Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อิสลามกับหน้าประวัติศาสตร์แห่งการปลดแอก ทาส

อิสลามกับหน้าประวัติศาสตร์แห่งการปลดแอก ทาส

Published by Ismail Rao, 2020-07-13 03:06:27

Description: อิสลามกับหน้าประวัติศาสตร์แห่งการปลดแอก
ทาส

Search

Read the Text Version

~1~

~2~

~3~ “สิ่งท่ีข้าพเจ้าเช่ืออยา่ งมนั่ ใจก็คือความจริงที่วา่ ระบอบทาสในหมชู่ าวมสุ ลมิ นนั้ ดีกวา่ ระบอบทาสท่ีปรากฏอยใู่ นหมชู่ นอนื่ หมชู่ นใดทงั้ หมด” กสุ ตาฟ เลอบอง (1841-1931)

~4~ 5 39 สารบญั 94 195 ปฐมบทแห่งการปลดแอก 207 บทท่ี 2 มายาคติทาสแห่งโลกตะวันตก บทท่ี 3 ทาสในกฎหมายอิสลาม ปัจฉมิ วจี บรรณานุกรม

~5~ ปฐมบทแห่งการปลดแอก ُ‫ةُاَاأَااأَللَْليَـَتَّْسملَمىاَأَمُبآِلِْتِْسـَلَمتََِمْتأىاَلصُلعَِهبِِْيحّلَابِِلَُِمّارْْلْمَْأَحقَـَماِدئِِننْْـنِكَلالتََُبمِّراَْعماحـإَِِْينََّاأهِأَمَُْْتمدَنَْْمم‬،َ‫َدَِثَاَْبأتاُـلَهتِااََّصا)بلِ)ِا‬،‫ااَْلِْْإلَ ْْمسلُداَلَملِهِدانْـلْكًَقاا)ئُِ)ُِْمل‬ ‫فََأِإَرَّنِيْيَشَُّراْلألَُُمُمْمُِمر‬ ‫َأُُْم ََلدتَثَْيا ُمِتْم اْعِلْأمُُمَمِْمِْْرى‬ ‫َأَأالاَهُ أََّما بـَْم ُد‬ ประวัติศ าสตร์ คื อหนึ่งใ นสาขาวิชาท่ี ถูกจัดแจ งอยู่ใน ศาสตร์ แขนง ม นุษยศาสตร์ แล ะ สงั คมศาสตร์ อนั เป็ นลกั ษณะวิธีการแบ่งประเภทแห่งองค์ความรู้ของมนุษย์ที่สะท้อนถึงมายา อิทธิพลแห่งลทั ธิ Secularism (ฆราวาสนิยม) ซึ่งทําการตดั ผ่าความสมั พันธ์แห่งองค์ความรู้ ระหว่างฝ่ ายศาสนจกั รกับฆราวาสออกจากกันโดยสิน้ เชิงตามคติโลกทัศน์ของระบอบดงั กล่าว เพราะฉะนนั้ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์อนั มีคาํ นิยามทางวิชาการวา่ หมายถงึ การศกึ ษาถึงพฒั นาการ ของมนษุ ย์และสงั คมโลกอนั มมี นษุ ย์เป็นศนู ย์กลางแห่งการศกึ ษาตามเจตคติของสํานักคิดสายนี ้ จึงมีเป้ าหมายแหง่ การศกึ ษาท่ีเป็นไปเพียงเพ่ือ ‚โลกแห่งฆราวาส‛ เท่านนั้ บทสรุปแห่งการศึกษา ประวตั ิศาสตร์ของมนษุ ยชาติท่ีถูกครอบงําผา่ นปรัชญาแขนงนีก้ ็คืออุบาทว์การณ์เดียวกันกบั ที่ วิท ย า ศ า ส ต ร์ ถูก ก ระ ทํ า ม า น่ัน คื อ ก า รเ ข่ี ย ศ า ส น า อ อ ก จา ก ส า ร บ บ ก า ร ศึกษ า แ ล ะ ตี ก ร อ บ ใ ห้ ประวตั ิศาสตร์เป็นเพียง ‚ศาสตร์‛ ที่ศกึ ษาเร่ืองราวของมนษุ ย์, ‚เพ่ือ‛ มนษุ ย์และโดยมนุษย์เท่านนั้ อนั หมายความเป็ นนัยว่าพระเจ้ามิอาจแทรกแซงประวตั ิศาสตร์ของมวลมนษุ ยชาติเฉกเช่นที่นกั ปรชั ญาในอดตี เชื่อถือกนั ได้อกี อดุ มคตศิ าสตร์ของมนั จงึ ดํารงสถานภาพในฐานะองคค์ วามรู้ที่คอย บอกยํา้ ถึงความผิดพลาดของมนุษย์ในอดีตกาลเพื่อป้ องกันประวัติศาสตร์ ‚ซํา้ รอย‛ ของ มนษุ ยชาตอิ ีกครงั้ คราหน กระนนั้ ก็ดีการขาด ‚แรงจูงใจ‛ อนั เป็ นปรมตั ถ์(ความจริงสมั บรู ณ์-The Ultimate Truth) ของปรชั ญาประวตั ิศาสตร์โลกีย์นีไ้ ด้พิสจู น์ถึงความผิดพลาดในรากฐานแห่งปรัชญาของพวกเขา อดุ มคตศิ าสตร์ที่วา่ ประวตั ศิ าสตร์คอื สิง่ ท่ีบอกบ่งและป้ องกนั ความผิดพลาดซํา้ ซากของมนุษยชาติ ในอดตี กลบั กลายมาเป็นเพียงอดุ มการณ์อนั ไร้ซึ่ง ‚อาภาส‛ ปาน ‚วิมานในอากาศ‛ ของการศกึ ษา ที่ห่างไกลจากโลกแห่งความจริง หายนะแห่งสงครามโลกครัง้ ท่ี ๑ ได้บอกกล่าวถึงความวินาศ ร้ายแรงของมนษุ ยชาติ แตก่ ลบั มิอาจป้ องกันหายนะที่อาจเกิดขนึ ้ ซํา้ รอยเดิมได้อีกในเพียงไมก่ ่ีปี ตอ่ มา สงครามโลกครงั้ ที่ ๒ จงึ อบุ ตั ิขนึ ้ คล้ายจะตอกยํา้ การล่มสลายของปรัชญาประวตั ิศาสตร์ใน แบบ Secularism ที่แบ่งสันแยกส่วนปวงองค์ความรู้เดิมของมนุษยชาติออกจากกันตามแบบ กระบวนการผลิตประเภทแบ่งงานกนั ทําของลทั ธิเศรษฐกิจกาลโี ลกอยา่ งทนุ นิยม นักวิทยาศาสตร์ จึงได้ถูกแยกออกจากนกั ปรัชญา, นักประวตั ิศาสตร์จึงได้ถกู แยกออกจากนกั การศาสนา วิชา

~6~ ประวตั ิศาสตร์จงึ ได้เคยถูกประกาศให้ถึงจุดจบของการศึกษาเสียทีเน่ืองจากไม่ช่วยเหลือเจือจนุ มนษุ ยชาตจิ ากความหลงผิดรวมถงึ ไมช่ ่วยสรรสร้างอารยะสงั คมใดๆได้อีก อิสลามอันเป็ น ‚ระบอบวิถีสมั บรู ณ์‛ (Absolute System) ที่เป็ นเหนือกว่าสถานะของ ความเชื่อทางศาสนาได้หลอ่ หลอมองคร์ วมแหง่ ความรู้, การดําเนินชีวิตและวิถีการเมืองตลอดจน เศรษฐกิจของมวลมนษุ ย์เข้าอยภู่ ายใต้ร่มธงแหง่ ‚เอกภาพ‛ ของพระผ้เู ป็นเจ้า (Oneness of God) ดงั นนั้ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ของมนษุ ยชาติตามปรัชญาของอิสลามจึงมิอาจแยกสว่ นออกจาก ศาสนาได้อย่างเดด็ ขาด ในทางกลบั กนั ความเข้าใจอนั ถ่องแท้ในประวตั ิศาสตร์จะก่อผลให้เกิดองค์ ความรู้ท่ีสมบรู ณ์ตอ่ ศาสนาโดยตรง ดงั ที่เราจะพบวา่ ภายใต้การศกึ ษาอิสลามนนั้ ประวตั ศิ าสตร์จะ เข้าไปเป็นกลไกแห่งความรู้ของอิสลามทงั้ ในวิชา ‚ซิเราะฮฺ‛,ตฟั ซีร,หะดีษและแม้กระทง่ั วิชาอากี ดะฮฺ (Theology) เองก็ตาม ความแตกต่างของอิสลามกับปรัชญาประวตั ิศาสตร์ (Historical Philosophy) ของพวกฆราวาสนิยมจึงมีหัวใจสําคญั อย่ตู รงเป้ าหมายของการศึกษา กล่าวคือ สาํ หรับอิสลามแล้วการศกึ ษาประวตั ิศาสตร์ล้วนเป็นไปเพื่อสนองรบั เจตนารมณ์ของพระผ้เู ป็ นเจ้า เป็นการศกึ ษาวา่ ด้วยเร่ืองพฒั นาการของมนษุ ย์ที่มเี ป้ าหมายสงู สดุ เพ่ือการเสริมสร้างศรัทธาและ ความยําเกรงของมวลมนษุ ย์ตอ่ พระองคต์ ลอดจนยืนยนั ถึงความเป็ นหนึ่งเดียวในพลานภุ าพแห่ง ผองจักรวาลท่ีปวงสรรพสิ่งต่างอาศยั อย่ใู นร่มเงาของพระองค์ ดงั ที่พระองค์ได้ทรงบญั ชาผอง มนษุ ย์ให้ออกเดนิ ทางเพ่ือศกึ ษาร่องรอยความหายนะของมนษุ ยชาติตลอดในหน้าประวตั ิศาสตร์ (3:137) เพื่อที่มนษุ ย์จะได้เรียนรู้ถึงความหลงผิดของบุคคลในอดีตพร้อมนําบทเรียนเหล่านนั้ ไป สานสคู่ วามเคารพภกั ดตี อ่ พระองค์ (29:20) เป้ าหมายของการศกึ ษาประวตั ิศาสตร์ในปรัชญาของ อิสลามจงึ เป็นไปเพื่อความศรัทธาอย่างแท้จริงและน่ีคืออดุ มการณ์เชิงประวตั ิศาสตร์ (Historical Ideology) อนั เป็ นปรมตั ถ์ของประชาชาตินี ้ เป็ นประวตั ิศาสตร์ที่มิได้มีจดุ หมายปลายทางแห่ง การศกึ ษาเพ่ือการรู้จกั มนษุ ย์เพียงอย่างเดียว หากแต่มีปลายทางเพื่อการศรัทธาในพระเจ้า เป็ น ประวตั ิศาสตร์เพ่ือพระเจ้าอย่างแท้จริง เป็ นการกระทําท่ีอยู่ในกรอบคิดแห่ง “เอกพฤตินัย”1 (Tawheed of Action) และ ‚เอกวิทยา‛ (Tawheed of Knowledge) ท่ีทุกก้าวกระบวนของการ ขบั เคลอื่ นองคค์ วามรู้นนั้ จะถกู ย้อนกลบั ไปยงั พระเป็นเจ้าเพื่อสตั ย์ปฏญิ าณถงึ ความเกรียงไกรของ พระองคเ์ พียงผ้เู ดียวเทา่ นนั้ แตแ่ ม้กระนนั้ ก็ตาม! ไม่วา่ ผองความรู้และปรัชญาในด้านประวตั ิศาสตร์ของอิสลามจะ วิเศษวิโรจกนั ปานใด การเสริมสร้างความรู้ทางประวตั ิศาสตร์อย่างลึกซึง้ ให้แก่เยาวชนมสุ ลิมใน ระดบั ท่ีจะกลายเป็นพลงั ทางความคิดความเคล่ือนไหวของพวกเขานนั้ กลบั ดจุ ราวความรู้ท่ีไร้ซ่ึง 1 หลกั คดิ ประการนีท้ า่ นผ้อู า่ นสามารถศกึ ษาเพิม่ เติมได้ในหนงั สอื ของกลมุ่ อซั ซาบิกูนช่ือว่า ‚เอกพฤตินยั ‛ เขียน โดย ทา่ นชยั คลุ มญุ าฮดิ นี อบั ดลุ ลอฮฺอซั ซาม แปลโดย สหายบยั ตลุ อนั ศอร หาอา่ นได้ที่ www.baitulansar.info

~7~ คณุ คา่ ทางจิตวทิ ยามากท่ีสดุ ลกั ษณะวิธีการศกึ ษาประวตั ิศาสตร์ของอิสลามตามที่เห็นกันอย่ใู น หน้าหนังสือต่างๆทุกวนั นีก้ ลบั มีลกั ษณะท่ีหยาบกร้านและไร้สีสนั ที่สดุ กล่าวอีกนยั หน่ึงก็คือเรา ปราศจากสิ่งที่เป็ น ‚ทฤษฎี‛ (Theory) ท่ีหลากหลายในการใช้วิภาษและศึกษาประวตั ิศาสตร์ อิสลามให้ เกิดสีสันและดูน่าสนใจเพื่อสร้ างคําอธิบายท่ีหลากหลายต่อการเปลี่ยนผ่านใน ประวตั ิศาสตร์อิสลาม เนื่องจากทฤษฎีทกุ ชนิดคือกรอบคิดท่ีมีลกั ษณะเฉพาะตนในการอธิบาย เหตกุ ารณ์ทางประวตั ิศาสตร์หนึ่งใดได้แตกตา่ งกนั ไปตามอตั ภาพของแตล่ ะทฤษฎีจะกระทําได้ แต่ ดงั ท่ีกลา่ วไปแล้ววา่ โดยมากของการศกึ ษาประวตั ิศาสตร์อิสลามจะเป็ นการเลา่ เร่ืองไปเร่ือยเป่ื อย เหมือนเส้นตรงหรือเส้นขนานวา่ คนนนั้ ทําอย่างไร คนนีเ้ ป็ นแบบไหน หรืออาจจะกลา่ วได้วา่ เป็ น ประวตั สิ าสตร์ท่ีถกู มองจากนกั วิชาการตะวนั ตกในรูปของประวตั ิศาสตร์ที่มีจดุ เร่ิมต้นและจดุ จบ ตายตวั มากกวา่ จะเป็ นประวตั ิศาสตร์ที่เสริมสร้างพลงั ทางความคิดเชิงอิสลามแก่เยาวชน ทงั้ ที่ ประวตั ิศาสตร์คอื วิชาท่ีมีพลงั ในการผลกั ดนั การตอ่ ส้ทู างการเมืองในระดบั สงู มาโดยตลอด บรรดา นักปกครองและนกั ปฏิวตั ิทัง้ ดีและช่วั บนบรรณพิภพนีต้ า่ งก็เคยใช้ประวตั ิศาสตร์เป็ นอาวธุ ทาง การเมืองเพื่อกระต้นุ การขบั เคลื่อนของมวลชนมาแล้วทัง้ สิน้ ดงั ที่ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งนาซี เยอรมนั เคยใช้ประวตั ศิ าสตร์ชาตพิ นั ธ์วุ า่ ด้วยชนอารยนั ในการระดมคนเยอรมนั เพื่อการกวาดล้าง ชนชาติยิว หรือแม้กระทง่ั การที่พวกยิวไซออนิสต์ใช้ประวตั ิศาสตร์เพ่ือตบตาชาวโลกให้สนบั สนุน ขบวนการของพวกเขาที่ได้ทําการเบียดเบียนชีวิตของชาวปาเลสไตน์ ซ่ึงนับว่าน่าเศร้าใจมากท่ี ประวตั ิศาสตร์อนั ยาวนานของประชาชาติอิสลามกลบั ไมถ่ ูกนํามาเป็ นพลงั การต่อส้ทู างการเมือง โดยเฉพาะในกาลปัจจุบันท่ีโลกกําลังอธรรมต่ออิสลามจากวาทกรรมเรื่อง ‚ลทั ธิก่อการร้ าย‛ (Terrorism) ทงั้ ที่หากเราพิจารณากระบวนการศึกษาประวตั ิศาสตร์ของกลมุ่ อ่ืนๆท่ีโลกให้ความ สนใจกนั เช่น ลทั ธิมาร์ก เราจะพบวา่ กรอบคดิ ทางประวตั ิศาสตร์ของมาร์กซิสต์ (Marxism) มเี พียง แคเ่ ร่ืองของเศรษฐกิจและการตอ่ ส้ทู างชนชนั้ เท่านนั้ โดยปฏิเสธอิทธิพลของจิตโดยสิน้ เชิง แต่ไฉน เลยกรอบคิดอนั จํากดั ดงั กล่าวนีจ้ ึงกลบั กลายมาเป็ นพลังทางความคิดแก่เยาวชนหนุ่มสาวใน ศตวรรษท่ี 20 ที่ทรงพลงั ท่ีสดุ จนผลกั ดนั โลกให้เกิดการปฏิวตั ิ, สงครามปลดแอกประชาชนผ้ยู ากไร้ และพลงั ทางการเมืองท่ีแบ่งขวั้ โลกทงั้ สองออกจากกนั ได้อย่างน่าทึ่ง แตใ่ นทางกลบั กันกรอบคิด ทางประวตั ศิ าสตร์ของอิสลามแม้จะมกี รอบคดิ มากมายหลายแขนงไมว่ า่ จะ การตอ่ สูร้ ะหว่างความ จริงกบั ความเทจ็ (อิสลามและอื่นๆ),การตอ่ สรู้ ะหว่างศรัทธาและปฏิเสธ,การต่อสูก้ บั ความงมงายใน อารยธรรมเจว็ดของมนษุ ยชาติ,ปรัชญาเศรษฐกิจแบบอิสลาม,กฎหมายและหลกั ความยตุ ิธรรมใน ทศั นะอิสลาม,การปกครองและรัฐอิสลาม ฯลฯ ทงั้ หมดนีก้ ลบั กลายเป็ นเรื่องมหศั จรรย์ของมหา จกั รวาลมากท่ีประชาชาติอสิ ลามมีฐานความคิดมากมายแตก่ ลบั ไม่มีสว่ นร่วมในการจดั ระเบียบ โลกแม้กระทง่ั การเสนอความคดิ ในทางปรัชญาประวตั ศิ าสตร์เอาเสียเลย การตอ่ ส้ทู างความคิดใน ปัจจบุ นั ที่มกี ระแส ‚อสิ ลามานวุ ตั ร‛ (Islamization = กระบวนการทําทุกอย่างให้เป็ นอิสลาม)เป็ น

~8~ ตวั ชีน้ ําในระดบั สามารถที่จะเขยา่ ปรชั ญาตะวนั ตกกย็ งั จดั วา่ น้อย,สงครามญิฮาดเพื่อการปลดแอก มสุ ลิมท่ีถกู กดข่กี ็แทบไมต่ ้องพดู ถึง(ทงั้ ที่ประวตั ศิ าสตร์อิสลามกลบั ถกู จารึกด้วยเลือดของชุฮะดะอฺ ทงั้ สนิ ้ -อมั ตะวาทะของเชคอบั ดลุ ลอฮฺ อซั ซาม) ,การแบ่งโลกออกเป็ นสองค่ายคือคา่ ยแห่งความ ศรัทธาและค่ายแห่งการปฏิเสธก็หายตอ๋ มเป็ นสญุ ญากาศ(ทงั้ ที่มสุ ลิมเคยมีอาณาจกั รอิสลามที่ กําราบมหาอํานาจคา่ ยปฏเิ สธอย่างโรมนั และเปอร์เซียมาแล้วในอดีต) และที่เลน่ เอาข้าฯต้องอยาก มดุ ดนิ แทรกหนีลหี ้ ายไปจากผ้คู นสกั ครงั้ คราวกค็ อื นอกจากกลมุ่ กิจกรรมตามแนวทางสงั คมนิยม หรือลทั ธิมาร์กจะตีความคําวา่ ‚สิทธิสตรี‛ สลบั ขวั้ กบั นิยามของฝ่ ายประชาธิปไตยแล้วพวกเขายัง มองการเปลือยเปล่าอวดเรือนร่างของสตรีวา่ หมายถึงการกดข่ีต่อสตรีเพศและสตรีแห่งชนชัน้ กรรมาชีพ(มใิ ช่เร่ืองของศีลธรรม) แรงขบั เคลือ่ นในแนวคดิ สตรีของพวกเขาสามารถทําให้ช่วงหน่ึง ของการประกวดนางงามในหน้าประวตั ศิ าสตร์ไทยต้องประสบภาวะวิกฤตจิ นเกือบสญู หายไปจาก สงั คมเพราะถกู พิษสงั คมนิยมตอ่ ต้าน และขา่ วลา่ สดุ ท่ีข้าฯได้รับมาวา่ ในช่วงท่ีโลกกําลงั ร่ืนเริงไป กบั ด้วยเทศกาลบอลโลก (ค.ศ.2010) ชาติมสุ ลิมตา่ งๆอย่าง อินโดนีเซียและตรุ กีกลบั ส่งนางงาม โง่ๆเข้าประกวด ในขณะชาติคอมมิวนิสต์อย่างเกาหลีใต้กลบั ปฏิเสธการสง่ สตรีเข้าร่วมกิจกรรม วติ ถารนีด้ ้วยเหตผุ ลวา่ มนั เป็นกิจกรรมจากกระบวยกลของทนุ นิยมโสโครกนนั่ เอง!!!? และส่ิงที่เลน่ เอาข้าฯต้องแทบแทรกแผน่ ดินหนีก็จากคําถามซึ่งอาจารย์ของข้าฯผ้ถู ือมน่ั ในลทั ธิสงั คมนิยมได้ ถามข้าฯวา่ ‚ทง้ั ทีม่ สุ ลิมมีทงั้ บญั ญัติเรื่องแต่งกายสตรีที่เข้มงวดมากแต่ทาไมพวก Activists (นกั กิจกรรม) ในวงการมสุ ลิมจึงไม่สามารถปลกุ ระดมใหม้ สุ ลิมใชส้ ิทธิของพลเมืองไทยประทว้ งตอ่ ตา้ น การประกวดนางสาวไทยหรือแมก้ ระทง่ั การประกวดระดบั โลก ?‛ ถ้าท่านเป็ นข้าฯท่านจะตอบเขา อย่างไรหรือ?? โอ้มสุ ลิมทงั้ หลาย ‚ปวงเขา เบา‘ศรทั ธา’ กลบั ยาตราทา้ มารยล ปวงเรา‘ศรัทธาชน’ มิวายพน้ จนปากรู‛ น่ีคือพวกเรา! ท่ีมปี รัชญาคําสอนทางศาสนาอย่างวิโรจโสตประสาทแตก่ ลบั ส่งผลตอ่ การ จัดระเบียบสงั คมได้น้อยมาก ผลแห่งความอัปยศที่เกิดขึน้ เหล่านีล้ ้วนหาใช่เกิดจากการที่เรามี ปรชั ญาแห่งคาํ สอนที่ออ่ นด้อยไร้สีสนั อดุ มการณ์ หากแต่รากฐานของปัญหามาจากการขาดการ สอนอสิ ลามในเชิงอดุ มการณ์อย่างเพียงพอท่ีจะเป็นพลงั ทางความคิดแกว่ ิญํชู น พดู อีกนยั หนึ่งก็ คอื โลกอิสลามขาดการสอนอิสลามอยา่ งเป็น ‚วิทยาศาสตร์‛ มาอยา่ งช้านานแล้ววา่ อิสลามดีและ เจง๋ กวา่ ชาวบ้านเขา (ทนุ นิยม,ประชาธิปไตย,สงั คมนิยม) อย่างไร ?และระบอบของคนอื่นเขากดข่ี รังแกเพ่ือนมนุษย์อย่างไร ? คําว่าศกึ ษาอย่างเป็ นวิทยาศาสตร์หมายถึงการนําเสนอสมมตุ ิฐาน และทําการตรวจสอบ,วิจยั ,วพิ ากษ์หรือพิสจู น์ให้เหน็ ในเชิงประจกั ษ์วา่ มนั ‚จริง‛ ดงั ที่ คาร์ล มาร์ก

~9~ ได้ชีใ้ ห้เห็นถึงระบอบเศรษฐกิจแบบทนุ นิยมวา่ เลวร้ายอย่างไร ? จากทฤษฎี ‚มลู คา่ สว่ นเกิน‛ อนั ลือลนั่ ของเขา แล้วประชาชาติอิสลามของเราละ่ เชื่อวา่ ระบอบเศรษฐกจิ แบบอิสลามที่ห้ามดอกเบยี ้ อนญุ าตกําไรและมแี นวทางซะกาตดกี วา่ ของชาวบ้านเขาแตก่ ็ยงั ขาดนกั คิดของโลกมสุ ลิมท่ีจะมา อธิบายบอกชาวโลกว่าเศรษฐกิจของอิสลามดีกว่าทนุ นิยมในระดบั ท่ีสามารถสะเทือนโลกได้ 2 ปัญหาดงั ท่ีเอ่ยมานีจ้ ึงเป็ นผลมาจากปัญหาในทาง ‚ปัญญา‛ ของมสุ ลิม เมื่อสภาพการณ์เป็ น เช่นนีห้ นทางเดยี วที่จะสามารถ ‚ปฏิวตั ปิ ัญญา‛ ของมวลมสุ ลิมจนก่อกระแสการตอ่ ส้ทู างความคิด ระหวา่ งอดุ มการณ์อสิ ลามกบั อนารยะชน (Barbarians) ในนามอ่นื ๆชนิดท่ีจะเกิดผลท่ีสดุ ก็คือการ ปฏิวตั ิทางการศึกษาในวงวิชาการอิสลามท่ีจําต้องสลดั มวลมุสลิมออกจากปลักแห่ง ‚นกแก้ว นกขนุ ทอง‛ หรือกระบวนการคิดที่ล้าหลงั ไม่เป็ นตรรกะ (Non-Logical Thinking) ตลอดจนการ นิยมในอตั ลกั ษณ์กลมุ่ ชนพวกพ้องของตนเองวา่ ฉนั คอื อิควานคือสะละฟี ย์คือฮะฎอรีย์อย่างมืดมวั ตาบอดจนขาดอสิ รภาพทางความคดิ ของตนเองในการรบั ใช้อสิ ลามซง่ึ ในทรรศนะของข้าพเจ้าแล้ว พิจารณาวา่ นอกเหนือจากวชิ าการอสิ ลามที่มวลมสุ ลมิ จําต้องเรียนนนั้ พวกเขายงั ต้องเรียนศาสตร์ เหลา่ นีเ้ พื่อการพฒั นาประชาชาติอสิ ลามโดยเฉพาะในหมนู่ กั เผยแพร่อสิ ลาม 1. วชิ าตรรกะวิทยา (Logical Science) ความรู้ของวิชาดงั กลา่ วนีจ้ ะชว่ ยชําระ ความมดื บอดในทางความคดิ ตา่ งๆซง่ึ แฝงตวั อย่ใู นจิตใจของมวลมสุ ลิม ทงั้ ยงั จะเป็นวชิ าท่ีคอยขดั เกลาให้ปัญญาชนมสุ ลิมรู้จกั ถึงวิธีของการอนุมานและให้เหตผุ ลที่ถูกต้องและยุติธรรม ปฏิเสธ ไมไ่ ด้เลยวา่ สว่ นหน่งึ ของความวนุ่ วายขดั แย้งในสงั คมมสุ ลมิ นนั้ กล็ ้วนเป็นผลมาจากการปราศจาก การใช้เหตผุ ลที่ดเี พียงพอในการจดั การปัญหาความขดั แย้งซง่ึ กระบวนการดงั กลา่ วจะเกิดขนึ ้ ได้ก็ ต่อเม่ือมีการเรียนรู้ตรรกะ นอกเหนือจากนีแ้ ล้วตรรกะวิทยายังใช้เป็ นอาวธุ อันทรงพลังในการ ปกป้ องและอธิบายถงึ สจั ธรรมของอสิ ลามในกาลปัจจบุ นั แม้กระทงั่ กบั คําถามที่แสนยากเย็นเช่น ใครสร้ างอัลลอฮฺ เราก็จะพบว่าตรรกะสามารถช่วยมุสลิมให้ตอบคําถามนีไ้ ด้อย่างง่ายดาย เพราะฉะนนั้ ความคิดล้าหลงั ท่ีวา่ ตรรกะคอื วิชาท่ีหะรอมต้องห้ามอนั เป็ นผลมาจากการใช้ขนั้ ตอน ทางตรรกะท่ีผิดพลาดหรือไม่สมบรู ณ์ของอลุ ามาอ์โลกมสุ ลิมในอดีตจึงควรท่ีจะต้องปัดทิง้ ความ เข้าใจคร่ําครึดงั กลา่ วนีเ้ สียใหม่ 2 แตก่ ็ยงั นบั วา่ ดีที่กระแสการฟื น้ ฟอู ิสลามภายใต้วาทกรรมทางปัญญาที่ว่า ‚อิสลามานวุ ัตร‛ (Islamization) ใน รอบหลายทศวรรษมานีไ้ ด้สง่ ผลต่อการเปลย่ี นแปลงอย่างเป็ นรูปธรรมขนึ ้ ในโลกจนก่อเกิดภาวะปฏิกิริยาจากฝ่ าย ตรงข้ ามท่ีต่อต้ านโลกอิสลามในระดับที่ใกล้ก้ าวไปถึงการต่อสู้ทางความคิดแล้ว ตัวอย่างเช่น ปรัชญา วทิ ยาศาสตร์ของยโุ รปที่อยบู่ นฐานของการปฏิเสธพระเจ้าตามลทั ธิดาร์วิน (Darwinism) มาหลายศตวรรษได้ถูก สนั่ สะเทอื นและพสิ จู น์ว่า ‚เทยี ม‛ ภายหลงั กระแส ‚วิทยาศาสตร์อิสลาม‛ (Islamic Science) เติบโตขนึ ้ การมา ของท่านฮารูน ยะหยฺ าและทีมงานวจิ ยั ของเขาได้สง่ ผลให้เกิดการต่อต้านวิทยาศาสตร์อิสลามเพ่ือปกป้ องทฤษฎี โบราณเหลา่ นนั ้ ดงั ทป่ี รากฏวา่ รัฐบาลองั กฤษและฝรงั่ เศสสง่ั ห้ามหนงั สอื ของทา่ นเข้าประเทศ

~ 10 ~ 2. วชิ าปรัชญา (Philosophy) ปรชั ญาคือวชิ าท่ีวา่ ด้วยการศกึ ษาความคดิ และกฎเกณฑ์ ทางความรู้ตา่ งๆท่ีนกั ปรัชญาในอดตี ได้ปพู ืน้ วางไว้ การศกึ ษาวิชาดงั กลา่ วนีม้ ิได้หมายความว่าให้ เราทําการศกึ ษาเพื่อท่ีจะได้หลงใหลหรือเชื่อตามปรัชญาดงั กล่าวนนั้ เพราะในความเป็ นจริงแล้ว ปรัชญาแตกตา่ งจากตรรกะตรงที่ปรัชญาคือวิชาที่หาความชัดเจนและคําตอบตายตวั ของแต่ละ ปัญหาไม่ได้ในขณะที่ตรรกะคือกระบวนการหาความจริงสงู สดุ หากแต่การศึกษาปรัชญานนั้ ก็ เพียงเพ่ือที่จะรับทราบถงึ ความคดิ พืน้ ฐานของชาวตะวนั ตกและตะวนั ออกอนั เป็นความคิดท่ีเป็นขวั้ ตรงข้ามกบั อิสลาม กลา่ วคือทุกความคิดนอกรีตในยุคสมยั ของเรานีไ้ ม่วา่ จะเป็ น ฆราวาสนิยม, สตรีนิยม,วตั ถนุ ิยมหรือแม้แต่ Post Modern เองตา่ งล้วนแล้วผ่านขนั้ ตอนของการเป็ นปรัชญามา ก่อนทงั้ สนิ ้ ดงั นนั้ การตอ่ ส้กู บั ความคิดเหลา่ นีจ้ ะไมอ่ าจบรรลผุ ลสาํ เร็จได้หากเราไร้ซ่ึงความรู้ในทาง ปรชั ญา เพราะปรชั ญาจะเป็นความรู้ท่ีทําให้เรารู้ถงึ ความคดิ มลู ฐานและช่องโหวข่ องลทั ธิเหลา่ นีไ้ ด้ อย่างดี และตรรกะวทิ ยาจะเป็นอาวธุ ท่ีคอยประหตั ประหารปรชั ญาท่ีเป็นขวั้ ตรงข้ามกบั อิสลามอีก ขนั้ ตอนหน่ึง 3. สังคมศาสตร์ (Social Science) การศกึ ษาวิชาสงั คมศาสตร์จะช่วยหลอ่ หลอมโลก ทศั น์ของชาวมสุ ลิมให้อย่ใู นรูปแบบท่ีสมบูรณ์ยิ่งขนึ ้ การศกึ ษาศาสตร์ในแขนงนีจ้ ะทําให้บรรดา เยาวชนมสุ ลิมเกิดอดุ มการณ์ที่จะรับใช้ศาสนาและประชาคมมสุ ลิม เพราะแม้ว่าในบางส่วนของ ศาสตร์แขนงนีจ้ ะมปี รชั ญาท่ีเป็นพิษภยั ตอ่ อสิ ลามในการศึกษาแตโ่ ดยภาพรวมแล้วสงั คมศาสตร์ คอื วชิ าที่มีกระบวนการในการขดั เกลาให้ผ้ศู ึกษาเกิดอดุ มการณ์ของการทํางานเสียสละหรือ ‚จิต สาธารณะ‛ ท่ีจะรบั ใช้ประชาชนผ้ทู กุ ข์ยาก การที่ประชาชนคนตา่ งศาสนิกมกั ตอ่ ขานชาวมสุ ลิมว่า เป็ นชนท่ีเห็นแก่ตัวนัน้ ก็สืบเน่ืองจากการที่สังคมมุสลิมปราศจากการทํางานบริ การ สาธารณประโยชน์แก่มวลมนษุ ย์ การท่ีสงั คมมสุ ลิมในยุคปัจจบุ นั ว่างเว้นจากผ้รู ู้ที่จะคอยลกุ ขนึ ้ ตอ่ ส้กู บั ทรราชเพื่อสิทธิประโยชน์ของประชาชนนนั้ ก็สืบเน่ืองจากเหล่าผ้รู ู้อิสลามปราศจากความ เข้าใจอนั ถอ่ งแท้ตอ่ ศาสตร์แขนงนี ้พวกเขาเหลา่ นนั้ เพียงแตศ่ กึ ษาวิชาการศาสนาอย่างซงั กะตาย และท้ายที่สดุ ก็เป็นเพยี งชนชนั้ ท่ีเหน็ แกต่ วั ซง่ึ คอยตกั ตวงผลประโยชน์ของเมด็ เงินในองค์กรศาสนา หนําซํา้ ยงั วางตวั เป็นชนชนั้ กลาง-สงู ในสงั คมท่ีประชาชนตาดําๆจะเข้าถึงก็ยากเย็นแสนเข็ญเป็ น หนักหนา ซึ่งแตกต่างจากพวกชีอะฮฺรอฟิ เฎาะฮฺท่ีผ้รู ู้ของพวกเขาต่างรํ่าเรียนความรู้ในด้าน สงั คมศาสตร์อยา่ งขะมกั เขม้นแล้วกน็ ําไปประยกุ ตก์ บั ลทั ธิของพวกเขาอย่างลงตวั เราจึงพบผ้รู ู้ของ พวกเขาที่คอยเป็นกระบอกเสยี งแก่ประชาชนมาตลอด ในอิรัคภายใต้การกดข่ีของซัดดาม อลั ลา มะฮฺมฮุ มั มดั บาเก็ร ศ็อดรฺ ได้ต่อส้รู ่วมกับประชาชนจนตนเองต้องเสียชีพไปในที่สดุ ในอิหร่าน ดร.อะลี ชาริอะตี คอื แกนนําคนสําคญั ก่อนการมาของโคมยั นีท่ีได้เรียกร้องความยตุ ิธรรมในสงั คม อหิ ร่านแก่ประชาชนจากกษัตริย์วงศป์ ะฮฺละสีย์จนต้องถกู กมุ ขงั และทรมานในคกุ มาอย่างยาวนาน อลั ลามะฮฺมรุ ตะฏอ อลั มเุ ตาะฮฺฮะรีย์คือหนึง่ ในนกั ปราชญ์ชีอะฮฺที่เคล่อื นไหวทางสงั คมเพ่ือตอบโต้

~ 11 ~ แนวคดิ ขวั้ ตรงข้ามกับอิสลามอาทิสตรีนิยม,มาร์กซิสต์จนตวั เขาได้ถูกฝ่ ายที่นิยมในระบอบเซคิว ลาร์สงั หารลงอยา่ งโหดร้าย และแม้กระทง่ั ผ้นู ําสงู สดุ ของพวกรอฟิ เฎาะฮฺอย่างอะลีคอมาเนอีย์นนั้ ก็เคยผา่ นสมรภมู ิรบในการปกป้ องประเทศอิหร่านจากการบกุ รุกของอิรัคมาแล้วจนทกุ วนั นรี ้ ่องรอย ของสงครามยงั คงปรากฏอยใู่ นตวั ของเขาดงั ท่ีเราจะเหน็ วา่ มอื ขวาของเขานัน้ ใช้การไมไ่ ด้จากการ ถกู กบั ระเบิดในสงคราม 4. รัฐศาสตร์ (Political Science) ศาสตร์ดงั กลา่ วนีจ้ ะช่วยสรรสร้างการตระหนักรู้ใน ความสําคญั ของการมีอย่ขู องส่ิงต่างๆเช่น รัฐอิสลาม, อดุ มการณ์ทางเมืองและการเคล่ือนไหว, การคดั ค้านตอ่ ระบอบการเมอื งอน่ื ๆ, และรวมไปถงึ การญิฮาดด้วยเชน่ กนั 5. วิทยาศาสตร์ (Science) พืน้ ฐานของอารยธรรมยุคใหม่นัน้ คือวิทยาศาสตร์และ วทิ ยาศาสตร์นนั้ ถกู มองวา่ เป็นความจริงอนั สงู สดุ เสมอท่ีคอยนิยามสิ่งอ่ืนเช่นศาสนาให้เป็ นความ เท็จหรือความงมงายอย่ตู ลอด การศึกษาวิทยาศาสตร์นอกจากจะช่วยเป็ นกําลงั สําคัญในการ พฒั นาโลกมสุ ลิมและคดั ค้านปรัชญาของการปฏิเสธพระเจ้าแล้ว ยังคอยเป็ นรากฐานสําคญั ที่ ยืนยนั ถึงความย่ิงใหญ่และการมอี ย่ขู องพระองคอ์ ลั ลอฮฺได้อย่างดีเยี่ยมผา่ นสาขาทงั้ ทางด้านดารา ศาสตร์และชีววทิ ยา ศาสตร์ทงั้ 5 แขนงข้างต้นนีจ้ ําต้องได้รับการศึกษาอย่างแท้จริงในหม่นู ักวิชาการอิสลาม ทงั้ หลาย และจําต้องพงึ ระวงั ในการศกึ ษาเพราะในศาสตร์บางแขนงดงั กลา่ วยอ่ มต้องมสี ่งิ ท่ีขดั แย้ง กบั หลกั การอสิ ลามโดยตรง ดงั นนั้ การศกึ ษาศาสตร์ทงั้ 5 แขนงนีจ้ ะได้ผลตรงตามเจตนารมณ์ของ อสิ ลามมากน้อยเพียงใดกข็ นึ ้ อย่กู บั ความรู้ในวชิ าการอิสลามของผ้ศู กึ ษาวา่ มีมากน้อยเพียงใดด้วย เป็นเงาตามตวั และเมื่อนนั้ แหละท่ีปัญญาชนมสุ ลมิ จะทําการสลดั ความคดิ มืดบอดของตวั เองออก จากปลกั แหง่ ปัญญาเก่าแล้วกระโจนเข้าสคู่ าํ วา่ ปัญญาชนมสุ ลิมที่รบั ใช้อสิ ลามอยา่ งแท้จริงได้ ปฏิเสธไมไ่ ด้เลยวา่ ในภาวะท่ีสงั คมมสุ ลิมทงั้ ไทยและเทศน์ต่างต้องประสบกบั การรุมเร้ า จากอุดมการณ์และมรสมุ วิชาการของเหล่าศตั รูอิสลามที่ม่งุ ร้ายหมายขวญั วาดทําลายอิสลาม อย่างเป็นระบบผา่ นกระบวนวธิ ีคดิ อย่างดีของศตั รูอยนู่ นั้ หนงั สอื ตําราอสิ ลามเอาเฉพาะท่ีปรากฏ อยใู่ นแผงหนงั สอื ของประเทศไทยกลบั ดาษดื่นไปด้วยงานวรรณกรรมอิสลามท่ีออ่ นด้อยทงั้ ในเชิง การวิเคราะห์,อดุ มการณ์และความเป็นวชิ าการ ดงั ที่บงั เกิดปรากฏการณ์ ‚สภาวะการขาดการโต้ กลบั ‛ (Non Rebuttal) ตอ่ ศตั รูอิสลามซ่ึง ‚อ้างตน‛ วา่ หลงผิดตีพิมพ์หนงั สือหม่ินเกียรติคณุ ของ ท่านศาสนทตู มฮุ มั มดั ศอ็ ลฯ เพ่ือตอกยํา้ ในทฤษฎี Muhammad’s Pedophilia ( ยุวกาม) อนั ถูก โฆษณาชวนเชื่อจากต่างประเทศ ในทางกลบั กนั ตําราอิสลามในบ้านเรากลบั ยังล้าหลงั ด้วยการ ตพี ิมพ์หนงั สืออตั ชีวประวตั ิท่านนบี ศอ็ ลฯ ,ในขณะท่ีการวพิ ากษ์ท่านศาสนทตู ได้ก่อสร้างทฤษฎีที่ อธิบายใหมอ่ ย่างมากมายในโลกตะวนั ตกหนงั สือในเชงิ นกั บรู พาคดีอิสลามฉบบั ภาษาไทยเพียงพง่ึ จะคลําหางฟาดฟันกบั พวกนกั บูรพาคดีโบราณอย่าง Sir William Moor และ มาโกลิอธุ ด้วยซํา้ ,

~ 12 ~ ในขณะที่ลทั ธิอบุ าทวก์ าลโี ลกอยา่ งรอฟิ เฎาะฮฺตพี ิมพ์หนงั สอื เชิง‛ชําเรา‛ ประวตั ิศาสตร์อิสลามใน นาม “ชําระประวตั ิศาสตร์อิสลามและโลกมสุ ลิม” ฝ่ ายซุนนะฮฺพ่ึงจะตีพิมพ์หนังสือประวตั ิ 4 คอ ลฟี ะฮฺในแบบพืน้ ฐานอย่เู ลย และท่ีเจ็บชํา้ ระกํากายใจท่ีสดุ กค็ ือสถิติที่ข้าฯได้สอบถามจากร้านค้า หนงั สอื อิสลามเกี่ยวกบั ประเภทหนงั สืออิสลามที่ขายดีท่ีสดุ ของร้านค้ากป็ รากฏวา่ หนงั สอื อสิ ลามที่ ขายดที ี่สดุ กลบั ไมพ่ ้นเทือกเถาเหลา่ กอจําพวกหนงั สอื รกั โรแมนตกิ แบบอสิ ลาม,รักชายหญิง,รักใน ชมรมมสุ ลิม,ซ่ึงได้ถูกตีพิมพ์ออกมาด้วยนํา้ พักนํา้ แรงของเยาวชนมสุ ลิมหลากหลายเล่มและ รูปแบบ ในขณะที่หนังสืออย่างเช่น ตฟั ซีรฟิ ซิลาลกุรอาน กลบั หาเยาวชนแค่หยิบมือซือ้ อ่านก็ ยากเยน็ แสนเขญ็ ปานงมเขม็ แม้กระทง่ั การจดั เสวนาถ้าเขา่ ข่ายหัวข้อเรื่องรักๆใคร่ๆห้องประชมุ ก็ จะล้นหลามไปด้วยผ้คู นปานปลาในมหาสมทุ ร น่ีหรือสง่ิ ท่ีผองวิญํชู นฝันใฝ่ ??! นี่หรือคอื มวลชาติ ผ้สู ืบทอดมรดกแห่งปวงศาสนทตู ในฐานะ ‚อลุ ามาอฺ‛ !!? นี่หรือกลมุ่ ชนที่ทา่ นซยั ยิดกฏุ ฏ๊บุ และผอง ปราชญ์ตา่ งหมายมนั่ ไว้วา่ จะเป็ นกําลงั พลในการปฏิวตั ิโลกส่อู ิสลาม ในเม่ือเป้ าหมายสงู สดุ ของ เยาวชนกลบั กลายมาเป็นเรื่องราวเข้าขา่ ย ‚ตอ่ หน้ามะพลบั ลบั หลงั สะโก‛ ไปเสียแทน!!!??!! ถ้าท่านสอบถามเยาวชนท่ีเกิดทนั ยุคสงั คมนิยม (The Socialist) เฟ่ื องฟูหรือแม้แตพ่ วก แอคติวิสต์หน้าใหมท่ ี่เคล่อื นไหวตามความคดิ นีท้ ่ีพอจะเหลอื รอดอย่ใู นประเทศไทยวา่ หนงั สืออะไร ท่ีขายดีและทรงอิทธิพลที่สดุ ในหมพู่ วกเขา เขาจะตอบวา่ ‚โฉมหนา้ ศกั ดินาไทย‛ ของคณุ จิตร ภมู ิ ศกั ดิ์ แต่ถ้าคณุ ถามเยาวชนมสุ ลิมวา่ หนังสืออะไรที่พวกเขาซือ้ อา่ นมากท่ีสดุ ในยุคแห่งการฟื น้ ฟู อิสลามที่ปวงมสุ ลมิ ต้องหลง่ั เลือดชโลมดนิ ถวายหวั ,กายใจเพ่ือปกปักพิทกั ษ์อิสลาม คําตอบก็คือ หนงั สอื เชิง ‚รกั ‛ ในมิติศาสนา ถ้าคณุ ถามเยาวชนนกั สงั คมนิยมถงึ หวั ข้อการบรรยายที่ผ้คู นเข้าฟัง มากท่ีสดุ พวกทา่ นจะได้คําตอบจากเขาวา่ หวั ข้อเก่ียวกบั การปฏิวตั ิ,การล้มศกั ดินา,การต่อส้ทู าง การเมอื งในชว่ ง 14-6 ตลุ าฯ,ทฤษฎมี าร์กซิสต์ ฯลฯ ถามวา่ ข้าฯรู้ได้อยา่ งไร ? นน่ั กเ็ พราะข้าฯเคยมี โอกาสคลกุ คลีตีโมงทางวิชาการกบั เยาวชนกลมุ่ นมี ้ าบ้างและเคยผา่ นงานเขียนวรรณกรรมทางการ เมอื งของพวกเขามาแล้ว แตเ่ ราละ่ เยาวชนมสุ ลมิ ฟังหวั ข้ออะไรมากท่ีสดุ ชนิดห้องประชุมผ้คู นถล่ม ทลายถ้ าไม่ใช่เร่ือง ‚ปัญหารักวยั รุ่น‛ !!? จึงไม่แปลกที่สังคมมุสลิมต้องประสบภาวะขาด คนทํางานศาสนาในเม่ือเป้ าหมายหรือความสมบรู ณ์แห่งดลุ ยภาพชีวิตในความเป็ นมสุ ลิมถูก กระพือฮือโหมวา่ จกั สมบรู ณ์ได้กต็ ้องผา่ นการ ‚แตง่ งาน‛ เท่านนั้ กิจกรรมที่เสริมสร้างการหาคแู่ ก่ เยาวชนจึงพร่ังพรูก้าวหน้าปานดอกเหด็ เม่อื หาคแู่ ตง่ งานกนั ได้เสร็จก็เร้นกายหายไปจากเวทีงาน ศาสนา แนน่ อนวา่ ข้าฯมไิ ด้ตาํ หนิกลมุ่ องค์กรทางศาสนาท่ีอาสาเข้ามาแก้ ปัญหาชายหญิงเพราะ พวกเขากําลงั ขจัดความเส่ือมโทรมในสงั คมแต่ข้าฯตําหนิเยาวชนมสุ ลิมที่ปากก็แสร้ งหลอกว่า อยากทํางานศาสนาแตก่ ็รังแตส่ ร้างปัญหาเรื่องหญิงๆชายๆให้เขาแก้ไขกนั ไมจ่ บสนิ ้ ช่วั นาตาปี ก็ยงั ไมเ่ หน็ คนเหลา่ นีห้ นั มาปกป้ องอิสลามจากเหลา่ ศตั รูเสียเลย ในขณะท่ีกิจกรรมเสริมสร้างความเป็น นกั กิจกรรมวิชาการเฉพาะด้าน (The Professional Activist) เพื่อรับมือกับภยั อบุ าทว์เยี่ยง ชีอะฮฺ

~ 13 ~ ,กุรอานนิยูน,พวกนิยมทฤษฎีวิวัฒนาการ (เช่นมุสลิมบางก๊กเชื่อวา่ มนุษย์มาจากลิงด้วยการ กําหนดของ อลั ลอฮฺ!!), พวกสงั คมวิทยาอิสลาม3และนักดาอีย์อีกหลายประเภทท่ีจะต้องก้าวมา ล้างบางความเสอ่ื มทรามของสงั คมกลบั หาไม่พบแม้นเศษหยิบมือ! ความสําคญั ในกระบวนการ สร้ างคนตรงนีก้ ลบั ได้รับการเมินเฉยจากองค์กรมุสลิมทงั้ หลายขณะเดียวกนั กบั ท่ีเราเองกลบั เรียกร้ องให้ฟื ้นฟูโลกมสุ ลิมเพ่ือแข็งขันกบั ยิว!!? แล้วแบบนีจ้ ะมีหน้าไปเทียบขนั้ กับพวกยิวได้ อย่างไรในขณะที่เราพึ่งจะสอน ‚คน‛ ให้ เป็ นแพทย์ ยิวเขาสอน ‚แพทย์‛ ให้เป็ น ‚แพทย์‛ ที่ เหนือกวา่ ‚คน‛ ไปแล้ว ด้วยเหตนุ ีเ้ องปรากฏการณ์ทางสงั คมท่ีเกิดปัญหาจึงมกั ไมไ่ ด้รับการแก้ไข เนื่องจากขาดบคุ คลากร เชน่ ปัญหาการขยายตวั ของลทั ธิชีอะฮฺในตอนใต้ของไทยทย่ี ากเกินกวา่ จะ ต้านทานไหวเพราะขาดบคุ ลากรด้านนี ้ ครัน้ จะให้ อ.ฟารีด เฟ็ นดี ้ รับเหมาปราบปรามชีอะฮฺคน เดียวทงั้ ประเทศก็ดจู ะเป็นความอบั ปางของสงั คมมสุ ลมิ อยา่ งนา่ อาดรู นี่ยังไม่นบั เรื่องสารพดั สาร เพปัญหาท่ีถาโถมใสส่ งั คมมสุ ลมิ และไร้การแก้ไขจากการถืออีโก้ของผ้ใู หญ่มสุ ลมิ และความบ้าคลงั่ ในระบบการทํางานท่ีถือพรรคถือพวกวา่ ฉนั เป็นอคิ วานเธอเป็นสะละฟี ย์ทงั้ หลาย เพราะฉะนนั้ ก้าวแรกที่ควร ‚ปลดแอก‛ เยาวชนก็คือการปลดปล่อยพวกเขาจากระบอบ การศกึ ษาอสิ ลามแบบครํ่าครึท่ีไมเ่ ป็นการคิดเชิงตรรกะ (Non Logical Thinking) หรือปลดปล่อย พวกเขาจาก ‚ปลกั แห่งปัญญาเก่า‛ (The Wallow of Outmoded Intellect) ซ่ึงการปฏิวตั ิทาง การศกึ ษาและความคิดที่ข้าฯเอย่ ไปนี ้มิได้หมายความวา่ ให้ละทิง้ แนวทางของเกา่ และดงั้ เดิมอยา่ ง แนวทางแห่งกลั ยาณชนชาวสะลฟั แต่ประการใด แต่หมายถึงการปฏิวตั ิ ‚วิสยั ทศั น์‛ ในการมอง ศาสนาโดยยึดรากเดิมแห่งแนวทางชาวสะลัฟเป็ นกรอบคิดวิธีจากนัน้ จึงค่อยเร่ิมกระบวนการ กระจายความคดิ ผา่ นงานเขยี น,สมั มนาบรรยายและการเรียนจนเป็ นผลให้การสอนอิสลามในเชิง อดุ มการณ์เกิดผลอยา่ งเป็นรูปธรรมที่สดุ ท่ีกลา่ วมาอย่างยืดเยือ้ ถึงกระบวนการสอนอิสลามเชิงอดุ มการณน์ ีก้ ็เพื่อที่จะปฐู านและชกั ลากเข้ามาส่ปู ัญหาในการศกึ ษาประวัติศาสตร์อิสลามของเรา ดงั ที่กล่าวไปแล้ววา่ การศึกษา ประวตั ิศาสตร์ของเราเป็นเพียงกระบวนการเลา่ เหตกุ ารณ์ในอดีตเพื่อให้ ‚ทราบ‛ เทา่ นนั้ มใิ ช่เพื่อให้ ‚คิด‛ หรือ ‚เคลื่อนไหว‛ พูดอีกอย่างก็คือเราศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามนอกจากจะขาด กระบวนการวิเคราะห์ในทางเหตผุ ลและตรรกะแล้ว เรายังขาดการศึกษาประวตั ิศาสตร์ในเชิง อุดมการณ์อีกด้วย การศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามในเชิงอุดมการณ์หมายถึงเราศึกษา ประวัติศาสตร์อิสลามผา่ นกระบวนการคิดวิเคราะห์หรือเป็ น ‚วิทยาศาสตร์‛ เพื่อหล่อหลอมให้ ประวตั ิศาสตร์อสิ ลามเป็นศาสตร์ท่ีผลกั ดนั ให้เกิดการจดั ระเบียบสงั คมหรือแม้กระทงั่ เปล่ียนแปลง 3 หมายถงึ พวกนกั วชิ าการกาเฟรตามมหาวิทยาลยั ทงั ้ หลายท่ีมกั จะสอนอิสลามอย่างเสียหายโดยอาศัยทฤษฎี ในทางสงั คมวทิ ยา

~ 14 ~ โลกก็ตาม ยกตัวอย่าง เราควรศึกษาถึงความสําเร็จในด้านการเมืองการปกครองตามระบอบ คอลฟี ะฮฺในสมยั ของท่านอมุ รั รอฎิฯ ว่าอะไรคือปัจจัยก่อร่างสร้างความสําเร็จด้วยการวิเคราะห์ ตามกระบวนการ ‚วิทยาศาสตร์‛ จากนนั้ จึงเป็นการศกึ ษาประวตั ิศาสตร์อิสลามช่วงดงั กลา่ วด้วย การสรรสร้างอดุ มการณ์ที่บทสรุปของมนั คือการจดั ระเบียบโลกอนั หมายถึงความเคลื่อนไหวทาง การเมืองเพ่ือสถาปนาระบอบคอลีฟะฮฺขึน้ มาใหม่!!และเราจะก้าวไปส่เู ป้ าหมายนนั้ อย่างเป็ น วทิ ยาศาสตร์อยา่ งไร4 ประวตั ศิ าสตร์กบั วิวรณ์ธรรมปฏิพากย์ (Dialectical and Historical Revelation) นอกจากการศึกษาประวตั ิศาสตร์อิสลามในเชิงอดุ มการณ์แล้วหากขาดซึ่งทฤษฎีทาง ความรู้ อุดมการณ์ท่ีได้เอ่ยไปก็มิอาจบงั เกิดขนึ ้ มาได้ สิ่งที่ข้าฯหมายขวญั และตงั้ ปณิธานท่ีจะ นําเสนอทฤษฎีหนงึ่ ในกาลอนาคตอยา่ งเป็นทางการ (อินชาอลั ลอฮฺ) ก็คือ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ ของมวลมนษุ ย์ในเชิงอิสลาม ซงึ่ ตรงนีม้ ไิ ด้หมายถงึ การศึกษาประวัติศาสตร์อสิ ลามเป็ นหลัก โปรดอยา่ ได้คลาดเคล่อื นความเข้าใจไป แตก่ ารศึกษาประวตั ิศาสตร์เชิงอิสลามหมายถึง ‚วิวรณ์ ธรรมปฏพิ ากย์‛, หรือการวิภาษประวตั ศิ าสตร์เชิงวิธีอิสลาม ซ่ึงสดุ แตจ่ ะเรียกขานกนั ตรงนีจ้ ะขอ อธิบายความหมายของมนั อย่างง่ายวา่ คาํ วา่ ‚ววิ รณ์‛ เราอาจจะให้ความหมายวา่ วะฮีย์ ซ่ึงก็คือ พระวจนะ,สาสน์แห่งอิสลามที่พระองค์อัลลอฮฺทรงประทานแก่ท่านนบี ส่วนคําว่า ‚ธรรม‛ (Dogma) กห็ มายถึงแก่นคําสอน,ส่วนคําว่า ‚ปฏิพากย์‛ อนั ใกล้เคียงกันกบั ‚ปฏิวาท‛ หมายถึง การวิภาษ,โต้แย้ง,หกั ล้าง ดงั นนั้ เมื่อรวมเป็ น ‚วิวรณ์ธรรมปฏิพากย์‛ (Dialectical and Historical Revelation) จึงหมายถึง การวิภาษด้วยคาํ สอนแหง่ ววิ รณ์ของพระผ้เู ป็นเจ้า ในทางทฤษฎหี มายถึง การศกึ ษาประวตั ิศาสตร์ด้วยวิธีการโต้แย้งตอ่ ทฤษฎีเก่าของพวกลทั ธิปฏิเสธพระเจ้า (Atheism) โดยใช้คําสอนที่ถูกวะฮีย์จากพระเจ้าเป็ นกรอบและแก่นในการศึกษาประวตั ิศาสตร์ พูดง่ายๆ หมายถึง การใช้แนวคดิ แบบอสิ ลามท่ีมีทงั้ จิตนิยมและวตั ถนุ ิยมควบคกู่ นั ไปเป็ นกรอบและแก่นใน การวิภาษปรากฏการณ์ของสังคมมนุษย์ในประวตั ิศาสตร์ จากข้อสรุปนีก้ รอบในการวิภาษ ประวตั ศิ าสตร์ของอิสลามจึงกว้างขวางแตจ่ ะมีรากเหง้าของการวิภาษคือเรื่องของการศรัทธา(อี มาน)และการปฏิเสธศรัทธา(กฟุ รฺ) ตอ่ พระเจ้าเป็ นแกนหลกั ของเรื่องในการอธิบายประวตั ิศาสตร์ เพราะการศรัทธาและการปฏิเสธเป็ นหน่วยท่ีสําคญั ดจุ รากแก้วในทางกฎหมายอิสลาม ในเมื่อ 4 ดงั ที่ขบวนการเคลอื่ นไหวของพ่นี ้องมสุ ลมิ ในยโุ รปภายใต้นาม ‚ฮิสบตุ ตะฮรฺ ีร‛ ได้ทาํ เอกสารมากมายเพื่อศกึ ษา เปรียบเทียบระบอบการปกครองแบบคอลีฟะฮฺและระบอบประชาธิปไตย(ซึ่งเป็ นการศึกษาอย่างเป็ น วิทยาศาสตร์) ผลจากการศึกษาประวัติศาสตร์อิสลามในเชิงอดุ มการณ์นีส้ ่งผลให้กลมุ่ ดงั กล่าวรวมตัวกนั เพ่ือ เคล่อื นไหวทางการเมืองในการสถาปนาระบอบคอลฟี ะฮฺขนึ ้ มาใหม่อีกครัง้ เราขอดอุ าอ์ต่อพระองค์อัลลอฮฺได้ โปรดสนบั สนนุ กลมุ่ นดี ้ ้วยเทอญ

~ 15 ~ รัฐศาสตร์ยังมีการศึกษาที่อาศัยกรอบคิดแตกต่างกันไปในแต่ละสํานัก เช่น พวกหน่ึงศึกษา รัฐศาสตร์ในเชิงพฤติกรรมศาสตร์ อีกพวกหนึ่งศึกษารัฐศาสตร์ในเชิงจิตวิทยา พวกหนึ่งในเชิง สงั คมวิทยา แล้วไฉนเลา่ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ของมนษุ ย์ทงั้ ท่ีเก่ียวข้องกบั มสุ ลมิ โดยตรงหรือไม่ ก็ตามจะไม่นําเอาการวิภาษประวัติศาสตร์แบบอิสลามมาเป็ นกรอบบ้างเล่า!!? ถ้าการศึกษา ประวตั ศิ าสตร์ไทยครงั้ หน่ึงเคยถกู ศึกษาผ่านสกุลดํารงราชานุภาพในเชิงชาตินิยมคติศกั ดินา ถ้า การศกึ ษาประวตั ิศาสตร์ไทยครงั้ หนึง่ เคยศกึ ษาผา่ นการวิเคราะห์ในเชิงสงั คมนิยมหรือลทั ธิมาร์ก (Marxism) โดยคณุ จิตร ภมู ิศกั ด์ิ แล้วไฉนกนั เลา่ ในวนั นีเ้ มอ่ื กระแสอิสลามานวุ ตั รกําลงั ขบั เคลื่อน เราจะศกึ ษาประวตั ิศาสตร์ไทยและสากลที่ไมใ่ ช่เพียงแค่ประวตั ิศาสตร์ของมสุ ลิมอย่างเดียวด้วย กระบวนวิธีทางประวัติศาสตร์ดังที่กล่าวไปบ้ างไม่ได้ !!? ถ้ าการอธิบายเหตุการณ์ปฏิวัติ ประชาธิปไตยไทยปี พ.ศ. 2475 จะต้องสรุปตามสํานกั คิดชาตินิยมประวตั ิศาสตร์สายศกั ดินาว่า เป็นเพราะคณะราษฎรชิงสกุ กอ่ นหามไมเ่ คารพภกั ดีใคร่เป็ นใหญ่ในแผ่นดินแทนพระมหากษัตริย์ แล้วไซร้ ถ้าการอธิบายปรากฏการณ์ปี 2475 วา่ หมายถึงการตอ่ ส้ทู างชนชนั้ ระหว่างชนชนั้ ศกั ดินา กบั ชนชนั้ กฎมุ พี(ชนชนั้ กลาง)ท่ีเติบโตขนึ ้ จากการพฒั นาของลทั ธิทนุ นิยมและระบอบอตุ สาหกรรม ตามสํานักมาร์กซิสต์แล้วไซร้ ข้าฯในฐานะมสุ ลิมผ้ตู ่ําต้อยคนหน่ึงก็จะขอสรุปความตาม ‚วิวรณ์ ธรรมปฏพิ ากย์‛ วา่ การการปฏวิ ตั คิ รัง้ นีค้ ือการตอ่ ส้แู ละเข้าแย่งชิงพืน้ ที่อํานาจทางโลกของ ‚ลทั ธิ ปฏเิ สธพระเจ้าใหม‛่ (Neo-Atheism) โดยคณะราษฎร( ในนามของประชาธิปไตย,ทนุ นิยม,ชนชนั้ กลางซึ่งทัง้ หมดมีฐานมาจากปรัชญา Secularism ท่ีปฏิเสธพระเจ้ าของยุโรปยุคหลังปฏิวัติ วิทยาศาสตร์ทงั้ สนิ ้ ) แทนท่ี ‚ลทั ธิปฏเิ สธพระเจ้าเดิม‛ (Classical Atheism) ของชนชนั้ ศกั ดินาไทย (ที่มาในนามของระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชย์ซ่ึงยกกษัตริย์เป็ นเทวะราชาหรือก่ึงเทพเจ้าก่ึง กษัตริย์) เหล่านีค้ ือการวิเคราะห์ประวตั ิศาสตร์ตามกรอบของ ‚วิวรณ์ธรรมปฏิพากย์‛ หรือการ วภิ าษประวตั ศิ าสตร์ในเชิงอสิ ลามที่มีแกนเร่ือง (Theme) ของการวิเคราะห์ประวตั ิศาสตร์อย่ตู รงท่ี การศรัทธาและการปฏิเสธพระเจ้ าเป็ นหลัก ดังนัน้ หาก คาร์ล มาร์ก ในฐานะบิดาแห่งลทั ธิ คอมมิวนิสต์ จะสรุปใน The Communist Manifesto ของเขาวา่ ประวัติศาสตร์ของมวลสงั คม มนษุ ย์คือประวตั ศิ าสตร์ของการตอ่ ส้ทู างชนชนั้ เชน่ เสรีชนกับทาส ผ้ถู กู กดขี่กับผ้กู ดขี่ ผ้ปู กครอง กบั ประชาชนโดยมีวตั ถ(ุ เศรษฐกิจ)เป็นปัจจยั สําคญั ในการต่อสู้ นอกจากข้าฯจะค้านแล้วข้าฯจะ ขอยืนยันว่าการต่อส้ขู องมวลมนุษย์ในตลอดประวตั ิศาสตร์ท่ีผ่านมานัน้ คือการต่อส้ทู ่ีเกิดขึน้ ระหวา่ ง ‚ระบอบอตั ลกั ษณ์‛ (Identity System) ของในแตล่ ะลทั ธิแต่ละกลมุ่ ตา่ งๆเป็ นหลกั ทงั้ สิน้ ระบอบอตั ลกั ษณ์หมายถงึ ระบอบหนึ่งใดก็ตามท่ีถกู หลอ่ หลอมขนึ ้ จนเป็ นโครงสร้างชดั เจนและมี เอกลกั ษณ์ท่ีบ่งบอกถงึ ตวั ตนเฉพาะของมนั ตลอดจนมีความแตกตา่ งจากสงิ่ อื่น โดยพืน้ ฐานแล้วสงิ่ ท่ีเราเรียกวา่ ระบอบอตั ลกั ษณ์ จะมีองค์ประกอบ 2 ประการคือ 1. ความเช่ือถือศรัทธาต่อสิ่งหน่ึง สิ่งใดอนั เป็ นนัยยะทางนามธรรมหรือจิตนิยม 2. วตั ถุ อนั หมายถึงผลประโยชน์ที่ระบอบนัน้ ๆ

~ 16 ~ ครอบงําอยู่บนโลกนีซ้ ึ่งอาจรวมถึง ระบอบเศรษฐกิจ,ระบบการเมือง,ชนชนั้ ฐานันดรทางสงั คม ,ประเทศชาติ เป็นต้น องคป์ ระกอบทงั้ 2 นีจ้ ะกระทําการณ์เป็ นปฏิกิริยาร่วมต่อกนั จนพัฒนาไปสู่ การสนบั สนนุ คาํ ้ ชกู นั และกนั และหลอ่ หลอมขนึ ้ เป็น “ระบอบอตั ลกั ษณ์” ในแบบของตนขนึ ้ มา เมื่อ เป็นเชน่ นี ้การท่ีโลกอนั กว้างใหญ่ไพศาลตา่ งมคี วามคดิ ความเช่ือและวตั ถแุ ตกตา่ งกนั ไปตามแตล่ ะ บริบทของพืน้ ที่ ระบอบอตั ลกั ษณ์ในแบบตา่ งๆกจ็ ะถกู อบุ ัติขนึ ้ มาจากองค์ประกอบทงั้ สองอย่างนี ้ และเกิดการขดั แย้งตอ่ ส้รู ะหวา่ งระบอบอตั ลกั ษณ์ตา่ งๆขนึ ้ เพ่ือเอาชนะตอ่ กัน เม่ือเรามองด้วยใจ เป็ นธรรมแล้วเราจะพบว่าในประวตั ิศาสตร์ของมนษุ ย์นนั้ การต่อส้ขู ดั แย้งกนั เป็ นสิ่งท่ีเกิดขนึ ้ มา ตลอดเวลา และการขดั แย้งครงั้ สาํ คญั ๆของโลกที่เป็ นจดุ เปล่ียนทางประวตั ิศาสตร์ก็ล้วนแล้วเป็ น ความขดั แย้งทางระบอบอตั ลกั ษณ์กนั เองทงั้ สนิ ้ ในสมยั สงครามเยน็ ส่ิงท่ีถกู เรียกวา่ ประชาธิปไตย ประกอบไปด้วย ความเช่ือศรทั ธาอย่างแรงกล้าของสมาชิกในระบอบนีว้ า่ มนั คือระบอบอนั สมบรู ณ์ กอปรไปกบั วตั ถุที่ระบอบนีไ้ ด้ครอบงําไว้ไมว่ ่าจะเป็ นระบอบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม,การค้าเสรี, โครงสร้างการปกครองแบบรฐั สภาและประเทศชาติทงั้ ประเทศแมอ่ ย่างสหรัฐอเมริกาและพลพรรค ของมนั ในขณะที่สิ่งท่ีถกู เรียกวา่ คอมมิวนิสต์ตา่ งก็ประกอบไปด้วยความเชื่อศรัทธามนั่ ในลทั ธิ มาร์กอยา่ งแรงกล้า ดงั ท่ีปรัชญามาร์กซิสม์ได้ถูกศรัทธาโดยพวกเขาวา่ เป็ นดอกผลสงู สดุ แห่งการ พฒั นาของความคิดปรัชญาและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของมนษุ ยชาติ5และวตั ถุในลัทธินีค้ ือ ระบอบเศรษฐกิจแบบสงั คมนิยมและรัฐบาลกรรมาชีพ การขดั แย้งตอ่ สู้ในสงครามเย็นกวา่ คร่ึง ศตวรรษจึงเป็นการตอ่ ส้ผู า่ นการขดั แย้งของระบอบอตั ลกั ษณ์ท่ีเรียกวา่ ประชาธิปไตยฝ่ ายหน่ึงและ คอมมวิ นิสต์ฝ่ ายหน่ึง จากนนั้ เมอ่ื ฝ่ ายคอมมวิ นิสต์พ่ายแพ้แล้วประวตั ิศาสตร์โลกก็เปล่ียนไปเข้าสู่ ยุคโลกาภิวัฒน์ผ่านการต่อส้ทู ัง้ สิน้ ข้าฯจึงไม่เช่ือตามท่ีคาร์ล มาร์ก ได้ตัง้ ทฤษฎีไว้ว่าวัตถุ (เศรษฐกิจและระบบการเมือง)เพียงประการเดียวคือตัวแปรสําคญั ที่กําหนดความเปล่ียนทาง ประวตั ิศาสตร์ เพราะหากชาวคอมมิวนิสต์ปราศจากซึ่งความเชื่อในลทั ธิมาร์ก,หากพวกเขา ปราศจากซึง่ ความศรทั ธาในวตั ถนุ ิยมวิภาษวธิ ี(ทฤษฎีของหนง่ึ ของพวกเขา)แล้ว สงครามเย็นก็ไม่ อาจเกิดขนึ ้ เพราะเศรษฐกิจเป็นปัจจยั สาํ คญั เพียงอย่างเดียว การมองวา่ มนุษย์ขดั แย้งทางชนชนั้ เพราะความสมั พนั ธ์ทางเศรษฐกิจ(เช่นนายทนุ กบั กรรมกร)จึงเป็ นการมองท่ีหยาบกร้านเกินไปใน การพิจารณาโลกนี ้ส่ิงท่ีเราพิจารณากค็ ือความเช่ือได้เข้าไปเกือ้ กลู การมีอย่ขู องวตั ถจุ นกลายเป็ น ระบอบอตั ลกั ษณ์หนงึ่ ๆขนึ ้ มาในสงั คม ดงั นนั้ ในสงั คมยคุ อดีตความเช่ือเร่ืองผีสางก็คํา้ จนุ การมีอยู่ ของระบอบเศรษฐกิจแบบเกษตรกรรม ดงั ที่เราจะพบวา่ คนป่ าเถ่ือนในยุคนนั้ ได้กราบไหว้ขอต่อ 5 ดู อารัมภบท ใน บญุ ศกั ด์ิ แสงระว.ี โลกทศั น์...ปรชั ญาวตั ถนุ ิยมวิภาษ. และ สพุ จน์ ด่านตระกลู . คอมมิวนิสต์ สอนอะไร?. ซง่ึ ได้กลา่ ววา่ สงั คมคอมมวิ นสิ ต์คอื ทฝี่ ันใฝ่ ของคนยากจนเชน่ เดียวกบั สงั คมอิมามมะฮฺดีเป็ นที่ฝันใฝ่ ของชาวมสุ ลมิ คํากลา่ วของเขาสะท้อนภาพว่าลทั ธิมาร์กมิได้มีองค์ประกอบทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวแต่มี ศรัทธาและความเช่อื ท่แี รงกล้า(อากีดะฮฺ)เชน่ เดียวกบั ที่มสุ ลมิ ศรัทธาในการมาของท่านมะฮฺดี

~ 17 ~ เทวดาของพวกเขาให้สง่ นํา้ ฝนลงมาเพ่ือรักษาการเกษตรกรรมอนั เป็ นระบอบเศรษฐกิจของพวก เขา ในสงั คมทาส คริสต์ศาสนาเองก็ได้คํา้ จุนการมีอย่ขู องทาสดงั จะได้วิพากษ์ ในรายละเอียด ตอ่ ไป ในสงั คมศกั ดนิ าทงั้ คริสตศ์ าสนาและพทุ ธศาสนากค็ ํา้ จนุ การมีอย่ขู องระบบเศรษฐกิจเช่นนี ้ ตรงท่ีทงั้ สองศาสนาต่างไม่ป้ องกันหรือแก้ปัญหาการขดู รีดของระบอบศกั ดินาทงั้ สถาบันทาง ศาสนาของทงั้ สองต่างก็รับศกั ดินาจากแรงงานมนุษย์ทงั้ สิน้ ข้าฯจึงมองวา่ การท่ีทงั้ เฮเกลส์และ มาร์กมวั ถกเถียงกนั วา่ วตั ถกุ ําหนดจิตหรือจิตกําหนดวตั ถุก่อนนนั้ คือสิ่งที่ไร้สาระ เพราะโดยหลกั แล้วทัง้ จิต(ความเชื่อศรัทธา)และวตั ถุต่างก็ไม่มีศกั ยภาพในการดําเนินตัวมันเองได้เลยหาก ปราศจากฝ่ ายตรงข้ามเกือ้ กลู ตอ่ กนั อสิ ลามค้นพบมาอยา่ งยาวนานก่อนมาร์กด้วยซํา้ แล้วว่าวตั ถุ ในบางครงั้ กเ็ ป็นบอ่ เกิดท่ีกําหนดความเช่ือและศาสนาของผ้คู น ดงั ท่ีอลั กรุ อานทรงดาํ รัสวา่ หลกั คํา สอนทางศาสนาของคนบางจําพวกขนึ ้ อยกู่ บั เมด็ เงินหรือเศรษฐกิจของพวกเขา (2:79) แตก่ ระนนั้ ก็ ตามอสิ ลามกเ็ ป็นเพียงระบอบอตั ลกั ษณ์เดียวที่แตกตา่ งจากศาสนาเหล่านี ้ หากชาวมาร์กซิสต์จะ เชื่อว่าอิสลามและพระเจ้าเป็ นผลมาจากการมีอย่ขู องระบอบเศรษฐกิจในสมยั นนั้ ข้อพิสจู น์ของ ทฤษฎีนีอ้ ย่ทู ี่ไหน ? ถ้าอิสลามเป็ นผลมาจากพลงั ทางเศรษฐกิจหรือวตั ถุ เหตุใดในการอธิบาย ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอิสลามจงึ ไมเ่ ร่ืองไสยศาสตร์เข้ามาไมม่ เี ร่ืองโลกแบนแบบคริสต์ศาสนา แล้วการห้ามดอกเบีย้ และการห้ามเช่าที่ดินแบบศักดินาตามแก่นคําสอนของอิสลามเล่าได้ถูก เศรษฐกิจในยคุ นนั้ สร้างขนึ ้ มาได้อย่างไรทงั้ ที่ดอกเบีย้ และการเช่าท่ีดินก็มีอย่ใู นระบอบความเชื่อ อ่ืนๆขณะนนั้ ? ถ้าอิสลามกอ่ ตวั ขนึ ้ จากการกําหนดของวตั ถแุ ล้วกระไรกนั เลา่ ที่อิสลามได้มีบญั ญัติ เรื่องซะกาตเพ่ือทําลายการกระจุกตวั ทางเศรษฐกิจของพวกผ้มู ง่ั คงั่ ทงั้ ท่ีบัญญัติเหล่านีก้ ลบั ไม่ ปรากฎในศาสนาอน่ื เลย ถ้าวตั ถกุ ําหนดให้อสิ ลามเกิดขนึ ้ แล้วกระไรกนั เลา่ ท่ีอิสลามกลบั มงุ่ ยกเลกิ การมอี ยขู่ องระบอบทาสทงั้ ท่ีขณะนนั้ ทาสคอื แหลง่ เศรษฐกิจสาํ คญั ของสงั คมอารเบียและเราก็ไม่ พบนโยบายเลิกทาสในศาสนาอน่ื ๆแบบอสิ ลามเลย??? ทิศทางการกําหนดของอํานาจแห่งวตั ถุมี ความเป็นไปได้แคไ่ หนกนั ท่ีจะสร้างระบอบแบบอิสลามขนึ ้ มาให้เป็ นเช่นนี?้ ? สจั ธรรมในอิสลาม และการมีอยขู่ องพระเจ้ามนั ย่ิงใหญ่มากกวา่ ท่ีวตั ถจุ ะเข้ามาแทรกแซงได้ วตั ถุนิยมเองตา่ งหากท่ีไม่ สามารถให้คําอธิบายถึงการกําเนิดของจักรวาลและการท้าทายอนั มหศั จรรย์ของอลั กรุ อาน วตั ถุ นิยมเองต่างหากท่ีบ๊องตืน้ เช่ือไปวา่ วัตถุในจักรวาลทงั้ หมดนีล้ ้วนเคล่ือนไหวไปตามกฎเกณฑ์ท่ี แมน่ ยําของมนั แตก่ ็เชื่อไปเชน่ เดียวกนั วา่ กฎเกณฑ์เหลา่ นีไ้ มม่ ผี ้กู ําหนดให้แก่มนั มนั มีมาเองในตวั วตั ถทุ งั้ ที่วตั ถทุ งั้ หมดนีไ้ มใ่ ช่ “สมองอนั ชาญฉลาด” ที่จะเคลื่อนไหวไปตามเจตนารมณ์เสรีของมนั ได้ ทงั้ ท่ีประสบการณ์ของมนษุ ย์ยืนยนั วา่ เมอื่ มีกฎเกณฑ์ก็ต้องมผี ้วู างกฎ เมื่อวตั ถดุ าํ เนินไปอย่างมี ระเบียบ วตั ถุที่ไมม่ ีสมองและความรู้สึกย่อมไมอ่ าจดําเนินไปได้นอกจากต้องมีผ้คู วบคมุ และ ท้ายท่ีสดุ สง่ิ ที่ทฤษฎีวตั ถนุ ิยมของพวกมาร์กซิสม์ทําได้ในการอธิบายถึงจดุ กําเนิดของสสารวตั ถุทงั้ มวลในเอกภพนีก้ ็คือการหยิบทฤษฎีวิวฒั นาการซ่ึงกําลังจะล่มสลายไปแล้วในปัจจุบนั กาลมา

~ 18 ~ สนบั สนนุ ทศั นะของพวกตนเท่านนั้ 6 แตก่ ารเจริญเติบโตขนึ ้ มากของวิทยาศาสตร์ได้เข้ามาทําลาย ความเข้าใจผดิ ๆของนกั ปรัชญาวตั ถนุ ิยมเหลา่ นี ้พระเจ้าซึ่งเคยถกู มองอย่างหยามเกียรติจากพวก ทรยศเหล่านีว้ ่าเป็ นเพียงผลิตผลแห่งความงมงายของการเป็ นสมุฏฐานแห่งวตั ถุ(วตั ถุสร้ าง จินตนาการแกม่ นษุ ย์เร่ืองพระเจ้าขนึ ้ มา)กาํ ลงั สง่ั สอนพวกเขาถงึ บทเรียนอนั ล้มเหลวในการอธิบาย การกําเนิดชีวิตและจักรวาลที่ครอบงํายุโรปมาอย่างยาวนาน วิทยาศาสตร์จึงมิใช่อ่ืนใดเลย นอกจากเป็นเพียงแคก่ ระบวนการเรียนรู้วา่ พระเจ้าทํางานโดยกฎต่างๆท่ีพระองค์ได้สร้างขนึ ้ ไว้ใน จกั รวาลนีอ้ ยา่ งไร7 อิสลามจงึ มไิ ด้ถกู กําหนดขนึ ้ จากวตั ถหุ รือประโยชน์ทางเศรษฐกิจ พระเจ้าอลั ลอฮฺตะอาลา ตา่ งหากที่เป็นเบือ้ งหลงั ของอิสลามทงั้ ระบอบ แม้นอิสลามจะประกอบไปด้วยความเชื่อ(จิต)และ วตั ถใุ นตวั เองจนเป็นระบอบอตั ลกั ษณ์ในนามอิสลามขนึ ้ มา แต่วตั ถุในอิสลามล้วนเป็ นผลมาจาก การกําหนดของพระเจ้า วตั ถุในอิสลามอย่ภู ายใต้การควบคมุ ของศรัทธาในพระเจ้าเพราะฉะนนั้ อสิ ลามจึงเป็นศาสนาเดียวที่ห้ามการรับดอกเบีย้ ทงั้ จากมสุ ลมิ กนั เองและจากผ้อู ่ืนซึ่งศาสนาอื่นไม่ มีเช่นนี ้ และปัญหาของวัตถ(ุ เศรษฐกิจ)ในยุคปัจจุบนั เช่น ประกันชีวิต,กลไกตลาด,การกักตนุ สนิ ค้า,การผกู ขาดการค้า,ระบอบการค้าแบบธรุ กิจเครือขา่ ย ฯลฯ ปัญหาร่วมสมยั ทงั้ หมดนีเ้ ราจะ พบวา่ มีเพียงแคอ่ สิ ลามเท่านนั้ ที่สามารถเข้ามาตอบคาํ ถามหรือควบคมุ ความเป็นไปของเศรษฐกิจ เหลา่ นีไ้ ด้ ระบอบเศรษฐกิจทงั้ หมดเหลา่ นีล้ ้วนอย่ภู ายใต้การกําหนดของหลกั ศรัทธาในพระเจ้าของ มวลมสุ ลิมตอ่ ส่งิ ที่พระองคไ์ ด้ทรงห้ามไว้ ทา่ นจะไมพ่ บเลยวา่ คริสต์และพทุ ธศาสนาได้พูดอย่างไร ตอ่ ระบบธุรกิจเครือข่าย,และท่านจะไม่พบเลยว่าทงั้ พุทธ,คริสต์,ยิวและพราหมณ์ได้มีระบอบ เศรษฐกิจภายใต้การกําหนดทางเทววิทยาอย่างไร ได้คดั ค้านตอ่ ทนุ นิยมอย่างไร เหมือนที่อิสลามมี เศรษฐกิจและธนาคารอสิ ลาม ศรทั ธาในอิสลามจึงเป็นตวั กําหนดตอ่ ทิศทางของเศรษฐกิจ พิจารณาจากที่ร่ายมาทงั้ หมดแล้ว ‚ระบอบอตั ลกั ษณ์‛ ที่มีอยนู่ นั้ แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท เท่านนั้ คอื 1. ระบอบอตั ลกั ษณ์ในแบบเอกนิยม (เตาฮีด) ซง่ึ มเี พียงแคอ่ ิสลามเท่านนั้ ท่ีอยใู่ นระบอบนี ้ 2. ระบอบอตั ลกั ษณ์ในแบบภาคีนิยม (ชิริก) ซง่ึ สามารถแยกออกเป็นสว่ นยอ่ ยสองสว่ นคือ ภาคีนิยมเชิงเทววิทยา เช่น ยิว,คริสต์และศาสนาที่เช่ือในเทพเจ้า และ ภาคีนิยมเชิงวตั ถุ นนั่ คือ ระบอบท่ีปฏิเสธพระเจ้าทงั้ หมดในยคุ ปัจจบุ นั และอธิบายทกุ อยา่ งด้วยปรัชญาของชาร์ล ดาวิน ไม่ ศรทั ธาตอ่ การมีอย่ขู องส่ิงที่เหนือประสาทสมั ผสั ทงั้ 5 หรือส่ิงพ้นญาณวิสยั อย่างไรก็ตามข้าฯเห็น 6 บญุ ศกั ด์ิ แสงระว.ี โลกทศั น์...ปรัชญาวัตถนุ ิยมวิภาษ. หน้า 49; สพุ จน์ ด่านตระกลู . คอมมิวนิสต์สอนอะไร?. หน้า 23. 7 ท่านผ้อู า่ นสามารถศกึ ษาเพม่ิ เตมิ ถงึ การวพิ าก์ปรชั ญาทปี่ ฏิเสธพระเจ้าและความหลงผิดของวิทยาศาสตร์ที่คิด จะปฏิเสธการมีอย่ขู องพระองค์ได้ใน เมาลานา วาฮิดดุ ดนี คาน. ใครว่าพระเจ้าไม่มี. หน้า 11-68.

~ 19 ~ พ้องกบั ข้อวิเคราะห์ของทา่ นฮารูน ยะฮฺยาวา่ ระบอบประเภทหลงั นีเ้ป็นมชุ ริกแนวใหมท่ ไ่ี มไ่ ด้ปฏเิ สธ พระเจ้าโดยแก่นแท้เลยหากแต่ละทิง้ พระเจ้าท่ีแท้จริงแล้วแสวงหาพระเจ้าจอมปลอมอื่นๆมา อธิบายสรรพส่ิงในจกั รวาล พระเจ้าของพวกเขาจงึ มนี ามแตกต่างกันไปเช่น “ธรรมชาติ”, “สสาร”, “อะตอม”, “ความบงั เอิญ”, “การววิ ฒั นาการ” เป็นต้น8 หากพดู ในศพั ท์เทคนิคของอสิ ลามแล้วระบอบอตั ลกั ษณ์อ่นื ไปจากอสิ ลามนนั้ ถกู พิจารณา วา่ เป็น ‚ฏอฆตู ‛ ฉะนนั้ ในการตอ่ ส้ขู องระบอบอตั ลกั ษณ์ตา่ งๆท่ีเกิดขนึ ้ บนหน้าประวตั ิศาสตร์ย่อม หนีไมพ่ ้นการตอ่ ส้ใู นสองรูปแบบ คอื 1. การตอ่ ส้รู ะหวา่ งระบอบอตั ลกั ษณ์ภาคนี ิยมกนั เอง 2. การตอ่ ส้รู ะหวา่ งระบอบอตั ลกั ษณ์เอกนยิ มกบั ภาคีนยิ ม การตอ่ ส้รู ะหว่างระบอบอตั ลกั ษณ์แบบภาคีนิยมกันเองนนั้ อย่ใู นเง่ือนไขของกาลเวลาท่ี ระบอบอัตลักษณ์แบบภาคีนิยมได้ก่อตวั และพัฒนาไปในรูปแบบต่างๆจนเกิดการขดั แย้งกัน กลายเป็นการตอ่ ส้รู ะหวา่ งระบอบอตั ลกั ษณ์แบบภาคีนิยมในแบบเก่าและแบบใหม่เป็ นรากของ เหตุการณ์ทงั้ สิน้ เช่น กรีก(ลัทธิเพเกิน)รบกบั เปอร์เซีย(ลัทธิโซโรแอสเตอร์),คอมมิวนิสต์ส้กู ับ ประชาธิปไตย,สงครามโลกครงั้ ท่ี ๑ และ ๒ (ลทั ธิฟาสซิสต์,ชาตินิยม,บูชิโด) ,การปราบปรามพวก ลทั ธิเพเกินสโ์ ดยคริสตจักร, ประชาธิปไตยตอ่ ส้กู ับสงั คมนิยมและสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในไทย ฯลฯทงั้ หมดนีค้ อื การฟาดฟันกนั ของระบอบอตั ลกั ษณ์แบบภาคนี ิยมในแบบเกา่ และใหมก่ นั เอง ในอีกแง่หน่ึงการต่อส้ขู องมนษุ ย์มนั ก็คือการตอ่ ส้รู ะหว่างระบอบอตั ลกั ษณ์เอกนิยมกับ ภาคีนิยม เชน่ ท่านนบีมฮุ มั มดั กบั พวกมชุ ริก,สงครามระหวา่ งอาณาจกั รอิสลามในยคุ แรกกบั พวก โรมนั และเปอร์เซีย,สงครามครูเสดระหวา่ งคริสต์กับอิสลาม,สงครามอฟั กานิสถานกับโซเวียต, สงครามอฟั กานิสถานกบั อเมริกา,สงครามตอ่ ต้านการกอ่ การร้ายของอเมริกากับบรรดามญุ าฮิดีน หากเราจะยึดถือคําอธิบายของมาร์กท่ีว่ามนุษยชาติต่อส้กู ันในทางชนชัน้ เท่านัน้ โดยมีวตั ถุ (เศรษฐกิจ)เป็นเหตุ เราจะไมส่ ามารถทําการอธิบายถึงประวตั ิศาสตร์ของการเคล่ือนไหวท่ีเกิดขนึ ้ ในสมยั ของทา่ นนบีได้เลย เพราะกลมุ่ ชนท่ีเข้าร่วมกบั ท่านนบีนนั้ ประมวลไปด้วยชนทกุ ชนั้ ในสงั คม ดงั ท่ีเราสามารถแทนคา่ ได้วา่ ทา่ นหญิงคอดียะฮฺคอื ตวั แทนของชนชนั้ นายทนุ ,ท่านบิลาลคือตวั แทน ของชนชนั้ ทาส ทา่ นอบบู กั รและอมุ รั คือตวั แทนของชนชนั้ นําที่มง่ั คงั่ ในสังคม(Elite) ขณะที่ท่านอะ ลแี ละฮมั ซะฮฺคือตวั แทนของกลมุ่ อภิสิทธ์ิชนในสงั คมอารเบียเพราะท่านคือตระกลู กเุ รชบนีฮาชิมที่ ถกู นบั ถือด้วยเหตผุ ลทางสายเลือดแห่งตระกลู ศาสดาอนั พิสทุ ธิ์ ส่วนท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺนัน้ ถือได้ วา่ ทา่ นเป็นตวั แทนของคนยากคนจนในสงั คมเป็นตวั แทนของกลมุ่ คนที่มงุ่ แสวงหาความศรัทธาใน 8 ทา่ นผ้อู า่ นทส่ี นใจสามารถหาอ่านเพิม่ เตมิ ได้ในหนงั สอื พระเจ้ามจี ริงหรือ : ความจริงที่มิอาจปฏิเสธ. แปลโดย อบลุ ลยั ษฺ. ในบทท่ี 2

~ 20 ~ จิตใจ ขณะที่ท่านอษุ มานเองก็เป็ นตวั แทนของชนชนั้ สงู ที่มีอิทธิพลในสงั คมเพราะท่านเป็ นเครือ ญาตกิ บั ตระกลู บนีอมุ ยั ยะฮฺท่ีขนึ ้ ชือ่ ในความมง่ั คงั่ ทางเศรษฐกิจ และหากจะนบั รวมวะรอเกาะอฺอิบ นเุ นาฟัลบาทหลวงคริสต์เตียนซ่ึงได้ให้สญั ญากับท่านนบีว่าจะช่วยต่อส้กู ับท่านนบีเพราะเขา ศรัทธาวา่ ทา่ นนบีเป็นรอซลู ของพระเจ้าแล้ว ชายผ้นู ีก้ ็จะเป็นตวั แทนของชนชนั้ นกั บวชในสงั คมอีก ด้วย คนเหลา่ นีซ้ ง่ึ มาจากหลากหลายชนชนั้ ได้เข้าร่วมกันเพ่ือสนบั สนนุ ภารกิจของท่านนบี ศ็อลฯ อนั เป็นภารกิจที่ไมส่ ามารถระบวุ า่ เป็นการตอ่ ส้ทู างชนชัน้ เพื่อประโยชน์ผลทางเศรษฐกิจได้เลย หากเราพิจารณาการตอ่ ส้รู ะหวา่ งชนชนั้ เชน่ เสรีชนกบั ทาส ผ้ปู กครองกบั ประชาชนตามท่ี ลทั ธิมาร์กซ์ได้พยายามเสนอไว้นนั้ เราจะพบวา่ ในความเป็ นจริงแล้วการกดข่ีและตอ่ ส้ทู างชนชนั้ ระหว่างมนษุ ย์ตา่ งก็เป็ นผลจากระบอบอตั ลกั ษณ์ในแบบภาคีนิยมเป็ นเหตเุ บือ้ งแรกอีกทีทงั้ สิน้ กล่าวคือการปฏิเสธศรัทธาในพระเจ้ าท่ีแท้ จริงได้นําหายนะสู่มนุษย์ด้วยการหย่ิงผยองใน ความสามารถของมนษุ ย์เองจนเกิดมนษุ ย์กลมุ่ หน่ึงที่ถือตนเหนือกว่ามนษุ ย์กลมุ่ อื่น ความหย่ิง ผยองของมนุษย์กลมุ่ ท่ีมองตนเองว่าเหนือกวา่ ผ้อู ่ืนทงั้ ในด้านเศรษฐกิจและอํานาจนนั้ ได้ก่อให้ มนษุ ย์กลมุ่ นีเ้ กิดจิตสาํ นึกทางชนชนั้ จนระเบิดขนึ ้ เป็ นช่องว่างระหว่างชนชนั้ มนุษย์อีกที การตอ่ สู้ และกดขี่ทางชนชนั้ จึงมีผลมาจากการปฏิเสธพระเจ้าจากระบอบอตั ลกั ษณ์ในแบบภาคีนิยมเป็ น พืน้ เดิมทัง้ สิน้ และท่ีเลยเถิดไปถึงขัน้ ยกตนเองว่าเป็ นพระเจ้ าก็ปรากฏมีให้ เห็นตลอดหน้ า ประวตั ิศาสตร์ ดังท่ีชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าฟาโรห์คือพระเจ้า,ชาวจีนยุคโบราณเชื่อว่าพระ จกั รพรรดิจีนคือโอรสแห่งสวรรค์,กษัตริย์ยโุ รปองค์ต่างๆล้วนถือตนเป็ นตวั แทนพระเจ้าที่มีสิทธิชี ้ ขาดแทนพระองค์ทกุ ประการตามระบอบเทวสิทธ์ิ (Divine Ruler) ฯลฯ พืน้ ฐานจากการปฏิเสธพระ เจ้าท่ีแท้จริงและถูกต้องทําให้จิตใจตํ่าของมนุษย์บางสว่ นซึ่งมองตนว่าเหนือกว่าผ้อู ่ืนบังเกิด ความรู้สกึ ทางชนชนั้ ตอ่ เพื่อนมนุษย์ตามมา การกดขี่ทางชนชนั้ จึงบังเกิดขนึ ้ บนรากฐานของการ ปฏิเสธพระเจ้าและเช่นเดียวกนั วา่ การศรัทธาในพระเจ้าอย่างแท้จริงเท่านนั้ ที่จะนําสงั คมมนษุ ย์มา สกู่ ารพงั ทลายของชนชนั้ เพราะในการศรัทธาต่อพระเจ้านนั้ มนษุ ย์ย่อมเท่าเทียมกันเสมอต่อพระ พักตร์ของพระองค์ ดงั นนั้ การปฏิเสธพระเจ้าจึงเป็ นพืน้ ฐานหลักในการตอ่ ส้รู ะหวา่ งมนษุ ย์กล่มุ ตา่ งๆตลอดประวตั ิศาสตร์ ในขณะท่ีเร่ืองของชนชนั้ และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจคือผลสะท้อน จากการปฏิเสธพระเจ้า การปฏิเสธพระเจ้าจึงเป็นปรัชญาและกรอบคิดในเชิงนามธรรม สว่ นชนชนั้ และผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจคืออาวธุ ท่ีรบั ใช้ปรัชญาปฏิเสธพระเจ้าท่ีเป็ นรูปธรรมมากที่สดุ ! ดงั ปรากฏตัวอย่างอันลือลนั่ ในหน้าประวัติศาสตร์อิสลามท่ีสอดคล้องกับการวิเคราะห์ข้างต้นนี ้ เร่ืองราวดงั กลา่ วคือกรณีความขดั แย้งระหวา่ งท่านคอลีฟะฮฺอมุ รั กบั กษัตริย์ญิบีละฮฺ อบิ นอุ ลั อยั ษัม กลา่ วคือหลงั จากกษัตริย์แห่งอาณาจกั รฆ็อซซานผ้นู ีไ้ ด้หันหน้าเข้ารับอิสลามแล้ว ในปี เดียวกัน นนั้ เองเขาได้เดินทางไปประกอบพิธีฮจั จ์และทําการ ‚ตอวาฟ‛ (เดินวนรอบ) สถาน อลั กะอฺบะฮฺ ทนั ใดนนั้ ชายหนมุ่ สามญั ชนผ้หู น่ึงจากเผา่ ฟะสอเราะฮฺได้พลาดพลงั้ เหยยี บผ้าคลมุ กายของกษตั ริย์

~ 21 ~ ผ้นู ีเ้ ข้าจนเป็นผลให้เกิดการฉีกขาดเสยี หาย ด้วยใจท่ีเย่อหยิ่งในชนชนั้ ฐานนั ดรศกั ดินา กษัตริย์ผ้นู ี ้ ได้ปรี่ตรงเข้าไปทุบตีใบหน้าของชายดงั กล่าวจนจมกู หัก หลงั จากนนั้ ชายผ้ไู ด้รับบาดเจ็บได้เข้า อทุ ธรณ์ตอ่ คอลีฟะฮฺอมุ รั ทา่ นอมุ รั จึงได้ตดั สนิ ด้วยวิธีที่เท่าเทียมกนั โดยให้ชายสามญั ชนผ้นู ีท้ ําการ หกั จมกู กษัตริย์แห่งอาณาจกั รฆ็อซซานกลบั คืนบ้าง กษัตริย์ผ้นู นั้ จึงได้ปรามาสต่อท่านอมุ รั ว่าเรา มิใช่กษัตริย์และชายผ้นู ีม้ ิใช่เป็ นแค่สามัญชนดอกหรือ? ท่านอมุ รั ตอบวา่ ใช่ท่านคือกษัตริย์แต่ อิสลามได้ทําให้ท่านทงั้ สองเสมอภาคกัน กษัตริย์ญิบีละฮฺจะไม่มีสิ่งใดเหนือกวา่ สามญั ชนผ้นู ีไ้ ด้ เว้นเพียงแตศ่ รัทธาเท่านนั้ การตดั สนิ อนั ยตุ ธิ รรมของท่านอมุ รั ยงั ผลให้กษัตริย์ญิบีละฮฺรังเกียจใน บญั ญัติอสิ ลามประการนีม้ ากจนในที่สดุ เขาก็ตดั สินใจออกจากอิสลามสศู่ าสนาแห่งลทั ธิปฏิเสธ พระเจ้าหรือระบอบอตั ลกั ษณ์ในแบบภาคีนิยมตามเดมิ 9 เร่ืองราวตวั อย่างท่ีหยิบยกมาข้างต้นนีค้ ือ เหตกุ ารณ์ครงั้ สาํ คญั ในหน้าประวตั ิศาสตร์อิสลาม ความขดั แย้งระหว่างกษัตริย์ญิบีละฮฺกับชาย อาหรบั ชนบทผ้หู น่ึงเมื่อพิจารณาอยา่ งผวิ เผนิ แล้ววางอยบู่ นแงค่ ดิ ในทางทฤษฎีของมาร์กซ์ท่ีวา่ การ ตอ่ ส้ขู องมนษุ ย์คือการตอ่ ส้บู นความเป็นชนชนั้ ของฝ่ ายผ้กู ดข่ีกบั ผ้ถู กู กดข่ี กษัตริย์ญิบีละฮฺดํารงตน ในฐานะผ้กู ดข่ีในขณะท่ีชายอาหรับผ้นู ีอ้ ย่ใู นฐานะผ้ถู กู กดขห่ี รืออาจจะมองวา่ เป็ นการรังแกกนั ใน ฐานะชนชนั้ ปกครองกับประชาชนก็เป็ นได้โดยมีเศรษฐกิจ(ความรํ่ารวยกว่า)เป็ นตวั สนับสนุน อาํ นาจของกษัตริย์ผ้นู ี ้กระนนั้ ก็ตามพืน้ ฐานของการตอ่ ส้ทู างชนชนั้ นีม้ ิได้เกิดขนึ ้ เพราะจิตสาํ นกึ ใน ชนชนั้ เป็นมลู เหตเุ บือ้ งแรก หากแตม่ ลู เหตเุ บือ้ งแรกคือความศรัทธาในระบอบอตั ลกั ษณ์แบบภาคี นิยมซึ่งปฏิเสธศรทั ธาในพระเจ้า จิตสํานึกในการถือชนชนั้ จึงเป็ นผลสะท้อนตามมาทีหลงั ดงั นนั้ เมื่ออิสลามอนั เป็นสาสน์แห่งการศรทั ธาในพระเจ้าเข้ามาสรรสร้างความยตุ ิธรรมผา่ นตวั ท่านอมุ รั ตอ่ กรณีนี ้การถือชนชนั้ ซึง่ เป็นผลมาจากการปฏเิ สธพระเจ้าอีกทีจงึ ผลกั ดนั ให้กษัตริย์ผ้นู ีจ้ ําต้องละ ทิง้ อิสลามในฐานะสาสน์แห่งความเสมอภาคของผองมนษุ ย์ส่กู ารปฏิเสธพระเจ้าหรือระบอบอตั ลกั ษณ์แบบภาคีนิยมไปในที่สุด เมื่อเขาพบว่าการศรัทธาในพระเจ้าของอิสลามไม่สามารถ ตอบสนองตอ่ ระบอบชนชนั้ ของมนษุ ย์ได้ดเี ทา่ กบั ระบอบอตั ลกั ษณ์แบบภาคีนิยม เขาจึงเลือกที่จะ ปฏิเสธอิสลามและเดินหน้าเข้าสปู่ ลกั แหง่ การปฏิเสธพระเจ้าไปในทนั ใด เพราะฉะนนั้ จากกรณีนี ้ การปฏเิ สธพระเจ้าอนั เป็นปรัชญาพืน้ ฐานท่ีฝังแน่นอย่ใู นตวั กษัตริย์ญิบีละฮฺ จึงมีเรื่องของชนชนั้ เข้ามาเป็ นเคร่ืองมือในการตอบสนองตอ่ หลกั คิดดงั กลา่ ว กษัตริย์ผ้นู ีจ้ ึงได้หันหลงั กลบั ไปส่ลู ทั ธิ ปฏเิ สธพระเจ้าโดยมเี รื่องของชนชนั้ เป็ นเครื่องมือ และการที่อิสลามเข้ามาเป็ นอาวธุ ในการต่อกร ทางชนชัน้ ครัง้ นีอ้ ิสลามดํารงตนในฐานะเคร่ืองมือที่ทําลายชนชนั้ มนษุ ย์จากรากฐานแห่งการ ศรัทธาตอ่ พระผ้เู ป็นเจ้า การตอ่ ส้กู นั ระหวา่ งท่านอมุ รั และสามญั ชนอาหรับฝ่ ายหนงึ่ กบั กษัตริย์แห่ง อาณาจกั รฆอ็ ซซานผ้นู ีฝ้ ่ ายหน่งึ จึงเป็ นการตอกยํา้ ถึงหลกั คิดในเรื่องการต่อส้รู ะหวา่ งระบอบเอก 9 Jurji Zaydan’s. 1978. History of Islamic Civilization. Translated by D.S. Margoliouth. P. 28-29.

~ 22 ~ นิยมและระบอบภาคนี ิยมโดยอาศยั เง่ือนไขทางชนชนั้ เป็นอาวธุ ในการตอ่ สู้ หากมนษุ ยชาติใฝ่ ฝัน ท่ีจะทําลายชนชนั้ ที่เกิดขนึ ้ ระหวา่ งเพ่ือนมนษุ ย์ด้วยกนั เสียจริง มนษุ ย์จงึ ไมส่ ามารถแก้ไขปัญหาได้ ด้วยการตอ่ ส้ขู องชนชัน้ กรรมาชีพหรือการทําลายพวกนายทนุ และสง่ั ห้ามการถือครองกรรมสิทธิ์ ส่วนบุคคลตามทฤษฎีมาร์กได้ หากแต่มนุษย์จําต้องศรัทธาในระบอบอิสลามของพระเจ้าอย่าง แท้จริงเทา่ นนั้ ความเป็นชนชนั้ จงึ จะสญู หาย เพราะประวตั ิศาสตร์การตอ่ ส้ขู องมนุษย์คือการตอ่ สู้ ระหวา่ งศรทั ธาและปฏเิ สธ การปกป้ องประชาชนของท่านอมุ รั ในกรณีนีจ้ ึงมิใช่การตอ่ ส้รู ะหวา่ งผู้ กดข่ีและผ้ถู ูกกดข่ีเพราะท่านอมุ ัรดํารงตําแหน่งผ้ปู กครองสงู สดุ ของรัฐอย่แู ล้ว การที่ผ้ปู กครอง อย่างท่านอมุ รั เป็นกระบอกเสียงแก่สามญั ชนเพ่ือตอ่ กรกับกษัตริย์ผ้กู ดขี่จึงมิใช่เป็ นปฏิกิริยาทาง การเมอื งท่ีเป็นผลมาจากเร่ืองของชนชนั้ อยา่ งแน่นอน หากแต่เป็ นปฏิกิริยาท่ีเป็ นผลจากเรื่องของ การศรัทธาในพระเป็นเจ้าท่ีฟมู ฟักความยตุ ิธรรมเท่านนั้ ! การต่อส้รู ะหว่างผ้ปู กครองกับประชาชน หรือ ผ้กู ดข่ีและผ้ถู ูกกดขี่ หรือการตอ่ ส้ทู างชน ชนั้ ในกรณีอื่นก็ยงั ถือวา่ มรี ากเหง้ามาจากระบอบอตั ลกั ษณ์แบบภาคีนิยมเป็นปัญหาพืน้ ฐานทงั้ สนิ ้ เช่น ในอียิปต์ระหว่างรัฐบาลนัสเซอร์(ระบอบอตั ลกั ษณ์แบบภาคีนิยม-คอมมิวนิสต์)กับกลมุ่ อิ ควานมสุ ลิมนู ท่ีศรทั ธาในพระเจ้า, ในอิสราเอลระหวา่ งลทั ธิไซออนิสม์ (ระบอบอตั ลกั ษณ์แบบภาคี นิยม-ยิว) กับประชาชนปาเลสไตน์(ศรัทธาในพระเจ้า), การปฏิวัติในรัสเซียและฝร่ังเศสแม้จะ สามารถวิภาษอย่างผิวเผินภายนอกว่าเป็ นปฏิกิริยาทางการเมืองจากเงื่อนไขของชนชนั้ แตเ่ ม่ือ พิจารณาในเชิงลกึ ปรากฏการณ์ดงั กลา่ วตา่ งกม็ ีรากเหง้าของปัญหามาจากการที่กษัตริย์ดํารงตน เยี่ยงคนตงั้ ภาคตี อ่ พระเจ้าจากระบอบเทวสทิ ธิ์เป็นเบือ้ งแรกทัง้ สิน้ การขดู รีดทางชนชัน้ จึงติดตาม มาภายหลังจากที่ลัทธิปฏิเสธพระเจ้าอบุ ัติขนึ ้ ก่อน ซึ่งในฝรั่งเศสลทั ธิปฏิเสธพระเจ้าใหม่(Neo- Atheism) ในนาม ‚ประชาธิปไตย‛ กเ็ ข้าแทนท่ีระบอบเทวสทิ ธ์ิ ในรัสเซียลทั ธิปฏิเสธพระเจ้าใหมใ่ น นามคอมมิวนิสม์ก็เข้าแทนท่ีลทั ธิปฏิเสธพระเจ้าเก่า (Classical Atheism) ของจกั รพรรดิซาร์นิ โคลสั การตอ่ ส้ใู นแบบดงั กลา่ วนีข้ ้าพเจ้าได้ถอด Model ออกเป็นรูปสามเหลี่ยมเพ่ือฉายภาพให้ เห็นถึงปัญหาความทกุ ขย์ ากของมวลมนษุ ยชาตทิ ี่มพี ืน้ ฐานมาจากปรัชญาของการปฏิเสธพระเจ้า เป็นมลู ฐานทงั้ สนิ ้

~ 23 ~ จาก Model ของสามเหลี่ยมดงั กลา่ วเราสามารถที่จะทําการอธิบายได้วา่ ลทั ธิปฏิเสธพระ เจ้านนั้ คือแก่นแท้ของปัญหาแหง่ ความทกุ ขย์ ากของมวลมนษุ ยชาติ เพราะลทั ธิปฏิเสธพระเจ้าคือ ต้นเหตแุ รกที่ทําให้ชนชนั้ เป็นผลปฏกิ ิริยาติดตามมา นับตงั้ แตว่ ินาทีแรกของสิ่งมีชีวิตนีเ้ ม่ืออิบลีส โอหงั ปฏิเสธคําสงั่ ของอลั ลอฮฺที่จะทําการกราบกรานต่ออาดมั การปฏิเสธของอิบลีสมิใช่สาเหตุ เบือ้ งแรกท่ีทําให้มนั ปฏเิ สธคําสงั่ ของอลั ลอฮฺหากแตก่ ารกฟุ รฺหรือการปฏเิ สธต่ออลั ลอฮฺท่ีอย่ใู นห้วง จิตใจของอบิ ลสี ตา่ งหากท่ีเป็นผลให้มนั ทําการปฏิเสธคาํ สง่ั ของอลั ลอฮฺ และเมอ่ื อบิ ลสี มีสภาพของ การปฏิเสธตอ่ พระองค์ในจิตใจแล้วมนั จึงใช้เร่ืองราวของ ‚ชนชนั้ ‛ มาเป็ นอาวธุ ในการแสดงความ โอหังต่อพระองค์ โดยอ้างว่ามันนนั้ ‚เหนือกว่า‛ อาดมั ตรงที่มนั ถกู สร้างมาจากไฟและอาดมั ถูก สร้ างมาจากดิน!! หลงั จากท่ีมนษุ ย์ได้เข้ามาอาศยั อย่ใู นพืน้ พิภพนีม้ นุษย์กล่มุ หนึ่งได้ถกู ลอ่ ลวงโดยอิบลีส ด้วยลทั ธิปฏิเสธพระเจ้า มนษุ ย์ที่ได้ริเริ่มในการปฏเิ สธพระเจ้าจงึ เกิดความหยิ่งผยองท่ีจะดนิ ้ รนตน เพ่ือให้อยใู่ นฐานะทเ่ี หนอื กวา่ มนษุ ย์สว่ นอื่นพร้อมกนั นีก้ ไ็ ด้พยายามท่ีจะให้มนษุ ย์สว่ นอื่นที่ออ่ นแอ ตกอยใู่ ต้เบีย้ ลา่ งของตนเอง การสงครามและเขน่ ฆ่าระหวา่ งมวลมนษุ ย์จงึ ติดตามมาและท้ายท่ีสดุ แล้วมนษุ ย์ฝ่ ายท่ีชนะจึงได้ตงั้ ตนเป็ นชนชนั้ ผ้ปู กครองและอาศยั เร่ืองของ ‚ชนชนั้ ‛ มากดข่ีมนุษย์ กนั เองด้วยการยกตนเป็นพระเจ้าหรือกษัตริย์ที่ได้รับการอวตารและต้องอย่ใู นฐานะของผ้ทู ี่จกั ควร ได้รับการเคารพสกั การะจากไพร่ฟ้ าประชาชนของตน น่ันคือเหตผุ ลท่ีวา่ เหตุใดอารยธรรมของ

~ 24 ~ มนษุ ย์ในอดตี ท่ีมีชนชนั้ จึงมีการบชู าผ้ปู กครองควบคกู่ นั ไปเป็ นเงาตามตวั !!! นนั่ ก็เพราะวา่ ชนชนั้ และการปฏิเสธพระเจ้าหรือการชิริกคือ 2 ส่ิงที่สําคัญที่ผ้ปู กครองในอดีตหยิบฉวยมาใช้ในการ ปกป้ องฐานะภาพทางการเมอื งของตน หากท่านพิจารณาอารยธรรมในอดีตมวลมนษุ ย์ต่างตกอยู่ ภายใต้ระบอบสงั คมท่ีมีชนชนั้ ในอียิปตย์ คุ โบราณชนชนั้ เกิดขนึ ้ มาเพียงเพื่อรับรองสภาพการเป็ น กษัตริย์ของฟาโรห์ในฐานะผ้ปู กครองโดยมีลทั ธิปฏิเสธพระเจ้าเป็ นรากเหง้าของปัญหานับตงั้ แต่ ฟาโรห์ริเริ่มกระทําตนเป็ นพระเจ้าของชาวอียิปต์ ในอินเดียชนชนั้ ของมนษุ ย์เกิดขนึ ้ เป็ นระบอบ วรรณะอนั ซบั ซ้อนทงั้ นีก้ ไ็ มใ่ ช่อื่นใดนอกจากเพ่ือตอบสนองต่อสถาบนั ของชนชนั้ ผ้ปู กครองท่ีเกิด ขนึ ้ มาจากลทั ธิปฏเิ สธพระเจ้าเป็นเบือ้ งเหตแุ รก เราจึงพบวา่ กษัตริย์อินเดียในอดีตกาลมกั ผกู ติด ตนเองเข้ากบั การเป็นองคอ์ วตารของพระเจ้าที่มนุษย์จะต้องเคารพบูชาเช่นเรื่องราวของพระราม เป็นต้น ในประเทศสยามยคุ อดตี กษัตริย์สมยั กรุงอยธุ ยาดาํ รงตนอย่ใู นระบอบเทวราชาท่ีกษัตริย์ อย่ใู นฐานะของการเคารพบชู าและมนุษย์ชนชนั้ ล่างๆของสงั คมนับตงั้ แตไ่ พร่ทาสไปต้องเคารพ กราบไหว้ ในเขมรกษัตริย์ชยั วรมนั ตท์ ี่ 2 กระทําตนในฐานะพระเจ้าในคราบมนษุ ย์ที่ประชาชนชาว ขอมต้องบชู าเช่นกนั จากตวั อยา่ งเหลา่ นีเ้ ราจะพบวา่ ลทั ธิปฏเิ สธพระเจ้าคือหลกั ปรัชญานามธรรม ที่ถกู หยิบยืมใช้โดยพวกชนชนั้ ปกครองพร้อมกบั อาศยั เร่ืองของชนชนั้ (ซ่ึงเป็ นแขนงหน่ึงของวตั ถุ) มาเป็ นเคร่ืองมือตอบสนองตอ่ ตนเองทัง้ สิน้ ลัทธิปฏิเสธพระเจ้าจึงเป็ นปรัชญานามธรรมที่ถูก ระบอบชนชนั้ อนั เป็นเคร่ืองมอื รูปธรรมคอยตอบสนองตอ่ มนษุ ย์ทงั้ ปวงท่ียึดมน่ั ในลทั ธิปฏิเสธพระ เจ้าหรือระบอบฏอฆตู สามสว่ นนีจ้ งึ เป็นสามเหลี่ยมที่ทําการกดข่ีมวลมนษุ ย์ร่วมกันมาตลอดและ ดงั นนั้ ปัญหาของมนษุ ย์จึงมไิ ด้เกิดขนึ ้ จากชนชนั้ เป็นเบือ้ งแรกแต่ชนชนั้ เกิดขนึ ้ ภายหลงั จากการท่ี มนุษย์ริเร่ิมปฏิเสธพระเจ้าเป็ นเหตแุ ต่แรกเร่ิมแล้ว ในยุคสมยั ต่อมาเมื่อลทั ธิปฏิเสธพระเจ้าได้ วิวฒั นาการมาเป็นระบอบที่ซบั ซ้อนขนึ ้ จากแตเ่ ดิมเป็นเร่ืองการบชู ามนษุ ย์กนั เองสกู่ ารบชู าแนวคดิ วิตถารต่างๆ ระบอบชนชัน้ ของมนุษย์จึงแปรเปล่ียนทิศทางไปด้วย ในระบอบประชาธิปไตย ภายหลงั จากท่ีลทั ธิปฏิเสธพระเจ้าได้ถกู วางรากฐานขนึ ้ จากคําสอนของปรชั ญาเซคิวลาร์ระบอบชน ชนั้ ของมนษุ ย์จงึ พฒั นาการมาเป็นชนชนั้ นายทุนและกรรมกรเพราะมนุษย์ได้ปฏิเสธพระเจ้าและ กระโจนเข้าสกู่ ารตกั ตวงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอนั มงั่ คง่ั อย่างบ้าคลง่ั มนษุ ย์จึงมิใช่ถูกพิษทาง ชนชัน้ กดข่ีเป็ นเหตุเบือ้ งแรกแต่มนุษย์ถูกพิษภัยของลัทธิปฏิเสธพระเจ้าที่แท้จริงกดข่ีกันเอง ตา่ งหาก การตอ่ ส้ขู องมวลมนษุ ยชาติจงึ เป็ นการตอ่ ส้ผู า่ นลทั ธิปฏเิ สธพระเจ้ากบั ความเช่ือท่ีศรัทธา ในพระเจ้าเท่านนั้ ! การตอ่ ส้ดู งั กลา่ วบางครัง้ ไม่จําเป็ นต้องอย่ใู นรูปแบบของการประหัตประหารอย่างเดียว เสมอไปหากแต่อย่ใู นรูปแบบของการเป็ นขวั้ ตรงข้ามในทกุ มิติของชีวิตได้ด้วยเช่นกนั ในแวดวง วิชาการมนั ก็มีการตอ่ ส้รู ะหวา่ งแนวคิดทางวทิ ยาศาสตร์ของ ชาร์ล ดาร์วิน กบั แนวคดิ วทิ ยาศาสตร์ อิสลาม (Islamic Science),ในเชิงสงั คมวิทยามนั คือต่อส้ใู นเรื่องของนิยามสิทธิสตรีระหว่างโลก

~ 25 ~ มสุ ลิมกับโลกทัง้ มวล ในเชิงมานุษยวิทยามนั คือการตอ่ ส้รู ะหว่างแนวคิดกําเนิดมนุษย์จากนบี อาดมั กบั กําเนิดมนษุ ย์จากลงิ พนั ธ์ตุ า่ งๆ ในเชิงการปกครองมนั คอื การตอ่ ส้เู พ่ือใช้กฎหมายอิสลาม กับกฎหมายสากล และยังปรากฏการต่อสู้ในด้านอ่ืนๆอีกมากท่ีมีพืน้ ฐานจากกรอบคิดทาง ประวตั ิศาสตร์นี ้เช่น ในเชิงวฒั นธรรม(วฒั นธรรมท้องถิ่น, มลายู-ฮินดพู ทุ ธ Vs อิสลาม), ในเชิงทาง เพศ (Free Sex กอ่ นแตง่ แบบตะวนั ตก Vs อิสลาม), ในเชิงศีลธรรม (ลทั ธิมงั สวิรัติไม่ฆ่าสตั ว์ Vs อิสลามท่ีฆ่าสตั ว์), ในเชิงสทิ ธิสว่ นบคุ คล(ฮิญาบ Vs ลทั ธิเปลอื ยกาย), ในเชิงเศรษฐกิจ (ดอกเบีย้ Vs ไมก่ ินดอกเบีย้ ), ในเชิงบริโภค (หะลาล Vs ไมห่ ะลาล, เชือด Vs ไมเ่ ชือด, กินหมู Vs ไมก่ ินหม)ู , ในเชิงเครื่องด่มื !!! (เมา Vs ไมเ่ มา) ฯลฯ ความขดั แย้งท่ีสะท้อนภาพของการยืนอย่คู นละฟากฝั่งซ่ึงไมส่ ามารถสอดประสานกันได้ ทงั้ หมดตามท่ีเสนอไปนีค้ อื ตวั ยืนยนั วา่ พฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์ของมนษุ ยชาตทิ งั้ หมดวางอยู่ บนพืน้ ฐานของการตอ่ ส้รู ะหวา่ งแตล่ ะระบอบอตั ลกั ษณ์มาโดยตลอด แนน่ อนการตอ่ ส้รู ะหวา่ งฝ่ าย ท่ียืนหยดั จะปกปิ ดร่างกายด้วยฮิญาบกบั ฝ่ ายท่ียืนหยดั จะแก้ผ้า,การตอ่ ส้รู ะหวา่ งฝ่ ายท่ียืนหยดั จะ มีเพศสมั พนั ธ์ด้วยระบบครอบครวั กบั ฝ่ ายท่ีเช่ือตอ่ การมีเพศสมั พนั ธ์อยา่ งเสรีทงั้ หมดคือการขดั แย้ง ระหว่างระบอบอตั ลกั ษณ์อิสลามกับระบอบอตั ลกั ษณ์เสรีนิยม เป็ นการสงครามทางอดุ มการณ์ ระหวา่ งการศรทั ธาพระเจ้าและกฎหมายของพระองค์กบั การปฏิเสธพระเจ้าและกฎหมายของมนั ! ในบางครงั้ การตอ่ ส้รู ะหวา่ งมนษุ ยชาติก็ส่งผลให้ความเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมท่ีเหนือกวา่ ได้รับ การถา่ ยโอนไปยังชาติที่ล้าหลงั ดงั ที่นักประวตั ิศาสตร์ได้ยืนยันถึงผลของสงครามครูเสดที่ทําให้ ชาวยโุ รปซ่ึงกําลงั ล้าหลงั ตลอดจนพวกมองโกลได้รบั พลานิสงฆ์จากความเจริญของโลกมสุ ลิมจน เป็ นพืน้ ฐานให้ยุโรปทําการปฏิวัติตนเองเพ่ือสร้างความเจริญในภายหลังต่อมา ปรากฏการณ์ ดงั กลา่ วนีบ้ อกแก่เราเป็ นอย่างดีวา่ แม้กระท่งั ผา่ นการต่อส้ดู ้วยคมดาบระหวา่ งมนุษย์ 2 กลมุ่ นี ้ รัศมีจากแนวทางของพระเจ้าก็ยังถ่ายโอนไปยงั ชาติศัตรูจนส่งผลให้เกิดการพฒั นาได้ ในทาง กลบั กันการรุกรานโลกมสุ ลิมของมหาอํานาจตะวนั ตกในยุคอาณานิคมนอกจากจะไม่สามารถ ถา่ ยทอดวิทยาการของยโุ รปเข้าสโู่ ลกมสุ ลิมเพ่ือสร้างความเจริญได้แล้ว ฝ่ ายมสุ ลิมในฐานะผ้แู พ้ได้ สญู เสียฐานะทางประวตั ศิ าสตร์ครงั้ ใหญ่ในฐานะอดีตมหาอํานาจภายใต้ร่มธงของพระผ้เู ป็ นเจ้าท่ี เคยปกครองโลกกลบั กลายมาเป็ นเพียงประชากรหน่ึงของโลกที่สร้างปัญหาเรือ้ รังตอ่ การพัฒนา มากท่ีสดุ ประวตั ิศาสตร์ฉากนีย้ ืนยันแก่เราแล้ววา่ รัศมีแห่งทางนําจากพระผ้เู ป็ นเจ้าเท่านนั้ ที่จะ หลอมอารยธรรมแก่มวลมนุษย์ ในขณะท่ีหนทางของลทั ธิปฏิเสธพระเจ้าจะไมส่ ามารถเยียวยา ภาวะล้มละลายของประชาชาตอิ ิสลามได้ วิทยาการความเจริญท่ียโุ รปยดั เยียดแก่โลกมสุ ลิมจะไม่ สามารถกระต้นุ การพฒั นาที่จีรงั แกโ่ ลกมสุ ลิมได้เลยเพราะเป็นความเจริญในด้านวตั ถใุ นระดบั ท่ี 2- 3 และไมม่ ีวันท่ีจะอาจหาญไปทัดเทียมความเจริญของชาติทุนนิยมตวั แมอ่ ย่าง สหรัฐอเมริกา

~ 26 ~ นอกจากประชาชาตจิ ะปัดทิง้ ปลกั แหง่ เดรจั ฉานอารยะนีไ้ ปแล้วย้อนศรกลบั ส่อู ารยธรรมอิสลามที่ เราได้ จากร้ างลามาแสนนาน น่ีคือกรอบการวเิ คราะห์ประวตั ศิ าสตร์ในหนทางของเรา ที่เราศรัทธามนั่ วา่ ประวตั ิศาสตร์ ของมวลมนษุ ย์อนั ประกอบไปด้วยการเปลย่ี นแปลง,ขดั แย้ง,ตอ่ ส้,ู พฒั นา,ตกต่ํา ทงั้ มวลล้วนวางอยู่ บนฐานของระบอบอิสลามและระบอบอ่นื ๆเป็นเหตเุ ท่านนั้ แม้แต่หนังสือของข้าฯเล่มนีเ้ องก็มิใช่ อน่ื ใดนอกจากเป็นการตอ่ ส้รู ะหวา่ ง ‛ประวตั ิศาสตร์เพื่อพระเจ้า‛ (The Monotheistic History) กับ ‚ประวตั ิศาสตร์เพ่ือการปฏิเสธพระเจ้า‛ (The Atheistic History) ตามคติพจน์ ‚วิวรณ์ธรรม ปฏพิ ากย์‛ (Dialectical and Historical Revelation) ผลงานอนั ตํา่ ต้อยของข้าฯเลม่ นีค้ ืองานท่ีเป็นทงั้ การทดลอง,และความพยายามท่ีจะศกึ ษา ประวตั ศิ าสตร์อสิ ลามในวสิ ยั น์ทศั น์ (Vision) ใหม่ๆบ้าง ดงั ที่กล่าวไปแล้วในตอนต้นวา่ การศกึ ษา ประวัติศาสตร์อิสลามที่ผ่านมาของแวดวงวิชาการอิสลาม เน้ นการศึกษาในเชิงการบอกเล่า มากกวา่ ที่จะเป็นการวิภาษด้วยทฤษฎี การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์อิสลามจงึ มกั จะถกู ให้ลกั ษณะจาก นกั ประวัติศาสตร์ท่ีมิใช่มุสลิมว่าเป็ นประวตั ิศาสตร์แบบเส้นตรงหมายถึงศึกษาประวัติศาสตร์ อสิ ลามในระนาบเดยี วเป็นเส้นตรงนบั แตพ่ ระเจ้าสร้างโลกจวบถึงวนั แห่งการพิพากษา ซ่ึงโดยมาก ก็จะเป็ นการศึกษาโดยใช้ โครงสร้ างส่วนบนของสังคมและรัฐมาเป็ นศูนย์กลางในการเล่า ประวตั ิศาสตร์ เชน่ ราชวงศ์และผ้ปู กครองต่างๆ เป็ นต้น ด้วยเหตนุ ีอ้ งค์ประกอบบางประการท่ีมี ความสําคญั ในหน้าประวตั ิศาสตร์อิสลามเพียงแตไ่ มไ่ ด้ถกู จดั วางอยใู่ นกรอบโครงสร้างสว่ นบนจึง มกั จะตกหลน่ หายไปจากหน้าประวตั ิศาสตร์อสิ ลามไปอย่างเสยี ดาย เช่น เร่ืองราวของทาส เป็นต้น ทาสคือส่ิงท่ีฝังรากลึกอย่ใู นอารยธรรมมนุษย์ท่ัวโลก ซึ่งก่อปฏิกิริยาในฐานะโครงสร้าง สว่ นลา่ งของรัฐตอ่ โครงสร้างส่วนบนของสงั คม น่ีคือคําตอบที่ว่าเหตอุ นั ใดสถาบนั คอลีฟะฮฺและ ศาสนาอิสลามจึงรีบเร่งหาหนทางในการปลดปล่อยทาสด้วยวิธีท่ีหลากหลายนบั ตงั้ แต่สมัยท่ี มนษุ ย์ยังนิยมระบอบทาสกันอยู่ การศึกษาประวตั ิศาสตร์อิสลามด้วยวิสยั ทศั น์ใหม่ผา่ นชนชัน้ ‚ทาส‛ หรือทําให้ทาสเป็ นแกนหลกั ของประวตั ิศาสตร์จะสะท้อนภาพของความพยายามในการ ปลดแอกทาสจากบทบาทของศาสนาอิสลามในหน้าประวตั ิศาสตร์,บทบาทจากตวั ของท่านศาสน ทตู และอคั รสาวกตลอดจนบทบาทในทางการปกครองของอิสลาม ในแง่หน่ึงหากเราวา่ กลา่ วไป ตามการศกึ ษา ‚ประวตั ิศาสตร์เชิงอดุ มการณ์‛ (The Ideological History) ท่ีกลา่ วไปในตอนต้น ของหนงั สือแล้ว การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์อสิ ลามวา่ ด้วยเร่ืองทาสสามารถสะท้อนภาพของการเป็ น ระบอบสมั บรู ณ์แหง่ อิสรภาพของอิสลาม กลา่ วคอื ในขณะท่ีประชาธิปไตยคือระบอบการเมืองท่ีถกู มองวา่ มอบเสรีภาพแก่ประชาชน แตอ่ ิสลามกลบั ลํา้ หน้ากวา่ วิสยั ทศั น์ของระบอบประชาธิปไตย เพราะอิสลามพิจารณาจากความจริงวา่ รากฐานของสนั ติภาพก็คืออิสรภาพของมนุษยชาติที่จกั ต้องได้รับการปลดแอกออกจากปลกั แห่งการกดขี่ ในส่วนนีอ้ ิสลามจึงริเริ่มหาหนทางในการ

~ 27 ~ ปลดปลอ่ ยทาสให้เป็ นอิสระด้วยหนทางวิธีต่างๆนับตงั้ แตย่ ุคสมยั ท่ีอารยธรรมโลกยังใช้แรงงาน ทาสเป็ นโครงสร้ างพืน้ ฐานทางเศรษฐกิจ ดังท่ีนครรัฐกรีกโบราณซ่ึงปกครองด้วยระบอบ ประชาธิปไตยแหง่ แรกของโลกตามปรัชญา ‚อตุ มรัฐ‛ (The Republic) ของเพลงโต แตก่ ระนนั้ รัฐ ประชาธิปไตยกรีกกลบั ปรากฏการกดขี่ขม่ เหงทาสแม้แต่พวกนกั ปรัชญากรีกเองก็ละเลยมิได้ให้ ความสลกั สําคญั แก่ทาสมากนัก ในทางกลบั กนั อิสลามมองว่าทาสคือระบอบอนั ช่วั ร้ าย ความ พยายามในการปลดแอกทาสของอิสลามจึงริเริ่มเกิดขนึ ้ เมื่อ 1400 ปี ท่ีแล้วในสมยั ที่ระบอบการ ผลิตของมนษุ ย์ยงั เป็นแบบเกษตรกรรมท่ีใช้แรงงานทาสทําการเพาะปลกู ด้วยซํา้ ความก้าวหน้า ของอิสลามคอื การย้อนศรริเร่ิมหาทางปลดปลอ่ ยทาสโดยไมต่ ้องรีรอให้ระบอบการผลิตของมนษุ ย์ เปลีย่ นไปสรู่ ะบอบอตุ สาหกรรมก่อนแล้วจึงค่อยหาทางเลิกทาสตามท่ีพวกนกั คิดสายมาร์กซิสต์ คาดการณ์กนั ไว้ ดงั นนั้ ขบวนการเคล่ือนไหวของอิสลามเพ่ือการปลดแอกทาสจึงเป็ นผลมาจาก ความศรัทธาในความเทา่ เทียมของมนษุ ย์ตอ่ พระเป็นเจ้าเท่านนั้ มใิ ช่การปลดแอกทาสอนั เกิดจาก การมีผลประโยชน์ในระบอบทุนนิยม(ดงั ท่ี ร.๕ ได้ทําไว้) หรือการถูกองค์กรสิทธิมนษุ ยชนกดดนั เชน่ ท่ีประเทศแอฟริกาหลายๆประเทศเลกิ ทาสกนั ไป ซึ่งนบั เป็ นปรากฏการณ์ที่แปลกใหมม่ ากใน ยคุ สมยั นนั้ ท่ีชนชนั้ ปกครองหรือโครงสร้างสว่ นบนของรัฐกลบั กลายมาเป็ นกระบอกเสียงในการ ปลดแอกทาส ดงั ปรากฏเหตกุ ารณ์ที่ทา่ นคอลฟี ะฮฺอมุ รั เฆ่ียนตีนายทาสเน่ืองจากปฏิเสธคําร้องขอ ของทาสในการไถ่ตวั เป็ นไท อันเป็ นปรากฏการณ์ที่ผิดวิสยั เดิมของสงั คมประวตั ิศาสตร์ท่ีชนชัน้ ปกครองคือพวกที่ชอบและอนรุ ักษ์ระบอบทาสมากท่ีสดุ ดงั นนั้ หากระบอบลทั ธิประชาธิปไตยคอื ระบอบการเมืองท่ีถูกใฝ่ หาดจุ ราวอดุ มคติรัฐของ มวลมนษุ ย์ในฐานะระบอบท่ีมอบ ‚เสรีภาพ‛ แก่มวลมนษุ ย์แล้ว อลั -อสิ ลามย่อมถือวา่ เป็ นระบอบ การเมอื งและสงั คมท่ีท่ีลาํ ้ หน้าและควรจะถกู ใฝ่ หาจากมวลมนษุ ย์ยิ่งเสียกวา่ ระบอบประชาธิปไตย ในฐานะท่ีอิสลามคอื กระบวนการที่พยายามทําลายหวั ใจที่เป็นปัญหาแก่ ‚เสรีภาพ‛ ของมนษุ ย์นน่ั ก็คือระบอบทาส เพราะเสรีภาพหรือประชาธิปไตยที่แท้จริงย่อมไมอ่ าจบังเกิดเป็ นอดุ มคติรัฐได้ ตราบใดท่ีประชากรสว่ นใหญ่แห่งสงั คมยงั อยใู่ ต้พนั ธนาการแห่งระบอบทาสท่ีขาด ‚เสรีภาพ‛ อยา่ ง ท่ีสดุ ความมงุ่ หมายของรัฐอสิ ลามนบั ตงั้ แตเ่ กิดขนึ ้ ครงั้ แรกบนคาบสมทุ รอารเบียโดยทา่ นศาสนทตู จงึ ไมไ่ ด้มงุ่ ความสนใจไปที่อํานาจอธิปไตยแห่งรัฐจะต้องเป็นของใคร?(แม้วา่ ประชาชนทกุ เชือ้ ชาติ ศาสนาจะมสี ว่ นร่วมในการร่างธรรมนญู แหง่ รัฐ) หากแตม่ งุ่ ไปที่ประชากรซึง่ ลทั ธิประชาธิปไตยอ้าง วา่ คือเจ้าของอธิปไตยของรัฐอีกนับล้านคนทั่วโลกซึ่งยังคงอย่ใู นสภาพก่ึงสตั ว์กึ่งมนษุ ย์ จํานวน มากของทาสและไพร่ขาดอสิ รภาพ แล้วระบอบประชาธิปไตยจะสรรสร้างสวรรค์แห่งบรรณพิภพที่ มอบ ‚เสรีภาพ‛ แก่ใครในเม่ือแรงงานทาสอนั เป็ นประชากรผ้ผู ลิตปัจจัยยงั ชีพแก่สงั คมยังคงถูก จองจําในสภาพอดอยาก เพลโต,อริสโตเตลิ ,และนกั ปรชั ญารฐั ศาสตร์ได้เคยคดิ คํานึงถึงความทุกข์ ยากของประชาชนทาสไพร่บ้างไหม ?! ในขณะที่พวกเขาระดมพลงั สมองเพ่ือสรรหารูปแบบรัฐท่ีดี

~ 28 ~ ที่สดุ ผา่ นปรชั ญาการเมืองตา่ งๆแตท่ วา่ พวกเขาลมื คาํ นึงไปหรือไมว่ า่ พืน้ ฐานของการกบฏและการ ปฏิวตั คิ ือ ‚ความยากจนและการกดข่ี‛ !?! รฐั เสรีภาพท่ีแท้จริงจะเกิดขนึ ้ ได้อยา่ งไรในเม่ือมนษุ ย์ยงั ถูกกดข่ีและระบบการจัดการทาสเป็ นไปอย่างโหดร้ ายท่ีสุด หัวใจหลกั ของประชาธิปไตยย่อม หมายถงึ ความเทา่ เทียมกนั ของมนษุ ย์ แตก่ รีกซึง่ ถกู ยกย่องว่าเป็ นชาติประชาธิปไตยแห่งแรกของ โลกกลบั ไม่มีระบบที่จะประกันสิทธิสภาพของทาสไม่มีแม้แตจ่ ะเปลี่ยนชีวิตของทาสให้ดีขนึ ้ !!? เพราะฉะนัน้ พืน้ ฐานท่ีจะก่อให้รัฐเกิดปัญหาจึงมิใช่ประเดน็ ท่ีว่าอํานาจอธิปไตยเป็ นของใคร? เพราะในอิสลามอํานาจอธิปไตยเป็ นของพระเจ้า มนุษย์เป็ นเพียงผู้ดําเนินการให้ ธรรมนูญ ‚อลั กรุ อาน‛ ของพระองคถ์ กู ปฏิบตั ใิ ช้เทา่ นนั้ แตอ่ สิ ลามพิจารณาพืน้ ฐานปัญหาของรัฐว่าเกิดจาก ‚ความอดอยาก,ความทกุ ขย์ าก และการขาดอสิ รภาพ‛(ความยากจนและการกดขี่) ท่านศาสนทูต ผ้ทู ราบปัญหานีอ้ ย่างดีที่สดุ จงึ สง่ั ใช้มวลมสุ ลิมทงั้ หลายวา่ ُ‫ قَاَل ُسْفيَا ُن َأالَْماِن الأَ ِسًن‬.\" َ‫ َأفُ ُّمما الَْماِن‬،‫ َأ ُلمُدأا الْ َمِرن َض‬،‫أَطْمِ ُمما اْْلَائَِع‬ ََ ‚จงใหอ้ าหารแก่ผหู้ ิวโหย ใสใ่ จในการเยีย่ มเยียนผปู้ ่ วยและปลดแอก “อลั อานี” ซฟุ ยานกล่าววา่ “อลั อานี” หมายถึง บคุ คลทีอ่ ยู่ในสภาพที่ถกู จองจา(เช่น เชลยดว้ ยการจ่ายเงินไถต่ วั เขา-ผูแ้ ปล)10‛ ความอดอยากและความเจ็บป่ วยของประชาชนคือ ‚สญั ลกั ษณ์‛ (Symbol) แห่งความ ยากจนและทกุ ข์ยากของประชาราษฎรภายในรฐั ในขณะท่ีการจองจํามนษุ ย์คอื ‚สญั ลกั ษณ์‛ แห่ง การกดข่ที ี่ประชาชนขาดอิสรภาพเชน่ ระบอบทาส เป็นต้น จากวจนะประการนีข้ องท่านศาสนทูต จึงสะท้อนภาพว่าท่านศาสนทตู มงุ่ เน้นการแก้ปัญหาพืน้ ฐานของรัฐและสงั คมที่มกั เกิดขนึ ้ จาก ความยากจนและการกดขี่เป็นหลกั มากกวา่ จะมงุ่ อภปิ รายในเชิงอภิปรัชญาการเมืองอยา่ งไร้สาระ ดงั ท่ีเพลโตได้ทําไว้ ในการศกึ ษา ‚ประวตั ิศาสตร์เชิงอดุ มการณ์‛ (The Ideological History) ผ่านชนชนั้ ทาส ยงั มปี ระเดน็ สาํ คญั อีกประการหน่ึงซึง่ มิอาจละเลยนน่ั คอื ความพยายามในการปลดแอกทาสของ ท่านศาสนทตู ศอ็ ลฯ ในมติ ิหนง่ึ มนั สะท้อนสถานภาพของการเป็น ‚นกั ปฏิวตั ิ‛ และ ‚ผ้ปู ลดปลอ่ ย‛ ของท่านศาสนทูต ศอ็ ลฯ ต่อชนชนั้ ทาสด้วย ท่านศาสนทูตในฐานะผ้ปู กครองรัฐมาดีนะฮฺ ก็คือ บคุ ลากรรัฐจากโครงสร้างสว่ นบนหรือชนชนั้ ปกครองท่ีได้พยายามอย่างหนกั หน่วงและแยบยลใน การวางหมากแห่งการปฏิวตั ิเพ่ือปลดปลอ่ ยทาสส่อู ิสรภาพ เราจะพบวา่ ท่านศาสนทตู ได้ปฏิวตั ิ ระบอบทาสผา่ นปัจจยั 3 ประการท่ีผกู พนั พฤตกิ รรมมนษุ ย์ในทางปัจเจกชนคอื 1) การปลดแอกทาสทางกาย หมายถึง การต้องไม่ปฏิบัติต่อทาสอย่างทารุณ เช่น ทา่ นศาสนทตู สงั่ ห้ามการเฆ่ียนตีทาสซ่ึงคนทงั้ โลกในขณะนนั้ นิยมทํากนั 10 ศอฮีฮฺ-อลั บคุ อรีย์. เลม่ 4 หน้า 2055. หมายเลขหะดีษที่ 5058

~ 29 ~ 2) การปลดแอกทาสทางใจ หมายถงึ การล้มล้างความเชื่อเดิมท่ีวา่ นายทาสมีสิทธิเหนือ ทาสทกุ ประการ ซง่ึ ทา่ นมาล้มล้างด้วยการสอนวา่ ทาสมสี ทิ ธิเหนือนายด้วย 3) การปลดแอกทาสทางวาจา ในมติ นิ ีท้ ่านศาสนทตู ห้ามเรียกทาสวา่ ‚ทาส‛ แต่สง่ั ใช้ให้ เรียกทาสวา่ ‚พี่น้อง‛ ความพยายามในการปลดแอกทาสของทา่ นศาสนทตู นีไ้ ด้ฉายภาพของผ้ปู ลดปลอ่ ยชนชนั้ ทาสผา่ นจริยวตั รของตวั ทา่ น และได้ถกู สืบทอดเจตนารมณ์เรื่อยมาผา่ นเหล่าอคั รสาวกของท่าน วจนะหนึ่งซึ่งสะท้อนมายาลกั ษณ์ของท่านศาสนทตู ในฐานะนกั ปฏวิ ตั เิ พื่อชนชนั้ ทาส ความวา่ ‫ أالذي عفس أبي هرنرة بيده ! لملا اْلهاد ُب سبيل الله‬. ‫لتمبد الممتمك المصتح أجران‬ ‫ لأحبب أن أممت أأعا ممتمك‬، ‫ أبر أمي‬، ‫ أاْلج‬، ‚‚สาหรบั ทาสที่ประพฤติดี (คือ รู้จกั ตกั เตือนเจ้านายเมื่อเขาผิด, และตนเองกเ็ คร่งครัดในอิบา ดะฮ์) จะไดร้ ับผลบญุ 2 ส่วน, ขอสาบานต่อพระผูซ้ ึ่งชีวิตของอบฮู รุ ็อยเราะฮฺอยู่ใตเ้ งือ้ มหตั ถ์ ของพระองค์ ! ถา้ ไมเ่ พราะภาระเรื่องการญิฮาดในวิถีแหง่ อลั ลอฮ์, ภาระเรื่องการทาหจั ญ์, และ ภาระเรื่องการปรนนิบตั ิคณุ แม่ของฉนั แลว้ ฉนั ก็อยากจะตายในขณะตวั เองเป็นทาส.11 นี่คือโอวาทของท่านศาสนทูตท่ีได้สะท้อนมุมมองใหม่ในเรื่องของทาสไว้ว่า ทาสใน กฎหมายอิสลามนนั้ บางครัง้ หาใช่วา่ จะมีสถานะภาพที่ด้อยกว่าเสรีชนเสมอไปเพราะจากหะดีษ บทนีผ้ ลบญุ ท่ีทาสได้รบั จากการประพฤติตนในหนทางของศาสนานนั้ มมี ากกวา่ เสรีชนถึง 2 เท่าซึ่ง นบั เป็นมติ ใิ หมข่ องกฎหมายในยคุ สมยั นนั้ ที่ได้มอบอภสิ ทิ ธ์ิพิเศษแก่ทาสในกิจกรรมเดียวกันกบั ท่ี เสรีชนกระทํากนั นอกจากนีท้ าสยงั หาใชต่ ําแหนง่ ท่ีจกั ควรได้รับการดแู คลนรังเกียจเดียดฉันท์แต่ อย่างใด ในทางกลบั กนั ตําแหน่งอนั ยิ่งใหญ่ของท่านในการเป็ นนบีและรอซูลของอลั ลอฮฺหาได้ทํา ให้ทา่ นพึงชงั ในชนชนั้ ทาสเลย ความห่วงใยอาดรู และหมายท่ีจะให้ประชาชาติและโลกทงั้ ผองพึง ใสใ่ จต่อทาสได้ปลกู ฝังคณุ ธรรมอนั ย่ิงใหญ่แก่อคั รสาวกของท่านนบีเช่นท่านอบูฮุร็อยเราะฮฺใน อตั ราที่สงู มาก ซึง่ แม้กระท่งั การตายในห้วงบนั้ ปลายของชีวิตเหล่ากัลญาณชนในอิสลามก็ยงั ไม่ อาจที่จะรงั เกียจการตายในสภาพของทาสได้เลย!!!! ท่านนบีจงึ เป็นประหนึ่งราวพลงั ใจของทาสผู้ ถกู กดขท่ี งั้ หลายวา่ แม้พวกเขาจะต้องได้รับการข่มเหงไปทั่วหย่อมหญ้า แตต่ ําแหน่งทาสท่ีมนุษย์ โลกทงั้ หลายรงั เกียจนนั้ กลบั เป็นตาํ แหนง่ อนั ได้รับการเมตตาจากพระเจ้าและยงั เป็ นท่ีประสงค์แก่ สาวกคนสําคญั ของท่านด้วยซํา้ ไป ดงั นนั้ มนษุ ย์ทงั้ ผองท่ีกดขีข่ ม่ เหงดถู กู ทาสก็เท่ากับพวกเขาได้ดู ถกู กดข่ีตวั ของท่านนบีด้วยทางอ้อมในฐานะท่านเป็ นสญั ลกั ษณ์ที่เป็ นจุดร่วมและผ้อู อกรับแทน ทาสซึ่งถกู กดขท่ี งั้ หลาย โอ้ศรทั ธาชนทงั้ หลายพึงตระหนกั ไว้เถิด 11 สนุ นั อลั -กบุ รอ. หมายเลขหะดีษที่ 15331.

~ 30 ~ ‚ชนใดใคร่ชน้ั ชน มิกรายพน้ ชงั ชนั้ ทาส ‚ชนนน้ั แสนปรามาส ยอดพจนารถมิปานเปรย‛ เราสามารถสรุปได้วา่ ความพยายามในการปลดแอกทาสที่เกิดขนึ ้ ในหน้าประวตั ิศาสตร์ยคุ ต้นของอสิ ลามผา่ นกิจกรรมการเคลือ่ นไหวของตวั ท่านนบีและบรรดาอคั รสาวกนนั้ แท้ที่จริงแล้วก็ คือความเคล่อื นไหวท่ีอยใู่ นขอบขา่ ยของ ‚การตอ่ ส้‛ู อีกคํารบหน่ึง และการต่อส้เู พื่อปลดแอกทาส ของขบวนการอิสลามภายใต้ร่มธงของท่านศาสนทูตนนั้ ไม่อาจสามารถท่ีจะอธิบายว่าการตอ่ สู้ อนั ตราตรึงใจผองเราดงั กลา่ วนนั้ มีผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองใดๆแอบแฝงอยู่ เน่ืองจากการต่อสู้ล้างบางชนชัน้ ในหมู่มนุษย์โดยขบวนการอิสลามล้วนเป็ นไปเพ่ือสนอง เจตนารมณ์ของพระผ้เู ป็นเจ้า ผ้เู ป็ นนายคน นายชีวิตของผองมนุษย์ที่แท้จริงเพียงผ้เู ดียวเท่านนั้ การปลดแอกทาสอนั ถือเป็นคณุ ธรรมอนั ยิ่งใหญ่ (อลั กรุ อาน 90:13) ที่พระองค์ได้บญั ชาไว้จะตรา ตรึงประวตั ศิ าสตร์อสิ ลามไว้ด้วยกบั ประวตั ศิ าสตร์แหง่ ‚การตอ่ ส้‛ู ระหวา่ งแนวทางที่ศรทั ธาในพระ เจ้าที่แท้จริงกบั ระบอบทาสท่ีอบุ ตั ิขนึ ้ จากลทั ธิปฏเิ สธพระเจ้า ตามทฤษฎี ‚วิวรณ์ธรรมปฏิพากย์‛ อีกคํารบหนงึ่ กลา่ วคอื ฝ่ ายท่านศาสนทตู และขบวนการอิสลามทงั้ หมดท่ีประสงค์จะเลิกทาสคือผู้ ตอ่ ส้ถู วายชีวิตแดพ่ ระเจ้า ในขณะท่ีอารยธรรมมนษุ ย์ทงั้ หลายไมว่ า่ จะ กรีก,โรมนั ,จีน,อินเดีย,ไทย, ลาตนิ อเมริกา,ยโุ รป ฯลฯ ต่างก็ล้วนเป็ นอารยธรรมท่ีกดข่ีขม่ เหงทาสซ่ึงจะต้องถูกจดั อย่ใู นอารย ธรรมแหง่ การปฏิเสธพระเจ้าเพราะการนบั ถือเจว็ดพระเจ้าปลอมทงั้ หลายของอารยธรรมเหล่านี ้ เป็นผลให้ระบอบทาสถกู อบุ ตั ขิ นึ ้ การมาของอสิ ลามจงึ ควบคไู่ ปกบั พนั ธะกิจการตอ่ ส้กู บั อารยธรรม ทาสนิยมเหล่านีใ้ นฐานะที่มนั คืออารยธรรมและฝ่ ายที่อยู่บนการดือ้ แพ่งปฏิเสธพระเป็ นเจ้าท่ี แท้จริงมาโดยตลอด ในขณะท่ีโลกริเริ่มมาตรการเลิกทาสจากการพฒั นาการในวิทยาการของมนุษยชาติแต่ อิสลามกลบั ริเร่ิมเลิกทาสจากจิตสาํ นกึ ในความเสมอภาคทางชนชนั้ ของปวงมนษุ ย์ท่ีมีตอ่ พระเจ้า กลา่ วคือสงั คมในยคุ อดตี นนั้ กระบวนการผลิตของมนษุ ย์ขนึ ้ อย่กู บั การทําเกษตรกรรม ระบอบการ ผลิตของมนุษย์จึงจมปลักอยู่แค่ผืนดิน การใช้ แรงงานทาสภายใต้ระบอบศกั ดินาสวามิภักด์ิ (Feudalism) ที่ทาสจําต้องสงั กดั อยู่ใน Manner ของขนุ นางแต่ละคนจึงเป็ นไปอย่างราบร่ืน อย่างไรก็ดีการปฏิวตั ิทางอตุ สาหกรรมในยโุ รปนําพามาซึ่งระบอบการผลิตแบบใหม่ท่ีเรียกว่า ‚อตุ สาหกรรม‛ ซงึ่ การมีทาสไมส่ ามารถรองรับกบั ระบอบการผลิตแบบอตุ สาหกรรมและเศรษฐกิจ แบบทนุ นิยมได้อีกตอ่ ไป การเลกิ ทาสในยโุ รปเพื่อแปรเปลี่ยนแรงงานจากทาสไปส่กู รรมกรหรือชน ชนั้ กรรมาชีพจงึ อบุ ตั ขิ นึ ้ ตามกฎของการพฒั นาและเปลี่ยนแปลงในประวตั ิศาสตร์ เพราะการผลิต สินค้าในโรงงานอตุ สาหกรรมย่อมต้องการใช้คนจํานวนมากเพื่อผลติ สินค้าปริมาณมากๆในแตล่ ะ

~ 31 ~ วนั ตามหลกั ของการ ‚แบง่ งานกนั ทํา‛ ระบอบแรงงานกรรมกรจึงกลายเป็ นทางเลือกที่สําคญั ของ โรงงานอตุ สาหกรรมในยุโรปผนวกพร้อมกับการเติบโตของชนชัน้ กระฎมุ พีที่โค่นล้มอํานาจพวก ซากเดนศกั ดนิ า แรงขบั เคลือ่ นเหลา่ นีต้ า่ งหากท่ีเป็ นตวั ผลกั ดนั ให้ระบอบทาสต้ องถึงจดุ จบลงใน ยโุ รปควบคกู่ บั การที่บรรดาชาติทงั้ หลายเริ่มเข้าส่รู ะบอบการผลิตแบบอตุ สาหกรรม หาใช่ความ อยากมกั ใคร่ชนิดต้องการเลกิ ทาสเพราะจิตใจรักในมนษุ ยธรรมอย่างกบั ที่ประวตั ิศาสตร์อสิ ลามได้ กระทําลงไปแต่อย่างใดไม่ ในอีกทางหน่ึงการเกิดระบอบอตุ สาหกรรมมาพร้อมกับลทั ธิโบราณ อย่างลทั ธิพาณิชย์นิยมซึ่งต่อมาพฒั นากลายเป็ นลทั ธิจักรวรรดินิยมล่าอาณานิคมทงั้ หลาย การ พฒั นาอตุ สาหกรรมทําให้ชาติยุโรปผลิตสินค้าออกมาจนล้นตลาด จึงเกิดความอยากในการยึด ครองชาติล้าหลงั ในเอเชียทงั้ หลายเพื่อหมายกอบโกยทรัพยากรของเอเชียและบีบคนั้ คนเอเชียให้ บริโภคสินค้าของตนเองที่ล้นตลาดไร้ราคาอย่ใู นยโุ รป การเข้ามาของชาติยุโรปในเอเชียในแง่หนึ่ง คอื กระบวนการท่ีทดแทนระบอบทาสแบบเก่าด้วยระบอบทาสใหมน่ นั่ คือระบอบอาณานิคมท่ีบีบ คนั้ ประชากรในอาณานิคมคอื เบีย้ ลา่ งท่ีถกู กดขก่ี ดหวั ใช้แรงงานเยี่ยงสตั ว์ไมต่ า่ งอะไรกบั ทาสดงั ท่ี มนั เกิดขนึ ้ ในอนิ เดียและเอเชียตะวนั ออกฉียงใต้ เป็นต้น เพราะฉะนนั้ การเลิกทาสในสงั คมมนุษย์ โลกจึงเกิดขนึ ้ เพราะความจําเป็ นทางวตั ถอุ ย่างเศรษฐกิจและระบอบการผลิตท่ีแปรเปล่ียนของ มนษุ ย์ทงั้ สนิ ้ ชาติยโุ รปเลกิ ทาสเพราะอตุ สาหกรรมเกิดขนึ ้ และการแทนที่ด้วยระบอบทาสใหมน่ ัน่ ก็ คอื อาณานิคม ส่วนชาติในเอเชียหลงั การเข้ามาของมหาอํานาจตะวนั ตกแล้วการเลิกทาสจึงถกู บังคับไปโดยปริยาย เพราะการดํารงซึ่งแรงงานทาสไม่อาจสอดรับกับสถานการณ์ของโลกใน ขณะนนั้ ได้แล้ว ดงั ท่ี ร.๕ ผ้ไู ด้รับการสรรเสริญในฐานะผ้เู ลิกทาสได้กระทําไว้แม้นว่าพระองค์ท่าน จะทําการเลกิ ทาสเพียงเพราะความจําเป็นทางการเมืองโลกในขณะนนั้ เทา่ นนั้ โดยสรุปการเลกิ ทาสของประชากรโลกจงึ เป็นเหตผุ ลของวตั ถลุ ้วนๆหาใชเ่ หตผุ ลทางจิตใจ แตป่ ระการใด จนเมื่อโลกผา่ นสงครามโลกครัง้ ที่ 2 มาบรรดาชาติท่ีอย่หู ่างไกลการเข้าถึงของชาว ยโุ รปเช่นมอริทาเนียและบางสว่ นของตะวนั ออกกลางท่ีทนุ นิยมไปไมถ่ ึงก็พ่ึงจะเลิกล้มไปจากการ กดดนั ขององค์กรสิทธิมนษุ ยชนหรือองค์กรทาสสากลทัง้ หลาย และมาตรแม้นวา่ วา่ องค์กรสิทธิ มนุษยชนจะประกาศเลิกทาสหมดท่ัวโลกด้วยกับคําว่า ‚มนุษยธรรม‛ ก็ตาม หากแต่เป็ น มนษุ ยธรรมที่เกิดขนึ ้ ผา่ นความเคยชินตอ่ สถานภาพของคนท่ีเป็นอิสระแก่ตนแล้ว พดู งา่ ยๆก็คือแรง สํานึกในสิทธิมนษุ ยชนตอ่ เร่ืองทาสขององคก์ รฝรง่ั เหลา่ นีเ้ กิดขนึ ้ หลงั จากท่ียโุ รปประกาศเลิกทาส จนหมดสนิ ้ แล้ว จิตสาํ นกึ ในความเป็นมนษุ ย์ที่เสรีจึงอดั แน่นตราตรึงใจชาติยุโรปทงั้ ปวงท่ีผ่านพ้น ระบอบทาสสรู่ ะบอบที่ดีกวา่ อย่างประชาธิปไตย กระนนั้ ก็ตามความเหนือกว่าของอิสลามกลับ ปรากฏในมิติท่ีว่าอิสลามดําเนินมาตรการปล่อยทาสนับตัง้ แต่มนุษย์โลกยังไม่รู้จักกับคําว่า ‚เสรีภาพ‛ และ ‚ความเสมอภาค‛ เลยด้วยซํา้ นบั ตงั้ แตช่ ่วงสมยั ท่ีโลกทงั้ มวลนิยมใช้ทาสในการ ผลิตปัจจยั ยงั ชีพแก่มนษุ ย์ด้วยกนั โดยทงั้ นีค้ วามพยายามจะปล่อยทาสของมวลมสุ ลิมระเบิดขนึ ้

~ 32 ~ จากจิตสาํ นกึ ในเรื่อง ‚ความเสมอภาค‛ ของมนษุ ย์ในฐานะส่งิ ถกู สร้าง(มคั ลกู )ของพระองค์อลั ลอฮฺ พดู อีกนยั หน่งึ ก็คอื ความศรัทธาในพระผ้เู ป็ นเจ้าคือรากฐานท่ีบงั เกิดความคิดในเร่ืองความเสมอ ภาคของมนุษย์อนั สง่ ผลให้เกิดการตอ่ ส้เู พ่ือทําลายชนชนั้ ทาสที่บีฑามนษุ ย์อย่างเหล่ือมลํา้ มาก ที่สดุ ความพยายามของอิสลามที่ต้องการจะเลิกทาสจึงเป็ นเร่ืองท่ีน่าสรรเสริญยิ่งกว่าแม้ว่า อิสลามจะไมส่ ามารถทําลายทาสให้หมดไปจากโลกได้กต็ าม เน่ืองจากความพยายามดงั กลา่ วของ อิสลามเป็ นความพยายามที่จะล้มล้างระบอบทาสจากเหตผุ ลทางมนุษยธรรมโดยแท้จริง การ ปลอ่ ยทาสของอิสลามจงึ ไมม่ ผี ลประโยชน์ด้านทนุ นยิ มและเศรษฐกจิ ใดๆทงั้ สนิ ้ เพราะกระบวนการ ปลอ่ ยทาสของอสิ ลามคืออดุ มคติแหง่ ศาสนาที่หวงั ในพระเมตตาของพระองค์อลั ลอฮฺเทา่ นนั้ ดงั อํา มตะโอวาทของท่านศาสนทตู ความวา่ ‫من ألاق رقبة مؤمكة ألاق الله بمل إرب مكها إربا مك من الكار‬ \"บคุ คลใดท่ีได้ปลดปลอ่ ยทาสผ้ศู รัทธามนั่ หนงึ่ คน อลั ลอฮฺจะทรงปลดปลอ่ ยมวลอวยั วะให้พ้นจาก ไฟนรก ประหนงึ่ ทกุ อวยั วะของทาสถกู ปลดปลอ่ ยจากความเป็นทาส‛12 ความพยายามเลิกทาสของประชาชาติอิสลามจึงเปรียบเสมือนการริเร่ิมหาพลังงาน ทดแทนนํา้ มนั นับตงั้ แต่สมยั ท่ีนํา้ มนั ยังไม่ขาดแคลน แตก่ ารเลิกทาสขององค์กรสิทธิมนษุ ยชน สากลในชื่อตา่ งๆกเ็ ปรียบเสมือนความพยายามหาพลงั งานทดแทนนํา้ มนั ในภาวะที่นํา้ มนั เร่ิมจะ หมดโลกแล้ว เฉกเช่นเดียวกันกับสถานภาพของอิสลามในตอนนีท้ ี่ยังคงยืนหยัดต่อสู้เพ่ือ ปลดปลอ่ ยสตรีเพศจากการตกเป็นทาสกามและสินค้าทางเพศของเหลา่ บุรุษท่ีแฝงตวั ผ่านชื่ออนั สวยหรูอยา่ ง ‚ความเทา่ เทียมระหวา่ งชายหญิง‛,ผา่ นกิจกรรมอปุ ัทวนั ตราย (กิจกรรมอบุ าทว์และ อนั ตราย) เช่น การน่งุ น้อยห่มน้อย,เซ็กส์ก่อนแตง่ ,และสารพัดความเสื่อมทรามทางเพศในรูปสื่อ และส่ิงพิมพ์ ภาวะวกิ ฤตดิ งั กลา่ วนีไ้ มป่ รากฏกล่มุ ชนใดที่จะยืนหยดั ตอ่ ต้านได้ดไี ปกวา่ อิสลามแล้ว จนเมื่อโลกย่างเข้าขนั้ วินาศกาเลวิปริตพุทธิ(โลกพินาศ,ปัญญาวิปริต) เมื่อนนั้ โลกอาจจะหนั มา รําลกึ ถึงคณุ ความดีของอิสลามเช่นที่ชาติยโุ รปหนั มายอมรับว่าอารยธรรมอาหรับอิสลามคือผู้ ผลกั ดนั ให้ยโุ รปก้าวข้ามยคุ มืดสยู่ คุ ฟื น้ ฟูวทิ ยาการมาได้ ประวตั ิศาสตร์การเลิกทาสของอิสลามจึงเป็นหน้าประวตั ิศาสตร์แห่ง ‚ประวตั ิศาสตร์เพื่อ พระเจ้า‛ หาใช่ประวตั ิศาสตร์แห่งการต่อส้ทู างชนชนั้ ตามทฤษฎีของมาร์ก เพราะขบวนการเลิก ทาสในอิสลามเกิดขึน้ โดยฝ่ ายผู้ปกครอง (ท่ีมาร์กซมองว่าคือฝ่ ายผู้กดข่ี) ซ่ึงกลายม าเป็ น กระบอกเสียงแก่ทาสทงั้ ผองเสียเอง ตวั ท่านศาสนทตู และอคั รสาวกคนสําคญั เช่น ท่านอมุ รั อิบ 12 ศอฮฮี ฺมสุ ลมิ . กติ าบลุ อติ ก.ฺ หมายเลขหะดษี : 1509

~ 33 ~ นคุ อ็ ฏฏ๊อบ เองจดั อย่ใู นฐานะผ้ปู กครองสงู สดุ ของรัฐอสิ ลามแห่งอารเบียต่อส้ดู ําเนินการเพ่ือปลด แอกทาสให้เป็นไทมาโดยตลอด แม้กระทง่ั ในทกุ อณขู มุ ขนลมหายใจของทา่ นนบีเองก็สะท้อนภาพ ของผ้เู ป็น ‚บิดาแห่งทาส‛ ตามท่ีท่านอบิ นกุ ะษีร นกั ประวตั ศิ าสตร์มสุ ลมิ ได้บนั ทึกเร่ืองราวของท่าน เซด อบิ นฮุ ะริษะฮฺ ผ้มู ีสถานะเดิมคือ ‚ทาส‛ ของท่านนบี ไว้ในหนังสือ ‚กิศอศุลอัมบิยาอฺ‛ ของ ท่านวา่ เมื่อตอนท่ีพอ่ ของเซดมาขอไถ่ตวั เซดจากการเป็นทาสของท่านนบี กลบั กลายเป็ นฝ่ ายเซด เสียเองท่ีออกมารับแทนนบีด้วยการปฏิเสธการไถ่ตวั จากพ่อของเขา โดยเซดได้ตอบไปว่า การ ปฏิบตั ขิ องท่านนบีมฮุ มั มดั นนั้ แม้ฉนั จะมสี ภาพ ‚เดิม‛ คือ ทาส แต่ท่านนบีปฏิบัติตอ่ ฉนั ราวลกู ใน ไส้แท้ๆของท่านด้วยเหตนุ ีบ้ ิดาของเซดจึงจํายอมกลบั บ้านและปลอ่ ยให้เซดอย่กู ับท่านนบีตอ่ ไป และนนั่ คอื ท่ีมาของการท่ีชาวอาหรับพิจารณาวา่ ท่านเซดคอื บตุ รบญุ ธรรมของท่านนบี ศอ็ ลฯ13 การ ปฏบิ ตั ิของทา่ นนบีตอ่ ทาสของท่านอย่างเลศิ งามเชน่ นีส้ ง่ ผลให้ประวตั ศิ าสตร์ต้องโจษจนั ท์ไปชวั่ ชีพ วา่ มหาศาสดาท่ีนิตยสาร Times เคยยกให้เป็ นมหาบุรุษโลกหมายเลข 1 นีอ้ าจจะเป็ นมนษุ ย์คน เดียวท่ีทาสเตม็ ใจจะเป็นทาสของท่านมากกวา่ ที่จะเป็นไทกบั ครอบครัวเดิมของตนเอง!!! ในขณะที่ การเลิกทาสในไทยแม้จะปรากฏหลกั ฐานวา่ ทาสบางสว่ นรํ่าไห้ที่ต้องจากนายไป แตน่ ัน่ เป็ นการร่ํา ไห้ของทาสที่เกิดจากการไร้ที่ทางทํากินในอนาคตของพวกเขา(เพราะอย่กู ับนายแม้วา่ จะไร้ เกียรติ แตไ่ มอ่ ดตาย) หาใช่การรํ่าไห้โดยมีที่ทางทํากิน มีครอบครัวบิดาบังเกิดเกล้ามารับไปอย่อู ย่างสขุ สบาย แตก่ ลบั ประสงคจ์ ะเป็นทาสดงั เร่ืองราวของท่านเซด!!! นบั เป็นเร่ืองที่น่าเศร้าใจระคนสงสยั แท้ ที่อิสลามซึ่งเป็ นศาสนาเดียวท่ีให้ความสําคญั ตอ่ การปลดแอกทาสได้ถกู ละเลยในความสําคญั ของหน้าประวตั ิศาสตร์บทนีจ้ ากเยาวชนและผอง วิชาการของเรา ผองมสุ ลมิ ได้สะท้อนภาพความเฉื่อยชาและวิสยั ทศั น์อนั คบั แคบด้วยการละเลย ความสนใจต่อปัญหาเรื่องทาสในกรอบคิดของอิสลาม บางคนของพวกเขาอ้างว่ายคุ สมยั นีไ้ ม่มี ทาสแล้วความจําเป็ นในการศึกษาเร่ืองของทาสจึงไมม่ ีเหลืออยู่!!? ปรากฏการณ์ข้างต้นคือภาพ สะท้อนปัญญาอนั วิประการของมสุ ลิมยุคปัจจบุ ันที่พิจารณาความรู้ทางศาสนาในมิติของสิ่งที่ ดําเนินและเก่ียวข้องกบั ชีวิตประจําวนั ของพวกเขาในด้านหนึ่งด้านใดเท่านนั้ ผลจากวิสยั ทัศน์ที่ ออ่ นแอข้างต้นยงั สะท้อนภาพของการเฉ่ือยชาตอ่ ประวตั ศิ าสตร์ในหม่พู วกเรา เพราะความสําคญั ของศาสตร์แหง่ ประวตั ศิ าสตร์นนั้ อยใู่ นมติ ิของปรัชญาท่ีว่ามนั คือกระบวนวิชาที่จะเสริมสร้างการ ตระหนกั รู้ในคณุ คา่ ของสิ่งท่ีเกิดขนึ ้ จากอดีตทงั้ ความผิดพลาดและความสําเร็จ ‚ทาส‛ ในฐานะ ระบอบสงั คมอนั ป่ าเถื่อนเก่าแก่ที่ไม่ปรากฏในโลกยคุ ปัจจุบันแล้วจึงเป็ นผลสะท้อนความล้าหลงั ทางประวตั ิศาสตร์ท่ีบงั เกิดแก่เหลา่ มสุ ลิมในวนั นีซ้ ่ึงมีลกั ษณะของการขาดอดุ มคติทางความเชื่อ 13 Imam Imaduddin Abul-Fida Ismail Ibn Kathir. Stories of The Prophets. Translated by Muhammad Mustapha Geme’ah, Al-Azhar P. 190

~ 34 ~ ทางประวตั ิศาสตร์ในการขบั เคล่ือนเพ่ือทํางานอสิ ลาม พวกเขาอ้างไปได้อย่างไรวา่ สงั คมมสุ ลิมไม่ มีความจําเป็นต้องสนใจเรื่องทาสอกี ตอ่ ไมก่ ็ในเม่ืออลั กุรอานเสียเองท่ีพูดถึงกฎเกณฑ์ของทาสไว้ อย่างมากมาย นน่ั หมายความวา่ หากวิภาษด้วยตรรกะชนิดเดียวกันมสุ ลิมเองไม่จําต้องเสียเวลา ศกึ ษาเรียนรู้ความหมายเชิงลกึ ของโองการอลั กุรอานที่ว่าด้วยระบอบทาสแล้วใช่หรือไม่!!? ที่ ซํา้ ร้ายยิ่งไปกวา่ นนั้ ทงั้ ที่ผลสํารวจจากการซกั ถามตอ่ เยาวชนของข้าฯมาตลอดหลายปี มานีส้ ะท้อน ภาพแห่งความอวิชชาในเร่ืองทาส กลา่ วคอื เมือ่ เราถามถงึ กฎเกณฑ์ข้อเทจ็ จริงที่อิสลามอนมุ ตั ิการ หลบั นอนกบั เชลย-ทาสหญิงจากสงคราม พวกเราจะพบความนา่ เศร้าใจว่าเกือบทงั้ หมดของพวก เขาไมร่ ู้ตนื ้ ลกึ หนาบางของเรื่องนีเ้ ลย เพราะพวกเขาสกั แตค่ ดิ อยา่ งวิประการว่าทาสมนั ไมม่ ีในโลก แล้วอย่าไปสนใจเลย อลั กรุ อานวา่ ไงก็วา่ ทอ่ งไปตามนนั้ น่ีคือภาพสะท้อนของการศกึ ษาอิสลามใน สงั คมแบบงๆู ปลาไร้การวิเคราะห์และดีแตท่ ่องจําใช่หรือไม่!!? พวกเขาอ้างวา่ อย่าไปสนใจเร่ือง ทาสเลยเพราะยคุ นีไ้ มม่ ีทาสแล้ว แตเ่ ม่อื มีบญั ชรวชิ าการจากพวกปฏเิ สธพระเจ้ามากมายกล่าวว่า อิสลามไมห่ ้ามเรื่องทาสย่อมหมายความวา่ อสิ ลามสง่ เสริมการมีทาส พวกเขากลบั ก่อจริตด้วยการ ตอบโต้ไมอ่ อกสํารอกไมถ่ กู ??! อสิ ลามให้ทหารมสุ ลมิ ร่วมประเวณีกบั เชลยหญิงที่จบั จากสงคราม ได้แสดงวา่ อนญุ าตการขม่ ขืนเชลยหญิงใชห่ รือไม่!!? พวกเขากเ็ งียบงงเป็ นเป่ าสาก!!? หากมสุ ลิม สมยั นีท้ ําสงครามแล้วเผอิญจับคนเป็ นเชลยมาล่ะ? จะเอามาทําทาสและหลบั นอนหรือทําเป็ น ‚นางบําเรอ‛ ได้อีกไหม !!? ทาสไม่มีแต่บญั ญัติเร่ืองทาสถกู ยกเลิกแล้วหรือยงั !!? แล้วอ้างมาได้ อยา่ งไรวา่ ไมต่ ้องศกึ ษาเร่ืองทาสเพราะทาสไมม่ ีแล้ว!!? ความอบั เฉาเบาวิชาการของสงั คมมสุ ลิม เชน่ นีน้ ี่เองที่สง่ ผลให้ศตั รูอสิ ลามรีบฉกฉวยวิกฤติเปล่ียนเป็ นโอกาส ด้วยการโหมกระหนํ่าทางส่ือ ต่างๆว่าอิสลามสอนให้กดข่ีทาส อิสลามเป็ นพวกอนรุ ักษ์ การมีทาส พวกเขาเสนอภาพเช่นนีไ้ ด้ เนื่องจากความล้าหลงั ของชาติมสุ ลิมในอาฟริกาบางประเทศท่ียงั คงระบอบทาสอนั กดข่ีมนษุ ย์อยู่ นี ้ผนวกกบั ความไมเ่ ดียงสาของโลกมสุ ลมิ ในประเดน็ เรื่องทาสนีจ้ ึงทําให้อิสลามถกู ประณามจาก ศตั รูวา่ เป็นศาสนาโบราณคร่ําครึท่ีไมย่ อมให้มีการเลิกทาส คนสว่ นใหญ่ของโลกนีเ้ ม่ือพูดถึงทาสก็ มกั นึกอิสลามเป็ นศาสนาแรกๆท่ีรังแกทาส และที่ร้ ายแรงไปกว่านนั้ ‚คนบ้าแห่งประวตั ิศาสตร์‛ (The Madman of History) บางคนอย่างเช่น นาย อาลี ดาชตีย์ อดีตรอฟิ เฎาะฮฺชีอะฮฺมรุ ตดั ก็ยัง หยิบประเดน็ เรื่องทาสมาโจมตีท่านนบีเสียได้วา่ ท่านคือ ‚ศาสดาเทียม‛ (False Prophet) เพราะ ท่านเป็นผ้ทู ่ีมีเอย่ี วกบั ระบอบทาส โดยอ้างวา่ ท่านนบีนนั้ เคยซือ้ ,และครอบครองทาสตลอดจนจับ คนมาเป็นเชลยดงั นนั้ ศาสนาอิสลามของทา่ นนบีจงึ ไมม่ ีความเป็ นสากลอย่ใู นตวั เอง โดยท่ีเขาไม่ พิจารณาเลยว่าท่านซือ้ ทาสมาเพื่อมอบชีวิตใหม่ที่ดีกวา่ แก่ทาส ท่านครอบครองทาสด้วยการ ปฏบิ ตั ติ อ่ ทาสเยี่ยงลกู ในไส้ดงั กรณีของท่านเซด น่ีคือความแปลกประหลาดท่ีสดุ ในมหาจกั รวาลนี ้ ที่มสุ ลมิ ถกู ใสร่ ้ายให้เข้าใจผิดในเร่ืองทาส และที่แปลกเพีย้ นที่สดุ เลยก็คือ พวกมสุ ลิมในไทยเรา ต้องศกึ ษาตงั้ แตช่ นั้ ประถมเกี่ยวกบั พระเดชพระคณุ ของ ร.๕ ในการเลิกทาส แตเ่ ม่ือศกึ ษาจุดยืน

~ 35 ~ อิสลามที่มีตอ่ ทาสคนวิประการบางคนกลบั มองว่าเสียเวลาท่ีจะทําการศึกษาเพราะโลกยุคนีไ้ มม่ ี ทาส!!? หนังสืออนั ตํ่าต้อยของข้าฯเล่มนีค้ ือความพยายามที่จะเสาะหาถึงคุณนปุ การท่ีศาสนา อสิ ลามได้กระทําไว้แก่มวลมนุษยชาติด้วยการปลดแอกมนษุ ย์จากระบอบทาสอนั เลวร้าย ในแง่ หน่งึ มนั ก็สะท้อนภาพของการเป็นศาสนาท่ีคํานึงถึงสิทธิมนุษยชนมนษุ ย์ของอิสลามท่ีคอยจัดหา มาตรการร้ อยแปดพันเก้ าในการเลิกทาสนับตงั้ แต่มนุษย์ยังค้าขายทาสเป็ นของปกติ ความ พยายามของขบวนการอิสลามในการปลอ่ ยทาสล้วนเป็นความพยายามท่ีกระทําไป ‚เพ่ือพระเจ้า‛ อย่างแท้จริงโดยไร้การแทรกแซงจากองค์กรสิทธิมนษุ ยชนใดๆ แตก่ ระนนั้ ก็ตามความเลวร้ายของ สอื่ มวลชนแหง่ ลทั ธิปฏเิ สธพระเจ้าก็คอื การกลา่ วโทษปัญหาแห่งระบอบทาสโดยโยนความผิดแห่ง ประวตั ิศาสตร์แก่ศาสนาอิสลาม กลา่ วคอื ทงั้ ที่อิสลามอบุ ัติขนึ ้ มาเพื่อริเริ่มจะปลดปลอ่ ยทาสก่อน ศาสนาอ่นื ใดทงั้ สนิ ้ แตก่ ลบั กลายเป็ นวา่ เมื่ออิสลามดําเนินนโยบายเลิกทาสแบบ ‚ทีละขนั้ ตอน‛ มากกวา่ ที่จะดาํ เนินนโยบายแบบ ‚เลกิ เดด็ ขาด‛ ซ่ึงในขณะเดียวกนั ระบอบทาสท่ีมีมากท่ัวทุกมมุ โลกกย็ ากเกินกวา่ ท่ีมวลมสุ ลิมและอสิ ลามเพียงกลมุ่ เดียวจะปลดแอกทาสได้หมดทุกคน เมื่อเห็น เช่นนีพ้ วกสือ่ มวลชนแห่งลทั ธิปฏเิ สธพระเจ้าจงึ ล้างสมองชาวโลกผ้อู คติบางสว่ นให้เข้าใจถือโทษวา่ ที่ระบอบทาสไมห่ มดสนิ ้ ไปจากสงั คมในตะวนั ออกกลางนนั้ เป็นเพราะอิสลาม!! มนั กลบั กลายเป็ น วา่ ทงั้ ท่ีอิสลามริเริ่มปลดแอกทาสนบั ตงั้ แตส่ มยั ท่ีศาสนาทงั้ หลายยงั มดุ ในกะโหลกกะลาไมใ่ ยดีตอ่ ทาส เพียงแตค่ วามที่อิสลามคํานงึ ถึงข้อเท็จจริงวา่ การห้ามทาสด้วยวธิ ี ‚เดด็ ขาด‛ นอกจากจะไม่มี ผลดีแล้วยงั เป็ นผลร้ายแก่สงั คมด้วยซํา้ (ดงั สงครามกลางเมืองในอเมริกาที่มีปมปัญหาจากเร่ือง ทาส) อสิ ลามจึงคอ่ ยปลดปลอ่ ยทาสอย่างเป็นขนั้ ตอน แต่ไปๆมาๆเมื่ออิสลามปลดแอกทาสได้ไม่ หมดก็กลบั กลา่ วโทษวา่ เป็นความผิดของอิสลามทงั้ ที่โลกทงั้ ผองนัง่ เมินเฉยดทู าสถกู กดข่ีกนั เป็ น เป่ าสากเสียแตแ่ รก!! มนั เหมอื นกบั ชายคนหน่ึงท่ีทนดบู รรดาคนติดยาเสพย์ติดในสงั คมไมไ่ ด้ เขา จึงอาสาลงมอื บําบดั อาการติดยาแก่คนเหลา่ นนั้ ด้วยวธิ ีการคอ่ ยๆลดการใช้ปริมาณยาของผ้เู สพย์ ลง มากกวา่ ที่จะห้ามเดด็ ขาดเพื่อเสี่ยงกบั การ ‚ลงแดงตาย‛ ของคนติดยา อยา่ งไรก็ตามในบรรดา คนตดิ ยาทงั้ หมด 80 คน มีเพียง 60 คนเท่านนั้ ที่สามารถเลิกยาได้จากวิธีการนี ้ ในขณะคนที่เหลือ อีก 20 คนไม่สามารถเลิกยาได้เนื่องจากอาการติดยางอมแงมเกินเยียวยา ถามวา่ มนั ถูกต้อง หรือไมท่ ี่สงั คมซึง่ เมินเฉยพวกคนติดยาเหลา่ นีต้ งั้ แตแ่ รกจะ ‚เสนอหน้า‛ มาดา่ วา่ ชายคนนีว้ า่ โหลย โท่ยห่วยแตกไร้นํา้ ยาหรือแม้กระท่งั กลา่ วโทษเขาวา่ การท่ีคนไมส่ ามารถเลิกยาได้ทงั้ หมด 80 คน นนั้ เป็นเพราะตวั เขาจ้นุ จ้านไมเ่ ข้าเร่ืองคนเดียว!! ทงั้ ท่ีสงั คมอื่นๆไม่เคยคิดย่ืนมือเข้าช่วยเหลือคน ตดิ ยากลมุ่ นีต้ งั้ แตแ่ รก แตเ่ มือ่ เขาอาสาแก้ปัญหานีด้ ้วยวิธีการ ‚คอ่ ยๆลดยา‛ ลงเพ่ือป้ องกนั การลง แดงจากการห้ามยาเด็ดขาดแต่กระนนั้ บางส่วนของผ้ใู ช้ยาก็ยงั ไม่สามารถเลิกยาได้ มนั ย่อมไร้ สาระและเลวร้ายท่ีสดุ หากเราจะกลา่ วโทษชายผ้นู ีว้ า่ การที่คนไมส่ ามารถเลิกยาได้หมด ‚ทกุ คน‛

~ 36 ~ นัน้ เป็ นเพราะวิธีการในการรักษาของเขา และพวกท่ีเหลืออีก 20 คนก็ถูกนําไปรักษาต่อท่ี โรงพยาบาลจนหาย ดงั นนั้ โลกจงึ ควรประณามชายคนนีแ้ ละยกยอ่ งพวกท่ีเมินเฉยในตอนแรกแล้ว ก็ฉวยโอกาสพา 20 คนที่เหลือไปโรงพยาบาล แน่นอนมนั ย่อมเป็ นเร่ืองเหลวไหลท่ีใครสกั คนจะมี พฤตกิ รรมดงั ตวั อยา่ งท่ีวา่ มา เพราะท่ีถกู ต้องแล้วเราควรยกย่องชายผ้นู ีใ้ นฐานะผ้รู ิเริ่มคนแรก ฉนั ท์ ใดก็ฉนั ท์นนั้ การที่พวกสมองบางสว่ นหนึ่งพยายามจะโจมตีอิสลามด้วยเหตผุ ลโง่ๆวา่ อิสลามไม่ ห้ามการมที าสอย่าง ‚เด็ดขาด‛ ดงั นนั้ จึงควรประณามอิสลามท่ีทําให้ระบอบทาสถกู มองวา่ ‚ไม่ บาป‛ ในหมผู่ ้คู นในตะวนั ออกกลาง ทงั้ ที่อสิ ลามก็ตกอยใู่ นสถานการณ์เดียวกบั ตวั อย่างของชายผู้ นีท้ ่ีริเริ่มใช้ความพยายามในการทําลายด้วยวิธีการคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป ซง่ึ อาจจะมบี างสว่ นท่ีหลงค้าง ตกเหลืออยู่ ดงั นนั้ การยกเลิกทาสขององค์กรสิทธิมนษุ ยชนสากลย่อมเป็ นส่ิงท่ีน่ายินดี แต่การ กลา่ วโทษวา่ ระบอบทาสอย่ไู ด้ในตะวนั ออกกลางและแอฟริกาเพราะกฎหมายอสิ ลามยอมรบั การมี ทาส ทงั้ ท่ีขณะเดียวกันอิสลามกลบั พยายามอย่างสดุ ความสามารถในการล้มล้างระบอบนีก้ ็คือ ความเลวพอๆกนั กบั ที่เรากลา่ วโทษชายผ้พู ยายามบําบัดอาการติดยาด้วยเหตผุ ลที่เขา ‚ไม่ห้าม‛ การเสพย์ยาอย่างเด็ดขาดทัง้ ที่เขาพยายามอย่างย่ิงยวดจนสดุ ความสามารถเพื่อให้ผ้ตู ิดยา สามารถเลิกยาได้ เพราะฉะนนั้ สิง่ ท่ีโลกควรกระทําคือยกยอ่ งสรรเสริญอิสลามในการพยายามดําริ ท่ีจะปลดปลอ่ ยทาสตงั้ แต่แรกเร่ิม แม้วา่ อิสลามจะไม่ห้ามการมีทาสอย่างเดด็ ขาดแต่กลบั หากล ยทุ ธ์ทําลายระบอบทาสในอีกทางหน่ึง และแม้ว่าอิสลามจะไม่สามารถเลิกทาสได้หมดทกุ คนบน โลกนีแ้ ตน่ น่ั กค็ ือส่ิงที่นา่ ยกยอ่ งในฐานะท่ีอิสลามริเร่ิมกระบวนการทําลายทาสขนึ ้ มาในตอนแรก คนโง่บางสว่ นอาจจะแย้งมาวา่ ฮกุ มุ่ อสิ ลามวา่ ด้วยเร่ืองทาสนนั้ ยงั ไม่ถกู ยกเลิก พูดอีกนยั หน่ึงกค็ ือ หากชาตทิ ่ีขาดการพฒั นาอย่างเชน่ มอริทาเนีย ยงั มกี ารใช้ทาสอยนู่ นั้ แสดงวา่ ไมเ่ ป็นไร ก็ เทา่ กบั อสิ ลาม ‚สง่ เสริม‛ การมีทาสหรือหากยคุ นีจ้ ะมีใครอตุ ริสร้างระบอบทาสขนึ ้ มาใหม่ก็ย่อม ‚ไมบ่ าป‛ ในทัศนะของอิสลามนนั่ เอง!! น่ีคือการวิเคราะห์ท่ีต้องขอใช้คําว่า ‚โง่แล้วอวดฉลาด‛ อยา่ งยิ่งเพราะประการแรกเลย ทาสไมใ่ ช่ระบอบท่ีอสิ ลามสร้างขนึ ้ แตม่ นั มมี าก่อนอิสลามนบั ร้อยปี แล้ว ประการที่สองเมือ่ ครัน้ อิสลามอบุ ตั ิมา อิสลามจํากดั การเพ่ิมปริมานของชนชนั้ ทาสด้วยการ ‚ห้าม‛ (หะรอม) นําคนอสิ ระมาเป็นทาสอกี ในขณะพวกท่ีเป็นทาสอย่แู ล้วอสิ ลามกเ็ ร่งหามาตรการ ปลดปลอ่ ยอย่างเป็นระบบ ประการท่ีสาม ดงั นนั้ การอ้างวา่ อิสลาม ‚ไม่ห้ามการมีทาส‛ ซึ่งถ้าใน ปัจจบุ ันใครจะสร้างระบอบทาสขนึ ้ มาใหม่ก็ย่อมไม่บาปหรือกระทําได้นนั้ คือคําอ้างท่ีผิดพลาด อย่างมากเพราะมนษุ ย์ในปัจจบุ นั เกือบทงั้ หมดของโลกไมใ่ ช่ทาสแต่เป็ นเป็ นเสรีชน และอิสลาม ‚ห้าม‛ การนําคนที่เป็นไทมาเป็นทาส ดงั นนั้ การไม่ยกเลิกฮุก่มุ ทาสของอิสลามจึงไมม่ ีส่วนเอือ้ ให้ ระบอบทาสเกิดขนึ ้ มาใหมต่ ามคนโง่ๆบางคนคิดกนั แตอ่ ยา่ งใด เพราะในอิสลามห้ามนําคนเป็ นไท มาเป็ นทาส และในอิสลามนัน้ การทําคนให้เป็ นทาสได้มีกรณีเดียวคือพวกท่ีตกเป็ นเชลยใน สงคราม ‚ญิฮาด‛ เพื่ออิสลามหรือพวกท่ีขดั ขวางมาดร้ายตอ่ อิสลามเทา่ นนั้ และการสงครามญิฮาด

~ 37 ~ ไมใ่ ชก่ ารรุกรานหาเรื่องผ้อู ืน่ ดงั นนั้ หากไมม่ ีใครขดั ขวางอิสลามทาสเชลยก็ย่อมเกิดขนึ ้ ไม่ได้ แต่ก็ นนั่ อีกแหละวา่ การที่อิสลามอนมุ ตั กิ ารทําคนให้เป็นทาสกรณีเชลยศึกเท่านนั้ ก็อาจจะมีบางพวก อ้างวา่ นนั่ ไงชอ่ งโหวข่ องกฎหมายอิสลามที่จะทําให้ทาสเกิดขนึ ้ ใหมไ่ ด้อีก เพราะสงครามยังมีอยู่ ตอ่ ไป ซึ่งประเด็นของ เชลยและการเป็ นทาสของเชลยสงครามนีจ้ ะได้วิเคราะห์เจาะลกึ ในส่วน เนือ้ หาตอ่ ไป อย่างไรกต็ ามในสว่ นของเชลยศกึ สงครามที่อิสลามอนุมตั ินนั้ ยงั มีข้อสบั สนทางกฎหมาย ดงั ท่ีได้กลา่ วไปแล้วคือ กรณีเชลยหญิงท่ีถูกจับมาในสงครามนนั้ หลกั การอิสลามอนุมตั ิให้ทหาร มสุ ลิมสามารถร่วมประเวณีกับพวกนางได้ ข้อบัญญัติทางกฎหมายประการนีจ้ ึงส่งผลให้เกิด จินตนาการท่ีเบ่ียงเบนคลาดเคลื่อนไปว่าอิสลามอนญุ าตการ ‚ข่มขืน‛ เชลยหญิงอนั เป็ นการ กระทําท่ีมนษุ ยชาติตา่ งประณาม มนษุ ยชาติตา่ งเป็ นสกั ขีพยานถึงความโหดร้ายท่ีผ้หู ญิงต้องตก เป็นเหย่ือกามราคะในสงครามอนั ห่ืนกระหาย ไม่วา่ จะเป็ นกรณีที่ทหารญ่ีป่ นุ ขม่ ขืนสตรีในเมือง นานกิงของจีนเกือบยกเมือง, การขม่ ขนื สตรีชาวเยอรมนั ตามท้องถนนเมอ่ื คราวที่กรุงเบอร์ลนิ ถกู โซ เวยี ตถลงุ จนพินาศ, การขม่ ขืนสตรีชาวเวียดนามและเกาหลีเหนือโดยตํารวจโลกอเมริกาพระเอก ตลอดกาลท่ีพี่ไทยเลียแข้งขามาตลอดนับตงั้ แตส่ มยั เผด็จการถนอม-ประภาสฯลฯ แล้วการที่ สงคราม ‚ญิฮาด‛ ของมสุ ลิมอนุมัติการหลับนอนกับเชลยหญิงได้การกระทําเช่นนีจ้ ะต่างกัน อยา่ งไรกบั กรณีตวั อย่างที่ยกมากระนนั้ หรือ? ด้วยเหตแุ ห่งความสบั สนในข้อกฎหมายนีจ้ ึงทําให้ หนงั สอื เลม่ นีอ้ าจจะกอปรไปด้วยการวิเคราะห์ทางกฎหมายอิสลามตามที่ความสามารถอนั น้อย นิดของข้าฯพอจะวิเคราะห์ได้ หนงั สือเลม่ นีจ้ ึงอาจจะไม่ใช่หนงั สือวา่ ด้วยการปลดแอกทาสของ อสิ ลามอยา่ งเดยี วซง่ึ จะรวมถงึ การวเิ คราะห์ข้อกฎหมายอิสลามประการนีแ้ ทรกด้วย ข้าฯขอยืนยันอีกครัง้ ครา ณ ท่ีนีว้ ่าประวัติศาสตร์การต่อสู้และความขดั แย้งของผอง มนษุ ยชาติคือประวตั ิศาสตร์แห่งการต่อส้รู ะหว่างฝ่ ายศรัทธาและฝ่ ายปฏิเสธต่อพระผ้เู ป็ นเจ้าท่ี แท้จริงทงั้ สนิ ้ ซง่ึ ในบางกรณีการฟาดฟันจนครึ่งคอ่ นโลกเกือบจะพินาศอบั ปางเช่น สงครามโลกครงั้ ที่ ๑ และ ๒ , สงครามเย็น ตา่ งกล็ ้วนเป็นปฏกิ ิริยาท่ีลทั ธิปฏิเสธพระเจ้าในรูปแบบและชื่อตา่ งๆฟาด ฟันกนั เพ่ือแยง่ ชิงพืน้ ท่ีความเป็นใหญ่บนโลกนขี ้ องลทั ธิตนภายใต้การดชู มของมารร้ายอิบลีสท่ีหลง ยิม้ กระหย่องย้อมใจที่ได้เห็นมนษุ ย์ชาตฟิ าดฟันกนั เพ่ือผลประโยชน์สงู สดุ ของตน นน่ั ก็คือ การลวง หลอกลกู หลานอาดมั ให้ถอยห่างจากการศรัทธาต่อพระเจ้าท่ีเที่ยงแท้ การฟาดฟันต่อส้กู ันของ มนษุ ยชาติในหน้าประวตั ศิ าสตร์จงึ มอิ าจจะจบสนิ ้ ได้ภายใต้เง่ือนไขลวงโลกอย่าง องค์กรสนั ตภิ าพ สากลในนาม U.N. หรือการจัดสมั มนาสมานฉนั ท์ในห้องแอร์เย็นฉํ่าแสนสบายภายใต้กองคราบ เลอื ดของมวลมนุษย์ท่ีถูกสงั หารมาอย่างยาวนาน หนทางเดียวของมนษุ ยชาติที่จะหลดุ พ้นจาก ทกุ ขอ์ นั เขญ็ ขมนีก้ ็คอื การเข้าร่วมเป็นสว่ นหน่ึงในการตอ่ ส้แู หง่ ประวตั ศิ าสตร์ โดยเลือกอย่ฝู ่ ายข้าง แนวทางที่ศรัทธาในพระผ้เู ป็ นเจ้าอย่าง ‚อลั อิสลาม‛ เพื่อปลดแอกมนุษย์จากการเป็ นทาสของ

~ 38 ~ ระบอบปฏิเสธพระเจ้า ความพ่ายแพ้ของระบอบปฏิเสธพระเจ้ าอย่างราบคาบเท่านัน้ จะนํา ความสขุ มาส่อู ารยะธรรมมนษุ ย์ได้ มนุษย์จึงมิอาจหลีกหนีจากประวตั ิศาสตร์แห่งการตอ่ ส้เู พื่อ กลบเกลือ่ นความขดั แย้งด้วยสนั ตภิ าพเทียมใดๆได้ เพราะมนษุ ย์ได้ถกู แบ่งกว้างๆเป็ นเพียงมนษุ ย์ ผ้ศู รทั ธาและมนษุ ย์ผ้ปู ฏิเสธตอ่ พระเจ้า ซง่ึ พวกแรกยืนอย่บู นประวตั ิศาสตร์ของการตอ่ ส้ใู นหนทาง ของพระองคอ์ ลั ลอฮฺ ในขณะที่พวกหลงั ยืนอยบู่ นประวตั ศิ าสตร์แห่งการตอ่ ส้เู พื่อระบอบปฏเิ สธพระ เจ้าในรูปแบบตา่ งๆทงั้ ปวง (4:76) การตอ่ ส้มู ิได้หมายความถงึ การจบั อาวธุ ฟาดฟันเพียงอย่างเดียว แตย่ งั รวมถงึ ‚ความขดั แย้งทงั้ ปวง‛ ระหวา่ งมนษุ ย์สองฝ่ ายไมว่ า่ จะเป็ นในด้านความคิด,วิชาการ, วิทยาศาสตร์และระบอบวถิ ีชีวติ การเมืองและสงั คมทงั้ หมดล้วนจะต้องถกู รวมเข้าอยใู่ นการตอ่ ส้ใู น หน้าประวตั ศิ าสตร์ทงั้ สนิ ้ หนงั สอื ของข้าฯเลม่ นีจ้ กั ขอเป็นสว่ นร่วมหน่ึงในการต่อสู้ของประวตั ิศาสตร์มนุษยชาติใน ฟากฝ่ังของชนที่ศรัทธาในพระเจ้า ด้วยความมน่ั ใจอย่างเปี่ ยมล้นว่าการตอ่ ส้กู ับศตั รูผ้โู อหงั ของ พระองคจ์ ะทําให้ผองเราลมิ ้ รสแหง่ ความสาํ เร็จจากคําสญั ญาของพระองค์ (5:35) แม้วา่ ภาวะโลก ในขณะนีจ้ ะถกู ปกคลมุ ไปด้วยพละกําลงั ของลทั ธิปฏิเสธพระเจ้าอย่างดาษดื่น จนประวตั ิศาสตร์ โลก ณ ตอนนีก้ ลบั กลายเป็นเพียง ‚ประวตั ิศาสตร์เพื่อฏอฆตู ‛ แตก่ ระนนั้ ก็ตามแม้ความทกุ ข์ระทม จะยาวนานปานใด แตท่ กุ ครงั้ ที่มสุ ลมิ ทกุ ผ้ทู กุ นามตระหง่านยืนขนึ ้ มาเพ่ือปกป้ องแนวทางอนั เที่ยง แท้ของพวกเขา บรรดามสุ ลิมได้ยืนขนึ ้ เพื่อคดั ค้านศตั รูในนามของชนผ้เู ปล่ียนประวตั ิศาสตร์ไปสู่ ประวตั ิศาสตร์หน้าใหมท่ ี่รัศมีของพระผ้เู ป็ นเจ้าจะส่องจรัสเจิดจ้าปกคลมุ ผองชนทกุ หย่อมหญ้า จากคาํ สญั ญาของพระองค์ท่ีจะให้ผองมสุ ลมิ ได้ครอบครองหน้าแผน่ ดินนีแ้ ละศาสนาของพระองค์ จักม่ันคงแผ่กว้างไร้ ส่ิงใดเทียมทาน (24:25) ชัยชนะอนั ย่ิงใหญ่จะต้องบังเกิดขึน้ จริงและ ประวตั ศิ าสตร์โลกภายใต้การตอ่ ส้ขู องศรัทธาชนจะผลกั ดนั ให้ลทั ธิปฏิเสธพระเจ้าของอิบลีสต้อง ปราชยั ไปในท่ีสดุ ประวตั ิศาสตร์โลกจะต้องแปรเปลี่ยนไปสปู่ ระวตั ิศาสตร์แห่งชัยชนะของฝ่ ายผู้ ศรัทธาในพระเจ้า และประวตั ิศาสตร์ทงั้ ผองจะต้องถกู จารึกในฐานะ ‚ประวตั ิศาสตร์เพ่ือพระเจ้า‛ และโดยพลานภุ าพของพระเจ้าที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดยี วคอื พระองคอ์ ลั ลอฮฺศบุ ฮานะฮวุ าตะอาลา ขอประวตั ิศาสตร์จงมีเพียงไว้เพ่ือรับใช้แดพ่ ระอลั ลอฮฺเพียงผ้เู ดยี วเทอญ หรือท่านกาลังอย่นู อกประวัตศิ าสตร์? ชรั ฟดุ ดนี อามลิ ี (กลมุ่ อซั ซาบิกนู ) [email protected]

~ 39 ~ บทท่ี 2 มายาคติทาสแห่งโลกตะวันตก ในชว่ งเพลาสายของฤดรู ้อนวนั หนึ่ง ข้าพเจ้าถกู ปลกุ ขนึ ้ มาจากห้วงวงั วนแหง่ การหลบั ใหล ด้วยเสียงโทรศพั ท์มือถือที่ร้องแผดลน่ั อย่ตู รงมมุ ห้องของข้าฯ เม่ือชําเลืองดกู ็ปรากฏวา่ เป็ นเบอร์ โทรศัพท์ของท่านอาจารย์ชะรีฟ วงศ์เสงี่ยม อามีรกลุ่มอัซซาบิกูนผู้จัดเจนในเร่ืองศาสนา เปรียบเทียบของเรานี่เอง หลงั จากกดรบั สายตามปกติวิสยั แล้วท่านอาจารย์ชะรีฟกบ็ อกสนั้ ๆแค่ว่า คณุ อซี า(สมาชิกกลมุ่ อซั ซาบิกนู อดตี คริสตช์ นท่านหนึ่ง)สงสยั ในเรื่องของทาสอนั เป็ นฐานันดรทาง สงั คมแขนงหนึ่งที่ได้มีการกล่าวถึงในศาสนาอิสลาม จึงอยากจะให้ข้าฯช่วยไขข้อข้องใจกนั เสีย หน่อยเนื่องเพราะไปอา่ นอลั กรุ อานแปลไทยฉบบั ของนกั เรียนเก่าอาหรบั โองการว่าด้วยเชลย-ทาส หญิงซ่งึ ทหารมสุ ลิมได้รับอนมุ ตั ิให้หลบั นอนด้วยได้โดยไมต่ ้องแตง่ งาน (4:24) ข้าพเจ้าจึงชีแ้ จงแก่ คณุ อีซาไปและหลงั จากการเสวนาไขข้อข้องใจกนั ในเร่ืองทาสแล้วเราตา่ งก็จบการสนทนาและแยก ย้ายกนั ไปตามวถิ ีทางของตน อยา่ งไรก็ดตี ลอดวนั นนั้ ข้าฯเกิดความกระวนกระวายใจตอ่ แรงกระต้นุ ในห้วงจิตสํานึกบาง ประการซง่ึ กําลงั ถกู พรํ่าเรียกอย่ใู นดวงจิตมากขนึ ้ ทกุ คราที จนเป็ นผลให้ดวงจิตต้องเกิดอาการไม่ สงบอย่รู ่ําไปเนื่องด้วยรู้อยใู่ นทรวงอกวา่ เรื่องราวข้อข้องใจเกี่ยวกบั เรื่องทาสท่ีข้าฯได้รับการถามไถ่ เม่อื เช้านี ้ในกาลหน่งึ แล้วกเ็ คยเป็นปัญหาคาใจแก่ข้าฯจนต้องร้อนรนค้นคว้าเพ่ือแสวงหาคําตอบ กนั ชนิดทกุ ลกั ทเุ ลพอดู อาจจะด้วยประเดน็ ดงั กลา่ วเป็นประเดน็ ออ่ นไหวในทางประวตั ศิ าสตร์และ ศลี ธรรมซึ่งลอ่ แหลมตอ่ การเบี่ยงเบนความเข้าใจอนั ถกู ต้องตามเจตคติของอิสลามได้ คําปรารภ ของคณุ อีซาท่ีสะท้อนความออ่ นไหวและความลอ่ แหลมของการเข้าใจผดิ ซ่ึงกอ่ เค้าแห่งจินตนาการ วา่ อสิ ลามคือศาสนาท่ีอนมุ ตั ิเรื่องการหลบั นอนกบั สตรีทาสที่ถกู จบั มาเป็นเชลยจากสงคราม(โดยมิ ต้องแตง่ งาน)คล้ายกบั จะตอกยํา้ ความพยายามของเหลา่ บรู พาคดีผ้แู ผดเผาไปด้วยเพลงิ แหง่ โมหะ คติซ่ึงกําลงั โหมกระหน่ําโฆษณาชวนเช่ืออย่ใู นร่มธงแห่งชาติยโุ รปว่าอิสลามคือศาสนาแห่งการ ขม่ ขนื เชลยหญิง!!อสิ ลามคอื ศาสนาที่อตุ ริสงั คมทาสอนั ชวั่ ร้ายขนึ ้ มา!!มฮุ มั มดั คือชายผ้ขู ม่ ขืนสตรี เพศจากสงครามและพ่อค้าทาส!!(ขออภยั โทษต่ออลั ลอฮฺท่ีข้าฯต้องเอย่ คําโฆษณาวิตถารเช่นนี)้ ปมปัญหาในหลกั การอสิ ลามข้อนีร้ บเร้าจิตใจข้าฯให้รีบลงมือเขยี นเอกสารชีแ้ จงประเด็นนีโ้ ดยเร็ว แต่กระนัน้ ก็ดีเน่ืองด้วยภาระที่กําลงั ง่นุ ง่านสาละวนกับการเรียบเรียงหนังสือเล่มใหม่อย่นู ัน้ จึง ผลกั ดนั ให้ข้าฯต้องผละทิง้ เจตนารมณ์ดงั กลา่ วนีไ้ ปพร้อมกับปลอบใจตวั เองวา่ คงไมเ่ ป็ นไรกระมงั เพราะในสงั คมไทยยงั ไมป่ รากฏการถกเถียงในปัญหาดงั กลา่ วนีจ้ ึงมิควรชกั ศกึ เข้าบ้านเสยี กอ่ น!! วนั รุ่งขนึ ้ ในขณะท่ีกําลงั โลดแลน่ หาความรู้อย่ใู นโลกไซเบอร์นนั้ หวั สมองก็พลนั สงั่ การให้ ลองค้นหาคําว่าทาสหญิงหรือเชลยในเวปกูเกิล้ ดู การค้นหาครัง้ นีไ้ ด้นําพาข้าฯให้ตระหนักถึง

~ 40 ~ ปัญหาร้ ายแรงประการนีแ้ ล้วเน่ืองเพราะข้าฯได้พานพบเห็นกระดานเสวนาในเว็ปพนั ธ์ทิพย์อนั เพียบพร้อมไปด้วยเหลา่ ผ้สู ะพรึงชังในอลั -อิสลามสดุ ประดามีกําลงั วิพากษ์อิสลามกันอย่างสนกุ ปากจากประเดน็ เรื่องของการมีเพศสมั พันธ์กบั ทาสหญิงในสงคราม คนเหล่านีป้ ระโคมคบเพลิง พยาบาทแก่ลกู สมนุ ของตนเองด้วยข้อหาตา่ งๆนานาจนท้ายท่ีสดุ ก็สรุปเอาดือ้ ๆวา่ เป้ าหมายเบือ้ ง ลกึ ท่ีกระต้นุ เหลา่ ทหารมสุ ลิมให้ออกส่กู ารญิฮาดก็หมายเพียงแค่จะครอบครองหญิงเชลยงามๆ และนํามาปรนเปรอเพ้อใคร่ระเริงกามารมณ์กนั เสยี มากกวา่ !! ครนั้ เมือ่ เหน็ การณ์เป็นเชน่ นีแ้ ล้วข้าฯกม็ อิ าจนง่ิ เฉยทนตอ่ ไปได้อีก ต้นฉบบั หนงั สอื เลม่ ใหม่ จงึ ถกู ปัดออกไปจากสารบบการทํางานเสียกอ่ นแล้วจึงเร่ิมลงมือเขียนหนังสือชิน้ นีข้ นึ ้ แทน ซึ่งหาก จะให้วพิ ากษ์วิจารณ์ถึงข้อกล่าวหาที่ปรากฏอย่ใู นเวป็ พันธ์ทิพย์นนั้ ก็คงมิใช่บทวิเคราะห์ในเร่ือง ทาสที่แปลกใหมแ่ ตอ่ ยา่ งใดเลย เป็นแตเ่ พียงแคก่ ารคดั ลอกข้อมลู จากเว็ปไซต์ฝรั่งตา่ งๆท่ีอคติตอ่ อิสลามอย่างนา่ เวทนามานําเสนอเพ่ือปลกุ กระแสชาตนิ ิยมเกลียดมสุ ลิมขนึ ้ ในชาตเิ ท่านนั้ ! เมือ่ พดู ถึงส่ิงที่ถกู เรียกกนั ในภาษาของมนษุ ย์วา่ ทาส (Slave) ห้วงความเข้าใจของผ้คู นท่ี ได้รับฟังถึงคําศัพท์นีม้ กั จะก่อเกิดความรู้สึกสะอิดสะเอียนและโกรธแค้นถึงความเลวร้ ายของ ระบอบสงั คมในยคุ อดตี ที่ได้มสี ว่ นร่วมในการรังแกบีฑากดขี่มนุษย์ด้วยกันภายใต้ปลกั ของความ เป็น “ทาส” ซึ่งสอ่ ภาพของความไร้ซ่ึงอิสรภาพและเสมอภาคที่มนุษย์กลมุ่ ผ้อู อ่ นด้อยได้รับการยัด เยียดในสถานภาพดงั กลา่ ว พร้อมกนั นีค้ วามเกลยี ดชงั ดงั กลา่ วกม็ กั ผลกั ดนั ความรู้สกึ ไปในทิศทาง เดยี วกนั ในลกั ษณะของการเกลยี ดชงั และอคตติ อ่ ระบอบความคิดและสงั คมวฒั นธรรมใดๆก็ตาม ในอดีตท่ีมีส่วนร่วมรู้เห็นสนับสนุนต่อการคงอยู่ของระบอบอนั โสมมเช่นระบอบทาส (Slavery) ดงั นนั้ โดยพืน้ ฐานแล้วหากมรี ะบอบความเชื่อใดๆที่พิจารณาอยา่ งผิวเผนิ แล้วเป็นสิ่งที่สอ่ แววว่าจะ สนับสนุนตอ่ การมีอยู่ของทาสระบอบนนั้ ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็ นระบอบท่ีช่ัวร้ายในสายตาของ มนษุ ย์ในกาลปัจจบุ นั อนั เน่ืองจากโลกทศั น์ของผ้คู นในยุคร่วมสมยั ที่ถวิลหาความเสมอภาคและ อิสรภาพตามสโลแกนสวยหรูของลัทธิประชาธิปไตยนั่นเอง อิสลามซึ่งโดยพืน้ ฐานแล้วมีการ บญั ญัติกฎหมายเกี่ยวกบั ระบอบทาสจึงมกั ตกเป็ นเป้ าของการหม่ินเหมโ่ จมตีอย่างมืดบอดเสมอ มา ในมมุ มองของข้าฯแล้ว หากไมน่ บั ปัญหาของการวพิ ากษ์เรื่องการแตง่ งานระหวา่ งทา่ นนบี ศอ็ ลฯ กับท่านหญิงอาอิชะฮฺ รอฏิฯ ปัญหาเร่ืองทาสนับได้วา่ เป็ นประเดน็ ปัญหาท่ีถูกหยิบยกมา โจมตใี ห้ร้ายอย่างคลาดเคล่ือนตอ่ อิสลามมากที่สดุ ข้าฯเองในฐานะคนที่ชอบตะลอนไปกบั โลกไซ เบอร์พบเห็นอย่างทนั ตาเลยว่าในบรรดาประเดน็ “พระเอก” ที่พวกตอ่ ต้านอิสลามในเวป็ ไซต์มกั หยิบยกโฆษณากนั ชนิดสะบนั้ หนั่ แหลกก็คือการมีอย่ขู องกฎหมายอิสลามในการยอมรับระบอบ ทาส ดงั นนั้ ก่อนจะได้เข้าไปวิพากษ์วิจารณ์กันในรายละเอียดถึงข้อกฎหมายอิสลามในเร่ืองของ

~ 41 ~ ระบอบทาสนนั้ ข้าฯเห็นวา่ ควรจะมีการรือ้ ถอน (Struggle) และทําลายความเข้าใจผิดๆในเร่ือง ทาสอยา่ งเป็นขนั้ เป็นตอนเสยี กอ่ น ทาส : กบั ความพยายามขององคค์ วามรู้ตะวนั ตกในการหาแพะรับบาป ระบอบทาสถือได้ ว่าเป็ นระบอบแห่งความด่างพร้ อยของมวลมนุษยชาติที่นัก ประวตั ิศาสตร์ตา่ งก็พยายามท่ีจะหาคาํ ตอบถงึ สาเหตแุ หง่ การเกิดขนึ ้ ของระบอบอนั ชวั่ ร้ายดงั กลา่ ว นีม้ าโดยตลอด โลกตะวนั ตกซง่ึ ถกู ปกครองด้วยร่มธงของวิชาความรู้ในแบบคริสต์เตียนตลอดจน ลัทธิปฏิเสธพระเจ้ าต่างก็มุ่งมาดพยายามท่ีจะหาผู้รับผิดชอบต่อก ารคงอยู่ของระบอบนี ้ กระบวนการกล่อมเกลาความรู้แก่ผ้คู นผา่ นงานเขียนทางวิชาการและสื่อคืออาวธุ ชิน้ เด็ดท่ีโลก ตะวนั ตกได้สร้างตราบาปให้แกป่ ระชาชาติอสิ ลามในเรื่องของการมีอย่ขู องระบอบทาสในภมู ิภาค ตะวนั ออกกลาง ความอาฆาตมาดร้ายของโลกคริสต์เตียนและยโุ รปภายใต้ลทั ธิปฏิเสธพระเจ้าท่ี ถกู ฟมู ฟักมาอย่างยาวนานได้สรรสร้างคําอธิบายแก่พวกเขาว่าการคงอยู่ของระบอบทาสในยุค ปัจจบุ นั นนั้ เป็ นผลมาจากตวั ตนของศาสนาอิสลามเอง และเพื่อบิดเบือนข้อใสไ่ คล้เหล่านีใ้ ห้ดมู ี ความน่าเชื่อถือมากขนึ ้ การหยิบยกประเดน็ ทางข้อกฎหมายอิสลามมานําเสนอตบตาแก่ชาวโลก วา่ กฎหมายอิสลามยอมรับการมีทาส(มแี ล้วไมบ่ าป) จงึ เป็นประเดน็ สาํ คญั ทีถ่ กู หยิบยกมานําเสนอ กนั บอ่ ยครงั้ ในระยะหลงั ๆมา ดงั ที่เราจะพบวา่ สื่อตะวนั ตกนนั้ ได้หยิบฉวยสภาวะของชาติแอฟริกา มสุ ลิมบางชาติที่ขาดการพัฒนาและยังคงไว้ซึ่งระบอบทาสมาเป็ นตัวโฆษณาถึงการมีอยู่ของ ระบอบอนั ป่ าเถ่ือนนีเ้ พื่อดงึ ดดู ใจผ้คู นให้เกิดความเหน็ ใจต่อทาสเหลา่ นนั้ และสร้างความเกลียชงั ตอ่ ชาวมสุ ลิมและศาสนาอิสลามในฐานะผู้คํา้ จนุ ตอ่ การมีอย่ขู องระบอบนี ้ เรามกั จะได้รับทราบ และพบเหน็ ตามสอื่ สารคดีตะวนั ตกเก่ียวกบั เร่ืองนีถ้ ึงการทรมานกดขี่ทาสดงั ท่ีได้ถกู กระทําอย่ใู น ชาติมสุ ลิมบางชาติ โดยเฉพาะในชาตมิ สุ ลมิ บริเวณแอฟริกาและตะวนั ออกกลางท่ีระบอบการทํา คนเป็นทาสยงั คงมีอยกู่ ระทงั่ ทกุ วนั นี1้ 4ประเทศซดู านคือหนง่ึ ในประเทศมสุ ลิมท่ีได้ถกู โจมตวี า่ ยงั คง มรี ะบอบทาสอย่ใู นแถบท้องท่ีชนบท15แตก่ ย็ งั ถือวา่ น้อยกวา่ ประเทศมอริทาเนียซึ่งประมาณการณ์ กนั วา่ มีทาสมากถงึ 6 แสนคนจากผ้ชู าย,สตรีและเดก็ หรือคิดเป็น 20 % ของประชากรทงั้ หมดและ โดยมากถกู บงั คบั เป็นทาสเพ่ือใช้เป็นแรงงานในการผลิต16 14 Does Slavery Still Exist?. : http://www.anti-slaverysociety.org/slavery.htm. 15 John Eibner. My Career Redeeming Slaves. : http://www.meforum.org/449/my-career-redeeming- slaves 16 The East African. Mauritania made slavery illegal last month. : http://www.saiia.org.za/governance-and-aprm-opinion/mauritania-made-slavery-illegal-last- month.html

~ 42 ~ การคงอย่ขู องระบอบทาสอันล้าหลงั ในชาติมสุ ลิมท่ีขาดการพัฒนาเหล่านีบ้ ่อยครัง้ มัก ได้รบั การอธิบายถึงสาเหตแุ หง่ การดาํ รงอยอู่ ย่างเชื่อมโยงต่อหลกั การอิสลามว่าเป็ นส่วนสําคญั ที่ ได้สร้างความสมั พนั ธ์ทางสงั คมในรูปแบบทาสให้เกิดขนึ ้ ในทวีปแอฟริกาและตะวนั ออกกลาง ดงั ที่ เราจะพบวา่ ภายใต้คําอธิบายถงึ การกําเนิดขนึ ้ ของสาธารณรัฐอิสลามแห่งซาอดุ ิอารเบียของวงศ์ ซาอ๊ดู การมีอย่ขู องระบอบทาสในรัฐซาอดุ ิอารเบียจนถึงปี 1960 มากถึง 3 แสนคน กไ็ ด้กลบั กลาย มาเป็นข้อเทจ็ จริงเชิงสถิตซิ ึ่งสร้างภาพตวั แทนตอ่ กฎหมายและรฐั อสิ ลามอยา่ งผดิ ๆวา่ คํา้ จนุ ตอ่ การ มอี ยขู่ องระบอบทาสดงั กรณีของรฐั ซาอดุ อิ ารเบียที่ถกู ปกครองด้วยกฎหมายอิสลามเอง17 ความพยายามในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสงั คมผ่านตวั แปรของทาสในองค์ความรู้ จากโลกตะวนั ตกดงั ท่ียกตวั อยา่ งกลา่ วไปนนั้ ได้พิสจู น์แกเ่ ราอย่างชดั แจ้งว่าบางครัง้ ความลําเอียง เป็นสง่ิ ท่ีมอี ยใู่ นหมชู่ าวตะวนั ตกชนดิ ไมเ่ คยจางหายและการขาดการลาํ ดบั เหตกุ ารณ์ที่ถกู ต้องกม็ กั สง่ ผลตอ่ การวิเคราะห์ความป่ วยไข้ของสังคมได้อย่างขลาดเขลาเช่นกนั ความพยายามท่ีจะยัด เยียดให้อิสลามต้องเป็นผ้แู บกรับความรับผิดชอบตอ่ การเกิดขนึ ้ ของระบอบทาสในดนิ แดนดงั กลา่ ว ถือวา่ เป็นความอธรรมท่ีองค์ความรู้ใดๆกต็ ามมิอาจจะยอมรับได้ด้วยประการทงั้ ปวง หากแม้นว่า การดาํ รงอย่ขู องทาสในอาณาบริเวณใดในสมยั ปัจจุบันหรือการปรากฏร่องรอยของการมีอย่ขู อง ระบอบดงั กลา่ วในยคุ สมยั หลงั สงครามโลกเป็นต้นมาคอื ข้อตดั สินท่ีทําให้ศาสนาหลกั ในท้องท่ีเป็ น ผ้รู ับผิดชอบแล้วไซร้ ข้าฯเองก็มิอาจทราบได้วา่ พวกนกั วชิ าการที่มีอคตติ อ่ อสิ ลามเหลา่ นีจ้ ะทําการ สรุปเอาอยา่ งดอื ้ ๆดงั่ ท่ีทํากบั อิสลามหรือไมว่ า่ ทกุ ศาสนาบนโลกใบนีล้ ้วนมีสว่ นร่วมในการกดขี่คํา้ จนุ ตอ่ ระบอบทาสทงั้ สนิ ้ !!? เมอ่ื เราพิจารณาจากข้อเท็จจริงท่ีวา่ ตวั เลขที่ได้รับการประมาณการณ์ วา่ ในโลกยคุ ปัจจบุ นั ยงั คงมปี ระชาการโลกท่ีตกอยใู่ ต้สภาพของความเป็นทาสสงู ถงึ 12 ล้าน18หรือ อาจจะมากถึง 27 ล้านคน19และพืน้ ที่ที่คาดการณ์วา่ มีประชาคมทาสใหญ่ที่สดุ ก็คือดินแดนเอเชีย ใต้ที่การเป็ นทาสของผ้คู นโดยมากมกั มาจากปัญหาของการเป็ นหนีส้ ินที่ไม่อาจชดใช้ ทาสใน ดนิ แดนเหลา่ นีจ้ ึงมกั ตกอย่ใู นสภาพคล้ายคลงึ กบั ทาสในยคุ อดตี ที่ยอมขายตวั เองเป็นทาสสนิ ไถ่แก่ เจ้าหนีจ้ นบอ่ ยครงั้ การเป็นทาสกม็ ีการสบื ทอดไปยงั ชนรุ่นตอ่ มา20ดงั นนั้ สภาพของทาสในยคุ สมยั ที่ ผ้คู นตา่ งภมู ใิ จตอ่ ความเบ่งบานของประชาธิปไตยนนั้ ระบอบทาสยงั ไมเ่ คยสญู หายไปจากมนษุ ย์ แตอ่ ยา่ งใด อีกทงั้ นกั วิชาการที่มองการณ์ไกลและลกึ ลํา้ ก็ได้มีความพยายามจะวิพากษ์วา่ ระบอบ ทาสยงั ไมเ่ คยหมดไปจากสงั คมมนษุ ย์หากแต่ได้แปรรูปของระบอบนีเ้ ข้าส่กู ระบวนการผลิตแบบ 17 Islam and slavery : http://www.bbc.co.uk/religion/religions/islam/history/slavery_8.shtml. 18 Forced labour : http://www.ilo.org/global/Themes/Forced_Labour/lang--en/index.htm. 19 E. Benjamin Skinner. Sex trafficking in South Africa: World Cup slavery fear . : http://www.time.com/time/magazine/article/0,9171,1952335,00.html. 20 Slavery in the 21st century. : http://www.newint.org/issue337/facts.htm.

~ 43 ~ ใหมใ่ นยุคสมยั ท่ีเศรษฐกิจทนุ นิยมและโรงงานอุตสาหกรรมเกิดขนึ ้ และการทํางานดจุ สตั ว์ของ มนษุ ย์ในระบอบเศรษฐกิจเหลา่ นีด้ ้วยสภาพท่ีไมต่ า่ งอะไรจากทาสแรงงานในอดีต มนษุ ย์ในยคุ ปัจจบุ นั นีจ้ งึ สมควรแกก่ ารภมู ใิ จกบั การหมดไปของทาสจริงหรือ???! นกั วชิ าการได้พิจารณาวา่ เงื่อนไขที่จะถกู ถือวา่ สงั คมทาสจะยังคงมีอย่ใู นยคุ สมยั ปัจจุบัน นนั้ ประกอบไปด้วยสภาพความสมั พนั ธ์ระหวา่ งบคุ คลที่เป็ นไปในทางลบหลากหลายรูปแบบ เช่น ทาสหนีส้ ิน (debt bondage),ข้าติดที่ดนิ ,ทาสครวั เรือนหรือแม้กระทงั่ การบงั คบั เด็กทํางาน,ทหาร เดก็ และการบงั คบั การแตง่ งานกต็ ามแต2่ 1เม่อื พิจารณาจากข้อเท็จจริงส่วนนีเ้ ราก็จะพบว่าระบอบ สงั คมทาสยงั มิได้หายไปแตอ่ ย่างใดเลยในโลกยุคร่วมสมยั และแม้กระทง่ั ปัจจบุ นั เองก็ตาม ใน ประเทศจีนแม้วา่ รัฐบาลจะประกาศเลิกทาสอยา่ งเป็นทางการขนึ ้ ในปี 1910 แตก่ ระนนั้ ก็ตามการมี อย่ขู องระบอบทาสก็ยงั คงได้รับการปฏิบตั ิอย่ตู อ่ ไปในบางพืน้ ที่ของประเทศ22ในรัฐฟลอริดาของ สหรฐั อเมริกาเองการมที าสอย่างผิดกฎหมายกย็ งั คงดาํ เนินอยอู่ ยา่ งลบั ๆตอ่ ไป กลา่ วกนั วา่ จํานวน ของทาสมีมากถงึ 1,000 คนซึ่งถกู บงั คบั ให้ใช้แรงงานในการก่อสร้าง23ขณะท่ีในปี 2007 มณฑล ฉานซีและเหินหนานของประเทศจีนได้เปิ ดเผยตวั เลขของคน 570 คนที่ได้ถกู จบั ไปเป็นทาสแรงงาน ในการผลิตก้อนอิฐ24ซง่ึ ในจํานวนนีม้ เี ดก็ รวมอยดู่ ้วยถงึ 69 คน25และในปี ถดั มา ระบอบทาสก็ยงั คง ถกู ค้นพบเจอในประเทศเนปาล สง่ ผลรฐั บาลเนปาลจําต้องทําการปล่อยทาสที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ในระบอบแรงงานบงั คบั ที่เรียกกนั วา่ Haliya ซึง่ มีคนเป็นทาสมากถงึ 20,000 คน26 ประเทศอินเดีย ก็เช่นเดียวกันท่ีต้องประสบกบั ปัญหาความเหล่ือมลํา้ ทางสงั คมที่เกิดขึน้ จากความล้าหลงั ทาง ศรัทธาของพวกเขา ชนชนั้ จณั ฑาลซง่ึ มีสภาพชีวติ ที่ตํ่ากวา่ สนุ ัขถือวา่ เป็ นประชากรที่มีมากถึง 40 ล้านคนในประเทศอินเดยี ซ่งึ ต้องถกู บงั คบั ทํางานด้วยข้อสญั ญาท่ีผกู มดั พวกเขาจนกวา่ พวกเขาจะ 21Religion & Ethics – Modern slavery: Modern forms of slavery. : http://www.bbc.co.uk/ethics/slavery/modern/modern_2.shtml. 22 Convictions in China slave trial. : http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/6902459.stm. 23Florida Modern-Day Slavery Museum An examination of the history and Evolution of slavery in Florida’s !elds. : http://www.ciw-online.org/freedom_march/MuseumBookletWeb.pdf 24 Convictions in China slave trial. : http://news.bbc.co.uk/2/hi/asia-pacific/6902459.stm. 25 Zhe, Zhu. More than 460 rescued from brick kiln slavery. http://www.chinadaily.com.cn/china/2007-06/15/content_894802.htm. 26 Nepal abolishes slave labour system. : http://www.abc.net.au/news/stories/2008/09/08/2357789.htm?section=justin

~ 44 ~ ทํางานชดใช้หนีส้ ินจนหมดในสภาพท่ีไมต่ า่ งอะไรกบั ทาสสินไถ่ในอดตี เลย27ส่วนประเทศบราซิลที่ อย่ใู นละตนิ อเมริกาเองกย็ งั คงหลงเหลือทาสมากถึง 5000 คนและพ่ึงจะได้รับการช่วยเหลือจาก เจ้าหน้าท่ีรัฐในช่วงปี 2008 นีเ้ องด้วยซํา้ 28ส่วนประเทศเอธิโอเปี ยนนั้ ในช่วงปี 1930 เองตวั เลขท่ี ประมาณการณ์การมอี ย่ขู องทาสกส็ งู ถึง 2 ล้านคน29เช่นเดยี วกนั กบั ประเทศเกาหลีระบอบทาสได้ ถูกยกเลิกอย่างเป็ นทางการในนโยบายการปฏิรูปประเทศในปี 1894 (The Gabo Reform of 1894) แตท่ วา่ ในทางปฏิบตั ิระบอบทาสกลบั ยงั คงมีอย่ไู ปจนถงึ ปี 1930 ในสมยั ของชาวงศ์โชซอน ท่ีได้ปกครองเกาหลปี ระการณ์กนั วา่ ทาสมีมากถงึ 50 % ของประชากรเกาหลีใต้ทงั้ หมด30 จากข้อมลู ทงั้ หมดระบอบทาสมิใช่เป็นสิ่งท่ียงั คงหลงเหลอื ติดค้างเป็นปัญหาเพียงแคใ่ นรัฐ มสุ ลมิ เทา่ นนั้ หากแตท่ กุ พืน้ ที่ของทกุ ศาสนาตา่ งล้วนแล้วแตป่ ระสบปัญหาการมีอย่ขู องระบอบทาส ทงั้ สิน้ ถ้าเราใช้มาตรฐานทางตรรกะในแบบเดียวกันกับที่พวกตะวนั ตกกระทําต่ออิสลามเราจะ สามารถตดั สินไปในทิศทางเดียวกนั ว่าทกุ ศาสนาบนโลกนีล้ ้วนแล้วแต่คํา้ จุนระบอบทาสจาก ข้อเทจ็ จริงที่วา่ ระบอบทาสยงั คงมแี ละได้รับการปฏิบตั ิอย่ใู นดนิ แดนท่ีศาสนาคริสต์,พุทธและฮินดู เป็นใหญ่อย่ทู งั้ สนิ ้ ซึ่งแนน่ อนวา่ การตดั สนิ เชน่ นีด้ คู ล้ายจะเป็นเรื่องไมป่ ระเทืองปัญญาแต่ทว่ามนั กลบั กลายมาเป็ นเคร่ืองมือพิพากษาอิสลามอย่างไมป่ ระเทืองปัญญาไปได้ในท่ีสดุ ทงั้ ที่หากเรา วพิ ากษ์กนั ในเชิงลกึ แล้ว การดํารงอย่ขู องระบอบทาสในดินแดนพทุ ธศาสนานนั้ สว่ นหน่ึงต้องถือ ความกบั ศาสนาพทุ ธด้วยในฐานะองคค์ วามรู้ที่บกพร่องซ่ึงมไิ ด้ชีน้ ําแก่ศาสนิกชนของตนเองในการ ปฏิบัติต่อทาสแต่อย่างใดนอกจากการนิ่งเงียบและปล่อยปละละเลยให้ ศาสนิ กชนของตนเอง กระทําการณ์ตอ่ ทาสไปตามอตั ตาแห่งตน ขณะท่ีศาสนาคริสต์เองก็จําต้องถูกวิพากษ์ไปในทางท่ี หนกั กวา่ จากข้อเท็จจริงท่ีวา่ คริสตศ์ าสนาคาํ ้ จนุ การมีอย่ขู องระบอบทาสด้วยการกล่อมเกลาทาส ให้เคารพเช่ือฟังนายของตนอย่างเตม็ ใจ (ดู ธิโมธี 6:1) หรือแม้แต่การท่ีลทั ธิประชาธิปไตยปลอ่ ย ปละละเลยการมอี ย่ขู องระบอบทาสในรฐั ของตนเองดงั ท่ีเห็นก็จําต้องควรได้รับการตําหนิถึงความ เส่ือมสมรรถภาพในการแก้ปัญหาทาสของลทั ธินีเ้ ช่นเดียวกนั 27 India: The current situation of Dalits, especially in Punjab; and any protest rallies held by dalits in Punjab in 1997 and 1998 and subsequent reaction by the authorities : http://www.unhcr.org/refworld/docid/3ae6ad3914.html 28 Vladimir Hernandez. Forced labour clouds boom in Brazil's Amazon. : http://www.bbc.co.uk/news/10230766 29 Freedom is a good thing but it means a dearth of slaves : Twentieth Century Solutions to the Abolition of Slavery (PDF). http://www.yale.edu/glc/events/cbss/Miers.pdf. 30 Encyclopædia Britannica – Slavery. : http://www.britannica.com/blackhistory/article-24156.

~ 45 ~ การคงอย่ขู องระบอบสงั คมทาสแม้กระทง่ั ในโลกยคุ ทนุ นิยมดงั ตวั อยา่ งที่ได้ยกแสดงไปคือ ข้อบง่ ชีอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ ระบอบทาสมใิ ชค่ วามสมั พนั ธ์ทางสงั คมอนั ชัว่ ร้ายท่ีสามารถล้มเลิกได้ด้วย การตรากฎหมายสงั่ ห้ามเดด็ ขาด และนนั่ คือเหตผุ ลท่ีตอบคาํ ถามแกเ่ ราวา่ เหตไุ ฉนเลยการมาของ อิสลามเม่ือ 1400 กว่าปี ก่อนในขณะที่สังคมทาสกําลังเบ่งบานอยู่ในอุ้งมือของพลเมืองโลก ขณะนัน้ อิสลามจึงไม่อาจท่ีจะทําการเลิกทาสอย่างเฉียบขาดได้ เพราะนอกจากการกระทํา ดงั กลา่ วจะไมเ่ ป็นผลอนั เน่ืองจากระบอบเศรษฐกิจและรูปแบบการผลิตของมนุษย์ในยคุ อดีตนนั้ วางหลกั อย่บู นเกษตรกรรมที่ต้องใช้แรงงานทาสแล้ว การสงั่ เลิกทาสอย่างเด็ดขาดนอกจากจะ สร้างสภาวะสญุ ญากาศทางสงั คมมนษุ ย์ที่อาจต้องเผชิญการล่มสลายทางเศรษฐกิจและรูปแบบ การผลิตแล้ว การเขน่ ฆ่าและสงครามกอ็ าจเข้ามาแทนที่อสิ รภาพของทาสท่ีได้รับการยกเลกิ ด้วยซาํ ้ ไป การเลกิ ทาสในสหรฐั อเมริกาด้วยสภาวะทางสงั คมท่ียงั ไมพ่ ร้อมตอ่ การเลกิ ทาสอยา่ งเฉียบพลนั กลบั กลายเป็นสอ่ื นําพาประเทศไปสหู่ ายนะนน่ั คือการก่อสงครามกันระหวา่ งรัฐฝ่ ายเหนือและรัฐ ฝ่ ายใต้ท่ีไมย่ ินยอมเลิกทาสเพราะเกรงวา่ จะเสยี ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สงครามครัง้ นีร้ ู้จักกัน ในนาม สงครามกลางเมือง (Civil War) ซ่ึงล้างผลาญชีวิตพลเรือนไปอย่างมหาศาล ฉะนนั้ การ คํานึงถึงข้อเท็จจริงท่ีวา่ ระบอบสงั คมทาสมิอาจยกเลิกได้อย่างทันควนั โดยเฉพาะในยุคสมยั ที่ อิสลามปรากฏขึน้ ในคาบสมทุ รอารเบีย อิสลามจึงมงุ่ หมายหาทางแก้ปัญหาระบอบทาสด้วย วิธีการอนื่ ๆมากกวา่ ท่ีจะดนั ทรุ งั เลิกทาสไปอยา่ งขลาดเขลาเหมือนที่สหรัฐอเมริกากระทํา และน่นั จะเป็ นคําตอบแก่เราไปสคู่ ําถามอีกประการหนึ่งว่าเหตใุ ดกฎหมายอิสลามจึงยอมรับเรื่องการมี ทาสวา่ เป็นส่ิงท่ีถกู ต้องตามกฎหมาย? สิ่งท่ีผ้อู า่ นจําต้องเข้าใจในเบือ้ งต้นกอ่ นกค็ อื วา่ การเลิกทาส ที่ถกู กระทําโดยชาติตา่ งๆจนเป็นผลให้สงั คมปัจจบุ ันเป็ นสงั คมที่ปราศจากทาสแล้วเช่นกรณีของ ประเทศไทยเองกต็ าม ทงั้ หมดนีห้ าได้เกิดขนึ ้ จากความมมี นษุ ยธรรมของมนุษย์เป็ นปัจจัยหลกั แต่ ประการใดไม่ หากแต่รูปแบบการผลิตของมนุษย์ท่ีได้เปลี่ยนไปจากระบอบเศรษฐกิจแบบ เกษตรกรรมเข้าสรู่ ะบอบอตุ สาหกรรมท่ีมีลทั ธิพานิชย์นิยมเป็นตวั สนบั สนนุ ดงั นนั้ การเลกิ ทาสด้วย การตรากฎหมายจนเป็นผลสําเร็จนนั้ สว่ นสําคญั ของมนั มาจากการท่ีระบอบการผลิตของมนษุ ย์ เร่ิมเปลี่ยนแปลงไป ระบอบการผลิตแบบอตุ สาหกรรมที่เข้ามาแทนที่เกษตรกรรมตลอดจนการ เกิดขนึ ้ ของลทั ธิอาณานิคมลา่ เมืองขนึ ้ ทงั้ หมดนีเ้ ป็ นความเปล่ียนแปลงทางวตั ถุของมนษุ ยชาติท่ี สง่ ผลตอ่ การเลิกทาสไปในเวลาเดียวกนั เราจะพบวา่ ในยโุ รปนนั้ การเปล่ยี นแปลงสงั คมทาสเกิดขนึ ้ ได้อนั เนื่องจากระบอบสงั คมแบบศกั ดนิ าได้เข้ามาแทนที่ระบอบทาสเสียก่อน แตใ่ นขณะเดียวกัน รูปแบบทางสงั คมของชาติเอเชียและแอฟริกาที่วิวฒั นาการไปอย่างเชื่องช้าและแตกต่างจากไป จากยโุ รปนนั้ การเลิกทาสก็มกั เป็นผลจากการเข้ามาคกุ คามของลทั ธิอาณานิคมเสียมาก และการ เลกิ ทาสโดยชนผิวขาวเจ้าอาณานิคมนนั้ ก็มไิ ด้เป็นผลของมนษุ ย์ธรรมในจิตใจแต่อย่างใด หากแต่ การเข้ามาของลทั ธิอาณานิคมนนั้ ในทางหนึง่ ก็จําต้องอาศยั แรงงานของคนในอาณานิคมเพ่ือการ

~ 46 ~ ผลติ สนิ ค้าในโรงงาน การมีอย่ขู องสงั คมทาสย่อมไมส่ ามารถนําพาแรงงานของคนในอาณานิคม มาสโู่ รงงานอตุ สาหกรรมอนั เนื่องจากทาสเป็ นทรัพย์สินครอบครองของขนุ นางและผ้มู ีอํานาจใน ท้องถิ่น ดงั นนั้ การมงุ่ กดดนั เจ้าผ้คู รองนครในอาณานิคมให้ทําการเลิกทาสเพื่อสอดรับกบั ระบอบ การผลิตของพวกตนจึงเป็ นเป้ าหมายหลกั ของพวกฝรั่งอาณานิคม ดังท่ีเราจะพบว่าสงั คมทาส ได้รบั การคกุ คามขนึ ้ ในประเทศเพนซิลวาเนีย ปี 1688 ก็ต่อเมื่ออิทธิพลของพวกเยอรมนั และดทั ช์ ได้เริ่มเข้ามาคกุ คาม ขณะที่การประกาศห้ามการค้าทาสในองั กฤษเม่ือปี 1807 ก็นําพามาซึ่งการ เลิกทาสท่ีติดตามมาในอาณานิคมของตนเอง ดงั ที่พบวา่ ในปี 1896 จนถึง 1902 ในรัชสมยั ของ สลุ ตา่ นฮามดู บินมฮุ ัมมดั แห่งซานซิบาร์พระองค์ได้ทําการเลิกทาสทงั้ หมดภายหลงั จากท่ีได้ถูก จกั วรรดิอ์ งั กฤษทําการกดดนั หรือหากเราจะพิจารณาอยา่ งใจเป็นธรรมแล้วแม้จะมกี ารยกเลกิ ทาส ในยโุ รปบางกรณีท่ีไมไ่ ด้เป็ นไปตามเง่ือนไขของสภาพทางเศรษฐกิจ ดงั เช่น กรณีการเลิกทาสใน ฝรั่งเศส เม่ือปี 1794 หลงั ชยั ชนะของกลมุ่ ปฏิวตั ิฝรง่ั เศสในนามคณะจาโคแบ็งส์ (Jacobins)31 แต่ การเลิกทาสในฝรั่งเศสท่ีเกิดขนึ ้ กส็ ามารถที่จะมองว่าเป็ นผลกระทบมาจากการเปล่ียนแปลงการ ปกครองที่ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงโครงสร้างทางสงั คมจนเกินกวา่ ท่ีระบอบทาสจะยงั คงปักหลกั อย่ไู ด้อีกตอ่ ไป กลา่ วคือการปฏวิ ตั นิ ําพามาซึ่งการล้มตายและสญู สนิ ้ อาํ นาจของพวกนายทาสเช่น ขนุ นาง การทําลายเขน่ ฆ่านายทาสจึงยังผลให้ระบอบทาสถูกทําลายไปด้วยโดยปริยายการเลิก ทาสจึงพร้อมตอ่ การกระทําได้ ซึ่งแตกตา่ งกบั บริบทของชาตติ า่ งๆในโลกตะวนั ออก เมือ่ ศาสนาอิสลามได้อบุ ตั ขิ นึ ้ ในคาบสมทุ รอารเบียใน ศตวรรษที่ 7 ความป่ วยไข้ทางสงั คม ในดนิ แดนแหง่ นีม้ ีมากมายสดุ คณานบั หนึง่ ในความป่ วยไข้ดงั กลา่ วก็คือสถานภาพอนั ตกต่ําของ สตรีและระบอบทาส ความเข้าใจท่ีควรจะถกู ปรับโลกทัศน์ใหม่ก็คืออิสลามมิได้เก่ียวข้องต่อการ กําเนิดขนึ ้ ของระบอบทาสแตอ่ ยา่ งใดเลย เพราะทาสเป็นระบอบสงั คมที่เป็ นที่นิยมและมีอย่อู ย่าง ดาษดื่นอย่แู ล้วก่อนการกําเนิดของศาสนทตู มฮุ มั มดั ศ็อลฯ ด้วยซํา้ ความเข้าใจที่วา่ อิสลามเป็ น แหล่งกําเนิดของระบอบทาสจึงเป็ นความโง่เขลาเบาวิชาเป็ นอย่างยิ่ง เพราะแม้กระทั่งทวีป แอฟริกาเองอนั เป็นตลาดค้าทาสที่ใหญ่ท่ีสดุ ในโลกมสุ ลิมแล้วก็ตามระบอบทาสก็ยงั คงมีอยู่อย่าง ยาวนานในอาณาบริเวณนีก้ ่อนการมาของอิสลามด้วยซํา้ ไป โดยเฉพาะในเขตพืน้ ที่ของทวีป แอฟริกาท่ีอสิ ลามได้แผข่ ยายไปนนั้ การคงอย่ขู องสงั คมทาสก็มีมาก่อนหน้าอิสลามแล้ว และแม้น วา่ ยคุ สมยั ท่ีอิสลามได้เข้ามาปกครองทวปี แอฟริการูปแบบของทาสในสงั คมอสิ ลามกย็ งั แตกตา่ งไป จากทาสที่มีอย่ใู นวฒั นธรรมเดิมของแอฟริกา แบบแผนโดยทั่วไปของระบอบทาสท่ีมีอย่ใู นชาติ 31 Abolition Movement - EARLY ANTISLAVERY EFFORTS, EARLY EFFORTS OF BLACKS, REVOLUTIONARY ERA ABOLITIONISM, NORTHERN ABOLITIONISM. : http://encyclopedia.jrank.org/articles/pages/5913/Abolition-Movement.html

~ 47 ~ มสุ ลิมในแอฟริกาเขตร้อนนนั้ สามารถที่จะยอมรับด้วยความยตุ ิธรรมวา่ มนั เป็ นรูปแบบท่ีแตกตา่ ง ไปจากสงั คมทาสในอาณาบริเวณอ่ืนๆของแอฟริกาที่อสิ ลามเข้าไปไมถ่ ึง32 ระบอบทาสเป็ นระบอบสงั คมอนั เลวร้ายซ่ึงมีมากบั มนุษยชาติเกือบ 11,000 ปี มาแล้ว33 แหล่งบันทึกอันเก่าแก่ท่ีสดุ ที่เราหาได้ซ่ึงพูดถึงระบอบทาสก็คือประมวลกฎหมายของกษัตริย์ ฮัมมูรอบี มาตราท่ี 7 (The Code of Hammurabi) ประมาณ 1760 ปี ก่อนคริสต์กาล และ แม้กระทงั่ ในยคุ สมยั แห่งไบเบิลเองระบอบทาสก็ได้มีปรากฎอย่แู ต่เดิมแล้ว34 สาเหตแุ ห่งระบอบ ทาสสว่ นใหญ่กม็ กั เกิดจาก 1) หนีส้ นิ โดยบคุ คลที่ล้มละลายมกั ขายตวั เองเป็นทาสเพื่อหลกี หนีการ เป็นหนี ้2) การลงโทษอาชญากรรม 3)เชลยสงคราม ซ่ึงกรณีนีผ้ ้ชู นะสงครามมกั ทําการประหาร ผ้ชู ายและนําเดก็ กบั สตรีมาทําทาส แตอ่ าจจะมีบ้างท่ีผ้ชู ายจะถกู นํามาเป็ นทาสเพ่ือใช้แรงงาน 4) การลักพาตวั เด็กมาขายเป็ นทาส 5) เด็กที่ถือกําเนิดขึน้ ในสภาพของทาส35 จากรูปแบบทัง้ 5 ประเภทข้างต้นนีบ้ ่อเกิดแหง่ ระบอบทาสจึงสง่ ผลให้ระบอบสงั คมเช่นนีป้ รากฎอย่แู ทบจะทุกอารย ธรรมของมนษุ ยชาติเหมอื นๆกนั ไมว่ า่ จะเป็น อยี ิปต์โบราณ,จีนโบราณ,พวกอคั คาเดียน,อซั ซีเรียน, อนิ เดยี โบราณ,กรีกโบราณและจกั วรรด์โิ รมนั ไมเ่ ว้นแมก่ ระทงั่ รัฐคอลีฟะฮฺก็มีชนชนั้ ทาสปรากฎอยู่ เป็นเรื่องปกติวสิ ยั 36อยา่ งไรกต็ ามการเปรียบเทียบสงั คมทาสที่มีอย่รู ฐั มสุ ลิมกบั รัฐอื่นนนั้ เป็ นความ อธรรมโดยแท้เพราะความแตกตา่ งของอิสลามกบั อารยธรรมอื่นๆทงั้ หมดนนั้ ก็คือในประเภทของ ทาส 5 ประเภทที่ได้กลา่ วไปอิสลามยอมรบั การเป็นทาสได้เพียงกรณีเดียวเท่านนั้ คอื ทาสจากเชลย สงคราม ดงั จะได้วิพากษ์ในรายละเอยี ดกนั ตอ่ ไป กระนนั้ กต็ ามภาพพจน์ของทาสในโลกอาหรับหรือโลกมสุ ลิมนนั้ ดเู หมือนจะเป็นภาพมายา อยา่ งหน่ึงท่ีนกั บรู พาคดีและโลกคริสต์เตียนมงุ่ มาดทจ่ี ะวาดภาพความน่ากลวั ให้แก่โลกมสุ ลมิ ดงั ที่ เรามกั จะตกอยู่ภายใต้วาทกรรม “ฮาเรม” (Harem) ที่โลกตะวันตกได้ฟูมฟักภาพเน่าเฟะทาง ศลี ธรรมแก่โลกมสุ ลมิ ให้ผ้อู นื่ ได้เข้าใจกนั ในยามใดก็ตามท่ีนิยายหรือวรรณคดีอาหรับย้อนยคุ ถูก ขบั ขานขนึ ้ บอกเลา่ ผา่ นส่ือภาพยนตร์และหนงั สือ ภาพของหญิงทาสสวยงามแต่งตวั น้อยชิน้ คอย รับใช้เหล่าสลุ ต่านตณั หากลับก็จะลอ่ งลอยเข้ามาล้างสมองผ้เู สพย์ส่ือดงั กล่าวนนั้ อยู่รํ่าไป ใน บางครงั้ สิ่งที่มอี ย่ใู นโลกมสุ ลิมอนั เป็ นพฤติกรรมเส่ือมทรามของมนษุ ย์ก็มกั ได้รับการโฆษณาจน เกินพอดีประหนงึ่ ราวกบั ชาวมสุ ลมิ มิใช่มนษุ ย์ที่มชี ว่ั ดีถกู ผิดคละเคล้ากนั ไปและประหนงึ่ ราวกบั สิ่ง 32 Allan G.B. Fisher & Humphrey J.Fisher. Slavery and Muslim Society in Africa. P. 9 33 Slavery. : http://www.britannica.com/EBchecked/topic/548305/slavery. 34 Mesopotamia: The Code of Hammurabi.: http://www.wsu.edu/~dee/MESO/CODE.HTM. 35 W. V. Harris: The Journal of Roman Studies, 1999. Demography, Geography and the Sources of Roman Slaves, 36 Historical survey - Slave-owning societies. : http://www.britannica.com/blackhistory/article-24156

~ 48 ~ ที่มีอย่ใู นโลกมสุ ลมิ นนั้ เป็นความชว่ั ช้าที่โลกตะวนั ตกคริสต์เตยี นมอิ าจทําใจยอมรบั ได้ประหน่ึงตน เป็นอารยธรรมไมร่ ู้เดียงสาท่ีสะอาดบริสทุ ธ์ิจากความโสมมของมนษุ ย์ก็มิปานว่างนั้ เถอะ! เพราะ ประเด็นของการปฏิบตั ิต่อทาสอย่างไมด่ ีไม่งามที่มีปรากฏขนึ ้ ในโลกมสุ ลิมนัน้ ก็เป็ นเรื่องปกติที่ อารยธรรมอื่นตา่ งก็มีปฏบิ ตั ิกนั ทงั้ สนิ ้ แตเ่ หตอุ นั ใดเลา่ ที่การพ่งุ เป้ าโจมตีหรือวิพากษ์วิจารณ์จึงลง อย่เู พียงแคใ่ นโลกมสุ ลิม ดงั เช่นกรณีของตลาดค้าทาสที่มอี ยใู่ นอาณาจกั รออตโตมนั ขนาดใหญ่ซ่ึง มกั เป็นเรื่องราวหนงึ่ ท่ีนิยมหยิบยกมากลา่ วถึงกนั บ่อยครัง้ ในงานวิชาการตะวนั ตก ตลอดจนห้อง หบั รโหฐานท่ีเหลา่ สลุ ตา่ นออตโตมนั สร้างขนึ ้ เพ่ือใช้เป็นที่พกั พิงของนางบําเรอแตล่ ะรายก็มกั ได้รับ การพดู ถึงประหน่งึ ราวกบั วา่ เรื่องโสโครกเชน่ นีม้ ีเพียงแคใ่ นโลกมสุ ลิมเท่านนั้ หรือ?? ทงั้ ที่เรื่องของ นาบําเรอหรือแม้แตต่ ลาดค้าทาสตา่ งกเ็ ป็นส่ิงท่ีกษัตริย์คริสต์เตียนในยโุ รปนิยมปฏบิ ตั กิ นั มาตลอด ซ่ึงไมจ่ ําเป็นต้องนํามากลา่ วกนั ให้ขายหน้ากนั ตรงนี ้แม้กระทง่ั ในอาณาจกั รไบแซนตีนคริสต์เตียน เองก็มกี ารค้าทาสกนั เป็นเร่ืองปกติกลา่ วกนั วา่ พวกชนชาติไวกิง้ อนั เป็ นชนชาตินักรบของยุโรปมกั นิยมนําเชลยศกึ มาขายในตลาดทาสของอาณาจกั รไบแซนตีนเสมอ การสงครามระหวา่ งออตโตมนั กับไบแซนตีนนําพามาซึ่งการจบั เชลยสงครามมาเป็ นทาสผลดั กันไปมาเสมอ พวกนักรบคริสต์ เตยี นแหง่ มอลต้ายงั ได้เคยบกุ โจมตีกองเรือมสุ ลิมและนํามสุ ลิมไปขายเป็ นทาสเสียด้วยซํา้ ไป จน แถบมอลต้าได้กลายเป็นตลาดค้าทาสระหวา่ งแอฟริกาเหนือและเตอร์กที่สําคญั ในเวลาต่อมาและ ตลาดค้าทาสที่มอลต้านีก้ ็ยงั คงอย่รู อดปลอดภยั มาจนถงึ ศตวรรษท่ี 1837 ในปี 1452 เช่นกนั ท่ีโป๊ ป Nicholas V ได้ออกสิ่งที่เรียกว่า papal bull Dum Diversas ซึ่งอนมุ ตั ิให้กษัตริย์อลั ฟองโซแห่ง โปรตเุ กสสามารถที่จะออกกฎหมายการค้าทาสมสุ ลิม(ซาราเซ็น)และพวกปฏิเสธคริสต์ศาสนาได้ อย่างถกู กฎหมายภายใต้หลกั ศรัทธาในคริสต์ศาสนานิกายโรมนั คาธอลิกในขณะนัน้ ด้วยซํา้ ไป!! ขณะท่ีองั กฤษเองก็เป็นชาติสาํ คญั ท่ีทําหน้าท่ีเป็นนกั ค้าทาสในคาบสมทุ รแอตแลนติค โดยเฉพาะ ในปี 1600 เป็นต้นไปทาสได้ถกู ประกาศวา่ เป็นเร่ืองถกู กฎหมายในอาณานิคมอเมริกาทงั้ 13 แห่ง ขององั กฤษ และผลกําไรจากการค้าทาสขององั กฤษกค็ ดิ เป็นรายได้ 5 % จากรายได้ทางเศรษฐกิจ ทงั้ หมดขององั กฤษในยคุ สมยั ของการปฏิวตั ิทางอตุ สาหกรรม38ทงั้ ๆท่ีการค้าทาสและคํา้ จนุ ทาส เหลา่ นีไ้ ด้ถกู กระทําไปภายใต้กลมุ่ คนทางศาสนาตา่ งๆบนโลกนีไ้ มว่ า่ จะเป็นพุทธ,คริสต์,พราหมณ์ และยิวเองก็ตาม แต่การพาดพิงศาสนาหรือสร้างภาพตวั แทนว่าศาสนาเกี่ยวพนั กับธรุ กิจทาส เหลา่ นีก้ ลบั ไมเ่ คยเกดิ ขนึ ้ กบั ศาสนาใดๆเลยยกเว้นกบั อิสลาม!!! เมื่อใดกต็ ามที่เร่ืองราวของทาสได้ 37 A medical service for slaves in Malta during the rule of the Order of St. John of Jerusalem. : http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC1033829/ 38 Was slavery the engine of economic growth?. : http://www.digitalhistory.uh.edu/historyonline/con_economic.cfm

~ 49 ~ ถกู เอย่ ขนึ ้ มาภายใต้บริบทของโลกมสุ ลมิ คําว่า “อิสลาม” หรือ “มสุ ลิม” มกั จะได้รับการเช่ือมโยง เข้าสวู่ งั วนแหง่ การพาดพิงดงั กลา่ ว ทงั้ หมดทงั้ หลายเหลา่ นีล้ ้วนแล้วแตเ่ ป็ นแผนการของชาวยโุ รปในการหาแพะรับบาปต่อ การเกิดขนึ ้ ของอาชญากรรมมนษุ ย์ที่เรียกวา่ ทาส ความพยายามของพวกเขามีเป้ าประสงค์เพียง เพื่อจะปิ ดบงั ซอ่ นเร้นธาตแุ ท้ของศาสนาแหง่ ชาวยุโรปที่ได้มีส่วนคํา้ จุนต่อการมีอย่ขู องสงั คมทาส เป็ นเวลามานานนบั หลายศตวรรษแล้วที่ชาวยุโรปต้องร้อนรนใจเพ่ือแสวงหาคําอธิบายต่อการ กระทําชั่วช้าของพวกเขาที่มีตอ่ มวลมนษุ ยชาติ ประวตั ิศาสตร์ของพวกเขาถกู จารึกในนามแห่ง ความโหดร้ายป่ าเถื่อนท่ีพวกเขากระทําตอ่ ชนชาตทิ ี่ล้าหลงั ในทางวตั ถกุ วา่ ในสมยั กลางการเกิดขนึ ้ ของศนู ย์กลางคริสต์ศาสนาแห่งกรุงโรมนั ทงั้ ตะวนั ตกและตะวนั ออกนําพามาซึ่งการเขน่ ฆ่าล้าง ผลาญตอ่ ศาสนาท้องถิ่น การกวาดล้างลทั ธิความเชื่อท้องถ่ิน (Paganism) ในยโุ รปซ่ึงได้ถกู กระทํา ในนามของพระเจ้า พวกแม่มดและคนนอกศาสนาถูกจับเผาทัง้ เป็ น ในสมัยสงครามครูเสด ประวตั ิศาสตร์ได้บนั ทกึ ถงึ ความโหดร้ายของพวกคริสต์เตียนที่ได้กระทําต่อชาวมสุ ลิมด้วยการเผา พวกเขาย่างกินทงั้ เป็ น! และแม้กระทงั่ ในเร่ืองราวของทาสเองเราคงไม่อาจลืมถึงความเลวร้าย สามานย์ท่ีชนผิวขาวคริสต์เตียนได้บุกจับคนผิวดําในทวีปแอฟริกามาทําเป็ นทาสอย่างโหดร้าย ทารุณ ครงั้ หน่ึงพวกคริสต์เตียนจากสเปนได้เคยบกุ รุกเข้าสดู่ ินแดนละตนิ อเมริกาใต้และทําการเขน่ ฆ่าล้างผลาญคนพืน้ เมืองพร้อมกนั นีย้ งั จบั คนพนื ้ เมอื งมาใช้แรงงานอยา่ งทารุณจนการบกุ รุกละตนิ ของพวกผิวขาวคริสต์เตียนนีก้ ลบั กลายมาเป็ นต้นเหตแุ ห่งการสูญพนั ธ์ุของชนชาติอินเดียแดง เพียงแค่บนเกาะเฮติประมาณการณ์กนั ว่าในศตวรรษท่ี 16 นนั้ ประชากรอินเดียนมีมากถึง 2-4 ล้านคนในขณะท่ีปัจจบุ นั ไมม่ ีชาวอินเดียนบนเกาะนีห้ ลงเหลืออย่อู ีกเลย อีกทงั้ ประชากรอินเดียน ในเกาะอิสปานิโอลา ระหวา่ งปี ค.ศ. 1492-1518 มกี ารลดลงมากชนิดนา่ ใจหายจากจํานวนเดิมที่ มีมากถึง 2-3 ล้านคนเหลือเพียง 12,000 – 14,000 คนเท่านนั้ !!!! การลดลงของประชากรชนิดน่า ใจหายใจควํา่ นีถ้ กู อธิบายวา่ เป็นผลมาจากความโหดร้ายของผ้ยู ดึ ครองสเปนโดยการบงั คบั ทํางาน หนกั และอดอาหารตลอดจนการนําโรคฝี ดาษของตนเองเข้ามากระจายในอาณาบริเวณนีเ้ ป็ นครัง้ แรก การลดลงของจํานวนประชากรที่มากถงึ ร้อยละ 90-95 จึงนบั เป็ นอาชญากรรมที่น่ากลวั ท่ีสดุ ครงั้ หนึ่งของประวตั ิศาสตร์มนษุ ยชาติที่พวกผิวขาวภายใต้ร่มธงของคริสต์ศาสนาได้กระทําไปต่อ ทาสในอาณานิคมของพวกตน39ขณะเดยี วกนั เราเองกจ็ ะต้องไม่ลืมนึกถึงความโหดร้ายท่ีพวกฝร่ัง ได้กระทําตอ่ ชนผวิ ดาํ ด้วยการจบั พวกเขามาเป็นทาสแรงงานในสหรฐั อเมริกาที่ทํางานไม่ต่างอะไร กับสตั ว์ การกระทําดงั กลา่ วตอ่ ชนผิวดําได้รับการอนุมตั ิโดยดีจากรัฐบาลองั กฤษ โดยกระทําไป อย่างทารุณด้วยการจบั ชนผิวดําจากแอฟริกาและขนพวกเขาขนึ ้ เรือมายงั อาณานิคมขององั กฤษใน 39 จติ ราภรณ์ ตนั รตั นกลุ . ละตินอเมริกา. หน้า 33-35

~ 50 ~ ขณะนนั้ ซ่งึ ก็คือสหรฐั อเมริกา ตวั เลขประมาณการณ์วา่ คนผิวดาํ ที่ถกู องั กฤษจับมาใช้เป็ นแรงงาน ทาสในระหวา่ งปี 1680 ถึง 1786 นนั้ มมี ากถงึ 2,130,000 คน อย่างไรก็ตามในสารานุกรมบริททา นิก้า ได้ให้ข้อมลู แก่เราวา่ จํานวนประชากรทาสท่ีได้ตายลงระหวา่ งปี ค.ศ. 1661-1774 นนั้ มีมากถึง 9 ล้านคน! ซึ่งล้มตายลงไปในระหว่างการลา่ ทาส,การขนย้ายทาสและการขนสง่ ทาส พดู ให้ง่าย แล้วกค็ ือ จํานวนทาสทงั้ หมดที่ได้ถกู จบั มาเพ่ือทํางานในอาณานิคมขององั กฤษนนั้ มเี พียงแค่ 1 ใน 10 ของทาสทงั้ หมดเท่านนั้ ที่มาถงึ อเมริกาสว่ นที่เหลือได้ล้มตายในระหวา่ งการจบั กุมและขนย้าย หมด!!40ความเลวร้ายทงั้ หมดนีท้ ี่โลกคริสตเ์ ตียนได้กระทําตอ่ ทาสกลบั กลายมาเป็ นดา่ งพร้อยแห่ง ความอบั อายของพวกเขา สง่ิ ท่ีพวกเขากระทําได้หลงั จากกดข่ีขม่ เหงทาสมาอยา่ งยาวนานก็คอื การ ออกคาํ ประกาศขอโทษโง่ๆสวยหรูแกช่ าวผิวดาํ แอฟริกา เช่นในเดอื นกนั ยายน และ พฤศจิกายน ปี 2006 รฐั บาลองั กฤษและนายโทนี่ แบลร์ ได้ออกถ้อยแถลงอย่างเป็ นทางการของชาติเพ่ือขอโทษ ตอ่ ทาสผวิ ดาํ ท่ีโคตรเหง้าบรรพบรุ ุษของตวั เองได้กระทําลงไป อยา่ งไรกต็ ามด้วยกับความเจ็บแค้น และอบั อายตอ่ าชญากรรมของตนเองโลกคริสต์เตียนจึงได้พยายามเบี่ยงเบนประเด็นและปกปิ ด ความชวั่ ของตนเองด้วยการสรรสร้างอิทธิพลทางงานวชิ าการเพื่อกลอ่ มเกลาผ้คู นของโลกให้เข้าใจ วา่ ระบอบทาสคอื สงิ่ ท่ีสมั พนั ธ์โดยตรงกบั การดาํ รงอย่ขู องมหาอาณาจักรอิสลามในอดีต โดยหยิบ ยกประเด็นในเร่ืองการที่กฎหมายอิสลามยอมรับการมีทาสมาเป็ นจดุ โจมตี ทงั้ นีก้ ็เพ่ือที่จะกลบ เกลือ่ นและปกปิ ดข้อเทจ็ จริงที่ว่าสิ่งท่ีคอยคํา้ จุนการมีอย่ขู องระบอบทาสในสงั คมของพวกคริสต์ เตยี นยโุ รปนนั้ กม็ าจากอิทธิพลและคาํ สอนในไบเบิลเองท่ีได้ฟมู ฟักพวกเขาไว้ ดงั ที่เราจะพบว่าเซน ปอลได้ทําการชีน้ ําบรรดาทาสให้เคารพเช่ือฟังภกั ดีตอ่ นายของตนและพิจารณาวา่ การเคารพเชื่อ ฟังนายของตนนนั้ กค็ ือหนง่ึ ในการเคารพเช่ือฟังพระคริสต์ จดุ สําคญั ตรงนีไ้ ด้บง่ ชีแ้ ก่เราวา่ ตามแกน่ ธรรมแห่งไบเบิลแล้วทาสเป็ นสิ่งที่ถูกกฎหมาย การผกู โยงเรื่องการเชื่อฟังนายทาสว่าเป็ นเนือ้ เดียวกนั กบั การเชื่อฟังพระเมซิอานนั้ บง่ ชีอ้ ยา่ งชดั เจนว่าทาสคือส่ิงท่ีถกู กฎหมายในคริสต์ศาสนา เพราะยอ่ มไมก่ ินกบั สตปิ ัญญาหากเราจะเข้าใจวา่ ทาสเป็นสง่ิ ท่ีขดั กบั คําสอนของคริสต์ศาสนาแต่ การผิดกฎหมายดงั กล่าวกลบั ควรได้รับการเช่ือในฐานะเดียวกนั กับการเชื่อฟังพระเมซิอา!! พระ คมั ภีร์ได้ระบวุ า่ ฝ่ ายพวกทาสจงเชื่อฟังผูท้ ีเ่ ป็นนายฝ่ ายเนือ้ หนงั ดว้ ยใจเกรงกลวั จนตวั สน่ั ด้วยน้าใสใจจริงเหมือน กระทาแก่พระคริ สต์ ไมเ่ หมือนอยา่ งคนที่ทาแต่ตอ่ หนา้ อยา่ งคนทีท่ าใหช้ อบใจคน แต่จงทาเหมือนอย่างทาสของพระ คริสต์คือกระทาตามชอบพระทยั พระเจ้าดว้ ยความเต็มใจ จงปรนนิบตั ินายดว้ ยจิตใจชื่นบาน เหมือนกบั ปรนนิบตั ิองค์พระผเู้ ป็นเจ้า ไมใ่ ช่ปรนนิบตั ิมนษุ ย์ 40 Muhammad S. Al-Munajjid. Islam and slavery: http://www.islam-qa.com/en/ref/94840


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook