Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore DLTV-วิทยาศาสตร์

DLTV-วิทยาศาสตร์

Published by NM.Lastofthelove, 2021-09-20 12:04:25

Description: DLTV-วิทยาศาสตร์

Keywords: DLTV

Search

Read the Text Version

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” มายังตัวกลางที่มีค่าความหนาแน่นอีกตัวหนึ่ง ทำให้แสงตกกระทบกับตัวกลางใหม่ แล้วสะท้อนกลับสู่ตัวเดิม เช่น การสะท้อนของแสงจากอากาศกับผิวหน้าของกระจกเงาจะเกิดการสะท้อนแสงที่ผิวหน้าของกระจกเงา ราบแลว้ กลบั สู่อากาศดังเดิมเมื่อแสงตกกระทบกบั ผิวหนา้ ของตวั กลางใดๆ ปรมิ าณและทศิ ทางของการสะท้อน ของแสงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับธรรมชาติของพื้นผิวหน้าของตัวกลางทีต่ กกระทบ จากรูป เมื่อลำแสงขนาน ตกกระทบพืน้ ผวิ หน้าวัตถุที่เรียบ แสงจะสะทอ้ นเป็นลำแสงขนานเหมือนกับลำแสงท่ีตกกระทบ การสะท้อนบน พ้นื ผิวหนา้ ทีเ่ รยี บ โดยเรยี กว่า การสะท้อนแบบสม่ำเสมอ การสะท้อนของแสง เมื่อแสงเดินทางไปเจอขอบเขตระหวา่ งตัวกลางสองตัวกลาง แสงบางส่วนสะท้อนกลับ และบางส่วนก็ จะเคลือ่ นท่ีตอ่ ไปนตวั กลางถัดไป โดยกฎการสะท้อนของแสงดงั นี้ 1. เสน้ ปกติ รงั สตี กกระทบ และรังสีสะทอ้ นอยู่ในระนาบเดียวกัน 2. มุมตกกระทบเท่ากบั มมุ สะท้อน เส้นปกตคิ ือเส้นที่ลากขน้ึ มาตง้ั ฉากกับผวิ การสะท้อนนน่ั เอง ส่วนมมุ ตกกระทบกับมุมสะท้อนนั้น เวลา วัดมุมใหว้ ัดเทยี บกบั เส้นปกตเิ ท่านนั้ การสะท้อนแสงทำให้เกิดมุมตกกระทบและมุมสะท้อน หลักการนี้ทำให้เกดิ ภาพบนกระจกเงา ภาพที่ เกิดข้ึนบนกระจกเงาระนาบนนั้ เป็นภาพเสมือน ไม่ใชภ่ าพจรงิ เราจึงเหน็ ภาพในกระจกกลบั ซ้ายเป็นขวา การสะท้อนแสงบนกระจกเงาระนาบ กระจกเงาระนาบ คือ กระจกแบนราบซึ่งดา้ นหนึง่ สะท้อนแสง หลักการสะท้อนแสงจากกระจกเงานำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เช่น การดูภาพในกระจกเงาราบ คนขับรถมองถนนด้านหลังจากกระจกมองหลังหรือกระจกมองข้าง ภาพที่เกิดในกระจกเงาระนาบ มีลักษณะ ดงั น้ี - เป็นภาพเสมอื นหวั ตั้ง อยหู่ ลงั กระจก - มีระยะวตั ถเุ ทา่ กบั ระยะภาพ ขนาดของวัตถเุ ทา่ กบั ขนาดของภาพ - มีลกั ษณะกลับซ้ายเปน็ ขวากับวัตถุ คณะครุศาสตร์ 95 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” รูปท่ีเกิดจากการสะท้อนของแสง ชนิดของตัวกลาง เมื่อแสงกระทบวตั ถตุ ่างกัน แสงจะผ่านวตั ถแุ ต่ละชนิดได้ตา่ งกัน ทำให้จำแนกวัตถุเหลา่ นน้ั ได้ เปน็ ตวั กลางโปร่งใส ตัวกลางโปรง่ แสง และตวั กลางทึบแสง สามารถสรปุ ใจความสำคญั ของตัวกลางแต่ละชนดิ ได้ดงั นี้ ชนิดของตัวกลาง ความหมาย ตัวกลางโปร่งใส ตัวกลางท่ยี อมใหแ้ สงเดินทางผ่านทัง้ หมด และแสงที่ผา่ นตัวกลางนี้ ถือว่ายงั มี ทิศทางของรังสีเปน็ ระเบียบเหมอื นเดิม ตวั กลางโปร่งแสง ตวั กลางทย่ี อมใหแ้ สงเดนิ ทางผา่ นไดบ้ ้าง แสงทีเ่ ดินทางผา่ นตวั กลางชนดิ นีจ้ ะฟุ้ง กระจายไมเ่ ป็นลำแสงเช่นเดิม ทำใหม้ องเหน็ ไมช่ ัดเจนนัก ตวั กลางทบึ แสง ตัวกลางที่ไม่ยอมให้แสงทะลุผ่าน แต่สะท้อนได้ หรือบางชนดิ ดกู ลืนแสงได้ เม่ือแสงเดินทางผ่านตัวกลางโปรง่ แสง และตวั กลางทกึ แสง จะเกดิ เงาขนึ้ มา ซ่ึงเงาของแสงท่ีเกดิ จาก วตั ถุทึบแสงจะเรียกว่า เงามืด และเงาของแสงทเี่ กิดจากวัตถุโปร่งแสง เรียกวา่ เงามัว 4) การกระจายแสง (Dispersion) คณะครุศาสตร์ 96 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” แสงขาวที่เหน็ ดว้ ยตาเปล่าน้ัน แท้จรงิ แลง้ ประกอบด้วยแสงสหี ลายชนดิ สามารถพิสจู นไ์ ด้จากการ ทดลอง ฉายแสงสขี าว ผ่านปรซิ มึ จะเหน็ เปน็ แสงสตี ่าง ๆ ดงั รปู ท่ี 7 การกระจายแสง การระจายแสงทำใหเ้ กิดปรากฏการณอ์ ่นื ๆ มากมาย หนึ่งในน้ันคือ ร้งุ กนิ น้ำ รุ้งกินน้ำ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลังจากฝนตก โดยเกิดจากแสงอาทิตย์ส่องผ่านละอง น้ำในอากาศ ทำให้แสงสีขาวเกิดการหักเหขึ้น จึงเห็นเป็นแถบสีต่าง ๆ ปรากฏบนท้องฟ้า เราสามารถ สังเกตเห็นรุ้งได้ในทิศทางตรงข้ามกับดวงอาทติ ยเ์ สมอ การเกิดรุ้ง เนื่องมาจากหลังฝนตกจะมีละอองน้ำอยู่มาก เมื่อแสงจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นแสงขาว กระทบกับละอองน้ำซึ่งทำหน้าที่เหมือนปริซมึ เมื่อแสงอาทิตย์สอ่ งกระทบผิวด้านหน้าของละอองน้ำก็จะเกดิ การหักเหเข้าสู่ด้านในของละอองน้ำ เมื่อกระทบที่ด้านหลังของละอองน้ำจะสะท้อนกลับมาที่ผิวด้านหน้าของ ละอองนำ้ อีกคร้ัง ทำใหเ้ รามองเหน็ สีแต่ละสีไดช้ ดั เจน และการทเี่ รามองเหน็ รุ้งเป็นเส้นโคง้ ก็เพราะว่าละออง นำ้ มีลกั ษณะกลมนนั่ เอง ประเภทของรุง้ มี 2 ประเภท ดังนี้ 1. รุ้งปฐมภูมิ เกิดจากแสงอาทิตย์ตกกระทบด้านบนของหยดนำ้ ทำให้มีการหักเห 2 ครั้ง สะท้อน 1 ครั้ง จะเกิดแสงสมี ่วง (ด้านลา่ งสุด) คราม น้ำเงิน เขียว เหลอื ง แสด แดง (ดา้ นบนสุด) 2. รงุ้ ทุติยภมู ิ เกดิ จากแสงอาทิตย์ตกกระทบด้านล่างของหยดน้ำ ทำให้มีการหกั เห 2 ครัง้ สะท้อน 2 คร้งั จะเกิดแสงสแี ดง (ดา้ นล่างสดุ ) แสด เหลอื งเขยี ว นำ้ เงนิ คราม ม่วง (ดา้ นบนสดุ ) คณะครุศาสตร์ 97 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” รงุ้ ทตุ ภิ ูมิ ร้งุ ปฐมภูมิ รุง้ ปฐมภมู แิ ละรุง้ ทุตยิ ภูมิ 98 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ตอนที่ 9 พลงั งานเสียง เสียง เป็นคลื่นเชิงกลที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ เมื่อวัตถุสันสะเทือน ก็จะทําให้เกิด การอัดตัวและ ขยายตวั ของคล่ืนเสยี ง และถกู ส่งผ่านตวั กลาง เชน่ อากาศไปยังหู ซึ่งเสียงสามารถ เดนิ ทางผ่านสสารในสถานะ ของแข็ง ของเหลว และแกส๊ แตไ่ มส่ ามารถเดนิ ทางผ่านสญุ ญากาศได้ 1. แหล่งกําเนิดเสยี ง แหล่งกําเนิดเสียง คือ วัตถุที่ทําให้เกิดเสียง เมื่อวัตถุนั้นเกิดการสั่นสะเทือน แหล่งกําเนิดเสียง แต่ละ ชนดิ จะทาํ ใหก้ ําเนดิ เสียงท่มี คี วามแตกต่างกันไป ระดับความดงั ของเสียงมหี น่วยวัดเป็น เดซเิ บล (dB) ตัวอย่างแหลง่ กาํ เนิดเสียง สําหรบั การนําไปประยกุ ต์ใช้ มีดงั นี้ ชนดิ ของแหล่งกาํ เนิดเสียง ตวั อย่าง 1. การสนั่ ของสายหรือแท่ง ไวโอลนิ สอ้ ม เสยี งขมิ 2. เกดิ จากการส่นั ของผิว กลอง ฉ่ิง ฉาบ ลาํ โพง 3. เกิดจากการสนั่ ของลำอากาศ ขลยุ่ ปี แคน นกหวีด 2. การเคลื่อนที่ของเสยี ง การเคลื่อนที่ของเสียง ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ เสียงมาถึงหูของเราโดยมีอากาศเป็น ตัวกลาง แหล่งกําเนิดเสียงจะทําให้อากาศรอบๆ สั่นสะเทือน การสั่นสะเทือนจะกระจายออกไป รอบทุก ทศิ ทาง เมือ่ คลนื่ เดนิ ทางมาถงึ หขู องเรา เราจะรับรเู้ สยี งตา่ งๆ การเคลื่อนที่ของเสียงผ่านตัวกลางหนึ่งไปยังอีกตัวกลางหนึ่ง ความถี่จะมีค่าคงทที่ โดยความเร็วของ คล่ืนเสียงจะข้ึนอยู่กบั ชนิดของตวั กลางและอณุ หภมู ิ คณะครุศาสตร์ 99 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” 3.อวยั วะรับเสียง หู(ear) ถือว่าเป็นอวัยวะที่รับรุ่คลื่นกล หูรับความรู้สึกเกี่ยวกับการได้ยินเสียงและการทรงตัว แบ่ง ออกเป็น 3 ส่วน คอื 1) หูชน้ั นอก มใี บหู ช่วยรับคลื่นเสยี ง รหู แู ละแก้วหู ชว่ ยนาํ้ เสยี งเขา้ ไปและสง่ ต่อไปยังหชู น้ั กลาง 2) หชู ัน้ กลาง มกี ระดกู 3 ชิ้น คือ กระดูกค้อน ทง่ั และโกลน ช่วยสง่ คลน่ื เขา้ ไปยังหูชน้ั ใน 3) หชู ้ันใน ประกอบดว้ ยอวัยวะรบั เสียงและช่วยการทรงตวั คือ คลอเคลีย และท่อเซมเิ ซอรค์ ูลาร์ 4.การได้ยนิ เสยี ง เสยี งที่เกดิ ข้นึ ทกุ ชนดิ มลี กั ษณะเป็นคลน่ื เสยี ง ใบหูรับคลนื่ เสียงเขา้ สูร่ ูหูไปกระทบเย่ือแก้วหู เย่ือแก้วหู ถา่ ยทอดความส่นั สะเทือนของคลนื่ เสยี งไปยงั กระดูกค้อน กระดูกทง่ั และกระดกู โกลน ซ่ึงอยู่ในหูชั้นกลางและ เลยไปยังท่อรูปครึ่งวงกลม แล้วต่อไปยังของเหลวในท่อรูปหอยโข่ง และประสาทรับเสียงในหูชั้นในตามลําดับ ประสาทรับเสียงถูกกระตุ้นแล้วส่งความรู้สึกไปสู่สมองเพื่อแปลความหมายของเสียงที่ได้ยิน การได้ยินเสียงจงึ สัมพันธก์ ับอวยั วะรับเสียง การได้ยนิ เสียงชดั เจนขน้ึ อยูก่ ับปัจจยั ตา่ งๆ ดังน้ี 1. แรงสนั่ สะเทอื น เสียงดังมาก แรงส่นั สะเทอื นกม็ าก 2. ระยะทางจากต้นกําเนิดเสียงมาถึงหู พลังงานเสียงจะเคลื่อนที่จากแหล่งกําเนิดทุกทิศทุกทาง จากนนั้ จะเคล่ือนทแ่ี ละค่อยๆ ลดลง จนพลังงานเสยี งหมดไป 3. สุขภาพของหู หากอวัยวะรบั เสยี งเสื่อม เรากจ็ ะไดย้ ินเสียงไมช่ ดั เจน 4. การรบกวนจากเสยี งอืน่ ๆ เช่น มีลมพัด มีวตั ถุมากน้ั ทางเดนิ ของเสียง 100 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” 5.มลภาวะของเสยี ง บรเิ วณใดท่มี ีระดับความเขม้ เสยี งที่ทําให้หูและสภาวะจิตใจของผู้ฟังผิดปกติ หรือส่งผลรบกวน ต่อการ ใช้ชีวิตประจําวัน ความเข้มเสียงที่เป็นอันตรายต่อหคือ เสียงที่เกิน 85 เดซิเบล ดังนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงการ เข้าใกล้บริเวณทีม่ เี สยี งดังเกินท่ีหูเราจะรับได้ เพราะอาจนํามาส่อู นั ตรายได้ คณะครุศาสตร์ 101 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ตอนที่ 10 พลงั งานไฟฟ้า พลังงานไฟฟ้าถอื ว่าเป็นพลงั งานรปู แบบหนง่ึ ที่เปล่ียนแปลงมาจากพลงั งานชนิดอ่ืน เช่น พลงั งาน จาก น้ํา ลม หรือพลังงานจากการเผาไหม้จากเชื้อเพลิงชนิดต่างๆ แม้ว่าพลังงานไฟฟ้าจะถูกเปลี่ยนมาจากพลังงาน ชนิดอน่ื พลังงานไฟฟ้าก็ยังสามารถเปลย่ี นไปเป็นพลังงานอื่นไดโ้ ดยผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าท่เี ราใชก้ นั ปัจจบุ นั 1. กระแสไฟฟ้า ไฟฟ้ากระแส (Current Electricity) คือ แหล่งกําเนิดไฟฟ้าที่มนุษย์สามารถผลิตขึ้นมา เพื่อใช้ งาน ด้านตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ งมากมาย กระแสไฟฟ้า คือ การเคลือ่ นทแ่ี ละถ่ายเทประจุไฟฟ้า จะเกิดขนึ้ ไดเ้ มื่อมีความแตกต่างของ ศักย์ไฟฟ้า ทําใหเ้ กดิ กระแสไหลผ่านตวั นําจากจุดท่ีมศี ักย์ไฟฟ้าสูงไปยังจุดทีม่ ีศักย์ไฟฟ้าต่ำ เปรยี บเทยี บง่ายๆ เหมือนน้ำที่ ไหลจากทสี่ งู ลงท่ีต่ำ ชนดิ ของกระแสไฟฟา้ 1. ไฟฟา้ ตรง (Direct current, D.C.) คอื กระแสไฟฟ้าที่เคล่ือนที่ในทิศเดียวกันเสมอ ไม่มีการสลับ ขั้ว ขั้วบวกกค็ อื ขั้วบวก ขั้วลบก็คอื ขวั้ ลบ เชน่ เซลลไ์ ฟฟา้ เคมี แบตเตอร่ี ถ่านไฟฉาย เปน็ ตน้ 2. ไฟฟ้ากระแสสลับ (Alternating Current, A.C.) คือ กระแสไฟฟ้าที่เคลื่อนที่สลับไปมาอยู่ ตลอดเวลา ไมม่ ขี วั้ ท่ีแน่นอน ขวั้ บวกสามารถเปล่ียนเป็นข้วั ลบได้ เชน่ ไดนาโม เปน็ ตน้ 2. การนาํ ไฟฟ้า การนําไฟฟ้า คือ การที่วัตถุยอมใหอ้ ิเลก็ ตรอนเคลือ่ นท่ีผ่านเนื้อวัตถไุ ด้ เช่น โลหะทุกชนิด เป็น ตัวนํา ไฟฟ้าหรือเปน็ ตวั กลางทท่ี ําให้กระแสไฟฟ้าเคล่ือนที่ กระแสไฟฟ้าในตัวนาํ ไฟฟา้ เกิดจากการเคลื่อนที่ของอนภุ าคทมี่ ีประจไุ ฟฟ้า ไดแ้ ก่ ไอออนบวก ไอออน ลบ การเคลอ่ื นท่ีแบบบราวน์ (Brownian motion) จากรูปคือ การเคล่ือนท่ีของประจุอย่างไรร้ ะเบียบบ ไม่มีทิศทางที่แนน่ อน มคี วามเรว็ เฉลย่ี เปน็ ศูนย์ 102 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ขนาดของกระแสไฟฟา้ มีค่าเทา่ กับ ปริมาณประจุไฟฟ้า ท่ีผ่านพ้นื ทภี่ าคตัดขวางของตวั กลางในหนง่ึ หนว่ ยเวลา มหี นว่ ยเปน็ คลู อมบ์ตอ่ วนิ าที หรือแอมแปร(์ A) น่ันเอง I = Q t I คอื กระแสไฟฟ้าในตวั กลาง (A) Q คือ ปริมาณผลรวมประจุ หนว่ ยเปน็ คูลอมบ์ t คอื เวลาทีป่ ระจุเคล่ือนท่ี (s) EX 1 ถา้ มกี ระแสไฟฟ้า 1.25 แอมแปร์ ในเส้นลวดโลหะเส้นหน่งึ ประจทุ งั้ หมดท่ีผา่ นพื้นท่หี น้าตัด ของเส้นลวดโลหะเสน้ นัน้ ในเวลา 10 วนิ าทจี ะมีคา่ เท่าใด จากสตู ร I= Q t Q = It = 1.25×10 = 12.5 สรุป ผลรวมประจุท้ังหมดทผ่ี า่ นพนื้ ท่หี นา้ ตดั ของเส้นลวดโลหะมีค่า 12.5 คูลอมบ์ EX 2 อิเล็กตรอน 10 คลู อมบ์ เคล่อื นทผี่ า่ ตวั นำในเวลา 20 วินาที จะเป็นกระแสไฟฟา้ กแ่ี อมแปร์ จากสตู ร I = Q t I = 10 20 I = 20 สรุป กระแสไฟฟ้า 20 แอมแปร์ คณะครุศาสตร์ 103 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” 3. วงจรไฟฟ้า วงจรไฟฟ้า หมายถึง ทางเดินของกระแสไฟฟ้าซึ่งไหลมาจากแหล่งกําเนดิ ผา่ นตวั นาํ และเครอื่ ง ใช้ ไฟฟา้ หรอื โหลด แล้วไหลกลบั ไปยังแหล่งกําเนิดเดมิ วงจรไฟฟา้ ประกอบด้วยส่วนท่สี ําคญั 4 ส่วน คือ 1) แหลง่ กาํ เนดิ ไฟฟ้า หมายถึง แหลง่ กาํ เนิดท่ที าํ ให้เกดิ ความตา่ งศักย์ไฟฟา้ ระหวา่ งปลายทั้งสองของ ตวั นําอย่ตู ลอดเวลา จา่ ยแรงดันไฟฟา้ ไปยังวงจรไฟฟา้ เชน่ แบตเตอร่ี ถา่ นไฟฉาย เคร่ือง จ่ายไฟ เป็นตน้ 2) ตัวนาํ ไฟฟ้า หมายถึง สายไฟฟ้าหรือสอื่ ทจี่ ะเป็นตัวนําให้กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้า ซ่งึ ต่อระหว่างแหลง่ กาํ เนิดกบั เครอ่ื งใช้ไฟฟ้า เชน่ ลวดทีท่ าํ จากเงนิ ทองแดง 3) เคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ หมายถึง อปุ กรณ์อเิ ลก็ ทรอนิกสท์ ี่สามารถเปลี่ยนพลงั งานไฟฟา้ ให้เปน็ พลงั งานรูป อ่ืน ซึ่งจะเรยี กอกี อย่างหนงึ่ วา่ โหลด 4) สวติ ซ์ เปน็ อุปกรณท์ ใี่ ช้ในการเปิดและปดิ วงจรไฟฟ้า ทําหน้าที่ควบคุมการไหลของ กระแสไฟฟ้า วงจรไฟฟ้า แบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) วงจรปิด คือ เป็นวงจรที่มีการไหลของ กระแสไฟฟ้าได้ครบวงจร จาก แหล่งจ่ายไฟฟ้าผ่าน ลวดตัวนํา และเครื่องใช้ไฟฟ้า จนไหลกลับเข้าสู่ อีกขั้วของ แหล่งจา่ ยไฟฟา้ ซ่ึงเป็นวงจรที่เคร่อื งใช้ ไฟฟ้าทาํ งานไดต้ ามปกติ 2) วงจรเปิด คือ วงจรที่กระแสไฟฟ้าไม่ สามารถไหลผ่านไปได้ครบวงจร ทํา ให้เครื่องใช้ ไฟฟ้าไม่ทํางานเพราะไม่มกี ระแสไฟฟ้าไหลผา่ น เข้าไป เช่น การปิดสวิตซ์ ไฟทาํ ให้ไฟดับ แรงขับเคลอื่ นทางไฟฟา้ เป็นแรงทีส่ ร้างให้เกิดแรงดนั ไฟฟ้า จนทาํ ใหเ้ กิดการ เคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระตลอดเวลา กระแสไฟฟ้าจึงไหลตลอดเวลา แรงเคลอื่ นไฟฟ้าน้อี าจเกดิ จากเคร่ืองกาํ เนิดไฟฟ้า แบตเตอรี่ ถา่ นไฟฉาย เซลลเ์ ช้ือเพลิง เปน็ ต้น หน่วยของแรงดันไฟฟ้า ความต่างศักย์ไฟฟ้า หรือแรงขับเคลื่อนทางไฟฟ้า มีหน่วยเดียวกัน คือ โวลต์ (V) ความต้านทานไฟฟ้า (Electrical resistance) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างแรงดันและกระแสไฟฟ้า ของวัตถุ วตั ถทุ ม่ี คี วามต้านทานตำ่ จะยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลผา่ นได้ง่าย เรียกวา่ ตัวนาํ ไฟฟ้า ในขณะทว่ี ตั ถุที่มี ความตา้ นทานสูงมากและกระแสไฟฟ้าไหลผ่านไดย้ าก เรยี กวา่ ฉนวนไฟฟา้ คา่ ความต้านทานไฟฟา้ ใชส้ ัญลกั ษณ์ R มหี น่วยเปน็ โอห์ม (Ω) 104 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ความสมั พนั ธ์ระหว่างความต่างศักย์ กระแสไฟฟา้ และความต้านทาน กฎของโอห์มกล่าวว่า “ถ้าอุณหภูมิของตัวน้ํามีค่าคงที่แล้ว อัตรา ปลายทั้งสองของตัวนําและ กระแสไฟฟา้ ทีไ่ หลในตัวนาํ นน้ั ยอ่ มมคี ่าคงที่” V คอื ความต่างศัก���ย���์ ม=ีหนIว่ Rยเป็น โวลต์ (V) I คอื กระแสไฟฟ้า มีหน่วยเป็น แอมแปร์ (A) R คือ คา่ คงท่ีหรือความต้านทาน มหี น่วยเป็น โอห์ม (Ω) การตอ่ วงจรไฟฟา้ สามารถต่อได้ 3 แบบ คอื 1.วงจรอนุกรม เป็นการนำโหลด หรือหลอดไฟมาต่อเรียงกับแหล่งกําเนิดไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าเดินได้ ทางเดียว เท่านั้น ข้อดีของการต่อแบบอนุกรม คือ ทําให้หลอดไฟทั้งหมดในวงจรสว่าง ข้อเสีย คือ หาก หลอดไฟดวงใดดวงหนง่ึ เสีย จะทาํ ใหว้ งจรเปิดไฟจะไม่ติดเลยซักหลอด กระแสไฟฟา้ (I) ทผี่ ่านหลอดไฟแต่ละดวงจะมีค่าเทา่ กัน มีหนว่ ยเปน็ แอมแปร์ (A) ������������ = ������1 = ������2 = ������3 = ⋯ ������������ แรงดันไฟฟา้ ทแี่ หลง่ กำเนดิ (E) จะมีค่าเทา่ กันแรงดนั ไฟฟ้าทต่ี กคร่อมส่วนต่างๆของวงจร มหี นว่ ยเป็น โวลต์ (V) ������ = ������1 + ������2 + ������3 + ⋯ ������������ คณะครุศาสตร์ 105 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ความต้านทานรวม จะมคี ่าเท่ากับผลรวมของความต้านทานแต่ละตวั ในวงจรรวมกัน มหี นว่ ย เปน็ โอหม์ (Ω) ������ = ������1 + ������2 + ������3 + ⋯ ������������ เมอ่ื E คือ แรงดันไฟฟา้ ตกครม่ วงจรท้งั หมด ������1, ������2, ������3, ������4 คือ แรงดันไฟฟา้ คร่อมความต้านทานแต่ละตวั จะได้ ������1 = ������������1, ������2 = ������������2, ������3 = ������������3, … , ������������ = ������������������ ������ = ������(������1 + ������2 + ������3 + ⋯ ������������) ������ = ������������������ ������ = ������ ������������ Ex 3 จากวงจร จงหา 1)ความต้านทานรวมในวงจร 2)กระแสไฟฟ้าในวงจร Rt = R1 + R2 + R3 + ⋯ Rn I= E Rt = 5 + 10 + 15 Rt 1. Rt = 30Ω I = 110 = 3.67 A 3)แรงดันไฟฟ้าตกคร่อมความทา้ นทานแตล่ ะตัว 30 V1 = IR1 = 3.67 × 5 = 18.35V V2 = IR2 = 3.67 × 10 = 36.70V V3 = IR3 = 3.67 × 15 = 55.05V 106 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” 2.วงจรขนาน เป็นการนำโหลดหรือหลอดไฟมาต่อ ค ร ่ อ ม กั บ แหล่งกำเนิดไฟฟ้า กระแสไฟฟ้าเดินได้ทางเดียวเท่านั้น ข ้ อ ดี ข อ ง การต่อแบบขนาน คือ สามารถเลือกให้หลอดไฟดวง ไหนสว่างก็ ได้ ถ้ามีหลอดไฟเสยี หลอดไฟดวงอืน่ กย็ ังสว่างได้ เท่ากบั กระแสไฟฟา้ รวม ของวงจรขนาน (������������) จะมคี ่า กระแสไฟฟ้าย่อยทไ่ี หลในแต่ละสาขาของวงจรรวมกัน It = I1 + I2 + I3 + ⋯ + In แรงดนั ไฟฟา้ ที่แหล่งกำเนดิ (E) จะเท่ากับแรงดันไฟฟ้าตกคร่อมสว่ นต่างๆของวงจร 11 1 1 1 E = V1 = V2 = V3 + ⋯ + Vn ความต้านทานรวมของวงจร (������������) จะมีคา่ น้อยกวา่ ความต้านทานตัวท่ีนอ้ ยทีส่ ดุ ท่ีต่ออย่ใู นวงจร 11 1 1 1 E = V1 = V2 = V3 + ⋯ + Vn เมื่อ E คือ แรงดันไฟฟ้าตกคร่มวงจรท้ังหมด ������1, ������2, ������3, ������4 คือ กระแสไฟฟ้าย่อย จะได้ V1 = I1V1, V2 = I2V2, V3 = I3V3, … , Vn = InVn คณะครุศาสตร์ 107 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” Ex 4 จากวงจรไฟฟา้ จงหาค่าของ ก. ความตา้ นทานรวมในวงจร ข. กระแสไฟฟ้าในวงจร ก.ความตา้ นทานรวมในวงจร 1 1 1 1 1 11 RT = R1 + R2 + R3 = 4 + 6 + 8 6 + 4 + 3 13 = 24 = 24 24 RT = 13 = 1.84  ข. กระแสไฟฟา้ ในวงจร E 24 I1 = R1 = 4 = 6 A E 24 I2 = R2 = 6 = 4 A E 24 I3 = R3 = 8 = 3 A E 24 IT = RT = 1.84 = 13 A 3.วงจรผสม เปน็ วงจรท่ีนำเอาวิธีการตอ่ แบบอนุกรม และวิธกี ารต่อแบบขนานมารวมให้เปน็ วงจร เดยี วกนั ซ่ึงสามารถแบ่งตามลกั ษณะของการต่อได้ 2 ลักษณะดังนี้ 3.1 วงจรผสมแบบอนกุ รม-ขนาน เป็นการนำเครื่องไฟฟ้าหรือโหลดไปต่อกันแบบอนกุ รมก่อน แลว้ จงึ นำไปต่อกนั แบบขนานอีกครั้งหนงึ่ 3.2 วงจรผสมแบบขนาน-อนุกรม เป็นการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือโหลดไปต่อกันแบบขนานก่อน แล้วจงึ นำไปตอ่ กันแบบอนกุ รมอีกคร้งั หนึ่ง 108 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” จากสูตร R ต่อแบบขนาน ; 1 = 1 = 1 = 1 + ⋯ Rt R1 R2 R3 R ตอ่ แบบอนุกรม ; Rt = R1 + R2 + R3 + ⋯ E ต่อแบบอนุกรม ; Rt = R1 + R2 + R3 + ⋯ กำลงั ไฟฟา้ (Electric Power) คอื พลังงานไฟฟ้าท่ใี ช้ไปในเวลา 1 นาที มหี น่วยเปน็ วตั ต์ (w) หรือจลู ต่อนาที P คอื กำลังไฟฟ้า (วัตต์) W คอื พลงั งานไฟฟ้า (จูล) t คอื เวลา (วนิ าที) การคำนวณคา่ ไฟฟ้า การคำนวณค่าไฟฟ้าทใี่ ชใ้ นบา้ น ราสามารถใชส้ ูตรและหลกั การคำนวณได้ดังนี้ พลังงานไฟฟ้า (ยูนติ หรอื KW-hour) = กำลงั ไฟฟ้า (KW) × เวลา (ชั่วโมง) หรือ ถา้ คดิ กำลงั ไฟฟา้ หน่วยเป็นวัตต์ (W) กเ็ อา 1,000 ไปหาร จะได้ พลงั งาน W ไฟฟ้า (ยนู ติ หรือ KW-hour) = P= T กำลงั ไฟฟ้า (������)× เวลา (ชว่ั โมง) 1,000 Ex 5 แอร์ขนาด 30,000 BTU ใช้กำลงั ไฟฟา้ 2,500 W เปิดยาวนานตอ่ เนื่อง 10 ชัว่ โมง/วนั ใน เดอื นเมษายนจะใชพ้ ลงั งานไฟฟ้าเทา่ ไหร่ ถ้าค่าไฟฟ้าราคาหน่วยละ 3 บาท แอรเ์ คร่ืองนี้จะต้อง เสยี ค่าไฟก่ีบาท สามารถพลงั งานไฟฟ้าทใ่ี ชค้ ำนวณได้ = 2,500×10×30 1,000 = 750 ยูนิต (หนว่ ย)/เดือน ค่าไฟฟ้าฐาน = จำนวนยูนติ × อตั ราค่ากระแสไฟฟ้าต่อหน่วย = 750 × 3 = 2,250 บาท/เดือน คณะครุศาสตร์ 109 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” แม่เหลก็ แม่เหล็ก คือ สารแม่เหล็กที่มีโมเลกุลเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบ สามารถมีแรงกระทําต่อ สาร แมเ่ หล็กด้วยกนั ได้ ขั้วแม่เหล็ก เป็นจุดบนแท่งแม่เหล็ก ที่มีแรงแม่เหล็กปรากฏอยู่อย่างเข้มสังเกตได้จากผงตะไบ เหล็ก เคลอื่ นทีเ่ ข้าหาแท่งแม่เหล็ก ขวั้ เหนือ เกิดขน้ึ เม่ือแขวนแท่งแม่เหล็กนีใ้ ห้อยู่ในแนวราบ จะพบวา่ แท่งแม่เหล็กจะวางตัวอยู่ ในแนว ทศิ เหนอื และทศิ ใต้ ทศิ ทางของขั้วชไี้ ปทางทศิ เหนือ ขั้วใต้ เกิดในลักษณะเดียวกัน แต่ทิศทางของ ข้วั ชไ้ี ปทางทิศใต้ ขัว้ แมเ่ หลก็ มแี รงกระทาํ ซึ่งกนั และกนั ดังนี้ 1. ขว้ั ตา่ งกัน ออกแรงดึงดดู กนั 2. ขั้วเหมือนกัน ออกแรงผลักกนั เข็มทิศ จะวางตัวอยู่ในแนวทิศเหนือและทิศใต้ เมือ่ วางเขม็ ทศิ ณ ตาํ แหนง่ หนงึ่ จะมแี รงกระทําต่อเข็มทศิ นัน้ แสดงวา่ ตําแหนง่ นนั้ มสี นามแมเ่ หลก็ การใชแ้ มเ่ หล็กไฟฟ้า แม่เหล็กไฟฟ้า หมายถึง อํานาจแม่เหล็กที่เกิดจากการที่กระแสไฟฟ้าไหลผ่านในวัตถุตัวนํา หมายความวา่ ถ้าปล่อยใหก้ ระแสไฟฟ้าไหลในวัตถตุ ัวนาํ จะทําให้เกดิ สนามแมเ่ หล็กรอบ ๆ ตวั นําน้นั เมื่อให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านขดลวด จะเกิดสนามแม่เหล็กรอบๆ ขดลวด ถ้านําแท่งเหล็กใส่ไว้ใน ขดลวดจะทําให้แท่งเหล็กนั้นมีสภาพเป็นแม่เหล็กแรงแม่เหล็กที่ได้ขึ้นอยู่กับปริมาณกระแสไฟฟ้าและจํานวน รอบของขดลวดทีพ่ ันรอบแกนเหล็ก 110 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” สนามแมเ่ หลก็ เมื่อมีแม่เหล็กวางอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม แม่เหล็กนั้นจะสง่ อํานาจแม่เหล็กออกไปรอบตัวในบริเวณ นั้น ถ้า เอาแม่เหล็กอื่นหรือวัตถุที่เป็นเหล็กเข้าไปในบริเวณนั้น จะเกิดแรงแม่เหล็กส่งมากระทําทันที จากแม่เหล็กท่ี วางอยกู่ ่อนนน้ั อย่างนี้เราถือว่า แม่เหล็กหรือสารแม่เหล็กที่เรานําเข้าไปที่หลังไปอยู่ในบริเวณซึ่งเป็นสนามแม่เหล็ก ของแมเ่ หล็กอันแรก ถา้ เราถอยแม่เหล็กหรือสารแม่เหล็กนั้นออกมาใหห้ ่างมากๆ แรงแม่เหล็กจากแม่เหล็กอัน แรกที่เคยเกิดขึ้นดังกล่าวจะหมดไป หมายความว่า แม่เหล็กอันแรกส่งแรงไปกระทําไม่ถึงจึงเห็นได้ว่า สนามแม่เหล็ก คือ บริเวณรอบๆ แมเ่ หลก็ ซ่งึ แท่งแมเ่ หล็กนัน้ สามารถส่งอํานาจแมเ่ หลก็ ไปถงึ คณะครุศาสตร์ 111 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” เรื่องที่ 3 วทิ ยาศาสตรโ์ ลก และอวกาศ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์ องคป์ ระกอบของระบบสุรยิ ะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์การขึ้น และตกของกลุ่มดาวฤกษก์ ารใชแ้ ผนท่ดี าว การเกดิ อุปราคาพฒั นาการและประโยชนข์ องเทคโนโลยีอวกาศ 2. สามารถอธิบายลักษณะของแหล่งน้ำ วัฏจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำค้าง น้ำค้างแข็ง หยาดน้ำฟ้า กระบวนการเกดิ หนิ วฏั จกั รหนิ การใช้ประโยชนห์ ินและแร่ การเกิดซากดึกดำบรรพก์ ารเกิดลมบก ลมทะเล มรสมุ ลักษณะและผลกระทบของภัยธรรมชาติธรณีพิบัติภัยการเกิดและผลกระทบของปรากฏการณ์ เรือนกระจก ตอน ช่อื สาระสำคญั เวลา ท่ี (นาที) ดวงจันทรเ์ ปน็ บริวารของโลก โดยดวงจันทร์ 1 ดวงจันทร์ หมุนรอบ ตัวเองขณะโคจรรอบโลก ขณะทโ่ี ลกก็ หมนุ รอบตวั เองดว้ ยเชน่ กนั ดวงจนั ทรท์ มี่ องเห็น 2 ระบบสรุ ิยะ ดาวเคราะห์ และดาว หรือรปู รา่ งปรากฏของดวงจันทรบ์ นทอ้ งฟ้าแตกต่าง ฤกษ์ กนั ไปในแตล่ ะวัน รูปร่างปรากฏของดวงจนั ทร์จะ แหวง่ และมีขนาดลดลงอยา่ งต่อเน่อื งจนมองไม่เหน็ 3 ตำแหน่งและเสน้ ทางการขน้ึ และตก ดวงจันทรจ์ ากนน้ั รูปรา่ งปรากฏของดวงจนั ทรจ์ ะ ของกล่มุ ดาวฤกษ์ เป็นเส้ียวใหญข่ ้ึนจนเตม็ ดวงอีกครัง้ การ เปล่ยี นแปลงเช่นนเ้ี ป็นแบบรูปซ้ำกันทุกเดอื น ระบบสรุ ิยะเป็นระบบท่ีมดี วงอาทิตย์เป็นศูนยก์ ลาง และมบี ริวารประกอบดว้ ย ดาวเคราะหแ์ ปดดวง และบริวาร ซงึ่ ดาวเคราะห์แต่ละดวงมขี นาดและ ระยะหา่ งจากดวงอาทติ ย์แตกต่างกัน และยัง ประกอบดว้ ยดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์น้อย ดาวหาง และวตั ถขุ นาดเลก็ อื่น ๆ การมองเห็นกลมุ่ ดาวฤกษม์ รี ูปร่างต่าง ๆ เกดิ จาก จินตนาการของผูส้ ังเกต กลมุ่ ดาวฤกษต์ า่ ง ๆ ท่ี ปรากฏในท้องฟา้ แต่ละกล่มุ มีดาวฤกษ์แต่ละดวง เรียงกนั ที่ตำแหน่งคงท่ี และมีเสน้ ทางการขน้ึ และ ตกตามเสน้ ทางเดมิ ทกุ คืน ซงึ่ จะปรากฏตำแหน่ง เดิม การสังเกตตำแหน่งและการขนึ้ และตกของดาว ฤกษ์และกลุ่มดาวฤกษส์ ามารถทำไดโ้ ดยใช้แผนที่ ดาว ซง่ึ ระบมุ ุมทิศและมุมเงยที่กลมุ่ ดาวน้ันปรากฏ 112 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ตอน ช่ือ สาระสำคัญ เวลา ที่ (นาที) ผสู้ งั เกตสามารถใช้มอื ในการประมาณค่าของมุมเงย 4 ปรากฏการณ์สรุ ยิ ปุ ราคาและ เมอื่ สังเกตดาวในท้องฟา้ จันทรปุ ราคา เมื่อโลกและดวงจันทร์โคจรมาอยใู่ นแนวเสน้ ตรง เดยี วกนั กบั ดวงอาทิตย์ในระยะทางทเ่ี หมาะสม 5 เทคโนโลยีอวกาศ ทำใหด้ วงจนั ทร์บงั ดวงอาทติ ย์ เงาของดวงจนั ทร์ ทอดมายังโลก ผู้สงั เกตที่อยู่บริเวณเงาจะมองเห็น 6 แหลง่ นำ้ วัฏจักรน้ำ และการ ดวงอาทติ ย์มืดไป เกิดปรากฏการณ์สุริยปุ ราคา อนุรักษ์ ซ่ึงมที ้ังสุริยปุ ราคาเตม็ ดวง สรุ ิยปุ ราคาบางสว่ น และสรุ ยิ ปุ ราคาวงแหวน หากดวงจนั ทรแ์ ละโลก 7 หิน และแร่ โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกนั กบั ดวงอาทิตย์ แลว้ ดวงจนั ทร์เคลือ่ นทีผ่ า่ นเงาของโลก จะมองเหน็ ดวงจันทร์มืดไปเกิดปรากฏการณจ์ ันทรุปราคาซึ่งมี ทัง้ จันทรุปราคาเต็มดวง และจนั ทรุปราคาบางส่วน เทคโนโลยีอวกาศเริ่มจากความต้องการของมนุษย์ ในการสำรวจวตั ถทุ อ้ งฟ้าโดยใชต้ าเปล่า กล้อง โทรทรรศน์ และได้พฒั นาไปสู่การขนสง่ เพื่อสำรวจ อวกาศด้วยจรวดและยานขนส่งอวกาศ และยังคง พฒั นาอย่างตอ่ เน่ือง ปจั จุบันมกี ารนำเทคโนโลยี อวกาศ บางประเภทมาประยุกตใ์ ชใ้ นชีวติ ประจ าวัน เช่น การใช้ดาวเทยี มเพอ่ื การสอ่ื สาร การ พยากรณ์อากาศ หรอื การสำรวจทรพั ยากร ธรรมชาติ การใชอ้ ุปกรณ์ วัดชีพจรและการเตน้ ของ หวั ใจ หมวกนิรภัย ชุดกีฬา โลกมีท้งั น้ำจืดและน้ำเค็มซง่ึ อยูใ่ นแหล่งน้ำาตา่ ง ๆ ท่มี ีทั้งแหลง่ น้ำาผิวดิน และแหลง่ น้ำใต้ดนิ วัฏจกั ร นำ้ เปน็ การหมนุ เวียนของน้ำทม่ี ีแบบรปู แบบตา่ ง ๆ และต่อเน่ืองระหว่างน้ำในบรรยากาศ น้ำผิวดิน และนำ้ ใต้ดนิ โดยพฤติกรรมการดำรงชีวิตของพชื และสตั ว์ส่งผลตอ่ วฏั จักรน้ำ และยงั สามารถอยูใ่ น รปู แบบ ไอน้ำในอากาศ เมฆ หมอก น้ำคา้ ง น้ำค้าง แข็ง และ ฝน หิมะ ลกู เหบ็ เปน็ หยาดน้ำฟ้าซึ่งเป็น นำ้ ทม่ี ีสถานะต่าง ๆ ท่ีตกจากฟ้าถึงพ้นื ดนิ หนิ เป็นวัสดุแขง็ เกดิ ขึน้ เองตามธรรมชาติ ประกอบด้วยแรต่ ั้งแตห่ น่งึ ชนิดข้นึ ไป สามารถ จำแนกหินตามกระบวนการเกิดได้เปน็ 3 ประเภท ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอน และหนิ แปร หนิ ใน คณะครุศาสตร์ 113 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ตอน ชอ่ื สาระสำคญั เวลา ที่ (นาที) ธรรมชาติทงั้ 3 ประเภท มีการเปลี่ยนแปลงจาก 8 ซากดกึ ดำบรรพ์ ประเภทหนง่ึ ไปเปน็ อีกประเภทหนง่ึ หรอื ประเภท เดมิ ได้ โดยมีแบบรปู การเปล่ยี นแปลงคงที่และ 9 ลมบก ลมทะเล และมรสมุ ต่อเน่ืองเป็นวัฏจักร ซากดกึ ดำบรรพเ์ กิดจากการทับถมหรือการประทับ 10 ภัยธรรมชาติและปญั หาส่ิงแวดล้อม รอยของสิ่งมีชวี ติ ในอดีต จนเกดิ เป็นโครงสร้างของ ซากหรอื ร่องรอยของสิง่ มีชวี ติ ท่ปี รากฏอยู่ในหนิ ใน ประเทศไทย พบซากดกึ ดำบรรพท์ ีห่ ลากหลาย เช่น พชื ปะการงั หอย ปลา เตา่ ไดโนเสาร์ และรอยตนี สตั ว์ นอกจากน้ซี ากดกึ ดำบรรพย์ งั สามารถใชร้ ะบุ อายขุ องหนิ และเป็นข้อมลู ในการศึกษาววิ ฒั นาการ ของสงิ่ มีชวี ิต ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิดจากพนื้ ดนิ และพนื้ นำ้ รอ้ นและเยน็ ไมเ่ ท่ากนั ทำ ใหอ้ ุณหภูมิอากาศ เหนือ พ้ืนดินและพืน้ น้ำ แตกตา่ งกัน จึงเกิดการ เคลอื่ นที่ของอากาศจากบรเิ วณที่มีอุณหภูมิต่ำ ไป ยงั บรเิ วณทม่ี ีอณุ หภูมสิ ูง มรสุมเปน็ ลมประจำฤดู เกิดบริเวณเขตร้อนของโลกซ่งึ เป็นบริเวณกวา้ ง ระดบั ภมู ิภาค ประเทศไทยได้รบั ผลจากมรสุม ตะวันออกเฉยี งเหนอื ในช่วงประมาณกลางเดือน ตุลาคมจนถงึ เดอื นกุมภาพันธ์ทำใหเ้ กิดฤดหู นาว น้ำทว่ ม การกดั เซาะชายฝงั่ ดินถลม่ แผ่นดินไหว และสนึ ามิ มีผลกระทบต่อชวี ิตและส่งิ แวดล้อม แตกต่างกนั มนษุ ย์ควรเรยี นรู้วธิ ปี ฏิบัติตนให้ ปลอดภยั เช่น ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ เตรียมถงุ ยังชีพใหพ้ ร้อมใชต้ ลอดเวลา และปฏิบตั ิ ตามคำสง่ั ของผปู้ กครองและเจา้ หน้าที่อย่าง เครง่ ครดั เมื่อเกดิ ภยั ธรรมชาติและธรณพี ิบตั ิภยั และปรากฏการณ์เรือนกระจกเกดิ จากแกส๊ เรือน กระจกในชนั้ บรรยากาศของโลกกักเกบ็ ความร้อน 114 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ตอนท่ี 1 ดวงจนั ทร์ ดวงจันทร์ ที่มา: https://mgronline.com/science/detail/9600000075405 ดวงจันทร์(The Moon) เป็นสมาชิกในระบบสุริยะจักรวาล เป็นบริวารดวงเดียวของโลกและมีขนาด เล็กกว่าโลกมาก หลังจากการก่อตัวของระบบสุริยะ ดวงจันทร์เย็นตัวอย่างรวดเร็วจนโครงสร้างภายใน กลายเป็นของแขง็ ทั้งหมดจึงไม่มสี นามแม่เหลก็ ดวงจนั ทร์มมี วลน้อยจงึ มีแรงโนม้ ถ่วงน้อยจนไม่สามารถดึงดูด บรรยากาศไว้ได้ การทีไ่ มม่ ีชนั้ บรรยากาศห่อหุ้มอยู่เลย ทำให้อุกกาบาตพุ่งชนพื้นผิวโดยอสิ ระไร้แรงเสียดทาน พื้นผิวของดวงจันทร์จึงปกคลุมไปด้วยฝุ่นผงและกรวดอุกกาบาต ดวงจันทร์เป็นดาวเคราะห์ที่ไม่มีแสงสว่างใน ตนเอง แต่การที่มีแสงส่องสว่างในยามค่ำคืนอย่างท่ีเรามองเห็นกนั น้ัน เป็นเพราะได้รับแสงสะทอ้ นมาจากดวง อาทิตย์ ทำให้เรามองเห็นดวงจันทร์มีรูปร่างตา่ ง ๆกัน เป็นรูปแบบพระจันทรเ์ สี้ยวบ้าง เป็นวงบ้าง ทั้งนี้ขึ้นอยู่ กบั การหมุนของโลกกับดวงจนั ทร์ ซึง่ ท้ังโลกและดวงจนั ทร์ต่างก็หมนุ รอบซึ่งกันและกนั ในขณะเดียวกันทั้งโลก และดวงจันทร์หมุนรอบดวงอาทิตย์ ดังนั้นหากดวงจันทร์หันด้านที่รับแสงจากดวงอาทิตย์เข้าหาโลก เราก็จะ เห็นดวงจันทรม์ าก ในทางกลบั กนั ถา้ ดวงจันทรด์ ้านที่ได้รับแสงดวงอาทิตย์นอ้ ย เรากจ็ ะพลอยได้เห็นดวงจันทร์ นอ้ ยตามไปดว้ ย ดวงจันทร์หมนุ รอบโลกแบบประสานเวลา จะหันด้านเดยี วเข้าหาโลกเสมอคือ ดวงจนั ทร์หันด้านเดียว เข้าหาโลก เนื่องจากปฏิสัมพันธ์ของแรงไทดัลของโลกและดวงจันทร์ ทำให้ดวงจันทร์หมุนรอบตัวเองใช้เวลา เท่ากับทีด่ วงจันทรโ์ คจรรอบโลก ด้านตรงข้ามที่หันออกจากโลก (Far side of the Moon) จึงเต็มไปด้วยหลมุ อุกกาบาตขนาดใหญ่เพราะดวงจันทร์ทำหน้าทีป่ กป้องโลกไปในตัว พื้น ผิวของดวงจันทร์มีสภาพขรุขระและมี ชั้นดินเนือ้ ละเอียด มีหลมุ อุกกาบาตนับแสนหลุม สว่ นใหญม่ ขี นาด 20 - 175 กโิ ลเมตร เกดิ จากอุกกาบาตท่ีพุ่ง ชนพ้นื ผิวอยา่ งรนุ แรง และแมว้ า่ ดวงจันทร์จะมขี นาดเลก็ กวา่ โลกมากแตด่ วงจันทรก์ ม็ ีอิทธิพลกับโลกมาก ทำให้ เกิดปรากฏการณ์ต่าง ๆ เช่น ข้างขึ้นข้างแรม น้ำขึ้นน้ำลง สุริยุปราคา จันทรุปราคา นักวิทยาศาสตร์พบว่า ดวงจันทรก์ ำลงั เคลื่อนท่ีช้าลงและห่างจากโลกมากขึ้น คณะครุศาสตร์ 115 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” พ้นื ผิวบนดวงจนั ทร์ ทมี่ า: https://www.narit.or.th/images/pdf/e-book/2020-1-9/introduction_astronomy.pdf ดวงจันทร์เคลื่อนรอบโลก รอบละ 1 เดือน โดยการที่โลกหมุนรอบตัวเองไปทางทิศตะวันออก ทำให้ คนบนโลกเห็นดวงจันทร์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตก เคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวจักรราศี ในคืน เดียวกนั ท่ีเวลาต่างกัน เราจะเห็นดวงจันทร์เคล่อื นทป่ี รากฏจากทศิ ตะวันออกไปทางทิศตะวนั ตก ขา้ งขนึ้ ข้างแรม ที่มา: http://natataya8298.blogspot.com/2017/12/blog-post.html ดวงจันทร์เปลี่ยนตำแหน่งและเปลี่ยนรูปร่างเร็วมาก กล่าวคือ ในช่วงข้างขึ้น รูปร่างจะปรากฏโ ตข้ึน จากเป็นเสี้ยวเล็กที่สุดเมื่อวันขึ้น 1 ค่ำ ถึงโตที่สุดเป็นรูปวงกลมหรือจันทร์เพ็ญเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ ที่เป็นเช่นนี้ เพราะในแตล่ ะวัน ดวงจนั ทร์ด้านสวา่ งทีห่ นั มาทางโลกมีขนาดไมเ่ ทา่ กัน สัดสว่ นของดา้ นสวา่ งที่สะท้อนแสงมา ทางโลกมีขนาดโตขึ้นสำหรับวันข้างขึ้น และมีสัดส่วนน้อยลงสำหรับวันข้างแรม จะเห็นว่า ดวงจันทร์มีการ เปลี่ยนแปลงที่เราสามารถเห็นได้ชัดมากที่สุดทางด้านกายภาพ เราจะเห็นว่าทุกเดือนรูปร่างของดวงจันทร์จะ 116 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” เปลี่ยนไปตามระยะต่าง ๆ หรือ phases ซึ่งเกิดจากการที่เรามองเห็นด้านสว่างของดวงจันทร์ ซึ่งเป็นแสง สะท้อนจากดวงอาทิตย์ในมมุ ท่ีแตกตา่ งกนั ไป ขึ้นอยู่กับวา่ ดวงจันทร์อยู่ตรงตำแหนง่ ใดในความสมั พันธ์กบั ดวง อาทติ ยแ์ ละโลกในเวลา 29.5 วัน หรอื ประมาณหนึ่งเดือน การโคจรของดวงจันทรร์ อบโลกจะแบ่งเป็น 8 ระยะ ดงั น้ีคอื ฟสของดวงจันทร์ ท่ีมา: https://sites.google.com/site/taylorppritchett/home/science/moon-phases 1. New Moon หรือ เดอื นมดื เปน็ ตำแหนง่ ทดี่ วงจันทร์อยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์ อยหู่ น้าดวงอาทิตย์นั่นเอง ในวนั นผี้ สู้ ังเกตที่อยดู่ า้ นมดื หรือด้านกลางคนื และดา้ นกลางวันบนโลกจะมองไม่เห็น ดวงจนั ทร์ เราจงึ เรียกวา่ คืนเดอื นมดื หรอื จนั ทรด์ ับ คณะครุศาสตร์ 117 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ข้างขึ้น (Waxing) เป็นช่วงที่เกิดขึ้นระหว่างคืนเดือนมืดจนถึงคืนวันเพ็ญ โดยใช้ด้านสว่างของดวง จันทร์เป็นตัวกำหนด แบ่งออกเป็น 15 ส่วน เริ่มจาก ขึ้น 1...2...3... ค่ำ จนถึง ขึ้น 15 ค่ำ เราแบ่งข้างข้ึน ออกเป็น 3 ชว่ งคอื 2. ช่วงข้างขึ้นอ่อนๆ ตั้งแต่ ขึ้น 1..2..3 ค่ำ จนถึง ขึ้น 7 ค่ำ ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Waxing Crescent ดวงจันทร์จะปรากฏเป็นเสี้ยวสว่างบางๆ จนถึงเกือบครึ่งดวง โดยหันด้านสว่างไปทางด้านใกล้ดวง อาทติ ยด์ า้ นทศิ ตะวันตก คอื เราจะเห็นอยู่บนท้องฟา้ ด้านทิศตะวนั ตกตอนหวั ค่ำนนั่ เอง 3. จนั ทร์ครงึ่ ดวงคร้ังแรก ภาษาอังกฤษใช้คำว่า First Quarterหรอื ตรงกบั ขนึ้ 8 คำ่ ดวงจันทร์ทำมุม 90 องศาระหว่างโลกกับดวงอาทติ ย์ จะเร่มิ เห็นจบั ขอบฟ้าต้ังแต่เวลาเที่ยงวันโดยประมาณ และเริ่มมองเห็นได้ ในตอนกลางวันเพราะมขี นาดเส้ยี วคอ่ นข้างใหญ่ แล้วจะตกลบั ฟ้าในตอนเที่ยงคนื โดยประมาณ 4. ช่วงข้างขึ้นแก่ๆ ตั้งแต่ ขึ้น 9 ค่ำจนถึงขึ้น 14 ค่ำ จะเรียกว่า Waxing Gibbous ดวงจันทร์จะ ปรากฏด้านสว่างค่อนข้างใหญ่ มองเห็นได้ในตอนกลางวันทางขอบฟ้าด้านทิศตะวันออกตั้งแต่หลังเที่ยงวันไป แลว้ 5. Full Moon หรือ วันเพ็ญ ตรงกับขึ้น 15 ค่ำ เป็นตำแหน่งที่ดวงจันทร์อยู่ตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ หรือเป็นตำแหน่งตรงข้ามกับ New Moon ซึ่งแสงจากดวงอาทิตย์จะตั้งฉากกับดวงจันทร์พอดี ผู้สังเกตที่อยู่ ดา้ นกลางวนั จะไม่เห็นดวงจันทรบ์ นทอ้ งฟ้าเลย ในขณะผทู้ อ่ี ยู่ดา้ นมืดจะเห็นดวงจนั ทร์นานทส่ี ดุ คือเริ่มจับขอบ ฟ้าตั้งแต่เวลาประมาณ 6 โมงเย็น และตกตอน 6 โมงเช้าของอีกวันหนึ่ง โดยที่เวลาเที่ยงคืนดวงจันทร์จะอยู่ กลางศีรษะพอดี ข้างแรม (Waning) เป็นช่วงที่เกิดขึ้นระหว่างคืนวันเพ็ญจนถึงคืนเดือนมืดอีกครั้ง โดยใช้ด้านมืดของ ดวงจันทร์เป็นตัวกำหนด แล้วแบ่งออกเป็น 15 ส่วนเช่นกัน เริ่มจาก แรม 1..2...3.. ค่ำ จนถึงแรม 14-15 ค่ำ โดยจะเริ่มเห็นดวงจันทร์ ตั้งแต่ตอนหัวค่ำจนถึงเกือบรุ่งเช้าดา้ นทิศจะวนั ออก โดยหันด้านสวา่ งของดวงจันทร์ ไปทางทิศตะวันออกหรือด้านใกล้ดวงอาทิตย์ จะเป็นช่วงที่อยู่ตรงข้ามกับข้างขึ้นนั่นเอง เราแบ่งช่วงข้างแรม ออกเป็น 3 ชว่ งเช่นกนั คอื 6. ช่วงข้างแรมอ่อนๆ ตั้งแต่ แรม 1 ค่ำ..2..3..4 จนถึงแรม 7 ค่ำ จะเรียกว่า Waning Gibbous จะ เป็นช่วงที่เราเห็นด้านสว่างของดวงจันทร์ค่อนข้างมาก และเริ่มลดลงเรื่อย ๆจนถึงครึ่งดวง เห็นได้ตั้งแต่ตอน หวั ค่ำจนถึงเทยี่ งคืนดา้ นทิศตะวนั ออก 7. จนั ทร์ครงึ่ ดวงครั้งสุดทา้ ย หรอื Last Quarter ตรงกับแรม 8 คำ่ ดวงจันทรท์ ำมุม 90 องศาระหวา่ ง โลกกับดวงอาทิตย์อีกครั้ง ซึ่งจะเริ่มเห็นจับของฟ้าด้านทิศตะวันออกตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนโดยประมาณ และตก ลับขอบฟ้าในตอนเที่ยงวันของอีกวันหนึ่ง ซึ่งด้านมืดและด้านสว่างของดวงจันทร์ในคืนแรม 8 ค่ำนี้ จะอยู่ สลับกนั คอื ตรงขา้ มกับคืนวนั ข้ึน 8 ค่ำ 8. ช่วงขา้ งแรมแกๆ่ ตงั้ แต่ แรม 9 ค่ำ ...10..11..จนถึงแรม 14 -15 ค่ำ จะเรียกว่า Waning Crescent ซึ่งเราจะเห็นดวงจันทร์เป็นเส้ียวตั้งแต่คร่ึงดวงจนถึงบาง ๆ อีกครั้ง แต่จะเห็นค่อนข้างดึกจนถึงใกลร้ ุง่ เช้า โดย หันด้านเสี้ยวสว่างเข้าหาดวงอาทิตย์ด้านทิศตะวนั ออก และต่อจากนี้ดวงจันทร์ก็จะไปอยู่ด้านหนา้ ดวงอาทิตย์ อีกครั้ง คือเริ่มต้น New Moon อีกครั้งแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เริ่มวัฏจักรของข้างขึ้นข้างแรมใหม่ ซึ่งจะกินเวลา 1 118 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” รอบ 29.5 วัน เราเรียก 1 รอบดวงจันทร์ หรือ 1 เดือน (เมื่อเดือนนั้นเราหมายถึงดวงจันทร์ ในขณะที่ ภาษาองั กฤษเองก็ใช้คำว่า Month มาจากคำวา่ Moon น่นั เอง) ขอ้ มลู อ้างอิง https://www.scimath.org/lesson-physics/item/7294-moon http://www.lesa.biz/astronomy/solar-system/planets/earth/moon https://www.narit.or.th/index.php/astro-media-manual-menu https://us.wikipedia.org/wiki/moon คณะครุศาสตร์ 119 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ตอนที่ 2 ระบบสุรยิ ะ ดาวเคราะห์ และดาวฤกษ์ ระบบสรุ ยิ ะ ทีม่ า: https://www.lingohut.com/blog/learn-the-solar-system-in-spanish/ ระบบสุริยะ(Solar System) คือ ระบบดาวที่มีดาวฤกษ์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์ (Planet) เป็นบริวารโคจรอยู่โดยรอบ เมื่อสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิต สิ่งมีชีวิตก็จะเกิดขึ้นบนดาว เคราะห์เหล่านั้น หรือ บริวารของดาวเคราะห์เองที่เรียกว่าดวงจันทร์ (Satellite) นักดาราศาสตร์เชื่อว่า ใน บรรดาดาวฤกษ์ทั้งหมดกวา่ แสนล้านดวงในกาแลกซ่ีทางช้างเผือก อาจจะมีระบบสุริยะที่เอื้ออำนวยชีวิตอย่าง ระบบสุริยะที่โลกของเรา เป็นบริวารอยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าระยะทางไกลมากเกินกว่าความสามารถใน การติดต่อจะทำได้ถงึ กำเนดิ ระบบสรุ ยิ ะ ระบบสุริยะเกิดจากกลุ่มฝุ่นและแก๊สในอวกาศซึ่งเรียกว่า “โซลาร์เนบิวลา” (Solar Nebula) รวมตัว กันเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว (นักวิทยาศาสตร์คำนวณจากอัตราการหลอมรวมไฮโดรเจนเป็นฮีเลียม ภายในดวงอาทิตย์) เมื่อสสารมากขึ้นแรงโน้มถ่วงระหว่างมวลสารมากขึ้นตามไปด้วย กลุ่มฝุ่นและแก๊สยุบตัว หมุนเป็นรูปจาน แรงโน้มถ่วงที่เพิ่มขึ้นสร้างแรงกดดันที่ใจกลางจนอุณหภูมิสูงถึง 15 ล้านเคลวิน จุดปฏิกิริยา นิวเคลียรฟ์ วิ ชนั หลอมรวมอะตอมของไฮโดรเจนให้เป็นฮเี ลยี ม กำเนิดดวงอาทิตย์ ซึ่งเปน็ ดาวฤกษข์ น้ึ จากน้ัน วสั ดุรอบ ๆ ดวงอาทิตย์ ยงั คงหมนุ วนและโคจรรอบดวงอาทติ ยด์ ้วยโมเมนตัมทีม่ ีอย่เู ดมิ มวลสารในวงโคจรแต่ ละชั้นรวมตวั กนั เป็นดาวเคราะห์ อิทธิพลจากแรงโน้มถ่วงทำใหว้ ัสดุท่ีอยู่รอบ ๆ พุ่งเข้าหาดาวเคราะห์จากทุก ทศิ ทาง ถ้าทศิ ทางของการเคลื่อนที่มมี ุมลึกกจ็ ะพงุ่ ชนดาวเคราะห์ ทำใหด้ าวเคราะห์น้ันมีขนาดใหญ่และมีมวล เพิ่มขึ้น แต่ถ้ามุมของการพุ่งชนตื้นเกินไปก็อาจจะทำให้แฉลบเข้าสู่วงโคจร และเกิดการรวมตัวกลายเป็นดวง จนั ทรบ์ ริวาร 120 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” กำเนดิ ระบบสุรยิ ะ ท่ีมา: https://jkc2000.wordpress.com/formation-of-the-solar-system ดังจะเห็นว่า ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ เช่น ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์มีดวงจันทร์บริวารหลายดวง เนอ่ื งจากเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่มีมวลมากจึงมแี รงโน้มถว่ งมาก ตา่ งกบั ดาวพธุ ซง่ึ เป็นดาวเคราะหข์ นาดเล็ก มีมวลน้อยจึงมีแรงโน้มถ่วงน้อยจึงไม่มีดวงจันทร์บริวารเลย ส่วนดาวเคราะห์น้อยและดาวหางนั้นมีรูปทรง เหมอื นอกุ กาบาต เพราะเป็นดาวขนาดเล็กมมี วลน้อย แรงโน้มถว่ งจึงไม่สามารถเอาชนะแรงยึดเหนี่ยวระหว่าง สสารใหย้ บุ รวมเปน็ ทรงกลมได้ องคป์ ระกอบของระบบสรุ ยิ ะ โดยทัว่ ไปแลว้ จะแบ่งยา่ นต่าง ๆ ของระบบสุริยะ นับจากดวงอาทิตยอ์ อกมาดงั น้ีคือ ดาวเคราะห์ช้ันใน จำนวน 4 ดวง แถบดาวเคราะหน์ อ้ ย (Asteroid belt) ดาวเคราะหข์ นาดใหญ่รอบนอกจำนวน 4 ดวง และแถบ ไคเปอร์ (Kuiper Belt) ซึ่งประกอบด้วยวัตถุทีเ่ ย็นจัดเป็นน้ำแข็ง พ้นจากแถบไคเปอร์ออกไปเป็นเขตแถบจาน กระจาย (Scattered disc) ขอบเขตเฮลิโอพอส (Heliosphere) (เขตแดนตามทฤษฎีที่ซึ่งลมสุริยะส้ินกำลังลง เนื่องจากมวลสารระหวา่ งดวงดาว) และพ้นไปจากนั้นคือย่านของเมฆออร์ต (Oort cloud) องคป์ ระกอบของระบบสุริยะ 121 ทมี่ า: https://kids.britannica.com/kids/article/solar-system/353789 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ระบบสุริยะของเราประกอบด้วยดวงอาทิตย์และวัตถุอื่น ๆ ที่โคจรรอบดวงอาทิตย์เนื่องจากแรงโน้ม ถ่วง ได้แก่ ดาวเคราะห์ 8 ดวง(ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาว เนปจูน) กับดวงจันทร์บริวาร (Moon) ที่ค้นพบแล้ว 166 ดวง ดาวเคราะห์แคระ (Dwarf planet) 5 ดวงกับ ดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 4 ดวง และวัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ อีกนับล้านล้านชิ้น ซึ่งรวมถึง ดาวเคราะห์น้อย (Asteroid) วัตถุในแถบไคเปอร์ (Kuiper Belt) ดาวหาง (Comet) สะเก็ดดาว (Meteoroid) และฝุ่นระหว่าง ดาวเคราะห์ (Interplanetary dust cloud) ดาวเคราะห์ (Planets) คอื บรวิ ารขนาดใหญ่ของดวงอาทิตย์ 8 ดวง เรยี งลำดบั จากใกล้ไปไกล ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาวพฤหสั บดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจนู ดาวเคราะหท์ ง้ั แปดโคจร รอบดวงอาทติ ย์ โดยมีระนาบใกล้เคียงกบั ระนาบสุรยิ วิถี ดาวเคราะหช์ ัน้ ใน 4 ดวงแรก มีองค์ประกอบหลักเป็น ของแข็ง ดาวเคราะห์ชั้นนอก 4 ดวงหลังมีองค์ประกอบหลักเป็นแก๊สไฮโดรเจนเช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ ดาว เคราะห์เกือบทกุ ดวงหมุนรอบตัวเองและโคจรรอบดวงอาทติ ย์ในทิศทางเดียวกนั ดาวพุธ เป็นดาวเคราะห์หินที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากท่ีสุดและมีขนาดเล็กท่ีสุดในระบบสรุ ิยะ ใช้เวลา โคจรรอบ ดวงอาทิตย์ 88 วัน และหมุนรอบตัวเองเป็นเวลา 58.646 วัน ดาวพุธไม่มดาวีบริวาร เนื่องจากดาว พธุ อย่ใู กลด้ วงอาทติ ย์ เราจึงเรยี กดาวพธุ อกี อยา่ งหนึง่ ว่า “เตาไฟแช่แข็ง” ดาวศกุ ร์ เปน็ ดาวเคราะห์หนิ ทอ่ี ยูห่ ่างจากดวงอาทติ ยเ์ ป็นลำดับท่ี 2 ดาวศกุ ร์จะเปน็ ดาวท่ีปรากฏแสง สว่างมากทส่ี ดุ ในทอ้ งฟ้า ถ้าปรากฏให้เหน็ บนทอ้ งฟา้ ตอนหัวคํ่า เรียกว่า “ดาวประจำเมอื ง” และ ถา้ ปรากฏให้ เห็นบนท้องฟ้าในตอนเช้ามดื เรียกว่า “ดาวประกายพรกึ ” ดาวศุกร์ไม่มีดาวบริวารและ ดาวศุกร์ ได้ชื่อว่าเปน็ “ดาวฝาแฝดกับโลก” ใชเ้ วลาหมนุ รอบตัวเอง 243 วัน และโคจรรอบดวงอาทิตยร์ อบละ 224.7 วนั โลก เป็นดาวเคราะห์หินที่อยู่ห่างจากจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 3 เป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดยี ว ในระบบสุรยิ ะที่มีชีวิตอาศัยอยู่ เทา่ ที่ทราบในปัจจบุ ันมีดาวบริวาร 1 ดวง นัน่ คือ “ดวงจนั ทร์” น่ันเอง ใช้เวลา หมุนรอบตวั เอง 24 ช่วั โมง และโคจรรอบ ดวงอาทติ ย์ประมาณ 365 วนั ดาวองั คาร เปน็ ดาวเคราะห์หนิ ท่ีอยู่หา่ งจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 4 ใชเ้ วลาโคจรรอบดวงอาทิตย์ ประมาณ 687 วัน และหมุนรอบตัวเองในเวลา 24.623 ชั่วโมง มีดาวบริวาร 2 ดวง เราเรียกดาวอังคารอีก อย่างหน่งึ ว่า “ดาวเคราะหส์ ีแดง” หรือ “ดาวเทพแหง่ สงคราม” ดาวพฤหัสบดี เป็นดาวเคราะหแ์ กส๊ ทีใ่ หญท่ ี่สดุ ในระบบสุริยะ มขี นาดใหญ่กว่าโลกประมาณ 11 เท่า อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 5 หมุนรอบตัว เองเป็นเวลา 9.925 ชั่วโมง เร็วกว่าดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นเวลาประมาณ 12 ปี ดาวพฤหัสบดีเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ดาวยักษ์” มีดาวบริวาร ประมาณ 79 ดวง ดาวเสาร์ เป็นดาวเคราะห์แกส็ ที่อยูห่ า่ งจากดวงอาทิตยเ์ ปน็ ลำดับท่ี 6 ดาวเสาร์มวี งแหวนขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยก้อนหินที่มีน้ําแข็งปะปนโคจรอยู่โดยรอบ ดาวเสาร์หมุนรอบตัวเองเป็นเวลา 10.42 ชั่วโมง มี ดาวบรวิ าง 82 ดวง เชน่ ไททัน ไมมัส รอี า ทที ิส เปน็ ต้น และ โคจรจรรอบดวงอาทิตยเ์ ปน็ เวลาประมาณ 29 ปี ดาวยูเรนัส หรือ ดาวมฤตยู เป็นดาวเคราะห์แก็สที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 7 โคจรรอบ ดวงอาทิตย์เป็นเวลา 84 ปี หมุนรอบตัวเองเป็นเวลา 17.24 ชั่วโมง มีดาวบริวาร 27 ดวง มีฉายาว่า เทพเจ้า แหง่ ความงาม 122 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ดาวเนปจูน หรือ ดาวเกตุ เป็นดาวเคราะห์แก๊สที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 8 โคจรรอบ ดวงอาทิตย์เป็นเวลาประมาณ 165 ปี หมุนรอบตัวเองเป็นเวลา 16.06 ชั่วโมง มีดาวบริวารประมาณ 14 ดวง มีฉายาวา่ เทพเจ้าแห่งทอ้ งทะเลโรมัน หรือ ดาวสมทุ ร ดวงจันทร์บริวาร (Moons หรือ Satellites) หมายถึง ดาวที่เป็นบริวารโคจรรอบดาวเคราะห์อีกท่ี หนึ่ง มิได้โคจรรอบดวงอาทิตย์โดยตรง โลกมีบริวารชื่อ ดวงจันทร์ (The Moon) โคจรล้อมรอบ ขณะที่ดาว เคราะห์ดวงอื่นก็มีดวงจันทร์บริวารโคจรล้อมรอบเช่นกัน ยกตัวอย่าง ดาวพฤหัสบดีมีดวงจันทร์ขนาดใหญ่ 4 ดวง (Galilean moons) ชื่อ ไอโอ (Io), ยูโรปา (Europa), กันนีมีด (Ganymede) และคัลลิสโต (Callisto) ดาวเสารม์ ดี วงจนั ทรบ์ รวิ ารขนาดใหญ่ชือ่ ไททนั (Titan) ดวงจันทร์บรวิ าร ท่ีมา: https://forcetoknow.com/space/top-10-largest-moons-solar-system.html ดาวเคราะห์แคระ (Dwarf Planets) เป็นนิยามใหม่ของสมาพันธ์ดาราศาสตร์สากล (International Astronomical Union) ที่กล่าวถึง วัตถุขนาดเล็กที่มีรูปร่างคล้ายทรงกลม ที่มีวงโคจรเป็น รอบดวงอาทิตย์ ซ้อนทับกับดาวเคราะห์ดวงอื่น และไม่อยู่ในระนาบของสุริยวิถี ยกตัวอย่าง ดาวพลูโตถูก จัดเป็นดาวเคราะห์แคระ เน่ืองจากมีลักษณะคล้ายทรงกลม มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ซ้อนทับกับวงโคจรของ ดาวเนปจูน และเอียงตัดกับระนาบสุริยวิถีเป็นมุม 17° ดาวเคราะห์น้อยซีรีส ถูกจัดเป็นดาวเคราะห์แคระ เนื่องจากมีลักษณะคล้ายทรงกลม มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์ซ้อนทับกับวัตถุอื่นๆ ที่อยู่ในแถบเข็มขัดดาว เคราะหน์ อ้ ย ดาวพลโู ต เคยเป็นดาวเคราะห์หินที่อยูห่ ่างจากดวงอาทิตยเ์ ป็นอนั ดับท่ี 9 แตใ่ นปี พ.ศ.2548 ทาง สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล(IAU) ได้มีการกำหนดนิยามของดาวเคราะห์ขึ้นมา ซึ่งนั่นส่งผลให้ดาวพลูโต ถูกลด ระดับลงมากลายเปน็ “ดาวเคราะหแ์ คระ” คณะครุศาสตร์ 123 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ดาวเคราะห์แคระ ไดแ้ ก่ Ceres, Pluto, Haumea, Makemake and Eris ทม่ี า: https://backyardstargazers.com/dwarf-planet/ ดาวเคราะหน์ ้อย (Asteroids) คอื วัตถุที่ไม่สามารถรวมตัวกนั เป็นดาวเคราะหไ์ ด้ เนื่องจากถกู รบกวน จากแรงโน้มถ่วงของดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ เช่น ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์ ทำให้แรงไทดัลที่เกิดขึ้นมีกำลัง มากกวา่ แรงยดึ เหนี่ยวระหว่างสสารภายในดาว ดาวเคราะหน์ ้อยสว่ นใหญ่มีองค์ประกอบหลักเป็นหิน แต่บาง ดวงมีโลหะปนอยู่ ดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่อยู่ที่ \"แถบดาวเคราะห์น้อย\" (Asteroid belt) ซึ่งอยู่ระหว่างวง โคจรของดาวองั คารและดาวพฤหัสบดี ดาวเคราะหน์ อ้ ยมรี ูปทรงเหมือนอุกกาบาต เนือ่ งจากมวลน้อยจึงมีแรง โน้มถ่วงน้อยไม่สามารถยุบรวมเนื้อดาวให้มีรูปร่างทรงกลม วงโคจรของดาวเคราะห์น้อยมีความรีมากกว่าวง โคจรของดาวเคราะห์ โดยวงโคจรส่วนใหญเ่ อียงทำมุมกบั ระนาบสุริยวถิ ีเล็กน้อย ในปัจจบุ ันไดม้ กี ารค้นพบดาว เคราะหน์ ้อยมากกว่า 3 แสนดวง เน่อื งจากดาวเคราะห์นอ้ ยไมส่ ามารถรวมตัวเปน็ ดาวเคราะห์ได้ มนั จึงไม่มีการ เปล่ียนแปลงโครงสร้างภายในมาหลายพนั ลา้ นปีแล้ว นักดาราศาสตร์จึงเปรยี บวา่ ดาวเคราะห์น้อยเป็นเสมือน ฟอสซลิ ของระบบสุริยะ แถบดาวเคราะหน์ อ้ ย ท่ีมา: https://koonnarin.wordpress.com/asteroid-belt 124 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” แถบไคเปอร์ (Kuiper Belt) หมายถึง บริเวณที่อยู่เลยวงโคจรของดาวเนปจูนออกไป ที่ด้านนอก ระบบสรุ ยิ ะรอบนอก มีบริเวณกวา้ ง 3,500 ลา้ นไมล์ มีก้อนวัตถแุ ขง็ เป็นนำ้ แขง็ ขนาดเล็กจำนวนมากโคจรรอบ ดวงอาทิตย์ ลักษณะคล้ายกับแถบดาวเคราะห์น้อย ที่อยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารกับดาวพฤหัสบดี วัตถุ ที่อยู่ในแถบไคเปอร์ มีชื่อเรียกว่า วัตถุแถบไคเปอร์ (Kuiper Belt Object - KBO) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า วัตถุพ้น ดาวเนปจูน (Trans-Neptunian Object - TNO) ซ่งึ มีองคป์ ระกอบส่วนใหญ่เป็นน้ำแข็ง เชอื่ กนั ว่าก้อนน้ำแข็ง เหล่านี้ เป็นแหล่งกำเนิดของดาวหางคาบสั้น วงโคจรของวัตถุในแถบไคเปอร์ เอียงทำมุมกับระนาบสุริยวิถี เล็กน้อย โดยมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ 40 – 500 AU (AU ย่อมาจาก Astronomical Unit หรือ หน่วย ดาราศาสตร์ เท่ากับระยะทางระหว่างโลกถึงดวงอาทิตย์ หรือ 150 ล้านกิโลเมตร) วัตถุในแถบไคเปอร์ (Kuiper Belt Objects) เช่นดาวพลูโตและดาวเคราะห์แคระซึ่งถูกค้นพบใหม่เป็นวัตถุในแถบไคเปอร์ ( เอริส เซดนา วารูนา ) ปัจจุบันมีการค้นพบวัตถุประเภทนีแ้ ล้วมากกว่า 35,000 ดวงโดยชื่อแถบไคเปอร์นี้ ได้ตั้งเพ่ือ เป็นเกยี รติแก่ เจอรารด์ ไคเปอร์ (Gerard Kuiper) ผู้ค้นพบ แถบไคเปอร์ ท่มี า: https://www.ourpluto.org/the-kuiper-belt-and-its-relation-with-pluto/ แถบจานกระจาย (Scattered disc) หรือ แถบหินกระจาย (Scattered disc) คือย่านวัตถุไกล ในระบบสรุ ยิ ะทมี่ ดี าวเคราะห์นำ้ แขง็ ขนาดเลก็ กระจัดกระจายอยหู่ า่ ง ๆ กัน เรยี กชอ่ื ว่า วตั ถใุ นแถบหนิ กระจาย ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยอยู่ในบรรดาตระกูลวัตถุพ้นดาวเนปจูน (Trans-Neptunian object; TNO) วัตถุในแถบหิน กระจายมคี า่ ความเยื้องศูนย์กลางของวงโคจรสูงสุดถงึ 0.8 ความเอยี งวงโคจรสูงสดุ 40° มรี ะยะไกลดวงอาทิตย์ ที่สุดมากกว่า 30 หน่วยดาราศาสตร์ วงโคจรที่ไกลมากขนาดนี้เชื่อวา่ เป็นผลจากแรงโน้มถ่วงทีก่ ระจัดกระจาย โดยดาวแก๊สยกั ษ์ ขอบเขตเฮลิโอพอส (Heliosphere) มีลักษณะคล้ายฟองอากาศอยู่ในห้วงอวกาศ ที่พองตัวอยู่ใน สสารระหวา่ งดาว ซง่ึ เป็นผลจากลมสรุ ิยะ ทำหน้าท่ีปกป้องระบบสุรยิ ะเอาไว้จากรงั สีคอสมิก แม้จะมีอะตอมท่ี คณะครุศาสตร์ 125 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” เปน็ กลางทางไฟฟ้าสว่ นหนง่ึ จากสสารระหวา่ งดาวสามารถลอดเข้ามา ภายในเฮลโิ อสเฟยี รไ์ ด้ แต่โดยท่วั ไปแล้ว สสารสว่ นใหญ่ที่อย่ภู ายในเฮลโิ อสเฟียร์ลว้ นมตี น้ กำเนดิ มา จากดวงอาทติ ย์ท้งั ส้ิน ขอบเขตเฮลโิ อพอส ทมี่ า:https://www.esa.int/ESA_Multimedia/Images/2008/09/The_heliosphere ดาวหาง (Comet) เปน็ วัตถจุ ำพวกน้ำแข็งซึ่งมีจดุ กำเนิดมาจากขอบของระบบสุรยิ ะ นักดาราศาสตร์ ตั้งสมมติฐานว่า ดาวหางมีกำเนิดมาจากเมฆออร์ต (Oort's cloud) ซึ่งเป็นผลึกน้ำแข็งอยู่ที่ขอบของระบบ สุรยิ ะ เมอื่ มแี รงภายนอกมากระทำ เชน่ ซเู ปอร์โนวา (Supernova) หรอื ดาวฤกษร์ ะเบดิ ดาวหางจะหลดุ ออก จากถิ่นกำเนิดและถูกแรงโน้มถ่วงของดวงอาทิตย์ดึงดูดมาเป็นบริวาร วงโคจรของดาวหางจึงยาวไกลและมี ความรีมาก ไม่อยู่ในระนาบสุริยวิถี เนื่องจากเมฆออร์ตมีลักษณะเป็นทรงกลมที่ห่อหุ้มดวงอาทิตย์ ดาวหางจึง เคลอ่ื นทเี่ ขา้ ดวงอาทิตยไ์ ด้จากทุกทิศทาง ดาวหางฮัลเลย์ ในปี พ.ศ.2529 ทมี่ า: https://www.space.com/19878-halleys-comet.html เมฆออร์ต (Oort cloud) คือ ชั้นเมฆในอวกาศที่ล้อมรอบระบบสุริยะอยู่เป็นทรงกลม บริเวณเมฆ เหล่านี้อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ออกไปราว 50,000 - 100,000 AU จากดวงอาทิตย์ ไกลออกไปจากขอบระบบ 126 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” สุรยิ ะรอบนอก ตำแหนง่ ของเมฆออร์ตอยู่ในระยะความห่าง 1 ใน 4 ของดาวแคระแดงพร็อกซิมาคนคร่งึ ม้า ใน กลุ่มเมฆออร์ตนี้มีวัตถุพ้นดาวเนปจูน อย่างดาวเคราะห์แคระ 90377 เซดนา ที่ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2546 อย่ดู ว้ ย เมฆออรต์ ท่ีมา:https://www.astronomytrek.com/10-interesting-facts-about-the-oort-cloud/ วัตถุในกลุ่มเมฆออร์ตคือเศษเหลือจากการสร้างดาวเคราะห์ เป็นก้อนน้ำแข็งสกปรก มีส่วนประกอบ ไปด้วยน้ำแข็ง คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน แอมโมเนีย ฝุ่น และหิน มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ไม่กี่ กิโลเมตรไปจนถึงหลายสิบกิโลเมตร ซึ่งหากมีแรงโน้มถ่วงจากภายนอกมากระทบกระเทือน น้ำแข็งเหล่านี้จะ หลุดเข้าสู่วงโคจรรอบดวงอาทิตย์ กลายเป็นดาวหางวงโคจรคาบยาว (Long-period comets) ซึ่งมีคาบวง โคจรรอบดวงอาทิตยน์ านหลายหมื่นปี เม่อื ดาวหางโคจรเขา้ ใกลด้ วงอาทติ ย์ แรงโน้มถ่วงจากดาวเคราะห์จะส่ง อิทธิพลให้เปลี่ยนเป็นดาวหางวงโคจรคาบสั้น (Short-period comets) เช่น ดาวหางฮัลเลย์มีวงโคจรรูปวงรี แคบและคาบเก่ียวกับวงโคจรของดาวยูเรนัส มีคาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์เพียง 78 ปี โดยนักดาราศาสตร์ เช่อื กันว่ากลมุ่ เมฆออร์ตเปน็ แหลง่ ตน้ กำเนิดของดาวหาง ขอ้ มูลอ้างองิ https://www.scimath.org/lesson-physics/item/7316-origin-of-solar-system http://www.lesa.biz/astronomy/solar-system https://www.narit.or.th/index.php/astro-media-manual-menu https://en.wikipedia.org/wiki/Solar_System คณะครุศาสตร์ 127 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” 128 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ตอนท่ี 3 ตำแหนง่ และเสน้ ทางการขึ้นและตกของกลุ่มดาวฤกษ์ ดวงดาวและท้องฟ้า ท่มี า: https://www.nglish.com/spanish/en/star ดวงดาวได้ชื่อว่าเป็นธรรมชาติที่เก่าแก่และสวยงามที่สุด เมื่อโลกและมนุษย์อุบัติขึ้นก็มีดวงดาว ดวง อาทิตย์ ดวงจันทร์ เหมือนเช่นในปัจจุบัน แตกต่างกันเพียงสภาพแวดล้อมบนโลกเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ดวงดาว เป็นธรรมชาติที่ทำให้นักดาราศาสตร์เกิดแรงดลใจ แล้วศึกษาค้นคว้าและค้นพบกฎของธรรมชาติอัน สลับซับซ้อนมากมายที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ สมัยก่อนถ้าคืนใดไม่มีเมฆ ท้องฟ้าแจ่มใสจะเห็นดาว ระยิบระยับเต็มท้องฟา้ เหน็ ทางชา้ งเผอื กและดวงดาวไดม้ ากกวา่ ในปจั จบุ ัน มนษุ ยใ์ ห้ความสนใจต่อวัตถุท้องฟ้าและปรากฏการณบ์ นฟากฟ้ามาเปน็ เวลาช้านานแลว้ ด้วยความคิด อันเป็นระบบของมนุษย์ ทำให้มนุษย์พยายามจัดแบ่งดาวทีม่ ีจำนวนมากมายมหาศาลบนท้องฟ้าออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อความสะดวกในการค้นหาและสังเกตการณ์ กลุ่มดาวทั้งหมดบนท้องฟ้าจึงถูกแบ่งออกทั้งหมดเป็น 88 กลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มกำหนดไว้ตามจินตนาการของผู้สังเกต ในรูปของตัวบุคคล เครื่องมือสัตว์ต่าง ๆ ในเทพ นยิ าย โดยเฉพาะอย่างยง่ิ เทพนยิ ายกรีก ซ่ึงเป็นนิยายปรมั ปราที่มีการเลา่ ขานสบื ต่อมาต้ังแตค่ ร้งั อดีตกาล และ ยังเป็นท่รี จู้ กั กันดใี นปจั จบุ ัน เช่น กล่มุ ดาวนายพราน (Orion) กลุม่ ดาวเปอร์ซอิ ัส (Perseus) เป็นตน้ กลมุ่ ดาวเปอรซ์ ิอสั ทมี่ า:https://theberkshireedge.com/ public-service-runs-in-the-family การกำหนดเช่นนี้ทำให้การจดจำกลุม่ ดาวต่าง ๆ ง่าย ขึ้นเป็นอย่างมาก อีกยังทำให้การดูดาวมีความสนุกสนานเพลิดเพลิน ด้วยความช่างสังเกตของมนุษย์ ทำให้ คณะครุศาสตร์ 129 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” มนษุ ยท์ ราบว่าการขึ้น – ตกของดาวตา่ ง ๆ รวมท้งั ดวงอาทิตย์และดวงจันทรน์ ้ันเกิดขึ้นเนื่องจากการหมุนรอบ ตัวเองของโลกในแต่ละวัน และนอกจากจะสังเกตเห็นว่า ดาวฤกษ์บนท้องฟ้ามีความสว่างแตกต่างกันแล้ว ยัง พบว่าดาวฤกษ์แต่ละดวงยังมีสีหลากหลายแตกต่างกันไป บ้างก็เป็นสีน้ำเงิน บ้างก็เป็นสีขาว บ้างก็เป็นสีแดง ซึ่งนักดาราศาสตร์ก็ได้ข้อสรุปในภายหลังว่าสีของดาวนั้นข้ึนกับอุณหภูมิของดาวแต่ละดวงนั่นเอง ถ้าดาวร้อน มากสีที่ปรากฏจะเป็นสีน้ำเงิน ถ้าร้อนน้อยลงก็จะเริ่มกลายเป็นสีขาว และถ้าไม่ร้อนมากก็จะกลายเป็นสีส้ม หรือสีแดง ในภาษาอังกฤษคำวา่ ดาวฤกษ์ (Star) และดาวเคราะห์ (Planet) ดาวฤกษ์บางดวงอาจมีความสว่างไม่ คงที่ แต่ไม่สามารถตรวจวัดด้วยตาเปล่าได้ ต้องใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ตรวจวัด การที่เห็นดาวกระพริบ ระยิบระยับนั้นเป็นเพราะบรรยากาศของโลกแปรปรวน ในวันที่อากาศไม่ดีไม่ว่าจะเป็นดาวฤกษ์หรือดาว เคราะห์ก็ตามย่อมกระพริบส่ันไหวทั้งนั้น ดาวฤกษ์จำนวนนับแสนล้านดวงอาจมาอยู่ร่วมกัน ภายใต้แรงโน้ม ถ่วงระหว่างกัน เป็นอาณาจกั รดาวฤกษข์ นาดใหญ่ เรยี กว่า “ดาราจักร (Galaxy)” ดาราจกั รมีขนาดและรูปร่าง แตกต่างกันไป บ้างก็เป็นทรงรี (Elliptical) บางก็เป็นก้นหอย (Spiral) และบ้างก็ไร้รูปร่าง (Irregular) ระบบ สุริยะของเราเป็นสมาชิกในดาราจักรทีม่ ีชื่อเรยี กว่า “ทางช้างเผือก (Milky Way)” มีรูปร่างเป็นก้นหอย ดารา จักรเพือ่ นบา้ นของเราท่ีมีรปู ร่างคลา้ ยดาราจักรทางช้างเผือก มีชือ่ วา่ ดาราจักร “แอนโดรเมดา (Andromeda) อย่หู า่ งจากเราประมาณ 2.2 ล้านปแี สง ดาราจกั รแอนโดรเมดา ท่ีมา: http://bumzbime.blogspot.com /2013/01/andromeda-galaxy.html นิยามที่แท้จริงของดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ก็ คือ การเคลื่อนที่ คำว่า “ดาวเคราะห์” หรือ “Planet” มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Wander” แปลวา่ “นกั ท่องเทยี่ ว” ดาวฤกษเ์ ปน็ ดาวประจำที่ เมื่อมองจากโลกของเราจะเหน็ เปน็ รูปกลุ่มดาว คงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนดาวเคราะห์จะเคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่งไปในแต่ละวัน จากภาพแสดงให้เห็น ตำแหนง่ ของดาวองั คารบนท้องฟ้าซึ่งเปลย่ี นท่ีไปในวนั เมอื่ เทียบกบั กล่มุ ดาวจกั ราศที อี่ ยู่ด้านหลงั ในยคุ โบราณเชอ่ื กันวา่ โลกคือศูนย์กลางจักรวาล มดี าวทงั้ หลายโคจรล้อมรอบจากทิศตะวันออกไปยัง ทิศตะวันตก ดาวทั้งหลายที่ทำมุมระหว่างกันเป็นรูปกลุ่มดาวคงที่ ขึ้นตกตามเวลาที่แน่นอนของแต่ละฤดูกาล ถอื วา่ เป็น “ดาวฤกษ์” ส่วนดาวทีเ่ คลอ่ื นท่ีเปล่ียนตำแหน่งไปบนท้องฟา้ เม่อื เทยี บกบั กลุ่มดาวฤกษ์ ถือว่าเป็น “ดาวเคราะห์” ดังนั้นดาวเคราะห์ในยุคโบราณจึงมี 7 ดวงได้แก่ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวอังคาร ดาวพุธ ดาวพฤหสั บดี ดาวศกุ ร์ และดาวเสาร์ อนั เป็นช่อื ของวนั ในสปั ดาห์ และกลมุ่ ดาวฤกษ์ 12 กลุม่ ที่ถูกดาวเคราะห์ พวกนี้เคลื่อนที่ผ่านว่า“จักราศี” (Zodiac) อันเป็นชื่อกลุ่มดาวประจำเดือน โดยโลกหมุนรอบตัวเอง 130 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” ขณะเดียวกันก็โคจรรอบดวงอาทิตย์ โดยใช้เวลารอบละ 1 ปี ทำให้ตำแหน่งปรากฏของดวงอาทิตย์ เทียบกับ ตำแหนง่ ของกลุ่มดาว บนทอ้ งฟ้าเปล่ยี นแปลงไป ยกตวั อยา่ ง เช่น ในเดือนมถิ นุ ายน เรามองเห็นดวงอาทิตย์อยู่ หน้า “กลุ่มดาวคนคู่” (ราศีเมถุน) และในเวลาหนึ่งเดือนต่อมา ดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ในทิศทวนเข็มนาฬิกา ไป 30 องศา เรากจ็ ะมองเหน็ ดวงอาทิตยเ์ คลือ่ นท่ีไปอยหู่ นา้ \"กลมุ่ ดาวปู\" (ราศกี รกฏ) ซงึ่ อยู่ถดั ไป 30° เช่นกัน กลมุ่ ดาวจกั ราศี ทม่ี า : ttp://www.pw.ac.th/emedia/media/science/lesa/1/constellation/what_constellation/ เราเรียกกลุ่มดาว ซึ่งบอกตำแหน่งดวงอาทิตย์ ในแต่ละเดือนว่า \"จักราศี\" (Zodiac) ผู้คนใน สมัยก่อนใช้กลุ่มดาวจักราศี เป็นเสมือนปฏิทิน ในการกำหนดเวลาเป็นเดือนและปี โดยการเปรียบเทียบ ตำแหน่งของดวงอาทิตย์ กับตำแหน่งของกลุ่มดาวจักราศีบนท้องฟ้า โดยการถือเอาเส้นสุริยะวิถี เป็นเส้นรอ บวง 360° หารด้วยจำนวนกลมุ่ ดาวประจำราศีท้ัง 12 กลุ่ม ซึง่ หา่ งกนั กลมุ่ ละ 30° ดาวฤกษ์เป็นดาวประจำที่ แต่ดาวเคราะห์จะเคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวจักราศี ตำแหน่งขึ้นและตกของ ดาวเคราะห์ในแต่ละเดือนหรือแต่ละปีจึงต่างกัน ปรากฏการณ์ดาวขึ้น-ตกเป็นผลสะท้อนจากการหมุนรอบ ตัวเองของโลก ซึง่ หมนุ จากทิศตะวันตกไปทศิ ตะวนั ออก โลกกลม ๆ เมอ่ื หมนุ รอบตัวเองจะหมนุ รอบแกนที่ผ่าน ข้ัวโลกเหนอื และขว้ั โลกใต้ แกนทผี่ า่ นขัว้ โลกเหนือจะชี้ ไปยงั ขัว้ ฟ้าเหนอื ซึง่ มีดาวเหนืออย่ใู กล้ ๆ ดังนนั้ เม่ือโลก หมุนจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ดาวจึงวนเป็นวงกลม รอบดาวเหนือ โดยวนจากด้านทิศตะวันออกไป ทางทิศตะวันตก เส้นทางการขึ้น-ลงของดวงดาวทั้งหลายจะขนานกัน ในประเทศไทยดาวที่ขึ้นตรงจุดทิศ ตะวนั ออกพอดจี ะมี เสน้ ทางขนึ้ -ตกเอียงไปทางทิศใตเ้ ล็กน้อย ทำให้จดุ ท่ีขึ้นไปสูงสุดอยู่ทางทิศใต้ของจุดเหนือ ศีรษะเป็นมุมเท่ากับ ละติจูด และคล้อยต่ำลงไปตรงจุดทิศตะวันตกพอดี รวมเวลาตั้งแต่ขึ้นถึงตกเท่ากับ 12 ช่วั โมงพอดี ดาวทีข่ นึ้ เฉยี งไปทางใต้ของจุดทิศตะวันออกเป็นมุมเท่าใด จะไปตกทางทศิ ตะวนั ตกเฉียงไปทางทิศ ใต้เป็น มุมเท่านั้นโดยจะมีเวลาอยู่เหนอื ขอบฟ้ายาวมากกว่า 12 ชั่วโมง โดยเส้นทางขึ้น-ตกขนานกับเส้นที่ขน้ึ ตรงจุดทิศตะวันออก ดาวเหนืออยู่สูงจากขอบฟ้าทิศเหนือเป็นมุมเท่ากับละติจูด 15 องศาตลอด 24 ชั่วโมง คณะครุศาสตร์ 131 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” เส้นทางขนึ้ – ตกของดาวอาจหาได้จากส่วนโค้งของวงกลมบนท้องฟ้าทมี่ ีจดุ ศูนย์กลางอยู่ที่ดาวเหนือ และรัศมี เท่ากับระยะท่ีดาวห่างจากดาวเหนอื น่นั เอง การหมนุ รอบตัวเองของโลกและการขึ้น-ตกของดวงดาว ที่มา http://solar.steinbergs.us/solar.html ผลทเี่ กิดจากการเคล่อื นท่ขี องโลก - ดาวข้ึน – ตก เพราะโลกหมุนรอบตวั เองจากตะวันตกไปตะวนั ออกรอบละ 1 วนั - เส้นทางข้ึน – ตกของดาวฤกษจ์ ะคงที่เหมือนเดิมทกุ คนื ตลอดชวี ิตของเรา แต่จะขึ้นเร็วหรือ มาอยู่ทีเ่ กา่ ในเวลาทเ่ี ร็วขึ้นวนั ละ 4 นาที เพราะโลกโคจรอบดวงอาทิตย์ - เส้นทางขึ้น – ตกของดวงอาทิตย์เปลี่ยนไปทุกวัน เพราะแกนที่โลกหมุนรอบเอียงจาก แนวตั้งฉากกับแนวระนาบทางโคจรของโลกรอบดวงอาทติ ย์เปน็ มุมประมาณ 23.5 องศา - เส้นทางข้ึน – ตกของดวงจนั ทรด์ าวเคราะห์เปล่ยี นไปทุกวนั เพราะดวงจันทรโ์ คจรรอบโลก และดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ สรุปได้ว่าโลกหมุนรอบตัวเองทำให้เกิดปรากฏการณ์ขึ้นตกของดวงดาว ทำให้เกิดทิศ และกลางวัน กลางคืน ส่วนโลกเคลื่อนรอบดวงอาทิตย์ทำให้เห็นดาวขึ้นเร็วทุกวัน วันละประมาณ 4 นาที หรือเดือนละ 2 ชว่ั โมง บนท้องฟ้ามีดาวทีเ่ ป็นตน้ กำเนดิ ของชื่อวัน และคนไทยตั้งช่ือเดือนสุริยคตติ ามช่ือกลุ่มดาวจักรราศี ส่ิงท่ี อยบู่ นทอ้ งฟา้ นน้ั มีความสวยงามเสมอทัง้ ทเี่ หน็ ดว้ ยตาเปล่า และภาพทไ่ี ด้จากกล้องโทรทรรศน์ ในการวัดระยะห่างของดวงดาวและเทหวัตถุต่าง ๆ บนท้องฟ้านั้น เราไม่สามารถวัดระยะห่างออกมา เป็นหน่วยเมตร หรือกิโลเมตรได้โดยตรง ถ้าเราไม่ทราบว่าวัตถุเหล่านั้น อยู่ห่างจากเราเป็นระยะทางเท่าไร ดังนั้นการวัดระยะทางดาราศาสตร์ จึงนิยมวัดออกมาเป็น “ระยะเชิงมุม” (Angular distance) โดยระยะ เชิงมุม ระหว่างจุดสองจุดซึ่งสังเกตได้จากตำแหน่งที่แตกต่างกัน หมายถึง ขนาดของมุมระหว่าง ทิศทาง 2 ทิศทางซึ่งเกิดจากผู้สังเกตมุ่งไปยังวัตถุทั้งสองนั้น คำว่า ระยะเชิงมุม จึงมีความหมายจริงในลักษณะของ \"มุม\" แตใ่ ชใ้ นการอธิบายความหมายถึง \"ระยะทาง\" เชิงเสน้ ระหว่างวัตถุ 132 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ระยะเชิงมุม (Angular distance) ทม่ี า:http://www.lesa.biz/astronomy /celestialsphere/horizoncoordinates /angular/2013/01/andromeda- galaxy.html ระยะเชิงมุมที่วัดไดน้ ้ัน เป็นระยะห่างทีป่ รากฏให้เห็นเท่านั้น ทว่าในความเป็นจริง ดาว A และดาว B อาจอยู่ห่างจากเราไม่เท่ากัน หรืออาจจะอยู่ห่างจากเราเป็นระยะที่เท่ากนั จริงๆ ก็ได้ เนอื่ งจากดาวที่เราเห็นใน ทอ้ งฟ้าน้ันเราเหน็ เพยี ง 2 มติ เิ ท่านั้น สว่ นมติ ิความลึกน้ันเราไม่สามารถสังเกตได้ ในการวัดระยะเชิงมุมถ้าต้องการค่าที่ละเอียดและมีความแม่นยำ จะต้องใช้อุปกรณ์ที่มีความซับซ้อน มากในการวัด แต่ถ้าต้องการเพยี งค่าโดยประมาณ เราสามารถวัดระยะเชิงมุมได้โดยใชเ้ พยี งมอื และนิว้ ของเรา เองเท่านั้น เช่น ถ้าเรากางมือชูน้ิวโปง้ และน้ิวก้อย โดยเหยียดแขนใหส้ ดุ ความกว้างของน้ิวทัง้ สองเทียบกับมมุ บนทอ้ งฟ้า จะไดม้ ุมประมาณ 18 องศา ถา้ ดาวสองดวงอยูห่ ่างกันดว้ ยความกว้างน้ีแสดงว่า ดาวทั้งสองอยู่ห่าง กัน 18 องศาด้วย การใชม้ ือวัดมมุ ที่มา: http://www.lesa.biz/astronomy/celestial-sphere/horizon-coordinates/angular ในคนื ทีม่ ีดวงจันทรเ์ ต็มดวง ใหเ้ ราลองกำมอื ชูนวิ้ กอ้ ยและเหยยี ดแขนออกไปใหส้ ุด ทาบนวิ้ ก้อยกับดวง จันทร์ เราจะพบวา่ นว้ิ ก้อยของเราจะบังดวงจันทร์ได้พอดี เราจึงบอกไดว้ ่าดวงจันทรม์ ี \"ขนาดเชิงมุม\" (Angular Diameter) เทา่ กบั 1/2 องศา โดยขนาดเชิงมมุ ก็คือ ระยะเชิงมมุ ที่วัดระหวา่ งขอบ ของดวงจันทรน์ ั้นเอง ขนาด เชิงมมุ ของวัตถุขึ้นอย่กู ับระยะหา่ งของวตั ถุกับผูส้ ังเกต และขนาดเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางจริงของวัตถนุ ้ัน การสังเกตตำแหน่งและการขึ้นและตกของดาวฤกษ์และกลุ่มดาวฤกษ์สามารถทำได้โดยใช้แผนที่ดาว โดยแผนทีด่ าวเป็นแผนท่ีของวัตถทุ ้องฟา้ ในเวลากลางคืนท่ีนักดาราศาสตรไ์ ด้ทำการแบง่ และระบตุ ำแหน่งของ วัตถุท้องฟ้าต่างไว้ด้วยระบบพิกัดเสน้ ศนู ย์สูตรท้องฟ้า (Equatorial System) เชน่ ดาวฤกษ์ กาแลกซี เนบิวลา กรุจุกดาว กลุ่มดาว เป็นต้น ทั้งนี้ ในแผนที่ดาวมีการระบุวัตถุท้องฟ้าไว้เพียงตำแหน่งของกลุ่มดาว ดวงดาว และวัตถุท้องฟ้าที่สำคัญที่สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าหรือกล้องโทรทรรศน์ขนาดเล็กเท่านั้น สำหรับ คณะครุศาสตร์ 133 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” รายละเอียดของวัตถุท้องฟ้าทั้งหมดสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากบัญชีดาราศาสตร์ ( Astronomical Catalog) แผนที่ดาวถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในช่วง 476-221 ปีก่อนคริสตกาล โดยพบหลักฐานเป็นภาพวาดของ ชาวจนี ท่ีแสดงถึงท้องฟา้ ในสมยั นัน้ ในปี คศ.1092 นักดาราศาสตร์ชาวจนี ช่ือซู ซง (Su Song) ได้เผยแพร่แผน ที่ดาวขนาด 24.4 เซนติเมตร ที่แสดงตำแหน่งของดวงดาวบนท้องฟ้าตั้งแต่ 40 องศาเหนือ จนถึง 40องศาใต้ ซึ่งระบุตำแหน่งของดวงดาวไว้ถึง 1,464 ดวง แผนที่ดาวในปัจจุบันสร้างขึ้นโดยสมาคมดาราศาสตร์นานาชาติ (International Astronomical Union) โดยใช้ชื่อว่า THE USNO-B CATALOG ที่บรรจุตำแหน่งของวัตถุ ท้องฟ้าที่สามารถสังเกตเห็นได้ในปัจจุบันไว้ถึง 1,042,618,261 วัตถุ ซึ่งคิดเป็นหนึ่งในสี่ของปริมาณวัตถุ ท้องฟา้ ท่ีสามารถสงั เกตเหน็ ไดท้ งั้ หมดตามบญั ชดี าราศาสตร์ (Astronomical Catalog) แผนท่ดี าวของ ซู ซง ที่มา:https://historyandmaps.wordpress. com/2013/01/11/5-surprising-maps- from-ancient-china/ แผนทดี่ าวแบบพกพา (Pocket Sky Chart) เป็นแผนท่ดี าวทที่ ำขึน้ เพื่อจำลองแผนทดี่ าว (Sky Chart) เพื่อความสะดวกสำหรับการพกพาเพื่อสังเกตการณ์ท้องฟ้าในเวลากลางคืน ภายในแผนที่ดาวแบบพกพาจะ ประกอบด้วยแผนที่ดาวสองด้านที่แยกดาวในซีกฟ้าเหนือและซีกฟ้าใต้ไว้คนละด้าน แผนที่ดาววงกลมเป็น อุปกรณ์อย่างง่าย ที่ช่วยในการวางแผนและสงั เกตการณ์ท้องฟ้า แผนที่ดาวชนิดนีป้ ระกอบด้วย แผ่นกระดาษ สองใบคือ แผ่นแผนท่ีดาว (แผ่นซา้ ยมอื ) และ แผ่นขอบฟา้ (แผน่ ขวามือ) ซอ้ นกนั อยู่ และยดึ ติดกันด้วยตาไก่ที่ ตรงจุดศูนย์กลาง แผนท่ีดาวแบบพกพา ทีม่ า :http://www.pw.ac.th/emedia/media/science/lesa/1/constellation/star_map/star_map.html 134 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” การอา่ นแผนทีดาวจะทำให้ผู้ดูดาวรู้จกั กลุม่ ดาวบนท้องฟ้าอย่างถูกต้องวา่ กลุม่ ดาวแตล่ ะกลมุ่ นนั้ มีดาว สำคัญอยู่กด่ี วงและอยู่ใกล้กันในลกั ษณะ อย่างไร การอา่ นแผนทีด่ าวจะไม่เหมือนกับการอ่านแผนท่โี ลก เนอ่ื งจากการอา่ น แผนท่ีโลกแราจะต้องก้มมองลงไปบนแผนทโี่ ลกที่เราอยู่ แต่การอ่านแผนทดี าวเรา จะต้อง แหงนหนา้ ขน้ึ บนท้องฟา้ แล้วยกแผนทีด่ าวข้นึ เหนือศรีษะแทนท้อง ฟา้ ตัง้ ทิศตามแผนทดี่ าวและทิศจริงใน ท้องฟา้ ใหต้ รงกนั จะเหน็ ดวงดาวบนทอ้ ง ฟ้าตรงกับตำแหนง่ ทีอ่ ยใู่ นแผนทด่ี าว โดยแผนทีด่ าววงกลมนี้ ถูก ออกแบบขน้ึ เพ่ือใช้ ณ บริเวณใกล้กบั ละตจิ ดู 15° เหนือ เชน่ ภาคกลาง และภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ อย่างไร กต็ ามการนำไปใช้ ณ ละตจิ ูดอนื่ ๆ ของประเทศไทย ก็มิได้มแี ตกตา่ งไปจากท้องฟา้ จรงิ มากนัก ขอ้ มูลอ้างอิง http://www.pw.ac.th/emedia/media/science/lesa/1 / constellation/what_constellation/what_const ellation.html https://www.scimath.org/article-earthscience/item/10994-2019-10-25-07-54-35 นางมาลินี ศิร. ปรากฏการณ์ที่เกิดจากโลกหมุนรอบตัวเอง. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2563, จาก http://astro.rajsima.ac.th/u1_2.html ณัฐภัสสร เหล่าเนตร์. ประวัติการศึกษาดาราศาสตร์จนถึงปัจจุบัน. สืบค้นเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2563, จาก http://kruwitka.blogspot.com/2011/08/blog-post_26.html http://nso.narit.or.th/index.php/2017-11-25-10-50-19/2017-12-07-04-56-44/2017-12-07-09-17- 37/2017-12-09-02-57-45/2017-12-15-08-20-10 http://www.pw.ac.th/emedia/media/science/lesa/1/constellation/star_map/star_map.html http://www.lesa.biz/astronomy/cosmos คณะครุศาสตร์ 135 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ตอนที่ 4 ปรากฏการณส์ รุ ยิ ุปราคาและจนั ทรปุ ราคา สุรยิ ปุ ราคา(Solar eclipse) สุริยุปราคาหรือเรียกอีกชื่อว่า สุริยคราส เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เกิดขึ้นเมื่อดวงอาทิตย์ ดวง จันทร์ และโลก โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน ทำให้คนบนโลกสังเกตเห็นเงามืดมาบดบังดวงอาทิตย์ สุริยุปราคา จะเกดิ ข้ึนเฉพาะวันเดือนมืด (แรม 15 ค่ำ หรือ ขึน้ 1 ค่ำ) เนอื่ งจากเป็นวนั ทด่ี วงจันทร์อยตู่ รงกลางระหว่างโลก และดวงอาทิตย์ เมื่อสังเกตจากโลกจะเห็นดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้ามาบดบังดวงอาทิตย์ ถ้าดวงจันทร์บังดวง อาทิตย์หมดทั้งดวง เรียกว่า สุริยุปราคาเต็มดวง (total eclipse) สำหรับ “สุริยุปราคาบางส่วน (total eclipse)” แต่ถ้าดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ได้บางส่วน เรียกว่า สุริยุปราคาบางส่วน (partial eclipse) ซึ่งเกิด จากโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทติ ยไ์ ม่ได้เรยี งอยูใ่ นแนวเดียวกัน ขณะเกดิ สุริยุปราคาบางส่วน ดวงจันทร์จึงบด บังดวงอาทิตย์เพียงบางส่วนเท่านั้น ทำให้มีเพียงเงามัวของดวงจันทร์ทอดผ่านพื้นผิวโลก ผู้สังเกตบนโลก ภายในบรเิ วณท่เี งามวั ของดวงจันทรพ์ าดผ่านจะเห็นดวงอาทิตยถ์ ูกดวงจนั ทร์บดบงั เพยี งบางส่วนเท่านัน้ แสดงการเกิดสรุ ยิ ุปราคาเต็มดวง ที่ Madras, Oregon, United States 21 สิงหาคม 2017 ทมี่ า: https://www.voathai.com/a/the-great-american-eclipse/3995304.html เนื่องจากดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าโลกมาก เงาของดวงจันทร์จึงทอดลงไปครอบคลุมพื้นที่เล็กๆบน พื้นผิวโลก สุริยุปราคาจึงเห็นได้จากพื้นที่เฉพาะบางแห่งบนโลก อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่ว่าการที่ส ามารถ เหน็ สรุ ิยุปราคาเต็มดวง (ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์หมดดวง) เปน็ ความบังเอิญในธรรมชาตทิ ี่ถึงแม้ดวงจันทร์จะมี ขนาดเลก็ กวา่ ดวงอาทิตย์ 400 เทา่ แต่ก็ใกลก้ ว่าดวงอาทิตย์ 400 เท่าดว้ ย ดวงจนั ทรจ์ ึงสามารถบังดวงอาทิตย์ ได้มิดพอดี ถึงแม้ว่าสุริยุปราคาในชุดเดียวกันจะเกิดขึ้นทุก 18 ปี แต่พื้นที่เดียวกันจะเห็นสุริยุปราคาอีกครั้ง ในชว่ งประมาณ 300-400 ปี 136 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” พนื้ ทบ่ี นโลกทสี่ งั เกตเห็นสรุ ยิ ุปราคา ที่มา: Theresa Knott using NASA images. ดวงจันทร์บังแสงจากดวงอาทติ ย์ ทำให้เกิดเงา 2 ชนดิ คือ เงามืด และเงามัว เงามืด (Umbra) เปน็ เงาทม่ี ดื ทีส่ ุด เนอ่ื งจากโลกบังดวงอาทิตย์จนหมดสิน้ หากเราเขา้ ไปอยู่ในเขตเงา มืดจะไม่สามารถมองเห็นดวงอาทิตยไ์ ดเ้ ลย เงามัว (Penumbra) เป็นเงาที่ไม่มืดสนิท เนื่องจากโลกบังดวงอาทิตย์เพียงด้านเดียว หากเราเข้าไป เขตเงามวั จะมองเห็นบางสว่ นของดวงอาทติ ย์โผล่พ้นส่วนโคง้ ของโลก เงาทเี่ กดิ ข้นึ จึงไม่มดื นัก ภาพจำลองการเกดิ ปรากฏการณ์สรุ ิยุปราคา การเกิดเงามดื และเงามวั ทม่ี า : http://www.narit.or.th/index.php/news/1113-narit-partial-solar-eclipse-2020-june สุริยปุ ราคามี 4 ประเภท ได้แก่ 137 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” - สุริยุปราคาบางส่วน มลี กั ษณะ: มีเพียงบางสว่ นของดวงอาทิตย์เทา่ นั้นท่ถี ูกบัง - สุรยิ ุปราคาเตม็ ดวง มีลักษณะ : ดวงจันทรบ์ งั ดวงอาทติ ยห์ มดท้ังดวง - สุริยุปราคาวงแหวน มีลักษณะ: ดวงอาทิตย์มีลกั ษณะเป็นวงแหวน เกิดเมื่อดวงจันทร์อย่ใู น ตำแหนง่ ที่หา่ งไกลจากโลก ดวงจันทรจ์ งึ ปรากฏเล็กกว่าดวงอาทิตย์ - สุริยุปราคาผสม มีลักษณะ : ความโค้งของโลกทำให้สุริยุปราคาในคราวเดียวกันกลายเป็น แบบผสมได้ คือ บางส่วนของโลกเห็นสุริยุปราคาเต็มดวง บางส่วนเห็นสุริยุปราคาวงแหวน บริเวณที่เห็น สรุ ยิ ุปราคาเต็มดวง เป็นส่วนทอี่ ย่ใู กลด้ วงจนั ทรม์ ากกว่า ประเภทของสุรยิ ปุ ราคา ท่ีมา : http://www.narit.or.th ในแตล่ ะปสี ามารถเกิดสุรยิ ุปราคาบนโลกได้อยา่ งนอ้ ย 2 ครัง้ สูงสดุ ไม่เกิน 5 ครงั้ ในจำนวนนี้อาจไม่มี สุริยุปราคาเต็มดวงเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรืออย่างมากไม่เกิน 2 ครั้ง โอกาสที่จะได้เห็นสุริยุปราคาเต็มดวง สำหรับสถานที่ใดสถานที่หนึ่งบนพื้นโลกนั้นค่อนข้างยาก เนื่องจากสุริยุปราคาเต็มดวงแต่ละครั้งจะเกิดใน บรเิ วณแคบ ๆ ภายในแถบที่เงามืดของดวงจนั ทร์พาดผ่านเท่านน้ั ตามสถติ ิแล้วสุริยปุ ราคาจะกลบั มาปรากฎซ้ำ ทเ่ี ดมิ จะต้องใช้เวลาถงึ 375 ปี แต่เกดิ ปรากฏการณ์ให้เราได้เหน็ ไม่กน่ี าที การมองดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่าส่งจะผลเสียต่อตา ไม่ว่ามองเวลาใดก็ตาม แม้แต่มองดวง อาทติ ยข์ นาดเกิดสุริยปุ ราคา แตส่ รุ ยิ ุปราคาก็เป็นปรากฏการณธ์ รรมชาติท่นี ่าสนใจและศึกษาอยา่ งมาก การใช้ อุปกรณช์ ว่ ยในการมอง เช่นกลอ้ งสองตา หรอื กล้องโทรทรรศน์กย็ ่ิงทำใหเ้ ป็นอันตรายมากยงิ่ ขน้ึ ไปอกี การสังเกตที่จะปลอดภัยต่อตามากที่สุด คือการฉายแสงจากดวงอาทิตย์ผ่านอุปกรณ์อื่น เชน่ กล้องสองตา หรือกล้องโทรทรรศน์ แล้วใช้กระดาษสีขาวมารองรับแสงนั้น จากนั้นมองภาพจากกระดาษที่รับ แสง แตก่ ารทำเช่นน้ตี อ้ งม่ันใจวา่ ไมม่ ีใครมองผ่านอุปกรณน์ ั้นโดยตรง ไมเ่ ชน่ นั้นจะทำอันตรายต่อตาของคนนั้น อยา่ งมาก โดยเฉพาะถา้ มเี ดก็ อยู่บริเวณนน้ั ต้องไดร้ ับการดูแลเปน็ พิเศษ จนั ทรปุ ราคา (Lunar Eclipse) จนั ทรุปราคา หรือ จนั ทรคราส เกิดข้นึ เม่ือดวงจนั ทร์วนั เพญ็ เคล่ือนทผี่ ่านเงาของโลก ซึง่ จะเกดิ ขึ้นเม่ือ ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน โดยมีโลกอยู่ตรงกลาง เกิดขึ้นได้เฉพาะใน 138 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” คืนพระจันทร์เต็มดวงหรือ ขึ้น 15 ค่ำ คนไทยสมัยโบราณเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า “ราหูอมจันทร์” ระยะเวลา ในการเกิดปรากฏการณ์หรือรูปแบบของการเกิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งวงโคจรของดวงจันทร์เมื่อเทียบกับวงโคจร ของโลก ดังนน้ั จงึ มีโอกาสทจ่ี ะเกิดจันทรุปราคาเพียงปีละ 1 – 2 ครงั้ การเกิดจนั ทรุปราคาเต็มดวงท่อี ุทยานหลวงราช พฤกษ์ จังหวดั เชยี งใหม่ 10 ธ.ค. 2554 ท่มี า: https://www.it24hrs.com/2014/narit-lunar- eclipse-2557/ จันทรปุ ราคาเตม็ ดวง เกิดจากโลกบังแสงจากดวงอาทิตย์ทำใหเ้ กิดเงามืดบนดวงจันทร์ทงั้ หมด แต่จะมี แสงจากดวงอาทิตย์บางสว่ นท่ีเลี้ยวเบนผ่านเงามดื ของโลกได้ ทำให้มองเห็นดวงจันทร์เป็นสแี ดง เนื่องจากดวง จันทร์เป็นสีแดงนี้เองที่เราเรียกว่า พระจันทร์สีเลือด (a blood moon) ซึ่งเป็นเพราะแสงจากดวงอาทิตย์ ประกอบไปด้วย แสงคลื่นสั้นและแสงคลื่นยาว แสงคลื่นสั้น เช่น แสงสีม่วง แสงสีน้ำเงิน จะมีการกระเจิงของ แสงหรือสะทอ้ นกลบั หมดก่อนที่พวกมันจะเดินทางมาถึงผิวโลก ส่วนแสงคลน่ื ยาว เชน่ แสงสแี ดง และแสงสีส้ม จะสามารถเดินทางผา่ นชัน้ บรรยากาศของโลกเข้ามาได้ และเกิดการหักเหของแสงก่อนจะเดินทางไปยังพื้นผิว ของดวงจันทร์ ทำใหเ้ ราเหน็ ดวงจันทรเ์ ปน็ สีแดงอมนำ้ ตาลคลา้ ยกับสเี ลือดนน่ั เอง พระจันทรส์ ีเลือด (ซ้ายมือ) ระนาบการโคจรของดวงจันทร์รอบโลก(ขวามือ) ท่มี า: http://www.astronomy.ohio-state.edu/~pogge/Ast161/Unit2/eclipses.html การเกิดจันทรุปราคาจะแตกต่างจากสุริยุปราคา กล่าวคือ สุริยุปราคาจะมีเวลาในการเกิด ปรากฏการณ์ไม่กนี่ าที เนื่องจากเงาของดวงจันทร์มขี นาดเล็กมากเมอ่ื เทียบกบั ขนาดของโลก และสังเกตเห็นได้ เฉพาะบริเวณที่เงามืดของดวงจันทร์ผ่าน แต่สำหรับจันทรุปราคาเนื่องจากเงาของโลกใหญ่กว่าตัวดวงจันทร์ มาก จันทรุปราคาจึงกินเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง ส่วนจันทรุปราเต็มดวง (ช่วงที่ดวงจันทร์ทั้งดวงอยู่ในเงามืดของ โลก) จะเกิดไดน้ านถึง 1 ชั่วโมง 40 นาที และสามารถสงั เกตเห็นไดใ้ นทุกพ้ืนท่ีทีเ่ ปน็ ช่วงเวลากลางคืน ประเภทของจันทรปุ ราคา มี 4 ประเภทคอื คณะครุศาสตร์ 139 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” 1. จันทรุปราคาเต็มดวง (Total Eclipse) เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์ทั้งดวงเข้าไปอยู่ในเงามืดของ โลก บางครง้ั จะเห็นดวงจันทรเ์ ป็นสแี ดง หรอื ทเี่ รียกวา่ \"พระจนั ทรส์ ีเลือด\" การที่เรามองเห็นจนั ทรุปราคาเต็ม ดวงมีสีดังสีเลือดกเ็ นื่องมาจากโลกมีบรรยากาศห่อหุ้มอยู่ เมื่อเงาดำของโลกทอดไปทับดวงจันทร์ บรรยากาศ บางสว่ นทไ่ี ด้รบั แสงสวา่ งจากดวงอาทติ ยจ์ ะสะท้อนแสงไปยังเงาดำน้ันบ้าง จงึ ทำใหเ้ กิดแสงสลวั ๆ ปรากฏข้นึ 2. จนั ทรปุ ราคาบางส่วน (Partial Eclipse) เกิดขึ้นเมือ่ บางส่วนของดวงจันทร์เฉีย่ วผ่านเงามวั 3. จนั ทรปุ ราคาเงามัว (Penumbra Eclipse) เกดิ ขนึ้ เม่อื ดวงจนั ทร์โคจรผา่ นเข้าไปในเงามัวของ โลก โดยมิได้เฉี่ยวกายเข้าไปในเงามืดแม้แต่น้อย ดวงจันทร์จึงยังคงมองเห็นเต็มดวงอยู่ แต่ความสว่างลด น้อยลง สีออกส้มแดง จันทรุปราคาชนิดนี้หาโอกาสดูได้ยาก เพราะโดยทั่วไปดวงจันทร์มักจะผ่านเข้าไปในเงา มดื ดว้ ย 4. จันทรุปราคาเงามัวเต็มดวง เกิดขึ้นเมื่อดวงจันทร์เคลื่อนที่เข้าไปในเงามัวของโลกทั้งดวงแต่ ไม่ได้เข้าไปอยู่ในบริเวณเงามืด ดวงจันทร์ด้านที่อยู่ใกล้เงามืดมากกว่าจะมืดกว่าด้านที่อยู่ไกลออกไป จันทรปุ ราคาลกั ษณะน้ีเกิดข้นึ ไม่บอ่ ยนัก ประเภทของจนั ทรปุ ราคา ทมี่ า: https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/68025/-blo-sciear-sci- ข้อมูลอ้างองิ http://www.narit.or.th/index.php/news/1113-narit-partial-solar-eclipse-2020-june https://tuemaster.com/blog/ Solar eclipse/ http://nso.narit.or.th/index.php/2017-11-25-10-50-19/2017-12-07-04-56-44/2017-12- 07-09-17-37/2017-12-09-02-56-21/2017-12-14-08-08-18 http://www.narit.or.th/index.php/astro-media-fact-sheet-menu https://sites.google.com/site/krukookkai15/innovation/bth-thi-3-kar-keid-suriyuprakha- laea-canthruprakha https://www.trueplookpanya.com/knowledge/content/68025/-blo-sciear-sci- http://www.lesa.biz/astronomy/astro-events/lunar-eclipse 140 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” คณะครุศาสตร์ 141 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ตอนที่ 6 แหลง่ นำ้ วัฏจักรนำ้ และการอนุรกั ษ์ 1. แหล่งน้ำในธรรมชาติ น้ำเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตบนโลกรวมถึงมนุษย์ด้วย ร่างกายของเรา ประกอบด้วยน้ำกว่าร้อยละ 60 ของน้ำหนักตัว อวัยวะของเราบางอย่าง เช่น สมองและหัวใจประกอบด้วยนำ้ ร้อยละ 73 ปอดของเราประกอบดว้ ยน้ำ ร้อยละ 83 กล้ามเนือ้ และไต รอ้ ยละ 79 และแมแ้ ต่ในกระดูกของเรา ยังมีน้ำอยู่ราว ร้อยละ 31 ในแต่ละวันเราควรดื่มน้ำสะอาดประมาณ 2-3 ลิตร เพื่อให้ร่างกายทำงานได้เป็น ปกติ เพราะน้ำมีหน้าที่สำคัญหลายอย่างในร่างกาย เช่น เป็นส่วนประกอบสำคัญของเซลล์ ทำหน้าที่รักษา สมดุลอณุ หภูมิของรา่ งกาย พาของเสียออกจากร่างกายในรปู ของปัสสาวะ แลว้ น้ำที่เราใชม้ าจากไหน ในธรรมชาติมีแหล่งนำ้ ซงึ่ เป็นที่มาของน้ำสะอาดท่ีเราใช้อุปโภคบริโภคกนั แบ่งได้เปน็ 2 ประเภท คือ 1) แหล่งน้ำผิวดิน หมายถึง แหล่งน้ำที่อยู่บนผิวดิน เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หนองบึง ทะเลสาบ อา่ งเกบ็ น้ำ ทะเล และมหาสมทุ ร น้ำในแหล่งน้ำผิวดนิ มีทงั้ น้ำจดื น้ำเคม็ และน้ำกรอ่ ย 2) แหล่งน้ำใต้ดิน หมายถึง แหล่งน้ำที่อยู่ในชั้นดินหรือชั้นหินใต้ดิน โดยน้ำในแหล่งนี้เกิดจาก การไหลซึมของน้ำบนผิวดินตามแรงโน้มถ่วงลงมาสะสมในช่องว่างระหว่างเม็ดดิน เรียกว่า น้ำในดิน น้ำในดิน ส่วนนี้หากไม่ถูกความร้อนจากแสงอาทิตย์ทำให้ระเหย จะไหลซึมตามแรงโน้มถ่วงลงไปสะสมในรอยแตกของ ชนั้ หนิ ท่ีอยใู่ ต้ดนิ ซง่ึ จะเรียกน้ำในช้นั นว้ี ่า น้ำบาดาล นำ้ ผิวดนิ ภาคตดั ขวางของแม่นำ้ น้ำใต้ดิน ภาคตัดขวางของแหลง่ นำ้ ใต้ดนิ ที่มา : http://www.lesa.biz/earth/hydrosphere/water-resources หากจะกล่าวว่าพื้นผิวโลกของเราปกคลุมไปด้วยน้ำก็ไม่ผิดจากความเป็นจริง เพราะร้อยละ 71 ของ พน้ื ผิวโลกถูกปกคลมุ ด้วยนำ้ ทง้ั ในรูปของน้ำและน้ำแข็ง ซ่ึงหากดแู ต่เพียงตัวเลขร้อยละ 71 ดงั กลา่ วอาจเข้าใจ ว่าเรามีน้ำสำหรับใช้อุปโภคบริโภคอย่างเหลือเฟือ ทว่ายังมีรายละเอียดอีกด้านที่จำเป็นต้องทราบเกี่ยวกับน้ำ นั่นคือน้ำที่ปกคลุมผิวโลกมีทั้งน้ำจืดและน้ำเค็ม นักเรียนคิดว่าระหว่างน้ำจืดและน้ำเค็ม น้ำที่ปกคลุมผิวโลก สว่ นใหญ่เป็นนำ้ อะไร ปริมาณน้ำบนโลกทั้งหมดหากเทียบเป็นร้อยละ จะเป็นน้ำเค็มร้อยละ 97.5 และเป็นน้ำจืดเพียงร้อย ละ 2.5 ซง่ึ ในร้อยละ 2.5 นี้อยใู่ นรูปทีม่ นุษย์เราสามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดน้ ้อยมาก ดงั ตาราง 142 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ตาราง 1 ปริมาณนำ้ บนโลก ร้อยละ 97.5 ประเภทของน้ำ 1.75 นำ้ เค็ม เช่น มหาสมทุ รและทะเล 0.75 0.74 น้ำจืด 0.01 น้ำจืดทไ่ี มส่ ามารถนำน้ำมาใช้ได้ 100 เชน่ ธารน้ำแขง็ และพืดน้ำแข็ง ชน้ั ดินเยอื กแข็งคงตวั และนำ้ แข็งใตด้ ิน ความชื้นในดนิ ความชน้ื ในบรรยากาศ นำ้ ในสิ่งมีชีวติ น้ำจดื ทสี่ ามารถนำมาใช้ได้ - นำ้ ใต้ดนิ - นำ้ ผิวดิน เช่น แมน่ ำ้ ลำคลอง หนอง บงึ ทะเลสาบ ปริมาณนำ้ ทงั้ หมดบนโลก คณะครุศาสตร์ 143 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์

โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” 2. วฏั จกั รน้ำ นกั เรยี นเคยสงสยั หรือไมว่ ่าน้ำจดื ท่เี ราใช้ในการดำรงชวี ติ มาจากไหน ทำไมจงึ มีให้เราใชไ้ ม่รู้จักหมดสิ้น ทั้งที่แหล่งน้ำจืดสำคัญที่เราใช้อุปโภคบริโภคจะมาจากแม่น้ำ ซึ่งไหลไปลงทะเลหรือมหาสมุทรอยู่ตลอดเวลา คำตอบของคำถามนี้ คอื สงิ่ ทีเ่ ราเรียกว่า วฏั จักรน้ำ วัฏจักรของน้ำ คือ การหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของน้ำ โดยอาศัยกลไกการเปลี่ยนสถานะของน้ำซึ่ง เป็นได้ทั้งของแข็ง ของเหลว และแก๊ส เมื่อน้ำที่เป็นของเหลวตามที่ต่าง ๆ ได้รับความร้อนจากแสงอาทิตย์จะ ระเหยเปลี่ยนสถานะเปน็ แก๊สคอื เป็นไอน้ำ ซึ่งเบากวา่ อากาศจึงลอยขึ้นสูบ่ รรยากาศ ซึ่งมีความเย็นทำให้ไอนำ้ เกิดการควบแน่นกลับมาเป็นของเหลวที่มีลักษณะเป็นละอองน้ำเล็ก ๆ ลอยจับตัวกันเป็นก้อน เรียกว่า เมฆ เมื่อจับตัวกันมากขึ้นจนกลายเป็นหยดน้ำก็จะตกลงสู่พื้นโลก เรียกว่าฝน แต่หากในขั้นตอนของการควบแน่น บรรยากาศมีความเย็นจัดไอน้ำอาจจะไม่เพียงกลายเป็นของแข็ง อาจเย็นตัวจนกลายเป็นของแข็ง คือผลึก น้ำแข็ง ซึ่งเมื่อตกลงสู่พื้นโลกจะกลายเป็นหิมะ หรือลูกเห็บ รวมเรียกฝน หิมะ และลูกเห็บว่าหยาดน้ำฟ้า จากนน้ั กระบวนการจะเกดิ ในลักษณะวนเป็นวัฏจักร ทำให้น้ำท่ีเราใชอ้ ปุ โภคบริโภคดเู หมือนจะไมร่ ู้จักหมดส้นิ วฏั จกั รนำ้ จากภาพ จะเห็นว่าวัฏจักรน้ำอาจได้รับผลกระทบจากพฤติกรรมการดำรงชีวิตของพืชและสัตว์ เช่น การคาย น้ำของพืช การสร้างเขื่อนและระบบชลประทานของมนุษย์ การตัดไม้ทำลายป่าก็ส่งผลกระทบต่อวัฏจักรน้ำ ด้วยเช่นกัน จากเนื้อหาที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าน้ำจืดที่เราสามารถใช้อุปโภคบริโภคนั้นมีปรมิ าณจำกัด แม้จะ มีวัฏจักรน้ำที่คอยดูแลสมดุลของน้ำจืดน้ำเค็มบนผิวโลก แต่กิจกรรมของมนุษย์ก็อาจรบกวนวัฏจักรของน้ำได้ เราจึงควรเรยี นรูแ้ ละปฏิบตั ติ นตามแนวทางการอนุรกั ษ์แหล่งน้ำและการใชน้ ้ำอย่างรู้คุณคา่ เช่น ใชแ้ ก้วหรือขัน 144 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook