Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนวิทยาศาสตร์ เทอม 1

แผนวิทยาศาสตร์ เทอม 1

Published by ja-o, 2021-08-14 09:51:18

Description: แผนวิทยาศาสตร์ เทอม 1

Search

Read the Text Version

แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 1 เร่อื ง เราเรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างไร รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว21101 เวลา 2 คาบ หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ เรียนร้วู ิทยาศาสตรอ์ ย่างไร รวม 6 คาบ กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 1 สาระท่ี - ช่ือสาระ - มาตรฐาน - 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชี้วดั มาตรฐานการเรียนรู้ - ตวั ชีว้ ัด - 2. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด สาระสาํ คัญ องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีการพัฒนาอย่างต่อเน่ืองนับแต่อดีตยุคโบราณ จนกระท่ังปัจจุบัน วิทยาศาสตร์เป็นความรู้เก่ียวกับธรรมชาติซึ่งสามารถอธิบายได้ด้วยหลักฐานและความเป็นเหตุเป็นผลทาง วิทยาศาสตร์ความเช่ือ หรือเร่ืองราวที่เล่าต่อๆกันมาโดยไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการและเหตุผลทาง วทิ ยาศาสตร์ไม่จัดเป็นวิทยาศาสตร์วิทยาศาสตร์เป็นจุดเร่ิมต้นของเทคโนโลยีท่ีอํานวยความสะดวกและตอบสนอง ความต้องการในด้านต่างๆของมนุษย์วิทยาศาสตร์เก่ียวข้องและส่งผลกระทบต่อการดํารงชีวิตของทุกคนจึง จาํ เปน็ ต้องเรียนรู้วิทยาศาสตร์แม้มิไดป้ ระกอบอาชีพเป็นนกั วทิ ยาศาสตร์กต็ าม เพ่ือใหส้ ามารถดํารงชวี ิตได้อยา่ งมี คุณภาพและมีส่วนร่วมในสังคมปัจจุบันได้อย่างภาคภูมิ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการที่กระทํา เพ่ือให้ได้มาซึง่ ความร้ทู างวิทยาศาสตรเ์ ปน็ กระบวนการท่ปี ระกอบดว้ ยการสงั เกตและระบุปญั หาการตั้งสมมตุ ิฐาน การวางแผน การสํารวจ หรือการทดลอง รวมท้ังการเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างคําอธิบาย การ สรุปผลและการส่ือสาร โดยข้ันตอนต่าง ๆ ดังกล่าวสามารถเพิ่มเติม ลดทอนสลับลําดับ ตามความเหมาะสม ใน การทํางานเพ่ือให้ได้มาซึ่งองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่อให้ได้ข้อมูลท่ีถูกต้อง แม่นยําและครอบคลุมต้องอาศัย ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ซึ่งปัจจุบันประกอบด้วย 14 ทักษะ ได้แก่ การสังเกตการวัดการจําแนก ประเภท การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับสเปซและสเปซกับเวลาการใช้จำนวน การจัดกระทํา และสื่อ ความหมายข้อมูลการลงความเห็นจากข้อมูลการพยากรณ์การตั้งสมมุติฐาน การกําหนดนิยามเชิงปฏิบัติการการ กําหนดและควบคมุ ตัวแปร การทดลอง การตีความหมายของขอ้ มลู และลงข้อสรุป และการสรา้ งแบบจำลอง

3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 1) ดา้ นความรู้ (K) นักเรียนสามารถอธิบายกระบวนการทํางานของนกั วทิ ยาศาสตร์ได้ 2) ดา้ นกระบวนการ (P) นกั เรียนสามารถเขียนแผนผงั ความคิด “เราเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรอ์ ย่างไร”ได้ 2) ด้านเจตคติ (A) นักเรียนตระหนักถึงคุณคา่ ของวิทยาศาสตร์ในการใชช้ วี ติ ประจำวนั 4. คุณลักษณะผู้เรยี น อยู่อย่างพอเพียง ซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ มุ่งมนั่ ในการทำงาน 4.1 คุณลักษณะทพี่ ึงประสงค์ รกั ความเปน็ ไทย  ใฝเ่ รียนรู้ มีจติ สาธารณะ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มวี ินยั 5. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น  ความสามารถในการคิด: นักเรียนสามารถวิเคราะห์และอธิบายกระบวนการทํางานของ นักวิทยาศาสตรไ์ ด้ 6. สาระการเรียนรู้ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละแห่งในศตวรรษท่ี 21 ท่ีควรได้จากบทเรียน ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1 การสงั เกต 2 การวัด 3 การจําแนกประเภท 4 การหาความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสเปซกบั สเปซและสเปซกับเวลา 5 การใช้จำนวน 6 การจัดกระทาํ และส่อื ความหมายข้อมลู 7 การลงความเห็นจากข้อมูล 8 การพยากรณ์ 9 การต้ังสมมติฐาน 10 การกําหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบตั ิการ 11 การกาํ หนดและควบคมุ ตวั แปร 12 การทดลอง 13 การตีความหมายและลงขอ้ สรุป 14 การสร้างแบบจำลอง

ทักษะแหง่ ในศตวรรษท2่ี 1 15 การคิดอยา่ งสรา้ งสรรค์ 16 การคิดอย่างมวี ิจารณญาณ 17 การแกป้ ัญหา 18 การสอ่ื สาร 19 การรว่ มมอื รว่ มใจ 20 การใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ 7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ใช้รูปแบบการจัดการเรยี นการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (120 นาที) ขัน้ ที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) (15 นาที) 1) ครูนําเข้าสู่บทเรียนหน่วยท่ี 1 เรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างไรโดยให้นักเรียนศึกษาภาพตัวอย่าง แล้วให้นักเรียนลองวิเคราะห์ภาพดังกล่าวว่าเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้นน้ันในอดีตมนุษย์เหล่าน้ีมีการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ อย่างไร โดยให้นักเรียนนั้นเขียนลงในสมุดของนักเรียนเอง โดยให้นักเรียนศึกษาร่วมกับยกตัวอย่างความกา้ วหน้า ทางวทิ ยาศาสตร์ที่นักเรยี นร้จู ัก ภาพท่ี 1 มนุษยย์ ุคหินเริ่มใชไ้ ฟให้ความรอ้ น ท่ีมา : https://www.silpa-mag.com/history/article_269. 2) ครใู ห้นกั เรียนแลกเปลี่ยนเรยี นร้กู นั ในกลุม่ ตัวเอง ขน้ั ท่ี 2 ข้ันสำรวจและคน้ หา (Exploration) (35 นาที) 1) จากกลุ่มที่ได้แบ่งไว้แลว้ ในคาบปฐมนิเทศ ครูให้นักเรยี นทำกิจกรรม “เราเรียนรู้วิทยาศาสตร์ อย่างไร” โดยครูจะแจกกระดาษและสีให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม โดยให้แต่ละกลุ่มช่วยกันระดมความคิดว่า เรานั้น สามารถเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้อย่างไร และวิทยาศาสตร์มีผลอย่างไรต่อมนุษย์ รวมถึงให้สืบค้นทักษะทาง

วิทยาศาสตร์ ทง้ั น้ีครใู ห้นกั เรยี นศึกษาค้นคว้าดว้ ยตนเองโดยใชส้ ื่อออนไลน์ที่นักเรียนส่วนใหญภ่ ายในกลมุ่ มีอยูแ่ ล้ว นำมาใช้เปน็ แหลง่ ศกึ ษาเรยี นรู้ 2) เม่ือแต่ละกลุ่มได้ดำเนินกิจกรรมเรียบร้อยแล้ว ครูให้แต่ละกลุม่ นำเสนอผลงานของตัวเอง ใน การนำเสนอน้คี รจู ะใชว้ ธิ กี ารจับสลากเพอ่ื ดำเนนิ การเสนอผลงาน 3) หลงั จากแต่ละกลุ่มดำเนนิ การเรยี บร้อยแล้ว ครูกระตุน้ นักเรยี นโดยสุ่มถามนักเรยี นดงั นี้ - เราเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์อยา่ งไร ( แนวการตอบ เรียนรู้ผ่านส่ิงรอบๆตัวเราเอง โดยใช้ทักษะการสังเกตในเบ้ืองต้น อัน ได้แก่ประสาทสัมผัสทัง้ 5 ซ่งึ ถอื ได้วา่ เปน็ การเรยี นร้วู ิทยาศาสตรไ์ ด้เช่นกนั ) - ผพี งุ่ ใต้ เปน็ วิทยาศาสตรห์ รือไม่ ( แนวการตอบ ผีพุ่งใต้ไม่จัดว่าเป็นวิทยาศาสตร์ แต่เป็นความเช่ือของคนโบราณ แต่ ตามหลักทางวิทยาศาสตร์ ผพี ุ่งใต้คอื การตกของวัตถุในอวกาศเม่ือเคล่ือนท่ีผา่ นช้ันบรรยากาศของโลกก็จะเกิดการ เสยี ดสีกบั ชั้นบรรยากาศทำใหเ้ กดิ แสงข้นึ ) ข้นั ที่ 3 ข้นั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (35 นาที) 1) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายดังต่อไปนี้ วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ เก่ียวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ และกระบวนการค้นควา้ หาความรู้ ที่มีข้ันตอนมีระเบียบแบบแผน วิทยาศาสตร์ส่งผลต่อโลกและตัว เราอยา่ งมากมาย เพราะวทิ ยาศาสตร์สร้างสรรค์ส่ิงอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในการดำรงชีวิต เช่น แสงสวา่ งจาก ไฟฟ้า เส้ือผ้าท่ีเราสวมใส่ อาหารที่เรากิน ยารักษาโรค โทรทัศน์ พัดลม คอมพิวเตอร์ ตลอดจนเครื่องมือสื่อสาร ประเภทต่างๆ เป็นต้น เราเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ได้จากการสงั เกต การวัด การจําแนกประเภท การหาความสมั พันธ์ ระหว่างสเปซกับสเปซและสเปซกับเวลา การใช้จำนวน การจดั กระทําและสื่อความหมายข้อมูล การลงความเห็น จากข้อมูล การพยากรณ์ การตั้งสมมติฐาน เป็นต้น ซึ่งความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นจุดเริ่มตันของการพัฒนาส่ิงที่ เรียกว่า \"เทคโนโลยี\" ในโลกเรายังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่สร้างสรรค์ขึ้นมาด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และ เก่ียวข้องกับเราทุกคน ดังน้ันทุกคนจึงจำเป็นต้องเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ถึงแม้ว่าทุกคนจะไม่ได้เป็นผู้มีความรู้ วิทยาศาสตร์อย่างเช่ียวชาญในอนาคต แต่ก็ต้องมีความรู้เร่ืองวิทยาศาสตร์ในระดับหนึ่ง เพื่อท่ีจะใช้ประโยชน์ใน การดำรงชีวติ อยา่ งมีคณุ ภาพ และเป็นผทู้ มี่ สี ่วนร่วมในการสร้างสรรค์สังคมของตนเองในโลกยคุ ปัจจุบนั ข้นั ที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที) 1) ครนู ำเสนอสื่อ Power Point เรอ่ื งวิทยาศาสตร์คอื อะไร 2) ครูให้นักเรียนสืบค้นกระบวนการทํางานของนักวิทยาศาสตร์ โดยให้นักเรียนทำมาเป็น การบ้านและตอบคำถาม 3) ครูแนะนำให้นักเรียนเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ในเรอ่ื งกระบวนการทํางานของนักวิทยาศาสตร์ เชน่

- http://119.46.166.126/self_all/selfaccess7/m1/497/lesson1/lesson1.php - https://sites.google.com/a/kpch.ac.th/withyasastr-2/hnwy-kar-reiyn-ru1 4) ครูเพิ่มเติมในสว่ นของนกั เรียนตระหนักถึงคณุ คา่ ของวิทยาศาสตร์ในการใชช้ วี ิตประจำวนั โดย ใหน้ กั เรยี นบอกมาคนละ 1 ข้อ ข้ันที่ 5 ขั้นประเมิน (Evaluation) (15 นาท)ี 1) การตอบคำถามในชัน้ เรียน 2) การทำงานกลุ่ม 3) ตรวจสมดุ 8. สื่อการเรียนรู้ / แหลง่ เรียนรู้ 8.1 ส่ือ Power Point: วิทยาศาสตรค์ อื อะไร 8.2 สือ่ ออนไลน์ 8.3 หนังสอื เรียนวทิ ยาศาสตรพ์ ื้นฐาน ม.1 9. การวดั และการประเมิน ตวั ชีว้ ัด/ผลการเรียนรู้ วธิ ีการวัด เครือ่ งมือวัด เกณฑ์ทใี่ ช้ในการประเมนิ 1 ดา้ นความรู้ :นักเรยี น - การตอบคำถาม - แบบประเมนิ การตอบ ผา่ นเกณฑ์ระดับคุณภาพ 2 สามารถอธบิ าย คำถาม กระบวนการทํางานของ - แผนผงั ความคิด“เรา ผา่ นเกณฑร์ ะดบั คุณภาพ 2 นกั วิทยาศาสตรไ์ ด้ เรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ - แบบประเมินการทำงาน 2. ด้านกระบวนการ : อย่างไร” กล่มุ ผ่านเกณฑร์ ะดบั คุณภาพ 2 นักเรยี นสามารถเขยี น แผนผังความคดิ “เรา - การตอบคำถาม - แบบประเมินการตอบ เรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ คำถาม อยา่ งไร”ได้ 3. ดา้ นเจตคติ : นกั เรียน ตระหนักถงึ คณุ คา่ ของ วิทยาศาสตรใ์ นการใช้ ชีวติ ประจำวนั 10. กจิ กรรมเสนอแนะ

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………. ลงช่ือ ผู้สอน (นางสาวจริ นันท์ เกตุทหาร) 11. ขอ้ คิดเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชอื่ ............................................................... (นายนันท์ กอ้ คำ) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 12. ขอ้ คิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะผูช้ ว่ ยผอู้ ำนวยการกล่มุ งานบริหารวิชาการ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชื่อ............................................................... (....................................................) ผู้ช่วยผ้อู ำนวยการกลุ่มงานบรหิ ารวิชาการ การอนมุ ตั กิ ารใช้แผนการจดั การเรียนรจู้ ากฝา่ ยบรหิ าร ความคิดเห็นของรองผู้อำนวยการฝ่ายวชิ าการ ..............................................................................................................................................................  เหน็ สมควรอนุมัติให้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน  เหน็ สมควรไม่อนมุ ตั ิให้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ.......................................... ............................................................................................................................................................. ลงชอ่ื ............................................................ (นายนพดล ธรรมใจอดุ ) รองผอู้ ำนวยการโรงเรียนฝ่ายบริหารวชิ าการ

การอนมุ ัติจากผูอ้ ำนวยการโรงเรียน  อนุมตั ใิ ห้ใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน  ไมอ่ นุมัตใิ ห้ใช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ.............................................................. .............................................................................................................................................................. ลงชือ่ ....................................................................................... (นางวลิ าวัลย์ ปาลี) ผอู้ ำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา

แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 2 เรื่อง เรียนรู้วิทยาศาสตร์กันเถอะ รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว21101 เวลา 2 คาบ หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 1 ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ เรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์อยา่ งไร รวม 6 คาบ กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 ภาคเรียนที่ 1 สาระท่ี - ช่อื สาระ - มาตรฐาน - 1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวชี้วัด มาตรฐานการเรยี นรู้ - ตัวช้วี ดั - 2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด สาระสําคญั วิทยาศาสตร์คือความรู้ของโลกธรรมชาติหรือความรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือมีอยู่ในธรรมชาติซึ่งสามารถ อธิบายไดด้ ้วยหลักฐาน หรือความเปน็ เหตเุ ป็นผลทางวิทยาศาสตร์ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ด้านความรู้ (K) นักเรียนสามารถอธบิ ายธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์ และความรูท้ าง วิทยาศาสตร์ได้ 2) ดา้ นกระบวนการ (P) นกั เรียนสามารถจำแนกส่ิงทเ่ี ป็นวิทยาศาสตร์ และไมใ่ ช่วทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 2) ดา้ นเจตคติ (A) นักเรยี นสามารถบอกถึงประโยชนข์ องวิทยาศาสตรท์ ม่ี ีผลตอ่ การดำรง ชีวิตประจำวันของ นักเรยี นได้ 4. คณุ ลักษณะผเู้ รยี น อยู่อย่างพอเพียง ซ่ือสตั ยส์ ุจรติ มงุ่ ม่นั ในการทำงาน 4.1 คุณลักษณะท่พี ึงประสงค์ รกั ความเป็นไทย  ใฝเ่ รยี นรู้ มีจติ สาธารณะ รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ มีวินัย 5. ดา้ นสมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น  ความสามารถในการคดิ : นักเรยี นสามารถจำแนกสงิ่ ทีเ่ ป็นวทิ ยาศาสตร์ และไม่ใช่วทิ ยาศาสตร์ได้

6. สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์คือความรู้ของโลกธรรมชาติ หรือความรู้ในส่ิงที่เกิดขึ้น หรือมีอยู่ในธรรมชาติซ่ึงสามารถ อธิบายได้ด้วยหลักฐาน หรือความเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์กล่าวคือสามารถอธิบายสาเหตุท่ีทำให้เกิดสิ่ง นน้ั ๆหรือเม่ือทราบสาเหตกุ อ็ าจทำนายผลได้ดว้ ยดังเชน่ การเกิดปรากฎการณท์ างธรรมชาตหิ ลายๆอย่าง 7. กิจกรรมการเรยี นรู้ ใชร้ ปู แบบการจัดการเรยี นการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (120 นาที) ข้นั ท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engagement) (15 นาที) 1) ครใู ห้นกั เรยี นน่ังเป็นกลุ่มตามทไ่ี ด้จดั ไว้เรียบร้อยในชวั่ โมงปฐมนิเทศ เมือ่ นกั เรียนนั่งเรียบร้อย แล้วครูเริ่มการสอนโดย ครูนำสิ่งของ วัสดุเคร่ืองใช้ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์,กระเป๋า,พัดลม,โทรศัพท์ เป็นต้น ให้ นกั เรียนดูแล้วถามนักเรียนวา่ วัสดุอุปกรณ์ตา่ งๆเหล่านี้ใช้งานได้อย่างไร แล้วทำไมใช้งานได้ เป็นเพราะอะไร โดย ครูให้นักเรียนบันทึกความคิดเห็นส่วนตัวนักเรียนลงในสมุดของตนเองห้ามลอกกัน จากน้ันครูให้นักเรียนจับคู่กัน แลกเปลยี่ นความคิดเห็น เมือ่ จบั คู่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นสนทนาเสร็จแลว้ ครูให้นกั เรยี นรว่ มอภปิ รายในกลุ่มโดย และให้หัวหนา้ กลุ่มเป็นคนรายงานความคิดเห็นของกล่มุ เม่อื ทุกกลุ่มตอบคำถามเรียบร้อยแลว้ อาจจะทั้งคำตอบท่ี ตรงประเด็นหรือผิดประเด็นไป โดยครูพยายามตะล่อมนักเรียนให้ผลคำตอบสดุ ท้ายอยู่ในแนวคำตอบคือ เกิดจาก การเรียนรูท้ างวทิ ยาศาสตร์ 2) ครพู ดู คุยกับนักเรียนวา่ ทราบหรือไม่วา่ ทำไมต้องเรยี นวชิ าวิทยาศาสตร์ - วิทยาศาสตร์ คืออะไร ทำไมตอ้ งเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ( วทิ ยาศาสตร์ คอื ความรอบรู้ของโลก ธรรมชาติ หรือความรู้ในส่ิงท่ีเกิดขึ้น หรือมีในธรรมชาติ ซึ่งอธิบายด้วยหลักฐาน หรือความเป็นเหตุเป็นผลทาง วทิ ยาศาสตร์ การเรียนวิทยาสาสตร์ทำให้เราเข้าใจธรรมชาติ และปรากฏการณ์ต่างๆได้เป็นอย่างดี และทำให้เรา กระบวนการคิด มเี หตมุ ผี ล และใชผ้ ลอธิบายสง่ิ ตา่ งๆได้ ) - ในชีวิตประจำวันมีอะไรบ้างท่ีเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์ ( การทำงานของระบบในร่างกาย, การมองเห็น, การสรา้ งอาคาร , การขนสง่ คมนาคม, การติต่อส่อื สาร, การเกษตร, การแพทย์ อืน่ ๆ ) ขั้นท่ี 2 ขัน้ สำรวจและคน้ หา (Exploration) (35 นาที) 1) ให้นักเรียนนั่งเป็นกลุ่มตามท่ีจัดไว้ ร่วมกันทำกิจกรรมท่ี 1.1 “ อะไรที่ใช่ และไม่ใช่ วิทยาศาสตร์” ครูเตรยี มคำถามไห้นักเรียนตอบว่า “ส่ิงท่ีพดู ต่อไปน้ี อะไร ใชห่ รอื ไมใช่วิทยาศาสตร์เพราะเหตุใด” ดังตัวอย่าง เช่น ฟ้าแลบย่อมเกิดก่อนฟ้าร้องเสมอ (ใช่วิทยาศาสตร์หรือไม่ใช่ เพราะเหตุใด) โดยให้นักเรียนใน กลมุ่ ช่วยกันคิดและเขียนเหตุผลประกอบลงในกระดาษบนั ทึก ขั้นท่ี 3 ข้ันอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (35 นาที) 1) ให้แต่ละกลุม่ ส่งตัวแทนออกมาอภิปรายผลหน้าหอ้ ง มา 1 หัวขอ้ ในกจิ กรรม 1.1 “ อะไรที่ใช่ และไมใ่ ชว่ ิทยาศาสตร์” โดยครแู ละนกั เรยี นร่วมกันแลกเปลีย่ นเรียนรู้

2) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปอภิปรายผล กิจกรรม 1.1 “ อะไรที่ใช่ และไม่ใช่วิทยาศาสตร์” ( วิทยาศาสตร์ จะเป็นสิ่งที่มีเหตุผล มีหลักฐานพิสูจน์ได้ และมีการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างมีขั้นตอนจนสามารถ พยากรณ์สิ่งท่ีเกิดข้ึนได้ และได้มาซ่ึงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มีการบวนการชัดเจน มีระบบ ระเบียบซึ่งเป็น ลกั ษณะสำคัญของวทิ ยาศาสตร์ ) ขนั้ ที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที) 1) ครอู ธิบายเพิ่มเติม ในเร่ืองของ ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ (Nature of Science ) ธรรมชาติ ของวิทยาศาสตร์ เป็นลักษณะเฉพาะ ซึ่งจะบ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างตัววิทยาศาสตร์และศาสตร์อื่นๆ ธรรมชาติวิทยาศาสตร์เป็นลักษณะของค่านิยม ข้อสรุป แนวคิดหรือแม้แต่คำอธิบายท่ีจะบอกว่าวิทยาศาสตร์คือ อะไร มีส่วนเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง รวมถึงการมองสิ่งเหล่านี้ในเชิงปรัชญาเก่ียวกับการกำเนิด ธรรมชาติ วิธีการ และขอบเขตของความรขู้ องมนษุ ย์ (Epistemology) และในเชงิ สงั คมวทิ ยา (Sociology) 2) ครูอธิบายถึงวัสดุท่ีครนู ำมายกตัวอย่างในช่วงนำเข้าสู่บทเรียนว่ามีความเก่ียวข้องอยา่ งไรกับ วิทยาศาสตรแ์ ละเปน็ วทิ ยาศาสตร์อยา่ งไร ถา้ ไมม่ ีการนำวิทยาศาสตร์มาใช้จะเกิดผลอย่างไร ท้ังผลดีและ ผลเสีย 3) ครูให้นักเรียนไปหาภาพที่เก่ียวข้องกับวิทยาศาสตร์แล้วให้นักเรียนนำภาพมาติดลงในสมุด พรอ้ มท้ังบอกประโยชน์ของวิทยาศาสตร์ดังกล่าวท่มี ีผลตอ่ การดำรงชวี ติ ประจำวนั ของนักเรียน 4) ครูแนะนำให้นักเรียนกลับไปทบทวนในหนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 1 เลม่ 1 และรายการโทรทัศน์ เช่นรายการ สมรภูมิไอเดีย,อัจฉริยะข้ามคืน เป็นต้น เนื่องจากรายการดังกล่าวจะสนุกแล้ว ยังมกี ารสอดแทรกในเรอ่ื งของความรู้ทางวิทยาศาสตรด์ ว้ ย ขั้นท่ี 5 ข้นั ประเมิน (Evaluation) (15 นาที) 1) ครูและนักเรียนทบทวนความรู้ว่าวิทยาศาสตร์นอกจากจะหมายถึงความรู้แล้ว วิทยาศาสตร์ ยังหมายถงึ ขั้นตอนในการค้นหาความรู้ หรือท่ีเรยี กวา่ กระบวนการหาความรู้ ซ่งึ เป็นกระบวนการท่ีนกั วิทยาศาสตร์ ใช้ เพือ่ ไดม้ าซงึ่ ความรู้ 2) ใหน้ กั เรยี นทำใบงาน ท่ี 1.1 เรียนร้วู ิทยาศาสตรก์ นั เถอะ 3) สมุดการบา้ น 8. ส่ือการเรยี นรู้ / แหล่งเรยี นรู้ 8.1 สือ่ Power Point: วิทยาศาสตรค์ ืออะไร 8.2 ส่อื ออนไลน์ 8.3 หนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์พนื้ ฐาน ม.1 8.4 ใบงาน ที่ 1.1 เรียนรู้วทิ ยาศาสตรก์ นั เถอะ 8.5 กิจกรรมท่ี 1.1 “อะไรใช่ และไม่ใชว่ ิทยาศาสตร์

9. การวัดและการประเมิน ตัวชี้วัด/ผลการเรยี นรู้ วิธกี ารวัด เครอื่ งมือวดั เกณฑท์ ่ีใชใ้ นการประเมนิ - แบบประเมนิ การตอบ ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ 2 1 ด้านความรู้ :นกั เรยี น - สังเกตจากการตอบ คำถาม สามารถอธิบายธรรมชาติ คำถามและตรวจกิจกรรม ของวิทยาศาสตร์ และ เร่ืองการวิทยาศาสตร์คือ ความร้ทู างวิทยาศาสตรไ์ ด้ อะไร 2. ด้านกระบวนการ : - ตรวจใบกิจกรรมเร่ือง - แบบประเมินการทำงาน ผา่ นเกณฑร์ ะดับคุณภาพ 2 กลุ่ม นกั เรยี นสามารถจำแนก วิทยาศาสตรค์ ืออะไร สิ่งที่เปน็ วิทยาศาสตร์ และ ไมใ่ ช่วิทยาศาสตรไ์ ด้ 3. ดา้ นเจตคติ : นกั เรียน - ตรวจสมุดนกั เรยี น - แบบประเมินผลการทำใบ ผา่ นเกณฑร์ ะดับคุณภาพ 2 งาน/ชน้ิ งาน/สมุดรายบุคคล สามารถบอกถงึ ประโยชน์ ของวทิ ยาศาสตรท์ ่ีมีผลตอ่ การดำรงชีวติ ประจำวนั ของนักเรยี นได้ 10. กจิ กรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชือ่ ผู้สอน (นางสาวจริ นนั ท์ เกตุทหาร) 11. ขอ้ คิดเห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชือ่ ............................................................... (นายนนั ท์ กอ้ คำ) หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

12. ข้อคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุม่ งานบรหิ ารวิชาการ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชือ่ ............................................................... (....................................................) ผูช้ ่วยผู้อำนวยการกลุ่มงานบริหารวิชาการ การอนุมตั กิ ารใช้แผนการจัดการเรียนรูจ้ ากฝา่ ยบริหาร ความคดิ เหน็ ของรองผู้อำนวยการฝ่ายวชิ าการ ..............................................................................................................................................................  เหน็ สมควรอนมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน  เหน็ สมควรไมอ่ นมุ ตั ใิ ห้ใช้ในการจัดการเรยี นการสอน เพราะ.......................................... ............................................................................................................................................................. ลงช่อื ............................................................ (นายนพดล ธรรมใจอุด) รองผู้อำนวยการโรงเรยี นฝา่ ยบรหิ ารวิชาการ การอนุมัติจากผู้อำนวยการโรงเรยี น  อนมุ ัตใิ ห้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน  ไมอ่ นุมัติให้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ.............................................................. .............................................................................................................................................................. ลงชอื่ ....................................................................................... (นางวลิ าวลั ย์ ปาลี) ผูอ้ ำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา

ใบงานที่ 1.1 เรียนรู้ วิทยาศาสตร์กนั เถอะ ใหน้ กั เรียนเขียนสรปุ จากประเด็นตอ่ ไปนลี้ งในสมุด 1. วิทยาศาสตร์หมายถึงอะไร ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ในชวี ิตประจำวนั ของตัวนกั เรียนสง่ิ ใดบ้างถือเป็นวิทยาศาสตร์ ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ คืออะไรบ้าง ……………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………… 4.ใหน้ ักเรยี นยกตัวอยา่ งอะไรกไ็ ดท้ เ่ี ป็นวิทยาศาสตร์ทน่ี กั เรยี นสนใจมากทส่ี ุดพร้อมอธิบาย เหตผุ ลที่นักเรยี นสนใจ……………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………….

ใบงานที่ 1.1 เรียนรู้ เฉลย วิทยาศาสตร์กนั เถอะ ใหน้ กั เรยี นเขยี นสรุปจากประเด็นต่อไปนล้ี งในสมดุ 1. วิทยาศาสตร์หมายถึงอะไร วิทยาศาสตร์ คอื ความรอบรู้ของโลกธรรมชาติหรือความรู้ในสง่ิ ที่จะเกดิ ขึน้ หรอื มีอย่ใู น ธรรมชาติซง่ึ สามารถอธบิ ายได้ด้วยหลักฐาน หรอื ความเปน็ เหตุเปน็ ผลทางวิทยาศาสตร์ 2. ในชวี ติ ประจำวนั ของตัวนกั เรยี นส่ิงใดบา้ งถอื เป็นวิทยาศาสตร์ สิง่ ท่เี ป็นวิทยาศาสตรเ์ ก่ยี วข้องกบั ในชีวติ ประจำวันตั้งแต่เราต่ืนนอน กินข้าว เดินจนนอน หลบั รวมทัง้ เทคโนโลยีท่ีเราใช้อยใู่ นชวี ิตประจำวัน โทรศพั ท์ การติดตอ่ สอ่ื สาร การแพทย์ การเกษตร และอืน่ ๆ 3. ธรรมชาตขิ องวทิ ยาศาสตร์ คืออะไรบ้าง วิทยาศาสตร์ต้องการพื้นฐาน การบูรณาการตรรกะและจินตนาการเข้าด้วยกัน วิทยาศาสตร์มีอิสระและไม่ได้เกิดจากการบังคับ ปรากฏการธรรมชาติเป็นสิ่งท่ีมีรูปร่าง แน่นอน สารถอธบิ ายและตรวจสอบได้ ภายใต้ข้อมลู และเครอ่ื งมือต่างๆ และวิทยาศาสตร์ ไม่สามารถใหค้ ำตอบไดท้ ุอยา่ ง 4.ให้นกั เรียนยกตวั อย่างอะไรกไ็ ดท้ ่ีเปน็ วทิ ยาศาสตร์ทนี่ ักเรียนสนใจมากทสี่ ุดพรอ้ มอธิบาย เหตุผลท่นี กั เรยี นสนใจ ขนึ้ อยู่กบั ความสนใจของนกั เรยี น

กจิ กรรมท่ี 1.1 “อะไรใช่ และไมใ่ ช่ วทิ ยาศาสตร์ วสั ดุอปุ กรณ์ จำนวน 10 แผน่ รายการ แผ่นการด์ ตวั อยา่ งของความรทู้ ใี่ ช่และไมใ่ ชค่ วามรู้ทาง วิทยาศาสตร์ วิธีทำกิจกรรม 1. ครูควรเตรียมคำถามไห้นักเรียนตอบว่า “ ส่ิงท่ีพูดต่อไปนี้ อะไรใช่หรือไมใช่วิทยาศาสตร์เพราะเหตุใด “ ดังตัวอยา่ ง 1. วันนี้อากาศรอ้ นอบอ้าว ฝนน่าจะตก (ใชว่ ทิ ยาศาสตรห์ รือไมใ่ ช่ เพราะเหตุใด) 2. ถ้าผ่าผลแอปเปิลแล้วไปผ่าโดนเมล็ด จะมีปัญหากับคนในครอบครวั (ใช่วทิ ยาศาสตร์หรือไม่ ใช่ เพราะเหตุใด) 3. จ้ิงจกทกั ก่อนออกจากบา้ นจะเกิดเหตุรา้ ย (ใชว่ ิทยาศาสตรห์ รือไมใ่ ช่ เพราะเหตใุ ด) 4. วันน้ฝี ูงมดขนไขห่ นีขน้ึ ทสี่ ูง ฝนน่าจะตกจะตกหนัก (ใชว่ ทิ ยาศาสตรห์ รือไมใ่ ช่ เพราะเหตุใด 5. ฝนตกฟา้ ร้องเป็นเพราะ รามสูร กับ เมขลา (ใช่วิทยาศาสตร์หรอื ไมใ่ ช่ เพราะเหตใุ ด) 6. ฟ้าแลบยอ่ มเกิดกอ่ นฟา้ รอ้ งเสมอ (ใชว่ ทิ ยาศาสตร์หรือไม่ใช่ เพราะเหตใุ ด) 7. ราหูอมจนั ทร์ (ใชว่ ิทยาศาสตรห์ รอื ไม่ใช่ เพราะเหตใุ ด) 8. ร้องเพลงในขณะทำครวั ใหไ้ ดส้ ามที ีอ่ ายุมากกว่า (ใชว่ ทิ ยาศาสตรห์ รอื ไมใ่ ช่ เพราะเหตใุ ด) 9. ปรากฎการณร์ ้งุ กินนำ้ (ใชว่ ทิ ยาศาสตร์หรือไม่ใช่ เพราะเหตุใด) 10. สนุ ขั ไดย้ นิ เสียงประทดั แล้ววิ่งหนี (ใชว่ ทิ ยาศาสตร์หรือไมใ่ ช่ เพราะเหตุใด)

กจิ กรรม “อะไรใช่ และไม่ใชว่ ิทยาศาสตร์ เฉลย 1. วันนีอ้ ากาศร้อนอบอ้าว ฝนนา่ จะตก (ใช่วทิ ยาศาสตรห์ รือไม่ใช่ เพราะเหตุใด) ใช่วิทยาศาสตร์ อากาศร้อนก่อนฝนตกเกิดจากสองสาเหตุคือ ความช้ืนสูง และลักษณะอากาศร้อนจัด เนื่องจากก่อนท่ีเมฆจะกล่ันตัวมันต้องคายความร้อนออกมา ทำให้เกิดความร้อนค่ังอยู่ระหว่างเมฆกับ พื้นดิน ความช้ืนทำให้เราไม่สามารถระบายความรอ้ นผา่ นเหงือ่ ทางรขู ุมขน ทำใหเ้ รายิง่ รูส้ ึกร้อนอบอ้าว 2. ถ้าผ่าผลแอปเปิลแล้วไปผ่าโดนเมล็ด จะมีปันหากะคนในครอบครัว (ใช่วิทยาศาสตร์หรือไม่ใช่ เพราะเหตใุ ด) ไม่ใชว่ ทิ ยาศาสตร์ เพราะวา่ การผ่าผลแอปเปลิ แลว้ ไปผา่ โดนเมล็ด จะมีปนั หา ก ะ ค น ในครอบครวั ไม่ส่งผลใหเ้ กิดปญั หาในครอบครวั แต่มคี วามเชอื่ ของคนโรมัน ว่าถ้าแอปเปลิ นบั ดู เ ม ล็ ด จะทราบจำนวนบุตร ซง่ึ กไ็ ม่ไดถ้ อื วา่ เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะไม่สามารถพสิ ูจน์ได้ 3. จ้ิงจกทกั ก่อนออกจากบา้ นจะเกิดเหตุร้าย (ใช่วิทยาศาสตรห์ รอื ไม่ใช่ เพราะเหตใุ ด) ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่เป็นแค่ความเชื่อของคนโบราณว่า ถ้าจงจกทักออกจากบ้านจะเกิดเหตุร้าย ซึ่งไม่ สามารถพิสจู นไ์ ดว้ ่าเป็นความจริง 4. วนั นี้ฝูงมดขนไขห่ นขี ้ึนทีส่ ูง ฝนนา่ จะตกจะตกหนัก (ใชว่ ิทยาศาสตร์หรอื ไมใ่ ชเ่ พราะเหตใุ ด) ใช่วิทยาศาสตร์ เพราะมดเป็นสัตว์ท่ีมีโสตประสาทในการรับความรู้สึกได้ดี มันสามารถใช้หนวดเพ่ือ รับรู้ความเปล่ียนแปลงของสภาพอากาศ โดยเฉพาะเร่ืองความชื้นในอากาศ ซ่ึงคนอาจบ่นเร่ืองอากาศ ร้อนเกินไปหรือเย็นเกินไป แต่มดจะวิเคราะห์ต่อไปถึงความชื้นและเริ่มเตรียมการหลบภัย เพราะถ้ามด ไม่สามารถดูแลตัวเองหรือครอบครัว ก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง อาจถูกน้ำท่วมรังและตายหมด ยกรังเลยทีเดยี ว 5. ฝนตกฟา้ รอ้ งเปน็ เพราะ รามสูร กับ เมขลา (ใช่วทิ ยาศาสตร์หรอื ไมใ่ ช่ เพราะเหตุใด) ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เร่ืองฟ้าร้องฟ้าแลบน้ีมีอยู่ เป็นความเช่ือของคนโบราณ ซึ่งมีอยู่ในวรรณคดีเร่ือง เมขลาล่อแก้วกับรามสูรขว้างขวาน เป็นวรรคดี สำคัญที่มีจินตนาการอย่างแปลกมาก คือกวีคิดว่าการ ฟา้ แลบฟา้ ร้องนน้ั ก็เพราะเมขลากับรามสูรรบกัน 6. ฟ้าแลบยอ่ มเกดิ ก่อนฟา้ ร้องเสมอ (ใชว่ ทิ ยาศาสตร์หรอื ไม่ใช่ เพราะเหตใุ ด) ใช่วทิ ยาศาสตร์ การที่ฟ้าแลบเกดิ ก่อนฟ้ารอ้ งเสมอ เพราะวา่ เสียงเดินทางเร็วกว่าเสยี ง 7. ราหูอมจันทร์ (ใช่วิทยาศาสตรห์ รอื ไมใ่ ช่ เพราะเหตใุ ด)

ไม่ใชว่ ิทยาศาสตร์ เพราะไมส่ ามารถหาหลกั บานหรือประจกั ษ์พยานมาพิสูจน์หรอื อธบิ ายได้ 8. รอ้ งเพลงในขณะทำใหไ้ ดส้ ามีท่อี ายุมากกว่า (ใชว่ ทิ ยาศาสตรห์ รอื ไมใ่ ช่ เพราะเหตใุ ด) ไม่ใช่วิทยาสาสตร์ เป็นความเชื่อของคนโบราณ ซ่ึงความจริงแล้วการห้ามไม่ให้ร้องเพลงเพราะว่ากลัว นำ้ ลายกระเด็นใส่หม้อแกง 9. ปรากฎการณ์รงุ้ กนิ นำ้ (ใชว่ ทิ ยาศาสตร์หรือไมใ่ ช่ เพราะเหตใุ ด) ใช่วิทยาศาสตร์ ภายหลังฝนตกมักจะมีละอองน้ำหรือหยดน้ำเล็กๆ ลอยอยู่ในอากาศ จะทำหน้าท่ี เสมือนปริซึมหักเหแสงอาทิตย์ (White light) ให้แยกออกเป็นสเปกตรัม 7 สี ได้แก่ ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งเกิดจากละอองน้ำในอากาศหักเหแสงอาทิตย์ทำ ให้เกิดแถบสเปกตรมั เป็นเสน้ อารค์ วงกลมเหนอื พ้นื ผิวโลก แสงอาทิตย์หรือรงั สีท่ีตามมองเห็น 10. สนุ ัขได้ยนิ เสียงประทัดแลว้ วง่ิ หนี (ใชว่ ิทยาศาสตร์หรือไม่ใช่ เพราะเหตุใด) ใช่วิทยาศาสตร์ เน่ืองจากสุนัขได้รับเสียงท่ีความถ่ีสูงเกินไปท่ีแก้วหูสามารถรับฟังได้ดังนั้นทำให้สุนัข กลวั เสยี งดงั ของประทัดและเกิดการวง่ิ หนเี ม่อื มีคนจุดประทัด

วันนี้อากาศร้อนอบอา้ ว ฝนนา่ จะ ตก (ใชว่ ิทยาศาสตร์หรือไมใ่ ช่ เพราะเหตุใด) จิง้ จกทกั ก่อนออกจากบา้ นจะเกดิ เหตรุ า้ ย (ใช่วิทยาศาสตร์หรอื ไม่ใช่ เพราะเหตุใด) ถ้าผ่าผลแอปเปลิ แลว้ ไปผา่ โดนเมล็ด จะมี ปญั หากบั คนในครอบครวั (ใชว่ ิทยาศาสตร์ หรือไมใ่ ช่ เพราะเหตุใด)

วนั นฝ้ี งู มดขนไข่หนขี ึ้นทสี่ ูง ฝนน่าจะตกจะ ตกหนกั (ใชว่ ิทยาศาสตร์หรือไมใ่ ช่ เพราะ เหตุใด) ฝนตกฟา้ ร้องเป็นเพราะ รามสรู กับ เมขลา (ใช่วทิ ยาศาสตร์หรอื ไม่ใช่ เพราะเหตุใด) ราหอู มจันทร์ (ใช่วิทยาศาสตร์ หรอื ไม่ใช่ เพราะเหตุใด)

ฟ้าแลบย่อมเกดิ กอ่ นฟา้ ร้องเสมอ (ใชว่ ิทยาศาสตร์หรอื ไม่ใช่ เพราะเหตใุ ด) ร้องเพลงในขณะทำครัวจะได้สามีที่ อายมุ ากกวา่ (ใช่วิทยาศาสตร์ หรอื ไมใ่ ช่ เพราะเหตุใด) ปรากฎการณร์ งุ้ กินนำ้ (ใชว่ ทิ ยาศาสตร์หรอื ไม่ใช่ เพราะ เหตใุ ด)

สนุ ขั ไดย้ ินเสยี งประทดั แล้ววง่ิ หนี (ใชว่ ทิ ยาศาสตร์หรือไมใ่ ช่ เพราะ เหตุใด)

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 3 เรือ่ ง ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว21101 เวลา 2 คาบ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 ชื่อหน่วยการเรียนรู้ เรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์อย่างไร รวม 6 คาบ กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 1 ภาคเรยี นที่ 1 สาระท่ี - ชอื่ สาระ - มาตรฐาน - 1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวชวี้ ดั มาตรฐานการเรียนรู้ - ตัวช้ีวัด - 2. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด สาระสําคญั วิทยาศาสตร์คือความรู้ของโลกธรรมชาติหรือความรู้ในส่ิงที่เกิดข้ึน หรือมีอยู่ในธรรมชาติซ่ึงสามารถ อธบิ ายได้ด้วยหลกั ฐาน หรือความเป็นเหตุเปน็ ผลทางวทิ ยาศาสตร์ 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1) ด้านความรู้ (K) นักเรียนเขา้ ใจอธิบายทักษะทางวทิ ยาศาสตรไ์ ดจ้ ากกิจกรรมจรวดกระดาษได้ 2) ดา้ นกระบวนการ (P) นกั เรยี นสามารถใชท้ ักษะทางวทิ ยาศาสตร์ในการสรา้ งจรวดกระดาษพับได้ 2) ด้านเจตคติ (A) นกั เรียนตง้ั ใจเรียนวิทยาศาสตร์ 4. คุณลกั ษณะผู้เรียน อยู่อย่างพอเพียง ซือ่ สตั ยส์ ุจรติ มงุ่ ม่ันในการทำงาน 4.1 คณุ ลกั ษณะทีพ่ งึ ประสงค์ รักความเป็นไทย  ใฝ่เรยี นรู้ มีจิตสาธารณะ รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ มวี ินัย 5. ด้านสมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น  ความสามารถในการคดิ : นักเรียนสามารถใชท้ ักษะทางวิทยาศาสตรใ์ นการสร้างเครอ่ื งบนิ กระดาษพับ ได้

6. สาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์คือความรู้ของโลกธรรมชาติ หรือความรู้ในส่ิงท่ีเกิดขึ้น หรือมีอยู่ในธรรมชาติซึ่งสามารถ อธิบายได้ด้วยหลักฐาน หรือความเป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์กล่าวคือสามารถอธิบายสาเหตุที่ทำให้เกิดส่ิง นัน้ ๆหรือเมือ่ ทราบสาเหตกุ อ็ าจทำนายผลไดด้ ้วยดังเช่นการเกดิ ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติหลายๆอย่าง 7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ใชร้ ปู แบบการจดั การเรยี นการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (120 นาที) ขัน้ ท่ี 1 กระต้นุ ความสนใจ (Engagement) (15 นาที) 1) ทบทวนบทเรียนเน้ือหาของคาบที่แล้วเรื่อง การสังเกตและระบุปัญหา (การสังเกตเป็นสิ่ง สำคัญท่ีจะนำไปสู่การหาคำตอบ หรือความรู้ต่างๆ เม่ือสงสัยมักต้ังคำถาม หรือปัญหา เม่ือต้ังปัญหาท่ีแน่นอน ชัดเจนแล้ว สามารถดำเนินแก้ไขปญั หาทงี่ ่ายข้ึน) 2) ครทู บทวนเกี่ยวกับเรื่องอะไรเป็นวิทยาศาสตร์อะไรไม่ใช่วิทยาศาสตร์จากเกม Kahoot ที่ครู สร้างข้ึน ขน้ั ที่ 2 ข้ันสำรวจและคน้ หา (Exploration) (50 นาที) 1) ครใู หน้ ักเรียนศกึ ษารูปแบบของจรวดกระดาษพับวา่ รูปแบบใดนา่ จะสามารถบินได้นานท่ีสดุ 2) จากนัน้ ครูใหน้ ักเรยี นฝกึ ใช้ทักษะทางวิทยาศาสตร์ผ่านกิจกรรม “จรวดกระดาษของใครบนิ ได้ นานท่สี ดุ ” โดยให้นกั เรยี นปฏิบตั ติ ามกิจกรรมท่ี 1.2 จรวดกระดาษของใครบินได้นานทสี่ ุด 3) เมื่อนักเรียนแต่ละกลุ่มดำเนินกิจกรรมเรียบร้อยแล้ว ครูให้นักเรียนช่วยกันวิเคราะห์ว่า ลักษณะรปู แบบใดของจรวดทสี่ ามารถบนิ ได้นานทีส่ ดุ ขน้ั ที่ 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) (15 นาที) ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปกิจกรรม กล่าวคือ จรวดกระดาษท่ีแต่ละคนนั้นได้ลงมือสร้างข้ึนมา ซ่ึงมีความแตกต่างกันในลักษณะและรูปแบบส่งผลให้ลักษณะการเคล่ือนท่ีและการบินน้ันมีระยะเวลาแตกต่างกัน ออกไป และกจิ กรรมนนี้ กั เรยี นได้ฝึกทักษะกระบวนการดังน้ี - การตั้งสมมติฐาน จากการอภิปรายว่าจรวดกระดาษลักษณะแบบใดที่น่าจะร่อนในอากาศได้ นานทส่ี ดุ - การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการจากการสร้างข้อตกลงร่วมกันในการสงั เกตวา่ จรวดใดรอ่ นอยู่ใน อากาศไดน้ านทส่ี ุด

- การกําหนดและควบคุมตัวแปร และ การทดลองไม่ได้กําหนดและควบคุมตัวแปรเอง แต่ได้ ปฏิบัติกิจกรรมตามข้ันตอนของการกําหนดและควบคุมตัวแปร รวมท้ังไม่ได้ออกแบบการทดลองเอง แต่ได้ ปฏบิ ตั กิ ารทดลอง และบนั ทกึ ผลการทดลอง) - การวัด จากการจับเวลาการรอ่ นของจรวดในอากาศ - การใช้จาํ นวน จากการหาคา่ เฉลีย่ ของเวลาในการรอ่ นของจรวด - การจําแนกประเภท จากการจําแนกประเภทจรวดเป็นกลมุ่ ตามเวลาทใี่ ชใ้ นการรอ่ น - การจัดกระทําและสื่อความหมายข้อมูลจากการแสดงผลงานจรวดโดยจําแนกเป็นกลุ่มๆ พรอ้ ม แสดงเวลาทีใ่ ชใ้ นการรอ่ นของจรวด - การตีความหมายของข้อมูลและลงข้อสรุป จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จัดกระทําและสรุป ความสมั พันธ์เกีย่ วกับรูปทรงของจรวดและเวลาร่อนจรวด ข้นั ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที) 1) ครูอธิบายเพ่ิมเติม ในเร่ืองรูปแบบของจรวด จะเห็นได้ว่ารูปแบบท่ีนักเรียนสร้างข้ึนมาน้ันมี ผลต่อการเคลื่อนที่และการร่อนอยู่ได้นานในอากาศ ซึ่งมีความเก่ียวข้องในหลายๆส่วนทั้งน้ีสิ่งท่ีมีผลคือ รูปทรง ของจรวดท่ีสร้างข้ึน ยิง่ สามารถลดแรงปะทะอากาศได้มากเท่าไหรก่ ็ยิ่งส่งผลให้จรวดของน้ันเรยี นนนั้ สามารถร่อน ได้นานข้ึน 2) ครูอธิบายเพ่ิมเติมถึงเครื่องยนต์จรวด กล่าวคือ ครื่องยนต์จรวด คือ เครื่องยนต์ไอพ่นชนิด หนึ่งท่ีใชม้ วลเชื้อเพลิงจรวดท่ีถกู เกบ็ ไว้โดยเฉพาะสำหรับการสรา้ งแรงขับดนั ไอพน่ (Jet Propulsion) อตั ราเร็วสูง เคร่อื งยนต์จรวดคือ เครื่องยนต์แห่งแรงปฏิกิริยา (reaction engine) และได้รบั แรงผลักดันที่สอดคล้องกับกฎข้อ ที่สามของนิวตัน เนื่องจากพวกมันไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุภายนอกในรูปแบบเคร่ืองยนต์ไอพ่น (เช่น อากาศท่ีใช้ใน การเผาไหม้ในชั้นบรรยากาศ แต่มีก๊าซอ๊อกซิเจนที่เป็นของเหลวบรรทุกติดตัวจรวดไปด้วย) เครื่องยนต์จรวด สามารถนำไปใช้ได้กับการขับเคลื่อนยานอวกาศและใช้เก่ียวกับภาคพ้ืนโลก เช่น ขีปนาวุธ เครื่องยนต์จรวดส่วน ใหญเ่ ปน็ เครือ่ งยนต์สันดาปภายใน แม้ว่าจะไม่ใช่รปู แบบของการสันดาปหลกั ๆ อย่างทม่ี อี ยู่กต็ าม ข้นั ท่ี 5 ขั้นประเมิน (Evaluation) (15 นาที) 1) ครูใหน้ กั เรียนตอบคำถาม นกั เรียนได้ทักษะอะไรบา้ งจากการสรา้ ง “จรวดกระดาษพับ” 2) กจิ กรรมท่ี 1.2 จรวดกระดาษของใครบนิ ได้นานท่ีสุด 8. ส่ือการเรยี นรู้ / แหล่งเรียนรู้ 8.1 กจิ กรรมท่ี 1.2 จรวดกระดาษของใครบินไดน้ านทส่ี ดุ 8.2 ส่อื ออนไลน์ 8.3 หนังสอื เรียนวทิ ยาศาสตรพ์ ้ืนฐาน ม.1

9. การวดั และการประเมิน ตวั ช้ีวัด/ผลการเรยี นรู้ วิธกี ารวดั เครื่องมอื วดั เกณฑท์ ใ่ี ช้ในการประเมิน 1 ด้านความรู้ :นักเรียน - การตอบคำถามนักเรียน - แบบประเมินการตอบ ผา่ นเกณฑร์ ะดบั คุณภาพ 2 เขา้ ใจอธิบายทกั ษะทาง ได้ทกั ษะอะไรบา้ งจากการ คำถาม วทิ ยาศาสตรไ์ ด้จาก สรา้ ง “จรวดกระดาษพบั ” ผ่านเกณฑ์ระดบั คุณภาพ 2 กิจกรรมจรวดกระดาษได้ - แบบประเมินผลการทำใบ 2. ด้านกระบวนการ : - ตรวจกิจกรรมที่ 1.2 งาน/ชน้ิ งาน/สมดุ รายบุคคล ผา่ นเกณฑร์ ะดับคุณภาพ 2 นกั เรียนสามารถใชท้ ักษะ จรวดกระดาษของใครบนิ ทางวทิ ยาศาสตรใ์ นการ ไดน้ านทสี่ ดุ - แบบประเมนิ การสังเกต สรา้ งจรวดกระดาษพับได้ 3. ดา้ นเจตคติ : นักเรยี น - การสงั เกตพฤตกิ รรมใน ต้งั ใจเรยี นวทิ ยาศาสตร์ การเรียน 10. กิจกรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชื่อ ผู้สอน (นางสาวจิรนันท์ เกตทุ หาร)

11. ขอ้ คดิ เห็นของหวั หนา้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงช่ือ............................................................... (นายนนั ท์ ก้อคำ) หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 12. ข้อคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะผูช้ ว่ ยผูอ้ ำนวยการกลุ่มงานบรหิ ารวชิ าการ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงช่อื ............................................................... (....................................................) ผ้ชู ่วยผ้อู ำนวยการกลุ่มงานบริหารวิชาการ การอนุมตั กิ ารใชแ้ ผนการจัดการเรยี นร้จู ากฝ่ายบริหาร ความคดิ เหน็ ของรองผอู้ ำนวยการฝ่ายวิชาการ ..............................................................................................................................................................  เหน็ สมควรอนมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน  เห็นสมควรไมอ่ นุมตั ิให้ใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอน เพราะ.......................................... ............................................................................................................................................................. ลงชื่อ............................................................ (นายนพดล ธรรมใจอุด) รองผู้อำนวยการโรงเรียนฝา่ ยบริหารวิชาการ

การอนมุ ัติจากผูอ้ ำนวยการโรงเรียน  อนุมตั ใิ ห้ใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน  ไมอ่ นุมัตใิ ห้ใช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ.............................................................. .............................................................................................................................................................. ลงชือ่ ....................................................................................... (นางวลิ าวัลย์ ปาลี) ผอู้ ำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา

กิจกรรมที่ 1.2 จรวดกระดาษ ของใครบนิ ได้นานทสี่ ุด คำส่ัง ใหน้ ักเรยี นสรา้ งจรวดกระดาษพับโดยใช้กระดาษเพียงแผน่ เดยี ว จดุ ประสงค์ พับกระดาษแล้วสังเกตการเคลอ่ื นท่ขี องจรวดและสามารถอธบิ ายทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ได้จาก กจิ กรรม วัสดอุ ุปกรณ์ 1. กระดาษขนาด A4 คนละ 1 แผ่น วธิ กี าร 1. ใหน้ กั เรยี นศึกษารูปแบบของจรวดกระดาษพบั วา่ รูปแบบใดส่งผลใหร้ อ่ นในอากาศไดน้ านท่สี ดุ 2. ใหน้ กั เรียนปฏบิ ัตกิ จิ กรรมโดยการพบั จรวดกระดาษตามรปู แบบท่ีศกึ ษาไว้ 3. ให้นกั เรียนทดสอบจรวดกระดาษพบั ของนักเรยี นแลว้ ปรับปรงุ 4.ทดสอบการร่อนของจรวดพร้อมจบั เวลาท่สี ามารถรอ่ นอยู่ได้ในอากาศ

แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 4 เร่อื ง สารบรสิ ุทธแ์ิ ละสารผสม รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว21101 เวลา 2 คาบ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ สารบรสิ ทุ ธิ์ รวม 22 คาบ กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1 ภาคเรียนท่ี 1 สาระท่ี 2 ช่อื สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ช้ีวดั มาตรฐานการเรียนรู้ - ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิด สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี ตัวช้วี ัด - ม.1/4 เปรยี บเทยี บจดุ เดือดจุดหลอมเหลวของสารบรสิ ุทธิ์และสารผสม โดยการวัดอณุ หภูมิ เขียนกราฟ แปลความหมายข้อมลู จากกราฟ หรือสารสนเทศ 2. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด สาระสาํ คัญ สารบริสทุ ธป์ิ ระกอบด้วยสารเพียงชนิดเดยี ว ส่วนสารผสมประกอบด้วยสารต้งั แต่ 2 ชนดิ ขึ้น ไป สารบริสทุ ธิ์แตล่ ะชนิดมสี มบัติบางประการทีเ่ ป็นคา่ เฉพาะตวั เชน่ จดุ เดอื ดและจุดหลอมเหลวคงที่ แต่สารผสม มจี ดุ เดือดและจดุ หลอมเหลวไมค่ งท่ี ขึน้ อยกู่ บั ชนิดและสัดสว่ นของสารท่ีผสมอยู่ด้วยกัน 3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1) ด้านความรู้ (K) นักเรยี นสามารถอธบิ ายความแตกต่างระหว่างสารบรสิ ทุ ธ์แิ ละสารผสมได้ 2) ด้านกระบวนการ (P) นกั เรยี นจำแนกตัวอยา่ งระหวา่ งสารบริสุทธ์ิและสารผสมได้ 2) ดา้ นเจตคติ (A) นกั เรียนตง้ั ใจเรยี นวทิ ยาศาสตร์ 4. คณุ ลักษณะผู้เรยี น อยู่อย่างพอเพียง ซ่ือสตั ยส์ จุ ริต ม่งุ ม่ันในการทำงาน 4.1 คุณลักษณะท่พี งึ ประสงค์ รกั ความเป็นไทย  ใฝเ่ รียนรู้ มีจติ สาธารณะ รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ มีวนิ ัย

5. ด้านสมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น  ความสามารถในการคดิ : นักเรยี นสามารถอธิบายความแตกต่างระหวา่ งสารบริสทุ ธแิ์ ละสารผสมได้ 6. สาระการเรยี นรู้ สารบรสิ ุทธ์ิ เป็นสารท่มี ีองค์ประกอบเพยี งชนิดเดียว สารผสมประกอบด้วยสารตัง้ แต่ 2 ชนิดข้ึนไป 7. กิจกรรมการเรยี นรู้ ใชร้ ปู แบบการจัดการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (120 นาที) ขั้นท่ี 1 กระต้นุ ความสนใจ (Engagement) (10 นาที) 1) ครูให้นักเรยี นสงั เกตภาพเกี่ยวกบั สิ่งของ 2 อย่างดงั น้ี ภาพท่ี 1 ที่มา : https://quizizz.com/admin/quiz/5b7973e08c375a001998aedc/-1 ภาพท่ี 2 ท่ีมา : https://th.aliexpress.com/item/32592135230.html 2) ครูถามนกั เรียนวา่ ภาพที่ครูให้นักเรยี นสงั เกตน้นั มคี วามแตกต่างหรอื เหมือนกันอยา่ งไรบ้าง ( แนวการตอบ ตามความคิดของนักเรยี นเอง เช่น ภาพแรกเป็นของแข็งเนื้อเดียวกนั ทั้งหมดมีการสะทอ้ นของแสง มีความมันวาว เป็นพวกโลหะ ส่วนภาพท่ี 2 นั้น เป็นลักษณะของของเหลวท่ีไม่เป็นเนื้อเดียวกัน สีแตกต่างกัน ออกไป ลกั ษณะท่ีกลา่ วถงึ นั้นเป็นลักษณะของของเหลวท่อี ยู่ในภาชนะแกว้ )

ขั้นที่ 2 ข้นั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (50 นาที) 1) ครูนำสื่อ power point เร่ืองสารบริสุทธิ์และสารเนื้อผสมให้นักเรียนศึกษา โดยภายในมี เนื้อหาและรูปภาพเก่ียวกับเรื่องดังกล่าว ตัวอย่างเช่น ภาพของน้ำส้ม เกลือแกง ก๋วยเต๋ียว ปูนซีเมนต์ น้ำเปล่า ทองคำ ฯลฯ 2) จากนั้นครูดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ โดยเม่ือเปิดภาพต่างๆท่ีกล่าวมาแล้วเบ้ืองต้น ครูจะสุ่ม เลขท่ีของนักเรียนโดยใช้โปรแกรมสุ่มเพ่ือสร้างความต่ืนเต้นให้นักเรียน จากน้ันเมื่อทำการสุ่มแล้ว เลขที่ที่โนสุ่ม ถามนั้นจะต้องตอบคำถามว่าภาพท่ีเปิดมาน้ันจัดเป็นสารบริสุทธ์ิหรือสารเนื้อผสม โดยท่ีครูไม่ได้บอกนักเรียนว่า เปน็ คำตอบทถี่ กู ตอ้ งหรือผดิ 3) เม่ือดำเนินกิจกรรมเรียบร้อยแล้วครูให้นักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือ ซ่ึงโดยส่วนใหญ่แล้ว นักเรียนทุกคนจะมี เพ่ือให้เกิดประโยชน์ครูให้นักเรียนน้ันเปิดหาขอ้ มูลเก่ียวกับสารบริสทุ ธ์ิและสารผสม โดยการ หาขอ้ มลู นี้นักเรียนจะตอ้ งสรุปออกมาในรปู แบบของแผนผงั ความคดิ ลงในสมดุ ของนกั เรยี นเอง ขน้ั ที่ 3 ขัน้ อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) (30 นาที) 1) ครูให้นักเรยี นสง่ ตัวแทนกลมุ่ ออกมานำเสนอหนา้ ชัน้ เรยี น 2) ครูร่วมกับนักเรียนสรุปความแตกต่างระหว่างสารบริสุทธ์ิกับสารเนื้อผสม โดยกล่าวดังนี้สาร เนือ้ เดียว ( Homogeneous Substance ) หมายถงึ สารท่มี ีลักษณะของเนื้อสารผสมกลมกลืนกันเป็นเนื้อเดียว และมีอัตราส่วนของผสมเท่ากัน ถ้านำส่วนใดส่วนหน่ึงของสารเนื้อเดียวไปทดสอบจะมีสมบัติเหมือนกันทุก ประการ เช่น น้ำกลั่นและเกลือแกง เป็นสารเนื้อเดียว เม่ือนำเกลือแกงใส่ในน้ำแล้วคนให้ละลายจะได้ สารละลายนำ้ เกลือ ซ่งึ เปน็ สารเนอื้ เดียวท่มี อี ัตราส่วนของนำ้ และเกลือแกงเหมอื นกนั ทุกส่วน สารเนอ้ื เดยี วมีได้ท้ัง 3 สถานะ คอื 1.สารเน้ือเดียวสถานะของแข็ง เช่น เหล็ก ทองคำ ทองแดง สังกะสี อะลมู เิ นยี ม นาก ฟวิ ส์ ทองเหลอื ง หินปูน เกลอื แกง นำ้ ตาลทราย เป็นต้น 2.สารเน้ือเดียวสถานะของเหลว เช่น น้ำกลั่น น้ำเกลือ น้ำส้มสายชู น้ำอัดลม นำ้ มนั พืช เอทานอล น้ำเช่ือม นำ้ นม เปน็ ตน้ 3.สารเน้ือเดียวสถานะแก๊ส เช่น อากาศ แกส๊ หงุ ต้ม แกส๊ ออกซิเจน แก๊ส ไนโตรเจน แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ เปน็ ต้น นักวทิ ยาศาสตรจ์ ำแนกสารเนอื้ เดียวออกเป็น 2 ประเภท คอื 1.สารบริสุทธ์ิ ( Pure Substance ) เป็นสารเน้ือเดียวที่ประกอบด้วยสาร เพียงอยา่ งเดียว ไมม่ ีสารอน่ื เจอื ปน ไดแ้ ก่ ธาตแุ ละสารประกอบ

2.สารไม่บริสุทธ์ิ เป็นสารเน้ือเดียวท่ีประกอบด้วยสารบริสุทธิ์ต้ังแต่ 2 ชนิดขึ้นไปดว้ ยอัตราส่วนที่ไมแ่ น่นอน ไม่มีปฏิกิริยาเคมีเกิดข้ึน สารท่ีเกิดใหม่จะมีสมบัติไม่คงท่ีข้ึนอยู่กับปริมาณ ของสารบริสทุ ธท์ิ ี่นำมาผสมกนั ไดแ้ ก่ สารละลาย คอลลอยด์ ธาตุ ( Element ) เป็นสารบริสุทธ์ิท่ีประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียว ธาตุจึงไม่ สามารถแบ่งย่อยลงไปได้อีกเนื่องจากอะตอมท้ังหมดในสารนั้นเป็นชนิดเดียวกัน อะตอมของธาตุบางชนิดอยู่ รวมกันเป็นผลึก เช่น ธาตุเหล็ก ( Fe ) ธาตุทองคำ ( Au ) ธาตุสังกะสี ( Zn ) ธาตุเงิน ( Ag ) เป็นต้น ธาตุ บางชนิดมีอะตอมอยรู่ วมกันเป็นโมเลกุล เช่น ธาตุออกซิเจน ( O2 ) ธาตุไนโตรเจน (N2 ) ธาตุคลอรีน (Cl2 ) ธาตุฟอสฟอรัส (P4 )ธาตุกัมมะถัน (S8 ) เป็นต้น ธาตุบางชนิดอะตอมจะอยู่อย่างอิสระเพียงลำพัง เช่น ธาตุ ฮเี ลียม ( He ) ธาตุนอี อน ( Ne ) และธาตุอาร์กอน ( Ar ) ซ่งึ จัดเป็นธาตุเฉอื่ ย สารประกอบ ( Compound ) เป็นสารบริสุทธิ์ท่ีประกอบด้วยอะตอมของธาตุต้ังแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมา รวมกันทางเคมีด้วยอัตราส่วนที่คงที่เกดิ เปน็ สารชนิดใหมท่ ่ีมีสมบัตแิ ตกต่างไปจากเดิมอยา่ งเด่นชดั เชน่ โซเดียม ( Na ) เปน็ โลหะสีเงนิ อ่อน-ขาวทำปฏิกริ ิยากับน้ำ กับ คลอรีน ( Cl ) เป็นแกส๊ พิษสีเหลอื ง-อมเขยี ว มีกล่ินฉนุ ว่องไว ตอ่ ปฏิกิรยิ า เมอื่ นำมารวมกันทางเคมี จะไดโ้ ซเดยี มคลอไรด์ ( NaCl ) หรือเกลอื แกง ซง่ึ เป็นของแข็งสีขาว รสเค็ม ละลายน้ำได้ดี รับประทานได้ เป็นต้นโดยทั่วไปสัญลักษณ์ที่ใช้เขียนแทนชื่อสารประกอบจะอยู่ในรูปของสูตร โมเลกลุ ส่วน สารเน้ือผสม ( Heterogeneous Substance ) หมายถึง สารที่มีลักษณะของเนื้อสารคละกัน ไม่ ผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน สารท่ีเป็นส่วนผสมแต่ละชนิดก็ยังคงแสดงสมบัติของสารเดิม เพราะเป็นการ รวมกันทางกายภาพไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเกิดขึ้น เราสามารถใช้ตาเปล่าสังเกตและจำแนกได้ว่าสารเนื้อ ผสมนั้นประกอบด้วยสารใดบา้ ง และสามารถแยกสารเหล่าน้ันออกจากกันไดโ้ ดยวิธีทางกายภาพธรรมดา โดยไม่ ทำให้สมบตั เิ ดมิ เปลย่ี นแปลงไป สารเนอ้ื ผสมมไี ด้ท้ัง 3 สถานะ เชน่ 1. สารเนือ้ ผสมสถานะของแขง็ เชน่ ทราย คอนกรีต ดิน เปน็ ต้น 2. สารเนอ้ื ผสมสถานะของเหลว เช่น น้ำคลอง นำ้ โคลน น้ำจ้ิมไก่ เป็นตน้ 3. สารเนือ้ ผสมสถานะแก๊ส เชน่ ฝุ่นละอองในอากาศ เขม่า ควันดำในอากาศ เปน็ ต้น สารแขวนลอย ( Suspension ) สารแขวนลอยเป็นสารผสมทอี่ นุภาคของแข็งมขี นาดใหญก่ ว่า เซนตเิ มตร แขวนลอยอยู่ในตัวกลางท่ีเป็นของเหลว มีลักษณะเป็นสารเน้ือผสมที่อนุภาคไม่รวมเป็นเน้ือเดียวกัน สามารถ มองเห็นสารผสมได้อย่างชัดเจน อาจแขวนลอยอยู่ในของเหลวหรือตกตะกอนเมื่อต้ังทิ้งไว้ อนุภาคของสาร แขวนลอยไม่สามารถผ่านกระดาษกรองและกระดาษเซลโลเฟนได้ เช่น ผงถา่ นในน้ำ น้ำคลอง น้ำโคลน น้ำสม้ ค้น นำ้ จ้มิ ไก่ แป้งมนั ในนำ้ เปน็ ต้น

โดยสามารถเขียนเป็นแผนผังได้ดังน้ี ขัน้ ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที) 1) ครอู ธบิ ายเพิม่ เติม เร่ือง การจำแนกประเภทของสาร ดงั นี้ ในการศกึ ษาเร่ืองสาร จำเป็นต้องแบ่งสารออกเป็นหมวดหมู่ เพือ่ ให้ง่ายตอ่ การจดจำสาร โดยทัว่ ไปนิยม ใชส้ มบตั ทิ างกายภาพด้านใดด้านหนง่ึ ของสารเปน็ เกณฑใ์ นการจำแนกสารซง่ึ มหี ลายเกณฑ์ด้วยกนั เชน่ 1.ใชส้ ถานะเปน็ เกณฑ์ จะแบง่ สารออกได้เปน็ 3 กล่มุ คอื 1.1 ของแขง็ ( solid ) 1.2 ของเหลว ( liquid ) 1.3 ก๊าซ ( gas )ใช้ 2.ใชค้ วามเป็นโลหะเป็นเกณฑ์ แบง่ ได้เป็น 3 กลมุ่ คอื 2.1 โลหะ ( metal) 2.2 อโลหะ ( non-metal 2.3 กึง่ โลหะ ( metaliod ) 3.ใช้การละลายนำ้ เป็นเกณฑ์ แบง่ ได้ 2 กลุ่ม คอื 3.1 สารทล่ี ะลายนำ้ 3.2 สารท่ีไมล่ ะลายนำ้ 4.ใชเ้ นือ้ สารเปน็ เกณฑ์ แบ่งออกเป็น 2 กล่มุ คือ 4.1 สารเนือ้ เดียว ( homogeneous substance ) 4.2 สารเนื้อผสม ( heterogeneous substance )

2) ครูให้นักเรยี นดสู ่ือออนไลนเ์ กย่ี วกับเรื่องสารบริสทุ ธิแ์ ละสารผสม ขั้นที่ 5 ขัน้ ประเมิน (Evaluation) (5 นาที) 1) ครูให้นักเรียนตอบคำถามโดยให้นักเรียนอธิบายความแตกต่างระหว่างสารบริสุทธิ์และสาร ผสม 2) การเขยี นแผนผังความคดิ เรือ่ งสารบรสิ ุทธ์ิและสารผสมในสมดุ 8. สื่อการเรียนรู้ / แหลง่ เรียนรู้ 8.1 ส่อื ออนไลน์และภาพประกอบการเรยี นรู้ 8.2 สอ่ื power point เรอื่ งสารบริสุทธิแ์ ละสารเน้ือผสม 8.3 หนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์พ้นื ฐาน ม.1

9. การวัดและการประเมิน ตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้ วิธกี ารวัด เคร่อื งมือวัด เกณฑท์ ่ใี ช้ในการประเมนิ 1 ดา้ นความรู้ :นักเรียน - การตอบคำถามนักเรียน - แบบประเมนิ การตอบ ผา่ นเกณฑ์ระดบั คุณภาพ 2 สามารถอธิบายความ คำถาม แตกต่างระหว่างสาร - การตอบคำถามนักเรียน ผา่ นเกณฑ์ระดับคุณภาพ 2 บริสุทธแิ์ ละสารผสมได้ - แบบประเมินการตอบ 2. ดา้ นกระบวนการ : - การสังเกตพฤตกิ รรมใน คำถาม ผ่านเกณฑร์ ะดับคุณภาพ 2 นกั เรยี นจำแนกตวั อยา่ ง การเรยี น ระหวา่ งสารบรสิ ุทธิแ์ ละ - แบบประเมินการสังเกต สารผสมได้ 3. ด้านเจตคติ : นกั เรียน ตง้ั ใจเรยี นวทิ ยาศาสตร์ 10. กจิ กรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชอื่ ผู้สอน (นางสาวจริ นันท์ เกตทุ หาร) 11. ขอ้ คิดเห็นของหัวหนา้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชื่อ............................................................... (นายนนั ท์ ก้อคำ) หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

12. ข้อคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุม่ งานบรหิ ารวชิ าการ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชือ่ ............................................................... (....................................................) ผูช้ ่วยผู้อำนวยการกลมุ่ งานบริหารวิชาการ การอนุมตั กิ ารใช้แผนการจัดการเรียนรูจ้ ากฝา่ ยบริหาร ความคดิ เหน็ ของรองผู้อำนวยการฝ่ายวชิ าการ ..............................................................................................................................................................  เหน็ สมควรอนมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน  เหน็ สมควรไมอ่ นมุ ตั ใิ ห้ใช้ในการจัดการเรยี นการสอน เพราะ.......................................... ............................................................................................................................................................. ลงช่อื ............................................................ (นายนพดล ธรรมใจอดุ ) รองผู้อำนวยการโรงเรยี นฝา่ ยบริหารวชิ าการ การอนุมัติจากผู้อำนวยการโรงเรยี น  อนมุ ัตใิ ห้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน  ไมอ่ นุมัติให้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ.............................................................. .............................................................................................................................................................. ลงชอื่ ....................................................................................... (นางวลิ าวัลย์ ปาลี) ผูอ้ ำนวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา

แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 5 เรอื่ ง จดุ เดอื ดของสารบริสุทธ์ิและสารผสม รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว21101 เวลา 2 คาบ หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 2 ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ สารบริสทุ ธ์ิ รวม 22 คาบ กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 ภาคเรยี นที่ 1 สาระที่ 2 ชื่อสาระ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชีว้ ัด มาตรฐานการเรยี นรู้ - ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะของสสาร การเกิด สารละลาย และการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี ตัวชวี้ ัด - ม.1/4 เปรียบเทียบจุดเดือดจุดหลอมเหลวของสารบริสุทธิ์และสารผสม โดยการวดั อณุ หภมู ิ เขียนกราฟ แปลความหมายขอ้ มูลจากกราฟ หรือสารสนเทศ 2. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด สาระสําคญั สารบริสทุ ธิป์ ระกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียว ส่วนสารผสมประกอบดว้ ยสารต้ังแต่ 2 ชนิดขึ้น ไป สารบริสุทธิแ์ ต่ละชนดิ มสี มบัตบิ างประการทีเ่ ปน็ ค่าเฉพาะตัว เช่น จดุ เดือดและจดุ หลอมเหลวคงที่ แต่สารผสม มจี ุดเดือดและจดุ หลอมเหลวไม่คงท่ี ขึน้ อยู่กับชนิดและสัดส่วนของสารทผ่ี สมอยู่ดว้ ยกัน 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ดา้ นความรู้ (K) นักเรียนสามารถอธบิ ายความหมายของจุดเดือดได้ 2) ด้านกระบวนการ (P) นักเรยี นสามารถปฏิบัติกจิ กรรมจุดเดอื ดของสารบริสุทธ์กิ ับสารผสมแตกต่างกนั อย่างไรได้ 3) ดา้ นเจตคติ (A) นกั เรยี นเสร็จแลว้ เก็บอุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการทดลองเขา้ ท่ีใหเ้ รยี บร้อย

4. คุณลักษณะผู้เรยี น อยู่อย่างพอเพียง ซอ่ื สัตยส์ จุ ริต มุ่งมน่ั ในการทำงาน 4.1 คุณลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์ รักความเปน็ ไทย  ใฝเ่ รยี นรู้ มีจิตสาธารณะ รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ มวี ินยั 5. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น  ความสามารถในการคิด: นกั เรียนสามารถอธบิ ายความหมายของจุดเดือดได้ 6. สาระการเรยี นรู้ จดุ เดอื ด คือ อุณหภมู ทิ ่ีของเหลวเปล่ยี นสถานะเป็นแกส๊ ท่ัวทัง้ ภาชนะ 7. กจิ กรรมการเรยี นรู้ ใช้รูปแบบการจดั การเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (120 นาที) ขน้ั ท่ี 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) (15 นาที) 1) ครูให้นักเรียนสังเกตภาพ 3 ภาพ ซึ่งมีสถานะเป็นของแข็งเหมือนกันและจัดเป็นพวกโลหะ ท้งั หมด โดยทงั้ 3 ภาพน้ีมคี วามแตกตา่ งกนั อยา่ งไรหรอื เหมอื นกันอยา่ งไร โดยใหน้ กั เรียนอภิปราย ท่ีมา : http://www.thanasarn.co.th/product ทีม่ า : https://th.aliexpress.com/item/32816769643.html

ท่มี า : https://www.greenvci.co.th 2) ครถู ามนักเรยี นว่านกั เรียนสังเกตเหน็ อะไรในภาพ (นกั เรยี นตอบตามความเข้าใจของนักเรยี น) 3) สงิ่ ท่ีเหน็ ในภาพมีลกั ษณะเหมือนและแตกตา่ งกนั อยา่ งไร (นักเรยี นตอบคําถามตามความ เข้าใจของนกั เรยี น เช่น เปน็ ของแข็งและมนั วาว เหมือนกัน แต่มรี ปู รา่ งท่แี ตกต่างกันลกั ษณะเปน็ กอ้ น คดโคง้ ) 4) ถ้านักเรียนต้องการทราบว่าส่ิงที่เห็นในภาพเป็นสารผสมหรือสารบริสุทธิ์จะต้องทําอย่างไร (นักเรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง เช่น นำไปทดลอง นําไปแยกสาร หรืออื่นๆ) 5) ตรวจสอบความรู้เดิมเกยี่ วกับจุดเดือดจุดหลอมเหลวของสารบรสิ ุทธิแ์ ละสารผสมของนกั เรียน โดยให้ทํากิจกรรม รู้อะไรบ้างก่อนเรียน นักเรียนสามารถเขียนได้ตามความเข้าใจของนักเรียน โดยครูไม่เฉลย คําตอบ และครูนําข้อมูลจากการความรเู้ ดิมของนกั เรียนน้ไี ปใช้ในการวางแผนการจดั การเรียนรู้ว่าควรเน้นยำ้ หรือ อธิบายเร่อื งใดเป็นพิเศษ ขน้ั ที่ 2 ข้นั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (50 นาที) 1) ครูให้นกั เรยี นทำกจิ กรรมท่ี 2.1 จุดเดอื ดของสารบรสิ ทุ ธิ์กับสารผสมแตกต่างกนั อยา่ งไร 2) ใหน้ กั เรยี นอา่ นวิธกี ารดําเนินกจิ กรรมในหนังสอื เรียนและปฏิบัติ 3) ขณะท่ีปฏิบัติกิจกรรมครเู นน้ ย้ำเรือ่ งความปลอดภัยเน่ืองจากมกี ารใชไ้ ฟในการทดลอง ดังนั้น หา้ มนกั เรยี นเลน่ กนั ขณะปฏบิ ัติกจิ กรรม ขน้ั ท่ี 3 ขัน้ อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) (15 นาที) 1) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจากกิจกรรมท่ีได้ดำเนินไปโดยใช้คำถามเพื่อกระตุ้นความคิด ของนกั เรียนดังตอ่ ไปน้ี 1.1 กจิ กรรมนีเ้ กี่ยวกับเรือ่ งอะไร (จุดเดือดของสารบรสิ ุทธ์แิ ละสารผสม) 1.2 สารบริสุทธิ์และสารผสมท่ีใช้เป็นสารตัวอย่างในกิจกรรมน้ีคือสารใด (สารบริสุทธิ์ คือนำ้ กล่ัน สารผสมคือสารละลายโซเดียมคลอไรด)์ 1.3 จดุ ประสงคข์ องกิจกรรมนีค้ ืออะไร (นกั เรียนตอบตามความคิดของตนเอง)

1.4 วิธีการดำเนินกิจกรรมมีขน้ั ตอนโดยสรุปอย่างไร (วัดอุณหภมู ิเริ่มตน้ ของสารก่อนให้ ความร้อน และเมื่อให้ความร้อนสังเกตการเปล่ียนแปลงของสารและบันทึกอุณหภูมิที่เปล่ียนแปลงไปทุก ๆ 30 วินาทีจนกระทั่งน้ำเดือด และให้ความร้อนต่อไปอีก 2 นาทีจึงดับตะเกียงแอลกอฮอล์ นำผลที่ได้จากการทำ กจิ กรรมมาเขียนกราฟและวิเคราะห์การเปลยี่ นแปลงอณุ หภูมขิ องน้ำกลัน่ และสารละลายโซเดยี มคลอไรด)์ 1.5 สังเกตได้อย่างไรว่าของเหลวเร่ิมเดือดและกำลังเดือด (เมื่อสารเร่ิมเดือดจะมี ฟองอากาศเล็กๆ ที่ก้นบีกเกอร์แล้วลอยขึ้นสู่ด้านบน ขณะเดือดสังเกตเห็นไอน้ำปริมาณมาก มีฟองอากาศขนาด ใหญ่เกิดขึ้นทว่ั ทง้ั ภาชนะ) 1.6 จากน้ันครูใหค้ วามรู้เบ้อื งต้นว่า จดุ เดือด คือ อุณหภมู ิท่ีของเหลวเปลยี่ นสถานะเป็น แก๊สทั่วท้ังภาชนะ 1.7 ครูถามต่อไปว่าข้อควรระวังการทำกิจกรรมนี้มีหรือไม่อย่างไร (การใช้ความร้อน จากตะเกียงแอลกอฮอล์ควรปฏิบัตอิ ยา่ งระมดั ระวงั ตามข้อแนะนำในหนงั สือเรยี น) 2) ครูเช่ือมโยงความรู้เก่ียวกับจุดเดือดของสารบริสุทธิ์และสารผสมเพื่อให้ได้ข้อสรุปว่าสาร บริสุทธ์มิ ีจุดเดือดคงท่ีและสารผสมมีจุดเดือดไม่คงที่ เช่น นำ้ กล่นั เปน็ สารบรสิ ทุ ธ์ิมอี งค์ประกอบเพยี งชนดิ เดียว จุด เดือดคงท่ี สารบริสทุ ธ์ิอ่นื ๆ ก็มีจุดเดือดคงที่เช่นเดียวกับน้ำกลั่น เช่น ปรอทมีจุดเดือด 356.7 °C กลเี ซอรอลมีจุด เดือด 290 °C ส่วนสารละลายโซเดียมคลอไรด์เป็นสารผสม ประกอบด้วยน้ำกลั่นกับโซเดียมคลอไรด์ มี องค์ประกอบมากกว่า 1 ชนิด ขณะเดือดอัตราส่วนผสมระหว่างน้ำกลั่นกับโซเดียมคลอไรด์จะเปล่ียนแปลงไปไม่ คงท่ี จดุ เดอื ดจงึ ไมค่ งที่ สารผสมอน่ื ๆ ก็มจี ดุ เดือดไมค่ งท่เี ช่นกัน เชน่ นำ้ เช่ือม สารละลายเอทานอล 3) ครูให้ตัวแทนกลมุ่ ของนักเรยี นแตล่ ะกล่มุ ออกมาแสดงความรสู้ กึ ในการปฏิบัตกิ ิจกรรม ข้ันที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที) 1) ครูให้นักเรียนดูสื่อออนไลน์เพ่ิมเติมเกี่ยวกับจุดเดือดของสาร เพื่อเป็นการทบทวนและสร้าง ความเข้าใจมากยิ่งขน้ึ

2) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนน้นั ได้ถามคำถาม โดยแต่ละกลุ่มให้ต้ังคำถามเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนไป อย่างน้อย 1 คำถามตอ่ 1 กลมุ่ ขัน้ ที่ 5 ข้ันประเมนิ (Evaluation) (15 นาที) 1) ครูประเมินจากกิจกรรมท่ี 2.1 จุดเดือดของสารบริสุทธ์ิกับสารผสมแตกต่างกันอย่างไร การ ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมกลุ่ม 2) การตอบคำถามในชน้ั เรียน 8. ส่ือการเรยี นรู้ / แหล่งเรียนรู้ 8.1 กิจกรรมที่ 2.1 จุดเดอื ดของสารบรสิ ทุ ธิก์ บั สารผสมแตกต่างกันอย่างไร ( ตามหนงั สอื เรียน สสวท.) 8.2 สื่อออนไลน์ 8.3 หนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์พ้ืนฐาน ม.1 9. การวดั และการประเมิน ตัวชว้ี ัด/ผลการเรยี นรู้ วิธกี ารวัด เคร่อื งมือวดั เกณฑ์ท่ีใช้ในการประเมนิ 1 ด้านความรู้ :นักเรียน - การตอบคำถามนกั เรียน - แบบประเมินการตอบ ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ 2 สามารถอธิบาย ในชัน้ เรยี น คำถาม ความหมายของจุดเดอื ด ผา่ นเกณฑร์ ะดบั คุณภาพ 2 ได้ - ตรวจสอบการปฏบิ ตั ิ - แบบประเมินการทำงาน 2. ดา้ นกระบวนการ : กิจกรรมที่ 2.1 จดุ เดือด กล่มุ ผ่านเกณฑร์ ะดบั คุณภาพ 2 นกั เรยี นสามารถปฏิบตั ิ ของสารบริสุทธก์ิ บั สาร กิจกรรมจดุ เดอื ดของสาร ผสมแตกตา่ งกันอยา่ งไร - แบบประเมินการสังเกต บรสิ ุทธิ์กบั สารผสม แตกตา่ งกันอย่างไรได้ - การสงั เกตพฤติกรรม 3. ด้านเจตคติ : นกั เรียน นกั เรยี น เสรจ็ แลว้ เก็บอุปกรณท์ ี่ใช้ ในการทดลองเข้าทีใ่ ห้ เรียบร้อย

10. กิจกรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชอ่ื ผู้สอน (นางสาวจิรนันท์ เกตทุ หาร) 11. ขอ้ คิดเห็นของหวั หนา้ กลุม่ สาระการเรียนรู้ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงช่อื ............................................................... (นายนันท์ ก้อคำ) หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 12. ขอ้ คดิ เห็น/ข้อเสนอแนะผชู้ ว่ ยผอู้ ำนวยการกลุม่ งานบริหารวิชาการ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงช่อื ............................................................... (....................................................) ผชู้ ่วยผูอ้ ำนวยการกลมุ่ งานบรหิ ารวิชาการ การอนมุ ัตกิ ารใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรจู้ ากฝ่ายบรหิ าร ความคิดเหน็ ของรองผ้อู ำนวยการฝ่ายวชิ าการ ..............................................................................................................................................................  เห็นสมควรอนุมัตใิ ห้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน  เห็นสมควรไม่อนุมตั ใิ ห้ใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน เพราะ.......................................... ............................................................................................................................................................. ลงช่ือ............................................................ (นายนพดล ธรรมใจอุด) รองผอู้ ำนวยการโรงเรยี นฝา่ ยบรหิ ารวิชาการ

การอนมุ ัติจากผูอ้ ำนวยการโรงเรียน  อนุมตั ใิ ห้ใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน  ไมอ่ นุมัตใิ ห้ใช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ.............................................................. .............................................................................................................................................................. ลงชือ่ ....................................................................................... (นางวลิ าวัลย์ ปาลี) ผอู้ ำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา

แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรอ่ื ง จดุ หลอมเหลวของสารบริสุทธิแ์ ละสารผสม รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว21101 เวลา 2 คาบ หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 ช่อื หน่วยการเรียนรู้ สารบรสิ ุทธ์ิ รวม 22 คาบ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 1 ภาคเรียนท่ี 1 สาระท่ี 2 ช่ือสาระ วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวชว้ี ดั มาตรฐานการเรียนรู้ - ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสร้างและแรงยึดเหน่ียวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิด สารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี ตัวชี้วัด - ม.1/4 เปรียบเทียบจดุ เดือดจุดหลอมเหลวของสารบริสุทธ์ิและสารผสม โดยการวัดอุณหภูมิ เขียนกราฟ แปลความหมายขอ้ มลู จากกราฟ หรอื สารสนเทศ 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด สาระสาํ คัญ สารบริสทุ ธิ์ประกอบดว้ ยสารเพียงชนดิ เดยี ว ส่วนสารผสมประกอบดว้ ยสารต้งั แต่ 2 ชนดิ ข้ึน ไป สารบริสทุ ธิ์แต่ละชนิดมสี มบัติบางประการท่ีเปน็ ค่าเฉพาะตวั เช่น จุดเดือดและจุดหลอมเหลวคงท่ี แต่สารผสม มีจุดเดือดและจดุ หลอมเหลวไมค่ งท่ี ข้ึนอยกู่ บั ชนิดและสัดสว่ นของสารที่ผสมอยู่ดว้ ยกัน 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ดา้ นความรู้ (K) นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายของจุดหลอมเหลวได้ 2) ด้านกระบวนการ (P) นกั เรยี นสามารถปฏิบตั ิกิจกรรมการบนั ทึกจดุ หลอมเหลวของสารบรสิ ุทธกิ์ ับสาร ผสมจากวิดิโอสาธติ การทดลองได้ 3) ดา้ นเจตคติ (A) นกั เรียนตั้งใจเรยี นวทิ ยาศาสตร์ 4. คุณลกั ษณะผู้เรยี น อยู่อย่างพอเพียง ซอ่ื สัตยส์ ุจรติ มงุ่ มน่ั ในการทำงาน 4.1 คุณลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ รกั ความเปน็ ไทย  ใฝ่เรยี นรู้ มจี ติ สาธารณะ รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ มวี นิ ัย

5. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น  ความสามารถในการคดิ : นกั เรยี นสามารถอธิบายความหมายของจุดเดอื ดได้ 6. สาระการเรยี นรู้ จุดหลอมเหลว(melting point) คือ อุณหภมู ิท่ขี องแข็งเปลีย่ นสถานะเปน็ ของเหลว 7. กิจกรรมการเรยี นรู้ ใช้รูปแบบการจดั การเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (120 นาที) ขัน้ ที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engagement) (15 นาที) 1) ครูและนักเรียนร่วมสนทนาเกี่ยวกับสารบริสุทธ์ิมีจุดเดือดคงท่ีในขณะท่ีสารผสมมีจุดเดือดไม่ คงท่ีครูอาจใช้คำถามนำต่อไปว่าจุดหลอมเหลวของสารบริสุทธิ์และสารผสมจะเป็นอย่างไรเพราะเหตุใด โดยท่ีครู ใหน้ กั เรียนตอบคำถามน้ลี งในสมดุ ของตัวเอง ครไู ม่บอกคำตอบนกั เรยี นเพ่อื นำไปสู่การปฏิบตั ิกจิ กรรมตอ่ ไป 2) ครูมีภาพประกอบอยู่ 2 ภาพ ภาพที่ 1 เป็นแก้วพลาสติก และ ภาพที่ 2 เป็นยางรถ มอเตอรไ์ ซค์ ดงั ภาพ ภาพท่ี 1 ที่มา : https://www.goodchoiz.com ภาพที่ 2 ท่มี า : https://thai.bestpriceupdate.com 3) ครูเปิดประเด็นคำถาม โดยถามนกั เรยี นว่า หากนักเรียนนำวสั ดุ 2 ช้นิ ดังกล่าวข้างตน้ นำไปเผา ไฟ จะเกิดอะไรขึ้น แล้วนักเรียนคิดว่าวัสดุช้ินไหนท่ีหลอมเหลวก่อน ( แนวการตอบข้ึนอยู่กับความเข้าใจของ นักเรยี น ประมาณวา่ เมื่อเผาไฟแกว้ พลาสตกิ จะหลอมเหลวก่อนยางรถเนอื่ งจากมีจุดหลอมเหลวท่ีแตกต่างกัน )

ขั้นท่ี 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) (50 นาที) 1) ครใู หน้ ักเรยี นทำกจิ กรรมที่ 2.2 จดุ หลอมเหลวของสารบรสิ ทุ ธกิ์ ับสารผสมแตกต่างกันอยา่ งไร 2) ให้นักเรียนอา่ นวธิ กี ารดาํ เนนิ กจิ กรรมในหนงั สือเรยี น สสวท.และปฏบิ ตั ิตาม 3) ครูเปิดวิดิโอสาธติ การทดลองในเรือ่ งจดุ หลอมเหลวของสารบรสิ ทุ ธก์ิ บั สารผสม ภาพวิดโิ อสาธติ การทดลองเร่ืองจดุ หลอมเหลวของสารบรสิ ทุ ธก์ิ ับสารผสม ขั้นที่ 3 ข้นั อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) (15 นาที) 1) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายจากกิจกรรมที่ได้ดำเนินไปโดยใช้คำถามเพ่ือกระตุ้นความคิด ของนักเรยี นดังต่อไปนี้ 1.1 กจิ กรรมนี้เก่ยี วกับเร่อื งอะไร (จุดหลอมเหลวของสารบริสุทธแิ์ ละสารผสม) 1.2 จุดประสงค์ของกจิ กรรมนค้ี อื อะไร (นกั เรยี นตอบตามความคดิ ของตนเอง) 1.3 วธิ ดี ําเนนิ กิจกรรมมขี ั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (วเิ คราะห์ข้อมูลเก่ียวกับช่วงอณุ หภูมทิ ่ี หลอมเหลวของแนฟทาลีนและกรดเบนโซอิกในแนฟทาลีนท่ีมีอัตราส่วนต่างกันจากตารางจากนั้นหาจุด หลอมเหลวของสารและอภิปรายร่วมกันเพ่ือเปรียบเทียบช่วงอุณหภูมิท่ีหลอมเหลว และจุดหลอมเหลวของแนฟ แนฟทาลนี และกรดเบนโซอกิ ในแนฟทาลีน ) 1.4 จากน้ันครูให้ความรู้เบ้ืองต้นว่า จุดหลอมเหลว(melting point) คือ อุณหภูมิที่ ของแข็งเปลย่ี นสถานะเป็นของเหลว 1.5 ให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายโดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการนำเสนอและตอบคำถามท้าย กจิ กรรม จากน้ันครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายคำตอบร่วมกันเพ่ือให้นักเรียนสรุปได้ว่าจุดหลอมเหลวของแนฟ ทาลีนท้ัง3คร้ังมีค่าใกล้เคียงกัน แนฟทาลีนซ่ึงเป็นสารบริสุทธิ์ไม่ได้หลอมเหลวจนหมดที่อุณหภูมิเดียวกัน และมี ช่วงอุณหภูมทิ ี่หลอมเหลวค่อนขา้ งแคบ ส่วนกรดเบนโซอิกในแนฟทาลีนมีช่วงอุณหภมู ิทห่ี ลอมเหลวค่อนขา้ งกว้าง และจดุ หลอมเหลวไม่คงท่ขี ึ้นอยกู่ บั อัตราสว่ นของสารผสมนัน้ ๆ

2) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหาเรื่องจุดหลอมเหลว กล่าวคือจุดหลอมเหลว(melting point) คือ อุณหภูมิที่ของแข็งเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว ซึ่งสารแต่ละชนิดมีจุดหลอมเหลวแตกต่างกันโดยสาร บริสทุ ธ์ิมจี ุดหลอมเหลวคงที่ เนื่องจากประกอบด้วยสารเพียงอย่างเดยี ว จงึ ทำให้ความร้อนท่ีใช้เปลีย่ นสถานะจาก ของแข็งเป็นของเหลวมีค่าเท่ากัน สังเกตได้จากแนฟทาลีนท่ีเป็นสารบริสุทธ์ิมีช่วงอุณหภูมิที่หลอมเหลวค่อนข้าง แคบไม่หลอมเหลวหมดท่ีอุณหภูมิเดียวกันเน่ืองจากโดยท่ัวไปสารบริสุทธิ์มักอาจมีสิ่งเจือปนอยู่บ้าง จึงทำให้ อุณหภูมิท่ีสารเริ่มหลอมเหลวและอุณหภูมิท่ีสารหลอมเหลวหมดไม่เป็นอุณหภูมิเดียวกัน ส่วนสารผสมมีจุด หลอมเหลวไมค่ งที่ สังเกตได้จากจดุ หลอมเหลวของกรดเบนโซอิกในแนฟทาลีนทม่ี ีอัตราสว่ นระหว่างกรดเบนโซอิก กับแนฟทาลีนแตกต่างกัน จะมีจุดหลอมเหลวไม่เท่ากันและมีช่วงอุณหภูมิที่หลอมเหลวกว้าง เพราะแนฟทาลีนมี กรดเบนโซอิกเจือปนมาก ( ยึดตามกจิ กรรมในหนงั สอื เรยี น สสวท.) ขนั้ ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที) 1) ครูให้นักเรียนดสู ่ือออนไลน์เพิ่มเติมเกี่ยวกับจุดหลอมเหลวของสาร เพ่ือเป็นการทบทวนและ สร้างความเขา้ ใจมากยง่ิ ขน้ึ 2) ครูเปิดโอกาสให้นักเรียนนน้ั ได้ถามคำถาม โดยแต่ละกลมุ่ ให้ต้ังคำถามเกี่ยวกับเร่ืองท่ีเรยี นไป อย่างนอ้ ย 1 คำถามตอ่ 1 กลมุ่ ขนั้ ที่ 5 ขั้นประเมนิ (Evaluation) (15 นาที) 1) ครปู ระเมินจากกิจกรรมที่ 2.2 จุดหลอมเหลวของสารบริสุทธก์ิ ับสารผสมแตกต่างกันอย่างไร การปฏบิ ัติกิจกรรมกลุ่ม 2) การตอบคำถามในช้นั เรียนโดยอธิบายความหมายของจุดหลอมเหลว 8. ส่ือการเรียนรู้ / แหลง่ เรยี นรู้ 8.1 กจิ กรรมท่ี 2.2 จดุ หลอมเหลวของสารบริสุทธิก์ ับสารผสมแตกต่างกนั อยา่ งไร ( ตามหนังสอื เรยี น สสวท.) 8.2 สอ่ื ออนไลน์ 8.3 หนงั สอื เรียนวิทยาศาสตรพ์ ้ืนฐาน ม.1

9. การวัดและการประเมิน ตัวชีว้ ัด/ผลการเรียนรู้ วิธกี ารวดั เคร่ืองมอื วดั เกณฑ์ทใ่ี ช้ในการประเมนิ ผา่ นเกณฑ์ระดับคุณภาพ 2 1 ดา้ นความรู้ :นักเรยี น - การตอบคำถามนกั เรียน - แบบประเมินการตอบ ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ 2 สามารถอธบิ าย ในชัน้ เรียน คำถาม ผ่านเกณฑ์ระดับคุณภาพ 2 ความหมายของจดุ หลอมเหลวได้ 2. ดา้ นกระบวนการ : - ตรวจสอบการบันทึก - แบบประเมนิ การทำงาน นกั เรียนสามารถปฏิบัติ กิจกรรม กลมุ่ กิจกรรมการบันทึกจุด หลอมเหลวของสาร บรสิ ทุ ธิก์ บั สารผสมจากวดิ ิ โอสาธิตการทดลองได้ 3. ด้านเจตคติ : นักเรียน - การสงั เกตพฤตกิ รรมการ - แบบประเมนิ การสังเกต ตงั้ ใจเรยี นวทิ ยาศาสตร์ เรียน 10. กิจกรรมเสนอแนะ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………. ลงชือ่ ผู้สอน (นางสาวจิรนนั ท์ เกตุทหาร) 11. ขอ้ คิดเห็นของหัวหน้ากล่มุ สาระการเรียนรู้ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงช่อื ............................................................... (นายนันท์ ก้อคำ) หวั หน้ากลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

12. ข้อคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะผู้ช่วยผู้อำนวยการกลุม่ งานบรหิ ารวิชาการ .............................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................... ลงชือ่ ............................................................... (....................................................) ผูช้ ่วยผู้อำนวยการกลุ่มงานบรหิ ารวิชาการ การอนุมตั กิ ารใช้แผนการจัดการเรียนรูจ้ ากฝา่ ยบริหาร ความคดิ เหน็ ของรองผู้อำนวยการฝ่ายวชิ าการ ..............................................................................................................................................................  เหน็ สมควรอนมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน  เหน็ สมควรไมอ่ นมุ ตั ใิ ห้ใช้ในการจัดการเรยี นการสอน เพราะ.......................................... ............................................................................................................................................................. ลงช่อื ............................................................ (นายนพดล ธรรมใจอุด) รองผู้อำนวยการโรงเรยี นฝา่ ยบรหิ ารวิชาการ การอนุมัติจากผู้อำนวยการโรงเรยี น  อนมุ ัตใิ ห้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน  ไมอ่ นุมัติให้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ.............................................................. .............................................................................................................................................................. ลงชอื่ ....................................................................................... (นางวลิ าวลั ย์ ปาลี) ผูอ้ ำนวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook