โครงการแปลและเรยี บเรยี งตาํ ราอสิ ลาม วทิ ยาลยั อสิ ลามศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร วทิ ยาเขตปต ตานี มุศเฏาะละหฺ อลั หะดีษ โดย ดร.อบั ดลุ เลาะ การนี า ภาควชิ าอสิ ลามศกึ ษา วทิ ยาลยั อสิ ลามศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร วทิ ยาเขตปต ตานี 2549
ISBN 974-9944-75-5 มุศเฏาะละหฺ อลั หะดษี พมิ พค ร้งั ที่ 1 จํานวน 300 เลม พ.ศ. 2549 วิทยาลยั อสิ ลามศึกษา ภาควชิ าอสิ ลามศกึ ษา วทิ ยาลยั อสิ ลามศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร วทิ ยาเขตปต ตานี
sa i กติ ตกิ รรมประกาศ (( )) ﻭﻣﺎ ﺗﻮﻓﻴﻘﻲ ﺇ ﹼﻻ ﺑﺎﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﺗﻮﻛﻠ ُﺖ ﻭﺇﻟﻴﻪ ﺃﻧﻴﺐ ﺍﳊﻤﺪ ﷲ ﺑﻨﻌﻤﺘﻪ ﺗﺘﻢ ﺍﻟﺼﺎﳊﺎﺕชุกรู ตออัลลอฮฺ ทไ่ี ดทรงใหเตา ฟคฺและฮิดายะฮฺแกผูแตงจนสามารถเรียบเรียงหนังสือเลมน้ีเสร็จสิ้นอยาง สมบรู ณ ขอแสดงความขอบคุณเปนอยางสูงแกภาควิชาอิสลามศึกษา วิทยาลัยอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร วิทยาเขตปตตานี ท่ี รับหนังสือเลมนี้ไวใหเปนสวนหน่ึงของโครงการแปลและเรียบเรียงตํารา ของวทิ ยาลยั ฯ ขอขอบคุณ น.ส. คอดีญะห วิง ที่ไดทําหนาท่ีพิมพตนฉบับเปนอยาง ดมี าตลอดและไดท าํ หนา ท่ีตรวจทานอกี ดวย ขอขอบคุณอ.ดร.มะรอนิง สะแลมิง อ.ฮามีดะฮฺ อาแด และอ.อัสมัน แตอาลี ท่ีไดเสียสละท้ังเวลาและความคิดตรวจทานใหขอเสนอแนะและ เพิม่ เตมิ สวนท่เี กย่ี วของเพื่อความสมบูรณข องหนังสอื เลม น้ี สุดทายนี้ขอขอบคุณผูที่มีสวนเก่ียวของ ทั้งท่ีเอยนามและไมเอยนาม ทช่ี ว ยเหลือใหหนังสือเลม นีส้ าํ เรจ็ ลลุ วงไปดวยดี ﺟﺰﺍﻫﻢ ﺍﷲ ﻋﲏ ﻭﻋﻦ ﲨﻴﻊ ﺍﳌﺴﻠﻤﲔ ﺧﲑ ﺍﳉﺰﺍﺀ ขอวิงวอนตออัลลอฮฺ พระผูเปนเจาใหดลบรรดาลเราะหฺมัต บะเราะกัต นิอฺมัตและบุญกุศลของพวกเขาจะเปนที่ประจักษในวันกิยามัต ดวยเถดิ ﻭﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻰ ﻧﺒﻴﻨﺎ ﺍﳌﺼﻄﻔﻰ ﳏﻤﺪ ﻭﻋﻠﻰ ﺁﻟﻪ ﻭﺻﺤﺒﻪ
sa ii คํานาํ ﻭﻧﻌﻮﺫ ﺑﺎﷲ،ﺇﻥ ﺍﳊﻤﺪ ﷲ ﳓﻤﺪﻩ ﻭﻧﺴﺘﻌﻴﻨﻪ ﻭﻧﺴﺘﻬﺪﻳﻪ ﻭﻧﺴﺘﻐﻔﺮﻩ ﻭﻧﺘﻮﺏ ﺇﻟﻴﻪ ﻣﻦ ﻳﻬﺪ ﺍﷲ ﻓﻼ ﻣﻀﻞ ﻟﻪ ﻭﻣﻦ،ﻣﻦ ﺷﺮﻭﺭ ﺃﻧﻔﺴﻨﺎ ﻭﻣﻦ ﺳﻴﺌﺎﺕ ﺃﻋﻤﺎﻟﻨﺎ ﻭﺃﺷﻬﺪ ﺃﻥ ﻻ ﺇﻟﻪ ﺇ ﹼﻻ ﺍﷲ ﻭﺣﺪﻩ ﻻ ﺷﺮﻳﻚ ﻟﻪ ﻭﺃﺷﻬﺪ،ﻳﻀﻠﻞ ﻓﻼ ﻫﺎﺩﻱ ﻟﻪ ﺍﻟﻠﻬﻢ ﺻﻞ ﻭﺳﻠﻢ ﻋﻠﻰ ﳏﻤﺪ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ،ﺃﻥ ﳏﻤﺪﹰﺍ ﻋﺒﺪﻩ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ : ﺃﻣﺎ ﺑﻌﺪ،ﻭﻋﻠﻰ ﺁﻟﻪ ﻭﺻﺤﺒﻪ ﺃﲨﻌﲔ หนังสือเลมน้ีไดรวบรวมหัวขอตาง ๆ สอดคลองกับเน้ือหาวิชามุศ เฏาะละหฺ อัล หะดษี ท่ีควรคาแกการศกึ ษา โดยไดยึดหลักการศึกษาของอุ ละมาอฺผูเช่ียวชาญเฉพาะทาง ดานหะดีษทั้งอุละมาอฺมุตะกอดดิมูนและอุ ละมาอฺมุตะอัคคิรูน และอุละมาอฺรวมสมัย เน้ือหาของหนังสือเลมน้ี ประกอบดวยแปดบท คือ บทที่หนึ่งกลาวถึงหนาที่ที่มีตอหะดีษและการนํา หะดีษมาใชเปนหลักฐาน บทที่สองกลาวถึงถึงวิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ บทท่ีสามกลาวถึงความหมายของหะดีษและคําท่ีมีความหมายเหมือนกับ หะดีษ บทที่สี่กลาวถึงหะดีษในฐานะเปนแหลงท่ีมาของบทบัญญัติอิสลาม บททห่ี ากลา วถงึ สะนัดและมะตนั บททหี่ กกลาวถึงการจาํ แนกประเภทของ หะดีษ บทที่เจ็ดกลาวถึงชนิดตาง ๆ ของหะดีษ และบทที่แปดกลาวถึงการ ยอมรบั หะดษี
sa iii ขอวิงวอนตอ อลั ลอฮฺ ผูท รงดลบรรดาลความรูดวยพระประสงค ของพระองคใหหนังสือเลมน้ีอํานวยประโยชนแกทุกทานท่ีไดศึกษา หากมี คําผิดพลาดและบกพรองประการใดผูแตงขออภัยมา ณ ท่ีนี้ดวยและขอ รับผิดชอบเพียงผเู ดยี ว ﻭﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻰ ﻧﺒﻴﻨﺎ ﻭﺣﺒﻴﺒﻨﺎ ﳏﻤﺪ ﻭﻋﻠﻰ ﺁﻟﻪ ﻭﺻﺤﺒﻪ ﻭﺳﻠﻢ อับดุลเลาะ การนี า 7 มกราคม 2549
sa สารบญั iv เนอ้ื หา หนา กิตตกิ รรมประกาศ (3) คาํ นาํ (4) บทท่ี 1 บทนํา 1 บทที่ 2 วิชามุศเฏาะละหฺ อลั หะดษี 5 บทท่ี 3 หะดษี และคาํ ทมี่ คี วามหมายเหมือนหะดษี 10-17 11 3.1 ความหมายของหะดีษ 13 3.2 ความหมายของอัสสนุ นะฮฺ 15 3.3 ความหมายของเคาะบัร 16-17 3.4 ความหมายของอะษรั 18-27 บทท่ี 4 หะดษี ในฐานะเปน แหลงทมี่ าของบทบัญญัติอสิ ลาม 18 4.1 ความเปนจรงิ ของหะดีษ 19 4.2 ฐานะของหะดีษ 20 4.3 การยึดมนั่ ในหะดษี 23-27 4.4 การรายงานหะดีษ 28-41 บทท่ี 5 สะนดั และมะตนั 29 5.1 นิยามของสะนดั 30 5.2 ความประเสรฐิ ของสะนัด 31 5.3 รนุ ของผรู ายงาน 32 5.4 ประเภทของสะนดั 33 5.5 นิยามของมะตนั 34 5.6 ลกั ษณะของมะตัน
sa v บทที่ 6 การจําแนกหะดษี โดยพิจารณาผทู ่ถี กู พาดพงิ 42-56 6.1 หะดีษกดุ สยี 6.2 หะดีษมัรฟอู ฺ 43 6.3 หะดีษเมากูฟ 44 6.4 หะดีษมกั ฏอ ฺ 49 54 บทที่ 7 การจําแนกหะดีษโดยพจิ ารณาทม่ี าถึงเรา 57-151 7.1 หะดีษมตุ ะวาตริ 7.2 หะดษี อาหาด 59 65 7.2.1 หะดษี มชั ฮรู 66 7.2.2 หะดษี อะซซี 68 7.2.3 หะดษี เฆาะรบี 70 7.3 หะดีษมกั บลู 75 7.3.1 หะดษี เศาะหหี ลฺ ซิ าตฮิ ฺ 76 7.3.2 หะดษี เศาะหหี ลฺ ิฆัอยริฮฺ 80 7.3.3 หะดษี หะสันลิซาติฮฺ 83 7.3.4 หะดษี หะสนั ลฆิ อั ยรฮิ ฺ 85 7.3.5 หะดษี มะอฺรูฟ 88 7.3.6 หะดษี มะหฺฟศู 89 7.4 หะดษี มรั ดดู 91 7.4.1 หะดษี เฎาะอฟี 92 97 1) หะดษี มอุ ลั ลกั้ 100 2) หะดษี มรุ สัลตาบอิ นี 102 3) หะดษี มรุ สลั เศาะหาบีย 104 4) หะดีษมรุ สลั เคาะฟย 106 5) หะดษี มอุ ฎฺ อล 108 6) หะดษี มนุ เกาะฏิอฺ
sa 7) หะดีษมดุ ลั ลสั้ vi 8) หะดีษมอุ ลั ลล้ั บทที่ 8 บทสง ทาย 9) หะดีษมดุ รอจญ 108 บรรณานุกรม 10) หะดษี มกั ลบู 113 11) หะดษี มตุ เฏาะรอ บ 116 12) หะดีษชา ซ 121 13) หะดีษมุเศาะหหฺ ฟั 124 14) หะดษี มหุ ัรรอ ฟ 127 7.4.2 หะดษี ฎออฟี ญดิ ดนั 131 1) หะดีษมนุ กรั 133 2) หะดีษมตั รูก 135 7.4.3 หะดษี เมาฎอ ฺ 138 1) หะดีษเมาฎอ ฺ 140 2) อิสรออลี ิยา ต 140 142 151 154 157
บทที่ 1 บทนาํ 1 บทท่ี 1 บทนาํ อลั ลอฮฺ ทรงตรัสไวใ นอัลกุรอานวา : ﻓﻼ ﻭﺭﺑﻚ ﻻ ﻳﺆﻣﻨﻮﻥ ﺣﱴ ﳛﻜﻤﻮﻙ ﻓﻴﻤﺎ ﺷﺠﺮ ﺑﻴﻨﻬﻢ ﰒ ﻻ ﳚﺪﻭﺍ ﰲ ﺃﻧﻔﺴﻬﻢ ﺣﺮﺟﹰﺎ ﳑﺎ ﻗﻀﻴ َﺖ ﻭﻳﺴﻠﻤﻮﺍ ﺗﺴﻠﻴﻤﹰﺎ ความวา : “มิใชเชนน้ันดอก ขาขอสาบานดวยพระเจาของเจาวา เขาเหลาน้ันจะ ยังไมศรัทธา (ตออัลลอฮฺ) จนกวาพวกเขาจะใหเจาตัดสินในสิ่งที่ขัดแยง กันระหวางพวกเขา แลวพวกเขาไมพบความคับใจใด ๆ ในจิตใจของ พวกเขาจากส่งิ ท่ีเจาไดตดั สินไป และพวกเขายอมจํานนดว ยดี”(1) มีรายงานจากญาบิร เบญ็ อับดุลเลาะ กลา ววา รสลู ลุ ลอฮฺ ไดกลา ววา ﻓﺈﻥ ﺃﺻﺪﻕ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ ﻭﺃﻥ ﺃﻓﻀﻞ ﺍﳍﺪﻱ ﻫﺪﻱ،))ﺃﻣﺎ ﺑﻌﺪ (( ﻓﺈﻥ ﳏﺪﺛﺔ ﺑﺪﻋﺔ، ﻭﺷﺮ ﺍﻷﻣﻮﺭ ﳏﺪﺛﺎﺗﻬﺎ،ﳏﻤﺪ ความวา : “อัมมา บะอฺดุ! แทจริงคําพูดที่สัจจะนั้นคือกิตาบอัลลอฮฺ (อัลกุรอาน) และ แนวทางอนั ประเสรฐิ ยง่ิ คือ แนวทางของทานนบมี ุฮมั มัด และส่ิงท่ีเลวที่สุด (1) ซูเราะฮอฺ ันนิสาอฺ อายะฮฺที่ 65
บทท่ี 1 บทนาํ 2 คือ สิ่งอุปโลกนท้ังหลาย เน่ืองจากแทจริงสิ่งอุปโลกนน้ันลวนเปนสิ่งอุตริ ทง้ั ส้ิน”(2) มกี ระแสรายงานทานนบีมฮุ ัมมดั กลา ววา \" ﻓﺈﻥ ﺧﲑ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻛﺘﺎﺏ ﺍﷲ ﻭﺧﲑ ﺍﳍﺪﻱ ﻫﺪﻯ ﳏﻤﺪ،\" ﺃﻣﺎ ﺑﻌﺪ ความวา :“อัมมา บะอฺดฺ ! แทจริงคําพูดที่เลิศท่ีสุด คือ กิ ตาบอัลลอฮฺ (อัลกุรอาน) และแนวทางท่ีดีท่ีสุด คือ แนวทางของ ทา นนบีมุฮัมมัด ”(3) หะดีษเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลาม ซ่ึงศาสนาของอัลลอฮฺ จะไม สมบูรณและจะไมครอบคลุมเน้ือหาตาง ๆ ท่ีเก่ียวของหากปราศจากหะดีษ ดังน้ันหะ ดีษของทานนบี จึงมีความสัมพันธกันอยางใกลชิดกับอัลกุรอานโดยไมสามารถแยก ออกจากกันได ความรูเก่ียวกับเร่ืองน้ีทั้งหมดไดมีการกลาวถึงในอัลกุรอานมากมาย การกลาวน้ันเปนทั้งประโยคบอกเลาในรูปของคําสั่งใหเช่ือฟง ปฏิบัติตาม ตลอดจน การยึดมน่ั ในหะดษี พรอมกบั นาํ มาใชเ ปนหลักฐาน และในรูปของการหา มไมใหปฏิบัติ ขัดแยงกันในทุก ๆ ดานที่เก่ียวของกับการดํารงชีวิตของปวงบาวท้ังหลาย ซึ่งการ ยอมรับหะดีษในลักษณะเชนน้ีเปนการยอมรับของบรรดาอุละมาอฺมุสลิมอยางเปนเอก ฉันท ดังนั้น หนาที่สวนหนึ่งของมุสลิมที่มีตอหะดีษหรืออัสสุนนะฮฺก็คือ การอีมานและ การปฏบิ ัติตามนัน่ เอง อุละมาอฺอะฮฺลุสสุนนะฮฺ วัลญะมาอะฮฺตางก็ยอมรับวา หะดีษอันประเสริฐนั้น จะตองมีการฟงและการรับ หรืออีกแงมุมหนึ่งจะตองรายงานใหผูอ่ืนทราบอยางท่ัวถึง พรอ มกบั เรยี นรคู วามหมายของหะดีษอยางถองแทและถูกตอง วิเคราะหสถานภาพของ ผูรายงานหะดีษแตละบท อิมามอลั เคาะฏบี อลั บัฆดาดียกลา ววา “หะดษี ทุกบทที่มีการ (2) เปนสวนหน่ึงของหะดีษบนั ทึกโดยอะหฺมดั : 3/31, 319, 371, 4/126-127 หะดีษเศาะหีหฺ (3) เปนสวนหน่ึงของหะดีษบันทึกโดยมสุ ลมิ : 1/392
บทท่ี 1 บทนาํ 3 รายงานดวยสายรายงานท่ีติดตอกันตั้งแตผูรายงานคนแรกจนถึงทานนบีมุฮัมมัด ใชวาจําเปนท่ีจะตองนํามาเปนหลักฐาน ยกเวนเมื่อมีการวิเคราะหคุณลักษณะของ ผูรายงานแตละคนในดานคุณธรรมและความบกพรอง มีการพิจารณาสถานภาพของ ผูรายงานทุกทานท่ีกลาวพาดพิงหะดีษถึงทานนบี เวนแตบรรดาเศาะหาบะฮฺ เทาน้ัน เนื่องจากบรรดาเศาะหาบะฮฺเปนคนท่ีมีคุณธรรม บริสุทธ์ิใจ และนอมรับทุกสิ่ง ทุกอยางท่มี กี ารกลาวไวในอัลกรุ อาน” การปฏิบัติตามหะดีษอยางเครงครัดและการรายงานหะดีษน้ันมุสลิมมีความรูสึก วา เปน หนา ทท่ี ี่จะตอ งรบั ผดิ ชอบรว มกัน โดยเฉพาะในสภาพสงั คมมุสลมิ ทีเ่ ต็มไปดวยส่ิง บิดอะฮฺตาง ๆ ความเชื่อที่ขัดแยงกับอะกีดะฮฺอิสลาม ผิดศีลธรรมอันดีงามของมนุษย และการบดิ เบอื นหลกั คาํ สอนของศาสนาอสิ ลามที่แทจ รงิ ، ﻋﻀﻮﺍ ﻋﻠﻴﻬﺎ ﺑﺎﻟﻨﻮﺍﺟﺬ،)) ﻋﻠﻴﻜﻢ ﺑﺴﻨﱵ ﻭﺳﻨﺔ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪﻳﻦ ﺍﳌﻬﺪﻳﲔ (( ﻭﻛﻞ ﺑﺪﻋﺔ ﺿﻼﻟﺔ، ﻓﺈﻥ ﻛﻞ ﳏﺪﺛﺔ ﺑﺪﻋﺔ،ﺇﻳﺎﻛﻢ ﻭﳏﺪﺛﺎﺕ ﺍﻷﻣﻮﺭ ความวา : “วาญิบสําหรับพวกเจายึดมั่นในสุนนะฮฺของฉันและ สุนนะฮฺของ บรรดาเคาะลีฟะฮฺ อัรรอชิดีนท่ีไดรับทางนํา พวกเจาจงกัดมันแนน ๆ ดวย ฟน กราม และพวกเจาจงระมดั ระวังสง่ิ ท่ีอุปโลกนขึ้นใหม เน่ืองจากบรรดาสิ่ง อุปโลกนน ้ันเปนบิดอะฮฺ และบรรดาสิง่ บิดอะฮฺนั้ คอื การหลงทาง”(1) นอกจากน้ันแลว บรรดาอุละมาอฺมุสลิมยังใหความสําคัญกับหะดีษเปนอยางสูง ตลอดระยะเวลาของพวกเขา โดยการสนับสนุนใหมีการทองจําหะดีษพรอมกับเตือน ไมใหโกหกตอทานนบี และมักงายตอหะดีษของทาน เชน กลาวในส่ิงท่ีทานนบี ไมไดกลาวไว หรือกลาวพาดพิงถึงส่ิงที่ไมสมควรแกทาน ไมวาที่เก่ียวของกับคําพูด การกระทํา การยอมรับและอ่ืน ๆ เพราะการโกหกตอหะดีษไมใชธรรมชาติของผู ยอมรับตัวเองวาเปนผูศรัทธาตออัลลอฮฺ และทานนบี แตเปนการกระทําของผู ไรซง่ึ การศรัทธาอยา งแทจรงิ และไรจ ิตสํานกึ ท่ฝี ง ลกึ ในหัวใจท่ีเปยมดวยวิญญาณแหงสัจ ธรรม (1) เปน สวนหน่งึ ของหะดษี บนั ทึกโดยอะบูดาวูด : 5/13 หะดีษเศาะหหี ฺ
บทที่ 1 บทนาํ 4 การทุมเทความพยายามกับหะดีษถือวาเปนเร่ืองท่ีดีเลิศในบรรดาวิชาการ อิสลาม อันเน่ืองจากวาหะดีษน้ันเปนแหลงท่ีมาในการบัญญัติหุกมตาง ๆ ของ กฏหมายอิสลาม อิมามอันนะวะวียกลาววา “สิ่งที่สําคัญบางอยางเกี่ยวกับวิชาการ คือ การยืนยันในหะดีษของทา นนบี ทุกบท กลาวคือ พิสูจนมะตัน (ตัวบท) หะดีษวา เปนตัวบทท่ีเศาะหีหฺหะซัน หรือเฎาะอีฟ” เปนตน เพราะหะดีษทุกบทที่มาถึงเราโดย ผานสายรายงานนั้นมิใชวาทั้งหมดถูกตอง แตมีทั้งหะดีษเศาะหีหฺ หะดีษหะซัน หะดีษ เฎาะอฟี หะดษี เมาฎอ ฺและเรือ่ งราวของอิสรออลี ยิ าต จากขอเท็จจริงพบวา บรรดาอุละมาอฺมุสลิมไดพยายามวิเคราะหสถานภาพของ ผูรายงานหะดีษท้ังในดานคุณธรรมและดานความบกพรอง ซ่ึงพวกเขาก็ไดอธิบายไว ถึงบุคคลที่สามารถยอมรับการรายงานและผูท่ีไมควรใหการยอมรับ บางทานเปนผูท่ี เช่ือถือไดและบางทานไมใชเชนน้ัน ดวยเหตุดังกลาว บรรดาอุละมาอฺไดคิดคน หลักการทางวิชาการและวางกฎเกณฑอยางละเอียดเพ่ือเปนเคร่ืองมือในการจําแนก แยกแยะประเภทของหะดษี และเพือ่ ใชในการวิเคราะหชนิดตาง ๆ ของหะดีษ ตลอดจน สถานะของหะดีษแตละชนิดดวย รวมทั้งเร่ืองอ่ืน ๆ ที่เกี่ยวของกับ หะดีษอีก มากมาย หลักฐานชิ้นสําคัญท่ีทําใหบรรดาอุละมาอฺมุสลิมพิถีพิถันในเร่ืองหะดีษ คือ การ รายงานของอิมามอัชชาฟอียในหนังสือ “อัลริสาละฮฺ” ทานกลาววา “แทจริงอุมัร เบ็ญ อัลคอฎฎอบไดตัดสินในเรื่องของการตัดน้ิวน้ันสมควรแกการจายอูฐสิบหาตัว เม่ืออุมัร ไดอานคําบันทึกของอะบูอาลิอัมรฺ เบ็ญ หัซมฺ ที่ไดบันทึกการปฏิบัติของรสูลุลลอฮฺ ในเรื่องดงั กลา ว ความวา : “และทุกๆ นิ้วท่ีเสียนั้น คือ อูฐสิบตัว” อุมัรกลาววา : “พวก เจาทั้งหลายอยาไดใหการยอมรับคําบันทึกของอะบูอาลิอัมรฺ เบ็ญ หัซมฺ อัลลอฮฺ เทาน้ันที่ทรงรูความจริงจนกวาพวกเขาสามารถยืนยันส่ิงน้ันวามาจากรสูลุลลอฮฺ จรงิ ” อิมามอัชชาฟอียกลาวอีกวา “จากหะดีษแสดงใหเห็นสองประการท่ีสําคัญคือ การยอมรับหะดีษที่มาจากการรายงานของบุคคลเพียงคนเดียว หรือท่ีเรียกวา อาหาด และการยอมรับหะดีษเม่ือมีการพิสูจนความจริงของมันแลว ถึงแมวาเนื้อหาของหะดีษ นนั้ ยังไมมีใครคนหน่ึงคนใดใหการยอมรับก็ตาม หากมีการปฏิบัติของนักวิชาการแตมัน
บทท่ี 1 บทนาํ 5 ขัดแยงกับหะดีษ แนนอนการปฏิบัติน้ันถือเปนโมฆะโดยปริยายดวยบทบัญญัติของหะ ดษี ซึง่ มอี ยใู นเนอื้ หาของมนั อยูแลว ” อิบนุ อัลกอยยิมกลาววา “หะดีษที่มาจากรสูลุลลอฮฺ ดวยวิธีการรายงาน อยางถูกตองและไมมีหะดีษอ่ืนมายืนยันวาเปนหะดีษมันสูค (ถูกยกเลิกไปแลว) จําเปน จะตองใหการยอมรับและปฏิบัติตามหะดีษนั้น โดยไมจําเปนตองคํานึงถึงสิ่งท่ีขัดแยง กับหะดีษวามาจากไหนและเปนของใคร” อิมามอัลบุคอรียและอิมามมุสลิมไดรายงาน หะดีษบทหน่ึงมาจากมุอาซ เบ็ญ ญะบัลเลาวา ฉันเดินตามหลังทานนบี ทานกลาว วา . ﻭﻣﺎ ﺣﻖ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩ ﻋﻠﻰ ﺍﷲ؟،)) ﻳﺎ ﻣﻌﺎﺫ! ﻫﻞ ﺗﺪﺭﻱ ﻣﺎ ﺣﻖ ﺍﷲ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩ ﻓﺈﻥ ﺣﻖ ﺍﷲ ﻋﻠﻰ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩ ﺃﻥ ﻳﻌﺒﺪﻭﻩ ﻭﻻ: ﻗﺎﻝ. ﺍﷲ ﻭﺭﺳﻮﻟﻪ ﺃﻋﻠﻢ: ﻗﻠﺖ ﻭﺣﻖ ﺍﻟﻌﺒﺎﺩ ﻋﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﺰﻭﺟﻞ ﺃﻥ ﻻ ﻳﻌﺬﺏ ﻣﻦ ﻻ ﻳﺸﺮﻙ،ﺗﺸﺮﻛﻮﺍ ﺑﻪ ﺷﻴﺌﺎ ﻻ: ﺃﻓﻼ ﺃﺑﺸﺮ ﺑﻪ ﺍﻟﻨﺎﺱ؟ ﻗﺎﻝ، ﻳﺎ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ: ﻗﻠ ُﺖ: ﻗﺎﻝ،ﺑﻪ ﺷﻴﺌﹰﺎ ((ﺗﺒﺸﺮﻫﻢ ﻓﻴﺘﻜﻞ ความวา : “โอมุอาซ! เจารูไหม อะไรคือสิทธิของอัลลอฮฺตอบาวของ พระองคและอะไร คือ สิทธิของบาวตออัลลอฮฺ? ฉันตอบวา อัลลอฮฺและร สูลเทานั้นที่รูดีย่ิง ทานนบี กลาววา “สิทธิของอัลลอฮฺจากบาวคือ การ ทําอิบาดะหของบาวตอพระองคและไมตั้งภาคีกับสิ่งอื่นใด สวนสิทธิของ บาวจากพระองคคือ ไมลงโทษผูไมตั้งภาคีตอพระองคแมแตนิดเดียว” ฉันตอบวา โอรสูลุลลออฮฺ! ฉันจะบอกใหกับมนุษยท้ังหลายเพ่ือใหพวกเขา ช่ืนใจไดหรือไม? ทานนบีตอบวา “เจาอยาไดบอก เพราะจะทําใหพวกเขา ไดใ จ”(1) (1) บันทึกโดยบุคอรีย : 4/430 และมุสลิม หนา 49
บทท่ี 1 บทนาํ 6 ถึงอยางไรก็ตาม หะดีษทุกบทนาจะมีการวิเคราะหดวยความกระจางระหวาง หะดีษเศาะหีหฺ หะดีษหะซัน หะดีษเฎาะอีฟ และหะดีษเมาฎอฺ เน่ืองจากหะดีษ คือ สัจจะอันแทจริงมิใชส่ิงท่ีงมงาย หมายความถึง หะดีษเศาะหีหฺไมใชหะดีษเมาฎอฺ ซึ่ง ดวยวิธีเชนน้ีเทานั้นบรรดามุสลิมจะสามารถปฏิบัติในเรื่องตาง ๆ ของศาสนาดวยความ ถูกตองและปราศจากขอ ครหาตาง ๆ ตอบทบญั ญัติของอัลลอฮฺ และคําสอนของรสู ลลุ ลอฮฺ ซง่ึ เปน การปฏิบตั ิตามแนวทางอนั เทยี่ งตรง
7บทที่ 2 วชิ ามศุ เฏาะละหฺ อลั หะดษี บทที่ 2 วิชามุศเฏาะละหฺ อลั หะดษี 1. นยิ าม วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษ คือ วิชาที่วาดวยหลักการและกฏเกณฑตาง ๆ ท่ีสามารถทราบถึงสถานภาพของสะนัด (กระบวนการรายงาน) และมะตัน (ตัวบทหะดีษ) ในแงของการยอมรับและการปฏเิ สธหะดษี จากนิยามขางตนเปนที่ประจักษวาการใหการยอมรับหะดีษแตละบทน้ัน จําเปนท่ีจะตองผานการวิเคราะหทั้งกระบวนการรายงานและสภาพของตัวบท หะดีษอยางละเอียดกอนท่ีจะใหการยอมรับหะดีษ และนําหะดีษนั้น ๆ มาใชเปน หลกั ฐาน 2. เร่อื งท่ีพูดถึง วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษจะพูดถึงเร่ืองราวสองประการ คือ ที่เกี่ยวของ กบั สายรายงานและตัวบทหะดีษในแงของการยอมรับนํามาใชเปนหลักฐาน และ บางทัศนะมีความเห็นวา เปนวิชาที่พูดถึงรสูลุลลอฮฺ โดยตรงในแงที่วาทาน เปนศาสนทูตของอัลลอฮฺ ซึ่งเปนแบบ อยางในทุก ๆ ดานในการดําเนินชีวิต ของประชาชาติ 3. วตั ถุประสงค 1. เพ่ือแยกแยะระหวางหะดีษที่มีการรายงานอยางถูกตองกับหะดีษท่ีมี การรายงานดวยสายรายงานท่ีออ นหรืออุปโลกนต อ ทา นนบมี ฮุ มั มดั
8บทที่ 2 วชิ ามุศเฏาะละหฺ อัลหะดษี 2. เพ่อื สามารถทราบที่มาของบทบัญญตั ิตางๆที่เกี่ยวกบั กฎหมายอิสลาม เปน ตน 4. ผลทีค่ าดวาจะไดร ับ 1. สามารถทราบถึงระดับของหะดีษแตละบท เชน ระดบั หะดษี เศาะหหี ฺ หะดษี หะสนั หะดีษเฎาะอฟี หะดีษเฎาะอฟี ญิดดัน หรอื หะดษี เมาฎอฺ 2. สามารถทราบถึงประเภทตา งๆ ของหะดีษนบี เชน หะดีษกดุ ซีย หะดษี มัรฟูอฺ หะดษี เมากฟู และหะดษี มักฏอฺ 3. สามารถทราบถึงสถานะของหะดษี ทสี่ ามารถนาํ มาใชเ ปนหลกั ฐานได หรอื ไมได ซงึ่ จะทาํ ใหก ารปฏบิ ัติศาสนกจิ เปนไปอยา งถูกตอง 5. ศพั ทเ ฉพาะ สําหรับวิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษจะพบศัพทมากมายท่ีถูกนํามาใช บอยครั้งในทางปฏิบัติและเปนท่ีทราบกันอยางแพรหลายในหมูนักวิชาการ หะดษี คําเหลานนั้ คือ 1. อัลมุสนัด ( )ﺍﳌﺴَﻨﺪตัวอกั ษร “ ”نอานสระขางบนซึง่ มี 2 ความหมาย ความหมายท่ี 1 หมายถึง หะดษี ทม่ี ีการรายงานดว ยสะนัดติดตอกัน ตง้ั แตผ ูรายงานคนแรกจนถงึ คนสดุ ทาย เชน หะดษี มัรฟูอฺ หะดีษเมากูฟและหะ ดีษมกั ฏอ ฺแตอิมามอัลหากิมมคี วามเห็นทีต่ า งกันซงึ่ ทา นกลา ววา “คําน้อี นุญาต ใหใ ชก ับหะดษี มัรฟอู ฺทีม่ กี ารรายงานดวยสะนดั ทต่ี ดิ ตอ กนั เทานั้น” ทัศนะนี้ไดร บั การสนบั สนุนจากอัลหาฟศ อิบนุ หะญัร อลั อัสเกาะลานยี ใ น หนังสอื ชรั หฺ อนั นุคบะฮฺ ความหมายท่ี 2 หมายถงึ หนงั สือที่รวบรวมคาํ พูด การกระทาํ และการ ยอมรบั ของบรรดาเศาะหาบะฮฺ
9บทที่ 2 วชิ ามศุ เฏาะละหฺ อลั หะดีษ 2. อลั มสุ นิด ( )ﺍﳌﺴِﻨﺪตวั อักษร “ ”نอานดว ยสระขา งลา ง หมายถงึ ผูรายงาน หะดษี ดว ยสายรายงานของเขาเอง ไมว าเขาจะมคี วามรูเ ก่ยี วกับ หะดษี หรอื ไมกต็ าม 3. อัลมหุ ดั ดิษ ( )ﺍﶈﺪﺙแปลวา นักหะดีษ หมายถึงผูเ ชี่ยวชาญในเร่อื งของ วธิ ีการยนื ยันหะดีษ มีความรูเ ก่ียวกับสถานภาพของผูร ายงานแตละคนทัง้ ทางดา นคุณธรรมและความบกพรอ งไมใ ชแ คฟงหะดีษเพียงอยา งเดียวเทา นนั้ อมิ ามอบิ นุ ซัยยดิ ินนาส กลา ววา “นกั หะดษี ในสมยั ของเราจะมีความสามารถ คอื เปนผูรายงานและอธิบายหะดษี รวบรวมชวี ประวัตขิ องนักรายงานหะดีษ สามารถพจิ ารณาการรายงานหะดีษของนักหะดษี รวมสมยั สามารถแยกประเภท และชนิดของหะดษี และเปน ผทู ี่รูกันอยางแพรห ลายในสังคมมุสลิมวา เปนผูทมี่ ี ความศรทั ธาทหี่ นักแนน ” 4. อัลหาฟศ ( )ﺍﳊﺎﻓﻆหมายถึง ผูท ่ีมีความรใู นเรื่องรนุ ตา งๆ ของนกั หะดีษมากกวา ที่ไมรู อัลกอฎีย มุฮัมมัด อัตตะฮานะวีย มีความเห็นวา “ผูที่ทองหะดีษตั้งแต 100,000 ข้ึนไป หะดีษท้ังสะนัดและมะตัน มีความรูเก่ียวกับประวัติของนักหะดีษ และสถานภาพของพวกเขา ทง้ั ทางดานคุณธรรมและความบกพรอ ง” อัลหุจญะฮ ( )ﺍﳊﺠﺔหมายถึง ผูท่ีทองหะดีษตั้งแต 300,000 หะดีษขึ้นไป ทั้งตัวบทและสายรายงาน 1. อัลหากิม ( )ﺍﳊﺎﻛﻢหมายถงึ ผทู ีท่ อ งหะดษี ตง้ั แต 1,000,000 หะดีษ (ทัง้ ตัวบท และสายรายงาน 2. อัลรอวีย ( )ﺍﻟﺮﺍﻭﻱหมายถึง ผรู ายงานหะดษี ดวยสายรายงานของเขา เอง
10บทที่ 2 วิชามศุ เฏาะละหฺ อลั หะดษี 3. อัลฏอลิบ ( )ﺍﻟﻄﺎﻟﺐหมายถึง ผูท ี่เรียนหะดษี ดว ยความประสงคเพื่อ เขา ใจ ความหมายของหะดีษ ในความจริงแลว คําน้ีไมไดใชเฉพาะบุคคลท่ีเรียนวิชา หะดีษเทานั้น แตยังสามารถใชกับผูที่เรียนวิชาอ่ืน ๆ ดวย เชน ผูเรียนวิชา เตาหีด วชิ าฟกฮแฺ ละวชิ าอคั ลาก เปนตน 6. ประวัตคิ วามเปน มา เปนที่ยอมรับในหมูนักวิชาการอิสลามวา วิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษยัง ไมมีการบันทึกเปนการเฉพาะในสามศตวรรษแรก (300 ปแหงฮิจเราะฮฺศักราช) แตวิชาน้ีถูกบันทึกไวรวมกับวิชาอื่น ๆ อาทิเชน วิชาฟกฮฺและวิชาอุศูล อัลฟกฮฺ ผูที่ทําการบันทึกเปนคนแรกคือ อิมามอัชชาฟอียซ่ึงบันทึกไวในหนังสืออัลริ สาละฮฺและหนังสืออัลอุม และอิมามมาลิกในหนังสืออัลมุวัตเฏาะอฺ ครั้นเม่ือวิชา ความรูของหะดีษไดมีการพัฒนาการขึ้น ความรูไดแตกแขนงมากมายและศัพท ตา ง ๆ เร่ิมเปนท่ีรจู ักกันอยา งแพรหลายจนสามารถใหการยอมรับในแตละแขนง วิชา อุละมาอฺก็ไดแยกวิชาตาง ๆ เหลาน้ันออกเปนรายวิชาตางหากและหน่ึงใน วิชาเหลา น้นั คือ วชิ ามุศเฏาะละหฺ อัลหะดษี อุละมาอฺทานแรกที่ไดเรียบเรียงหลักสูตรวิชามุศเฏาะละหฺ อัลหะดีษตาม ความ หมายของมัน คือ อิมามอัรรอมฮุรมุซยี (360 ฮ.ศ.)ในศตวรรษที่ส่ี หลังจาก นั้นวิชานี้กไ็ ดรับความสนใจจากบรรดาอลุ ะมาอใฺ นแตล ะสมัยจนถึงปจจบุ ัน โดยมี การพัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวของและไดมีการอธิบายอยางละเอียด จนในที่สุดวิชา น้ีไดแตกแขนงตาง ๆ มากมาย เชน วิชาตัครีจหะดีษ วิชาอิลัลหะดีษ วิชาอัลญัรฮฺวะอัตตะอฺดีล วิชาวาตุลหะดีษ วิชาอัลอัสมาอฺวัลกุนนา และอื่น ๆ แตล ะสาขาวชิ ามกี ารรวบรวมเน้ือหาทีเ่ กยี่ วของกับวิชาน้ันอยา งสมบรู ณ
ี11บทที่ 2 วิชามศุ เฏาะละหฺ อัลหะดษ 7. ตาํ ราท่เี ก่ยี วขอ ง .1ﻛﺘﺎﺏ ﺍﶈﺪﺙ ﺍﻟﻔﺎﺻﻞ ﺑﲔ ﺍﻟﺮﺍﻭﻱ ﻭﺍﻟﻮﺍﻋﻲ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻟﻘﺎﺿﻲ ﺃﺑﻮ ﳏﻤﺪ ﺍﳊﺴﻦ ﺍﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﺧ ﹼﻼﺩ ﺍﻟﺮﺍﻣﻬﺮﻣﺰ ّﻱ )ﺕ360ﻫـ(. .2ﻛﺘﺎﺏ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺍﳊﺎﻛﻢ ﺍﻟﻨﻴﺴﺎﺑﻮﺭ ّﻱ )ﺕ405ﻫـ( .3ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﺴﺘﺨﺮﺝ ﻋﻠﻰ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺃﺑﻮ ﻧﻌﻴﻢ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﺒﺪﺍﷲ ﺍﻷﺻﺒﻬﺎ ﹼﱐ )ﺕ430ﻫـ( .4ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﻜﻔﺎﻳﺔ ﰲ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺔ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﺃﲪﺪ ﺑﻦ ﻋﻠ ّﻲ ﺑﻦ ﺛﺎﺑﺖ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩ ّﻱ )ﺕ463ﻫـ( .5ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳉﺎﻣﻊ ﻷﺧﻼﻕ ﺍﻟﺮﺍﻭﻱ ﻭﺁﺩﺍﺏ ﺍﻟﺴﺎﻣﻊ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﳋﻄﻴﺐ ﺍﻟﺒﻐﺪﺍﺩ ّﻱ. .6ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻹﳌﺎﻉ ﺇﱃ ﻣﻌﺮﻓﺔ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻟﺮﻭﺍﻳﺔ ﻭﺗﻘﻴﻴﺪ ﺍﻟﺴﻤﺎﻉ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﻘﺎﺿﻲ ﻋﻴﺎﺽ ﺑﻦ ﻣﻮﺳﻰ ﺍﻟﻴﺤﺼ ّﱯ )ﺕ544ﻫـ( .7ﻛﺘﺎﺏ ﻣﺎ ﻻ ﻳﺴﻊ ﺍﶈﺪﺙ ﺟﻬﻠﻪ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﺣﻔﺺ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﻤﺠﺒﺪ ﺍﳌﻴﺎﳒ ّﻲ )ﺕ580ﻫـ( .8ﻛﺘﺎﺏ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺃﺑﻮ ﻋﻤﺮﻭ ﻋﺜﻤﺎﻥ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﻟﺸﻬﺮﺯﻭﺭ ّﻱ ،ﺍﳌﺸﻬﻮﺭ ﺑﺎﺑﻦ ﺍﻟﺼﻼﺡ )ﺕ643ﻫـ( .9ﻛﺘﺎﺏ ﺍﻟﺘﻘﺮﻳﺐ ﻭﺍﻟﺘﻴﺴﲑ ﳌﻌﺮﻓﺔ ﺳﻨﻦ ﺍﻟﻨﺬﻳﺮ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺍﻟﻔﻘﻴﻪ ﳏﻲ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﳛﻲ ﺍﺑﻦ ﺷﺮﻑ ﺍﻟﻨﻮﻭ ّﻱ )676ﻫـ(
ี12บทที่ 2 วิชามุศเฏาะละหฺ อลั หะดษ .10ﻛﺘﺎﺏ ﻧﻈﻢ ﺍﻟﺪﺭﺭ ﰲ ﻋﻠﻢ ﺍﻷﺛﺮ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﳊﺎﻓﻆ ﺯﻳﻦ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﺣﻴﻢ ﺑﻦ ﺍﳊﺴﲔ ﺍﻟﻌﺮﺍﻗ ّﻲ )806ﻫـ( .11ﻛﺘﺎﺏ ﳔﺒﺔ ﺍﻟﻔﻜﺮ ﰲ ﻣﺼﻄﻠﺢ ﺃﻫﻞ ﺍﻷﺛﺮ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﳊﺎﻓﻆ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﻠ ّﻲ ﺑﻦ ﻋﻠ ّﻲ ﺍﺑﻦ ﺣﺠﺮ ﺍﻟﻌﺴﻘﻼ ﹼﱐ )ﺕ825ﻫـ( .12ﻛﺘﺎﺏ ﻓﺘﺢ ﺍﳌﻐﻴﺚ ﰲ ﺷﺮﺡ ﺃﻟﻔﻴﺔ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﻟﺴﺨﺎﻭ ّﻱ )ﺕ902ﻫـ( .13ﻛﺘﺎﺏ ﺗﺪﺭﻳﺐ ﺍﻟﺮﺍﻭﻱ ﰲ ﺷﺮﺡ ﺗﻘﺮﻳﺐ ﺍﻟﻨﻮﻭ ّﻱ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻹﻣﺎﻡ ﺟﻼﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﺑﻜﺮ ﺍﻟﺴﻴﻮﻃ ّﻲ )ﺕ911ﻫـ( .14ﻛﺘﺎﺏ ﺍﳌﻨﻈﻮﻣﺔ ﺍﻟﺒﻴﻘﻮﻧﻴﺔ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﻋﻤﺮ ﺑﻦ ﳏﻤﺪ ﺍﻟﺒﻴﻘﻮ ﹼﱐ )ﺕ1080ﻫـ( .15ﻛﺘﺎﺏ ﺗﻮﺟﻴﻪ ﺍﻟﻨﻈﺮ ﺇﱃ ﺃﺻﻮﻝ ﺍﻷﺛﺮ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﻃﺎﻫﺮ ﺑﻦ ﺻﺎﱀ ﺍﳉﺰﺍﺋﺮ ّﻱ )ﺕ1320ﻫـ(. .16ﻛﺘﺎﺏ ﻗﻮﺍﻋﺪ ﺍﻟﺘﺤﺪﻳﺚ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﲨﺎﻝ ﺍﻟﺪﻳﻦ ﺍﻟﻘﺎﲰ ّﻲ )ﺕ1333ﻫـ(. .17ﻛﺘﺎﺏ ﻗﻮﺍﻋﺪ ﰲ ﻋﻠﻮﻡ ﺍﳊﺪﻳﺚ ،ﺗﺄﻟﻴﻒ ﺍﻟﻔﻘﻴﻪ ﻇﻔﺮ ﺃﲪﺪ ﺍﻟﻌﺜﻤﺎﱐ ﺍﻟﺘﻬﺎﻧﻮ ّﻱ )ﺕ1394ﻫـ(
13บทท่ี 3 หะดษี และคําที่มีความหมายเหมือนหะดีษ บทท่ี 3 หะดษี และคําทมี่ ีความหมายเหมอื นหะดษี 1. ความหมายของหะดษี ()ﺍﳊﺪﻳﺚ ตามหลกั ภาษาศาสตร คําวา “ ”ﺣﺪﻳﺚเปนอาการนามเอกพจน แปลวาใหม พหูพจน คือ ﺃﺣﺎﺩﻳﺚเหมือนกับคําวา “ ”ﻗﻄﻴﻊแปลวาตัดขาด พหูพจน คือ ﺃﻗﺎﻃﻴﻊซ่ึงมี ความหมายตรงกนั ขา มกับคาํ วา “ ”ﻗﺪﱘแปลวา ถาวร(1) คําวา “ ”ﺣﺪﻳﺚตามรากศัพทเดิมนั้นมีความหมายหลายนัยดวยกัน อาทิ เชน สิ่งใหม หรือของใหม ซึ่งตรงกันขามกับคําวา เกา(2) คําพูดท่ีกลาวออกมา มากหรือนอย แมแตคําพูดที่เปลงออกมาเฉย ๆ มีความหมายหรือไมก็ตาม การใหความหมายเชน น้ี นํามาจากคําตรสั ของอัลลอฮฺ ﺇﻥ ﱂ ﻳﺆﻣﻨﻮﺍ ﺑﻬﺬﺍ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺃﺳـﻔﹰﺎ ความวา : “หากพวกเขาไมศ รทั ธาตอหะดีษน้ีแลว แนน อนจะพบกับความ เสียใจ”(3) (1) อลั อะซีม อะบาดยี : 1/164 (2) อัสสยุ ฏู ยี : 1/6 (3) ซเู ราะฮอฺ ลั กะฮฺฟฺ อายะฮทฺ ่ี6
14บทที่ 3 หะดีษและคําท่ีมีความหมายเหมือนหะดีษ แตค าํ น้ี ( )ﺣﺪﻳﺚถกู ใชเปนการเฉพาะเจาะจงกับทานนบมี ุฮมั มดั เทา นนั้ จะเปนคําพูด การกระทาํ การยอมรับและอ่ืน ๆ ทานอิบนมุ ัสอูด กลาววา “ ﻭﺧﲑ ﺍﳍﺪﻯ ﻫﺪﻯ ﳏﻤﺪ،”ﺇﻥ ﺃﺣﺴﻦ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻛﺘـﺎﺏ ﺍﷲ แปลวา : “แทจ ริงหะดีษ (คําพดู ) ทด่ี ที ี่สุดน้ัน คอื กติ าบอลั ลอฮแฺ ละ แนวทางทป่ี ระเสริฐที่สุด คอื แนวทางของทานนบมี ุฮมั มดั ”(4) จากนิยามขางตนพอสรุปไดวา คําวา หะดีษสามารถใชอยางกวางๆ กับ คําพูดของใครก็ไดเชน หะดีษมัรฟูอฺ หะดีษเมากูฟ หะดีษมักฏอฺแมแตหะดีษ เมาฎอฺ เน่ืองจากเปนการใชในลักษณะทั่วไปไมจํากัดความหมายเจาะจงกับใคร คนหนง่ึ คนใดเทานนั้ อิมามอัตฏีบีย กลาววา “หะดีษ ตามหลักภาษาน้ันมีความหมาย ครอบคลุมมากกวาท่ีจะใชเฉพาะเจาะจงกับคําพูดของทานนบี หรือคําพูดของ เศาะหาบะฮฺ หรือคําพูดของ ตาบิอีนเทาน้ัน แตรวมถึงการกระทําและการ ยอมรับของพวกเขาเหลา น้ันดว ย(1) ตามหลักวชิ าการ การนิยามความหมายของหะดีษตามหลักวิชาการพบวา มีหลายทัศนะท่ี ตางกนั พอสรุปไดดังนี้ (4) บันทึกโดยมุสลิม : 1/189 (1) อตั เฏาะหานะวยี หนา 24
15บทท่ี 3 หะดีษและคาํ ที่มีความหมายเหมือนหะดีษ 1. อุละมาอฺหะดีษไดนิยามวา ทุกสิ่งทุกอยางที่พาดพิงถึงทานนบีมุฮัมมัด ไมวาจะเปนคําพูด การกระทํา การยอมรับ คุณลักษณะตลอดจนชีวประวัติ ของทา น ทงั้ กอ นไดรับการแตง ตง้ั เปน นบีหรือหลงั จากการเปนนบี(2) ความหมายหะดีษเชนนี้ก็เหมือนกับความหมายของอัสสุนนะฮฺตาม ความเหน็ ของอลุ ะมาอหฺ ะดษี สวนใหญ 2. อิมามอันนะวะวีย กลาววา “หะดีษ คือ ทุก ๆ ปรากฏการณท่ีสามารถ พาดพิงถึงทานนบีมุฮัมมัด แมวาทานไดปฏิบัติเพียงคร้ังเดียวเทานั้นตลอด ชีวติ หรือถกู บนั ทึกไวโดยบุคคลเพียงคนเดยี วก็ตาม”(3) ตามทัศนะของอมิ ามอันนะวะวยี การทีจ่ ะเรียกวาอัลหะดีษน้ันไมเฉพาะที่ เปนคําพูด การกระทําเทา นน้ั แตจะครอบคลุมทุกสิ่งทุกอยางที่มีความเก่ียวพัน กับทา นนบี แมแตช ่ัวขณะหน่ึงเทานนั้ ก็ตาม 3. มีทัศนะอ่ืนกลาววา หะดีษ คือ คําพูดของทานนบีมุฮัมมัด เทาน้ัน ไมวาทานจะกลาวในเหตุการณใดก็ตาม ไมรวมถึงการกระทํา การยอมรับและ อ่นื ๆ(4) ทัศนะนี้ใหความหมายตางกันกับอิมามอันนะวะวีย ซึ่งเปนการให ความหมายท่ีแคบเปนการเฉพาะ คอื คําพดู ของทานนบีมฮุ ัมมดั เทา นน้ั จากหลาย ๆ ทัศนะขางตนพบวา ความหมายของหะดีษตามหลักวิชาการ น้ันเปนคําท่ีใชเฉพาะเจาะจงสําหรับทานนบีมุฮัมมัด เทาน้ันไมสามารถจะใช กับบุคคลอ่ืนไดเสมือนวาคําๆน้ีถูกกําหนดขึ้นมาเปนคําเฉพาะ ดังรายงานจาก หะดษี บทหนง่ึ (2) มฮุ มั มดั อะญาจญ อัลเคาะฏบี หนา 21-22 (3) ซยั ยิด สลุ ัยมาน อันนะดะวยี หนา 18 (4) มฮุ ัมมดั อะญาจญ อัลเคาะฏีบ หนา 22
16บทที่ 3 หะดีษและคําท่มี ีความหมายเหมือนหะดีษ ! ﻳﺎ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ: ﺳﺄﻝ ﺃﺑﻮ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﻓﻘﺎﻝ : ﻣﻦ ﺃﺳﻌﺪ ﺍﻟﻨﺎﺱ ﺑﺸﻔﺎﻋﺘﻚ ﻳﻮﻡ ﺍﻟﻘﻴﺎﻣﺔ؟ ﻓﻘﺎﻝ ﻟﻪ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ )) ﻟﻘﺪ ﻇﻨﻨ ُﺖ ﻳﺎ ﺃﺑﺎ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺃﻻ ﻳﺴﺄﻟﲏ ﻋﻦ ﻫﺬﺍ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﺃﺣ ٌﺪ ﺃﻭﻝ (( ﳌﺎ ﺭﺃﻳ ُﺖ ﻣﻦ ﺣﺮﺻﻚ ﻋﻠﻰ ﺍﳊﺪﻳﺚ،ﻣﻨﻚ ความวา : ทานอะบูฮุรอยเราะฮฺ ไดถามรสูลุลลอฮฺ วา โอ รสูลุลลอฮฺ! ผูใดในหมูมนุษยเปนผูที่มีความสุขที่สุดที่ไดรับ ความเอ้ือเฟอเผื่อแผจากทานในวันกิยามะฮฺ? รสูลุลลอฮฺ กต็ อบเขาวา “โออะบูฮรุ อยเราะฮฺ ทจี่ รงิ แลว ฉันรสู ึกวาคําถาม น้ียังไมมีผูใดกอนเจาที่ถามฉันเกี่ยวกับหะดีษ (คําพูด) นี้ เนือ่ งจากฉนั เห็นวา เจา มคี วามตง้ั ใจอยา งแนว แนตอหะดษี ”(1) ในทํานองเดียวกันมีรายงานจากอะบูฮารูนกลาววา “เม่ือพวกเราไดพบ กบั อะบู สะอีด อลั คุดรีย ทานมักจะกลาวสมํ่าเสมอวา ยินดีตอนรับสูการส่ังเสีย ของรสูลุลลอฮฺ เขากลาววา พวกเราไดถามอะบูสะอีด วา การสั่งเสีย ของทานนบีน้ันคอื อะไร? ทานอะบู สะอีดตอบวา รสูลลุ ลอฮฺ ไดก ลาววา ﻓﺈﺫﺍ ﺟﺎﺀﻭﻛﻢ،)) ﺇﻧﻪ ﺳﻴﺄﰐ ﺑﻌﺪﻱ ﻗﻮﻡ ﻳﺴﺄﻟﻮﻧﻜﻢ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻋﲏ (( ﻓﺄﻟﻄﻔﻮﻫﻢ ﻭﺣﺪﺛﻮﻫﻢ (1) มุฮมั มดั อะญาจญ อัลเคาะฏีบ หนา 22
17บทที่ 3 หะดีษและคาํ ที่มีความหมายเหมือนหะดีษ ความวา : “แทจริงจะมีกลุมหนึ่งจากประชาชาติของฉันจะมาพบกับ พวกเจา (ณ เมืองมะดีนะห) ซ่ึงพวกเขาเหลานั้นจะถาม เกี่ยวกับหะดีษของฉัน ดังนั้น เมื่อพวกเขาไดมาพบพวกเจา แลวกจ็ งนอมรับและจงสอนพวกเขาใหถกู ตอง”(2) การนําคําวา “หะดีษ” มาใชน้ันอาจจะแบงออกเปนสองลักษณะดวยกัน คือ ใชในลักษณะเฉพาะเจาะจงกับทานนบีมุฮัมมัด เทานั้น และบางคร้ัง อาจจะใชใ นลักษณะท่วั ไปกบั บคุ คลอน่ื ๆ ที่สมควรจะพาดพิงดว ย 2. ความหมายของอสั สุนนะฮ ()ﺍﻟﺴﻨﺔ ตามหลกั ภาษาศาสตร คําวา “ ”ﺍﻟﺴﻨﺔแปลวา การปฏิบัติท่ีถูกกําหนดมาหรือแนวทาง สวน ความหมายตามหลกั ภาษาศาสตรมหี ลายความหมายดวยกันแตที่จะยกมาในท่ีน้ี เพยี งบางสว นเทานนั้ 1. อสั สุนนะฮฺ คอื แนวทางทีด่ ีหรือแนวทางท่เี ลว ทานนบี กลาววา )) ﻣﻦ ﺳ ّﻦ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺳﻨﺔ ﺣﺴﻨﺔ ﻛﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺯﺭﻫﺎ ﻭﻭﺯﺭ ﻣﻦ ،ﻋﻤﻞ ﺑﻬﺎ ﻣﻦ ﺑﻌﺪﻩ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺃﻥ ﻳﻨﻘﺺ ﻣﻦ ﺃﺟﻮﺭﻫﻢ ﺷﻲﺀ ﻭﻣﻦ ﺳ ّﻦ ﰲ ﺍﻹﺳﻼﻡ ﺳﻨﺔ ﺳﻴﺌﺔ ﻛﺎﻥ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺯﺭﻫﺎ ﻭﻭﺯﺭ ﻣﻦ (( ﻋﻤﻞ ﺑﻬﺎ ﻣﻦ ﺑﻌﺪﻩ ﻣﻦ ﻏﲑ ﺃﻥ ﻳﻨﻘﺺ ﻣﻦ ﺃﻭﺯﺍﺭﻫﻢ ﺷﻲﺀ (2) อัลอสั เกาะลานีย : 1/204
18บทท่ี 3 หะดษี และคาํ ทมี่ ีความหมายเหมือนหะดีษ ความวา : “ผใู ดก็ตาม(1)ไดคิดแนวทางท่ีดีในอิสลามแลว ดังนั้น เขาจะ ไดรับผลตอบแทนจากการปฏิบัติของคนอื่นหลังจากเขาโดยที่ ผลตอบแทนนั้นไมลดหยอนแมแตนิดเดียว และผูใดก็ตามได คิดแนวทางที่เลวในอิสลาม เขาจะไดรับผลตอบแทนจากการ ปฏิบัติของคนอ่ืน หลังจากเขาเชนเดียวกันโดยที่ผลตอบแทน นั้นไมลดหยอน แมแตนิดเดียวเชนกันจากการปฏิบัติใน แนวทางนน้ั ”(2) 2. อัสสนุ นะฮฺ คอื หนทาง อัลลอฮฺ ทรงตรสั ไววา ﻗﺪ ﺧﻠ ْﺖ ﻣﻦ ﻗﺒﻠﻜﻢ ﺳﻨﻦ ﻓﺴﲑﻭﺍ ﰲ ﺍﻷﺭﺽ ﻓﺎﻧﻈﺮﻭﺍ ﻛﻴﻒ ﻛﺎﻥ ﻋﺎﻗﺒﺔ ﺍﳌﻜﺬﺑﲔ ความวา : “แนน อนไดผ านพน มาแลวกอนพวกเจา ซงึ่ หนทางตา ง ๆ ดงั น้ัน พวกเจา จงทอ งเที่ยวในพ้ืนแผน ดนิ แลว จงดูวาบน้ั ปลายของบรรดาผูปฏเิ สธนัน้ เปนอยางไร”(3) คาํ วา “ ” ُﺳَﻨ ٌﻦในอายะฮขฺ า งตนเปนคํานามในรปู พหูพจนของ “” ُﺳﱠﻨﹲﺔ หมายถงึ หนทางของบรรดาประชาชาตกิ อนสมัยทานนบีมฮุ ัมมัด (1) ตามหลักภาษาอาหรบั คําวา “ ”َﻣﻦเปน คาํ นะกิเราะฮทฺ ่มี ีลักษณะทวั่ ไป (อุมมู ) ใชไดกับเพศชายและเพศหญงิ ซึ่ง แสดงถึงจาํ นวนมาก ดังนน้ั ความหมายของคําน้ีคือ ใครกต็ ามจะเปนชายหรอื หญิงก็ได (2) บนั ทึกโดยมุสลิม : 1/134 (3) ซเู ราะฮฺอาลิอิมรอน อายะฮทฺ ี่ 137
19บทที่ 3 หะดษี และคาํ ทมี่ ีความหมายเหมือนหะดีษ ตามหลกั วชิ าการ บรรดาอุละมาอฺมีความเห็นแตกตางกันเก่ียวกับนิยามของอัสสุนนะฮฺ ทมี่ าจากการพจิ ารณา การเนน และการใหความสาํ คญั ของแตล ะสาขาวิชา 1. อลุ ะมาอหฺ ะดีษ อัสสุนนะฮฺ คือ ทุกส่ิงทุกอยางที่มาจากทานนบีมุฮัมมัด ไมวาจะเปน คําพูด การกระทํา การยอมรับ คุณลักษณะและชีวประวัติท้ังกอนที่ทานไดรับ การแตง ตง้ั ใหเปนนบีหรอื หลังจากไดรับการแตง ตงั้ ใหเปน นบี ความหมายของอัสสุนนะฮฺเชนน้ีเหมือนกับความหมายของหะดีษตาม ทัศนะของอุละมาอฺหะดีษสวนใหญ(1) ทั้งอุละมาอฺมุตะกอดดิมูน เชน อัลบุคอรีย มสุ ลิม อะบดู าวูด อัตติรมิซยี อนั นะสาอยี และอิบนุมาญะฮฺ และอุละมาอฺมุตะ อัคคิรูน เชน อิมามอิบนุ อัลกอยยิม อัลหาฟศ อัลอัสเกาะลานีย เปนตน เพราะฉะน้ัน บางคร้ังอุละมาอฺหะดีษใชคําวา “หะดีษ” และบางคร้ังใชคําวา “อสั สนุ นะฮฺ” เชน สนุ นะฮฺรสลู ุลลอฮฺ หรือหะดีษนบี อุละมาอฺกลุมนี้ใหความสําคัญกับอัสสุนนะฮฺในดานของการเปนรสูล ซ่ึง เปนแบบ อยางอันดีงามสําหรบั ประชาชาตทิ ้งั มวล 2. อลุ ะมาออฺ ะกดี ะฮแฺ ละอลุ ะมาอฺดะฮวฺ ะฮฺ อัสสุนนะฮฺ คือ สิ่งท่ีสอดคลองกับหลักการอัลกุรอานและอัลหะดีษและ สอดคลองกับการอิจญมาอฺของชาวสะลัฟในดานอะกีดะห อิบาดาต ซ่ึงตรงกัน ขา มกับบดิ อะฮฺ(2) (1) อลุ ะมาอฺบางทานมีความเห็นวา ระหวางหะดษี กบั อัสสุนนะฮมฺ ีขอ แตกตาง คือ หะดีษมักจะใชกับคําพูดของ ทานนบี สว นอสั สุนนะฮฺใชกับการกระทําเปนประจําหรือสว นมากเปนการปฏิบตั ขิ องทา น ทศั นะนี้เปน ทศั นะของอับดุลเราะหมฺ าน อัลมะฮฺดยี (2) อมุ รั หะสัน ฟลุ ลาตะฮฺ : 1/39
20บทที่ 3 หะดษี และคาํ ที่มีความหมายเหมือนหะดีษ อุละมาอฺกลุมน้ีใหความสําคัญกับอัสสุนนะฮฺในดานความสอดคลอง หรือไมขดั กับหลักการศรัทธาและวิธีการปฏิบัติของชาวสะลัฟ ตามทัศนะนี้เร่ือง ตา งๆ ที่เกี่ยวขอ งกบั อะกีดะฮฺและอิบาดาตจะมสี องแงเทาน้ัน คือ ส่ิงท่ีเปนอัสสุน นะฮฺหรอื สิ่งท่ีเปนบิดอะฮฺ 3. อุลามาอฺฟก ฮฺ อัสสุนนะฮฺ คือ ส่ิงที่เปนแนวทางปฏิบัติในเร่ืองศาสนาที่ไมใชหุกมวาญิบ (บังคับใหท ํา) และไมใ ชท เี่ ปน ฟรฎ(3) อุละมาอฟฺ กฮจฺ ะใหน ยิ ามอัสสุนนะฮฺในสงิ่ ท่เี ปนหกุ ม สนุ ตั เทา นั้น อุละมาอฺกลุมนี้จะใหความสําคัญตออัสสุนนะฮฺในดานหุกมขอบัญญัติท่ี เปนสุนัต เม่ือมีการปฏิบัติจะไดรับผลตอบแทนและหากไมปฏิบัติก็ไมเปนบาป แตประการใด โดยไมมีการแยกระหวางสิ่งท่ีทานนบี ปฏิบัติอยางปกติหรือ เปนประจาํ หรือปฏิบัติบางครง้ั บางคราวเทา น้ัน บางครัง้ จะใชอัสสนุ นะฮฺตรงขาม กบั สงิ่ ท่เี ปน บิดอะฮฺ 4. อลุ ะมาออฺ ุศูล อัลฟก ฮฺ อัสสุนนะฮฺ คือ ทุกสิ่งทุกอยางท่ีมาจากทานนบี ที่ไมไดระบุในอัลกุ รอาน ไมวาจะเปนคําพูด การกระทํา หรือการยอมรับ ซึ่งสามารถอางเปน หลกั ฐานไดแ ละยงั สามารถบญั ญตั ิหุกมอกี ดว ย(1) อุละมาอฺกลุมน้ีใหความสําคัญกับอัสสุนนะฮฺในดานการบัญญัติหุกมที่ ไมไดระบุในอัลกุรอาน แตมาจากทานนบี โดยตรง สวนมากแลวพวกเขาจะ เนนในสิ่งที่มีความเก่ียวของกับหุกมตักลีฟยท้ังหาคือ หุกมวาญิบ หุกมหะรอม หกุ ม สนุ ัต หกุ ม มบุ าหฺ และหกุ ม มักรูฮฺ (3) มุฮัมมดั อะญาจญ อัลเคาะฏีบ หนา 21 (1) อัชเชากานีย หนา 33
21บทที่ 3 หะดีษและคาํ ที่มีความหมายเหมือนหะดษี 3. ความหมายของเคาะบรั ()ﺍﳋﱪ ตามหลักภาษาศาสตร คําวา “ ” ﺧﱪเปนคําเอกพจนซึ่งแปลวา ขาว(2) คําพหูพจน คือ อัคบาร หมายถึง ขา วหลายเร่อื ง หรือเรื่องราวตา ง ๆ ท่ีไดรายงานสบื ทอดกนั มา ตามหลกั วชิ าการ เคาะบรั ตามหลักวชิ าการ อุละมาอฺมีความเห็นทีแ่ ตกตางกันดังนี้ 1. อุละมาอฺหะดีษมีความเห็นวา ความหมายของเคาะบัรเหมือนกับ ความหมายของหะดีษหรืออัสสุนะฮฺ(3) ตามทัศนะของอุลามาอฺกลุมน้ีคําวา เคาะบัรอาจจะใชกับการรายงานโดยทั่วไป สวนหะดีษและอัสสุนนะฮฺใชกับ คําพูด การกระทํา และการยอมรบั 2. อุละมาอฺบางทานมีความเห็นวา เคาะบัร คือ ส่ิงที่พาดพิงถึงบรรดา เศาะหาบะฮฺหรือตาบิอีน(1) ตามทัศนะของอุละมาอฺกลุมน้ี การใชเคาะบัรนั้น ใชไดเฉพาะกับคํากลาว และการกระทําของเศาะหาบะฮฺหรือตาบิอีนเทาน้ันไม รวมถึงสิ่งทถี่ ูกพาดพิงไปยังทานนบมี ุฮมั มัด แตประการใด 3. มีบางทัศนะกลาววา หะดษี คอื ส่งิ ทพี่ าดพิงถึงทานนบี สวนเคาะบัร คือ ส่ิงที่มาจากนบีมุฮัมมัด และคนอ่ืน ๆ(2) ทัศนะนี้มีความเห็นวา อัลหะดีษ และอัลเคาะบัรใชไดทั้งกับทานนบี เศาะหาบะฮฺ และตาบิอีนโดยไมไดแยกออก จากกัน (2) อลั อะซีม อะบาดีย : 2/17 (3) ดู อัสสุยฏู ีย : 1/9 (1) ดู อสั สยุ ฏู ยี : 1/9 (2) ดู หนังสอื เดิม
22บทที่ 3 หะดีษและคําท่มี ีความหมายเหมือนหะดีษ 4. ความหมายของอะษัร ()ﺍﻷﺛﺮ ตามหลกั ภาษาศาสตร คําวา “ ” ﺃﺛﺮเปนคําเอกพจนซ่ึงแปลวา รองรอย หรือแผล คําพหูพจน คือ อัลอาษาร(3) แปลวา รองรอยมากมาย หรือหลายบาดแผล และสามารถใช กับการติดตาม เชน คนหน่ึงเดินตามอีกคนหน่ึง หรือรุนหน่ึงเดินตามคนรุนกอน หนาพวกเขา เปน ตน ตามหลักวชิ าการ อะษรั ตามหลักวิชาการมหี ลายความหมายดวยกนั ดงั น้ี 1. อุละมาอฺหะดีษสวนใหญมีความเห็นวา อะษัรมีความหมายเหมือนกับ หะดีษ อัสสนุ นะฮฺ และเคาะบัร 2. อุละมาอฺฟกฮฺ(4) กลาววา อะษัร คือ หะดีษเมากูฟ(5) ของเศาะหาบะฮฺ สว นเคาะบรั คอื หะดีษมรั ฟูอ(ฺ 6) ของทานนบีมฮุ ัมมัด อิมามอัสสุยูฏีย กลาววา “บรรดาอุละมาอฺหะดีษเรียกส่ิงที่เปนมัรฟูอฺและ เมากฟู วา อัลอะษรั สวนอลุ ะมาอฟฺ กฮฺเมอื งคุรอซานสวนมากเรียกสิ่งที่เปนมัรฟูอฺ วา อะษัร และส่งิ ทีเ่ ปนเมากฟู วา เคาะบัร(1) 5. ความหมายในทางปฏบิ ัติ ในทางปฏิบัติหรือการใชจริงของบรรดาอุละมาอฺจะเห็นอยางชัดเจนถึง ความแตก ตางของการใชศ พั ททงั้ ส่ี ซง่ึ พอสรุปไดดงั ตอน้ี (3) อลั อะซมี อะบาดีย : 1/362 (4) อสั สยุ ฏู ยี : 1/6 (5) หะดษี เมากูฟ คอื หะดีษที่พาดพิงถึงเศาะหาบะฮฺ ดรู ายละเอยี ดหนา 49-53 (6) หะดษี มรั ฟอู ฺ คือ หะดีษที่พาดพงิ ถึงทานนบมี ุฮัมมดั ดรู ายละเอียดหนา 45-49 (1) อัสสยุ ฏู ีย : 1/6
23บทท่ี 3 หะดีษและคําท่มี ีความหมายเหมือนหะดษี 1. อุละมาอฺหะดีษสวนใหญมีความเห็นวา หะดีษและอัสสุนนะฮฺใชกับ ทานนบีมุฮัมมัด และคุละฟาอฺอัรรอชิดีนเทาน้ัน สวนเคาะบัรใชกับบรรดา เศาะหาบะฮฺ และอะษัรใชกับบรรดาตาบิอนี และตาบิอฺตาบิอนี 2. อุละมาอฺฟกฮฺและอุละมาอฺอุศูล อัลฟกฮฺใชคําวา หะดีษกับคําพูด การ กระทํา และการยอมรับของทานนบีมุฮัมมัด สวนอัสสุนนะฮใชกับการปฏิบัติ ของทานนบี เคาะบัรใชกับบรรดาเศาะหาบะฮฺ และอะษัรใชกับบรรดาตา บอิ นี และตาบิอตฺ าบิอีน
24บทที่ 4 หะดีษในฐานะเปน แหลงท่ีมาของบทบัญญัติอสิ ลาม บทท่ี 4 หะดีษในฐานะเปน แหลงทีม่ า ของบทบัญญตั ิอิสลาม 1. ความเปนจริงของหะดษี หะดีษเปนแหลงที่มาของบทบัญญัติอิสลามอันดับสองรองจากอัลกุรอาน เนอื่ ง จากหะดีษถอื เปนสวนหนง่ึ ของวะหฺยูเชน กนั ดงั ท่ปี รากฏในอลั กรุ อาน ﺇﻥ ﻫﻮ ﺇﻻ ﻭﺣﻲ ﻳﻮﺣﻰ ความวา : “มันมิใชสิ่งอ่ืนใด เวนแตมันก็เปนวะฮฺยูท่ี พระองคท รงประทานลงมา”(1) ท้ังสองประการนี้ – อัลกุรอานและหะดีษ – เปนแหลงที่มาของบทบัญญัติ อิสลามท่ีเปนพื้นฐาน แมนวาท้ังสองประการจะมีความแตกตางทางดานของตัว บทก็ตาม กลาวคืออัลกุรอานถูกประทานลงมาประกอบดวยมุอฺญิซาตท้ังที่เปน ตัวบทและความหมาย สวนหะดีษน้ันถูกประทานลงมายังทานนบีมุฮัมมัด ใน ดานความหมายโดยผานมลาอิกะฮฺญิบรีล และทานนบีก็กลาวดวยสํานวนของ ทานเองโดยยึดตามความหมายน้ันตามสภาพเหตุการณตาง ๆ ท่ีเกิดข้ึนตอหนา ทาน หรือเปนการตอบคําถามของบรรดาเศาะหาบะฮฺ หรือตอบขอซักถาม เก่ียวกับเหตุการณท่ีเกิดขึ้นท่ีทานไมไดเห็นดวยตนเอง อิมามอัชชาฟอียกลาววา (1) ซูเราะฮฺอันนัจญม ฺ อายะฮทฺ ่ี 4
25บทที่ 4 หะดษี ในฐานะเปน แหลงท่ีมาของบทบัญญัติอิสลาม “ทุก ๆ บทบัญญัติที่ทานนบีมุฮัมมัด ไดตัดสินไปน้ันเปนผลมาจากการเขาใจ ในอลั กุรอานอยางถูกตองท่สี ุด” ทานยังกลาวเพ่ิมเติมอีกวา “คําพูดของอุละมาอฺ ทัง้ หมดเปนการอธบิ ายอสั สนุ นะฮฺและอสั สนุ นะฮเฺ ปนการอธบิ ายอัลกุรอาน”(2) จากคํากลาวนี้สอดคลองกับอัลกุรอานที่มีการหามปฏิบัติในสิ่งท่ีตรงกัน ขามกับการปฏิบัติของทานนบี และในส่ิงที่ไมใชเปนหุกมเฉพาะเจาะจง สําหรับทานเทาน้ัน อิมาม อิบนุกะษีร(3) ไดอธิบายอายะฮฺ ﻓﻠﻴﺤﺬﺭ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﳜﺎﻟﻒ ﻋﻦ ﺃﻣﺮﻩ กลาววา “การหามปฏิบัติในลักษณะท่ีขัดแยงกับคําส่ังของ ทานนบีมุฮัมมัด คือ ขัดแยงกับแนวทาง วิธีการ บทบัญญัติ แนวคิดตลอดจน หลักสูตรการสั่งสอนของทาน ดังนั้น สมควรเปนอยางยิ่งท่ีจะตองเปรียบเทียบ เพ่ือใหสอดคลองกับคําพูดและการปฏิบัติของทาน ส่ิงท่ีสอดคลองกับมันก็ตอง ยอมรับมันเสียโดยปราศจากเง่ือนไขใด ๆ ทั้งสิ้น และสิ่งที่ขัดแยงจะตองปฏิเสธ ไปอยางสิ้นเชิง ดังท่ีปรากฏในหะดีษเศาะหีหฺบทหนึ่งบันทึกโดยอัลบุคอรียและ มุสลิม จากทานนบีมุฮัมมัด กลาววา () ﻣﻦ ﻋﻤﻞ ﻋﻤ ﹰﻼ ﻟﻴﺲ ﻋﻠﻴﻪ ﺃﻣﺮﻧﺎ ﻓﻬﻮ ﺭﺩ ความวา “ผูใดไดปฏิบัติในสิ่งที่ไมใชเปนเรื่องที่ศาสนาบัญญัติไว สิ่งน้ันจะตอง ปฏเิ สธไป”(1) ดวยเหตุนี้ อัสสุนนะฮฺจึงอยูในลําดับที่สองรองจากอัลกุรอาน อยางไรก็ ตาม สําหรับอิมามอัชชาฟอียแลวหะดีษตองตามหลังอัลกุรอานเสมอ แมวาทาน จะจัดลาํ ดับของท้งั สองอยูในระดับเดยี วกันก็ตาม 2. ฐานะของหะดีษ (2) อลั กอสิมยี หนา 59 (3) อิบนุกะษีร : 3/131 (1) บนั ทึกโดยอัลบุคอรีย : 13/56 และมุสลมิ : 2/1243
26บทท่ี 4 หะดษี ในฐานะเปน แหลง ที่มาของบทบญั ญัติอสิ ลาม ฐานะในที่นี้ คือ บทบาทและหนาที่ หมายความถึงหนาที่ของหะดีษนบีใน ฐานะท่เี ปน คาํ สอนของศาสนาอิสลาม หะดีษมีหนาที่อธิบายบทบัญญัติตางๆ ใหสมบูรณยิ่งข้ึน ชี้แจง วัตถุประสงคของแตละอายะฮฺ การขยายความอัลกุรอานท่ีมีลักษณะเปนอายะฮฺ มุจมัล (ท่ีมีความหมายส้ันๆ) อายะฮฺท่ีมีลักษณะเปนอายะฮฺมุฏล้ัก (อิสระ) และ อายะฮฺทีม่ ีลกั ษณะเปนอายะฮฺอมุ มู (ทั่วไป) การอธิบายบทบัญญัติใหสมบูรณ เชน การอธิบายอายะฮฺท่ีเกี่ยวกับ อิบาดาต อายะฮฺ มอุ ามะลาต อายะฮฺนิกาหฺ อายะฮฺหะลาลและหะรอม เปน ตน การชี้แจงวัตถุประสงคหรือเจตนารมณของอายะฮฺบางอายะฮฺ เชน อายะฮฺท่ีพูดถึงการสั่งเสียใหแกคนท่ีไมใชญาติพ่ีนองในการยกทรัพยสินใหพวก เขา และอนื่ ๆ การระบุถึงหุกมตางๆ ท่ียังไมไดกลาวไวอยางชัดเจนในอัลกุรอาน หุกม นั้นไมสามารถเปลี่ยนแปลงเปนอยางอื่น เวนแตจะมีหะดีษอ่ืนมาบงช้ีวาเปนหุก มอน่ื เทาน้ัน เน่ืองจากเปนการอธบิ ายของทานนบีน่ันเอง อิมามอัลบัยฮากียได บันทึกหะดีษบทหน่ึงจากการรายงานของอุมัร เบ็ญ อัลคอฏฏอบ กลาววา “โอมนุษยทั้งหลาย แทจริงความคิดท่ีถูกตองน้ันมาจากรสูลุลลอฮฺ เน่ือง จากอัลลอฮฺไดชี้แจงใหแกทาน แตความคิดของเราบางครั้งเปนการคาดคะเน และเปนความคดิ ทอ่ี อนแอดวย” การบรรยายวิธีการปฏบิ ัตติ า ง ๆ ทเ่ี กย่ี วของกับเรือ่ งศาสนาท่ียังไมไดระบุ ไวใน อลั กรุ อาน หรือเปนการกลาวถึงเร่อื งน้นั ไวอ ยา งกวาง ๆ ไมค รอบคลุม ประการท้ังปวงที่ไดกลาวขางตนไมมีขอสงสัยใด ๆ สําหรับบรรดา อุละมาอฺทั้งสมัยกอนและรุนหลัง หรือแมแตอุละมาอฺสมัยปจจุบัน ตางก็ยอมรับ วา หะดีษนั้นไดทําหนาที่อยางสมบูรณในการอธิบายอัลกุรอาน อยางไรก็ตาม ในอัลกุรอานจะพบแตการกลาวถึงหลักใหญหรือกลาวถึงอยางสังเขปเทานั้น โดยไมม กี ารอธบิ ายรายละเอยี ดเก่ยี วกับวิธกี ารปฏิบัตแิ ตประการใด
27บทท่ี 4 หะดีษในฐานะเปนแหลง ท่ีมาของบทบญั ญัตอิ ิสลาม 3. การยึดมัน่ ในหะดีษ ในอัลกุรอานไดกลาวถึงอยางชัดเจนเกี่ยวกับการยึดมั่นในหะดีษ หรือ อัสสุนนะฮฺในลักษณะตาง ๆ เชน การเคารพภักดีตอรสูล การปฏิบัติตาม การ ยอมรับในส่ิงที่ทานนบี ไดดําเนินการมาในชวงท่ีทานนบียังมีชีวิตอยูหรือ หลงั จากท่ีทา นเสียชวี ิตไปแลว หลกั ฐานตาง ๆ ทเี่ กี่ยวของมีดังนี้ หลกั ฐานจากอัลกุรอาน ขอยกตวั อยา งเพยี งบางอายะฮฺเทาน้ัน 1. อัลลอฮฺ ทรงตรสั ไววา ﻭﻣﺎ ﺁﺗﺎﻛﻢ ﺍﻟﺮﺳﻮﻝ ﻓﺨﺬﻭﻩ ﻭﻣﺎ ﻧﻬﺎﻛﻢ ﻋﻨﻪ ﻓﺎﻧﺘﻬﻮﺍ ความวา : “และสิ่งที่ทานรสูลไดนํามาแกพวกเจาก็จงรับมันไว และส่ิงที่ทาน (รสลู ) หามกจ็ งหลีกเลี่ยงมนั เสีย”(1) การนอมรับในส่ิงท่ีทานรสูลนํามาถือเปนการแสดงถึงการนําหะดีษ สนุ นะฮใฺ ชเ ปนหลกั ฐานและการยึดมัน่ ในหะดีษอกี ดว ย 2. อลั ลอฮฺ ทรงตรสั ไวว า ﻳﺎ ﺃﻳﻬﺎ ﺍﻟﺬﻳﻦ ﺁﻣﻨـﻮﺍ ﺃﻃﻴﻌﻮﺍ ﺍﷲ ﻭﺃﻃﻴﻌﻮﺍ ﺍﻟﺮﺳـﻮﻝ ﻭﺃﻭﱃ ﺍ ﻷ ﻣﺮ ﻣﻨﻜﻢ ﻓﺈ ﻥ ﺗﻨﺎ ﺯ ﻋﺘﻢ ﰲ ﺷـﻲ ﺀ ﻓﺮ ﺩ ﻭ ﻩ ﺇ ﱃ ﺍﷲ ﻭﺍﻟﺮﺳـﻮﻝ ﺇﻥ ﻛﻨﺘﻢ ﺗﺆﻣﻨﻮﻥ ﺑﺎﷲ ﻭﺍﻟﻴﻮﻡ ﺍﻵﺧﺮ ความวา : “โอศรัทธาชนทั้งหลาย พวกเจาจงเคารพภักดีตออัลลอฮฺ และจงเคารพภักดีตอ รสูล และผูนําในหมูพวกเจา ฉะน้ัน หากพวกเจามีการขัดแยงกันในสิ่งใดก็จงยอนส่ิง (1) ซูเราะฮฺอลั หัชรฺ อายะฮฺท่ี 7
28บทท่ี 4 หะดีษในฐานะเปน แหลง ท่ีมาของบทบญั ญัติอิสลาม น้ันไปยังอัลลอฮฺและรสูลเถิด หากพวกเจาทั้งหลาย ศรทั ธาตอ อัลลอฮแฺ ละวนั กยิ ามะฮฺ”(1) การยอนกลับไปยังอัลลอฮฺและรสูลนั้นหมายความวา การปฏิบัติตาม แนวทางทีเ่ ทีย่ งตรงและเปนการแสดงถึงการมอี มี านอยางแทจ ริง 3. อัลลอฮฺ ทรงตรสั ไวว า ﻗﻞ ﺇﻥ ﻛﻨﺘﻢ ﲢﺒﻮﻥ ﺍﷲ ﻓﺎﺗﺒﻌﻮﱐ ﳛﺒﺒﻜﻢ ﺍﷲ ﻭﻳﻐﻔﺮ ﻟﻜﻢ ﺫﻧﻮﺑﻜﻢ ความวา : “จงกลาวเถิด (โอมุฮัมมัด)! หากพวกเจารักอัลลอฮฺก็จง ปฏิบัติตามฉัน แนนอนพวกเจาจะเปนที่รักใครของอัลลอ ฮฺ และพระองคจ ะอภัยแกพ วกเจา ในบาปทกุ ประการ”(2) การรักอัลลอฮฺ ที่แทจริง คือ การปฏิบัติตามทานนบีมุฮัมมัด ใน ทุก ๆ เร่ืองท่ีทานไดปฏิบัติ เวนแตบางส่ิงบางอยางเทานั้นท่ีไมจําเปนตอง ปฏิบัตติ าม หลักฐานจากหะดีษ ทา นนบมี ฮุ มั มดั กลา ววา )) ﻋﻠﻴﻜﻢ ﺑﺴﻨﱵ ﻭﺳﻨﺔ ﺍﳋﻠﻔﺎﺀ ﺍﻟﺮﺍﺷﺪﻳﻦ ﺍﳌﻬﺪﻳﲔ ﻋﻀﻮﺍ ﻋﻠﻴﻬﺎ (( ﺑﺎﻟﻨﻮﺍﺟﺬ ﻭﺇﻳﺎﻛﻢ ﻭﳏﺪﺛﺎﺕ ﺍﻷﻣﻮﺭ ﻓﺈﻥ ﻛﻞ ﺑﺪﻋﺔ ﺿﻼﻟﺔ (1) ซเู ราะฮฺอันนิสาออฺ ายะฮทฺ ่ี 59 (2) ซเู ราะฮอฺ าลิอิมรอน อายะฮฺที่ 31
29บทท่ี 4 หะดีษในฐานะเปนแหลง ท่ีมาของบทบัญญัตอิ ิสลาม ความวา : “จําเปนอยางย่ิงสําหรับพวกเจายึดในสุนนะฮฺของฉันและ สุนนะฮฺบรรดาเคาะลีฟะฮฺอัรรอชิดีนท่ีไดรับการช้ีนําทาง พวกเจาจงกัดมันดวยฟนกรามแนนๆ และจงระมัดระวัง สิ่งใหมๆ (อุปโลกนข้ึนมา) เนื่องจากแทจริงการอุตริ กรรมทุกประเภทนัน้ คือ การหลงทาง”(3) คําวา “ ”ﻋﻠﻴﻜﻢในภาษาอาหรับจะมีหุกมเปนวาญิบ ฉะน้ัน การยึดม่ันใน หะดีษเปน หกุ มวาญิบสาํ หรบั มุสลมิ ทุกคนทบ่ี รรลศุ าสนภาวะ 4. ทานนบมี ฮุ มั มัด กลาววา )) ﺗﺮﻛ ُﺖ ﻓﻴﻜﻢ ﺃﻣﺮﻳﻦ ﻟﻦ ﺗﻀﻠﻮﺍ ﺑﻌﺪﳘﺎ ﺇﻥ ﲤﺴﻜﺘﻢ ﺑﻬﻤﺎ؛ ﻛﺘﺎﺏ (( ﺍﷲ ﻭﺳﻨﺔ ﺭﺳﻮﻟﻪ ความวา : “ฉันไดคงไว (มอบ) ในหมูพวกเจาสองประการ ซ่ึงพวกเจาจะ ไมหลงทาง (อยางแนนอน) หากพวกเจาไดยึดมั่นกับสอง ประการน้ี: กิตาบของอัลลอฮแฺ ละสุนนะฮฺของรสูล”(1) หะดีษบทน้ีแสดงถึงการใหยึดม่ันในหะดีษดวยวิธีการออกคําส่ังโดย ทางออม กลาวคือ ทานนบี ไดกลาวดวยประโยคบอกเลาแตมีเจตนารมณ เปนคําส่ังใหปฏิบัติตาม ซึ่งเปนการรับรองตอการปฏิบัติตามหะดีษวาจะไมหลง ทางอยา งแนน อน (3) หะดีษเศาะหีหฺ บนั ทึกโดยอะบูดาวดู : 5/34, อตั ตรั มิซีย : 5/39, อบิ นุมาญะฮฺ : 2/254 และอะหฺมดั : 2/245 (1) หะดีษหะซัน บันทกึ โดยมาลิก : 1/123 และอัลหากมิ : 1/345 สํานวนหะดษี เปนของอลั หากมิ
30บทท่ี 4 หะดีษในฐานะเปนแหลง ท่ีมาของบทบัญญัติอิสลาม 3. ทา นนบีมุฮัมมดั กลา ววา ، ﻓﺈﳕﺎ ﺃﻫﻠﻚ ﻣﻦ ﻛﺎﻥ ﻗﺒﻠﻜﻢ ﺳﺆﺍﳍﻢ،)) ﺩﻋﻮﱐ ﻣﺎ ﺗﺮﻛُﺘﻜﻢ ﻓﺈﺫﺍ ﻧﻬﻴُﺘﻜﻢ ﻋﻦ ﺷﻲﺀ ﻓﺎﺟﺘﻨﺒﻮﻩ،ﻭﺍﺧﺘﻼﻓﻬﻢ ﻋﻠﻰ ﺃﻧﺒﻴﺎﺋﻬﻢ (( ﻭﺇﺫﺍ ﺃﻣﺮﺗﻜﻢ ﺑﺸﻲﺀ ﻓﺄﺗﻮﺍ ﻣﻨﻪ ﻣﺎ ﺍﺳﺘﻄﻌﺘﻢ ความวา : “พวกเจาจงปลอยไวในส่ิงที่ฉันปลอย เพราะแทจริงความ พนิ าศของชนรนุ กอ นพวกเจา นน้ั เนอื่ งจากมีการถามมาก มี การขัดแยงกับบรรดานบีของพวกเขาเอง ดังน้ันเม่ือฉัน หามพวกเจาจากการกระทําส่ิงใดก็จงหลีกหางมัน และ เม่ือฉันส่ังพวกเจาใหกระทําสิ่งใดแลวก็จงปฏิบัติเถิดตาม ความสามารถของพวกเจา”(2) การปฏิบัติตามคําส่ังของทานนบีในทุกเร่ือง แสดงใหเห็นวาเปนการกลับ สูการปฏิบัติตามหะดีษ ในทํานองเดียวกันการหลีกหางจากสิ่งท่ีทานนบีหาม ปฏบิ ตั กิ ็ถือเปนการแสดงใหเ หน็ ถงึ การกลบั สูหะดีษเชน เดียวกนั คํายืนยันของอุละมาอฺ 1. อิมามอัชชาฟอยี มีความเห็นวา ในเม่ือทานนบสี นบั สนุนใหฟงหะดีษของ ทาน และยังสนับสนุนใหคนท่ีมีความรูเก่ียวกับหะดีษทองจําและรายงานหะดีษ ใหคนอ่ืนฟงดวย อันน้ีถือเปนเรื่องจําเปนอยางย่ิงยวดที่จะชี้ใหเห็นวาการ สนับสนุนน้ันเปนหลักฐานประการหนึ่งที่เปนหนาที่ของผูรู เนื่องจากการปฏิบัติ เชนน้ันจะไดรับผลบุญและการหลีกเลี่ยงมันเปนที่ตองหามในขอบเขตท่ีจะตอง (2) มุตตะฟก อะลัยฮฺ บันทกึ โดยอัลบคุ อรีย : 13/20 และมุสลมิ : 15/107
31บทท่ี 4 หะดีษในฐานะเปน แหลงที่มาของบทบญั ญัติอิสลาม ปฏิบัติเปรียบเสมือนทรัพยสินเมื่อมีการรับยอมมีการแจกจายใหผูท่ีมีสิทธ์ิไดรับ และตกั เตอื นซ่ึงกันและกันท้งั เร่ืองศาสนาและเรื่องดนุ ยาทกุ ประการ(1) ดังน้ัน การช้ีทางของสุนนะฮฺหรือหะดีษในเร่ืองตาง ๆ ท่ีเกี่ยวกับ บทบัญญัติอิสลามน้ันเปนการตัดสินที่เด็ดขาดหากประโยคเหลาน้ันสามารถ พาดพิงถึงทานนบี อยางถูกตอง อิมามอัชชาฟอียไดกลาวย้ําวา “แทจริง บรรดาอุละมาอฺตั้งแตสมัยเศาะหาบะฮฺและตาบิอีน พวกเขาไขวควาหะดีษในทุก ๆ เรื่อง หากพวกเขาไมพบหะดีษพวกเขาจะนําสิ่งอื่น ๆ มาใชเปนหลักฐาน หลังจากนั้นหากพวกเขาพบหะดีษที่เก่ียวของแลวพวกเขาจะกลับตัวและปฏิบัติ ตามหะดษี ทเี่ ขารดู ว ยความมนั่ ใจ”(2) จากขอเท็จจริงที่กลาวมาขางตนสามารถยืนยันวา การกลับสูหะดีษโดย วิธีการใดก็ตามเปนเร่ืองที่จําเปนอยางย่ิงท้ังทางดานอะกีดะฮฺ ดานอิบาดะฮฺ ดานมุอามะลาต ดาน มุนากะฮาต และดานอื่นๆ ประการหนึ่งที่สําคัญ คือ บรรดาอุละมาอฺในทุกยุคทุกสมัยตางก็มีความเห็นพองกันวา การกลับสูหะดีษ เปนการปฏิบัติท่ีถูกตองที่สุด ไมสามารถปฏิเสธได ไมเฉพาะสําหรับผูที่มีความรู เทานั้น แมแตคนท่ีอานไมออกเขียนไมไดก็จําเปนเหมือนกัน เพราะเปนการ แสดงถงึ การมีความรักตอ ทา นนบี 3. การรายงานหะดษี 1. หุกม ของการรายงานหะดีษ การรายงานหะดีษของทานนบี ใหแกผูอ่ืนเปนหนาที่อยางหน่ึงสําหรับ มุสลิมและมุสลิมะฮฺโดยเฉพาะผูท่ีมีความรูเก่ียวกับหะดีษจะมีความรูมากหรือ นอยก็ตาม แตท วา ผทู ม่ี คี วามรูมากหรอื ผูเชี่ยวชาญในสาขาหะดีษจะมีหนาท่ีหนัก (1) อัสสุยฏู ยี หนา 99 (2) อสั สยุ ูฏีย หนา 99
32บทที่ 4 หะดษี ในฐานะเปนแหลง ที่มาของบทบัญญัตอิ ิสลาม กวาคนอ่ืน เพราะเขาเขาใจความหมายของหะดีษ อับดุลเลาะ เบ็ญ อัมรฺ เบ็ญ เอาศฺ ไดรายงานจากรสลู ุลลอฮฺ ทา นกลา ววา ، ﻭﺣﺪﺛﻮﺍ ﻋﻦ ﺑﲏ ﺇﺳﺮﺍﺋﻴﻞ ﻭﻻ ﺣﺮﺝ،)) ﺑﻠﻐﻮﺍ ﻋﲏ ﻭﻟﻮ ﺁﻳﺔ (( ﻭﻣﻦ ﻛﺬﺏ ﻋﻠ ّﻲ ﻣﺘﻌﻤﺪﹰﺍ ﻓﻠﻴﺘﺒﻮﺃ ﻣﻘﻌﺪﻩ ﻣﻦ ﺍﻟﻨﺎﺭ ความวา : “จงเผยแผจากฉันถึงแมวาหน่ึงอายะฮฺก็ตาม และจงรายงาน จากบะนี อสิ รออลี เถดิ และไมใ ชเร่ืองหนกั หนาสาหัสอะไร และ ผูใดโกหกตอฉันโดยเจตนาก็จงเตรียมท่ีนั่งของเขาไวในไฟ นรก”(1) จากหะดีษขางตนชี้ใหเห็นวา การรายงานหะดีษของทานนบี ใหแก ผูอ่ืนน้ันเปนหุกมวาญิบสําหรับทุกคนโดยเฉพาะอยางย่ิงสําหรับผูท่ีมีความรู เก่ียวกับหะดีษตามขีดความ รูความสามารถของแตละคนดังหะดีษบันทึกโดย อัลบุคอรยี แ ละมสุ ลมิ มีรายงานอีกกระแสหน่ึง จากุบัยรฺ เบ็ญ มุฏอิม ไดรายงานจากทาน รสูลลุ ลอฮฺ กลา วถงึ ความประเสริฐของผูทรี่ ายงานและผูฟงหะดีษของทาน ﰒ ﺃ ّﺩﺍﻫﺎ ﺇﱃ ﻣﻦ ﱂ،)) ﻧ ّﻀﺮ ﺍﷲ ﻋﺒﺪﹰﺍ ﲰﻊ ﻣﻘﺎﻟﱵ ﻓﻮﻋﺎﻫﺎ ﻭﺭ ّﺏ ﺣﺎﻣﻞ ﻓﻘﻪ ﺇﱃ، ﻓﺮ ّﺏ ﺣﺎﻣﻞ ﻓﻘﻪ ﻻ ﻓﻘﻪ ﻟﻪ،ﻳﺴﻤﻌﻬﺎ (( .. ﻣﻦ ﻫﻮ ﺃﻓﻘﻪ ﻣﻨﻪ (1) บันทึกโดยอัลบคุ อรยี : 2/374, อตั ติรมิซยี : 5/40 อะบูอซี ากลา ววา หะดษี บทนี้เปนหะสนั เศาะหีหแฺ ละ อะหมฺ ดั : 3/159, 203, 314
33บทที่ 4 หะดษี ในฐานะเปน แหลงที่มาของบทบญั ญัตอิ ิสลาม ความวา : “อัลลอฮฺทรงใหเกียรติแกบาวที่ยอมฟงคําพูด (หะดีษ) ของฉนั และเขาไดทอ งจาํ มัน หลังจากน้ันเขาไดเผยแพรแก คนอ่ืนท่ียังไมไดฟง ดังน้ัน บอยคร้ังผูที่เผยแพรไมเขาใจ มัน และบอยครั้งผูถูกถายทอดเขาใจมากกวาผู เผยแพร”(2) จากหะดีษขางตนพอสรุปไดวา หนาท่ีของมุสลิมท่ีมีตอหะดีษของทานนบี นั้นก็คือ ฟงหะดีษ ทองจําหะดีษ และรายงานหะดีษใหแกผูอ่ืนท่ียังไมไดฟง หรือยังไมมีความรูเก่ียวกับหะดีษ ที่สําคัญยิ่ง คือ ผูท่ีทําหนาที่รายงานหะดีษ ตองเปนคนท่ีมีความรูเร่ืองหะดีษซึ่งอาจจะมีลักษณะท่ีหลากหลายแตกตางกัน เชน บางคนมีท้ังความรูและเขาใจเนื้อหาของแตละหะดีษ บางคนมีความรู แตไม เขาใจความหมายของหะดีษ บางคนมีความรูมากและบางคนมีความรูนอย ไมจาํ เปน ตอ งเปน คนอาลมิ เสมอไป 2. วธิ กี ารรายงานหะดีษ เนื่องจากวิธีการรายงานหะดีษยังไมมีขอเสนอแนะจากทานนบี เปน รูปธรรมอยางชัดเจน บรรดาเศาะหาบะฮฺก็ไดใชความพยายาม (อิจญติฮาด) ใน การอธิบายถึงวิธี การรายงานที่สอดคลองกับฐานะที่เปนหะดีษของทานนบี ใหมากท่ีสุด มุฮัมมัด เบ็ญ สีรีนไดกลาวถึงวิธีการรายงานอยางกวาง ๆ ดังนี้ ﻭﺍﻷﻟﻔﺎﻅ، ﺍﳌﻌﲎ ﻭﺍﺣﺪ،ﻛﻨ ُﺖ ﺃﲰﻊ ﺍﳊﺪﻳﺚ ﻣﻦ ﻋﺸﺮﺓ ﳐﺘﻠﻔﺔ (2) หะดีษเศาะหีหฺ บันทึกโดยอะบดู าวดู : 3/322, อตั ตรั มซิ ยี : 5/33-34, อบิ นุมาญะฮฺ : 1/85, อะหมฺ ดั : 1/437, 3/225, 4/80,82, 5/183 และอดั ดาริมยี : 1/86 สํานวนขา งตนเปนของอะหฺมดั
34บทที่ 4 หะดษี ในฐานะเปนแหลงที่มาของบทบญั ญัตอิ ิสลาม แปลวา : “ฉันไดยินหะดีษจากสิบคน (เศาะหาบะฮฺซึ่งพวกเขาได รายงาน) เปนความหมายเดยี วกัน และหลากหลายตัวบท”(1) จากอะษัรบทน้ีพอสรปุ ไดว า การรายงานหะดษี นั้นมี 2 วธิ ีใหญ ๆ คอื วธิ กี ารท่ี 1 การรายงานตวั บทหะดีษ การรายงานตามวิธีการน้ีจะเห็นไดจากการปฏิบัติของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ท่ีรายงานหะดีษจากทานนบี กลาวคือ บางคนไดรายงานหะดีษอยาง สมบูรณท้ังประโยคที่ไดฟงจากทานและบางคนไดรายงานหะดีษอยางสมบูรณที่ ไดฟ ง จากเศาะฮาบะฮฺทานอื่น ซึ่งแตละคนน้ันไดรายงานดวยความซื่อสัตยตอหะ ดีษ โดยไมมีการโกหกและเพ่ิมเติมในสิ่งท่ีพวกเขาไดฟงจากทานนบี การ รายงานหะดีษในหมูเศาะหาบะฮฺมีทั้งการรายงานตัวบทและมีการรายงานตัวบท พรอมกับสะนัดของหะดีษ การรายงานดวยวิธีการเชนน้ีไดมีมาตั้งแตสมัย เศาะหาบะฮฺจนถึงสมัยตาบิอฺ อัตบาอฺอัตตาบิอีน และไดมีการถายทอด อยา งตอ เนื่องเร่ือยมาจนถึงสมัยอลุ ะมาอมฺ ุตะอคั คิรนู (2) การรายงานหะดษี ดวยวิธนี ้สี ามารถจําแนกออกเปน 3 วิธกี าร ดงั น้ี 1. วิธกี ารรายงานแบบสมบูรณ หมายถึง การรายงานหะดีษทั้งสะนัดและมะตันโดยไมมีการตัดตอและ เพิ่มเติมจากประโยคเดิมท่ีไดฟงกันมาตั้งแตตนจนจบหะดีษ เชน การรายงาน (1) อัลกอสิมยี หนา 222 (2) คือ ต้ังแตส มัยอมิ ามอนั นะสาอียจ นถงึ สมยั ของอัตฏอบะรอนยี
35บทท่ี 4 หะดษี ในฐานะเปน แหลง ที่มาของบทบัญญัตอิ สิ ลาม ของบรรดานักหะดีษทั้งหก(3) และทานอ่ืนๆจะมีการวิพากษวิจารณสถานะของ สายรายงานในดา นความสมบูรณห รือไมกต็ าม แมแตการวิเคราะหตวั บทหะดีษ(4) 2. วธิ ีการรายงานแบบยอ หมายถึง การรายงานเฉพาะตัวบทหะดีษบางสวนเทานั้น ไมมีการ กลาวถึงในสวนอ่ืน ๆ ที่เก่ียวกับตัวบท การรายงานเชนน้ีเปนการปฏิบัติของ อุละมาอฟฺ ก ฮฺ ตามทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญแลวมีความเห็นวา การรายงานหะดีษ ดวยวิธีนี้สามารถทําไดแตข้ึนอยูกับเง่ือนไขสําคัญ คือ ผูท่ีรายงานหะดีษตอง เปนคนท่ีมีความรูในเรื่องหะดีษเปนอยางดี เนื่องจากการยอหะดีษของคนอาลิม มิอาจทําใหความหมายหรือจุดประสงคของหะดีษเพ้ียนไปจากเดิม ไมทําให ขัดแยงในการบัญญัติหุกมและขอความหะดีษไมขาดหายไปจนทําใหกลายเปน คนละตัวบท ผิดจากการยอของคนญาฮิล ซึ่งจะทําใหเกิดความสับสนใน ความหมายของหะดีษได เชน การละเลยเร่อื งอสิ ติษนาอฺ(1) 3. วธิ ีการรายงานแบบตัดสะนัด หมายถึง การรายงานเฉพาะตัวบทหะดีษเทาน้ันไมมีการกลาวถึงสะนัด หรือกลาวผูรายงานเพียงเศาะหาบะฮฺเทานั้น สวนผูรายงานคนอื่น ๆ ถัดจาก เศาะหาบะฮฺจนถึงสน้ิ สุดสะนดั ไมไ ดกลาวถึงแมแ ตคนเดยี ว การรายงานเชนน้ีเปนการปฏิบัติของอุละมาอฺฟกฮฺและอุละมาอฺอุศูล อัลฟกฮฺ อิมามอันนะวะวียกลาววา “สวนการรายงานเฉพาะตัวบทหะดีษอยาง เดียวที่สอดคลองกับหัวขอฟกฮฺสามารถทําได ซึ่งถือเปนการปฏิบัติที่ดีและ (3) นักหะดษี ทง้ั หกทา น คือ อลั บคุ อรยี มสุ ลิม อะบูดาวดู อัตติรมซิ ีย อันนะสาอยี และอิบนุมาญะฮฺ หรือท่เี รยี กวา อศั หาบ อัลกุตุบ อัซซติ ตะฮฺ (4) รายละเอยี ดเร่ืองสะนัดและมะตนั จะมีการอธิบายในบทที่ 4 (1) อลั อสั เกาะลานีย หนา 48
36บทท่ี 4 หะดษี ในฐานะเปน แหลงที่มาของบทบญั ญัตอิ ิสลาม อาจจะสามารถหลีกเล่ียงจากการขัดแยงไดอีกดวย”(2) ไมวาดานตัวบทหะดีษ หรอื การรับหกุ มตา ง ๆ จากหะดษี วิธีการที่ 2 การรายงานความหมายของหะดีษ การรายงานหะดีษดวยวธิ กี ารนอ้ี ลุ ะมาอมฺ คี วามเห็นที่แตกตางกัน พอสรุป ไดดงั น้ี กลุมที่หน่ึง ไมเห็นดวยกับการรายงานความหมายหะดีษ โดยที่ไมได รายงานตัวบทท่ีมาจากทานนบี ทัศนะนี้เปนทัศนะของอุละมาอฺหะดีษ อุละมาอฺฟกฮฺและอุละมาอฺอุศูลุลอัลฟกฮฺบางทาน เชน มุฮัมมัด เบ็ญ สีรีน อะบู บักรฺ อิบนุอะบชี ัยบะฮฺ และทา นอืน่ ๆ กลุมท่ีสอง เห็นดวยกับการรายงานความหมายหะดีษ โดยไมจําเปนตอง ยกตัวบทก็ได ทัศนะน้ีเปนทัศนะของอุละมาอฺสวนใหญท้ังสะลัฟหรือคอลัฟจากอุ ละมาอฺฟกฮฺหรืออุละมาอฺอุศูลฟกฮฺ เชน อิมามอะบูหะนีฟะฮฺ อิมามมาลิก อิมามอัชชาฟอีย และ อิมาม อะหฺมัด เบ็ญ หันบัล แตมีเง่ือนไขวาผูที่จะรายงาน หะดีษดว ยความหมายนัน้ จะตองประกอบดว ยคณุ ลักษณะ 2 ประการ 1. ผรู ายงานจะตองเขา ใจตัวบทและเจตนารมณของหะดษี เปน อยา งดี 2. ผูรายงานจะตอ งเช่ยี วชาญในการตคี วามหมายหะดีษไดอ ยา งถูกตอ ง นอกจากสองประการขางตนแลว ผูรายงานหะดีษจะตองกลาวอยาง สม่ําเสมอดวยกับคําวา “ ”ﺃﻭ ﻛﻤﺎ ﻗﺎﻝแปลวา หรือดังที่ทานนบี ไดกลาวไว หรือกลาวคําวา “ ”ﺃﻭ ﳓﻮﻩแปลวา หรือเสมือนคําพูดของทานนบี หรือกลาว คําวา “ ”ﺃﻭ ﺷﺒﻬﻪแปลวา อุปมากับคําพูดของทานนบี ทุกครั้งเม่ือจบการรายงาน หะดษี (1) (2) อัลกอสิมีย หนา 224-225 (1) มะหฺมดู อัตเฏาะหฺหาน กลาววา “ทั้งหมดท่ีกลา วน้นั อนญุ าตแกผูท ไ่ี ดยินจากปากอาจารยท ่เี ขารับหะดษี เทาน้นั สวนผูท่ีรบั หะดีษโดยวิธกี ารอานเองจากตําราหะดีษ ไมอนญุ าตใหร ายงานดว ยความหมายแมแตต ัวอกั ษรเดยี ว
37บทที่ 4 หะดษี ในฐานะเปน แหลง ที่มาของบทบัญญัติอิสลาม อิมามอัสสุยูฏียกลาววา “หากผูรายงานไมมีความรูและไมเช่ียวชาญใน การแปลความหมายหะดีษไมอนุญาตใหรายงานหะดีษดวยความหมายโดยไมมี ขอสงสัยใด ๆ ท้ังส้ิน แตเขาจะตองรายงานตัวบทหะดีษเหมือนท่ีเขาไดฟงหะดีษ หรอื รับมาจากอาจารยด ว ยตนเอง”(2) ดังน้ัน วิธีการท่ีดีที่สุดในการรายงานหะดีษของทานนบี คือ สมควร อยางย่ิงที่จะตองรายงานตัวบทหะดีษ และไมมีความจําเปนท่ีจะรายงานหะดีษ ดวยความหมาย เน่ือง จากปจจุบันตัวบทและสะนัดหะดีษถูกบันทึกไวในตํารา หะดีษตาง ๆ อยางสมบูรณ ไมวาการบันทึกท้ังสะนัดและมะตัน หรือทําการ บันทึกโดยเริ่มตนจากเศาะหาบะฮฺผูรับหะดีษโดยตรงจากทานนบี และ ตําราหะดีษถูกตีพิมพอยางแพรหลายสามารถหาซื้อไดไมยาก หากตองการ แสวงหาความรทู ่มี ีคุณคา เน่อื งจากการอนุญาตใหร ายงานดวยความหมายนนั้ เปนการอนุญาตในกรณจี ําเปนหรอื ยงั ไมมกี ารบนั ทกึ หะดีษ เปนเลม แตใ นกรณีทหี่ ะดษี ตางๆ ถกู บันทึกไวใ นตําราหะดษี อยา งสมบรู ณแ ลวก็ไมมคี วามจําเปนอกี แลวทีจ่ ะ รายงานหะดษี ดวยความหมายดังเชนในปจจุบันน้ี” (ดู หนา 171-172) (2) อลั กอสมิ ีย หนา 222
38บทที่ 5 สะนัดและมะตนั บทท่ี 5 สะนัดและมะตนั พึงรเู ปน การเบ้ืองตนไวว า หะดีษของทานนบี ท่ีถูกถายทอดมาถึงตัวเรา นั้นตอ งประกอบดวยสองสว น คอื สะนดั และมะตนั ตวั อยา ง ﺃﺧﱪﻧﺎ، ﺃﺧﱪﻧﺎ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﻣﺮﱘ،ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﺇﺳﺤﺎﻕ ﻗﺎﻝ ﺃﺧﱪﱐ ﺍﻟﻌﻼﺀ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ،ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﻌﻔﺮ ﻋﻦ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ، ﻋﻦ ﺃﺑﻴﻪ،ﻳﻌﻘﻮﺏ ﺑﻦ ﺍﳊﹸ َﺮﹶﻗﺔ )) ﻣﻦ: ﻗﺎﻝ ﺭﺳﻮﻝ ﺍﷲ ﺻﻠﻰ ﺍﷲ ﻋﻠﻴﻪ ﻭﺳﻠﻢ: ﻗﺎﻝ ﻭﺇﺫﺍ ﻭﻋﺪ،ﻋﻼﻣﺎﺕ ﺍﳌﻨﺎﻓﻖ ﺛﻼﺛﺔ؛ ﺇﺫﺍ ﺣﺪﺙ ﻛﺬﺏ (( ﻭﺇﺫﺍ ﺍﺋﺘﻤﻦ ﺧﺎﻥ،ﺃﺧﻠﻒ ความวา : “จากอะบูฮรุ ยั เราะฮฺ กลา ววา รสูลุลลอฮฺ กลาววา “เคร่ืองหมายบางอยางของคนมุนาฟกนั้นมี 3 ประการ คือ เมื่อเขาพูดเขาจะพูดโกหก เมื่อเขาสัญญา เขาจะผิดสัญญา และเม่ือเขาไดร ับความไวว างใจ เขากบ็ ดิ พลิ้ว” (รายงานโดยมสุ ลมิ : 2/47)
39บทท่ี 5 สะนัดและมะตนั คาํ อธบิ ายตวั อยาง - สะนัดหะดษี ، ﺃﺧﱪﻧﺎ ﳏﻤﺪ ﺑﻦ ﺟﻌﻔﺮ، ﺃﺧﱪﻧﺎ ﺍﺑﻦ ﺃﰊ ﻣﺮﱘ،ﺣﺪﺛﻨﺎ ﺃﺑﻮ ﺑﻜﺮ ﺑﻦ ﺇﺳﺤﺎﻕ ، ﻋﻦ ﺃﺑﻴـﻪ،ﻗـﺎﻝ ﺃﺧﱪﱐ ﺍﻟﻌﻼﺀ ﺑﻦ ﻋﺒﺪ ﺍﻟﺮﲪﻦ ﺑﻦ ﻳﻌﻘﻮﺏ ﺑﻦ ﺍﳊﹸ َﺮﹶﻗـﺔ ﻋﻦ ﺃﰊ ﻫﺮﻳﺮﺓ ﺭﺿﻲ ﺍﷲ ﻋﻨﻪ - มะตนั หะดีษ ، ﻭﺇﺫﺍ ﻭﻋـﺪ ﺃﺧﻠﻒ،)) ﻣﻦ ﻋﻼﻣـﺎﺕ ﺍﳌﻨـﺎﻓﻖ ﺛﻼﺛـﺔ؛ ﺇﺫﺍ ﺣـﺪﺙ ﻛﺬﺏ (( ﻭﺇﺫﺍ ﺍﺋﺘﻤﻦ ﺧﺎﻥ การรายงานหะดีษทั้งสะนัดและตัวบทเชนน้ีก็ไดมีการปฏิบัติกันในกลุม ของ นักหะดีษต้ังแตสมัยเศาะหาบะฮฺจนถึงปจจุบัน แตก็มีอุละมาอฺบางทาน ไดรายงานหะดีษ โดยมิไดกลาวอางสะนัดนอกจากกลาวเพียงศอหาบะฮฺเทานั้น ซึ่งการรายงานเชนน้เี ปนทีอ่ นุญาตเชน กัน สวนท่ี 1 สะนดั หะดีษ อลั ลอฮทฺ รงตรัสไววา ﺇﺋﺘﻮﱐ ﺑﻜﺘﺎﺏ ﻣﻦ ﻗﺒﻞ ﻫﺬﺍ ﺃﻭ ﺃﺛﺎﺭﺓ ﻣﻦ ﻋﻠﻢ
40บทที่ 5 สะนัดและมะตนั ความวา : “จงนํามาแกฉันซ่ึงกิตาบกอนหนาน้ีเถิด หรือการรายงาน บางสว นของวชิ าความร”ู (1) คําดํารัส ﺃﺛﺎﺭﺓ ความวา “รองรอย” มะฏอร อัลวัรรอกไดอธิบายวา คํานหี้ มายถึง อสิ นาดหะดษี (2) 1. นิยาม ตามหลักภาษาศาสตร คําวา ( َﺳَﻨ ٌﺪสะนัด) เปนคําเอกพจน แปลวา สายรายงานหรือสายสืบ พหูพจน คือ ( ِﺇ ْﺳَﻨﺎ ٌﺩอิสนาด) หมายถึง การถายทอดจากคนหนึ่งไปยังอีกคน หน่งึ ตามหลกั วิชาการ มีทัศนะอุละมาอฺหลายทัศนะดวยกันที่ไดอธิบายความหมายของสะนัดขอ ยก ตวั อยางในท่นี เ้ี พียงบางสวนเทา นน้ั 1. อิมามอัสสะคอวีย กลาววา สะนัด หมายถึง สายรายงานที่จะนําเขาสู มะตัน(3) (ตวั บทหะดีษ) 2. อิมามอิบนุ ญะมาอะฮฺ กลาววา อิสนาด หมายถึง การรายงานหะดีษ พรอมกบั ระบุผูรายงาน และคําวาสะนดั คอื สายสืบทน่ี าํ เขา สมู ะตนั หะดษี (4) (1) ซเู ราะฮฺอลั อะหฺกอฟ อายะฮฺท่ี 4 (2) อับดุลวะฮาบ เบญ็ อับดุลละตีฟ หนา 17 (3) หนงั สอื เดมิ หนา 16 (4) ดู หนงั สือเดิม
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220