 7.1 สรปุ ผลการวจิ ัย 1. ผลสัมฤทธ์ิทางการเขียนมาตราตัวสะกด โดยใช้แบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำ สำหรับนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จงั หวัดนราธวิ าส หลัง เรยี นสูงกว่ากอ่ นเรยี น 2. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำ ในภาพรวมอยู่ในระดับ มาก 7.2 อภิปรายผลการวิจัย ผลการสรา้ งแบบฝึกการแยกสว่ นประกอบของคำ เพ่ือพฒั นาทักษะการเขียนมาตราตัวสะกด ชน้ั ประถมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรยี นบ้านโคก อำเภอเจาะไอร้อง จงั หวดั นราธวิ าส อภปิ รายผลได้ ดงั นี้ 1. ผลสัมฤทธ์ิทางการเขียนมาตราตัวสะกด โดยใช้แบบฝึกการแยกส่วนประกอบของคำ สำหรบั นกั เรียนชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 2 โรงเรียนบา้ นโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จังหวดั นราธิวาส หลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยก่อนเรียน นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 8.88 คะแนน มีส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน เท่ากับ 4.78 และหลังเรียน มีคะแนนเฉล่ีย 12.72 คะแนน มีส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.25 มีค่าการทดสอบที (t - test) เท่ากับ 9.63 และมีนัยสำคัญทางสถิติท่ีระดับ .05 เนื่องจากผู้วิจัยได้ศึกษาแนวทางในการสร้างแบบฝึกการเขียนสะกดคำและมีความสอดคล้องกับ งานวิจัยของ เมรี ง้าวทอง (2555) ได้ทำการวิจัยเร่ือง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนคําท่ีมี ตัวสะกดไม่ ตรงมาตรา สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปท่ี 2 โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อ เปรียบเทียบผลสมั ฤทธ์ิ ทางเรยี นกอ่ นเรียนและหลังเรยี นโดยการใชแบบฝึกทักษะการเขียนคําท่ีมี ตัวสะกดไม่ตรงมาตรา สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปที่ 2 2)เพ่ือพัฒนาความพึงพอใจในการ ใช้แบบฝึกทักษะการเขียนคํา ที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา สำหรับนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 กลุมตัวอย่างท่ีใชในการวิจัยในคร้ังน้ี ได้แก่นักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนม่วงสามสิบ (อํานวยปญั ญา) อาํ เภอม่วงสามสิบ สงั กดั สํานกั งานเขตพืน้ ท่ีการศกึ ษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2554 จํานวน 31 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) ใช้แบบแผนเชิงทดลอง ในคร้ังเป็นการศึกษาเชิงทองลองกลุ่มเดียว แบบ One – Group Pretest –Posttest Design เครื่องมือท่ีใช้ในการเก็บรวบรวมขอมูลของการวิจัย ครั้งน้ีประกอบด้วย แบบฝึกทักษะการเขียนสะกด คําท่ีมีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา สําหรับนักเรียน ช้ันประถมศึกษาปท่ี 2 ซึ่งมีแผนการจัดการเรียนรู ประกอบ จํานวน 12 ชุด แบบทดสอบ ผลสัมฤทธ์ิทางการเขียนคําท่ีมีตัวสะกดไม่ ตรงมาตรา แบบ ปรนัย ชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก จํานวน 1 ฉบับจํานวน 30 ขอ ซ่ึงมีคา IOC .80 – 1.00 คาความยากงาย ต้ังแต่ .40 – .80 ค่า อํานาจจําแนกตั้งแต่ .38 – .83 และมีค่าความเชื่อมั่นท้ังฉบับเท่ากับ .92 แบบสอบถามความ ความพึงพอใจในการใชแบบฝึกทักษะการเขียนคําที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา สถิติที่ ใชในการ วิเคราะห์ขอ้ มลู ได้แก่ค่าเฉลี่ย สวนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ค่ารอยละ และการทดสอบคา่ t 2. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึก การแยกส่วนประกอบของคำในภาพรวมอยู่ในระดับ มาก ( ������̅ = 2.83, S.D. = 0.37) และเมื่อพิจารณา พบว่า นกั เรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝกึ การ แยกส่วนประกอบของคำ ด้านแบบฝึกการแยกส่วนประกบอของคำ มีความเหมาะสมของขนาด
32 ตวั อกั ษร และการใช้สี ด้านแบบฝกึ การแยกสว่ นประกอของคำ มีความน่าสนใจ สะดวกต่อการใช้ งานของผู้เรียน ด้านฉันสามารถอ่านสะกดคำจากแบบฝึกการแยกส่วนประกอของคำ ด้าน ฉัน ชอบแบบฝึกการแยกส่วนประกอของคำ อยูใ่ นระดับมาก ( ������̅ = 2.84, S.D. = 0.36) และ ด้านแบบฝึกการแยกส่วนประกอของคำ มีเน้ือหาชัดเจน เข้าใจง่าย มีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มาก ( ������̅= 2.80, S.D. = 0.40) เช่นเดียวกัน เนื่องจากแบบฝกการแยกส่วนประกอของคำ ได้ ลำดับขั้นตอนท่ีเหมาะสมในการฝึก ทำให้นักเรียนเกิดทักษะการเขียนสะกดคำ รวมท้ังแบบ ฝกการแยกส่วนประกอของคำ เป็นสื่อท่ีช่วยดึงดูดความสนใจท่ีดี เพราะมีเน้ือหาเหมาะสมกับวัย ของนักเรียน ทำให้นกั เรยี นรสู้ กึ สนกุ สนานในการเรียนและเข้าใจสงิ่ ทีเ่ รียนง่ายข้ึน จากการทำวิจัย เร่ือง การพัฒนาทักษะการเขียนมาตราตัวสะกดโดยใช้แบบฝึกการแยก ส่วนประกอบของคำสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ผู้วิจัยได้สร้างแบบฝึกท่ีเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน จึงทำให้แบบฝึกการแยก ส่วนประกอบของคำ สามารถพัฒนาทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนได้และนักเรียนมีความ พึงพอใจตอ่ แบบฝกึ การแยกสว่ นประกอบของคำ 7.3 ข้อเสนอแนะ 1. ขอ้ เสนอแนะในการนำไปใช้ประโยชน์ 1.1 ครผู สู้ อนภาษาไทย ควรพัฒนาแบบฝกึ ทกั ษะให้มคี วามหลากหลายเพือ่ ใชฝ้ ึก การเขยี นสะกดคำแก่นกั เรียนใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ 1.2 ครผู สู้ อนสามารถนำแบบฝกึ การแยกสว่ นประกอบของคำ ทีผ่ วู้ ิจยั ได้สรา้ งขนึ้ ไป ใช้ในกระบวนการจดั การเรยี นรู้ เพอ่ื พัฒนาทกั ษะการเขียนสะกด 2. ข้อเสนอแนะในการวจิ ยั ต่อไป ครูผ้สู อนควรจดั ทำแบบฝึกท่มี ีความหลากหลาย เชน่ แบบเตมิ คำ การจบั คู่ และการ แต่งประโยค ท้ังน้เี พื่อได้ประเมนิ ผู้เรยี นดา้ นทักษะการอ่านและการเขยี นด้วย
33 บรรณานกุ รม
34 บรรณานกุ รม กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (2553). หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. ณฏั ฐนาถ สกุ ส. (2558 ). การสร้างแบบฝกึ รว่ มกับภาพการ์ตูนเพือ่ พฒั นาการเขยี นสะกดคำทมี่ ี ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 [วิทยานิพนธ์ปริญญา ศกึ ษาศาสตร์มหาบัณฑติ ]. มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร. ธนพร ดวงพรกชกร. (2559). การพัฒนาผลสัมฤทธ์กิ ารเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปี ที่ 3 นรเศรษฐ์ สุวรรณอำไพ. (2559). การพฒั นาทักษะการเขียนสะกดคำโดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะสำหรบั นักเรียนชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1 (วิทยานพิ นธป์ ริญญามหาบัณฑติ ). มหาวิทยาลัยราชภฏั มหาสารคาม. นาตยา ทรงสุภาพ. (2557). การพัฒนาการเขยี นสะกดคำ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 2 (วจิ ยั อสิ ระ). บรัสกร คงเป่ียม. (2561). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาไทย สำหรับนักเรียนช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี 2 [วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต ไม่ได้ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัย นเรศวร. ปิยฉตั ร ศรสี ุราช. (2561). การพัฒนาแบบฝกึ ทกั ษะการอา่ นจบั ใจความภาษาไทยสำหรับนักเรียน ช้นั ประถมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนชมุ ชนบ้านเขาสมิง จงั หวดั ตราด [วิทยานิพนธป์ ริญญา ครศุ าสตรมหาบณั ฑิต ไมไ่ ด้ตีพมิ พ์]. มหาวิทยาลยั ราชภัฏรำไพพรรณี. พิชชานันท แสนแกว. (2560). รายงานผลการพัฒนาแบบฝกทักษะการอานคิดวิเคราะหและเขียน กลมุ สาระการเรียนรูภาษาไทย สำหรับนกั เรียนชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที่ 3. โรงเรียนโคกโพธไ์ิ ชย ศกึ ษา. ร้งุ ลาวัลย์ จันทรัตนา. (2561). การวจิ ัยทางการศึกษา. บริษัท สหมิตรพฒั นาการพิมพ์ (1992) จำกัด. ปญั จพร เถื่อนกลู . (2556). การพฒั นาชุดฝึกทักษะ วชิ าภาษาไทย เร่ืองการอา่ นและเขยี นสะกดคำ ภาษาไทย สำหรบั นกั เรยี นช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 1. โรงเรยี นอนบุ าลพษิ ณุโลก จงั หวดั พิษณุโลก. พัทธนนั ท์ พาป้อ. (2562). การพัฒนาทกั ษะการเขยี นสะกดคำของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4. รุ้งลาวลั ย์ จนั ทรตั นา. (2561). การวจิ ยั ทางการศกึ ษา. บริษทั สหมติ รพฒั นาการพมิ พ์ (1992) จำกัด. อจั ฉรา ศรีธารา. (2562). ผลของการสอนโดยใชแ้ บบฝึกทักษะการอ่านสะกดคำที่มตี อ่ ผลสัมฤทธท์ิ าง การเรียนวชิ าภาษาไทยของนกั เรียนช้ันประถมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรยี นวัดสุวรรณนมิ ิต. วทิ ยาลยั เทคโนโลยีภาคใต.้ อทิตยา หอศลิ ป์. (2562). การพัฒนาแบบสอบวนิ ิจฉยั การแจกลกู สะกดคำ สำหรบั นักเรียนชั้น ประถมศกึ ษาปที ี่3 สังกัดกรุงเทพมหานคร [วิทยานพิ นธม์ หาบณั ฑิต ไม่ไดต้ ีพมิ พ์]. มหาวทิ ยาลยั บูรพา
35 ภาคผนวก
36 ภาคผนวก ก รายนามผู้เชย่ี วชาญ
37 รายนามผเู้ ชยี่ วชาญ 1. นางซากเี ราะ อาแวกือจิ ตำแหนง่ ครชู ำนาญการโรงเรยี นบา้ นโคก อำเภอเจาะไอร้อง จงั หวัดนราธวิ าส ความเชีย่ วชาญ การสอนประถมศกึ ษา 2. นางเสาวภา สปุ ัตติ ตำแหน่ง ครูโรงเรียนบ้านโคก อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ความเชยี่ วชาญ การสอนภาษาไทย 3. นางจฑุ ารัตน์ จอมคำสงิ ห์ ตำแหนง่ ครโู รงเรียนบา้ นโคก อำเภอเจาะไอรอ้ ง จังหวดั นราธิวาส ความเชยี่ วชาญ การสอนประถมศกึ ษา
38 ภาคผนวก ข การหาคณุ ภาพเคร่ืองมอื
39 ตารางที่ 3 ผลการประเมินค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบเครื่องมือวิจัยของผู้เช่ียวชาญท่ีมี ตอ่ แบบทดสอบ เรอ่ื ง การแยกสว่ นประกอบของคำในมาตราตัวสะกด ขอ้ แบบทดสอบ ระดับความคิดเหน็ รวม คา่ IOC สรปุ ผล ของผู้เช่ียวชาญ 1 คำว่า รปู สะกดดว้ ยมาตราแมใ่ ด คนท่ี คนท่ี คนท่ี ก. มาตรา แมก่ บ 123 ข. มาตรา แม่กน 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ ค. มาตรา แม่เกอว 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ 2 ข้อใดกลา่ วถูกต้อง ก. กนิ สะกดด้วย แม่กก 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ ข. หอม สะกดด้วย แมก่ ม ค. กราบ สะกดดว้ ย แม่กน 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ 3 ข้อใดสะกดดว้ ยมาตรา แม่กง 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ ก. แดด ข. รอ้ น 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ ค. แสง 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ 4 ขอ้ ใดสะกดดว้ ยมาตรา แม่กบ ก. สาว ข. บา้ น ค. ภาพ 5 คำวา่ รถ สะกดดว้ ยมาตราแม่ใด ก. มาตรา แม่กด ข. มาตรา แม่กบ ค. มาตรา แมก่ ก 6 ขอ้ ใดกล่าวถูกต้อง ก. โชค ยาก สะกดด้วย แมก่ ก ข. ภาพ กราบ สะกดดว้ ย แม่กด ค. ตด อูฐ สะกดดว้ ย แม่ ก กา 7 ข้อใดเป็นคำในมาตรา แม่ ก กา ก. ปาก ข. ฟัน ค. ตา
40 ขอ้ แบบทดสอบ ระดับความคดิ เหน็ รวม คา่ IOC สรปุ ผล ของผ้เู ชีย่ วชาญ 8 คำวา่ สขุ สะกดคำอยา่ งไร คนท่ี คนท่ี คนที่ ก. สุข = สอ - อุ – กอ 123 ข. สขุ = สอ - อุ - ขอ 1 1 1 3 3/3=1 ใชไ้ ด้ ค. สขุ = ศอ - อุ - ขอ 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ 9 คำว่า โชค สะกดด้วยมาตราแม่ใด ก. มาตรา แม่กด 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ ข. มาตรา แมก่ ง ค. มาตรา แม่กก 1 1 1 3 3/3=1 ใชไ้ ด้ 10 มาตรา แม่กก มีกต่ี ัวอะไรบ้าง 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ ก. มี ๔ ตวั ก ข ค ฆ ข. มี ๔ ตัว ก ข บ ฆ 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ ค. มี ๕ ตวั ก ข ฉ ค ฆ 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ 11 ข้อใดสะกดด้วยมาตรา แม่เกย ก. เรือใบ ข. ทำลาย ค. โรงเรยี น 12 ข้อใดสะกดดว้ ยมาตรา แม่เกอว ก. ซาลาเปา ข. กว๋ ยเต๋ยี ว ค. ขนมจีบ 13 คำวา่ เลข สะกดคำอย่างไร ก. เลข = ลอ - เอ - กอ ข. เลข = ลอ - เออ - ขอ ค. เลข = ลอ - เอ – ขอ 14 คำวา่ วาฬ สะกดด้วยมาตราแมใ่ ด ก. มาตรา แมก่ น ข. มาตราแม่กด ค. มาตรา แมก่ บ
41 ข้อ แบบทดสอบ ระดบั ความคดิ เห็น รวม ค่า IOC สรุปผล ของผูเ้ ช่ยี วชาญ 15 คำวา่ พชื สะกดด้วยมาตราแมใ่ ด คนท่ี คนท่ี คนที่ ก. มาตรา แม่กบ 123 ข. มาตรา แมเ่ กย 1 1 1 3 3/3=1 ใชไ้ ด้ ค. มาตรา แมก่ ด 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ 16 ขอ้ ใดอ่านถูกต้อง ก. ตาม = ตอ - อา – มอ – ตาม 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ ข. ชม = ชอ - มอ – ชม ค. มุม = มอ - อุ - มุม 1 1 1 3 3/3=1 ใชไ้ ด้ 17 ขอ้ ใดกล่าวถูกต้อง 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ ก. ยีราฟ สะกดดว้ ย แมก่ ด ข. นกฮกู สะกดดว้ ย แม่กก 1 1 1 3 3/3=1 ใช้ได้ ค. ไกแ่ จ้ สะกดด้วย แม่กบ 18 ขอ้ ใดสะกดดว้ ยมาตรา แมก่ ด ทกุ คำ ก. เชอื ด เลอื ด แดด ข. แสง แดด แรง ค. พชื บุญ ครู 19 ขอ้ ใดสะกดด้วยมาตรา แมก่ น ก. กาย ข. หาร ค. พุธ 20 ขอ้ ใดสะกดด้วยมาตรา แมก่ ม ก. บุญ ข. ลม ค. โกย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245