โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” \" การจำศลี \" ในชว่ งนี้จะไม่กินอาหาร โดยจะใช้อาหารท่ีสะสมไว้ในร่างกายอย่างช้า ๆ เพอ่ื รอฤดูฝนจะออกมา กินอาหารตามปกติ สัตวเ์ ล้อื ยคลาน สัตว์พวกนี้ เป็นสัตว์เลือดเย็น อาศัยอยู่บนบกเป็นส่วนใหญ่ จะลงไปหาอาหารในน้ำ เวลาพักผ่อนจะ ขึ้นมาอยู่บนบกหรือรมิ น้ำ ยังพบว่าสัตว์พวกนี้ มีอุณหภูมิร่างกายเปลีย่ นแปลงไปตามอุณหภูมิของส่ิงแวดล้อม เชน่ เดยี วกับพวกปลาและสตั ว์ครงึ่ น้ำคร่ึงบก ไดแ้ ก่ จระเข้ เต่า ตะพาบ งู ก้ิงก่า จ้งิ จก ลักษณะสำคัญ มีผิวหนังหนาและแห้ง มักมีเกล็ดแข็งปกคลุมร่างกาย หายใจด้วยปอด มีขา 4 ขา ปลายนิ้วมีเล็บช่วยจิกในการเคลื่อนที่ และอาจมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะให้เหมาะสมกับการเคลื่อนที่ เช่น เปลี่ยนไปเป็นใบพายสำหรับว่ายน้ำ เช่น เต่าทะเล ในเต่าและตะพาบน้ำเกล็ด จะเชื่อมติดต่อกันเป็นแผ่นใหญ่ เรยี กว่า \" กระดอง \" บางชนดิ ไม่มีขาจึงเคล่อื นที่ โดยการใช้วธิ ีการเล้ือย เชน่ งู สัตวป์ กี สตั วพ์ วกนี้ เป็นสัตว์เลือดอนุ่ มอี ุณหภมู ิของร่างกายคงท่ี ไม่เปล่ียนไปตามสภาพแวดล้อม เป็นสัตว์ท่ีมี การววิ ฒั นาการมาจากสัตว์เล้ือยคลาน แตเ่ นอื่ งจากขาหน้าของสัตว์ปีกเปลี่ยนแปลงไปเป็นปีก เพื่อช่วยใน การ บิน จงึ เรียกสัตวก์ ลมุ่ นว้ี ่า สตั ว์ปีก เราสามารถแบง่ สัตวก์ ลุม่ นต้ี ามลกั ษณะ การบินได้ 2 พวก คอื 1. พวกบินได้ สว่ นใหญม่ ปี ีกเจรญิ ดี สามารถใชใ้ นการบนิ ไปมาในอากาศได้อย่างรวดเรว็ แต่มีบางพวก ปรบั โครงสร้างของร่างกาย ใหเ้ หมาะสมกบั สถานท่อี ยู่อาศยั จึงบินไดต้ ่ำ เชน่ ไก่ เป็ด นกยูง นกขนุ ทอง 2. พวกบินไมไ่ ด้ ส่วนใหญจ่ ะมีปีกขนาดเล็กมาก จึงไม่สามารถบนิ ได้ การเคลอ่ื นท่จี ะอาศัยขาเดนิ และ วิง่ อยา่ งรวดเร็ว เชน่ นกกระจกเทศ นกอมี ู นกเพนกวนิ ลักษณะสำคัญ ขนมีลักษณะเฉพาะตัว คือ เป็นขนแบบแผง โดยขนเส้นเล็ก ๆ แต่ละเส้นจะเรียงชิด ติดกันอยู่บนก้านยาว จะมีส่วนโคนฝังอยู่ที่บริเวณผิวหนัง ปากจะเป็นจะงอย จะมีรูปร่างแตกต่างกันออกไป เพือ่ ใหเ้ หมาะสมกับการกินอาหาร อาหารจะถูกกลืนลงส่ทู างเดนิ อาหาร โดยไมก่ ารเคี้ยว เพราะในปากไม่มีฟัน อาหารจะเคลื่อนผ่านหลอดอาหารลงสู่กระเพาะพักเพื่อเก็บสะสม แล้วจึงส่งต่อให้กระเพาะจริง เรียกว่า กระเพาะบดหรือกึ๋น ช่วยบดอาหารให้ละเอียด โดยใช้เม็ดกรวดและทรายที่สัตว์พวกนี้จิกกินเข้าไปจากนั้นส่ง ต่อให้ลำไส้เล็กเพื่อย่อยจนสามารถดูดซึมสารอาหารไปใช้ได้ จะเหลือกากอาหารจะถูกขับออกทางทวารหนัก พร้อมปัสสาวะ เพราะท่อปัสสาวะของสัตว์ปีกจะมาบรรจบที่ปลายลำไส้พอดี มูลจึงมีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว เท้าของสัตว์ปีกจะมีลักษณะที่แตกต่างกันเพื่อให้เหมาะสมกับการดำรงชวี ิต ที่บริเวณขาและนิ้วเท้าจะพบว่ามี เกล็ดอยู่ทุกชนิด มีปอดเป็นอวัยวะแลกเปลี่ยนก๊าซ สัตว์ปีกจะมีถุงลมที่บริเวณส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ที่ ฐานของคอ ที่ท้อง ที่ทรวงอก ช่วยเก็บอากาศเพื่อส่งไปแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด และถุงลมในร่างกายยังช่วยให้ ร่างกายมีหนักเบาทำให้ลอยตวั อยู่ในอากาศไดด้ ี คณะครุศาสตร์ 45 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” สตั ว์เล้ยี งลกู ดว้ ยนำ้ นม สัตวพ์ วกนี้ เป็นสัตว์เลือดอ่นุ สามารถควบคุมอุณหภมู ใิ หค้ งที่ได้ แม้จะอยใู่ นสภาพแวดลอ้ มทีอ่ ุณภูมิสูง หรือต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกาย เป็นสัตวท์ ี่มกี ารวิวัฒนาการสูงสุด จึงเรียกว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม เพราะว่าใน เพศเมยี จะมีต่อมน้ำนมเพ่ือผลิตน้ำนมสำหรับเลี้ยงตัวอ่อน เราสามารถแบ่งสัตว์เล้ียงลูกดว้ ยน้ำนมตามลักษณะ ของการออกลูกและเลีย้ งลูกได้ 3 กลมุ่ คือ 1. กลุ่มที่ออกลูกเป็นไข่ พวกนี้จะวางไข่เหมือนสัตว์ปีกและสัตว์เลื้อยคลาน โดยมีเปลือกแข็งหุ้ม พบว่ามเี พียง 2 ชนดิ เท่านัน้ คอื ตุ่นปากเปด็ และตัวกินมด ซง่ึ เปน็ สัตวพ์ บเฉพาะออสเตรเลีย และนิวกนิ เี ท่าน้ัน ภายหลงั ตวั อ่อนออกจากไข่ แล้วกนิ นมจากแมเ่ พือ่ เจรญิ เตบิ โตตอ่ ไป 2. กลุ่มที่มีถงุ หรือกระเป๋าบริเวณหน้าท้อง พวกนจ้ี ะมถี ุงบริเวณ หน้าทอ้ งไว้สำหรับเล้ียงดูตัวอ่อนซึ่งมี ขนาดเ ล็กมากเพราะมดลกู ของสตั ว์กลุม่ ยังไม่พฒั นาดีนกั จงึ ใหล้ กู เจริญเตบิ โต ภายในมดลกู ไดเ้ พียงระยะสั้นๆ แล้วต้องให้ตัวอ่อนมาเจริญอยู่ภายในถุงบริเวณหน้าท้อง ได้แก่ จิงโจ้ โคอะล่า และวัลลาบี (คล้ายจิงโจ้แต่มี ขนาดเล็กกวา่ ) ซงึ่ พบเฉพาะในประเทศออสเตรเลยี เท่านน้ั 3. กลุ่มที่มีรก พวกนี้จะมีมดลูกที่พัฒนาดี โดยมีการสร้างรกเช่ือมระหวา่ งถุงหุ้มตัวอ่อนกับผนังมดลกู ของแม่ ใช้สำหรับแลกเปลี่ยนสารต่าง ๆ ระหว่างแม่กับตัวอ่อนรวมทั้งอาหารต่างๆ จากแม่ก็จะถูกส่งไปยังตัว ออ่ น เพอื่ ใหเ้ จรญิ เติบโตภายในมดลูก โดยผ่านทางรก ตวั ออ่ นจะเจริญอยู่ภายในมดลกู ของแมจ่ นสมบูรณ์เต็มที่ จึงคลอดออกมาและดูดกินนมจากแม่อีกระยะหนึ่งจนโตพอที่จะดำรงชีวิตได้เอง ได้แก่ คน ช้าง ม้า วัว ควาย สนุ ัข แมว หมู เสือ สงิ โต หมี ลักษณะทสี่ ำคญั มีขนลกั ษณะเปน็ เสน้ สนั้ ๆ ปกคลุมลำตวั ตัวเมียมีต่อมผลติ นำ้ นมสำหรับเลี้ยงตัวอ่อน หายใจด้วยปอด มีหัวใจ 4 ห้อง มีแขน ขา ไม่เกิน 2 คู่ ออกลูกเป็นตัว ยกเว้นบางชนิดออกเป็นไข่ เช่น ตุ่น ปากเป็ด และตัวกนิ มด บางชนิดยังอาศยั อยใู่ นนำ้ เชน่ วาฬ โลมา พะยนู บางชนิดบินได้ เช่น ค้างคาว การสืบพันธุ์ มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยมีการปฏิสนธิภายในร่างกายตัวเมีย ส่วนตัวอ่อนจะ เจริญเติบโตอยู่ภายในมดลูกของแม่จนคลอดออกมาเป็นตัว ยกเว้นสัตว์ที่ออกลูกเป็นไข่แล้วฟักเป็นตัว เพราะ สตั ว์พวกน้ีไม่มีมดลกู และพวกท่มี ีมดลูกไม่พัฒนาดีนกั พวกสัตว์เลี้ยงลกู ด้วยน้ำนม 46 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ตอนท่ี 10 พันธุศาสตร์ พันธุ์ศาสตร์ คือศาสตร์ที่กล่าวถึงพันธุกรรม (ยีน) และการทำงานของพันธุกรรม ซึ่งทำให้สิ่งมีชีวิต สามารถถ่ายทอดลักษณะตา่ ง ๆ จากร่นุ สู่รุ่นได้ เชน่ เด็กมักมีหนา้ ตาเหมอื นพ่อแม่ เนือ่ งจากไดร้ บั พนั ธุกรรมมา จากพ่อแม่ พันธุศาสตร์จะพยายามค้นหาว่าลักษณะใดบ้างที่มีการถ่ายทอด และการถ่ายทอดลักษณะนั้น ๆ เกิดขน้ึ ได้อย่างไร ลกั ษณะต่างๆ ของสิ่งมีชีวติ จะถูกเรยี กว่า \"trait\" ลกั ษณะบางอยา่ งแสดงออกเป็นส่ิงท่ีมองเห็นได้ เช่น สีตา ความสูง น้ำหนัก ลักษณะบางอย่างมองเห็นไม่ได้หรือเห็นได้อย่างเช่นหมู่เลือดหรือความต้านทานโรค ลกั ษณะบางอย่างอาจเปน็ ผลจากการมปี ฏสิ ัมพันธ์อย่างซับซ้อนระหว่างยนี และสงิ่ แวดล้อม เช่น การเกิดมะเร็ง หรือโรคหัวใจมีผลจากทั้งยีนและการปฏบิ ัติตัว เป็นต้น ยนี ประกอบดว้ ยโมเลกลุ ขนาดยาวท่เี รยี กว่าดเี อน็ เอ ซงึ่ มกี ารคดั ลอกและถ่ายทอดจากรนุ่ สูร่ ุ่น โมเลกุล ดีเอ็นเอประกอบด้วยหน่วยย่อยมาต่อกันเป็นสายยาว ลำดับของหน่วยย่อยนี้เก็บข้อมูลทางพันธุกรรมเอาไว้ คล้ายกับทีต่ วั อกั ษรแตล่ ะตวั มาเรียงกันและเกบ็ ข้อมลู เอาไว้ในรูปของประโยค \"ภาษา\" ทดี่ ีเอ็นเอใชเ้ รยี กว่ารหัส พนั ธุกรรม รหัสนี้จะถกู ถอดรหัสโดยกลไกทางพนั ธุกรรมเพื่อ \"อ่าน\" ขอ้ มูลท่ีเก็บเอาไว้ในยีนในรูปของโคดอนท่ี แตล่ ะโคดอนประกอบดว้ ยรหัส 3 ตวั ข้อมลู เหล่านจี้ ะถูกทำไปใชส้ ร้างเป็นสงิ่ มชี วี ติ การถ่ายทอดลักษณะทางพนั ธุกรรม หากสังเกตดูคนรอบข้างเรา จะเห็นว่า คนมีลักษณะบางอย่างคล้ายคลึงกันและยังมลี ักษณะบางอย่าง ที่แตกต่างกัน จึงทำให้แต่ละคนมีลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร จึงลักษณะที่แตกต่างกันของแต่ละคนจะเป็น ลักษณะที่เราได้รับการถ่ายทอดมาจาก พ่อ แม่ และพ่อ แม่ ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจาก ปู ย่า ตา ยาย ซึ่งเรา เรียกว่า \"ลักษณะทางพันธุกรรม\" เชน่ สตี า สผี ม ความสูง สีผิว ห่อล้นิ ได้ หอ่ ลิน้ ไมไ่ ด้ ผมหยิก ผมเหยยี ด มตี ่ิงหู ไม่มีติ่งหู เป็นต้น และลักษณะบางอย่างของลกู ที่ได้รบั การถ่ายทอดอาจมีลกั ษณะเหมือนหรือแตกต่างจาก พ่อ แม่ ปู ย่า ตา ยาย ซง่ึ ลักษณะแบบนีเ้ รยี กวา่ \"การแปรผนั ทางพนั ธกุ รรม\" คณะครุศาสตร์ 47 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ลกั ษณะทางพันธุกรรมและการแปรผัน จำแนกไดเ้ ปน็ 2 ประเภท ดังน้ี 1. ลักษณะทางพันธุกรรมที่มีความแปรผันต่อเนื่อง (continuous variation) เป็นลักษณะทาง พันธุกรรม ที่ไม่สามารถแยกความแตกต่างได้อย่างชัดเจน เช่น สีผิว ความสูง น้ำหนัก ไอคิวของคนลักษณะ เหล่านี้ถูกควบคุมด้วยยีนหลายคู่ ยีนจึงมีอิทธิพลต่อการควบคุมลักษณะดังกล่าวน้อย แต่สิ่งแวดล้อมจะมี อิทธพิ ลมาก 2. ลักษณะทางพันธุกรรมที่มีความแปรผันไม่ต่อเนื่อง (discontinuous variation) เป็นลักษณะทาง พันธุกรรมที่มคี วามแตกต่างกนั อย่างชดั เจน เช่น ความสามารถในการห่อล้ิน จำนวนช้นั ของตา การถนัดมือขวา หรือมอื ซ้าย 48 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมไม่ได้มีในเฉพาะมนุษย์เท่านั้น สัตว์และพืชก็มีลักษณะการ ถา่ ยทอดทางพันธุกรรมเช่นกนั โดยหน่วยพนั ธกุ รรมนี้จะอยู่ในยีน (Gene) อย่างไรจะกลา่ วถึงต่อไป นักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม คือเกรกอร์ เมนเดล (Gregor Mendel) นักบวชชาวออสเตรีย ได้ทำการศึกษาจากการทดลองปลูกถั่วลันเตา จนได้รับการยกย่อง เปน็ บิดาแห่งวชิ าพันธุศาสตร์ จนสามารถสรุปเปน็ กฎของเมนเดล ดงั นี้ กฎของเมนเดล มนเดลได้เริ่มทำการทดลองสิ่งต่าง ๆ ที่เขาสนใจ เกี่ยวกับพันธุ์พืชมากมาย และเกิดความสงสัยเกี่ยวกับ ความแตกต่างกันของพืชนานาชนิดที่แตกต่างกัน ความ แตกตา่ งเหลา่ นี้ ทำให้เมนเดลอดนึกสงสัยไม่ได้ เมนเดลจงึ เริม่ ตน้ ทำการทดลองเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2399 โดยเขา ได้ทำการรวบรวมต้นถั่วมาหลาย ๆ พันธุ์นำมาผสมพันธ์ุ กัน ทั้งถั่วพันธุ์เดียวกันและถั่วต่างพันธุ์กัน เป็นจำนวน แตกตา่ งกนั ถึง 22 ชนดิ เพ่อื ศกึ ษาลักษณะท้ังหมด เขาใช้ ระยะเวลาในการทดลองและศึกษาเป็นเวลารวม 8 ปีเต็ม ในการทดลองประมาณ 1,000 กว่าครั้ง จนได้ข้อมูลมาก เพยี งพอ ในท่สี ุดปี พ.ศ.2408 เมนเดลจงึ ได้นำเสนอ รายงานผลการทดลองซึ่งเกี่ยวข้องกับการผสมพันธุ์ต้นถั่วให้แก่ที่ประชุม Natural History Society ในกรุง บรูนน์ (Brunn) และนนั่ กเ็ ปน็ จดุ เรม่ิ ต้น กฎของเมนเดล 1. ลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตจะถูกควบคุมโดยยีนที่อยู่ในเซลลส์ ืบพันธุ์ และจะถ่ายทอดไปยังรุน่ ลกู รุ่นหลาน 2. การถา่ ยทอดลักษณะแตล่ ะลักษณะจะเป็นอิสระตอ่ กนั 3. ลักษณะที่ได้ปรากฏออกมาบ่อยครั้ง เรียกว่า \"ลักษณะเด่น\"ส่วนลักษณะที่ปรากฏออกมาน้อยครั้ง เรียกว่า \"ลกั ษณะด้อย\" 4. สดั ส่วนของลักษณะเดน่ ต่อลกั ษณะดอ้ ย จะเปน็ 3 : 1 เสมอ คณะครุศาสตร์ 49 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” 50 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” เร่อื งที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. สามารถอธิบายสมบัติและการจําแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะและการเปลย่ี นสถานะของสสารการ ละลาย การเปล่ยี นแปลงทางเคมกี ารเปลยี่ นแปลงทผี่ นั กลบั ได้และผันกลับไม่ไดแ้ ละการแยกสารอยา่ งง่าย 2. สามารถอธบิ ายลักษณะของแรงโนม้ ถว่ งของโลก แรงลัพธแ์ รงเสียดทาน แรงไฟฟ้า และผลของแรง ตา่ ง ๆ ผลท่เี กิดจากแรงกระทำต่อวัตถคุ วามดัน หลักการที่มีต่อวัตถุวงจรไฟฟา้ อยา่ งง่ายปรากฏการณ์เบ้ืองต้น ของเสียง และแสง ตอน ช่ือ สาระสำคัญ เวลา ที่ (นาที) 1 สารและสมบัติของสาร สาร คอื สสารทถี่ กู ค้นพบแล้ว สารแตล่ ะชนิดมี สมบัตเิ ฉพาะตัว สมบัตขิ องสารแตล่ ะชนิดท่สี ามารถ บง่ บอกวา่ สารชนิดนั้นคืออะไร ซึ่งสารแต่ละชนิดจะ มสี มบตั ขิ องสารทสี่ งั เกตเห็นได้หลายประการ เชน่ สี กลิน่ รส สถานะ เนอื้ สาร 2 การเปลีย่ นแปลงของสาร การเปลยี่ นแปลงของสารมี 2 รูปแบบ ได้แก่ การ เปล่ียนแปลงทางกายภาพ (Physical change) เป็นกสนเปลยี่ นแปลงของสมบัติทางกายภาพของ สารโดยไมม่ ผี ลต่อองค์ประกอบภายใน และไม่เกิด สารใหม่ การเปล่ยี นแปลงทางเคมี (Chemical change) เป็นการเปล่ียนแปลงสมบัติทางเคมขี อง สาร ซง่ึ มผี ลตอ่ องค์ประกอบภายใน และจะมสี มบตั ิ ต่างไปจากเดมิ 3 วสั ดุและสมบัตขิ องวัสดุ วัสดุ คอื สิง่ ตา่ ง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา มีทง้ั มาจาก ธรรมชาตแิ ละมนษุ ยส์ รา้ งข้นึ โดยวสั ดุท่ไี ด้จาก ธรรมชาตไิ ด้แก่ เปลือกหอย ไม้ เหลก็ เป็นตน้ สว่ น วสั ดทุ ีไ่ ด้จากการสังเคราะห์ เช่น พลาสตกิ เส้นใย สงั เคราะห์ เปน็ ต้น วัสดุต่าง ๆ มสี มบัตเิ ฉพาะตัวที่ แตกตา่ งกันออกไป เพอ่ื ทำใหเ้ กิดความแตกต่างใน การใชง้ านได้อย่าวเหมาะสมตามความต้องการ สมบตั ิของวัสดุมีหลายประการ ได้แก่ ความ ยืดหยนุ่ ความเหนียว ความแข็ง การนำความร้อน การนำไฟฟ้า และความหนาแน่น 4 การแยกสารอยา่ งง่าย สารต่าง ๆ มักอยู่รวมกับสารอื่น ๆ ในรูปของสาร เนื้อเดียว หรือสารเนื้อผสม ถ้าต้องการสาร เพียง คณะครุศาสตร์ 51 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ตอน ช่อื สาระสำคัญ เวลา ที่ (นาท)ี ชนิดเดียวเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ อาจทำได้โดยแยก สารออกมาโดยอาศัยสมบัติเฉพาะตัวของสาร การ แยกสารเนื้อผสมทีไม่เป็นเนื้อเดียวทำได้โดยใช้ วิธีการทางกายภาพ ส่วนสารเนื้อเดียว หมายถึง สารที่มองเห็นผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันตลอด ทั้งสาร อาจเกิดจากสารหนึ่งชนิดหรือมากกว่าหนึ่ง ชนิดกไ็ ด้ 5 แรงลพั ธ์และเสยี ดทาน แรงลพั ธ์ ผลรวมของแรงที่กระทำต่อวัตถทุ ั้งขนาด และทศิ ทาง ซึง่ เกดิ ได้ 3 รูปแบบ คอื ดงึ ไปดา้ น เดยี วกนั ดงึ ไปคนละดา้ นกันด้วยแรงไม่เท่ากนั หรอื ดึงไปคนละดา้ นกนั ดว้ ยแรงเท่ากนั แรงเสยี ดทาน คอื แรงต้านการเคล่อื นท่ีบนผวิ สัมผัสทีเ่ กดิ ข้ึน ระหวา่ งวัตถุ หรอื แรงทต่ี า้ นทานการเคลื่อนท่ีของ วัตถไุ ปบนพื้นผวิ สมั ผัส ซง่ึ สง่ ผลใหว้ ัตถดุ ังกล่าว เคลอื่ นทช่ี า้ ลงหรือหยดุ น่งิ ไปในทา้ ยท่ีสดุ 6 แรงในชวี ิตประจำวันและโมเมนต์ แรงในชีวิตประจำวนั ได้แก่ ผลลพั ธ์ของแรงหลาย ของแรง แรทีก่ ระทำต่อวตั ถุ แรงเสยี ดทานกบั การเคล่อื นท่ี 7 การเคลอื่ นท่ีแบบต่าง ๆ 8 แสง ของวัตถุ ความดันอากาศและความดนั ของ ของเหลว การลอยและการจมของวัตถุ โมเมนตข์ อง แรง หมายถึง ผลของแรงท่ีกระทำต่อวตั ถุหมุนไป รอบจดุ หมุน ดงั น้นั ค่าโมเมนตข์ องแรง กค็ ือ ผลคณู ของแรงน้ันกบั ระยะต้ังฉากจากแนวแรงถึงจุดหมนุ การเคลื่อนที่ของวัตถุ เป็นการเปลี่ยนตำแหน่งของ วตั ถจุ ากท่หี นึ่งไปยงั อีกที่หน่ึง โดยมีสิ่งที่อยู่รอบข้าง ชว่ ยบง่ บอกหรือเปรียบเทียบให้เหน็ ว่าวัตถุนั้นมีการ เคลื่อนที่ การเคลื่อนที่ในหนึ่งมิติ หรือการเคลื่อนท่ี ในแนวเส้นตรง แสง พลงั งานรูปแบบหนึ่งทท่ี ำให้ตาเรามองเหน็ แสงเดินทางเปน็ เสน้ ตรงจากแหลง่ กำเนดิ ของแสง แหล่งกำเนิดแสงมีท้งั แหล่งกำเนดิ ท่เี กดิ ขึน้ เองตาม ธรรมชาติ และแหล่งกำเนิดแสงท่ีมนุษย์สร้างขึน้ แสงสามารถทะลผุ า่ นวตั ถไุ ด้ วตั ถทุ ีย่ อมใหแ้ สง เคล่อื นทีผ่ ่านเป็นเสน้ ตรงไปได้นัน้ เราเรยี กวัตถุน้วี ่า 52 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ตอน ชอื่ สาระสำคัญ เวลา ท่ี (นาที) 9 เสียง วัตถโุ ปรง่ ใส ส่วนวัตถทุ ไี่ มย่ อมใหแ้ สงเคลื่อนทีผ่ า่ น 10 ไฟฟา้ ไปได้ เราเรียกวา่ วัตถทุ ึบแสง เสียง เปน็ คล่นื เชงิ กลทีเ่ กดิ จากการสัน่ สะเทือนของ วัตถุ เม่ือวัตถุส่ันสะเทือน กจ็ ะทำใหเ้ กดิ การอดั ตัว และขยายตัวของคล่นื เสียง และถูกส่งผา่ นตัวกลาง เชน่ อากาศ ไปยังหู แต่เสียงสามารถเดนิ ทางผ่าน สสารในสถานะก๊าซ ของเหลว และของแข็งก็ได้ แต่ ไมส่ ามารถเดนิ ทางผ่านสุญญากาศได้ ไฟฟ้า คือ พลงั งานรูปแบบหน่ึงทเ่ี ปลยี่ นแปลงมา จากพลงั งานชนิดอื่น เช่น พลงั งานจากน้ำ พลงั งานจากลม หรือพลงั งานจากการเผาไหม้จาก เชอื้ เพลิงชนดิ ต่าง ๆ แมว้ ่าพลังงานไฟฟา้ จะถูก เปลยี่ นมาจากพลังงานชนิดอ่ืน พลังงานไฟฟา้ ก็ยัง เปล่ียนไปเป็นพลังงานอืน่ ได้โดยผ่านเครอื่ งใช้ไฟฟ้า ที่เราใชก้ ันในปจั จุบนั คณะครุศาสตร์ 53 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” ตอนที่ 1 สารและสมบตั ิของสาร สสาร ( matter ) คือ สิ่งที่มีมวล ต้องการที่อยู่ และสามารถสัมผัสได้ หรืออาจหมายถึงสิ่งต่าง ๆ ท่ี อยู่รอบตัวเรา มีตัวตน ต้องการที่อยู่ สัมผัสได้ อาจมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ได้ เช่น อากาศ หิน เป็นต้น นกั วิทยาศาสตรเ์ รียกสสารทรี่ จู้ ักว่า สาร สาร (Substance) คือ สสารที่ถูกคน้ พบแล้ว จนทราบสมบัตแิ ละองคป์ ระกอบท่แี น่นอน ดังนน้ั จึงใช้ คำวา่ สารแทนสสารได้ สารแตล่ ะชนิดมสี มบัตเิ ฉพาะตวั เรยี กวา่ สมบตั ขิ องสาร สมบัติของสาร หมายถึง ลักษณะเฉพาะตัวของสารแต่ละชนิดที่สามารถบ่งบอกว่าสารชนิดนั้นคือ อะไร ซึ่งสารแต่ละชนิดจะมีสมบัติของสารที่สังเกตเห็นได้หลายประการ เช่น สี กลิ่น รส สถานะ เนื้อสาร แต่ สมบัติบางประการของสารต้องใช้เครื่องมือในการสังเกตจึงจะทราบ เช่นความสามารถในการนำไฟฟ้า ความสามารถในการละลาย ความเป็นกรด - เบส จดุ หลอมเหลว จดุ เดอื ด ความหนาแน่น เป็นตน้ เมื่อสารแต่ ละชนิดมีสมบตั หิ ลายประการ ดงั นัน้ สมบตั บิ างประการของสารชนิดหนึ่งอาจเหมือนกบั สารอีกชนิดอน่ื ก็ได้ แต่ จะมีสมบัติบางประการทีเ่ ป็นสมบัติเฉพาะตัวแตกต่างจากสารอื่น เช่น น้ำเป็นของเหลวใส ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จุด เดือด 100 องศาเซลเซียส เอทานอลเป็นของเหลวใส ไม่มีสี มีกลิ่นฉุน มีจุดเดือด 78.5 องศาเซลเซียส ดังนั้น สมบตั เิ ฉพาะตัวของเอทานอลที่แตกตา่ งจากนำ้ คอื มกี ล่ินฉนุ และมจี ดุ เดอื ดท่ีแตกตา่ งกนั สมบัติของสารจำแนกได้เปน็ 2 ประเภท ดงั นี้ สมบัตทิ างกายภาพ (Physical Properties) สมบัติทางกายภาพเปน็ สมบัติทสี่ งั เกตได้จากลักษณะภายนอกหรือใช้เครื่องมือง่ายๆ ในการสังเกต ซึ่ง เปน็ สมบตั ิทไ่ี มเ่ กยี่ วขอ้ งกับปฏิกิริยาเคมี เช่น สี กลน่ิ รส 54 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ของแข็ง มีปริมาตรและรูปร่างที่ แน่นอน ของเหลว มีปรมิ าตรทีแ่ น่นอนแต่ รูปร่างไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับ สารท่ีมีความหนาแนน่ มากกว่า ภาชนะท่บี รรจุ (หนักมากกวา่ ) เม่ือนำมาเทผสม แก๊ส มีปริมาตรและรูปร่างไม่ กันจะอยู่ชั้นล่าง เช่นนำ้ กับนำ้ มัน น้ำจะมีความหนาแนน่ มากกว่า แนน่ อน ขน้ึ อยูก่ บั ภาชนะท่ีบรรจุ นำ้ มัน สถานะ รูปรา่ ง ความหนาแน่น การละลาย จุดเยือกแขง็ ของน้ำ จุดเดือด คือ อุณหภูมิ 0 °C จดุ เยอื กแข็ง คณะครุศาสตร์ 55 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” สมบตั ทิ างเคมี (Chemical Properties) สมบัติทางเคมีเป็นสมบัติท่ีเกี่ยวข้องกับโครงสรา้ งภายในของสาร เป็นสมบัติท่ีสังเกตได้เมือ่ มีปฏกิ ิรยิ า เคมีเกิดขึ้นและทำให้เกิดสารใหม่ เช่น ความเป็นกรด - เบส การเกิดสนิม ความเป็นโลหะ ความเป็นอโลหะ เปน็ ต้น ความเปน็ กรด-เบส การเกดิ สนิม 56 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” ความเป็นโลหะ ความเปน็ อโลหะ เป็นของแข็ง เม่ือขัดจะมีความเปน็ มันวาว ตเี ปน็ แผน่ เปน็ ไดท้ ้งั 3 สถานะ ไม่มีความเป็นมนั วาว ไมน่ ำ ได้ เหนียว และนำไฟฟ้าได้ เช่น เงนิ ทอง เหล็ก ไฟฟ้า เช่น พลาสติก ยาง ความเปน็ โลหะ ความเปน็ อโลหะ การจำแนกประเภทของสาร 1. สารเนื้อเดียว (Homogeneous substance) หมายถึง สารที่มีลักษณะของเนือ้ สารผสมกลมกลืนเป็น เน้ือเดียวกนั เช่น น้ำเปล่า นำ้ เช่อื ม น้ำเกลอื เป็นต้น สารเนอ้ื เดยี วจำแนกออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 1.1 สารบรสิ ุทธ์ิ (Pure substance) เป็นสารเนื้อเดียวที่มีองค์ประกอบของสารเพียงชนิดเดียว จะมี จุดเดอื ดและจดุ หลอมเหลวคงที่ สารบรสิ ุทธจิ์ ำแนกไดเ้ ปน็ ธาตุและสารประกอบ คณะครุศาสตร์ 57 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” - ธาตุ (element) หมายถึง สารเนื้อเดียวประเภทสารบรสุทธิ์ ที่ไม่สามารถแยกสลายเป็น สารอื่นได้โดยวิธีการใด ทางเคมี ปัจจุบันมีธาตทุ ีบ่ รรจใุ นตารางธาตุแลว้ ธาตุ อาจมีสมบัติเป็นธาตุโลหะ ธาตุ อโลหะ และธาตุกึ่งโลหะ - สารประกอบ (compound) เป็นสารเนื้อเดียวประเภทสารบริสุทธิ์ซึงเกิดจากการรวมตัว กันด้วยปฏิกิริยาทางเคมีของธาตุมากกว่า 1 อะตอม ดว้ ยอัตราสว่ นทีค่ งที่ เชน่ น้ำ (H2O) ประกอบดว้ ย ธาตุ ไฮโดรเจน ตอ่ ออกซิเจน ในอัตราสว่ น 2 : 1 1.2 สารละลาย (Solution) เป็นของผสมเนื้อเดียวกันที่ประกอบด้วย ตัวทำละลาย (Solvent) และ ตัวถูกละลาย (Solute) ซึ่งรวมกันตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป สารละลายมที ั้ง 3 สถานะ ได้แก่ ของแข็ง ของเหลว และแกส๊ การจำแนกว่าสารใดเป็นตัวทำละลาย หรอื ตัวถูกละลาย - ตวั ทำละลายต้องมีสถานะเหมือนสารละลาย - ถ้าตวั ทำละลายและตวั ถกู ละลายมสี ถานะเดยี วกนั สารทีม่ ปี ริมาตรมากกว่าจะเปน็ ตัวทำละลาย ตวั อย่างของสารละลาย สถานะของ สถานะของ สถานะของ ตัวอยา่ งของสารละลาย สารละลาย ตัวทำละลาย ตวั ถูกละลาย ของแข็ง ของแขง็ ของแข็ง ทองเหลือง (ทองแดง+สงั กะสี) ของแขง็ ของเหลว เงนิ อะมัลกมั (เงนิ +ปรอท) เป็นวัสดุท่ใี ช้อุดฟันมีสีเงนิ ของเหลว ของแขง็ แกส๊ นาก (ทองแดง+ทองคำ) ของเหลว ของแข็ง นำ้ เกลอื (นำ้ +เกลือ) แกส๊ ของเหลว ของเหลว โซดา (น้ำ+แก๊สคาร์บอนไดออกไซด)์ ของเหลว แกส๊ แก๊ส ของแขง็ ไอน้ำในอากาศ แก๊ส ของเหลว แกส๊ ออกซเจน (O2) แก๊ส แก๊ส แกส๊ ไนโตรเจน (N2) 2. สารเนื้อผสม (heterogeneous substance) หมายถึง สารที่มีสวนผสมที่ไมเปนเนื้อเดียวกัน สามารถ มองเห็นความแตกตางไดงาย เปนสารที่ไมบริสุทธิ์ที่สามารถแยกออกจากกันไดงาย ๆ สารเนื้อผสมมีทั้ง 3 สถานะ ได้แก่ 58 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” - สารเนือ้ ผสมสถานะของแข็ง เช่น ทราย คอนกรตี ดนิ พรกิ เกลอื เป็นต้น - สารเนอื้ ผสมสถานะของเหลว เช่น น้ำคลอง น้ำโคลน น้ำจิ้มไก่ เป็นต้น - สารเน้อื ผสมสถานะแกส๊ เชน่ ฝนุ่ ละลองในอากาศ เขมา่ ควันดำจากทอ่ ไอเสีย ควนั ไฟ เปน็ ตน้ นอกจากนี้สารเนอื้ ผสมยงั สามารถแบง่ ได้ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ สารแขวนลอย และสารคอลลอยด์ 2.1 สารแขวนลอย (Suspension) - เป็นสารผสมที่อนุภาคของแข็งมีขนาดใหญ่กว่า 10-4 เซนติเมตร แขวนลอยอยู่ในตัวกลางท่ี เปน็ ของเหลว - ไมร่ วมเปน็ เนอื้ เดียวกนั - ตกตะกอนเมอ่ื ตัง้ ทิง้ ไว้ - ไมส่ ามารถผ่านกระดาษกรองและกระดาษเซลโลเฟนได้ - เชน่ ผงถา่ นในนำ้ นำ้ คลอง น้ำโคลน น้ำส้มคน้ั น้ำจมิ้ ไก่ แปง้ มันในนำ้ เป็นตน้ 2.2 สารคอลลอยด์ (Colloid) - เป็นสารผสมที่ดูเหมือนจะเป็นเนื้อเดียวกัน โดยแบ่งเป็นส่วนเนื้อเดียว (Continous Phase) และอนภุ าคคอลลอยด์ ( Dispersed Phase ) - อนุภาคคอลลอยด์จะมีขนาดระหว่าง 10-7 - 10-4 เซนติเมตร หรือมากกว่าขนาดรูกระดาษ เซลโลเฟน แตน่ อ้ ยกว่ารกู ระดาษกรอง - มลี กั ษณะมวั หรอื ขุ่น ไมต่ กตะกอน - เม่ือผา่ นลำแสง เกดิ ปรากฏการณ์ทนิ ดอลล์(Tyndall Effect) - ตัวอย่างคอลอลยด์ เช่น นมสด โยเกริ ต์ หมอก ควนั ไฟ น้ำเต้าหู้ เป็นต้น ขอ้ สงั เกต ความแตกตา่ งของ สารละลาย คอลลอยด์ และ สารแขวนลอยด์ 1. ขนาดของอนภุ าค เรยี งจากใหญไ่ ปเลก็ ได้แก่ - สารละลาย (น้อยกวา่ 10-7 cm.) - คอลลอยด์ ( ระหวา่ ง 10-7 - 10-4 cm. ) - สารแขวนลอยด์ ( มากกว่า 10-4 cm. ) 2. สารละลาย คอลลอยด์ อนุภาคเคลือ่ นที่ได้ตลอดเวลา จึงไมต่ กตะกอน ส่วนสารแขวนลอยด์ อนุภาคไม่เคลื่อนทจ่ี งึ ตกตะกอน 3. อนุภาคในสารละลายสามารถลอดผา่ นกระดาษกรองและเซลโลเฟนได้ สว่ นคอลลอยดล์ อดผา่ น กระดาษกรอง สารแขวนลอยด์ไม่ผา่ นท้ังกระดาษกรองและเซลโลเฟน 4. ปรากฎการณเ์ มื่อผา่ นลำแสงต่างกนั คือ คอลลอยด์ เกิดลำแสง ปรากฏการณ์น้เี รียกว่า “กระเจงิ แสง” หรือ “ปรากฏการณ์ทินดอลล”์ คณะครุศาสตร์ 59 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ความรเู้ พ่ิมเตมิ ปรากฏการณท์ นิ ดอลล์ (Tyndall Effect) ปรากฏการณ์ทินดอลล์ (Tyndall Effect) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการกระเจิงของแสงแต่จะ เกิดขึ้นเฉพาะในอนุภาคคอลลอยด์ (Colloid) ซึ่งเป็นสารเป็นสารผสมที่ดูเหมอื นจะเป็นเนื้อเดียวกัน มีอนุภาค ของสารซง่ึ มีขนาดเลก็ มากแขวนลอยอยูใ่ นตวั กลาง อนุภาคไม่มกี ารละลาย และไมส่ ามารถมองเห็นอนุภาคด้วย ตาเปลา่ โดยมขี นาดระหว่าง 10-7-10-4 เซนติเมตร หรอื มากกวา่ และมหี ลายประเภท เชน่ อิมัลชั่น(Emusion) ได้แก่ น้ำนม น้ำสลัด แอโรซอล(Aerosol) ได้แก่ ฝุ่นละอองในอากาศ เมฆ หมอก เป็นต้น ปรากฏการณ์ ทินดอลล์ (Tyndall Effect) ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1869 หรือ พ.ศ. 2412 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาว ไอร์แลนดช์ ่อื จอห์น ทินดอลล์ ด้วยการส่องลำแสงผ่านสารคอลลอยด์ และเมือ่ มองในเนอ้ื คอลลอยด์จะพบเห็น ลำแสงนั้นวิ่งผ่านอนุภาคเหมือนกบั ลำแสงก่อนส่องผา่ นได้ แต่หากเป็นสารละลาย เมื่อมองผ่านเนือ้ คอลลอยด์ จะไม่เห็นลำแสง โดยการมองเห็นลำแสงผ่านเน้ือคอลลอยด์ เกิดจากแสงที่กระทบเนื้อคอลลอยด์ แล้วสะท้อน ให้ตามองเห็น แต่การที่มองเห็นเป็นลำแสงต่อเนื่องกัน เนื่องจากอนุภาคคอลลอยด์มีขนาดเล็ก และการ กระจายตัวอย่างต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ทำให้ลำแสงกระทบและสะท้อนอย่างต่อเนื่องได้เช่นกัน การที่ไม่ สามารถมองเห็นลำแสงในสารละลายได้เนื่องจากอนุภาคของแข็งมีขนาดเล็กถึงระดับโมเลกุล และสามารถ ละลายรวมเปน็ เนื้อเดียวกันกบั ตวั กลางได้ เมื่อลำแสงวง่ิ ผ่านจะไมเ่ กดิ การสะท้อนของลำแสงเกดิ ข้ึน ทำให้มอง ไม่เห็นลำแสงนั่นเอง ลองนึกถึงแสงที่ส่องลงมาจากท้องฟ้าที่เป็นลักษณะของลำแสงซึ่งเป็นปรากฏการ ณ์ ทินดอลล์ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ เพราะเมฆหรือหมอกเป็นคอลลอยด์ชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า แอโรซอล(Aerosol) ดังนั้น เมื่อลำแสงที่เห็นแสงส่องผ่านเมฆ หรือหมอก ที่เกิดจากอนุภาคของแข็งหรือของเหลวกระจายอยู่ใน ตัวกลางที่เป็นก๊าซ เราจึงมองเห็นเป็นลักษณะของลำแสงพุ่งมาจากท้องฟ้าทะลุผ่านเมฆ หมอกลงมา ซึ่งก็ สามารถพบเห็นปรากฎการณด์ ังกล่าวได้ในพ้ืนทีปา่ ชายเลนเชน่ กัน ภาพตวั อยา่ งปรากฏารณ์ทนิ ดอลล์ 60 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” คณะครุศาสตร์ 61 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” ตอนที่ 2 การเปลยี่ นแปลงของสาร การเปลยี่ นแปลงของสารมี 2 รปู แบบ 1. การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ (Physical change) เป็นกสนเปลีย่ นแปลงของสมบัติทางกายภาพ ของสารโดยไม่มผี ลตอ่ องคป์ ระกอบภายใน และไมเ่ กิดสารใหม่ เชน่ การเปลยี่ นแปลงสถานะของนำ้ 2. การเปลี่ยนแปลงทางเคมี (Chemical change) เป็นการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางเคมีของสาร ซึ่งมี ผลตอ่ องค์ประกอบภายใน และจะมสี มบัติต่างไปจากเดิม เชน่ การเกิดสารใหม่จากปฏกิ ริ ิยาเคมี การเปลี่ยนแปลงของสารมี 3 ลกั ษณะ ได้แก่ การเปลย่ี นสถานะ การละลาย และการเกดิ สารใหม่ 1. การเปลยี่ นสถานะ พลังงานความร้อนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร การเพิ่มหรือลดอุณหภูมิไปถึงระดับหน่ึง จะทำให้สารเปลี่ยนสถานะ และสามารถทำให้กลับเป็นสถานะเดิมได้ โดยสมบัติของสารไม่เปลี่ยนแปลง ถือ เป็นการเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ เช่น 2. ความสัมพนั ธ์ในการเปลย่ี นแปลงสถานะของสาร ในการเปลยี่ นแปลงสถานะของสารจะตอ้ งอาศัยพลังงานในการทำให้เกดิ การเปลยี่ นแปลง ซึ่งมีด้วยกนั 2 รปู แบบ คือ การดูดพลังงานและคายพลังงาน ใหจ้ ำงา่ ยๆ คือ สรา้ ง – คาย (พลังงาน) สลาย - ดูด (พลงั งาน) การดูดพลงั งาน หรือ การดูดความร้อน (ระบบจะดดู พลงั งานความร้อนจากเราและจากส่ิงแวดล้อม) สังเกตว่าจะพบละอองน้ำมาเกาะภาชนะ (ไอน้ำในอากาศคายพลังงานให้แก่ระบบแล้วเปลี่ยนสถานะเป็น ละอองน้ำเล็กๆ) เมื่อใช้เทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิจะพบว่า อุณหภูมิของระบบจะลดลง (เทอร์โมมิเตอร์เป็น สิ่งแวดล้อม) การคายพลังงาน หรอื การคายความร้อน (exothermic change) มีลักษณะ คือ เมือ่ สัมผัสระบบ จะรสู้ กึ รอ้ น ระบบคายพลงั งานความร้อนใหเ้ ราและสงิ่ แวดล้อม เมือ่ เราอยู่ใกลจ้ ะรสู้ ึกร้อน ถ้าใช้เทอร์โมมิเตอร์ วัดอุณหภมู พิ บว่า หลงั การเปล่ยี นแปลงอณุ หภูมิจะเพิ่มขนึ้ 62 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” จำง่ายๆ = จบั รอ้ น – คาย จบั เย็น - ดดู กิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนต้องอาศัยการถ่ายโอนความร้อนจากที่ที่มีอุณหภูมิสูงกว่า ไปยังที่ที่มี อุณหภูมติ ่ำกวา่ เสมอ เราสามารถแบง่ ประเภทของการถ่ายโอนความร้อนได้ ดังนี้ การถ่ายโอนความร้อน (Heat Transfer) แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ การนำความร้อน การพาความร้อน และการแผ่รังสี แต่ทว่าในความเป็นจริง การถา่ ยเทความรอ้ นท้ังสามชนดิ อาจเกดิ ขึน้ พร้อมๆ กนั อย่างแยกไม่ออก การนำความร้อน (Conduction) เมื่ออนุภาคได้รับความร้อน อนุภาคจะเกดิ การสัน่ มากข้ึน และชนกับอนุภาคข้างเคียง ทำให้อนุภาคท่ี อยู่ติดกันส่นั มากขึน้ ตามไปด้วย อนภุ าคของสสารจึงเป็นตวั กลางในการถ่ายโอนความร้อนโดยส่ันอย่างต่อเนื่อง และถ่ายโอนความรอ้ นจากบรเิ วณ ที่มีอุณหภูมสิ งู ไปยงั บริเวณที่ที่มอี ณุ หภมู ติ ่ำ สสารแต่ละชนิดมีความสามารถนำความร้อนได้ไม่เท่ากัน เรียงลำดับค่าการนำความร้อนจากมากไป น้อย ดังนี้ คณะครุศาสตร์ 63 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” 1. เงนิ จากการเรียงลำดับดงั กลา่ ว ตัวนำความรอ้ นที่ไมด่ ี ไดแ้ ก่ 2. ทองแดง 1. นำ้ แข็ง 3. อะลูมิเนียม 2. ไม้ 4. เหลก็ 3. น้ำทีอ่ ุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส 5. น้ำแข็ง 4. อากาศที่อณุ หภมู ิ 0 องศาเซลเซยี ส 6. ไม้ 7. นำ้ ทอี่ ณุ หภมู ิ 20 องศาเซลเซียส 8. อากาศทอ่ี ุณหภมู ิ 0 องศาเซลเซยี ส ตัวอย่าง การพาความร้อน (Convection) เปน็ การถ่ายโอนความร้อนของของเหลว หรือแกส๊ โดยอนุภาคของของเหลว หรือแก๊สเปน็ ตัวกลางพา ความร้อนไปพร้อมกับการเคล่ือนท่ีของอนุภาค ของการพาความร้อนที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ การถ่ายโอนความร้อนผ่านน้ำซึ่งต้มอยู่ในหมอ้ ขณะท่ี น้ำเดือดเราจะเห็นได้ว่า มีการเคลื่อนที่ของน้ำในหม้อเกิดขึ้น นั่นคือการถ่ายโอนความร้อนโดยการพาความ ร้อนซึ่งมีน้ำเป็นตัวกลาง ตัวอย่างการพาความร้อน เช่น อาหารสุก จากการนึ่ง การปิ้ง การย่างอาหาร ใช้มือ องั เหนือภาชนะท่ีต้มน้ำ 64 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” เมื่อเราให้ความร้อนแกน่ ้ำ น้ำที่อยู่กน้ หม้อจะได้รับความร้อน มีอุณหภูมิเพิ่มข้ึน และเกิดการขยายตวั เนื่องจากอนุภาคของน้ำที่ได้รับความร้อนมีการเคลื่อนที่ ช่องว่างระหว่างโมเลกุลของน้ำจะเพิ่มขึ้น ขณะท่ี อนุภาคมีขนาดเท่าเดิม ทำให้น้ำบริเวณก้นหม้อมีความหนาแน่นน้อยลง ดังนั้น มันจึงลอยตัวสู่ผิวน้ำด้านบน ส่วนผิวนำ้ ดา้ นบนท่ีมอี ุณหภูมิตำ่ กวา่ แต่ความหนาแน่นมากกว่าก็จะเคล่ือนลงมาอยู่ที่ก้นหม้อแทน เหตุการณ์น้ี จะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ กันไปเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะหยุดให้ความร้อนแก่น้ำ และการพาความร้อนในลักษณะนี้ก็เกิด ขนึ้ กบั ก๊าซได้เช่นกนั เช่น การย่างเนื้อสัตวท์ ว่ี างอยูบ่ นตะแกรงเหนอื กองไฟ เนื่องจากของเหลวและก๊าซถือว่าเป็นของไหล อนุภาคในของไหลสามารถเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปอีก จุดหนึ่งได้ ดังนั้น เมื่ออนุภาคของของเหลวหรือก๊าซได้รับพลังงานความร้อน มันจึงเคลื่อนที่ไปสู่ที่ทีม่ ีพลังงาน ความรอ้ นนอ้ ยกว่า เป็นการถา่ ยโอนความร้อนในลักษณะของการพาความร้อนดว้ ยตวั กลางอย่างของเหลวและ ก๊าซนั่นเอง ทั้งนี้เราสามารถนำความรู้เกี่ยวกับการพาความร้อนมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างการ สร้างช่องระบายอากาศภายในบ้าน เป็นต้น การแผ่รังสีความรอ้ น (Radiation) การแผ่รังสีเกิดขึ้นหลังจากการดูดซับความร้อนของวัตถุหนึ่งจนถ่ายโอนไปอีกวัตถุหนึ่ง การแผ่รังสี ความรอ้ นจะมลี ักษณะการแผ่ออกไปในทกุ ทิศทุกทางรอบจุดกำเนิดหรือวัตถุ โดยวตั ถทุ ม่ี คี วามร้อนมากกว่าจะ แผ่รังสีไดม้ ากกวา่ เช่น ดวงอาทิตย์แผ่รงั สีความร้อนได้มากกว่ากาแฟรอ้ นในแก้ว ส่วนความสามารถในการดดู ซับความร้อนก็จะแตกต่างกันออกไปขึ้นกับลักษณะและสมบัติของวัตถุนั้น ๆ เช่น วัตถุสีเข้ม ด้าน จะสามารถ แผ่และดูดซับความร้อนได้ดีกว่าวัตถุที่มีสีอ่อนและมันวาว หรือหากวัตถุสองชิ้นทำจากวัสดุชนิดเดียวกัน ปรมิ าณเทา่ กัน วตั ถุทีม่ ีลักษณะแบนและบาง จะสามารถแผ่รงั สีความร้อนไดเ้ รว็ กวา่ วัตถทุ อ่ี ว้ นหนา คณะครุศาสตร์ 65 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ภาพสรุปการถา่ ยโอนความร้อน 3. การเกดิ สารใหม่ เป็นการเปลย่ี นแปลงทางเคมี ทำใหเ้ กดิ สารใหม่ท่มี ีสมบตั ิตา่ งไปจากเดมิ เชน่ ปฏกิริยาระหว่างกรด และเบส ทำใหเ้ กดิ เกลือและน้ำ คำศัพทท์ ีค่ วรจำ - จดุ หลอมเหลว คอื อุณภูมทิ ่ีทำใหส้ ารเปลี่ยนสถานะจากของแขง็ เป็นของเหลว เชน่ น้ำแข็ง ละลายเปน็ น้ำ - จุดเยือกแขง็ คือ อุณหภูมิท่ีทำให้สารเปลย่ี นสถานะของเหลวเป็นของแข็ง เช่น การนำน้ำไป แชช่ อ่ งฟรซี แลว้ กลายเป็นน้ำแขง็ - จดุ เดือด คือ อณุ หภมู ิท่ที ำให้สารเปลย่ี นสถานะจากของเหลวเปน็ แกส๊ เช่น ต้มนำ้ แล้วน้ำ เดอื ดจะเห็นเปน็ ไอนำ้ ขาวๆลอยขน้ึ จากผวิ น้ำท่ตี ้มจนเดือด 66 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” การเปล่ยี นหนว่ ยอณุ หภมู ิ หน่วยของอุณหภูมิ โดยทั่วไปหน่วยของอุณหภูมิที่สำคัญมี 3 หน่วย คือ เซลเซียส (Celcius) เคลวิน (Kelvin) และฟาเรนไฮต์ (Fahrenheit) 1. เซลเซียส (Celcius) สัญลักษณ์ °C เป็นหน่วยพื้นฐานหนึ่งของระบบเอสไอ หน่วยนี้ตังขึ้นตาม นักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน แอนเดอร์ เซลเซียส (Anders celcius) ระบบนี้กำหนดให้จุดเดือของน้ำอยู่ที่ 100 องศา ขณะทจี่ ดุ เยอื กแขง็ ของนำ้ อยทู่ ี่ 0 องศา 2. เคลวิน (Kelvin) สัญลักษณ์ : K เป็นหน่วยพื้นฐานหนึ่งของระบบเอสไอ มีจุดเยือกแข็งอยู่ที่ 273 เคลวนิ และมีจุดเดือดที่ 373 เคลวนิ 3. ฟาเรนไฮต์ (Fahrenheit) สัญลักษณ์ °F ถูกตั้งชื่อตามนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน Daniel Gabriel Fahrenheit มีจุดเยอื กแขง็ อยู่ท่ี 32 องศาฟาเรนไฮต์ และมจี ุดเดอื ดท่ี 212 องศาฟาเรนไฮต์ 4. องศาโรเมอร์ (อังกฤษ: Réaumur scale/degree; ย่อ:°Ré, °Re, °R) คือหน่วยวัดอุณหภูมิที่คิดค้น ขึ้นโดย เรอเน่ อังตวน เฟโชต์ เดอ โรเมอร์ (René Antoine Ferchault de Réaumur) นักวิทยาศาสตร์และ นักประดิษฐ์ชาวฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1731 โดยกำหนดให้จุดเยือกแข็งของน้ำอยทู่ ี่ 0 องศาโรเมอร์ และจุดเดือด ของน้ำอย่ทู ่ี 80 องศาโรเมอร์ ดงั น้ันชว่ งอุณหภมู ิ 1 องศาโรเมอร์จะเท่ากบั 1.25 องศาเซลเซียสหรือเคลวนิ สูตรเปล่ยี นหน่วยอณุ หภมู ิ ������ = ������ = ������−32 = ������−273 54 9 5 คณะครุศาสตร์ 67 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ตอนท่ี 3 วัสดุและสมบัตขิ องวัสดุ วัสดุ คือ สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา มีทั้งมาจากธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น โดยวัสดุที่ได้จาก ธรรมชาตไิ ดแ้ ก่ เปลือกหอย ไม้ เหลก็ เป็นตน้ ส่วนวัสดทุ ไี่ ด้จากการสงั เคราะห์ เชน่ พลาสตกิ เส้นใยสังเคราะห์ เปน็ ต้น วัสดุต่าง ๆ มีสมบัติเฉพาะตัวที่แตกต่างกันออกไป เพื่อทำให้เกิดความแตกต่างในการใช้งานได้อย่าว เหมาะสมตามความต้องการ สมบตั ิของวสั ดุมีหลายประการ ดังน้ี 1. ความยืดหยุ่น คือ ลักษณะที่วัสดุนั้นสามารถกลับสู่สภาพเดิมได้ หลังจากแรงที่มากระทำต่อวัตถุ หยุดกระทำต่อวตั ถนุ น้ั ฟองน้ำมคี วามยืดหย่นุ จงึ กลบั สสู่ ภาพเดิมได้ - วสั ดุท่ีถกู แรงกระทำแล้วสามารถเปลย่ี นรปู ร่าง และเม่ือหยดุ แรงกระทำน้นั วัสดยุ ังกลบั คืนสู่สภาพ เดิม เรียกว่า วัสดุนนั้ มสี ภาพความยืดหยุน่ เช่น ถงุ มือยาง ยางยืด ฟองนำ้ . - วัสดุท่ถี ูกแรงกระทำแล้วสามารถเปล่ียนรูปรา่ ง. ละเม่ือหยดุ แรงกระทำน้ัน วัสดุไม่คนื สภาพเดมิ เรยี กวา่ วัสดุไม่มคี วามยืดหยุ่น เชน่ ดนิ นำ้ มัน 2. ความแขง็ คอื ความทนทานตอ่ แรงกระทำต่าง ๆ วัสดใุ ดมีความแขง็ แรงมากจะทนต่อแรงกระทำ ไดม้ าก สงั เกตไดจ้ ากวสั ดุที่มีความแข็งมากจะทนทานต่อการขูดขีดมาก เชน่ ตะปูขดู ไมเ้ ป็นรอยได้ แสดงว่า วสั ดุตะปูแข็งกวา่ ไมน้ ัน่ เอง การทดสอบสมบตั ดิ า้ นความแขง็ ของวสั ดุ 68 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” 3. ความเหนียว คือ ความสามารถในการรับนำ้ หนักของวสั ดุ ดึงขาดยาก เช่น พลาสติก เหล็ก หรือ ยาง ซ่งึ มีคณุ สมบัติดา้ นความเหนยี ว คือ ไมห่ กั ไมข่ าด เมอ่ื ถกู ดึง ยดึ ทบุ ตี เพอ่ื ให้มรี ูปรา่ งแตกตา่ งไปจากเดมิ - พจิ ารณาด้านความเหนยี วไดโ้ ดยทดสอบความสามารถในการดงึ เป็นเสน้ และความสามารถในการตี เปน็ แผน่ ได้ ดินน้ำมันมีความสามารถในการตีเป็นแผน่ บางได้มากกวา่ ถ่าน 4. การนำความร้อนของวัสดุ คือ การถ่ายเทพลังงานความร้อนจากอนุภาคหนึ่งสู่อนุภาคหนึ่งและ ถ่ายทอดกนั ไปเร่อื ยๆ ภายในเนื้อของวัตถุ ทำใหค้ วามร้อนกระจายตวั ไปท่ีวา่ วัสดุ - วัสดุแต่ละชนดิ สามารถนำความรอ้ นได้แตกต่างกัน วัสดุที่นำความร้อนได้ดจี ะถ่ายเทพลังงานความ ร้อนไดเ้ รว็ วสั ดุบางชนดิ ไม่นำความร้อนจะถ่ายเทพลงั งานความรอ้ นไดช้ า้ สมบัตกิ ารนำความรอ้ นของวัสดุ สามารถแบ่งวสั ดุไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ 1) ตัวนำความรอ้ น คอื วัสดทุ ่คี วามรอ้ นผ่านได้ดี ส่วนใหญเ่ ปน็ โลหะ เชน่ เหลก็ อะลูมิเนยี ม เงิน ทอง ทองแดง 2) ฉนวนความร้อน วัสดุที่ความร้อนผ่านได้ไม่ดี หรือไม่สามารถผ่านได้ ส่วนใหญ่เป็นอโลหะ เช่น ผ้า ไม้ ยาง พลาสตกิ กระเบ้อื ง 5. การนำไฟฟ้า คือ สมบัติของวัสดุที่ยอมให้ประจุไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้า ไหลผ่านได้และสามารถ แสดงอำนาจไฟฟ้าออกมา คณะครุศาสตร์ 69 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” สมบตั ิการนำไฟฟ้า สามารถแบง่ วัสดุ ได้เปน็ 2 ประเภท คือ 1) วัสดุที่ยอมให้ประจุไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ ได้แก่ โลหะต่าง ๆ เช่น ทองแดงเงิน เหล็ก อะลมู เิ นียม ตวั นำไฟฟา้ ทดี่ ที ่ีสดุ คือ เงนิ แตไ่ ม่นิยม เพราะมรี าคาแพง 2) ฉนวนไฟฟ้า คือ วัสดุ ที่ไม่ยอมให้ประจุไฟฟ้าหรือกระแสไฟฟ้าไหลผ่านหรือผ่านได้น้อยมาก เช่น ไม้ แก้ว กระดาษ ยาง พลาสตกิ 6. ความหนาแน่น คือ ปริมาณมวลสารที่มีอยู่ใน 1 หน่วยปริมาตร เราสามารถสัวเกตได้จากวัสดุท่มี ี ปริมาตรเท่ากัน ความหนาแน่นมากจะมีน้ำหนักมา ในทางตรงกันข้าม วัสดุที่มีความหนาแน่นน้อยอาจมี น้ำหนกั เบา สามารถนำวัสดุไปลอยน้ำเพื่อบอกความหนาแน่นของวัสดุชนิดนั้น ถ้าวัสดุนั้นลอยน้ำได้ แสดงว่าวสั ดุ นนั้ มีความหนาาแน่นน้อยกวา่ แตถ่ า้ สชวสั ดนุ นั้ เกดิ การจม แสดงว่ามคี วามหนานแน่นมากกวา่ นำ้ 70 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ตอนท่ี 4 การแยกสารอย่างง่าย สารต่าง ๆ มักอยู่รวมกับสารอื่น ๆ ในรูปของสารเนื้อเดียว หรือสารเนื้อผสม ถ้าต้องการสาร เพียง ชนิดเดียวเพือ่ นำมาใชป้ ระโยชน์ อาจทำได้โดยแยกสารออกมาโดยอาศัยสมบตั เิ ฉพาะตัวของสาร การแยกสาร เนื้อผสมทีไม่เป็นเนื้อเดียวทำได้โดยใช้วิธีการทางกายภาพ เช่น หยิบออก ร่อนด้วย ตะแกรง ใช้แม่เหล็กดด การแยกสารทเี ป็นเน้ือเดียวอาจแยกไดโ้ ดยการระเหยจนแหง้ สารเนื้อเดียว หมาย ถึง สารที่มีลักษณะเป็นเนื้อเดียวกัน เมื่อนำส่วนใดส่วนหนึ่งไปทดสอบจะ มี สมบตั ิเหมือนกนั เชน่ น้ำกลนั่ นำ้ โซดา นำ้ เชื่อม นำ้ เกลือ เปน็ ต้น สารเนื้อเดียวมีไดท้ งั 3 สถานะ คือ 1. สารเนื้อเดียวสถานะของแข็ง เช่น เหล็ก ทองคา ทองแดง สังกะสี อะลูมิเนียม นาก ทองเหลือง หินปนู น้ำตาลทราย 2. สารเนื้อเดียวสถานะของเหลว เช่น น้ำกลัน่ น้ำเกลอื น้ำส้มสายชู น้ำอัดลม น้ำมันพืช น้ำเชื่อม นำ้ นม 3. สารเนื้อเดียวสถานะแก๊ส เช่น อากาศ แก๊สหงต้ม แก๊สออกซิเจน แก๊สไนโตรเจน แก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ สารเนอื้ ผสม หมายถึง สารผสมทีไ่ มผ่ สมเปน็ เนอ้ื เดียวกัน สามารถมองเหน็ สารเดิมไดต้ าเปลา่ สารแต่ ละชนดิ จะมสี มบตั ิของสารแตกตา่ งกัน เชน่ น้ำแปง้ นำ้ โคลน ยาเคลือบกระเพาะ เป็นตน้ สารเนื้อผสมมไี ด้ทง้ั 3 สถานะ เชน่ 1. สารเน้อื ผสมสถานะของแข็ง เชน่ ทราย คอนกรตี ดิน 2. สารเนอื้ ผสมสถานะของเหลว เชน่ น้ำคลอง นาโคลน น้ำจิ้มไก่ 3. สารเนอื้ ผสมสถานะแกส๊ เชน่ ฝุ่นละอองในอากาศ เขมา่ ควันดำในอากาศ ตามปกติสารที่มอี ยู่ในธรรมชาตเิ ปน็ สารที่ไม่บรสิ ุทธ์ิ มีวิธกี ารต่าง ๆ ท่ีสามารถแยกสารออกจากกนั โดยแบ่งเปน็ 2 กล่มุ กลมุ่ ที่ 1 แยกสารเนื้อผสม 1. การหยิบออก ในบางครงั้ สารทีผ่ สมมขี นาดใหญแ่ ละปรมิ าณไมม่ ากก็สามารถหยิบออกไดเ้ ลย เช่น กรวดปนในข้าวเปลือก 2. การร่อน (แยกของแข็ง-ของแขง็ ) ใชแ้ ยกสารเนอื้ ผสมระหวา่ งของแข็งและของแข็ง โดยการรอ่ น อาศัยขนาดของรูตะแกรงแยกสารผสม เชน่ ทรายปนในขา้ วเปลือก 3. การใช้แมเ่ หล็ก (แยกสารที่เปน็ สารแมเ่ หล็ก) O ใช้แยกสารทีเ่ ป็นสารแมเ่ หล็กด้วยแม่เหลก็ เชน่ ผงตะไบเหลก็ ในทราย,ผงเหล็กและผง กำมะถนั O สารท่ีมสี ารแม่เหล็ก เชน่ เหลก็ , โคบอลต์, นกิ เกิล O สารทไ่ี ม่มสี ารแม่เหล็ก เชน่ ทองแดง, กำมะถนั คณะครุศาสตร์ 71 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” 4. การกรอง (แยกของแข็ง-ของเหลว) o กระดาษกรองใชแ้ ยกของแข็งท่ีอนุภาคมีเสน้ ผ่านศูนยก์ ลางใหญ่กวา่ 10-4 เซนติเมตร o กระดาษเซลโลเฟนใช้แยกของแข็งที่อนุภาคมีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า 10-7 เซนติเมตร แต่ เลก็ กว่า 10-4 เซนตเิ มตร 5. การแยกด้วยกรวยแยก (แยกของเหลว-ของเหลวทไี่ ม่รวมเป็นเน้ือเดียวกัน) ใช้แยกสารทีม่ ีความหนาแน่นตา่ งกัน สารทีม่ ีความหนาแน่นกว่าจะอยู่ดา้ นลา่ ง สารที่มีความหนาแน่นนอ้ ยกว่า จะลอยอยดู่ า้ นบน 72 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” 6. การระเหดิ (แยกของแขง็ -ของแข็งทรี่ ะเหดิ ได้) o การระเหิด คอื การเปลยี่ นสถานะสารจาก ของแขง็ --> แกส๊ โดยไม่ผ่านสถานะของเหลว o สารที่ระเหิดได้ เชน่ แนฟทาลนี , การบูร, เกล็ดไอโอดีน o วิธีการ ให้ความร้อนกบั สารผสม (ไอโอดีน-ทราย) เมื่อไอโอดีนได้รบั ความรอ้ นจะระเหิด และไอ จะไปเกาะที่กรวยแกว้ เมอ่ื ทงิ้ ไวจ้ ะเห็นเกลด็ ไอโอดีน 7. การตกตะกอน (แยกของแขง็ แขวนลอย-ของเหลว) ใช้แยกสารเนอื้ ผสมระหว่างของแข็งแขวนลอยที่อยู่ในของเหลว เชน่ นำ้ คลอง เม่ือนำนำ้ คลองมาต้ังทิ้งไว้สาร แขวนลอยจะค่อยตกตะกอน แต่ถ้าต้องการให้เร็วขึ้น สามารถใช้สารส้ม สารส้มจะทำให้ตะกอนเกิดการเกาะ กลมุ่ กนั และมนี ้ำหนักมากจึงตกไปทกี่ น้ ภาชนะไดเ้ รว็ ข้นึ คณะครุศาสตร์ 73 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” 8. การสกดั ดว้ ยตวั ทำละลาย เป็นการแยกสารผสมดว้ ยตัวทำละลาย เชน่ การสกดั สมนุ ไพรด้วยเหล้าขาวหรือแอลกอฮอล์ (ข้อมูล จากสำนกั งานขอ้ มูลสมนุ ไพร คณะเภสชั ศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหดิ ล) จากรูป หากต้องการแยกสารที่ผสมกันอยู่ด้วยวิธีการสกัดด้วยตัวทำละลาย เติมตัวทำละลาย -> เขย่าให้เกิดการผสม-> สารที่ต้องการจะแยกจะไปละลายในชั้นของตัวทำละลาย ->ตัวทำละลายและสารเดิม จะแยกช้นั กัน -> นำไปแยกออก ->แยกตัวทำละลายออกจากสารที่ตอ้ งการด้วยวธิ ีทเ่ี หมาะสมต่อไป หลกั การในการเลือกตวั ทำละลาย 1. สามารถละลายสารทตี่ ้องการแยกได้ดี แตไ่ ม่ละลายสารที่ไม่ต้องการแยก 2. มีความหนาแนน่ ต่างกับ สารท่ีไมต่ ้องการแยกมากกวา่ 150 กโิ ลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร 3. ไม่ทำปฏิกิรยิ าเคมีกบั สารท่ตี ้องการแยกและไมต่ ้องการแยก 4. ไมเ่ สียสภาพได้ง่ายในความร้อน 5. สามารถแยกออกจากสารทต่ี ้องการไดง้ ่าย 74 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” กล่มุ ท่ี 2 แยกสารเน้ือเดียว 1. การระเหย (แยกของแข็ง-ของเหลว) เป็นการแยกสารผสมทป่ี ระกอบด้วยของแข็งซ่ึงละลายอย่ใู นของเหลวตวั อยา่ ง เชน่ การทำนาเกลอื 2. การตกผลึก คือ ปรากฏการณ์ที่ของแข็งที่เป็นตัวละลายแยกออกจากสารละลายอิ่มตัว เมื่อสารละลายอิ่มตัวมี อุณหภูมลิ ดลง ถ้าสารละลายอ่ิมตัวเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว จะเกิดผลึกที่มขี นาดเล็ก แต่ถา้ สารละลายอิ่มตัวเย็น ตัวลงอย่างชา้ ๆ จะเกดิ ผลกึ ท่ีมีขนาดใหญ่ ผลึกทีส่ มบูรณข์ องสารต่างชนดิ กนั จะมีรูปทรงท่ีแตกต่างกัน ผลึก หมายถึง ของแข็งที่เป็นเนื้อเดียว ผิวมัน มีรูปทรงเรขาคณิต มีเหลี่ยมมุมชัดเจน ผลึกเกิดจาก สารละลายอ่ิมตัวยวดยงิ่ ที่อุณหภมู ลิ ดลงสาร ผลกึ เกลอื แกง ละลายอิ่มตัว หมายถึง สารละลายที่ไม่สามารถละลายตัวถูกละลายได้อีกเนื่องจากมีตัวถูกละลายอยู่ มากทสี่ ดุ ท่อี ณุ หภมู หิ อ้ ง คณะครุศาสตร์ 75 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” สารละลายอ่ิมตวั ยวดย่งิ หมายถงึ สารละลายท่ีมตี วั ถกู ละลายอย่ใู นปรมิ าณที่เกนิ กวา่ อัตราท่ีละลายได้ ทอ่ี ณุ หภมู ิหอ้ ง วธิ กี ารตกผลกึ 1. ใส่สารลงไปในตัวทำละลายทลี ะน้อย จนได้สารละลายอิ่มตวั ที่อุณหภูมิสงู 2. กรองสารละลายขณะร้อนเพ่อื กำจดั สง่ิ เจือปนทไ่ี ม่ละลายออกไป 3. ปล่อยให้สารละลายอ่ิมตัวเยน็ ลงจะได้ของแขง็ ทมี่ รี ูปทรงเรขาคณิตตกผลึกแยกออกมา ซึ่งเมือ่ นำไปกรอง แล้วทำใหแ้ ห้งกจ็ ะไดข้ องแข็งบริสทุ ธิ์ตามต้องการ หมายเหตุ : ที่ต้องใชส้ ารละลายอมิ่ ตัวท่ีอุณหภมู ิสูง เพราะสารส่วนมากเมอื่ อณุ หภูมิสงู ขึ้นจะละลายได้มากขึน้ และเม่ือเราลดอุณหภมู ลิ ง สารจะละลายไดน้ ้อยลงทำใหส้ ่วนทลี่ ะลายไม่ได้ตกลงมาเป็นผลกึ แทน ตัวอย่างกระบวนการตกผลกึ หลักการเลอื กตัวทำละลาย o สามารถละลายสารทีต่ ้องการตกผลึกไดเ้ มื่อใหค้ วามร้อน และละลายได้น้อยหรือไม่ละลาย เลยเม่ืออุณหภูมติ ่ำ o เมื่อทิ้งไวใ้ ห้เยน็ จะเกดิ ผลึกสารบรสิ ทุ ธ์ิ o ไมท่ ำปฏิกริ ิยาเคมีกับสารท่ีต้องการตกผลึก 3. การกลนั่ เปน็ การแยกสารเนื้อเดียวทีเ่ ป็นของเหลวโดยอาศยั ความแตกต่างของจดุ เดือดของสาร เมื่อใหค้ วาม ร้อน สารทม่ี ีจดุ เดือดตำ่ กว่าจะระเหยกลายเปน็ ไอ-> ไอจะกระทบความเย็น->เกิดการควบแน่น การกล่ันแบง่ ไดเ้ ปน็ 3 ประเภท o การกลน่ั แบบธรรมดา สารทจี่ ะแยกต้องมจี ุดเดือดต่างกันมาก o การกล่ันลำดบั ส่วน สารทจ่ี ะแยกมจี ดุ เดือดใกลก้ นั เชน่ การกลั่นนำ้ มันดิบ 76 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” o การสกดั โดยการกล่ันดว้ ยไอน้ำ ใช้แยกสารทม่ี ีจุดเดอื ดต่ำกว่านำ้ และไมล่ ะลายเปน็ เน้ือเดยี วกบั น้ำเม่ือเยน็ ตัว ตัวอย่างเช่น การสกดั นำ้ มันหอมระเหย การกลั่นแบบธรรมดา การกล่ันลำดบั สว่ น การสกัดโดยการกลั่นดว้ ยไอน้ำ 77 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” 4. โครมาโทกราฟี คณะครุศาสตร์ 78 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” เป็นวิธีการแยกสารผสมออกจากกัน โดยอาศัยสมบัติที่ต่างกันขององค์ประกอบแต่ละชนิดที่กระจาย อยู่ใน 2 เฟส (phase) ได้แก่ เฟสที่อยู่กับที่ (stationary phase) ทำหน้าที่เป็นตัวดูดซับสารที่ด้องการแยก เช่น อะลูมินา (alumina, A1203) หรือ ซิลิกาเจล (silica gel, Si02) และ เฟสที่เคลื่อนที่ (mobile phase) ทำ หน้าที่เป็นตัวพา หรือ ตัวทำละลายสารที่ต้องการแยกให้เคลื่อนที่ไปบนตัวดูดซับ เช่น เฮกเซน เอทลิ แอลกอฮอล์ เอทลิ แอซิเทต แอซิโตน และปิโตรเลียมอีเทอร์ เป็นตน้ เม่ือตวั ทำละลายเคลื่อนที่ผ่านตัวดูด ซับที่มีของผสมอยู่ องค์ประกอบแต่ละชนิดในของผสมจะมกี ารเคล่ือนที่ไปบนตัวดูดซับ องค์ประกอบที่ละลาย ในตัวทำละลายได้ดีจะถูกดูดซับได้น้อย จึงเคลื่อนที่ออกมาก่อน ส่วนองค์ประกอบที่ละลายในตัวทำละลายได้ น้อย จะถกู ดูดซับได้นานจงึ เคลอ่ื นท่ี ออกมาภายหลงั เทคนิคของโครมาโทกราฟมี ี ดงั นี้ โครมาโทกราฟแี บบกระดาษ (paper chromatography) ในการทำโครมาโทกราฟแบบกระดาษ เราใช้กระดาษกรองเป็นเฟสที่อยู่กับที่ หรือตัวดูดซับ แล้วกำหนด จุดไว้ให้เปน็ จุดเริ่มต้น สำหรับของผสมที่ดอ้ งการแยก นำสารที่จะแยกมาหยดเป็นจุดเล็ก ๆ บนกระดาษกรอง ณ จุดที่ได้กำหนดไว้ แล้วนำกระดาษไปตั้งไว้ในภาชนะปิดที่อิ่มตัวด้วยเฟสที่เคลื่อนที่ หรือตัวทำละลายท่ี เหมาะสม เมื่อปล่อยให้ตัวทำละลายซึมผา่ นกระดาษกรอง และผ่านจุดของสารที่ต้องการแยกไปจนถึงระดับท่ี กำหนดไว้ จาก การละลายและการถูกดูดซับขององคป์ ระกอบท่ีต่างกันในของผสมเราจะเหน็ แถบลตี า่ ง ๆ แยก ออกมาจากของผสม กระดาษกรองที่ปรากฏสีต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากการแยกของผสมนี้ เรียกว่า โครมาโทแกรม (chromatogram) ถ้าวัด ระยะทางที่องค์ประกอบแตล่ ะชนดิ เคลอื่ นท่ไี ด้ และระยะทางทตี่ ัวทำละลายเคลื่อนท่ี จะสามารถนำไปคำนวณหา อัตราการเคลื่อนที่ (Rj., Retention factor) เพื่อบอกถึงจำนวนและชนิดของแต่ ละองคป์ ระกอบในของผสมได้ สารชนิดเดียวกัน เมื่อทดสอบดว้ ยโครมาโทกราฟีแบบกระดาษในเฟสเคลื่อนที่ หรือตัวทำละลายชนดิ เดียวกัน ย่อมจะให้ค่า Rf เท่ากัน แต่ในบางครั้งสารต่างชนิดในสภาวะเดียวกันอาจให้ค่า Rf เท่ากันก็ได้ ซ่ึง สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นสารต่างชนิดกัน โดยเปลี่ยนชนิดของเฟสที่เคลื่อนที่หรือตัวทำละลาย หรือในบางครั้ง องค์ประกอบแต่ละชนิดในของผสม อาจไม่เกิดการแยกให้เห็น ต้องการทำการทดลองใหม่ โดยการเพิ่มความ ยาว ของกระดาษกรอง หรอื เปลีย่ นชนดิ ของเฟสเคล่อื นท่ี หรอื ตัวทำละลาย เป็นต้น คณะครุศาสตร์ 79 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” ตัวอย่าง 80 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ตอนที่ 5 แรงลพั ธ์และแรงเสยี ดทาน ปริมาณทางฟสิ ิกส์มี 2 ชนดิ คอื 1. ปรมิ าณเวกเตอร์ (vector quality) คือ ปรมิ าณทม่ี ีทง้ั ขนาดและทิศทาง เชน่ แรง ความเรว็ ความเร่ง น้ำหนกั เป็นตน้ 2. ปริมาณทางสเกลาร์ (scalar quality) คอื ปรมิ าณท่ีมีแต่ขนาดเพยี งอย่างเดียว เชน่ เวลา พลังงาน ความยาว พน้ื ท่ี อัตราเร็ว เปน็ ตน้ แรง คือ สิ่งที่ทำให้วัตถุเปลี่ยนสภาพจากหยุดนิ่งให้เคลื่อนที่ หรือเปลี่ยนจากเคลื่อนที่ให้หยุดนิ่ง เร็ว ขึ้น ชา้ ลง หรอื เปลี่ยนทศิ ทางมีหน่วยเปน็ นวิ ตนั สัญลักษณ์ N ไดแ้ ก่ การผลกั การดึง การยก และการลากวตั ถุ เช่น การออกแรงกระทำต่อลูกบอล ขณะที่ขว้างลูกบอล การเล่นชักคะเย่อ นอกจากนี้ยังทำให้วัตถุ เปลีย่ นแปลงรูปทรงและขนาดได้ แรงเปน็ ปริมาณเวกเตอร์ซ่งึ มที ้ังขนาดและทิศทาง การเขียนเวกเตอร์ของแรง ใช้การเขียนหัวลูกศรแสดงทิศทางของแรง และใชค้ วามยาวของสว่ นของเสน้ ตรงแทนขนาดของแรง คณะครุศาสตร์ 81 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” 1. แรงลพั ธ์ การศกึ ษาเรื่องแรงลัพธ์ท่ีกระทำต่อวตั ถุนั้น เพอ่ื ดคู วามเป็นไปไดว้ ่า วัตถชุ ้นิ นั้นสามารถเคลื่อนท่ีไปใน ทศิ ทางไหนซง่ึ ต้องดทู กุ แรงทก่ี ระต่อวัตุ โดยใชห้ ลักการของการบวกลบเวคเตอร์ เข้ามาเกยี่ วข้อง จากภาพจะเห็นว่า วัตถุไม่เคลื่อนที่ มีสาเหตุมาจาก แรงที่พื้นกระทำต่อวัตถุ และแรงดึงดูดของโลก กระทำต่อวัตถุ ทง้ั สองแรงมขี นาดเทา่ กัน แต่ทิศทาง๖งกันขา้ ม ส่งผลใหแ้ รงลพั ธ์มีคา่ เทา่ กับศนู ย์ จากภาพจะเห็นว่าวัตถุไม่เคลื่อนที่ มีสาเหตุมาจาก แรงที่พื้นกระทำต่อวัตถุ และแรงดึงดูดของโลก กระทำต่อวัตถุมขี นาดเท่ากัน แต่ทิศทางตรงกันข้าม และแรงที่เคลื่อนที่ออกจากวัตถุทางซ้าย และขวามีขนาด เท่ากัน ทศิ ทางตรงกนั ข้าม สง่ ผลให้แรงลพั ธม์ คี ่าเท่ากบั 0 จงึ ไม่สง่ ผลใหเ้ กิดการเคลอ่ื นทขี่ องวตั ถุ สรุปการหาแรงลัพธ์ด้วยการคำนวณของเวกเตอร์ 1. หากแรงย่อยมที ิศางในแนวเดียวกนั แรงลัพธ์กจ็ ะมีทิศทางเดียวกันด้วย ตัวอยา่ ง เชน่ • จากรูป แรงย่อยคือ แรง 2 นิวตัน และแรง 3 นิวตัน มีทิศทางไปทางขวาทั้งสองแรง ดังนั้นแรงลัพธ์จะมีทิศทางไปทางขวามือด้วย และแรงลัพธ์ที่ได้มีค่าเท่ากับแรงย่อยสอง แรงรวมกัน เท่ากับ 5 นวิ ตัน 2. หากแรงยอ่ ยมที ศิ ทางตรงข้ามกัน แรงลพั ธจ์ ะมีทศิ ทางไปทางเดยี วกับแรงยอ่ ยที่มีขนาดมากกวา่ • จากรูป แรงย่อยมีสองแรงคือ 3 นิวตันไปทางซ้าย และ 4 นิวตันไปทางขวา ดังนั้นแรง ลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะมีทิศทางไปทางเดียวกับแรงที่มีขนาดมากกว่า คือไปทางเดียวกับแรง 4 นิวตัน คอื ทางขวา และแรงลพั ธ์ท่ไี ดจ้ ะเปน็ ผลต่างของแรงย่อยสองแรง (เพราะแรงย่อยมี ทศิ ทางตรงข้ามกนั ) แรงลัพธม์ คี า่ เท่ากบั 1 นวิ ตัน 82 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” 3. หากแรงย่อยมคี ่าเทา่ กัน ทศิ ทางตรงข้ามกัน แรงลัพธ์จะมีค่าเท่ากบั ศนู ย์ ตัวอยา่ ง เชน่ • จากรูป มีแรงย่อยมสี องแรง ทิศทางตรงขา้ มกัน แตแ่ รงย่อยท้ังสองมีขนาดเทา่ กัน ดังนน้ั แรงลพั ธ์ท่เี กิดจากแรงย่อยน้มี ีค่าเท่ากับ 0 2. แรงเสียดทาน แรงเสียดทาน คือ แรงที่ต้านการเคลื่อนที่ของวัตถุ เกิดขึ้นระหว่างผิวสัมผัสของพื้นและวัตถุมักมี ทศิ ทางตรงกนั ขา้ มกับแรงท่ใี หเ้ กิดการเคลื่อนเสมออักษรตัวย่อในทางฟสิ ิกส์ ใช้ f ถ้าน้ำหนักของวตั ถุ และพ้ืนผิวสมั ผสั มาก แรงเสยี ดทานจะมีค่ามาก ถา้ พืน้ ผวิ สมั ผัสเรียบล่นื แรงเสียดทางจะมีคา่ น้อย แตถ่ ้าผิวสัมผัสหยาบหรอื ขรุขระ แรงเสียดทานจะมี คา่ มาก แรงเสียดทานเกิดขึ้นได้ทุกขณะ ไม่ว่าวัตถุจะเคลื่อนที่หรือไม่เคลื่อนที่ แต่เราสามารถแบ่งประเภทของ แรงเสยี ดทานออกได้เป็น 2 ประเภท 1. แรงเสยี ดทานสถติ (fs) คอื แรงเสียดทานทีเ่ กดิ ขึน้ ตงั้ แตว่ ัตถหุ ยดุ นิง่ จนกระท่งั วัตถเุ คลื่อนท่ี 2. แรงเสยี ดทานจลน์ (fk) คือ แรงเสยี ดทานทเ่ี กดิ ขนึ้ ขณะทวี่ ตั ถเุ คลอ่ื นท่ี ในการเคลื่อนที่ แรงเสียดทานระหว่างผิวสัมผัสระหว่างวัตถุกับพื้นผิวสัมผัสมากน้อยเพียงใด จะใช้ สัญลกั ษณ์ (อา่ นว่า มิว) แทนสัมประสทิ ธ์ขิ องแรงเสยี ดทาน ความสัมพันธร์ ะหว่างแรงเสยี ดทานกับนำ้ หนกั ของวตั ถุบนพน้ื ผวิ น้ัน คา่ สสั มประสทิ ธแ์ิ รงเสยี ดทาน () = แรงเสียดทาน (������) (������) แรงที่กดทับลงบนผิวสัมผสั แรงเสียดทาน (f) = N เมื่อ = สมั ประสิทธ์ขิ องแรงเสียดทาน N = นำ้ หนักท่ีกดลงบนพ้ืนผวิ สัมผสั (นวิ ตัน) ประโยชน์ของแรงเสยี ดทาน 1. แรงเสียดทานช่วยใหว้ ัตถหุ ยดุ เคล่อื นท่ี หากไม่มีแรงเสียดทานแล้ว วัตถุไมอ่ าจหยุดเคลอื่ นทไ่ี ด้ 2. แรงเสยี ดทานชว่ ยให้รถยนต์เคลื่อนท่ีไปขา้ งหน้าได้ บ้อไม่หมุนอยกู่ บั ท่ี เราควรใช้ลอ้ รถยนตืท่ีมีดอก ยางเพ่ือยึดเกาะกับถนนไดด้ ี 3. การสร้างพนื้ ถนน จะต้องทำให้พนื้ ถนนมีแรงเสยี ดทานเพียงพอทร่ี ถจะว่งิ ได้อยา่ งปลอดภัย 4. แรงเสยี ดทานชว่ ยใหเ้ ดินบนพ้ืนได้ ถ้าพ้นื เรยี บคือมแี รงเสียดทานนอ้ ย จะทำใหลน่ื เราจงึ ตอ้ งใสร่ องเท้า ทีพ่ ท้นมีลวดลายเพอื่ จะไดไ้ ม่ลืน่ ลม้ คณะครุศาสตร์ 83 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” 5. แรงเสียดทานจะชว่ ยให้หยบิ จับส่ิงของโดยไม่ลน่ื ไหลไปมา ตวั อยา่ งการคำนวณเรื่องแรงเสียดทาน : ออกแรงดึงวัตถขุ นาด 1 กิโลกรมั เพอื่ ให้วัตถุเร่มิ เคลื่อนท่พี บวา่ มีแรงเสยี ดทาน 5 นิวตนั จงหา สมั ประสิทธิแ์ รงเสยี ดทาน (กำหนดใหม้ วล 1 กโิ ลกรัม เทา่ กบั แรง 10 นิวตนั ) 1 kg 5 N f วิธีทำ จากสูตร แรงเสยี ดทาน = สัมประสิทธิค์ วามเสียดทาน x นำ้ หนักวตั ถุ แทนคา่ 5 = สมั ประสิทธค์ิ วามเสียดทาน x (1 กโิ ลกรมั ) 5 = สมั ประสทิ ธ์คิ วามเสยี ดทาน x (10 นิวตัน) สัมประสิทธ์ิความเสียดทาน = 5 10 สมั ประสทิ ธ์คิ วามเสยี ดทาน = 0.5 ดังน้ัน ค่าสมั ประสิทธ์คิ วามเสียดทานมีค่าเทา่ กบั 0.5 นิวตัน 84 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ตอนที่ 6 แรงในชวี ิตประจำวนั และโมเมนต์ของแรง แรงโน้มถ่วงของโลก วัตถุทุกชนิดในโลกไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่จะต้องตกลงสู่พื้นเสมอ การที่วัตถุตกลงสู่พื้น แสดงว่า มแี รงชนดิ หน่ึงมากระทำต่อวตั ถุ แรงชนิดน้นั คือ แรงดงึ ดูดของโลก หรือแรงโน้มถว่ งของโลก เชน่ เม่ือ นกั บนิ อวกาศเดินทางสนู่ อกโลก พวกเขาจะอยใู่ นสภาพไร้น้ำหนกั เพราะไม่มีแรงดงึ ดดู ของโลกมากระทำ แรงโน้มถ่วงของโลก เปน็ แรงดึงดดู ของโลกทม่ี ีตอ่ วัตถุให้เข้าส่ศู นู ยก์ ลางของโลก แรงดึงดูดของโลกทำ ใหว้ ตั ถุสิ่งของต่าง ๆ มนี ำ้ หนัก เชน่ เวลาทีเ่ ราออกแรงยกกระเป๋านักเรยี น เราจะรูส้ ึกว่าประเป๋านัน้ มีนำ้ หนัก ซ่งึ มีแรงดึงดูดของโลกกระทำตอ่ กระเป๋าน่ันเอง วตั ถใุ ดๆ ที่อยู่ในสนามแรงโน้มถว่ งของดลกทจะมีแรงโน้มถว่ งทีก่ ระทำต่อวัตถุ เรียกวา่ นำ้ หนกั วตั ถุ (Weight ; W) ซึ่งมีความสมั พันธก์ บั มวลของวตั ถุดังน้ี w = mg เมอ่ื W คือ นำ้ หนักของวตั ถุ (นิวตนั ; N) m คือ มวลของวัตถุ (กิโลกรัม ;kg) g คือ ความเร่งสู่ศูนยก์ ลางของโลกมีคา่ เทา่ กบั 10 เมตรตอ่ วนิ าที2 (m/s2) ดงั น้นั มวล 1 กิโลกรัม จะมีค่าอยทู่ ่ี 10 นิวตัน เม่ือชงั่ นำ้ หนัดบนโลก ความรูเ้ พิ่มเติม มวลของวตั ถุมีค่าคงที่เสมอ แตน่ ้ำหนักของวัตถุจะเปลย่ี นไปตามความเร่งสู่ศนยก์ ลางของสถานที่ เชน่ นำ้ หนกั วตั ถุท่ดี วงจันทร์ จะมีค่านำ้ หนักวตั ถุไมเ่ ท่ากบั นำ้ หนักวตั ถุบนโลก (ค่า g เปลย่ี นไปนนั่ เอง) คณะครุศาสตร์ 85 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” แรงลอยตัว แรงพยงุ เมือ่ วตั ถุอยูใ่ นน้ำ จะเกิดแรงท่ีพยุงตวั วัตถุนน้ั ไว้ เรียกว่า แรงลอยตัวหรอื แรงพยุงของของเหลวซ่ึงวัตถุ ทอี่ ยู่ในของเหลว จะมีอยู่ 3 แบบ คอื ไมว่ า่ จะเป็นแบบไหน จะมคี า่ ทเ่ี ก่ียวขอ้ งในการคำนวณแรงลอยตัว คือ ความหนาแน่น (D) และ ความ ถว่ งจำเพาะของวัตถุวตั ถุ (S) 1) หลกั การของอารค์ ีมิดสิ หลักการของอารีมีดินคือ วิธีการหาปริมาตรของวัตถุแข็งด้วยการแทนที่น้ำในถ้วยยูเรก้าโดยสามารถ สรุปหลกั การกฎของอาคีมดิ สิ ไดด้ งั น้ี 1.วตั ถุทช่ี ่ังได้ ในของเหลวมนี ำ้ หนักนอ้ ยกวา่ วัตถทุ ี่ชัง่ ในอากาศ เพราะมขี องเหลวออกแรงพยุงตวั ไว้ 2.น้ำหนักของวัตถุที่หายไปในของเหลว = น้ำหนักของวัตถุที่ชั่งได้ในอากาศ - น้ำหนักวัตถุที่ชั่งได้ ใน ของเหลว (ซ่งึ จะเทา่ กบั นำ้ หนกั ของของเหลวทีถ่ ูกวัตถแุ ทนที่) 3.น้ำหนักของของเหลวที่ถูกแทนที่เท่ากับนำ้หนักของของเหลวที่มีปริมาตรเท่ากับส่วนจมของวัตถุ และเทา่ กับแรงพยุงหรอื แรงลอยตัว 2) ความหนาแน่นสมั พัทธ์หรือความถว่ งจำเพาะ นอกจากนกี้ ฎของอารค์ มี ีดสิ ยังเก่ียวข้องกับความหนาแนน่ ของวตั ถุ 1. วดั มวลของวัตถดุ ว้ ยการชัง่ นำ้ หนัก จากนั้นอาศยั หลกั การแทนทโ่ี ดยนำวัตถไุ ปใส่ในถว้ ยยเู รก้า 2. ปริมาตรของของเหลวที่ถกู แทนทจี่ ะเทา่ กับปริมาตรของวตั ถุ 3. เมอื่ ไดค้ ่ามวลและปริมาตร จะสามารถคำนวณหาความหนาแนน่ ของวตั ถไุ ด้ 4. ความหนาแน่น คือ อัตราส่วนมวลต่อปริมาตรของสารในระบบ SI มีหน่วยเป็นกรัมต่อลูกบาศก์ เมตร (g/cm3) 86 คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” สูตรการหาความหนาแนน่ ของวัตถุ ความหนาแนน่ ของวตั ถุ (D) = มวล (������) ปริมาตร (������) ตวั อย่างคำนวณ ความหนาแน่นสมั พัทธ์หรือความถ่วงจำเพาะ คือ ตัวเลขที่แสดงใหท้ ราบว่า สารนั้นหนักเปน็ กี่เทา่ ของนำ้ เมอ่ื มปี ริมาตรเทา่ กัน ซึ่งไมม่ หี น่วยเท่ากบั ความสัมพันธ์ระหวา่ งความหนาแนน่ ของสารและความถ่วงจำเพาะของสาร ดงั สตู รต่อไปนี้ ความถ่วงจำเพาะของสาร (S) = มวลของสาร มวลของนำ้ ท่ีมปี ริมาตรเทา่ วัตถุ ความถ่วงจำเพาะของสาร (S) = ความหนาแนน่ ของสาร (������) ความหนาแนน่ ของนำ้ (������) ความหนาแนน่ ของสาร (D) = มวล (������) ปรมิ าตร (������) ดงั นนั้ เราสามารถหามวลของวัตถุไดจ้ าก S = ������ แทนค่า D = ������ ������ ������ ������ จะได้ S = ������������ และ มวลของสาร m = SVd เมื่อ m = มวลหรือนำ้ หนกั ของสาร (g, kg) S = ความถว่ งจำเพาะของสาร V = ปรมิ าตร (cm3) D = ความหนาแน่นของน้ำ มีคา่ 1 g/cm3 หรอื 1,000 kg/m3 คณะครุศาสตร์ 87 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” โมเมนตข์ องแรง โมเมนต์ของแรง คือ ความสามารถในการหมุนวตั ถผุ ่านจดุ ศูนย์กลางมวล ทำให้วตั ถเุ คลื่อนท่ีรอบจดุ ศนู ย์กลางมวล โดยขนาดของโมเมนตส์ ามารถหาได้จากแรงท่กี ระทำคูณกบั ระยะทางตั้งฉากจากจดุ กระทำไป ยังจุดหมนุ กฎของโมเมนต์ เมอื่ วัตถุหน่ึงถกู กระทำดว้ ยแรงหลายแรง ซงึ่ แรงกระทำน้ันๆ ทำใหว้ ตั ถอุ ยู่ในสภาวะสมดุลจงึ ทำให้เกิด กฎของโมเมนตด์ งั สตู รน้ี ผลรวมของโมเมนต์ทวน = ผลรวมของโมเมนต์ตาม สูตรคำรวณโมเมนต์ของแรง โมเมนต์ (M) = แรง (F) xระยะทางตั้งฉากจากจดุ หมนุ ไปถึงแนวแรง (L) การประยกุ ต์ใชโ้ มเมนตข์ องแรงในชวี ิตประจำวัน โมเมนต์ของแรง นำไปใช้ในงานด้านเกี่ยวกับเครื่องทุ่นแรง เช่น คาน กรรไกร คีม ชะแลง เพราะส่ิง เหลา่ นี้มกั มีจุดหมุน และทำให้เกิดการผ่อนแรง คาน คอื เครอ่ื งมือหน่ึงในการชว่ ยผ่อนแรง เราสามารถแบ่งชนิดของคานได้ 3 ชนดิ 1 คานอนั ดับหนึ่ง มีจุดหมุนอยู่ตรงกลางกรืออยู่ระหว่างแรงยายามและแรงต้าน และแรงทั้งสองกระทำในทิศทาง เดยี วกนั เช่น กระดานหก ยอยกปลา กรรไกรตัดผา้ ตาช่ัง เป็นต้น 2 คานอันดับสอง มีแรงความต้านทานอยู่ระหว่างแรงพยายามและจุดหมุน และแรงทั้งสองกระทำกับคานในทิศทาง ตรงกันข้าม เชน่ หนา้ ตา่ ง รถเขน็ ดนิ เครือ่ งตัดกระดาษ เป็นต้น 3 คานอนั ดบั สาม มีแรงพยายามอยูร่ ะหวา่ งแรงต้านทานและจดุ หมนุ เชน่ ตะเกียบ ไม้กวาด คมี คีบถา่ น เป็นต้น 88 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเล็ก” ตอนที่ 7 การเคล่ือนท่แี บบตา่ ง ๆ การเคลอ่ื นที่ในหนง่ึ มิติ หรือการเคล่อื นทใ่ี นแนวเสน้ ตรง แบง่ เป็น 2 แบบคือ 1. การเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงที่ไปทิศทางเดียวกันตลอด เช่น รถยนต์ กำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าใน แนวเสน้ ตรง 2. การเคลื่อนทีใ่ นแนวเสน้ ตรงแต่มีการเคลื่อนทีก่ ลับทิศด้วย เช่น รถแล่นไปข้างหน้าในแนวเส้นตรง จากนน้ั ย้อนกลับมาในทิศทางการเคลือ่ นที่ตรงขา้ มกนั ปริมาณทเี่ กีย่ วขอ้ งกับการเคล่ือนทข่ี องวตั ถใุ นแนวตรง ไดแ้ ก่ 1) ระยะทาง (Distance) คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนทีจ่ ริง โดยคำนึงถึงทิศทาง เป็นปริมาณสเกลาร์ มีหนว่ ยเป็นเมตร 2) การกระจัด (Displacement) คอื ระยะทางจากจุดเร่ิมต้นของวัตถุไปยงั จุดสุดท้ายท่ีวัตถุเคล่ือนท่ี โดยต้องคำนงึ ถงึ ทศิ ทาง เป็นปรมิ าณเวกเตอร์ มหี น่วยเป็นเมตร 3) เวลา (Time) คือ เวลาที่วัตถุใช้ในการเดินทางจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง เป็นปริมาณสเกลาร์ มี หน่วยเป็นวนิ าที 4) อัตราเร็ว (speed) คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่จริงในหนึ่งหน่วยเวลา เป็นปริมาณ สเกลาร์ มี หนว่ ยเปน็ เมตร/วนิ าที เช่น รถวิ่งดว้ ยอัตราเร็ว กโิ ลเมตรต่อช่วั โมง 5) ความเรว็ (velocity) คือ การกระจดั ของวตั ถุในหนง่ึ หนว่ ยเวลา เป็นปรมิ าณเวกเตอร์ มหี น่วยเปน็ เมตร /วนิ าที เช่น รถว่ิงด้วยความเรว็ 40 กโิ ลเมตรตอ่ ช่วั โมง ไปทางทิศใต้ (มีการระบุทศิ ทาง) 6) ความเร็วเฉลี่ย (Average velocity) การเฉลี่ยระยะทางทั้งหมดของการเคลื่อนที่ในหนึ่งหน่วย เวลาการเคลอ่ื นท่ี หรอื การเฉลี่ยการกระจัดของการเคล่อื นทใี่ นหนงึ่ หนว่ ยเวลา 7) อัตราเร็วเฉลี่ย (Average speed) อัตราเร็วของการเปล่ียนตำแหน่งของวตั ถุในช่วงเวลาหน่ึงหาร ด้วยชว่ งเวลา คณะครุศาสตร์ 89 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” ระยะทางและการกระจดั ระยะทาง ( distance ) คือ ความยาวของเส้นทางที่วัตถุเคลื่อนที่ เป็นปริมาณสเกลาร์ มีหน่วยเป็น เมตร การกระจัด ( displacement ) คือ เส้นตรงที่ลากจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดสุดท้ายของการเคลื่อนที่ เปน็ ปรมิ าณเวกตอร์ มีหน่วยเปน็ เมตร และตอ้ งบอกทศิ ทางด้วย รูปแสดงระยะทางและการกระจัด ตวั อยา่ งการหาระยะทางและการกระจดั ตวั อยา่ งที่ 1 จากรปู ระยะทางจาก A ไป B เท่ากบั 5 เมตร ระยะทางจาก B ไป C เทา่ กบั 6 เมตร ระยะทางท้ังหมด จาก A ไป B ไป C เท่ากบั 5 เมตร + 6 เมตร = 11 เมตร 5m ส่วนระยะกระจัด คือระยะทางที่ลากเส้นตรงจากจดุ เรมิ่ ตน้ จนถงึ จุดสนิ้ สุด จาก A ไป B คอื 5.3 เมตร ทิศทางตามรูป ตัวอยา่ งที่ 2 จากรปู ระยะทางจาก A ไป B สามารถไปไดท้ ั้ง 2 ทาง ได้แก่ ระยะทาง 12 เมตร และ 16 เมตร ส่วนระยะกระจัด คือระยะทางท่ีลากเสน้ ตรงจากจุดเร่มิ ต้น จนถึงจดุ สิ้นสุด จาก A ไป B คือ 10 เมตร ทศิ ทางตามรปู การหาอตั ราเรว็ เฉลยี่ และความเรว็ เฉล่ีย อตั ราเรว็ เฉลย่ี = ระยะทาง (เมตร) เวลา (วินาที) หรอื v = ������ m/s ������ ความเรว็ เฉล่ยี = ระยะกระจัด (เมตร) เวลา (วินาท)ี หรือ m/s ตวั อยา่ งการคำนวณ 90 คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเลก็ ” นกั กรีฑาคนหนึ่งว่งิ ทางตรงเป็นระยะ 100 เมตร ใชเ้ วลา 7 นาที แล้วว่งิ กลบั ทางเดมิ เป็น ระยะ 40 เมตร ใชเ้ วลา 3 วนิ าที จงึ หยุด จงหา ก.อัตราเรว็ เฉลี่ย ข.ความเร็วเฉลี่ย วิธที ำ ก. อตั ราเร็วเฉล่ีย v = ������ จากสตู ร ������ แทนค่า v = 100+40 7+3 v = 140 10 v = 14 m/s ข.ความเร็วเฉลย่ี จากสตู ร แทนค่า v = 100−40 7+3 v = 60 10 v = 6 m/s ทศิ ทางไปทางขวา คณะครุศาสตร์ 91 มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” ตอนท่ี 8 แสง แสง คอื พลังงานรปู แบบหนึ่งทท่ี ำใหต้ าเรามองเหน็ แสงจะเดินทางเปน็ เสน้ ตรงจากแหลง่ กำเนิดของ แสง โดยเราควรทำความรู้จกั กบั แหลง่ กำเนิดแสงท่ีสำคัญ เช่น ดวงอาทติ ย์ ดวงจันทร์ และแหล่งกำเนิดแสง อนื่ ๆ แหลง่ กำเนิดแสงแบง่ ออกเป็น 2 แหล่ง คือ 1. แหล่งกำเนดิ แสงตามธรรมชาติ เช่น แสงจากดวงอาทติ ย์ ดาวฤกษ์ แสงจากดวงจันทร์ เปน็ ต้น แหลง่ กำเนิดแสงตามธรรมชาติ 92 คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรยี นขนาดเล็ก” 2. แหลง่ กำเนดิ แสงทมี่ นษุ ยส์ รา้ งข้ึน เชน่ แสงจากโคมไฟ หลอดไฟฟ้า แหล่งกำเนิดแสงทม่ี นุษย์สรา้ งข้นึ คุณสมบัตทิ ี่สำคญั ของแสง 4 ขอ้ ไดแ้ ก่ 1) แสงเดินทางเป็นเส้นตรง (Rectilinear propagation) แสงเดนิ ทางเป็นเส้นตรงออกจาก แหลง่ กำเนิดแสงทกุ ทิศทุกทาง แสงเดนิ ทางจากแหลง่ กำเนิดทกุ ทิศทาง และเคลื่อนท่เี ป็นสว่ นตรง แสงไมต่ อ้ ง อาศยั ตัวกลางในการเคล่ือนท่ี เช่น แสงอาทติ ย์ทเี่ ดนิ ทางมายังโลกมคี วามเร็วประมาณ 300,000 กโิ ลเมตรต่อ วินาที หรอื 186,000 ไมล์ ต่อวินาที 2) การหักเห (Refraction) เป็นปรากฏการณ์ที่แสงเคลื่อนที่ผ่านตัวกลางที่มีความหนาแน่น แตกต่าง กันเปน็ ผลทำให้ทศิ ทางของแสงทีห่ ักเกออกมาในตัวกลางหน่งึ เปลย่ี นแปลงไป ซง่ึ ในขณะเกิดการหักเหของแสง ยงั มกี ารสะท้อนของแสงไปอีกดา้ นหน่งึ ด้วย ยกตวั อย่าง เชน่ คณะครุศาสตร์ 93 มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
โครงการ “สนบั สนนุ DLTV เพ่อื แกไ้ ขปัญหาขาดแคลนครูใหก้ บั โรงเรียนขนาดเลก็ ” การมองเห็นดนิ สอในแกว้ น้ำทีห่ ักเหไปจากของจริง การเปรยี บเทียบดนิ สอทเี่ ห็นในน้ำและในอากาศ จากรปู เปน็ ตัวอยา่ งของสสารทม่ี ีความโปรง่ ใส และมคี วามหนาแน่นแตกต่างกนั 2 ชนดิ คือ อากาศ และนำ้ เส้นแนวตัง้ ฉากจงึ หมายถงึ เสน้ ท่ีต้ังฉากกับรอยต่อของสสารท้งั สองชนิด และเม่ือแสงเดนิ ทางผา่ นตัวกลางจากตวั กลางท่ีมคี วามหนาแน่นตำ่ ไปสู่ตวั กลางที่มีความหนาแนน่ สงู กว่า แสงจะหักเหเข้าหาเสน้ ต้ังฉาก การมองเห็นรุ้งหลังฝนตก ที่เกิดจากการหักเหของแสงจากอากาศสู่หยดน้ำแล้วแสงเกิดการสะท้อน ภายในหยดน้ำ จนแสงเกดิ การหักเหจากหยดนำ้ ฝนผ่านสู่อากาศ เราสามารถสังเกตเห็นรุ้งในด้านตรงข้ามกับ ดวงอาทติ ย์ ซ่งึ สามารถจำลองสถานการณใ์ ห้เห็นภาพง่ายๆ จากการทดลองยิงลำแสงผ่านปริซึม ดงั ภาพ การเกิดรุ้งกินนน้ำ 3) การสะท้อน (Reflection) เป็นปรากฏการณ์ที่แสงเดินทางจากตัวกลางที่มีความหนาแน่นค่า หนึ่ง 94 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั นครสวรรค์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263